สองวันต่อมา หู่พั่วก็กลับมารายงานสืออีเหนียง
“คุณชายน้อยห้ามักจะไปเดินร้านหนังสือ บางครั้งก็ซื้อหนังสือ หลังจากซื้อหนังสือแล้วก็จะไปนั่งอ่านหนังสือในห้องโรงน้ำชาที่อยู่ข้างๆ ไม่ก็ไปฟังเล่าหนังสือที่ห้องโถงโรงน้ำชา คุณชายน้อยห้ามักจะไปร้านหนังสือคนเดียว รู้จักสหายที่ไปฟังเล่าหนังสือที่ห้องโถงโรงน้ำชาสองสามคน คนหนึ่งคือคุณชายน้อยสกุลซุน เป็นคนเจียงหนาน บิดาของเขาคือขุนนางศาลพลเรือนกระทรวงครัวเรือน อีกคนหนึ่งคือคุณชายน้อยสกุลหลิว เป็นคนท้องถิ่น บิดาของเขาเป็นอาจารย์ พวกเขาสามคนมักจะนั่งฟังเล่าหนังสือด้วยกัน เลี้ยงชากัน พูดคุยกัน ไม่ได้ไปมาหาสู่เรื่องอื่นกันเจ้าค่ะ” พูดถึงตรงนี้ นางก็หยุดชะงัก “สามีของซิ่วเหลียนบอกว่า ยามบ่ายของวันนั้น คุณชายน้อยห้าไปสถานที่ที่ชื่อว่าคูน้ำอู่หลิว ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมือง ไปหาคนที่ชื่อว่าหลิ่วขุยเจ้าค่ะ…”
หัวของสืออีเหนียงแทบจะระเบิด “หลิ่วขุย? ใครกัน คูน้ำอู่หลิว? คือที่ไหน”
เรื่องในอดีต หู่พั่วเองก็รู้
“สามีของซิ่วเหลียนบอกว่า คนที่ชื่อหลิ่วขุยเดิมทีเป็นหนึ่งในนักแสดงงิ้วที่มีชื่อเสียงในเยี่ยนจิง เขาชอบเล่นการพนัน ไล่ยืมเงินญาติสนิทมิตรสหายไปทั่ว นานวันเข้าทุกคนก็เลิกไปมาหาสู่กับเขา หลิ่วฮุ่ยฟัง นักแสดงงิ้วที่มีชื่อเสียงในเยี่ยนจิงก็คือบุตรชายของเขา เพื่อช่วยพ่อของตัวเองใช้หนี้การพนัน ถูกขายไปอยู่ในคณะงิ้วตั้งแต่เด็ก ต่อมา หลิ่วฮุ่ยฟังมีชื่อเสียง หลิ่วขุยก็กลับไปเรียกร้องความเป็นพ่อ หลิ่วฮุ่ยฟังไม่ยอมรับว่าตัวเองคือบุตรชายของหลิ่วขุย ตอนนั้นเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ คนในหลีหยวนต่างก็รู้เรื่องนี้กันเกือบทุกคน ต่อมาหลิ่วฮุ่ยฟังถูกโกงเงินไปหมด จึงย้ายไปอยู่กับหลิ่วขุย แปดปีก่อน หลิ่วฮุ่ยฟังออกไปหาสหาย จากนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย ผ่านไปไม่นานหลิ่วขุยก็ล้มป่วย ยื้อเวลาได้สองสามเดือนก็เสียชีวิต เพื่อนบ้านช่วยเขาจัดพิธีศพ ตอนนี้โลงศพยังอยู่ในวัดไม่ได้ฝังเจ้าค่ะ” นางพูดต่อไป “คูน้ำอู่หลิวคือคูน้ำเล็กๆ ที่อยู่นอกประตูเฉาหยาง คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นล้วนแต่เป็นพวกคนชั้นต่ำ ฝนตกตัวก็เต็มไปด้วยโคลน แดดออกตัวก็เต็มไปด้วยดิน หากไม่มีเรื่องอันใด คนทั่วไปไม่มีทางไปที่นั่น…” พูดจบ น้ำเสียงของนางก็มีความลังเล
ดังนั้นจึงซื้อรองเท้าข้างนอกมาเปลี่ยนชั่วคราว!
“แล้วบ่าวรับใช้ที่ติดตามไปเล่า ไม่มีใครรู้หรือว่าเขาไปที่ที่ไม่ควรไปเช่นนี้!” สืออีเหนียงพูดเบาๆ “ไม่มีใครห้ามเขา? แล้วซื่อสี่เล่า เขาหาที่นั่นเจอ ย่อมต้องไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ภายในวันสองวันแน่นอน ไม่มีใครเห็นว่าเขาผิดปกติเลยเช่นนั้นหรือ” พูดถึงตรงนี้ สืออีเหนียงก็รู้สึกหงุดหงิดใจ นางเดินไปมาในห้องด้วยท่าทีโมโห
หู่พั่วรีบพูด “ฮูหยินเจ้าคะ ยิ่งอธิบายยิ่งไม่น่าฟังเจ้าค่ะ” นางพูดเบาๆ “เรื่องบางเรื่อง บ่าวไม่ได้บอกให้สามีของซิ่วเหลียนไปสืบ หากท่านอยากทราบ บ่าวแอบไปถามให้ท่านก็ได้เจ้าค่ะ!” นางพูด “ซื่อสี่เป็นคนฉลาด แต่ในเมื่อคุณชายน้อยห้าอยากจะปิดบังนางก็ย่อมได้ บ่าวคิดว่าเขาคงวางแผนเอาไว้นานแล้ว บ่าวคิดว่าเรื่องนี้…”
เช่นนั้นก็หมายความว่าสวีซื่อเจี้ยไม่อยากให้ใครรู้ตั้งนานแล้ว หากไปสืบ เขาต้องรู้ตัวแน่นอน
สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่ตัวเองถามเขาบ่อยๆ แต่เขาก็ไม่ยอมพูดอะไร
ตอนนี้ไปไล่จับผิดใครไม่ใช่เรื่องฉลาด เรื่องสำคัญตอนนี้ก็คือต้องรู้ให้ได้ว่าสวีซื่อเจี้ยรู้อะไรบ้าง แล้วในใจของเขาคิดเช่นไร การที่เขาผอมลงทุกวันมันต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน!
พอคิดได้เช่นนี้ สืออีเหนียงก็คิดว่าจะรอไม่ได้แม้แต่นิดเดียว นางลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก “ไปดูกันเถิด!”
หู่พั่วไม่กล้าให้ใครตามมา นางออกไปกับสืออีเหนียงสองคน
สวีซื่อเจี้ยไปที่เรือนของสวีซื่อจุน
สืออีเหนียงเดินไปถึงเรือนต้านปั๋วไจ
แต่สวีซื่อเจี้ยไม่ได้อยู่ที่นั่น
เมื่อได้ยินว่าสืออีเหนียงมาหาสวีซื่อเจี้ย สวีซื่อจุนก็ตกใจ จากนั้นก็ประคองแขนสืออีเหนียงเดินไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่าง “ใต้เท้าจัวรองเจ้ากรมกลาโหมลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิด ท่านพ่อให้ข้าไปส่งใต้เท้าจัวด้วยกัน แต่พ่อบ้านไป๋ส่งคนมาบอกว่า ช่วงเทศกาลโคมไฟ ร้านอาหารสองแห่งมีห้องที่ไม่เลวเลยทีเดียว บอกให้ข้าไปดูว่าห้องไหนดีกว่ากัน ข้ากลัวว่าหากข้าออกไปแล้วท่านพ่อจะหาข้าไม่เจอ จึงให้น้องห้าออกไปดูแทนข้าขอรับ” พูดจบ เขาก็เรียกหวังซู่ “ไปรอที่หน้าประตู คุณชายน้อยห้ากลับมาก็มารายงานข้าทันที”
หวังซู่ขานรับแล้วถอยออกไปจากห้อง
สืออีเหนียงมองดูสวีซื่อจุนที่ยิ้มอย่างตื่นตระหนก นางเกิดความสงสัย จึงตัดสินใจรอสวีซื่อเจี้ยกลับมา
“ยามนี้ ห้องชมเทศกาลโคมไฟคงจะจองยากใช่หรือไม่” สืออีเหนียงพูดกับสวีซื่อจุน “ยังสามารถเลือกห้องที่ตัวเองชื่นชอบได้อยู่อีกหรือ”
“ร้านอาหารพวกนั้นฉลาดเสียจริงขอรับ!” สวีซื่อจุนยกชามาให้สืออีเหนียงด้วยตัวเอง จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ “มีคนไปชมเทศกาลโคมไฟทุกปี พวกเขากลัวว่าตัวเองจะทำให้คนที่มีอำนาจไม่พอใจ จึงแอบเหลือห้องดีๆ ไว้สองสามห้อง เหลือไว้ใช้ยามฉุกเฉิน”
“อ้อ!” สืออีเหนียงยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าจุนเกอจะรู้เรื่องพวกนี้ด้วย!”
สวีซื่อจุนพูด “ข้าได้ยินพ่อบ้านไป๋พูด เขายังบอกอีกว่า ต้องเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่ต้องอ้างชื่อสกุลสวี แล้วยังต้องไปสืบว่าใครเป็นคนจองห้องที่อยู่ข้างซ้ายและข้างขวา หากมีเรื่องอันใด คนเหล่านั้นจะได้ระมัดระวังขอรับ…”
พวกเขาสองคนพูดคุยกัน ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม หวังซู่ก็ยังไม่กลับมารายงาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสวีซื่อเจี้ย
สวีซื่อจุนเริ่มจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
จิ่นเกอวิ่งเข้ามา “ท่านแม่ ข้าฝึกคัดตัวอักษรเสร็จแล้วขอรับ” เขาพูดด้วยท่าทีขอความดีความชอบ “ข้าเขียนเสร็จแล้วถึงได้ออกมาจากห้องหนังสือ!”
ตั้งแต่เขาถูกลงโทษ ตอนแรกสืออีเหนียงฝึกคัดตัวอักษรกับเขาตั้งแต่ต้นจนจบทุกวัน แต่ต่อมานางออกมากลางคันสองสามครั้ง วันนี้เป็นครั้งแรกที่นางไม่ได้อยู่ฝึกคัดตัวอักษรกับเขา
“จริงหรือ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วกอดบุตรชายตัวเอง “ไม่เลว ไม่เลว!”
“ข้าจะมอบพระหัตถ์พระพุทธรูปหยกเป็นรางวัลให้เจ้า!” สวีซื่อจุนพูด
จิ่นเกอได้ยินดังนั้นสายตาก็เป็นประกาย แต่เห็นว่าสืออีเหนียงไม่พูดอะไร เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ “ไม่เป็นไรขอรับ ท่านแม่บอกว่า ไม่ควรอยากได้สิ่งของของคนอื่นตามอำเภอใจ แล้วยังห้ามขโมยของของคนอื่นอีกด้วย!”
“ข้ามอบให้เจ้า เจ้าไม่ได้อยากได้เองเสียหน่อย!” สวีซื่อจุนจับมือจิ่นเกอ “พระหัตถ์พระพุทธรูปหยกวางอยู่บนโต๊ะของข้า เจ้าลองไปดูว่าชอบหรือไม่”
“ข้าไม่ไปขอรับ” จิ่นเกอไม่ขยับไปไหน พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
สืออีเหนียงแอบพยักหน้าเบาๆ “จุนเกอ เจ้าไม่ต้องตามใจเขา เขาก็แค่ทำตามหน้าที่ของตัวเอง” พูดจบ นางก็โอบไหล่บุตรชายตัวเองอย่างสนิทสนม “แต่ว่า เจ้าตั้งใจฝึกคัดตัวอักษรตามที่แม่บอก แม่ต้องให้รางวัลเจ้า เย็นวันนี้เราทำลูกชิ้นสิงโตทานดีหรือไม่”
“ดีขอรับ!” เมื่อเห็นว่ามารดาชื่นชมตัวเอง จิ่นเกอก็ดีใจ “ข้าจะทานสามลูกขอรับ!”
“แล้วข้าไม่ให้เจ้าทานตั้งแต่เมื่อไรกัน!” สืออีเหนียงหัวเราะ
สวีซื่อจุนและบ่าวรับใช้ในห้องต่างก็พากันหัวเราะ
หวังซู่รีบวิ่งเข้ามา “คุณชายน้อยห้ากลับมาแล้วขอรับ!”
สวีซื่อจุนได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าตกใจ เขาลุกขึ้นยืน “รีบเชิญคุณชายน้อยห้าเข้ามาเร็วเข้า ท่านแม่รอเขาอยู่!”
ตื่นตระหนกเช่นนี้!
สืออีเหนียงหรี่ตามองเขา
รู้สึกถึงสายตาแปลกๆ ของมารดา สวีซื่อจุนก็นั่งลงด้วยท่าทีไม่สบายใจ “ท่านแม่ ข้ากลัวท่านจะรอนาน...” เขาพูดด้วยท่าทีรู้สึกผิด
สืออีเหนียงยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร
หวังซู่เชิญสวีซื่อเจี้ยเข้ามา
สีหน้าของสวีซื่อเจี้ยซีดขาว เอ่ยเรียก “ท่านแม่” จากนั้นก็ก้มหน้าลงไม่พูดไม่จา
“เจ้าไปช่วยข้าดูห้องไม่ใช่หรือ” สวีซื่อจุนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “เป็นอย่างไรบ้าง เลือกห้องไหน?”
“ข้า ข้า…” เขาหน้าแดงก่ำ มองไปที่สืออีเหนียง จากนั้นก็มองไปที่สวีซื่อจุน พูดตะกุกตะกักอยู่นาน
เจี้ยเกอไม่เคยโกหกนาง
สืออีเหนียงถอนหายใจเบาๆ นางลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ ที่ข้าออกมาลานนอกก็เพราะอยากมาหาพวกเจ้าสองพี่น้อง ในเมื่อพวกเจ้ามีเรื่องจะคุยกัน ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวกลับก่อน เรื่องเทศกาลโคมไฟ พวกเจ้าก็ระวังด้วย อย่าให้มีปัญหาอะไร”
สวีซื่อจุนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่สวีซื่อเจี้ยกลับมีสีหน้ารู้สึกผิด เมื่อสืออีเหนียงเดินออกไปเขาก็ดึงแขนเสื้อสืออีเหนียง “ท่านแม่ขอรับ ข้า ข้า … “
สืออีเหนียงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ด้วยความอดทน
สีหน้าของสวีซื่อเจี้ยกระอักกระอ่วน สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไร
สืออีเหนียงกอดสวีซื่อเจี้ยอย่างสนิทสนม จากนั้นก็ออกมาจากเรือนต้านปั๋วไจ
สวีซื่อจุนลากสวีซื่อเจี้ยเข้าไปข้างใน เขาเดินเข้าไปพร้อมกับบอกหวังซู่ “เจ้าเฝ้าอยู่ที่ประตู อย่าให้ใครเข้ามา!”
หวังซู่ตอบรับแล้วเดินออกไป
สวีซื่อจุนปิดประตูเสียงดัง
“เจ้าไปไหนมา” สวีซื่อจุนพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “สองวันที่ผ่านมาข้าไปหาเจ้า ซื่อสี่บอกว่าเจ้าไปร้านหนังสือ แต่บ่าวรับใช้ของเจ้ากลับบอกว่าเจ้าไปฟังเล่าหนังสือที่โรงน้ำชา เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
สวีซื่อเจี้ยก้มหน้าลงมองอิฐใต้ฝ่าเท้าตัวเองแต่ไม่ได้ตอบอะไร
“เจ้าก่อเรื่องอะไรข้างนอกใช่หรือไม่” สวีซื่อจุนครุ่นคิด เขาพูด “ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ควรเล่าให้ข้าฟัง ข้าจะได้ให้เกาผานหรือไม่ก็เถาเฉิงไปช่วยจัดการให้ คนในจวนไม่มีทางรู้แน่นอน”
สวีซื่อเจี้ยไม่พูดไม่จา ยังคงเงียบเหมือนเดิม
“ได้ เจ้าไม่ยอมพูด เช่นนั้นข้า… ข้า…” ข้าอยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร
สวีซื่อจุนกระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิด เล่าเรื่องที่สืออีเหนียงนั่งรอเขาทั้งช่วงบ่ายวันนี้ให้เขาฟัง “…หรือว่าเจ้าอยากให้ท่านแม่เป็นห่วงเจ้าตลอดเวลาเช่นนั้นหรือ”
“ไม่ใช่ขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยเงยหน้าขึ้นมาด้วยสายตาที่มีความหวาดกลัว “เพราะข้าไม่อยากให้ท่านแม่เป็นห่วงข้า…” นึกถึงท่าทีที่สืออีเหนียงรอให้เขาอ้าปากพูดเมื่อครู่ น้ำตาก็พลันรื้นขึ้นมาเต็มขอบตา “ข้าพูดไม่ได้ พูดไม่ได้ขอรับ!” เขาหมอบลงบนพื้น กุมหัวแล้วร้องไห้ออกมา “ข้าไม่ได้อยากไปตามหานาง ข้าก็แค่อยากรู้ว่านางเป็นคนเช่นไร…ข้ามาจากไหน…ท่านแม่ดีกับข้าราวกับข้าเป็นลูกแท้ๆ ข้ากลัวว่าหากท่านแม่รู้แล้วท่านแม่จะเสียใจ…แต่ข้าทำไม่ได้…คิดไม่ถึงว่านางคือสตรีจำพวกนั้น…ท่านพ่อต้องถูกนางหลอกอย่างแน่นอน…หากข้าไม่ใช่…ท่านแม่ก็จะไม่ต้องการข้าใช่หรือไม่…”
สวีซื่อจุนกลับฟังไม่เข้าใจเลยสักประโยค
เขาถามสวีซื่อเจี้ย แต่สวีซื่อเจี้ยกลับร้องไห้แล้วเม้มปากแน่น
ทันใดนั้น สวีซื่อจุนพลันนึกถึงเรื่องในวัยเด็กขึ้นมา…
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มองสวีซื่อเจี้ยแต่ไม่พูดอะไรอยู่นาน
*****
ทันทีที่ออกมาสืออีเหนียงก็บอกหู่พั่ว “เจ้าไปเรียกว่านต้าเสี่ยนมาหาข้า!”
หู่พั่วย่อเข่าคำนับแล้วเดินออกไป
แต่สองสามวันต่อมา สวีซื่อเจี้ยกลับตั้งใจเรียน ไม่ออกไปไหนอีกเลย
สืออีเหนียงกำลังแปลกใจ สวีซื่อจุนกลับเริ่มออกไปข้างนอกบ่อยๆ
นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วถามสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหวให้จุนเกอออกไปทำธุระข้างนอกหรือเจ้าคะ”
“เขาจะพาจิ่นเกอและคนอื่นไปชมเทศกาลโคมไฟไม่ใช่หรือ” ช่วงนี้สวีลิ่งอี๋เฝ้าจิ่นเกอฝึกคัดตัวอักษร เขาพูดส่งๆ “บอกว่าเตรียมการไว้ล่วงหน้า จึงออกไปดูรอบๆ เขาไม่ได้ตั้งใจทำอะไรเช่นนี้บ่อยนัก ข้าจึงตอบตกลง!”
