ในเวลานี้สืออีเหนียงค่อนข้างลำบากใจ
“…หมอดูบอกว่าอย่างน้อยต้องอายุน้อยกว่าสามปี ก็เลยไม่ได้รีบร้อนรีบร้อน ในเวลานี้ทุกคนต่างพูดทีเล่นทีจริง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี” นางมองคุณนายสี่สกุลถังด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “อย่างไรเสียก็ต้องรอให้ผ่านช่วงเวลายุ่งๆ ไปก่อนจึงจะสามารถนั่งคุยปรึกษากับท่านโหวได้”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” คุณนายสี่สกุลถังดูไม่ได้เป็นกังวล พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายน้อยหกพึ่งจะได้รับตำแหน่ง ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำ ข้าเองก็นึกขึ้นได้อย่างกะทันหัน จึงได้พูดออกมา” นางพูดพลางปิดปากหัวเราะ “พอเจ้าพูดขึ้นมา ตอนนี้ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าคุณชายน้อยหกกับคุณหนูใหญ่สกุลเราเหมาะสมกันไม่น้อย ปีนี้คุณชายน้อยหกอายุสิบหกปี คุณหนูใหญ่สกุลพวกเราอายุสิบสองปี คุณชายน้อยหกเป็นบุตรชายภรรยาเอกคนที่สอง ส่วนคุณหนูใหญ่สกุลเราเป็นบุตรสาวคนโตภรรยาเอกของซื่อจื่อจวนเรา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณธรรมจริยธรรมของคุณหนูเรา ตั้งแต่เล็กก็ได้เชิญให้กูกูในวังมาช่วยอบรมสั่งสอน…” คุณนายสี่สกุลถังพูดพลางสังเกตสีหน้าสืออีเหนียง เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงสีหน้าเรียบเฉยก็อดร้อนใจไม่ได้
หรือว่าข่าวลือจะเป็นจริง
ทั้งสกุลโจวและสกุลซุนต่างก็มีต่างก็มีจุดประสงค์จะเป็นดองกับสกุลสวีอีกอย่างนั้นหรือ
หรือเป็นเพราะหลายปีมานี้บรรดาสะใภ้ที่แต่งเข้ามากับบรรดาคนที่คุณหนูแต่งออกไปของสกุลถังล้วนเป็นสกุลที่มีอำนาจ แม้จะดูใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้ดีเท่าไร โดยเฉพาะการแต่งงานของเส่าหวาในปีนั้น กลัวจะทำให้เจี้ยนหนิงโหวขุ่นเคืองจึงสู่ขอบุตรสาวคนโตภรรยาเอกสกุลพวกเขา ใครจะไปรู้ว่าเมื่อไทเฮาสิ้นพระชนม์ สกุลหยางไม่เพียงถึงจุดจบ ซ้ำยังพรากอนาคตของเส่าหวาไปด้วย สกุลขุนนางในเยี่ยนจิงกลัวว่าจะทำให้ฮ่องเต้องค์ก่อนขุ่นเคือง ต่างคนก็ต่างแอบหลีกเลี่ยง ดังนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสกุลถังกับบรรดาขุนนางในเยี่ยนจิงก็ยิ่งห่างไกลกันออกไปเรื่อยๆ
แต่สกุลสวีกลับตรงกันข้าม
ประการแรกคือฮ่องเต้มีรับสั่งให้สวีซื่อจิ่นที่ไม่เคยนำทัพ ไม่เคยออกรบ ซ้ำยังอายุไม่ถึงยี่สิบปีให้ติดตามโอวหยางหมิงไปล้อมจับตั่วเหยียน เมื่อได้ยินว่าโอวหยางหมิงพ่ายแพ้ ส่วนจิ่นเกอไล่ตามศัตรูเข้าไปในฉ่าวหยวนโดยไม่มีข่าวคราวใดๆ ก็รีบมีรับสั่งให้กงตงหนิงนำกองทัพไปตามหาในทันที ซ้ำยังไม่สนใจการคัดค้านของเฉินเก๋อเหล่า อาลักษณ์ลู่และคนอื่นๆ สั่งเคลื่อนย้ายกองทัพกลางและกองทัพแนวหลังของกองทัพภาคไปที่เซวียนถงเพื่อเพิ่มกองกำลัง…แม้ว่าสุดท้ายตั่วเหยียนจะถูกสวีซื่อจิ่นจับได้ แต่ฮ่องเต้ก็แต่งตั้งให้กงตงหนิงเป็นซีหนิงโหว และแต่งตั้งสวีซื่อจิ่นเป็นอู่จิ้นปั๋วโดยไม่รอหลังจากเสร็จพิธีมอบเชลยที่ประตูวัง…ทุกคนพากันพูดล้อเล่นเป็นการส่วนตัวว่าหากไม่ใช่เพราะต้องประทานตำแหน่งให้สวีซื่อจิ่น เกรงว่ากงตงหนิงคงจะไม่ได้เป็นซีหนิงโหวเร็วเช่นนี้
จากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็อาศัยประโยชน์จากชัยชนะครั้งใหญ่ของซีเป่ยเข้ากราบทูล ‘วัดที่ดินพระราชทาน และกำหนดจำนวนที่ดินพระราชทานใหม่ตามยศข้าราชการ’ จนได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ คลี่คลายอันตรายจากการถูกยึดที่ดินพระราชทานคืน ทำให้ความน่าเคารพของสวีลิ่งอี๋ในบรรดาขุนนางเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว สูงกว่าตอนที่เขาไปปราบปรามความวุ่นวายที่ซีเป่ยในตอนนั้นเสียอีก
ฮ่องเต้พึ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ภายในระยะเวลาอันสั้น สกุลสวีมีผลงานโดดเด่นโดยที่ไม่มีใครเทียบได้!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ คุณนายสี่สกุลถังก็ยิ่งมีความแน่วแน่ที่จะสานสัมพันธ์กับสกุลสวีมากยิ่งขึ้น
ในแง่ของความสนิทสนม แน่นอนว่าสกุลสวีใกล้ชิดกับสกุลโจวและสกุลซุนมากกว่า สวีซื่อจิ่นเป็นบุตรชายที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนเดียวของสืออีเหนียง ซ้ำยังมีตำแหน่งขุนนางที่ทำผลงานอันน่ายกย่อง การพูดที่ดูไม่จริงจังเช่นนี้ อย่าว่าแต่สืออีเหนียงเลย หากเป็นนางก็คงไม่ตอบตกลงง่ายๆ
เรื่องนี้ยังต้องหารือในระยะยาว
ทางที่ดีที่สุดคือต้องหาคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดกับสืออีเหนียงมาช่วยพูดให้ จากนั้นค่อยทำการบางอย่างกับสินสอดทองหมั้นของคุณหนูใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นด้านน้ำใจหรือด้านวัตถุสิ่งของ ต้องมีสักอย่างที่สามารถทำให้นางหวั่นไหวได้!
หลังจากตัดสินใจแล้ว คุณนายสี่สกุลถังก็รู้สึกว่านั่งอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้วแม้แต่วินาทีเดียว
สิ่งที่นางคิดได้ คนอื่นก็ย่อมคิดได้เช่นเดียวกัน เมื่อถึงเวลานั้นหากถูกคนชิงตัดหน้าแย่งไปก่อนจะมาเสียใจภายหลังก็ไม่ทันแล้ว!
“หลายวันมานี้เจ้าคงยุ่งมาก!” คุณนายสี่สกุลถังยิ้มพลางลุกขึ้น “ข้าขอตัวกลับก่อน เมื่อจิ่นเกอกลับมา ข้าค่อยมาดื่มสุราฉลอง!”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าสกุลถังมองคนที่อำนาจและเงิน นางเลยไม่อยากเป็นดองกับสกุลถัง คุณนายสี่สกุลถังต้องการจะไป แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่นางต้องการ ยิ้มพลางพูดอย่างเกรงใจสองสามประโยค ไปส่งคุณนายสี่สกุลถังที่ประตูฉุยฮวาด้วยตัวเอง
มีรถม้าสีดำขลับดูเรียบง่ายจอดอยู่นอกประตูฉุยฮวา เข็มขัดแกะสลักลวดลายมังกรสีเงินที่มีเพียงขุนนางชั้นสูงเท่านั้นที่ใช้ได้ ถูกล้อมรอบไปด้วยบ่าวรับใช้ ฮูหยินห้าตานหยางเซี่ยนจู่จับมือสตรีผิวขาวสวมเสื้อกั๊กลายดอกไม้สีครามทะเลสาบพลางพูดคุยอะไรบางอย่าง
คุณนายสี่สกุลถังหรี่ตาลงเล็กน้อย
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา
คิดไม่ถึงว่าจะได้พบมู่ซื่อฮูหยินของติ้งหนานโหวซื่อจื่อที่หน้าประตู!
ไม่รอให้ฮูหยินห้ากับมู่ซื่อรู้ตัวก่อน คุณนายสี่สกุลถังก็ยิ้มพลางเดินเข้าไปทักทาย “คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับฮูหยินของติ้งหนานโหวซื่อจื่อที่นี่ ท่านเป็นแขกที่พบเจอได้อยากจริงๆ!”
มู่ซื่อเป็นคนเก็บตัว สมาชิกในสกุลซุนก็มีน้อย อีกทั้งสามีก็เป็นซื่อจื่อ นางจึงไม่ค่อยออกไปนอกจวน
เมื่อได้ยินคุณนายสี่สกุลถังพูดเช่นนี้นางก็หน้าแดง รีบเข้าไปคำนับคุณนายสี่สกุลถัง
ฮูหยินห้ากลับเอนเอียงไปทางพี่สะใภ้ของตัวเอง คำนับคุณนายสี่สกุลถังพลางยิ้มแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ของข้านั้นมาอยู่บ่อยๆ แต่คุณนายสี่สกุลถังนั้นไม่ค่อยได้มา ส่วนใหญ่จึงไม่ได้เจอกัน!”
คุณนายสี่สกุลถังหัวเราะ
พวกนางยืนทักทายกันอยู่ที่นั่นครู่หนึ่ง เมื่อคุณนายสี่สกุลถังขึ้นรถม้าแล้ว ฮูหยินห้า มู่ซื่อ และสืออีเหนียงก็เดินเข้าประตูฉุยฉวาไป
ตอนที่เอาผ้าม่านลง คุณนายสี่สกุลถังเห็นว่าฮูหยินห้าหลบไปยืนอยู่ด้านข้าง ตั้งใจให้มู่ซื่อกับสืออีเหนียงอยู่ข้างกัน ส่วนมู่ซื่อผู้นั้นก็อาศัยโอกาสคล้องแขนสืออีเหนียง ซ้ำยังพูดอะไรบางอย่างทำเอาสืออีเหนียงหัวเราะ
นางอดขมวดคิ้วไม่ได้
เมื่อกลับไปก็ปรึกษาเบาๆ กับถังฮูหยิน
ถังฮูหยินครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เรื่องสินสอดทองหมั้นนั้นพูดง่าย ตราบใดที่สกุลสวีตกลง พวกเราก็เพิ่มสินสอดทองหมั้นเป็นสองเท่าของคุณหนูใหญ่สกุลสวีที่แต่งออกไปในตอนนั้น ส่วนเรื่องแม่สื่อ…ก็ไปเชิญไท่ฮูหยินจวนจงฉินปั๋ว หลายปีมานี้ในทุกๆ เทศกาลสืออีเหนียงก็ไม่ได้มีเวลาว่างไปพบนางเลย”
คุณนายสี่สกุลถังยังคงลังเลเล็กน้อย “อย่างไรเสียกานไท่ฮูหยินก็เป็นหญิงม่าย ให้นางไปจะเหมาะสมหรือไม่ ข้าว่าความสัมพันธ์ของฮูหยินสี่สกุลสวีกับคุณนายสามสกุลหวงนั้นก็ไม่เลวเลย อีกอย่างงานแต่งของเด็กๆ สกุลสวีก็มีคุณนายสามสกุลหวงเป็นแม่สื่อให้ทั้งนั้น…”
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร” ถังฮูหยินขัดจังหวะสนทนาของคุณนายสี่สกุลถัง “ก็เพราะว่าการหมั้นหมายของเด็กๆ ในสกุลสวีล้วนมีคุณนายสามสกุลหวงเป็นแม่สื่อ คนที่อยากจะสานสัมพันธ์กับสกุลสวี เกรงว่าแปดเก้าในสิบส่วนจะต้องเชิญคุณนายสามสกุลหวงไปถามความคิดเห็น แทนที่จะมุ่งไปในทางเดียวให้คุณนายสามสกุลหวงลองคำนวณในใจดูก่อน ไม่สู้ไปหากานไท่ฮูหยินเพียงแค่ให้ช่วยส่งข้อความเท่านั้น หากสกุลสวีมีเจตนาเช่นนี้ ย่อมต้องเชิญแม่สื่ออีกคน!” แล้วพูดต่อไปว่า “ตอนบ่ายเจ้าก็ไปสกุลกานสักหน่อย คุณหนูใหญ่สกุลซุนผู้นั้น ข้าเคยเห็นมาแล้ว รูปลักษณ์โดดเด่นเป็นอย่างมาก”
คุณนายสี่สกุลถังรีบพยักหน้ารับคำ “เจ้าค่ะ” เปลี่ยนชุดแล้วไปที่จวนจงฉินปั๋ว
เมื่อกานฮูหยินรู้ถึงจุดประสงค์การมาของคุณนายสี่สกุลถัง จึงไปขวางทางของคุณนายสี่สกุลถังก่อน “ท่านกับข้าคิดไปในทางเดียวกัน ปีนี้หลานสาวสกุลเดิมของข้าอายุสิบเอ็ดปีแล้ว ยังไม่ได้พูดเรื่องการหมั้นหมาย พี่สะใภ้ข้าได้ยินมาว่าคุณชายน้อยหกยังไม่ได้หมั้นหมาย เมื่อวานจึงได้มาที่นี่ด้วยตัวเองเพราะเรื่องนี้ เตรียมจะให้ท่านแม่สามีข้าออกหน้าถามเจตนาของฮูหยินสี่สกุลสวี!”
“เช่นนั้นก็ดี!” คุณนายสี่สกุลถังไม่แสดงให้เห็นถึงจุดอ่อน “ไท่ฮูหยินจะได้ไม่ต้องไปสกุลสวีสองรอบด้วยเรื่องเดิม”
กานฮูหยินรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถผลักไสคุณนายสี่สกุลถังได้ จึงพาคุณนายสี่สกุลถังไปพบกานไท่ฮูหยินอย่างไม่เต็มใจ
กานไท่ฮูหยินปฏิเสธทุกวีถีทาง “ในเมื่อเจ้าเดินทางมาเชิญข้าโดยเฉพาะ หมายความว่าเจ้าให้เกียรติข้า หากเป็นเรื่องอื่นข้าจะรับปากอย่างไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น แต่เรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นหญิงม่าย” ไม่ว่าคุณนายสี่สกุลถังจะพูดอย่างไร นางก็เอาแต่ส่ายหน้า
คุณนายสี่สกุลถังหมดปัญญา กลับไปด้วยความผิดหวัง
ป้ารับใช้คนสนิทของกานไท่ฮูหยินอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ “ท่านว่าคุณหนูใหญ่สกุลถังกับคุณชายน้อยหกสกุลสวีเหมาะสมกันหรือไม่เจ้าคะ”
แม้ว่าจะเป็นหญิงม่าย แต่เพียงแค่ส่งข่าวให้เท่านั้น ไม่ได้ให้เป็นแม่สื่อ เหตุใดถึงได้ปฏิเสธอย่างจริงจังเช่นนี้ ทำให้คนต้องขุ่นเคืองโดยไร้ประโยชน์!
“ทุกตระกูลล้วนมีปัญหาของตัวเอง ” กานไท่ฮูหยินพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าไม่ได้ออกนอกจวนมาหลายปี ไม่รู้ตั้งนานแล้วว่าสถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง สืออีเหนียงก็เป็นคนที่เห็นความสำคัญของมิตรภาพ แล้วเหตุใดข้าจะต้องสร้างปัญหาเหล่านี้ให้นาง” เมื่อพูดถึงตรงนี้ มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่มีความสุข “คำนวณวันแล้ว อีกห้าวันจิ่นเกอก็จะกลับมาแล้วกระมัง”
“เจ้าค่ะ!” ป้ารับใช้ผู้นั้นยิ้มแล้วพูดว่า “ว่ากันว่ากองทัพจะมาถึงเมืองหลวงในวันที่ยี่สิบเก้า ประจำการอยู่ใกล้ค่ายใหญ่ซีซาน วันที่สามสิบกรมพิธีการจะประกาศถวายเครื่องบูชาที่พระราชวังชานเมืองและวัดบรรพบุรุษ วันที่หนึ่งเดือนเจ็ดจะมีพิธีมอบเชลยเจ้าค่ะ”
“ไม่รู้ว่าจิ่นเกอผอมลงหรือไม่” ไท่ฮูหยินบนพึมพำพลางเปิดตู้ไม้หวงหยางทรงกลมที่อยู่ข้างเตียงเตา หยิบเสื้อผ้าที่ทำให้จิ่นเกอออกมานับใหม่อีกรอบ แล้วพูดขึ้นมาว่า “พรุ่งนี้เช้าเจ้านำไปส่งให้ข้า”
ป้ารับใช้สกุลกานตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เช้าวันรุ่งขึ้นก็ไปที่เหอฮวาหลี่
“ทำเสื้อผ้าให้จิ่นเกอมากมายอีกแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มพลางให้ป้ารับใช้ขอบคุณกานไท่ฮูหยินแทนนาง แล้วพูดขึ้นมาว่า “เมื่อจิ่นเกอกลับมาแล้ว ข้าจะพาเขาไปโขกศีรษะคำนับไท่ฮูหยิน”
ป้ารับใช้สกุลกานพูดขึ้นมาว่า “มิกล้าเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงให้รางวัลป้ารับใช้สกุลกานผู้นั้นเป็นเงินสิบตำลึงแล้วส่งแขก
หู่พั่วยิ้มพลางเก็บเสื้อผ้าใส่ในหีบไม้การบูรที่สลักรูปเด็กเลี้ยงควายกำลังเป่าขลุ่ย “บ่าวว่าคุณชายน้อยหกคงไม่ต้องทำเสื้อผ้าใหม่ไปอีกสามปีเลยเจ้าค่ะ!”
“ไม่เพียงแค่สามปี!” สืออีเหนียงเดินไปช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้า “ข้าว่าไม่ต้องทำเสื้อผ้าใหม่ไปอีกห้าปีก็ยังได้!”
“ดูฮูหยินพูดเข้าสิเจ้าคะ!” หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเพราะท่านเข้มงวดกับคุณชายน้อยหกเกินไป อย่างเช่นชุดคลุมซับในตัวนี้ต้องใส่จนกว่าคอเสื้อจะกลายเป็นสีเหลืองถึงจะเปลี่ยน หากเป็นคนอื่นก็คงเปลี่ยนทุกๆ ฤดูแล้วเจ้าค่ะ”
“นี่เรียกว่าเข้มงวดหรือ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ในโลกนี้ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ไม่สามารถได้สวมใส่ผ้าไหมซงเจียงเช่นนี้! เขานับว่าฟุ่มเฟือยเกินพอแล้ว!”
หู่พั่วสีหน้ายิ้มแย้ม กำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็มีบ่าวรับใช้สวมชุดสีเขียวรายงานด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกผ่านฉากกั้นผ้าไหมแก้วว่า “ฮูหยิน นกยูงของคุณชายน้อยหกบินไปแล้วขอรับ!”
สืออีเหนียงตกใจ “นกยูงจะบินได้อย่างไร!” ขณะที่พูดสายตาก็มองไปตามเสียง
เห็นเพียงบ่าวรับใช้ร่างกายผอมบางแต่กลับสูงใหญ่ แม้ว่าจะมารายงานแต่กลับเงยหน้าขึ้น ยืนตัวตรง ไม่ได้มีความนอบน้อมหรือความถ่อมตนเหมือนบ่าวรับใช้ทั่วไป
นี่คือเรือนใน เหตุใดจึงได้ส่งบ่าวรับใช้ที่รูปร่างสูงใหญ่ไม่เหมือนเด็กมารายงาน ยิ่งไปกว่านั้นบ่าวรับใช้ผู้นี้ยังดูเย่อหยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง หากได้เจอคนที่ไม่ได้พิถีพิถันอย่างนางก็ไม่เป็นไร แต่หากเป็นไท่ฮูหยิน ฮูหยินสอง หรือฮูหยินห้า หากตอบไม่ดีเกรงว่าอาจจะถูกเฆี่ยนได้
นางขมวดคิ้วพลางเดินออกไป
“เจ้าทำงานอยู่ภายใต้ใคร…” ยังไม่ทันพูดจบสืออีเหนียงก็ตกตะลึง
หู่พั่วเองก็รู้สึกว่าบ่าวรับใช้ผู้นี้มีบางอย่างผิดปกติ เมื่อได้ฟังคำพูดของสืออีเหนียงก็หยุดชะงักไป แอบรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ รีบเดินออกไปข้างนอกพลางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ฮูหยินกำลังถามเจ้า ทำไมเจ้า…” เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าดวงตาหงส์คู่นั้นเปล่งประกายราวกับหยกดำก็ไม่ปาน
“คุณ คุณชายน้อยหก…” หู่พั่วพูดจาติดๆ ขัดๆ
สวีซื่อจิ่นหัวเราะอย่างเริงร่า
สืออีเหนียงรีบเข้าไปกอดบุตรชาย “จิ่นเกอ จิ่นเกอ ทำไมเป็นเจ้า” น้ำตาหลั่งไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
