เมื่อถึงวันที่สิบแปดเดือนสาม นายท่านใหญ่ก็ได้ตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อบูชาเซ่นไหว้บรรพบุรุษ และก็ได้พูดถึงเรื่องข้อควรระมัดระวังในระหว่างการสอบ จากนั้นก็ไปรวมตัวพร้อมนายหญิงใหญ่ คุณนายใหญ่ อู่เหนียง สือเหนียงและสืออีเหนียง พร้อมด้วยเหล่าบรรดาสาวใช้แม่เฒ่า เพื่อไปส่งหลัวเจิ้นซิ่งที่หน้าประตูใหญ่อย่างครึกครื้นเสียงดัง
รถม้าถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยตั้งนานแล้ว บ่าวรับใช้ถือโคมไฟประคองหลัวเจิ้นซิ่งขึ้นรถม้า รถม้าค่อยๆ วิ่งไปไกลจนลับตา แต่นายหญิงใหญ่ยังคงยืนชะเง้อมองอยู่ที่เดิม
“กลับกันเถิด!” นายท่านใหญ่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ยังอีกตั้งหลายวัน!”
การสอบขุนนางระดับเคอจวี่ จะสอบสามครั้งรวด จนถึงวันที่ยี่สิบเอ็ดการสอบถึงจะเสร็จสิ้น
นายหญิงใหญ่พยักหน้าเบาๆ แล้วจึงเดินตามนายท่านใหญ่เข้าเรือนไป ระหว่างทางยังบ่นพึมพำว่า “ไม่รู้ว่าคุณชายเฉียนมีคนดูแลหรือเปล่า”
“เจ้าอย่าเป็นกังวลใจมากเกินไป!” นายท่านใหญ่พูดขึ้นว่า “เรื่องแบบนี้ แผนอยู่ที่คน ผลอยู่ที่ฟ้า ไม่เช่นนั้น บุคคลที่มีความรู้ความสามารถมากมายจะสอบไม่ผ่านเยอะแยะขนาดนี้ได้อย่างไรกัน”
นายหญิงใหญ่ได้ยินแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงไม่ได้บ่นต่อ หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วก็เริ่มสวดมนต์ คุณนายใหญ่เองก็รู้สึกจิตใจไม่ค่อยสงบเท่าไรนัก จึงตามไปสวดมนต์กับนายหญิงใหญ่ด้วย
ผู้คนที่อยู่เต็มห้องโถงเงียบเชียบ เดินย่องเสียงเบา
เมื่อถึงมื้อเที่ยง คุณชายสี่หลัวเจิ้นเซิงก็มาถึง
นายท่านใหญ่ได้ยินแล้วสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที เมื่อหลัวเจิ้นเซิงเข้ามา นายท่านใหญ่ก็โยนตะเกียบในมือไปที่หน้าของคุณชายสี่ “…รู้จักกลับมาด้วยหรือ วันนี้พี่ใหญ่ของเจ้าลงสอบ รู้เรื่องบ้างหรือไม่”
หลัวเจิ้นเซิงในวัยสิบหกปีกำลังอยู่ในช่วงเจริญพันธุ์ ร่างกายสูงโปร่ง ผ่ายผอมและซีดเซียว เวลายืนก็มักจะหลังค่อมไม่ตรง พลอยทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขากำลังกลัวหัวหด
เมื่อเห็นว่าบิดาของเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ก็ตกใจจนใบหน้าซีดเผือด ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าขยับ ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรดี
เมื่อนายหญิงใหญ่ที่อยู่ข้างๆ เห็นเหตุการณ์แล้วก็หันไปส่งสายตาให้กับป้าสวี่ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นมาพูดเกลี้ยกล่อมว่า “พอแล้วพอแล้ว พอได้แล้ว เด็กไม่เคยได้ออกไปเที่ยวข้างนอก กลับมาช้าก็เป็นเรื่องปกติ วันนี้เป็นวันดีของซิ่งเกอ ท่านก็อย่าโมโหโกรธเคืองไปเลย ระวังจะ…” คำพูดที่เหลือก็ถูกกลืนลงคอไป แล้วจึงเปลี่ยนไปพูดว่า “ไม่เหมาะควร”
นายท่านใหญ่จ้องหลัวเจิ้นเซิงตาเขม็ง นายหญิงใหญ่จึงรีบหันไปสั่งอู๋เซี่ยวเฉวียนที่อยู่ข้างๆ คนที่ไปรับหลัวเจิ้นเซิงกลับจากทงโจวก็คืออู๋เซี่ยวเฉวียน “คุณชายสี่รีบเดินทางกลับมาก็คงจะเหนื่อยมากแล้ว รีบไปทานมื้อเที่ยงก่อนเถิด!”
หลัวเจิ้นเซิงจึงได้รีบทำความเคารพนายท่านใหญ่และนายหญิงใหญ่ จากนั้นก็ได้ตามอู๋เซี่ยวเฉวียนถอยออกไป
ส่วนทางอู่เหนียงเมื่อได้ยินข่าวแล้วก็ได้ให้สาวใช้จื่อเวยไปต้อนรับ “คุณชายสี่ ท่านกลับมาจนได้!”
แต่หลัวเจิ้นเซิงกลับรีบดึงมือของจื่อเวย “พี่จื่อเวย รีบไปบอกพี่หญิงห้าเร็วเข้า ตี้จิ่นป่วยแล้ว”
จื่อเวยตกใจไปชั่วขณะ หันไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อของหลัวเจิ้นเซิง นางขานรับแล้วจึงรีบไปหาอู่เหนียงทันที
ตี้จิ่นอายุมากกว่าหลัวเจิ้นเซิงสองปี นางปรนนิบัติรับใช้เขาตั้งแต่ยังเล็ก เคารพและภักดีกับเขามาโดยตลอด เป็นคนที่อี๋เหนียงสามและอู่เหนียงไว้ใจที่สุด เมื่อได้ยินว่านางล้มป่วย อู่เหนียงก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก จึงรีบลงจากเตียงเตามาสวมรองเท้า “คุณชายสี่พักอยู่ที่ใด”
“พักอยู่ที่เรือนปีกทางฝั่งทิศตะวันออกเจ้าค่ะ!” จื่อเวยตอบกลับด้วยความลังเลเล็กน้อย
จู่ๆ ท่าทางของอู่เหนียงก็ช้าลง นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าไปดูว่าตี้จิ่นไม่สบายตรงไหน ที่ข้ายังพอมียาเม็ดไป่เหอกู้จิน ยาเม็ดจื่อสือสวินจื้อและยาเม็ดอู่หลิงอยู่บ้าง…”
จื่อเวยขานรับแล้วจึงรีบไปดูตี้จิ่นทันที
ตี้จิ่นใบหน้าขาวซีด สีหน้าเศร้าซึม “เพราะข้าแท้ๆ การเดินทางของคุณชายสี่ถึงได้ล่าช้า ข้าไม่เป็นไรหรอก เจ้าไปเรียนคุณหนูห้าว่าข้าเพียงแค่เมาเรือเท่านั้น”
จื่อเวยเห็นว่าสีหน้าของนางไม่ดีเท่าไรนัก จึงได้ปลอบใจนางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยกลับไปหาอู่เหนียง
แต่อู่เหนียงก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจนัก จึงได้ให้จื่อเวยนำยาเม็ดไป่เหอกู้จินไปให้ตี้จิ่นนิดหน่อย
เมื่อพวกนางเข้าๆ ออกๆ เช่นนี้ สืออีเหนียงก็พลอยได้ข่าวไปด้วย จึงได้ให้หู่พั่วไปถามไถ่ข่าวคราว หู่พั่วกลับมาเรียนว่า “พี่ตี้จิ่นเมาเรือเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงจึงได้ให้หู่พั่วนำชาหลงจิ่งไป “ดื่มชาเจือจางเสียหน่อย อาการจะได้ดีขึ้นบ้าง”
ตี้จิ่นกล่าวขอบคุณน้ำใจของสืออีเหนียง จากนั้นหู่พั่วก็อยู่คุยเป็นเพื่อนนางครึ่งค่อนวัน ระหว่างนั้นก็มีสาวใช้ยกซุปเข้ามา ตี้จิ่นได้กลิ่นแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยดีเป็นอย่างมาก เริ่มเวียนหัวและอยากจะนอน เมื่อหู่พั่วเห็นแล้วจึงได้ขอตัวกลับก่อน จากนั้นก็ได้ไปเรียนเรื่องนี้กับสืออีเหนียง “…ที่บ้านเกิดเรื่อง ตอนช่วงแรกๆ อี๋เหนียงห้ามักจะร้องไห้อยู่เป็นประจำ ต่อมาอู๋เซี่ยวเฉวียนก็ได้ไปชี้แนะอี๋เหนียงห้าอยู่เสมอ ตอนที่ตี้จิ่นและคนอื่นๆ มาถึงนั้น อี๋เหนียงห้าก็ดีขึ้นมากแล้ว ยังไปทานเจระยะยาวตามอาจารย์ที่วัดฉืออานอีกด้วย”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะแสดงแววตาเศร้าสร้อยออกมา
อู่เหนียงอายุยังไม่ถึงสามสิบเสียหน่อย!
หู่พั่วรู้ว่าสืออีเหนียงเป็นห่วงมารดา แต่เป็นห่วงแล้วจะมีประโยชน์อันใด นอกเสียจากว่าจะแต่งงานออกเรือน
เมื่อมีความคิดเช่นนี้ นางก็รู้สึกตกใจในความคิดของตัวเองเป็นอย่างมาก จึงได้รีบเปลี่ยนเรื่องไปคุยอย่างอื่นแทน “คุณหนู คุณชายสี่ไปหานายท่านใหญ่มาแล้ว ไม่รู้ว่านายท่านใหญ่จะจัดการคุณชายสี่อย่างไร”
“เรื่องมันจบไปแล้ว ก็คงจะกล่าวตักเตือนไม่กี่คำหรอกกระมัง” สืออีเหนียงรวบรวมสติพร้อมกับตอบกลับไป จากนั้นก็ได้ให้บ่าวรับใช้ไปเอาเข็มและด้ายมานั่งเย็บปักถักร้อยต่อ
หู่พั่วเห็นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก นางเดินไปหยิบเก้าอี้ไม้มานั่งลงข้างๆ สืออีเหนียง ช่วยอู่เหนียงทำรองเท้าและถุงเท้าแต่งงาน คุณนายใหญ่ได้นำแบบมาให้คนในเรือนของสืออีเหนียงปักเย็บตาม
นายท่านใหญ่เป็นดังเช่นที่สืออีเหนียงพูดไว้ไม่มีผิด อบรมดุด่าหลัวเจิ้นเซิงไปยกใหญ่ ก็หายโมโหไปมาก อีกทั้งยังเห็นสีหน้าท่าทีหัวหดตัวหดของเขา จึงได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วได้ให้เขากลับออกไป
เขาจึงรีบไปหาอู่เหนียงทันที
อู่เหนียงเองก็ได้ติติงเขาไปยกใหญ่ “…เจ้าให้คนอยู่ดูแลตี้จิ่นที่ทงโจว แล้วเจ้าก็รีบพาคนกลับมาก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่ก็ดันหาเรื่องอยู่นานวันเช่นนี้ ท่านพ่อแค่โยนตะเกียบใส่เจ้า ถือว่าน้อยไปเสียด้วยซ้ำ”
หลัวเจิ้นเซิงยิ้มขึ้นเล็กน้อยด้วยความเชื่อฟัง
อู่เหนียงส่ายหน้าเล็กน้อย ยิ้มด้วยความเอือมระอาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เมื่อใดหนอที่เจ้าจะไม่ทำตัวให้ผู้อื่นต้องเป็นกังวลใจ!” จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “อี๋เหนียงสามดีขึ้นบ้างแล้วหรือเปล่า!”
หลัวเจิ้นเซิงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พวกท่านเดินทางจากมาไม่นาน นางก็เป็นไข้ลมหนาว ข้าจึงได้ไปเชิญท่านหมอจากจวนหังโจวมารักษาอาการป่วยของอี๋เหนียง อีกทั้งยังใช้โสมและรังนกอย่างดี ไม่นานอี๋เหนียงก็จะหายป่วยในเร็ววันอย่างแน่นอน”
อู่เหนียงได้ยินแล้วก็เบิกตากว้าง “ทำไมเจ้าถึงได้มาเชิญท่านหมอไปรักษาอี๋เหนียงถึงจวนหังโจว ที่อวี๋หังไม่มีหมอรักษาแล้วหรืออย่างไรกัน ยังใช้โสมและรังนกอย่างดีอีก เจ้าไปเอามาจากห้องเก็บของหรือว่าไปซื้อจากข้างนอกมา หากเอามาจากห้องเก็บของ ก่อนที่เจ้าจะมาเจ้าซื้อคืนแล้วหรือยัง”
เมื่อหลัวเจิ้นเซิงได้ยินคำพูดที่พี่หญิงพูด ก็อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “ทำไมท่านถึงพูดเหมือนอี๋เหนียงไม่มีผิด…”
อู่เหนียงตบโต๊ะเบาๆ ไปทีหนึ่ง “โสมกับรังนกพวกนั้นเจ้าไปเอามาจากไหน”
หลัวเจิ้นเซิงตกใจสะดุ้งรีบตอบกลับว่า “เอามาจากห้องเก็บของ แต่อี๋เหนียงได้ให้ข้าซื้อไปคืนแล้ว”
อู่เหนียงจึงค่อยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปในทันที “เจ้าทำตัวดีๆ หน่อย วันๆ อย่าหาแต่เรื่อง หากครั้งนี้พี่เขยของเจ้าผ่านการสอบคัดเลือก ข้าจะให้เขาหาตำแหน่งงานให้เจ้า ไปเป็นนักวางแผนอะไรทำนองนี้…เจ้าจะได้ไม่ต้องหวาดระแวงเช่นทุกวันนี้”
เมื่อหลัวเจิ้นเซิงได้ยินแล้วก็รู้สึกค่อนข้างมึนงง “พี่เขยอะไร พี่เขยพี่หญิงสี่หรือ หากเขาจะจ้างนักวางแผนแน่นอนว่าเขาคงจะจ้างพี่สามอยู่แล้ว จะตกมาถึงข้าได้อย่างไรกัน”
จื่อเวยที่อยู่ข้างๆ ก็ได้ปิดปากหัวเราะเบาๆ “เป็นคุณหนูของเราเองเจ้าค่ะ! คุณหนูของเราเพิ่งจะหมั้นหมายเมื่อหลายวันก่อน ลูกเขยเป็นสหายร่วมคณะของคุณชายใหญ่ที่สำนักศึกษา วันนี้ก็ได้เข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อด้วยเจ้าค่ะ”
หลัวเจิ้นเซิงได้ยินแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที “จริงหรือ เรื่องจริงหรือ! นี่ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก!”
อู่เหนียงหัวเราะเบาๆ โดยที่ไม่ออกเสียง
ในขณะที่สองพี่น้องกำลังดีใจอยู่นั้น สาวใช้ของหลัวเจิ้นเซิงก็ได้เข้ามาเรียนว่า “คุณชายสี่ เมื่อครู่นี้พี่ตี้จิ่นอ้วกอีกแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินแล้ว สีหน้าของหลัวเจิ้นเซิงก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แล้วจึงรีบหันไปพูดกับพี่หญิงด้วยความเร่งรีบว่า “ประเดี๋ยวข้าค่อยมาหาท่านใหม่” จากนั้นก็ได้เดินตามสาวใช้ออกไป
อู่เหนียงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น “ตี้จิ่นคนนี้ เปลี่ยนไปเป็นคนเปราะบางตั้งแต่เมื่อใดกัน”
เมื่อพูดจบ จื่อเวยก็เข้ามาเรียนว่า “คุณหนู มีคนจากจวนหย่งผิงโหวมาเชิญนายหญิงใหญ่อีกแล้วเจ้าค่ะ”
อู่เหนียงอึ้งไปเล็กน้อย พร้อมกับพูดพึมพำว่า “หรือจะยื้อไว้ไม่ไหวแล้ว…”
*****
นายหญิงใหญ่ตามเยียนหงไปยังที่พักของหยวนเหนียงด้วยความเร่งรีบ เมื่อเดินเข้าประตูไปก็ตกใจเป็นอย่างมาก
ในห้องเต็มไปด้วยผู้คนมากมายแต่เงียบสนิท ฮูหยินสาม ฮูหยินห้า เหวินอี๋เหนียงรวมไปถึงเฉียวอี๋เหนียงที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ในมือกำลังถือผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาอยู่
หัวใจของนายหญิงใหญ่หล่นฮวบไปหมด
นางกำลังจะเอ่ยปากถาม เว่ยจื่อสาวใช้คนสนิทของไท่ฮูหยินก็ได้เดินออกมาต้อนรับพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังว่า “นายหญิงใหญ่ เชิญตามบ่าวมาเจ้าค่ะ” พูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง
นายหญิงใหญ่จึงได้เดินตามเข้าไป
ก็เห็นไท่ฮูหยินกำลังนั่งร้องไห้อยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ด้านข้างยังมีขันทีเน่ยซื่อ[1]ท่านหนึ่งสวมเสื้อคอกลม ที่อกเสื้อปักลายดอกทานตะวันยืนอยู่ข้างๆ
เมื่อเห็นว่านายหญิงใหญ่เข้ามา ขันทีเน่ยซื่อท่านนั้นก็ได้แสดงออกด้วยสีหน้าที่เห็นอกเห็นใจ
นายหญิงใหญ่เหมือนจะพอเข้าใจขึ้นมา จู่ๆ ก็ขาอ่อนและก้าวเท้าไม่ออก
ป้าสวี่จึงได้รีบเข้าไปประคองนายหญิงใหญ่ทันที
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ไท่ฮูหยินจึงได้ลุกขึ้นมา นางเช็ดน้ำตาพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “นายหญิงใหญ่ ท่านมานั่งตรงนี้เถิด!” น้ำเสียงสะอึกสะอื้นเล็กน้อย
นายหญิงใหญ่รู้สึกไม่สบายไปทั้งตัวเหมือนจะเป็นลมให้ได้ มีป้าสวี่ช่วยประคองอยู่ นางค่อยๆ ก้าวเท้าเดินตรงไปยังข้างเตียงของหยวนเหนียง “หยวนเหนียง หยวนเหนียง…”
ใบหน้าของหยวนเหนียงขาวซีดราวกับกระดาษ สีปากม่วงซีด นางนอนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ แม้แต่การกระเพื่อมหายใจก็แทบจะรู้สึกไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
นายหญิงใหญ่อดไม่ได้ที่จะเข้าไปกุมมือบุตรสาวของตนไว้ พร้อมกับเรียกชื่อของนาง “หยวนเหนียง” เปลือกตาของหยวนเหนียงขยับเล็กน้อย นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
ดวงตาที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งจุดหมายของนางคู่นั้น แววตาสั่นไหวเล็กน้อย ไร้ซึ่งความโกรธใดๆ
“ท่านแม่!” นางตะโกนเรียกด้วยเสียงที่แผ่วเบา
น้ำตาของนายหญิงใหญ่ไหลรินดุจเม็ดฝนก็ไม่ปาน “ใช่แล้ว แม่เอง”
หยวนเหนียงเม้มปากเล็กน้อย นางอยากจะยิ้ม แต่แล้วก็ไม่ได้ยิ้มออกมา
“หากข้าตายแล้ว จุนเกอก็มอบให้น้องสิบเอ็ดของข้าเป็นคนดูแล” นางพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงที่ดังและฉะฉานชัดเจน จากนั้นก็เริ่มหายใจหอบ
นี่เป็นคำสั่งเสียก่อนสิ้นใจของบุตรสาว…
นายหญิงใหญ่อดกลั้นต่อไม่ไหวจึงได้ร้องไห้ออกมา พลางพูดขึ้นเสียงดังว่า “แม่รู้แล้ว แม่รู้แล้ว!”
เวลานั้นเอง ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
จากนั้นหยวนเหนียงก็ใช้แรงตะโกนเรียกขึ้นอีกครั้ง “ลี่ว์เอ้อร์”
ลี่ว์เอ้อร์ขานรับด้วยน้ำตาที่นองหน้า “เจ้าค่ะ” จากนั้นหยวนเหนียงก็ได้ล้วงกล่องไม้ใบเล็กที่แกะสลักด้วยลวดลายสีแดงออกจากใต้หมอน
“มอบให้ผู้สูงศักดิ์ที” หยวนเสียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “วอนผู้สูงศักดิ์ช่วยข้าถวายให้ฮองเฮาด้วยเจ้าค่ะ”
ลี่ว์เอ้อร์จึงนำไปมอบส่งให้กับขันทีเน่ยซื่ออย่างนอบน้อม
ขันทีเน่ยซื่อโค้งตัวคำนับพร้อมกับขานรับขึ้นว่า “ขอรับ” บรรยากาศในห้องก็เงียบสนิทลงทันที แต่ยังคงได้ยินเสียงสูดลมหายใจและเสียงสะอึกสะอื้นหลงเหลืออยู่บ้าง ขันทีเน่ยซื่อยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความนอบน้อมว่า “ฮูหยินวางใจ ข้าน้อยจะต้องส่งถึงมืออย่างแน่นอน”
“นี่เป็นสาส์นกราบทูลที่ข้าจะถวายแด่ฮองเฮา” หยวนเหนียงยิ้มขึ้นเล็กน้อยที่มุมปาก “วอนฮองเฮาได้โปรดเมตตาเห็นอกเห็นใจถึงความรักของมารดาอย่างข้าที่มีให้แก่บุตรชายด้วยเถิด”
“วางใจเถิด” ไท่ฮูหยินสะอึกสะอื้นขึ้นมา “เรื่องนี้ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”
หยวนเหนียงจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง “ท่านแม่ ข้าอยากเจอจุนเกอ!”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วจึงได้หันไปสั่งให้บ่าวรับใช้ไปอุ้มจุนเกอมา
เพียงครู่เดียว แม่นมก็ได้อุ้มจุนเกอมาถึง
จุนเกอเบิกตากว้าง แววตาตื่นตระหนก เมื่อมองเห็นมารดาของตน ก็จะเข้าไปหาท่าเดียว
แม่นมไม่กล้าปล่อยมือ จุนเกอจึงพยายามจะดิ้นให้หลุด “ท่านแม่ ท่านแม่…”
หยวนเหนียงยื่นมือขึ้นกลางอากาศ แต่สุดท้ายมือคู่นั้นก็ร่วงหล่นลงมา
ไท่ฮูหยินสะอื้นเสียงแผ่วเบา “ปล่อยเขาไปเถิด…”
แม่นมจึงค่อยกล้าที่จะปล่อยจุนเกอลงบนพื้น
จุนเกอจึงวิ่งตรงเข้าไปหามารดาของตนทันที
“ท่านแม่ ท่านแม่…” เขาปีนขึ้นไปบนเตียงของมารดา “ท่านไม่นอนแล้วหรือ”
หยวนเหนียงยิ้มขึ้น “อีกประเดี๋ยวแม่ก็จะนอน แต่ว่า ตอนที่แม่นอนไปแล้ว เจ้าจะต้องเชื่อฟังสืออีเหนียงนะ”
“สืออีเหนียงเป็นใครกัน” จุนเกอไม่เข้าใจ จึงเอียงคอมองมารดาของเขาด้วยความสงสัย “ทำไมข้าจะต้องเชื่อฟังคำพูดของนางด้วย ข้าเชื่อฟังคำพูดของท่านแม่ไม่ดีกว่าหรือขอรับ”
นายหญิงใหญ่อดไม่ได้ที่จะร้องไห้เสียงดังออกมา
[1]ขันทีเน่ยซื่อ ขันทีที่ปฏิบัติงานในเขตพระราชฐานชั้นใน
