ตอนที่ 1261 เส้นผมบังภูเขา
ไป๋ชิงฉีพยักหน้า “ทำตามแผนการเดิม ไป๋จิ่นหวาและไป๋ชิงเจวี๋ยบุกโจมตีเป็นกองหน้า เมื่อประตูเมืองถูกเปิดออก…ไป๋จิ่นซิ่วรีบนำพลทหารม้าบุกเข้าไปกลางเมืองทันที!”
“ไป๋จิ่นซิ่วรับบัญชาเจ้าค่ะ!”
“ไป๋ชิงเจวี๋ยรับบัญชาขอรับ!”
“ไป๋จิ่นหวารับบัญชาเจ้าค่ะ!”
ไป๋จิ่นเจามองไปทางไป๋ชิงฉีด้วยความร้อนใจ
สายตาของไป๋ชิงฉีหยุดอยู่ที่ร่างของไป๋จิ่นเจา เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นกล่าวขึ้น “ไป๋จิ่นเจาติดตามไป๋จิ่นซิ่วไปอย่าให้ห่างกาย หากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษตามกฎของกองทัพ”
ไป๋จิ่นซิ่วยกมือกำหมัด “ไป๋จิ่นซิ่วรับบัญชาเจ้าค่ะ”
“พี่ชายสาม…” ไป๋จิ่นเจาลังเล “ข้าอยากบุกเข้าไปช่วยเหลือพี่ชายห้าในวังหลวงเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงฉีมองหน้าน้องสาวด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ชายห้าของเจ้าอยู่ในวังหลวงคนเดียว หากถึงเวลานั้นพี่ชายห้าของเจ้ายังหลบหนีออกมาไม่ได้ จักรพรรดินีแห่งซีเหลียงและแม่ทัพชราชุยจะจับเขาไว้เป็นตัวประกัน เจ้ารับมือไม่ไหวหรอก!”
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของไป๋ชิงอวี๋ ไป๋ชิงฉีจะทำมันด้วยตัวเอง!
ไป๋ชิงฉีรับรู้ตั้งแต่เล็กว่าไม่ว่าจะในฐานะพี่ชายหรือคนของตระกูลไป๋…เขามีหน้าที่ปกป้องไป๋ชิงอวี๋ทุกวิถีทางไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม
เซียวรั่วไห่รู้ดีว่าไป๋ชิงอวี๋ถูกจับอยู่ที่ใด เมื่อประตูเมืองอวิ๋นจิงถูกเปิดออกเขาจะรีบเข้าไปช่วยอาอวี๋ออกมาจากวังหลวงโดยเร็วที่สุด
ไป๋จิ่นเจาคิดตามแล้วจึงตัดสินใจไม่แย่งหน้าที่ของไป๋ชิงฉี นางรับคำอย่างเต็มใจ “ไป๋จิ่นเจารับบัญชาเจ้าค่ะ”
กองทัพต้าโจวและต้าเยี่ยนแอบเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมเสร็จสรรพแล้ว ตอนนี้พวกเขารอเพียงเวลาที่นัดไว้กับไป๋ชิงอวี๋เท่านั้น
ท้องฟ้ามืดมิดไม่มีแม้แต่แสงดาว เป็นสัญญาณว่าฝนกำลังจะตกลงมา
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดวันนี้แม่ทัพชราชุยซานจงจึงรู้สึกกังวลใจมาก เขาตัดสินใจอยู่คุ้มกันในวังหลวงไม่ได้กลับจวนของตัวเอง ตอนนี้เขากำลังเล่นหมากรุกอยู่กับหลี่เทียนเจียว
แสงไฟในตำหนักใหญ่ส่องกระทบเสาใหญ่สีแดงสองต้นในตำหนัก
“ในเมื่ออ๋องเก้าแห่งต้าเยี่ยนกล่าวเช่นนี้ก็แสดงว่าเขาไม่อยากร่วมมือกับซีเหลียง” หลี่เทียนเจียวขมวดคิ้วแน่น
“ทว่า กระหม่อมปล่อยข่าวเรื่องที่อ๋องเก้าแห่งต้าเยี่ยนพบกับกระหม่อมที่นอกเมืองไปยังค่ายทหารของต้าโจวแล้ว ต้าเยี่ยนเคยทรยศต้าโจวจนน้องชายแท้ๆ ของจักรพรรดินีแห่งต้าโจวถูกพวกเราจับตัวได้ หากครั้งนี้ต้าโจวรู้ข่าวเรื่องนี้อีก สัญญาพันธมิตรระหว่างสองแคว้นต้องถูกทำลาย ต้าโจวต้องหวาดระแวงต้าเยี่ยนมากกว่าเดิมแน่พ่ะย่ะค่ะ!”
แม่ทัพชราชุยซานจงกล่าวจบจึงใช้มือที่ผอมจนแทบเหลือแต่กระดูกวางหมากลงบนกระดาน
หลี่เทียนเจียวจ้องกระดานนิ่ง ครู่ใหญ่จึงวางหมากขาวในมือลงบนกระดาน จากนั้นกล่าวขึ้น “ในเมื่อตกลงกับต้าเยี่ยนไม่ได้พวกเราก็รอให้จักรพรรดินีแห่งต้าโจวเดินทางมาถึงเสียก่อน จากนั้นค่อยมอบไป๋ชิงอวี๋เป็นของขวัญให้ต้าโจวเพื่อขอเป็นรัฐบรรณาการ”
“กระหม่อมกลัวว่าต้าโจวและต้าเยี่ยนจะบุกโจมตีเมืองอวิ๋นจิงของพวกเราก่อนที่จักรพรรดินีแห่งต้าโจวจะเสด็จมาถึงพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพชราชุยซานจงไม่รู้ว่าเหตุใดวันนี้เขาจึงรู้สึกเป็นกังวลเช่นนี้ เขาสังหรณ์ใจว่ากำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
“พวกเราอยู่ในเมือง พวกเขาอยู่นอกเมือง แม่ทัพชราชุยเป็นคนคุ้มกันเมืองอวิ๋นจิงด้วยตัวเอง พวกเขาไม่กล้าบุกโจมตีเมืองอย่างบุ่มบ่ามแน่นอน” หลี่เทียนเจียวเชื่อใจแม่ทัพชราชุยซานจงมาก
ลมพัดกรรโชกแรงที่ด้านนอกตำหนักจนหน้าต่างหลายบานกระทบกันจนเกิดเสียงดัง โคมไฟหกแฉกซึ่งแขวนอยู่ใต้ชายคาแกว่งไปมาอย่างรุนแรง แม่ทัพชราชุยซานจงมองไปทางนอกหน้าต่างราวกับสัมผัสได้ถึงสิ่งใดบางอย่าง
“รายงาน…” เสียงดังของทหารซีเหลียงดังขึ้นที่ด้านนอก
แม่ทัพชราชุยซานจงที่อายุกว่าแปดสิบปีทิ้งหมากในมือลงพลางผุดลุกขึ้นยืนทันที เขาสาวเท้าออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
เพราะเป็นรายงานสถานการณ์รบขันทีจึงรีบเปิดประตูให้ทันที ตอนที่ทหารซีเหลียงวิ่งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วแม่ทัพชราชุยซานจงมองเห็นแสงสีแดงเพลิงจากบนท้องฟ้าทางทิศใต้แล้ว แม้มองไม่เห็นเปลวเพลิง ทว่า ดูจากควันไฟสีดำที่ลอยคลุ้งบนท้องฟ้าก็พอรู้ได้ว่าเกิดไฟไหม้ขึ้นแล้ว
“ฝ่าบาท ท่านแม่ทัพชราชุย! คลังเสบียงอาหารฝั่งตะวันออกของพวกเราถูกเผาขอรับ ทหารไปช่วยกันดับไฟแล้ว! ทว่า คลังอาวุธทางตะวันตกก็ถูกเผาเช่นเดียวกันขอรับ!” ลูกน้องของแม่ทัพชราชุยซานจงรายงานด้วยความตื่นตระหนก
“จัดทัพไปช่วยกันดับไฟที่คลังเสบียงอาหารให้ได้เดี๋ยวนี้! เร็วเข้า!” เมื่อแม่ทัพชราชุยซานจงได้ยินว่าคลังเสบียงถูกเผาร่างของเขาชาวาบไปทั้งร่าง
ขอเพียงเมืองอวิ๋นจิงมีเสบียง แม่ทัพชราชุยซานจงมั่นใจว่าเขาสามารถปกป้องเมืองอวิ๋นจิงได้ ทว่า หากไร้เสบียง…เมืองอวิ๋นจิงก็เหลือเพียงการกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเท่านั้นแล้ว!
แม่ทัพชราชุยซานจงรู้สึกดีใจมากที่เขากระจายเสบียงอาหารไปซ่อนตามที่ต่างๆ เพื่อป้องกันไว้ก่อนแล้ว ทว่า คลังเสบียงอาหารฝั่งตะวันออกคือแหล่งเสบียงอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอวิ๋นจิง
ทว่า ไม่นานทหารก็เข้ามารายงานว่าเสบียงอาหารที่ถูกเก็บไว้ที่อื่นก็ถูกไฟเผาหมดเช่นเดียวกัน
แม่ทัพชราชุยซานจงแทบล้มลงบนพื้น
แหล่งเสบียงอาหารถูกทำลายพร้อมกันหลายแห่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน!
“รายงาน…” ทหารซีเหลียงอีกคนวิ่งขึ้นบันไดมาอย่างรวดเร็ว เขารายงานเสียงดังลั่น “ไฟไหม้คุกหลวง เชลยที่ถูกขังในคุกหายตัวไปหมดแล้วขอรับ!”
แม่ทัพชราชุยซานจงเบิกตาโพลง สมองของเขาขาวโพลนชั่วขณะ “เร็ว! รีบไปดูว่าไป๋ชิงอวี๋ฟื้นแล้วหรือไม่ เขายังอยู่หรือไม่! หากยังอยู่รีบให้หมอหลวงพาเขามาหาข้าเดี๋ยวนี้ ต่อให้สลบอยู่ก็รีบแบกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
สิ้นเสียงคำสั่งของแม่ทัพชราชุยซานจง เหล่าขันทีรีบแยกย้ายกันไปทำตามคำสั่งทันที
“แม่ทัพชรา!” หลี่เทียนเจียวลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกัน สีหน้าของนางไม่ค่อยสู้ดีนัก ใจหนักอึ้งขึ้นมาทันที “ดูเหมือนว่าทหารกองทัพไป๋เหล่านั้นจะหลบหนีออกจากคุกไปเผาเสบียงอาหารและอาวุธของพวกเราหมดแล้ว…”
แม่ทัพชราชุยซานจงหลับตาลง ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าความกังวลในใจเกิดจากสิ่งใด
ตอนที่ไป๋ชิงอวี๋และทหารกองทัพไป๋เหล่านี้ถูกจับตัวได้เขาก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลแล้ว ทว่า เขาไม่รู้สาเหตุ
กองทัพไป๋เป็นทหารที่หากไม่ตายจะไม่ยอมถอดเกราะ เหตุใดจึงมีคนในกองทัพไป๋โดนจับเป็นได้กัน!
เขามั่นใจในตัวเองมากเกินไป เขาตาบอดมองไม่เห็นสิ่งผิดสังเกตเหล่านั้น เอาแต่คิดจะใช้แผนนี้ยุให้ต้าโจวและต้าเยี่ยนแตกคอกันให้ได้
“รีบไปสั่งให้ทหารบนกำแพงเมืองเตรียมตัวให้พร้อม!” แม่ทัพชราชุยซานจงตะโกนสั่งทหารที่มารายงานข่าวเมื่อครู่ “ต้าโจว…จะบุกโจมตีเมืองแล้ว! ให้ทหารเหล่านั้นปกป้องเมืองอวิ๋นจิงไว้ให้ได้”
“นึกไม่ถึงเลยว่าอวิ๋นจิงของพวกเราจะเป็นหมูในอวยของพวกนั้นมานานแล้ว!” แม่ทัพชราชุยซานจงกำหมัดแน่น น้ำเสียงของเขาสั่นเทา “ในเมืองอวิ๋นจิงมีคนของต้าโจวอยู่! มิเช่นนั้นทหารกองทัพไป๋ที่มีข้าวตกถึงท้องเพียงวันละคำไม่มีแรงหลบหนีไปได้แน่นอน พวกต้าโจวมีคนคอยช่วยเหลือในเมืองอวิ๋นจิง ไป๋ชิงอวี๋คงแกล้งซ้อนแผนทำเป็นถูกพวกเราจับตัวได้แน่นอน!”
ไป๋ชิงอวี๋จะร่วมมือกับพวกที่อยู่ข้างนอกเปิดประตูเมืองให้กองทัพใหญ่บุกเข้ามาในอวิ๋นจิง!
ฟิ้ว!…ปัง!
สิ้นเสียงของแม่ทัพชราชุยซานจง เขาเห็นแสงสีแดงของพลุกระจายตัวบนท้องฟ้าที่มีแต่ความมืดมิด!
“จะโจมตีเมืองแล้ว” ร่างของแม่ทัพชราชุยซานจงเย็นวาบไปทั้งร่างราวกับถูกคนผลักลงไปในบ่อน้ำแข็งกลางฤดูหนาว เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นหันไปบอกหลี่เทียนเจียว “ฝ่าบาท ฝ่าบาทต้องจับตัวไป๋ชิงอวี๋ไว้ให้ได้ จะปล่อยให้เขาหนีไปไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ!”
“แม่ทัพชราไม่ต้องเป็นห่วง” หลี่เทียนเจียวพยักหน้า
แม่ทัพชราชุยซานจงไม่กล่าวสิ่งใดอีก เขารีบเดินออกไปนอกตำหนักทันที เขาต้องไปป้องกันที่ประตูเมืองทิศเหนือ!
ตอนที่ 1257 หวาดระแวง
ดวงตาดำเปล่งประกายของไป๋จิ่นเซ่อมองไปทางสัมภาระที่ชายผู้นั้นใช้หนุนศีรษะอยู่ ย่ามใบนั้นยังมีอาหารแห้งเหลืออยู่ ชายผู้นั้นเหลือไว้ให้ลูกชายที่อายุห้าหกขวบของตัวเองกิน เขาและภรรยาแทบไม่ได้แตะต้องของในนั้นเลย
เท่าที่ไป๋จิ่นเซ่อสังเกตดูสองสามีภรรยาแทบไม่ได้กินอาหารแห้งแล้ว พวกเขาให้ลูกชายของพวกเขากินอาหารแห้งวันละสองครั้ง ทว่า ตอนนี้ลดเหลือวันละครั้งแล้ว แสดงว่าอาหารแห้งของพวกเขาใกล้จะหมดแล้ว
หากอาหารแห้งของพวกเขาหมดลง หากเบื้องหน้าไม่มีใบไม้ใบหญ้าหลงเหลืออยู่แล้ว คราวนี้คงถึงตาของนางแน่นอน
ทว่า นางจะตายไม่ได้!
หากนางตายท่านแม่ พี่หญิงใหญ่และบรรดาพี่น้องคนอื่นๆ ต้องเสียใจแน่นอน
โดยเฉพาะพี่ชายห้า…เขาต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ เขาเป็นคนพานางติดตามไปออกรบ หากนางหายตัวไปโดยไม่เหลือแม้แต่ซากศพพี่ชายห้าจะรับไหวได้อย่างไรกัน
นางต้องรอด นางต้องรอดกลับไปให้ได้!
แม้ไม่ทำเพื่อตัวเองนางก็ต้องทำเพื่อทุกคนในครอบครัวของนาง!
ตระกูลไป๋สูญเสียคนในครอบครัวไปมากแล้ว พี่หญิงใหญ่บอกว่านางไม่สามารถสูญเสียผู้ใดไปได้อีกแล้ว
ไป๋จิ่นเซ่อคำนวณระยะทางอยู่ในใจว่านางจากเมืองอวิ๋นจิงมาไกลเท่าใดแล้ว นางกำลังคำนวณว่าตอนนี้ต้าโจวหรือต้าเยี่ยนยึดเมืองอวิ๋นจิงได้แล้วหรือไม่
นางจะเดินทางไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้ว หากเดินต่อไปนางต้องไกลจากเมืองอวิ๋นจิงและค่ายทหารต้าโจวไปเรื่อยๆ แน่นอน
ไป๋จิ่นเซ่อเงยหน้าขึ้น นางมองเห็นเด็กชายร่างผอมโซอายุประมาณแปดเก้าขวบถูกมัดเช่นเดียวกับนาง อยู่ไม่ไกลออกไป ดูเหมือนว่าเขาจะหิวโซเหมือนนางเช่นเดียวกัน
เด็กชายผู้นั้นเหมือนจะสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังมองเขาอยู่ ดวงตาสีดำสนิทของเขาสะท้อนแสงไฟจากกองไฟที่ใกล้จะมอดดับลงจนมองเห็นอย่างริบหรี่ แววตาของเขาดุดันราวกับต้องการสังหารคนรอบข้างให้สิ้น ลึกลงในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
ไป๋จิ่นเซ่อหันหน้าหนีไปทางอื่น ทันใดนั้นนางเหลือบเห็นเศษกระเบื้องของชามที่แตกอยู่บนกองฟาง นางก้มลงมองความยาวของเชือกที่มัดตัวนางอยู่ นางขยับเข้าไปใกล้กองฟาง จากนั้นหันหลังใช้มือที่ยังพอขยับได้หยิบเศษกระเบื้องที่แตกขึ้นมา มือของนางถูกกระเบื้องบาดจนเป็นรอยหนึ่งแผล
เมื่อไป๋จิ่นเซ่อหยิบเศษกระเบื้องแตกขึ้นมาได้จึงรีบใช้มันตัดเชือกที่รัดตัวนางให้ขาดอย่างรวดเร็ว ทว่า นางไม่ได้กินอาหารมาหลายวันแล้วจึงไม่ค่อยมีแรงสักเท่าใดนัก มือที่ถือเศษกระเบื้องสั่นระริก เชือกยังไม่ทันขาดมือของนางก็เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยเลือดแล้ว
ไป๋จิ่นเซ่อกลั้นลมหายใจแน่น นางกัดฟันกรอด นี่คือช่วงความเป็นความตาย ไป๋จิ่นเซ่อสามารถอดทนกับความเจ็บปวดได้ทุกรูปแบบ
บางทีอาจเป็นเพราะอดอยากมาหลายวันแล้ว ประสาทรับรู้ความเจ็บปวดจึงน้อยลงด้วย เศษกระเบื้องบาดโดนมือของนางไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่า ไป๋จิ่นเซ่อไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย
ผ่านไปครู่หนึ่งร่างทั้งร่างของไป๋จิ่นเซ่อโชกไปด้วยเหงื่อ ทว่า เชือกยังไม่ขาดออกจากกันเสียที
ไป๋จิ่นเซ่อตัดเชือกพลางคิดอยู่ในใจว่าตอนนี้คือเวลากลางคืน เป็นช่วงที่คนหลับสนิทที่สุด ขอเพียงนางถือโอกาสหลบหนีไปได้ ต่อให้ร่างกายของนางอ่อนแอเพียงใดก็น่าจะพอเอาตัวรอดได้!
ตอนนี้ไป๋จิ่นเซ่อสัมผัสได้ว่าเด็กผู้ชายที่เหมือนลูกหมาป่าผู้นั้นกำลังจ้องมาที่นางเขม็ง!
ไป๋จิ่นเซ่อคิดได้ว่าเด็กผู้ชายคนนั้นคงตกเป็นอาหารของคนซีเหลียงพวกนี้เช่นกัน นางช่างเป็นคนดีจริงๆ ที่คิดสงสารเขาในเวลาที่ตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอดเช่นนี้ ไป๋จิ่นเซ่อปลอบตัวเองว่าเด็กผู้ชายคนนั้นมองมาที่นางอยู่ หากนางหนีไปคนเดียวโดยปล่อยเขาเอาไว้ หากเขาตะโกนขึ้นมานางคงหนีไปไม่รอดแน่
เมื่อรู้สึกหลวมที่มือไป๋จิ่นเซ่อจึงรู้ทันทีว่านางทำสำเร็จแล้ว สาวน้อยไม่มีเวลาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเอง นางทำนิ้วมือส่งสัญญาณให้เด็กชายคนนั้นเงียบเสียง นางใช้มือยันกำแพงลุกขึ้นยืนด้วยความอ่อนแรง จากนั้นกำเศษกระเบื้องเดินตรงไปหาเด็กชายผู้นั้น
เด็กชายเหมือนจะรู้ว่าไป๋จิ่นเซ่อกำลังจะไปช่วยเขา เขาจึงยอมอยู่นิ่งๆ อย่างเชื่อฟัง
ไม่นานไป๋จิ่นเซ่อก็ตัดเชือกที่มัดตัวเด็กชายผู้นั้นไว้ขาดสำเร็จ
ทั้งๆ ที่หิวโซมานานเหมือนกัน ทว่า เด็กชายคนนั้นกลับว่องไวราวกับหมาป่าจนไป๋จิ่นเซ่อตามไม่ทัน
เด็กชายจ้องไปทางสัมภาระที่ชายผู้นั้นใช้นอนหนุนศีรษะอยู่เขม็ง จากนั้นค่อยๆ ดึงสัมภาระใบนั้นออกมาจากศีรษะของชายผู้นั้นอย่างระมัดระวัง
แววตาที่ไป๋จิ่นเซ่อใช้มองเด็กผู้ชายคนนั้นขรึมลงทันที นางใจเต้นรัวอย่างคุมไม่ได้ นางช่วยเขาออกมาแล้ว ทว่า เด็กคนนั้นกลับเลือกที่จะกลับไปขโมยเสบียงของคนเหล่านั้นเอง เขาไม่รีบหนีไป ทว่า เลือกย้อนกลับไปตายอีกครั้งเอง ไป๋จิ่นเซ่อรีบวิ่งหนีออกไปจากวัดร้างอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป
ไป๋จิ่นเซ่อเดินไปถึงหน้าประตูวัดร้าง ชายคนที่นอนหนุนสัมภาระอยู่ลืมตาขึ้น เขากระชากแขนของเด็กชายผู้นั้นพลางตวาดเสียงดัง “เจ้าคิดจะทำอันใด!”
เสียงตะโกนของเขาทำให้คนส่วนใหญ่ที่นอนอยู่ในวัดร้างสะดุ้งตื่นขึ้นทันที
ไป๋จิ่นเซ่อที่เดินออกไปจากวัดร้างสำเร็จเกาะขอบกำแพงพลางหายใจอย่างเหนื่อยหอบ คนตื่นขึ้นมาหมดแล้วนางต้องรีบหนีไปเดี๋ยวนี้
เด็กชายซึ่งยังอยู่ในวัดกอดสัมภาระใบนั้นแน่น เขาก้มหน้ากัดแขนของชายผู้นั้นอย่างแรง
ชายผู้นั้นผุดลุกขึ้นยืนพลางสะบัดแขนออกจากเด็กชายอย่างแรง เขากระชากสัมภาระที่มีอาหารแห้งอยู่ด้านในกลับมาจากมือของเด็กชาย จากนั้นกระทืบร่างผอมโซของเด็กอย่างแรง จากนั้นเหยียบเท้าลงบนหน้าอกของเด็กชายด้วยความโมโห เสบียงเหล่านี้คือทางรอดของลูกชายเขา เขาจะปล่อยให้เด็กเดรัจฉานผู้นี้ขโมยมันไปได้อย่างไร!
“ย่ามใบนั้นมีอาหารแห้งอยู่!”
ภาษาซีเหลียงที่ไม่ค่อยชัดเจนดังขึ้นกลางวัดร้าง ดวงตาทุกคู่ของชาวบ้านเร่ร่อนของซีเหลียงจ้องไปยังสัมภาระในอ้อมกอดของเด็กชายทันที
อย่าว่าแต่อาหารแห้งธรรมดาเลย ตอนนี้ชาวบ้านในวัดร้างแห่งนี้กินได้แม้กระทั่งท่อนไม้หรือใบหญ้าแห้งด้วยซ้ำ ตอนนี้ผู้ใดยังมีอาหารแห้งซ่อนอยู่จะกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของพวกเขาทันที
ชายที่กำลังใช้เท้าเหยียบหน้าอกของเด็กชายร้อนรนขึ้นมาทันที ภรรยาของเขาอุ้มลูกชายไปหลบอยู่ทางด้านหลังชายผู้นั้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว “พ่อเอ้ย…”
“ผู้ใดกล่าววาจาไร้สาระเช่นนี้ ครอบครัวของข้าเดินทางมากับทุกคนตลอดทาง ทุกคนไม่เห็นตอนข้ากินเปลือกไม้ใบไม้อย่างนั้นหรือ หากข้ามีอาหารแห้งเหลือจริงเหตุใดต้องทนทรมานเช่นนี้ด้วย!” ชายผู้นั้นตะโกนเสียงดังลั่น
“มีหรือไม่มี เจ้าให้พวกข้าตรวจดูของด้านในย่ามก็รู้แล้ว!”
“นั่นสิ หากไม่มีเจ้าก็เทของในย่ามออกมาให้พวกเราดูสิ!”
ชาวบ้านกล่าวพลางขยับเข้าไปใกล้ชายผู้นั้น ชายผู้นั้นละเท้าออกจากหน้าอกของเด็กชาย จากนั้นพาภรรยาและบุตรชายถอยหลังหนีไปพร้อมสัมภาระในมือ ทว่า ด้านหลังคือกำแพง พวกเขาหนีไม่มีที่ให้ถอยหนีแล้ว
ทันใดนั้นเด็กชายลุกขึ้นยืนแล้วเข้าไปกระชากสัมภาระของชายผู้นั้น อาหารแห้งหล่นกระจายเต็มพื้น
“อาหารแห้ง…”
“อาหารแห้ง!”
“เข้าไปแย่งเร็ว!”
ภายในวัดร้างโกลาหลขึ้นทันที ชาวบ้านลี้ภัยของซีเหลียงต่างกรูกันเข้าไปเก็บเสบียงอาหารที่หล่นอยู่บนพื้นอย่างไม่คิดชีวิต ผู้ชายบางคนลงมือทำร้ายผู้ชายคนนั้น จากนั้นแย่งสัมภาระของครอบครัวนั้นมา ชายคนนั้นแกว่งไม้กระบองซึ่งหยิบมาจากที่ใดไม่รู้ไปทั่วเพื่อปกป้องลูกและเมียของตัวเอง
เมื่อเห็นท่าทีของผู้ชายคนนั้น เมื่อชาวบ้านคนอื่นที่หิวจนตาลายและไม่ได้เข้าไปแย่งอาหารตั้งแต่ทีแรกเห็นว่ามีชาวบ้านบางส่วนแย่งเสบียงอาหารมาได้แล้วจึงเข้าไปร่วมวงด้วยทันที
