วัดไท่ผูรับราชโองการให้ดูแลม้าและอยู่ภายใต้อำนาจของกรมทหาร เลี้ยงปศุสัตว์และม้าอุปถัมภ์ในกรมหกที่มณฑลซานตงและเหอหนาน หากมีทุ่งหญ้าถูกถมพื้นที่กลายเป็นพื้นที่เพาะปลูกด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ก็จะมีกรมทหารรับผิดชอบในการเก็บค่าเช่าทุกปี ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติก็ให้นำเงินออกมาเพื่ออุดหนุนการขายม้า
ปีนี้หิมะตกหนัก จี่หนาน ตงชัง ไคเฟิง เว่ยฮุยและมณฑลอื่นๆ ได้รับผลกระทบอย่างหนัก วัดสี่แห่งพากันไปขอความช่วยเหลือที่เมืองหลวง บุตรชายคนเดียวขององค์หญิงฉังหนิงนามว่าเริ่นคุนเป็นอธิบดีกรมขับเคลื่อนทางทหาร รับผิดชอบพิธีการทางทหาร การประสานงานและการเลี้ยงสัตว์ บรรดาขุนนางต้องไปมาหาสู่กับเขา เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่มีชื่อเสียงในเยี่ยนจิง ชื่นชอบบุรุษด้วยกัน ไม่เข้าใกล้สตรี สถานที่ต้อนรับเขาถูกย้ายจากหอคณิกาไปยังหอเล็กๆ ไปๆ มาๆ ก็ได้รู้จักกับหวังหลังแขกประจำโรงเตี๊ยมเล็กๆ…
“ตั้งแต่วันที่สิบเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ ก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคนพากันไปไหนแล้ว!” โจวฮูหยินพูดพลางสังเกตสีหน้าของสืออีเหนียง
“ดังนั้นหวังหลังจึงไม่ได้อยู่ที่จวน…วันที่สอง สือเหนียงย่อมไม่สามารถกลับสกุลเดิมได้…” สืออีเหนียงฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจ เมื่อนึกถึงฮูหยินเจียงกุ้ยที่กลับเยี่ยนจิงกระทันหัน “…หรือว่านี่จะเป็นเหตุผลที่นางกลับมายังเยี่ยนจิง”
โจวฮูหยินไม่ได้ยินเสียงพูดพึมพำของนาง พูดเตือนนางว่า “องค์หญิงฉังหนิงอายุมากกว่าฝ่าบาทสิบปี เมื่อฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์ พระองค์เคยได้รับการดูแลจากองค์หญิงฉังหนิง มีเพียงองค์หญิงฉังหนิงเท่านั้นที่กล้าใช้เหตุผลว่าไม่สบายเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปถวายพระพรที่พระตำหนักฉือหนิง”
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อนๆ
ต่อให้คนรักของหวังหลังจะไม่ใช่เริ่นคุน แต่นอกจากคนในสกุลหวังกับสือเหนียงแล้ว ยังจะมีใครกล้าไปยุ่งกับเขาอีก…
เช่นนี้ก็ดี ในเมื่อหวังหลังมีคนรักแล้ว ความสนใจที่มีต่อคนในจวนก็จะน้อยลง สือเหนียงก็จะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายวัน
นางถอนหายใจยาว กว่าจะทานอาหารเย็นจนกลับมาถึงจวนได้ก็รู้สึกว่าเวลาช่างเนิ่นนานเหลือเกิน เมื่อมาถึงเรือนก็พบว่าที่ลานยังมีแสงไฟสว่างไสวและเสียงหัวเราะ
มีสาวใช้น้อยมารายงานว่า “คุณชายน้อยสี่กำลังสอนคุณชายน้อยห้าเตะลูกขนไก่อยู่เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเงยหน้ามองดาวที่เต็มท้องฟ้า “ในเวลานี้น่ะหรือ”
สาวใช้น้อยยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายน้อยสี่มาตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วก็อยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เจ้าค่ะ”
“ไท่ฮูหยินยังไม่กลับมาอีกหรือ” นางรีบเดินเข้าไปในห้อง “แล้วท่านโหวกลับมาหรือยัง”
สาวใช้น้อยตอบ “ไท่ฮูหยินยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ ส่วนท่านโหวออกไปพร้อมกับท่านจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ”
ขณะที่พูดสืออีเหนียงก็เข้าไปในห้องแล้ว
“เห็นแล้วใช่หรือไม่ ง่ายๆ แค่นี้เอง…” สาวใช้และท่านป้าต่างก็อยู่กันเต็มห้องกำลังห้อมล้อมจุนเกอกับสวีซื่อเจี้ย จุนเกอกำลังถือลูกขนไก่ที่สว่างสดใสแล้วสาธิตวิธีการเตะลูกขนไก่ แต่สวีซื่อเจี้ยที่อยู่ตรงหน้าเขากลับดูเหม่อลอยเล็กน้อย สายตามองไปรอบๆ
ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย “ท่านแม่!”
เขาตะโกนเสียงดังพลางวิ่งไปหาสืออีเหนียง
สืออีเหนียงกอดสวีซื่อเจี้ยแล้วถามแม่นมของจุนเกอว่า “ไท่ฮูหยินรู้หรือไม่ว่าคุณชายน้อยสี่อยู่ที่นี่”
แม่นมรีบย่อเข่าคำนับแล้วพูดด้วยความนอบน้อมว่า “รู้เจ้าค่ะ แม่นางเว่ยจื่อรู้เรื่องนี้เจ้าค่ะ”
จุนเกอเดินเข้าไปคารวะสืออีเหนียง “ท่านแม่!”
สืออีเหนียงพยักหน้า เมื่อเห็นว่าหน้าผากของเขามีเหงื่อจึงเปลี่ยนไปลูบหลังเขาแทน “เหงื่อออกแล้ว”
จุนเกอทำท่าทางกระฟัดกระเฟียดก่อนจะสงบลงแล้วพูดว่า “ไม่ใช่นะขอรับ!”
สืออีเหนียงอุ้มสวีซื่อเจี้ยไปที่ห้องด้านใน “ดูเจ้าสิ เหงื่อท่วมตัวหมดแล้ว เข้ามาดื่มชาก่อนเถิด”
จุนเกอคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามสืออีเหนียงเข้าไปที่ห้องด้านใน
มีสาวใช้มาคอยปรนนิบัติชงชา และยังมีบรรดาอี๋เหนียงเข้ามาคารวะ บรรยากาศกำลังครึกครื้น สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาพอดี
เห็นว่าในห้องครึกครื้น จุนเกอกับสวีซื่อเจี้ย คนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ สืออีเหนียง อีกคนหนึ่งนอนอยู่ในอ้อมกอดของสืออีเหนียง มุมปากพลันยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เหตุใดเจ้าถึงกลับมาเร็วนัก!”
ทุกคนรีบลุกขึ้นย่อเข่าคำนับ
“องค์หญิงอานเฉิงไม่ชอบเสียงดังเอะอะโวยวาย พอเล่นไพ่เสร็จทุกคนจึงแยกย้ายกันเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องชำระ มีเฉียวเหลียนฝังเดินตามเข้าไป
ฉินอี๋เหนียงหลุบตาลง ทำเป็นมองไม่เห็น แต่เหวินอี๋เหนียงเหลือบมองสืออีเหนียง
อนุก็เป็นเพียงสาวใช้ที่มีฐานะสูงกว่าสาวใช้เล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดให้ต้องสนใจ
สืออีเหนียงสีหน้านิ่งสงบ กำชับสาวใช้ว่า “เจ้าไปดูสิว่าไท่ฮูหยินกลับมาแล้วหรือยัง”
สาวใช้น้อยตอบรับแล้วรีบออกไป
สืออีเหนียงพูดคุยกับจุนเกอ “พี่ชายทั้งสามไม่ได้อยู่กับเจ้าหรือ พวกเขาทำอะไรกันอยู่”
จุนเกอยู่ปาก “พวกเขาไม่ยอมให้ข้าตามไป ทำตัวลับๆ ล่อๆ ปิดประตูแล้วคุยกันอยู่ในห้อง”
เด็กน้อยมักจะชอบเล่นกับเด็กที่อายุมากกว่าตัวเอง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ดังนั้นเจ้าจึงมาเล่นกับเจี้ยเกอ?”
เขาพยักหน้าแล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “ข้าบอกให้น้องห้าเตะลูกขนไก่ แต่เขาก็ไม่ยอมตั้งใจเรียน”
บางทีสวีซื่อเจี้ยอาจจะไม่สนใจเรื่องนี้
สืออีเหนียงยิ้ม ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่ม “เรียนเตะลูกขนไก่ไปทำไม ทำไมไม่ตั้งใจท่องบทเรียนปฐมศึกษา รอเดือนหนึ่งผ่านไปเจ้าก็ต้องไปเล่าเรียนที่ห้องเรียนประจำสกุลแล้ว”
นางเงยหน้า เห็นสวีลิ่งอี๋สวมชุดผ้าแพรสีเขียวเข้มเดินออกมาจากห้องชำระ ด้านหลังยังมีเฉียวเหลียนฝังที่ท่าทางนอบน้อมถ่อมตน
เด็กก็มีศักดิ์ศรีของตัวเอง
สืออีเหนียงจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปได้แล้ว”
สวีลิ่งอี๋ยังมีเรื่องอยากจะพูดกับจุนเกอ แต่เมื่อเห็นสืออีเหนียงพูดเช่นนี้จึงได้แต่กลืนคำพูดลงไป
สืออีเหนียงกลัวว่าเขาจะลากจุนเกอมาตำหนิ จึงได้มาส่งจุนเกอที่หน้าประตูด้วยตัวเอง
เมื่อกลับมาก็ถามสวีลิ่งอี๋ว่า “หลายวันมานี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“ก็ดี” สวีลิ่งอี๋เอนตัวผิงหมอนอิงอย่างเกียจคร้าน “ต่อให้เป็นคำฟ้องร้องของตุลาการก็ไม่ได้มีผลอะไรมาก พรุ่งนี้ข้าได้เตรียมการให้คนเขียนฎีกาถวาย ยิ่งมีคนฟ้องร้องข้ามากเท่าไร ฮ่องเต้ก็จะยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น”
ประโยคนี้สืออีเหนียงฟังเข้าใจ
ไม่มีฮ่องเต้องค์ไหนชอบให้ขุนนางใหญ่มารวมตัวกันแบ่งพรรคแบ่งพวก เรื่องของสวีลิ่งอี๋ไม่เล็กไม่ใหญ่ ถ้ามีคนมากมายเอาแต่จับจ้องเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อย ฮ่องเต้ก็จะพิจารณาถึงความไม่ชอบมาพากลในเรื่องนี้
“หรือว่าสกุลโอวไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย” นางพูดพึมพำ “โอกาสดีๆ เช่นนี้ สกุลโอวจะปล่อยไปได้อย่างไร ถ้าหากปล่อยไปจริงๆ…เช่นนั้นก็คงจะดูถูกสกุลโอวไม่ได้แล้ว”
“ไม่ใช่ว่าพวกเขายอมแพ้หรอก” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเรียบว่า “เพียงแต่ว่าในเยี่ยนจิงเขาไม่ได้มีอำนาจชี้นิ้วสั่งได้เหมือนตอนที่อยู่ที่ฝูเจี้ยน” เมื่อเห็นสืออีเหนียงอารมณ์ไม่ค่อยดีจึงเอ่ยขึ้นว่า “เป็นอะไร เหนื่อยหรือ”
ผ่านไปครู่หนึ่งสืออีเหนียงถึงมีการตอบสนอง ที่แท้เขากำลังถามตนอยู่ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าพวกองค์หญิงมีกฎมากมาย ไม่ได้สบายเหมือนตอนไปจวนหย่งชังโหว” แล้วเล่าเรื่องของหวังหลังให้เขาฟัง “…ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี มันจะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่”
“เริ่นคุนกับหวังหลังอยู่ด้วยกันแล้ว?” สวีลิ่งอี๋ฟังแล้วรู้สึกแปลกใจมาก “ทำไมเริ่นคุนถึงได้ชอบหวังหลัง”
ฟังจากน้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินค่าเริ่นคุนสูงกว่าหวังหลัง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหวังหลังเคยไปมาหาสู่กับสวีลิ่งควน ก็เข้าใจดีที่สวีลิ่งอี๋จะไม่ชอบเขา
วันรุ่งขึ้นนางพาหู่พั่วกลับไปที่ตรอกกงเสียน ประการแรกเพื่อนำเรื่องราวมาบอกแก่หลัวเจิ้นซิ่ง สกุลหลัวจะได้ไม่เข้าใจสือเหนียงผิดไปมากกว่านี้ ประการที่สองก็เพื่อใช้โอกาสนี้ไปเยี่ยมอี๋เหนียงห้า ดูว่านางเป็นอย่างไรบ้าง
ทางด้านอี๋เหนียงห้าเรียบร้อยดีทุกอย่าง อี๋เหนียงหกดูแลนางเป็นอย่างดี ส่วนหลัวเจิ้นซิ่งเมื่อรู้ข่าวแล้วกลับโกรธเป็นอย่างมาก ไม่สนว่าตอนนี้เป็นเทศกาลตรุษจีน ให้คุณนายใหญ่ไปสกุลหวังทันที เรื่องราวไม่สามารถปกปิดได้ สกุลหวังรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก ฮูหยินเจียงกุ้ยไม่เพียงแต่มาขอโทษด้วยตัวเองเท่านั้น สกุลหวังยังส่งผู้ดูแลมามอบของขวัญมูลค่าหลายพันตำลึงอีกด้วย หลัวเจิ้นซิ่งก็ยังไม่หายโกรธ คุณนายใหญ่เกลี่ยกล่อมเขา “แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า หรือว่าท่านจะไปรับสือเหนียงกลับมา?” คำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้หลัวเจิ้นซิ่งรู้สึกท้อแท้ ทำได้เพียงเร่งเร้าให้สกุลหวังนำหวังหลังกับมา
เรื่องที่ควรถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วทุกที่อย่างเรื่องนี้กลับถูกเรื่องบุตรนอกสมรสของสวีลิ่งอี๋ทำให้เงียบไป ดั่งหินก้อนเล็กๆ ที่ถูกโยนลงในทะเลสาบ แม้ว่าจะมีระลอกคลื่น แต่มันก็เป็นเพียงระลอกคลื่น ไม่นานก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว แต่เรื่องของสวีลิ่งอี๋กลับทวีความรุนแรงมากขึ้น จากเรื่องเสื่อมเสียศีลธรรมถูกลากไปจนถึงเรื่องแอบติดต่อกับศัตรู จากการฟ้องร้องของตุลาการใหญ่โตไปจนถึงการตำหนิของขุนนางด้วยกันเอง ส่วนสกุลสวีที่เป็นศูนย์กลางของพายุกลับมีการตอบสนองอย่างเนิ่บนาบ ตอบโต้อย่างคลุมเครือ ทำอะไรซับซ้อนวุ่นวาย สิ่งเดียวที่น่าชื่นชมก็คือบรรดาพี่น้องยังปรองดองกัน สวีลิ่งควนทะเลาะกับคนอื่นๆ มานับครั้งไม่ถ้วน
ในช่วงขณะนั้นทั้งภายในและภายนอกเมืองเยี่ยนจิงต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือด
สืออีเหนียงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก นอกจากจะไปงานเลี้ยงเป็นเพื่อนไท่ฮูหยินแล้ว นางก็อยู่แต่ในเรือนของตัวเองกับตงชิงและปินจวี๋ เย็บปักเสื้อผ้าให้กับเด็กๆ
ทุกวันตอนบ่ายจุนเกอจะมาเล่นกับสวีซื่อเจี้ย แต่สวีซื่อเจี้ยกลับเอาแต่นั่งข้างๆ สืออีเหนียงดูนางทำงานปัก ไม่ยอมไปเล่นกับจุนเกอ จุนเกออดบ่นกระเง้ากระงอดไม่ได้ “…พี่ใหญ่กระซิบกับพี่สอง พวกเขาให้พี่สามฟังแต่ไม่ให้ข้าฟัง”
สืออีเหนียงเห็นเขาเบะปาก ท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอย่างมาก มองดูสาวใช้และท่านป้าท่าทางนอบน้อมถ่อมตนของเขา แล้วหันไปมองสวีซื่อเจี้ยที่นั่งเล่นนิ้วอยู่ข้างๆ ตัวเองไม่ยอมออกห่างแม้แต่ก้าวเดียว นางยิ้มพลางเก็บเข็มกับด้าย “จุนเกอสอนข้าหน่อยเถิดว่าลูกขนไก่เตะอย่างไร”
“จริงหรือ จริงหรือ ท่านแม่จะเรียนเตะลูกขนไก่กับข้าหรือ” จุนเกอดีใจมากที่ได้ยินเช่นนี้
สืออีเหนียงพยักหน้า กลัวว่าคนอื่นจะเห็นว่าไม่เหมาะสม จึงเหลือไว้เพียงลี่ว์อวิ๋นกับหงซิ่ว แล้วให้สาวใช้น้อยไปเฝ้าหน้าประตู เมื่อเปลี่ยนชุดแล้วก็ไปเรียนเตะลูกขนไก่กับจุนเกอ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องนี้หรือว่าเป็นเพราะไม่มีกระจิตกระใจจะเล่นกับเด็กๆ สืออีเหนียงเรียนไปเรียนมาแต่ก็ไม่ได้อะไร หากไม่เตะลูกขนไก่จนกระเด็น ก็เตะจนหายไปในอากาศ จุนเกอใจร้อนจนเหงื่อท่วมตัว สวีซื่อเจี้ยขอเพียงแค่ได้อยู่ข้างๆ สืออีเหนียง จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ยิ้มตาหยีช่วยนางเก็บลูกขนไก่ ท่าทางมีความสุขเป็นอย่างมาก
“ข้าว่าพวกเรามาเล่นกระโดดร้อยเชือกกันเถิด!”
กระโดดร้อยเชือกก็คือการกระโดดเชือก
สืออีเหนียงรู้สึกว่ามันได้ออกกำลังกายมากกว่าการเตะลูกขนไก่ โดยเฉพาะเด็กถั่วงอกอย่างจุนเกอ สามารถใช้วิธีนี้ค่อยๆ เพิ่มการเคลื่อนไหวเพื่อที่จะออกกำลังกายได้ตามเป้าหมาย อีกอย่างการกระโดดเชือกไม่มีเสียงดังเอะอะโวยวาย ไม่เป็นที่สะดุดตาคน
นางพูดพลางมองจุนเกอด้วยความคาดหวัง
จุนเกอรีบยืดอกตอบรับทันที “ได้สิ พวกเรามากระโดดร้อยเชือกกันเถอะ”
ในความเป็นจริงเขารู้สึกว่าการกระโดดเชือกนั้นเหนื่อยมาก แต่ท่านแม่เงอะงะ เรียนเตะขนไก่ไม่ได้สักที จึงอยากเปลี่ยนมาเล่นกระโดดเชือกแทน เขาย่อมต้องเห็นแก่หน้านาง
สำหรับสวีซื่อเจี้ยแล้วเล่นอะไรก็ได้ทั้งนั้น หากสืออีเหนียงคิดว่าดีเขาก็ว่าดี ปรบมือพลางพูดว่า “กระโดดร้อยเชือก กระโดดร้อยเชือก”
สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบหัวเขา ให้พ่อบ้านไป๋เอาเชือกสีขาวมาสามเส้นตามความสูงของพวกเขา จากนั้นก็ย้ายเก้าอี้ไท่ซือในห้องโถงออกไปให้เหลือที่ว่างตรงกลาง ถือเชือกคนละเส้นกับจุนเกอแล้วลองกระโดด
สวีซื่อเจี้ยถือเชือกแล้ววิ่งไปวิ่งมาอยู่ข้างๆ
สืออีเหนียงยิ้มพลางเรียกสวีซื่อเจี้ย “มาสิ ข้าจะสอนเจ้ากระโดดเชือก”
สวีซื่อเจี้ยยิ้มแล้วรีบวิ่งเข้าไปหา
สืออีเหนียงบอกให้เขายืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง นับเลข “หนึ่ง สอง สาม” จากนั้นก็แกว่งเชือกกระโดด นับอีกครั้ง “หนึ่ง สอง สาม” แล้วแกว่งเชือกกระโดด
ตอนแรกสวีซื่อเจี้ยไม่ค่อยเข้าใจ เมื่อกระโดดไปสองสามครั้งก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่สืออีเหนียงพูด รู้ว่าพอสืออีเหนียงนับสามก็ให้กระโดดทันที เพราะอายุยังน้อยจึงทรงตัวไม่ค่อยได้ เซไปเซมาเหมือนตุ๊กตาล้มลุก จุนเกอที่อยู่ข้างๆ เห็นดังนั้นก็หัวเราะ สวีซื่อเจี้ยหันไปมองจุนเกอ ไม่ทันได้ระวังจึงไปเหยียบเท้าสืออีเหนียง สืออีเหนียงไม่ทันตั้งตัวจึงร้องออกมา “โอ๊ย” เชือกไปสะดุดที่เท้าของสวีซื่อเจี้ย ทั้งสองจึงล้มไปกองที่พื้นด้วยกัน
