เสื้อผ้าถักซงเจียงสีขาวผืนบางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแนบเข้ากับผิวกายของจิ่นเกอ ราวกับพึ่งหยิบขึ้นมาจากแม่น้ำอย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงที่กำลังทอดสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่างก็รีบเบือนหน้าหนีด้วยความปวดใจ คอยย้ำเตือนสติตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าหากไม่เห็นก็จะไม่พะวง แต่กลับสบตากับสวีลิ่งอี๋ที่กำลังถือด้ามไม้ไผ่ยืนคุมอยู่หลังจิ่นเกอเข้าพอดี
สวีลิ่งอี๋ดึงสายตากลับด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ด้ามไม้ไผ่ก็ถูกหวดไปยังน่องของจิ่นเกอ “ยืนให้ดี!” น้ำเสียงเข้มงวดและจริงจังเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหลับตาลงแน่น
“ขอรับ!” ร่างกายของจิ่นเกอก็ยกขึ้นสูงอีกหนึ่งระดับ ภายใต้น้ำเสียงที่เรียบเฉยแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้า
น้ำตาค่อยๆ ซึมออกมาจากขอบตาของสืออีเหนียง นางยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกมาจากเรือนซวงฝูอย่างเงียบเชียบ
“ฮูหยิน ท่าน…ท่านอย่ากังวลใจไปเลย” หู่พั่วปลอบโยนสืออีเหนียง “ท่านโหวเป็นคนมีหลักการและรู้หนักเบาเป็นอย่างดี คุณชายน้อยหกไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”
“ข้ารู้” สืออีเหนียงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา “ในเมื่อจิ่นเกอตัดสินใจที่จะเดินเส้นทางนี้ ยิ่งท่านโหวเคร่งครัดและเข้มงวดกับเขามากเท่าไร โอกาสที่จะมีชีวิตอยู่รอดของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น…” พูดถึงตรงนี้ น้ำตาก็เอ่อล้นออกมาอย่างไม่อาจสะกดกลั้นเอาไว้ได้
หู่พั่วจึงปลอบโยนนางเสียงเบาว่า “ฮูหยิน คุณชายน้อยหกอายุยังน้อย ไม่แน่บางทีเขาฝึกฝนการต่อสู้กับท่านโหวเพียงไม่กี่วันก็อาจจะรู้สึกเหนื่อยเกินจนละทิ้งความตั้งใจนี้ไปก็เป็นได้ หรือบางที หลังจากที่เขาโตขึ้น อาจมีความชอบอย่างอื่นมาทดแทนแล้วไม่อยากไปซีเป่ยก็ได้เจ้าค่ะ!”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” สืออีเหนียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เรากลับเรือนกันเถิด! วันนี้จิ่นเกอบอกว่าอยากทานหมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาว” พูดจบก็บ่นพึมพำ “ไหนบอกว่าไม่ชอบเจียงหนานไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดยังอยากจะทานหมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาวทำไมกัน หมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาวเป็นอาหารของเจียงหนานนะ…”
เหล่าบรรดาสาวใช้และป้ารับใช้ที่เดินตามหลังนางไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ต่างก็พากันพยายามกลั้นเสียงหัวเราะอย่างสุดแรงเกิด
บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด
พอเงยหน้าขึ้นก็เจอเข้ากับจื่อหง
“ฮูหยิน ไท่ฮูหยินเชิญท่านไปคุยเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ไท่ฮูหยินล้มป่วยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ร่างกายก็อ่อนแอลงไปมาก เอาแต่นอนอยู่บนเตียงเสียส่วนใหญ่ เหล่าบรรดาญาติและสหายที่มาคารวะหรือเยี่ยมเยียน นางก็ไม่ยอมออกไปเจอหน้าแม้แต่ครั้งเดียว เรื่องในจวนก็ไม่ถามไถ่ วันๆ เอาแต่พูดคุยหรือเล่นไพ่กับป้าตู้ จื่อหงและอวี้ป่านเท่านั้น ยามว่างก็ไม่ยอมออกไปเที่ยวนอกจวน สืออีเหนียงรู้สึกว่าชีวิตความเป็นอยู่เช่นนี้จืดชืดและน่าเบื่อจนเกินไป จึงหาสาวใช้ที่มีความรู้มาอ่านหนังสือตำราต่างๆ รวมไปถึงคัมภีร์ทางพุทธศาสนาให้ไท่ฮูหยินฟังโดยเฉพาะ
เมื่อเช้าสืออีเหนียงพึ่งจะคารวะไป ตอนนี้ยังไม่ทันจะพ้นหนึ่งชั่วยาม จู่ๆ ก็มาเรียกนางไปคุย ไม่รู้ว่ามีเรื่องอันใดกันแน่
สืออีเหนียงครุ่นคิดพลางเดินไปยังเรือนของไท่ฮูหยินพร้อมกับจื่อหง
สีหน้าของไท่ฮูหยินค่อนข้างดี นางกำลังนั่งพิงหมอนอิงสีแดงสดอยู่บนเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่าง ข้างๆ มีอวี้ป่านคอยพัดให้ ส่วนสาวใช้ที่สืออีเหนียงคัดเลือกให้มาอ่านหนังสือก็กำลังอ่านคัมภีร์ให้ไท่ฮูหยินฟัง
เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา จู่ๆ ไท่ฮูหยินก็ขมวดคิ้วแน่น
“ท่านแม่ไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงหย่อนตัวนั่งลงริมเตียงเตาใหญ่พลางถามไถ่ไท่ฮูหยินด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“เปล่าหรอก!” ไท่ฮูหยินขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิม “ข้าแค่นึกไม่ออก…ว่าจะพูดอะไรกับเจ้า!”
“นึกไม่ออกก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “รอให้นึกออกแล้ว ท่านแม่ค่อยบอกข้าอีกที”
“เมื่อครู่นี้ข้ายังจำได้อยู่เลย…” ไท่ฮูหยินบ่นพึมพำ “เจ้ารอข้านึกประเดี๋ยว!”
ให้เกียรติผู้อาวุโสท่านอื่นเสมือนว่าเป็นผู้ใหญ่ของตน อบรมสอนสั่งลูกหลานนอกสายเลือดประหนึ่งว่าเป็นลูกหลานของตน
สืออีเหนียงลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็รับพัดจากอวี้ป่านมาช่วยพัดให้ไท่ฮูหยิน
“เหตุใดวันนี้ท่านแม่ถึงไม่เล่นไพ่กับป้าตู้เล่า”
ไท่ฮูหยินตอบกลับด้วยอาการเหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ข้าให้นางไปหากำไลลูกปัด ข้าจำได้ว่าเคยมีกำไลลูกปัดหินโมราสีแดง แต่หลายวันมานี้ข้าไม่เห็นเลย…” พูดจบก็เบิกตากว้างราวกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว ข้านึกออกแล้ว” ไท่ฮูหยินรีบหันไปกุมมือของสืออีเหนียงไว้ “ข้าจะถามเจ้าพอดี ว่าเจ้าจะจัดการเรื่องงานแต่งงานของเจี้ยเกออย่างไร ตานหยางบอกว่างานแต่งของซินเจี่ยเอ๋อร์กำหนดเป็นเดือนสามของปีหน้า เจี้ยเกอเป็นพี่ชาย หากเขายังไม่แต่งงาน ซินเจี่ยเอ๋อร์จะชิงแต่งงานก่อนได้อย่างไรกัน ข้าว่าเจ้ารีบตกลงเรื่องงานแต่งของเจี้ยเกอให้เสร็จก่อนดีกว่า!”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ตกใจจนเหงื่อตก
ไม่ใช่พี่น้องครอบครัวเดียวกันเสียหน่อย เหตุใดถึงต้องเคร่งครัดขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะมีมารดาเป็นคนเดียวกัน พี่น้องท้องเดียวกัน แต่ก็มีกรณีที่น้องสาวแต่งงานก่อนพี่ชาย สำคัญคือคำพูดและท่าทีที่ไท่ฮูหยินแสดง ทำเหมือนกับว่าเจี้ยเกอกันซินเจี่ยเอ๋อร์เป็นพี่น้องมารดาเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น
ไท่ฮูหยินเป็นอะไรไป
“อิงเหนียงยังไม่ทันจะจัดพิธีขึ้นปิ่นปักผม อีกทั้งยังแต่งงานไปไกลจากบ้านเกิด” สืออีเหนียงอธิบายด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ตอนยังเด็กได้ตกปากรับคำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอให้อิงเหนียงจัดพิธีขึ้นปิ่นปักผมเสร็จแล้ว เราค่อยมากำหนดวันแต่งงานอีกทีเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นเองหรือ!” ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ ราวกับว่าเข้าใจเรื่องนี้ขึ้นมาทันทีทันใด “ว่าแล้วเชียว ข้ายังแปลกใจอยู่เลยว่าเหตุใดเจี้ยเกอถึงไม่ยอมสู่ขอภรรยาเสียที!” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถิด! ข้าจะเรียกป้าตู้มาเล่นไพ่เป็นเพื่อนข้า”
สืออีเหนียงยิ้มพลางขานรับเสียงเบา หลังจากนั้นก็เริ่มติดตามและคอยสังเกตอาการของไท่ฮูหยินอย่างใกล้ชิด จึงพึ่งสังเกตเห็นว่านอกจากไท่ฮูหยินจะหลงๆ ลืมๆ แล้วยังชอบพูดจาซ้ำไปซ้ำมา พูดท่อนหน้าเสร็จก็ลืมท่อนหลังเสียแล้ว
“ท่านโหว” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยความอ้ำอึ้ง “เกรงว่าความจำของท่านแม่คงไม่เหมือนเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว…”
สวีลิ่งอี๋ไม่เข้าใจในสิ่งที่นางพูด
สืออีเหนียงจึงเล่าเหตุการณ์ที่นางสังเกตเห็นให้สวีลิ่งอี๋ฟัง ขณะที่กำลังเล่าอยู่นั้น ก็มีสาวใช้น้อยเข้ามาเรียนว่า “ฮูหยินสองมาเจ้าค่ะ!”
ทั้งสองจึงหยุดบทสนทนานั้นไป
“ข้ารู้สึกว่าตอนนี้ท่านแม่…จำเรื่องราวไม่ค่อยได้แล้ว…บางครั้งก็พูดจา…” ฮูหยินสองหันไปมองสืออีเหนียงแล้วจึงสลับไปมองสวีลิ่งอี๋ สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเป็นกังวลใจ ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงต่างก็พากันหันมาสบตากัน
ฮูหยินสองไปคารวะไท่ฮูหยินแค่บางครั้งบางคราวเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงเลยว่านางเองก็สังเกตเห็นเรื่องนี้
“เมื่อครู่นี้สืออีเหนียงเองก็กำลังพูดเรื่องนี้กับข้าอยู่พอดี!” ผ่านไปครู่หนึ่ง สวีลิ่งอี๋ก็พูดขึ้นอย่างสุภาพว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปเชื้อเชิญท่านหมอหลิวมาตรวจดูอาการของท่านแม่เสียหน่อย…หากไม่ได้จริงๆ ก็จะให้ท่านแม่ย้ายมาพักที่เรือนหลัก พวกเราเองก็จะได้ดูแลได้อย่างทั่วถึง”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าเป็นเพราะร่างกายของไท่ฮูหยินชราแล้ว จึงคิดว่าเป็นโรคของคนแก่เสียมากกว่า โรคแบบนี้ใช้ยาไปก็ไม่เป็นผล อาการยังค่อยๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุอีกด้วย…ไท่ฮูหยินพักอยู่ในเรือนของตนเองเพียงลำพัง รอบข้างมีเพียงบ่าวรับใช้เท่านั้น การย้ายมาอยู่กับนางย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าอยู่แล้ว
“จิ่นเกอย้ายออกไปแล้ว ข้าจะจัดระเบียบข้าวของทั้งหมดแล้วขนย้ายไปไว้ที่เรือนปีกทิศตะวันออก” สืออีเหนียงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “น่าจะอยู่ได้เจ้าค่ะ!”
“งานของเจ้าล้นมือ อีกทั้งจะต้องคอยต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยียน ท่านแม่ย้ายมาอยู่กับเจ้าคงจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “ข้าว่าให้ไท่ฮูหยินย้ายไปอยู่ที่เรือนของข้าจะดีกว่า” พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็รีบปฏิเสธขึ้นมาทันควัน “ไม่ได้ ขั้นบันไดที่เรือนของข้าสูงเกินไป เข้าออกไม่สะดวก” นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า “ข้าย้ายเข้าไปที่เรือนของท่านแม่จะดีกว่า!”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกันเจ้าคะ!” สืออีเหนียงพูดขึ้น “พี่สะใภ้สองยังต้องเขียนหนังสืออีก…”
ฮูหยินสองได้ยินแล้วก็รีบโบกมือทันควัน “เรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น เรื่องดูแลท่านแม่สำคัญกว่า” พูดจบก็ลุกขึ้นยืน “เรื่องนี้ก็เป็นอันตกลงตามนี้เลยก็แล้วกัน” จากนั้นก็หันไปมองสืออีเหนียงพร้อมกับพูดขึ้นว่า “น้องสะใภ้สี่ พรุ่งนี้เจ้าช่วยจัดการหาบ่าวรับใช้ชายสักจำนวนหนึ่งไปช่วยข้าขนหีบข้าวของด้วย ส่วนเรื่องท่านแม่ ก็บอกไปแค่ว่าช่วงนี้ข้าไม่มีงานอะไร ก็เลยอยากจะไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่สักพัก” นางจัดแจงทุกอย่างเสร็จสรรพเป็นที่เรียบร้อย ซ้ำน้ำเสียงยังฟังดูหนักแน่นเป็นอย่างมาก
“เรื่องนี้เราควรรอให้ท่านหมอหลิวตรวจดูอาการเสร็จก่อน แล้วค่อยมาคุยกันอีกทีดีกว่า” สืออีเหนียงพูดขึ้น “หากเป็นเพราะท่านแม่อายุมากแล้ว ความจำก็เลยถดถอย ทางฝั่งน้องห้าและน้องสะใภ้ห้าเราก็ควรต้องบอกกล่าวสักคำถึงจะถูก วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล จะปล่อยให้พี่สะใภ้สองดูแลคนเดียวเช่นนี้ไม่ได้ รอให้ข้าและน้องสะใภ้ห้าปรึกษาหารือกันก่อน เราค่อยร่างกฎและรายละเอียดขึ้นมาใหม่อีกที พี่สะใภ้สองคิดเห็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น” ฮูหยินสองพูดขึ้น “พวกเจ้าสองคน คนหนึ่งต้องดูแลเรื่องการหุงต้มอาหารการกิน อีกคนก็ต้องดูแลบุตรที่ยังเล็ก ไหนจะต้องเตรียมสินเดิมให้ซินเจี่ยเอ๋อร์อีก…”
แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็พูดขึ้นว่า “ข้าว่าทำตามที่สืออีเหนียงพูดจะดีกว่า เราเชิญหมอหลวงมาตรวจดูอาการก่อน หากว่าสุขภาพของท่านแม่ไม่ดีจริงๆ ถึงเวลานั้น เราค่อยมาปรึกษาหารือกันอีกที!”
เขาพูดออกมาเช่นนี้ ฮูหยินสองก็ไม่สะดวกที่จะพูดอะไรอีก ทั้งสามพูดคุยถึงเรื่องอาการผิดปกติของไท่ฮูหยินอยู่ครู่หนึ่งก็ขอตัวลากลับ
วันถัดมา ท่านหมอหลิวก็ได้มาตรวจดูอาการของไท่ฮูหยิน “อายุมากแล้ว ยากที่จะหลีกเลี่ยงอาการหูตึงและตาพร่ามัวได้ ให้คนมาคอยปรนนิบัติดูแลเพิ่มขึ้นก็พอแล้ว” จากนั้นก็ได้เขียนใบสั่งยาบำรุงฤทธิ์ร้อนให้ไท่ฮูหยิน แล้วจึงค่อยขอตัวลากลับ
สวีลิ่งอี๋ก็ได้เรียกสวีลิ่งหนิงกับสวีลิ่งควนมาปรึกษาหารือเรื่องไท่ฮูหยิน แต่ฮูหยินสองกลับย้ายเข้าไปพักที่เรือนของไท่ฮูหยินเลย
สืออีเหนียงและฮูหยินห้าที่กำลังรอฟังผลสรุปอยู่ด้านนอกหันมาสบตากัน จากนั้นก็พากันตรงไปยังเรือนของไท่ฮูหยินทันที
ระหว่างทาง ฮูหยินห้าก็ได้บ่นขึ้นว่า “นางเป็นหญิงหม้ายแล้ว ตอนนี้ยังจะมาเป็นหญิงกตัญญูอีก…หรือพวกเราเหล่าบรรดาสะใภ้ไม่มีใครกตัญญูเลยหรืออย่างไรกัน!”
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อน
หลังจากที่เดินเข้าไปในเรือนของไท่ฮูหยินแล้ว ก็เห็นเจี๋ยเซียงกำลังคุมเหล่าบรรดาป้ารับใช้งานหยาบขนย้ายกล่องหีบอยู่
นางรีบเข้ามาย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียงและฮูหยินห้าทันที
เวลาที่ฉุนเฉียวโมโหก็ไม่ควรไปลงกับเหล่าบรรดาสาวใช้
ฮูหยินห้าข่มความไม่พอใจเอาไว้ จากนั้นก็หันไปฝืนยิ้มให้กับเจี๋ยเซียงเหมือนเช่นสืออีเหนียง แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องชั้นใน
ไท่ฮูหยินกำลังนั่งอยู่บนเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่างด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ส่วนฮูหยินสองกำลังนั่งคุกเข่าช่วยไท่ฮูหยินหวีผมอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าที่จริงจัง
แสงแดดสีทองอร่ามของยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง ราวกับทองคำเปลวที่กำลังห่อหุ้มร่างกายของฮูหยินสองเอาไว้ก็ไม่ปาน
สีหน้าท่าทีของนางสงบสุขุม น้ำเสียงสนิทสนม กิริยาท่าทางนุ่มนวลและอ่อนโยน ปฏิบัติราวกับว่าไท่ฮูหยินเป็นเครื่องเคลือบกระเบื้องที่แตกหักได้ง่ายอย่างไรอย่างนั้น “…ไม่รู้ว่าหนังสือจะเขียนออกมาตอนไหน…เรือนเสาหวาเงียบเหงายิ่งนัก ข้าก็เลยย้ายมาอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ดีกว่า!”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วสีหน้าก็ยิ้มแย้มขึ้นมาทันที “แค่เจ้าชอบก็พอ!” จากนั้นก็หันไปสั่งป้าตู้เสียงสูงว่า “เร็วเข้า รีบไปจัดแจงเตรียมห้องหน่วนเก๋อเร็ว ฮูหยินสองจะย้ายเข้ามาพักที่นี่” ขณะที่พูดอยู่นั้นก็เหลือบไปเห็นสืออีเหนียงและฮูหยินห้าพอดี “พวกเจ้ามาได้อย่างไรกัน” จากนั้นก็หันไปนวดมือของฮูหยินสองเบาๆ ด้วยสีหน้าเบิกบานใจ “พี่สะใภ้สองของพวกเจ้ารู้สึกเหงา ก็เลยอยากย้ายมาอยู่กับข้าให้ครึกครื้นเสียหน่อย!” สีหน้าดูมีความสุขเป็นอย่างมาก
เวลานั้นเอง ดวงตาของสืออีเหนียงก็มีน้ำตาซึมออกมา
“ดีจริงเจ้าค่ะ!” นางฝืนยิ้มพลางพูดต่อไปว่า “ที่นี่คงจะครึกครื้นไม่น้อย”
“นั่นน่ะสิ!” ไท่ฮูหยินหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองฮูหยินห้าที่ก่อนหน้านี้ยังคงโมโหฉุนเฉียวอยู่
ฮูหยินห้ายืนอึ้งอยู่ที่เดิม สีหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างฮูหยินสองและไท่ฮูหยินนั้นทำให้ฮูหยินห้ารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
เรื่องนี้ก็ผ่านไปในที่สุด แต่เรื่องราวยังไม่จบเท่านั้น ไท่ฮูหยินยังได้เรียกสวีลิ่งอี๋ไปคุยอีกด้วย ออกปากพูดกับเขาอย่างชัดเจนว่าให้รีบจัดการเรื่องงานแต่งของเจี้ยเกอให้เรียบร้อย “รีบแต่งให้เสร็จก่อนที่จะถึงวันงานของซินเจี่ยเอ๋อร์!”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “หรือว่าเราจะไปคุยเรื่องนี้กับคุณนายสี่ดี ว่าสามารถจัดงานแต่งล่วงหน้าได้หรือไม่ ท่านแม่จะได้ไม่ต้องเอาแต่พะวงเช่นนี้ทุกวัน แต่งอิงเหนียงเข้าจวนก่อน รอโตกว่านี้สักหน่อยก็ค่อยร่วมเรือน”
สืออีเหนียงเข้าใจความรู้สึกของไท่ฮูหยินดี จึงรีบเขียนจดหมายส่งไปที่อวี๋หังทันที กลางเดือนเจ็ด ทางฝั่งอวี๋หังก็ได้เขียนจดหมายตอบกลับมาถามถึงรายละเอียดของงานแต่งงาน
