ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 332 แสงจันทร์ไม่เอ่ยเรื่องผีสาง-10

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 332 แสงจันทร์ไม่เอ่ยเรื่องผีสาง-10

นายท่านจินเดินถึงหน้าประตูแล้ว

มองจากไกลๆ ก็เห็นศพที่นอนอยู่บนพื้นหน้าประตู

ท่าทางของศพสงบยิ่ง

ศีรษะหนุนอยู่บนขั้นบันได

สองมือวางทับกันอยู่ตรงหน้าอก

มีเพียงมีดเล่มหนึ่งปักอยู่กลางหน้าผาก

ส่วนอื่นของศพปกคลุมด้วยดินทรายบางๆ ชั้นหนึ่ง

นี่เป็นดินทรายที่ลมพัดมา

ตอนหลิวรุ่ยอิ่งเข้าประตูก่อนหน้านี้ก็สัมผัสได้ว่าในจวนนายท่านจินมีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ไม่รู้ว่าตรงไหน

กระทั่งตอนนี้ถึงได้นึกออก

ในจวนนายท่านจินไม่มีพายุทรายแม้แต่น้อย

เพียงย่างเข้าประตูจวน พายุทรายดุจคมมีดด้านนอกก็จะพัดไม่ถึงตัวเจ้าอีก

ลานหน้าจวนของเขาถึงได้ปลูกดอกไม้หายากไว้หลายชนิด

ดอกไม้เหล่านี้ล้วนเปราะบางหาใดเปรียบ

ทนรับพายุทรายรุนแรงเช่นนี้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง

แต่ดอกไม้ในลานหน้าจวนนายท่านจินกลับงดงามสะพรั่ง ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย

จวนแห่งนี้เหมือนเป็นตัวหักล้างของพายุทราย

พวกมันได้แต่คำรามอยู่โดยรอบ ไม่กล้าข้ามเขตแม้เพียงครึ่งก้าว

นายท่านจินยอบกายลง ใช้ผ้าขนหนูสีขาวหิมะที่ใช้เช็ดปากก่อนหน้านี้ปัดดินทรายบนหน้าจินซื่ออวี่เบาๆ

นายท่านจินเริ่มใช้นิ้วมือดันผ้าขนหนูเช็ดใบหน้าของจินซื่ออวี่ทีละนิด

จากหน้าผากถึงจอนผม ไล่ลงมาที่คางและลำคอ

ผิวหนังทุกชุ่นที่เผยออกมาล้วนถูกนายท่านจินเช็ดจนสะอาด

แม้แต่ดินทรายที่เข้ารูจมูกก็แคะออกจนหมดอย่างระมัดระวัง

ไม่มีใครเดินเข้าไปสักคน

นี่เป็นเวลาส่วนตัวของพวกเขาพ่อลูก

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นริมฝีปากนายท่านจินขยับไม่หยุดจากด้านข้าง

คล้ายกำลังกล่าวบางอย่าง

แต่ทุกคำเพิ่งออกจากปากก็ถูกพายุทรายพัดไปยังที่ห่างไกล ไม่มีใครได้ยิน

เมื่อเช็ดใบหน้าทั้งใบสะอาดหมดจดแล้ว นายท่านจินหยุดมือลง เหม่อมองใบหน้าใสสะอาดของจินซื่ออวี่เล็กน้อย

แล้วเขาก็ยิ้ม

จากนั้นดึงมีดที่ปักบนหน้าผากจินซื่ออวี่ออกมา

และพับผ้าขนหนูผืนนั้นเป็นสายรัดเล็กๆ พันไว้ตรงหน้าผากของเขา

“ยกคุณชายกลับห้องนอน”

นายท่านจินลุกขึ้นสั่งการ

ผู้ดูแลจวนขานรับและออกมาพร้อมอีกหลายคน

พวกเขายกร่างของคุณชายเดินตรงไปทางด้านหลัง

นายท่านจินกลับเข้าจวนของตนอีกครั้ง

เพียงแต่ตอนจะก้าวข้ามธรณีประตู เขาพลันหันมองไปยังที่ไกลๆ ทางด้านหลัง

จากนั้นย่ำเท้าขวาบนพื้นอย่างแรงสองสามที

“วันนี้ลมแรงเสียจริง!”

ทุกคนต่างเห็นบนหน้าเขามีรอยสีดินเหลืองสองสาย

นั่นคือสิ่งที่ทิ้งไว้หลังจากคราบน้ำตาเปื้อนดินทรายในพายุ

เพียงแต่ไม่มีใครเตือนนายท่านจิน

ผู้ติดตามคนหนึ่งตักน้ำมาหนึ่งอ่าง

ข้างอ่างยังวางคู่กับผ้าขนหนูสีขาวหิมะผืนหนึ่ง

นายท่านจินวักน้ำล้างหน้า

คราบสีดินเหลืองบนหน้าหายในฉับพลัน

ล้างหน้าเสร็จแล้วเขากลับไม่ได้เช็ดให้แห้ง

เพียงฉวยมือหยิบผ้าขนหนูสีขาวหิมะข้างอ่างนั้นพาดไว้บนไหล่

“พวกเจ้าก็ล้างหน่อยสิ ลมแรงเกินไปจริงๆ…”

นายท่านจินกล่าว

คนทั้งหลายพากันพูดคล้อยตามว่าลมแรงเกินไปจริงๆ

ความจริงพวกเขาไม่ได้เดินออกจากจวนเลยสักครึ่งก้าว พายุทรายมาจากไหนกัน

แต่ตอนพวกเขาเดินถึงข้างบ่อน้ำและเห็นผ้าขนหนูสีขาวหิมะวางไว้ด้านข้างกองหนึ่งจึงเข้าใจเจตนาของนายท่านจินทันที

ทุกคนต่างเอามือจุ่มน้ำและหยิบผ้าขนหนูสีขาวผืนหนึ่งพาดไว้บนหัวไหล่เป็นสัญลักษณ์เหมือนนายท่านจิน

เสี่ยวจีหลิงก็ร่วมด้วย

หลิวรุ่ยอิ่งกับหวาหนงก็เช่นกัน

แต่เสี่ยวจีหลิงกำลังกระซิบกระซาบกับนายท่านจิน

เพียงเห็นเขาพึมพำครู่หนึ่ง นายท่านจินก็ล้วงมีดที่เขาเพิ่งดึงออกจากหน้าผากบุตรบุญธรรมของตนเล่มนั้นส่งให้เสี่ยวจีหลิง

เสี่ยวจีหลิงหยิบมีดเดินมาหาหลิวรุ่ยอิ่ง

เสี่ยวจีหลิงเอ่ยถาม

หลิวรุ่ยอิ่งให้หวาหนงหยิบมีดที่ดึงจากหน้าผากเจ้าหน้าที่อาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินออกมาให้ตน

“รู้จัก”

หลิวรุ่ยอิ่งถือมีดกล่าว

เหมือนมีดบนมือเสี่ยวจีหลิงไม่มีผิด

ตัวมีดกับด้ามมีดล้วนตีเป็นเนื้อเดียว

และไม่ได้ลับคม

แม้มีดแบบเดียวกันปักบนร่างของคนสองคนในตำแหน่งเดียวกัน

แต่การตายกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง

ผู้ใต้บังคับบัญชาของหลิวรุ่ยอิ่งถูกมีดเล่มนี้ปักหลังจากตายไปแล้ว

แต่จินซื่ออวี่กลับถูกมีดเล่มนี้เสียบทะลุสมองตายในคราวเดียว

จินซื่ออวี่ผู้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่ดอกไม้ในลานหน้าจวนนายท่านจินเหล่านั้น

เขาควรมีประสบการณ์ขมขื่นและการเคี่ยวกรำจากชีวิตที่ยากลำบากถึงจะถูก

หนำซ้ำเขายังมีเสี่ยวจีหลิงสอนท่าร่างด้วยตนเอง

ต่อให้ด้อยกว่าศัตรูก็ควรป้องกันตัวได้

แต่เขาถูกคนปักมีดทะลุสมองจากด้านหน้า

แสดงว่าก่อนจินซื่ออวี่ตายเขาต้องยืนประจันหน้ากับคนผู้นี้แน่นอน

ทั้งยังใกล้มากด้วย

เพราะนี่ไม่ใช่มีดเล่มยาว

มันยาวกว่ามือของผู้ใหญ่สามชุ่นกว่าๆ เท่านั้น

จินซื่ออวี่จะยืนใกล้ขนาดนี้กับคนแบบไหนโดยไม่คิดป้องกัน

ต้องเป็นคนคุ้นเคย

และไม่ใช่คนคุ้นเคยธรรมดา

สหายสนิทเพียงใดก็ไม่มีทางยืนประจันหน้าในตำแหน่งที่ใกล้ขนาดนี้

ต่อให้เป็นหลิวรุ่ยอิ่งกับเซียวจิ่นข่านอยู่ชิดกันเช่นนี้ คิดว่าทั้งคู่ต้องอึดอัดมากแน่

“เจ้าสนิทกับคุณชายจินคนนี้มากหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามเสี่ยวจีหลิง

“ข้ามาที่นี่ทั้งหมดสามครั้ง รวมครั้งนี้เป็นสามครั้ง”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

“ตอนมาครั้งแรก จินซื่ออวี่ยังเด็ก ตอนข้ามาครั้งที่สอง เขาวอแวให้ข้าสอนวิธีลอยตัวขึ้นหลังคา ข้าก็อยู่อีกสองสามวัน สอนจนเขาเป็น จากนั้นก็ไม่ได้เจออีกเลย ไม่นึกว่ามาครั้งนี้จะเป็นการจากลาถาวร…”

เสี่ยวจีหลิงกล่าวต่อ

หลิวรุ่ยอิ่งดูออกว่าเขาเสียใจมาก

เพราะเสี่ยวจีหลิงไม่มีทางถ่ายทอดสุดยอดวิชาของตนให้คนทั่วไปสุ่มสี่สุ่มห้า

คิดว่าจินซื่ออวี่ต้องเป็นคนหนุ่มผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศ

หากให้เวลาอีกหน่อย อย่างน้อยระดับท่าร่างของเขาคงไม่ด้อยกว่าเสี่ยวจีหลิง

แต่จนปัญญาสวรรค์ไม่เอื้ออำนวย…

คนธรรมดามักอายุยืนกว่าเจ็ดสิบปี

พวกฝีมือน่าทึ่งกลับจะตายไว

“เดิมข้าอยากลองถามนายทานจินว่ารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมีดนี้บ้างหรือไม่ ตอนนี้ดูเหมือนเพิ่มอีกอันหนึ่งแล้ว…”

หลิวรุ่ยอิ่งถอนหายใจกล่าว

หากนายท่านจินรู้ที่มาของมีดนี้ บุตรบุญธรรมของเขาคงไม่ตายด้วยมีดเล่มนี้

ดังนั้นการมาของหลิวรุ่ยอิ่งครั้งนี้ นอกจากดื่มสุราเยอะและชมดอกไม้มากมายแล้วก็ถือว่ามาเสียเที่ยว

“พวกเราลองไปดูสถานการณ์ก่อน”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

ทุกคนรวมตัวอยู่ในโถงด้านหน้า

นายท่านจินนั่งหลังตรงครุ่นคิดอยู่บนตำแหน่งประธานเงียบๆ

กลุ่มคนที่เหลือเสียงดังเอะอะ

ต่างพูดเสียงลั่นว่าจะแก้แค้นให้คุณชาย!

แม้นายท่านจินก้มหน้า

แต่หูเขาตั้งใจฟังคำพูดของทุกคน

แม้เขาไม่แสดงท่าที

แต่ตอนนี้นอกจากตัวเขากับเหยี่ยวหลายสิบตัว เขาไม่เชื่อใครในจวนแห่งนี้ทั้งนั้น

“พอแล้ว! นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญของวันนี้!”

นายท่านจินลุกขึ้นกล่าวหลังจากกลุ่มคนพูดคุยกันพักหนึ่ง

คนเหล่านี้ล้วนอาศัยค่ากินค่าเสื้อผ้าที่นายท่านจินมอบให้

เจอเรื่องเช่นนี้ย่อมต้องว่ากล่าวโดยความโกรธแค้น แสดงความรู้สึกในใจพร้อมลบล้างความน่าสงสัยให้ตัวเอง

แน่นอนว่านายท่านจินรู้เหตุผลข้อนี้

เขาจึงให้เวลาทุกคนพ่นคำพูดให้เต็มที่

“เรื่องสำคัญที่สุดของวันนี้คือเสี่ยวจีหลิงมาแล้ว ไม่ใช่แค่เขา ยังมีสหายใหม่อีกสองคน!”

นายท่านจินกล่าวเสียงลั่น

คนทั้งหลายค่อยๆ เดินออกมาจากห้วงอารมณ์เจ็บปวดคับแค้นและปรบมือร้องยินดี

“อีกหนึ่งชั่วยาม พวกเราเลี้ยงสุราต้อนรับเสี่ยวจีหลิงและสหายใหม่สองคนที่โถงใหญ่ด้านหน้า!”

เมื่อสิ้นเสียงร้องยินดีของกลุ่มคน นายท่านจินจึงกล่าวต่อ

ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม

กลุ่มคนจึงทยอยแยกกันไป

“เจ้ารู้จักมีดเล่มนี้หรือไม่”

นายท่านจินเดินมาข้างกายเสี่ยวจีหลิงแล้วเอ่ยถาม

“ข้าไม่รู้จัก…”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

“แล้วสหายของเจ้า…”

นายท่านจินชี้หลิวรุ่ยอิ่งพลางกล่าว

“เขามาที่นี่ เดิมก็อยากมาถามเจ้าว่ารู้จักมีดเล่มนี้หรือไม่”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

นายท่านจินมองหลิวรุ่ยอิ่งด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“คนของข้าคนหนึ่งก็ตายด้วยมีดเล่มนี้”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวกับนายท่านจินพลางยื่นมีดแบบเดียวกันนั้นออกจากมือเขาอย่างช้าๆ

“ดูเหมือนตอนนี้พวกเรามีศัตรูคนเดียวกันแล้ว”

นายท่านจินยิ้มกล่าว

เขาสะบัดข้อมือ

มีดเล่มนี้ก็ปักบนภาพวาดภาพหนึ่งตรงกลางโถงหลัก

นั่นเป็นภาพล่าสัตว์หลังฤดูใบไม้ร่วง

มีดเล่มนั้นปักอยู่บนเหยี่ยวตัวหนึ่งที่บินอยู่บนฟ้าพอดี

ในเมื่อมีศัตรูคนเดียวกัน เช่นนั้นต่อให้ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งกับนายท่านจินไม่นับว่าเป็นสหาย แต่ก็เป็นพันธมิตรแล้ว

“นายท่านจินรู้จักเถ้าแก่เนี้ยคนนั้นหรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

แม้นายท่านจินบอกให้เขาเรียกว่าเหล่าจิน แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่ทำตัวสนิทสนมเช่นนั้น

“เจ้าหมายถึงเถ้าแก่เนี้ยคนไหนล่ะ…”

นายท่านจินกล่าวลากเสียงยาว

เหมืองแร่แห่งนี้มีแค่ร้านเดียว

ดังนั้นก็มีเถ้าแก่เนี้ยแค่คนเดียว

ไม่มีทางสับสนแน่นอน

“นางเป็นน้องสาวข้า”

นายท่านจินกล่าว

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท