จิ่นเกออยู่ในห้องเก็บของกับไท่ฮูหยิน
“อันนี้งดงามมากขอรับ!” เขาชี้ไปที่ทับทิมจากกล่องผ้าที่วางเรียงเป็นแถวยาว
ทับทิมเม็ดนั้นขนาดเท่ากำปั้น ผิวแกะสลักจากหยก เนื้อเป็นทับทิม ด้านบนมีผีเสื้อตัวน้อยสีขาวที่แกะสลักจากงาช้าง ดูสวยงามอยู่ไม่น้อย
ไท่ฮูหยินหัวเราะ กำชับอวี้ป่าน “เอาอันนี้ไปห่อ!” จากนั้นก็ก้มหน้าถามจิ่นเกอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “มีอันไหนดูดีอีก”
จิ่นเกอมองดูแล้วชี้ไปที่พระสังกัจจายน์สูงสามนิ้ว
พระสังกัจจายน์รูปนั้นสีดำสนิท ดูไม่ออกว่าเป็นวัสดุชนิดใด เปลือยช่วงอก ใบหน้าเปื้อนยิ้มดูเบิกบาน
ไท่ฮูหยินกำชับอวี้ป่าน “เอาอันนั้นไปห่อด้วย!”
อวี้ป่านยิ้มพลางขานรับ “เจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองอดพูดไม่ได้ว่า “ท่านแม่ จิ่นเกออายุยังน้อย ของสิ่งนี้มีค่ามาก หากท่านมีเจตนาเช่นนี้ ก็รอให้เขาโตอีกสักหน่อยแล้วค่อยมอบให้ดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” ไท่ฮูหยินโบกมืออย่างไม่เห็นด้วย “จิ่นเกอของพวกเราไม่ใช่คนที่จะไม่รู้ขอบเขต!” ขณะที่พูดก็โอบจิ่นเกอพลางหอมแก้มหนึ่งที ยิ้มพลางมองจิ่นเกอ “ใช่หรือไม่ จิ่นเกอ!”
จิ่นเกอรีบพยักหน้า
ไท่ฮูหยินถามเขาอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าดูสิว่ายังมีอะไรที่ชอบอีก”
สายตาของจิ่นเกอมองไปมาระหว่างกล่องผ้าเหล่านั้น
ฮูหยินสองมองไปที่ย่าหลานคู่นั้นด้วยความสนใจ ยิ้มอย่างหมดปัญญาพลางส่ายหน้า
******
ตอนที่สวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงไปถึง ไท่ฮูหยินกำลังเอนหลังนั่งอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างทิศตะวันออกในห้องปีกทิศตะวันตก ซินเจี่ยเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างไท่ฮูหยินอย่างเชื่อฟัง ส่วนฮูหยินสองก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือข้างเตียงเตา โต๊ะไม้สีดำลายวิหคชมบุปผาที่เดิมทีวางอยู่กลางเตียงเตาได้ถูกย้ายออกแล้ว เฉิงเกอที่อายุเกือบแปดเดือนนั่งอยู่ตรงนั้น จิ่นเกอกับเซินเกอ คนหนึ่งกำลังเล่นกลองป๋องแป๋งยืนอยู่ที่มุมตะวันตกของเตียงเตา อีกคนหนึ่งยืนปรบมือน้อยๆ อยู่ข้างๆ
“เจ้ามาหาข้าสิ เจ้ามาหาข้าสิ” ทั้งสองคนผลัดกันพูดหยอกล้อเฉิงเกอ
เฉิงเกอเบิกตากว้าง ดวงตาสีดำขลับมองพี่ชายที่หน้าตาคุ้นเคย แล้วมองกลองป๋องแป๋งที่อยู่ในมือจิ่นเกอ ท่าทางเหมือนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็หัวเราะ
ฮูหยินห้าที่ยืนอยู่ข้างเตียงเตาลูบผมสีดำขลับของบุตรชายคนรองด้วยความเห็นใจ “เจ้าเด็กโง่!”
เฉิงเกออาศัยโอกาสนี้ปีนเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของมารดา จากนั้นก็ชี้ไปที่จิ่นเกอก่อนจะร้อง “อา อา อา” อยู่นาน ราวกับว่าจะให้ฮูหยินห้าช่วยแย่งกลองป๋องแป๋งมาให้เขา
สวีลิ่งควนยิ้มพลางทักทายสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียง “พี่สี่ พี่สะใภ้สี่”
สวีลิ่งอี๋มองน้องชายด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ไม่ต้องเข้าเวรหรือ!”
“ใช่ขอรับ!” สวีลิ่งควนคำนับสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียง “ฝ่าบาทเสด็จไปพักผ่อนช่วงฤดูร้อนที่ตำหนักซีซานยังไม่กลับมา พวกเราอยู่ที่เยี่ยนจิงไม่มีอะไรทำ อากาศก็ร้อน ผู้บัญชาการหลิวจึงได้เปลี่ยนลำดับเวร ทุกคนต่างก็ดีใจกันทั้งนั้น”
ฮ่องเต้ทรงพาฮองเฮา ไท่จื่อและคนอื่นๆ ไปที่ตำหนักซีซานในช่วงกลางเดือนหก ขุนนางหลวงและขุนนางหกกรมต่างก็ติดตามไปด้วย ซีซานที่เดิมทีเงียบสงัดและไม่แออัด จู่ๆ ก็เต็มไปด้วยขบวนรถม้า ผู้คนขวักไขว่ไปมาจนเดินชนไหล่กัน
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ผู้ใหญ่และเด็กๆ ที่อยู่บนเตียงเตาก็จ้องมองมาทางนี้กันหมด พอสวีลิ่งควนพูดจบ จิ่นเกอก็รีบตะโกนขึ้นมาทันที “ท่านพ่อ ท่านแม่!”
ไท่ฮูหยินมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้ามากันแล้วหรือ!”
สวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงขานรับอย่างนอบน้อม “ขอรับ/เจ้าค่ะ” เข้าไปคำนับไท่ฮูหยินและทักทายบรรดาสะใภ้ จื่อหงพาสาวใช้น้อยมาเทน้ำชา จิ่นเกอจะลงจากเตียงเตา อวี้ป่านเลยรีบมาช่วยใส่รองเท้า พอเซินเกอเห็นดังนั้นก็งอแงจะลงจากเตียงเตาด้วยเช่นกัน อวี้ป่านจึงช่วยเซินเกอใส่รองเท้าด้วย มีทั้งผู้ใหญ่และเด็กน้อย ทำให้ในห้องวุ่นวายแต่กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและมีชีวิตชีวา
ไท่ฮูหยินมองไปรอบๆ พลางยิ้มตาหยี
วุ่นวายอยู่พักหนึ่งกว่าทุกคนจะนั่งลงตามลำดับ
ไท่ฮูหยินถามสวีลิ่งควนเรื่องการเปลี่ยนเวร “ฮ่องเต้ไม่ได้ให้เหลียงเก๋อเหล่าอยู่ที่เมืองหลวงหรือ ทำไม พวกเจ้าสับเปลี่ยนเวรกันแล้วเหลียงเก๋อเหล่าไม่ว่าอะไรหรือ”
“ผู้บัญชาการหลิวถามเหลียงเก๋อเหล่าแล้วขอรับ” สวีลิ่งควนยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เหลียงเก๋อเหล่าบอกว่าเรื่องของกองทัพอวี้หลินเขาไม่ค่อยเข้าใจ เขารู้เพียงแต่ว่าไม่ควรปล่อยให้ตำแหน่งว่าง และไม่ควรให้เกิดเรื่อง”
ฮูหยินสองหัวเราะ “มิน่าเล่า คนอื่นถึงได้บอกว่าเหลียงเก๋อเหล่าเข้าได้กับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ย่อมได้เปรียบ เพียงแต่เกรงว่าจะถูกผู้อื่นจับจุดอ่อนได้ ”
เพราะมันเกี่ยวข้องกับตัวของสวีลิ่งควนเอง เมื่อสวีลิ่งควนได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้ากังวล รีบพูดขึ้นมาว่า “จับจุดอ่อนอะไรกัน ข้าก็เพียงแค่ไหลไปตามคลื่น ทั้งไม่ได้ออกหน้า แล้วก็ไม่ได้ไปขัดขวางคนอื่น”
เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของสวีลิ่งควน ฮูหยินสองก็หัวเราะ “ข้าไม่ได้ว่าเจ้า ข้าหมายถึงเหลียงเก๋อเหล่า” แล้วพูดต่อไปว่า “เมื่อก่อนบรรดาเก๋อเหล่าที่อายุมากแล้ว พอถึงกำหนดที่ต้องเกษียณอายุ หากอยากจะรักษาความสัมพันธ์ไว้ ก็ต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แต่ตอนนี้คนที่พึ่งเข้ามาใหม่อย่างโต้วเก๋อเหล่ากับเว่ยเก๋อเหล่ากำลังอยู่ในวัยที่แข็งแกร่ง เป็นช่วงเวลาที่เหมาะจะวางแผนพัฒนา หากไม่มีอะไรก็ดีไป แต่หากมีเรื่องเกิดขึ้น เกรงว่าเหลียงเก๋อเหล่าจะไม่สามารถอธิบายได้”
สวีลิ่งควนเข้าใจในทันที อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ตอนนี้แว่นแคว้นสงบสุขแล้วพวกเขาจะสร้างเรื่องให้มันน้อยลงไม่ได้หรืออย่างไร”
“แว่นแคว้นสงบสุข?” ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างไม่เห็นด้วย “ได้ยินมาว่าตั้งแต่เข้าเดือนหกมาก็มีเหตุการณ์ที่โจรสลัดญี่ปุ่นขึ้นฝั่งเพื่อเผา ฆ่า และปล้นอยู่บ่อยครั้ง พวกเราอยู่ที่เยี่ยนจิง ภายใต้บารมีของฮ่องเต้ ย่อมไม่ได้รับผลกระทบ แต่ราษฎรในเขตเจียงหนานกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก เพียงแค่ได้ยินภาษาญี่ปุ่นก็ตกใจกลัวแล้ว…”
ฮูหยินห้าเห็นว่ายิ่งฮูหยินสองพูดก็ยิ่งจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ หัวข้อนั้นยิ่งถูกลากออกไปไกล และก็เกิดขึ้นเพราะสามีของนาง จึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ไอ๊หยา เรื่องเหล่านี้ย่อมมีฝ่าบาทและบรรดาใต้เท้าคอยกังวลอยู่แล้ว คนอย่างพวกเราเพียงแค่ดูแลตัวเองไม่ให้เกิดเรื่องก็พอแล้วกระมัง” จากนั้นก็ยิ้มพลางถามสืออีเหนียง “เหตุใดถึงไม่เห็นอวี้เกอกับจุนเกอเล่า” เห็นได้ชัดว่าตั้งใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ฮูหยินสองสีหน้าขรึมขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าจิบชาเหมือนจะปิดบังอะไรบางอย่าง พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งสีหน้าก็สดใสขึ้น
ทุกคนไม่ได้สังเกตเห็นความโดดเดี่ยวของนาง
สายตาของไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ ต่างก็ไปหยุดอยู่ที่สืออีเหนียง สืออีเหนียงกำลังก้มหน้าจัดชายเสื้อให้จิ่นเกอ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มพลางเงยหน้าขึ้น “ข้าให้พวกเขาทานอาหารเย็นก่อนแล้วค่อยมา ดูเวลาคาดว่าคงใกล้จะถึงแล้ว!”
ไท่ฮูหยินถามถึงการสอบของสวีซื่ออวี้ “…เกรงว่าคงจะต้องเลือกวันมงคลที่จะจุดธูปบูชาเทพเหวินฉวี่ซิงจวิน[1]!” พูดพลางหันไปมองสวีลิ่งอี๋
“ข้าดูปฏิทินมาแล้ว” เห็นได้ชัดว่าสวีลิ่งอี๋เตรียมการไว้นานแล้ว “อีกสองวันจะเป็นวันมงคล กำลังเตรียมพร้อมว่าจะพาอวี้เกอไปสักการะสักหน่อย”
“ข้าว่างอยู่ที่เรือน” สวีลิ่งควนยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เมื่อถึงเวลานั้นข้าก็จะไปเป็นเพื่อนอวี้เกอด้วย!”
“เอาสิ!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ทิวทัศน์ที่นั่นไม่เลวเลย”
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน สวีซื่ออวี้และคนอื่นๆ ก็มาถึง
ฮูหยินห้าถามด้วยความสงสัยว่า “พวกเจ้ามาด้วยกันได้อย่างไร”
ปกติแล้วสวีซื่ออวี้จะมาคนเดียวเสมอ ส่วนสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยก็เหมือนเงาที่แยกจากกันไม่ได้
สวีซื่อจุนเหลือบมองสวีซื่ออวี้แล้วพูดว่า “พี่สองเป็นคนชวนพวกเรามาขอรับ”
“ทุกคนต่างก็อาศัยอยู่เรือนนอก” สวีซื่ออวี้ยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “ก็แค่เดินอ้อมไปเล็กน้อยขอรับ” ยอมรับคำพูดของสวีซื่อจุนอย่างนอบน้อม
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย
ไท่ฮูหยินเรียกสามพี่น้องมานั่ง ซักถามสวีซื่อจุน “เรียนหนักหรือไม่ น้ำแข็งพอใช้หรือไม่ คุณชายสกุลโต้วผู้นั้นได้มาหาเจ้าอีกหรือไม่”
“เรียนไม่หนักขอรับ” สวีซื่อจุนตอบทีละคำถาม “น้ำแข็งมีพอใช้ เมื่อวานท่านแม่ก็ส่งพี่จู๋เซียงมาถาม คุณชายสกุลโต้วตามโต้วเก๋อเหล่าไปที่ซีซานแล้ว ช่วงนี้จึงไม่ได้มาหาขอรับ”
ไท่ฮูหยินถอนหายใจ หันไปพูดกับสวีลิ่งอี๋ “คิดไม่ถึงว่าโต้วเก๋อเหล่าไปซีซานยังพาบุตรชายไปด้วย!”
ในคำพูดแฝงไปด้วยความรู้สึกราวกับจะบอกว่า ‘เจ้าดูวิธีที่ผู้อื่นเลี้ยงลูกสิ’
สวีลิ่งอี๋ยิ้มเจื่อนๆ
สืออีเหนียงเห็นสวีซื่อเจี้ยที่ยืนอยู่เงียบๆ ตั้งแต่เข้าประตูมา จ้องมองสวีซื่อจุนด้วยท่าทางประหลาดใจ
นางมองสวีซื่อจุนที่สีหน้าสงบนิ่งพลางครุ่นคิด
ทุกคนนั่งคุยกันมานานกว่าครึ่งชั่วยาม ฮูหยินสองลุกขึ้นกล่าวลา ทุกคนเลยแยกย้ายกันไปเช่นกัน
ระหว่างทางสืออีเหนียงถามสวีลิ่งอี๋ด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดพี่สะใภ้สองถึงรู้เหตุการณ์ต่างๆ ในราชสำนักเจ้าคะ”
“ตอนข้าอยู่ที่บ้านเกิด มีข่าวไม่ดีส่งตรงไปถึงไท่จื่อองค์ก่อน” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเบา “โดยที่เซียงอี้ใช้ข้ออ้างว่ามาเอาเสื้อผ้าให้ข้านำข่าวมาบอกพี่สะใภ้สอง แล้วพี่สะใภ้สองก็ใช้ข้ออ้างว่าจะไปคารวะฮองเฮาเพื่อส่งข่าวไปที่ไท่จื่อองค์ก่อน ต่อมามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในบางสถานการณ์พี่สะใภ้สองก็ไม่สามารถออกหน้าได้ พี่สะใภ้สองจึงให้ผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ต่อตัวเองคอยอยู่ช่วยที่แผนกรายงาน แม้ว่าตอนนี้ผู้ติดตามผู้นี้จะไม่ได้อยู่ที่แผนกรายงานแล้ว แต่กลับเป็นคนที่รู้ข่าวสารกว้างขวางมากกว่าคนทั่วไป บางครั้งเวลานำกำไรของกิจการมาส่งให้พี่สะใภ้สอง ก็จะพูดเรื่องภายนอกให้พี่สะใภ้สองฟัง”
“มิน่าเล่า พี่สะใภ้สองถึงได้รู้ไปเสียทุกอย่าง…” สืออีเหนียงยิ้ม แต่จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกเบาๆ อย่างเหนื่อยหอบของสตรีดังมาจากด้านหลัง “ท่านโหว ฮูหยินสี่!”
ทั้งสองคนหันกลับไป เห็นอวี้ป่านกำลังเดินมาอย่างรวดเร็ว
“ท่านโหว ฮูหยินสี่!” นางควบคุมลมหายใจพลางย่อเข่าคำนับ ส่งถุงสีม่วงอมแดงปักลายดอกโบตั๋นด้วยด้ายสีทองให้ “นี่คือของที่คุณชายน้อยหกลืมไว้ที่เรือนไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินให้บ่าวนำมาส่งโดยเฉพาะเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
ตอนไปจิ่นเกอไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปด้วย…
อวี้ป่านพูดขึ้นมาว่า “ไท่ฮูหยินยังรอให้บ่าวกลับไปปรนนิบัติท่านล้างหน้า…”
หมายความว่าต้องรับของไปก่อนนางถึงจะไปได้
สืออีเหนียงให้จู๋เซียงรับถุงมาด้วยความสงสัย
ถุงใบนั้นดูเหมือนว่าจะหนักกว่าที่จู๋เซียงคาดไว้ ตอนที่นางรับมาก็เกือบจะทำมันร่วง
สืออีเหนียงแอบรู้สึกประหลาดใจ กลับไปจึงเปิดถุงดู
แสงแวววับเปล่งประกายพุ่งกระทบหน้า ทำให้ห้องสว่างขึ้นเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋ตกตะลึง “นี่คือ…”
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อนๆ “ท่านแม่บอกว่านี่คือของที่จิ่นเกอลืมไว้!”
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหตุใดจู่ๆ ท่านแม่ถึงได้ให้ของจิ่นเกอมากมายขนาดนี้ ซ้ำแต่ละอันก็มีมูลค่ามาก! หรือว่าร่างกายของท่านแม่…” ขณะที่พูดน้ำเสียงของเขาก็สั่นเครือ
“ตอนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิข้าได้เชิญหมอหลวงหลิวมาตรวจชีพจรทุกคนในจวนเป็นพิเศษ” สืออีเหนียงพูดพึมพำว่า “ถ้าหากท่านแม่ไม่สบาย ด้วยนิสัยของหมอหลวงหลิวแล้ว หากไม่บอกข้าก็ต้องบอกท่านโหวสิเจ้าคะ!” ทันใดนั้นนางก็นึกถึงตอนที่อู่เหนียงมาเยี่ยม เล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ฟัง “…จะเป็นเพราะเหตุผลนี้กระมัง”
สวีลิ่งอี๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน “ก็เป็นไปได้!” เขาหัวเราะขึ้นเสียงดัง “เจ้าเด็กคนนี้ ปกติตระหนี่ถี่เหนียว คิดไม่ถึงว่าในเวลาสำคัญจะยังรู้จักกตัญญูต่อผู้อาวุโส! ไม่เลว ไม่เลว” พอพูดจบรอยยิ้มก็ค่อยๆ จางหายไป “สืออีเหนียง” เขาโอบไหล่สืออีเหนียง “เป็นเจ้าที่สอนได้ดี!” มองนางด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง ดูจริงจังและจริงใจอย่างเห็นได้ชัด ทำให้สืออีเหนียงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
นางกระแอมเบาๆ พูดขึ้นมาว่า “ท่านโหวยังจะมาพูดอีก ข้ากำลังปวดหัวอยู่เลยว่าจะให้ใครพาจิ่นเกอไปเก็บส้ม”
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจเล็กน้อย รอยยิ้มจางๆ พลันปรากฏในดวงตาของเขา “มีตัวเลือกที่ดียืนอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าก็ไม่รู้จักลองพิจารณาดู!”
[1]เทพเหวินฉวี่ซิงจวิน หรือ ดาวเหวินฉวี่ เป็นดาวมงคลส่งผลในเรื่องการศึกษา