ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 132 ไต่เต้าและพังทลาย-5

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 132 ไต่เต้าและพังทลาย-5

ทุกคนเดินตามตี๋เหว่ยไท่ไปยังเส้นทางเล็กๆ ด้านข้างโถงโรงน้ำชา

ทางเดินเล็กๆ ตรงไปยังโถงด้านหลังของโรงน้ำชาแห่งนี้

เดิมทีหลิวรุ่ยอิ่งคิดว่า ตี๋ไท่เหว่ยเชิญแขกย่อมเสียหน้าไม่ได้เป็นแน่

จะต้องไปห้องส่วนตัวชั้นบนอย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้ทุกคนอยู่ในโถงด้านหลังที่เต็มไปด้วยน้ำมันและควันคละคลุ้ง นี่มันออกจะหยาบคายเกินไปหน่อย

ในทางกลับกัน ส่วนผสมบางอย่างก็พิถีพิถันกับคำว่าสดใหม่

ไม่เพียงแต่ลงหม้อสดๆ ออกหม้อแล้วก็ต้องสดใหม่เช่นกัน

นักชิมหลายคนจะไปที่โถงด้านหลังเฝ้ารอหน้าหม้อ เพียงรอคำอร่อยสดใหม่นั้นก่อนจึงจะตักใส่จาน

แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีเงื่อนไขด้านอาหารการกินมากนัก

แทนที่จะแย่งชิงรสชาติอร่อยสดใหม่คำนั้น สู้วางอาหารทั้งจานบนโต๊ะ คนก็นั่งบนเก้าอี้แล้วรับประทานให้เสร็จสบายๆ จะดีกว่า

ต่อให้รสชาติจะลดลงก็ตาม อย่างน้อยก็ไม่ได้ขอไปทีขนาดนั้น

ทว่าตี๋เหว่ยไท่กลับไม่ได้หยุดที่โถงด้านหลัง แต่เดินมุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ

เดินผ่านโถงด้านหลังไป มีประตูอยู่หนึ่งบาน

ดูลักษณะแล้วโถงด้านหลังไม่ใช่สถานที่บรรทุกส่วนผสมหรือทิ้งเศษขยะ

เพราะประตูบานนี้ถูกโรยสีขาวหิมะ

แม้ว่าจะไม่มีการทาสีตกแต่งใดๆ แต่ก็เต็มไปด้วยลวดลายแกะสลักที่สดใหม่อยู่บ้าง

ครั้นมองอย่างละเอียด หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่อาจระบุรูปแบบได้

เพียงรู้สึกว่ามันคล้ายๆ กับการตกแต่งบนวังติ้งซีอ๋อง มีความหยาบกระด้างทางตะวันตกเฉียงเหนือรุนแรง ทั้งยังมีองค์ประกอบของทางทุ่งหญ้าผสมอยู่ด้วยไม่น้อย

แม้รูปแบบการตกแต่งจะดูโดดเด่น แต่ผลงานก็มีความซับซ้อนยิ่งนัก

อีกทั้งต้องมีคนมาเช็ดทำความสะอาดทุกวัน

ไม่เช่นนั้นประตูบานนี้จะคงสภาพสีขาวดุจหิมะในโถงด้านหลังได้อย่างไร

ด้านล่างประตูเป็นหินปูนสามขั้น

“นี่เป็นสวรรค์เล็กๆ ของข้าผู้เฒ่า แต่ไม่มีคนนอกมาที่นี่มานานแล้ว”

ตี๋เหว่ยไท่ยืนอยู่หน้าประตูพลางกล่าว

“ได้ยินมานานแล้ว ท่านประมุขหอตี๋ได้สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ให้กับโลกแห่งวรรณกรรม บรรลุถ่องแท้ เบื้องหลังประตูบานนี้ย่อมต้องสร้างสรรค์น่าค้นหาเสมอ!”

โอวหย่าหมิงกล่าว

ตี๋เหว่ยไท่แย้มยิ้ม ไม่กล่าวคำ

จากนิสัยของเขา ยามนี้ต้องเอ่ยเย้ยหยันตนเองอย่างสุภาพสองสามประโยค แต่เขาไม่ได้ทำ

สันนิษฐานว่าค่อนข้างมั่นใจและภูมิใจกับสถานที่ด้านหลังประตูบานนี้ของตนเป็นแน่

จนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเกรงใจจริงๆ

ของดีย่อมเป็นของดี หายากในใต้หล้า

ในเมื่อไม่เป็นสองรองผู้ใดเช่นนี้ ไยต้องเกรงใจด้วยเล่า

ตี๋เหว่ยไท่เอื้อมมือผลักประตู

ด้านหลังประตูเป็นไปตามที่โอวหย่าหมิงกล่าวไว้ หาใช่ห้องส่วนตัวและบ้านเรือนไม่

แต่เป็นลานใหญ่แห่งหนึ่ง

บัณฑิตสง่างาม ดังนั้นสิ่งที่โปรดปราณย่อมวิจิตรงดงามเช่นกัน

ทิวทัศน์ท่ามกลางธรรมชาติช่างกว้างใหญ่ แม้จะดูงดงามยิ่งนัก แต่หากอยากดูชมทุกวันคงยากเกินไป

จึงมีคนคิดหาวิธีย่อส่วนภูเขาธาราตามธรรมชาติให้เล็กลงตามสัดส่วนที่กำหนดแล้วนำไปไว้ในสวนเรือนของตน

ยามเช้าในทุกวัน ลุกขึ้นเปิดหน้าต่างเห็นภูเขาชุ่มตา เห็นธาราชุ่มใจ ไม่งดงามและสดชื่นหรืออย่างไร

ด้วยเหตุนี้ รูปแบบการสร้างสรรค์สวนก็รุ่งเรืองในหมู่บัณฑิต

ครั้นเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ชอบบ้านเรือนหลังใหญ่โต บัณฑิตก็ยินดีเปรียบเทียบว่าสวนเรือนผู้ใดใหญ่ยิ่งกว่า ภูเขาใหญ่ยิ่งกว่า ธารามากกว่าและทิวทัศน์งดงามตระการตายิ่งกว่า

แนวคิดเช่นหนึ่งสระน้ำ เขาสามยอด สิบลี้เก้าธาราก็ถูกสร้างขึ้นอย่างแข็งแกร่งเช่นนี้

สวนทั่วไปสร้างได้ด้วยการเลียนแบบเท่านั้นเพราะเงื่อนไขที่จำกัด

รวบรวมหินก่อตัวเป็นภูเขา วงแหวนเป็นธารา ดอกไม้พฤกษานานาชนิดปลูกไว้ระหว่างภูเขาธารา

ทว่าสวนแห่งนี้ของตี๋เหว่ยไท่ ไม่ใช่สิ่งที่พวกวาดกระบวยตามรูปน้ำเต้าเหล่านั้นสามารถเปรียบได้

นี่เป็นภูเขาจริงธาราจริงที่ตัดลำธารและหุบเขา!

หุบเขาเป็นหนึ่งในสิบฉากมหัศจรรย์ของหอทรงปัญญาในแดนสุขสัญจรและเป็นจุดเริ่มต้นเขาพันยอดหมื่นเริ่น

ลำธาร เป็นหนึ่งในสิบฉากมหัศจรรย์ของหอทรงปัญญาในแดนสุขสัญจร แหล่งกำเนิดแม่น้ำไหลสี่ฤดู

“ลานนี้ เป็นงานไม่ประณีตของข้าผู้เฒ่า ทำให้ทุกท่านขบขันเสียแล้ว”

ยามนี้เองคำกล่าวเกรงใจของตี๋เหว่ยไท่ก็ผุดออกมา

อย่างไรก็ตาม หากกล่าวก่อนเปิดประตู คำพูดนี้ทุกคนก็จะฟังไปเช่นนั้น

ตอนนี้ได้เห็นสวนแห่งนี้แล้วได้ยินคำกล่าวของเขา ไม่ว่าผู้ใดล้วนรู้สึกชื่นชมและอิจฉา

หลิวรุ่ยอิ่งพอรู้เรื่องการรังสรรค์สวนอยู่บ้าง

อย่างไรเสียข้าราชการบุ๋นและสิ่งของวัสดุในเมืองหลวงไม่น้อย

เนื่องจากความเจริญรุ่งเรืองและความสงบสุข ในอาณาจักรฉิงจงอ๋องไม่ว่าจะเป็นข้าราชการสายบุ๋นและแม่ทัพสายบู๊ล้วนสร้างสวนในเรือนของตนเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ

แม้ว่าจะเพื่อความบันเทิง แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่คิดว่าพวกเขาจะเข้าไปได้ปีละหลายหน

คิดว่าเพียงเอาไว้ใช้โอ้อวดเวลาแขกเหรื่อมาเยือน

เน้นชมทิวทัศน์ในสวน นี่ราวกับว่านำเนื้อหาใน ‘ตำราลายเส้น’ ที่บัณฑิตจางอ่านออกมาวางต่อหน้าต่อตา

สวนที่ดีเปรียบเสมือนมนุษย์สัญจรกลางภาพวาด เปลี่ยนมิติทิวทัศน์ขณะเคลื่อนไหว ทำให้ผู้คนรู้สึกมองแนวนอนเป็นสันเขา มองด้านข้างเป็นยอดเขา

ทว่าการซ้อนภูเขาและจัดการลำธาร การซ้อนภูเขานั้นเสียทรัพย์เสียพลังงานที่สุด

หลิวรุ่ยอิ่งไม่คิดว่า ตี๋เหว่ยไท่จะเป็นช่างฝีมือยอดเยี่ยมเช่นนี้

จากภาพรวมนั้น ภูเขาลูกนี้โดยทั่วไปแล้วประกอบด้วยดินและหินปะปนกัน

ถ้ามีหินแต่ไม่มีดินก็ดูรกร้าง ถ้ามีดินแต่ไม่มีหินก็จะเสียขอบและมุม

แต่ดินและหินไม่ใช่แค่ครึ่งต่อครึ่งอย่างง่ายดายเท่านั้น

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นภูเขาในลานนี้ของตี๋เหว่ยไท่ ต้นไม้เขียวชอุ่ม เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งป่า เห็นได้ชัดว่าทำจากดินและเสริมด้วยหิน

ข้างภูเขายังมีสระน้ำอีกด้าน ริมฝั่งปูด้วยทรายขาวขนจากทะเลบูรพา

ทรายขาวกระจายอยู่ริมสระน้ำและบนพื้นราบผสมผสานกัน เลี้ยวโค้งเรียบลื่นเหมือนเนินเขาราบและทางลาดเล็กๆ ชายฝั่งคดเคี้ยวกลับคืนสู่ผืนทราย

ทว่าในสวนแห่งนี้ ภูเขาไม่ได้มีเพียงหนึ่งลูก ลำธารไม่ได้เพียงหนึ่งแห่ง

มีภูเขาอีกลูกอยู่ไม่ไกล มองแวบแรกส่วนใหญ่เป็นหิน

ภูเขาขรุขระและสูงชะลูด สูงตระหง่านลาดชัน ทว่ายิ่งใหญ่ตระการตายิ่งกว่าภูเขาดินลูกนี้นัก ราวกับเป็นใจกลางของสถานที่แห่งนี้

เบื้องล่างภูเขา ท่ามกลางต้นสนเขียวชอุ่ม สามารถมองเห็นหุบเขาและหุบเหวอยู่รำไร

ด้านข้างภูเขาลูกนี้ลำธารมีชีวิต หาใช่น้ำนิ่งดั่งสระน้ำไม่

น้ำนิ่งในสระย่อมสะท้อนแสงท้องฟ้าและเงาเมฆได้อย่างเป็นธรรมชาติดุจกระจกใส

ในสระยังมีดอกบัวและปลาแหวกว่าย เคลื่อนไหวสงบนิ่งผสมผสานเข้าด้วยกัน เกิดความแตกต่างที่น่าสนใจ

ทุกคนเดินเลียบไปตามลำธาร โดยคิดว่าหากเดินถึงจุดสิ้นสุดปลายน้ำ ย่อมต้องเป็นสถานสำหรับงานเลี้ยงของวันนี้เป็นแน่

น้ำไหลวนภูเขา ภูเขามีชีวิตไปกับน้ำ

ทว่าหลิวรุ่ยอิ่งเดินมาถึงตอนนี้ มักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปอยู่ตลอด

แม้ว่าเขาจะเข้าใจเพียงน้อยนิดและเคยเห็นมันเพียงไม่กี่ครั้ง ไม่มีแม้แต่ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการรังสรรค์สวน

เดินอ้อมรอบสระน้ำ ปลาแหวกว่ายใกล้เท้าอยากลองกระทำดู

หลิวรุ่ยอิ่งปรายตามองจิ่วซานปั้นโดยไม่รู้ตัว เกรงว่าเขาจะยืนให้อาหารปลาบนสะพานอย่างที่ทำก่อนเข้าโรงน้ำชา

เขาเห็นจิ่วซานปั้นยืนนิ่ง จ้องมองปลาในสระ

มองดูปากของพวกมันเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบบนผิวน้ำ พลางเลียนแบบเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบของพวกมัน

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นแล้วอยากจะหัวร่อ แต่ทุกคนเดินมุ่งไปข้างหน้าแล้ว จำต้องดึงเขาและเดินไปข้างหน้าต่อ

“ทำไมเจ้าถึงชอบปลาเพียงนี้”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“เพราะข้าไม่เคยเห็นน่ะสิ”

จิ่วซานปั้นกล่าวอย่างผ่อนคลาย

แต่สายตาของเขายังจับจ้องไปที่สหายตัวน้อยในน้ำเหล่านั้น

“เจ้าจะไม่เคยเห็นปลาได้อย่างไร”

อันที่จริงสิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งต้องการกล่าวคือ ตนเคยเชิญเขากินปลา แถมเขายังกินมันอย่างเอร็ดอร่อย

เขากินปลาทั้งตัวแม้กระทั่งหัวปลาก็ยังไม่เว้นด้วยซ้ำ

คนเคยกินปลายังบอกว่าไม่เคยเจอปลา นี่ไม่ขัดแย้งกันหรอกหรือ

“หมู่บ้านของข้าน่ะ แม้ว่าจะมีน้ำพุมีบ่อน้ำ แต่น้ำทั้งเร็วทั้งลึกปลาไม่รอดหรอก เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นปลามากมายแหวกว่ายรวมกัน”

จิ่วซานปั้นกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งฟังแล้วพยักหน้า

จริงอย่างที่จิ่วซานปั้นกล่าวมา น้ำบ่อลึกเกินไป ปลาคงขาดใจตาย น้ำพุเร็วเกินไป ปลาก็ไร้ที่อยู่อาศัย

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการค้นพบครั้งใหม่

ก่อนหน้านี้หลิวรุ่ยอิ่งเพียงรู้สึกว่าชีวิตในอดีตของจิ่วซานปั้นเป็นเหมือนกึ่งคนป่า

คิดไม่ถึงว่าเขาจะถูกธรรมชาติโอบล้อมทุกวัน แม้แต่ปลาก็ไม่เคยพบเจอ

นี่ก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดเขาถึงให้อาหารปลาที่ทางเข้าโรงน้ำชาก่อนหน้านี้

ในใจของหลิวรุ่ยอิ่งพลันรู้สึกภูมิใจขึ้นเล็กน้อย

ว่ากันว่าตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เป็นตัวกำหนดโชคชะตา ดูเหมือนว่าจะเป็นจริงแล้วในตอนนี้

เขาเกิดที่เมืองหลวง มีสิ่งใดที่ไม่เคยพานพบบ้าง

สิ่งดีๆ ทุกทิศทุกทางแม้เจ้าไม่ต้องการก็ถูกยัดใส่กระเป๋า สิ่งใดที่เจ้าไม่ดูล้วนผ่านเข้ามาในสายตา

แต่เทียบไม่ได้กับจิ่วซานปั้น

แต่เห็นมากเกินไป มีครอบครองมากเกินไป ผู้คนมักเฉยเมยอย่างง่ายดาย

ว่ากันตามตรง หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายกับสวนแห่งนี้มากนัก

เขาไม่อาจสัมผัสถึงความสุขของจิ่วซานปั้นได้อย่างสิ้นเชิง

ปลามีชีวิตเพียงไม่กี่ตัวก็ทำให้เขามีความสุขถึงเพียงนี้ แต่ความสุขของหลิวรุ่ยอิ่งคือสิ่งใด อย่างไรจึงจะพึงพอใจ

บางคนแม้ความสามารถเป็นเลิศ รอบรู้มากมาย แต่หากชั่วชีวิตอยู่ในแต่มุมหนึ่ง เกรงว่าอาจไม่มีโอกาสได้เฉิดฉาย

ดังนั้นผู้คนมากมายจึงออกเดินทางมาหอทรงปัญญาหลายพันลี้ เช่นเดียวกับจิ่วซานปั้นที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะออกจากหมู่บ้านยอดนักดื่ม

แม้ว่าความคิดและการกระทำเหล่านี้จะเป็นประโยชน์มาก แต่โลกก็เป็นเช่นนี้

สรรพสิ่งล้วนถูกตัดสินด้วยคุณค่า การมีส่วนร่วมและความสำเร็จของเขา

สัจธรรมชีวิตคือการอยู่รอด

การอยู่รอดคือการกิน ดื่ม และนอนหลับให้เพียงพอ

มาตรฐานนี้ดูเหมือนจะต่ำและเรียบง่ายมาก แต่มีกี่คนแล้วที่ล้มเหลวมาทั้งชีวิต

อันที่จริงหลิวรุ่ยอิ่งคาดหวังว่าจะสามารถแลกเปลี่ยนชาติกำเนิดของจิ่วซานปั้นได้

สิ่งที่เขาทนไม่ไหวที่สุดคือผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์แสนเข้มงวด

แม้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้เกลียดงานการในกรมสอบสวน แต่เมื่อใดที่ถูกเรียกร้องงานอดิเรกโปรดปราน ความกระตือรือร้นจะลดฮวบเป็นธรรมดา

จิ่วซานปั้นดูเหมือนจะทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ แต่ชีวิตของเขาน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าหลิวรุ่ยอิ่งถึงร้อยเท่า

หลิวรุ่ยอิ่งทำสิ่งใดล้วนมีเป้าหมาย ไม่พูดสิ่งใดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และไม่ลงมือกระทำโดยไร้ซึ่งเหตุผล

แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่อาจค้นพบความรู้สึกบริสุทธิ์ในตัวจิ่วซานปั้นได้

กรมสอบสวนกลางจึงดูเหมือนป่าไม้ทั้งผืน

เมื่อต้นไม้หนึ่งต้นสั่นไหว ต้นไม้อีกต้นย่อมสั่นไหวตาม

เปรียบเสมือนเมฆบนนภา เมฆก้อนหนึ่งดันเมฆอีกก้อนหนึ่งออกไป

แต่ตอนนี้ เขาและจิ่วซานปั้นระหว่างทั้งสองคนกลับเป็นดวงวิญญาณดวงหนึ่งได้ปลุกดวงวิญญาณอีกดวงหนึ่งให้ตื่นขึ้น

นี่เป็นประสบการณ์ที่หลิวรุ่ยอิ่งจะไม่มีวันได้จากกรมสอบสวนชั่วชีวิต แม้ว่าเขาจะกลายเป็นผู้บังคับการกรมก็ตาม

กรมสอบสวนให้ความสำคัญกับการเอาชนะมาโดยตลอด เพียงต้องพิจารณาว่าจะข่มขู่อย่างมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร แต่ไม่ได้อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะทนได้มากเพียงใด

ทว่าจิ่วซานปั้นสามารถเคารพหัวใจของตน เคารพทางเลือกของตนเองและไม่ถูกกรอบกั้นแยกออกไป

แม้ว่าระเบียบวินัยก่อให้เกิดความสงบเป็นขั้นเป็นตอน แต่กลับกลายเป็นซากศพเดินได้โดยไม่คิดสิ่งใดแม้แต่น้อย

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นสีหน้าราบเรียบของโอวเสี่ยวเอ๋อข้างกาย

สวนเช่นนี้ ตระกูลโอวนางก็มีเช่นกัน และไม่ได้ด้อยไปกว่าของตี๋เหว่ยไท่เสมอไป

ระเบียบวินัยของกรมสอบสวน ตระกูลโอวนางก็มีเช่นกัน และไม่จำเป็นต้องผ่อนปรนไปกว่ากรมสอบสวน

แม้ว่าสายตานางจะแสดงถึงความสุขและความประหลาดใจเป็นครั้งคราว แต่โดยรวมแล้วยังเห็นสิ่งต่างๆ มากมาย จนรู้สึกว่าทุกอย่างดูธรรมดาไปหมด

หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกปวดใจอย่างอธิบายไม่ถูก

เขาทนเห็นสตรีบุคลิกโดดเด่นและมีชีวิตชีวายิ่ง กระทั่งระมัดระวังแม้ในขณะดื่มสุราทีละขั้นทีละตอนภายใต้กรอบเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ

……………………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท