ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 353 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-7

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 353 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-7

ตามเสียงจังหวะฝนตก

ชายชุดฟางสามคนเดินเข้าประตูมา

ในยุคสมัยนี้ ผู้ที่สวมชุดฟางพบเห็นได้น้อยยิ่งนัก…

นอกจากคนเรือและชาวประมงสูงอายุเหล่านั้น ในยามทั่วไปก็ไม่ค่อยพบเห็นคนสวมใส่ชุดฟางตามท้องถนน

โดยเฉพาะอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

หลายคนถึงขั้นยอมเสียเวลาหลบฝนใต้ชายคาแต่ไม่ยอมกางร่มเสียด้วยซ้ำ

อย่างไรเสียฝนทางเหนือตกน้อยกว่ามาก

“นายท่านมากี่ท่านหรือ”

เสี่ยวเอ้อร์เดินไปต้อนรับพลางกล่าวถาม

ทั้งสามคนเดินเปียกโชกเข้ามาและไม่เอ่ยวาจาใด

เสี่ยวเอ้อร์เห็นพวกเขาสวมรองเท้าแตะฟาง ทันใดนั้นพลันเผยสีหน้าดูแคลนเล็กน้อย

รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายจนกลายเป็นสีหน้าราบเรียบ

‘เคร้ง’

เสียงวัตถุหนักร่วงสู่พื้นดังขึ้น

ทว่ากลับทำให้คืนฝนตกที่น่าเบื่อหน่ายมีความหลากหลายขึ้นมาหลายส่วน

ทั้งสามคนถอดชุดฟางบนกายออกและโยนไว้หน้าประตู

จิ้งเหยามองชุดฟางสามตัวนั้นไม่ละสายตา

เถ้าแก่ร้านก็เช่นกัน

ชุดฟางธรรมดาไฉนจึงเกิดเสียงดังได้ถึงเพียงนี้

ดูท่าชุดฟางสามตัวนี้เกรงว่าจะมีน้ำหนักหลายสิบจินทีเดียว

“เบื้องหลังสามคนนี้ไม่ธรรมดา…”

เกาเหรินเอ่ยกับจิ้งเหยาผ่านปราณกระซิบ

“เจ้ารู้จักหรือ”

จิ้งเหยาย้อนถาม

“ไม่รู้จัก”

เกาเหรินกล่าว

แต่เขาไม่ได้ส่ายศีรษะ

เพราะผู้อื่นไม่ได้ยินคำพูดนี้

หากเขาส่ายศีรษะโดยไม่มีสาเหตุก็จะดูชัดเจนอย่างยิ่ง

“ไม่รู้จักแล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเบื้องหลังของพวกเขาไม่ธรรมดา”

จิ้งเหยาเอ่ยถาม

“ชุดฟางที่พวกเขาสวมใส่ทำจากเหล็กทั้งสิ้น…อย่าว่าแต่คนทั่วไปจะสวมใส่เลี่ยงเม็ดฝน แม้แต่จะหยิบยังหยิบไม่ขึ้นด้วยซ้ำ”

เกาเหรินกล่าว

จิ้งเหยาเพ่งตามองแล้วพบว่าสิ่งนี้ต่างออกไปอยู่บ้างจริงๆ

แม้ทุ่งหญ้าจะไม่มีชุดฟาง

แต่เขาลงแรงสายตัวแทบขาดเพื่อแฝงตัวเข้าไปปล้นเบี้ยหวัดในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องครั้งนี้

ทั้งสำรวจภูเขา แม่น้ำ สภาพผืนดิน ประเพณีและขนบธรรมเนียมของอาณาจักรห้าอ๋องมาแล้วทั้งสิ้น

เขาจึงรู้เกี่ยวกับชุดฟางนี้ด้วย

หากโยนชุดฟางเปียกฝนทั่วไปลงพื้น

ทว่าเสียงที่ตกลงสู่พื้นเมื่อครู่เป็นเครื่องยืนยันสิ่งนี้เช่นกัน

“ชุดฟางเหล็ก…พวกเขาไม่กลัวสนิมขึ้นหรือ”

จิ้งเหยาเอ่ยถาม

“เหล็กย่อมเกิดสนิม ด้านนอกจึงต้องชโลมน้ำมันตุง[1] นี่ก็เป็นการป้องกันสนิมแล้วไม่ใช่หรือ”

เกาเหรินกล่าว

จิ้งเหยามองเห็นหยดน้ำกลิ้งไปมาบนชุดฟางเหล็ก

พื้นผิวเครื่องเหล็กย่อมไม่เรียบลื่นเพียงนี้

สิ่งที่เกาเหรินกล่าวมานั้นไม่มีผิดเพี้ยน

“พวกเขาใช่คนแกร่งพวกนั้นของเมืองเซี่ยถงหรือไม่”

จิ้งเหยาเอ่ยถาม

แม้เขาจะเข้าใจเรื่องทั่วไปไม่น้อย

แต่สิ่งที่อยู่ในหนังสืออย่างไรเสียก็เป็นการบรรยายบอกเล่าห้วนๆ

อยากจะนำสิ่งที่เรียนมาประยุกต์ใช้จำต้องเห็นกับตาและสัมผัสด้วยตนเองจึงจะดี

“เจ้าประเมินค่าคนแกร่งของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องสูงไปจริงๆ…หากพวกเขามีความสามารถเช่นนี้ ผู้ที่สามารถสวมใส่ชุดฟางเหล็กเช่นนี้ได้ ไปที่ใดย่อมมีอาหารให้กิน จำเป็นต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้หรือ”

เกาเหรินพูดเย้ยหยัน

จิ้งเหยากลับไม่ยี่หระ

นี่เป็นเพียงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

พวกเขามาได้ ผู้อื่นย่อมมาได้

เพียงแต่คำบอกเล่าจากปากเถ้าแก่ร้านว่าเมืองเซี่ยถงตกต่ำลงแล้ว

เหตุใดคืนนี้จึงมีคนมามากมายไม่ขาดสายเพียงนี้เล่า

ตัดกลุ่มนักโทษของจิ้งเหยาที่ปล้นเบี้ยหวัดทัพชายแดนออก

ยังมีผู้ที่บรรจุศีรษะคนในตะกร้าอีกหนึ่ง

แม่นางน้อยที่ดื่มไม่กี่ชามก็เมามายและสร่างเมาหลังจากนั้นไม่นาน

ตอนนี้มีผู้มาเยือนจากต่างแดนสวมชุดฟางเหล็กเพิ่มขึ้นอีกสามคน

ทั้งสามคนหาที่นั่งว่างแล้วนั่งลง

ทว่าจงใจนั่งห่างจากพวกของจิ้งเหยาไกลพอสมควร

แม่นางน้อยผู้นั้นเมาอีกแล้ว

กำลังงีบหลับอยู่บนโต๊ะ

เพียงแต่ว่าช่วงที่นางเมาในครั้งนี้เป็นช่วงเดียวกับที่ชายสวมชุดฟางสามคนเดินเข้าประตูมา

เสียงศีรษะของนางกระแทกโต๊ะประจวบเหมาะกับเสียงชุดฟางเหล็กร่วงกระทบพื้นกลบจนมิด

หนึ่งในชายชุดฟางสามคนเงยหน้ามองจิ้งเหยา

แต่สายตากลับหยุดอยู่บนกายแม่นางน้อยที่เมาสุราผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา

อีกสองคนที่เหลือเหม่อมองตะกร้าของแม่นางน้อย

ครั้นฝนตก กลิ่นดินโคลนกับกลิ่นแม่น้ำข้างนอกลอยอบอวลขึ้นมา

ตรงกันข้ามกลับกลบกลิ่นเหม็นคาวของศีรษะคนตายในตะกร้าอย่างสิ้นเชิง

คราบเลือดบนโต๊ะแต่เดิมถูกเสี่ยวเอ้อร์เช็ดออกจนสะอาดเกลี้ยงนานแล้ว

ตอนนี้มองจากภายนอกจึงดูเหมือนเป็นตะกร้าธรรมดาเท่านั้น

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีเหตุผลจำเป็นให้ชายชุดฟางสองคนนี้มาสนใจเช่นนี้

จิ้งเหยาเหลือบมองเกาเหริน

สายตาเต็มไปด้วยความจนปัญญา

เดิมทีคิดว่าเป็นแผนการราบรื่นไร้ช่องโหว่ ทว่ามักเกิดสิ่งที่เหนือความคาดหมายเสมอ

สามคนนี้เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้ามาที่แม่นางน้อยผู้นี้

แต่แม่นางน้อยผู้นี้กลับนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกับตนและพรรคพวกในตอนนี้

ชายชุดฟางทั้งสามคงเหมารวมว่าตนและพรรคพวกเป็นพวกเดียวกับแม่นางน้อย

อีกเดี๋ยวไม่รู้ว่าจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปบ้าง

จิ้งเหยาเอียงศีรษะมองแม่นางน้อยที่กำลังหลับสนิท

เขารู้สึกว่าผู้คนในอาณาจักรอ๋องระวังตัวมากเกินไปจริงๆ…

แม่นางน้อยผู้นี้จะต้องรู้ว่ามีคนติดตามมาข้างหลังตนเป็นแน่

ตอนที่นางอุ้มไหสุราเข้ามานั่งด้วย เกรงว่าในใจคงจะวางแผนเช่นนี้มาสักพักแล้ว

“มีสิ่งใดให้กินบ้าง”

ชายชุดฟางที่อยู่ตรงกลางเอ่ยปากถาม

เสียงแหบแห้ง

เป็นเพราะการเดินทางที่ยาวนาน

หากมนุษย์ใช้แรงเกินขีดจำกัดร่างกายตน เส้นโลหิตฝอยตรงลำคอย่อมแตกออก

จากนั้นดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน

ทว่าในยามนี้ดวงตาของสามคนยังกระจ่างใส

แต่เสียงแหบแห้งเผยให้เห็นว่าพวกเขาเหนื่อยล้าอ่อนแรงอยู่บ้าง…

“มีเพียงขนมเปี๊ยะ!”

เถ้าแก่ร้านกล่าว

ชายชุดฟางตรงกลางได้ยินจึงขมวดคิ้วมุ่น

เขามองเนื้อปลาและผักใบเขียวบนโต๊ะจิ้งเหยาและคนอื่นๆ สลับกับมองเถ้าแก่ร้าน

ราวกับกำลังรอคำอธิบายที่สมเหตุสมผล

เถ้าแก่ร้านกล่าว

เขาก็จนปัญญายิ่งนัก

มองทั้งสามคนปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ได้มาดี

แต่เปิดร้านย่อมต้องต้อนรับแขกจากทั่วทุกสารทิศ

แม้แต่ขอทานตราบใดที่มีเงินจ่ายค่าสุราได้ ก็ต้องปล่อยให้เข้ามานั่งในร้านแล้วกล่าวรับแขกเรียกนายท่านด้วยความเคารพ

ครั้นชายชุดฟางที่อยู่ตรงกลางได้ยินจึงส่งสายตาให้คนข้างๆ

ชายผู้นั้นลุกขึ้นแล้วเดินไปที่โรงด้านหลัง

เสี่ยวเอ้อร์หมายจะเดินเข้าไปขวางไว้

ทว่าถูกเถ้าแก่โบกมือรั้งไว้เสียก่อน

ความสามัคคีนำมาซึ่งความมั่งคั่ง

โรงด้านหลังไม่ใช่สถานที่อันตรายอะไร

คนอื่นอยากเห็นก็ให้เขาเข้าไปดู

ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่เถ้าแก่ร้านพูดนั้นเป็นความจริง

อาหารที่ทำให้จิ้งเหยาและคนอื่นๆ เป็นของเหลือค้างส่วนสุดท้ายที่ใช้หมดในวันนี้แล้วจริงๆ

ที่มากหน่อยก็มีเพียงก้อนแป้งใต้กะละมังเหล็กใบใหญ่เท่านั้น

ชายชุดฟางผู้นี้เดินเข้าไปในโรงด้านหลังและเห็นแม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองกำลังนวดแป้งอยู่

เขาลงมืออย่างรวดเร็ว

อยากจะเปิดกะละมังเหล็กนั่นออกมาดู

อย่างไรเสียเขาก็ไม่รู้ว่าใต้กะละมังเหล็กมีเพียงแป้งก้อนเดียว

ทั้งยังคิดว่าเถ้าแก่ร้านจงใจซ่อนบางอย่างไว้

แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองไม่สนใจการกระทำของชายชุดฟาง

กะละมังใบใหญ่อยู่ข้างหลังเขาประมาณครึ่งจั้งเห็นจะได้

เห็นเพียงร่างนางผ่านไปแวบๆ

ทั้งร่างถอยหลังออกไปหลายก้าว

ชายชุดฟางเห็นเบื้องหน้าตนมีเพียงสีเหลืองเท่านั้น

ครั้นได้สติกลับมา กะละมังเหล็กใบใหญ่ถูกย้ายไปไว้ที่อื่นแล้ว

มันวางอยู่ด้านขวาของเขียงที่แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองกำลังนวดแป้งอยู่

ชายชุดฟางงุนงงเล็กน้อย

เอื้อมมือหมายจะสำรวจดูอีกครั้ง

ครั้งนี้เขาลงมือเชื่องช้ายิ่งนัก

ขณะเดียวกันก็จ้องร่างของแม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองไม่ละสายตา

“อยากกินต้องรอครึ่งชั่วยาม!”

ขณะที่มือของเขากำลังจะสัมผัสกะละมังเหล็กใบใหญ่นั้น แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองพลันเอ่ยปาก

ชายชุดฟางตกใจกับคำพูดประโยคนี้

ขยับมือไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย

กระทั่งแตะขอบกะละมังเหล็กใบใหญ่

ขณะที่แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองผละขนมเปี๊ยะออกจากมือจนตกลงบนเขียง

ขนมเปี๊ยะก็ขึ้นรูปเสร็จแล้ว

ขาดเพียงส่วนผสมบางอย่างเท่านั้น

รูปร่างของขนมเปี๊ยะชิ้นนี้มีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง

ตรงกลางเว้าลงไปเป็นชั้นบางๆ เท่านั้น

ทว่าขอบรอบๆ กลับดูหนามากอย่างเห็นได้ชัด

ชายชุดฟางไม่เคยเห็นขนมเปี๊ยะไม่เหมือนใครเช่นนี้มาก่อน

ทว่าตอนที่เขากำลังจะผละมือออกจากขอบกะละมังเหล็กใบใหญ่

แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองหยิบชามงาขาวขึ้นมาบนเขียง

ดูเหมือนว่าจะโรยลงบนขนมเปี๊ยะชิ้นนี้

ทว่านางกลับใช้เล็บจิกมันขึ้นมาเบาๆ หนึ่งเม็ด

จากนั้นดีดนิ้วออกไป

…………………………………………………………

[1] น้ำมันตุง เป็นน้ำมันพืชที่สกัดจากผลตุง น้ำมันที่ได้มีคุณสมบัติแห้งเร็วทนต่ออุณหภูมิสูงและการกัดกร่อน

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท