ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 76 สองถึงหกเบญจลักขี-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 76 สองถึงหกเบญจลักขี-1

“เจ้าเกิดปีม้าหรือ”

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ช่างตีเหล็กผู้หยาบกระด้างเห็นหลิวรุ่ยอิ่งนอนพิงบนกำแพงร้านช่างตีเหล็กทั้งคืน อดออกปากถามไม่ได้

เสียงเอ่ยถามนี้รบกวนหลิวรุ่ยอิ่งจนตื่น แต่ยังมึนงงเล็กน้อย…ชั่วขณะที่เพิ่งลืมตาเขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ถึงขั้นลืมแล้วว่าตนชื่อแซ่อะไร

หากลองคิดว่าเขาหลงลืมตัวเองหรือตัวตน ฝึกยืนหลับข้างกำแพงเหมือนม้าจากตรงนี้ก็พอให้อภัยได้อยู่หรอก

ช่างตีเหล็กกลับสังเกตเห็นรอบกายเขาเหมือนมีใยแมงมุมบางๆ พันรอบอยู่เล็กน้อย ตอนเจ้าไม่ใส่ใจมองพวกมันก็ทำเอาตาพร่าไม่น้อย พอเจ้าตั้งใจมองก็ไม่เจอร่องรอยทันที

“เจ้า…ยังไหวกระมัง”

ยามนี้โอวเสี่ยวเอ๋อกับจิ่วซานปั้นก็เดินมาจากทางเหนือ เห็นหลิวรุ่ยอิ่งแล้วออกปากถาม

จิ่วซานปั้นออกจากศาลเจ้าเร็วกว่าหลิวรุ่ยอิ่งเล็กน้อย

ไม่รู้ว่าบนกำแพงดินนั่นคือสิ่งใดถึงได้ทำให้เขาหลงใหลเพียงนี้ ถึงขั้นดื่มน้ำเต้าสุราหมดแล้วก็ยังก้าวขาออกมาไม่ได้

โอวเสี่ยวเอ๋อกลับรอไม่ไหว…นางดื่มเหล้าที่เหลือกับช่างตีเหล็กจนหมดแล้วก็มุ่งขึ้นเหนือ หาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเข้าพัก เช้านี้พอตื่นมาก็รีบรุดมาร้านตีเหล็กอีกครั้ง

“ข้าไม่เป็นไร!”

หลิวรุ่ยอิ่งใช้มือถูหน้าเล็กน้อย พยายามดึงสติสองสามส่วนขึ้นมากล่าว

เพียงแต่คอของเขาออกจะแข็งทื่อเพราะท่านอนพิสดารเมื่อคืน ตอนนี้มันกำลังเอียงไปทางขวาเล็กน้อย ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ

“ข้าเห็นบนกำแพงดินด้านหลังนั่นเขียนหลักดูแลสุขภาพไว้บทหนึ่ง ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นลายมือผู้ใด”

จิ่วซานปั้นเอ่ยถามช่างตีเหล็ก

“ข้าไม่รู้…”

ช่างตีเหล็กเอ่ย

“ทำไม เจ้าสนใจ?”

จากนั้นเขาลองถามเหมือนหยั่งเชิงอีก

“เมื่อวานข้าเห็นแล้วก็ศึกษาค้นคว้าอยู่ที่นั่นตลอด พบว่าในนั้นมีวิธีการไม่น้อยด้วย…หากรู้จักคนเขียน ข้าอยากไปขอพบพูดคุยสักครั้ง!”

จิ่วซานปั้นกล่าวด้วยความเสียดายยิ่ง

เขากลับไม่ได้สังเกตความพึงใจที่ฉายผ่านบนหน้าของช่างตีเหล็ก

ระหว่างพวกเขาสองคนคุยกัน หลิวรุ่ยอิ่งกลับนั่งคิดอะไรไม่ออกอยู่ด้านข้าง…ไม่รู้ทำไม ในหัวของเขามีแต่ความว่างเปล่าอยู่พักหนึ่ง

เขานึกไม่ออกเลยว่าตัวเองกลับมาร้านตีเหล็กนี้ได้อย่างไร

ภาพสุดท้ายในความทรงจำก็คือตนถูกกระบี่ของหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวแล้วพิงหลังอยู่บนกำแพงในห้องหิน พลางกล่าวโทษช่างตีเหล็กที่บอกตนไม่หมด

นึกถึงจุดกระตุ้น เขากลับหยัดกายลุกพรวดทำเอาโอวเสี่ยวเอ๋อที่อยู่ด้านข้างตกใจ

หลิวรุ่ยอิ่งเดินมาบริเวณเงียบสงบหลังร้านตีเหล็ก พาจิตจมสู่กลางอินหยางสองขั้วในตันเถียนของตน เขาเห็นโลกใบเล็กของธรรมลักษณ์บรมครูฟื้นคืนสภาพอันสว่างโชติช่วงและมีชีวิตชีวาเช่นก่อนหน้านี้แล้ว

ธรรมลักษณ์บรมครูเห็นจิตของหลิวรุ่ยอิ่งเข้ามาด้านในก็กวัดแกว่งกระบี่หยางแท้อวี้อิงผ่านข้างกายเขาไปด้วยความหยิ่งยโส มันดูเหยียดหยันเขาไม่น้อย

เห็นทุกสิ่งปกติดี หลิวรุ่ยอิ่งยิ่งไม่เข้าใจยิ่งนัก

ขณะเขาเตรียมถอนจิตออกจากโลกใบเล็กนี้ กลับเห็นรอบกายของธรรมลักษณ์บรมครูพันรอบด้วยใยแมงมุมวงแล้ววงเล่า แต่ตอนเขาตั้งสติเตรียมมองให้ละเอียดกลับไม่เห็นมันแล้ว

หลิวรุ่ยอิ่งตบศีรษะเบาๆ คิดว่าตนต้องเหนื่อยเกินไปจนเกิดภาพหลอนเป็นแน่ ตอนนี้จึงไม่ยุ่งกับมันอีก

เมื่อกลับถึงหน้าร้านอีกครั้ง เขาพบว่าช่างตีเหล็กกำลังมองตนเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ในแววตามีความลึกล้ำซ่อนอยู่

“หน้ากากอสูรเขี้ยวยาว”

หลิวรุ่ยอิ่งเปิดปากพูด ตั้งใจลองหยั่งเชิงเขาเช่นกัน

“เจ้าพูดอะไร”

เขาเห็นสีหน้าช่างตีเหล็กดูไม่เสแสร้ง แต่ก็รู้สึกคนผู้นี้มีจุดน่าสงสัยมากมาย ความลับเยอะเกินไป ดังนั้นจึงยากตัดสินอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

“หืม?”

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นคนขี่ม้าหลายคนมุ่งมาจากอีกด้านหนึ่งของเมือง

พวกหลิวรุ่ยอิ่งเข้ามาจากช่องเขาสนามรบโบราณ

เทียบกับอีกฝั่งแล้วย่อมมาจากทางเข้าออกใกล้หอทรงปัญญาอีกด้าน

แม้ไม่รู้สาเหตุ แต่บรรยากาศค่อนข้างผิดปกติ…โดยเฉพาะที่ช่างตีเหล็กกำหมัดเล็กน้อย

“คนรู้จัก?”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า”

ช่างตีเหล็กเดินไปข้างหน้า พบกับคนกลุ่มนี้ตรงกลางเมือง

ขณะหยุด ถึงได้เห็นชัดว่ากลุ่มที่เหมือนกองทหารนี้มีห้าคน

ทุกคนแต่งชุดเครื่องแบบขาวดำเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ผิวหนังที่เผยอยู่ข้างนอกต่างพันด้วยผ้าพันแผลขาวดำทั้งหมด

บนศีรษะสวมหมวกสานสีขาวดำใบหนึ่ง ผ้าโปร่งบางสีขาวดำห้อยลงมาบดบังใบหน้า

กระทั่งม้าที่ขี่ก็เป็นสีขาวดำ บนม้าทุกตัวยังแบกกระดานหมากขาวดำไว้แผ่นหนึ่งด้วย

“ดูเร็ว หมิงหมิงอ่านตำราของเมืองจิ่งผิงแล้ว! ตีเหล็กจนขาดฟืนเผาเตาเลยใช่หรือไม่”

คนในชุดขาวดำผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยถามพลางชี้ต้นไม้โบราณที่หักโค่นข้างบ่อน้ำกลางเมือง

“ไม่ค่อยเหมือน ดูรอยตัดแล้วไม่ใช่วิธีของหมิงหมิง”

คนในชุดขาวดำอีกคนหนึ่งกล่าว

“แม้แต่ปากบ่อก็ทุบเละหมดแล้ว…จึๆๆ!”

สามคนที่เหลือวนดูและทยอยลงม้า เดินรอบต้นไม้โบราณกับบ่อน้ำสองสามรอบพลางกล่าว

“พวกเจ้ามีธุระอะไร”

นึกไม่ถึงว่าช่างตีเหล็กจะมีชื่อเหมือนเด็กน้อยเช่นนี้ หมิงหมิง!

ดูท่าทางไม่รู้เขากับห้าคนนี้มีข้อพิพาทอะไรกัน

บอกว่าเป็นมิตรก็ดูมีอะไรชอบกล บอกว่าแปลกหน้าแต่กลับคุ้นเคยกันถึงสิบส่วน ทำให้คนยากพิเคราะห์จริงๆ…

“พวกเรามีธุระจริง แต่ไม่ได้มาหาเจ้า!”

คนในชุดขาวดำผู้เป็นหัวหน้าชี้ข้างหลังหมิงหมิง เอียงศีรษะพูดกับหลิวรุ่ยอิ่ง

“นี่ไงเล่า! ประมุขหอพูดถูกจริงด้วย…ไม่เจอกันนานเท่าไรเอง เจ้ากลับคลุกคลีอยู่กับกรมสอบสวนกลางและตระกูลโอวเสียแล้ว”

คนในชุดขาวดำที่ยืนเรียงอยู่ท้ายสุดในห้าคนกอดอกกล่าว

“อาจารย์ มีเรื่องอะไรหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเดินขึ้นมาเอ่ยถาม

เขานึกว่าหมิงหมิงเจอเรื่องยุ่งยากอะไรเข้า

หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าถึงเขาไม่ได้บอกความจริงเรื่องศาลเจ้ากับตน แต่ก่อนหน้านี้ก็ช่วยตนจัดการร่างของมนุษย์แท่งน้ำแข็ง

อีกอย่าง แม้เขาไม่เข้าใจเรื่องพิธีการอะไรนั่น…แต่ไม่ว่าอย่างไรหมิงหมิงก็นับเป็นอาจารย์ที่เขาคารวะอย่างเป็นทางการแล้ว

ตอนนี้เห็นคนกลุ่มหนึ่งประสงค์ร้ายต่อเขา คนเป็นศิษย์คงไม่อาจนิ่งดูดายกระมัง

‘เจ้าเด็กบ้านี่…ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เห็นเจ้ามีมารยาทเช่นนี้! นี่มันเพิ่มความวุ่นวายให้ข้าไม่ใช่หรอกรึ…’

หมิงหมิงได้ยินคำว่าอาจารย์แล้วอดขบกรามแน่นคิดอยู่ในใจไม่ได้…ตอนนี้เขาอยากให้หลิวรุ่ยอิ่งกลับไปอยู่นิ่งๆ ในศาลเจ้านั่นเสียจริง นานเท่าไรก็ได้!

“นายกองกรมสอบสวนกลาง หลิวรุ่ยอิ่ง?”

คนในชุดขาวดำผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยถาม

“ข้าน้อยเอง”

หลิวรุ่ยอิ่งตอบ

“อาจารย์?”

คนในชุดขาวดำผู้เป็นหัวหน้าชี้หมิงหมิงและเอ่ยถามอีกครั้ง

“เขาดีดฉินเก่งกว่าข้า ผู้รู้แจ้งย่อมเป็นอาจารย์”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“นายกองกรมสอบสวนอยากเรียนฉิน แปลกใหม่ทีเดียว…เพียงแต่ไม่รู้เสียงจากสายฉินนี้ฆ่าคนได้หรือเปล่า”

คนในชุดขาวดำหลังสุดยิ้มแปลกๆ และกล่าวอีกครั้ง

เมื่อได้ยินคำว่าฆ่าคน มือขวาหลิวรุ่ยอิ่งเข้าใกล้บริเวณด้ามกระบี่เล็กน้อย ในใจเตรียมการป้องกันถึงสิบสองส่วน

คนในชุดขาวดำผู้เป็นหัวหน้ามองแวบเดียวก็รู้ความคิดหลิวรุ่ยอิ่ง แต่ขณะกำลังจะพูด กลับเห็นคนขี่ม้าอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาทางบริเวณช่องเขาสนามรบโบราณเมืองจิ่งผิง

“นายกองหลิว!”

แม้เว้นระยะค่อนข้างไกล หลิวรุ่ยอิ่งก็จำเครื่องแบบของกรมสอบสวนได้

นึกไม่ถึง กลุ่มนี้กลับเป็นกองกำลังของอาคารกรมสอบสวนในหัวเมืองรัฐติง

“ดีจริงๆ ที่นายกองหลิวให้พวกเราไล่ตามตลอดทาง!”

ผู้สั่งการกองที่เป็นหัวหน้าคนหนึ่งลงม้ากล่าว ข้างหลังยังตามมาอีกสิบกว่าคน

“ลำบากแล้ว! พี่น้องทั้งหลายมาถึงนี่มีเรื่องอันใด”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

เขาก็ไม่ถือที่มีคนอื่นอยู่ด้วย เหมือนจงใจแสดงอำนาจ

ผู้สั่งการกองคนนี้หยิบเอกสารฉบับหนึ่งส่งให้หลิวรุ่ยอิ่งและกล่าว

“หนังสือที่ใต้เท้านายกองส่งไปสำนักงานใหญ่กรมสอบสวนกลางจากอาคารหัวเมืองรัฐติงข้า หลายวันก่อนได้หนังสือตอบกลับแล้ว และเป็นคำสั่งที่ใต้เท้าผู้บังคับการกรมเว่ยฉี่หลินเขียนด้วยตัวเอง!”

ผู้สั่งการกองเอ่ยพลางเผยสีหน้าเลื่อมใส

แม้ประสบการณ์ที่กรมสอบสวนของเขามากกว่าหลิวรุ่ยอิ่ง แต่เทียบกันแล้วทีแรกหลิวรุ่ยอิ่งได้รับเลื่อนขั้นจากผู้ตรวจการกองสัคคะเนตรเจี่ยงชางฉง ตอนนี้ยังเป็นหนังสือตอบกลับจากปลายพู่กันของผู้บังคับการกรมเว่ยฉี่หลินอีก ปลาข้ามประตูมังกร[1] การก้าวทีเดียวขึ้นสวรรค์อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วไม่ใช่หรือ

หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินแล้วก็ตกใจ…รีบรับหนังสือตอบกลับมาอย่างระมัดระวัง

พอเปิดแล้วด้านบนมีแค่หนึ่งประโยคสั้นๆ ‘ติ้งซีผันแปร ผิดแปลกกะทันหัน แมลงตัวจ้อยร้องในคืนเดือนหงาย แปลงเป็นมังกรทะยานฟ้า’

หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจความหมายของมันชั่วขณะหนึ่ง ได้แต่เก็บมันไว้ให้ดีก่อน คิดว่ารอหลังเรื่องสงบลงแล้วค่อยหยิบออกมาพิจารณาอย่างละเอียด

………………………………………….

[1] ปลาข้ามประตูมังกร หมายถึงการเลื่อนขั้น การก้าวหน้า

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท