สตรีแกร่งตระกูลไป๋ – ตอนที่ 1262 โจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 1262 โจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว

นอกเมืองอวิ๋นจิง

กองทัพต้าเยี่ยนเตรียมตัวบุกเมืองอยู่ที่ฝั่งตะวันออก แม่ทัพของต้าเยี่ยนอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน เขาสั่งห้ามทหารทุกคนจุดคบเพลิงและให้ซ่อนตัวเองอยู่ในความมืด เหล่าทหารสวมเกราะเหล็กซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างออกไปจ้องไปทางประตูเมืองทิศตะวันออกของอวิ๋นจิงด้วยสายตาที่พร้อมเขมือบเหยื่ออันโอชะของตัวเองทุกเมื่อ

พวกเขาจะทำลายประตูทิศตะวันออกให้พังเป็นประตูแรก ให้อวิ๋นจิงกลายตกเป็นของต้าเยี่ยนของพวกเขาให้ได้

ประตูเมืองทิศเหนือ

ม้าศึกที่ไป๋จิ่นซิ่วนั่งอยู่ย่ำเท้าไปมาด้วยความร้อนใจทนแทบทนไม่ไหวแล้ว มันอยากพุ่งตัวเข้าไปในเมืองเป็นคนแรก ตอนนี้เอาแต่พ่นควันขาวออกมาจากจมูกไม่หยุด

ธงเฮยฟานไป๋หมั่งโบกสะบัดไปมาท่ามกลางสายลมแรงยามค่ำคืน ไป๋ชิงฉีซึ่งสวมชุดเกราะสีเงินกำหอกยาวในมือแน่นด้วยแววตาวาวโรจน์ เขานำทัพกองทัพไป๋และบรรดาน้องๆ ของเขามารอบุกเมืองด้วยความมุ่งมั่นราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะออกล่าเหยื่อในยามวิกาล

พวกเขาจะทำลายซีเหลียงให้ราบคาบเพื่อรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง! พวกเขาจะช่วยคุณชายห้าของตระกูลไป๋ออกมาอย่างปลอดภัย!

ประตูเมืองทิศตะวันตก

ด้านหลังของแม่ทัพเสิ่นและแม่ทัพเซี่ยสวินคือกองทัพต้าเยี่ยนและกองทัพต้าโจว สองกองทัพร่วมมือกันบุกโจมตีเมืองเพื่อช่วยลดทอนกำลังทหารของซีเหลียงให้กองทัพต้าโจวและต้าเยี่ยนที่กำลังจะโจมตีประตูทิศเหนือและทิศตะวันออกของเมืองอวิ๋นจิง พวกเขาจะทำให้เต็มที่ที่สุด

ทหารสองกองทัพสวมเกราะแตกต่างกัน ทว่า พวกเขาอยู่ในท่าที่พร้อมเพรียงราวกับดาบแหลมคมสองเล่มที่กำลังจะถูกชักออกมาจากฝัก

ประตูทิศใต้

ไป๋จิ่นจื้อเสียบหอกไว้ตรงพื้นบริเวณปลายเท้า ผูกผ้าสีแดงไว้ที่ศีรษะของตัวเอง นางจะเป็นกำแพงเฝ้าอยู่ตรงนี้เพื่อกันไม่ให้หลี่เทียนเจียวหลบหนีไปจากเมืองอวิ๋นจิงได้! นางจะตัดศีรษะของแม่ทัพชราชุนซานจงให้ได้ด้วยตัวเองเหมือนที่พี่หญิงใหญ่เคยตัดศีรษะของแม่ทัพใหญ่ผางผิงกั๋วของแคว้นสู่ได้เพื่อล้างความอัปยศให้พี่ชายห้า!

ต้าเยี่ยนและต้าโจวล้อมเมืองอวิ๋นจิงไว้ทั้งสี่ทิศเพราะไม่ต้องการให้พวกเขามีทางหนี

ไม่รู้เป็นเพราะฝนใกล้ตกลงมาหรือไม่ บรรยากาศในค่ำคืนนี้จึงเงียบสนิท รอบกายไม่มีเสียงใดทั้งสิ้น

ไม่นานทหารซีเหลียงบนกำแพงเมืองอวิ๋นจิงก็โกลาหลขึ้นมาทันที เกิดไฟไหม้ขึ้นทางตะวันออกของเมืองอวิ๋นจิง ควันไฟลอยฟุ้งขึ้นกลางอากาศ ต่อมามีแสงสีแดงจากพลุปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

พลุคือสัญญาณ เปิดประตูเมืองแล้ว!

แม่ทัพต้าเยี่ยนที่อยู่ฝั่งตะวันออกเงยหน้ามองพลุสัญญาณ จากนั้นชักดาบออกมาจากฝักพลางตะโกนขึ้นสุดเสียง

“ทหารต้าเยี่ยนทุกคน! ถึงเวลาแล้ว! นี่คือสงครามทำลายล้างซีเหลียง! ทหารต้าเยี่ยนทุกคนจะได้รับการบันทึกลงในประวัติศาสตร์ พวกเราคือวีรบุรุษที่ทำลายล้างซีเหลียงให้หมดสิ้น! บุก!”

ทิศเหนือ

เมื่อพลุสัญญาณปรากฏขึ้นชายหนุ่มหันม้ากลับไปหาทหารทุกคน แสงสีเงินของเสื้อเกราะส่องสะท้อนท่ามกลางความมืด ชายหนุ่มเย็นชาและโดดเด่นท่ามกลางทหารในกองทัพ

“ทหารต้าโจวทุกคน! ผู้ที่อยู่ในวันนี้มีทั้งกองทัพไป๋และกองทัพต้าโจว มีทั้งสหายที่เคยร่วมรบกับคนตระกูลไป๋ เคยปกป้องชาวบ้านที่หนานเจียง เคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา! มีทั้งทหารที่เลือดยังร้อน เข้ามาร่วมกับกองทัพเพราะอยากปกป้องบ้านเมืองและรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง! สงครามครั้งนี้คือหนึ่งในสงครามที่สำคัญที่สุดในการรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง คือสงครามแห่งการล้างแค้นของพวกเราต้าโจว! ซีเหลียง…ต้องถูกทำลายโดยพวกเราต้าโจวเท่านั้น!”

“ทหารทุกคน!”

ไป๋ชิงฉีตะโกนสุดเสียง ม้าศึกของเขาชูขาหน้าทั้งสองข้างขึ้นกลางอากาศ ชายหนุ่มชูหอกยาวขึ้นสูงพลางตะโกนเสียงดังกึกก้อง

“บุก!”

“ตีกลองศึก! บุก!” เลือดในกายของไป๋จิ่นซิ่วร้อนผ่าว นางหันม้ากลับ จากนั้นชุกดาบออกมาแล้วพุ่งตัวออกไปเป็นคนแรก

ทหารด่านหน้าในสังกัดของไป๋จิ่นซิ่วและไป๋จิ่นเจาบุกไปทางประตูทิศเหนือทันที…

สิ่งที่ตามพวกนางไปติดๆ คือพลทหารโล่และโยนหินที่มากมองไม่เห็นปลายแถว พวกเขาเคลื่อนทัพไปใกล้ประตูทิศตะวันออกขึ้นเรื่อยๆ อย่างฮึกเหิม

เสียงกลองและแตรศึกดังสนั่นทั่วทั้งสี่ทิศของเมืองอวิ๋นจิงภายในชั่วพริบตา

แม่ทัพชราชุยซานจงที่ขี่ม้าออกมาจากวังหลวงเพื่อมุ่งหน้าไปยังประตูทิศเหนือมองเห็นกองทัพไป๋กำลังต่อสู้อยู่กับทหารซีเหลียงที่ประตูทิศเหนือ ประตูกลถูกทหารกองทัพไป๋ที่ถูกธนูยิงหลายดอกควบคุมไว้แล้ว ประตูใหญ่ค่อยๆ เปิดออก ตอนนี้เปิดกว้างพอที่คนสองคนจะบุกเข้ามาได้แล้ว…

“ตีกลอง! เหตุใดทหารของพวกเรายังไม่มาอีก!”

ทหารซีเหลียงคนหนึ่งตะโกนถามขึ้นเสียงดังท่ามกลางความอลหม่าน

เวลานี้เดิมทีทหารซีเหลียงควรนอนหลับพักผ่อนกันหมดแล้ว ทว่า เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นที่ประตูเมืองทั้งสี่ทิศของอวิ๋นจิงเช่นนี้พวกเขากลับไม่มาสมทบเสียที มันน่าแปลกยิ่งนัก

ค่ายทหารซีเหลียง

ทหารซีเหลียงที่ฝืนตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินว่าศัตรูบุกมาโจมตีแล้วใช้น้ำเย็นราดสหายของตัวเองเพื่อปลุกให้พวกเขาตื่น จากนั้นตะโกนลั่นว่าศัตรูบุกโจมตีแล้ว

เหล่าทหารซีเหลียงที่กำลังสะลึมสะลือรีบสวมเครื่องแต่งกาย พอออกมาจากประตูก็เห็นทหารซีเหลียงคนอื่นยืนออกันอยู่หน้าห้องน้ำเต็มไปหมด พวกเขารีบเร่งให้คนที่กำลังเข้าห้องน้ำอยู่เร่งทำภารกิจของตัวเองให้เสร็จ

“รีบหน่อย ศัตรูบุกโจมตีเมืองแล้ว กลับมาค่อยมาเข้าห้องน้ำใหม่ รีบไปก่อนเถิด!”

ทหารซีเหลียงคนหนึ่งใส่รองเท้าหนังพลางตะโกนเร่ง

นอกเมืองอวิ๋นจิง

ทหารซีเหลียงที่กำลังต่อสู้กับศัตรูอยู่รู้สึกปวดท้องขึ้นมากะทันหัน พวกเขาทนความจู่โจมนี้ไม่ไหว บางคนถึงขนาดฉี่ราดกางเกง เหงื่อบริเวณหน้าผากไหลท่วมกายพวกเขา

แม่ทัพชราชุยซานจงที่ถูกทหารของตัวเองดักอยู่ห่างออกไปจนเข้าไปใกล้ประตูเมืองไม่ได้ตะโกนขึ้นด้วยความร้อนใจ

“รีบขวางพวกนั้นเอาไว้เร็ว!”

ทว่า เสียงตะโกนของแม่ทัพชราชุยซานจงถูกกลบด้วยเสียงฆ่าฟันของเหล่าทหาร

กองทัพไป๋ถูกแม่ทัพชราชุยซานจงจับเป็นเข้ามาในเมืองอวิ๋นจิง ทว่า ตอนนี้พวกเขาคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้อวิ๋นจิงพ่ายแพ้!

ขอเพียงประตูเมืองถูกเปิดออก กองทัพไป๋จะทยอยเข้ามาในเมืองได้อย่างไม่ขาดสาย อีกไม่นานพวกเขาคงบุกไปถึงเมืองหลวงได้สำเร็จ

ไป๋จิ่นซิ่วและไป๋จิ่นเจาขี่ม้านำพลทหารม้าเข้าไปในเมืองเป็นกลุ่มแรก ดาบตวัดไปที่ใดที่นั่นล้วนเต็มไปด้วยเลือดและเสียงร้องอวดครวญ…

ทหารต้าโจวใช้ร่างกายของตัวเองดันประตูเมืองให้เปิดกว้างมากขึ้นกว่าเดิม

ทหารกองทัพไป๋ที่ถูกแม่ทัพชราชุยซานจงจับเข้ามาในเมืองอวิ๋นจิงสวมเครื่องแบบทหารของซีเหลียง พวกเขาผูกผ้าสีขาวไว้ที่แขนจะได้แยกแยะได้ว่าพวกเขาไม่ใช่ทหารซีเหลียง พวกเขาหมุนแกนวงล้อประตูเมืองให้เปิดอย่างรวดเร็วโดยไม่สนทหารซีเหลียงที่พุ่งเข้าไปยับยั้งพวกเขา เมื่อคนหนึ่งล้มลงอีกคนรีบเข้าไปแทนที่ทันที สุดท้ายพวกเขาเสียชีวิตด้วยคมดาบหรือลูกธนูของศัตรู…

ไป๋จิ่นซิ่วสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้แล้ว นางกระตุกบังเหียนม้า ม้าศึกชูขาสองข้างขึ้นกลางอากาศ จากนั้นมุ่งหน้าไปยังห้องควบคุมประตูทันที

พลทหารม้าติดตามไป๋จิ่นซิ่วไปติดๆ พวกเขาพุ่งเข้าสังหารทหารซีเหลียงบริเวณเครื่องควบคุมประตูเพื่อปกป้องสหายของตัวเองและให้พวกเขาทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปอย่างราบรื่น

“ไป๋จิ่นเจา! พาทหารบุกขึ้นไปบนกำแพงเมือง ยึดกำแพงเมืองสูงมาให้ได้ ให้ทหารกองทัพไป๋ปักธงเฮยฟานไป๋หมั่งลงบนกำแพงเมือง สร้างขวัญและกำลังใจให้ทหารของพวกเรา!”

ไป๋จิ่นจื้อตะโกนสั่งเสียงดังพลางชี้หอกยาวไปทางกำแพงเมืองด้วยแววตาเยือกเย็น

“ไป๋จิ่นเจารับบัญชาเจ้าค่ะ!”

ไป๋จิ่นเจาร้อนใจมานานแล้ว นางรีบพาทหารบุกขึ้นไปบนกำแพงเมืองอย่างกล้าหาญทันที

ประตูเมืองถูกเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ ทหารต้าโจวบุกเข้าด้านในมากขึ้นเรื่อยๆ ทหารบางส่วนโจมตีอยู่ที่นอกเมือง ทหารบนกำแพงเมืองต้องป้องกันทั้งการลอบโจมตีทหารต้าโจวของไป๋จิ่นเจาและต้องป้องกันกองทัพใหญ่ของต้าโจว พวกเขารับมืออย่างยากลำบากทั้งสองทาง

ทหารซีเหลียงถูกแบ่งไปช่วยดับไฟและกระจายตัวไปยังประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ต้าเยี่ยนและต้าโจวบุกโจมตีโดยที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว ที่สำคัญในเมืองมีสายลับของพวกเขาแฝงตัวอยู่นี่คือเหตุผลที่กองทัพซีเหลียงไม่สามารถรวมพลเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งเพื่อต่อต้านศัตรูได้ในเวลาอันสั้น

ตอนที่ 1258 ใช้ทั้งสองวิธี

ชาวบ้านบางคนแย่งสัมภาระมาจากพวกเขา บางคนฉุดกระชากเสื้อผ้าของพวกเขาอย่างโหดร้ายเพื่อตรวจสอบว่าพวกเขาซ่อนอาหารหรือเงินไว้กับตัวบ้างหรือไม่ ภรรยากรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ลูกชายร้องไห้ไม่หยุด

ไป๋จิ่นเซ่อที่ย้อนกลับมาอีกครั้งมองดูเหตุการณ์อยู่หน้าประตูวัดร้าง นางกวาดสายตามองหาร่างของเด็กชายคนนั้น นางเห็นเด็กชายคนนั้นคาบอาหารแห้งไว้ที่ปากคลานออกมาจากกลุ่มของชาวบ้าน จากนั้นวิ่งมาทางนาง…

เมื่อเห็นเด็กชายหนีออกมาได้อย่างปลอดภัยไป๋จิ่นเซ่อจิ่งวิ่งหนีไปทันที เด็กชายรีบวิ่งตามหลังไป๋จิ่นเซ่อไป เขาแบ่งอาหารแห้งที่เก็บรักษาเป็นอย่างดีออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งยื่นให้ไป๋จิ่นเซ่อ

ไป๋จิ่นเซ่อก้มมองดูเด็กชายที่มองมาที่นางด้วยตาเป็นประกาย เมื่อเห็นไป๋จิ่นเซ่อไม่รับอาหารแห้งจากเขาเด็กชายคนนั้นจึงยัดอาหารแห้งใส่มือของไป๋จิ่นเซ่อทันที

“กิน…” เด็กชายกล่าว

เด็กชายเป็นคนแย่งอาหารออกมาได้ เดิมทีไป๋จิ่นเซ่อไม่อยากแย่งของเด็กชาย ทว่า ไป๋จิ่นเซ่อที่ไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องมานานต้องการแรงในการหลบหนี ดังนั้นนางต้องกิน

ไป๋จิ่นเซ่อไม่มีเวลาสนใจมือที่สกปรกของเด็กชาย ไม่มีเวลาสนใจว่าอาหารแห้งเปื้อนคราบน้ำลายของเด็กชายมาก่อน นางรับอาหารแห้งมาไว้ในมือ จากนั้นกล่าวขอบคุณพลางเดินไปกินไป

เมื่ออาหารตกถึงท้องไป๋จิ่นเซ่อรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที นางพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้กินอาหารแห้งหมดในครั้งเดียว นางค่อยๆ กัดกินทีละน้อยๆ ไป๋จิ่นเซ่อไม่เคยลืมคำของท่านหมอหงที่ว่าหากหิวเป็นเวลานานควรทานโจ๊กให้ท้องปรับสภาพได้ก่อน ทว่า ตอนนี้ไม่มีโจ๊ก ไม่มีน้ำ นางทำได้เพียงเคี้ยวให้ละเอียดที่สุดเท่านั้น

ไป๋จิ่นเซ่อและเด็กชายเดินขึ้นไปทางเหนือพลางกินอาหารแห้งในมือไปด้วย…

ท้องฟ้าเต็มไปด้วยพระจันทร์และดวงดาวที่ส่องแสงสุกสกาว

เงาของไป๋จิ่นเซ่อและเด็กชายทอดยาวไปตามทางภายใต้ต้นไม้ที่ยังไม่ผลิดอกออกใบ ทั้งสองคนพยายามไม่ให้เงาของตัวเองปรากฏชัดท่ามกลางแสงจันทร์เพราะกลัวจะถูกคนเห็นและคิดจับพวกนางไปกินอีกครั้ง

วันนี้หากไป๋จิ่นเซ่อเดินไปตามทางนี้คนเดียวนางอาจรู้สึกหวาดกลัว ทว่า ตอนนี้นางมีคนเดินเป็นเพื่อน แม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงเด็ก ทว่ากลับทำให้ไป๋จิ่นเซ่อมีความกล้ามากขึ้นกว่าเดิม

นี่คงเป็นเหตุผลที่ชาวบ้านลี้ภัยของซีเหลียงรวมตัวอพยพไปด้วยกัน คือเหตุผลที่แม้บางครอบครัวจะมีเสบียงอาหารติดตัว ทว่า ไม่ยอมเดินทางตามลำพัง กลับเลือกที่จะเดินทางไปพร้อมชาวบ้านลี้ภัยคนอื่นๆ แทน

โชคดีที่ไป๋จิ่นเซ่อเกิดมาในตระกูลไป๋ นางมีโอกาสร่ำเรียนวิชามากมายดังนั้นนางจึงรู้ว่าหากเดินทางไปตามดาวเหนือนางจะไม่มีวันหลงทางแน่นอน

พวกนางไม่กล้าใช้ถนนของทางการเพราะกลัวจะถูกชาวบ้านลี้ภัยจับตัวไปอีก ดังนั้นพวกนางจึงเลือกที่จะเดินในป่าลึกไปตามเส้นทางเล็กๆ แทน

ทั้งสองคนไม่หยุดเดินจนกระทั่งฟ้าสว่าง ไป๋จิ่นเซ่อหอบหายใจด้วยความอ่อนล้า นางหันกลับไปมองก็เห็นเด็กชายเดินตามนางมาติดๆ แม้จะหอบหายใจอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน

“พวกเราพักที่นี่ก่อนก็แล้วกัน” ไป๋จิ่นเซ่อกล่าวกับเด็กชาย

เด็กชายมองไปทางไป๋จิ่นเซ่ออย่างไม่เข้าใจ ไป๋จิ่นเซ่อเปลี่ยนเป็นกล่าวภาษาทางการแทนภาษาซีเหลียง

“พวกเราพักที่นี่กันก่อน!”

เด็กชายพยักหน้า เมื่อเห็นไป๋จิ่นเซ่อนั่งลงเขาจึงนั่งลงตาม เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ราวกับกำลังหาของกิน

ทว่า สถานที่ที่ชาวบ้านลี้ภัยเดินผ่านจะมีของกินเหลือให้พวกเขาได้อย่างไรกัน แม้แต่เปลือกไม้ยังถูกพวกนั้นแทะเสียจนเกลี้ยงเกลา

“เจ้าไม่ใช่ชาวบ้านลี้ภัย!”

ไป๋จิ่นเซ่อรู้ว้าเด็กชายไม่ใช่ชาวบ้านลี้ภัยของซีเหลียงจากการที่เขาไม่เข้าใจภาษาซีเหลียง

“เจ้าฟังภาษาซีเหลียงไม่ออก เจ้าเป็นคนต้าโจวอย่างนั้นหรือ!”

เด็กชายไม่กล่าวตอบ ไป๋จิ่นเซ่อก็ไม่ได้ฝืนบังคับ พวกนางพบกันโดยบังเอิญ เป็นเพียงคนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เวลานี้การไม่เชื่อใจผู้ใดทั้งสิ้นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว หากเด็กชายผู้นี้ถามถึงฐานะของนางนางก็คงไม่ตอบเช่นเดียวกัน

ตอนกลางวันไม่มีดาวเหนือคอยนำทางเหมือนตอนกลางคืน ไป๋จิ่นเซ่อจำต้องพาเด็กชายเดินไปยังถนนของทางการ พวกนางเดินไปตามทางบนเขาซึ่งติดกับถนนของทางการ แม้เส้นทางจะขรุขระและเดินยากไปบ้าง ทว่า พวกนางจะรอดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ

บางครั้งพวกนางพบกับทางที่ขาดตอน เบื้องหน้าคือหน้าผาสูงประมาณสามสิบถึงสี่สิบฟุต ไป๋จิ่นเซ่อเคยเลยวรยุทธิ์มาจากกองทัพไป๋นางสามารถปีนขึ้นหน้าผาได้ แม้เด็กชายจะดูผอมแห้ง ทว่า เขาเป็นคนคล่องแคล่ว เขาปีนขึ้นไปได้เร็วกว่าไป๋จิ่นเซ่ออีก เขาก้มมองดูไป๋จิ่นเซ่อปีขึ้นมาด้านบน เมื่อปีนขึ้นมาเสร็จทั้งสองคนจึงเดินทางต่อ

เด็กชายไม่รู้ว่าพวกเขากำลังจะไปที่ใด ทว่า ไป๋จิ่นเซ่อไปที่ใดเขาก็จะตามไปที่นั่น บางทีอาจเป็นเพราะไป๋จิ่นเซ่อช่วยแก้มัดให้เขา อาจเป็นเพราะนางไม่ทอดทิ้งเขา นางตะโกนช่วยชีวิตเขาไว้อีกครั้งตอนที่เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันดังนั้นเด็กชายจึงคิดตามไป๋จิ่นเซ่อไปเรื่อยๆ

ทั้งสองคนไม่ใช่คนพูดมาก พวกเขาทำเพียงเดินเคียงข้างกันไปตลอดทางเท่านั้น

ตกกลางคืนทั้งสองคนก่อกองไฟและพักงีบชั่วครู่ จากนั้นจึงออกเดินทางต่อ

จู่ๆ เด็กชายก็กระตุกแขนของไป๋จิ่นเซ่อ เขาหยิบขนมปังที่บิดเบี้ยวจนไม่เป็นรูปร่างออกมาจากอก จากนั้นแบ่งให้ไป๋จิ่นเซ่อครึ่งหนึ่ง

ไป๋จิ่นเซ่อนึกไม่ถึงว่าเด็กชายยังมีเสบียงอาหารซ่อนอยู่ ไป๋จิ่นเซ่อนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเอื้อมมือรับอาหารแห้งมาแบ่งออกเป็นหลายส่วน ก่อนหน้านี้ไป๋จิ่นเซ่อกินอาหารแห้งที่เด็กชายแบ่งให้หมดในคราวเดียวเพราะหากไม่กินจะไม่มีแรง อาจถูกพวกนั้นไล่ตามจับได้!

ทว่า ตอนนี้นางต้องคิดให้มากกว่าเดิม หากหลังจากนี้พวกนางหาเสบียงอาหารไม่ได้อีก สิ่งนี่จะเป็นขนมชิ้นสุดท้ายของพวกนางแล้ว!

เด็กชายที่กำลังจะยัดขนมทั้งหมดเข้าปากเห็นไป๋จิ่นเซ่อแบ่งขนมออกเป็นหลายส่วนจึงชะงักสิ่งที่เขากำลังทำลง จากนั้นแบ่งขนมออกเป็นหลายส่วนและเก็บไว้ตามไป๋จิ่นเซ่อ

ไป๋จิ่นเซ่อเหลือบเห็นการกระทำของเด็กชายจึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเขาอย่างอดไม่ได้

“ไปกันเถิด”

เด็กชายลุกขึ้นยืน ดับไฟในกองไฟ จากนั้นเดินตามไป๋จิ่นเซ่อจากไป

เมืองอวิ๋นจิง

เมื่อครู่แม่ทัพชราชุยซานจงเพิ่งมาดูอาการของไป๋ชิงอวี๋ หมอหลวงบอกว่าชีพจรของไป๋ชิงอวี๋เริ่มดีขึ้นแล้ว อีกไม่กี่วันเขาคงฟื้นขึ้นมา

ในที่สุดแม่ทัพชราชุยซานจงจึงวางใจได้เสียที

“แม่ทัพชราชุย ท่านคิดว่าพวกเราควรรอให้จักรพรรดินีแห่งต้าโจวมาที่นี่แล้วค่อยบอกเรื่องที่ต้าเยี่ยนทรยศต้าโจวกับนาง จากนั้นส่งตัวไป๋ชิงอวี๋กลับไปเป็นของขวัญให้นางเพื่อขอทำสัญญาสงบศึกหรือควรร่วมมือกับต้าเยี่ยนดี” หลี่เทียนเจียวและแม่ทัพชราชุยซานจงเดินไปตามระเบียงที่ทอดยาวอย่างช้าๆ

“กระหม่อมก็อยากปรึกษาเรื่องนี้กับฝ่าบาทอยู่พอดีพ่ะย่ะค่ะ…”

แม่ทัพชราชุยกล่าวขึ้นอย่างไม่รีบร้อน

“กระหม่อมคิดว่าพวกเราสามารถใช้ทั้งสองวิธีพร้อมกันได้พ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เทียนเจียวหันกลับไปมองแม่ทัพชราชุยซานจงด้วยความสนใจ

“แม่ทัพชราชุยลองอธิบายมาสิ”

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

Status: Ongoing
นิยายจีนโบราณเข้มข้น ปะทะคารม ทดสอบไหวพริบ สนุกถึงใจ! เพราะถูกคนชั่วหลอกใช้ชาติก่อนคนทั้งตระกูลของนางจึงต้องตายอย่างน่าอนาถ ไร้ซึ่งคนทวงถามความเป็นธรรม ชาตินี้นางหวนกลับมาก่อนเรื่องราวเกิดขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยแต่หากสามารถช่วยเหลือคนในครอบครัวได้แม้สักคนนางก็ยินดีทุ่มเทกำลังให้ถึงที่สุด สตรีตระกูลไปแต่ไรมาแกร่งกล้ำเพียบพร้อมบุ๋นบู๊ แม้ไร้ซึ่งที่พึ่งพิงแล้วจริงแต่ก็จะไม่ยอมให้ผู้ใดมากดขี่ได้! และเพราะเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปนางจึงได้พบกับ ‘เขา’ ไวกว่าชาติก่อน เขาผู้นี้แม้ภายนอกดูป็นมิตรและสง่งามกว่าใคร แต่นงแจ่มแจ้งดีว่าเขาเจ้าเล่ห์และอำหิตมากเพียงไหน ชาติก่อนแม้ยืนกันคนละฝั่งแต่บุรุษผู้นี้กลับเป็นผู้มอบทางรอดให้แก่นาง อย่างนั้นชาตินี้นางก็ย่อมตอบแทนเขาเป็นอย่างดีเช่นกัน “แม่นางไปช่วยเหลือข้าหลายครั้งหลายครา ใช่ว่าชื่นชอบข้าหรือไม่?” “คุณชายเข้าใจผิดแล้วล่ะ” “ข้าช่วยเหลือแม่นางไปมาหลายครั้งหลายครา แม่นางไปมีใจชื่นชอบข้าบ้างหรือไม่?” “…”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท