ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 245 ฝันดีมักตื่นง่ายที่สุด

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 245 ฝันดีมักตื่นง่ายที่สุด

เสิ่นชิงชิวยังจำได้ดี

ตอนที่เขาและตี๋เหว่ยไท่ทำงานจิปาถะด้วยกันในโรงเตี๊ยม

ตี๋เหว่ยไท่มักจะอิจฉามือปราบแห่งกองปราบภายในราชสำนักเหล่านั้น

เสิ่นชิงชิวก็อิจฉามากเช่นกัน

ไม่เพียงอิจฉาเครื่องแบบทางการแสนหล่อเหลาสง่างามของพวกเขาเท่านั้น

ยังอิจฉาดาบหน้ากว้างที่พวกเขาพกติดตัวไปด้วย

รวมไปถึง

จิตใจซื่อตรงที่พิทักษ์ผู้อ่อนแอ ปกป้องความยุติธรรม

ในยามนั้นมือปราบที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดในราชสำนักนามว่าซีเหมินผดุงคุณธรรม

ใต้หล้าล้วนขนานนามว่าเทพจับกุมซีเหมิน

มือปราบทั่วหล้าย่อมใช้สิ่งนี้เป็นเกณฑ์มาตรฐาน

มีเพียงตี๋เหว่ยไท่เท่านั้นที่รู้ว่า ต่อมาเสิ่นชิงชิวได้กลายเป็นมือปราบจริงๆ

แม้จะเป็นเพียงสถานที่เล็กๆ แห่งนี้ก็ตาม

แต่มือปราบก็คือมือปราบ

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมที่เคยตะโกนโหวกเหวกใส่ตนแต่ก่อน ตอนนี้เมื่อเห็นตนก็อดพยักหน้าโค้งคำนับไม่ได้

เพียงแต่จำนวนภารกิจของเสิ่นชิงชิวเบามาก

สิ่งที่พวกเขาเคารพไม่ใช่ตน แต่เป็นเครื่องแบบหุ้มหนังบนกายตนต่างหาก

ที่นี่เป็นสถานที่ที่เงียบสงบและราบเรียบอย่างยิ่ง

เงียบสงบยิ่งกว่าเมืองจิ่งผิงที่เชิงเขาหอทรงปัญญามากโข

ตอนนี้เป็นมือปราบแล้วก็ได้รู้จักผู้คนอีกครึ่งหนึ่ง

แต่ความสงบมักมีช่วงเวลาที่ถูกทำลายเสมอ

ที่ใดล้วนไม่มีข้อยกเว้น

ความสงบในค่ำคืนนี้ถูกผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้าจากต่างแดนผู้หนึ่งทำลายสิ้น

ยามเสิ่นชิงชิวถีบประตูเรือนที่ผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้าอยู่

เขาใช้พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของตนอย่างภาคภูมิใจ

เขาซ้อมฉากนี้ในหัวมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

ถีบประตูเรือนเปิดออกอย่างสง่าและจับกุมผู้กระทำผิดที่อยู่ภายในได้

ดังนั้นตอนนี้ลงมือทำแล้วช่างดูชำนาญเหลือเกิน

ราวกับเคยเกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน

“ชาวต่างแดนเหตุใดจึงไม่รายงานราชสำนัก ทะเบียนราษฎร์ใด ชื่อแซ่ใด”

เสิ่นชิงชิวเอ่ยถามด้วยจิตวิญญาณฮึกเหิมเต็มเปี่ยม

แต่เมื่อเขามองเห็นศพสองร่างนอนเลือดแห้งกรังและอุณหภูมิเย็นเยียบ ขาของเขาอดสั่นไม่ได้จนอ่อนแรงไปชั่วขณะ

เขาในยามนี้

ตบะวิถียุทธ์เป็นเพียงแบบอย่างเล็กๆ เท่านั้น

แบบอย่างในทุกทิศทุกทาง

ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เห็นโลหิต และไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน

ผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้าไม่หันหน้ามามอง ยังคงยุ่งอยู่กับธุระของตน

เสิ่นชิงชิวชักดาบออกเสียงดังกราว

สิ่งเดียวที่ทำให้เขากล้าหาญได้ในตอนนี้คือดาบที่อยู่ในมือ

“เจ้าเป็นมือปราบที่นี่หรือ”

ผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้าได้ยินเสียงชักดาบด้านหลัง จึงเอี้ยวกายมาถาม

“ไม่ผิด! เจ้าไม่รายงานแจ้งล่วงหน้า ตอนนี้ยังฆ่าคนโดยไร้เหตุผล! ข้าขอเตือนเจ้าอย่าบุ่มบ่ามเป็นการดีที่สุด มิฉะนั้นอย่าได้ตำหนิว่าลงดาบอย่างไร้ความปราณี”

เสิ่นชิงชิวกล่าว

แม้คำกล่าวนี้จะฟังดูดีน่าเกรงขามก็ตาม

ทว่าทันทีที่เข้ามาได้สูญเสียความมั่นใจไปแล้ว

“รอข้าทำธุระเสร็จ ข้าจะไปกับท่าน ใต้เท้ามือปราบ”

ผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้ากล่าว

กล่าวจบพลันหมุนกายกลับไปอีกครั้ง

ไม่รู้ว่ากำลังยุ่งอยู่กับสิ่งใด

“เจ้าฟังคำของข้าไม่เข้าใจหรือ ข้าลงดาบไร้ความปราณี!”

เสิ่นชิงชิวกล่าวด้วยเสียงเฉียบขาด

ครั้นผู้คนมีความกังวลใจในระดับหนึ่งจะเข้าสู่สภาวะลืมตนอย่างพิศวง

ตอนนี้เสิ่นชิงชิวก็เป็นเช่นนี้

ตอนนี้เขาหวาดกลัวสุดขีด

แต่เขาชาวาบถึงขั้นไร้ความรู้สึก

“ดาบของท่าน ไร้ปราณีจริงๆ น่ะหรือ”

ผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้าถาม

เสิ่นชิงชิวไม่ตอบ

เขากลืนน้ำลาย

กำดาบในมือแน่นขึ้นอีกหลายส่วน

เสิ่นชิงชิวเห็นแสงเย็นเยียบสว่างวาบต่อหน้าต่อตาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

อาวุธลับตอกเข้าบนดาบของเขา

ตัวดาบถูกเจาะทะลุ

ความตกตะลึงครั้งใหญ่โจมตีเข้ามา

เขาออกแรงมหาศาลจึงจะรักษาดาบในมือให้มั่นได้

ทว่าง่ามนิ้วมือขวาฉีก

เลือดไหลซึม

เลือดสีแดงสด

แตกต่างกับศพทั้งสองร่างบนพื้นอย่างชัดเจน

“จับดาบไม่มั่น ยังกล้าเรียกว่าไร้ปราณีหรือ”

ผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้าเอ่ยแกมดูแคลน

ยามนี้เองเขาสบตากับเสิ่นชิงชิว

อารมณ์นึกสนุกเผยบนใบหน้า

เสิ่นชิงชิวมองใบหน้าเขา

เป็นใบหน้าที่ธรรมดาจนไม่อาจธรรมดาได้อีก

ไร้สิ่งที่สามารถเรียกว่าจุดเด่นพิเศษ

ใบหน้านี้ ต่อให้เขาจะอยู่ด้วยทั้งเช้าเย็นหรือปีครึ่งก็ตาม

หลังจากแยกกันก็ไม่มีทางหลงเหลือภาพจำใดๆ

“หากเจ้ายินดีรอข้าครึ่งชั่วยาม รอข้าเสร็จภารกิจในมือแล้ว ข้ายินยอมให้เจ้าจับกุมแต่โดยดีจริงๆ แต่ตอนนี้เจ้าทำลายอารมณ์ของข้า”

ผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้ากล่าว

เสิ่นชิงชิวคาดไม่ถึง เดิมคิดว่าเป็นเพียงการสอบถามทั่วไป

แต่กลับทำให้ตนตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายถึงชีวิตจนได้

ผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้าตรงหน้าผู้นี้

เป็นคู่ต่อสู้ระดับสูงเกินเอื้อมสำหรับเขา

หากเป็นเขาในตอนนี้ เพียงสะบัดนิ้วย่อมสามารถปลิดชีพเขาได้

ทว่าในตอนนั้น

สถานการณ์พลิกกลับกัน

หากอาวุธลับเมื่อครู่ไม่พุ่งไปยังตัวดาบ แต่เล็งไปที่คอ หน้าอก หรือหว่างคิ้วของเขา

เช่นนั้นเขาในขณะนี้

ก็ไม่ต่างกับศพสองร่างบนพื้นนั่น

เขาแค่สดใหม่กว่าก็เท่านั้น

แต่ในมือของเขายังถือดาบอยู่

ตราบใดที่มีดาบในมือ

ความกล้าหาญของเขาไม่เคยสูญหาย

ความหวังของเขาจะไม่มอดดับลง

แม้ว่าดาบของเขาจะไม่สมบูรณ์แล้วก็ตาม

แต่ดาบที่ผุพัง อย่างไรก็คือดาบ

ยังคงสามารถเปล่งประกายเจิดจ้าอย่างไม่คาดฝันได้

เสิ่นชิงชิววาดดาบขึ้น

ราวกับมังกรเงินหนึ่งตัว

รุดเข้าไปประชิดตัวผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้า

เขาเค้นพลังทุกอณูจากร่างกาย

โยกย้ายพลังธาตุทุกอณูในอินหยางสองขั้ว

ผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้ามองดูมังกรเงินตัวนี้รุดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไป

พลางส่ายหน้าและถอนหายใจยาวๆ

ชั่วครู่เดียว เหาะทะยานออกจากหน้าต่างไป

เสิ่นชิงชิวชะงักอยู่กับที่

จิตวิญญาณของเขาตะลึงงัน

ทว่าดาบในมือกลับหยุดไม่ได้

ยามนี้ดาบในมือและจิตวิญญาณของเขารวมกันเป็นหนึ่ง

จิตวิญญาณของเขากำลังครุ่นคิดว่าเหตุใดผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้าจึงคิดหนี

เดิมทีเขาสามารถปลิดชีวิตตนได้อย่างง่ายดาย

อีกทั้งก่อนจะหนีไป เหตุใดเขาจึงส่ายศีรษะถอนหายใจเล่า

ทั้งๆ ที่เป็นการพบกันคราแรก เหตุใดเขาจึงถอนหายใจอย่างเห็นอกเห็นใจกับตนเล่า

คำถามเหล่านี้ไร้การคลี่คลายคำตอบ

ดังนั้นจิตวิญญาณของเสิ่นชิงชิวจึงติดอยู่กับคำถามเหล่านี้อย่างแน่นหนา

แต่ดาบในมือของเขากลับไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย

มังกรเงินในตอนแรก เพียงแค่ขนาดเท่ากิ้งก่าเท่านั้น

แต่มังกรเงินในตอนนี้ แข็งแกร่งจนสามารถทะลวงท้องนภา

พร้อมกับแสงดาบที่เปล่งออกมาเป็นระยะๆ

เรือนทั้งหลังทรุดทลาย

เสิ่นชิงชิวยืนอยู่ที่เดิมอย่างมึนงง

ผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้าก็ยืนอยู่ไม่ไกลจากเขานัก

มือไพล่หลัง

มองไปยังระยะไกลเงียบๆ

ดาบในมือเสิ่นชิงชิวเริ่มแตกหักทีละชุ่น

สุดท้ายเหลือเพียงด้ามดาบในมือและตัวดาบสั้นหนึ่งข้อเท่านั้น

ทว่าจิตวิญญาณของเขาหลุดพ้นจากพันธนาการที่เกิดจากคำถามก่อนหน้านี้เหล่านั้น และกลับมาเป็นหนึ่งอันเดียวกับร่างกายอีกครั้ง

สิ่งนี้ทำให้เขาฟื้นคืนสติสัมปชัญญะอีกครั้ง

ครั้นมองดาบหักในมือ เสิ่นชิงชิวยิ้มอย่างขมขื่น

ตนเป็นมือปราบได้เพียงไม่กี่วัน

คดีใหญ่ก็ยังไม่คลี่คลาย

ซีเหมินผดุงคุณธรรมผู้โด่งดังไปทั่วหล้ายังไม่ได้รับเป็นศิษย์

ก็มีจุดจบเช่นเดียวกับดาบหักในมือไม่ผิดเพี้ยน

แต่วิธีตายมีเป็นพันรูปแบบ

สภาพจิตใจก็แตกต่างกัน

บ้างก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งนึกเสียใจในอดีต

บ้างก็ไร้ความเกรงกลัว เชิดหน้าขึ้นอย่างสงบนิ่ง

เห็นได้ชัดว่าเสิ่นชิงชิวเป็นอย่างหลัง

เขาถือดาบหัก

ก้าวย่างอย่างฮึกเหิมไปหาผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้า

จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย

เขาแทงดาบออกไปอีกครั้ง

‘ฉึก!’

คาดไม่ถึง

ครั้งนี้เขาเสียบดาบหักในมือเข้าทางแผ่นหลังของผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้าอย่างราบรื่น

เสิ่นชิงชิวมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความเหลือเชื่อ

จิตวิญญาณของเขาออกจากร่างไปอีกหน

ไม่รู้ว่าจิตล่องลอยไปยังแห่งหนใด

โลหิตไหลรินออกมาตามคมของดาบหัก

ซึมเข้าไปในอาภรณ์สีฟ้าบนกายผู้เฒ่า

เดิมทีเป็นสีท้องฟ้าอ่อนๆ ตอนนี้กลับกลายเป็นสีเข้มขึ้น

สีม่วงเข้มปนดำ

ผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้าค่อยๆ หมุนกายหันมา

ริมฝีปากขยับไหว

จนในที่สุดก็ไม่อาจเอ่ยออกมาแม้เพียงคำเดียว

แต่จากการเปิดริมฝีปากของเขา

เสิ่นชิงชิวรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการเอ่ยคือสิ่งใด

สองคำ

ขอบคุณ!

ผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้าลากสังขารเดินไปข้างหน้าทีละก้าว

เดินออกไปไกลไม่ถึงสิบจั้งพลันล้มลงกับพื้น

เสิ่นชิงชิวไม่ได้ไล่ตามไปเพื่อกำจัดศพ

เขาแหงนมองท้องฟ้านิ่งงันอยู่นาน

ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าไม่มีผู้ใดในโลกคู่ควรกับพระจันทร์เหนือศีรษะ!

วันรุ่งขึ้นราชสำนักได้รับจดหมายยื่นลาออกจากเสิ่นชิงชิว

เขาพับชุดเจ้าหน้าที่มือปราบแห่งราชสำนักอย่างเรียบร้อยวางลงบนโต๊ะทำงาน

ปากก็พึมพำ ‘ขอบคุณ’ สองคำสุดท้ายที่ผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้าเอ่ยแล้วเดินออกประตูไป

เรื่องนี้แม้แต่ตี๋เหว่ยไม่ก็ไม่รู้

เมื่อตี๋เหว่ยไท่ถามเขาถึงสาเหตุที่ไม่เป็นมือปราบ เขากล่าวเพียงประโยคเดียว

“คนเลวจับไม่หมด คนชั่วไม่ตายสิ้น ข้าไร้คุณสมบัติตัดสินความยุติธรรมของผู้อื่น”

……………………

เสิ่นชิงชิวมองพู่กันที่ตี๋เหว่ยไท่ยกขึ้น

เขารู้ว่าหลังจากพู่กันนี้ มิตรภาพและความคับข้องใจตลอดหลายปีที่ผ่านมาระหว่างทั้งสองก็จะถูกลบล้างไปด้วยพู่กันตวัดเดียว

เขาพลันรู้สึกผ่อนคลาย

ความผ่อนคลายนี้ก่อนหน้านี้มีเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น

ครั้งหนึ่งคือหลังจากที่เขาลาออกจากมือปราบอย่างสง่าผ่าเผย และตอนที่ออกไปค้นหาขอบฟ้ากับตี๋เหว่ยไท่

ครั้งหนึ่งคือตอนที่เขาเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ เฝ้าดูความสำเร็จแดนสุขสัญจรเพื่อตี๋เหว่ยไท่

อีกครั้งก็คือตอนนี้

ตอนที่ในที่สุดตี๋เหว่ยไท่ก็ยกพู่กันจ่อเขา

ตอนที่ตามหาสุดขอบฟ้า

เขาทั้งสองล้วนพูดคุยกับแม่นางผู้นั้นไม่น้อย แต่มักจะรู้สึกว่าใช้คำได้ไม่ตรงใจ

ทว่าตอนนี้ทั้งสองคนกลับไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ย

เพราะไม่ว่าจะเอ่ยสิ่งใดล้วนปากไม่ตรงกับใจอย่างเห็นได้ชัด

หรือนี่อาจเรียกว่าความผันผวนของชีวิต

จากคนแปลกหน้า ท้ายที่สุดก็วนกลับมาเป็นคนแปลกหน้า

ทว่าเมื่อกลายเป็นความผันผวนของชีวิต ความอ่อนเยาว์ก็ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีก

ทั้งสองต่างมีความปรารถนาของตนเอง

ในใจต่างหวนคำนึงถึงอดีตที่ผ่านอยู่ตลอด

เช่นเดียวกับพระจันทร์ในคืนที่สังหารผู้เฒ่าอาภรณ์ฟ้า

ไม่สว่างสดใส ไม่เยือกเย็น

เฝ้าดูฉากความเป็นตาย ความสุขความเศร้าบนโลกมนุษย์อย่างราบเรียบ

ยามที่ไร้เดียงสา กระทำเรื่องที่ไร้เดียงสา กล่าวคำพูดที่ไร้เดียงสา

แม้ว่าสุดท้ายล้วนดับสูญ แต่ก็นับว่าไม่ได้พูดปดมดเท็จ

เพราะทุกคนย่อมมีเรื่องราว

ความแตกต่างขึ้นอยู่กับต้องการจะเอ่ยหรือไม่

เช่นเดียวกับในใจของตี๋เหว่ยไท่ที่เต็มไปด้วยอุบายแผนการนับไม่ถ้วน

ส่วนในใจของเสิ่นชิงชิวเต็มไปด้วยสุราและกระบี่

ทว่าในใจทั้งสองคนต่างไม่อาจแสร้งเป็นสตรีลุ่มหลงในรัก

เสิ่นชิงชิวหลับตา

จนท้ายที่สุดก็เผยจิตใจโหดร้าย

ไม่เอ่ยวาจา ทว่าออกกระบี่

ร่างกายดั่งห่านยักษ์ กระบี่ดุจสายฟ้า!

กระบี่ยาวมองทุกสิ่งไร้ค่า

ทะลุผ่านค่ำคืน ทะลวงชั้นเมฆ เหยียบย่ำผืนดิน

ทำให้ทั้งหอทรงปัญญาสว่างวาบชั่วขณะ

บัณฑิตที่ยังหลับไม่สนิทหลายคนถูกแสงสว่างสาดส่องปลุกจนตื่น

เพียงคิดว่าในที่สุดพระจันทร์บนท้องนภาก็เผยออกมาหลังจากซ่อนตัวมาเกือบค่อนคืน

ตระหนกตะลีตะลาน รีบร้อนวิ่งไปหยิบสุราหลายกา หมายจะนั่งใต้แสงจันทร์เลียนแบบเซียนกวีอาวุโสผู้นั้น ดูว่าจะเขียนประโยคดีๆ ออกมาได้หรือไม่

เพียงแต่พวกเขาลืมสิ้น

เซียนกวีไม่ได้อาศัยสุราเขียนกวี

แต่กวีของเขาเดิมก็เป็นสุราหนึ่งกา

ฤทธิ์แรง ฤทธิ์เบา

ผู้ที่แตกต่างได้ดื่มย่อมได้รสชาติที่ต่างออกไป

น่าขันนักที่บัณฑิตเหล่านี้คิดว่า ตราบใดที่นั่งดื่มลำพังใต้แสงจันทร์จะสามารถเขียนจำพวกบทกวีนิรันดร์ออกมาได้ ช่างน่าเศร้าใจเสียจริง

อย่างไรก็ตามแต่ไหนแต่ไรโลกมนุษย์ไม่เคยขาดแคลนคนตื้นเขินเหล่านี้

วิทยายุทธ์ผิวเผินของตี๋เหว่ยไท่ก็ไม่แย่ไม่ใช่หรือ

เขามองแสงปราณกระบี่ที่โจมตีเข้ามา

พู่กันในมือเอียงเล็กน้อย

ปลายพู่กันจรดเขียน ‘หนึ่ง’

เผชิญหน้ากับกระบี่เสิ่นชิงชิวตรงหน้า

……………………………………………………………..

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท