สีหน้าของสืออีเหนียงเคร่งขรึมขึ้น “คุณชายน้อยห้าอยู่กับคุณชายน้อยสี่ไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้น” เห็นสี่เอ๋อร์หอบหายใจ นางก็บอกว่า “พูดช้าๆ”
สี่เอ๋อร์พยักหน้า ไม่สนใจลมหายใจหอบถี่ของตัวเอง นางรีบพูด “หลังจากที่คุณชายน้อยห้ามาคารวะท่านแล้ว เขาก็ไปที่เรือนต้านปั๋วไจกับคุณชายน้อยสี่ คุณชายน้อยห้าอยากฝึกเขียนหนังสือ คุณชายน้อยสี่อยากท่องหนังสือ คุณชายน้อยสี่จึงให้คุณชายน้อยห้าไปฝึกเขียนที่ห้องหนังสือ ส่วนตัวเองท่องหนังสืออยู่ที่ห้องโถง ยามเที่ยง พวกเขาทานข้าวด้วยกัน แล้วก็ไปนอนกลางวันที่ห้องข้างในด้วยกันเหมือนวันธรรมดา ปูเตียงเสร็จแล้ว คุณชายน้อยสี่ก็บอกให้พวกบ่าวออกมาข้างนอก ให้สาวใช้น้อยเฝ้าอยู่หน้าประตู บ่าวและปี้หลัวไปเย็บปักถักร้อยที่ห้องเอ่อร์ฝังของปี้หลัว ใกล้จะถึงยามเซิน คุณชายน้อยสี่และคุณชายน้อยห้ายังไม่เรียกพวกบ่าวเข้าไปรับใช้เปลี่ยนเสื้อผ้า บ่าวรู้สึกว่ามันแปลกๆ จึงแอบเดินไปห้องหลักเงียบๆ แต่ใครจะรู้ว่าเจอพี่เก๋อจินที่หน้าประตูเจ้าค่ะ”
“เก๋อจิน?” สืออีเหนียงตกใจ
นางคือคนของไท่ฮูหยิน สวีซื่อจุนเคารพนางเป็นอย่างมาก ปี้หลัวและคนอื่นๆ เป็นคนดูแลเรื่องทั่วไป นางไม่ควรมาดูแลเรื่องตื่นนอนเปลี่ยนเสื้อผ้าของสวีซื่อจุน
สี่เอ๋อร์พยักหน้า “ข้าคำนับพี่เก๋อจิน พี่เก๋อจินบอกว่าคุณชายน้อยสี่และคุณชายน้อยห้ายังไม่ตื่น นางจะกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเองก่อน บอกว่าประเดี๋ยวค่อยมาดู หากคุณชายน้อยสี่และคุณชายน้อยห้าตื่นแล้ว ก็ให้บ่าวส่งสาวใช้น้อยไปเรียกนาง บ่าวไม่กล้ารอช้า จึงรีบตอบรับไปเจ้าค่ะ จากนั้นก็กลับไปเย็บปักถักร้อยที่ห้องเอ่อร์ฝังได้ประเดี๋ยว ก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากห้องหลัก บ่าวเป็นห่วงคุณชายน้อยห้า จึงรีบวางสะดึงในมือลงแล้วออกมาจากห้องเอ่อร์ฝังเจ้าค่ะ” พูดจบ สีหน้าของนางก็มีความหวาดกลัว “จากนั้นก็เห็นป้าตู้เฝ้าอยู่หน้าประตู อวี้ป่านและคนของไท่ฮูหยินยืนอยู่ใต้ชายคา สาวใช้น้อยที่เฝ้าประตูคุกเข่าอยู่ในลาน แล้วก็ได้ยินเสียงตำหนิของไท่ฮูหยินดังออกมาจากห้องหลักเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงนั่งตัวตรง นางขยิบตาให้จู๋เซียง บอกให้นางออกไปดูนอกประตู จากนั้นก็ถามสี่เอ๋อร์เบาๆ “ไท่ฮูหยินพูดว่าอะไร”
“บ่าวพึ่งจะเดินเข้าไปก็ถูกอวี้ป่านห้ามเอาไว้ บ่าวเลยได้ยินแค่ไม่กี่ประโยคเจ้าค่ะ” สี่เอ๋อร์ขยับปาก นางพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “‘พวกเจ้าเป็นคุณชายสกุลสูงส่ง ไม่ใช่นักแสดงงิ้ว’ แล้วยังบอกอีกว่า ‘ท่านพ่อของพวกเจ้าเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือพวกเจ้า หรือว่าเขาอยากให้พวกเจ้าทำเรื่องเช่นนี้อย่างนั้นหรือ เรื่องนี้ ข้าจะฟ้องท่านพ่อของพวกเจ้า…’”
สืออีเหนียงพูด “หลังจากนั้นเล่า” นางได้ยินเสียงของตัวเองแหบลง
“หลังจากนั้น ป้าตู้ก็บอกให้บ่าวกลับมาเจ้าค่ะ” สี่เอ๋อร์พูด “บ่าวไม่กล้าอยู่ต่อ จึงกลับมาที่ห้องเอ่อร์ฝัง ปี้หลัวและบ่าวแอบดูตรงหน้าต่าง ก็เห็นเก๋อจินและคนของไท่ฮูหยินนำถาดไฟเข้าไปข้างใน ต่อมา ไท่ฮูหยินก็เดินออกมาด้วยสีหน้าที่มืดมนเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “บ่าวและปี้หลัวรีบไปที่ห้องหลัก ในห้องมีกลิ่นควัน ถาดไฟที่เก๋อจินยกเข้าไปวางอยู่กลางห้อง ข้างในเต็มไปด้วยขี้เถ้า คุณชายน้อยห้าคุกเข่าอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด คุณชายน้อยสี่จะลากคุณชายน้อยห้าลุกขึ้น แต่คุณชายน้อยห้ากลับไม่ยอมลุกขึ้น บอกว่า เขาทำให้คุณชายน้อยสี่เดือดร้อน แล้วยังบอกว่า หากไท่ฮูหยินเล่าเรื่องนี้ให้ท่านโหวฟัง ท่านโหวต้องตำหนิคุณชายน้อยสี่แน่นอน พูดจบ เขาก็น้ำตาคลอเบ้าเจ้าค่ะ
คุณชายน้อยสี่รีบปลอบใจคุณชายน้อยห้า บอกว่าไม่เป็นไร แล้วยังบอกว่า เรื่องนี้เดิมทีเป็นความผิดของเขา สมควรถูกท่านโหวตำหนิอยู่แล้ว คุณชายน้อยห้าจึงจับแขนเสื้อคุณชายน้อยสี่แล้วบอกว่า ‘ข้าขอโทษพี่สี่’ คุณชายน้อยสี่ก็บอกว่าตัวเองเป็นคนผิด ไม่ควรหยิบบันทึกบทเพลง ‘ตำนานหั่นเหยา’ เข้ามาเจ้าค่ะ…”
“เจ้าว่าอะไรนะ!” สืออีเหนียงตกใจ “คุณชายน้อยสี่หยิบบันทึกบทเพลง ‘ตำนานหั่นเหยา’ เข้ามา?”
สี่เอ๋อร์พยักหน้า “บ่าวได้ยินคุณชายน้อยสี่พูดเช่นนี้เจ้าค่ะ”
“แล้วหลังจากนั้น?” สีหน้าของสืออีเหนียงซีดเซียว
“เพราะพื้นเย็น บ่าวเลยกลัวว่าคุณชายน้อยห้าจะคุกเข่าจนไม่สบาย จึงช่วยคุณชายน้อยสี่จับเขาลุกขึ้นมา ตอนแรกคุณชายน้อยห้าไม่ยอมลุก ปี้หลัวเกลี้ยกล่อมว่า ‘ท่านอย่าให้คุณชายน้อยสี่เป็นห่วงเลยเจ้าค่ะ’ ทันใดนั้นคุณชายน้อยห้าก็เปลี่ยนใจทันที ไม่เพียงแต่ยอมลุกขึ้นยืน แล้วยังจะไปหาไท่ฮูหยิน บอกว่าในเมื่อเรื่องนี้เขาเป็นคนผิด เขาไม่ยอมให้คุณชายน้อยสี่เดือดร้อนไปด้วย คุณชายน้อยสี่รีบห้ามคุณชายน้อยห้า บอกว่า ตอนนี้ไท่ฮูหยินกำลังโมโห ท่านย่าจึงพูดอะไรด้วยความโมโห ประเดี๋ยวท่านย่าหายโมโหแล้ว เขาค่อยไปขอโทษไท่ฮูหยินก็ได้ ไท่ฮูหยินคงจะไม่ว่าอะไร คุณชายน้อยห้าลังเล คุณชายน้อยสี่จึงบอกว่า ‘ท่านย่ารักและเอ็นดูข้ามาตลอด เจ้าเคยเห็นท่านย่าตำหนิข้าเช่นนั้นหรือ’ สีหน้าของคุณชายน้อยห้าจึงผ่อนคลายขึ้นเจ้าค่ะ ปี้หลัวและคนอื่นๆ รีบตักน้ำเข้ามารับใช้คุณชายน้อยทั้งสองท่านล้างหน้าล้างตา ล้างมือและเก็บข้าวของ”
“คุณชายน้อยสี่คือซื่อจื่อ แต่คุณชายน้อยห้า…” พูดถึงตรงนี้ สี่เอ๋อร์ก็หยุดชะงักแล้วพูดเบาลง “บ่าวกลัวว่าถึงตอนนั้นคุณชายน้อยห้าจะเสียเปรียบ จึงบอกให้มั่วอวี้คอยดูแลเขาอยู่ที่นั่น ส่วนบ่าวมารายงานฮูหยินก่อนเจ้าค่ะ…” นางพูดพลางมองดูสีหน้าของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจในใจ
บันทึกบทเพลง คือบันทึกบทเพลงของนักแสดงงิ้วที่สามารถร้องตามได้
หากเป็นเรื่องอื่น นางคงจะกังวลว่าสวีซื่อเจี้ยจะโทษสวีซื่อจุนเหมือนที่สี่เอ๋อร์กังวล แต่มันคือเรื่องของบันทึกบทเพลง…ถึงแม้ว่าสวีซื่อจุนจะเป็นคนนำมาให้สวีซื่อเจี้ย แต่สวีซื่อเจี้ยเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องเหมือนกัน
จิ่นเกอแอบฟังตั้งแต่สี่เอ๋อร์เข้ามาแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมาอยากจะพูดแทรกตั้งหลายครั้ง แต่เมื่อเห็นหน้ามารดาก็พลันนึกถึงคำพูดของนาง เขาจึงพยายามวาดภาพไก่สามตัวให้เสร็จ จากนั้นก็โยนพู่กันลงในกระบอกแล้วพุ่งตัวเข้ามาในอ้อมแขนของสืออีเหนียง “ท่านแม่ พี่สี่และพี่ห้าก่อเรื่องอันใดหรือขอรับ” เขาถามด้วยท่าทีอยากรู้อยากเห็น
มองดูบุตรชายที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ของตัวเอง สืออีเหนียงก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
นางยิ้มแล้วแตะหน้าผากจิ่นเกอเบาๆ “วาดภาพไก่ของเจ้าให้ดี”
จิ่นเกอรีบหยิบกระดาษเฉิงซินให้สืออีเหนียงดู “ท่านแม่ ข้าวาดเสร็จแล้วขอรับ”
ไก่สามตัวกำลังจิกข้าวอยู่ ไม่เพียงแต่วาดไก่ทั้งตัวสมบูรณ์แบบ แถมยังวาดจุดใต้เท้าไก่อีกด้วย
จิ่นเกอชี้ไปที่จุดสองสามจุดนั้น “นี่คือเมล็ดข้าวที่ไก่ทาน”
พยายามวาดภาพนี้ให้เสร็จแล้วค่อยพูด…
บุตรชายของตัวเองพึ่งจะอายุแค่ห้าขวบ!
สืออีเหนียงยิ้ม
นางกอดเขา “จิ่นเกอเก่งจริงเชียว!”
จิ่นเกอดิ้นออกมาจากอ้อมแขนของนาง ก่อนจะยิ้มอย่างภาคภูมิใจแล้วพูดว่า “ท่านแม่ขอรับ เราไปหาพี่สี่กับพี่ห้ากันเถิด ไม่เช่นนั้น พวกเขาจะถูกท่านพ่อเฆี่ยนตี!”
เกิดเรื่องขึ้นแล้วก็ต้องแก้ไข เดิมทีนางก็อยากไปถามสถานการณ์พวกเขาอยู่แล้ว
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ได้เลย” จากนั้นก็ลงมาจากเตียงเตา
สี่เอ๋อร์รีบหมอบตัวลงสวมรองเท้าให้สืออีเหนียง
“ไม่เป็นไร!” สืออีเหนียงหยิบรองเท้าแล้วพาจิ่นเกอไปที่เรือนต้านปั๋วไจ
บรรยากาศในลาดเงียบสงัด สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยตกใจกับการมาของสืออีเหนียง แต่เมื่อเห็นสี่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างหลังสืออีเหนียง พวกเขาก็ได้สติกลับมา
สืออีเหนียงไล่สาวใช้ในห้องออกไป จากนั้นก็ถามสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยอย่างตรงไปตรงมา “เหตุใดท่านย่าถึงได้โมโหขนาดนี้”
สวีซื่อจุนนึกถึงความเป็นห่วงที่ท่านแม่มีต่อตัวเอง เมื่อเห็นสืออีเหนียงเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่สวีซื่อเจี้ยคิดว่าสืออีเหนียงไม่ชอบให้เขาร้องงิ้ว จึงไม่สบายใจเลยก้มหน้าลง สวีซื่อจุนรีบพูดว่า “สองสามวันก่อนข้าเห็นน้องห้าตั้งใจเรียนทุกวัน ขยันขันแข็งเป็นอย่างมาก แม้แต่ขลุ่ยก็ไม่เป่าแล้ว คิดว่าน้องห้าชอบร้องเพลง วันนั้นไปจวนของหวังอวิ่น เห็นลูกพี่ลูกน้องของเขานำบันทึกบทเพลง ‘ตำนานหั่นเหยา’ มาคืนเขา บอกว่าชอบฟังบทเพลงนี้เป็นอย่างมาก จึงนำไปคัดลอกเอาไว้ ข้านึกถึงน้องห้า จึงขอยืมกลับมา คิดว่าสองสามวันนี้มีเวลาจะคัดลอกเอาไว้” พูดถึงตรงนี้ เขาก็พูดเสียงเบาลง “แต่กลับถูกท่านย่าจับได้… บอกว่าพวกข้าไม่ตั้งใจเรียน แล้วเผาบันทึกบทเพลงทิ้ง…” พูดจบ เขาก็ทำสีหน้าลำบากใจ
เพราะว่าไม่รู้จะอธิบายให้หวังอวิ่นฟังเช่นไรใช่หรือไม่
สืออีเหนียงสีหน้ามืดมนลง “เช่นนั้นก็หมายความว่า ท่านย่าไม่ควรเผาบันทึกบทเพลงเช่นนั้นหรือ!”
“ไม่ใช่ขอรับ!” สวีซื่อจุนรีบพูด “มันคือความผิดของข้า ข้าไม่ควรยืมบันทึกบทเพลงมาจากหวังอวิ่น” ปากยอมรับผิด แต่สีหน้ากลับสับสน ทำให้เขาดูทำอะไรไม่ถูก
สืออีเหนียงเข้าใจเขา
หากไม่มีสวีซื่อเจี้ย คนที่คัดลอกบันทึกบทเพลงคือสวีซื่อจุน คนอื่นคงจะคิดว่าเขามีอารมณ์ศิลป์ รวมถึงเขาเองก็คงจะคิดเช่นนี้
ถึงแม้ว่าจะยอมรับผิด แต่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองทำอะไรผิด
แต่สวีซื่อเจี้ยกลับหน้าแดงก่ำ รีบพูดว่า “ท่านแม่ขอรับ มันเป็นความผิดของข้า ข้าไม่ควรบอกพี่สี่ว่าหากมีบันทึกบทเพลงก็คงจะดี...”
“ที่จริงแล้ว การทำผิดพลาดก็ถือเป็นบทเรียนอย่างหนึ่ง” สืออีเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “แต่พวกเจ้าสองคนล้วนแต่มีความผิด!”
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยยืนตัวตรงอย่างไม่สบายใจ
“ท่านย่าของพวกเจ้าพูดถูก” สืออีเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “ท่านพ่อของพวกเจ้าเชิญอาจารย์ที่เก่งกาจเช่นนี้มาสอนหนังสือพวกเจ้า ไม่รู้ว่าเขาต้องใช้ความตั้งใจมากแค่ไหน แต่พวกเจ้ากลับไม่รู้จักหวงแหน แล้วยังไปสนใจเรื่องอื่น ในจวนไม่มีบันทึกบทเพลง ก็ยังไปยืมมาจากหวังอวิ่น ไม่แปลกที่ท่านย่าของพวกเจ้าโมโหจนเผาบันทึกบทเพลงทิ้ง หากเป็นข้า ข้าคงจะลากพวกเจ้าไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชนตั้งนานแล้ว”
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยก้มหน้าลง
“ใครๆ ต่างก็ชอบฟังเพลง” สืออีเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง “ร้องเป็นสองสามท่อนคือเรื่องที่ดี แต่เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่เด็กอย่างพวกเจ้าควรทำ ต้องรู้ว่า พวกเจ้าเป็นเหมือนกับต้นกล้าที่กำลังเติบโต การเรียนเป็นเหมือนลำต้น การร้องเพลงเป็นเหมือนกิ่งและใบ หากไม่ทำให้ลำต้นเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ เช่นนั้นกิ่งและใบจะงอกงามได้เช่นไร แล้วพวกเจ้าจะเข้าใจเสน่ห์ที่แท้จริงของบทเพลงได้เช่นไร ถึงแม้ว่าจะชอบมากแค่ไหน แต่มันก็แค่ผิวเผิน เป็นแค่อารมณ์ศิลป์ก็แค่นั้น!”
เห็นว่าสืออีเหนียงไม่ได้มีท่าทีเหมือนไท่ฮูหยิน สีหน้าของพวกเขาก็ผ่อนคลายลง
“เมื่อครู่พวกเจ้าเขียนบันทึกบทเพลงใช่หรือไม่” สืออีเหนียงถามสวีซื่อเจี้ย “เขียนไปถึงไหนแล้ว”
สวีซื่อเจี้ยตกใจ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าท่านแม่หมายความว่าอะไร แต่เขาก็พูดอย่างรู้ความ “เขียนได้สองหน้าขอรับ”
“เหตุใดถึงเขียนแค่สองหน้า” สืออีเหนียงถาม “ยามเที่ยงพวกเจ้าไม่ได้นอนกลางวันไม่ใช่หรือ ครึ่งชั่วยามกว่าๆ เหตุใดถึงเขียนได้แค่สองหน้า”
“เป็นเพราะไม่รู้จักตัวอักษรบางตัวขอรับ ข้าเลยต้องไปหาในหนังสือ ‘ตีความอักษร’…” พอสวีซื่อเจี้ยพูดจบ สวีซื่อจุนก็ทำสีหน้าครุ่นคิด
สืออีเหนียงถือโอกาสตีเหล็กตอนที่กำลังร้อน “แม้แต่ตัวอักษรก็ยังรู้จักไม่หมดแล้วยังคัดลอกบันทึกบทเพลง ก็คงจะมีแค่พวกเจ้าสองคนที่กล้าทำเช่นนี้!”
พวกเขาสองคนมีสีหน้าลำบากใจ
