บทที่ 286 แค่จะมาออกกำลังกายตอนเช้า
ไป๋เยี่ยยังคงพูดจาเร็วดั่งเคย ทว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นล้วนอัดแน่นไปด้วยข้อมูลที่เป็นประโยชน์! ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคและข้อควรพิจารณาทางภาคปฏิบัติต่างๆ
หากว่ากันตามตรง สิ่งที่ไป๋เยี่ยกำลังพูดถึงก็คือหลักการจัดการกับอาการบาดเจ็บฉุกเฉิน ซึ่งถือได้ว่าเป็นแนวทางการแพทย์ฉุกเฉินก็ว่าได้!
เพิ่งจะเริ่มพูดได้ไม่นาน ทุกคนก็เริ่มจะตื่นรู้ขึ้นบ้างแล้ว
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ได้เหมือนกัน!
ทำแบบนี้แล้วจะได้ผลแบบนี้จริงหรือ
ที่แท้เราก็ใช้วิธีนี้ในการลดความดันในกะโหลกศีรษะได้ด้วย
ทว่าเมื่อทุกคนเริ่มสะสมและจัดระเบียบความรู้จำนวนมากที่ได้รับแล้ว พวกเขาก็เริ่มมึน พอพวกเขาเงยหน้ามองไป๋เยี่ยอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่าไป๋เยี่ยได้กลายเป็นศาสตราจารย์ในสายตาของพวกเขาไปแล้ว
พวกเขารู้สึกเหมือนได้กลับมาเรียนแพทย์อีกครั้ง และก็ต้องตกใจกับความรู้อันลึกซึ้งของอาจารย์!
ไป๋เยี่ยพูดเร็วมาก แต่เพราะทุกคนเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ จึงยังพอตามไป๋เยี่ยทันอยู่
แต่ถึงแม้พวกเขาจะตามทัน แต่ในใจก็ยังคงมีคำถามมากมาย เช่นทำไมไป๋เยี่ยถึงมาทำอะไรแบบนี้ที่นี่!
ในที่สุด! หลังจากที่ไป๋เยี่ยนำเสนอเคสผู้บาดเจ็บจบแล้ว เขาก็หยุดพูดและมองไปยังทุกคน “หากมีคำถามอะไรก็ถามได้เลยนะครับ ผมเชิญพวกคุณมาที่นี่ในวันนี้เพราะหวังว่าต่อไปผมจะค้นพบวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นจากการศึกษาเคสเหล่านี้ ต่อไปในอนาคต การกู้ภัยจะได้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และผู้บาดเจ็บก็ได้รับการรักษาที่เกิดประสิทธิผล!”
ในที่สุดทุกคนก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พวกเขารอเวลานี้มานานแล้ว ศาสตราจารย์ชาวสเปนคนหนึ่งชิงเอ่ยขึ้นก่อน “ศาสตราจารย์ไป๋เยี่ย ผมสงสัยว่าการทดสอบการเคลื่อนไหวของตาคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเส้นประสาทตาที่เสียหายเท่านั้นใช่ไหมครับ คุณคิดว่ามันเกี่ยวกับ…”
ทันทีที่ไป๋เยี่ยได้ฟังคำถามนั้น เขาก็รู้สึกว่ามีความคิดบางอย่างผุดเข้ามาในสมองของเขา แน่นอน เขาคิดว่าตนเองยังปรับปรุงแนวคิดนั้นได้อีก จึงเริ่มอภิปรายเคสนี้กับทุกคน
พอมีคนแรกที่กล้าถาม คนต่อๆ ไปก็จะเริ่มตามมาด้วย
แสดงให้เห็นว่าบรรดาผู้เชี่ยวชาญนั้นมีความพิเศษอย่างไรบ้าง หากไป๋เยี่ยนำเรื่องพวกนี้ไปหารือกับนักศึกษาปริญญาเอก หรือเจ้าหน้าที่กู้ภัย พวกเขาจะต้องสัมผัสได้ถึงความเก่งกาจของไป๋เยี่ยอย่างแน่นอน
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ไป๋เยี่ยก็ไม่ใช่พระเจ้า เขาเองก็มีข้อบกพร่องมากมายที่ตัวเขาเองยังตระหนักไม่ได้ ซึ่งต้องอาศัยการชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ จากนั้นก็นำข้อบกพร่องนั้นมาอภิปรายอีกครั้งแต่ค้นหาวิธีการที่ดีกว่า
ไป๋เยี่ยก็จะได้รับค่าประสบการณ์จากบรรดาผู้เชี่ยวชาญผ่ากระบวนการดังกล่าว ซึ่งเป็นจุดประสงค์ของไป๋เยี่ยที่เชิญพวกเขามาที่นี่นั่นเอง
การอภิปรายดำเนินไปอย่างคึกคัก ทุกคนต่างตื่นเต้นไปกับน้ำแข็งและหิมะ จนไม่สนใจว่าสถานที่ประชุมจะเป็นพื้นที่เปิดโล่งที่ตั้งอยู่ในสภาพอากาศที่ย่ำแย่ กลับกัน สภาพแวดล้อมดังกล่าวกลับกลายเป็นตัวเร่งความคืบหน้า
ทุกคนทุ่มเทพลังงานและสมาธิทั้งหมดไปกับการเรียนรู้และการอภิปราย
การอภิปรายเคสหนึ่งกินเวลาราวๆ ห้าเกือบหกชั่วโมง มื้ออาหารที่ได้รับก็เป็นอาหารจานด่วนอย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทุกคนต่างนั่งยองๆ อยู่กับพื้นพร้อมกับชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขณะเดียวกันก็พูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น แม้แต่อาหารเลิศรสก็ไม่ทำให้รู้สึกดีได้เท่ากับการฟังสิ่งที่ไป๋เยี่ยพูด
ระหว่างที่ทุกคนกำลังคุยกันอยู่นั้น อาคามอสและโมลโดก็อัดเสียงของไป๋เยี่ยไว้ จากนั้นพวกเขาก็จดบันทึกสิ่งที่อัดเสียงไว้ไม่ได้ลงในสมุดโน้ต
พวกเขารู้สึกโชคดีจริงๆ ที่มีอาจารย์เก่งขนาดนี้
ในช่วงพักผ่อนตอนกลางคืน ผู้เชี่ยวชาญที่มาเข้าร่วมการประชุมต่างก็มองอาคามอสและโมลโดด้วยสายตาริษยาอย่างบอกไม่ถูก
ถือเป็นบุญอย่างยิ่งที่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้
คืนนั้นทุกคนตื่นเต้นเกินกว่าจะหลับลง พวกเขาขดตัวอยู่ในถุงนอนพลางหารือประเด็นต่างๆ ไปด้วย
การอภิปรายในวันที่สองเป็นหัวข้อเกี่ยวกับการผ่าตัดหัวใจ ไป๋เยี่ยยังไม่ค่อยเชี่ยวชาญในสาขานี้นัก เพราะการผ่าตัดหัวใจนั้นมีความซับซ้อนมาก ปกติแล้ว ‘หยางหมิง‘ จะเป็นคนรับผิดชอบเคสเหล่านั้นแทน ทว่าแนวทางที่ไป๋เยี่ยใช้ในการรักษาหัวใจฉุกเฉินนั้นก็เป็นขั้นเป็นตอนอย่างยิ่ง
แนวทางการรักษาพยาบาลฉุกเฉินนั้นคือความรู้ แนวคิดและทักษะอย่างหนึ่ง
ไป๋เยี่ยต้องการปลูกฝังทักษะการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินให้ทุกคน และนำทักษะนั้นมาผสมผสานเข้ากับความรู้ทางวิชาชีพเพื่อสร้างองค์ความรู้ระดับสูง
นี่คือสิ่งที่ไป๋เยี่ยต้องการทำ
มนุษย์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงภัยพิบัติ เมื่อต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ มนุษย์ก็ช่างเปราะบางเหลือเกิน
ในช่วงที่ผ่านมานี้ ไป๋เยี่ยพูดได้อย่างเต็มปากว่าเขาได้เห็นความสิ้นหวัง ความตาย ความโศกเศร้าของการถูกพรากภรรยาและบุตรไป เสียงร้องไห้จนแทบขาดใจของผู้เป็นแม่ และแม้กระทั่งน้ำตาของชายชราที่แห้งเหือด
พวกเขาทั้งหมดอาจจะเป็นผู้บริสุทธิ์ ทว่าภัยพิบัติย่อมไม่ปรานีผู้ใด
ดังนั้น ไป๋เยี่ยจึงหวังว่าเขาจะดึงศักยภาพของตนเองในการคิดค้นศาสตร์ที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้
ให้พวกเขาได้มีโอกาสรอดจากภัยพิบัติมากขึ้นกว่านี้
นี่คือสิ่งที่ไป๋เยี่ยคิดทั้งหมด!
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!
เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไปช้าๆ บรรดาผู้เชี่ยวชาญก็อาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลากว่าสัปดาห์แล้ว ทุกๆ วันต่างคนต่างได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ช่วยกันอภิปรายงานวิจัย ค้นพบความรู้และวิธีการใหม่ๆ ไปด้วยกัน
ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ทำให้ทุกคนหันมาเรียนรู้และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
เพราะว่าไม่มีวิชาใดที่สมบูรณ์แบบที่สุดและก็ไม่มีวิธีการใดที่ถูกต้องเสมอ เมื่อพบเจอกับความยากลำบากที่หาทางแก้ไม่ได้ ทุกคนก็ต้องคอยสนับสนุนซึ่งกันและกัน
บรรดาผู้เชี่ยวชาญมองว่าไป๋เยี่ยเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่รอบรู้ทุกเรื่อง ทั้งยังเป็นเด็กหนุ่มที่มีนิสัยเรียบง่ายและมีจิตใจเมตตา
ทุกคนมักจะมานั่งพูดคุยและดื่มเหล้าด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง
บางทีก็คงเป็นเพราะพวกเขาใกล้จะต้องแยกกันไปแล้ว ทุกคนจึงมีความอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย น่าเสียดายที่ไม่มีการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ใดๆ ทุกคนจึงมารวมตัวกันร้องเพลงที่ริมชายหาด
ผู้คนกว่ายี่สิบคนกับภาษาที่แตกต่างกันกว่าสิบภาษากำลังพิสูจน์มิตรภาพกันท่ามกลางสายลมทะเลที่พัดพามา
ปัจจุบันผู้บาดเจ็บจำนวนมากถูกเคลื่อนย้ายออกไปรักษาต่อที่เมืองใกล้เคียงแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋เยี่ยไม่ได้ออกไปส่งใครเลย ไม่ใช่เพราะว่าเขารู้สึกอาลัยอาวรณ์ แต่เป็นเพราะเขารู้สึกไม่ชินเท่าไหร่
ทุกคนกำลังยืนโค้งคำนับอยู่ด้านนอกเต็นท์ของไป๋เยี่ย
ตลอดแปดเก้าวันที่ผ่านมา ไป๋เยี่ยได้ถ่ายทอดความรู้มากมายให้พวกเขา ถึงแม้มันจะไม่ได้ทำให้พวกเขามีพัฒนาการก้าวกระโดด แต่มันก็กลายเป็นประตูสู่อนาคตบานหนึ่งสำหรับพวกเขา
อาจกล่าวได้ว่าไป๋เยี่ยถือเป็นที่ปรึกษาของพวกเขาอยู่ครึ่งหนึ่ง เป็นผู้ที่จะส่องแสงให้พวกเขาเห็นเส้นทางที่กำลังมุ่งหน้าต่อไปในอนาคต
บางทีการจากกันครั้งนี้อาจจะกินเวลาหลายปีกว่าจะได้กลับมาพบกันอีก
ทว่าทุกคนต่างก็นับถือไป๋เยี่ยเป็นอาจารย์คนหนึ่ง แม้ว่าไป๋เยี่ยจะไม่ยอมรับก็ตาม
อาคามอสและโมลโด้เป็นคนไปส่งทุกคน ก่อนที่จะออกเดินทางทุกคนก็หันกลับมาพูดกับพวกเขาว่า
“ดูแลอาจารย์ให้ดีล่ะ ศิษย์อันดับหนึ่ง ศิษย์อันดับสอง!”
คำพูดนั้นทำเอาไป๋เยี่ยถึงกับทำตัวไม่ถูก
ดูเหมือนว่าเราจะเป็นพวกคนรุ่นใหม่ไฟแรงสินะ
อึดอัดชะมัด!
แค่กๆ…
เมื่อเห็นว่าทุกคนไปแล้ว ไป๋เยี่ยก็ค่อยเดินออกมา อาคามอสและโมลโดจึงหันไปมองหน้ากันและหัวเราะออกมา
ไป๋เยี่ยนิ่วหน้า “พวกคุณหัวเราะอะไรกันครับ ผมแค่จะไปออกกำลังกายตอนเช้าเท่านั้นเอง! แล้วพวกคุณก็ยังไม่ได้เอาเอกสารที่เตรียมไว้มาให้ผมเลยนะ อีกสองวันผมก็จะกลับจีนอยู่แล้ว”
บทที่ 284 รับศิษย์
เมื่อเห็นว่าไป๋เยี่ยมีความคิดที่จะเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ฉุกเฉินมารวมตัวกันอภิปรายเคสยากๆ ของผู้บาดเจ็บที่พบระหว่างเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมียนมา ทั้งอาคามอสและโยฮันต่างก็พากันทึ่ง
อาคามอสไม่เคยคิดมาก่อนว่าไป๋เยี่ยจะเป็นคนดีขนาดนี้ เขาเต็มใจแบ่งปันทั้งประสบการณ์และความรู้ที่ตนมีให้ผู้อื่น
ถ้าเป็นคนอื่นๆ ที่มีความรู้และประสบการณ์อัดแน่นล่ะก็ พวกเขาคงจะเก็บเงียบไว้คนเดียวและส่งต่อมันให้ทายาทรุ่นต่อไปมากกว่า แม้ว่าจะไม่ได้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ของตนเองก็ตาม แต่คนเหล่านี้ก็ยังคงยื่นขอสิทธิบัตร เข้าไปมีส่วนร่วมในงานวิจัยระดับประเทศมากมาย ระดมทุนทำงานวิจัย เขียนหนังสือหรือบทความจำนวนมากและทำให้ตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญแห่งยุค!
แต่ไป๋เยี่ยนั้นต่างออกไป เขาเชิญผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ มาร่วมหารือกันเกี่ยวกับเคสผู้ป่วยอย่างเปิดเผย โดยหวังว่าทุกคนจะก้าวหน้าไปด้วยกัน นี่แหละคือการเปิดโลก!
ในที่สุดอาคามอสก็เข้าใจแล้วว่าทำไมไป๋เยี่ยถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญแห่งยุค ในขณะที่พวกเขาเป็นได้เพียงผู้เชี่ยวชาญทั่วไปเท่านั้น!
แม้แต่โมลโดเองก็ยังประทับใจในจิตวิญญาณของไป๋เยี่ย ไป๋เยี่ยทุ่มเทให้กับการพัฒนาการแพทย์อย่างหนักโดยไม่สนใจชื่อเสียงเงินทองหรือสิ่งรูปธรรมใดๆ สิ่งที่เขาต้องการจริงๆ คือการส่งเสริมให้การแพทย์เกิดการพัฒนา
เพราะจากที่คนอื่นๆ เห็นนั้น ไป๋เยี่ยกล้าเสี่ยงภัยเดินทางไปยังประเทศเมียนมาที่เพิ่งจะเกิดแผ่นดินไหวและยังคงเกิดอาฟเตอร์ช็อกตลอดเวลาซึ่งอันตรายมาก
ทว่าไป๋เยี่ยกลับเต็มใจแบ่งปันประสบการณ์ของเขาในวิกฤตการณ์ครั้งนี้กับทุกคน คุณคิดว่าบุคคลอย่างเขาควรค่าแก่การติดตามและยกย่องหรือไม่ล่ะ
อาคามอสมองไป๋เยี่ยแล้วพยักหน้าอย่างแน่วแน่ “ไม่ต้องห่วง อาจารย์ไป๋ ผมเข้าใจคุณดี คุณอยากส่งต่อความรู้ของคุณให้กับบุคลากรในแวดวงการแพทย์และหวังว่าทุกคนจะได้รับคลังความรู้อันล้ำค่านี้ไม่ต้องห่วงเลย ผมจะกระจายข่าวนี้ออกไปให้เร็วที่สุด! ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง!”
อาคามอสพูดจบก็หันหลังเดินออกไปอย่างแน่วแน่ทันที ตอนนี้เลือดที่สูบฉีดไปยังหัวใจของเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความหลงใหล ความเสียสละ และการอุทิศตน!
นอกจากนี้ เขายังประทับใจในความกล้าหาญและความใจกว้างของไป๋เยี่ยอีกด้วย
การจะเป็นแพทย์ได้ควรยึดเอาไป๋เยี่ยเป็นตัวอย่าง จะต้องรู้จักแสดงน้ำใจในยามที่ผู้คนประสบภัยอันตราย
การจะฝึกปรือทักษะใดๆ ให้เป็นเลิศได้นั้นต้องอุทิศตนเองให้ถึงที่สุด!
ถ้าอาคามอสเข้าใจภาษาจีน เขาก็คงจะแต่งกลอนให้ไป๋เยี่ยอย่างแน่นอน!
เมื่ออาคามอสออกไปแล้ว ภายในห้องก็เหลือแค่ไป๋เยี่ยและโมลโด
โมลโดมองไป๋เยี่ยก่อนจะถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วโค้งคำนับให้อีกฝ่าย “อาจารย์ไป๋ รับผมเป็นศิษย์ด้วย ผมยินดีติดตามศึกษาดูงานไปกับคุณ”
ไป๋เยี่ยถึงกับตะลึง เขาไม่คิดว่าโมลโดจะทำอะไรแบบนี้ จึงก้าวไปด้านหน้าและพยุงโมลโดขึ้นมา “ศาสตราจารย์โมลโด จริงๆ แล้วผมก็เริ่มศึกษาสาขาศัลยกรรมกระดูกจากหนังสือของคุณเนี่ยแหละครับ คุณต่างหากที่ทำให้ผมมีทุกวันนี้!”
โมลโดส่ายหัว “ไม่ครับ! การศึกษาย่อมไม่คำนึงถึงอายุ อาจารย์ไป๋ทั้งทัศนคติและความรู้ที่คุณมีนั้นควรค่าแก่การติดตามมาก คุณอย่าปฏิเสธเลยนะ”
เมื่อไป๋เยี่ยเห็นถึงความเด็ดเดี่ยวของโมลโดก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เราเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ
แต่ว่า…ถ้าเราเป็นอาจารย์ของคุณโมลโด…ไม่รู้ว่าพอกลับไปจีนแล้ว อาจารย์หลี่เจี้ยนเหว่ยจะคิดยังไงเลยแฮะ…เพราะตอนที่หลี่เจี้ยนเหว่ยกำลังเรียนสาขากระดูกและข้อ ไอดอลของเขาก็คือคุณโมลโดเนี่ยแหละ
อย่างไรเสีย โมลโดก็เป็นถึงปรมาจารย์สาขาศัลยกรรมกระดูกของเยอรมัน เขานำวิทยาการสมัยใหม่มาประยุกต์เข้ากับวิธีการผ่าตัดกระดูกได้อย่างลงตัว ซึ่งมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน
ตัวอย่างเช่นหลี่เจี้ยนเหว่ย เทคนิคการผ่าตัดของเขาก็ได้รับอิทธิพลมาจากโมลโดเช่นกัน และเขาเองก็กำลังพัฒนาความรู้เรื่องการศัลยกรรมกระดูกตามโครงสร้างทางกายวิภาค
ถ้าไป๋เยี่ยกลายเป็นอาจารย์ของโมลโด…ลำดับความอาวุโสจะต้องพังแน่ๆ
เมื่อไป๋เยี่ยเห็นว่ามอลโดจะไม่ยอมลดละความพยายามจนกว่าจะสำเร็จ เขาก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น “คุณนั่งลงก่อนครับ ผมรับปากคุณนะ แต่ว่า…ผมคงเป็นอาจารย์ไม่ได้หรอก ผมไม่เคยรับลูกศิษย์เลย…เอาแบบนี้ดีกว่า ต่อไปถ้าคุณมีปัญหาอะไรก็มาปรึกษาผมได้เลย แต่ไม่ต้องเรียกผมว่าอาจารย์นะครับ”
โมลโดได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างทันที “ขอบคุณมากอาจารย์! ยังไงผมก็ต้องเรียกคุณว่าอาจารย์ ผม โมลโด จะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังแน่นอน”
เขามีความสุขมากเมื่อได้รู้ว่าตนเองได้เป็นศิษย์คนแรกของอาจารย์ไป๋เยี่ย
ในวงการวิชาการจะให้ความสำคัญกับการสืบทอดความรู้มากเป็นพิเศษ เปรียบดั่งมรดกทางวิชาการที่ถูกส่งต่อมายังรุ่นสู่รุ่น
เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์จึงลึกซึ้งมาก แต่แน่นอนว่าก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน
จู่ๆ โมลโดก็นึกอะไรได้ เขาหยิบถ้วยชาของไป๋เยี่ยขึ้นมาและคุกเข่าลงงแล้วพูดว่า “อาจารย์ ผมขอใช้น้ำชานี้แทนเหล้า ต่อไปผมจะเตรียมมาให้พร้อมกว่านี้”
ไป๋เยี่ยรับถ้วยชานั้นมาอย่างเก้ๆ กังๆ ทว่าขณะที่เขากำลังจะดื่มชานั้น จู่ๆ อีกฝ่ายก็ขัดเขา
“เดี๋ยวก่อน!”
ไป๋เยี่ยสะดุ้งจนเกือบโดยนแก้วทิ้ง ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าอาคามอสกำลังยื่นอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าย่ำแย่
เขาจ้องมองมอลโดด้วยความโกรธพร้อมกับเอ่ยเสียงเศร้า “ให้ตายสิ โมลโด ฉันมองนายเป็นพี่ชาย แต่นายเคยมองฉันเป็นน้องชายบ้างไหม นายนี่มัน!”
อาคามอสหันกลับไปมองไป๋เยี่ย “อาจารย์! ผมเป็นศิษย์ใหญ่ของคุณ คุณจะให้สิทธิพิเศษกับโมลโดไม่ได้ ผมตามคุณมาก่อนเขาตั้งหลายวัน”
พูดจบ อาคามอสก็หยิบแก้วน้ำข้างๆ ขึ้นมาก่อนจะคุกเข่าลง “อาจารย์ รับผมเป็นศิษย์ที นับตั้งแต่วันนี้ ผม อาคามอสจะเป็นศิษย์ของอาจารย์ไป๋เยี่ย ต่อไปผมจะ…”
อาคามอสพูดจบก็จ้องมองไป๋เยี่ยด้วยสายตาแน่วแน่ “อาจารย์! โปรดดื่มชา”
ไป๋เยี่ยมองชาวต่างชาติทั้งสองคนที่กำลังหมอบลงกับพื้นด้วยสายตาว่างเปล่า
ใบหน้าของโมลโดขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความประหม่า ด้วยความที่เขาเป็นคนผิวขาวอยู่แล้ว ทำให้เห็นสีบนใบหน้าของเขาชัดเจนขึ้นไปอีก ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกว่าตนเองทำเกินไปหน่อย อย่างไรเสีย อาคามอสก็เป็นคนแนะนำให้เขามาที่นี่ พอคิดได้ดังนั้นแล้วเขาก็พูดขึ้น “อาจารย์ ผมยอมเป็นศิษย์อันดับสอง”
อาคามอสได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีใจมาก
ไป๋เยี่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดื่มชาทั้งสองถ้วยและรับทั้งสองคนเข้ามาเป็นศิษย์ ตอนนี้เขารู้สึกทำตัวไม่ถูกเลย
เฮ้อ เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลังแล้วกัน…
อย่างไรก็ตาม ด้วยความร่วมมือของโมลโดและอาคามอสก็ทำให้ไป๋เยี่ยดำเนินการได้เร็วยิ่งขึ้นทั้งสองคนช่วยกันรวบรวมรายชื่อและในที่สุดก็ได้เลือกรายชื่อของผู้เชี่ยวชาญออกมาราวๆ สิบชื่อ
จากนั้นไป๋เยี่ยก็โทรศัพท์ติดต่อผู้เชี่ยวชาญทีละคน โชคดีที่ในเมืองยังพอมีสัญญาณอยู่ ไม่อย่างนั้นไป๋เยี่ยคงจะต้องใช้นกพิราบส่งสาสน์แทน
ชื่อเสียงของอาคามอสและโมลโดยังถือว่าโด่งดังอยู่ อีกทั้งสถานะของพวกเขายังชัดเจนมากอีกด้วย ดังนั้นหลังจากที่ทุกคนทราบข่าวก็เริ่มเกิดความสงสัยขึ้นเล็กน้อย ทว่าก็มีเพียงผู้คนบางส่วนที่ตัดสินใจตามเรื่องนี้ต่อ
