ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 367 ค่ำคืนฟ้าปลอดโปร่ง-2

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 367 ค่ำคืนฟ้าปลอดโปร่ง-2

“พวกเราเคยดื่มชา เคยเล่นโคลน เคยจับคางคกแต่ไม่เคยดื่มสุราด้วยกันเลย”

ชิงเสวี่ยชิงกล่าว

“ฮ่าๆ จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องจริง”

เหวินฉีเหวินกล่าวพลางหัวเราะลั่น

เสียงหัวเราะช่างเบิกบานทำเอาปลาในบ่อตกใจกันเป็นแถบๆ

“แต่ว่า…หากข้าพาเจ้าไปดื่มสุรา กลัวว่าท่านป้าจงจะไม่ยอมปล่อยข้าไปง่ายๆ น่ะสิ”

จู่ๆ เหวินฉีเหวินก็ยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายศีรษะ

“ไม่ให้แม่ข้ารู้ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”

ชิงเสวี่ยชิงกล่าวเสียงเบา

“เจ้าหมายความว่าแอบออกไปหรือ”

เหวินฉีเหวินกล่าว สายตามองไปทางผนังตรงสุดทางของสวน

ครั้นนึกถึงตอนนั้น ชิงเสวี่ยชิงมักจะก้มศีรษะยามเดินออกจากประตูหออาภรณ์ปักลายเสมอ

เพราะนางเสี่ยวจงไม่ให้เด็กสาวกระโดดเต้นแร้งเต้นกาในท่าทางที่ไม่เหมาะสม

ด้านนอกหออาภรณ์ปักลายในยามนั้นยังปูพรมแดงยาวด้วยซ้ำไป

ชิงเสวี่ยชิงประดับปิ่นทองบนผมดำขลับ มีลูกปัดห้อยอยู่บนปิ่นหลายลูก

ล้วนแล้วแต่มาจากทะเลบูรพา มีราคายิ่งนัก

แต่ทันทีที่เดินออกจากหออาภรณ์ปักลาย ฝีก้าวของนางก็จะเบาลงในทันใด

เพียงแต่ส้นรองเท้ายังไม่มีกระดิ่งเท่านั้น

ดูเหมือนชิงเสวี่ยชิงจะไร้เดียงสา แต่ความจริงแล้วกลับเข้าใจชะตากรรมของตนอย่างถ่องแท้

เกิดที่จวนชิงดูเหมือนจะเป็นเกียรติยศ

แต่มันก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่านางไม่อาจมีความสุขที่แท้จริงได้และย่อมไม่อาจมีความโศกเศร้าที่แท้จริงเช่นกัน

แม้แต่ชะตาชีวิตของนางยังต้องเกี่ยวข้องกับเกียรติและความเสื่อมเสียของวงศ์ตระกูล

นางเข้าใจเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่นางยังเล็กแล้ว เพียงแต่นางซ่อนมันไว้อย่างดี

แม้แต่นางเสี่ยวจงมารดาของนางยังไม่อาจมองออกได้ว่าบุตรสาวของตนมีความคิดที่หนักอึ้งเช่นนี้

แต่มารดาของนางก็ยังคงบอกบางอย่างกับนางอยู่ดี

“หากสตรีผู้หนึ่งต้องการครอบครองทุกอย่างในมือตน เช่นนั้นไม่ว่าจะความสุขหรือความโมโหโกรธาก็ต้องรอจนถึงยามเที่ยงคืน”

เพราะกลางดึกไร้ผู้คน ทุกอย่างเงียบงัน จึงสามารถระบายความในใจได้จนหมด

เพราะคำพูดนี้ ชิงเสวี่ยชิงจึงเข้าใจความยากลำบากของมารดานางอย่างถ่องแท้

ทั้งยังทำให้นางรู้ว่าเสียงสะอื้นที่ได้ยินทุกค่ำคืนนั้นมาจากผู้ใด

ชิงเสวี่ยชิงมองสาวใช้ด้านนอก แต่ละคนต่างเบิกบานมีความสุข

แม้ว่าต่างก็พับแขนเสื้อขึ้นและกำลังกวาดลานก็ตามที

แต่ความสุขล้นที่ออกมาจากใจนั้นไม่อาจฝืนกลั้นมันไว้ได้

ยามพ่อบ้านตรวจตรา พวกนางก็จะเคร่งขรึมขึ้นมา

แต่ทันทีที่หันกลับไปก็จะแอบเด็ดดอกไม้ในแปลงมาทัดหู

มีเพียงยามที่เห็นร่างของเหวินฉีเหวิน ชิงเสวี่ยชิงจึงจะเปิดหน้าต่างห้องนางและทำหน้าตาทะเล้นใส่เหวินฉีเหวินอยู่บนชั้นสูงของหออาภรณ์ปักลาย

หลังจากพวกเขาแอบย่องอ้อมไปทางด้านหลังหออาภรณ์ปักลายแล้ว

ซึ่งในยามนั้นยังไม่มีสวนทิวทัศน์เหล่านี้

ทั้งสองเดินไปยังฐานกำแพงที่เหวินฉีเหวินมองไปเมื่อครู่และเตรียมพร้อมกระโดดออกไปเที่ยวเล่น

เหวินฉีเหวินใช้ไหล่อุ้มชิงเสวี่ยชิงปีนข้ามกำแพงไปก่อน จากนั้นเขาก็เคลื่อนไหวเบาๆ กระโดดข้ามไป

ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาทั้งสองทำเช่นนี้ก็เป็นช่วงเวลานี้ของปีเช่นกัน

ปลายวสันต์ที่หญ้าเติบใหญ่นกกระจิบโผบิน

ค่ำคืนอันแสนอบอุ่นในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

รัฐหงก็เช่นเดียวกัน

หญ้าด้านนอกที่เพิ่งงอกนุ่มละมุนยิ่งกว่าเส้นผมของชิงเสวี่ยชิง

ทั้งสองเดินเท้าเปล่าและถือรองเท้าเล่นสนุกสนานอยู่บนพื้นหญ้า

ฝนตกมาได้พักหนึ่งแล้ว ทั้งสองหาได้สนใจไม่

ผมเผ้าเปียกโชก พื้นหญ้าก็เปียกชุ่ม

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเปียกชุ่มน้ำฝนหรือไม่ พื้นหญ้าหลังจากฝนตกมักจะทิ่มฝ่าเท้าของทั้งสองจนชาเล็กน้อย

เดินตามพื้นหญ้าไปก็จะถึงทะเลเปลี่ยวป่าสีชาด

ยามนั้นยังเป็นเพียงป่าไม้ทั่วไปเท่านั้น ไม่มีร่องรอยการก่อสร้างหรือการปรับปรุงซ่อมแซมใดๆ ของคนจากจวนชิง

ในความทรงจำของเหวินฉีเหวิน ป่าในยามนั้นยังมีต้นท้อและต้นซิ่งอยู่หลายต้น

ทว่างดงามยิ่งกว่าต้นเฟิงในตอนนี้มาก

อย่างน้อยในใจเหวินฉีเหวินก็รู้สึกเช่นนี้

เมื่อชิงเสวี่ยชิงเดินมาถึงใต้ต้นท้อ มักจะชี้ไปที่ดอกท้อสูงด้านบนและมองเหวินฉีเหวินโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจา

เหวินฉีเหวินหัวเราะและปีนขึ้นไปบนต้นไม้

เพียงแต่ปีนไปถึงกิ่งก้านแล้วแต่ก็ยังเกี่ยวไม่ถึงดอกท้อดอกนั้นเสียที

ทำได้เพียงใช้เท้าเกี่ยวบนกิ่งไม้และใช้แรงเขย่ามันเท่านั้น

ช่วงวัยเด็ก เหวินฉีเหวินร่าเริงยิ่งกว่าชิงเสวี่ยชิงเสียอีก

ทว่าเด็กชายจะร่าเริงยิ่งกว่าเด็กสาวก็เป็นเรื่องปกติ

เมื่อเหวินฉีเหวินลงมาจากต้นไม้พร้อมกับถือดอกท้อ ชิงเสวี่ยชิงก็เห็นสีหน้าเขาสดใสและแววตาเปล่งประกายเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและความซุกซนตามประสาเด็กน้อย

ชิงเสวี่ยชิงรับดอกท้อมาและยิ้มหวาน

ทว่าเหวินฉีเหวินเอาแต่ถามนางไม่หยุดว่าเมื่อครู่ที่ตนปีนต้นไม้ขึ้นไปมีเสน่ห์หรือไม่

“น่าเสียดาย…”

ชิงเสวี่ยชิงมองดูแผ่นหลังของเหวินฉีเหวินแล้วพูดพลางถอนหายใจ

“น่าเสียดายอันใด”

เหวินฉีเหวินเอ่ยถาม

“น่าเสียดายที่ท่านไม่มีหาง…ไม่เช่นนั้นจะเหมือนเจ้าลิงจ๋อตัวหนึ่งจริงๆ!”

ชิงเสวี่ยชิงว่าจบก็ยิ้มหวานแล้วเผ่นหนี

ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดใบไม้ในทะเลเปลี่ยวป่าสีชาดล้วนร่วงโรยเสมอ

สัมผัสยามเหยียบย่ำบนหญ้าต่างจากการเหยียบย่ำบนใบไม้ร่วงหล่น

ยามที่ชิงเสวี่ยชิงไม่ทันระวังจนหกล้ม เหวินฉีเหวินมักจะอ้าแขนโอบอุ้มนางไว้เสมอ

ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เหวินฉีเหวินจะรู้สึกราวกับว่าตนโอบอุ้มต้นท้อที่เต็มไปด้วยดอกไม้

ทั้งยังรู้สึกเหมือนโอบอุ้มกองไฟ โดยรวมแล้วทั้งร่างกายอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมและความอบอุ่น

………………………

“เจ้าอยากดื่มสุราจริงหรือ”

เหวินฉีเหวินถามอีกหน

ชิงเสวี่ยชิงไม่เอ่ยคำใด เพียงพยักหน้าแรงๆ

“ก็ได้!”

เหวินฉีเหวินพาชิงเสวี่ยชิงเดินไปที่ฐานกำแพง

ทั้งยังเตรียมจะใช้ไหล่ของตนอุ้มชิงเสวี่ยชิงออกไปก่อน

สองเท้าแกว่งไกว กระดิ่งส่งเสียงดัง

เหวินฉีเหวินหัวเราะ

เกรงว่าชิงเสวี่ยชิงไม่ต้องใช้ไหล่เขาอุ้มพยุงก็สามารถกระโดดข้ามไปได้ตั้งนานแล้ว

แต่เมื่อเห็นชิงเสวี่ยชิงปีนข้ามกำแพงอย่างชำนาญเช่นนี้ ในใจของเหวินฉีเหวินรู้สึกสับสนงุนงงยิ่งนัก…

หรือนางจะทำเรื่องเช่นนี้บ่อยครั้ง

หากว่าบ่อยครั้ง เช่นนั้นนางจะปีนข้ามกำแพงเพื่อการใดกับผู้ใดเล่า

ว่ากันว่าเด็กสาววัยแรกแย้มทั้งอ่อนไหวทั้งขี้สงสัย

อันที่จริงวัยหนุ่มสาวก็เช่นกัน

ตราบใดที่โปรดปรานอย่างแท้จริงก็จะสนใจอย่างยิ่ง

ชายหญิงล้วนขี้สงสัยทั้งสิ้น

เหวินฉีเหวินเก็บความขี้สงสัยเช่นนี้ไว้ในใจแล้วปีนข้ามกำแพงไป

พลันรู้สึกเศร้าในใจเล็กน้อย…

ครั้นร่วงสู่พื้น อาภรณ์ยังเกี่ยวกับกำแพงเล็กน้อยเพราะเหม่อลอย

“พี่เหวินเป็นอันใดหรือไม่”

ชิงเสวี่ยชิงถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นไร…”

เหวินฉีเหวินมองดูคิ้วเรียวของชิงเสวี่ยชิงขมวดเล็กน้อย

ในใจพลันรู้สึกสบายใจขึ้นมาอีกครั้ง

ชั่วครู่หนึ่ง ตนแอบสบถในใจว่า ‘ไม่ได้เรื่อง’

แต่ความได้เรื่องประเภทนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนไม่มี

“เจ้าจะไปที่ใด”

เหวินฉีเหวินกล่าวถาม

“ตามข้ามาก็พอ!”

ชิงเสวี่ยชิงเป็นผู้นำทาง ครู่เดียวก็เดินออกไปไกลหลายจั้ง

เหวินฉีเหวินตะลึงงัน

เท่าที่เขาจำได้ ชิงเสวี่ยชิงแทบจะไม่เคยออกจากจวนชิงเลยด้วยซ้ำ

แม้ว่าจะออกไปข้างนอกเป็นครั้งคราวและออกไปเยี่ยมเยือนตระกูลใหญ่มั่งคั่งอื่นๆ เหล่านั้นในรัฐหงกับมารดาของนางบ้าง

ไฉนจึงคุ้นเคยกับถนนเส้นทางนี้เพียงนี้เล่า

ไม่มีเวลาให้คิด เหวินฉีเหวินจำต้องตามหลังนางไป

แม้ว่าชิงเสวี่ยชิงจะไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องพึ่งไหล่เขาปีนข้ามกำแพงและวิ่งโดยไม่ล้มอีก

แต่เหวินฉีเหวินก็เต็มใจตามอยู่ด้านหลังและคอยเฝ้าระวังให้นางเช่นนี้อยู่ดี

เพียงเช่นนี้ก็มาถึงหัวเมืองรัฐหงแล้ว

ชิงเสวี่ยชิงเดินเข้ามาในตรอกเล็กๆ

สุดตรอกเล็กๆ มียายเฒ่าผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างถังสุราใบใหญ่

ดูเหมือนเป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

แต่โรงเตี๊ยมแบ่งออกเป็นหลายระดับ

โรงเตี๊ยมพูนโชคบนถนนม้าผ่านย่อมเป็นอันดับหนึ่งในหัวเมืองรัฐหง

แต่โรงเตี๊ยมประเภทนี้อย่างมากก็นับได้ว่าเป็นระดับท้ายๆ

ยิ่งกว่านั้นไม่มีป้ายหน้าร้านอีกต่างหาก

เหวินฉีเหวินชะโงกหน้ามองเข้าไปข้างในและพบว่าในร้านไม่มีที่นั่ง

มีลูกคิดวางอยู่บนโต๊ะคิดเงินแต่เต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะ

มองแวบเดียวดูเหมือนไม่ได้ใช้งานมานาน

เหวินชิงเหวินและชิงเสวี่ยชิงยืนอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง ทว่ามีเพียงสามถึงห้าคนมาดื่มสุราเท่านั้น

มองดูการแต่งกายแล้วล้วนเป็นเหล่าแรงงานที่ทำงานหาเลี้ยงชีพในหัวเมืองรัฐหง

พวกเขานำอาหารเครื่องเคียงมาเอง

บ้างก็มีเนื้อตากแห้งชิ้นเล็กๆ

บ้างก็บิดปั้นหมั่นโถวสีขาวครึ่งลูก

ดูเหมือนคนเหล่านี้จะรู้จักคุ้นเคยกันดี

พวกเขาไม่เพียงแต่รู้จักคุ้นเคยกันเท่านั้น แต่ยังรู้จักมักจี่กับชิงเสวี่ยชิงด้วย

ยามที่พวกเขาเห็นชิงเสวี่ยชิงล้วนแต่เริ่มทักทายนางด้วยรอยยิ้ม

กระทั่งยังมีแรงงานผู้หนึ่งล้วงเมล็ดแตงผสมกับถั่วลิสงกำหนึ่งยื่นให้ชิงเสวี่ยชิง

“โอ้! ไยวันนี้จึงมีแตงด้วยเล่า”

ชิงเสวี่ยชิงกล่าวถาม

“วันนี้มีงานรื่นเริงที่เมืองทางใต้จ้างข้าขนย้ายของ ครั้นใกล้ช่วงท้ายๆ พ่อบ้านตระกูลนั้นเทจานเมล็ดแตงและถั่วลิสงให้พวกเราน่ะ ข้ากินมาตลอดทางก็เหลือเพียงเท่านี้แหละ”

แรงงานกล่าวพลางหัวเราะ

“ข้าชอบกินถั่วลิสง แตงนี่ให้เจ้า!”

ชิงเสวี่ยชิงกล่าวพลันหยิบถั่วลิสงสองสามเม็ดจากมือแล้วนำเมล็ดแตงที่เหลือคืนให้กับแรงงานผู้นั้น

แรงงานปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ชิงเสวี่ยชิงก็ยังยัดเมล็ดแตงกลับเข้าไปในกระเป๋าของเขา

“เช่นนั้นก็กินด้วยกันเถิด!”

แรงงานไร้ทางเลือก ทำได้เพียงล้วงเมล็ดแตงออกจากกระเป๋าอีกหนแล้ววางบนหินริมทางด้านข้าง

คนอื่นๆ ที่เหลือซื้อสุราเรียบร้อยแล้ว

ทุกคนยกชามกระเบื้องเคลือบหยาบในมือและยืนเรียงกันเป็นแถวชิดริมถนน

จากนั้นดื่มทีละน้อยแล้วพูดคุยกันอย่างออกรส

แม้ว่าจะไม่ใช่การดื่มเต็มคราบ แต่เพียงดื่มเข้าปากทีละนิดก็สามารถตอบสนองความกระหายได้แล้ว

“น้องชิงมาที่นี่บ่อยหรือ”

เหวินฉีเหวินใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะปรับตัวเข้ากับฉากที่อยู่ตรงหน้าได้

“ใช่แล้ว…แต่พี่เหวินท่านต้องช่วยข้าปิดเป็นความลับนะเจ้าคะ!”

ชิงเสวี่ยชิงกล่าว

นางดึงรั้งแขนเสื้อของเหวินฉีเหวินและเริ่มขอร้องอ้อนวอน

“ตอนนี้ข้ารู้แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่กล้าบอกข้าว่าเจ้าทำสิ่งใดหลังจากฝึกดาบ…ที่แท้แล้วแอบมาดื่มสุราที่นี่!”

เหวินฉีเหวินกล่าวพลางหัวเราะพร้อมเอื้อมมือไปเขี่ยปลายจมูกของชิงเสวี่ยชิงเบาๆ

“ช่วยเจ้าเก็บเป็นความลับน่ะไม่มีปัญหา แต่เจ้าต้องรับปากข้าว่า ต่อไปหากมาที่นี่ลำพังห้ามเอาแต่ดื่มจนกลายเป็นแมวขี้เมาเด็ดขาด!”

เหวินฉีเหวินกล่าว

“ต่อไปหรือ ต่อไปข้าไม่มีทางมาเพียงลำพังเป็นแน่!”

ชิงเสวี่ยชิงกล่าว

เหวินฉีเหวินยิ้ม

ทั้งสองต่างเติบใหญ่แล้ว

ทว่าเปลี่ยนจากดอกท้อผืนหญ้าในอดีตกลายเป็นถังสุราในตรอกดังปัจจุบัน

เพียงแต่เขานึกสงสัยยิ่งนัก ชิงเสวี่ยชิงคุณหนูใหญ่แห่งจวนชิงหาตลาดชั้นล่างเช่นนี้พบได้อย่างไร

เหวินฉีเหวินไม่มีอคติใดๆ ต่อแรงงานเหล่านี้

ในสายตาของเขาไม่ว่าจะกระทำสิ่งใดล้วนเพียงเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น

ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสูงต่ำรวยจน

ต่อให้เหวินทิงไป๋บิดาของเขาจะเป็นผู้ควบคุมรัฐแห่งรัฐหง แต่ก็ยังต้องกินและนอนหลับไม่ใช่หรือ

ฉะนั้นเขาคิดว่าไม่ว่าผู้ใดล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น

ไม่จำเป็นต้องถือตนเย่อหยิ่ง ตะโกนโวยวายดูแคลนผู้อื่นเพียงเพราะจำนวนเงินในกระเป๋าหรือคุณภาพอาภรณ์สวมใส่

“ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง!”

จู่ๆ เหวินฉีเหวินก็ปริปากเอ่ยอีกครั้ง

“เรื่องใดหรือ”

ชิงเสวี่ยชิงกำลังจะไปซื้อสุรา จากนั้นหันกลับมาถามอีกครั้ง

“เจ้าต้องเลี้ยงสุราข้า!”

เหวินฉีเหวินกล่าว

ชิงเสวี่ยชิงหัวเราะพร้อมตบเงินจำนวนมากลงบนโต๊ะในร้าน

ยายเฒ่าตักสุราสองชามให้ชิงเสวี่ยชิงโดยไม่มองด้วยซ้ำ

ครั้นชิงเสวี่ยชิงรับเอาชามสุรา เงินที่วางบนโต๊ะก็หายวับไป

“ยายเฒ่านี่เก่งกาจยิ่งนัก!”

เหวินฉีเหวินกล่าวขณะถือชามสุราที่ชิงเสวี่ยชิงยื่นมาให้แล้วกล่าว

“เก่งกาจเช่นไรหรือ”

ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม

“คิดไม่ถึงว่าในสถานที่เสียงดังจอแจวุ่นวายเช่นนี้ยังได้ยินเสียงเงินที่เจ้าวางไว้ว่าต้องสั่งเท่าใด อีกทั้งชั่ววินาทีที่เจ้ารับเอาชามสุรา นางก็เก็บเงินเข้าแขนเสื้อทันที”

เหวินฉีเหวินกล่าวชม

“คนที่นี่มีผู้ใดบ้างที่ไม่มีทักษะเฉพาะตัวเล่า อย่างเขาผู้นั้นก็สามารถยกจานชามสูงกว่าหนึ่งจั้ง หรืออาศัยกำลังขาก็สามารถเดินไปทางเหนือทางใต้ของหัวเมืองรัฐหงได้แล้ว”

ชิงเสวี่ยชิงกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย

จากนั้นหยิบเมล็ดแตงที่แรงงานวางไว้บนหินริมถนนขึ้นมาแทะกิน

อาทิตย์ขึ้นยามเช้าจนกระทั่งอาทิตย์อัสดง

ยามที่เหวินฉีเหวินออกจากเรือนวันนี้ก็ยังหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์

ตอนนี้ท้องนภาเต็มไปด้วยเมฆสีอมแดง

สาดส่องดอกท้อราวกับไฟระอุ

ยามอาทิตย์อัสดงถือชามสุราในมือ ดื่มลงท้องราวกับไฟแผดเผา

แต่สิ่งที่คุ้มค่าแก่ความปีติยินดีก็คือ แม้ดอกท้อไม่อยู่

แต่ผู้ที่ยืนอยู่ใต้ดอกไม้ในยามนั้นก็ยังเป็นคนเดิม

เพียงแต่ดอกท้อในมือเปลี่ยนเป็นชามสุราก็เท่านั้นเอง

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท