ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 210 พบกันหนแรกไม่แปลกใจ-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 210 พบกันหนแรกไม่แปลกใจ-1

เซียวจิ่นข่านเฝ้าดูทั้งสองคนเคาะตีอย่างเงียบๆ

หากผู้อื่นมองดูอาจจะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง

ทั้งๆ ที่เขามีคำพูดมากมายเต็มท้อง มีเรื่องเต็มสมอง

ไฉนจึงยืนเงียบๆ เช่นนี้โดยไม่กล่าววาจาออกมา

เซียวจิ่นข่านรู้ดี

ตนไม่จำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใด และไม่จำเป็นต้องถามสิ่งใด

ในเมื่ออาจารย์รู้ว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งตักน้ำให้เด็กน้อยในเมือง ย่อมรู้ว่าตนมีจุดประสงค์ใดในการมาครั้งนี้

ส่วนอาจารย์จะให้คำตอบเรื่องเหล่านี้ได้หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อย่างน้อยก็ตอนนี้

อาจารย์ไม่สนใจเขา

เมื่อเซียวจิ่นข่านกำลังจะไปย้ายเก้าอี้ที่ห้องโถงด้านหน้ามานั่ง จู่ๆ เยี่ยเหว่ยก็หยุดค้อนเหล็กในมือ

“วันนี้พอเท่านี้แล้วกัน”

เยี่ยเหว่ยเอ่ยกับเถี่ยกวนอิน

“ได้!”

เถี่ยกวนอินกล่าว

เขาพลันหยุดมือยืดตัวตรง

“ท่านอาจารย์หลอมสิ่งใดอยู่หรือ”

เซียวจิ่นข่านกล่าวถาม

“พลั่ว”

“แล้วก็จอบ”

เถี่ยกวนอินกล่าวเสริม

เซียวจิ่นข่านไม่รู้ว่าเหตุใดอาจารย์จึงทำพลั่วและจอบ

แต่ในเมื่ออาจารย์ทำไปแล้วก็ย่อมมีเหตุผลของเขา

อย่างไรเสียในความทรงจำของเขา

เยี่ยเหว่ยเป็นผู้ที่หาข้ออ้างเก่งที่สุดในใต้หล้า

เกรงว่าในจุดนี้จะไม่มีผู้ใดล้ำหน้า

……………………….

หลังจากที่เซียวจิ่นข่านออกจากเหลาสุราในคืนนั้น

มีเพียงปัญหาเดียวให้ครุ่นคิด นั่นก็คือจะไปนอนที่ใด

โรงเตี๊ยมไม่ได้ด้อยไปกว่าเหลาสุรา ไม่มีทางใช้ตบะของเขาเสแสร้งหลอกให้ตกตะลึงได้

เจ้าของร้านต้องเห็นเงินก่อนจึงจะให้หมายเลขห้องแก่เขาได้

แต่เขาก็ไม่ต้องการให้ท้องฟ้าเป็นผ้าห่มนวม พื้นดินเป็นเตียงอีก

ครั้นนึกถึงตอนนั้นหลังจากที่เขาเสียงานผู้คุ้มภัยไปก็ใช้ชีวิตเช่นนั้นไปหลายวันทีเดียว

ความรู้สึกนั้นทำให้เขาอดมองย้อนกลับไปไม่ได้จริงๆ

แม้คนยากจนจะกินอาหารมื้อใหญ่มื้อโตไม่ได้

แต่อย่างน้อยผู้ที่ยากจนข้นแค้นก็มีที่พักพิงและกำบังลมฝนได้

ทว่าเซียวจิ่นข่านไม่มี

เขารู้สึกว่าตนยังสู้ลิงไม่ได้ด้วยซ้ำ

อย่างน้อยลิงก็ยังมีคู่เคียงและครอบครัว มีรังที่อบอุ่น

เซียวจิ่นข่านกลับเป็นเพียงคนที่โดดเดี่ยว

นอกจากการแต่งกายที่สภาพพอดูได้เช่นนี้

แขนเสื้อว่างเปล่า

ถุงกางเกงโล่งโจ้ง

มีเพียงท้องที่ใส่อาหารอันโอชะเอาไว้ไม่น้อยเท่านั้น

แต่ไม่ช้าก็เร็วอาหารแสนอร่อยเหล่านี้จะต้องถูกย่อยสลายและไปยังสถานที่ปลดทุกข์

ครั้นคิดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย

หากรู้ว่าพ่อครัวในเหลาสุราจะหลอกง่ายเพียงนี้

ก่อนหน้านี้ก็ไม่ควรแสร้งอวดรู้ กินอาหารแต่ละจานเพียงไม่กี่คำ

อย่างน้อยก็น่าจะกินไปสักครึ่งจานจึงจะถูก

ความจริงเซียวจิ่นข่านยังกินอิ่มอยู่

แต่คนที่ไม่มีแผนการสำหรับมื้อต่อไปเช่นเขา กินให้มากหน่อยจึงจะทำให้ตนเองหิวน้อยลง

ขอเพียงหิวช้าลงอีกหน่อย

ไม่แน่ว่าอาจจะหาหนทางอื่นไปกินให้อิ่มท้องอีกสักมื้อหนึ่ง

แต่เห็นได้ชัดว่าคราวนี้เขาคิดหาหนทางอื่นไม่ออก ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะขโมย

เดิมทีเขาไม่สนใจเรื่องการลักเล็กขโมยน้อยเช่นนี้มากนัก

ในใจเขานั้น แม้อยากเป็นคนชั่วก็ต้องเป็นหัวขโมยชื่อดังกระฉ่อนในใต้หล้าจึงจะถูก

อีกทั้งเพียงปล้นชิงพ่อค้าหน้าเลือดและขุนนางชั่วเหล่านั้น

แม้พ่อค้าหน้าเลือดในใต้หล้ามีมากมาย

ขุนนางชั่วก็ไม่น้อยเช่นกัน

แต่เซียวจิ่นข่านก็ไม่รู้เช่นกัน

หากไปปล้นผู้เฒ่าใจบุญเข้าจะทำอย่างไรเล่า

เช่นนั้นก็จะนึกเสียใจภายหลัง

แต่ชายอกสามศอกไหนเลยจะทนหิวไส้กิ่วได้

มนุษย์เราหากหิวมากเข้าก็จะโยนความคิดที่เต็มไปด้วยความเมตตาและความยุติธรรมทั้งหมดไว้ข้างหลัง

เซียวจิ่นข่านเริ่มมองไปรอบๆ

เขาต้องการหาเรือนโอ่อ่าปล้นง่ายๆ สักหลัง

คนข้างในไม่ต้องรวยจนเกินไปและไม่ยากจนจนเกินไป

เพราะเขารู้ว่าผู้ที่ร่ำรวยเกินไปมักจะตระหนี่ถี่เหนียว

หากหยิบเงินหนึ่งหรือสองตำลึงจากเขา ไม่แน่ว่าจะสามารถกวดไล่เจ้าไปถึงถนนแปดสาย

ทว่าผู้ที่ยากจนเกินไป ในเรือนก็จะไม่มีเงิน

จากนิสัยของเซียวจิ่นข่าน

ไม่แน่ว่าเห็นอีกฝ่ายน่าสงสาร อาจจะถอดอาภรณ์ที่พอดูได้เพียงชิ้นเดียวของตนออกมอบให้ไปก็เป็นได้

มีเพียงผู้ที่ไม่ร่ำรวยและยากจนเกินไปที่ไม่คิดเล็กคิดน้อยที่สุด

เอาไปก็เอาไปแล้ว

เป็นเพียงช่วงที่นึกเสียใจพร้อมกับถอนหายใจไม่กี่หน

พรุ่งนี้ยามตะวันขึ้น ไก่ขันสามเสียง

เพียงตื่นขึ้นก็พลันรู้สึกโล่งใจ

แต่สถานที่เช่นนี้หาได้ยากยิ่ง

เซียวจิ่นข่านเสาะหาไปพลางตำหนิตนเองไปพลาง

ตำหนิไปก่นด่าไป เขาก็ตบบ้องหูตนเอง

ไม่ได้ทำไปเพื่อสิ่งใด

แต่เขารู้สึกว่าตนตายก็ต้องรักษาหน้าและใช้ชีวิตทุกข์ทรมานจริงๆ

ฉะนั้นเขาจึงอยากจะทุบใบหน้าตนเองให้แหลก

ทำให้ตนเองไร้ยางอายยิ่งขึ้นในภายหลัง

แต่หากสามารถคาดการณ์สถานการณ์ของวันนี้ได้ล่วงหน้า

ไม่ว่าเขาจะเอ่ยสิ่งใดก็จะไม่ปฏิเสธค่าจ้างสองเท่าของผู้ว่าจ้าง

แม้จะให้เงินเขามากเท่าใดก็ตาม เขาก็ยังจะสุรุ่ยสุร่ายไปกับหอนางโลมจนเกลี้ยง

กระแทกศีรษะหัวหน้าคณิกาที่ถือกระโถนในมือนั่น

แต่อย่างน้อยก็ยังได้กินอิ่ม มีสุราดื่มและมีที่ซุกหัวนอนในยามค่ำคืน

เตียงที่หอนางโลมนุ่มยิ่งนัก

เพียงนอนลงไป กระดูกทั้งกายก็อ่อนยวบ

เหมือนผู้คนจะดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ

ผ้านวมที่หอนางโลมก็หอมหวนยิ่ง

ทั้งหมดล้วนอบน้ำมันหอมเป็นพิเศษ แต่ไม่ระคายจมูก

ฉุนเข้าจมูกก็จะดูเหมือนจงใจเกินไป

เซียวจิ่นข่านไม่รู้ว่าใช้น้ำมันหอมใดอบบนผ้านวม

เพียงแต่หลังจากสูดดมทุกครั้ง ฤทธิ์สุราก็จะพลุ่งพล่านอย่างรวดเร็ว

เดิมเป็นสุราขนาดสามจิน

ทว่าดื่มยังไม่ถึงจินครึ่งก็เมามายเสียแล้ว

การตบฉาดนี้ทำให้เขาได้สติขึ้นมากทีเดียว

เขาตัดสินใจจะเลียนแบบผ้านวมที่อบน้ำมันหอมในหอนางโลม

ต้องใช้ได้ผลจริงและไม่ดูจงใจเกินไปจนทำให้ผู้อื่นจับได้

ครั้นคิดเช่นนี้ เซียวจิ่นข่านก็ออกจากเมือง

เขาไม่เคยมาที่นี่มาก่อน

มองดูท้องนภาและไม่รู้ว่าตนเองเดินมานานเพียงใด

แต่ทันใดนั้นเขาพลันเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่

ป้ายหน้าประตูเขียนว่า ‘เรือนเปี่ยมประเสริฐ’

ถนนลูกรังใต้แผ่นป้ายยังมีรอยกีบม้าและรถลากสลับไปมากมาย

“แม้อยู่บนเขาลึกห่างไกลก็ยังร่ำรวยเสียจริง…”

เซียวจิ่นข่านพลันคิดในใจ

ในเมื่อเป็นคฤหาสน์

ทั้งยังชื่อว่าเปี่ยมประเสริฐ

ย่อมต้องมีเงินมากมายอยู่ในนั้นเป็นแน่

เซียวจิ่นข่านใช้ความคิด

แต่การปล้นของครั้งแรก ย่อมกังวลเล็กน้อย

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจทำสิ่งที่ตรงกันข้าม

หากเป็นผู้อื่นปล้นขโมย

ย่อมต้องปีนข้ามกำแพงลานเงียบๆ หรือแม้แต่กระโดดขึ้นไปบนหลังคาอย่างแน่นอน

แต่เขาไม่

เซียวจิ่นข่านกลับเปิดประตูใหญ่ของ ‘เรือนเปี่ยมประเสริฐ’ อย่างไร้กังวล

เขาเตรียมใจมาดีแล้ว

รอคอยเสียงสุนัขดุร้ายในเรือนเห่าอย่างสิ้นหวัง

แต่สิ่งที่เฝ้ารอคอยกลับเป็นเพียงความเงียบสงัด

เซียวจิ่นข่านไม่รู้ว่าเหตุใดเรือนใหญ่โตเช่นนี้จึงไม่เลี้ยงสุนัข

ทว่านี่เป็นสิ่งที่เขาได้ยินจากปากคนอื่นทั้งสิ้น

นั่นคือในคฤหาสน์หลังใหญ่ของเศรษฐีล้วนเลี้ยงสุนัขหลายตัว

เซียวจิ่นข่านไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุนัก

เพราะต่อให้เลี้ยงสุนัขเป็นร้อยตัว ก็ขวางกระบวนท่าตบะขั้นบรมภูมิเพียงกระบวนเดียวของเขาไม่ได้

เขาเดินเข้าไปในเรือนและมองไปรอบๆ

ความยินดีก่อนหน้านี้ถูกลบล้างออกไปในพริบตา

เพราะนี่เป็นเรือนที่ถูกทำลายย่อยยับ

นอกจากประตูและลานที่พอดูได้

ภายในตัวเรือนเสียหายไปค่อนครึ่งและไม่มีหน้าต่างสักบาน

มันไม่เหมือนสถานที่คนพักอาศัยจริงๆ

แต่เซียวจิ่นข่านไร้เรี่ยวแรงมองหาตระกูลเศรษฐีอื่นอีกแล้วจริงๆ

เขาจึงตัดสินใจค้างแรมที่นี่

แม้จะเป็นเพราะชื่อ ‘เปี่ยมประเสริฐ’ ไม่แน่ว่าอาจจะนำพาความโชคดีมาสู่ตนก็เป็นได้

เขาไร้เรี่ยวแรงไม่ใช่เพราะเดินทางมาไกลและเหนื่อยล้าเกินไป

แต่เป็นเพราะเขาหิวอีกแล้ว

คนเรากินอิ่มก็มักจะนอนหลับ

หิวก็มักจะนอนหลับเช่นกัน

เฉกเช่นเดียวกับสัตว์บางชนิดที่จำศีลในเหมันต์ฤดู

หากไม่มีอาหารในกระเพาะ ก็ต้องประหยัดพลังงานในร่างกาย

ด้วยเหตุนี้การนอนจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด

แต่ไหนแต่ไรเซียวจิ่นข่านก็รู้สึกว่าทุกสรรพสิ่งเท่าเทียมกัน

มนุษย์กับหนูโดยพื้นฐานแล้วไม่ได้แตกต่างกันมากนัก

เพียงแค่รูปลักษณ์ต่างกันก็เท่านั้น

ทว่าเขาเคยเจอคนที่หน้าตาคล้ายกับหนูเช่นกัน

ทั้งยังเคยเห็นหนูแสดงท่าทางของมนุษย์ออกมาบางครั้งบางคราว

สิ่งนี้ทำให้เขามั่นใจในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น

เขามองทะลุหน้าต่างที่ผุพังเหล่านั้น มองเห็นเครื่องเรือนในเรือนมีครบครัน

นี่เป็นเรื่องยินดีที่คาดไม่ถึง

อย่างน้อยการมีเตียงก็สบายยิ่งกว่านอนบนแท่นบูชาของอารามเหล่านั้น

สบายยิ่งกว่ากองหญ้าในคอกม้า

แม้ว่ากองหญ้าจะนุ่มยิ่งกว่าแท่นบูชาก็ตาม

แต่หากไร้ซึ่งสติในยามค่ำคืนก็จะถูกม้าแทะหู

ส่วนเตียงนั้นจะสกปรกเพียงไหน

เซียวจิ่นข่านไม่เคยคิด

ฝุ่นละออง

โลกมนุษย์ โลกใบนี้

เดิมทีก็สร้างจากฝุ่นละอองและอนุภาคของดินทั้งสิ้น

ยิ่งกว่านั้นเขาไม่ได้อาบน้ำมาสักระยะหนึ่งแล้ว

เนื้อตัวสกปรกไม่ได้อาบน้ำนอนบนเตียงคลุกฝุ่นที่ไม่ได้เก็บกวาด ช่างสมบูรณ์แบบยิ่ง

เซียวจิ่นข่านก้มศีรษะเดินเข้าไปข้างในจนสุดทาง

เพราะยิ่งอยู่ภายในเท่าใด ยิ่งอลังการงานสร้างเท่านั้น

ไม่แน่ว่าเตียงอาจจะนุ่มยิ่งกว่า

หรือสะอาดยิ่งกว่าด้านนอกก็เป็นได้

ในที่สุดเขาก็หาห้องที่ใหญ่ที่สุดใน ‘เรือนเปี่ยมประเสริฐ’ นี้พบ

เขาเห็นว่าประตูและหน้าต่างของห้องนี้สภาพสมบูรณ์

กระเบื้องบนหลังคาก็เป็นระเบียบมากเช่นกัน

เซียวจิ่นข่านเปิดประตูอย่างชื่นมื่น

ด้านขวามือเป็นเตียงใหญ่ตระการตา

เพียงแต่มีคนผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียง

ยามค่ำคืนมืดมิด

ในบ้านไร้แสงจันทร์สาดส่อง

เซียวจิ่นข่านไม่รู้ว่านั่นคือศพหรือคนเป็น

เขาไม่กลัวศพ

เพราะมีคนไม่น้อยเสียชีวิตภายใต้กระบี่ของเขา

ที่เขากลัวคือคนเป็น

เพราะคนเป็นพูดได้

พูดได้ก็เลี่ยงกฎเกณฑ์ได้ยาก

กฎที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้คือมาก่อนได้ก่อน

อีกฝ่ายมาถึง ‘เรือนเปี่ยมประเสริฐ’ ก่อนตน

ทั้งยังนอนหลับปุ๋ยบนเตียงใหญ่นี้ก่อนตนอีก

ฉะนั้นตนจึงไร้เหตุผลที่จะขอให้อีกฝ่ายลุกขึ้นแล้วยกเตียงนี้ให้ตน

ทว่าไม่นานนักเขาก็ทำให้ตนเองเลิกคิดเช่นนั้น

เพราะอีกฝ่ายดูไม่เหมือนกับคนมีชีวิต

เขาไม่เพียงแต่นอนนิ่งอยู่บนเตียงเท่านั้น

ไม่มีกระทั่งเสียงหอบหายใจ

เซียวจิ่นข่านกำลังจะโน้มตัวมองดูให้ชัด

จู่ๆ อีกฝ่ายก็หันศีรษะมา

สองตาจ้องมองไปที่เขา

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับเยี่ยเหว่ยอาจารย์ของตน

………………………………………………………………..

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท