ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 333 ถูกบังคับโดยไม่รู้ตัว-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 333 ถูกบังคับโดยไม่รู้ตัว-1

บางคน เพียงอ้าปากก็จะได้ยินเสียงกระบี่ออกจากฝัก

ยิ่งได้เห็นแสงดาบเงากระบี่ ได้กลิ่นสุราเก่ายี่สิบปีและเนื้อวัวตุ๋นสามชั่วยาม

นายท่านจินก็เป็นเช่นนี้

หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าเขามีอดีตอะไรกับน้องสาวตัวเอง

แต่จากน้ำเสียงของเขาย่อมรู้ได้ไม่ยากว่าพี่น้องคู่นี้ต้องเคยมีเรื่องหมางใจอย่างมากแน่นอน

นายท่านจินกล่าวคำนี้จบก็หมุนกายจากไป

แม้บอกหนึ่งชั่วยาม

แต่ผู้ดูแลจวนจัดการเรียบร้อยนานแล้ว เพียงรอกลุ่มคนนั่งเข้าที่

“เจ้าก็เคยเจอเถ้าแก่เนี้ยคนนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่านางเป็นน้องสาวนายท่านจิน”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ข้าไม่รู้”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

แม้เขารู้เรื่องเยอะมากทั้งยังรับข่าวสารว่องไว

แต่เขาไม่รู้เรื่องที่ไม่สนใจเลยสักนิดเดียว

หลิวรุ่ยอิ่งกับเสี่ยวจีหลิงเห็นนายท่านจินออกไปก็ตามอยู่ข้างหลังด้วย

ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายพอดี

เวลายังห่างจากยามเย็นประมาณหนึ่ง

แต่บนพื้นที่กว้างใหญ่ที่อ้างว้างเช่นนี้ ยามเย็นกับพลบค่ำไม่ได้ต่างกัน

ก็แค่ดวงอาทิตย์สูงต่ำเท่านั้น

พลบค่ำเห็นได้ทุกวัน เพียงแต่คนที่เห็นพลบค่ำทุกวันกลับต่างกันไป

พลบค่ำไม่เท่ากับอาทิตย์อัสดง

อาทิตย์อัสดงคือชั่วเวลาสุดท้ายก่อนดวงอาทิตย์ตกดิน

แต่พลบค่ำกลับเป็นเวลาที่ยาวนานที่สุดในหนึ่งวัน

ก็เหมือนบางคน

บางเรื่อง

เจ้าคิดว่าเข้าใจเป็นอย่างดี

ได้พบได้เห็นแล้วก็จะมีคำพูดมากมายอยากเอื้อนเอ่ย

แต่คำพูดเหล่านี้ไม่นับเป็นคำพูดแท้จริงจนกว่าจะกล่าวออกไป

คำพูดนับพันหมื่นกลับไม่เคยได้เอ่ยปาก

พลบค่ำก็เป็นเช่นนี้

มักทำให้คนหดหู่ยิ่งนัก

แต่ก็ไม่รู้ว่าความหดหู่นี้ควรพูดจากตรงไหน

จึงใคร่ครวญพันหมื่นคำพูดในสมองอย่างต่อเนื่อง

พออ้าปากกลับพูดไม่ออกสักคำ

พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม

ได้เวลางานเลี้ยงของนายท่านจินแล้ว

นายท่านจินนั่งบนตำแหน่งประธาน

เสี่ยวจีหลิงกับหลิวรุ่ยอิ่งคนหนึ่งซ้ายคนหนึ่งขวา

เพียงแต่งานเลี้ยงคืนนี้ไม่มีสุรา

“ไม่ทราบว่าสหายทำงานที่ใด”

อยากรู้พื้นเพของหลิวรุ่ยอิ่งสักหน่อย

เขารู้ที่มาที่ไปของทุกคนในจวนเขาอย่างชัดเจน

ไม่อย่างนั้นก็จะมีคนปะปนเข้ามาอาศัยกินดื่มไม่รู้เท่าไร

“ข้าน้อยหลิวรุ่ยอิ่ง นายกองกรมสอบสวนกลาง คนนี้คือหวาหนงศิษย์หลานของข้า”

หลิวรุ่ยอิ่งใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วกล่าว

บางครั้งไม่อาจโกหก

คำโกหกคำหนึ่งมักต้องเสริมเติมแต่งด้วยคำโกหกมากมาย

ความจริงมักได้การกว่าคำโกหกมาก

แม้หลายครั้งคนไม่อาจพูดความจริง

เพราะความจริงมักทำให้ตัวเองและคนอื่นเจ็บปวด ทั้งยังไม่อาจทำให้ใครพึงใจ

แต่คำโกหกกลับพูดตรงไปตรงมาได้อย่างง่ายดาย

กระนั้นความจริงสมบูรณ์แบบเสมอ คำโกหกกลับไม่อาจปกปิดทุกสิ่งได้ตลอดไป

หากคนผู้หนึ่งกล่าวคำโกหกได้ใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบ นั่นไม่เรียกว่าโกหก

อย่างมากเป็นได้แค่การพูดเกินจริง

เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งพูดออกมาทำให้ทั้งโถงใหญ่เงียบลงทันที

ถึงขั้นมีหลายคนก้มหน้าลงต่ำ คิดจะปิดบังใบหน้าของตนด้วยสิ่งนี้

คนเหล่านี้ต้องมีประวัติในกรมสอบสวนกันหมดแน่นอน

ในใจพวกเขาเองก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี

ดังนั้นหลังได้ยินหลิวรุ่ยอิ่งบอกชื่อของกรมสอบสวน

พวกเขาก็เริ่มตื่นตระหนกไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ

น้ำเสียงนายท่านจินเรียบนิ่ง

ไม่มีคลื่นใด

ใช่ว่าเขาไม่กลัว

แต่ถึงชื่อกรมสอบสวนกลางยิ่งใหญ่ก็ไม่เกี่ยวกับเขา

เพราะสอบสวนอย่างไรก็สอบสวนไม่ถึงเขา

อย่างมากก็พูดว่านายท่านจินให้ที่ซ่อนผู้ต้องสงสัย

ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าไม่เคยมีคนของกรมสอบสวนมา

แต่หลายครั้งหลายหนล้วนตรวจสอบหาต้นตอไม่ได้ จึงได้แต่ล้มเลิก

อีกอย่างนายท่านจินดูออกว่าครั้งนี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้มุ่งมาที่ตน

และเขาสองคนเพิ่งกลายเป็นพันธมิตรเพราะมีดแบบเดียวกันเล่มหนึ่ง

“ไม่ขนาดนั้นขอรับ ทำงานเลี้ยงชีพเหมือนกันทั้งนั้น”

หลิวรุ่ยอิ่งสำรวมกิริยาอย่างมาก

กล่าวถ่อมตน

“ก่อนเจ้ามา ข้าพนันกับเสี่ยวจีหลิงไว้อย่างหนึ่ง!”

นายท่านจินกล่าว

“หืม เดิมพันด้วยอะไรหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

นายท่านจินเห็นเขาไม่ถามว่าพนันอย่างไร ยิ่งไม่ถามว่าใครแพ้ชนะ

แต่ถามตรงๆ เลยว่าเดิมพันด้วยอะไร

ในใจอดชื่นชมนายกองหนุ่มของกรมสอบสวนผู้นี้ไม่ได้

“เดิมพันก็คือ ขอแค่เจ้ามีเรื่องอยากถามข้า ข้าก็บอกเจ้าทุกอย่างเท่าที่รู้”

นายท่านจินกล่าว

“ดูท่าทางคงเป็นนายท่านจินแพ้แล้วกระมัง!”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

นายท่านจินหัวเราะเสียงลั่น

ดื่มชาอึกหนึ่งให้ชุ่มคอ

กำลังคิดจะใช้ผ้าขนหนูสีขาวที่พาดบนไหล่เช็ดปาก แต่มือยื่นไปครึ่งทางก็อดใจไว้

“ถูกต้อง ข้าแพ้แล้ว แต่คำถามที่เจ้าอยากถามก็เป็นคำตอบที่ข้าอยากรู้เหมือนกัน”

นายท่านจินสีหน้าขมขื่น กล่าวด้วยความหดหู่

“แต่นอกจากมีดเล่มนั้น ยังมีเรื่องอื่นอยากขอคำชี้แนะจากนายท่านจิน”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“กล้าพนันย่อมยินดีรับผล ถามมาได้เลย”

นายท่านจินกล่าว

“เถ้าแก่เนี้ยคนนั้นเป็นน้องสาวของท่านจริงหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“บนโลกนี้มีแต่จำคนรักกับภรรยาผิดคน คงมีไม่กี่คนที่นับพี่นับน้องผิดกระมัง”

นายท่านจินยิ้มกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า

หลักการก็เป็นเช่นนี้จริง

เพียงแต่พี่น้องคู่นี้ใช้ชีวิตอยู่บนเหมืองแร่เดียวกันแท้ๆ เหตุใดให้ความรู้สึกชาตินี้จะไม่เกี่ยวข้องกันอีก

นายท่านจินไม่ได้กล่าวต่อ

เพราะหลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่ได้ถามต่อเช่นกัน

เดิมพันที่นายท่านจินแพ้คือตอบคำถามหลิวรุ่ยอิ่งเท่านั้น

ไม่ใช่พูดเรื่องทั้งหมดของตัวเองให้หลิวรุ่ยอิ่งฟังยาวเป็นบทความ

เขายังอยากลองฟังเรื่องที่เสี่ยวจีหลิงบอก

ตอนนี้นายท่านจินถึงนึกได้ว่าตนไม่ควรสั่งให้ไม่ยกสุรา

แม้ในจวนเพิ่งมีคนตาย งานเลี้ยงรับแขก ดื่มสุรารื่นเริงไม่เหมาะสมอย่างแท้จริง

แต่หากไม่มีสุรา เสี่ยวจีหลิงก็จะไม่พูดสักคำ

ยิ่งเป็นสุราดีก็ยิ่งทำให้เขาพูดมากขึ้น

นายท่านจินจึงใคร่ครวญเล็กน้อย

สุดท้ายยังคงให้คนหยิบสุรามาไหหนึ่ง

แต่รินให้เสี่ยวจีหลิง หลิวรุ่ยอิ่งและหวาหนงแค่สามชาม

นายท่านจินยกจอกชาขึ้นมา สื่อว่าคืนนี้ตนได้เพียงดื่มชาแทนสุรา

คนทั้งหลายล้วนเข้าใจ

เสี่ยวจีหลิงเห็นสุราแล้วตาเป็นประกายจริงๆ

เขาลูบชามสุราเบามือ

คล้ายบุรุษคลึงเคล้าแขนและหัวไหล่คนรักของตน

หลังจากลูบไล้ครู่หนึ่ง เขายกชามขึ้นมาแหงนหน้าดื่มหมดเกลี้ยง

นายท่านจินแปลกใจมาก

แม้เขาเคยเจอเสี่ยวจีหลิงมาสามครั้ง

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเสี่ยวจีหลิงดื่มสุราดุเดือดเช่นนี้

“เรื่องของซื่ออวี่ ข้าจะรู้ให้ได้”

เสี่ยวจีหลิงดื่มหมดแล้วกล่าว

พูดไปพลางรินสุราให้ตัวเองอีกชามหนึ่ง

นายท่านจินถอนหายใจ

ตบไหล่เสี่ยวจีหลิงอย่างแรง

“ช่วงนี้ที่นายท่านจินมีคนมาซื้อแร่เหล็กมากเกินจำเป็นหรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“มีคนมาซื้อแร่เหล็กทุกวัน แต่ซื้อมากเกินจำเป็นนี่คือเท่าไร”

นายท่านจินเอ่ยถาม

แม้เขาเป็นเจ้าของเหมือง

แต่แร่เหล็กที่ขุดออกมายังต้องขายให้อาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องเป็นส่วนใหญ่

ถึงเป็นเช่นนั้น ในมือเขาก็ยังเหลือกินเหลือใช้

แร่เหล็กที่เหลือเหล่านี้จึงขายต่อให้คนอื่นได้ในราคาแพง

และทรัพย์สินของเขาก็ค่อยๆ เพิ่มพูนเช่นนี้

ถึงอย่างไรราคาที่อาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องให้ก็ไม่สูงนัก

สูงกว่าต้นทุนที่เขาขุดแร่นิดหน่อยเท่านั้น

แต่ถ้าไม่ขายให้อาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง เขาก็นั่งตำแหน่งเจ้าของเหมืองนี้ไม่ได้

ไม่ว่าทำสิ่งใดล้วนเป็นเช่นนี้

ห่วงแต่ละห่วงต่างคล้องกัน

หลายครั้งถูกคนบังคับให้เดินหน้าโดยไม่รู้ตัว

“สี่ล้านตำลึง!”

นายท่านจินยิ้มส่ายหน้า

รู้สึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งช่างเป็นคนจากเมืองหลวงจริงๆ

ใช้ชีวิตไม่เหมือนคนธรรมดา

ซื้อแร่เหล็กสี่ล้านตำลึง อย่าว่าแต่เขาไม่มีสินค้าคงคลังมากขนาดนั้น

ต่อให้เริ่มซื้อลงไปตามสายแร่จากที่นี่ก็ไม่อาจรวบรวมแร่เหล็กถึงสี่ล้านตำลึง

ใช่ว่าจำนวนการผลิตต่ำเกินไป

แต่เป็นเพราะช่องทางขายแร่เหล็กนี้ดียิ่งอย่างแท้จริง

แม้อาณาจักรติ้งซีอ๋องผลิตแร่เหล็กเหมือนกัน

แต่ปริมาณแร่เหล็กในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องเรียกได้ว่าเป็นที่สุดของอาณาจักรห้าอ๋อง

สามารถอาศัยแร่เหล็กเหล่านี้หาเงินทองมหาศาลจากอาณาจักรอ๋องอื่นๆ ได้ทุกปี

แต่นี่เป็นพฤติกรรมของทางการ

ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของเหมืองอย่างพวกเขาทำได้

หลังจากวังเจิ้นเป่ยอ๋องรับซื้อแร่เหล็กในมือเจ้าของเหมืองเหล่านี้ หากในเขตอ๋องเองไม่อาจใช้จนหมดก็จะเพิ่มราคาขายตามที่ต่างๆ

นี่ก็เป็นหนึ่งในแหล่งที่มาสำคัญของงบประมาณการทหารอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องและค่าใช้จ่ายในวังอ๋อง

ถึงขั้นกล่าวได้ว่าแร่เหล็กคือเส้นชีวิตของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

ไม่มีใครกล้าลักลอบค้าขายหรือใช้อุบายหลอกลวงแน่นอน

“สี่ล้านตำลึง…ยังไม่เคยได้ยินว่ามีบ้านเศรษฐีหรือกิจการร้านไหนในใต้หล้าใช้เงินสี่ล้านตำลึงมาซื้อแร่เหล็ก เพราะพวกเขาซื้อเพื่อเอาไปทำเงินแน่นอน และถ้าอยากขนแร่เหล็กสี่ล้านตำลึงออกไปจากเหมืองแร่นี้ อย่างน้อยต้องใช้ขบวนม้าหลายร้อยตัว นี่เป็นรายจ่ายก้อนใหญ่ทีเดียว! ต่อให้เขาขนออกไปจริงและขายหมด กำไรที่ได้ก็คงพอดีกับต้นทุนของเขา คงไม่มีใครทำการค้าขายที่กินแรงเปล่าเช่นนี้…”

นายท่านจินกล่าว

แม้เขารู้สึกคำถามของหลิวรุ่ยอิ่งน่าขันนัก

แต่ตามหลักยอมรับผลเดิมพัน เขายังคงบอกหลิวรุ่ยอิ่งทุกสิ่งที่ตนรู้คิดอยู่ในใจ

“ถ้าได้สี่ล้านตำลึงนี้มาด้วยการหลอกลวงคนอื่นและเอามาซื้อแร่เหล็ก แต่ไม่ได้ทำเพื่อเงินล่ะขอรับ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

เขาอยากรู้ขั้นตอนการซื้อขายแร่เหล็กนี้อย่างชัดเจน

นายท่านจินเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายนี้

นายท่านจินฟังจบแล้วยิ้มเล็กน้อย กำลังเตรียมเอ่ยปากพูด

แต่สีหน้าเขาเปลี่ยนฉับพลัน

ชัดทีเดียว เขานึกบางอย่างขึ้นได้

“สี่ล้านตำลึงที่เจ้าว่าใช่เบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงที่ถูกปล้นนั่นหรือไม่”

นายท่านจินยื่นหน้าเข้าใกล้หลิวรุ่ยอิ่งแล้วเอ่ยถามเสียงเบา

“นายท่านจินกล่าวถูกต้อง เป็นสี่ล้านตำลึงนั้นขอรับ”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ที่ข้าเป็นเหนือสุดของสายแร่ในเขตเจิ้นเป่ยอ๋อง โดยทั่วไปก็เรียกว่าจุดเริ่มต้น เดินเข้าไปก็เป็นทางมุ่งสู่ทางใต้ แต่มีทางผ่านนี้แค่สายเดียว ที่อื่นล้วนเป็นเทือกเขาสูงชัน อย่างไรก็ลากเงินสดสี่ล้านตำลึงหรือเงินสดที่แปลงเป็นก้อนเหล็กผ่านไปไม่ได้หรอก”

นายท่านจินกล่าว

“ดังนั้นหากคนนั้นอยากซื้อแร่เหล็ก ไม่ว่าอย่างไรก็จะผ่านที่นายท่านจินใช่หรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“เขาไม่มีทางอื่นที่ไปได้ ต่อให้ไม่ซื้อแร่เหล็กที่ข้าก็ต้องผ่านหน้าประตูบ้านข้าอยู่ดี และเหมืองแร่ของข้าก็ใหญ่ที่สุดในสายแร่ตลอดทางนี้ คนผู้นี้ไม่มีเหตุผลใดให้ทิ้งใกล้ไปหาไกล ทิ้งใหญ่ไปหาเล็ก”

นายท่านจินกล่าว

สำหรับจุดนี้

หลิวรุ่ยอิ่งกลับเห็นด้วยอย่างยิ่ง

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท