ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 340 เป็นแค่ขนไก่กระจายเต็มพื้น-3

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 340 เป็นแค่ขนไก่กระจายเต็มพื้น-3

“ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งอยู่ในเหมืองแร่เหล็กที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง”

เกาเหรินกล่าว

“เขาไปเหมืองแร่เหล็กทำไม”

จิ้งเหยาเอ่ยถาม

“เพราะเขามั่นใจว่าเจ้าจะไป”

เกาเหรินกล่าว

“เขาคิดว่ารู้จักข้าดีแล้วจึงรู้ล่วงหน้าได้หรือ”

จิ้งเหยาย้อนถาม

“หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้รู้ล่วงหน้า แต่คนที่ล่วงรู้หยั่งทราบคนหนึ่งบอกว่าต้องไปเหมืองแร่เหล็ก แม้ไม่ได้พูดชัดเจน แต่เขาเป็นคนฉลาด คิดต้นสายปลายเหตุเข้าใจแล้วย่อมไปแน่นอน”

เกาเหรินกล่าว

ยื่นมือชี้ตัวเอง

“ก็คือเจ้าหลอกเขา”

จิ้งเหยากล่าว

เขาไม่เคยคิดจะไปเหมืองแร่เหล็ก

เพราะเกาเหรินติดต่อร้านเครื่องธนูเจ็ดสิบสองแห่งทั้งหมดในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องให้เขาแล้ว

ร้านเครื่องธนูทุกแห่งล้วนมีคนไม่กลัวตายจำนวนหนึ่ง

รู้ทั้งรู้ว่านี่เป็นการค้าขายที่เสี่ยงหัวหลุดจากบ่า แต่ก็ยังกล้าหยิบศรธนูในคลังออกมาขาย

จิ้งเหยาไม่รู้ว่าร้านเครื่องธนูเจ็ดสิบสองแห่งในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องนี้มีสินค้าคงคลังเท่าไรกันแน่

แต่ตอนเขาได้ยินเกาเหรินบอกว่ามีทั้งหมดเจ็ดสิบสองแห่ง เขาก็รู้ว่าไม่น้อยแน่นอน

อย่างน้อยเบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงนี้ต้องใช้หมดแน่

“ไม่ ข้าหลอกเจ้า!”

เกาเหรินกล่าวภูมิใจยิ่ง

ยังเอนเก้าอี้ไปด้านหลัง

ให้สองเท้าของตนไขว้อยู่บนโต๊ะ

เห็นได้ชัดว่าจิ้งเหยาไม่ตอบสนอง มองเกาเหรินด้วยสีหน้างุนงง

เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำที่เกาเหรินบอกว่าหลอกตนหมายถึงหลอกเรื่องอะไร

“ข้าไม่เคยติดต่อร้านเครื่องธนูในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องตั้งแต่แรก และอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องก็ไม่มีร้านเครื่องธนูถึงเจ็ดสิบสองแห่ง ที่จริงมีไม่ถึงครึ่งของเจ็ดสิบสองด้วยซ้ำ”

เกาเหรินโยกตัวกล่าว

นี่ทำให้จิ้งเหยาโกรธจัดทันที!

ชักดาบออกมาจ่อคอเกาเหริน

แต่เกาเหรินยังคงโยกตัวหน้าทะเล้น

คมดาบของจิ้งเหยาลากเป็นรอยเลือดเส้นหนึ่งบนคอเขาแล้ว

รอยเลือดเส้นนี้กลับค่อยๆ ลึกขึ้นเพราะเขาโยกเยกไม่หยุด

“ทำไมหยุดเสียแล้ว”

เกาเหรินเอ่ยถาม

จิ้งเหยากัดฟันแล้วเก็บดาบ

เห็นรอยเลือดพร้อยบนคมดาบ เขาหยิบกาสุราขึ้นมาล้างด้วยสุราจนสะอาด

“เจ้าหลอกอะไรข้าอีก”

จิ้งเหยาเอ่ยถาม

“แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ”

เกาเหรินพลันปล่อยเท้าที่ไขว้อยู่บนโต๊ะลง นั่งตัวตรงบนเก้าอี้แต่โดยดีแล้วกล่าว

สองมือยังวางบนหัวเข่าอย่างเป็นเรียบร้อย

เหมือนเด็กทำผิดกำลังรอบิดาลงโทษ

“พอแล้ว…มากพอแล้ว…”

จิ้งเหยากล่าวพึมพำ

จากนั้นมองเกาเหรินโดยไม่พูดอะไร

ในเมื่อเกาเหรินบอกตามตรงว่าตัวเองหลอกเขา

เช่นนั้นเกาเหรินยังต้องมีคำพูดต่อแน่นอน

“ดังนั้นเจ้าอยากได้ศรธนูก็ต้องไปซื้อเหล็กที่เหมืองแร่แล้วทำเอง”

เกาเหรินกล่าว

“หลิวรุ่ยอิ่งก็อยู่เหมืองแร่ไม่ใช่รึ”

จิ้งเหยาเอ่ยถาม

“เจ้าไม่อยากเจอเขาอีกหรือ”

เกาเหรินย้อนถาม

“ข้าแค่อยากฆ่าเขา”

จิ้งเหยายักไหล่กล่าว

“ไม่เจอเขาแล้วจะฆ่าเขาอย่างไร เรื่องการฆ่าคนก็เหมือนการมีลูก ล้วนต้องประจันหน้ากันทั้งนั้น!”

เกาเหรินหัวเราะกล่าว

“ในเมื่อเจ้าหลอกข้าเรื่องร้านเครื่องธนู ส่วนแร่เหล็กขอแค่มีเงินก็ซื้อได้ เช่นนั้นการร่วมมือของพวกเรายังมีประโยชน์ใดอีก”

จิ้งเหยาเอ่ยถาม

“มีประโยชน์แน่นอน…เพราะข้าเป็นคนเดียวที่รู้ทุกอย่างนอกจากผู้เกี่ยวข้องโดยตรงเช่นเจ้า อ้อใช่…ข้าบอกหลิวรุ่ยอิ่งแล้วเหมือนกัน! แต่ถ้าเจ้าไม่ร่วมมือกับข้า ข้าแค่ไปเดินเล่นในวังเจิ้นเป่ยอ๋องสักรอบแล้วพูดสิ่งที่ข้ารู้ทั้งหมดออกมาก็เป็นผลงานใหญ่อย่างหนึ่ง!”

เกาเหรินกล่าว

จิ้งเหยานิ่งเงียบ

แต่เขาก็ถือว่าเข้าใจเรื่องหนึ่งแล้ว

นั่นคือตั้งแต่เรื่องปล้นเบี้ยหวัดเขาก็ไม่รู้เลยว่าเกาเหรินคิดจะทำอะไรกันแน่

คนเราทำสิ่งใดล้วนมีเป้าหมาย

จิ้งเหยาไม่รู้เป้าหมายของเกาเหรินแม้แต่น้อย

ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเกาเหรินอยากยุให้เกิดสงครามแล้วได้ประโยชน์จากในนั้น

ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่

ต่อมาเขาคิดว่าอาจจะยืมมือของตนฆ่าหลิวรุ่ยอิ่ง

จากนั้นทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างทุ่งหญ้ากับกรมสอบสวน

ทว่าพอคิดอย่างละเอียด การทำเช่นนี้ไม่มีผลดีต่อเกาเหรินแต่อย่างใด

แต่สุดท้ายแล้วใครคือขนไก่เต็มพื้นนั้น

ไม่ถึงชั่วเวลาสุดท้าย จิ้งเหยาก็ยังไม่มั่นใจ

“ในเมื่อเจ้าหลอกข้าแล้วหนหนึ่ง ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร”

จิ้งเหยาเอ่ยถาม

“คนหลอกลวงไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองหลอกคนอื่น ในเมื่อข้าพูดคำโกหกหมดแล้ว เช่นนั้นก็แสดงว่าข้าไม่ได้หลอกเจ้า”

เกาเหรินกล่าว

การอธิบายเช่นนี้แปลกใหม่ยิ่งนัก

อย่างน้อยจิ้งเหยาก็ไม่เคยเจอคนหลอกลวงที่โกหกกันซึ่งๆ หน้าเช่นนี้!

“แต่ในเมื่อเป็นการร่วมมือ ข้าก็ต้องมีความบริสุทธิ์ใจสักหน่อย…”

เกาเหรินกล่าวต่อ

ใช้มือค้ำคางของตนพลางเริ่มครุ่นคิด

เวลาก็ผ่านไปทีละนิดเช่นนี้

จิ้งเหยาจำได้ชัดเจนว่าตนดื่มสุราห้ากาและเติมฟืนใส่ในกองไฟสองรอบ

จากนั้นเกาเหรินถึงเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ

“ความบริสุทธิ์ใจก็คือข้าไปเหมืองแร่เหล็กเป็นเพื่อนเจ้า!”

เกาเหรินกล่าว

จิ้งเหยาไม่นึกว่าเกาเหรินจะเอาตัวเองเข้ามาเอี่ยวไปกับเขา

หากคนอื่นพูดเช่นนี้ต้องบริสุทธิ์ใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่ถ้าเอาเบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงไปซื้อแร่เหล็กจำนวนมหาศาลในเหมืองแร่พร้อมกับตนเป็นการใหญ่ เช่นนั้นทั้งสองก็กลายเป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นหนึ่ง

ไม่มีใครหนีไปได้

แต่อีกฝ่ายคือเกาเหริน

ไม่ใช่คนอื่น

แม้เกาเหรินเสียสติ

แต่ก็เป็นคนเห็นแก่ตัวที่สุด

เขาทุ่มความบริสุทธิ์ใจได้มากขนาดนี้ก็ต้องได้รับผลตอบแทนมากเท่านี้เหมือนกัน

เช่นนี้ถึงจะเท่าเทียม

แต่จิ้งเหยาคิดแล้วคิดอีกก็คิดไม่ออกว่าเกาเหรินจะได้ผลประโยชน์อะไรจากการกระทำนี้…

เขาจึงลังเลไม่เอ่ยคำใด

ยังคงคิดคำนวณอย่างถี่ถ้วน

เกาเหรินฉีกขาไก่อันหนึ่งจากไก่อวบอ้วนบนโต๊ะและเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย

เพียงแต่เกาเหรินไม่กินหนังไก่

เขาดึงหนังไก่ด้วยปากแล้วถุยลงบนพื้นทั้งหมด

ขอเพียงของร่วงลงพื้น

มักจะมีไก่ตัวผู้ตาแหลมสองสามตัวเข้ามาสำรวจรอบหนึ่ง

เกาเหรินพลันดึงขนไก่ที่งอนงามสวยสดที่สุดมาจากก้นไก่ตัวผู้ตัวหนึ่ง

มือหนึ่งจับขนไก่ มือหนึ่งกินขาไก่

นั่งหันหลังให้กองไฟ

สีหน้าเคร่งเครียด

ภาพนี้ค่อนข้างแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

กระทั่งจิ้งเหยาที่ดื่มเลือดสังหารคนยังไม่อยากมองนัก

หนำซ้ำตอนนี้เกาเหรินยังมองขนไก่ในมือพลางหัวเราะทึ่มทื่อ

ขาไก่ชิ้นหนึ่งหมดอย่างรวดเร็ว

เขาทับขนไก่ไว้ใต้กระดูกที่แทะเกลี้ยง

ลมภูเขาพัดมาฉับพลัน

ป่าไม้ที่อยู่ไกลเริ่มส่งเสียงซู่ๆ

จากนั้นก็พัดมาถึงลานขนาดเล็กของกระท่อมหญ้าคา

จิ้งเหยาเห็นฟืนบางอันในกองไฟที่ยังไม่ถูกเผาไหม้ทั้งหมดกลายเป็นประกายไฟลอยไปตามทิศทางลมและค่อยๆ ดับสูญ

จากนั้นพัดจนกระดูกไก่ที่เกาเหรินกินหมดบนโต๊ะนั่นกลิ้งลงมา

ขนไก่ที่ทับไว้ด้านหลังพลันลอยสูงขึ้นมาติดบนหน้าของจิ้งเหยา

“ได้ พวกเราเดินทางตอนนี้เลย!”

จิ้งเหยาดึงขนไก่บนหน้าทิ้งแล้วกล่าวกับเกาเหริน

ศรธนูจำเป็นต้องซื้อ

ไม่อย่างนั้นหากปล้นแค่เบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึง การบุกถิ่นศัตรูโดยไร้กองหนุนของเขาครั้งนี้ไม่ค่อยคุ้มค่านัก

แต่ในเมื่ออยากได้ศรธนูก็จำต้องไปตามทางที่เกาเหรินบอก

เมื่อเกาเหรินได้ยินจิ้งเหยาตอบตกลง

เขาลุกพรวดขึ้นมารินสุราให้จิ้งเหยากับตัวเองจอกหนึ่ง

“เดินทางตอนนี้เลย!”

เกาเหรินกล่าว

จากนั้นดื่มสุราในจอกจนหมด

กล่าวพลางถูฝ่ามืออย่างรีบร้อนใจ

จิ้งเหยาส่งสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเอาโต๊ะออกไป

จากนั้นก็จูงม้าจากข้างหลังมาเตรียมออกเดินทาง

ตอนเกาเหรินเห็นบนหลังม้าบรรทุกแต่ของใช้ในชีวิตประจำวันอย่างหม้อชามรามไหเก้าอี้โต๊ะตั่งก็อดแปลกใจไม่ได้

“เบี้ยหวัดล่ะ”

เกาเหรินเอ่ยถาม

“ฉลาดเช่นเจ้ามีตอนที่คิดไม่ตกด้วย?”

จิ้งเหยาตบโต๊ะที่พวกเขาดื่มสุรากินอาหารเมื่อครู่พลางกล่าว

ตอนนี้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาฉับพลัน

ตั้งแต่เหยียบเข้าอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องตนก็ถูกเกาเหรินคาดเดาทุกฝีก้าว

ในที่สุดตอนนี้ก็มีเรื่องทำให้เขาคิดไม่ตก จะไม่ให้จิ้งเหยาพึงใจได้อย่างไร

“ใช่แล้วๆ…นี่เป็นวิธีที่ชาญฉลาดโดยแท้! พอเป็นเช่นนี้ คนอื่นก็จะคิดว่ากลุ่มพวกเราแค่ย้ายบ้านตามปกติ เป็นใครก็คงไม่เชื่อมโยงเข้ากับเบี้ยหวัด!”

เกาเหรินกล่าว

ใจของจิ้งเหยาจมลงไปพร้อมกับประโยคนี้อีกครั้ง…

ไม่นึกว่าเกาเหรินจะอ่านความคิดของตนออกในพริบตา

หรือเขาอาจจะมองออกนานแล้ว

เมื่อครู่แค่จงใจถามเช่นนั้น

เพื่อให้ใจของจิ้งเหยาสับสนว้าวุ่น

คล้ายการทรมานจิตใจผู้อื่นเช่นนี้เป็นความสุขที่สุดของเกาเหริน

ทว่าแผนการของจิ้งเหยาก็นับว่าปราดเปรื่อง

สี่วันที่อยู่ในกระท่อมหญ้าคานี้เขาไม่ได้ใช้เวลาโดยเปล่า

แต่ดูของใช้เครื่องเรือนในกระท่อมหญ้าคาแล้วหลอมเบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงใหม่อีกครั้ง

เหล่าเก้าอี้โต๊ะตั่ง ชามตะเกียบช้อนกินข้าวที่บรรทุกอยู่บนหลังม้าในตอนนี้คือเงินทั้งหมด

ไม่ตรวจสอบอย่างละเอียดจะไม่พบเงื่อนงำโดยสิ้นเชิง

“เพียงแต่ยังขาดอีกนิด…”

เกาเหรินกล่าว

“ขาดอะไร”

จิ้งเหยาขมวดคิ้วเอ่ยถาม

“ย้ายบ้านเช่นนี้ไม่มีคนในครอบครัวเป็นสตรีได้อย่างไร หากเป็นกลุ่มชายฉกรรจ์เช่นนี้ก็จะทำให้คนสงสัย!”

เกาเหรินกล่าว

แม้จิ้งเหยาไม่ได้แสดงท่าที

แต่ในใจเห็นด้วยกับคำชี้แจงของเกาเหริน

จุดนี้ใช่ว่าเขาไม่ได้นึกถึง

แต่กลางเขากันดารเช่นนี้ไม่รู้จะหาสตรีคนหนึ่งมาจากไหน

“เจ้าเข้ามาได้แล้ว!”

เพียงเห็นเกาเหรินโบกมือตะโกนไปยังนอกลานบ้าน

พอผู้ใต้บังคับบัญชาของจิ้งเหยาได้ยินว่ามีคนนอกอีกก็ชักดาบเตรียมป้องกันทันที

จิ้งเหยาขึงตาใส่สองคนที่ออกไปตรวจตราก่อนหน้านี้อย่างโหดเหี้ยม

ข้างนอกมีคนแท้ๆ แต่สองคนนี้กลับไม่เจอ

หากเป็นศัตรูจริงจะไม่ตายคาที่โดยไม่รู้ตัวหรอกหรือ

ประตูลานขนาดเล็กของกระท่อมหญ้าคาถูกเปิดออก

คนที่เดินเข้ามามีแค่คนเดียว

เป็นสตรีคนหนึ่ง

จิ้งเหยารู้จักสตรีคนนี้

ไม่เพียงเขาที่รู้จัก ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็รู้จักกันหมด

นางคือหญิงหอนางโลมจิตใจกล้าหาญที่ตอนนั้นจิ้งเหยาเอาดาบจ่อคอก็ไม่ยอมจำนน

ผู้ใต้บังคับบัญชาของจิ้งเหยายังจำเหตุการณ์ที่พวกเขาสองคนดื่มสุรากันในภายหลังได้อย่างชัดเจน

นึกไม่ถึงเกาเหรินกลับพาสตรีผู้นี้มา

“ตอนนี้มีเครื่องเรือน มีคนรับใช้ มีสตรีในบ้านแล้ว ทีนี้ใครก็ดูต้นสายปลายเหตุไม่ออกแล้ว!”

เกาเหรินกล่าวอย่างเบิกบานใจ

“แล้วเจ้านับเป็นอะไรล่ะ”

จิ้งเหยาเอ่ยถาม

“เจ้าพาคนรับใช้มาเยอะขนาดนี้ ครอบครัวกิจการงานใหญ่ ข้าย่อมนับได้ว่าเป็นคนทำบัญชีหรือนักวางแผนคนหนึ่งในจวนเจ้า หากเจ้าไม่ยินดี ด้วยหน้าตาส่วนสูงของข้า ขอแค่ไม่เอ่ยปากต่อให้นับเป็นลูกชายเจ้าก็ย่อมได้ แค่มีลูกเป็นใบ้เท่านั้นเอง”

เกาเหรินยักไหล่กล่าว

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท