แต่กลับไม่มีใครตอบกลับคำถามของเขาเลย มีเพียงแต่ความตึงเครียดที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
น้าป่ายตวาดสายตามองไปยังเด็กสาว
“มานี่!” น้าป่ายเรียกตัวเด็กสาว
เด็กสาวก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ แต่แล้วเธอยังคงเงยหน้าขึ้นมองเฉินเฟิง ราวกับว่าเตรียมใจที่จะก้าวกลับไปหาน้าป่ายแล้ว
เฉินเฟิงจึงรีบก้มลงไปปลอบใจเธอทันที
“ไม่เป็นไรนะ เธอไม่ต้องกลัว ฉันจะปกป้องเธอเอง ยืนอยู่ข้างๆ ฉันก็พอแล้ว”
แต่เด็กสาวกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
เธอปล่อยมือของเฉินเฟิงออกแล้วค่อยๆ เดินถอยหลังไปพร้อมกับมองหน้าของเฉินเฟิง
“เธอกำลังกลัวหล่อน แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวไป”
เฉินเฟิงยังคงพูดโน้มแน้วเด็กสาว
แต่เด็กสาวกลับเดินถอยหลังไปหลายก้าวแล้ว ราวกับว่านอกจากความหวาดกลัวแล้ว เธอยังมีเหตุผลอื่นที่ต้องทำแบบนี้
เฉินเฟิงยังคงไม่ลดละ แต่ว่าจะทำอย่างไรต่อไปหากดึงตัวเธอเอาไว้ได้
รอจนเด็กสาวเดินไปถึงข้างกายน้าป่าย น้าป่ายถึงค่อยพูดอีกครั้ง
“เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ฉันจะไม่เอาเรื่องอะไรกับคุณ แต่ฉันหวังว่าจะไม่มีครั้งต่อไป”
หลังพูดจบ เธอก็จูงมือเด็กสาวกลับไป
ชิงชิววิ่งตามไปพร้อมคำถาม “น้าป่าย ตอนนี้คุณชิงจือเป็นยังไงบ้าง ?”
ในตอนที่น้าป่ายหันมามองชิงชิว สีหน้าของเธอดูอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่ยังคงมีกลิ่นอายของความเย็นชาเอาไว้
“บาดแผลของเธอดีขึ้นมากแล้ว แต่ฉันกักบริเวณให้เธอห้ามออกจากเขาเด็ดขาด ต่อให้คุณรออยู่ที่นี่ เธอก็ไม่กลับมาหรอกนะ คุณกลับไปทำสิ่งที่ตัวเองต้องทำเถอะ แล้วฝากกลับไปทักทายอาจารย์ของคุณแทนฉันด้วย”
หลังจากพูดจบประโยค เธอก็ไม่ได้สนใจชิงชิวอีก ก่อนจะพาเด็กสาวเดินกลับไปยังทางเดิมที่เข้ามา
เด็กสาวหันหลังกลับมามองเฉินเฟิง เธอขมิบปากราวกับว่าต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เดินไปได้หลายก้าวเธอกลับไม่พูดอะไรออกมาสักอย่าง แต่คนที่สิ้นหวังไม่ได้มีเพียงแค่เฉินเฟิงคนเดียว ชิงชิวเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
“เธอจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว คุณจะยังอยู่ที่นี่รออีกหรอ ?”
เฉินเฟิงจึงกล่าวถามหลังจากที่เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน
“ไม่รู้สิ บางทีคงจะถึงเวลาที่ต้องกลับแล้ว ผมเคยให้สัญญากับอาจารย์ว่าจะกลับไปหาก่อนที่เขาจะเสียชีวิต”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของชิงชิวความรู้สึกโดดเดี๋ยวก็แผ่ซ่านขึ้นมาในหัวใจของเฉินเฟิง
การจากไปของชิงชิวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เพราะหลังจากสามวันที่น้าป่ายเดินทางมาที่นี่ เขาก็เตรียมตัวที่จะเดินทางกลับทันที
ในตอนที่เขาเดินทางกลับนั้นของที่เขานำติดตัวกลับไปไม่มีสิ่งของอื่นใดเลยนอกจากดาบเล่มเดียว
และสุดท้ายที่นี่ก็เหลือเพียงแค่เฉินเฟิงคนเดียว ทำให้เฉินเฟิงครุ่นคิดอย่างหนักว่าเขาเองถึงเวลาที่ควรจะออกไปแล้วใช่หรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าด้านนอกนั้นยังมีคนที่รอคอยเขาอยู่หรือเปล่า
ในที่สุดเขาก็ใช้ชีวิตคนเดียวอยู่ที่นี่จนเวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ กระทั่งชายร่างใหญ่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราคนนั้นเดินทางกลับมายังกระท่อมอีกครั้ง
ครั้งนี้เฉินเฟิงไม่ได้แสดงท่าทีเย็นชากับเขาอีกแล้ว ทั้งยังรินน้ำให้เขาถ้วยหนึ่งอีกด้วย ก่อนจะถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างนอกกับเขา
“คุณรู้จักมหาปรมาจารย์จากสำนักเทียนซานหรือเปล่า ?” เฉินเฟิงถาม
ชายร่างใหญ่วางถ้วยเปล่าในมือลง
“อืม รู้จัก แต่ดูเหมือนว่าสำนักเทียนซานจะมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้น เพราะนายน้อยทั้งสองคนของพวกเขาถูกสังหาร”
“แล้วสรุปว่าพวกเขาหาตัวคนร้ายได้หรือเปล่า?ใช่คนที่ถูกปล่อยข่าวลือนั้นหรือเปล่า?”
ครั้งก่อนที่ฉินเฟิงได้เจอกับเน่หวาเฟิง เขาได้เคยบอกแล้วว่าตัวเองไม่ได้ไปคนฆ่า แต่เขารู้สึกว่าไม่ว่ายังไงอีกฝ่ายคงจะมีการไตร่ตรองมาแล้วไม่น้อย
“เรื่องนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ก่อนที่ผมจะเดินทางขึ้นเขามาได้ยินคนซุบซิบกันว่าสำนักเทียนซานได้ฆ่าลูกชายของกษัตริย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใดพวกเขาถึงได้ขัดแย้งกันแบบนี้ ถึงอย่างนั้นเรื่องนี้ก็น่าสนใจอย่างมากจนทุกคนต่างให้ความสนใจ
และผมยังได้ยินมาอีกว่ากษัตริย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ไปขัดขวางเส้นทางความเจริญของสำนักเทียนซาน ดังนั้นสำนักเทียนซานจึงได้ทำการสั่งสอนกษัตริย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
แต่ก็มีคนบางคนเล่ากันว่าลูกชายของกษัตริย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้มีส่วนเกี่ยวข้องในแผนการสังหารนายน้อยทั้งสองแห่งสำนักเทียนซาน จึงทำให้เขาได้รับการเอาคืนจากสำนักเทียนซานเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร อันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัด”
เฉินเฟิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก บางทีคงเป็นเพราะพวกเขาค้นพบความจริงแล้วถึงได้ชิงลงมือแบบนั้น ทว่าเขาไม่รู้เท่านั้นว่าทำไมลูกชายของกษัตริย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึงต้องมาทำร้ายเขา และไม่รู้ด้วยว่าหลังจากที่เขาออกไปจากที่นี่แล้ว มหาปรมาจารย์คนนั้นยังจะมาตามไล่ล่าเขาอีกด้วยหรือเปล่า
เขาไม่กล้าที่จะเสี่ยง เพราะความร้ายกาจของมหาปรมาจารย์คนนั้นยังฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเขาไม่หาย
ถึงจะเป็นแบบนั้นตอนนี้เขากลับรู้สึกสดชื่นขึ้นมา และยิ่งเมื่อมองดูชายร่างใหญ่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราแล้วเขาก็รู้สึกสดใสมากยิ่งขึ้นไปอีก
ทว่าเมื่อเทียบกับความสุขของเฉินเฟิงแล้ว ชายร่างใหญ่ที่ไม่ได้พบกับมหาปรมาจารย์คนนั้นที่เขามาตามหา อารมณ์ของเขานั้นสิ้นหวังเป็นอย่างมาก
เฉินเฟิงที่นึกถึงคำพูดของน้าป่ายที่ว่าชิงจือจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว จึงเตรียมที่เอ่ยปากบอกเรื่องนี้ให้กับเขา ให้คราวหน้าเขาไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูด ในป่าลึกที่อยู่ไกลออกไปกลับปรากฏร่างหนึ่งขึ้นมาซึ่งดูคล้ายคลึงกับชิงจืออย่างมาก
เขาลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ หวังจะดูให้ชัดเจนกว่านี้ ส่วนชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ก็เหลียวมองตามไปด้วยเช่นกัน ก่อนที่เขาจะถามด้วยความสงสัย
“คนๆ นั้นใช่มหาปรมาจารย์คนนั้นหรือเปล่า?”
รอจนชิงจือเดินเข้ามาใกล้ เฉินเฟิงถึงได้มั่นใจว่าเป็นเธอจริงๆ
เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าชิงจือจะกลับมา แต่ว่าชิงชิวกลับไปแล้ว น่าเสียดายที่เขาพรากไปนิดเดียว
“เขาคนนี้คือใครกัน?”
ชิงจือที่เดินมาตรงหน้าของทั้งสอง เธอไม่ได้มีความประหลาดใจเลยที่เฉินเฟิงมาอยู่ที่นี่เลยแม้แต่น้อย แล้วจ้องมองไปยังทางชายร่างใหญ่
เฉินเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาไม่เคยถามชายร่างใหญ่เรื่องนี้มาก่อนเหมือนกัน เพราะเอาแต่คิดว่าเขามาที่นี่เพราะต้องการเรียนวิชาต่อสู้
“ทำไมคุณถึงมาตามหาเธอ?”
เฉินเฟิงหันไปถามชายร่างใหญ่
ชายร่างใหญ่ราวกับว่ากำลังตื่นเต้น เขารีบหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมา ก่อนจะรื้อค้นบางอย่างที่อยู่ด้านในอย่างไม่หยุดหย่อน
หลังจากที่รื้อค้นอยู่นานสุดท้ายเขาก็นำของบางอย่างที่เหมือนกับตุ๊กตาออกมา
“คุณยังจำตุ๊กตาตัวนี้ได้หรือเปล่า?” เขามองไปยังชิงจืออย่างคาดหวัง
แต่คำตอบสุดท้ายกลับทำให้เขาผิดหวัง ชิงจือส่ายหน้าแล้วกล่าวปฏิเสธ
“จำไม่ได้แล้ว ของชิ้นนี้มีความเกี่ยวข้องกับฉันหรอ ?”
“เมื่อสามปีก่อนที่ทะเลทรายตะวันตกเฉียงเหนือ เรื่องที่คุณเคยบอกกับเด็กสาวคนหนึ่ง คุณจำไม่ได้จริงๆ หรอครับ ?”
ชิงจือยังคงส่ายหน้า
“เมื่อสามปีก่อน ฉันเดินทางไปที่ทะเลทรายตะวันตกเฉียงเหนือจริง แต่เรื่องเด็กสาวที่คุณพูดถึงนั้น ……”
ชายร่างใหญ่ต้องผิดหวังอีกครั้ง เขาปล่อยตุ๊กตาที่อยู่ในมือลง พร้อมกับถอนหายใจ
“ถ้าหากคุณลืมไปแล้ว ก็ช่างมันเถอะ เดิมทีมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรอยู่แล้ว”
ชิงจือถามด้วยความรู้สึกสงสัย
“ฉันเพียงแค่ยังนึกไม่ออก คุณสามารถเล่าให้ฉันฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บางทีฉันอาจจะจำขึ้นมาก็ได้”
ชายร่างใหญ่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับเธอฟังโดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรอีกแล้ว
แต่ทว่าเรื่องราวที่เขาเล่านั้นดูเรียบง่ายจนเกินไป ทั้งยังไม่มีจุดสำคัญของเรื่องที่ทำให้รู้สึกนึกถึงได้เลย จึงไม่น่าแปลกใจที่ชิงจือจะลืมไปได้อย่างง่ายดาย
เพราะจากคำบอกเล่ามีเพียงแค่ว่าชิงจือได้เผอิญเจอกับเด็กสาวและทั้งสองได้อยู่ด้วยกันเป็นเวลาหนึ่งวัน ซึ่งอาจเป็นเพราะชิงจือได้ให้คำมั่นสัญญาไปโดยไม่ได้คิดจริงจัง ว่าหากเด็กสาวตามหาเธอเจออีกครั้ง เธอจะให้สิ่งที่เด็กน้อยต้องการหนึ่งอย่าง
และด้วยความที่เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก ชิงจือจึงไม่เคยคิดว่าเด็กสาวจะมาตามหาเธอ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าชายร่างใหญ่คนนี้จะมาตามหาเธอจริงๆ
จนกระทั่งชายร่างใหญ่เล่าจบ ชิงจือจึงกล่าวถามทันที
“แล้วที่คุณมาหาฉัน เพราะว่าต้องการให้ฉันช่วยอะไรงั้นหรอ ?”
ชายร่างใหญ่ที่ได้ยินชิงจือถามเขาแบบนี้ เขากลับไม่กล้าที่จะเอ่ยปาก คงเป็นเพราะสิ่งที่เขาต้องการเป็นเรื่องยากที่จะกล่าวออกมาได้
“คุณเดินทางมาไกลขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะว่าคำขอนั้นหรอกหรือ ในเมื่อเป็นสิ่งที่ฉันให้คำมั่นไว้ แน่นอนว่าฉันต้องรักษาสัญญา คุณไม่ต้องรู้สึกว่ามันเป็นภาระอะไรทั้งสิ้น”
