“เปล่าขอรับ!” จิ่นเกอและเซินเกอรีบตอบกลับทันที “พวกข้าสบายดีขอรับ”
อาจารย์ผังจ้องมองทั้งสองด้วยความไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ได้ฝึกย่อเข่าตามคำสั่งเขาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็พยักหน้าเบาๆ ด้วยความพึงพอใจ
ยามเหม่าสามเค่อตรง จิ่นเกอก็เดินออกมาจากเรือนซิ่วมู่ จากนั้นก็ตรงไปหาพ่อบ้านไป๋ทันที
“พ่อบ้านไป๋ พ่อบ้านไป๋ ท่านกลัวอะไรที่สุด”
ดวงตาของเขาแวววาวเป็นประกาย ดูน่ารักน่าชังเป็นอย่างมาก พ่อบ้านไป๋อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้น “คุณชายน้อยหกมีธุระอันใดหรือขอรับ”
“ไม่มีอะไร!” จิ่นเกอยิ้มพร้อมกับรีบโบกมือปฏิเสธ “ข้ากลัวห่านที่สุด ก็เลยอยากรู้ว่าพ่อบ้านไป๋กลัวอะไรที่สุด”
คำพูดคำจาของเด็กน้อย พ่อบ้านไป๋ได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดัง
พ่อบ้านไป๋กำลังปรึกษาหารือกับหัวหน้าผู้ดูแลของฝ่ายบันทึกข้อมูลและฝ่ายรายงาน เดือนเจ็ดของทุกปี ผู้ดูแลร้านแต่ละที่ของจวนสกุลสวีจะต้องกลับมาตรวจทานเปรียบเทียบบัญชี นอกจากจะต้องเร่งให้ทางฝ่ายบันทึกข้อมูลรีบตรวจทานบัญชีของครึ่งปีที่ผ่านมาให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อบ้านไป๋ยังต้องจัดการวางแผนดูแลเกี่ยวกับที่พักอาศัยรวมไปถึงอาหารการกินของผู้ดูแลร้านเหล่านั้นอีกด้วย
เมื่อเขาถามมาเช่นนี้ พ่อบ้านไป๋ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบกลับไปว่า “ตอนเด็กบ่าวกลัวแมงมุมมากที่สุด กลัวว่ามันจะปล่อยใยแมงมุมออกมา แล้วเราก็จะติดและออกมาไม่ได้เหมือนกับแมลงพวกนั้น!”
จิ่นเกอได้ยินแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก กล่าวขอบคุณพ่อบ้านไป๋ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นก็เดินกลับไปยังเรือนชั้นใน
พ่อบ้านไป๋เองก็มองตามเงาแผ่นหลังที่กำลังดีใจของจิ่นเกอค่อยๆ ไกลออกไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในเรือน
*****
จิ่นเกอเพิ่งจะก้าวเข้าไปในประตูฉุยฮวา จู่ๆ เซินเกอก็โผล่ออกมาจากด้านหลังของต้นทับทิมที่อยู่ข้างๆ
“ถามได้ความหรือไม่” สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความร้อนใจ “พ่อบ้านไป๋กลัวอะไรขอรับ”
“กลัวแมงมุม!” จิ่นเกอพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ภูมิใจ
เซินเกอจึงค่อยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “เช่นนั้นก็ดี สวนดอกไม้หลังจวนมีแมงมุมเยอะมาก”
จิ่นเกอได้กำชับกับเขาว่า “ช่วงบ่ายตอนที่ข้าไปฝึกคัดอักษร เจ้าอย่าลืมพาหวงเสี่ยวเหมาไปจับแมงมุมมาสักหลายๆ ตัว”
“ท่านวางใจเถิด!” เซินเกอยืดอกรับปาก “ข้าจะเอากล่องเครื่องเคลือบเขียนสีฟ่าหลังของข้าไปด้วย ใส่เต็มหนึ่งกล่อง ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะไม่กลัว!”
วันถัดมา อาจารย์ผังก็ยังคงทำเหมือนเช่นเคย เดินดูเหล่าบรรดาลูกศิษย์ฝึกย่อเข่า
ไม่ว่าจะเป็นหวงเสี่ยวเหมาที่อายุมากกว่าหรือคุณชายน้อยเจ็ดที่อายุน้อยกว่า ทั้งคู่ต่างก็ดูเป็นคนจริงจังและสุขุมหนักแน่น
เขาจึงแอบพยักหน้าเบาๆ
หันไปรับถ้วยน้ำชาจากบ่าวรับใช้ชาย จากนั้นก็หย่อนตัวนั่งลงด้วยความสบายใจ
จู่ๆ บ่าวรับใช้ชายที่อยู่ข้างๆ ก็อุทานเสียงดังด้วยความตกใจ
อาจารย์ผังหมุนตัวกลับไปดูด้วยความรวดเร็วราวกับฟ้าแลบก็ไม่ปาน
บนเก้าอี้ไท่ซือสีดำเงา มีแมงมุมขนาดเท่ากับเล็บมือคลานยั้วเยี้ยไปมาเต็มไปหมด
เหตุใดจู่ๆ ถึงมีแมงมุมเยอะขนาดนี้
อาจารย์ผังขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็ใช้แขนเสื้อกวาดแมงมุมเหล่านั้นลงไปบนพื้น แล้วจึงนั่งลงอย่างสุขุม หยิบฝาน้ำชาเกลี่ยใบชาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำในถ้วยน้ำชาเบาๆ จิบชาไปหนึ่งคำด้วยความใจเย็น
สีสันเขียวสด กลิ่นหอมเข้มข้น หวานลิ้นชุ่มคอ
ไม่เสียทีที่ขึ้นชื่อว่าชาหลงจิ่ง เครื่องบรรณาการชั้นเลิศจากซีหู
จะว่าไปแล้ว ถึงแม้ว่าท่านโหวจะดูสุขุมเยือกเย็น แต่กลับเป็นคนตรงไปตรงมาและกล้าได้กล้าเสีย ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ มิเช่นนั้น สามัญชนธรรมดาเช่นเขาที่ไร้ซึ่งชื่อเสียงเรียงนามจะได้มาสอนวิชาหมัดมวยให้กับคุณชายน้อยของจวนได้อย่างไร และเขาจะได้รับใบชาที่ในวังพระราชทานให้กับจวนหย่งผิงโหวได้อย่างไรกันเล่า
เขาจะต้องตั้งใจฝึกคุณชายน้อยหกให้เก่งกาจ เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณคุณชายใหญ่สกุลเซ่ากับท่านโหว
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ดวงตาของอาจารย์ผังก็ค่อยๆ หรี่ลงเล็กน้อย
สำหรับคนที่กำลังมีแผนการในใจ ถือเป็นสีหน้าท่าทางที่ดูมีความสุขเป็นอย่างมาก
จิ่นเกอและเซินเกอต่างก็หันมาสบตากัน จิ่นเกอก็พยักหน้าให้กับเซินเกอเบาๆ
ตกกลางคืน อาจารย์ผังก็ได้ร่วมดื่มสุรากับผู้ดูแลจวนที่มีความชำนาญในด้านศิลปะการต่อสู้ภายในที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงไม่นานจนเมามาย หลังจากนั้นก็เดินกลับไปยังเรือนซิ่วมู่
แสงจันทร์สว่างจ้า ลมเย็นพัดโชย เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียง
เวลานั้นเอง ก็มีตัวอะไรบางอย่างปีนขึ้นบนขาของเขา
เขาตกใจเป็นอย่างมาก รีบลุกขึ้นนั่งทันที ก็เห็นหนูจำนวนหนึ่งวิ่งออกมาจากผ้านวม
“นี่มันอะไรกัน!” อาจารย์ผังตะโกนเรียกบ่าวรับใช้ชายเสียงดัง
บ่าวรับใช้ชายที่กำลังหิ้วถังน้ำอยู่ก็วิ่งเข้ามาทันที เมื่อเห็นว่าหนูกำลังวิ่งมายังทิศทางที่เขายืนอยู่ ก็ตะโกนร้องลั่นด้วยความตกใจ น้ำในถังที่เขาหิ้วอยู่หกกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด
ทั้งสองพากันไล่ตีหนูไปครึ่งค่อนคืน นอกจากหนูวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงเหล่านั้นแล้ว โชคดีที่ไม่เจอรังหนูในเรือน
เรือนเพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ จึงค่อนข้างร้าง แถมในเรือนยังมีของหวานอีกด้วย หนูคงได้กลิ่นเข้า ก็เลยแอบมาขโมยของกิน
อาจารย์ผังถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วก็รีบเข้านอน เช้าวันรุ่งขึ้นก็ตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันจะสว่าง เขาล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำเย็น สีหน้าท่าทีกลับมากระฉับกระเฉงเหมือนเช่นเดิม
หลังจากกลับไปที่เรือน ก็เจอกับแมลงสาบฝูงใหญ่
เดือนหกเป็นช่วงที่แมลงต่างๆ ออกมาเคลื่อนไหวหรือย้ายแหล่งที่อยู่อาศัย
อาจารย์ผังจึงให้บ่าวรับใช้ชายไปขอผงซยงหวงกับพ่อบ้านไป๋มาโรยรอบๆ เรือน
*****
“เราควรทำอย่างไรดี” สองพี่น้องนั่งเท้าคางอยู่บนขั้นบันไดหินกรวด เซินเกอจ้องมองจิ่นเกอตาปริบๆ “อาจารย์ผังไม่เห็นจะกลัวอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว!”
จิ่นเกอเองก็คาดไม่ถึง เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดว่า “ขอข้าคิดก่อน!”
เซินเกอไม่กล้าพูดอะไรต่อ เขาทอดสายตามองไปยังต้นการบูรที่อยู่ข้างๆ ด้วยความเบื่อหน่าย
เวลานั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงที่ไพเราะและอ่อนโยนของสืออีเหนียงดังขึ้น “พวกเจ้าทั้งสองไม่ไปนอนพักช่วงบ่ายที่เรือน? ออกมาทำอะไรที่นี่”
“ท่านแม่!” จิ่นเกออุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ ราวกับว่ากำลังปิดบังอะไรอยู่ เขาโผเข้าไปในอ้อมกอดของสืออีเหนียงพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อากาศในเรือนร้อนอบอ้าว พวกข้าก็เลยนอนไม่หลับขอรับ!”
เซินเกอได้ยินแล้วก็สะดุ้งโหยง วิ่งเข้าไปกอดแขนของสืออีเหนียงไว้ “ท่านป้าสะใภ้สี่ อากาศร้อนมากขอรับ”
สืออีเหนียงยิ้มพลางโอบกอดเด็กทั้งสองไว้ จากนั้นก็หันไปสั่งกับหู่พั่วว่า “ให้บ่าวรับใช้ชายไปขนน้ำแข็งมาไว้ที่ห้องของจิ่นเกอสักก้อน!” จากนั้นก็จูงมือของจิ่นเกอและเซินเกอไปที่เรือนของจิ่นเกอ “รีบไปนอนพักผ่อนเถิด มิฉะนั้นตอนฝึกคัดอักษรจะไม่มีสมาธิเอาได้!”
ทั้งคู่รีบพยักหน้าทันควัน
เวลานั้นเอง เติงฮวาก็วิ่งมาหานางด้วยความรีบร้อน “ฮูหยิน ท่านเวยเป่ยโหวจู่ๆ ก็เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ท่านโหวเลยสั่งให้บ่าวมาแจ้งข่าวกับฮูหยิน ให้ฮูหยินเปลี่ยนชุดแล้วรีบไปดูหน่อย ตอนนี้ท่านโหวรุดหน้าไปก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตกใจเป็นอย่างมาก “เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกัน เสียชีวิตด้วยสาเหตุอันใด”
ทั้งสองจวนอยู่ติดกัน เวยเป่ยโหวเสียชีวิต หากมีการสร้างเพิงงานศพ แขวนผ้าแพรขาว อย่างน้อยๆ ก็ต้องได้ยินความเคลื่อนไหวบ้างถึงจะถูก แต่ทุกอย่างกลับเงียบเชียบ จู่ๆ ก็ได้รับข่าวการเสียชีวิตเช่นนี้ ตอนเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างเวยเป่ยโหวเองก็ได้เชื้อเชิญสวีลิ่งอี๋ไปร่วมดื่มสุราด้วย สวีลิ่งอี๋กลับมายังพูดอยู่หยกๆ ว่า ‘ขิงแก่ยังคงเผ็ดกว่าเสมอ’…
“ทางฝ่ายรายงานยังไม่ได้รับแจ้งข่าวการเสียชีวิตเจ้าค่ะ” เติงฮวาเป็นคนฉลาดหลักแหลม นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฉะฉานและชัดเจน “ท่านเวยเป่ยโหวซื่อจื่อให้บ่าวรับใช้ชายคนสนิทเป็นคนมาแจ้งข่าว ฟังจากที่พูดมา ดูเหมือนว่าท่านเวยเป่ยโหวกำลังทานอาหารเที่ยงกับท่านเวยเป่ยโหวซื่อจื่ออยู่ แต่จู่ๆ ท่านเวยเป่ยโหวก็ล้มลงบนโต๊ะอาหาร กว่าหมอหลวงจะมาถึง ท่านเวยเป่ยโหวก็หมดลมหายใจไปแล้วเจ้าค่ะ”
เช่นนั้นก็แสดงว่าพึ่งจะเสียชีวิตเมื่อครู่ที่ผ่านมา
ตามหลักแล้ว เมื่อมีคนในตระกูลเสียชีวิต ก็ควรจะรีบแจ้งข่าวมรณะกรรมก่อนเป็นอันดับแรก แต่ทว่า จวนสกุลสวีกับจวนสกุลหลินนั้นเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กัน อีกทั้งยังเป็นญาติที่มาจากการเกี่ยวดอง จวนสกุลหลินมาแจ้งเรื่องกับทางจวนสกุลสวีก่อนก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สั่งให้หงเหวินกับอาจินดูแลจิ่นเกอและเซินเกอต่อ ส่วนนางก็กลับเรือนไปเปลี่ยนเป็นชุดเป้ยจื่อสีน้ำเงินอมเขียวลายก้อนเมฆ ประดับผมด้วยปิ่นมุก แล้วจึงเข้าไปเรียนเรื่องนี้กับไท่ฮูหยิน จากนั้นก็ตรงไปที่จวนเวยเป่ยโหวพร้อมกับหู่พั่วทันที
จวนสกุลหลินเพิ่งจะเริ่มกางเพิงงานศพและแขวนม่านผ้าฝ้ายขาว
ป้ารับใช้คนสนิทของคุณนายใหญ่สกุลหลินกำลังยืนรอนางอยู่ที่หน้าประตูฉุยฮวา รถม้าของนางเพิ่งจะหยุดลง ป้ารับใช้คนนั้นก็รีบเข้ามารับสืออีเหนียงลงจากรถม้าด้วยความกระตือรือร้น จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “คุณนายใหญ่ของบ่าวให้ฮูหยินรอที่ห้องโถงเล็กประเดี๋ยวเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงเห็นว่าป้ารับใช้คนนั้นไม่ได้เปลี่ยนชุด ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ เมื่อไปถึงที่ห้องโถงเล็ก หลังจากสาวใช้รินน้ำชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณนายใหญ่สกุลหลินก็เดินเข้ามาหานางทันที
“เจ้ามาแล้วหรือ พอดีเลย มาช่วยหนุนหลังข้าที” สีหน้าของนางค่อนข้างแย่เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไม่ได้เปลี่ยนชุด นางเข้ามาจูงมือของสืออีเหนียงไปที่เรือนของหลินฮูหยิน “บรรดาญาติๆ ต่างก็เล่าว่าท่านพ่อถูกซื่อจื่อทำให้โมโหจนเสียชีวิตในขณะที่กำลังทานอาหารเที่ยงด้วยกัน” พูดจบดวงตาของนางก็แดงก่ำขึ้นมาทันที “ตอนนี้ทุกคนก็กำลังทะเลาะกันอยู่ด้านนอก!”
สืออีเหนียงตกใจเป็นอย่างมาก “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้”
คุณนายใหญ่สกุลหลินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่โกรธแค้นว่า “สามารถดึงซื่อจื่อลงจากตำแหน่งได้ก็จะดีเป็นอย่างมาก แต่หากว่าไม่สามารถทำได้ พวกข้าก็คงจะถูกสาดโคลนอย่างแน่นอน!”
นี่เป็นปัญหาภายในของจวนสกุลหลิน แต่สวีลิ่งอี๋กลับสั่งให้บ่าวรับใช้มาแจ้งข่าวกับนาง แสดงว่าเขาจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
สืออีเหนียงจึงสงบจิตใจลง จากนั้นก็เดินตามคุณนายใหญ่สกุลหลินเข้าไปในเรือนชั้นในของหลินฮูหยิน
*****
ต้นยามไฮ่ สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋จึงค่อยกลับจากจวนเวยเป่ยโหว
“ข้ารู้ดีว่าอะไรคือการบิดเบือนข้อเท็จจริง เปลี่ยนดำให้เป็นขาว เถียงข้างๆ คูๆ พูดจาเหลวไหลและหยาบคายไร้ซึ่งเหตุผล!” ภพชาติที่ผ่านมาสืออีเหนียงเป็นทนายความ แต่เมื่อนึกถึงคุณนายใหญ่สกุลหลินและเหล่าบรรดาญาติที่เป็นสตรีแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมาเบาๆ
สวีลิ่งอี๋จะไม่รู้ได้อย่างไรกัน
“ระหว่างข้ากับคุณนายใหญ่สกุลหลิน ก็ยังมีบุตรเขยใหญ่อีกทั้งคน” เขายิ้มเจื่อน “นับประสาอะไรกับคุณนายใหญ่สกุลหลินและคนอื่นๆ ที่ล้วนเจรจาด้วยเหตุผล ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลืออย่างแน่นอน”
เช่นนี้ก็จะเป็นผลดีทั้งกับเจินเจี่ยเอ๋อร์และจวนสกุลสวีเอง
สืออีเหนียงถามขึ้นว่า “พรุ่งนี้เรายังต้องไปอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“ไว้ดูสถานการณ์อีกที!” สวีลิ่งอี๋ตอบกลับ “เราได้แสดงเจตนารมณ์ออกไปอย่างชัดเจนแล้ว จวนสกุลหลินยังมีไท่ฮูหยินอยู่ด้วย! อย่างไรเสียหลินไท่ฮูหยินก็คงจะไม่ปล่อยให้เรื่องบานปลายจนกลายเป็นเรื่องตลกขำขันของผู้คนได้!”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ไปหาจิ่นเกอ
จิ่นเกอหลับไปตั้งนานแล้ว ถึงแม้ว่าข้างๆ จะมีอาจินคอยพัดให้เขาอยู่ตลอดเวลา แต่หน้าผากของเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่ออยู่ดี
สืออีเหนียงเข้าไปช่วยจิ่นเกอเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นก็หอมแก้มเขาเบาๆ ไปหนึ่งที แล้วจึงค่อยกลับเรือนไป
“จิ่นเกอหลับแล้วหรือ” สวีลิ่งอี๋กำลังเดินออกมาจากห้องชำระพอดี เขาเปลี่ยนไปสวมชุดคลุมผ้าถักซงเจียงแทน “ช่วงนี้การเรียนของเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“นี่เพิ่งจะสามสี่เดือนเอง” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านโหวใจร้อนไปกระมังเจ้าคะ!”
สวีลิ่งอี๋จึงยิ้มพร้อมกับหยิบพัดขึ้นมา “รีบเข้านอนเถิด! อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว ข้าช่วยเจ้าพัดเอง!”
“ท่านโหวเองก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มพลางแย่งพัดในมือของเขา “ข้าช่วยพัดให้ท่านโหวแทนเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ห้ามสืออีเหนียงเอาไว้ “เหตุใดเจ้าถึงได้จู้จี้จุกจิกเช่นนี้!”
ลมอ่อนๆ พัดโชยความเย็นจากก้อนน้ำแข็งกระทบลงบนร่างกายของสืออีเหนียง เย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ สืออีเหนียงค่อยๆ พลิกตัวหันมากุมมือของสวีลิ่งอี๋ไว้ จากนั้นก็หลับตาลงอย่างช้าๆ ครุ่นคิดอยู่ในใจว่าพรุ่งนี้ควรจะไปถามเรื่องการเรียนของจิ่นเกอกับอาจารย์จ้าวดีหรือไม่ เพียงไม่นานสืออีเหนียงก็หลับไปอย่างไม่รู้ตัว
น่าเสียดายที่แผนการตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลง
หลายวันหลังจากนั้น สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋ต่างก็วุ่นอยู่กับเรื่องของจวนสกุลหลินทั้งคู่ สามวันถัดมา จวนสกุลหลินก็ได้ประกาศแจ้งข่าวมรณกรรม หลินฮูหยินยังคงไม่สามารถยับยั้งเหล่าบรรดาบุตรชายของนางได้ บุตรชายแต่ละคนแบ่งแยกทางใครทางมัน ในจวนชุลมุนวุ่นวายไปหมด สาวใช้ที่ทำหน้าที่รินน้ำชาถูกสั่งให้ไปกวาดพื้น คนเคาะกังสดาลถูกใช้ให้ไปต้อนรับแขก…คนที่มาร่วมงานศพเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก บางคนจุดธูปเสร็จก็ขอตัวกลับเลย ส่วนบางคนที่ค่อนข้างสนิทกับสกุลสวี ก็หาข้ออ้างไปเยี่ยมจวนสกุลสวีแทน สวีลิ่งอี๋ก็ได้พาสวีซื่อจุนออกมาคอยต้อนรับแขกที่ด้านนอก ส่วนสืออีเหนียงก็คอยดูแลเหล่าบรรดาแขกที่เป็นสตรีอยู่ในเรือนชั้นใน ฟังพวกนางซุบซิบนินทาเรื่องของจวนสกุลหลิน เวลานั้นเองก็มีคนจากสกุลเซ่าเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อมาร่วมงานศพและมาเยี่ยมสวีลิ่งอี๋ ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์กำลังพาเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปหาไท่ฮูหยิน ส่วนสืออีเหนียงก็กำลังรอให้นางนำถุงเท้ารองเท้าที่นางทำเองกับมือมาน้อมทักทายตน เมื่อครบเจ็ดวันแรกของงานศพของเวยเป่ยโหว สองสามีภรรยาจึงค่อยมีเวลาหยุดพัก
คุณนายใหญ่สกุลหลินได้นำของขวัญมากล่าวขอบคุณด้วยตัวเอง “เคราะห์ดีที่ได้ท่านโหวช่วยไว้! เดิมทีก็ควรจะต้องมากล่าวขอบคุณพวกเจ้าอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ที่จวนของข้ากำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ก็คงต้องรอให้ออกทุกข์ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
“ล้วนแล้วแต่เป็นญาติพี่น้องกันทั้งนั้น พี่หญิงไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนี้เจ้าค่ะ” ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง สืออีเหนียงเดินออกไปส่งนางที่หน้าประตูฉุยฮวา
เวลานั้นเอง ฉังอานก็วิ่งเข้ามาด้วยอาการหอบ เขาไม่มีเวลาไปสนใจว่าสืออีเหนียงนั้นกำลังส่งแขกอยู่ รีบเรียนนางทันทีว่า “ฮูหยิน ท่านรีบไปดูเถิดขอรับ! อาจารย์ผังกำลังจะเฆี่ยนคุณชายน้อยหกกับคุณชายน้อยเจ็ดขอรับ!”
