ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 59 สู่ขอ (กลาง)

ตอนที่ 59 สู่ขอ (กลาง)

ข่าวลือการมาสู่ขอของหวังฮูหยินแห่งจวนเม่ากั๋วกงและคุณชายเฉียนราวกับติดปีกก็ไม่ปาน เพียงไม่นานข่าวคราวก็กระจายไปทั่วทั้งจวน 

 

 

สืออีเหนียงเห็นจื่อเวยและจื่อย่วนเดินเข้าเดินออกไม่หยุด เดี๋ยวก็มาคุยกับซานหู เดี๋ยวก็ไปส่งอาหารให้ป้าหัง ดูกระฉับกระเฉงเป็นอย่างมาก แต่สือเหนียงกลับปิดประตูอยู่แต่ในเรือนด้านข้าง แม้แต่สาวใช้จินเหลียนและอิ๋นผิงก็ไม่เห็นเลยแม้แต่เงา 

 

 

นางส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับถามหู่พั่วว่า “นายท่านใหญ่พูดเช่นนี้จริงหรือ” 

 

 

หู่พั่วพยักหน้าเบาๆ “เจ้าค่ะ บอกว่าคุณชายเฉียนฉลาดหลักแหลม ไหวพริบดี แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นแค่คนที่ดีแต่พูดหรือเปล่า หนทางชีวิตการเป็นขุนนางคงจะไม่ราบรื่นเท่าไรนักเจ้าค่ะ!” 

 

 

“แล้วนายหญิงใหญ่ว่าอย่างไรบ้าง” คนที่ไม่ค่อยพูดมากอย่างตงชิงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา 

 

 

หู่พั่วแสดงสีหน้าท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก 

 

 

ไม่ต้องถามอะไรมาก นายท่านใหญ่คงโดนตำหนิไปแล้ว 

 

 

“รู้หรือไม่ว่าสู่ขอใคร” สืออีเหนียงถามขึ้นอย่างสงสัย 

 

 

หู่พั่วส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นายหญิงใหญ่บอกแล้วว่าจะต้องดวงสมพงศ์กัน หากสามารถเข้ากันได้ก็ค่อยมาคุยกันอีกทีเจ้าค่ะ” 

 

 

สืออีเหนียงทอดสายตามองไปยังเรือนด้านข้างทางทิศตะวันตกอย่างครุ่นคิด 

 

 

นายหญิงใหญ่ยอมปล่อยสือเหนียงไปง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือ… 

 

 

เมื่อทานมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้ว ซานหูก็ได้มาขอให้สืออีเหนียงช่วยนางถักเชือกจีนแบบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนคู่ 

 

 

“แค่นี้ก็ต้องมารบกวนคุณหนูของข้าด้วย” เมื่อสนิทกับซานหูแล้ว ปินจวี๋จึงพูดจาฉะฉานและค่อนข้างเป็นกันเอง “ข้าช่วยเจ้าถักดีกว่า” พูดจบก็จะเอื้อมมือไปดึงเชือกจากมือของซานหู 

 

 

ซานหูจึงรีบหลบ และได้หัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ใครจะถักเชือกสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนคู่ไม่เป็นบ้างล่ะ แต่จะให้ถักให้สวยให้ดี ก็ต้องเป็นฝีมือของคุณหนูสิบเอ็ดผู้เดียวเท่านั้น” 

 

 

“เจ้าทำให้ใครกัน ถึงขั้นต้องให้คุณหนูของข้าเป็นคนถัก” ปินจวี๋เองก็เพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น นางถามขึ้นพลางยกเก้าอี้มาให้ซานหูนั่ง 

 

 

ซานหูนั่งลงข้างเตียงเตาของสืออีเหนียง ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าจะเอาไปเป็นงานเย็บปักถักร้อย มอบให้นายหญิงใหญ่” 

 

 

“แสดงว่าเจ้าจะใช้ฝีมือของคุณหนูเราเพื่อไปเอาหน้าน่ะหรือ!” 

 

 

ทุกคนต่างพากันหัวเราะขึ้นมาอย่างตลกขบขัน สืออีเหนียงหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงเตาช่วยซานหูถักเชือกจีน 

 

 

ซานหูนั่งคุยเป็นเพื่อนสืออีเหนียงอยู่ข้างๆ  

 

 

“ได้ยินมาว่าไม่เห็นอี๋เหนียงใหญ่และอี๋เหนียงสองแล้ว!” จู่ๆ นางก็พูดขึ้นเสียงเบา 

 

 

หู่พั่วและคนอื่นๆ จึงเข้าใจในจุดประสงค์ที่ซานหูมาหาทันที ตงชิงรีบพูดขึ้นว่า “ข้าจะนำดอกไห่ถังออกไปตากแดดเสียหน่อย มันอยู่ในห้องทั้งวันคืน เกรงว่าเดี๋ยวจะเหี่ยวเฉาเอาได้” ปินจวี๋เองก็ออกไปช่วยอีกคน 

 

 

“ได้ข่าวนี้มาจากไหนกัน” สืออีเหนียงถามซานหูน้ำเสียงทุ้มต่ำ แต่ในมือยังคงถักต่อไม่หยุด 

 

 

“อู๋เซี่ยวเฉวียนมาแล้ว” ซานหูพูดขึ้น “ตอนนี้กำลังคุยกับคุณชายใหญ่ที่ห้องรับแขก บ่าวคิดว่าอีกประเดี๋ยวก็คงจะมากล่าวทักทายนายหญิงใหญ่ที่เรือนหลักเจ้าค่ะ” 

 

 

สืออีเหนียงหยุดชะงักไป “อู๋เซี่ยวเฉวียนมาแล้ว?” 

 

 

“เจ้าค่ะ!” ซานหูตอบกลับเสียงเบา “ซิ่งหลินคนใช้คนสนิทของคุณนายใหญ่เป็นคนบอกเจ้าค่ะ บอกว่าอี๋เหนียงใหญ่และอี๋เหนียงสองจะไปร่วมกิจกรรมงานวัด คุณชายสี่เองก็ได้รับปากแล้ว อู๋เซี่ยวเฉวียนบอกว่าเขาจะห้ามไว้ก็ไม่ดี สุดท้ายจึงต้องเตรียมรถม้ามาให้ ใครจะไปรู้ เมื่อเข้าสู่ยามบ่าย จู่ๆ อี๋เหนียงสี่ก็มาผูกคอตาย คุณชายสี่จึงได้เรียกให้คุณหนูสิบไปดูหน้าอี๋เหนียงสี่เป็นครั้งสุดท้าย จึงพึ่งรู้ว่าคุณหนูสิบไม่ได้อยู่ที่เรือน เวลานี้ทุกคนต่างชุลมุนวุ่นวายไปหมด และได้ออกตามหาคุณหนูสิบไปทั่ว คุณชายสี่เกือบจะไปแจ้งความที่สำนักปฏิบัติงานราชการเสียด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะอู๋เซี่ยวเฉวียนห้ามไว้เสียก่อน เรื่องนี้คงโกลาหลวุ่นวายใหญ่โตกว่านี้แน่ๆ เข้าสู่เวลาพลบค่ำ อี๋เหนียงทั้งสองก็ยังไม่กลับมาสักที คุณชายสี่จึงได้ส่งคนออกไปตามหา…อู๋เซี่ยวเฉวียนจึงได้เร่งกลับมาทันทีเจ้าค่ะ” 

 

 

“อี๋เหนียงสี่ผูกคอตายแล้ว!” อย่าว่าแต่สืออีเหนียง แม้แต่หู่พั่วเองที่ได้ยินแล้วก็รู้สึกอึ้งเช่นเดียวกัน 

 

 

ซานหูถอนลมหายใจออกมาเบาๆ  

 

 

เวลานั้นเอง ทุกคนต่างก็รู้สึกสะเทือนใจไปตามๆ กัน 

 

 

ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบงัน สืออีเหนียงก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “พี่หญิงสิบ…ไม่รู้ว่านางจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า” 

 

 

คำตอบนี้ เกรงว่าคงต้องถามสือเหนียงเท่านั้น 

 

 

แต่เวลานี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครจะสามารถถามได้เล่า! 

 

 

เพียงชั่วอึดใจ สืออีเหนียงก็ได้พูดขึ้นว่า “รู้หรือไม่ว่าคุณชายใหญ่ว่าอย่างไร” 

 

 

ซานหูส่ายหน้าเบาๆ “เห็นว่าได้สั่งคนให้ไปตามนายท่านใหญ่แล้วเจ้าค่ะ!” 

 

 

นางพึ่งจะพูดจบ ตงชิงก็รีบเปิดม่านเข้ามาอย่างรีบร้อน “คุณหนู นายหญิงใหญ่ให้คนมาเชิญคุณหนูสิบเจ้าค่ะ” 

 

 

สืออีเหนียงหันไปสบตากับซานหู ทั้งคู่ต่างเห็นถึงความกังวลใจในแววตาของกันและกัน 

 

 

“เจ้าไปเฝ้าอยู่ด้านนอก หลังจากที่คุณหนูสิบกลับมาแล้ว รอดูว่านางเป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

สืออีเหนียงกำชับตงชิง 

 

 

ตงชิงพยักหน้าและรีบไปในทันที แต่เพียงไม่นานก็ได้ย้อนกลับมา “ป้าสวี่พาคนไปที่เรือนของคุณหนูสิบเจ้าค่ะ”  

 

 

“พวกเจ้ารีบมาเร็ว” สืออีเหนียงสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที 

 

 

ตงชิงจึงได้รีบเรียกปินจวี๋และชิวจวี๋เข้ามาด้านใน 

 

 

ซานหูรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก “ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ คุณหนูสิบพึ่งออกไปแท้ๆ แต่ทำไมป้าสวี่ถึงได้พาคนไปที่เรือนของคุณหนูสิบล่ะ” 

 

 

สืออีเหนียงนึกถึงหู่พั่วที่มักจะคอยช่วยเหลือนางมาโดยตลอด ถือเป็นคนที่มีความชอบธรรมและน้ำใจไม่น้อย จึงได้พูดสิ่งที่ตัวเองคาดเดากับนางตรงๆ โดยที่ไม่อ้อมค้อม “…คุณหนูสิบมาที่เมืองเยี่ยนจิง แต่คนที่เชิญมาจากสำนักคุ้มกันเพื่อติดตามมาคุ้มครองนั้น เป็นหน่วยคุ้มกันที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ธุรกิจนี้ถือว่าแพงที่สุด ข้าคิดว่า คุณหนูสิบคงจะต้องจ่ายไปไม่น้อย”  

 

 

ซานหูเป็นคนฉลาด นางเข้าใจได้ในทันที “ความหมายของท่านก็คือ…เงินที่เรือนหายไป ป้าสวี่จึงได้พาคนไปค้นที่ห้องของคุณหนูสิบ? แต่ตอนที่คุณหนูสิบมา คุณหนูสิบไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาด้วยเลยนี่เจ้าคะ” 

 

 

สืออีเหนียงไม่ได้ตอบอะไรออกมา 

 

 

นางครุ่นคิดอยู่ในใจ นำเงินและทองไปแลกเป็นตั๋วเงิน ม้วนซ่อนเก็บไว้ข้างในเสื้อหรือช่องว่างในด้ามของปิ่นปักผม และในกำไลข้อมือ ปลอดภัยเป็นที่สุด 

 

 

เมื่อความคิดเช่นนี้แล่นผ่านในหัวของนาง จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ หลายวันมานี้สือเหนียงมักจะสวมกำไลทองคำทับทิมวงหนึ่งอยู่เสมอ… 

 

 

หวังว่านายหญิงใหญ่จะไม่มาคิดถึงเรื่องนี้ก็แล้วกัน! 

 

 

และก็ได้เป็นกังวลใจถึงเรื่องของอี๋เหนียงทั้งสองขึ้นมา 

 

 

การคุ้มกันของต้าโจวเข้มงวดและแน่นหนาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะบุกป่าฝ่าดงหรือข้ามแม่น้ำทะเลก็ต้องมีหนังสือรับรองทั้งนั้น ในหมู่บ้านมีศาลบรรพชน เมื่อมีคนแปลกหน้าเข้ามา ก็จะถูกพบเห็นอย่างรวดเร็ว และหากว่าโชคไม่ดีขึ้นมา บางทีก็อาจไปเจอเข้ากับกลุ่มอันธพาลในพื้นที่ แล้วถูกแอบจับไปขายให้กับพ่อค้าคนกลางเข้า ยังดีที่อี๋เหนียงทั้งสองอายุมากแล้ว คงจะไม่โดนจับไปขายที่หอนางโลม ในเมืองมีหัวหน้าผู้ตรวจการ ที่รับผิดชอบในการสนับสนุนช่วยเหลือหน่วยงานข้าราชการในการปฏิบัติหน้าที่จัดการความสงบและความเรียบร้อยของราษฎร จู่ๆ ก็มีหญิงวัยกลางคนปรากฏตัวขึ้นมาสองคน จะมีจุดจบอย่างไร ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ในทันที…  

 

 

นอกเสียจากว่า…อี๋เหนียงทั้งคู่จะทำเหมือนสือเหนียง ที่ให้หน่วยคุ้มกันมาดูแลคุ้มครองความปลอดภัย 

 

 

จู่ๆ ก็ตกใจในความคิดของตัวเองขึ้นมา 

 

 

เมื่อได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง จึงมีความรู้สึกว่าบางทีก็อาจจะเป็นไปได้ 

 

 

แต่สือเหนียงมาที่เมืองเยี่ยนจิงแล้ว อี๋เหนียงทั้งสองจะไปพึ่งพาใครล่ะ  

 

 

ในขณะที่กำลังกลั้นหายใจอยู่นั้น ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากที่พักของสือเหนียง 

 

 

ทุกคนต่างพากันไปแอบดูอยู่หลังลูกกรงของบานหน้าต่าง 

 

 

ป้าสวี่สีหน้าซีดเผือด เดินออกมาจากที่พักของสือเหนียงพร้อมกับป้าหังและคนอื่นๆ จากนั้นก็รีบพากันไปยังเรือนหลักทันที 

 

 

ทุกคนจึงพากันถอนหายใจออกมาตามๆ กัน 

 

 

เวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูป สือเหนียงกลับมาแล้ว 

 

 

เพียงแค่กวาดตามอง สืออีเหนียงก็เห็นเข้ากับกำไลบนข้อมือของนาง 

 

 

***** 

 

 

ในขณะที่สืออีเหนียงกำลังเป็นห่วงสือเหนียงอยู่นั้น อู่เหนียงเองก็ได้นั่งอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างในห้องของนางเอง เพียงแต่ว่าม่านหน้าต่างของห้องนางนั้นถูกปิดแน่นอยู่ 

 

 

“…เจ้าถามชัดเจนดีแล้วหรือ” จื่อย่วนมองไปยังสีหน้าของอู่เหนียง และได้สอบถามจื่อเวยแทนนาง “อย่าถึงเวลาเก็บมาแต่สิ่งเล็กน้อย แล้วปล่อยให้สิ่งใหญ่โตหายไปนะ!”  

 

 

จื่อเวยรีบรับประกันขึ้นมาทันทีว่า “วางใจเถิด ไม่ผิดแน่เจ้าค่ะ ป้าหังพูดกับบ่าวเองกับปาก” 

 

 

อู่เหนียงอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าที่ครุ่นคิดขึ้นมา 

 

 

จื่อเวยและจื่อย่วนหันหน้ามาสบตากัน 

 

 

ผ่านไปพักใหญ่ อู่เหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “จวนเม่ากั๋วกง เป็นเหมือนเช่นที่ป้าหังได้พูดไว้ ตกอับจนถึงขั้นต้องไปพึ่งพาจวนสกุลเจียงเชียวหรือ”  

 

 

เรื่องนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับอนาคตของตัวนางเองด้วย 

 

 

“ป้าหังพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ” จื่อเวยรีบตอบกลับ “ยังบอกอีกว่าเป็นเพราะเหตุนี้เรื่องแต่งงานของคุณชายสกุลหวังถึงได้ล่าช้า พวกเขาต้องการจะหาคนที่เหมาะสม แต่พอเจอคนที่เหมาะสมแล้วฝ่ายตรงข้ามก็รังเกียจว่าจวนสกุลหวังมีเพียงฉากบังหน้า แต่ด้านในกลับว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ต้นปีปีนี้จวนสกุลหวังพึ่งจะลดทิฐิลง ขอเพียงเป็นตระกูลที่ขาวสะอาดก็พอ ถึงแม้จะพูดออกมาแบบนี้ แต่ทว่าพวกเขากลับดูตัวไปแล้วหลายบ้าน และแอบถอนหายใจรังเกียจเมื่อเห็นว่าญาติทางฝ่ายหญิงมีศักดิ์และรากฐานที่ต่ำกว่า สินเดิมฝ่ายหญิงจะน้อยเจ้าค่ะ”  

 

 

แววตาของอู่เหนียงเป็นประกายแวววาวขึ้นมาทันที 

 

 

จื่อย่วนพูดต่อจากจื่อเวยว่า “หากเป็นเช่นนี้ ถ้างานแต่งนี้สำเร็จลุล่วงได้ สินเดิมฝ่ายหญิงก็คงจะไม่น้อยเลยกระมัง”  

 

 

จื่อเวยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ก็คงจะเป็นเช่นนั้น! มิฉะนั้นหลายวันมานี้นายหญิงใหญ่จะดึงป้าสวี่มาช่วยคำนวณบัญชีทุกวันทำไมเล่า!” 

 

 

สินเดิม คือสมบัติของฝ่ายหญิง ฝ่ายชายจะไม่สามารถนำมาใช้ได้ หากฝ่ายชายต้องการจะใช้ จะต้องให้ฝ่ายหญิงอนุญาตก่อนเสมอ  

 

 

อู่เหนียงนึกถึงนายหญิงใหญ่ขึ้นมา 

 

 

นายท่านถ่อมตนและยอมนายหญิงใหญ่มาโดยตลอด ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะคำว่า ‘เงิน’ คำเดียวเท่านั้น 

 

 

นางอดไม่ได้ที่บ่นพึมพำขึ้นว่า “หากตระกูลของพวกเขาขาดแคลนเงินถึงเพียงนี้…เช่นนั้นก็จัดการง่ายแล้ว!” 

 

 

จื่อเวยและจื่อย่วนพยักหน้าเบาๆ พร้อมกัน 

 

 

“คุณชายเฉียนท่านนั้น…” อู่เหนียงพูดขึ้นพึมพำไม่ชัดเจน 

 

 

“ป้าหังบอกว่าคุณชายเฉียนเป็นคนฉลาด เขาได้เป็นบัณฑิตซิ่วไฉด้วยอายุเพียงสิบห้าปี แต่น่าเสียดายที่ทางบ้านยากจน ไม่มีปัญญาแม้แต่จะไปสอบระดับมณฑล เมื่ออายุได้ยี่สิบสองปีก็ได้เป็นบัณฑิตจวี่เหริน และได้รับทุนศึกษาไปศึกษาต่อที่สำนักศึกษาหลวง สามปีก่อน เขาได้สอบตกในการสอบเข้าพระราชวัง และกำลังเตรียมตัวจะสอบใหม่อีกครั้งในปีนี้เจ้าค่ะ” 

 

 

อู่เหนียงไม่ได้พูดอะไรออกมา 

 

 

จื่อเวยจึงพูดขึ้นด้วยความลังเลว่า “คุณหนู…แต่ทางจวนหย่งผิงโหว หรือว่าเราจะไม่…” 

 

 

อู่เหนียงหันมาจ้องนางด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก 

 

 

“พี่หญิงพูดจาเลอะเลือน” จื่อย่วนรีบพูดขึ้นว่า “สามปีที่แล้วก็ไปว่าคุณหนูใหญ่ชีพจรอ่อนแอร่างกายเปราะบาง แล้วเจ้าดูตอนนี้สิ นางก็ยังมีชีวิตอยู่ดีไม่ใช่หรือ คุณหนูสิบและคุณหนูสิบเอ็ดรอได้ แต่คุณหนูของเรารอไม่ได้แล้ว อีกอย่าง ใครจะไม่เอาภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายขึ้นมาเป็นภรรยาคนต่อไปล่ะ เจ้าดูความสง่าราศีของจวนสกุลสวีสิ ถึงแม้ว่าจะเอาสมบัติทั้งจวนของสกุลหลัวไปเป็นสินเดิมให้กับคุณหนู เขาก็ไม่ได้สนใจสักนิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้แต่งเข้าจวนเม่ากั๋วกงเสียยังดีกว่า มีหน้ามีตาเฉกเช่นเดียวกัน!” 

 

 

จื่อเวยเห็นอู่เหนียงก้มหน้าจิบชา จึงรู้ว่าคำพูดของจื่อย่วนตรงกับความตั้งใจของอู่เหนียง นางจึงรีบพยักหน้า “น้องหญิงพูดมีเหตุผล เป็นข้าเองที่เลอะเลือนไป” 

 

 

“ดูพี่พูดเข้าสิ” แน่นอนว่าจื่อย่วนคงจะไม่ทำให้พี่สาวของตนตกที่นั่งลำบากหรอก เพราะบางครั้งนางเองก็ต้องการให้จื่อเวยช่วยเหลือบ้าง “หากไม่ใช่เพราะรอไม่ได้แล้วล่ะก็ แน่นอนว่าการแต่งเข้าจวนหย่งผิงโหวถือว่าดีที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น อย่างน้อยๆ ก็จะได้ดื่มน้ำชาที่คุณหนูเฉียวชงขึ้นด้วย!” พูดจบก็เอามือปิดปากหัวเราะเบาๆ “ไอ๊หยา ตอนนี้เรียกคุณหนูเฉียวไม่ได้แล้ว จะต้องเรียกเฉียวอี๋เหนียงถึงจะถูก!” 

 

 

อู่เหนียงได้ยินแล้วก็ฉีกยิ้มขึ้นที่มุมปาก แต่เพียงไม่นาน รอยยิ้มนั้นก็ได้จางหายไป 

 

 

“กลอุบายของพี่หญิงใหญ่ร้ายกาจไม่เบา” สายตาของนางดูเคร่งขรึมไปเล็กน้อย “เรื่องนี้สามารถทำให้มีความสุขนานนับหกสิบปีเลยทีเดียว ชาตินี้ทั้งชาติเฉียวอี๋เหนียงก็อย่าได้คิดจะมีหน้ามีตาอย่างคนอื่นเขาอีกเลย” 

 

 

“ไม่แน่บางทีเรื่องนี้คนอื่นอาจจะบอกว่าเป็นความผิดของท่านโหวก็เป็นได้” จื่อย่วนมองอู่เหนียงที่สีหน้าดูชอบใจเป็นอย่างมาก ประจบประแจงนาง และยิ้มขึ้นพร้อมกับเสแสร้งทำเป็นไม่รู้ถึงความลับลมคมในของนาง  

 

 

“พวกเจ้าจะไปรู้อะไร!” ในที่สุดอู่เหนียงก็ได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ติติงว่า “พวกเจ้าไม่ได้ยินคำพูดที่คุณหนูถังพูดขึ้นในงานเลี้ยงตอนนั้นหรือ ถ้าหากไม่มีกลุ่มของคุณหนูจวนกั๋วกง คุณหนูจวนโหว ที่ช่วยกันเก็บเงียบเรื่องนี้ไว้ เกรงว่าผู้คนคงจะรอหัวเราะเยาะอยู่กระมัง ถึงเวลานั้น เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป บ้านสกุลเฉียวคงจะอับอายจนไม่เหลือหน้าเลยเชียว” 

 

 

“วันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่หรือเจ้าคะ” จื่อย่วนถามขึ้นอย่างฉงนใจ 

 

 

อู่เหนียงยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา “ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่การที่สามารถทำให้คุณหนูที่เป็นดั่งลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนมาเป็นอนุได้ คงจะออกหน้าออกตาไม่ได้อีกแล้วอย่างแน่นอน!” 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท