สวีลิ่งอี๋ได้ยินว่าญาติทุกๆ บ้านได้ส่งของขวัญวันเกิดมาให้ ไท่ฮูหยินจึงต้องหารือเพื่อวางแผนจัดงานเลี้ยงวันเกิด “…ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จัดงานใหญ่โตมโหฬาร อย่างน้อยก็ต้องตั้งโต๊ะรับแขกสักหลายๆ โต๊ะหน่อย”
ไท่ฮูหยินกลับส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ใช่จัดงานวันเกิดแซยิดเสียหน่อย”
สวีลิ่งอี๋ยังคงหว่านล้อมต่อ ไท่ฮูหยินจึงพูดขึ้นว่า “จริงสิ ได้ยินมาว่าฝ่าบาทจะใช้กองกำลังทหารกับทางแคว้นซีเป่ยหรือ”
“ข่าวสารที่ท่านได้รับรวดเร็วกว่าข้าเสียอีก” สวีลิ่งอี๋รู้ว่ามารดานั้นเป็นห่วงตน จึงยิ้มพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ข้ามีความกตัญญูติดตัว อย่าว่าแต่ขุนนางมากมายในราชสำนักเลย ความตั้งใจแรกเริ่มของฝ่าบาทที่ยกย่องให้เกียรติข้าก็ล้วนเพราะฮองเฮาทั้งสิ้น เฉกเช่นวันนี้ที่สามารถประสบผลสำเร็จได้ ก็ควรจะเกษียณในเวลาที่เหมาะสมจึงจะถูก”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย “คิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว”
“มีใครมาพูดอะไรกับท่านหรือเปล่า” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หรือว่ามีใครคิดอยากจะทำธุรกิจการค้าข้าวสาร”
“ฉลาดเป็นกรดจริงเชียว” ไท่ฮูหยินยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เป็นพี่สามของเจ้า เห็นว่าบ้านสกุลหลินชักชวนนัดแนะเขาให้ไปร่วมทำการค้าด้วยกัน ก็เลยมาถามข้าว่าได้หรือไม่”
สวีลิ่งอี๋ฟังจากน้ำเสียงที่ไท่ฮูหยินพูด ก็รู้คำตอบได้ในทันที เขายิ้มและไม่ได้พูดอะไรออกมา
ไท่ฮูหยินถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ “เมื่อพระจันทร์เต็มดวงแล้วก็จะต้องแหว่งเว้า เมื่อน้ำเต็มแล้วก็จะเอ่อล้นออกมา คนรู้มีมาก แต่คนทำได้นั้นมีน้อยนัก” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างปลงตก
สวีลิ่งอี๋อยากที่จะปลอบใจมารดาของตน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน ในขณะที่เขากำลังคิดไม่ตก ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “คุณชายห้าและฮูหยินห้ามาแล้วเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ยิ้มขึ้นอย่างดีใจ
สวีลิ่งอี๋เองก็รู้สึกโล่งอกไปด้วย
น้องห้ามักทำให้ท่านแม่อารมณ์ดีได้เสมอ…
จากนั้นก็มีหนึ่งหญิงและหนึ่งชายเดินเข้ามา
ที่ผมของชายหนุ่มปักปิ่นหยกเขียวไว้ เขาสวมชุดคลุมจิ่นเผาสีขาวนวลจันทร์ ใบหน้าประดุจหยกประดับกวน จอนผมเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่วนผู้หญิงนั้นสวมชุดเป้ยจื่อสีเขียวทะเลสาบลายดอกไม้ ผมดำเงางามทรงมวยตกหลังม้า หว่างคิ้วอ้อยอิ่ง พริ้มพรายดุจบุปผา เมื่อทั้งสองเดินเคียงคู่กันมา ช่างดูสง่าสูงส่งกว่ากุมารทองและกุมารีหยกที่ตั้งอยู่หน้าพระโพธิสัตว์กวนอิมเป็นไหนๆ
“มา มา” เมื่อไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก “มานั่งข้างๆ ข้านี่”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็รีบลุกขึ้นหลีกที่นั่งให้กับภรรยาของสวีลิ่งควน
เมื่อสวีลิ่งควนเจอมารดาแล้ว สีหน้าของเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจ และได้เรียก “ท่านแม่” ด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นและสนิทสนม เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นพี่สี่ที่กำลังลุกขึ้นพอดี จึงยิ่งรู้สึกดีใจเข้าไปใหญ่
เขารีบถอยหลังไปสองเก้าแล้ว เรียก “พี่สี่…” ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแผ่วเบา พลอยทำให้ไท่ฮูหยินและฮูหยินห้าเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ
“เจ้าไปสร้างเรื่องข้างนอกมาอีกแล้วหรือ” ไท่ฮูหยินหรี่ตาลงพร้อมกับจ้องมองไปยังบุตรชายของตน
“เปล่า เปล่าขอรับ” สวีลิ่งควนที่ปกติดูฉลาดมีปฏิภาณไหวพริบ จู่ๆ ก็มากลายเป็นคนพูดจาสับสนติดขัด “ไม่มีจริงๆ ขอรับ ช่วงที่ผ่านมานี้ข้าชมละครงิ้วอยู่แต่ลานสวนทุกวัน ไม่ได้ออกไปไหนเลย”
สีหน้าของไท่ฮูหยินดูเป็นกังวลใจเข้าไปใหญ่
สวีลิ่งอี๋จะดูไม่ออกได้อย่างไร ว่ามารดานั้นปกป้องคุ้มครองน้องชายของตนแค่ไหน
ตั้งแต่ที่บิดาจากไป พี่สามก็มัวแต่ยุ่งกับงานในบ้าน และตนนั้นก็มัวแต่ยุ่งกับงานนอกบ้าน ข้างกายมารดาก็มีแต่น้องชายคนเล็กคนนี้ที่คอยอยู่ปรนนิบัติดูแลมารดายามเจ็บไข้ได้ป่วย สถานะความรู้สึกจึงแตกต่างไม่เหมือนกัน เขาไม่สามารถที่จะคอยปลอบใจมารดาอยู่ตลอดเวลา จึงได้ให้น้องชายคนเล็กคนนี้อยู่ดูแลมารดาแทน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องชายคนเล็กมีนิสัยขี้เล่นไม่จริงจัง หากจะพูดถึงหลักการขึ้นมา ตนนั้นก็มีส่วนผิด ไม่ควรจะโทษแต่น้องชายที่กระทำการใดก็หุนหันพลันแล่นไม่หนักแน่นเช่นนี้
เมื่อคิดเช่นนี้ เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายไม่ตึงเครียด เขาจึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “หลายวันมานี้เขาไปตรวจทานที่กองทัพทหารอวี้หลินทุกวัน รองแม่ทัพหลี่ประทับใจและชื่นชมเขาไม่น้อย ท่านแม่วางใจเถิด”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ได้ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มและโล่งใจว่า “ดี ก็ดี เจ้าเชื่อฟังได้อย่างนี้ ดีกว่าสิ่งอื่นเป็นไหนๆ”
“ท่านแม่” สวีลิ่งควนก็เหมือนกับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง เขาเดินไปนั่งลงข้างมารดาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “ท่านก็อย่ามองข้าในแง่ร้ายจนเกินไป ตั้งแต่ที่พี่สี่อบรมสั่งสอนข้าครั้งนั้น ข้าก็สำนึกผิดแล้ว ตอนนี้ข้าเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ขอรับ”
ไท่ฮูหยินจึงได้ยิ้มขึ้น “รู้แล้ว รู้แล้ว ต่อไปจะไม่ว่าเจ้าแล้ว” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่รักและเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง
ฮูหยินห้าเห็นแล้วก็เม้มปากยิ้ม เดินเข้าไปย่อตัวทำความเคารพไท่ฮูหยินและสวีลิ่งอี๋
ไท่ฮูหยินก็ได้ชี้ไปยังเก้าอี้ด้านข้าง “เจ้าไปนั่งตรงโน้น หลีกที่นั่งให้ภรรยาของเจ้า”
สวีลิ่งควนจึงบ่นพึมพำขึ้นว่า “ดูท่านเอาอกเอาใจตานหยางจนเคยชินเช่นนี้ อีกหน่อยนางก็คงจะรังแกมาถึงบนหัวข้าแล้วกระมัง”
“ตานหยางไม่ใช่คนนิสัยเช่นที่เจ้าพูด” ไท่ฮูหยินหัวเราะเบาๆ “มา ตานหยาง มานั่งข้างแม่เร็วเข้า”
ฮูหยินห้าจึงรีบยกชายกระโปรงขึ้นพร้อมกับนั่งลงบนเตียงเตา จากนั้นก็มีสาวใช้ยกเก้าอี้ไท่ซือมาให้สวีลิ่งอี๋นั่ง
เมื่อสาวใช้ยกชามาให้เรียบร้อยแล้ว จู่ๆ มีสาวใช้นางหนึ่งเรียนขึ้นว่า “ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองมาแล้วเจ้าค่ะ”
“รีบเชิญเข้ามาเร็ว” ไท่ฮูหยินเพิ่งจะพูดจบ ฮูหยินสองก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องไม้ใบเล็กที่ถูกแกะสลักด้วยสีแดง
เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋ นางก็ชะงักไปเล็กน้อย “ท่านโหวอยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
สวีลิ่งอี๋ลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวทักทาย “พี่สะใภ้รอง”
สวีลิ่งควนก็ได้ยกเก้าอี้จิ่นอู้ที่ตนนั่งอยู่มาให้ฮูหยินสอง “พี่สะใภ้รอง เชิญนั่งขอรับ”
ฮูหยินสองกล่าวขอบคุณสวีลิ่งควนด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ได้ย่อตัวทำความเคารพไท่ฮูหยินและสวีลิ่งอี๋ แล้วจึงค่อยนั่งลงพร้อมกับยื่นกล่องไม้ใบเล็กให้กับเหยาหวงที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างๆ “สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี!”
ด้านในกล่องมีป้ายคู่ทั้งในจวนและนอกจวนของสกุลสวี พร้อมด้วยสมุดบัญชี
สวีลิ่งอี๋จึงรีบพูดขึ้นว่า “ขอบคุณพี่สะใภ้รอง หลายวันมานี้รบกวนท่านแล้ว”
“ท่านโหวเกรงใจไปแล้ว” ฮูหยินสองรีบลุกขึ้นยืน “ที่ผ่านมาทุกคนคอยยอมคอยหลีกให้ข้าตลอด จนข้าเกียจคร้านเฉื่อยชาไปหมด มาวันนี้พอจะช่วยอะไรขึ้นมาได้นิดๆ หน่อยๆ พอให้ข้าได้แสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ บ้าง จะเรียกว่ารบกวนได้อย่างไรกันเล่า”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คนบ้านเดียวกันแท้ๆ จะพูดเป็นสองบ้านทำไมกัน รีบนั่งลงเถิด”
ทั้งคู่จึงยิ้มพร้อมกับนั่งลงอีกครั้ง
ไท่ฮูหยินพูดขึ้นว่า “อี๋เจิ้น ครั้งนี้ดีที่มีเจ้า มิเช่นนั้น พิธีงานศพของหยวนเหนียงคงจะไม่ราบรื่นและเรียบร้อยเช่นนี้”
ฮูหยินสองได้ยินแล้วจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ให้ข้ามานั่งคุยกับท่านโหว แต่ทำไมท่านถึงพูดจาเกรงใจเช่นนี้ด้วยเล่า”
พูดจบ ทุกคนก็พากันหัวเราะขึ้นมา
จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “ไท่ฮูหยิน กรมพระราชวังแจ้งมาว่าได้รับคำสั่งจากฮองเฮาให้ส่งผลอิงเถา[1]มาสองตะกร้าเจ้าค่ะ”
“เร็วเข้า รีบนำเข้ามาดู!” ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก
สาวใช้จึงได้ยกผลอิงเถาเข้ามา
บอกว่าสองตะกร้า แต่ดูแล้วน้ำหนักราวยี่สิบชั่งเห็นจะได้ ใช้ใบไม้สีเขียวปูรองพื้นไว้ ดูดีน่ารับประทานเป็นอย่างมาก
ไท่ฮูหยินได้สั่งให้นำไปล้างทันที จากนั้นก็ได้สั่งกับเว่ยจื่อว่า “ไปเรียกฮูหยินสามและเด็กๆ มาชิมด้วยกัน”
พิธีงานศพของหยวนเหนียงเพิ่งจะผ่านพ้นไป ลุงสามสวีลิ่งหนิงได้ไปกล่าวขอบคุณผู้ที่ส่งมอบของเซ่นไหว้หลายๆ ท่าน แต่ไม่ได้มาร่วมงาน เช่น ขันทีเน่ยซื่อคนสนิทของฮองเฮา เหลยกงกง จึงไม่อยู่จวน ส่วนเฉียวเหลียนฝังนั้นยังอยู่
ฮูหยินห้ากำลังจะเอ่ยปากบอกไท่ฮูหยิน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เฉียวเหลียนฝังไม่ได้เหมือนดังเช่นเมื่อก่อน จึงได้กลืนคำพูดลงคอไป
เว่ยจื่อขานรับแล้วจึงออกไป
ไท่ฮูหยินได้ชี้ไปยังอีกตะกร้า “แบ่งไปให้จวนสกุลกาน จวนสกุลซุนและจวนสกุลหลัว”
บิดามารดาของฮูหยินสองได้จากไปแล้ว เหลือเพียงพี่ชายบุญธรรมที่เป็นขุนนางข้าหลวงอยู่ที่เมืองซิ่นหยาง ไม่มีญาติพี่น้องใดๆ ในเมืองเยี่ยนจิงเลย
เหยาหวงจึงรีบจัดแจงให้คนส่งผลอิงเถาในทันที
ไม่นาน ฮูหยินสามและเด็กๆ ก็มาถึงพอดี
ในเรือนดูครึกครื้นเสียงดังขึ้นมา แม้แต่จุนเกอเองที่เพิ่งจะสูญเสียมารดาไป ก็สามารถยิ้มขึ้นมาได้
ไท่ฮูหยินก็ได้ยื่นกล่องไม้ใบเล็กที่แกะสลักด้วยลวดลายสีแดงให้กับฮูหยินสาม “เจ้าดูแลตามเดิมก็แล้วกัน”
ฮูหยินสามก้มหน้าลงพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความละอายใจเล็กน้อย “ท่านแม่ ท่านให้พี่สะใภ้รองดูแลเถิด ข้ามีใจแต่กำลังความสามารถไม่พอจริงๆ เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินรู้ว่านางหมายถึงเรื่องงานเลี้ยงตอนฤดูใบไม้ผลิ จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ผิดเป็นครู ครั้งนี้เจ้าก็ได้ดูพี่สะใภ้รองของเจ้าเป็นแบบอย่าง ก็คงจะได้เรียนรู้มาไม่น้อย วันข้างหน้าก็ระมัดระวังเสียหน่อยก็พอแล้ว”
“เจ้าค่ะ” ฮูหยินสามก้มหน้าเล็กน้อยพร้อมกับรับกล่องไม้ใบเล็กมา
ฮูหยินห้าก็ได้ดึงให้นางนั่งลง “พี่สะใภ้สามรีบมาทานผลอิงเถาเถิด มิเช่นนั้นจะถูกแย่งกินจนหมดนะ”
ทุกคนจึงพากันหัวเราะออกมา ฮูหยินสามจึงค่อยรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง
สวีลิ่งควนก็ถือโอกาสนี้ปรึกษาหารือเรื่องงานวันเกิดของไท่ฮูหยิน “ยามเช้าข้ากับเหล่าบรรดาสหายของข้าจะมาอวยพรวันเกิดท่าน ทานอาหารงานเลี้ยงวันเกิด หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ข้าจะให้เกิงฉางเซิงมาขับร้องละครงิ้วให้ท่านฟังสักสองบทเพลง ตกค่ำก็มารวมตัวกันที่โถงเตี่ยนชวน จากนั้นก็ให้คณะแสดงกายกรรมและละครงิ้วของสวีลิ่งควนผู้นี้มาแสดงฝีมือให้ท่านเชยชม…”
ไท่ฮูหยินมองบุตรชายคนสุดท้องของตนที่พูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางที่ตื่นเต้นและภาคภูมิใจ รู้ว่าเขานั้นตั้งใจจัดการและวางแผนงานนี้เป็นอย่างมาก จึงได้หันไปมองสวีลิ่งอี๋ที่กำลังมองน้องชายของตนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่แล้วจู่ๆ สายตาของเขาก็มองทอดยาวออกไปอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย ความยินดีเมื่อครู่นี้ดูจืดจางลงไปไม่น้อย
“…อนาคตภายภาคหน้า ธุรกิจของคณะเกิงฉางเซิงจะต้องรุ่งเรืองอย่างแน่นอน อาศัยแค่ความหมายชื่อของเขา คนที่จะจัดงานวันเกิดอายุยืนจะต้องเชิญคณะของเขาไปขับร้องละครงิ้วอย่างแน่นอน…”
สวีลิ่งควนยังคงสาธยายถึงความคิดเห็นของตน ไท่ฮูหยินจึงหัวเราะขึ้นมา ตัดบทสนทนาของเขาไป “ช่วงนี้คนไปมาหาสู่มากมาย งานวันเกิดพรุ่งนี้ สหายผองเพื่อนของเจ้ามารับประทานงานเลี้ยงวันเกิดก็พอแล้ว”
“ขอรับ” สวีลิ่งควนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย
*****
ตกดึก เมื่อกลับถึงบ้าน คุณชายสามสวีลิ่งหนิงบ้านสกุลสวีรู้ว่าฮูหยินสามได้กลับมาดูแลกุญแจของจวนอีกครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ในใจของท่านแม่ก็ยังมีเจ้าอยู่…”
ฮูหยินสามหัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชา ตัดบทสนทนาของสวีลิ่งหนิงไป “เจ้าจะไปรู้อะไร นางก็แค่กลัวว่าถ้าหากสืออีเหนียงเข้ามาแล้วจะจัดการเรื่องนี้ยาก ก็เลยใช้สะใภ้ที่นามไม่เที่ยงวาจาไม่ราบรื่นเช่นข้ามารับผิดชอบ ถึงเวลานั้น เมื่อจะเอากุญแจกลับก็จะได้เอาคืนได้ง่ายๆ…”
“จู่ๆ ทำไมถึงพูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาอีก” สวีลิ่งหนิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นบุตรที่เกิดจากอนุ แต่ท่านแม่ไม่เคยปฏิบัติกับข้าในฐานะคนนอกเลย…”
“เจ้าพูดให้มันน้อยๆ หน่อย” ฮูหยินสามตัดบทสนทนาของสามีลง แล้วจึงค่อยๆ กวาดสายตามองมา จากนั้นก็วางมือลงบนไหล่ของสามี “คราวที่แล้วเรื่องที่บ้านสกุลหลินพูดมา เจ้าตัดสินใจจะจัดการอย่างไร”
สวีลิ่งหนิงสบถ “หึๆ” ขึ้นเบาๆ
ฮูหยินสามเลิกคิ้วขึ้นสูง “ข้ากำลังถามเจ้า ตอบดีๆ ไม่ได้หรืออย่างไรกัน เวลาอยู่ต่อหน้าไท่ฮูหยินเห็นตอบเสียงดังฟังชัด แต่พออยู่ต่อหน้าข้า กลับพูดไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง”
สวีลิ่งหนิงได้ยินแล้วก็พูดขึ้นด้วยความไม่ชอบใจว่า “ท่านแม่บอกแล้ว ว่าเรื่องนี้ไม่ได้”
“ทำไมถึงไม่ได้” สีหน้าของฮูหยินสามไม่สบอารมณ์ขึ้นมาในทันที “เจี้ยนหนิงโหวและโซ่วชังปั๋วยังได้ทำการค้ากับกรมโยธาธิการและกรมอุตสาหกรรมทางน้ำเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งยังเป็นการค้าที่ไม่ต้องลงทุน แต่ข้านั้นลงทุนด้วยเงินแท้ทองจริง เพราะอะไรถึงไม่ได้”
ตอนนี้เจี้ยนหนิงโหวและโซ่วชังปั๋วทั้งสองเป็นญาติผู้พี่ของไทเฮา แม่น้ำ ทะเลสาบ รถ เรือ ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของกรมโยธาธิการและกรมอุตสาหกรรมทางน้ำทั้งสิ้น
“นั่นมันไม่เหมือนกัน ไทเฮามีพระคุณต่อฝ่าบาท…” สวีลิ่งหนิงพูดขึ้นด้วยความคลุมเครือไม่ชัดเจน “ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะรับรู้ ก็จะทรงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น!”
ฮูหยินสามหัวเราะด้วยความโกรธแค้น “มีพระคุณอันใดกันเล่า นางก็แค่มีบุตรชายให้ไม่ได้ และไม่อยากจะโดนเฉดหัวทิ้ง เลยยกองค์จักรพรรดิขึ้นภายใต้ชื่อของนางก็แค่นั้น หากไม่ใช่เพราะบ้านสกุลสวี หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้ ตอนนั้นนางคงถูกเยี่ยกุ้ยเฟยดึงลงมาตั้งนานแล้ว…”
สวีลิ่งหนิงได้ยินนางพูดขึ้นอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุออกมาเช่นนี้ เขาตกใจรีบใช้มือปิดปากภรรยาของตน “เจ้าเบาเสียงหน่อย พูดเบาๆ หน่อย อย่าให้ใครเขาได้ยินเข้า ก่อนที่ท่านพ่อจะจากไป ท่านได้สั่งเสียไว้แล้ว ห้ามใครพูดคำพูดที่ว่า ‘ตอนนั้น บ้านสกุลสวี’ จำพวกนี้อีก”
ฮูหยินสามดึงมือของสามีที่ปิดปากตนอยู่ออก “จุกตายนั้นกล้าหาญ หิวตายนั้นขี้ขลาด[2] สวีลิ่งหนิง ข้าจะบอกอะไรให้ เจ้ายังมีบุตรชายอีกสองคนที่ต้องเลี้ยงดู นั่นคือเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของเจ้านะ…” พูดจบ น้ำตาก็ล้นเอ่อออกมาจากดวงตา
[1]อิงเถา เชอร์รี่
[2]จุกตายนั้นกล้าหาญ หิวตายนั้นขี้ขลาด เป็นสำนวนที่คนจีนใช้เปรียบเปรยว่า คนที่กล้าเสี่ยง กล้าได้กล้าเสีย ไม่มัวกังวลนั่นกังวลนี่จะประสบความสำเร็จดังเช่นคนที่มีให้กินอย่างเหลือเฟือจนจุกตาย
