สวีซื่ออวี้ที่สุขุมมาตลอดได้ยินแล้วก็แทบจะกระโดดขึ้นมา
“นี่คือเรื่องที่เจ้าควรยื่นมือเข้าไปยุ่งเช่นนั้นหรือ เหลวไหลเกินไปแล้ว!” เขาหน้าซีด “เจ้าพูดอะไรกับองค์หญิงใหญ่บ้าง ตอนนั้นยังมีใครอยู่ในเหตุการณ์ มีกระดาษอะไรหรือไม่ คนที่ถูกคัดเลือกมีเยอะขนาดนั้น หากมีคนคิดร้ายใส่ร้ายเจ้า ถึงตอนนั้น คนที่ถูกคัดเลือกอาจไม่คิดอะไร แต่คนที่ไม่ถูกคัดเลือกอาจคิดว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของเจ้า หากองค์หญิงใหญ่และราชบุตรเขยมีชีวิตที่ดี มันก็คือเรื่องดี แต่หากพวกเขามีชีวิตที่ไม่ดี บางทีแม้แต่องค์หญิงใหญ่ก็อาจโทษเจ้า เจ้าคงเสียแรงเปล่า!”
“พี่สองคิดซับซ้อนเกินไปแล้ว” จิ่นเกอนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ ด้วยท่าทีนิ่งเฉย “ทุกอย่างมีทั้งช่วงเวลาที่ดีและไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าเราจะจัดการเช่นไร ที่พี่สองพูดมานั้นมีเหตุผล แต่อาจมีคนกำลังหยั่งเชิงความสัมพันธ์ของข้ากับองค์หญิงใหญ่อยู่ก็ได้” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ถามสวีซื่ออวี้ด้วยความสนใจ “พี่สอง ท่านคิดว่าองค์หญิงใหญ่กล้าเลือกราชบุตรเขยด้วยตัวเองเช่นนี้ ต่อไปราชบุตรเขยอภิเษกสมรสกับองค์หญิงใหญ่ เขาก็ต้องทำอะไรตามสีหน้าขององค์หญิงใหญ่ใช่หรือไม่”
สวีซื่ออวี้เห็นว่าจิ่นเกอไม่กังวลอะไรเลย ก็พลันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เจ้าเคยเจอคนแค่ไม่กี่คนก็กล้าช่วยองค์หญิงใหญ่เลือกราชบุตรเขย หากเจ้าเลือกผิด องค์หญิงใหญ่จะทำเช่นไร เจ้าฟังข้าเถิด เพื่อช่วยองค์หญิงใหญ่ เจ้าถูกต่อยจนได้แผล ข้าคิดว่าเจ้าถือโอกาสนี้กลับไปบอกองค์หญิงใหญ่เถิด แค่นี้ก็ถือว่าเจ้าทำเพื่อองค์หญิงใหญ่ดีที่สุดแล้ว…”
เขายังพูดไม่จบ จิ่นเกอก็ตะโกนว่า “อะไรคือข้าถูกต่อยจนได้แผลขอรับ เฉินจี๋คนนั้นต่างหากที่ถูกต่อย” เขาพูดต่อไปว่า “พี่สอง ข้ารู้ว่าท่านทำเพื่อข้า แต่ในเมื่อข้ารับปากองค์หญิงใหญ่แล้วแต่กลับล้มเลิกกลางคันได้ที่ไหนกัน ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนเหล่านั้นเป็นคนเช่นไร” พูดจบ สีหน้าของเขาก็มีความเดือดดาล “คนหนึ่ง หน้าตาพอใช้ได้แต่เรียนหนังสือกับอาจารย์มาตั้งสิบปีกลับรู้จักตัวอักษรแค่ไม่กี่ตัว ท่านคิดว่าหากให้คนแบบนี้อภิเษกสมรสกับองค์หญิงใหญ่ ไม่สู้ให้องค์หญิงใหญ่อยู่ตัวคนเดียวยังจะดีเสียกว่าหรือ”
สวีซื่ออวี้ประหลาดใจ “เป็นไปได้อย่างไร กรมพิธีกรรมเป็นคนคัดเลือกราชบุตรเขย…”
“อย่าพูดถึงกรมพิธีกรรมเลยขอรับ!” จิ่นเกอเอ่ยขัดจังหวะสวีซื่ออวี้ด้วยสีหน้าที่โมโห “เจ้าหมอนั่นเป็นหลานชายของหลังจงกรมพิธีกรรม ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไร ยื่นชื่อของตัวเองไปให้ฮองเฮา องค์หญิงใหญ่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเรา ข้าจะปล่อยให้นางไม่ได้รับความยุติธรรมเช่นนี้ได้อย่างไรขอรับ ข้าเลยจะหาโอกาสไปดูหลังจงคนนั้น คางคกอยากทานเนื้อหงส์ชัดๆ!”
หลังจงกรมพิธีกรรม ยื่นชื่อหลานชายตัวเองไปให้ฮองเฮาได้ เรื่องนี้มีลับลมคมในอะไร ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน สวีซื่ออวี้ยิ่งไม่อยากให้จิ่นเกอเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ไปหายงอ๋องดีกว่า เขาคือเสด็จพี่ขององค์หญิงใหญ่ แล้วยังมีตำแหน่งสูงส่ง มีเขาคอยช่วยเหลือดีกว่าเจ้าตั้งหลายร้อยเท่า” เขาพูดต่ออีก “พวกเจ้าทำเช่นนี้ ผู้ถูกคัดเลือกที่อยู่เยี่ยนจิงยังพอไปดูได้ แต่หากคนเหล่านั้นอยู่ที่ซานตง ส่านซี เจ้าจะไปแอบดูได้เช่นไร หากทำให้เรื่องขององค์หญิงใหญ่ล่าช้าคงไม่ดี!”
จิ่นเกอได้ยินดังนั้นก็ครุ่นคิดตาม
สวีซื่อเจี้ยเข้ามาพอดี
“อิงเหนียง เหตุใดเจ้าถึงมาเช้าขนาดนี้!” เห็นภรรยาตัวเอง เขาก็รีบประคองนางไปนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดเบาๆ “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าหากมีข่าวอะไรข้าจะส่งคนไปรายงานเจ้า เจ้าวิ่งไปวิ่งมาเช่นนี้ หากลูกในท้องเป็นอะไรไปคงจะวุ่นวาย” จากนั้นก็ทักทายสวีซื่ออวี้ “พี่สองก็อยู่ที่นี่หรือขอรับ” เขาพูดกับจิ่นเกอ “ข้าคิดทั้งคืน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก พวกเจ้าต่อยกันในเยี่ยนจิง มันยากที่จะรับประกันได้ว่าไม่มีใครจำเจ้าได้ แล้วคนของศาลว่าการและกองปัญจทิศรักษานครยังรู้เรื่อง คงจะปิดบังไม่ได้แล้ว ไม่สู้ไปคารวะท่านแม่กับท่านย่าสายหน่อย ข้าจะไปปรึกษากับพี่สาม ให้คนของศาลว่าการและกองปัญจทิศรักษานครช่วยเป็นพยาน บอกว่าคนเหล่านั้นทำตัวเย่อหยิ่งถึงได้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน…”
วิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ดี!
สวีซื่ออวี้ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าเบาๆ เขามองสวีซื่อเจี้ยเปลี่ยนไป “ข้ารีบกลับมาเลยยังไม่ได้ไปศาลว่าการและกองปัญจทิศรักษานคร หากขอให้น้องสามช่วยออกหน้าให้ ไม่รู้ว่าเขาจะทำได้หรือไม่ หรือว่าบอกท่านอาห้า? ท่านอาห้ารับตำแหน่งที่องครักษ์วังหลวงมานานแล้ว คนในกองปัญจทิศรักษานครส่วนมากก็เป็นสหายของท่านอาห้า ท่านอาห้าน่าจะสนิทสนมกับพวกเขา คนของศาลว่าการและกองปัญจทิศรักษานครก็มักจะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ คนของกองปัญจทิศรักษานครต้องสนิทสนมกับคนของศาลว่าการแน่นอน”
สวีซื่อเจี้ยได้ยินแล้วก็แปลกใจ จากนั้นก็มีสีหน้าคลุมเครือ
จิ่นเกอและอิงเหนียงไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ พวกเขาสองคนเห็นเช่นนี้ คนหนึ่งคิดว่าสวีซื่อเจี้ยไม่สบายใจเพราะคิดว่าตัวเองคิดไม่รอบคอบ อีกคนหนึ่งคิดว่าสวีซื่อเจี้ยไม่สบายใจเพราะกลัวว่าตัวเองจะไปพูดกับท่านอาห้าไม่ได้…กำลังจะเกลี้ยกล่อมเขา แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ สายตาของสวีซื่อเจี้ยก็มีความแน่วแน่ เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ได้ขอรับ ข้าจะไปหาท่านอาห้าประเดี๋ยวนี้!”
“ข้าไปเองดีกว่าขอรับ!” จิ่นเกอพูดขึ้น “ข้าไปพูดกับท่านอาห้า ถึงตอนนั้นหากท่านพ่อรู้ จะได้มีคนคอยช่วยพูดให้”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต่อยตีชนะแล้วก็จบ ในเมื่อเฉินจี๋เป็นบุตรชายของผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหาร สกุลของพวกเขาต้องมีคนของตัวเองอยู่ในราชสำนัก ถูกตนทุบตีขนาดนั้นเขาต้องไม่ยอมแน่นอน และถึงแม้จะสืบไม่ได้ว่าตนเป็นใครแต่หากมันกลายเป็นเรื่องใหญ่ ด้วยความฉลาดของท่านพ่อ ท่านพ่อต้องรู้แน่นอน แทนที่ต้องไปเผชิญหน้ากับความโมโหของท่านพ่อตอนนั้น ไม่สู้เตรียมตัวล่วงหน้าเสียดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น พี่ห้าและท่านอาห้าไม่ค่อยสนิทสนมกัน แทนที่จะให้พี่ห้าลำบากใจเพราะเรื่องของตน ไม่สู้ไปเองดีกว่า ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงความจริงใจ แล้วยังไม่ทำให้พี่ห้าลำบากใจ
“เป็นความคิดที่ดี!” อิงเหนียงกลัวสวีซื่อเจี้ยจะยืนกรานต่อ เล่าเรื่องที่สวีซื่ออวี้พาสองพ่อลูกทำการแสดงเข้ามาให้จวนให้สวีซื่อเจี้ยฟัง “ทำให้ท่านแม่กับท่านย่าสบายใจก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิดเจ้าค่ะ”
สวีซื่อเจี้ยแปลกใจกับคำพูดของภรรยา จิ่นเกอยืนขึ้นด้วยความแน่วแน่ “ข้าคิดว่าเรื่องนี้ตกลงตามนี้เถิดขอรับ” พูดจบ เขาก็มองไปที่สวีซื่ออวี้ ราวกับกำลังถามว่าตนทำเช่นนี้ดีหรือไม่
เวลาไม่เคยรอใคร
ต้องผ่านด่านข้างหน้านี้ไปให้ได้ก่อน
สวีซื่ออวี้พยักหน้า “เช่นนั้นข้ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เจ้าก็กลับไปอาบน้ำเถิด ไปคารวะท่านแม่กับท่านย่าก่อนแล้วค่อยไปหาท่านอาห้าก็ไม่สาย”
จิ่นเกอพยักหน้า ทุกคนแยกย้ายกันกลับเรือน
ถึงแม้สวีซื่อเจี้ยจะช่วยคิดแผนที่ดีให้กับเขาแต่จิ่นเกอก็ต้องระวัง เขารอถึงยามเฉินสามเค่อ กระทั่งถึงเวลาไปคารวะสืออีเหนียงและไท่ฮูหยิน ก็รีบไปที่เรือนของไท่ฮูหยินทันที
“เมื่อวานนอนดึก วันนี้จึงตื่นสายขอรับ” เขาพูดด้วยท่าทีสะลึมสะลือ “ท่านแม่กับท่านย่าโปรดอย่าถือสา”
สวีลิ่งอี๋และสวีซื่อจุนออกไปลานนอกแล้ว ไท่ฮูหยิน สืออีเหนียง ฮูหยินห้าและคนอื่นๆ ต่างก็ตกใจกับแผลตรงมุมปากของเขา ยังจะมีเวลาถามเรื่องอื่นได้เช่นไร
“ใครเป็นคนทำ?” ไท่ฮูหยินรีบจับมือจิ่นเกอ “องครักษ์เหล่านั้นล่ะ หรือว่าพวกเขาเอาแต่ทานข้าวฟรี” ไท่ฮูหยินพูดด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด ในสายตาไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้จะพูดเบาๆ แต่กลับฟังดูเข้มงวด ไม่ใช่ไท่ฮูหยินที่ใจดีอีกต่อไป แล้วรอบตัวก็ยังมีกลิ่นอายของความน่าเกรงขาม ไม่ใช่แค่จิ่นเกอที่คิดไม่ถึง แม้แต่สืออีเหนียง สวีซื่ออวี้และคนอื่นๆ ก็ตกใจเหมือนกัน
“ไม่เป็นไรขอรับ!” จิ่นเกอรีบปลอบใจไท่ฮูหยิน “ข้าแค่ไม่ระวังถูกคนต่อยเท่านั้นเอง องครักษ์เหล่านั้นก็คิดไม่ถึง”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ไท่ฮูหยินพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “คนที่ต่อยเจ้าล่ะ จับตัวไว้หรือยัง”
ตอนแรกยังถามว่าเกิดอะไรขึ้น ต่อมาก็ถามว่าจับคนที่ต่อยเขาแล้วหรือยัง ยังไม่ได้ฟังที่ไปที่มาของเรื่องราว เห็นได้ชัดว่านางมีความคิดของตัวเองอยู่ในใจแล้ว
สวีซื่ออวี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ตราบใดที่ไท่ฮูหยินเชื่อว่าเรื่องที่พวกเขาพูดเป็นความจริง ไท่ฮูหยินก็จะคิดว่าคนที่ก่อเรื่องคือเฉินจี๋ ถึงแม้ท่านพ่อจะรู้ แต่เพราะไท่ฮูหยิน เขาก็ต้องคิดให้รอบคอบว่าจะลงโทษจิ่นเกออย่างไร
“เมื่อวานน้องหกทำเรื่องดีขอรับ!” สวีซื่ออวี้พูดแทรกขึ้น ทุกคนในห้องล้วนจับจ้องไปที่เขา
“เมื่อวานข้ากำลังจะไปต้อนรับสหายที่หอชุนซี เดินทางไปได้ครึ่งทางก็เห็นคนต่อยกันอยู่ที่นั่น…” เขาเล่าเรื่องให้ทุกคนฟัง ต่างก็ไม่มีใครสงสัย
หนึ่งคือคนที่เล่าคือสวีซื่ออวี้ที่มีนิสัยสุขุมมาตลอด สองคือบนโลกใบนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวมหัศจรรย์ แม้แต่เยี่ยนจิงก็มักจะมีคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
สวีซื่ออวี้ยังเล่าเรื่องไม่เสร็จ ไท่ฮูหยินก็กอดจิ่นเกอด้วยความสงสาร “หลานรักของข้า ทำให้เจ้าลำบากแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเช่นนี้ เจ้าอุตส่าห์หวังดีแต่กลับถูกต่อยกลับมา” จากนั้นก็พูดกับป้าตู้ “ประกาศคำพูดของข้าออกไป คนที่ช่วยคุณชายน้อยหก ได้รับเงินรางวัลคนละห้าตำลึง บอกพวกเขาว่า ออกไปข้างนอกกับเจ้านายก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระเจ้านาย ต่อไปก็ต้องทำเช่นนี้” นางพูดต่อไปว่า “พ่อลูกทำการแสดงสองคนนั้น เจ้าไปถามว่าพวกเขาเป็นคนที่ไหน หากพวกเขายอม เราก็ออกเงินให้พวกเขากลับบ้านเกิด ถือว่าพวกเขามีวาสนากับจิ่นเกอของเรา” และกำชับอีกว่า “ไปบอกพ่อบ้านไป๋ บอกให้เขาเชิญท่านหมอมาดูจิ่นเกอ”
ป้าตู้ยิ้มแล้วขานรับ
สืออีเหนียงมองบุตรชายตัวเองด้วยสายตาที่อบอุ่น “มีแผลที่ไหนอีกหรือไม่”
“ไม่มีขอรับ!” จิ่นเกอรู้สึกโล่งใจ
พี่สองช่างเก่งเสียจริง คนที่ไม่เคยโกหก พอโกหกทีก็ราวกับจะฆ่าคนได้เลย
“ระดับข้า หากไม่ใช่เพราะไม่ระวัง ใครจะต่อยข้าได้เล่า!” พูดจบก็ทำท่าทีอกผายไหล่ผึ่ง
ทุกคนพากันหัวเราะ
ไท่ฮูหยินบอกให้จิ่นเกออยู่กับตัวเอง “รอให้ท่านหมอมาสั่งยาแล้วข้าจะให้จื่อหงต้มยาให้เจ้า” จากนั้นก็พูดกับสืออีเหนียงและคนอื่นๆ “ใกล้จะปีใหม่แล้ว พวกเจ้าไปทำธุระของตัวเองเถิด ตอนเย็นเราค่อยเลี้ยงต้อนรับอวี้เกอ”
วันนี้สวีซื่ออวี้มีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย เขายิ้มแล้วอ้างว่าวันนี้สหายจะกลับแล้ว เลยต้องขอตัวออกไปก่อน ต่อมาทุกคนก็แยกย้ายกันออกไป เหลือแค่เซินเกอและเฉิงเกอที่เบิกตากว้างมองจิ่นเกอ ราวกับเขามีเนื้องอกขึ้นมาบนหัวอย่างไรอย่างนั้น
“พี่หก เรามาแข่งมวยกันเถิด!” เซินเกอลากจิ่นเกอออกไปข้างๆ “ข้าจะดูว่าข้าสู้ได้กี่คน!”
จิ่นเกอกำลังกังวลเรื่องหาข้ออ้างไปหาสวีลิ่งควนไม่ได้ เมื่อได้ยินดังนั้นเขาเลยลากเซินเกอออกไปทันที
