เรือนนอกมีห้องบัญชีและเรือนรับแขก จิ่นเกอชี้ไปยังเรือนด้านข้างที่อยู่ทางด้านตะวันตกของเรือนรับแขก “เป็นผู้ดูแลที่อยู่ที่นั่น สวมชุดสีเหลือง มีหนวดยาวสองข้าง”
เซินเกอที่อยู่ข้างหลังเขาพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “พวกเราไปหาเขาดีหรือไม่ จากนั้นก็อัดเขาสักที”
หงเหวินรู้สึกว่าที่หลังของตัวเองมีเหงื่อออก
นางยิ้มพลางพูดอย่างอ่อนโยนว่า “พวกเราไม่ใช่องครักษ์ จะไปอัดคนได้อย่างไร จะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเปล่าๆ พวกเราไปหาพ่อบ้านไป๋ ให้พ่อบ้านไป๋จัดการเขาก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
จิ่นเกอพยักหน้า มุ่งหน้าไปที่เรือนด้านข้างที่มีสองห้องอยู่ทางด้านตะวันตกของห้องโถงหลัก เพราะงานแต่งของสวีซื่ออวี้ พ่อบ้านไป๋จึงอยู่ที่นั่นชั่วคราวเพื่อจัดการเรื่องเล็กใหญ่ในจวนสวี มีผู้ดูแลมาหาอยู่เรื่อยๆ เมื่อเห็นจิ่นเกอก็พากันโค้งคำนับ ยิ้มพลางเรียก “คุณชายน้อยหก คุณชายน้อยเจ็ด” ท่าทางสนิทสนมเป็นกันเอง
มีผู้ดูแลคนหนึ่ง หลังจากคำนับจิ่นเกอแล้วก็พูดขึ้นมาว่า “คุณชายน้อยหกยังจำข้าน้อยได้หรือไม่ คราวที่แล้วที่อยู่เรือนคุณชายน้อยสี่ ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากผู้ดูแลจ้าวให้นำเทียบเชิญไปส่งให้คุณชายน้อยสี่ ปรากฏว่าฝนตกลงมา ข้าน้อยก็เลยแบกท่านไปที่ประตูฉุยฮวา!”
จิ่นเกอเหลือบมองผู้ดูแลคนนั้นด้วยสายตาว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่าจำไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ผู้ดูแลคนนั้นรีบพูดขึ้นมาว่า “ข้าน้อยมีนามว่าหวังเอ้อร์หู่”
“อ้อ” จิ่นเกอพูดอย่างไม่ใส่ใจพลางก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
สายตาของผู้ดูแลคนนั้นเผยให้เห็นถึงความผิดหวังเล็กน้อย
เมื่อเดินมาถึงใต้ชายคา มีชายหนุ่มรูปงาม ผิวขาว สวมชุดผ้าไหมสีเขียวเดินออกมาจากเรือนด้านข้าง เมื่อชายผู้นั้นเห็นจิ่นเกอก็ชะงักไปครู่หนึ่ง รีบเดินเข้าไปคำนับจิ่นเกอ “คุณชายน้อยหก ไม่ได้พบท่านหลายวันแล้ว ท่านสบายดีหรือไม่ สุขภาพฮูหยินสี่แข็งแรงดีหรือไม่ ข้าน้อยกับภรรยาคิดถึงฮูหยินสี่กับคุณชายน้อยหกอยู่เสมอขอรับ”
จิ่นเกอหันกลับไปมองหงเหวิน ถามนางว่า “นี่คือใคร”
หงเหวินยิ้มแล้วพูดว่า “นี่คือผู้ดูแลเฉา นามว่าเฉาอาน ทำงานอยู่ที่ฝ่ายรายงาน ภรรยาของเขานามว่าเยี่ยนหรง เดิมทีเคยปรนนิบัติฮูหยิน ต่อมาแต่งงานจึงได้ถูกปลดจากการเป็นสาวใช้เจ้าค่ะ”
จิ่นเกอเหลือบมองเฉาอานอีกครั้ง พูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่สบายดี ข้าก็สบายดี” จากนั้นก็กำชับหงเหวิน “มอบเงินให้เขาสองตำลึง!”
หงเหวินรีบหยิบเหรียญเงินสองตำลึงออกจากถุงเงิน
เฉาอานไหนเลยจะไม่เคยเห็นเงินสองตำลึงมาก่อน แต่นี่เป็นรางวัลที่จิ่นเกอมอบให้ ย่อมไม่เหมือนกัน เขารับเงินมาอย่างนอบน้อม ขอบคุณจิ่นเกอด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นก็ถามจิ่นเกอด้วยความระมัดระวังว่า “ท่านมาหาพ่อบ้านไป๋หรือขอรับ”
จิ่นเกอพยักหน้า
เฉาอานพูดขึ้นมาว่า “บ่าวเองก็มาหาพ่อบ้านไป๋เช่นกัน พ่อบ้านไป๋พึ่งจะไปห้องซือฝัง บ่าวได้ส่งบ่าวรับใช้ไปตามแล้ว คาดว่าคงจะกลับมาเร็วๆ นี้ขอรับ” จากนั้นก็ยกมือคำนับแล้วหลบไปยืนด้านข้าง “คุณชายน้อยหกจะเข้าไปนั่งรอก่อนหรือไม่ขอรับ” พูดพลางเหลือบมองหงเหวิน “แม่นางหงเหวินจะได้คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ได้สะดวก”
หงเหวินพยักหน้าให้เขาด้วยความซาบซึ้ง
ที่นี่คือเรือนนอก คนที่เข้าๆ ออกๆ ล้วนเป็นบุรุษทั้งหมด ตลอดทางทุกคนเอาแต่จ้องมองนาง จนนางไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรแล้ว
“ขอบคุณผู้ดูแลเฉา!” หงเหวินเดินตามเขาเข้าไปในเรือนด้านข้าง
มีสองสามคนที่ท่าทางดูเหมือนผู้ดูแลกำลังยืนคุยกันอยู่ที่นั่น เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็หันมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นจิ่นเกอก็พากันเข้ามาคำนับ แล้วยังมีคนเห็นว่าจิ่นเกอมีรอยเปื้อน จึงตักน้ำเข้ามาให้หงเหวินด้วยตัวเอง หงเหวินจะได้สะดวกในการปรนนิบัติจิ่นเกอกับเซินเกอล้างมือล้างหน้า อีกทั้งยังมีคนช่วยไปตามพ่อบ้านไป๋ให้จิ่นเกอด้วยตัวเอง เมื่อจัดการได้เหมาะสมแล้ว ก็ยกชา ยกขนมมาวาง ทั้งยังพูดคุยเป็นเพื่อน ครึกครื้นเป็นอย่างมาก
เฉาอานถามหงเหวินด้วยความสงสัย “ได้ยินมาว่าแม่นมกู้กลับไปเมื่อตอนหน้าร้อนแล้ว ตอนนี้ผู้ดูแลคนไหนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายคุณชายน้อยหกหรือ”
หงเหวินยิ้มแล้วพูดว่า “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้เลย เรื่องในเรือนของคุณชายน้อยหกตอนนี้เป็นหน้าที่ของฮูหยินที่คอยดูแลด้วยตัวเอง!” ถึงปากจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจกลับนึกถึงตัวเลือกเหล่านั้นที่ฮูหยินสอง ฮูหยินห้า และฮูหยินสามที่อยู่ตรอกซานจิ่งแนะนำให้ฮูหยินสี่
คนที่ท่าทางอ่อนโยน ฮูหยินสี่ก็บอกว่านุ่มนวลเกินไป กลัวว่าจะควบคุมคุณชายน้อยหกไม่อยู่ คนที่ท่าทางเคร่งขรึม ฮูหยินสี่ก็บอกว่าเย็นชาเกินไป กลัวว่าจะเคร่งครัดจนคุณชายน้อยหกเป็นท่อนไม้…ก็ไม่รู้ว่าคนแบบใดจึงจะเหมาะสม!
“เช่นนั้นก็ลำบากเจ้าแล้ว! เรื่องอันใดก็ต้องแบกไว้คนเดียว” เฉาอานยิ้มพลางพูดคุยกับหงเหวิน แต่สายตากลับเหลือบมองบรรดาผู้ดูแลที่กำลังประจบประแจงอยู่ต่อหน้าจิ่นเกออยู่เรื่อยๆ
ตั้งแต่ที่คุณชายน้อยหกโตจนถึงอายุห้าขวบอย่างราบรื่น บรรยากาศในจวนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย มีคนมากมายที่ต้องการเข้าใกล้คุณชายน้อยสี่ และก็มีคนไม่น้อยเลยที่ต้องการใกล้ชิดกับคุณชายน้อยหก เพียงแต่ว่าคุณชายน้อยหกอายุยังน้อย แล้วยังถูกเลี้ยงดูอยู่ที่เรือนใน ฮูหยินสี่คอยดูแลคุณชายน้อยหกอย่างใกล้ชิด คนเหล่านั้นจึงหาโอกาสไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนมาหาตนกับว่านต้าเสี่ยนเพื่อที่จะหาโอกาสเข้าใกล้คุณชายน้อยหก
ตอนที่เขาบอกกับเยี่ยนหรงซึ่งเป็นภรรยาของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เยี่ยนหรงเคยเตือนเขาว่า ‘เจ้าอย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนของฮูหยินสี่แล้วจะอวดดีได้ คุณหนูสกุลเจียงยังไม่แต่งเข้าจวนมา เส้นทางของคุณชายน้อยหกยังอีกยาวไกล ในเวลานี้คนอย่างพวกเรายิ่งต้องระมัดระวัง อย่าไปก่อเรื่องให้คนอื่นเอามาเป็นจุดอ่อนของเราจนทำให้ต้องเดือดร้อนไปถึงฮูหยินกับคุณชายน้อยหก เจ้าควรจะเรียนรู้จากว่านต้าเสี่ยน ตั้งใจทำงานในส่วนของตัวเองให้ดี ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ต้องไปสนใจ คิดหาวิธีเลื่อนขั้นเป็นผู้ดูแลระดับสอง ผู้ดูแลระดับหนึ่ง จนได้เป็นพ่อบ้านใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้นจึงจะสามารถช่วยคุณชายน้อยหกได้จริงๆ พวกเราก็จะได้มีชีวิตที่ดีด้วย’
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็อดยิ้มไม่ได้ จนลืมสนใจหงเหวินที่กำลังพูดอยู่
พ่อบ้านไป๋รีบเดินเข้ามา
“คุณชายน้อยหก คุณนายน้อยเจ็ด!” เขายิ้มพลางทักทายจิ่นเกอกับเซินเกอ
หงเหวินรีบลุกขึ้น “พ่อบ้านไป๋ คุณชายน้อยหกของเรามีเรื่องจะพูดกับท่าน!”
ผู้ดูแลเหล่านั้นไม่ให้ประทัดกับคุณชายน้อยหกเพราะกลัวว่าจะระเบิดโดนมือคุณชายน้อยหก นั่นก็ถือว่าเป็นความหวังดี หากคุณชายน้อยหกตำหนิผู้ดูแลคนนั้นต่อหน้าผู้คนมากมาย ต่อไปหากมีคนเห็นว่าคุณชายน้อยหกกำลังทำผิด เกรงว่าจะไม่มีใครกล้าคัดค้านแล้ว นี่ไม่ใช่การช่วยคุณชายน้อยหก แต่เป็นการทำร้ายคุณชายน้อยหก นางเป็นคนข้างกายคุณชายน้อยหก หากคนหนึ่งร่วงทุกคนก็ล่ม หากคนหนึ่งโรจน์ทุกคนก็รุ่ง ย่อมไม่สามารถให้คุณชายน้อยหกทำเรื่องเช่นนี้ได้
พ่อบ้านไป๋ได้ฟังดังนั้นก็หันไปมองบรรดาผู้ดูแลในห้อง
บรรดาผู้ดูแลเหล่านั้นล้วนเป็นคนฉลาดจึงรีบคำนับแล้วถอยออกไปทันที
จิ่นเกอเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พ่อบ้านไป๋ฟังด้วยความเดือดดาล “…ท่านช่วยไปเอาประทัดมาให้ข้า แล้วก็สั่งสอนผู้ดูแลผู้นั้นสักหน่อย”
ตอนที่เขาพูด หงเหวินก็ส่งสายตาให้พ่อบ้านไป๋อยู่เรื่อยๆ เพื่อจะบอกว่าให้พ่อบ้านไป๋เออออไปตามจิ่นเกอก็พอแล้ว
พ่อบ้านไป๋เข้าใจทันที
เรื่องของเรือนในเขาก็ได้ยินมาไม่น้อย ที่ในเรือนของจิ่นเกอยังไม่มีผู้ดูแลที่ไว้ใจได้ ไม่ได้เป็นเพราะว่าในสกุลสวีไม่มีคนเช่นนี้ แต่ท่าทางของสืออีเหนียงนั้นคลุมเครือ จึงไม่อาจแนะนำหรือจัดการให้ได้ จิ่นเกอนับว่าเป็นเด็กที่นางเลี้ยงมาจนโตด้วยตัวเอง ใช้ความคิดไปมากมาย ย่อมคาดหวังกับเขาเป็นอย่างมาก
แต่ความหวังอย่างเดียวนั้นไม่พอ จิ่นเกอยังเด็ก หากอยากจะให้เป็นคนที่โดดเด่น ก็มีเพียงต้องสร้างชื่อเสียง การที่จะสั่งสอนผู้ดูแลในจวนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ มีแต่จะทำให้จิ่นเกอกลายเป็นคนไม่มีเหตุผล มีชื่อเสียงเรื่องความเย่อหยิ่ง เกรงว่าจะเป็นสิ่งที่สืออีเหนียงไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด
คนมากมายในจวนล้วนมีความคิดแอบแฝง ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ แต่ว่าเขาก็มีความคิดของตัวเองเช่นกัน ปรนนิบัติท่านโหวมาหลายปีเช่นนี้ ท่านโหวไม่เคยเลอะเลือนเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ไม่ว่าท่านโหวจะชอบอะไรก็มักจะเก็บไว้ในใจ ถ้าหากเขาเล่นตุกติกอะไร ด้วยความฉลาดของท่านโหว ต้องปิดบังท่านโหวไม่ได้แน่นอน มีแต่จะทำให้ท่านโหวผิดหวัง หากต้องไปตายเอาดาบหน้า ไม่สู้ให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเคย ปรนนิบัติท่านโหวอย่างซื่อสัตย์ ท่านโหวพูดอย่างไรเขาก็จะทำอย่างนั้น จึงจะนับว่ามีชื่อเสียงในเรื่องความซื่อสัตย์
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว พ่อบ้านไป๋ก็นึกถึงหลายวันก่อนที่สวีลิ่งอี๋เรียกเขาไปคุยด้วย
‘…ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจิ่นเกอจะต้องเข้าเรียนแล้ว ขอให้พ่อบ้านไป๋ไปขอให้บรรดาผู้บัญชาการช่วยแนะนำอาจารย์ที่เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ในนามของข้าที’
ท่านโหวคาดหวังในตัวบุตรชายตัวน้อยผู้นี้สูงมาก แน่นอนว่าตนต้องปกป้องชื่อเสียงของคุณชายน้อยหกเช่นกัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ พ่อบ้านไป๋ก็ยิ้มพลางพยักหน้าให้หงเหวิน พูดเสียงเบาว่า “คุณชายน้อยหกไม่ต้องกังวล รอให้ข้าหาผู้ดูแลที่ท่านพูดถึงเจอก่อน จากนั้นค่อยไปรายงานท่าน ส่วนเรื่องประทัด ท่านคงจะไม่รู้ คนในจวนของเรามีมากมาย ทุกอย่างล้วนกำหนดจำนวนไว้แล้ว เช่นนี้บรรดาผู้ดูแลและบ่าวรับใช้เหล่านั้นก็จะไม่กล้าไปหยิบมาโดยไม่ได้รับคำสั่ง มิเช่นนั้นบ่าวรับใช้เหล่านั้นจะไปเก็บประทัดที่จุดไม่ติดที่พื้นทำไมกันเล่า” พูดพลางเงยหน้ามองฟ้า “นี่ก็ใกล้จะยามโหย่วแล้ว ตามกฎของจวน หากต้องการเบิกของอะไรก็ต้องทำหนังสือรายงานล่วงหน้าหนึ่งวัน เมื่อเลยต้นยามเซิน ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดประตูคลังเก็บของแล้ว ยกเว้นว่าจะมีป้ายคู่ของท่านโหว แน่นอนว่าหากคุณชายน้อยหกต้องการจะเบิกของ ท่านโหวก็ต้องให้ป้ายคู่อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าวันนี้เป็นสถานการณ์พิเศษ สินสอดทองหมั้นของคุณนายน้อยสองจะถูกส่งเข้าจวนแล้ว ต่อให้ท่านโหวให้ป้ายคู่มา เกรงว่าเวลานี้คนที่คลังเก็บของก็คงวิ่งไปดูความครึกครื้นกันหมดแล้ว คงไม่มีใครอยู่แล้วขอรับ” พูดจบก็บอกเขาด้วยความจริงใจ “คุณชายน้อยหก คืนนี้ให้ข้าทำหนังสือเบิกให้ท่านดีหรือไม่ พรุ่งนี้เช้าพอเบิกประทัดแล้วค่อยนำไปส่งให้ท่านด้วยตัวเอง”
แม้ว่าเขาจะบอกว่ามีการบันทึกจำนวนหรือบอกว่าเป็นกฎ แต่จิ่นเกอกลับไม่หลงกลเลยสักนิด
ที่พ่อบ้านไป๋พูดไปทั้งหมดก็มีเพียงความหมายเดียว
คือไม่มีทางเรียกผู้ดูแลคนนั้นมาสั่งสอน แล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้ประทัดจากเขา
เขาโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ กระทืบเท้าลุกขึ้นมาทันที “ต้องใช้แค่ป้ายคู่ของพ่อข้าไม่ใช่หรือ ข้าจะไปเอามาประเดี๋ยวนี้!” พูดพลางสาวเท้าก้าวออกไป
เซินเกอเห็นดังนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “พวกเราจะไปเอามาจากท่านลุงสี่” แล้วก็วิ่งตามออกไป
“ขอบคุณพ่อบ้านไป๋เจ้าค่ะ” หงเหวินรีบกล่าวขอบคุณพ่อบ้านไป๋ “ข้าเองก็หมดปัญญาแล้ว ถ้าหากประทัดระเบิดโดนตรงไหนของคุณชายน้อยหกเข้า ต่อให้ข้าตายสักหมื่นครั้งก็ยังไม่พอ!” พูดพลางวิ่งตามออกไป
สวีลิ่งอี๋กำลังนั่งคุยอยู่กับเหลียงเก๋อเหล่า โต้วเก๋อเหล่า หวังลี่และคนอื่นๆ บ่าวรับใช้เข้ามารายงานว่าคุณชายน้อยหกมา รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นในแววตาของเขา
แม้ว่าเหลียงเก๋อเหล่าและคนอื่นๆ จะทำทีเป็นไม่สนใจ คนดื่มชาก็ดื่มไป คนคุยกันก็คุยไป แต่หางตากลับเหลือบมองไปที่ประตู
จิ่นเกอเดินเข้ามาด้วยท่าทางสงบนิ่ง โค้งคำนับผู้ใหญ่ทุกคนอย่างนอบน้อม สวีลิ่งอี๋เรียกเขาเข้ามาหา “เหตุใดเจ้าถึงได้มาที่นี่ได้ แล้วแม่ของเจ้าเล่า”
“ท่านแม่คุยอยู่กับบรรดาท่านป้าและท่านอาสะใภ้” เขาพูดเสียงดังว่า “ข้าอยากจุดประทัด แต่พ่อบ้านไป๋บอกว่าต้องได้รับอนุญาตจากท่านก่อน ข้าก็เลยมาหาท่านพ่อ” เขาบุ้ยปากพลางมองสวีลิ่งอี๋ “ท่านพ่อ ข้าอยากจุดประทัดขอรับ!”
จากที่สวีลิ่งอี๋ได้ฟังที่เขาพูด ดูเหมือนว่าจะไปหามาแล้วหลายคน และคนเหล่านี้ก็ไม่ให้ประทัดกับเขา แม้ว่าจะไม่เข้าใจความเป็นมาเป็นไปของเรื่องนี้ แต่ว่าบุตรชายยังเล็ก สามารถเดินมาหาเขาต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ซ้ำยังขออนุญาตตนด้วยเสียงดังชัดเจน…ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสวีซื่อจุน…อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจในใจ
