ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 313 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-10

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 313 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-10

“แต่ไม่แน่ อีกไม่นานเจ้าอาจจะติดสิบอันดับแรกก็ได้”

ขอทานอ้วนสูบยาเส้นจนหมดแล้วกล่าว

“เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้น”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“เพราะเจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อหลบหนีปัญหา เจ้ามาที่นี่เพื่อสืบความ!”

ขอทานอ้วนตอบ

“จะสืบความต้องใช้เงินหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

การสืบความแน่นอนว่าต้องใช้เงิน แต่เขาแค่จงใจถามเท่านั้น

“เจ้าไม่จำเป็นต้องจ่าย ที่นี่เป็นสถานที่ที่อิสระและไม่มีกฎเกณฑ์ที่สุดในใต้หล้า”

ขอทานอ้วนตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“แต่ถ้าเจ้าถามเอาความมาได้ อย่าลืมบอกข้าด้วยนะ”

ขอทานอ้วนพูดต่อแล้วหัวเราะอย่างมีความสุข

หลิวรุ่ยอิ่งไม่สนใจเขาอีก

หมุนกายเดินไปข้างหน้า

แต่ยิ่งเขาเดินไปไกลเท่าไร เสียงหัวเราะของขอทานอ้วนก็ยิ่งดังขึ้นเท่านั้น

เขาย่นคิ้วและเร่งฝีเท้าจนถึงใจกลางเขตกระท่อม

ในเวลานี้มีกลุ่มคนงานเริ่มเดินมาทางนี้

ทว่าแต่ละคนกลับมือเปล่า ไม่ถือเครื่องมือใดๆ

เมื่อใกล้จะเข้าสู่เขตกระท่อมเหล่านั้น พวกเขากลับเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน

ทุกคนมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้

หลิวรุ่ยอิ่งตัดสินใจที่จะตามไปดูสถานการณ์

เมื่อเขาเดินไปถึงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็พบว่าที่นี่มีร้านค้าอยู่หนึ่งแห่ง

ร้านค้าที่เรียบง่ายและโกโรโกโส

แม้แต่ป้ายชื่อร้านก็ยังไม่มี

ประตูร้านเปิดโล่ง

แม้ว่าพายุทรายพัดเข้าไปข้างในก็ไม่สนใจ

คนพวกนั้นเดินเข้าไปในร้านค้าและหายลับไป

หลิวรุ่ยอิ่งตามเข้าไปด้านใน แต่กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมทันที

เพราะเขารู้สึกว่ามีสายตาจ้องมองมาที่เขาจากด้านข้าง

เมื่อหันไปดู เป็นขอทานอ้วนนั่นเอง!

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

หลิวรุ่ยอิ่งถามด้วยความประหลาดใจ

“ฮ่าๆ…ข้าอยู่ที่นี่ตลอด คนที่เจ้าพูดถึงน่าจะเป็นน้องชายของข้า”

คนผู้นี้กล่าวพลางลุกขึ้นยืน

เขาคือเถ้าแก่ร้านค้าแห่งนี้

ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นพี่ชายของขอทานตรงทางเข้าเขตกระท่อมนั่น

ไม่แปลกใจที่ทั้งสองหน้าตาคล้ายกันถึงเพียงนี้

ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ พี่ชายที่เป็นเจ้าของร้านค้านี้สวมใส่เสื้อผ้าที่ดูดีกว่าขอทานน้องชายของเขา

“ทานข้าวหรือดื่มสุรา”

เถ้าแก่อ้วนเดินออกมาและถามขึ้น

คนอ้วนมักจะเกียจคร้าน

แต่เจ้าของร้านคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนอ้วนที่ขยัน

พูดพลางจัดเตรียมที่นั่งให้หลิวรุ่ยอิ่งและพรรคพวก

“ที่นี่มีอะไรให้ทานบ้าง”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“เจ้าอยากทานอะไร”

เถ้าแก่อ้วนย้อนถาม

พลางเปิดตู้หนึ่งออก

ภายในมีเนื้อแห้งแขวนไว้เต็มไปหมด

เนื้อแห้งเหล่านี้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี

ไม่เพียงเก็บไว้ในตู้ แต่ละชิ้นยังห่อด้วยผ้าขาวบางเพื่อกันฝุ่น

“นอกจากเนื้อแห้งยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“อย่างอื่นกลัวว่าเจ้าจะไม่ชอบกิน”

เถ้าแก่อ้วนตอบพลางปิดตู้และยิ้มตอบ

พี่น้องทั้งสองชอบยิ้ม

แต่เถ้าแก่อ้วนคนพี่นั้นมีฟันที่เรียงเป็นระเบียบและขาวสะอาด

ยิ้มของเขาดูสบายตากว่าน้องชายมาก

“คนที่เข้ามาก่อนหน้านี้กินอะไร ข้าก็จะกินอย่างนั้น”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“เจ้าจะกินอย่างเดียวกับพวกเขาหรือ”

เถ้าแก่อ้วนถามเสียงต่ำ

“เอาเหมือนพวกเขาเลย”

หลิวรุ่ยอิ่งตอบ

“ห้าร้อยตำลึง”

เถ้าแก่อ้วนยื่นมืออ้วนท้วนของเขาออกมาพร้อมบอกกล่าว

“ห้าร้อยตำลึง?!”

หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าตนฟังไม่ผิด

แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดซ้ำอีกรอบ

เหลาสุราชั้นเลิศในเมืองหลวง จัดโต๊ะอาหารสูตรพิเศษยังไม่ถึงห้าร้อยตำลึงด้วยซ้ำ

แต่ในร้านค้าที่ทรุดโทรมเช่นนี้ การทานอาหารมื้อหนึ่งกลับต้องใช้เงินถึงห้าร้อยตำลึง!

ต้องเป็นร้านเถื่อนแน่นอน!

แต่ร้านเถื่อนทั่วไปมักจะคิดเงินหลังจากลูกค้าทานอาหารเสร็จแล้ว

แต่เถ้าแก่อ้วนคนนี้กลับเรียกเงินล่วงหน้า

ห้าร้อยตำลึง แม้ไม่ได้บังคับให้เจ้ากิน และไม่ได้บอกว่าถ้าไม่กินก็ไม่อนุญาตให้ออกไป

ก่อนหน้านี้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของแต่ละคน

ก็เป็นอย่างที่น้องชายเขาพูด

ที่นี่คือสถานที่ที่มีอิสระและไม่มีกฎเกณฑ์ที่สุดในใต้หล้า

“เนื้อแห้ง หนึ่งร้อยตำลึงต่อหนึ่งช่อ”

เถ้าแก่อ้วนไม่สนใจเสียงร้องตกใจของหลิวรุ่ยอิ่ง

แต่เขากลับเปิดตู้อีกครั้ง ชี้ไปที่เนื้อแห้งและพูด

“นี่เป็นเนื้ออะไรหรือ”

หวาหนงถาม

“เนื้อม้า ส่วนขาม้า!”

เถ้าแก่อ้วนตอบ

“หนึ่งร้อยตำลึง สามารถซื้อม้าที่ดีที่สุดได้หนึ่งตัว! แต่ที่นี่หนึ่งร้อยตำลึงกลับแลกได้เพียงแค่เนื้อแห้งหนึ่งช่อหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“เจ้าพูดถูก ที่นี่ไม่มีใครซื้อม้าและไม่มีม้าด้วย ถ้าเจ้าอยากกินเนื้อ เจ้าจะต้องใช้เงินหนึ่งร้อยตำลึงมาซื้อเนื้อแห้งของข้า ต้องรู้ไว้ว่าที่นี่แม้แต่ไส้เดือนยังขุดไม่เจอเลย”

เถ้าแก่อ้วนพูดด้วยรอยยิ้ม

สถานที่ที่แม้แต่ไส้เดือนยังขุดไม่เจอ

ประโยคนี้บรรยายได้ดีกว่าคำว่า ‘แม้แต่นกยังไม่ขับถ่าย’ เสียอีก

หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า แล้วให้เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนที่มากับเขาดึงตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมา

“นี่คือห้าร้อยตำลึง แต่ข้าไม่เพียงต้องการกินอาหารที่เหมือนกันกับพวกเขาเท่านั้น ข้ายังต้องการกินโต๊ะเดียวกันด้วย!”

หลิวรุ่ยอิ่งพูดขณะใช้นิ้วหนีบตั๋วเงินไว้

“ต้องขออภัย ข้ารับแต่เงินสดเท่านั้น”

เถ้าแก่อ้วนกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งไม่คิดว่ากฎของร้านนี้จะประหลาดเช่นนี้

ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นสถานที่ที่มีอิสระจริงๆ แต่ภายใต้ความอิสระนั้นกลับซ่อนเร้นไปด้วยเรื่องที่แปลกประหลาด

ใครบ้างจะพกเงินสดจำนวนมากทุกวันทั้งยังพกไปทุกที่?

หลิวรุ่ยอิ่งพูดอย่างตรงไปตรงมา

“เช่นนั้นก็ไม่มีข้าวกิน”

เถ้าแก่อ้วนก็ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน

แต่น้ำเสียงของเขานั้นเรียบนิ่งไม่มีความรู้สึกใด

“หรือเจ้าสามารถใช้สิ่งของมาแลกเปลี่ยนได้”

เถ้าแก่อ้วนมองไปยังม้าของกลุ่มหลิวรุ่ยอิ่งที่อยู่นอกร้านแล้วพูดขึ้น

“ม้าหนึ่งตัวมีค่าเท่าไร”

หลิวรุ่ยอิ่งถามขึ้น

เขาสังเกตเห็นว่าเถ้าแก่อ้วนกำลังเล็งม้าของพวกเขา

“สี่ร้อยตำลึง”

เถ้าแก่อ้วนตอบ

หลิวรุ่ยอิ่งสับสนกับราคาสี่ร้อยตำลึงอย่างยิ่ง

ทีแรกเขายังคิดว่าร้านนี้เป็นร้านเถื่อน

เหตุใดสถานการณ์ถึงกลับตาลปัตรในชั่วพริบตา?

แม้ว่าม้าที่หลิวรุ่ยอิ่งและพรรคพวกขี่มานั้นจะไม่เลว แต่ก็ไม่คุ้มค่าสี่ร้อยตำลึงแน่นอน

ม้าทั้งหมดเจ็ดตัวรวมกันยังไม่คุ้มสี่ร้อยตำลึง

แต่เถ้าแก่อ้วนกลับบอกว่าม้าตัวเดียวสามารถแลกกับสี่ร้อยตำลึงได้

“เนื้อแห้งหนึ่งช่อเท่ากับขาม้าหนึ่งขา เนื้อแห้งหนึ่งช่อราคาหนึ่งร้อยตำลึง ม้าหนึ่งตัวมีสี่ขา รวมเป็นสี่ร้อยตำลึง”

เถ้าแก่อ้วนอธิบาย

หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มและสุ่มชี้ม้าหนึ่งตัวเพื่อชำระเงิน

“แต่ยังขาดอีกหนึ่งร้อยตำลึง”

เถ้าแก่อ้วนมองม้าแล้วกล่าว

เงินสดหนึ่งร้อยตำลึง ทุกคนลองรวบรวมกันก็ยังพอมี

เมื่อหนึ่งร้อยตำลึงถูกส่งมอบให้เถ้าแก่อ้วน เขาก็ปรบมือเรียก

มีสตรีสองคนเดินออกมาจากด้านหลังร้าน

สตรีทั้งสองไม่ใช่วัยสาว

อีกทั้งในที่แห่งนี้ ต้องทนกับพายุทรายทุกวัน ผิวพรรณของพวกนางจึงหยาบกระด้างและคล้ำ

ทว่ายังคงมองเห็นความงามจากคิ้วบนใบหน้าและดวงตา ตอนที่ยังสาวพวกนางคงงดงามไม่น้อย

แต่ในที่แม้แต่นกยังไม่ขับถ่ายและไส้เดือนก็ไม่มี การได้พบเห็นสตรีถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

สตรีทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ แต่ละคนจับแขนหลิวรุ่ยอิ่งคนละข้าง

ส่งสัญญาณให้เขาตามพวกนางไป

หลิวรุ่ยอิ่งดึงแขนตัวเองออกมาจากแขนของพวกนาง

ทำให้สตรีทั้งสองหัวเราะเสียงดัง

“ข้าว่าหนุ่มน้อยผู้นี้ยังเป็นเด็กน้อยไร้ประสบการณ์กระมัง!”

สตรีคนหนึ่งพูดขึ้นมา

“ข้าว่าน่าจะใช่! ดูหน้าเขาสิ นิ่มนวลจนบีบน้ำออกมาได้เลย!”

อีกคนต่อประโยค

หลิวรุ่ยอิ่งถูกพวกนางห้อมล้อม

ทั้งสองคนจึงหยอกล้อเขาอย่างไร้ยางอาย

“พอได้แล้ว…อย่าทำให้คนอื่นตกอกตกใจแล้ววิ่งหนีสิ! รับเงินมาแล้ว ใช่ว่าจะคืนได้นะ!”

ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งหลุดพ้นจากวงล้อม

แม้ว่าสตรีทั้งสองยังคงยิ้มแย้ม แต่พวกนางก็เงียบลงจริงๆ

หวาหนงก็ลุกขึ้น เตรียมจะตามหลิวรุ่ยอิ่งไปด้วย

แต่ก็ถูกเถ้าแก่อ้วนยกมือขวางไว้

“มีอะไรหรือ เงินก็จ่ายไปแล้วไม่ใช่หรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งหันกลับมาถาม

“เงินของเจ้าจ่ายไปแล้ว แต่พวกเขายังไม่ได้จ่าย”

เถ้าแก่อ้วนตอบพลางยิ้ม

“หมายความว่าอย่างไร”

หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่เข้าใจในทันที

“ไอ้หยา! ก็หมายความว่าเจ้าหนุ่มน้อยมีห้าร้อยตำลึงแล้ว แต่พวกเขามีอีกหกคนแน่ะ นั่น…ยังขาดอีกสามพันตำลึง!”

สตรีคนหนึ่งพูดขึ้น

หลิวรุ่ยอิ่งไม่คิดว่าห้าร้อยตำลึงจะเป็นราคาสำหรับหนึ่งคน

และที่นี่ไม่รับตั๋วเงิน

“ม้าเจ็ดตัว รวมทั้งหมดสองพันแปดร้อยตำลึง บวกกับเงินสดหนึ่งร้อยตำลึงเป็นสองพันเก้าร้อยตำลึง เถ้าแก่อีกหนึ่งร้อยตำลึงค้างไว้ก่อนได้หรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

อาหารมื้อเดียวใช้ม้าไปเจ็ดตัวก็ยังไม่พอ

“ไม่มีบริการติดหนี้”

เถ้าแก่อ้วนกล่าว

คำพูดนี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งจนปัญญาอย่างยิ่ง

เงินสดหนึ่งร้อยที่มีติดตัวก่อนหน้านี้ ทำให้กระเป๋าของทุกคนว่างเปล่า

ตอนนี้ตำลึงเดียวก็ไม่มี

และในนั้นยังรวมถึงยี่สิบตำลึงของหวาหนง

ทั้งยังเป็นเงินที่หวาหนงยืมจากหลิวรุ่ยอิ่งมา

ยังไม่ทันได้ใช้ก็ต้องจ่ายคืนเจ้าของแล้ว

ในขณะที่กำลังลำบากใจอยู่นั้น

จู่ๆ ก็มีเสียงดังโครมครามมาจากชั้นบนของร้าน

หลิวรุ่ยอิ่งเพ่งสายตามอง

พบว่ามีเงินแท่งสองแท่งกำลังกลิ้งลงมาจากบันได

แท่งละห้าสิบตำลึง

ไม่ขาดไม่เกิน รวมกันแล้วเป็นจำนวนเงินร้อยตำลึงที่หลิวรุ่ยอิ่งขาดอยู่พอดี

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท