สวีลิ่งอี๋เห็นสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ เขาก็น้ำตาคลอเบ้าด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ
“คนบื้อ!” เขาโอบตัวนางเข้ามากอดในอ้อมแขนด้วยความรักและเอ็นดู “หากเจ้าอยากให้จิ่นเกอออกไปรบ เช่นนั้นก็ต้องมีสงครามให้เขารบก่อน!”
สืออีเหนียงประหลาดใจ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ทรงพระปรีชาสามารถ เมื่อเทียบกับสมัยฮ่องเต้เจี้ยนอู่ แว่นแคว้นของเราสงบสุขขึ้นไม่น้อย ถึงแม้ว่าจะอยู่ที่ฝูเจี้ยน ถึงแม้ช่วงที่ผ่านมาราชสำนักจะสูญเสียกองกำลังทหารไปไม่น้อย แต่มันก็ไม่เหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่เราถูกคนอื่นข่มเหง สำหรับเรื่องที่มีการโจรกรรมเกิดขึ้นที่ซีเป่ยและเเคว้นเหมียว พวกเขาต่างก็มีทหารของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องให้ราชสำนักประกาศพระราชโองการเคลื่อนย้ายแม่ทัพของทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาค จะมีสงครามได้ที่ไหนกัน” เขาถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งใจและทอดถอนใจ
โล่งใจเพราะว่าราษฎรไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากสงครามอีกต่อไป ทอดถอนใจเพราะว่าเขาไม่มีทางย้อนเวลากลับไปช่วงที่เขายังเป็นหนุ่มได้อีกตลอดไป!
สีหน้าของสืออีเหนียงผ่อนคลายลง นางดิ้นพลางลุกขึ้นนั่งแล้วพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ดินแดนอื่นนั้นข้าไม่รู้ แม้ซีเป่ยสงบสุขมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ที่นั่นทุรกันดาร ใช้ชีวิตอย่างลำบาก พวกเขามองด่านหุบเขาจยาอวี้เป็นเหมือนเนื้อติดมันในปาก ไม่มีทางที่พวกเขาจะมองแต่ไม่กัด…หนึ่งปี สองปี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อีกสิบยี่สิบปีเล่า” นับวันดูแล้ว ถึงตอนนั้นจิ่นเกอก็กำลังโต นางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “ท่านโหวคือขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก แม้แต่สตรีอย่างข้ายังรู้เรื่องนี้พวกนี้ ท่านก็คงรู้เหมือนกันใช่หรือไม่เจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋แปลกใจ เขาหัวเราะแล้วมองไปที่สืออีเหนียง “มองไม่ออกว่าเจ้าจะรู้เรื่องพวกนี้ เก่งกว่าข้าเสียอีก!” พูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อสืออีเหนียง เพราะไม่อยากให้สืออีเหนียงเครียดจนเกินไป
หากเป็นวันธรรมดา สืออีเหนียงอาจจะล้อเล่นกับเขา แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของจิ่นเกอ… สืออีเหนียงเบิกตากว้างใส่สวีลิ่งอี๋ “ท่านโหวไม่ต้องมาหยอกล้อข้านะเจ้าคะ!”
สวีลิ่งอี๋มองดูใบหน้าที่เคร่งขรึมแต่กลับไม่มีร่องรอยของความดุร้ายเลยแม้แต่น้อยของสืออีเหนียง เขาหัวเราะออกมา
สืออีเหนียงขมวดคิ้ว
สวีลิ่งอี๋เห็นนางมีสีหน้าไม่พอใจ รู้ว่านางจริงจัง เลยค่อยๆ หุบยิ้ม เงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเบาๆ “ฮ่องเต้กำลังแข็งแกร่ง ข้าก็มีชีวิตสุขสบาย หากผ่านไปยี่สิบปี…หรือมีฮ่องเต้พระองค์ใหม่…เจ้าก็อย่าได้กังวลไปเลย!”
สืออีเหนียงเข้าใจในทันที
สิบสามปีก่อน ชาวซีเป่ยไม่มีทางลืมศึกสงครามที่สวีลิ่งอี๋โจมตีซีเป่ย ตราบใดที่ฮ่องเต้และเขายังมีชีวิตอยู่ ในฐานะผู้มีอำนาจในซีเป่ยอย่างฮ่องเต้ไม่มีทางยอมให้ซีเป่ยก่อกบฏ และในฐานะแม่ทัพใหญ่ที่ยังสามารถนำทัพฆ่าศัตรูอย่างสวีลิ่งอี๋ คนเหล่านั้นคงกล้าแค่เอะอะโวยวายรอบชายแดนเท่านั้น
แต่ทุกอย่างล้วนมีเวลาจำกัด หากเวลาผ่านไป กลายเป็นช่วงเวลาของคนอีกรุ่นหนึ่ง แล้วสวีลิ่งอี๋ก็อายุเยอะแล้ว สำหรับสงครามในตำนานครั้งนั้น มันก็ไม่น่ากลัวเหมือนแต่ก่อนแล้ว หรือหากฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ไม่มีอำนาจในการสั่งการเหล่าขุนนาง หากซีเป่ยก่อกบฎ…
ดูจากตอนนี้ ฮ่องเต้ไม่เคยพระประชวร ไม่รู้ว่าไท่จื่อต้องรอไปถึงเมื่อไร ยี่สิบปี…ยังอีกยาวนาน
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ฟังอะไรบางอย่างออก
ในค่ายทหารผู้แข็งแกร่งที่สุดคือผู้ที่มีอำนาจมากที่สุด ไม่ว่าเจ้าจะมีกลยุทธ์หรือมีหมัด ขอแค่เจ้าแข็งแกร่งมากพอ
และการฝึกฝนที่สวีลิ่งอี๋ปฏิบัติติต่อจิ่นเกอ นั้นมุ่งไปทิศทางนี้
“ท่านโหวตัดสินใจให้จิ่นเกอรับตำแหน่งขุนนางแล้วหรือเจ้าคะ” นางถามสวีลิ่งอี๋ “แต่ท่านเคยคิดหรือไม่ ว่าหากวันหนึ่งซีเป่ยวุ่นวายขึ้นมา ถึงแม้ว่าต่อไปเขาจะอยู่ในค่ายใหญ่ซีซาน หากฮ่องเต้จะออกรบด้วยตัวเอง เขาก็ต้องออกไปรบด้วย” พูดถึงตรงนี้ นางก็เม้มปาก “สุภาพบุรุษที่ดีไม่ควรนำตัวเองเข้าไปอยู่ที่สถานที่ที่อันตราย ข้าไม่สนใจว่าท่านโหวคิดเช่นไร แต่ข้าไม่มีทางเห็นด้วยแน่นอน!”
นางไม่เคยแน่วแน่ขนาดนี้มาก่อน
“สืออีเหนียง!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วกอดนาง “เจ้าอย่าเป็นแบบนี้เลย!”
สืออีเหนียงผลักเขาออก “ท่านโหวไม่ต้องพูดอะไรแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะไปหาพี่ใหญ่ ให้พี่ใหญ่หาอาจารย์ให้จิ่นเกอ ต่อไปก็ให้จิ่นเกอเรียนหนังสือกับอาจารย์คนใหม่ ด้วยความฉลาดของเขา บางทีอาจจะสอบจู่เหริน หรือไม่ก็บัณฑิตชั้นสูงได้ก็ได้!” จากนั้นก็หันหลังให้สวีลิ่งอี๋แล้วห่มผ้า
“สืออีเหนียง!” สวีลิ่งอี๋ขยับตัวเข้าไปหานาง “มีเรื่องอันใดก็ค่อยๆ คุยกันเถิด!” เขาเขย่าไหล่สืออีเหนียงเบาๆ
“มีอะไรต้องคุยกันอีกหรือ!” สืออีเหนียงพูดด้วยความโกรธ “ความคิดเราไม่เหมือนกัน”
“สืออีเหนียง!” สวีลิ่งอี๋ลูบเส้นผมที่กระจัดกระจายอยู่บนหมอนของนาง “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงจิ่นเกอ ข้าเองก็เป็นห่วงเขาเหมือนกัน เรื่องที่เจ้าพูด ข้าก็เคยคิดดูแล้ว หากจิ่นเกอไม่มีพรสวรรค์ในการเป็นแม่ทัพ หากข้ายังพยายามยัดเยียดเขาเข้าไปในค่ายทหาร เช่นนั้นมันคือการทำร้ายเขา” พูดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกตื่นเต้น พูดเสียงดังขึ้นกว่าเดิม “สืออีเหนียง เจ้าไม่รู้ว่าจิ่นเกอของเราเก่งกาจแค่ไหน ตอนเขาอายุหกขวบ ข้าพูดแค่ไม่กี่คำ เขาก็ดูแผนที่เข้าใจ ข้านำทัพมาตั้งหลายปี ยังไม่เคยเห็นคนที่ฉลาดเช่นนี้ ตอนที่ข้าอายุหกขวบ เข้าไปคารวะฮองเฮาในพระราชวังยังหลงทาง…อาจารย์ผังบอกให้เขาฝึกศิลปะการต่อสู้ภายใน คนอื่นหาตำแหน่งตันเถียนตั้งนานก็หาไม่เจอ แต่เขาฟังแค่รอบเดียวก็รู้แล้ว…สืออีเหนียง จิ่นเกอของเรามีพรสวรรค์…”
สืออีเหนียงหันหน้ากลับมา
สวีลิ่งอี๋ไม่ทันตั้งตัว เกือบถูกหัวของนางกระแทกเข้าที่คาง
“ตอนที่จ้าวคั่วยังไม่ได้ลงสนามรบ ทุกคนล้วนบอกว่าเขามีพรสวรรค์!” สืออีเหนียงมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่เยือกเย็น “ก่อนที่ฮั่วชี่ปิ้งจะลงสนามรบ ทุกคนต่างก็บอกว่ามีเขาพรสวรรค์!”
คนแรกเสียชีวิตตอนที่กำลังพูดคุยเรื่องยุทธวิธีบนกระดาษ ส่วนคนหลังเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร
“สืออีเหนียง!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างขมขื่น
สืออีเหนียงมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา จากนั้นก็หันหลังให้สวีลิ่งอี๋อีกครั้ง
สวีลิ่งอี๋มองดูรูปร่างที่สวยงาม เขาลูบหัวนางเบาๆ ด้วยสีหน้าที่เหนื่อยหน่ายใจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง สืออีเหนียงก็เริ่มหายโกรธ เขาจึงค่อยๆ ขยับตัวเข้าไป แล้วเอ่ยเรียกชื่อนางอย่างแผ่วเบา
“มั่วเหยียน มั่วเหยียน!”
สืออีเหนียงไม่ตอบอะไร
สวีลิ่งอี๋จับไหล่นางเบาๆ
สืออีเหนียงไม่ขยับตัวหนี
สวีลิ่งอี๋แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“มั่วเหยียน!” เขากระซิบข้างหูนาง “ข้าเคยออกรบมาก่อน ไม่รู้ว่าเคยเห็นโศกนาฏกรรมมาแล้วกี่ครั้ง ไม่มีใครรู้ถึงความโหดเหี้ยมของสงครามดีไปกว่าข้า ตอนนั้น หากข้าไม่นำทัพออกไปรบ ก็ใช่ว่าจะใช้ชีวิตที่สุขสบายต่อไปไม่ได้ แต่ข้ายอมใช้ชีวิตและความตายของข้าเป็นเดิมพัน ก็เพราะอยากให้คนในครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น ลูกของข้าจะได้ไม่ต้องลำบาก ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่บนความดีความชอบของคนรุ่นก่อน จิ่นเกอคือบุตรชายที่พวกเราตั้งหน้าตั้งตารอ คือบุตรชายที่ข้าเห็นเขาเติบโตขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ข้าเห็นเขาไม่มีความสุข ข้าทุกข์ใจยิ่งกว่าตัวเองไม่มีความสุขเสียอีก ข้าเห็นเขามีความสุข ข้าก็มีความสุข ข้าจะยอมให้เขาไปลำบากเหมือนที่ข้าเคยลำบากได้อย่างไร”
พูดจบ สวีลิ่งอี๋พลันรู้สึกว่าตัวของสืออีเหนียงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
เขาได้สติกลับมา
“เจ้าเคยบอกว่า เส้นทางของพวกเราไกลกว่าท่านพ่อท่านแม่ เส้นทางของลูกก็ไกลกว่าเราไม่ใช่หรือ ตอนพวกเขายังเด็ก พวกเรายังมีแรงปกป้องพวกเขาจากลมฝน แต่เมื่อพวกเราแก่แล้ว ถึงแม้อยากจะปกป้องพวกเขา แต่ก็คงไม่มีเรี่ยวแรงและความสามารถอีก ดังนั้น ต้องถือโอกาสตอนที่เราอายุยังน้อย อบรมบ่มสอนการเอาตัวรอดให้พวกเขา เมื่อพวกเราแก่แล้ว พวกเขาจะต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ แม้ไม่มีใครคอยปกป้องก็ตาม ข้าเห็นด้วยกับประโยคนี้ของเจ้า
ดังนั้น เมื่อเจ้าบอกว่าเจี้ยเกออยากเข้าสอบ ต้องเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือเขา ข้าจึงเชิญอาจารย์ฉังตามคำแนะนำของพี่ชายเจ้า จิ่นเกอเป็นเด็กร่าเริง หลังจากที่เจ้าตำหนิเขาวันนั้น จู่ๆ เขาก็กลายเป็นเด็กขี้ขลาด ตอนนั้นข้าแค่อยากให้เขาออกไปพักผ่อน อ้างว่าเกิดเรื่องที่สนามม้าเป่าติ้ง พาเขาออกไปเดินเล่น” พูดจบ เขาก็หยุดชะงัก “เจ้าไม่รู้ ยิ่งข้าเห็นเขาออกไปจากเยี่ยนจิงไกลเท่าไร เขาก็ยิ่งมีชีวิตชีวาราวกับต้นอ่อนที่ถูกแสงอาทิตย์สาดส่องแล้วได้รับฝนก็ไม่ปาน ในใจของข้า…” เขาไม่รู้ว่าควรบรรยายอย่างไรต่อดี
สืออีเหนียงไม่พูดไม่จา แต่ไหล่ที่พึ่งจะผ่อนคลายลงกลับแข็งทื่ออีกครั้ง
“มั่วเหยียน!” มือที่อบอุ่นของสวีลิ่งอี๋ยื่นเข้าไปในผ้าห่ม เข้าไปกุมมือนาง “นั่นคือบุตรชายของเรา…” เขาพูดตะกุกตะกัก “ข้าไม่อยากเห็นเขาเป็นเด็กขี้ขลาด…ข้าอยากเห็นเขาร่าเริงสดใส…ถึงแม้จะไม่มีข้าคอยปกป้อง แต่เขาก็สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างแข็งแกร่ง!”
ตัวของสืออีเหนียงสั่นเทา
สวีลิ่งอี๋กอดนางจากข้างหลัง จากนั้นก็จูบขมับนางเบาๆ
“มั่วเหยียน เจ้าต้องเชื่อใจข้า ข้าไม่มีทางทำอะไรเหลวไหล ตอนนี้จิ่นเกอยังเด็ก ปูพื้นฐานให้เขาก่อน รอให้เขาเติบโตกว่านี้อีกสักหน่อย ข้าค่อยส่งเขาเข้าไปในค่ายทหาร หากเขามีความสามารถ เราค่อยวางแผนกันอีกที แต่หากเขาไม่ชอบ…” พูดถึงตรงนี้ เขาก็พูดเสียงเบาลง “หากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ ต้องแต่งตั้งสกุลญาติแน่นอน…สืออีเหนียง ถึงตอนนั้น ข้าจะต้องช่วงชิงตำแหน่งบรรดาศักดิ์มาให้จิ่นเกอให้ได้…เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง!”
ในห้องมีเสียงร้องไห้ดังขึ้นเบาๆ
“มั่วเหยียน มั่วเหยียน!” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยความตื่นตระหนก “อย่าร้องไห้ เจ้าอย่าร้องไห้” เขาพลิกตัวสืออีเหนียงมาดู” เจ้าเชื่อใจข้าเถิด ข้าเตรียมการเอาไว้หมดแล้ว”
เชื่อใจ?
ก็เพราะว่านางเชื่อใจสวีลิ่งอี๋ นางถึงได้เป็นกังวล
ความอดทนของเขา ความหนักแน่นของเขา ความเยือกเย็นของเขา ความเฉลียวฉลาดของเขา ล้วนแต่เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต่อความสำเร็จ
หากเขาตัดสินใจแล้ว ย่อมต้องสำเร็จแน่นอน
แต่นางไม่อยากให้จิ่นเกอมีอันตรายแม้แต่น้อย
“ข้าไม่อยากให้จิ่นเกอเป็นขุนนางทหาร ข้าไม่อยากให้จิ่นเกอเป็นขุนนางทหารเจ้าค่ะ” นางรู้ว่าตัวเองไม่มีเหตุผล แต่นางอยากไม่มีเหตุผลสักครั้ง “ข้าไม่เห็นด้วย ทำไมจิ่นเกอต้องเป็นขุนนางทหาร เขาอยากจะทำอะไรก็ให้เขาทำไม่ได้หรือ…”
“ได้ๆๆ” สวีลิ่งอี๋ปลอบโยนนางราวกับกล่อมเด็กน้อย “จิ่นเกอของเราอยากทำอะไรก็ให้เขาทำ เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย ประเดี๋ยวดวงตาจะบวม”
เขาไม่พูดยังพอไหว แต่พอเขาพูด สืออีเหนียงยิ่งรู้สึกน้อยใจ ร้องไห้หนักกว่าเดิม
******
วันต่อมา จิ่นเกอและเซินเกอไปคารวะสืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋อย่างมีความสุข แต่พวกเขารู้สึกว่าบรรยากาศในห้องแปลกๆ ท่านแม่ไม่มองหน้าท่านพ่อเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้พวกเขาจะยิ้ม แต่กลับรู้สึกว่าพวกเขากำลังฝืนยิ้ม ส่วนท่านพ่อก็นั่งอยู่ข้างๆ เหลือบมองท่านแม่เป็นครั้งคราว ราวกับมีเรื่องจะพูดกับท่านแม่แต่หาโอกาสพูดไม่ได้
เซินเกอดึงแขนเสื้อจิ่นเกอเบาๆ “ท่านป้าสี่กับท่านลุงสี่ทะเลาะกันแน่นอน”
“เป็นไปไม่ได้!” จิ่นเกอเบิกตาโต “ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าไม่เคยทะเลาะกัน!”
“ฮ่าๆๆ!” เซินเกอยิ้มอย่างมั่นใจ “ท่านไม่รู้อะไร ยามที่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าทะเลาะกันก็มักจะเป็นเช่นนี้”
สายตาของจิ่นเกอเต็มไปด้วยความสงสัย “จริงหรือ”
“จริงขอรับ!” เซินเกอพูดยืนยัน “แต่มักจะเป็นท่านพ่อที่ยิ้มแล้วพูดกับพวกเรา ส่วนท่านแม่ก็นั่งจ้องหน้าท่านพ่ออยู่ข้างๆ”
