สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็ตกใจ “เกิดอะไรขึ้น”
ในบรรดาเด็กๆ ที่มาเป็นแขก อายุมากที่สุดก็สิบสี่ปี อายุน้อยที่สุดก็ไม่เกินสิบปี ทั้งหมดล้วนเกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง และเป็นลูกหลานที่ถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ไม่เพียงแต่ได้รับการศึกษาที่ดีเท่านั้น ซ้ำบิดายังรับราชการอยู่ที่เยี่ยนจิงอีกด้วย มักจะได้ยินได้เห็นเรื่องราวต่างๆ มากมาย มีความรู้มากกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป แม้แต่เวลาที่สวีลิ่งอี๋พูดถึงก็มักจะเป็นคำชื่นชมเช่นกัน ‘คนหลายคนเดินมาด้วยกัน ต้องมีสักคนนึงที่จะเป็นครูของเราได้[1]’ นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่สืออีเหนียงสนับสนุนให้สวีซื่อจุนไปมาหาสู่กับพวกเขาให้มากๆ หวังว่าสวีซื่อจุนจะได้เรียนรู้จุดแข็งในการจัดการสิ่งต่างๆ จากพวกเขา ด้วยการที่พวกเขาถูกปลูกฝังมาอย่างดี เมื่อมาเป็นแขกที่เรือนแล้วมีอะไรที่ทำให้ไม่พอใจ ตามเหตุผลแล้วก็คงจะไม่สร้างปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นสวีซื่อจุนก็ปกป้องสวีซื่อเจี้ยมาตลอด หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริง สวีซื่อจุนไม่มีทางนั่งดูอยู่เฉยๆ แน่นอน!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็มีสีหน้ากังวล
“ตอนแรกยังดีๆ อยู่เจ้าค่ะ” จู๋เซียงพูดต่อว่า “ทุกคนคุยไปหัวเราะไป คุณชายสกุลจัวก็ยังยืมฉินของคุณชายน้อยสี่มาบรรเลงเพลงด้วย ขณะที่คุณชายน้อยห้ากำลังฟังก็ได้หยิบขลุ่ยผิวออกมาบรรเลงเพลงครึ่งหลังประสานกับคุณชายสกุลจัว...”
ไม่รอให้นางพูดจบ สืออีเหนียงสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย พูดขึ้นมาว่า “คุณชายสกุลจัวเป็นคนเชิญคุณชายน้อยห้ามาร่วมบรรเลงด้วย หรือว่าคุณชายน้อยห้าร่วมบรรเลงกับคุณชายสกุลจัวเอง”
“เป็นคุณชายน้อยห้าที่หยิบขลุ่ยผิวออกมาร่วมบรรเลงกับคุณชายสกุลจัวเองเจ้าค่ะ” ขณะที่จู๋เซียงพูด สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดอย่างครุ่นคิดว่า “แต่ต่อมาคุณชายน้อยสกุลหวังก็วาดภาพขึ้นมาหนึ่งภาพ พอคุณชายสกุลโต้วเห็นดังนั้นก็บอกว่ามีรูปแต่ไร้กลอน ก็เหมือนกับมีชาดีแต่ไร้น้ำแร่ ทำให้คนอดเสียดายไม่ได้ จึงได้อาสาแต่งบทกลอน ใครจะไปรู้ว่าพอเขียนเสร็จกลับทำหมึกหยดลงบนกระดาษ”
สีหน้าของสืออีเหนียงค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิม
“คุณชายสกุลโต้วอุทานด้วยความตกใจ ยกมือคำนับขอโทษด้วยใบหน้าเขินอาย แม้ว่าบรรดาคุณชายน้อยจะรู้สึกเสียใจ แต่ทุกคนก็หัวเราะและพูดหยอกล้อคุณชายสกุลโต้วว่า ‘ประมาทจนทำให้เสียเมืองจิงโจว’ คุณชายสกุลจัวจึงออกความคิดเห็น บอกว่าหมึกที่หยดลงมาใต้ใบบัวไม่สู้วาดหมึกลงไปกลายเป็นปลาทอง สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นจุดสำคัญได้ คุณชายสกุลหวังได้ฟังดังนั้นก็ลองพิจารณาดู คุณชายสกุลโต้วกลับบอกว่าในเมื่อเขาเป็นคนก่อเรื่อง เช่นนั้นก็ควรให้เขาเป็นคนจัดการเอง จากนั้นก็นำป้ายหยกออกมา ขอให้คุณชายน้อยห้าช่วยหาคนนำไปส่งที่ร้านตัวเป่าเก๋อ ให้อาจารย์ในร้านตัวเป่าเก๋อนำไปติดลงบนผ้าไหมแล้วส่งมา คุณชายน้อยสกุลหวังได้ยินดังนั้นก็รู้สึกลำบากใจ บอกว่าเพียงแค่วาดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น จะกล้ารบกวนให้อาจารย์ร้านตัวเป่าเก๋อช่วยใส่กรอบให้ได้อย่างไร คุณชายสกุลโต้วบอกว่า ‘อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องให้โอกาสข้าได้ชดเชยความผิดสักหน่อย’ คุณชายน้อยสี่เห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางเรียกหวังซู่ ให้หวังซู่เป็นคนเอาไป คุณชายสกุลโต้วได้ยินดังนั้นก็สีหน้าไม่ค่อยดี ถามว่าหวังซู่รู้ทางไปร้านตัวเป่าเก๋อหรือไม่ คุณชายน้อยห้าจึงอาสารับภาพวาดมา บอกว่าให้ตัวเองไปเองดีกว่า กลัวว่าหวังซู่จะทำให้เสียเวลาเจ้าค่ะ”
“ดังนั้นทุกคนก็เลยให้คุณชายน้อยห้าเป็นคนนำภาพวาดไปส่ง?” สืออีเหนียงพูดพึมพำ
“คุณชายน้อยสี่จะห้าม แต่คุณชายน้อยห้ากลับบอกว่าอย่างไรเสียเขาก็ว่างไม่มีอะไรทำ ร้านตัวเป่าเก๋อภาคภูมิใจในเกียรติของตัวเองมาเสมอ หากให้หวังซู่ไปจะไม่เหมาะสม ไม่สู้ให้เขาส่งผู้ดูแลไปจะดีกว่า” จู๋เซียงพูดต่อไปว่า “ไม่ว่าคุณชายน้อยสี่จะพูดอย่างไร คุณชายน้อยห้าก็หันหลังแล้วเดินออกไปเลย นำภาพวาดไปให้พ่อบ้านไป๋แล้วก็ไม่ได้กลับไปที่ศาลาริมน้ำฉุยหลุนอีก แต่กลับเรือนไปคนเดียว บ่าวถามสี่เอ๋อร์ สี่เอ๋อร์บอกว่าพอคุณชายน้อยห้ากลับไปถึงเรือนก็ปิดประตู บอกว่าอากาศร้อน เหนื่อยนิดหน่อย ต้องการพักผ่อน หากมีคนมาก็ให้ห้ามไว้ แล้วยังกำชับว่าหากภาพวาดนั้นใส่กรอบเสร็จแล้วก็ให้รีบมาบอกเขา เขาจะได้นำไปส่งที่ศาลาริมน้ำฉุยหลุนทันเวลา ถ้าหากช้า ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าคนสกุลสวีจัดการเรื่องต่างๆ ไม่เป็นจะแย่เอาได้!”
สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เรื่องนี้เจ้าก็อย่าเอาไปพูดที่ไหน พวกเรารอดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
จู๋เซียงตอบรับอย่างนอบน้อม หลังจากอาหารเย็นผ่านไปแล้วก็มารายงานนาง “ไปเอาภาพวาดกลับมาแล้วเจ้าค่ะ คุณชายน้อยห้ารีบส่งไปที่ศาลาริมน้ำฉุยหลุนทันที คุณชายน้อยสกุลโต้วกล่าวขอบคุณคุณชายน้อยห้า แล้วยังบอกว่าคิดไม่ถึงว่าคุณชายน้อยห้าจะจัดการได้อย่างเหมาะสมเช่นนี้ ต่อไปหากมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ก็ต้องขอให้คุณชายน้อยห้าช่วยให้คำแนะนำ หวังว่าคุณชายน้อยห้าจะไม่ปฏิเสธ”
สืออีเหนียงขมวดคิ้ว “แล้วคุณชายน้อยห้าว่าอย่างไร”
“คุณชายน้อยห้าเพียงแต่ยิ้มเจ้าค่ะ” สีหน้าของจู๋เซียงหม่นหมองเล็กน้อย “ช่วยจัดการอาหารเย็น ชาและผลไม้ แล้วก็ส่งแขกเจ้าค่ะ…”
ขณะที่กำลังพูดก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “คุณชายน้อยสี่กับคุณชายน้อยห้ามาแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงส่งสายตาให้จู๋เซียง เพื่อส่งสัญญาณให้นางไม่ต้องพูดอะไรอีก จากนั้นก็ลุกขึ้นใส่รองเท้า
สวีลิ่งอี๋กำลังนั่งกอดจิ่นเกออยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างในห้องปีกตะวันตก สอนจิ่นเกอวาดลูกเจี๊ยบ พอเห็นสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยเข้ามา จิ่นเกอถือพู่กันพลางดิ้นออกจากอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋ ตะโกนเรียกเสียงดัง “พี่สี่ พี่ห้า” ท่าทางเหมือนอยากลงจากเตียงเตา สวีลิ่งอี๋กดไหล่ของจิ่นเกอไว้ “วาดภาพนี้ให้เสร็จก่อน” จากนั้นก็เงยหน้ามองบุตรชายสองคนที่ยืนกุมมืออยู่ด้านหน้าตัวเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แขกกลับหมดแล้วหรือ”
จิ่นเกอนั่งลงในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋อีกครั้งอย่างน้อยใจ ก้มหน้าแล้ววาดลูกเจี๊ยบต่อ
สวีซื่อจุนรีบพูดขึ้นมาว่า “กลับกันหมดแล้ว โต้วจิ้งยังเชิญพวกเราไปเป็นแขกที่เรือนเขาในอีกไม่กี่วันด้วยขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ตอบเพียง “อืม” แล้วพูดต่อไปว่า “อากาศร้อน คงไม่สามารถอ่านหนังสืออย่างสงบได้ เช่นนั้นก็อาศัยโอกาสนี้ไปมาหาสู่กับสหายให้มากๆ ก็ดี…”
“ท่านพ่อ ข้าวาดเสร็จแล้วขอรับ!” ทันทีที่พูดจบ จิ่นเกอก็ลุกขึ้น เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว สวีลิ่งอี๋ก็ไม่ได้ระวัง หากไม่ใช่เพราะสวีลิ่งอี๋ตอบสนองอย่างรวดเร็ว รีบเงยหน้าขึ้น ศีรษะของจิ่นเกอก็คงกระแทกเข้ากับคางของสวีลิ่งอี๋ไปแล้ว
เขายิ้มพลางตบก้นบุตรชาย แล้วมองไปที่โต๊ะบนเตียงเตา
เดิมทีเท้าของลูกเจี๊ยบที่ควรจะวาดสามขีดยาวและหนึ่งขีดสั้น แต่จิ่นเกอกลับแอบขี้เกียจ ใช้พู่กันจุ่มหมึกแล้วกดลงบนกระดาษ
สวีลิ่งอี๋อดหัวเราะไม่ได้ “นี่ใช่เท้าของลูกเจี๊ยบหรือ”
“ใช่สิขอรับ!” จิ่นเกอมองเขาด้วยสายตาจริงจัง แล้วใช้นิ้วอ้วนๆ ชี้ไปที่ก้อนหมึก “ลูกเจี๊ยบไปเหยียบโดนบ่อโคลนก็เลยเป็นเช่นนี้ ถ้าหากท่านพ่อไม่เชื่อก็ถามเสี่ยวเหมาได้เลย ตอนที่ฮวาจิ่นของพวกเราเหยียบบ่อโคลนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน!”
ฮวาจิ่นคือไก่ฟ้าทองที่จิ่นเกอเลี้ยงเอาไว้
เมื่อเห็นท่าทางจริงจังที่ไร้เดียงสาของบุตรชาย สวีลิ่งอี๋ก็อดหัวเราะไม่ได้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยเบิกตากว้างมองสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋จึงได้รู้ตัวว่าทำตัวไม่เหมาะสมแล้ว เขาค่อยๆ หุบยิ้ม
จิ่นเกอดึงแขนเสื้อเขา “ท่านพ่อ ท่านพ่อ ข้าวาดเสร็จแล้ว ข้าลงจากเตียงเตาได้หรือยังขอรับ” บิดตัวไปมา มองเขาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความหวัง
สวีลิ่งอี๋ใจอ่อน จะปฏิเสธเขาได้อย่างไร ลูบศีรษะเขา “เจ้าจะทำอะไร”
“ข้าจะไปดูแมลงของข้าว่าพวกมันโตขึ้นหรือยัง”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางอุ้มเขาลงจากเตียงเตา “ให้อาจินพาเจ้าไป ฟ้ามืดแล้ว อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว เหมือนครั้งที่แล้วที่เดินจนหกล้ม”
จิ่นเกอตอบอย่างขอไปที “ขอรับ” จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปจนไม่เห็นเงา
สวีซื่อจุนอดเงยหน้ามองไปที่หน้าต่างไม่ได้
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงหลากสี เปล่งประกายเหมือนผ้าไหมแก้วคลุมไปทั่วท้องฟ้า ทำให้แสงในห้องเป็นสีแดง
นี่นับว่ามืดแล้วหรือ
ความคิดแวบเข้ามาในหัว เขาเห็นสืออีเหนียงยิ้มพลางเดินออกมาจากห้องด้านใน
“จิ่นเกอวิ่งไปไหนอีกแล้ว” น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเอ็นดู
“ไปดูแมลงที่เขาเลี้ยงเอาไว้!” สวีลิ่งอี๋ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ท่านโหวนี่จริงๆ เลย” สืออีเหนียงขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงฟังดูเหมือนตำหนิเบาๆ “อีกประเดี๋ยวก็จะต้องไปคารวะไท่ฮูหยินแล้ว หากเล่นจนเลอะโคลนไปทั้งตัว ก็ต้องไปล้างอีกนานจนทำให้ไปสายอีก”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร นับว่ายอมรับคำตำหนิของสืออีเหนียง
ต่อหน้าเด็กๆ แน่นอนว่าสืออีเหนียงไม่พูดอะไรมาก นางกำชับจู๋เซียงให้ไปพาจิ่นเกอกลับมา ยิ้มพลางถามสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยว่า “เป็นอย่างไรบ้าง งานเลี้ยงวันนี้ครึกครื้นหรือไม่”
“ครึกครื้นมากขอรับ!” สวีซื่อจุนที่ปกติจะชอบพูดคุยกับนางมากที่สุด ในเวลานี้กลับตอบอย่างรวบรัด เห็นได้ชัดว่าดูน่าเบื่อหน่าย “ทุกคนเล่นกันอย่างสนุกสนานยิ่งนัก”
สืออีเหนียงมองสวีซื่อเจี้ย
สวีซื่อเจี้ยรีบพูดขึ้นมาว่า “ความรู้ของคุณชายสกุลโต้วนั้นดีมาก เขาใจดีกับทุกคน…” เสียงดังกว่าปกติ ดูเหมือนว่ากำลังปกปิดอะไรอยู่
ในใจสืออีเหนียงพลันคิดอะไรบางอย่างออก นึกขึ้นได้ว่าสวีลิ่งอี๋ยังนั่งอยู่ข้างๆ เลยไม่ได้ถามอะไรอีก ยิ้มพลางกำชับทั้งสองคน “พอจิ่นเกอล้างมือแล้ว พวกเราก็ไปคารวะไท่ฮูหยินกันเถิด” จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินออกไป ลากจิ่นเกอกลับมาด้วยตัวเอง จัดการทำความสะอาดให้เรียบร้อยแล้วไปหาไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินเองก็กำลังกังวลกับงานเลี้ยงครั้งนี้เป็นอย่างมาก ยิ้มพลางดึงสวีซื่อจุนมาซักถาม
สวีซื่อจุนเล่าให้ไท่ฮูหยินฟังอย่างละเอียด ส่วนสวีซื่อเจี้ยทำเพียงนั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้าง
เช้าวันรุ่งขึ้น สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยก็ไปคารวะสืออีเหนียง สืออีเหนียงให้สวีซื่อเจี้ยอยู่คุยต่อ “เหตุใดเมื่อวานจู่ๆ ถึงได้กลับเรือนตัวเองเล่า”
ความตรงไปตรงมาของนางทำเอาสวีซื่อเจี้ยหน้าแดง เขาตอบคำถามสืออีเหนียงอย่างซื่อตรงมาโดยตลอด ก้มหน้าลงแล้วพูดขึ้น “บรรดาคุณชายสกุลโต้วและคนอื่นๆ ทั้งฉลาด…และเก่งกาจอย่างมาก…คุยแต่เรื่องที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน พูดถึงแต่ผู้คนที่ข้าไม่รู้จัก…พอเกิดเรื่องผิดพลาด ก็นำป้ายหยกไปที่ร้านตัวเป่าเก๋อ คนที่ร้านตัวเป่าเก๋อก็รีบให้อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะมากที่สุดช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดให้ทันที แก้ไขนิดหน่อยก็มองไม่ออกแล้ว…” เสียงเริ่มเบาลงเรื่อยๆ อีกทั้งน้ำเสียงยังแฝงเอาไว้ด้วยความอึดอัดเล็กน้อย
สืออีเหนียงอดถอนหายใจไม่ได้
นางรู้ว่าบุตรภรรยาเอกกับบุตรอนุนั้นแตกต่างกัน แต่คิดไม่ถึงว่า ในโลกของเด็กก็มีความแตกต่างอย่างชัดเจนเช่นนี้
ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย บางเรื่องตนคงจะคิดตื้นเกินไป
สืออีเหนียงตกลงไปในห้วงแห่งความคิด
สวีซื่อเจี้ยเสียใจเล็กน้อย
พี่สี่บอกว่าสหายของเขานั้นเข้ากับคนได้ง่าย แต่ในสายตาเขากลับไม่ใช่เช่นนั้น
พอทุกคนเห็นเขาก็พยักหน้าให้เขาอย่างสุภาพ ไม่เหมือนที่ปฏิบัติต่อพี่สี่ เมื่อเห็นหน้าก็ตบไหล่กันเบาๆ ใช้คำพูดติดตลกหยอกล้อพี่สี่ ดูเหมือนหยาบคายแต่กลับมีความสนิทสนม เขาอิจฉายิ่งนัก และอยากจะสนิทสนมกับพวกเขาเหมือนพี่สี่ ตอนพวกเขาพูดคุยกัน เขาก็พยายามทำตัวมีส่วนร่วม เมื่อเห็นคุณชายสกุลจัวเล่นฉิน เขาก็คิดอยากจะให้ทุกคนชมว่าเขาเป่าขลุ่ยผิวได้ดี จึงได้นำขลุ่ยผิวออกมาบรรเลงประสานกับคุณชายสกุลจัว...แต่ยิ่งเอาใจพวกเขาเท่าไร สายตาที่พวกเขามองมากลับยิ่งเย็นชามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเขาอยากจะแสดงข้อดีของตัวเอง พวกเขาก็ยิ่งไม่สนใจ แม้กระทั่งพอเขาเริ่มอ้าปากพูด พวกเขาก็จะหยุดพูดทันที มองดูเขาพูดอยู่คนเดียว น้ำเสียงของเขาดังขึ้นในศาลาน้ำอันเงียบสงบ ยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก…ต่อมาคุณชายสกุลโต้วก็เรียกใช้เขาราวกับเป็นบ่าวรับใช้…
ตนพยายามเอาใจพวกเขาอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ทำไมพวกเขาถึงยังไม่ชอบตนเล่า
เมื่อเห็นท่านแม่นั่งนิ่งโดยไม่พูดไม่จา สวีซื่อเจี้ยก็รีบระงับความทุกข์ในใจทันที
“ท่านแม่” เขาก้าวไปข้างหน้าเบาๆ “ข้าจะตั้งใจฝึกฝน เรียนรู้การวาดภาพ แต่งบทประพันธ์กับอาจารย์จ้าว จากนั้นค่อยออกไปข้างนอกกับพี่สี่ คนอื่นก็จะไม่หัวเราะข้าแล้ว!”
สืออีเหนียงมองท่าทางจริงจังของเขา ในใจพลันรู้สึกเจ็บปวด
บางเรื่องใช่ว่าแค่เรียนวาดรูป แต่งคำประพันธ์ก็จะสามารถแก้ไขได้
ความเคารพและการยอมรับจากผู้อื่น ก็ไม่ใช่ว่าจะได้มาด้วยการเอาใจหรือการให้ความร่วมมือ
แต่ว่าหากเขาเป็นเหมือนกับสวีซื่ออวี้ได้ อาศัยคุณธรรมและความสามารถของตัวเอง หาพื้นที่สำหรับตัวเองได้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเลย!
นางยิ้มพลางยื่นมือออกมา “นี่คือคำพูดของเจี้ยเกอของพวกเรา พวกเรามาแปะมือสัญญากันเถิด”
สวีซื่อเจี้ยยิ้มแล้วแปะมือกับสืออีเหนียง “ท่านแม่วางใจได้ ต่อไปข้าจะตั้งใจฝึกฝนอย่างแน่นอนขอรับ”
[1]คนหลายคนเดินมาด้วยกัน ต้องมีสักคนนึงที่จะเป็นครูของเราได้ สุภาษิตจีนหมายถึง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูดของคนอื่น เราสามารถที่จะเรียนรู้อะไรบางอย่างจากเขาได้ เพราะคนเรามีข้อดีข้อเสียต่างกัน ข้อดีสามารถนำมาปรับใช้ ส่วนข้อเสียก็สามารถนำมาย้อนมองดูตัวเองเพื่อปรับปรุงแก้ไขได้
