“ข้าเข้าใจเจตนาของเจ้า” สืออีเหนียงย้ายโต๊ะบนเตียงเตาริมหน้าต่าง ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงข้างสวีซื่อเจี้ย “แม้ว่าข้ากับท่านพ่อของเจ้าจะไม่ได้ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร ทั้งยังมีพี่ชายของเจ้าคอยดูแล แต่เจ้าก็อยากจะทำให้ดีที่สุด”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!” สวีซื่อเจี้ยรีบพยักหน้า ดวงตาเป็นประกาย “ข้าหมายความเช่นนี้ขอรับ!”
“เช่นนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเจ้าจะเอาอะไรมาแสดงความกตัญญูต่อข้าและท่านพ่อของเจ้า” สืออีเหนียงมองเขาด้วยสายตาอบอุ่น
“ดังนั้นข้าจึงคิดอยากสอบคัดเลือกขุนนาง” สวีซื่อเจี้ยพูดเสียงเบา ท่าทางเขินอายเล็กน้อย “เช่นนี้ข้าก็จะได้มีงานทำ พอมีเงินเดือนก็จะซื้อของให้ท่านแม่ได้”
ถ้าหากสวีซื่อเจี้ยตั้งใจเรียนหนังสือเพราะเหตุนี้ เขาก็จะสามารถสอบผ่านจู่เหริน หรือไม่ก็ระดับจิ้นซื่อ ต่อให้เขาจะไม่ได้รับราชการ แต่ในสายตาของคนทั่วไปเขาก็นับว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ สามารถนั่งอยู่ในระดับเดียวกันกับข้าราชการ ได้รับการยกเว้นภาษี ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย “หากต้องการสอบขุนนางเพื่อเข้ารับตำแหน่ง ก็ต้องสอบผ่านระดับจิ้นซื่อ ซึ่งหากต้องการเข้าสอบจิ้นซื่อ ก็ต้องสอบจู่เหรินก่อน หากจะสอบจู่เหริน ก็ต้องสอบผ่านซิ่วไฉก่อน การสอบซิ่วไฉต้องสอบทั้งหมดสามรอบ รอบแรกเป็นการสอบระดับมณฑล รอบสองเป็นการสอบระดับเมืองหลวง รอบสามเป็นการสอบระดับราชสำนัก การสอบระดับมณฑลจะแบ่งสอบเป็นสี่รอบ รอบแรกกับรอบสองเป็นการสอบหนึ่งเรียงความและหนึ่งบทกวี รอบสามจะเป็นการสอบหนึ่งบทเพลงกับหนึ่งบทกวี บางครั้งก็อาจเป็นการสอบหนึ่งนโยบายกับหนึ่งทฤษฎี รอบสี่เป็นการสอบรอบสุดท้ายซึ่งเป็นการสอบศิลปะสามหรือสี่แขนง…” นางเล่าขั้นตอนการสอบให้สวีซื่อเจี้ยฟัง
สวีซื่อเจี้ยได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกตื่นเต้น “ท่านแม่ ถ้าอย่างนั้นตราบใดที่ข้าตั้งใจเรียนบทกวี บทประพันธ์ และบทเพลง ก็จะสามารถสอบผ่านระดับมณฑลได้ใช่หรือไม่ขอรับ”
“ใช่แล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มพลางพูดว่า “จะปลูกเรือนก็ต้องเริ่มจากการวางรากฐานแล้วค่อยๆ ก่ออิฐขึ้นมา การสอบขุนนางก็เช่นกัน จะต้องตั้งใจเรียนเพื่อสอบระดับมณฑลให้ดีก่อน หากสอบผ่านแล้วพวกเราค่อยไปสอบระดับเมืองหลวงและระดับราชสำนัก”
“ขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย เดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้าสืออีเหนียง “เช่นนี้ ตราบใดที่ข้าตั้งใจเรียนตามคำแนะนำของท่านอาจารย์ ก็จะสามารถเข้าร่วมการสอบระดับมณฑลได้แล้ว!”
“ใช่แล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มพลางพูดว่า “แต่ว่าการที่จะสอบผ่านระดับมณฑลได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย…”
นางยังไม่ทันพูดจบ สวีซื่อเจี้ยก็หันมาดึงแขนเสื้อสืออีเหนียง “ท่านแม่ ท่านวางใจได้ ข้าจะเข้มงวดกับตัวเอง จะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน…”
สืออีเหนียงหัวเราะ
แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร แต่การที่สวีซื่อเจี้ยมีความมุ่งมั่น จะเป็นการดีกว่าที่จะไม่ทำลายความมั่นใจของเขาในตอนนี้
“เจ้าควรบอกเรื่องนี้กับอาจารย์จ้าวด้วย” นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดกำชับว่า “อาจารย์จ้าวเคยเข้าร่วมการสอบขุนนาง เป็นคนมีประสบการณ์ หากเขารู้แผนของเจ้า ในเวลาเรียนก็จะสามารถให้คำแนะนำที่สำคัญแก่เจ้าได้ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็จะมีโอกาสที่จะได้เข้าร่วมการสอบระดับมณฑลมากขึ้น…”
ขณะที่สองแม่ลูกกำลังพูดคุยกัน จิ่นเกอก็คัดตัวอักษรตามเส้นสีแดงเสร็จแล้ว นั่งอ่านบันทึกการเดินทางที่สืออีเหนียงวางทิ้งไว้บนโต๊ะด้วยความเบื่อหน่าย มองหาตัวอักษรที่ตัวเองรู้จักอยู่เงียบๆ
อาจินยกผลอิงเถาเข้ามา “คุณชายน้อยหก มันเขียนเกี่ยวกับอะไรหรือเจ้าคะ”
“อ้อ!” จิ่นเกอพูดอย่างไม่แน่ใจว่า “เล่าเรื่องที่มีคนผู้หนึ่งไปจุดธูปบูชาที่ผู่ถัว”
เมื่ออาจินเห็นว่าเขาดูท่าทางเบื่อหน่าย จึงอยากจะแกล้งให้เขามีความสุข เมื่อเห็นเขานั่งพลิกหน้าหนังสือไปมาจึงเข้าไปหาแล้วพูดว่า “เรื่องแสวงบุญอย่างนั้นหรือเจ้าคะ บ่าวได้ยินป้าหวงที่อยู่เรือนนอกบอกว่า ทุกวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือนแรกจะมีงานวัด บรรดาสตรีที่เป็นคนธรรมดาทั่วไปจะสวมเสื้อผ้าสีสันสวยงาม เดินเคียงไหล่กันไปจุดธูปบูชา บรรยากาศครึกครื้นเป็นอย่างมาก ในเมื่อคนผู้นี้เล่าเรื่องการไปงานวัดของเขา จะต้องเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างแน่นอน คุณชายน้อยหก ท่านเล่าให้ข้าฟังหน่อยเถิดว่าคนผู้นี้พูดเกี่ยวกับอะไรบ้างเจ้าคะ”
ความรู้เรื่องตัวอักษรของจิ่นเกอไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาเข้าใจสิ่งที่เขียนในหนังสือ เมื่อเห็นว่าอาจินมองเขาด้วยความสนอกสนใจ เขาจึงรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ก็ไม่อยากแสดงให้อาจินรู้ว่าตัวเองไม่มีความรู้ “ก็แค่เล่าว่าเขาไปยังผู่ถัวที่เป็นสำนักของพระโพธิสัตว์กวนอิม!” พูดจบก็กลัวว่าอาจินจะไม่เชื่อ เขารีบเปิดหนังสือแล้วชี้ไปที่ตัวอักษรในนั้น “เจ้าดูสิ มันเขียนว่า ‘ตำหนักต้าสยงเป่า’ ตรงนี้เขียนว่า ‘สวดบทบูชาพระโพธิสัตว์กวนอิม’ ส่วนตรงนี้เขียนไว้ว่า ‘สีเขียวปกคลุมไปทั่ว’ …กล่าวคือในฤดูร้อนเขาได้ไปจุดธูปบูชาพระโพธิสัตว์กวนอิมที่ผู่ถัว!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้วเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าความรู้เรื่องตัวอักษรของจิ่นเกอมีพอที่จะสามารถอ่านได้ต่อเนื่อง อาจินจึงจ้องมองจิ่นเกอด้วยความภาคภูมิใจ “ในที่สุดคุณชายน้อยหกก็ได้แตกฉานความรู้ที่ได้รับจากอาจารย์แล้ว หนังสือหนาถึงเพียงนี้ก็ยังรู้ว่าเขียนเกี่ยวกับอะไร”
จิ่นเกอหลบหลีกสายตาของนางด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย แล้วหันมาหยิบผลอิงเถาใส่ปาก
อาจินจ้องมองหนังสือเล่มนั้นแล้วพูดพึมพำว่า “คุณชายน้อย ผู่ถัวอยู่ที่ไหนหรือ เหตุใดบ่าวไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือว่าอยู่ไกลกว่าซีซานเจ้าคะ” นางทำงานอยู่ในจวนมาตั้งแต่เด็ก ได้ออกจากจวนไปไกลที่สุดก็แค่ซีซาน
จิ่นเกอเองก็ไม่เคยได้ยินเช่นเดียวกัน
“ก็ไม่แน่!” สมองของจิ่นเกอแล่นอย่างรวดเร็ว “ชายผู้นี้บอกว่าเขาขี่ลาไป ถ้าหากอยู่ไกลก็ควรจะนั่งรถม้า หรือไม่ก็ไปนั่งเรือที่ทงโจว ดังนั้นแสดงว่าไม่ได้ไกลมาก” เขาพูดอย่างคาดเดาว่า “บางทีอาจจะไม่มีชื่อเสียงมากนัก ดังนั้นเราเลยไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“คุณชายน้อยพูดได้สมเหตุสมผลเจ้าค่ะ” อาจินพยักหน้าอย่างจริงจัง “บ่าวได้ยินป้าตู้บอกว่าไท่ฮูหยินของพวกเราเคยะไปจุดธูปบูชาที่หวาซาน อีกทั้งท่านก็มักจะออกไปเปิดหูเปิดตากับไท่ฮูหยินและฮูหยินอยู่บ่อยๆ แม้แต่ท่านก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน เห็นได้ชัดว่าผู่ถัวแห่งนี้นั้นไม่เป็นที่รู้จักเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ที่มีธุระมาหาสืออีเหนียงยืนอยู่หน้าประตู ทนฟังต่อไปไม่ได้
นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน
เหตุใดถึงได้พูดจาเหมือนสตรีโง่เขลาข้างถนนแบบนั้น!
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย กระแอมเบาๆ
คนในห้องหนังสือได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวทันที
“ท่านพ่อ!”
“ท่านโหว!”
คนหนึ่งวิ่งไปอย่างตื่นเต้น อีกคนหนึ่งย่อเขาคำนับ
“ท่านมาได้อย่างไรกัน!” จิ่นเกอดึงมือสวีลิ่งอี๋เดินเข้าไปในห้องหนังสือ ชี้ไปที่ผ้าไหมสู่จิ่นบนผนัง “ดูดีหรือไม่ เป็นของขวัญวันเกิดที่พี่สี่มอบให้ท่านแม่ขอรับ”
“ดูดีมาก!” สวีลิ่งอี๋เหลือบมอง ถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้ามอบของขวัญอะไรให้ท่านแม่ของเจ้า” แล้วพูดต่อไปว่า “แล้วท่านแม่เจ้าเล่า เหตุใดถึงทิ้งเจ้าไว้ที่นี่คนเดียว ไม่ได้บอกว่าตอนบ่ายจะคัดตัวอักษรหรอกหรือ”
“ข้ามอบพัดงาช้างให้ท่านแม่ขอรับ!” จิ่นเกอยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ท่านแม่ชื่นชอบมากเลยเอาไปวางไว้ข้างหมอน” จากนั้นก็วิ่งไปหยิบตัวอักษรที่ตัวเองคัดเสร็จแล้วมาให้บิดาดู “ข้าคัดตัวอักษรเสร็จตั้งนานแล้ว” เขามุดเข้าไปในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋อย่างโหยหา “ท่านแม่กับพี่ห้ากำลังพูดคุยกันอยู่ที่ห้องข้างๆ!”
เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นว่าจิ่นเกอเขียนตัวอักษรได้อย่างประณีตและเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็พยักหน้าเล็กน้อย “หนังสือที่อาจารย์ให้ท่อง ท่องแล้วหรือยัง”
“ท่องเสร็จตั้งนานแล้วขอรับ” จิ่นเกอโยกศีรษะพลางท่องเนื้อหาให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
พูดคล่องแคล่วเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋ทดสอบสองสามประโยค
ตอบได้อย่างฉะฉาน ซ้ำยังพูดอธิบายได้อีกมากมาย
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่อาจารย์จ้าวสอนเขา เขาสามารถเรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย
“ในเมื่อทำการบ้านเสร็จหมดแล้ว เหตุใดยังไม่ออกไปเล่นอีก” สวีลิ่งอี๋จิบชาที่อาจินยกมาให้ด้วยความพึงพอใจ
“ท่านแม่บอกว่าไม่ให้ข้าวิ่งซนไปไหน” จิ่นเกอพูดด้วยความเบื่อหน่าย “ท่านแม่กำลังพูดคุยอยู่กับพี่ห้า ข้าต้องรอให้พวกเขาคุยกันเสร็จก่อนแล้วค่อยไปรายงานท่านแม่ขอรับ” พูดพลางทำท่าทางดีใจขึ้นมา “ท่านพ่อ ข้าจะบอกท่านให้ว่าสุนัขของข้าใกล้จะคลอดลูกแล้ว รอให้มันคลอดลูกออกมา ข้าจะส่งให้พี่สามสกุลอวี๋หนึ่งตัว ให้จี้ถิงหนึ่งตัว แล้วก็ให้กานไท่ฮูหยินหนึ่งตัว…”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าบุตรชายมีใบหน้าสดใสเมื่อได้พูดถึงสิ่งที่ตัวเองชอบ พลันนึกถึงท่าทางเบื่อหน่ายเมื่อครู่นี้…
ตั้งแต่ที่สืออีเหนียงสั่งสอนจิ่นเกออย่างรุนแรงในตอนนั้น จิ่นเกอก็เชื่อฟังมากขึ้น อารมณ์ดีมากขึ้น แล้วก็รู้ประสามากขึ้น ไม่มุทะลุเหมือนเมื่อก่อน แต่ความกล้าหาญที่ทำให้ตนรู้สึกชื่นชมกลับน้อยลงเล็กน้อย
ในหัวของเขามีภาพใบหน้าที่เชื่องฟังราวกับเด็กสาวของสวีซื่อเจี้ยปรากฏขึ้นมา
“จิ่นเกอ” เขาอุ้มบุตรชายขึ้นมา “เจ้าอยากไปขี่ม้ากับพ่อหรือไม่!”
จิ่นเกอดวงตาเป็นประกาย แต่ก็เผยให้เห็นถึงความลังเลในทันที
“ท่านพ่อ” ใช้หางตาเหลือบมองอาจินที่ยืนอยู่ด้านข้าง เข้าไปกระซิบข้างหูสวีลิ่งอี๋เบาๆ ว่า “ตอนนี้ข้าไม่อยากขี่ม้า ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าผู่ถัวอยู่ที่ใด”
สวีลิ่งอี๋ชะงักไปครู่หนึ่ง
จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังลั่น
“ได้!” เขาอุ้มจิ่นเกอเดินออกไปด้านนอกพลางกำชับอาจินและคนอื่นๆ ว่า “พวกเจ้าไม่ต้องตามมา ถ้าหากฮูหยินถาม ก็บอกว่าข้ากับคุณชายน้อยหกอยู่ที่ห้องหนังสือ”
******
สวีลิ่งอี๋หยิบกล่องไม้สีแดงมาจากห้องหน่วนเก๋อที่อยู่หลังห้องหนังสือ เปิดแผนที่จิ่วโจวที่ซ้อนอยู่ในกล่องอย่างระมัดระวัง แล้วกางลงบนโต๊ะไม้หวงลี่ขนาดใหญ่
“เห็นหรือไม่ เส้นสีดำหนาคือแม่น้ำ เส้นที่บางกว่าคือถนน เส้นที่เป็นขีดแหลมๆ คือภูเขา เส้นที่ดูเหมือนเมฆคือทะเลสาบ และเส้นที่ดูเหมือนเกล็ดปลาคือมหาสมุทร…เจ้าเห็นหรือไม่ว่ามีกลุ่มเกาะเล็กๆ ตามแนวชายฝั่ง และผู่ถัวก็เป็นหนึ่งในนั้น รวมอยู่กับอู่ไถ เอ๋อเหมย จิ่วหวา สถานที่เหล่านี้เรียกว่าสี่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธ…”
สีหน้าของจิ่นเกอเปลี่ยนไปในทันที
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็รู้สึกขบขัน ชี้ไปที่ภูเขาอีกสองสามลูกให้จิ่นเกอดู
“ผู่ถัวอยู่ที่โจวซานในเจ้อเจียง…” เขาชี้ไปที่จุดเล็กๆ ไม่ไกลจากโจวซาน “นั่นคืออวี๋หัง” เมื่อพูดถึงตรงนี้ มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย “บ้านเกิดท่านตาเจ้าอยู่ที่นี่ ท่านแม่ของเจ้าเติบโตที่นี่ พึ่งเข้าเมืองหลวงมาตอนนางอายุสิบสามปี…”
จิ่นเกอเห็นดังนั้นก็พูดด้วยความตกใจว่า “เหตุใดถึงเล็กขนาดนี้!”
“นี่เป็นการวาดตามอัตราส่วนหนึ่งต่อแสน” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางใช้นิ้วเปรียบเทียบให้ดู “นี่คือเยี่ยนจิง นี่คืออวี๋หัง แต่จากเยี่ยนจิงไปอวี๋หังต้องให้เวลาเดินทางหนึ่งเดือนกว่า”
จิ่นเกอรู้สึกตื่นเต้น “ท่านพ่อ ท่านพ่อ ทงโจวอยู่ที่ไหนหรือขอรับ”
“เจ้าหาเองเถิด!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ข้าบอกให้เจ้ารู้วิธีดูแผนที่แล้วไม่ใช่หรือ”
จิ่นเกอหมอบหาบนโต๊ะหนังสือขนาดใหญ่
ในยุคนี้แผนที่เป็นสมบัติที่เงินไม่สามารถซื้อได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแผนที่ในมือของสวีลิ่งอี๋ที่เป็นแผนที่ทางทหาร ซึ่งมีความแม่นยำและชัดเจนมากกว่าแผนที่ทั่วไป เขาชอบมันมาตลอด ตอนออกจากราชการก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าต้องส่งคืน บรรดารองแม่ทัพเหล่านั้นก็ย่อมแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด ขุนนางกรมกลาโหมก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าสวีลิ่งอี๋ ไปบ่นให้บรรดารองแม่ทัพเหล่านั้นฟังก็ไม่มีใครสนใจ เรื่องนี้จึงได้จบลงอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ สวีลิ่งอี๋ซ่อนแผนที่นี้ไว้ในห้องหนังสือของเขามาโดยตลอด
“ท่านพ่อ” ไม่นานจิ่นเกอก็ชี้ไปที่จุดเล็กๆ จุดหนึ่ง “ทงโจว!”
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจเล็กน้อย
“จากทงโจวมาถึงเยี่ยนจิงใช้เวลาเพียงแค่สองวัน” จิ่นเกอรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย “แค่หารอบๆ เยี่ยนจิงก็เจอแล้ว!”
“ไม่เลว ไม่เลว!” สวีลิ่งอี๋ชื่นชมเป็นอย่างมาก
จิ่นเกอลองเปรียบเทียบบนแผนที่ “หากไปอวี๋หังจะต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่า ระยะทางจากอวี๋หังไปโจวซานก็ไกลขนาดนี้…เช่นนั้นจากเยี่ยนจิงไปผู่ถัวจะไม่ต้องใช้เวลาถึงสองเดือนเลยหรือขอรับ”
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้าใจแผนที่ได้
สวีลิ่งอี๋อดเลิกคิ้วไม่ได้ มองบุตรชายด้วยสายตาเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม
