ในเมื่อตัดสินใจแล้ว สืออีเหนียงกำลังจะไปปรึกษาไท่ฮูหยินว่าจะให้ใครไปสู่ขอ แต่ก่อนจะไป นางต้องไปหาฮูหยินสองก่อน
“…นายหญิงเกาพูดเป็นนัย นายหญิงเซี่ยงก็พูดไม่ชัดเจน ข้ากลัวว่าเราจะเข้าใจผิด จึงอยากให้พี่สะใภ้สองช่วยถามให้ชัดเจนเจ้าค่ะ หากอวี้เกอของเรามีวาสนาได้หมั้นหมายกับหลานสาวของพี่สะใภ้สองจริงๆ ก็คงเป็นเรื่องที่ดี!”
นางกลัวนายหญิงเซี่ยงจะกลับคำพูด จึงต้องมีใครสักคนที่เป็นคนรับประกัน
ฮูหยินสองหน้าแดง นึกถึงเรื่องที่นายหญิงเซี่ยงผิดคำสัญญาครั้งก่อน แล้วนึกถึงท่าทีประจบสอพลอของนายหญิงเกาที่มีต่อสืออีเหนียงเมื่อวาน สีหน้าของนางดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สืออีเหนียงคงอยากให้ตนเป็นคนรับประกันใช่หรือไม่!
นางยืนขึ้นด้วยความรู้สึกผิด “ข้าจะไปสกุลเดิมประเดี๋ยวนี้!”
“รบกวนพี่สะใภ้สองแล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน “อีกไม่กี่วันอวี้เกอก็จะกลับเล่ออานแล้ว เขาไม่เด็กแล้ว หากกำหนดเรื่องแต่งงานได้เร็ว เขาก็จะได้มีคนที่รู้ใจคอยอยู่เคียงข้าง ข้าและท่านโหวก็จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องเขาแล้ว”
ฮูหยินสองพยักหน้า จากนั้นก็ส่งสืออีเหนียงออกไปจากเรือนเสาหวา
สืออีเหนียงไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน “…ข้าขอร้องให้พี่สะใภ้สองกลับไปถามให้ชัดเจนก่อน ถึงตอนนั้นค่อยเชิญคุณนายสามสกุลหวงมาเป็นแม่สื่อ ท่านคิดว่าเช่นไรเจ้าคะ”
“เจ้าตัดสินใจเองเถิด!” ไท่ฮูหยินไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านี้
อีกฝั่งหนึ่ง หลังจากนายหญิงเซี่ยงส่งฮูหยินสองออกไปแล้ว ก็ไปหานายหญิงเกาทันที
“…คุณหนูคนนั้นของข้า อ้าปากมาก็สั่งสอนข้า แล้วยังบอกข้าอย่าทำตัวเหมือนครั้งก่อน ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงของนายท่านคงจะเสียหายเพราะข้า ท่านฟังสิเจ้าคะว่านางพูดอะไร ข้ากับนายท่านแต่งงานกันมาตั้งยี่สิบปี ข้าเป็นคนดูแลเรื่องทั้งนอกและใน” นางพูดด้วยความโมโห
ราวกับน้ำและไฟที่เข้ากันไม่ได้ก็ไม่ปาน นายหญิงเกาไม่แปลกใจเรื่องที่นายหญิงเซี่ยงและฮูหยินสองไม่ถูกกัน พูดอะไรเพียงนิดๆ หน่อยๆ ก็กระทบกระทั่งกัน
“เช่นนั้นก็หมายความว่าสกุลสวีเห็นด้วยกับเรื่องแต่งงานครั้งนี้เช่นนั้นหรือ”
นายหญิงเซี่ยงพยักหน้า “บอกให้คุณหนูของเรามาถามให้ชัดเจนเจ้าค่ะ”
นายหญิงเกาได้ยินเช่นนี้ก็ครุ่นคิดอยู่นาน จู่ๆ นางก็ลุกขึ้นยืน “ไป เราไปหาพี่ใหญ่ของเจ้ากัน ให้เขาคิดหาวิธีเชิญฮูหยินของจินฮั่นหลินแห่งสำนักศึกษาฮั่นหลินไปสู่ขอที่สกุลสวี หากข้าจำไม่ผิด ตอนที่ฮูหยินสี่สกุลสวีแต่งงาน สกุลหลัวเองก็เชิญจินฮั่นหลินมาเป็นผู้รับรอง ความสัมพันธ์ของสกุลเดิมนางและสกุลจินฮั่นหลินต้องไม่ธรรมดาแน่นอน”
ถ้าอย่างนั้น ทุกคนก็จะรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้สกุลของตนเป็นคนสู่ขอน่ะสิ?
นายหญิงเซี่ยงรู้สึกหัวหมุน นางไม่เข้าใจที่นายหญิงเกาพูด
“สู่…สู่ขอหรือเจ้าคะ” นางมองนายหญิงเกาด้วยท่าทีที่ตกใจ “สกุลเราไปสู่ขอหรือเจ้าคะ”
นายหญิงเกาอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างมองนายหญิงเซี่ยง “ในเมื่อพวกเขาไม่สนใจเรื่องที่ผ่านมา เจ้าก็ต้องแสดงท่าทีบ้าง ไม่เช่นนั้น ถึงแม้ว่าจะแต่งงานกับสกุลสวีแล้ว เกรงว่าพวกเขาก็ยังคงรู้สึกขุ่นเคืองในใจ เจ้าจะให้โหรวเน่อแต่งเข้าไป แล้วไม่สนใจชีวิตของนางว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปเช่นนั้นหรือ”
นายหญิงเซี่ยงได้ยินแล้วก็กัดฟัน “ได้เจ้าค่ะ ข้าจะเชิญฮูหยินของจินฮั่นหลินไปสู่ขอที่สกุลสวีประเดี๋ยวนี้เลย สกุลจินฮั่นหลินสนิทสนมกับนายท่านสกุลเรา ไม่จำเป็นต้องให้พี่ใหญ่ออกหน้าให้ก็ได้…”
ตนทำเรื่องอับอายขายขี้หน้าเช่นนี้ หรือยังจะให้พี่ใหญ่สกุลเดิมต้องมาก้มหัวไปกับตนด้วยอย่างนั้นหรือ!
นายหญิงเกาได้ยินเช่นนี้ก็ตอบ “อืม” ด้วยความพอใจ จากนั้นก็พูดเบาๆ “พูดจาอ่อนโยน ท่าทีจริงใจ อย่าทำลายชีวิตของโหรวเน่อเพียงเพราะความโมโห…”
นายหญิงเซี่ยงพยักหน้าซ้ำๆ จากนั้นก็รีบกลับไปที่จวน เตรียมกล่องของขวัญสิบสองสี แล้วไปที่จวนสกุลจินฮั่นหลินในวันต่อมา
เดิมทีสกุลจินสนิทสนมกับสกุลหลัว การแต่งงานครั้งนี้ก็เป็นเรื่องที่ทั้งสองสกุลปรึกษากันแล้ว ถึงแม้ว่าจะแปลกใจที่สกุลเซี่ยงเป็นคนมาขอร้อง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสกุลเซี่ยงและสกุลสวีเป็นสกุลญาติกัน พวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไร ตอบตกลงแล้วบอกว่าจะไปทำการสู่ขอที่จวนสกุลสวีในวันต่อมา
นายหญิงเซี่ยงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
กลับถึงจวนก็เจอกับป้ารับใช้คนสนิทที่มีสีหน้าตื่นเต้น “ฮูหยินเจ้าคะ สกุลสวีเชิญคุณนายสามแห่งสกุลหย่งชังโหวมาสู่ขอแล้วเจ้าค่ะ”
นายหญิงเซี่ยงได้ฟังแล้วก็ตกใจ
แต่นายหญิงเการู้เช่นนี้กลับถอนหายใจ นางเป็นห่วงนายหญิงเซี่ยงขึ้นมา กลัวนางจะเผลอทำเรื่องอันใดที่ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ เชิญแม่สื่อ แลกเปลี่ยนหนังสือวันเดือนปีเกิด กำหนดวันหมั้นหมาย นายหญิงเกาล้วนคอยช่วยดูอยู่ข้างๆ ตลอด
สืออีเหนียงไม่รู้ว่านายหญิงเกาคิดอะไร นางแค่รู้สึกว่าการแต่งงานกับสกุลเซี่ยงราบรื่นเกินกว่าที่นางคิดเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นสินสอดทองหมั้นจนไปถึงสินเดิม สกุลเซี่ยงไม่ได้เสนอเงื่อนไขอะไรที่มากเกินไปเลยแม้แต่น้อย แม้แต่วันแต่งงานที่เป็นเรื่องน่ากังวลมากที่สุด สกุลเซี่ยงก็ตอบตกลงอย่างง่ายดาย สวีลิ่งอี๋กลัวว่าสวีซื่ออวี้จะไม่มีสมาธิ คิดว่าให้เขาแต่งงานช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าดีกว่า แต่เมื่อคิดว่าปีหน้าเซี่ยงโหรวเน่อก็จะอายุสิบเก้าปีแล้ว กลัวว่าสกุลเซี่ยงจะไม่ตอบตกลง เขาจึงเชิญคุณนายสามสกุลหวงไปพูดให้ สุดท้ายสกุลเซี่ยงบอกแค่ว่า ‘สมควรเป็นเช่นนี้’ กำหนดวันแต่งงานของสวีซื่ออวี้ในวันที่สองเดือนสิบ ใต้เท้าเซี่ยงยังส่งคนนำจดหมายมาให้สวีลิ่งอี๋ เพื่อแสดงความขอโทษเรื่องที่นายหญิงเซี่ยงผิดสัญญาครั้งก่อนอีกด้วย
ไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงปรึกษากันเรื่องเรือนหอใหม่ “…ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า ข้าคิดว่า ลานที่คุณชายสามทิ้งไว้ไม่เลวเลยทีเดียว กว้างขวาง แล้วยังอยู่ใกล้ประตูมุมทางทิศตะวันออก เข้าออกสะดวก ซ่อมแซมสักนิดหน่อยก็ใช้งานได้แล้ว”
สืออีเหนียงก็กำลังอยากจะพูดเรื่องนี้กับไท่ฮูหยินอยู่พอดี
แต่งงานแล้ว แน่นอนว่าไม่ควรอยู่ที่ลานข้างนอก ลานข้างในมีเพียงลานเก่าของหยวนเหนียงและลานของครอบครัวคุณชายสามที่ยังว่างอยู่ ลานของหยวนเหนียงยังมีข้าวของวางอยู่เหมือนตอนที่หยวนเหนียงยังมีชีวิตอยู่ มีสาวใช้คอยดูแลทำความสะอาดอยู่ตลอด สืออีเหนียงอยากเก็บเอาไว้ให้สวีซื่อจุนเป็นคนจัดการเมื่อเขาโตขึ้น สำหรับลานของคุณชายสาม ถึงแม้ว่าคุณชายสามจะย้ายออกไปอยูข้างนอกแล้ว แต่เขาไม่ได้พูดอะไร ในฐานะลูกสะใภ้ นางไม่กล้าแตะต้องลานของคุณชายสาม จึงอยากตั้งเรือนหอใหม่ของสวีซื่ออวี้ไว้ที่ลานลี่จิ่งเซวียนของเจินเจี่ยเอ๋อร์ แต่คิดไม่ถึงว่าไท่ฮูหยินจะมองลานของคุณชายสามไว้
เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ถือโอกาสนี้จัดการความสัมพันธ์กับครอบครัวคุณชายสาม ต่อไปทุกคนอยู่ลานใครลานมัน ใช้ชีวิตของตัวเอง จะได้ลดความขัดแย้งระหว่างกันได้บ้าง บางทีความสัมพันธ์อาจจะดีขึ้นกว่าตอนนี้ก็ได้
“ข้าก็คิดว่าดีเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดต่ออีก “แต่ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้สามยังมีของอะไรอยู่ที่ลานหรือไม่ เกรงว่าคงต้องบอกนางก่อนล่วงหน้า!”
ด้วยนิสัยของฮูหยินสาม ในเมื่อนางย้ายออกไปอยู่ที่ตรอกซานจิ่งแล้ว นางไม่มีทางทิ้งของอะไรไว้แน่นอน
ไท่ฮูหยินเข้าใจความหมายของสืออีเหนียงดี พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พรุ่งนี้นางมาคารวะข้า ข้าจะถามนางก็แล้วกัน!”
ในขณะที่กำลังพูด ก็มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามารายงาน “แสดงความยินดีกับไท่ฮูหยินด้วยขอรับ คุณนายน้อยใหญ่คลอดคุณชายน้อยขอรับ”
“ไอ๊หยา!” ไท่ฮูหยินรีบเรียกป้าตู้ “ตกรางวัล ตกรางวัล!” จากนั้นก็ยื่นมือไปจับมือของสืออีเหนียง “เราไปดูกันเถิด!” นางพูดด้วยสีหน้าที่ปิติยินดีเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงก็ดีใจกับฟังซื่อ
พวกนางเดินทางไปที่ตรอกซานจิ่งอย่างมีความสุข
พึ่งจะคลอดได้ไม่นาน บุตรชายของนางผิวแดง หลับตาพริ้ม หว่างคิ้วยังไม่คลายออก
จิ่นเกอและเซินเกอเบียดกันไปดูอยู่ข้างเตียง คนหนึ่งลูบหัวเจ้าตัวเล็ก อีกคนจับแก้มเจ้าตัวเล็ก สืออีเหนียงและฮูหยินห้ารีบอุ้มลูกของตัวเองกลับมา
ฮูหยินสามอุ้มหลานชายมาให้ไท่ฮูหยินดูด้วยสีหน้าที่พอใจ “คลอดออกมาน้ำหนักหกจินกว่าเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้า นางอุ้มเจ้าตัวเล็กมาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็พูดกับฟังซื่อที่นอนอยู่บนเตียง “เด็กคนนี้หน้าตาเหมือนฉินเกอราวกับแกะ!”
ฟังซื่อยิ้มอย่างเขินอาย
ไท่ฮูหยินถามนาง “ทางฝั่งมารดาของเจ้า ส่งคนไปรายงานแล้วหรือยัง”
ตามธรรมเนียมแล้ว คนในสกุลเดิมต้องมาดูเด็กในพิธีสรงสามเท่านั้น
ฟังซื่อรีบพูด “ส่งคนไปรายงานแล้วเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินจึงพูดถึงเรื่องพิธีสรงสามกับฮูหยินสาม
ฮูหยินสามบอกว่าจะเชิญใครบ้างอย่างมีความสุข
ไท่ฮูหยินจึงเปลี่ยนเรื่องไปพูดถึงเรื่องแต่งงานของสวีซื่ออวี้ด้วยท่าทีนิ่งเฉย “…ฤดูร้อนปีหน้าเริ่มซ่อมแซมเรือน ไม่รีบร้อนอะไร เจ้าว่างเมื่อไรค่อยไปดู เก็บข้าวของที่ควรเก็บไปให้หมดเถิด!”
บรรยากาศห้องเงียบสงัดทันที สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปยังฮูหยินสาม
รอยยิ้มของฮูหยินสามพลันแข็งทื่อ นางขยับเท้าด้วยความไม่สบายใจ ก่อนจะขานรับ “เจ้าค่ะ” อย่างแผ่วเบา
*****
กว่าจะกลับมาถึงจวนก็พลบค่ำแล้ว
สวีลิ่งอี๋เอ่ยถามนาง “เด็กหน้าตาเป็นเช่นไรบ้าง เหมือนฉินเกอหรือว่าเหมือนภรรยาของเขา”
“เด็กยังเล็กเกินไป ดูไม่ออกว่าเหมือนใคร!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วปล่อยให้สาวใช้รับใช้ตัวเองเปลี่ยนเสื้อผ้า “แต่หน้าตาดูคมคาย…ท่านแม่เลยคิดว่าเหมือนฉินเกอเจ้าค่ะ!”
พวกเขาสองคนกำลังพูดคุยหัวเราะกัน ก็มีข่าวมาจากเมืองซังโจว บอกว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์คลอดบุตรชายแข็งแรงอ้วนท้วม น้ำหนักหกจิน
ข่าวดีช่วงนี้ทำเอาไท่ฮูหยินยิ้มไม่หุบ
ทุกคนมารวมตัวกันที่เรือนของไท่ฮูหยิน ตัดสินใจให้สวีซื่ออวี้พาสวีซื่อจุนนำของขวัญครบเดือนไปให้ที่เมืองซังโจว
ยามซื่อของวันต่อมา เหวินอี๋เหนียงก็เข้ามา
เมื่อเห็นว่าสวีลิ่งอี๋ยังอยู่ในห้องนางก็ตกใจ
“ข้าได้ยินว่าอีกสองวันคุณชายน้อยสองก็จะออกเดินทางไปเมืองซังโจวแล้ว จึงทำเสื้อผ้าเด็กสองสามชุด อยากคุณชายน้อยสองช่วยนำไปให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เจ้าค่ะ”
“เจ้าให้สาวใช้นำไปให้ป้าซ่งเถิด” สืออีเหนียงพูด “ถึงตอนนั้นป้าซ่งก็จะไปเมืองซังโจวกับคุณชายน้อยสองด้วย”
เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วขานรับ จากนั้นก็เดินออกไป
สืออีเหนียงแอบแปลกใจ
คืนนั้นนางบอกเหวินอี๋เหนียงชัดเจนแล้ว แล้วยังบอกนางว่ามีของอะไรก็ให้นำไปให้ป้าซ่ง เหตุใดเหวินอี๋เหนียงถึงมาถามเรื่องนี้อีกครั้งเล่า
หรือว่าเหวินอี๋เหนียงมีเรื่องอันใดที่ไม่กล้าพูดต่อหน้าสวีลิ่งอี๋?
เมื่อเหวินอี๋เหนียงและเฉียวเหลียนฝังมาคารวะนาง นางจึงบอกให้เหวินอี๋เหนียงอยู่ก่อน
“ฮูหยินเจ้าคะ” เหวินอี๋เหนียงหน้าแดง ท่าทางดูไม่เป็นธรรมชาติ “อีกสองวันก็ถึงวันที่ข้าต้องรับใช้ท่านโหวเข้านอนแล้ว จึงอยากเชิญท่านโหวไปนั่งที่เรือนของข้าเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงตะลึงงัน
นางคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะเจอเรื่องเช่นนี้…พลันรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก…พยักหน้าแล้วบอกว่า “ข้าจะบอกท่านโหวให้” จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
เหวินอี๋เหนียงมองดูสีหน้าที่ไม่สบายใจของสืออีเหนียง จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะย่อเข่าคำนับแล้วเดินออกไป
หลังจากไปคารวะไท่ฮูหยินกลับมา นางก็บอกสวีลิ่งอี๋ตามตรง
สวีลิ่งอี๋แปลกใจ เขาครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าไปดูดีกว่า!” แล้วไปที่เรือนของเหวินอี๋เหนียงทันที
ผ่านไปไม่นาน สาวใช้ของเหวินอี๋เหนียงก็มารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านโหวบอกว่า ให้ท่านรีบพักผ่อน ไม่ต้องรอท่านโหวเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงตอบรับ รู้สึกสับสนไปหมด จากนั้นก็ไปที่เรือนหน่วนเก๋อของจิ่นเกอ
จิ่นเกอกำลังนอนฟังอาจินเล่านิทาน
เมื่อเห็นมารดาเดินเข้ามา เขาก็เด้งตัวลุกขึ้นยืนทันที “ท่านแม่ เล่านิทานขอรับ!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วอุ้มเขา เปิดสมุดภาพวาดที่สวีลิ่งอี๋วาดให้จิ่นเกอ นางอ่านทีละคำ จิตใจจึงค่อยๆ สงบลง
