ไม่นานสวีลิ่งควนกับภรรยาก็มาถึง
สีหน้าสวีลิ่งควนดูหดหู่เล็กน้อย ไท่ฮูหยินรีบถามเขาทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น สวีลิ่งควนรีบยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่มีอะไรขอรับ” จึงบอกปัดไท่ฮูหยินไปได้
ฮูหยินห้ามองสืออีเหนียงด้วยสีหน้านิ่ง
สืออีเหนียงเพียงแต่ยิ้มเล็กน้อย
มีบางเรื่องแม้นางจะไม่ต้องการให้เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะไม่หลบหลีก
ทุกคนต่างพากันคำนับซึ่งกันและกัน พูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็แบ่งแยกโต๊ะผู้ชายหนึ่งโต๊ะ ผู้หญิงหนึ่งโต๊ะ นั่งเรียงตามลำดับอาวุโส ทานข้าวด้วยกันอย่างสนุกสนาน
เมื่อกลับมาที่เรือนตัวเอง สืออีเหนียงกับสวีลิ่งอี๋พึ่งจะนั่งลง อี๋เหนียงทั้งสามก็เข้ามาคำนับ
หลังจากคำนับเสร็จ ฉินอี๋เหนียงกับเฉียวเหลียนฝังก็ยืนสงบนิ่งอยู่ข้างๆ เหวินอี๋เหนียงทักทายสวีลิ่งอี๋ด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินมาว่าท่านโหวกลับมาตั้งนานแล้ว”
สวีลิ่งอี๋ตอบเพียงแค่ “อืม” ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ท่าทางเป็นปกติ
เหวินอี๋เหนียงไม่สนใจ หันไปยิ้มแล้วคุยกับสืออีเหนียง “ตอนบ่ายคิดว่าท่านจะนั่งอยู่ที่นี่ ใครจะไปรู้ว่าท่านไปหาไท่ฮูหยิน ได้ยินมาว่าไปเล่นไพ่นกกระจอกแต่ก็เล่นไม่ค่อยเป็น พวกเราสามคนพี่น้องมาฝึกเล่นด้วยกันก่อนดีหรือไม่ การเล่นไพ่นกกระจอกต้องอาศัยการฝึกฝนจึงจะเล่นได้สมบูรณ์แบบ เมื่อเล่นบ่อยๆ ก็จะพัฒนาขึ้นเอง ไม่รู้ว่าบ่ายวันพรุ่งนี้ฮูหยินจะมีเวลาหรือไม่ ข้ามีไพ่นกกระจอกโบราณ เล่นง่ายเป็นอย่างมาก เมื่อถึงเวลาจะเอาออกมาให้ฮูหยินดูเสียหน่อย หากคิดว่าดีก็เอาเก็บไว้…”
สืออีเหนียงยิ้มไปด้วยฟังนางพูดไปด้วย
ฉินอี๋เหนียงมองเหวินอี๋เหนียงด้วยรอยยิ้ม แต่เฉียวเหลียนฝังกลับยืนก้มหน้ากำหมัดอยู่ข้างๆ
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานบอกว่าสวีลิ่งควนมาแล้ว
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
ทำไมคำตอบมาเร็วเช่นนี้…
อี๋เหนียงทั้งสามรีบลุกขึ้นแล้วหลบไปที่ห้องทิศตะวันออก
สืออีเหนียงลุกขึ้นเรียกสาวใช้ให้ยกชากับขนมมาให้สวีลิ่งควน
สวีลิ่งควนพูดอย่างเกรงใจว่า “ไม่ต้องหรอกพี่สะใภ้ ข้าแค่พูดคุยกับพี่สี่สักหน่อยเดี๋ยวก็จะไปแล้ว”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วถอยออกไปที่ห้องทิศตะวันออก
เหวินอี๋เหนียงรีบต้อนรับสืออีเหนียงแล้วพามานั่งบนเตียงนั่ง ปากก็บ่นว่า “…ทำไมคุณชายห้ามาเอาตอนนี้ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น” ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ปกติคุณชายห้าเป็นคนร่าเริงแจ่มใส หากมีเรื่องก็เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ส่วนใหญ่จะมาขอให้ท่านโหวช่วยเรื่องของคนอื่น” สืออีเหนียงฟังไปยิ้มไป คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เฉียวเหลียนฝังจะพูดขึ้นมาว่า “ทำไมเจ้าพูดมากเช่นนี้”
เหวินอี๋เหนียงหน้าแดง ในแววตามีความขุ่นเคือง
ฉินอี๋เหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่หญิงเหวินเป็นคนมนุษย์สัมพันธ์ดี เมื่อน้องหญิงเฉียวรู้จักไปนานๆ ก็จะรู้เอง” จากนั้นก็พูดอย่างเห็นด้วยกับเหวินอี๋เหนียง “ที่พี่หญิงพูดก็มีเหตุผล ที่คุณชายห้ามาขอร้องท่านโหวส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องของคนอื่น” จากนั้นก็ถามสืออีเหนียง “ฮูหยิน ข้าได้ยินพี่หญิงเหวินบอกว่าอีกสองวันแม่นางตงชิงจะไปที่จวนในตรอกจินอวี๋เพื่อจัดการที่อยู่ให้ผู้ติดตามของท่าน คนของท่านมีน้อยลง ให้ข้ามาช่วยเฝ้าเวรยามเถิดเจ้าค่ะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินอี๋เหนียงพูดคุยกับสืออีเหนียง
กล่าวด้วยความหวังดี น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นอย่างมาก เพียงแต่ว่านางไม่คุ้นชินกับการกล่าวเช่นนี้
นางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นคนของท่านโหวมานาน ข้าจะให้เจ้ามาช่วยเฝ้าเวรยามได้อย่างไร อีกอย่างข้างกายข้ายังมีหู่พั่วและคนอื่นๆ หากยังไม่พอก็ยังมีป้าเถา”
ฉินอี๋เหนียงพูดต่อว่า “ต่อให้ข้าจะเป็นคนของท่านโหวมานานแค่ไหน แต่เรื่องสถานะสูงต่ำก็ไม่อาจละเลยได้ การที่ข้ารับใช้ฮูหยินนั้นเดิมก็เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว หากฮูหยินมีเรื่องอะไรก็เรียกใช้ข้าได้เลย”
นางแสดงออกถึงความจริงใจเป็นอย่างมาก
หากไม่ใช่ความจริงใจ เช่นนั้นก็ถือว่าเชี่ยวชาญด้านการแสดงเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงหวังว่านางจะเป็นคนจริงใจ
ฉินอี๋เหนียงมีสถานะเป็นสาวใช้มาแต่กำเนิด ไม่สามารถกำหนดชีวิตด้วยตัวเองได้ ส่วนเหวินอี๋เหนียงถึงแม้ว่านางจะดูเป็นคนมนุษย์สัมพันธ์ดี แต่นางก็เป็นเพียงแค่เหยื่อที่ถูกครอบครัวเสียสละเพื่อใช้แลกผลประโยชน์ด้านอำนาจ หากผลประโยชน์ของนางขัดแย้งกับผลประโยชน์ของสกุลเหวิน คาดว่าสกุลเหวินอาจจะไม่ใยดีนาง แล้วก็ยังมีเฉียวเหลียนฝังที่ติดกับดักของหยวนเหนียง จริงอยู่ว่าหยวนเหนียงทำไม่ถูก แต่ถ้าหากไม่มีฮูหยินเฉียวคอยให้ท้าย นางก็คงไม่มาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ รวมทั้งตัวนางเองด้วย หากมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ นางก็อาจจะไม่แต่งเข้าสกุลสวี
ในเมื่อทุกคนต่างไม่มีทางเลือก แล้วเหตุใดผู้หญิงต้องทำให้ผู้หญิงด้วยกันลำบากใจ
ดังนั้นนางหวังว่าฉินอี๋เหนียงจะเป็นคนจริงใจ ยึดมั่นในจุดยืนของตัวเองและไม่หยิ่งผยอง ไม่สิ หากจะมีความหยิ่งผยองสักหน่อยก็ไม่เป็นไร น้ำใสย่อมไม่มีปลา ใครบ้างจะไม่เห็นแก่ตัว…เพียงแต่ว่าอย่าให้เกินขอบเขตของนาง นางมีคนที่นางต้องการจะปกป้อง นางมีชีวิตที่อยากจะใช้ในแบบของนางเช่นกัน
******
ทางด้านนั้นสวีลิ่งควนกับพี่ชายนั้นกำลังปรึกษาหารือกัน “…พวกเราคิดดูแล้วว่าย้ายไปอยู่ที่เรือนนอกตรงเชิงเขาลั่วเย่ว์ดีที่สุด ที่นั่นเงียบสงบ วิวทิวทัศน์ก็งดงาม จะได้ไม่สร้างความวุ่นวายให้กับทั้งสองตระกูล”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” สวีลิ่งอี๋รีบคัดค้านทันที “ที่นั่นห่างไกลจากผู้คนเกินไป เอาเช่นนี้ สองวันนี้พวกเจ้าอยู่แต่ในบ้านไปก่อนชั่วคราว พรุ่งนี้มีว่าราชการแต่เช้ามืด เมื่อถึงเวลาข้าจะลองไปปรึกษากับท่านโหวผู้เฒ่า ดูว่าเขามีความคิดเห็นอย่างไร ส่วนเรื่องในเรือนที่ควรจะหลีกเลี่ยงก็หลีกเลี่ยงไปก่อนชั่วคราว พวกเจ้าเองก็อย่าออกเดินไปทั่ว”
สวีลิ่งควนตอบรับ ลุกขึ้นแล้วกล่าวลา
สวีลิ่งอี๋ส่งน้องชายกลับเรือน จากนั้นก็กลับมากำชับสืออีเหนียง “ที่เรือนมีรังนกหนึ่งชั่งใช่หรือไม่ พรุ่งนี้ตอนเช้าเจ้านำไปส่งให้ท่านแม่และน้องสะใภ้ห้าด้วย น้องสะใภ้ห้ากำลังตั้งครรภ์ เจ้าเป็นพี่สะใภ้ก็ควรจะไปเยี่ยมเยียนนางบ่อยๆ ”
สืออีเหนียงตอบรับ “เจ้าค่ะ” แต่ในใจกลับคิดว่า เขาตบหัวแล้วลูบหลังเช่นนี้เกรงว่าตานหยางจะไม่รับความหวังดีจากพวกเรา
เวลานี้ฮูหยินห้ากำลังพูดคุยอยู่กับป้าสือพี่เลี้ยงของนาง “…คนที่เกิดปีฉลูต่างก็พากันหลบหลีกออกไปหมดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรือนอื่น แม้แต่เรือนของท่านแม่เองก็มีสาวใช้น้อยที่เกิดปีฉลูห้าหกคน หรือว่าพวกเราจะต้องซื้อสาวใช้น้อยเข้ามาเพิ่มเพราะเรื่องนี้ ต่อให้ซื้อเข้ามาแล้วก็ต้องให้พวกท่านป้าฝึกฝนก่อน เวลาสั้นๆ ก็คงจะไม่เป็นงาน นี่เป็นเรื่องที่กระทบคนหมู่มาก ตอนนั้นที่ข้าจับปลาตะลุมพุกเพื่อที่จะจัดการฮูหยินสี่ผู้เฒ่า แต่ว่าข้ายังไม่ได้ทำอะไรนางก็ได้หน้าไปเสียแล้ว ซ้ำนางยังไม่รู้จักเจียมตัวคิดว่าข้ากลัวนาง ตอนนี้ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะให้สะใภ้ทั้งสามคนเห็นก็เท่านั้น เดิมทีกะว่าผ่านไปสองสามวันแล้วค่อยไปพูดกับไท่ฮูหยินขอย้ายไปอยู่ที่ตรอกฟ่างเซิงข้างวัดฉือหยวน ไม่ใกล้ไม่ไกลกับวัดฉือหยวน หากข้ามีเรื่องอันไต้ซือจี้หนิงจะได้รีบมาดูข้า แต่ว่าสืออีเหนียงมาบังคับให้ข้าย้ายเช่นนี้ ข้ารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก”
ป้าสือยกขาฮูหยินห้าค่อยๆ วางบนเบาะรองอย่างระมัดระวัง “ท่านคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ ท่านโหวมิใช่คนเช่นนั้น”
เมื่อฮูหยินห้าได้ฟังก็หัวเราะออกมา “คุณชายห้ากลับไม่อยากให้ข้าทำท่าทางอารมณ์เสียต่อหน้าเขา” ใบหน้าของนางเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ
“นั้นเป็นเพราะว่าคุณชายห้าเป็นห่วงท่านจริงๆ เจ้าค่ะ” คิดถึงคำที่ท่านพ่อกำชับนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าขัดแย้งกับท่านโหว ป้าสือยิ้มแล้วนำผ้าห่มบางๆ ไปห่มให้ฮูหยินห้า “ปกติท่านจะดื้อแค่ไหนก็ช่าง แต่จะทำให้คุณชายห้ากับท่านโหวทะเลาะกันไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนอย่างท่านโหว แม้แต่ท่านพ่อของท่านก็ยังต้องเกรงใจ การสนับสนุนของท่านโหวจะทำให้ท่านมีชีวิตสุขสบายภายใต้ร่มไม้ใหญ่ จำไว้ว่าการจะทำอะไรสักอย่างต้องอาศัยความสามัคคี การที่คนในเรือนจะมีความสุขอันดับแรกคือพี่น้องต้องสามัคคีกัน บรรดาสะใภ้ก็ต้องสามัคคีกันเจ้าค่ะ…”
“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว” ฮูหยินห้าพูดต่อว่า “มิเช่นนั้นข้าจะปล่อยให้คุณชายห้าไปหาท่านโหวโดยที่ข้าไม่โวยวายเลยสักคำได้อย่างไรเล่า เจ้าเอาแต่บ่นให้ข้าฟังทุกวันเช่นนี้ เจ้าพูดไม่เบื่อแต่ข้าฟังจนเบื่อแล้ว”
ท่านป้าสือหัวเราะไม่ได้พูดอะไรอีก มองฮูหยินห้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักความเมตตา
ฮูหยินห้าดึงแขนเสื้อป้าสือ “เจ้าว่าหากฮูหยินสามรู้ว่าข้าจะย้ายออกไปจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟหรือไม่”
ในเมื่อฮูหยินห้ายอมฟังที่นางพูด ในตอนนี้จึงต้องบอกกับนางอย่างใจเย็น
ป้าสือยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าต้องโกรธเจ้าค่ะ จะว่าไปแล้วการที่ท่านทำเช่นนี้ทำให้นางเสียเปรียบอยู่ไม่น้อย หากรู้ว่าพ่อบ้านใหญ่ไป๋ที่อยู่เรือนนอกเกิดปีฉลู แล้วยังมีผู้ดูแลจ้าวของส่วนรายงานที่เกิดปีฉลูเช่นกัน สองคนนั้นเป็นคนที่ท่านโหวเรียกใช้อยู่บ่อยๆ หากนางยืมเรื่องนี้ของท่านทำให้สองคนนั้นต้องย้ายออกไป เมื่อถึงเวลานั้นท่านก็คงหลีกเลี่ยงความผิดไม่ได้ โชคดีที่ฮูหยินของพวกเราเป็นคนฉลาดไม่ไปสนใจแผนของนาง ย้ายออกไปอยู่ตรอกฟ่างเซิงอย่างไม่เห็นแก่ตัว แล้วอีกอย่างนั่นเป็นสินเดิมของท่าน ทั้งในและนอกต่างก็เป็นคนของพวกเรา ท่านอยากจะตื่นตอนไหนก็ตื่น อยากจะหลับตอนไหนก็หลับ คุณชายห้ามีแต่จะเห็นด้วยไม่มีทางตำหนิท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพยักหน้า “ข้าจะปล่อยให้นางจัดการเอง ไม่อยากให้ข้าย้ายออกไปมิใช่หรือ หากนางพูดอย่างชัดเจน มีหรือที่ท่านแม่จะห้ามนาง”
ป้าสือเพียงแต่ยิ้มไม่ได้พูดอะไร
เงินก็ไม่มี จะย้ายไปอยู่ที่ใดได้เล่า
******
สืออีเหนียงปูที่นอนตามปกติ เมื่อหันกลับไปก็เห็นสวีลิ่งอี๋ยืนอยู่หน้าประตูห้องชำระมองมาที่นาง
“ท่านโหวจะดื่มชาหรือไม่เจ้าคะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วถามสวีลิ่งอี๋
“ไม่เป็นไร” สวีลิ่งอี๋เดินเข้ามา “สาวใช้เจ้าล่ะ”
เพราะเห็นว่านางปูเตียงเองจึงคิดว่าไม่มีสาวใช้อย่างนั้นหรือ
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะหู่พั่วไม่ช่วยทำ แต่สืออีเหนียงเป็นคนปฏิเสธเอง เวลาเผชิญหน้ากับคนที่ไม่คุ้นเคยอย่างสวีลิ่งอี๋ ต้องหาเรื่องมาทำสักหน่อยจะได้ไม่ต้องคิดไปเรื่อยเปื่อย อารมณ์จะได้คงที่
“แค่นี้เรื่องเล็ก” นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็แค่ทำเพราะไม่มีอะไรทำ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า ถอดรองเท้าแล้วขึ้นเตียง “รีบนอนเถิด พรุ่งนี้ต้องไปว่าราชการแต่เช้ามืด”
เมื่อรู้ว่าสวีลิ่งอี๋ต้องไปว่าราชการแต่เช้า ทุกวันนางต้องเตรียมใจตื่นตอนยามโฉ่ว
ดับโคมไฟแล้วขึ้นเตียง จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็ถามนางขึ้นมาว่า “สาวใช้ข้างกายของเจ้าอยู่กับเจ้ามาตั้งแต่เด็กเลยหรือ”
ที่เอ่ยถามเช่นนี้เพราะเห็นว่าตงชิงกับปินจวี๋อายุเยอะกว่านางเช่นนั้นหรือ
สืออีเหนียงอยากจะเข้าใจทุกประเด็นที่เขาสนใจ “ตอนเด็กๆ ข้าตามท่านพ่อไปที่ฝูเจี้ยน พอตอนกลับมาแม่นมไม่อยากจากบ้านเกิดของตัวเอง ท่านแม่จึงมอบหู่พั่ว ตงชิง และปินจวี๋ให้ข้าหลังจากกลับมาที่อวี๋หัง ส่วนจู๋เซียงเป็นคนที่อี๋เหนียงของข้ามอบให้เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร
สืออีเหนียงจึงพูดต่อว่า “เมื่อก่อนอี๋เหนียงของข้าเป็นสาวใช้ข้างกายท่านแม่ ตอนข้ายังเล็กๆ ข้ามักจะรู้สึกว่านางงดงามราวกับนางฟ้า เสียดายที่งานแต่งข้าครั้งนี้นางมาไม่ได้”
สวีลิ่งอี๋ยังคงเงียบเช่นเดิม
นางได้ยินเสียงหายใจ
คงจะหลับไปแล้ว
เมื่อสืออีเหนียงนึกถึงอี๋เหนียงห้าก็ยิ้มออกมา ในแววตาเผยให้เห็นความเศร้าหมอง
นางมองขึ้นไปบนเพดานแล้วพูดเบาๆ ว่า “…ไม่รู้ว่านางอยู่ที่อวี๋หังจะเป็นเช่นไรบ้าง”
นายหญิงใหญ่จวนจะกลับไปแล้ว ตอนนี้ตัวเองแต่งเข้าจวนหย่งผิงโหว กลายเป็นฮูหยินของหย่งผิงโหว เห็นแก่จุนเกอ หวังว่าคนในจวนจะดีกับนาง
“เจ้าคิดถึงนางหรือ ให้ท่านพ่อตาไปรับนางมาปรนนิบัติข้างกายท่านแม่ยายก็ได้แล้ว” ในความมืดมิดได้มีเสียงเบาๆ ของสวีลิ่งอี๋ดังขึ้นเหมือนเสียงระฆังที่ตีในตอนเช้า “ไม่เห็นต้องพูดพร่ำพรรณนาเช่นนี้”
สืออีเหนียงพลิกตัวนอนตะแคงหนุนแขนตัวเองมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ
พระจันทร์ยามขึ้นสิบห้าค่ำดวงกลมโต ขึ้นสิบสี่ค่ำก็ยังคงสว่างยิ่งนัก แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาในห้องทำให้มองเห็นใบหน้าเลือนลางของสวีลิ่งอี๋
เขามีไหล่กว้างและรูปร่างที่แข็งแรง จำได้ว่าตอนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา นางตัวเองสูงแค่ไหล่เขาเท่านั้น
“ข้าพูดมากไปใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางยิ้มแล้วเอ่ยถามเขา
สืออีเหนียงรออยู่นานกว่าจะได้ยินเสียงตอบรับจากสวีลิ่งอี๋ “พอได้”
“ถ้าเทียบกับท่านโหวแล้วข้าคงพูดมากไปจริงๆ”
สืออีเหนียงอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้
มองดูใบหน้าที่มีความสุขของนาง ภายใต้แสงสลัวๆ ในห้อง ดวงตาของสวีลิ่งอี๋นั้นเปล่งประกาย