ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 358 เถ้าธุลีแห่งคำเตือน-2

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 358 เถ้าธุลีแห่งคำเตือน-2

ภรรยาสี่คนเสียชีวิตด้วยภาวะคลอดติดขัดทั้งหมด ทั้งยังหนึ่งศพสองชีวิตทั้งสิ้น…

อัตรานี้น้อยยิ่งกว่าอัตราการขึ้นเป็นห้าอ๋องด้วยซ้ำ

“ฉะนั้นเจ้าดูสิข้าแต่งงานมาหลายปี ทว่าหาได้ตั้งครรภ์”

เถ้าแก่เนี้ยชี้ท้องของตนแล้วกล่าว

“หรือเจ้ากลัวเรื่องที่เกิดขึ้นกับนายท่านจินจะซ้ำรอยกับเจ้าอีกครั้งหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ไม่ผิด เพราะข้ายังใช้ชีวิตไม่คุ้ม”

เถ้าแก่เนี้ยดื่มสุราพลางกล่าว

“สุราก็ยังดื่มไม่คุ้ม!”

หลิวรุ่ยอิ่งรินสุราให้นางหนึ่งจอกและกล่าว

แต่หากไม่ดื่มสุราแล้วจะยังสามารถทำสิ่งใดในเหมืองแร่ที่อ้างว้างนี้ได้อีกเล่า

ตอนหลิวรุ่ยอิ่งอยู่ที่เมืองหลวง มักจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ถนนสายยาวทอดจากฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตก ใช้เวลาหนึ่งหรือสองชั่วยามจึงจะผ่านไป

ไม่ใช่เพราะถนนสายนี้ยาวมาก

แต่เป็นเพราะถนนเมืองหลวงคึกคักเกินไป

สินค้าละลานตามากมาย ทั้งยังมีผู้คนหลั่งไหลเบียดเสียด

ต่างก็ทำให้เวลาไหลไปโดยไม่รู้ตัว

แต่หลังจากมาถึงทางพายัพในครั้งนี้ เขาก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ายิ่งนัก

สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะทางทิศพายัพท้องฟ้ากว้างขวาง

อีกสาเหตุหนึ่งคือทางพายัพอ้างว้างจนเกินไป

ตราบใดที่ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณยุ่งกับงานก็จะไม่รู้สึกถึงเวลาที่ล่วงเลยไป

เถ้าแก่เนี้ยค่อยๆ พูดน้อยลงเรื่อยๆ

หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่านางใกล้จะเมาอยู่รอมร่อ

ก่อนจะดื่มจนเมา ความถี่ในการยกจอกของเถ้าแก่เนี้ยเร็วขึ้นเรื่อยๆ

จนสุดท้าย หยิบกาสุราขึ้นมากระดกดื่มสุราที่เหลือรวดเดียวแล้วฟุบหลับไปบนโต๊ะ

หลิวรุ่ยอิ่งมองออกไปนอกประตู จากนั้นขึ้นไปชั้นบน

ในเมื่อหวาหนงไม่ลงมาก็หมายความว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี

เพียงแต่ก่อนที่เขาจะเปิดประตูห้องของตน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยแผ่วเบา

แม้ว่าเสียงโอดโอยจะไม่ดังมาก แต่ผู้ที่ร้องโอดโอยจะต้องเจ็บปวดมากแน่นอน

หลิวรุ่ยอิ่งเปิดประตูอย่างระมัดระวัง

อาศัยแสงจันทร์สว่าง มองเห็นคนผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียงตนเอง

กลับเป็นเสี่ยวจีหลิงที่ออกจากจวนนายท่านจินก่อนเขา

หลิวรุ่ยอิ่งรีบจุดตะเกียงไฟบนโต๊ะให้สว่างอย่างรวดเร็ว

เลือดเสี่ยวจีหลิงชุ่มโชกไปทั่วทั้งเครื่องนอน

พอเห็นหลิวรุ่ยอิ่งเข้ามา ก็กะพริบตาไม่กี่ครั้งแล้วเริ่มเอ่ยปากพูดคุย

“เจ้าเป็นอะไรไป”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

เสี่ยวจีหลิงไร้เรี่ยวแรงและมองไปทางไหล่ซ้ายของตน

หลิวรุ่ยอิ่งถือตะเกียงส่องดู

เห็นบาดแผลจากมีดบาดลึกถึงกระดูกไหล่ซ้ายของเสี่ยวจีหลิง

บาดแผลทำเอาทั้งไหล่ซ้ายของเขาแหลกละเอียด

เลือดเนื้อปะปนกับเศษกระดูกแตกสีขาว

บาดแผลภายนอกรุนแรงอย่างยิ่ง

ยามนี้เลือดหยุดไหลไปเองแล้ว

หลิวรุ่ยอิ่งฉีกผ้าปูเตียงแล้วพันแผลให้เขาง่ายๆ ไปก่อน

เสี่ยวจีหลิงขยับริมฝีปาก แม้จะเปล่งเสียงไม่ออก แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็ยังมองออกว่าเขากำลังจะพูดสิ่งใด

สุรา

เสี่ยวจีหลิงต้องการสุรา

เขาอยากดื่มสุรา

หลิวรุ่ยอิ่งปลุกหวาหนงที่อยู่ห้องข้างๆ ให้มาเฝ้าเสี่ยวจีหลิงในห้องตน

เขากระโดดลงจากบันไดแล้วไปที่ห้องโถงเพื่อตักสุราให้เสี่ยวจีหลิงหนึ่งกา

เมื่อยื่นกาสุราส่งให้เสี่ยวจีหลิง รอยยิ้มบางๆ พลันปรากฏบนใบหน้า

แต่เขาไม่ได้ดื่มมัน

เพียงสูดดมกลิ่นหอมสุราและหลับตาพริ้ม

เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา เขาก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วอยากจะนั่งตัวตรง

เขาก็ยังอยากดื่มสุราอยู่ดี

เพียงแต่นอนดื่มสุรามันยากเกินไปจริงๆ

แม้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาในยามนี้ ไม่ควรให้เขาปรับเปลี่ยนท่าทางสักนิดก็ตาม

แต่เขากลับกัดฟันแน่นและพยายามให้จงได้

ใช้ไหล่ครึ่งด้านที่แหลกละเอียดพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง

การออกแรงเช่นนี้ทำให้แผลเปิดอีกครั้ง

เลือดสดๆ พุ่งกระฉูดออกมา

เดิมทีหลิวรุ่ยอิ่งหมายจะก้าวเข้าไปช่วยพยุง แต่สัมผัสได้ถึงการปฏิเสธอย่างหนักแน่น

หลังจากเสี่ยวจีหลิงนั่งตัวตรงหลังเอนพิงผนังจึงเอื้อมมือไปขอกาสุรากับหลิวรุ่ยอิ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งยื่นกาสุราส่งให้เขา เสี่ยงจีหลิงรีบกระดกดื่มหลายอึกทันที

เลือดสดๆ บนหัวไหล่ยังคงไหลริน ทว่าเพิ่งจะดื่มสุราลงท้องไป

ครั้นดื่มสุราฤทธิ์แรงหลายอึกลงคอ สีหน้าของเสี่ยวจีหลิงก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

เขารู้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งมีเรื่องมากมายจะซักถามเขา

แต่ยามนี้ไร้เรี่ยวแรงตอบคำถามได้

หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่รีบร้อน นั่งที่โต๊ะกับหวาหนงมองเสี่ยวจีหลิงที่ดื่มไปพลางฟื้นตัวไปพลาง

“เอาอีกหรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามหลังจากเห็นเสี่ยวจีหลิงดื่มอึกสุดท้าย

“ไม่เอาแล้ว…”

เสี่ยวจีหลิงกล่าวพลางส่ายศีรษะ

แม้ว่าร่างกายยังอ่อนแอมาก แต่จิตใจฟื้นกลับคืนมาไม่น้อยแล้ว

อย่างน้อยก็เอ่ยปากพูดได้แล้ว

“เจ้าไปที่ใดมา”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

ในความทรงจำของเขา เสี่ยวจีหลิงออกไปก่อนเขาเพียงสามหรือสี่ชั่วยามเท่านั้น

“ห้าสิบลี้ทางตะวันออกของจวนนายท่านจิน”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

มืออีกข้างหนึ่งเอื้อมไปคลำบั้นเอวของตน จากนั้นโยนมีดเล่มหนึ่งลงบนพื้น

รอยเลือดบนมีดยังไม่แข็งตัวสนิท

แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกคุ้นตากับมีดเล่มนี้เหลือเกิน…

ยังคงเป็นมีดที่ไม่สมส่วนและไม่ได้ลับคมที่ชายประหลาดผู้นั้นทำหาย

หลิวรุ่ยอิ่งจ้องมีด ทว่าในใจรู้สึกตื่นตระหนก…

เขารู้ทักษะท่าร่างของเสี่ยวจีหลิงแล้ว

ทว่าแม้ท่าร่างจะรวดเร็วกลับหลบเลี่ยงมีดนี้ไม่พ้น

เดาได้ว่ามีดนั้นรวดเร็วเพียงใด

“อันที่จริงข้าหลบแล้ว”

เหมือนเสี่ยวจีหลิงจะอ่านความคิดของหลิวรุ่ยอิ่งออกจึงเอ่ยปากพูด

หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินพลันกระจ่างทันที

ก่อนหน้านี้คนที่ตายภายใต้มีดเล่มนี้ล้วนถูกมีดปักกลางหว่างคิ้วทะลุสมองทั้งสิ้น

แต่เสี่ยวจีหลิงเพียงถูกโจมตีจนไหล่ข้างหนึ่งแหลกละเอียด นับว่าเอาชีวิตรอดมาได้

“เหตุใดจึงต้องฆ่าเจ้าเล่า”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ผู้ที่หมายเอาชีวิตข้ามีมากมาย…เพราะข้าชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเกินไป คนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น ในบางที่ก็เป็นที่นิยมชมชอบ แต่ในบางที่ก็มีคนเกลียดชังมาก”

เสี่ยวจีหลิงหัวเราะพลางกล่าว

“แต่เจ้าไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“จริงอยู่ที่ไม่เคย…นี่เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่วิชาท่าร่างของข้าสมบูรณ์ แม้จะมีผู้คนนับไม่ถ้วนสามารถสังหารข้าได้ แต่ในพวกเขาไม่มีผู้ใดสามารถหยุดรั้งข้าได้ ไม่มีผู้ใดตามหาข้าพบและไล่ตามข้าได้”

น้ำเสียงแฝงไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

“แต่ครั้งนี้หาเจ้าพบ ทั้งยังตามไล่ล่าอีก”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ไม่ใช่หรอก ครั้งนี้เป็นเพราะข้าไม่ได้หนี”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

“เจ้าเป็นคนขี้ขลาดที่สุดในใต้หล้า เหตุใดจึงไม่หนีเล่า”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“เมื่อเป็นคนขี้ขลาดมานาน จำต้องกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

แม้หลิวรุ่ยอิ่งไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเขา แต่ไม่ว่าผู้ใดล้วนมีความคิดเช่นนี้

ดื่มสุรามากแล้ว ก็อยากนอนหลับ

นอนหลับเพียงพอแล้ว ก็อยากดื่มสุราอีก

แต่ไม่มีผู้ที่เอาแต่ดื่มสุราหรือนอนหลับตลอดเวลาอย่างแน่นอน

มนุษย์ล้วนต้องการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

แม้ว่านิสัยมากมายจะทำมาตลอดสิบปีหรือยี่สิบปี หากต้องการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืน

“ฉะนั้นเจ้าจึงอยากจะลองมีดนี่ด้วยตนเอง”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ตอนแรกคิดเช่นนี้จริง…แต่ตอนนี้ข้านึกเสียใจแล้ว”

เสี่ยวจีหลิงกล่าวพลางส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา

“เสียใจเรื่องใดหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“นึกเสียใจที่จ่ายราคาสูงเพียงนี้เพื่อจะเข้มแข็งสักครั้งน่ะ…กระทั่งจะลุกขึ้นนั่งดื่มสุราสักจอกยังยากถึงเพียงนี้…คนเราอยากจะมีชีวิตที่พึ่งพาตนเองไปตลอดชีวิต ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่งจริงๆ…”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

เขาพูดพลางหยุดเป็นระยะๆ

ทุกครั้งที่พูดก็จะหยุดหอบหายใจครู่หนึ่ง

ทันใดนั้นหลิวรุ่ยอิ่งกลับหัวเราะขึ้นมา

เขาคิดว่าเสี่ยวจีหลิงได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือบเอาชีวิตไปทิ้งจึงตระหนักได้ถึงหลักการที่ตื้นเขินนี้ น่าขันยิ่งนัก

แต่เสี่ยวจีหลิงกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนี้

ต่อให้จะเข้าใจหลักการมากเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบได้กับการประสบมันด้วยตนเองสักครั้ง

แต่ยามนี้เขาตัดสินใจแล้ว เขาจะไม่เป็นเพียงคนขี้ขลาดที่สุดในใต้หล้าเท่านั้น แต่จะเป็นคนที่มีท่าร่างเป็นหนึ่งในใต้หล้าด้วย

จะไม่มีทางถูกคนตามหาพบและไล่ตามได้อีก

ทุกคนล้วนมีสองไหล่แบกหนึ่งศีรษะ

ทว่าเสี่ยวจีหลิงในตอนนี้ไหล่แหลกไปแล้วข้างหนึ่ง

ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดในการฟื้นกลับคืน

การที่เขามาอยู่ข้างกายหลิวรุ่ยอิ่งในช่วงเวลานี้ เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว

“มองเห็นผู้ที่ออกมีดชัดหรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ชั่ววินาทีที่ถูกมีดแทง ข้าใช้ท่าร่างหลบหนี หากข้าใช้ท่าร่างเต็มกำลังเมื่อใดแม้แต่สายตาของข้าเองก็ไม่อาจตามได้ทัน เพียงคิดว่ายิ่งไกลยิ่งดี”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

“มีดนี่ร้ายกาจขนาดนี้จริงหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งหยิบมีดที่เสี่ยวจีหลิงโยนลงพื้นขึ้นมาแล้วกล่าว

“หากเจ้าโดนสักมีดก็จะกระจ่างเอง”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

“รู้สึกเช่นไร”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“เถ้าธุลี…เศษที่ไม่มีวันหมดสิ้นกลายเป็นเถ้าธุลี แต่ไม่มีสายลมพัด เพียงแค่กองอยู่ตรงนั้น ค่อยๆ สะสมจนเป็นเนินเขาเล็กๆ ข้ายืนอยู่บนเนินเขาเถ้าธุลีลูกนี้ ทำได้เพียงดิ้นรนยืดคอเชิดคางเท่านั้น”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

“นี่ก็พอแล้ว…อย่างน้อยศีรษะของเจ้าก็ยังโผล่พ้นขี้เถ้าหายใจได้สะดวก”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ฉะนั้นข้านึกภาพออกว่าคนที่ถูกมีดปักหว่างคิ้วทะลุสมองเหล่านั้นรู้สึกเช่นไร…การสำลักเถ้าธุลีจะต้องทรมานยิ่งกว่าจมน้ำตายมาก”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

เถ้าธุลีแม้จะเล็ก แต่ก็ยังคงเป็นอนุภาค

หลังจากสูดเข้าปากเข้ารูจมูก เถ้าธุลีทุกอนุภาคจะห่อหุ้มคนไว้แน่นกลืนกินจากภายในสู่ภายนอก

คล้ายกับหนอนไหมในช่วงวสันต์ฤดูที่ปั่นไยในร่างกายเพื่อสร้างรังไหม

แต่ไม่ใช่กับน้ำ

น้ำเป็นการหลั่งไหล

แม้ว่ามันแทรกซึมได้ทั่วทุกที่ แต่ก็ไหลจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งได้เห็นวิชาดาบที่ยอดเยี่ยมมากมายมาตลอดทาง

หนึ่งในนั้นคือท่วงทำนองแห่งเหมันต์ของจิ้งเหยาที่โดดเด่นที่สุด

แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีมีดที่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงเถ้าธุลีเช่นนี้

เถ้าธุลีเป็นตัวแทนแห่งการมอดดับ

แม้กล่าวกันว่าหลังความตายผู้คนจะกลายเป็นกองดินเหลือง

แต่การมีอยู่ของเถ้าธุลีรุนแรงยิ่งกว่าดินเหลืองจริงๆ

ดินเหลืองไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ แต่เถ้าธุลียังคงมีจิตวิญญาณ

อย่างน้อยเสี่ยวจีหลิงก็รู้ว่าในยามนี้ไหล่ซ้ายของตนกลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว

แม้ว่ายังคงดูเหมือนมีเลือดเนื้อก็ตาม แต่ความรู้สึกของเขาก็เป็นเช่นนี้

มอดดับได้ในมีดเดียว กลายเป็นเถ้าธุลีจนสิ้น

ทั้งยังใช้มีดไม่ได้สัดส่วนเช่นนี้อีกต่างหาก

ผู้ที่ใช้มีดนี้ผู้นั้นเป็นคนเช่นไรกัน

ไฉนจึงวนเวียนอยู่รอบๆ เหมืองแร่แห่งนี้ราวกับวิญญาณหลอกหลอน

“เถ้าธุลีก็เป็นคำเตือนอย่างหนึ่งเช่นกัน”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

“ตอนนี้พอหวนนึกขึ้นมา ข้าเหมือนจะสรุปได้ว่าตอนที่คนผู้นี้โจมตีข้าหาได้หมายเอาชีวิต แต่แค่จะตักเตือนข้าเท่านั้น”

เสี่ยวจีหลิงครุ่นคิดอยู่นานแล้วพูดออกมาทันที

“เตือนให้เจ้าจากไปหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถาม

“เตือนให้ข้าอย่ายุ่งเรื่องผู้อื่นให้มากนัก”

เสี่ยวจีหลิงหัวเราะ หลิวรุ่ยอิ่งก็หัวเราะ

แม้เสี่ยวจีหลิงจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นมาได้ในทันใด

แต่ไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านนี้ได้แน่นอน

เพราะมันเป็นจุดมุ่งหมายของเขา

หากจุดมุ่งหมายของคนผู้หนึ่งสามารถล้มเลิกหรือเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ เช่นนั้นเขาก็คงไม่ต่างจากเถ้าธุลี

แต่คำเตือนเช่นนี้ หลิวรุ่ยอิ่งก็ได้รับเช่นกัน

ผู้ใต้บังคับบัญชาที่นอนตายอยู่ในโลงก็เป็นคำเตือนที่คนผู้นี้มอบให้หลิวรุ่ยอิ่งเช่นกัน

แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็มีจุดมุ่งหมายที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือยอมแพ้เด็ดขาด

นี่เป็นภาระหน้าที่ในฐานะที่เขาเป็นนายกองและผู้แทนการตรวจสอบพิเศษภาคตะวันตกเฉียงเหนือแห่งกรมสอบสวน

ผลลัพธ์จากการเพิกเฉยคำเตือนนี้จะเป็นเช่นไร

หลิวรุ่ยอิ่งและเสี่ยวจีหลิงต่างก็ไม่อาจล่วงรู้

ทว่าพวกเขาล้วนอยากจะเห็นมัน

แม้ทั้งสองจะไม่เอ่ยวาจา แต่เหตุการณ์นี้ได้สลักลงไปในหัวใจแล้ว

รวมถึงนายท่านจินด้วย

พวกเขาสามคนต่างก็เป็นเช่นนี้

ผู้ที่ได้รับคำเตือนทั้งสามคน

ผู้ที่ตัดสินใจไม่ยอมแพ้และไม่เปลี่ยนจุดมุ่งหมายทั้งสามคน

มีแต่จะสร้างประกายไฟอันงดงามยิ่งขึ้นเท่านั้น และตระการตายิ่งกว่าแสงจันทร์และแสงสีเลือดเสียอีก

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท