ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 221 ความงดงามในโลกมักไร้ค่า-2

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 221 ความงดงามในโลกมักไร้ค่า-2

“สุรานี้กลิ่นไม่เลวเลย!”

จิ่วซานปั้นยังไม่ทันนั่งก็หยิบจอกสุราขึ้นมาสูดดมครู่หนึ่งพลางกล่าว

“นี่เป็นถึง ‘สุราบงกช’ ในตำนาน ต้องดีอยู่แล้ว!”

ทังจงซงกล่าว

จิ่วซานปั้นนิ่งงัน

ดูเหมือนเขาไม่เคยได้ยินว่าอะไรคือ ‘สุราบงกช’

แต่ไม่เป็นไร

ตราบใดที่เป็นสุราเขาก็ชอบทั้งหมด

ขอเพียงเป็นสุราดีเขาก็ยิ่งชอบ

“เจ้าจะไปแล้วหรือ”

จิ่วซานปั้นเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามหลิวรุ่ยอิ่งกะทันหัน

หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มเจื่อนอย่างอดไม่ได้

“ทำไมเจ้าก็รู้อีกคน บนหน้าข้าเขียนไว้อย่างนั้นหรือ”

“เพราะในสุรานี้มีรสชาติอาลัยอาวรณ์”

จิ่วซานปั้นกล่าว

จากนั้นดื่มสุราในจอกจนหมด

“อืม…นอกจากอาลัยอาวรณ์ยังมีตัดเยื่อใยอยู่หลายส่วน ก็คือไม่ค่อยอยากไป แต่ก็ต้องไป”

จิ่วซานปั้นลิ้มชิมสุราในปากพลางกล่าว

“เห็นหรือยัง นี่ต่างหากคนยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง…”

เดิมเขารินสุราจอกนี้ให้เซียวจิ่นข่านดื่มเองกับมือ

ตอนรินสุรา ความรู้สึกในใจเหมือนที่จิ่วซานปั้นบอกไม่มีผิด

แต่เขายังรู้สึกเหลือเชื่อที่จิ่วซานปั้นรู้เรื่องในใจของตนได้ด้วยสุราแค่จอกเดียว

“เช่นนั้นข้ารินให้เจ้าจอกหนึ่ง เจ้าบอกได้หรือไม่ว่าข้าคิดอะไรอยู่”

ทังจงซงยกไหสุรากล่าว

“หากความคิดของเจ้าไม่แน่วแน่มากพอ ไม่ลึกซึ้งมากพอ ข้าดื่มไม่รู้รสหรอก จอกเมื่อครู่นั้นโยงใยด้วยความเศร้าของการจากลาตั้งแต่จอกสุราจนถึงน้ำสุรา”

จิ่วซานปั้นกล่าว

ได้ยินคำว่าความเศร้าของการจากลา

หลิวรุ่ยอิ่งนึกถึงหนึ่งวันก่อนเขาออกจากกรมสอบสวนกลาง

……………………..

ตอนนั้นเป็นช่วงบ่าย

แสงแดดสดใส

เหมือนเวลานี้ของวันนี้

เมฆบนฟ้าก็ไม่มาก

ท้องฟ้าสีครามสะท้อนให้ใจของเขาเป็นสีครามไปด้วย

เหมือนทะเล

แม้หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่เคยเห็นทะเล

แต่เขาคิดว่าทะเลต้องไม่ต่างกับท้องฟ้าสีครามนี้แน่นอน

ทะลุผ่านท้องฟ้าสีครามนี้

หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกสายตาของตัวเองลอยถึงขอบฟ้าอันไกลแสนไกล

แม้เขาไม่เคยไปขอบฟ้าเหมือนกัน

ความจริงไม่มีใครเคยไปขอบฟ้า

เพราะขอบฟ้าของทุกคนไม่เหมือนกัน

ขอบฟ้าของตี๋เหว่ยไท่ต่างกับเสิ่นชิงชิว

ขอบฟ้าของจิ่วซานปั้นก็ต่างกับหลิวรุ่ยอิ่ง

แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าพริบตานั้นทำให้เขาเห็นขอบฟ้า

ตอนได้สติกลับมาเขาเดินถึงคอกม้าแล้ว

เขาจะมารับม้าตัวหนึ่ง

ปกติล้วนแอบมาขี่

ในที่สุดตอนนี้ก็จูงม้าตัวหนึ่งออกมาได้อย่างเปิดเผยแล้ว

“ไปพรุ่งนี้หรือไปวันนี้”

ชายชราเลี้ยงม้าเห็นหลิวรุ่ยอิ่งเดินเข้าคอกม้า

เขาคร้านจะยกกระทั่งเปลือกตา

“ไปพรุ่งนี้”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“ข้าก็คิดว่าไปพรุ่งนี้ดี”

ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว

“ทำไมหรือ หากข้าต้องการวันนี้ก็ไปได้ ไปตอนนี้ก็ไม่มีปัญหา”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยอย่างดื้อรั้น

เขาไม่ชอบสีหน้ารู้ทุกเรื่องราวของชายชราเลี้ยงม้าอย่างยิ่ง

“เพราะวันนี้อากาศดีเกินไป”

ชายชราเลี้ยงม้ากล่าวพลางเอียงศีรษะเล็กน้อย

แต่ยังคงไม่ลืมตา

“อากาศดีเหมาะแก่การเดินทางพอดีไม่ใช่หรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถาม

เขารู้สึกคำพูดของชายชราเลี้ยงม้าใช้ไม่ได้สักอย่าง

กระทั่งตรรกะพื้นฐานยังไม่มี

“อากาศดีเกินไปเหมาะแค่เที่ยวเล่น ไม่เหมาะทำเรื่องสำคัญ”

ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว

เขาหยัดกายขึ้น

ล้วงเอากระบอกยาสูบอันหนึ่งออกจากเอว

อันก่อนหน้านั้นหลิวรุ่ยอิ่งเอาไปแล้ว

อันนี้แค่ดูก็รู้ว่าทำขึ้นมาใหม่

กระบอกยาสูบเป็นเหล็กหล่อ

ถ้วยยาสูบเป็นทองเหลือง

ทองอร่าม เงินแวววาม

สวยงามอย่างยิ่ง

จิตใจของหลิวรุ่ยอิ่งล้วนอยู่บนกระบอกยาสูบใหม่เอี่ยมในมือชายชราเลี้ยงม้า

ได้ยินไม่ชัดว่าเมื่อครู่เขาพูดอะไร

“อากาศดีเกินไปก็อารมณ์ดี พออารมณ์ดีคนก็มองข้ามบางสิ่งได้ง่าย สำหรับเรื่องที่เจ้าต้องทำ หากมองข้ามของบางอย่างไปเจ้าก็อาจไม่ได้กลับมาครบสามสิบสอง”

ชายชราเลี้ยงม้ากล่าวต่อ

ประโยคนี้หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง

ในใจรู้สึกเดือดทันที

นี่สาปแช่งตนอยู่ไม่ใช่หรือ

สิ่งใดคือกลับมาไม่ครบสามสิบสอง

“แล้วถ้าพรุ่งนี้อากาศก็ดีมากเหมือนกันล่ะ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“หากพรุ่งนี้อากาศดีมากเหมือนกัน เจ้าก็ควรไปช้าๆ อย่างน้อยพื้นที่หลายร้อยลี้รอบนอกเมืองหลวงปลอดภัยยิ่ง พอออกจากเขตเมืองหลวงเดาว่าพลังฮึกเหิมในใจเจ้าคงไม่เยอะขนาดนั้นแล้ว อีกอย่างเขตติ้งซีอ๋องช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย คงยากจะอากาศดีเท่าในเมืองหลวง”

ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว

ฟังถึงตรงนี้ หลิวรุ่ยอิ่งซาบซึ้งเล็กน้อย

ไม่นึกว่าชายชราเลี้ยงม้าจะใส่ใจและใคร่ครวญเรื่องของตนรอบคอบเช่นนี้

“อากาศไม่ดีข้าก็หงุดหงิด! คนหงุดหงิดยิ่งทำพลาดไม่ใช่หรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

ซาบซึ้งส่วนซาบซึ้ง

ไม่เป็นอุปสรรคต่อการอวดฝีปากของเขาแม้แต่น้อย

“ตอนคนกำลังหงุดหงิดไม่มีทางปล่อยรายละเอียดใดไปเพื่อระบายอารมณ์ หากยืมอารมณ์หงุดหงิดมาทำให้เจ้าสังเกตรายละเอียดได้มากขึ้น เช่นนั้นความหงุดหงิดก็จะกลายเป็นความคุ้มค่าอย่างยิ่ง”

ชายชราเลี้ยงม้ากล่าวพลางดูดยาเส้นคำหนึ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ตอบ

เพียงหันกายเริ่มเลือกม้าในคอก

“ท่านมีอะไรแนะนำหรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ม้าเหล่านี้เจ้าไม่เคยขี่ตัวไหนบ้าง ยังต้องให้ข้าแนะนำอีกหรือ คิดอยากหาเรื่องคุย นี่ก็จงใจเกินไปหน่อยแล้ว”

ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว

เพิ่งสิ้นเสียงเขาก็หันหน้ากลับไปอีกครั้ง

สูบยาเส้นทีละคำ

หลิวรุ่ยอิ่งสงสัยนักว่าทำไมชายชราเลี้ยงม้านอนสูบยาเส้นแล้วไม่สำลัก

เหมือนเมื่อก่อนที่เห็นเซียวจิ่นข่านนอนดื่มสุราแล้วไม่สำลัก

“อย่างไรก็ไม่เชี่ยวชาญเหมือนท่าน ข้ากลัวเก็บเมล็ดงาแล้วโยนแตงโมทิ้ง[1]“

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“แต่แตงโมเทียบรสชาติของเมล็ดงาไม่ได้ บางครั้งต้องการเพียงงาเมล็ดหนึ่ง”

ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งเคยคุยกับชายชราเลี้ยงม้าทั้งคืนครั้งหนึ่งหลังเซียวจิ่นข่านออกจากกรมสอบสวน

ชายชราเลี้ยงม้าบอกเขาว่าทุกคนที่พยายามล้วนควรค่าให้เคารพ

ไม่ว่าเขาเลือกทิศทางไหน

คิดอยากทำเรื่องใดสำเร็จ ราคาที่ต้องจ่ายล้วนมากมายทั้งสิ้น

ทุกคนควรคิดทุกเรื่องให้ยาวไกลสักหน่อย

หากสนใจแค่เบื้องหน้าก็ออกจะจำกัดขอบเขตเกินไป

แม้สุดท้ายหลิวรุ่ยอิ่งยังคงเลือกม้าตัวที่ตนชอบที่สุด

แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ได้ฟังคำพูดของชายชราเลี้ยงม้า

เพียงแต่พอถึงตอนต้องออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น

ในใจของเขาก็โยงใยด้วยความเศร้าของการจากลารอบแล้วรอบเล่า

เหมือนกับตอนนี้

……………………..

จิ่วซานปั้นดื่มสุราเร็วยิ่ง

ไม่ถึงครู่ ไหที่ชื่อ ‘สุราบงกช’ นี้ก็ถึงก้นแล้ว

สีท้องฟ้าก็เริ่มเย็นลง

ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนไปทางตะวันตก

หลิวรุ่ยอิ่งเดินเข้าห้องนอนของเซียวจิ่นข่าน หยิบสุราอีกไหหนึ่งออกจากใต้เตียงของเขา

นึกถึงตอนนั้น เขาก็ซ่อนไหสุราไว้ใต้เตียงเหมือนกัน

ทังจงซงกับจิ่วซานปั้นมองหน้ากัน ทั้งสองล้วนตัดสินใจแล้ว

พวกเขารู้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งตั้งใจรอเซียวจิ่นข่าน

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มาก็ต้องดื่มสุราของเขาให้หมดถึงจะดี

แต่ดื่มสุราคนเดียวเกรงว่าความเศร้าใจนี้รังแต่จะยิ่งแผ่ขยายรุนแรง

และการดื่มสังสรรค์สามคนกลับจะผ่อนคลายสบายกว่ามาก

แม้หลิวรุ่ยอิ่งเพียงเปิดไหสุราอย่างเงียบเชียบ รินให้ตัวเองกับเขาสองคนเต็มจอกโดยไม่พูดสักคำก็ตาม

ความจริงเขาเห็นสหายทั้งสองของตนยินดีนั่งเป็นเพื่อนอยู่ที่นี่ ในใจอบอุ่นไม่น้อย

ชีวิตมีฤดูใบไม้ผลิ (ชีวิตสงบสุข) ทุกหนแห่ง!

ฤดูใบไม้ผลิในยามนี้ก็อยู่ในบ้านเซียวจิ่นข่าน

อยู่ในไหสุราที่เขาซ่อนไว้ใต้เตียง

อยู่ในสุราที่ทั้งสามดื่มลงท้องและจอกสุราที่ถืออยู่บนมือ

ยิ่งอยู่ในดวงตาที่ทั้งสามเงยหน้ามองกันและหัวเราะเป็นครั้งคราว

นี่แหละชีวิต

อาทิตย์อัสดงที่งดงามไม่อาจคงอยู่ได้นาน

แต่ราตรีมืดมิดก็ไม่อาจคงอยู่ได้นานเช่นกัน

อาทิตย์อัสดงที่งดงามดึงดูดให้คู่รักมากมายดื่มสุรารับลม

ราตรีมืดมิดก็โอบอุ้มดวงจันทร์และหมู่ดาวได้เช่นกัน

ไม่ว่าเป็นอาทิตย์อัสดงหรือราตรีมืดมิด

ขอเพียงเจ้าเข้าใจหนึ่งในสองสิ่งนั้นอย่างถ่องแท้

เจ้าก็จะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วเรื่องสุขในโลกมีเยอะกว่าเรื่องทุกข์มากนัก

นอกบ้านมีลม

หญ้าอ่อนบนพื้นดินกับใบไม้ร่วงผ่านหน้าหนาวส่งเสียง “ซ่าซ่า” อยู่พักหนึ่ง

พวกหลิวรุ่ยอิ่งสามคนฟังด้วยใบหู

ทว่าเซียวจิ่นข่านกลับสัมผัสด้วยฝ่าเท้า

………………………

ดรุณสกัดจุดไม่มีความอดทนใดแล้ว

แม้เขาวางมีดลง

แต่นี่เป็นการเริ่มต้นของพายุฝนกระหน่ำ

ลมกลางคืนมักพัดตามสายฝน

ดรุณสกัดจุดวางมีดลงเพื่อให้มีดต่อไปยิ่งร้ายแรงถึงชีวิต

เขากำลังรอ

รอพลังปราณในกายตนผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมีด

เมื่อถึงตอนนั้น

มีดของเขาก็ถึงขั้นสุดยอด

และตอนนี้ มีดถึงขั้นสุดยอดแล้ว

แต่คนยังมีส่วนที่ไม่สมบูรณ์

เขาจึงต้องการเวลาเล็กน้อยมาเตรียมการ

เซียวจิ่นข่านไม่รีบร้อน

เขายังคงงอนิ้วดีดสันมีดอย่างต่อเนื่อง

เพียงแต่กำลังที่เขาดีดสันมีดกลับอ่อนลงเรื่อยๆ

เสียงที่ดีดออกมาเบาลงทุกที

ความจริงเขาก็เตรียมการอยู่เหมือนกัน

สิ่งที่เขาเตรียมไม่ต่างอะไรกับดรุณสกัดจุด

สิ่งที่ต่างคือ

เขาบรรลุขั้นสุดยอดนานแล้ว

แต่มีดในมือยังห่างจากขั้นสุดยอดนั้นมาก

เขารับรู้แรงสั่นสะเทือนบนปลายนิ้วที่ส่งมาจากสันมีด

ทุกครั้งล้วนทำให้มีดตัดฟืนธรรมดาในมือเซียวจิ่นข่านเข้าใกล้ขั้นสุดยอดทีละนิด

เมื่อเขาหยุดการกระทำนี้

ก็คือตอนที่มีดตัดฟืนธรรมดาเล่มนี้บรรลุขั้นสุดยอดแล้วเหมือนกัน

แต่ดรุณสกัดจุดเร็วกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด

เพราะเขายกมีด “วสันต์เย็นเยือก” ในมือขึ้นมาอีกครั้งอย่างเชื่องช้า

บนหน้าดรุณสกัดจุดปรากฏรอยยิ้ม

รอยยิ้มนี้เข้ากับดวงอาทิตย์ที่กำลังตกบนท้องฟ้ายิ่งนัก

ในความมั่นใจเผยความสับสนเล็กน้อย

ในความสับสนแฝงความเห็นอกเห็นใจหลายส่วน

แต่แขนกับข้อมือของเขากลับไม่ลังเลแม้แต่น้อย

คมมีดยังคงยกสูงต่อเนื่องทีละชุ่น

………………………………………..

[1] เก็บเมล็ดงาโยนแตงโมทิ้ง หมายถึงเก็บสิ่งที่เล็กกว่าหรือแย่กว่าเอาไว้แล้วทิ้งของดี

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท