“ข้าว่าอย่าบอกฮูหยินเลย!” หวงเสี่ยวเหมาที่สงบนิ่งมาตลอดข่มอารมณ์เอาไว้ไม่ได้ “ในเมื่อท่านโหวพูดแล้ว หากพวกเราไปบอกกับฮูหยินก็มีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างท่านโหวกับฮูหยินเกิดรอยร้าว ข้าคิดว่าเป็นเช่นนี้ดีแล้ว พวกเราทำเช่นเดียวกันกับตอนที่อยู่ด่านหุบเขาจยาอวี้ เช่าห้องอยู่ใกล้กับผิงอี๋ แกล้งทำเป็นรู้จักกันบ้างบางคราว หากคุณชายน้อยหกมีเรื่องอันใด เราก็จะสามารถดูแลได้ ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งครึกครื้น!”
“เป็นความคิดที่ดี!” หลิวเอ้อร์อู่พูดต่อไปว่า “ท่านไม่อยู่เรือน พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ ไม่สู้ไปผิงอี๋ดีกว่า!”
“ทำตามที่คุณชายน้อยหกกำชับเถิด!” เป็นเหมือนปกติ ฉังอานเป็นคนสุดท้ายที่พูด “แม้หลายวันมานี้คุณชายน้อยหกจะมีสหายมากมาย แต่พอคุณชายน้อยหกไป เกรงว่ามิตรภาพนี้จะค่อยๆ จางหายไป เยี่ยนจิงเป็นเมืองหลวงที่สำคัญ กุ้ยโจวอยู่ห่างไกล หากมีสหายในเยี่ยนจิง เมื่อมีเรื่องเล็กน้อยก็จะมีคนช่วยจัดการให้ พวกเราอยู่ที่เยี่ยนจิง ทุกช่วงเทศกาลก็คอยนำของขวัญไปส่ง คารวะบรรดาฮูหยินแทนคุณชายน้อยหกก็ใช่ว่าจะไม่ใช่เรื่องดี”
สุยเฟิง หวงเสี่ยวเหมา และหลิวเอ้อร์อู่อดมองหน้ากันไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
“คุณชายน้อยหกไม่อยู่เรือน พวกเราก็ไม่มีใครให้ปรนนิบัติ คงจะไม่สามารถไปคารวะบรรดาฮูหยินทุกวันได้กระมัง!” หวงเสี่ยวเหมายังคงรู้สึกว่าไม่เหมาะสม “แล้วเวลาว่างจะทำอะไร อยู่เฝ้าเรือนก็มีพวกแม่นางอาจินอยู่แล้ว ทำความสะอาดก็มีป้าวั่นและคนอื่นๆ อยู่แล้ว อยู่เวรตอนกลางคืนก็มีองครักษ์อยู่แล้ว หรือว่าจะให้ทำตัวเหมือนคุณชายน้อย วันๆ กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน ข้ายังอยากจะไปกุ้ยโจวกับคุณชายน้อยหก!”
หลิวเอ้อร์อู่กับหวงเสี่ยวเหมามีความคิดแบบเดียวกัน “ข้าก็คิดว่าไปกุ้ยโจวกับคุณชายน้อยหกดีกว่า”
พวกเขาเกิดในครอบครัวเกษตรกรรม มีใครที่ไหนที่จะเลี้ยงคนไว้โดยเปล่าประโยชน์ หากไม่มีอะไรให้ทำก็หมายความว่าสถานที่นี้ไม่ต้อนรับแล้ว หากไม่ต้อนรับแล้วพวกเขาก็ต้องกลับไปที่หมู่บ้าน หลายปีมานี้ พวกเขาได้เรียนหนังสือและฝึกฝนศิลปะการต่อสู้กับสวีซื่อจิ่น ไม่รู้จักวิธีการปลูกพืชผักผลไม้แล้ว และไม่ชินกับชีวิตที่ต้องทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน กลัวจะถูกส่งตัวกลับไป
สุยเฟิงได้ฟังดังนั้นก็พูดอย่างลังเลว่า “ปกติจะสามารถสังสรรค์กับบรรดาบ่าวรับใช้ข้างกายของฮูหยินทุกท่านได้ ความสัมพันธ์เช่นนี้ ยิ่งใกล้ชิดก็ยิ่งสนิทสนม มิเช่นนั้นเจ้าเซี่ยเหล่าซานจะได้ไปเป็นคนเฝ้าประตูที่ศาลว่าการได้อย่างไร จะเห็นได้ว่ามักจะมาเสนอหน้าอยู่ต่อหน้าบรรดาคุณชายเลยไม่มีทางตกอับ แล้วยังมีพวกนก สุนัขที่คุณชายน้อยหกทิ้งเอาไว้ก็ต้องมีคนดูแลจึงจะถูก”
เซี่ยเหล่าซานกับบิดาของเซี่ยเหยียนเป็นคนบ้านเดียวกัน อาศัยที่นาสองหมู่เล็กๆ ดำรงชีวิต บังเอิญได้รู้จักกับบิดาของเซี่ยเหยียนและได้ไปมาหาสู่กัน ในช่วงเทศกาลหรืองานมงคลที่จวนของเซี่ยเหยียน เซี่ยเหล่าซานก็จะนำผลผลิตของบ้านเกิดมาแสดงความยินดี บิดาของเซี่ยเหยียนเลยรู้สึกเกรงใจ พอดีศาลว่าการซุ่นเทียนกำลังขาดคนเฝ้าประตู จึงได้แนะนำเซี่ยเหล่าซานผู้นี้ไป ภายในเวลาไม่กี่ปี ครอบครัวของเซี่ยเหล่าซานก็ได้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ขนาดญาติห่างๆ ในสกุลเซี่ยที่เห็นแล้วต่างก็รู้สึกอิจฉา เซี่ยเหยียนเคยพูดเสียดสีว่า ‘ปกติไม่เห็นแม้แต่เงา ชื่อก็จำแทบไม่ได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเคยช่วยหางานให้’
ตอนนั้นหวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่ยืนฟังอย่างเงียบๆ
มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน “คุณชายน้อยหก ผู้ดูแลจวนองค์หญิงซุ่ยผิงได้รับคำสั่งจากราชบุตรเขยให้นำค่าเดินทางมามอบให้ท่านเจ้าค่ะ!”
“ข้ายังไม่ได้จะออกเดินทางเลยเสียหน่อย!” สวีซื่อจิ่นหัวเราะแล้วไปที่ห้องโถงบุปผา
ผู้ดูแลจวนองค์หญิงซุ่ยผิงรูปร่างผอมสูง เป็นคนที่เคยเห็นหน้าค่าตา ซ้ำยังเป็นคนที่มีไหวพริบดี
เขาคำนับด้วยความเคารพ ยิ้มพลางหยิบกล่องสีแดงที่ใส่ของขวัญเงินค่าเดินทางขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง “ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ สำหรับท่านแล้วอาจไม่มีค่ามากพอ” พูดต่ออีกว่า “ท่านราชบุตรเขยบอกว่าพอคุณชายกำหนดวันออกเดินทางแล้วเขาค่อยเตรียมงานเลี้ยงเพื่อส่งท่านด้วยตัวเองขอรับ”
ฉังอานรับมา จิ่นเกอเอ่ยขอบคุณแล้วส่งแขก ฉังอานเดินออกมาเป็นเพื่อน มอบเงินรางวัลแทนสวีซื่อจิ่น แล้วไปจัดการค่าเดินทางกับผู้ดูแล ส่วนสวีซื่อจิ่นกลับไปที่ห้อง พูดคุยบทสนทนาเมื่อครู่กับสุยเฟิงและคนอื่นๆ ต่อ “ท่านแม่บอกว่าปีนี้อาจินจะได้รับการปล่อยตัว ข้าก็ไม่ได้อยู่ที่เรือนแล้ว ที่เรือนยังต้องการผู้ดูแลสักคน”
อาจินยังไม่มีคู่หมั้นหมาย พวกเขาก็นับว่าเติบโตมาด้วยกัน เมื่อได้ยินคำพูดนี้อย่างกะทันหัน ทั้งสามคนก็อดประหลาดใจไม่ได้
ฉังอานรีบเดินเข้ามา
“คุณชายน้อยหก” คนที่สงบนิ่งอย่างเขากลับมีสีหน้าแปลกๆ ในเวลานี้ “ราชบุตรเขยจวนองค์หญิงซุ่ยผิงไม่เพียงแต่มอบสี่สิ่งล่ำค่าในห้องหนังสือแก่ท่าน ซ้ำยังมอบสาวใช้หน้าตาสะสวยให้ท่านอีกสองคนด้วยขอรับ!”
“สาวใช้หน้าตาสะสวย?” ทำเอาสวีซื่อจิ่นพูดอะไรไม่ออก
“บ่าวกลัวว่าหากฮูหยินสี่รู้เข้าจะโกรธ แต่ผู้ดูแลบอกว่าหากรังเกียจว่าสาวใช้สองคนนี้หน้าตาไม่งดงาม พรุ่งนี้เขาจะส่งมาให้อีกสองคน ส่วนสองคนนี้ก็ให้พวกเราจัดการได้ตามอำเภอใจ” เม็ดเหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผากฉังอาน “บ่าว…บ่าวเห็นว่าสาวใช้สองคนนั้นดูอายุราวสิบสองสิบสามปีเท่านั้น เมื่อได้ยินผู้ดูแลพูดเช่นนี้ก็เลยตกใจจนหน้าซีด…แล้วยังไม่อาจหลบมาถามคุณชายได้ จึงทำได้เพียงรับไว้!” เขาพูดพลางคุกเข่าลงบนพื้น “คุณชายน้อยหก เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าทั้งหมด ท่านลงโทษข้าคนเดียวก็พอขอรับ!”
วันนั้นสืออีเหนียงได้เคยถามสวีซื่อจิ่นอย่างอ้อมค้อมแล้วว่าการเรียนศิลปะการต่อสู้ในจวนต้องไม่เข้าใกล้สตรี เขาได้ฟังคำพูดของอาจารย์หรือไม่ ฉังอานนึกขึ้นได้ว่าสาวใช้รอบตัวสวีซื่อจิ่นล้วนเป็นคนที่ปรนนิบัติสวีซื่อจิ่นมาตั้งแต่เด็ก จึงรู้ถึงเจตนาของสืออีเหนียง ในเวลานี้ราชบุตรเขยขององค์หญิงซุ่ยผิงส่งสาวใช้แสนสวยสองคนมา คนที่รับไว้ก็คือเขา…จะไม่ให้เขากลัวได้อย่างไร!
สวีซื่อจิ่นเองก็สัมผัสได้ถึงความคิดของสืออีเหนียงในเรื่องนี้
มีหลายจวนที่ไม่ได้มีฐานะเหมือนพวกเขาก็ยังมีอี๋เหนียงและสาวใช้ห้องข้างอยู่ในเรือนจำนวนมาก แต่จวนพวกเขา อย่าว่าแต่บรรดาพี่ชายเลย แม้แต่ท่านพ่อก็ยังมีอี๋เหนียงแค่สองคน…
เขาอดลูบศีรษะไม่ได้ พูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้น เช่นนั้นเจ้าเอาสาวใช้สองคนนั้นมอบให้ท่านแม่ของข้าเถิด อย่างไรเสียข้าก็จะไปแล้ว ให้ท่านแม่จัดการได้ตามสบาย”
ฉังอานได้ฟังดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบพูดว่า “บ่าวจะให้คนพาแม่นางทั้งสองไปหาฮูหยินขอรับ”
สืออีเหนียงอยู่เป็นเพื่อนอิงเหนียงที่ห้องเอ่อร์ฝังรอคลอดบุตร เมื่อได้ยินว่ามีคนส่งสาวใช้หน้าตาสะสวยให้สวีซื่อจิ่นสองคน แม้แต่อิงเหนียงที่พึ่งร้องด้วยความเจ็บปวดก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยินเช่นนี้
“มอบคนให้หู่พั่วดูแลก่อน ข้ากำลังยุ่งเรื่องของคุณนายน้อยห้า ประเดี๋ยวค่อยว่ากัน”
คนเป็นมารดามักชำนาญเรื่องคิดบัญชีย้อนหลังมากที่สุด…
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สวีซื่อจิ่นก็ไปหาสวีลิ่งอี๋ “ท่านพ่อ ข้าตัดสินใจแล้วว่าข้าจะพาฉังอานไปด้วย แล้วให้สุยเฟิงอยู่ช่วยข้าดูแลเรื่องประจำวันอยู่ที่เรือน ส่วนหวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่ก็ให้ติดตามอาจารย์ผังไปที่กุ้ยโจวด้วย หาที่พักในเขตเฉิงฟาน หากข้ามีเรื่องอันใดพวกเขาก็จะได้ช่วยจัดการให้ได้บ้าง ข้าก็จะได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์ผังต่อไปได้”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ถามว่าเหตุใดเขาถึงได้วางแผนเช่นนี้ แต่กลับพยักหน้าอย่างมั่นใจในตัวเขา “ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยให้ฉังอานเข้ากองทัพก่อน”
เมื่อสวีซื่อจิ่นได้ฟังดังนั้นก็ตาเป็นประกาย “ท่านพ่อ เป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าท่านสามารถช่วยหวงเสี่ยวเหมา หลิวเอ้อร์อู่และสุยเฟิงให้เข้าร่วมกองทัพได้ใช่หรือไม่ขอรับ”
“บางเรื่องก็อย่าได้รีบร้อนจนเกินไป” สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ตอบเขาโดยตรง “เจ้าเองก็ควรเรียนรู้ที่จะอดทน”
“ได้ ได้ขอรับ!” สวีซื่อจิ่นยิ้มจนตาหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว คิดวางแผนในใจอย่างอดใจไม่อยู่เลยแม้แต่น้อย “เช่นนี้ข้าก็จะได้วางใจ สามารถทำให้พวกเขามีอนาคตที่มองเห็นและสัมผัสได้ ซึ่งดีกว่าให้เงินรางวัลหรือสตรียิ่งนัก!” เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็เล่าเรื่องที่ราชบุตรเขยขององค์หญิงซุ่ยผิงส่งสาวใช้หน้าตาดีสองคนมาให้บิดาของตนฟัง
“เจ้าพูดว่าเป็นสาวใช้หน้าตาสะสวย เห็นแล้วหรือว่าหน้าตาเป็นอย่างไร” สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างไม่คิดอะไร “อายุเท่าไร”
“ข้ายังไม่เห็นเลยขอรับ!” สวีซื่อจิ่นรู้สึกว่าท่าทางของท่านพ่อดูสบายๆ เกินไป ไม่นึกถึงความรู้สึกของเขาเลยสักนิด จึงพูดเสียงดังว่า “ข้าส่งไปไว้ที่เรือนท่านแม่แล้ว” พูดพึมพำอีกว่า “ท่านแม่ยังถามข้าเป็นพิเศษด้วยว่าข้าได้เข้าใกล้สตรีหรือไม่”
“เจ้าอายุยังน้อย ท่านแม่ของเจ้าถามเช่นนี้ก็ถูกแล้ว” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางตบไหล่บุตรชายเบาๆ “เจ้าตั้งใจฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ให้ดี เมื่อศิลปะการต่อสู้ของเจ้าดีขึ้น พ่อก็จะมอบสาวใช้หน้าตางดงามให้เจ้าอีกสองคน!”
สวีซื่อจิ่นพลันนึกถึงนางคณิการ้องเพลงในภาพวาดที่ดูสง่างามแต่กลับมีสีหน้าเย็นชา เผลอเบะปากด้วยความรังเกียจ “ข้าไม่เอาขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะดังลั่น
สวีซื่อจิ่นรู้สึกว่าบิดาไม่ได้ช่วยอะไรเลย จึงเดินจากไปด้วยความโกรธ
เมื่อเดินมาถึงครึ่งทาง ก็เลี้ยวไปทางเรือนของไท่ฮูหยิน
“สาวใช้หน้าตาสะสวยสองคนอย่างนั้นหรือ” ไท่ฮูหยินส่งสัญญาณให้สาวใช้น้อยที่กำลังอ่านพระคัมภีร์ให้นางฟังถอยออกไป ก่อนจะจับมือสวีซื่อจิ่นพลางพูดเสียงเบาว่า “เจ้าลองคิดดู สตรีเช่นนี้ ราชบุตรเขยขององค์หญิงซุ่ยผิงจะมอบให้ใครตามใจชอบได้อย่างไร ส่วนใหญ่มักจะถูกไถ่ตัวมาจากหอนางโลม ได้รับการฝึกฝนให้ปรนนิบัติเอาใจผู้ชายมาตั้งแต่เล็ก สตรีเช่นนี้ นอกจากเรื่องในเรือนแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย แต่ละคนดูหน้าตาสวยสดงดงาม พูดจาออดอ้อนอ่อนหวาน แต่เมื่อเจอเรื่องสำคัญก็จะเปิดเผยความลับ แม้แต่ความแตกต่างของฝ่ายราชวังกับฝ่ายเครื่องแต่งกายก็ยังไม่รู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องออกความคิดเห็นให้เจ้า ก็เป็นเพียงแค่สตรีที่สวยแต่รูปแต่จูบไม่หอมเท่านั้น ในภายภาคหน้าเจ้าเป็นคนที่ต้องทำการใหญ่ หากแม้แต่วิสัยทัศน์และการตัดสินใจก็ยังไม่มีแล้วต่อไปจะจัดการคนที่อยู่ภายใต้อำนาจได้อย่างไร อย่าลืมว่าพวกคนที่มีความสามารถจะนับถือผู้ที่มีคุณธรรมมากที่สุด!” จากนั้นก็ยิ้มพลางโอบไหล่สวีซื่อจิ่น “การที่ส่งคนให้ท่านแม่เจ้าจัดการ…เรื่องนี้ทำได้ดี ในหมื่นความดี ความกตัญญูนั้นมาเป็นอันดับแรก เจ้ารู้จักกตัญญูต่อมารดา ข้าเองก็ดีใจ!” พูดพลางมองสวีซื่อจิ่นด้วยรอยยิ้มจนดวงตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “หากเจ้าต้องการคนคอยปรนนิบัติข้างกายจริงๆ ในจวนเราก็มีเยอะแยะไป ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น อาจินที่อยู่เรือนเจ้า ข้าว่าก็ไม่เลวเลย ก่อนที่เจ้าจะไปกุ้ยโจว ให้ข้าช่วยเจ้าเก็บอาจินไว้ดีหรือไม่”
อาจิน? สวีซื่อจิ่นตกตะลึง “นาง…นางปรนนิบัติข้ามาตั้งแต่เด็ก อายุมากกว่าข้าตั้งหลายปี!”
“เช่นนั้นก็ดีเลย ยิ่งรู้จักเป็นห่วงคน” ไท่ฮูหยินไม่เห็นด้วย ยิ้มแล้วพูดว่า “ปรนนิบัติเจ้ามาตั้งแต่เด็ก รู้จักนิสัยเจ้าอย่างชัดเจน ทั้งรู้จักดูแลคนด้วย!”
“ข้าไม่เอาขอรับ!” สวีซื่อจิ่นส่ายหน้าไปมาเหมือนกลองป๋องแป๋งก็ไม่ปาน “ข้ายังต้องฝึกฝนศิลปะการต่อสู้! ไม่ต้องการสาวใช้ห้องข้าง”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ รู้สึกว่านี่เป็นข้อแก้ตัวของสวีซื่อจิ่น “หากเจ้าไม่ชอบ เช่นนั้นเปลี่ยนเป็นลู่จูสาวใช้ข้างกายคนใหม่ของย่าดีหรือไม่ อายุมากกว่าเจ้าเพียงสองปี ข้าดูแล้วหน้าตาของนางไม่เลวเลย…”
สาวใช้น้อยผู้นั้นหน้าตาขาวอวบราวกับซาลาเปา
สวีซื่อจิ่นรู้สึกปวดหัวไปหมด
ดูแล้วการที่มาหาไท่ฮูหยินก็คิดผิดเช่นกัน! ต้องหาวิธีปลีกตัวออกไป
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว ก็มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ “ไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยิน คุณนายน้อยห้าคลอดแล้ว คลอดคุณชายน้อยเจ้าค่ะ!”
“ไอ๊หยา!” ไท่ฮูหยินนั่งตัวตรง “ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีเสียจริง! รีบไปบอกฮูหยินสองที่กำลังคัดลอกพระคัมภีร์ที่หอพระ ให้นางไปเยี่ยมคุณนายน้อยห้าพร้อมกับข้า”
เจ้าเด็กคนนี้มาได้ถูกเวลาจริงๆ!
สวีซื่อจิ่นยิ้มพลางพยุงไท่ฮูหยิน “ท่านย่า ข้าพยุงท่านเองขอรับ!”
