สืออีเหนียงหัวเราะ “ท่านหาภรรยาให้เจี้ยเกอหรือว่าหาเพื่อนให้ข้ากันแน่เจ้าคะ หากท่านหาภรรยาให้เจี้ยเกอ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ต้องรอดูไปก่อน แต่หากท่านหาเพื่อนให้ข้าคงไม่จำเป็นกระมัง ภรรยาของอวี้เกอและจุนเกอล้วนแต่เป็นเด็กกตัญญูเจ้าค่ะ…” นางพูดพลางกุมมือสวีลิ่งอี๋ “ท่านพ่อท่านแม่จากเราไปก่อน เวลาของลูกๆ ยังอีกแสนไกล เราก็แค่หวังว่าแก่ไปแล้วจะมีคนอยู่ด้วย…” ขณะที่นางกำลังพูด สายตาของสวีลิ่งอี๋ก็สดใสขึ้นมาราวกับพระอาทิตย์ยามฤดูร้อน สืออีเหนียงหัวใจเต้นแรง นางหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
“ข้ารู้!” สวีลิ่งอี๋กุมมือนางกลับ “แล้วแต่เจ้าเถิด” เขาคิดว่าตัวเองพูดไม่ชัดเจน “ต่อไปข้าจะอยู่กับเจ้าบ่อยๆ” มองนางด้วยสายตาที่จริงจัง
สืออีเหนียงไม่ได้ต้องการคำสัญญาจากเขา
นางแค่อยากบอกสวีลิ่งอี๋ว่า คนที่สามารถอยู่ด้วยกันไปจนถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตคือคู่ชีวิต ไม่จำเป็นต้องสู่ขออิงเหนียงให้เจี้ยเกอเพียงเพราะนาง และแน่นอน หากอิงเหนียงกับเจี้ยเกอมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน เช่นนั้นมันก็อีกเรื่องหนึ่ง
แต่มือที่จับมือนางอย่างแนบแน่นกำลังบอกนางว่า เขาอยากจะแสดงความรู้สึกอะไรบางอย่าง…
สืออีเหนียงมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่มีความลังเล
มือของเขานั้นอบอุ่น เต็มไปด้วยพละกำลัง และมั่นคงราวกับก้อนหิน พลอยทำให้นางรู้สึกปลอดภัยและสบายใจ
สืออีเหนียงรู้สึกอุ่นใจ
ข้างนอกมีเสียงผู้ดูแลหญิงพูดขอร้องให้หู่พั่วเข้ามารายงาน นอกหน้าต่าง แสงอาทิตย์ฤดูใบไม้ร่วงสาดส่องเข้ามาในลาน สาวใช้น้อยสองสามคนยืนยิ้มเก็บดอกแมงมุมแดงอยู่ในลาน
โลกใบนี้ช่างวุ่นวาย แต่หัวใจของนางกลับสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
*****
หลังจากนั้น สวีลิ่งอี๋ก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่สืออีเหนียงกลับเริ่มคิดเรื่องแต่งงานของเจี้ยเกออย่างจริงจัง
ปีนี้สวีซื่อเจี้ยอายุสิบสี่ปี ตามหลักแล้ว เขาควรจะแต่งงานได้แล้ว แต่สืออีเหนียงอยากให้เขาสอบบัณฑิตซิ่วไฉก่อน ถึงตอนนั้นจะได้สู่ขอภรรยาง่ายหน่อย
สู่ขออิงเหนียงให้สวีซื่อเจี้ย ให้ลูกหลานของสกุลหลัวแต่งงานกับลูกหลานสกุลสวี…ยุคโบราณไม่เหมือนยุคปัจจุบัน สมัยก่อนไม่ว่าความสัมพันธ์ของสามีภรรยาจะดีแค่ไหน แต่หากแม่สามีไม่ชื่นชอบ บอกให้ทั้งสองหย่ากันก็ต้องหย่ากัน ในทางตรงกันข้าม ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาไม่ดีแค่ไหน แต่หากแม่สามีโปรดปราน อยากหย่าก็ไม่มีทางได้หย่า ตราบใดที่เป็นลูกสะใภ้ของสกุลนี้ สกุลนี้ก็จะปกป้อง ดังนั้น เลือกแม่สามีสำคัญกว่าการเลือกสามีเสียอีก นางเป็นอาหญิงของอิงเหนียง หากสกุลสวีไปสู่ขอ ทางฝั่งสกุลหลัวไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน แต่นางนึกถึงสวีซื่อเจี้ย...ในบรรดาพี่น้อง เขาเป็นคนที่โดดเดี่ยวเดียวดายที่สุด หากสู่ขออิงเหนียง…สกุลหลัวมีลูกหลานมากมาย สวีซื่อเจี้ยเป็นคนอ่อนไหว อิงเหนียงเป็นคนร่าเริง…สวีซื่อเจี้ยไม่ใช่ผู้ใหญ่แล้วก็ไม่ใช่เด็ก ยิ่งได้รับความสนใจจากญาติผู้ใหญ่น้อยเท่าไร แรงกดดันก็ยิ่งน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้ว เขามีนิสัยซื่อสัตย์และมีความพยายาม อิงเหนียงเป็นบุตรสาวคนโตของภรรยาเอก เป็นบุตรคนแรกของบิดามารดา เป็นแบบอย่างของพี่น้อง ไม่เพียงแต่ต้องให้ความสำคัญกับนาง แล้วยังต้องตั้งใจสั่งสอนนาง เด็กเช่นนี้มักจะมีความรับผิดชอบ รู้จักดูแลผู้อื่น…มองจากแง่มุมนี้ พวกเขาทั้งสองคนเหมาะสมกัน บวกกับความสนิทสนมของสกุลหลัวและสกุลสวี ไม่ว่าจะเป็นหลัวเจิ้นซิ่งหรือว่าสวีซื่อจุน พวกเขาล้วนแต่สนิทสนมกับสวีซื่อเจี้ย
สืออีเหนียงคิดว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่เลวเลยทีเดียว
ยามที่สวีซื่อเจี้ยมาคารวะนาง นางสำรวจมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ท่านแม่ขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยแปลกใจ ก้มหน้าลงมองดูเสื้อผ้าและรองเท้าของตัวเอง ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติก็ยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่ “ท่านมีอะไรหรือ”
“ไม่มี ไม่มี” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเรียกเขาเข้าไปหา “นั่งลงคุยกันเถิด… ช่วงนี้การเรียนของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
สืออีเหนียงไม่ค่อยถามการเรียนของเขาตรงไปตรงมาเช่นนี้ นางมักจะถามว่าวันนี้เขาเรียนอะไร เข้าใจเรื่องที่อาจารย์สอนหรือไม่ อยากไปถามท่านลุงที่ตรอกกงเสียนหรือไม่ สวีซื่อเจี้ยจึงตื่นตระหนก “เรื่องอื่นไม่มีปัญหา แต่อาจารย์ไม่ค่อยพอใจกับบทความที่ข้าเขียน”
“หากไม่ไหวจริงๆ ก็นำบทความที่คนอื่นเขียนมาท่องสักสองสามบท จำไว้ว่าพวกเขาเริ่มต้นอย่างไร จบอย่างไร จากนั้นก็ฝึกเขียนเลียนแบบ เวลาผ่านไปนานเข้า เจ้าต้องพัฒนาขึ้นแน่นอน”
“สอนอะไรกัน” สืออีเหนียงเพิ่งจะพูดจบ สวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามาด้วยเสียงหัวเราะ “ตั้งใจฟังอาจารย์สอน อาจารย์สอนเช่นไรเจ้าก็ฝึกเช่นนั้น!”
ยามท่านพ่อและท่านแม่พูดคุยกัน มักจะมีความอ่อนโยนที่คนอื่นไม่มีเสมอ ทุกคนในครอบครัวยังสัมผัสได้ นับประสาอะไรกับสวีซื่อเจี้ย
เขายิ้มแล้วเหลือบมองมารดา จากนั้นก็ขานรับ “ขอรับ” อย่างนอบน้อม ตอบคำถามเรื่องเรียนของสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็ขอตัวกลับเรือน
สืออีเหนียงเดินไปนั่งข้างสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหว ข้าคิดว่าเรื่องที่ท่านพูดไม่เลวเลยทีเดียว แต่ว่าข้ายังต้องดูนางก่อน ท่านคิดว่า หาข้ออ้างอะไรให้นางมาที่เยี่ยนจิงดีเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนได้สติกลับมา เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าก็บอกว่าประเดี๋ยวจิ่นเกอต้องย้ายออกไปลานนอกแล้ว เจ้าอยู่คนเดียว จึงอยากให้อิงเหนียงมาอยู่เป็นเพื่อน แล้วอีกอย่าง หากส่งจดหมายไปอวี๋หังตอนนี้ หลังปีใหม่ก็ถึงเดือนสามพอดี พวกเจ้าจะได้ไปเดินเล่นที่วัด ไปเที่ยวกัน”
เหตุผลง่ายๆ เช่นนี้ แต่นางกลับคิดไม่ออก
เพราะรู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ
สืออีเหนียงเหงื่อตก
“เป็นความคิดที่ดี! ข้าจะเขียนจดหมายส่งไปอวี๋หังประเดี๋ยวนี้” นางตอบรับ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “เงินของยงอ๋องรวบรวมครบแล้วหรือยังเจ้าคะ”
“ครบแล้ว” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “เถ้าแก่ร้านต้าเฟิงเฮ่าไม่ธรรมดาจริงๆ เงินสองแสนตำลึง ไม่รับดอกเบี้ยแม้แต่ตำลึงเดียว แล้วยังมอบซองแดงห้าหมื่นตำลึงให้พ่อบ้านไป๋อีก มีเงินจำนวนมากขนาดนี้ เหตุใดเขาถึงกังวลว่าจะทำกิจการไม่สำเร็จ”
“เงินจำนวนมากขนาดนี้ ก็ต้องมีเงินทุนจำนวนมาก” สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว “ท่านโหวรู้จักร้านต้าเฟิงเฮ่าดีหรือไม่”
“ไม่ต้องห่วง! ข้ารู้ดี” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปว่า “ให้ยืมเงินสองแสนห้าหมื่นตำลึง ดอกเบี้ยรายปีไม่มาก ถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะค่อนข้างต่ำ แต่ตามบนหนังสือสัญญาแล้วไม่มีอะไรผิดแน่นอน สำหรับพวกเขา ไม่ว่าเขาจะมีเบื้องหลังเช่นไรก็คงไม่กล้าทำอะไรต่อหน้าข้า” พูดจบก็ขมวดคิ้วก็ด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง
เห็นเขาเดินเล่นอยู่จวนทุกวัน จนลืมไปแล้วว่าเขาคือราชครู
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้
ราษฎรไม่สู้รบปรบมือกับขุนนาง ไม่ว่าร้านต้าเฟิงเฮ่าเป็นใครมาจากไหน หากสวีลิ่งอี๋ไม่โลภมากคิดแต่จะเอาเงินของร้านต้าเฟิงเฮ่า ร้านต้าเฟิงเฮ่าไม่มีทางทำอะไรเขาได้จริงๆ
สวีลิ่งอี๋พูดกับสืออีเหนียง “อีกไม่กี่วันก็คือวันเกิดของยงอ๋องเฟยไม่ใช่หรือ เจ้าช่วยข้านำกล่องทองคำแท่งไปให้ยงอ๋องเฟย บอกยงอ๋องเฟยว่าให้นางนำไปแลกที่ร้านเงินเก่าแก่ ยอมเสียเปรียบนิดหน่อย ดีกว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับร้านเงินเฉกเช่นร้านต้าเฟิงเฮ่า หากเงินไม่พอก็จัดงานเลี้ยงครบเดือนของบุตร งานวันเกิดของบุตรนั้นอย่าไปยืมเงินอีกเด็ดขาด”
สืออีเหนียงเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม นางจึงลังเล “ท่านโหวมีเรื่องอันใดหรือไม่เจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ยงอ๋องแนะนำศาลพลเรือนกรมโยธาธิการให้เลื่อนตำแหน่งนายอำเภอเขตเกาฉุน กระทรวงขุนนางเขียนฎีกาอย่างรวดเร็ว ซื่อเจิงเล่าให้ข้าฟังข้าถึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วไท่จื่อแนะนำลูกศิษย์แซ่หลี่ของสำนักศึกษาฮั่นหลินผ่านทางเขา…” เขายิ้มแล้วส่ายหน้า “ต่อมาปีนี้ไท่จื่ออยากแนะนำลูกศิษย์ของอาจารย์ตัวเองเข้าไปรับตำแหน่งนายอำเภอจยาซิ่ง จึงมีคนไปขอตำแหน่งนายอำเภอเขตเกาฉุนที่ยงอ๋อง”
สืออีเหนียงตกใจ “ท่านโหวสงสัย … “
“ไม่ได้สงสัย” สวีลิ่งอี๋พูด “ไม่เช่นนั้น ซื่อเจิงคงไม่มีทางมาหาข้าเพราะเรื่องนี้”
“เช่นนั้นไท่จื่อว่าอย่างไรเจ้าคะ ทางฝั่งของยงอ๋อง ท่านไปเตือนเขาแล้วหรือยัง”
หากไท่จื่อและยงอ๋องขัดแย้งกัน ไม่ว่าฝ่ายใดชนะก็ล้วนแต่เป็นภัยอันตรายต่อสกุลสวี เรื่องที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ฮ่องเต้จะคิดว่าพวกเขาสองคนไม่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันแล้วพิโรธพวกเขาทั้งสองคน เช่นนั้นสกุลสวีก็คงจะเดือนร้อน
เห็นท่าทีเป็นกังวลของภรรยาตัวเอง สวีลิ่งอี๋พลันรู้สึกเสียใจที่เล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง
“เจ้าไม่ต้องห่วง ยงอ๋องเป็นคนฉลาด เรื่องบางเรื่อง ข้าก็บอกเขาแล้ว” สวีลิ่งอี๋พูดเบาๆ “ข้าก็แค่อยากจะเตือนเขา”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฮ่องเต้มักจะให้ไท่จื่อและสวีลิ่งอี๋รักษาระยะห่างกัน ดังนั้นความสัมพันธ์ของสวีลิ่งอี๋และไท่จื่อจึงห่างเกินกัน ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์แบบน้ากับหลาน แต่กลับมีความสัมพันธ์แบบกษัตริย์กับขุนนางมากกว่า แต่ยงอ๋อง ปกติไม่ได้ไปมาหาสู่กับเขาบ่อยนัก แต่หากมีเรื่องอันใด ยงอ๋องมักจะนึกถึงน้าชายอย่างสวีลิ่งอี๋เป็นคนแรกเสมอ
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ!” คำพูดของสวีลิ่งอี๋ไม่ได้ทำให้สืออีเหนียงโล่งใจ แต่นางยิ่งกังวลมากกว่าเดิม นางคิดในใจว่าเมื่อเจอกับยงอ๋องเฟย ควรจะพูดเช่นไรดี
มีสาวใช้รายงานผ่านผ้าม่าน “ท่านโหว ฮูหยิน คุณชายน้อยสี่มาแล้วเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่วันที่สวีลิ่งอี๋สะบัดแขนเสื้อใส่เขาในห้องหนังสือ สวีซื่อจุนก็ไม่ไปห้องหนังสือลานนอกอีกเลย สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร สวีซื่อจุนรับหน้าที่ดูแลเรื่องในจวนมาดูแลอย่างที่ควรจะเป็น สำหรับสายตาคนนอกนั้นสวีซื่อจุนแค่ช่วยสวีลิ่งอี๋ดูแลเรื่องในจวนในช่วงที่เขาไม่อยู่ ตอนนี้เขากลับมาแล้ว เรื่องทุกอย่างเลยถูกส่งต่อมาให้เขาอีกครั้ง เขาจึงออกจวนตั้งแต่เช้ากลับมาอีกทีก็เย็น สวีซื่อจุนและเจียงซื่อมาคารวะก็ไม่เจอเขา มีแค่จิ่นเกอที่บ่นว่า ‘ตอนนี้ท่านพ่อก็ไม่สอนข้าฝึกเขียนตัวอักษรแล้วขอรับ’
วันนี้เป็นครั้งแรกที่สวีลิ่งอี๋กลับมาเช้าเช่นนี้ สวีซื่อจุนจึงรีบมาคารวะเขา ดูเหมือนเขาจะหาโอกาสมาหาสวีลิ่งอี๋
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา สวีซื่อจุนก็เดินเข้ามาพอดี
เขาโค้งคำนับ จากนั้นก็ยืนกุมมืออยู่หน้าเตียงเตา “ท่านพ่อขอรับ ข้า…” เขาพูดด้วยท่าทีไม่สบายใจ
สวีลิ่งอี๋แอบถอนหายใจในใจ ชี้ไปที่เก้าอี้ไท่ซือข้างๆ “นั่งลงคุยกันเถิด!”
สวีซื่อจุนเห็นบิดายอมเปิดปากพูดกับตัวเองก็รู้สึกโล่งใจ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“ท่านพ่อ ตอนที่ท่านไม่อยู่ ท่านให้ข้าเป็นคนดูแลเรื่องในจวน” เขาพูดเสียงดัง แต่กลับก้มหน้ามองนิ้วเท้า ไม่เงยหน้ามองสวีลิ่งอี๋ “แต่ข้ากลับไปทำโคมไฟ เรื่องนี้ข้าผิดไปแล้ว ท่านพ่อโปรดให้อภัยข้าครั้งนี้ ต่อไปข้าไม่มีทางทำเช่นนี้อีกแน่นอนขอรับ”
ถึงแม้จะรู้ว่าสวีซื่อจุนมีอะไรจะพูด แต่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะขอโทษตรงไปตรงมาแบบนี้
สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจ
เด็กคนนี้ ในที่สุดก็ยอมเผชิญหน้ากับความผิดพลาดของตัวเองเสียที
“เจ้าบอกว่าเจ้าผิดไปแล้ว เจ้าทำอะไรผิด” สวีลิ่งอี๋มองเขาด้วยสายตาที่เยือกเย็น ไม่กะพริบตาเลยแม้แต่น้อย เขาทำท่าทีเย็นชาต่อคำขอโทษของสวีซื่อจุน
แต่บิดายังรับฟังเขา…สวีซื่อจุนโล่งใจขึ้นไม่น้อย “ข้าควรเรียงลำดับความสำคัญ ทำโคมไฟแต่กลับไม่สนใจเรื่องในจวน ข้าควรจัดการเรื่องในจวนให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไปทำโคมไฟ” เขาเงยหน้าขึ้นแล้วพูดกับสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่จริงใจ “ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกขอรับ!”
ดวงตาของเขาสุกใส พลอยทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความจริงใจของเขา
“รู้ว่าผิดตรงไหนก็ดี” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นเหมือนเดิม แต่สีหน้ากลับผ่อนคลายลงไม่น้อย “สิ่งสำคัญที่สุดคือบทเรียน ต่อไปอย่าทำผิดพลาดอีก เจ้าต้องรู้ว่าพี่สองของเจ้าไม่อยู่ที่จวน เจ้าเลยกลายเป็นพี่ใหญ่ของครอบครัว ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับน้องๆ ของเจ้า…”
