“พี่ใหญ่เองก็รู้” สืออีเหนียงถอนหายใจ “บางเรื่องก็เป็นพี่ใหญ่ที่บอกข้า ซ้ำยังวานให้ข้าไปเกลี้ยกล่อมพี่หญิงห้า ข้าถามพี่หญิงห้าอย่างอ้อมค้อมแล้ว พี่หญิงห้าบอกเพียงว่าจั๋วเถาปรนนิบัติรับใช้ซินเกอมาตั้งแต่เขายังเล็ก ซินเกอแยกจากจั๋วเถาไม่ได้อยู่ช่วงหนึ่ง ทำให้นางเลยวัยอันสมควร ไม่ง่ายที่จะแต่งออกไปแล้ว นางก็ไม่ได้อยู่ที่เหวินเติงตลอด ก็เลยให้พี่เขยห้าเก็บจั๋วเถาไว้ ส่วนเรื่องของจ้าวเซิ่ง บอกว่าไม่มีคนที่เหมาะสม อย่างไรเสียจ้าวเซิ่งผู้นั้นก็อยู่ในเรือนพวกเรา รู้จักภูมิหลังของเขาอย่างละเอียด แทนที่จะเชิญคนอื่นไม่สู้เชิญจ้าวเซิ่งจะดีกว่า”
“เหตุใดพี่หญิงห้าจึงทำเช่นนี้” ไม่รอให้นางพูดจบ สือเอ้อร์เหนียงก็พูดขึ้นมาว่า “ครอบครัวเดียวกัน มีอะไรที่ต้องปิดบังด้วยหรือ นางทำเช่นนี้แล้วพวกเราจะช่วยนางได้อย่างไร!” ขณะที่พูดก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่ออย่างหมดปัญญาว่า “แต่ไหนแต่ไรมาพี่หญิงห้าอยู่ที่จวนก็รักศักดิ์ศรีตัวเองเป็นอย่างมาก พวกเราเองก็เป็นเพียงน้องหญิง…”
“ใช่แล้ว!” สืออีเหนียงพูดขึ้นมาว่า “ข้าทำได้เพียงบอกพี่ใหญ่ตามที่นางพูดอย่างละเอียด พี่ใหญ่เองก็จนปัญญา บอกว่าการดำเนินคดีต้องมีผู้ร้องทุกข์ ตอนนี้ไม่มีผู้ร้องทุกข์ หรือว่าพวกเราจะต้องไปก้าวก่ายหน้าที่ของคนอื่น?”
ทั้งสองคนพูดไม่ออก
“ช่างเถิด ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว!” สืออีเหนียงพูดขึ้นมาว่า “เจ้าหน้าที่ไม่สามารถไปตัดสินเรื่องในเรือนได้ พี่หญิงห้าเองก็กำลังจะสู่ขอสะใภ้แล้ว จะใช้ชีวิตอย่างไรนางย่อมจัดเตรียมและวางแผนเอง ยากนักที่เจ้าจะมาที่นี่ ทานอาหารเย็นก่อนแล้วค่อยกลับไปเถิด!”
สือเอ้อร์เหนียงถอนหายใจยาว หยุดคิดเรื่องนี้ไปก่อนชั่วคราว
“อิงเหนียงสบายดีหรือไม่เจ้าคะ” นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเจอนางครั้งสุดท้ายก็ตั้งแต่ตอนที่ฉลองครบรอบหนึ่งปีของจวงเกอ!”
“สบายดี” สืออีเหนียงยิ้มพลางให้เหลิ่งเซียงไปเชิญอิงเหนียงมาอยู่เป็นเพื่อน “ตอนนี้จวงเกอเริ่มฝึกเดินแล้ว วิ่งวุ่นไปทั่ว นางคอยเฝ้าอยู่ข้างกายทุกวัน ไม่กล้ากะพริบตาแม้แต่ครั้งเดียว เมื่อวานยังกอดแขนข้าแล้วบอกว่าคิดถึงพี่สะใภ้สี่ จึงอยากจะแสดงความกตัญญูต่อข้า เห็นได้ว่าเด็กคนนี้พอได้เป็นแม่คนจึงได้รู้ถึงความลำบากของมารดา ได้รู้ว่าการเป็นมารดานั้นไม่ง่ายเลย”
สือเอ้อร์เหนียงยิ้มพลางพยักหน้า
อิงเหนียงมาแล้ว
“เหตุใดถึงไม่อุ้มจวงเกอมาด้วย!” หรือเป็นเพราะในวัยเด็กได้ใช้ชีวิตในหอลู่จวินที่อวี๋หัง สือเอ้อร์เหนียงจึงชอบความครึกครื้นเป็นอย่างมาก และที่สกุลหวังก็มีบรรดาสะใภ้มากมายพอดี แม่สามีลูกสะใภ้เรือนอื่นก็ชอบมีเรื่องให้นางช่วย ทุกคนต่างก็ชอบนาง ในเรือนมักจะมีคนอยู่ในห้องเต็มไปหมด การนั่งทานข้าวสามคนเช่นนี้ สำหรับนางค่อนข้างเงียบเหงาเป็นอย่างมาก “ข้าเองก็ไม่ได้พบเขามาสักพักแล้ว”
“ตอนนี้เขาอยู่ไม่สุข” อิงเหนียงบ่นพึมพำ แต่รอยยิ้มที่อ่อนโยนกลับปรากฏบนใบหน้าของนาง “เวลาจะทานข้าวก็ต้องให้แม่นมคอยตามป้อนอยู่ข้างหลัง ข้าก็เลยไม่ได้พาเขามาด้วย”
“ก็ไม่ได้มีคนนอกเสียหน่อย จะพูดจาเกรงใจกันเช่นนี้ทำไม” สือเอ้อร์เหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “มีเด็กที่ไหนที่ไม่ได้เติบโตมาเช่นนี้บ้าง” จากนั้นก็พูดหยอกล้อว่า “ที่ข้าเรียกเจ้ามาไม่ใช่เพื่อที่จะพบเจ้า แต่เพื่อที่จะพบจวงเกอของพวกเราต่างหาก!”
อิงเหนียงหัวเราะก่อนจะให้สาวใช้ไปอุ้มจวงเกอมา พวกนางพากันหยอกล้อเด็กน้อยอยู่พักหนึ่งก่อนจะไปทานอาหารเย็น จากนั้นสือเอ้อร์เหนียงก็เดินทางกลับจวน
เมื่อผ่านกลางเดือนเจ็ดไปแล้ว สือเอ้อร์เหนียงก็นำของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์มามอบให้สืออีเหนียง พาสืออีเหนียงไปพูดคุยเป็นการส่วนตัว
“ข้าไปสืบมาแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดเสียงเบาว่า “บอกว่าก่อนที่พี่เขยห้าจะเข้ารับตำแหน่ง พี่หญิงห้าจะดูแลลูกๆ อยู่ที่เยี่ยนจิงก็เลยคิดจะซื้อคนมาคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายพี่เขยห้า แต่คนที่ถูกใจนั้นราคาแพงเกินไป ที่ราคาถูกก็ไม่ได้รับการสั่งสอน เกรงว่าพอรับเข้ามาแล้วจะสร้างปัญหา พอคิดไปคิดมา พี่หญิงห้าก็นึกถึงจั๋วเถาที่อายุมากแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งงาน รู้สึกว่าจั๋วเถาอยู่ต่อหน้าพี่เขยห้ามานานหลายปี พี่เขยห้าก็ยังไม่เคยมองนางสักที ไม่สู้ให้พี่เขยห้ารับนางไว้” เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็มีสีหน้าขมขื่น “ใครจะไปคิดว่าจั๋วเถาผู้นี้ หลังจากที่ติดตามพี่เขยห้ากลับได้รับความชื่นชอบจากพี่เขยห้า พี่หญิงห้าไม่ไป พี่เขยห้าก็ไม่เร่งเร้านางเหมือนเมื่อก่อน ซ้ำยังให้จ้าวเซิ่งไปเป็นนายบัญชีภาษีเสบียงที่เหวินเติง พี่หญิงห้าไม่รู้จะทำอย่างไร ครั้งนั้นจึงอาศัยเทศกาลตรุษจีนไปที่เหวินเติง จะให้พี่เขยห้าให้จ้าวเซิ่งลาออก แต่พี่เขยห้ากลับบอกว่าจ้าวเซิ่งทำงานได้ดีในสกุลหลัว หากไม่ใช่เพื่อช่วยเขา แล้วเหตุใดต้องมาถึงเหวินเติง ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะช่วยให้เขาลงหลักปักฐานในเหวินเติงได้ ไหนเลยจะมีเหตุผลให้เขาลาออก ซ้ำยังบอกว่าอย่างไรเสียจ้าวเซิ่งก็เป็นคนสกุลหลัว ย่อมดีกว่าไปเชิญคนนอก อู่เหนียงไม่มีทางเลือก จึงอยู่ที่นั่นช่วงหนึ่ง คิดอยากจะหาความผิดของจ้าวเซิ่ง แต่ปรากฏว่าไม่เพียงแต่หาเรื่องจ้าวเซิ่งไม่ได้ ซ้ำจ้าวเซิ่งยังหาความผิดพลาดของนางเจอ!”
สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าไปได้ยินคำพูดเหล่านี้มาจากไหน”
“ข้าเป็นห่วงพี่หญิงห้ามากจึงเขียนจดหมายกลับไปที่อวี๋หังหนึ่งฉบับ” สือเอ้อร์เหนียงบอกว่า “พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนบอกข้าเจ้าค่ะ!”
ดูแล้วคงจะเป็นเรื่องจริงถึงแปดเก้าในสิบส่วน!
สืออีเหนียงพูดอย่างครุ่นคิดว่า “จ้าวเซิ่งหาข้อผิดพลาดของพี่หญิงห้าเจอ หมายความว่าอย่างไร”
สือเอ้อร์เหนียงสีหน้าหม่นหมอง “มีคนนำเงินหนึ่งพันตำลึงมอบให้พี่หญิงห้า ไหว้วานให้พี่หญิงห้าช่วยเหลือเรื่องคดีความ พี่หญิงห้าเลยไปพูดกับกรมอาญาให้แล้วช่วยจัดการเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าจ้าวเซิ่งรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร อีกทั้งยังบอกพี่เขยห้า พี่เขยห้าชี้หน้าพี่หญิงห้าไล่ให้พี่หญิงห้าออกไป…พี่หญิงห้าเสียหน้าจึงพูดเรื่องที่ท่านแม่สนับสนุนเงินให้พี่เขยห้าเรียนหนังสือในตอนนั้นขึ้นมา แล้วยังบอกอีกว่าหากไม่ใช่เพราะท่านโหวเขาจะสามารถซื้อเรือนในเยี่ยนจิงได้อย่างไร…พี่เขยห้าโกรธจนหน้าแดง เขาตบหน้าตัวเองไปสองครั้ง ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่คุยกับพี่หญิงห้าอีกเลยแม้แต่ประโยคเดียว”
“พวกบ่าวรับใช้เหล่านั้นล้วนทำตามท่าทีของพี่เขยห้า พี่หญิงห้าเข้าๆ ออกๆ แต่แม้แต่คนจะคุยด้วยก็ไม่มี พี่หญิงห้าทนอยู่ที่เหวินเติงต่อไปไม่ไหว จึงได้พาซินเกอกับเตี้ยนเจี่ยเอ๋อร์กลับมา”
เมื่อได้ฟังดังนั้นสีหน้าของสืออีเหนียงก็เริ่มเคร่งขรึมมากขึ้น “เมื่อก่อนพี่หญิงห้าเคยทำเรื่องเกี่ยวกับการเก็บเงินคนเพื่อช่วยฟ้องร้องหรือไม่”
สือเอ้อร์เหนียงพยักหน้า “พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าจ้าวเซิ่งเป็นนายบัญชีภาษีเสบียงให้พี่เขยห้า พี่สะใภ้ใหญ่เคยเขียนจดหมายไปซักถามพี่เขยห้า พี่เขยห้าบอกว่านายบัญชีภาษีเสบียงคนก่อนเคยยุยงให้พี่หญิงห้าใช้ที่ดินราชการชั้นดีมาแลกกับที่ดินชาวบ้านระดับล่างที่พึ่งทำการไถ จากนั้นก็ขายที่ดินเพื่อทำกำไร…พี่สะใภ้ใหญ่เขียนจดหมายไปถามพี่หญิงห้า พี่หญิงห้าบอกว่านายอำเภอที่อยู่จวนข้างๆ ก็ทำเช่นนี้ทั้งนั้น แต่ทำไมพอเป็นตัวเองจึงได้กลายเป็นโทษร้ายแรงอย่างให้อภัยไม่ได้! ซ้ำยังบอกอีกว่ามีใครบางที่จะไม่อยากเป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์เหมือนพี่ใหญ่ แต่ก็ต้องมีภูมิหลังทางครอบครัวที่ดีจึงจะเป็นได้ ในจวนสกุลของพี่เขยห้าอย่าว่าแต่ให้เงินพวกเขาเลย ซ้ำทุกปียังต้องส่งเงินไปให้ที่จวนด้วยซ้ำ เงินทั้งปีของพี่เขยห้าก็เพียงแค่สี่สิบห้าตำลึง ซ้ำในจวนก็มีคนอีกเป็นกอง จะพอกินพอใช้ได้อย่างไร หากนางไม่ทำเช่นนี้แล้วจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร ยังบอกอีกว่าพี่สะใภ้ใหญ่ก็เป็นผู้ดูแลเรือน คนอื่นไม่รู้ หรือว่าแม้แต่พี่สะใภ้ใหญ่เองก็ไม่รู้ถึงความยากลำบาก ทำเอาพี่สะใภ้ใหญ่พูดไม่ออก จึงไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ได้อีก”
“มิน่าเล่านางถึงไม่ไปเหวินเติงแล้ว!” สืออีเหนียงพูดพึมพำ “ไม่ใช่ว่านางไม่อยากไป แต่เป็นเพราะไปแล้วก็ไม่มีแม้แต่ที่จะให้ยืน…ถึงตายก็จะรักษาหน้าไว้ แม้ว่าต้องมีชีวิตอยู่เพื่อรับกรรมก็ตาม หลายปีมานี้ทุกคนต่างคิดว่าที่นางไม่ไปเหวินเติงเพราะกลัวความลำบาก”
สือเอ้อร์เหนียงเองก็ทอดถอนใจเช่นกัน พูดขึ้นมาว่า “พี่หญิงห้ากลับมาที่เยี่ยนจิง พี่เขยห้าให้คนนำเงินสองพันตำลึงมามอบให้พี่หญิงห้าใช้ทุกปี ตอนแรกที่หญิงห้าคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี ถ้าไม่เห็นก็ไม่นึกถึง จดจ่ออยู่กับการเลี้ยงบุตรที่เยี่ยนจิง พอซินเกอประสบความสำเร็จก็จะมีที่พึ่ง เมื่อฉุกเฉินทุกปีก็จะพอมีเงินใช้อยู่บ้าง แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป ในใจของพี่หญิงห้าก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย รู้สึกว่าในเมื่อพี่เขยห้าสามารถให้เงินนางสองพันตำลึงได้ทุกปี เช่นนั้นจั๋วเถาที่ติดตามพี่เขยห้าไปเหวินเติงราวกับเป็นฮูหยินก็ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตดีแค่ไหน จึงไปเหวินเติงอีกรอบ”
สืออีเหนียงโน้มตัวลงมา รีบถามว่า “แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร”
สือเอ้อร์เหนียงถอนหายใจยาว “ปกติจั๋วเถาออกนอกจวนน้อยมาก เวลาอยู่เรือนก็สวมใส่ผ้าหยาบ ปั่นด้าย ปลูกผัก เลี้ยงไก่ เหมือนหญิงสาวชาวนา ปรนนิบัติพี่เขยห้าตามมีตามเกิด มีคุณธรรมยิ่งกว่าผู้ที่เป็นฮูหยินอย่างแท้จริง คนเหวินเติงต่างก็ชื่นชมว่าครอบครัวพี่เขยห้ามีความเข้มงวด ว่ากันว่าที่หวงโหย่วเป็นดองกับพี่เขยห้า ก็เพราะชื่นชอบครอบครัวที่เป็นระเบียบของพี่เขยห้า”
สืออีเหนียงอึ้งตะลึงเล็กน้อย เงียบไปนานกว่าจะพูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นเหตุใดพี่หญิงห้าถึงได้เรียกจั๋วเถากลับมาเล่า”
สือเอ้อร์เหนียงพูดเสียงเบาว่า “ได้ยินมาว่าจั๋วเถาตั้งครรภ์เมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วแต่ไม่สามารถรักษาครรภ์ไว้ได้ พี่หญิงห้ากลัวว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปในสายตาของพี่เขยห้าจะมีเพียงจั๋วเถา จึงใช้ข้ออ้างให้จั๋วเถารักษาร่างกายเรียกจั๋วเถากลับมา จากนั้นก็ซื้อหญิงสาวที่ผิวขาวสะอาดสะอ้านส่งไปที่เหวินเติง ปีนี้ก็ใช้ข้ออ้างว่าซินเกอจะแต่งงานแล้ว นางคนเดียวจัดการไม่ไหวจึงให้จั๋วเถาอยู่ที่เรือนต่อ”
“เช่นนั้นพี่เขยห้าได้ส่งคนมาขอจั๋วเถาหรือไม่” สืออีเหนียงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามสือเอ้อร์เหนียง
“ไม่เลยเจ้าค่ะ!” แววตาของสือเอ้อร์เหนียงสับสนเล็กน้อย “ดังนั้นพี่หญิงห้าจึงเตรียมจะฉลองตรุษจีนที่เหวินเติงแล้วค่อยกลับมา ประการแรกเพื่อต้องการพาลูกสะใภ้คนใหม่ไปเป็นแขกที่จวนเศรษฐีในเหวินเติง ประการที่สองเพื่อต้องการรู้ว่าคนที่ปรนนิบัติข้างกายพี่เขยห้านั้นซื่อสัตย์หรือไม่”
เกรงว่าคงจะอยากจะให้จั๋วเถาเห็นว่าเมื่อไม่มีนางแล้วเฉียนหมิงก็ยังคงใช้ชีวิตได้อย่างดีเหมือนเดิม!
เมื่อส่งสือเอ้อร์เหนียงไปแล้ว สืออีเหนียงก็เขียนจดหมายหนึ่งฉบับให้หลัวเจิ้นซิ่ง ถามเขาว่าชื่อเสียงของเฉียนหมิงในแวดวงราชการเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากนั้นก็เริ่มยุ่งอยู่กับเทศกาลไหว้พระจันทร์ ยุ่งอยู่กับการเตรียมพร้อมการสอบในเดือนเก้าให้สวีซื่ออวี้
สวีซื่ออวี้รู้สึกประหม่ามากกว่าการสอบครั้งแรก
ไท่ฮูหยินไม่สนใจว่าตัวเองอายุมากแล้ว ให้ฮูหยินสองกับสืออีเหนียงไปสักการะพระโพธิสัตว์และขอพรที่วัดเป็นเพื่อน
เมื่อสวีซื่อเจี่ยนรู้ก็พูดหยอกล้อสวีซื่ออวี้ “หากข้าเป็นท่านก็แค่ทำข้อสอบอย่างสบายๆ ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องจริงจังเช่นนี้ อย่างไรเสียตอนนี้พวกเราก็เป็นหลานของไทเฮา เป็นลูกพี่ลูกน้องของฮ่องเต้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่ให้เป็นขุนนางระดับสี่ก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอกกระมัง หากพี่สองสอบติดราชบัณฑิต เริ่มรับตำแหน่งจากขุนนางระดับเจ็ด เป็นหลังจงที่หกกรมก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปีถึงจะได้เป็นขุนนางระดับสี่ หากไปรับตำแหน่งนอกเมือง กว่าจะได้เป็นขุนนางระดับสี่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบปี…”
“พูดจาเหลวไหลอะไรกัน” ไท่ฮูหยินหยิบพัดที่อยู่ข้างๆ ตีไปที่ศีรษะของสวีซื่อเจี่ยนอย่างแรง
สวีซื่อเจี่ยนเอามือกุมศีรษะพลางดิ้นไปมา
ทุกคนพากันหัวเราะ
“นั่นมันไม่เหมือนกัน” สวีซื่ออวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “การพระราชทานตำแหน่งดูเหมือนจะเร็ว แต่ในความจริงนั้นยากที่จะก้าวหน้าในอนาคต การสอบจอหงวนเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งแม้ว่าจะช้า แต่ว่าการก้าวไปทีละก้าวทำให้ในใจรู้สึกมั่นคง” สายตาที่ใช้มองสวีซื่อเจี่ยนนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง รู้ว่าสวีซื่อเจี่ยนกำลังหยอกล้อให้ตนอารมณ์ดี ซึ่งการที่สวีซื่อเจี่ยนพูดเช่นนี้ก็ทำให้ใจของเขาผ่อนคลายลงเป็นอย่างมากจริงๆ
เมื่อถึงวันลงสนามสอบ กลับเป็นวันที่ผ่อนคลายมากที่สุด
เมื่อรับกระดาษข้อสอบมา มีคำถามหนึ่งข้อที่คล้ายกับทฤษฏีกลยุทธ์ที่เขาทำไปเมื่อไม่กี่วันก่อน เลยยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น กระดาษข้อสอบพลันราวกับมีสีสันก็ไม่ปาน สามวันต่อมาพอออกมาจากสนามสอบเห็นสวีซื่อฉิน สวีซื่อเจี่ยน สวีซื่อจุน และสวีซื่อเจี้ยที่มารับเขา เขาก็อดยิ้มกว้างไม่ได้
