หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – ตอนที่ 1187 ขุดแร่ดีๆ

ตอนที่ 1187 ขุดแร่ดีๆ

อย่างเจ้า ก็คู่ควรเรียกว่ามกุฎด้วยหรือ

ประโยคเดียวเนิบนาบเหมือนวารี กลับดังชัดในโสตประสาทของทุกคน

เมื่อช้อนตามองไป เหนือฟ้าสูงเงาร่างนั้นสันโดษราวเมฆคล้อย ไร้มลทินและยากจับต้อง มีความสง่างามโดดเด่นหลุดพ้น

ส่วนบนพื้น เงาร่างเวินเอ้าไห่กระตุกเกร็งกลางหลุมใหญ่เหมือนเป็นลมบ้าหมู เงยหน้าขึ้นมาอย่างยากเย็น ใบหน้าบวมเป่งจมูกเขียวคล้ำ เปื้อนฝุ่นควันไปหมดแล้ว

สายตาเขาเคียดแค้น พูดเสียงแหบแห้งว่า “เทพมารหลิน เจ้ากล้ารอข้าครอบครองพลังระเบียบมรรคแล้วมาสู้กันอีกครั้งไหม!”

เห็นได้ชัดว่าหลังจากถูกสยบแล้วเขายังคงไม่ยินยอม ไม่อาจรับได้!

สิ่งนี้ ถ้อยคำเช่นนี้ เดิมทีก็ดูน่าขันมากอยู่แล้ว

“แพ้แล้วก็แพ้สิ ถ้าเจ้ายอมรับ ข้าอาจจะยังมองเจ้าดีสักครั้ง น่าเสียดาย ขนาดความกล้าที่จะยอมรับความพ่ายแพ้เจ้ายังไม่มี ด้วยจิตใจเช่นนี้ หากไม่ใช่โชคดีได้มหาศุภโชคไป ชาตินี้ย่อมไม่อาจบรรลุเป็นมกุฎราชันได้!”

หลินสวินพูดอย่างเรื่อยเฉื่อย ทว่าแต่ละคำเหมือนดาบแทงเข้าไปในใจของเวินเอ้าไห่อย่างแรง ทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวดุร้ายขึ้นมา

เพียงแต่ทันใดนั้นเขาก็พูดอย่างท้อใจว่า “ข้ายอมแพ้”

หลินสวินกล่าวอย่างเฉยชาว่า “สายไปแล้ว”

เวินเอ้าไห่หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ รีบร้อนร้องขึ้นว่า “ขอเพียงปล่อยข้าไปครั้งหนึ่ง ข้าจะตอบแทนให้เจ้าอย่างเต็มที่!”

มดยังรักตัวกลัวตาย นับประสาอะไรกับเวินเอ้าไห่ที่เพิ่งบรรลุเป็นระดับมกุฎราชัน มีอนาคตอันดีงามนัก จะยอมจำนนต่อโชคชะตาเช่นนี้หรือ

บนเขาดาราราย พวกเมิ่งอิงหวาหน้าถอดสี สะเทือนใจโดยสมบูรณ์แล้ว ความพ่ายแพ้หมดรูปของเวินเอ้าไห่ย่อมดับความหวังทั้งหมดของพวกเขาไปอย่างไม่ต้องสงสัย

สายตาหลินสวินเจือไปด้วยความเวทนา เอ่ยว่า “เจ้าตายแล้ว ของที่อยู่กับตัวก็ย่อมเป็นทรัพย์หลังศึกของข้า ข้าจะไปอยากได้ของตอบแทนอีกทำไม”

เวินเอ้าไห่พูดอย่างร้อนรนว่า “ที่ตัวข้ายังมีมหาศุภโชคเย้ยฟ้าชิ้นหนึ่ง หากปล่อยข้าไปสักครั้งไม่แน่ว่าข้าอาจจะบอกความลับนี้กับเจ้าได้!”

หลินสวินร้องอ้อแล้วพูดว่า “พูดให้ฟังซิ”

“ในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกมีทางน้ำแห้งขอดที่ผ่านไปใต้ดินสายหนึ่ง ใต้ทางน้ำมีโบราณสถานที่ผนึกมาเนิ่นนานฝังอยู่”

เพื่อรักษาชีวิตเวินเอ้าไห่ไม่กล้าปิดบังสักนิด บอกออกมาอย่างหมดเปลือกไม่หมกเม็ด

“ตามข้อมูลที่เชื่อถือได้ โบราณสถานนี้เหมือนจะเกี่ยวข้องกับ ‘แหล่งกำเนิดแม่น้ำนรก’ มีศุภโชคเย้ยฟ้าซ่อนอยู่ภายใน!”

เขาหยุดไปแล้วพูดต่อว่า “หนึ่งเดือนต่อจากนี้ พลังต้องห้ามที่ผนึกโบราณสถานก็จะอ่อนแอลงถึงที่สุด ข้าตอบรับอูหลิงเฟิงองค์ชายเก้าเผ่าอีกาทองไปแล้วว่าจะไปเสาะหาวาสนาด้วยกัน”

แววประหลาดไหวเคลื่อนในดวงตาของหลินสวิน เขานึกถึงตอนที่เพิ่งเข้ามายังแดนอัคคีทักษิณ ก็ถูกส่งไปในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกที่อันตรายหาใดเทียบแห่งนั้น

ทว่ากลับคิดไม่ถึง ว่าสถานที่เฮงซวยน่าปวดหัวแบบนั้นยังมีศุภโชคเย้ยฟ้าซ่อนอยู่เสียได้!

อีกทั้งด้วยการอธิบายของเวินเอ้าไห่ หลินสวินจึงเข้าใจว่าการเคลื่อนไหวคราวนี้เป็นการเรียกรวมตัวของอูหลิงเฟิง องค์ชายเก้าเผ่าอีกาทอง คนที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวนี้ล้วนเป็นระดับมกุฎราชัน

เดิมทีหลินสวินไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องนี้เลย เขารู้ดีว่าเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกนั่นเป็นสถานที่ที่น่ากลัวเพียงไหน

แต่เมื่อได้รู้ว่าในหมู่มกุฎราชันที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวนี้ มีผู้สืบทอดของเหล่าขุมอำนาจอย่างเผ่าวิญญาณสมุทร สำนักยุทธ์นครนิล ลัทธิบูชาจันทร์อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย หลินสวินก็ใจเต้นทันที

เขายังไม่ลืมความแค้นกับขุมอำนาจเหล่านี้ตอนอยู่ในแดนเผาเซียน!

ต่อมาหลินสวินก็ถามคำถามอีกบางส่วน เวินเอ้าไห่ตอบออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ ให้ความร่วมมือยิ่ง

“หากเจ้าปล่อยข้าไปคราวนี้ ข้าสามารถออกหน้าพาเจ้าเข้าร่วมการเคลื่อนไหวคราวนี้ด้วยกันได้!”

ใบหน้าเวินเอ้าไห่เจือแววมีหวัง หว่างคิ้วมีแต่การร้องขอ

ก็ในตอนนี้เองหลินสวินยิ้มแล้ว ดวงตาดำลุ่มลึก จับจ้องเวินเอ้าไห่พลางพูดว่า “เจ้าว่าข้าจะเชื่อเจ้าไหม”

ไม่ทันรอให้เวินเอ้าไห่เอ่ยปาก เขาก็พูดต่อว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด ที่เจ้าทำแบบนี้อาจจะเพื่อรักษาชีวิต แต่ไหนเลยจะไม่มีความคิดยืมมีดฆ่าคน ถึงตอนนั้นเจ้าจะลอบร่วมมือกับพวกอูหลิงเฝิงมาต่อกรข้าด้วยกันได้เต็มที่”

“หรือแบบที่ง่ายหน่อยก็คือเปิดเผยฐานะของข้าไปเลย พวกอูหลิงเฟิงย่อมต้องจ่อปลายทวนมาที่ข้าอย่างไม่ลังเล อย่างไรเสียคนโง่ยังรู้เลยว่าคนที่พวกเขาอยากฆ่าที่สุดก็คือหลินสวิน”

เวินเอ้าไห่ตัวแข็งทื่อ พูดอย่างลุกลี้ลุกลนว่า “ข้าสาบานต่อฟ้าได้เลยว่าไม่มีความคิดนี้เด็ดขาด!”

หลินสวินยิ้มเย็นชาพูดว่า “ตอนนี้ไม่มีความคิดแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าภายหน้าจะไม่มี”

ปึง!

เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลง เขาพลันก้าวเท้าออกไปเหยียบมือซ้ายที่กำแน่นนั้นของเวินเอ้าไห่ เลือดเนื้อเละเทะ กระดูกล้วนแตกออกเป็นผุยผง

เวินเอ้าไห่ส่งเสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดออกมา

ในขณะเดียวกันหลินสวินก็เงื้อมือขึ้นคว้ากระบี่ที่อยู่ในมือซ้ายแหลกละเอียดของเวินเอ้าไห่

กระบี่วิญญาณเรียวเล็กเหมือนเส้นขน เล็กจ้อยถึงที่สุด เปล่งปลั่งโปร่งใสไปทั้งเล่ม

แต่เมื่อมองดูโดยละเอียด บนกระบี่เล็กนี้กลับมีพลังต้องห้ามหนาแน่นอย่างน้อยแปดร้อยชั้นประทับอยู่ น่าหวาดหวั่นถึงที่สุด

“สิ่งนี้คืออะไร” หลินสวินประเมินอย่างสนใจใคร่รู้ รู้สึกได้อย่างแจ่มชัดว่าภายในกระบี่นี้เต็มไปด้วยพลังมืดหม่นราวถูกทำลายล้าง

เวินเอ้าไห่หน้าถอดสีหาใดเทียบในทันใด ดวงตาทั้งสองเหม่อลอย เหมือนคิดไม่ถึงเลยว่าท่าไม้ตายที่ปิดบังไว้จะถูกหลินสวินพบเข้าก่อนเสียได้

“นะ… นี่คือสมบัติที่ข้าน้อยพกติดตัว ไม่ได้สูงค่าอะไร หากสหายยุทธ์สนใจก็ขอให้รับไว้ด้วย”

เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยปากเสียงสั่นเครือ

“ช่างเถอะ สุภาพชนไม่ชิงของรักของผู้อื่น กระบี่นี้… ก็คืนให้เจ้าแล้วกัน!”

ยามพูดจาหลินสวินสะบัดข้อมือ กระบี่นี้พลันยิงพุ่งออกมาเหมือนแสงเรียวเล็ก แทงเข้าไปในห้วงนิมิตของเวินเอ้าไห่

ชั่วพริบตานั้นเวินเอ้าไห่คำรามอย่างเคียดแค้นเหมือนคลุ้มคลั่ง “เทพมารหลิน เจ้าต้องไม่ตายดี!”

ครู่ต่อมาเขาก็แข็งทื่อไปทั้งตัว โกรธจนชีพวาย จากนั้นทั้งร่างก็เน่าเปื่อยแปรสภาพเป็นน้ำพิษสีดำสนิทเต็มพื้น

บนพื้นบริเวณใกล้เคียงล้วนถูกย้อมให้เป็นสีดำในชั่วพริบตา กลิ่นเหม็นเน่าเตะจมูกลองออกมา

เพียงดมครั้งเดียวก็ทำให้หลินสวินรู้สึกอัดอั้นและขยะแขยงในทรวงอกครู่หนึ่ง สั่นไหวในใจอย่างอดไม่ได้ พลังอำมหิตนัก!

ระดับมกุฎราชันผู้หนึ่งถูกกำจัดอย่างง่ายดายเช่นนี้ แค่คิดก็รู้ว่าพลังที่เก็บกักอยู่ในกระบี่นี้น่ากริ่งเกรงปานไหน

หากเมื่อครู่เวินเอ้าไห่ลอบโจมตีทีเผลอ เช่นนั้นผลลัพธ์ก็พูดได้ยากจริงๆ!

บนเขาดาราราย พวกเมิ่งอิงหวางุนงงอยู่ตรงนั้นโดยสมบูรณ์ จิตใจทดท้อ ความหวังมากมายแหลกสลาย

หลายวันก่อนหน้านี้พวกเขากล้ำกลืนสวามิภักดิ์ ความหวังเพียงอย่างเดียวในใจก็ฝากไว้กับเวินเอ้าไห่

แต่ตอนนี้ ความหวังเพียงหนึ่งเดียวถูกทำลายไปพร้อมกับการตายของเวินเอ้าไห่แล้ว!

เทพมารหลินเขา…

จะจัดการพวกเขาอย่างไร

ยิ่งคิดในใจพวกเขาก็ยิ่งหวั่นกลัวและไร้กำลัง

“นิ่งอยู่หาอะไร ยังไม่ไปขุดแร่อีกหรือ”

ไกลออกไปเสียงตำหนิของหลินสวินดังขึ้น

แต่สำหรับพวกเมิ่งอิงหวาแล้ว การด่าทอนี้กลับไพเราะกว่าเสียงเซียน ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกทำใจเชื่อได้ยาก

จะปล่อยพวกเขาไปแบบนี้แล้วหรือ

กระทั่งเงาร่างของหลินสวินหายลับเข้าไปในบ้านหินบนยอดเขา พวกเมิ่งอิงหวาถึงกล้าเชื่อได้ในที่สุดว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง!

เทพมารหลินไม่ได้ฆ่าพวกเขา!

“ไม่แน่บางที หลังจากเขากลายเป็นระดับมกุฎราชันก็คงไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาอีกแล้วกระมัง”

พวกเมิ่งอิงหวาสีหน้าอ่านยาก ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยินดีหรือเศร้าสลดดี

คนเดินบนถนน หากเจอมดตัวหนึ่งท้าทายระหว่างทาง เจ้าจะสนใจไหม

ตอนนี้ การกระทำของหลินสวินก็ทำให้พวกเมิ่งอิงหวารู้สึกทำนองเดียวกัน

เพียงแต่ว่า มดก็คือพวกเขา…

“ภายหน้าแม้พวกเราจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ในแดนเก้าบนที่มีอันตรายรอบด้าน มีการประหัตประหารไปทุกหนแห่งแห่งนี้ เกรงว่า…”

รุ่ยม่านหรงเสียงท้อแท้

“เกรงว่าอะไร” มีคนถามอย่างอดไม่ได้

“เกรงว่าจะเอาชีวิตรอดได้ยาก!” เสียงรุ่ยม่านหรงยิ่งหมดกำลังใจ สีหน้าหม่นหมอง

ทุกคนสั่นสะท้านในใจ และรับรู้ได้ว่าเมื่อเวินเอ้าไห่ตาย พวกเขาก็ไม่มีที่พึ่งอีกต่อไปด้วย

ในแดนอัคคีทักษิณแห่งนี้ คิดจะเอาชีวิตรอด หากไม่เลือกสวามิภักดิ์ยอมเป็นบริวารของขุมอำนาจอื่น ก็ต้องมีระดับมกุฎราชันเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนในหมู่พวกเขา!

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ระดับมกุฎราชันไม่ใช่ว่าใครจะบรรลุได้ง่ายๆ

“ที่จริงสวามิภักดิ์กับเทพมารหลินก็ไม่เลว อย่างน้อยหากมีอันตรายมากล้ำกราย คนที่ออกหน้ารับเป็นคนแรกก็คือเขา” มีคนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดเสียงเบา

คำพูดนี้แทงใจดำยิ่งนัก!

เวินเอ้าไห่เพิ่งตายไป ก็เริ่มคิดเอียงเอนหาหลินสวินโดยสมบูรณ์แล้ว นี่จะต่างอะไรกับทรยศกัน

แต่ตอนนี้ทุกคนต่างสนอกสนใจอยู่บ้าง

ในแดนเก้าบน การกลืนกันระหว่างขุมอำนาจใหญ่เกิดขึ้นอยู่ทุกวี่วัน เพื่อเอาชีวิตรอด เพียงแค่ฝืนรอมชอมกับความอดสูไปก่อนเท่านั้น ไม่มีอะไรที่รับไม่ได้!

“ทุกคน…”

เมิ่งอิงหวาเอ่ยปากแล้ว สายตาทุกคนล้วนรวมไปที่เขา อยากดูว่าเขาจะชี้ทางสว่างเช่นไรให้ทุกคนกันแน่

อัดอั้นอยู่นานในที่สุดเขาก็ฝืนพูดออกมาว่า “ขุดแร่ดีๆ!”

ทุกคนอึ้งไป บรรยากาศเงียบเชียบพิกล

ทันใดนั้นต่างก็ถอนหายใจยาวออกมาราวกับยกภูเขาออกจากอก ใช่แล้ว ขุดแร่ดีๆ มีเพียงทำเช่นนี้ถึงอาจจะทำให้เทพมารหลินนั่นเห็นคุณค่าของพวกเขากระมัง

พวกเขาลงมือทันทีโดยไม่มีร่ำไรเลย

หากถูกเหล่าคนใหญ่คนโตของเขาวิญญาณหมื่นอสูรรู้เรื่องทั้งหมดนี้เข้า เกรงว่าต้องโมโหจนกระอักเลือดแน่

เข้ามาในแดนเก้าบนได้ เดิมทีก็พิสูจน์ได้แล้วว่าพวกเมิ่งอิงหวาแข็งแกร่งและไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้…

กลับตกต่ำถึงขั้นทำได้เพียงพึ่งการขุดแร่เพื่อแสดงคุณค่าของตน!

นี่น่าเศร้าใจเพียงใด อาภัพปานไหน!?

หลินสวินไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้

หลายวันก่อนช่องทางจากสามพันแดนมายังแดนเก้าบนได้หายไปแล้ว แต่กระทั่งตอนนี้เจ้าคางคกกลับยังไม่ปรากฏตัวเสียที

ด้วยนิสัยหลงตัวเองและยโสโอหังของเจ้าหมอนี่ หากเข้าแดนเก้าบนมาเกรงว่าคงก่อคลื่นลมไม่น้อยไปนานแล้ว

แต่กระทั่งตอนนี้หลินสวินยังไม่ได้ยินข่าวคราวที่เกี่ยวกับเจ้าคางคกแต่อย่างใด

‘หรือเจ้าหมอนี่จะถูกส่งมายังเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก แล้วติดอยู่ในนั้นเหมือนกับข้า’

หลินสวินนิ่วหน้า

ไหนจะอาหลู่ ก็ทำให้หลินสวินออกจะเป็นห่วงเช่นกัน

นอกบ้านหิน ยังไม่ถึงครึ่งเดือนดอกตูมหิมะน้ำแข็งบนต้นดารารายดอกนั้นก็เริ่มออกผลแล้ว

หลินสวินตัดสินใจแล้วว่ารอเมื่อโอสถเทพชิ้นนี้สุก ก็จะออกจากเขาดารารายไปท่องในบริเวณอื่นของแดนอัคคีทักษิณสักรอบ

ข้อแรกเพื่อไปสืบหาข้อมูลบางอย่าง ข้อสองเพื่อถือโอกาสถอนรากถอนโคนคู่แค้นเก่าบางคน เช่นเผ่าอีกาทอง เผ่าวิญญาณสมุทร ลัทธิบูชาจันทร์เป็นต้น

‘สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนคือต้องรีบทำให้พลังมหามรรคบรรลุระดับระเบียบมรรคให้เร็วที่สุด!’

หลินสวินสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง นั่งขัดสมาธิอยู่บนศิลาต้นกำเนิด เริ่มสงบใจหยั่งรู้

ด้วยการประลองกับเวินเอ้าไห่ ทำให้หลินสวินรับรู้ได้ว่ามีเพียงพลังระเบียบมรรคเท่านั้นถึงใช้ประโยชน์จากพลังของระดับราชันได้อย่างสมบูรณ์

ระดับราชัน ที่โคจรก็คือกฎเกณฑ์มรรคราชัน!

ตอนที่ 927 ส่งพวกเจ้าไปตาย
เมื่อมาถึงที่นี่ก็ไม่ต้องให้จั๋วขวงหลันใช้เข็มเทพราหูนำทางแล้ว ทุกคนมองดูปราดเดียวก็เห็นหลินสวิน

ที่สุดไหล่เขา ใต้ต้นสนโบราณแข็งแรงต้นหนึ่ง หลินสวินยืนประสานมือไว้ข้างหลัง ลมภูเขาพัดโบกแขนเสื้อของเขาให้ปลิวไสวโดดเด่น

เมื่อได้เห็นภาพนี้ทุกคนล้วนอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะเผยร่องรอยอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้

“หลินสวิน นี่เจ้ารู้ตัวเองดีว่าไม่มีทางหนีได้เลยกำลังรอความตายอยู่หรือ”

เซี่ยอวี้ถังตะโกนอย่างฮึกเหิม สายตาเคียดแค้น ยามเขาอยู่ชายฝั่งทะเลปรานแปร ถูกหลินสวินเหยียบย่ำจนอับอายขายหน้า ชื่อเสียงป่นปี้

“เปล่า ข้ากำลังรอส่งพวกเจ้าไปตาย”

หลินสวินตอบกลับอย่างเรียบเฉย สุขุมเยือกเย็นนัก ทำให้ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นต่างฉงน ออกจะคาดเดาไม่ถูก

“เลิกเสแสร้งเล่นลูกไม้เสียที ถ้าไม่กลัวทำไมเมื่อกี้ถึงต้องหนีด้วย” เซี่ยอวี้ถังดูถูก ตะคอกเสียงดัง

เขารู้สึกสาแก่ใจนัก มั่นใจประหนึ่งจับเต่าในไห กำลังจะได้แก้แค้นครั้งใหญ่

ผู้แข็งแกร่งคนอื่นกลับพิจารณาและสำรวจรอบทิศ รอบคอบยิ่งนัก ด้วยกังวลว่าจะถูกหลอก แม้มั่นใจว่าอาศัยพลังของพวกเขาก็สามารถฆ่าหลินสวินได้อย่างง่ายดายก็ตาม

แต่พวกเขากลับไม่กล้าชะล่าใจ ในเทศกาลโคมกถามรรคหลินสวินลงมือสังหารอย่างร้ายกาจ ทั้งยังมีสมบัติอริยะในมือ ทำให้พวกเขาต้องระมัดระวัง

“หลินสวิน รีบให้เด็กสาวผู้นั้นออกมาเถอะ ตอนนี้เจ้าจนมุมแล้ว ถอยจนไร้ทางถอย เหตุใดต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยเล่า”

คนใหญ่คนโตผู้หนึ่งกล่าวเสียงเรียบ

“ฆ่าพวกเจ้า ข้าคนเดียวก็พอแล้ว” หลินสวินมองเหยียดหยัน น้ำเสียงยิ่งเยียบเย็น

“ผู้อาวุโสทุกท่าน ขอให้พวกท่านลงมือด้วย เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนี่กำลังหลอกล่อ ตั้งใจถ่วงเวลา” เซี่ยอวี่ถังร้องออกมา

“ช้าก่อน ฟังข้าพูดสักหน่อย”

ทันใดนั้นคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน เขาคือชายชราชุดเทาผู้หนึ่ง สายตาฉลาดเฉลียว มองดูหลินสวินจากไกลๆ “พ่อหนุ่ม ถ้าเจ้ามอบสมบัติที่อยู่ในมือเจ้า ข้ารับรองว่าจะช่วยให้เจ้ามีโอกาสรอดชีวิตได้ครั้งหนึ่ง ไม่ถึงกับตายที่นี่”

ทุกคนกระสับกระส่ายทันใด ไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่เมื่อจำฐานะของชายชราได้ ต่างจิตใจสั่นสะท้าน ไม่กล้าพูดอะไรอีก

ชายผู้นี้เป็นผู้ฝึกปราณอิสระอาวุโสที่มีชื่อเสียงมากในแดนฐิติประจิมผู้หนึ่ง เรียกตัวเองว่าคฤหัสถ์ผาคีรี พลังปราณในกายยากหยั่งถึง บรรลุราชันกึ่งระดับมานานมากแล้ว

“หลินสวิน เจ้าเห็นสถานการณ์ตรงหน้าชัดเจนแล้ว อาศัยโอกาสนี้ ถ้าเจ้าส่งสมบัติทุกอย่างที่อยู่กับตัวเจ้ามาเสียดีๆ ข้าก็จะช่วยให้เจ้ามีโอกาสรอดชีวิตเช่นกัน”

หญิงชราที่ผมขาวโพลน ใบหน้าซูบตอบผู้หนึ่งก็เอ่ยปากแล้ว ทำให้ผู้อื่นไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่เพราะที่มาที่ไปของหญิงชราผู้นี้น่าตกใจกว่าคฤหัสถ์ผาคีรี พวกเขาจึงทำได้เพียงอดกลั้นไม่พูดจา

“เจ้าแก่โง่สองคน จะตายอยู่แล้วยังไม่รู้ตัวอีก” หลินสวินยิ้มหยัน วาจาไม่เกรงใจสักนิด

เพียงครู่เดียว คฤหัสถ์ผาคีรีกับหญิงชราผมขาวก็โกรธจนหน้าคล้ำเขียว ไอสังหารแผ่พุ่ง ส่วนผู้แข็งแกร่งคนอื่นต่างสีหน้าแปลกประหลาด

มาถึงตอนนี้แล้ว เทพมารหลินนี่กลับยังกล้าแข็งกร้าวและจองหองเช่นนี้ ใครให้ความกล้าเขามากัน

ยิ่งหลินสวินมั่นใจไม่หวาดหวั่น ก็ยิ่งทำให้พวกเขาละล้าละลัง บ้างคิดว่าเขากำลังเล่นลูกไม้ถ่วงเวลา บ้างคิดว่าเขารู้ตัวอยู่แล้วว่าต้องตายจึงลองเสี่ยงดู

กระทั่งยังมีคนสงสัยว่าหลินสวินเสียสติไปแล้วหรือไม่…

อย่างไรเสียหากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปสักคน ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่แสดงออกอย่างไม่สนใจเช่นนี้

แต่ด้วยเวลาคับขัน พวกเขาไม่อาจคิดมากได้แล้ว

ต่อมาคนบางส่วนเดินไปข้างหน้าหมายจะขึ้นเขา บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นกะทันหัน กลิ่นอายยะเยือกอบอวล ลมฝนกำลังจะมา

“น่าจะทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว!”

ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยอวี่ถัง จั๋วขวงหลันหรือชิงเหลียนเอ๋อร์ ตอนนี้แววตาเหี้ยมเกรียมต่างปะทุออกมา จับจ้องหลินสวินนิ่ง ต้องการดูว่าเขาจะถูกฆ่าตายอย่างไร

“พ่อหนุ่ม ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว เจ้ากลับไม่เห็นค่า เหตุใดต้องทำให้ตัวเองลำบากด้วยเล่า” คฤหัสถ์ผาคีรีเยื้องย่าง สีหน้าสุขุมเยือกเย็น มั่นใจในตัวเองยิ่งนัก

“หลินสวิน เจ้าไปกับข้าเถอะ เจ้าก็ถือว่าเป็นบุคคลแห่งยุคไม่เป็นสองรองใครในปัจจุบัน ถ้าตายไปเช่นนี้แล้วจะไม่น่าเสียดายไปหน่อยหรือ” หญิงชราผมขาวเอ่ยเสียงเรียบ มีอานุภาพอหังการอันไม่อาจเคลือบแคลงได้ น่าหวาดกลัวถึงที่สุด

คนใหญ่คนโตอื่นๆ จะมองดูหลินสวินถูกผู้อื่นฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร แต่ละคนต่างเคลื่อนไหว แย่งชิงนำหน้า ด้วยกลัวว่าหากช้าไปก้าวเดียวก็จะถูกผู้อื่นแย่งชิงสมบัติที่อยู่กับตัวหลินสวินไปก่อน

เมื่อได้เห็นภาพนี้หลินสวินยังคงเฉยชาดังเดิม ดวงตาสีดำลุ่มลึกเย็นเยียบ ไม่มีความหวั่นไหวแม้สักนิด สายตาที่มองไปยังผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นเหมือนจดจ้องคนตายกลุ่มหนึ่งอยู่…

หือ?

ในขณะเดียวกัน หลินสวินก็สังเกตเห็นว่ายังมีผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ก้าวมาข้างหน้า มีท่าทีลังเลไม่ว่างเว้น

ทันใดนั้นหลินสวินก็แสดงสีหน้าระแวดระวังและกังวลใจ ยามผู้ฝึกปราณคนอื่นเห็นเข้า ก็มองเป็นท่าทีตื่นตระหนก ไม่อาจควบคุมได้

“ทุกคนดูสิ เจ้าหมอนี่เผยไต๋แล้ว เริ่มกลัวแล้ว!”

เซี่ยอวี้ถังหัวเราะร่า เจือความเย้ยหยันลึกซึ้ง “หลินสวิน เจ้าแสร้งทำต่อไปสิ ทำไมจู่ๆ ตอนนี้ถึงกลัวแล้วล่ะ”

ชิงเหลียนเอ๋อร์กับจั๋วขวงหลันก็สังเกตได้อย่างเฉียบไวถึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินสวิน ในใจพลันสงบขึ้นมาก ไม่กังวลอีก

ต่อให้เป็นเทพมารหลิน ยามเผชิญหน้ากับความตายก็ไม่พ้นเท่านี้!

ในขณะเดียวกัน คนใหญ่คนโตที่ชิงเคลื่อนไหวก่อนเหล่านั้นต่างก็เร่งฝีเท้า ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาหวาดกลัวกันเองคงชิงลงมือไปนานแล้ว

“หลินสวิน ข้าพูดแล้วไม่คืนคำ เจ้าเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังไม่สายนะ” หญิงชราผมขาวสีหน้าเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน แต่เสียงกลับเจือแววข่มขู่ “แต่ถ้ายังลังเลอีก เช่นนั้นก็กู้สถานการณ์ไม่ได้แล้วจริงๆ”

นางก้าวเท้าก้าวเดียวก็ลอยละล่องขึ้นมาบนเขา

หลินสวินยิ้มเหี้ยมในใจ ยายเฒ่านี่น่ารังเกียจชะมัด นึกว่าตัวเองสามารถควบคุมเขาอย่างง่ายดาย วาจาหมายขู่ให้กลัว กลับไม่รู้เลยว่านางจนมุมมานานแล้ว!

ถ้าไม่คิดจะฆ่าทีเดียวให้สิ้นซาก หลินสวินคงเปิดฉากสังหารไปนานแล้ว

“พ่อหนุ่ม โอกาสอยู่เพียงชั่วแล่น ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เลอะเลือน หาไม่แล้วจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แน่” คฤหัสถ์ผาคีรีดูสำรวมและมั่นใจในตัวเอง แต่ความจริงแล้วก้าวเท้าเร็วกว่าใครเพื่อน ท่าทางหมายจะเข้าไปฆ่าหลินสวินเป็นคนแรก

แม้คนใหญ่คนโตผู้อื่นจะไม่พูดอะไร แต่ต่างเข้าประชิดหลินสวินจากทิศต่างๆ กัน

ส่วนผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นที่เฝ้าระวังอยู่ที่เดิม ล้วนระงับใจไม่อยู่บ้างแล้ว ไม่อาจทนให้หลินสวินถูกคนอื่นแย่งไปก่อน

ทันใดนั้นสิงห์อสนีหยกขาวตัวนั้นก็คำรามเสียงดังว่า “ฆ่าสวะตัวจ้อยที่เจ็บหนักทั้งตัวคนเดียวเท่านั้น ทำไมต้องวุ่นวายปานนี้ด้วย หลีกไปให้หมด!”

โครม!

มันโผนขึ้นไปในอากาศ กรงเล็บยักษ์ข้างหนึ่งตะปบออกไปอย่างรุนแรง พายุอสนีกรรโชก รวมตัวเป็นรอยกรงเล็บมหึมาบดบังท้องฟ้ารอยหนึ่ง พุ่งตะปบไปยังเขาลูกนั้นอย่างจัง

ฉับพลันฟ้าดินเปลี่ยนสี ห้วงอากาศวิปโยค นี่เป็นถึงการโจมตีของราชันกึ่งระดับ สามารถทำลายภูผาธาราแห่งนี้ให้สลายไปอย่างง่ายดาย!

หลินสวินเกร็งเครียดในใจ ถ้าโดนการโจมตีนี้ ค่ายกลใหญ่ที่เขาวางไว้ล่วงหน้าก็จะถูกเปิดเผยจนหมดสิ้น แผนสังหารให้สิ้นซากก็จะถูกทำลาย

“บังอาจ!”

“คิดจะชิงสมบัติไปต่อหน้าต่อตาข้าหรือ อย่าหวังเลย!”

ทว่ากลับมีคนที่กระวนกระวายใจยิ่งกว่าหลินสวิน ก็เห็นว่าหญิงชราผมขาวกับคฤหัสถ์ผาคีรีล้วนดาลเดือด ชิงลงมือสลายการโจมตีของสิงห์อสนีหยกขาวนี้ก่อน ช่วยหลินสวินครั้งใหญ่โดยไม่รู้ตัวเสียอย่างนั้น

ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็เร่งฝีเท้าพุ่งมายังไหล่เขา

ที่ผ่านมาระยะห่างเช่นนี้เพียงชั่วพริบตาพวกเขาก็ไปถึง แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งขึ้นไปบนเขาก็ยิ่งดูห่างไกลออกไป

แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาไม่ใส่ใจมากนัก ยังคิดว่าหลินสวินใช้วิชาพรางตา แต่ไม่นานนักพวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย สังเกตได้ว่าออกจะไม่ชอบมาพากล แต่ตอนนี้ก็ลงจากหลังเสือได้ยากแล้ว พวกเขาจึงทำได้เพียงพุ่งไปข้างหน้า

อีกทั้งในใจพวกเขาย่อมคิดแน่นอนว่าแม้จะมีการซุ่มโจมตี แต่ด้วยฝีมืออย่างพวกเขาก็สามารถสลายไปได้อย่างง่ายดาย

ส่วนคนใหญ่คนโตที่เดิมยืนเฝ้าระวังอยู่ที่เดิมเหล่านั้นเมื่อเห็นเช่นนี้ต่างไม่รั้งรออีก พุ่งออกไปเต็มกำลัง การโจมตีของสิงห์อสนีหยกขาวถูกผู้อื่นสลายลง เดาได้เลยว่าถ้าไม่กระโจนออกไปก็ไม่มีทางฉกฉวยโอกาสได้

“ในที่สุดก็มาแล้ว…” หลินสวินยิ้ม ดวงตาดำฉายแววเย็นเยียบไหววูบ

“เจ้าหมอนี่ยัง… ยังยิ้มได้หรือ”

เซี่ยอวี่ถังเบิกตากว้าง กัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “ช่างไม่รู้ดีชั่วเสียจริงนะ ข้ายังไม่เคยเห็นคนจองหองอย่างเขามาก่อน!”

จั๋วขวงหลันกับชิงเหลียนเอ๋อร์ก็ต่างสีหน้าเหยเกไปบ้าง หลินสวินในตอนนี้จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นไม่สะทกสะท้านอย่างยิ่ง ทั้งรอยยิ้มก็เจิดจ้า ไม่มีความรู้สึกกระวนกระวายอับจนหนทาง หรือสิ้นหวังเลยสักนิด นี่ทำให้พวกเขาต่างไม่อาจยอมรับได้ รู้สึกอึดอัดใจ

พวกเขาอยากจะเห็นกระบวนการที่หลินสวินถูกสังหารทั้งหมดกับตาตัวเอง ไม่ได้อยากเห็นเรื่องพวกนี้!

“เจ้าหนู ให้โอกาสเจ้าแล้ว น่าเสียดายเจ้าไม่รักษาไว้เอง เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าลงมือโหดเหี้ยมก็แล้วกัน”

ในที่สุดหญิงชราก็มาถึงเป็นคนแรก เมื่อนางเอ่ยปากก็กระโจนออกไปโดยไม่ลังเลสักนิด นิ้วมือว่องไวปานสายฟ้าคว้าไปที่หลินสวิน

นางไม่รีบร้อนได้หรือ เมื่อเห็นผู้อื่นตามมาติดๆ นางย่อมไม่ต้องการให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้

“ยายแก่โง่เง่า ต้องเป็นข้าส่งพวกเจ้าไปตายสิถึงจะถูก!”

และในตอนนี้เอง หลินสวินก็ยื่นสองมือที่ประสานไว้ที่หลังออกมา แผ่นจานกระบวนที่ถือไว้ในมือก่อนนานแล้วส่งเสียงขึ้นมาในตอนนี้

โครม!

เงามายาของวิหคชาดแดงเพลิงตัวหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ตีปีกสีแดงสด ปลดปล่อยเปลวเพลิงเปล่งประกายโชติช่วงนับหมื่นนับพันลูกพุ่งออกไปปกคลุมหญิงชราผมขาว

“อ๊าก…”

ด้วยไม่ทันป้องกันตัว หญิงชราผมขาวผู้นั้นร้องโอดโอยออกมา เดิมทีนางมั่นใจในตัวเองและอหังการนัก ผลสุดท้ายตอนนี้กลับเต้นผาง ส่งเสียงร้องน่าหดหู่ราวกับหมูถูกเชือด หมดรูปดูยับเยินในทันใด

เงามายาของวิหคชาดตัวนั้นพุ่งกวาด ฝนแสงเปลวเพลิงปลิวว่อน ต่างเป็นสิ่งที่จำแลงมาจากผนึกมรรคราชัน พลังสังหารน่าพรั่นพรึงไร้ที่สิ้นสุด

เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น หญิงชราผมขาวผู้นั้นก็ถูกปกคลุมท่ามกลางทะเลเพลิง เต้นเร่าๆ ต้องการจะสลัดให้หลุด แต่กลับหนีไม่ได้ ถูกกักอยู่ภายในนั้น ได้แต่ส่งเสียงร้องโหยหวนราวผีร้องหมาหอน

ทุกคนต่างตะลึงพรึงเพริด อ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก คนผู้นั้นเป็นถึงราชันกึ่งระดับที่ลือชื่อผู้หนึ่ง เหตุใดถึงประสบเคราะห์โดยกะทันหันกัน

เสียงร้องนั่นก็น่าหดหูเกินไปแล้วกระมัง

แต่ไม่นานพวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ สังหรณ์ได้ว่าไม่ชอบมาพากล หนาวเยือกไปทั้งตัว หรือว่านี่จะเป็นกับดักที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว

ผู้แข็งแกร่งไม่น้อยถอนตัวโดยไม่ลังเล คิดจะถอยหนี เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง แต่ก็ช้าไปแล้ว

ตอนนี้หลินสวินคอยมานานแล้ว ถึงเวลาเก็บแหแล้ว ย่อมไม่ยอมให้มีใครหนีไปได้อีก

เขากระตุ้นแผ่นจานกระบวน โคจรกระบวนผนึกมรรคราชันที่ปกคลุมเหนือเขาลูกนี้

ชั่วพริบตาฟ้าดินบริเวณนี้พลันแปรเปลี่ยน ไอหมอกบดบังท้องนภา ไอสังหารพลุ่งพล่าน รอยสลักลับต้องห้ามหนาแน่นราวกระแสน้ำผุดขึ้นปกคลุมฟ้าดิน รังสีอันตรายน่าหวาดผวาไหววูบ

บทที่ 730 อุบัติเหตุ…
ระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์เป็นระบบดาวขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของระบบสุริยะ โดยมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ถึง 23 ดวงที่โคจรรอบดาวฤกษ์หลัก ดาวเคราะห์เหล่านั้นหมุนรอบตัวเองและรอบดาวฤกษ์อย่างไม่รู้จบ จนราวกับว่าจะคงอยู่ในวงโคจรนี้ตราบชั่วกัลปาวสาน

ระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์มีสิ่งมีชีวิตและอารยธรรมเป็นของตนเองเช่นเดียวกับระบบสุริยะ แต่เป็นอารยธรรมที่ก้าวหน้าในด้านการฝึกตนกว่ามาก ด้วยความที่ทั้งสองอารยธรรมเติบโตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกัน จึงทำให้สิ่งมีชีวิตในระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์มีหน้าตาใกล้เคียงสิ่งมีชีวิตในสหพันธรัฐ

แต่ก็ยังมีความแตกต่างด้านสรีรวิทยาอยู่เล็กน้อย

วันนี้ บนดาวเอกของระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ขนาดเท่าดาวพฤหัสบดีในระบบสุริยะ มีดาวหางพุ่งลงมาจากห้วงอวกาศไกลโพ้นและตกลงที่พื้นผิวของดาวเคราะห์ยักษ์ การที่ดาวหางตกลงสู่พื้นผิวดาวเป็นเรื่องปกติของดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ ด้วยเหตุนี้แม้หลายคนจะเห็นดาวหางที่พุ่งลงมาก็แทบไม่มีใครสนใจ

มีเพียงผู้ฝึกตนบางคนซึ่งอยู่ใกล้บริเวณที่ดาวหางตก ที่จะเดินทางมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นเผื่อว่าจะพบของมีค่าเข้า และถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงทรัพยากร

พอดาวหางพุ่งเข้าชนพื้นดินจนทำให้เกิดแอ่งกระทะขนาดใหญ่ โลงศพก็ตกตามลงมาด้วย โลงศพเหล็กสีดำเสียบทะลุพื้นดินของดาวโดยไร้ซึ่งซุ่มเสียง มันหยุดเคลื่อนไหวในทันที ราวกับถูกฝังลงไปในผืนดินเป็นที่เรียบร้อย

โลงศพนี้มีสีดำสนิท ดูเหมือนว่าจะสร้างมาจากโลหะกล้าสีดำ บนผิวของโลงเต็มไปด้วยอักขระโบราณมากมาย ทว่า…อักขระเหล่านั้นกลับอยู่ในสภาพยับเยิน กระทั่งตัวโลงศพเองยังเต็มไปด้วยรูและรอยขีดข่วนนับไม่ถ้วน ราวกับถูกของแหลมแทงจนเกือบทะลุ รูเหล่านั้นลึกจนเกือบตัดผ่านโลงศพได้ แต่ดูเหมือนว่าก่อนที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น มีคนเอาตัวเข้ามาบังการโจมตีนั้นเสียก่อน หากไม่ทันการณ์ โลงศพอาจแตกสลายกลายเป็นชิ้นๆ ได้เลยทีเดียว!

โลงศพสีดำผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน เป็นสมรภูมิที่ดุเดือดอันตรายเหลือคณนา มิเช่นนั้นวัตถุเวทที่ทรงพลังเช่นนี้คงไม่ตกอยู่ในสภาพย่อยยับถึงเพียงนี้เป็นแน่

หากมีใครเข้ามาสังเกตใกล้ๆ จะเห็นว่าบนผิวของโลงเต็มไปด้วยคราบเลือดมากมาย แม้เลือดนั้นจะไม่ได้มีสีแดงก็ตามที แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันต้องผ่านการต่อสู้ที่พัวพันคนจำนวนมากมาแน่ๆ

โลงศพนี้…เดินทางข้ามผ่านห้วงอวกาศมาจากระบบสุริยะ เป็นโลงศพของสำนักแห่งความมืดที่เฉินชิงแบกมา…ซึ่งมีร่างที่หลับใหลของหวังเป่าเล่ออยู่ภายใน

ดาวหางที่พุ่งชนดาวเคราะห์และโลงศพที่เจาะพื้นผิวดาวลงไปนั้นทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน รอยแตกทำให้โลงศพแทบแหลกเป็นชิ้นๆ ทันทีที่โหม่งพสุธา แรงสะเทือนส่งให้หวังเป่าเล่อผู้ที่กำลังนิทราอยู่ภายในโลงสะดุ้งตื่น ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาในที่สุด

“ถึงแล้วหรือ ข้านอนเต็มอิ่มเลย…” หวังเป่าเล่อขยี้ตา อ้าปากหาว ก่อนจะดันฝาโลงหวังจะเปิดออก แต่ก็เปิดไม่ได้ ชายหนุ่มประหลาดใจมากจึงรีบตะโกนถามศิษย์พี่ของตนในทันที

“ศิษย์พี่ เราถึงแล้วหรือยัง”

ชายหนุ่มรอสักพักให้มีเสียงตอบ แต่กลับได้ยินเพียงความเงียบงันอันแปลกประหลาด เขาทุบฝาโลงสองสามครั้ง ก่อนจะเพ่งสมาธิไปที่พลังปราณของตน และเอ่ยเรียกอีกครั้ง

“ศิษย์พี่ ท่านอยู่ข้างนอกหรือไม่”

“เกิดอะไรขึ้นกัน ศิษย์พี่ ตอบข้าสิ!” สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังในทันที เขาตะโกนต่อไปแต่ไม่ได้รับคำตอบ ความกังวลใจเริ่มพองขึ้นในจิตใจ

“แม่นางน้อย เจ้าอยู่หรือไม่” หลังจากที่ความเงียบเข้าปกคลุมเป็นเวลานาน หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจว่าควรจะปลอดภัยไว้ก่อน จึงไม่ใช้เปลวไฟสีดำดันฝาโลงให้เปิด แต่ร้องเรียกหาแม่นางน้อยแทน

นี่คือแผนสำรองที่เขาคิดไว้ก่อนจะนอนหลับไป

แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากแม่นางน้อยเช่นกัน ชายหนุ่มหรี่ตาลง สมองเริ่มทำงานเพื่อหาทางหนีทีไล่ แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเสียทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ หวังเป่าเล่อหลับไปในทันทีที่ก้าวเข้าไปในโลง ทำให้เขาไม่รู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้างระหว่างทาง

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพักเขาก็ตัดสินใจที่จะรอ หวังเป่าเล่อรออย่างใจเย็น คอยนับวันเวลาที่เดินหน้าผ่านไป ในวันที่สาม ประกายกล้าก็วาบขึ้นในดวงตาของเขาในที่สุด

มีความเป็นไปได้สูงมากที่ระหว่างทางเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น! เปลวไฟสีดำลุกโชนในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขายกมือขวาขึ้นวางบนฝาโลงอีกครั้ง พลังปราณระเบิดออกมาเพื่อเชื่อมจิตตนเองเข้ากับโลงศพ แต่ในตอนที่เขากำลังจะผลักฝาโลงให้เปิด เสียงแผ่วเบาก็ลอยเข้ามา เสียงนั้นดังมาจากที่อื่นที่ไม่ใช่นอกโลง มันดังก้องอยู่ในศีรษะของหวังเป่าเล่อ

“เป่าเล่อ”

“ศิษย์พี่!” แววตาของชายหนุ่มคมขึ้น เขาเลิกพยายามผลักฝาโลงและรีบถามในทันที “ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้นกัน ท่านอยู่ข้างนอกหรือไม่”

“เป่าเล่อ…มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นระหว่างทาง…ระหว่างนี้ข้า…อารยธรรมเล็ก…รอให้ข้าไปรับเจ้า…อย่าใช้ร่างจริงก้าวออกมา…เต๋าสวรรค์กำลังมา…ตายแน่ๆ …กระบวนเวทสร้างร่างอวตาร…ใช้หลบเต๋าสวรรค์ได้ชั่วคราว…จึงจะออกมาได้…”

ข้อความนั้นขาดเป็นช่วงๆ เหมือนมีบางสิ่งคอยรบกวนสัญญาณให้ส่งมาไม่ถึง จนทำให้ข้อความจากเฉินชิงขาดๆ หายๆ กระนั้นหวังเป่าเล่อก็ยังปะติดปะต่อใจความหลักเข้าด้วยกันได้จากสิ่งที่ศิษย์พี่ของเขาพูด

เกิดเรื่องไม่คาดคิด ข้าเลยโดนโยนลงมาที่อารยธรรมเล็ก เต๋าสวรรค์กำลังมา หากใช้ร่างจริงเดินออกจากโลงศพข้าต้องตายแน่ แต่ถ้าใช้กระบวนเวทนี้สร้างร่างอวตารของตนเอง ข้าก็จะออกจากโลงได้อย่างปลอดภัยชั่วคราว หวังเป่าเล่อมุ่นคิ้ว เขาไม่รู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเฉินชิงกันแน่ แต่ก็เดาได้ว่าสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งอย่างเฉินชิงถึงกับต้องทิ้งเขาไว้เพื่อไปจัดการ…ต้องเป็นเรื่องใหญ่มากแน่ๆ !

เสียงของเฉินชิงยังคงติดๆ ขัดๆ ขณะที่เขาส่งกระบวนเวทมาให้หวังเป่าเล่อศึกษา อีกฝ่ายใช้ความพยายามในการส่งเคล็ดเวทนี้มาให้หวังเป่าเล่อเป็นพิเศษ จึงทำให้ได้รับข้อมูลมาอย่างครบถ้วน

ชื่อของประบวนเวทนี้ก็คือศาสตร์เวทร่างจำแลง เมื่อเรียนครบแล้ว ผู้ใช้จะสามารถเปลี่ยนพลังปราณของตนรวมถึงแก่นของรูปลักษณ์ได้ จึงทำให้สามารถจำแลงกายเป็นสิ่งใดก็ได้

หวังเป่าเล่อตรวจดูกระบวนเวทนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน สมองเริ่มแล่นหาคำตอบ กระบวนเวทนี้มีบางส่วนที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณของผู้ฝึกตน ตัวเขาเองที่เป็นบุตรแห่งความมืดได้ศึกษางานเขียนมามากมายสมัยที่อยู่สำนักแห่งความมืด เขารู้ว่ามีกระบวนเวทมากมายที่ร้ายกาจยิ่ง บางกระบวนเวทสามารถเข้าควบคุมเหยื่อได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่กระบวนเวทเหล่านี้จะใช้กับเหยื่อไม่ได้จนกว่าตัวเหยื่อจะเรียนรู้วิชานี้ด้วยความเต็มใจ ถึงตอนนั้นอำนาจอันเลวร้ายจึงจะสำเร็จผล

นี่เป็นเรื่องจริงหรือว่าเป็นกลลวงกันแน่… ศิษย์พี่เจอเรื่องร้ายแรงระหว่างทางจริงหรือ หรือว่า… เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากอาจหมายถึงความเป็นความตายของเขา หวังเป่าเล่อจึงไม่สามารถละทิ้งมันได้ ชายหนุ่มวิเคราะห์ลึกลงไปทุกรายละเอียด เขาศึกษากระบวนเวทเงียบๆ ไม่รู้ว่าตนเองควรจะลองดูหรือไม่ ดวงตาจ้องมองไปที่ด้านในของฝาโลง หากเขาต้องการเปิดฝาโลงออก เขาเพียงแต่ต้องใช้เปลวไฟสีดำเท่านั้น การออกจากโลงเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน

ข้าควรฝึกวิชานี้ หรือข้าควรออกจากโลงกันแน่

บางทีคนเราก็ต้องเจอกับทางเลือกที่ยากจะตัดสินใจ โดยเฉพาะทางเลือกที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อใจในตัวบุคคล และจะยากมากขึ้นไปอีกหากเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตนเอง

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังคิดวิเคราะห์ทุกแง่มุมให้ละเอียดถี่ถ้วนนั้น ที่ระบบดาวเคราะห์ขนาดใหญ่กว่าซึ่งอยู่ห่างจากระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ออกไป มีระบบดาวขนาดเล็กหลายพันระบบโคจรอยู่ภายในระบบดาวใหญ่ยักษ์นี้ มันเรียงตัวกันเป็นวงแหวนปราณจักรวาลขนาดใหญ่!

วงแหวนปราณจักรวาลนี้ใหญ่โตมโหฬารมาก มันดึงพลังงานมาจากดารานิรันดร์ใหญ่น้อยหลายพันดวงของระบบดาวขนาดเล็ก เพื่อมาหลอมรวมเป็นอำนาจหนึ่งเดียวที่ทำลายได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า สิ่งที่ทำให้วงแหวนปราณนี้ยิ่งใหญ่มากขึ้นไปอีก คือหม้อหลอมยักษ์แปดหม้อที่กระจายตัวอยู่ทั่ววงแหวนปราณ หม้อหลอมเหล่านี้ลอยวนรอบจักรภพ แบ่งแยกจักรภพเล็กๆ เหล่านี้ออกจากกันในอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล

หม้อหลอมแต่ละหม้อปล่อยพลังที่ยิ่งใหญ่เก่าแก่น่าเกรงขามออกมา ภายในหม้อหลอมนั้นมีร่างที่ดูไม่ออกติดอยู่ ร่างเหล่านั้นถูกจองจำอยู่ภายในเพื่อใช้เป็นพลังงานในการหลอม

วงแหวนปราณที่สร้างมาจากดารานิรันดร์หลายพันดวง รวมถึงหม้อหลอมยักษ์ทั้งแปดหม้อคือกรงขัง ส่วนนักโทษก็คือ…เฉินชิง!

เฉินชิงที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวยืนอยู่กลางวงแหวนปราณ รอบกายรายล้อมด้วยกระแสสายฟ้าสีดำที่พุ่งมาจากทุกทิศทาง ปรากฏขึ้นเป็นสายโซ่จำนวนมากที่พันเกี่ยวทับซ้อนไปทั่วระบบดวงดาว

เบื้องหน้าเฉินชิงคือชายผู้หนึ่งในชุดเกราะสีทองอร่าม เขามีร่างสูงตระหง่าน พรั่งพร้อมด้วยศีรษะทั้งสามและแขนทั้งหก ดูราวกับเทพเจ้าแห่งสงครามที่ปล่อยอำนาจรุนแรงออกมาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าวงแหวนปราณที่รายล้อม!

เบื้องหลังของชายผู้นี้คือกองทัพร่างมายา ทุกตนดูเหมือนเหล่าเทพที่มีพลังแก่กล้าน่าเกรงขาม ชายในชุดเกราะสีทองเปรียบเหมือนพระเจ้าที่มีอำนาจเหนือกองทัพเทพเบื้องหลัง!

“เฉินชิง ข้ารู้ว่าเจ้าเด็กนั่นมีความสัมพันธ์ใดกับเจ้า ข้าจึงปรานีไม่ตัดสัญญาณทั้งหมดให้เจ้ายังพอส่งข้อความไปหามันได้บ้าง ทีนี้เรามาลองเดากันดีกว่า…ว่าศิษย์น้องสุดที่รักของเจ้า ที่เจ้ารักมากเสียยิ่งกว่าใคร จะเชื่อใจและทำตามที่เจ้าบอกหรือไม่ ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าหนุ่มนี่จะเลือกอะไร!” ชายร่างยักษ์ยิ้ม เสียงกังวานไปทั่วจักรภพ เส้นสายฟ้านับแสนชอนไชเหมือนงูพิษขดเป็นเกลียวไปมา ปล่อยเสียงระเบิดก้อง ก่อนขยายใหญ่ออกเป็นหน้าจอยักษ์สีดำ

บนหน้าจอคือภาพของ…โลงศพที่มีหวังเป่าเล่ออยู่ในนั้น!

ไม่ใช่ภาพที่ฉายให้เห็นในโลง หากแต่เป็นภายนอก!

“เจ้าคิดว่าสิ่งใดจะออกมาจากโลงกันแน่ ร่างจริงของศิษย์น้องที่รักของเจ้า หรือว่าร่างอวตาร”

บทที่ 729 ออกเดินทาง!
หวังเป่าเล่อตัวสั่นเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากเฉินชิง

เขาเดาถูกว่าโลงศพนั้นเป็นของขวัญที่ท่านอาจารย์มอบให้ แต่ไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของมัน ว่าที่จริงแล้วเขาต้องเข้าไปนอนในนั้นเพื่อหลบหนีจากหายนะที่กำลังจะมาเยือน

คำพูดของศิษย์พี่บอกให้รู้ว่าการคาดการณ์ของเขาเกี่ยวกับเต๋าสวรรค์นั้นถูกต้อง เต๋าสวรรค์นั้น…จัดได้ว่าเป็นอาวุธร้ายแรงชนิดหนึ่ง

นอกจากนี้ข้อมูลเกี่ยวกับเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นที่เขาได้รับมาเมื่อครู่ เมื่อนำมารวมเข้ากับประวัติศาสตร์ของสำนักแห่งความมืดที่เคยอ่านมา ชายหนุ่มก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตได้เป็นฉากๆ

สำนักแห่งความมืดแก้ไขเต๋าสวรรค์และเขียนกฎแห่งจักรวาลขึ้นมาใหม่ ตระกูลไม่รู้สิ้นรวบรวมกำลังคนเพื่อต่อต้านการรวบอำนาจนั้น และทำลายเต๋าสวรรค์ใหม่ของสำนักแห่งความมืดเสียแทบสิ้นซากจนทำให้สำนักล่มสลาย จากนั้นตระกูลไม่รู้สิ้นก็เขียนกฎแห่งจักรวาลและสร้างเต๋าสวรรค์ของตนเองขึ้นมาใหม่ หลังจากที่ก้าวขึ้นมามีอำนาจแทนที่สำนักแห่งความมืดแล้ว ตระกูลไม่รู้สิ้นก็เดินหน้ากำจัดทุกสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของสำนักแห่งความมืดไม่สามารถกลับมามีอำนาจได้อีก

แต่เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่ของเขานั้นเป็นข้อยกเว้น!

เฉินชิงมองความรู้สึกมากมายที่วาบผ่านเข้ามาบนสีหน้าของหวังเป่าเล่อแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ

“เป่าเล่อ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากจากบ้านเกิดไป แต่เจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ การเดินทางออกจากสหพันธรัฐของเจ้าจะกลายมาเป็นความหวังของสหพันธรัฐด้วยเช่นกัน”

“ความหวังหรือ” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองศิษย์พี่ของตนด้วยความสงสัย

“สหพันธรัฐนั้นยังถือว่าเป็นอารยธรรมการฝึกตนที่อ่อนด้อยเหมือนเด็กหัดเดินเมื่อเทียบกับอารยธรรมอื่นทั้งหมดในจักรวาลแห่งนี้ ไม่มีทางที่สหพันธรัฐจะปกป้องตนเองจากภัยเหล่านั้นได้เลย ไม่ต้องพูดถึงในกรณีที่มีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ผ่านมาเจอสหพันธรัฐเข้า ต่อให้เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ หากต้องการจะหลอมสหพันธรัฐให้รวมเข้ากับตนเองเพื่อเสริมพลังปราณแล้วละก็ เขาก็สามารถทำได้โดยแทบไม่ต้องกระดิกนิ้วเลยด้วยซ้ำ!” เฉินชิงพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมแม้แต่น้อย

หวังเป่าเล่อเงียบทันที เขารู้ดีว่าเรื่องที่ศิษย์พี่พูดออกมานั้นเป็นความจริง สหพันธรัฐ…ยังถือว่าเป็นอารยธรรมที่อ่อนแอนัก พลังปราณเพิ่งปรากฏขึ้นบนโลกเป็นครั้งแรกเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้เอง เส้นปราณของโลกยังก่อตัวขึ้นมาไม่สมบูรณ์ด้วยซ้ำ ผู้ฝึกตนในสหพันธรัฐจึงยังต้องสร้างศิลาวิญญาณด้วยตนเองอยู่

แม้จะพูดได้ว่าไม่ใช่เด็กทารกแล้ว แต่สหพันธรัฐก็ยังเป็นเพียงเด็กหัดเดินเมื่อเทียบกับอารยธรรมอื่นๆ

“แน่นอนว่าพวกเจ้ายังมีสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดโบราณอยู่ แต่ในความคิดของข้า แม้จะมีผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งหลับใหลอยู่ที่ปลายกระบี่ แต่ส่วนใหญ่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากเสียจนเอาตัวเองแทบไม่รอด พวกเขาอาจจะยื่นมือเข้ามาช่วยบ้างหากมีภัยที่ส่งผลต่อความอยู่รอดของตนเองเข้ามาใกล้ แต่หากอันตรายนั้นพุ่งเป้ามาที่สหพันธรัฐ เป็นไปได้หรือที่พวกนี้จะยอมตื่นขึ้นมาช่วยพวกเจ้า นี่ยังไม่พูดถึงว่ากว่าพวกนี้จะตื่นขึ้นมา สหพันธรัฐจะยังเหลือซากอยู่หรือไม่ด้วยนะ!” เฉินชิงมองหวังเป่าเล่อขณะพูดต่อ

คำพูดของศิษย์พี่ทำให้หวังเป่าเล่อเงียบไปอีกครั้ง เขามีแม่นางน้อยอยู่กับตัว ทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่าผู้อาวุโสจากสำนักวังเต๋าไพศาลจะยอมเข้าร่วมเป็นพันธมิตรหลังจากที่ตื่นขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว แต่…มันก็เป็นเพียงการเดิมพันเท่านั้น และเป็นการนำความอยู่รอดของตนไปวางไว้ในกำมือของผู้อื่นด้วย หากมีอะไรเกิดขึ้นจนทำให้ความคิดเปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว สมมติฐานนี้ก็จะสิ้นไปในทันที และหวังเป่าเล่อเองก็ไม่ใช่คนที่จะปล่อยชะตาชีวิตตนให้ไปอยู่ในกำมือของผู้อื่น

“แล้วเจ้าจะยังอยู่ที่สหพันธรัฐไปเพื่อสิ่งใด หากเจ้าต้องการให้บ้านเกิดของเจ้ามั่นคงแข็งแรง วิธีการที่ดีที่สุดที่ทำได้ คือการทำให้สหพันธรัฐแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น!

“มีสองทางที่จะทำเช่นนั้นได้ ทางแรกคือปล่อยให้เวลาผ่านไป เพื่อให้ทุกอย่างพัฒนาไปตามธรรมชาติจากรุ่นสู่รุ่น แต่จากโครงสร้างปัจจุบันของระบบสุริยะแล้ว วิธีนี้จะต้องใช้เวลานานพอตัว หากไม่มีเหตุอาเพศเกิดขึ้นเสียก่อนระหว่างนี้ ก็น่าจะต้องใช้เวลาหลายหมื่นหลายแสนปีเลยทีเดียว!”

“ด้วยเหตุนี้ทางเลือกที่สองจึงเหมาะสมกว่า!” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองเฉินชิงผู้พูด ดวงตาทอประกายเจิดจ้า

“ศิษย์พี่ ทางเลือกที่สองคือสิ่งใดกัน”

“ทางเลือกที่สองคือทางลัดที่จะช่วยพัฒนาอารยธรรมของเจ้าได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือการกลืนกินอารยธรรมอื่น!” เฉินชิงหยุดชั่วครู่ ก่อนจะรีบตอบในทันที คำตอบของเขาเผยเบื้องหลังกฎแห่งจักรวาลที่แท้จริงให้หวังเป่าเล่อได้รับรู้!

“ดารานิรันดร์คือแก่นของทุกอารยธรรม! มีเพียงอารยธรรมที่มีดารานิรันดร์เท่านั้น ที่จะเอื้อให้เกิดอารยธรรมการฝึกตนขึ้นมาได้!”

“ดารานิรันดร์หรือดาวฤกษ์ใจกลางจักรภพ คือดวงดาวที่ล้ำค่าที่สุดของอารยธรรมนั้นๆ และเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต!”

“ดวงอาทิตย์คือหัวใจหลักของสิ่งมีชีวิตในระบบสุริยะของเจ้า หากเจ้าทำให้ดวงอาทิตย์ของเจ้ากลืนกินดวงอาทิตย์ของอารยธรรมอื่นได้ ดวงอาทิตย์ของเจ้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นทั้งในด้านแรงผลักและพลังงานที่สะสมไว้ภายใน ดวงอาทิตย์ของเจ้าจะกลายมาเป็นพลังขับเคลื่อนธรรมชาติในจักรวาล!

“ดารานิรันดร์และอารยธรรมที่ถูกเจ้ากลืนกินจะกลายเป็นอารยธรรมทาสของเจ้า เมื่อดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ผู้ฝึกตนในสหพันธรัฐก็จะพัฒนาขั้นปราณของตนได้อย่างก้าวกระโดด!

“นี่คือกฎลับที่ซุกซ่อนอยู่ในกลไกของจักรวาล และเป็นสาเหตุหลักที่แต่ละอารยธรรมรบพุ่งกัน ตระกูลไม่รู้สิ้นจะไม่เข้าแทรกแซงสงครามการกลืนกินดารานิรันดร์นี้ ในจักรวาลที่กว้างใหญ่นี้ อารยธรรมมากมายต่างทำสงครามกันเพื่อแย่งชิงทรัพยากร โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวคือการทำให้อารยธรรมของตนแข็งแกร่งขึ้นจนไม่มีผู้ใดเทียบเทียม!”

“แล้วเจ้าจะเลือกทางใดเล่า” ประกายที่อ่านไม่ออกวาบเข้ามาในแววตาของเฉินชิง ขณะที่จ้องมองหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มผู้ถูกถามเงียบงันไป ลมหายใจของเขาถี่ขึ้นเล็กน้อย หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ประกายความมุ่งมั่นก็ส่องสว่างขึ้นในดวงตาของชายหนุ่ม เขาหันไปหาเฉินชิง ก่อนทำมือคารวะพร้อมโค้งคำนับ

“ข้าจะทำทุกอย่างที่ศิษย์พี่บอกให้ทำ แต่ข้าอยากได้เวลาอีกหนึ่งวันก่อนออกเดินทาง นอกจากนี้ข้ายังต้องการให้ท่านใช้พลังเวทของท่านป้องกันสหพันธรัฐจากภัยอันตรายด้วย”

“ไม่มีปัญหา!” เฉินชิงพยักหน้า ก่อนรีบโบกมือขวาและสร้างผนึกฝ่ามือเพื่อสร้างเกราะป้องกันในทันที พลังปราณหนาแน่นระเบิดออกจากท้องฟ้าเบื้องบน โปรยปรายลงมายังพื้นโลก ก่อนฝังตัวเองลงสู่ใต้พิภพและสลายหายไปโดยไร้ร่องรอย พันธนาการที่จองจำหวังเป่าเล่อไว้ก็คลายลงเช่นกัน

“ข้าจะรอเจ้าอยู่นอกชั้นบรรยากาศโลก!” เมื่อพูดจบเฉินชิงก็โยนกระเป๋าคลังเก็บให้หวังเป่าเล่อ ก่อนหันหลังจากไปในท้องฟ้ามืดมิดในพริบตา

หวังเป่าเล่อยืนอยู่กลางอากาศ มองไปยังทิศที่ศิษย์พี่ของเขาหายตัวไป เวลาผ่านไปเนิ่นนานก่อนที่ชายหนุ่มจะตัดสินใจได้ เขาหันหน้ากลับเพื่อมุ่งหน้าไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ เมื่อถึงบ้าน ชายหนุ่มก็นั่งอยู่เงียบๆ คนเดียวจนดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงอ่อนที่ขอบฟ้า หวังเป่าเล่อลุกขึ้นเพื่อตระเตรียมอาหารเช้าให้บิดามารดา เมื่อทั้งสองตื่น เขาก็คุกเข่าลงแทบเท้าพวกท่าน

ชายหนุ่มอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้คู่สามีภรรยาอาวุโสที่กำลังตกใจด้วยความใจเย็น โดยอ้างเหตุผลอื่นแทนที่จะบอกความจริง เนื่องจากไม่ต้องการให้ทั้งสองเป็นห่วง การจากลานั้นช่างแสนเจ็บปวดยิ่งนั้น ขณะที่พวกเขากำลังกินอาหารเช้ากัน หวังเป่าเล่อก็ร่ายเวทเพื่อคุ้มครองทั้งสอง และเฝ้าดูทั้งสองกลืนโอสถที่ศิษย์พี่ให้มาเพื่อยืดเวลาชีวิตของพวกท่านออกไป ท้ายที่สุดแล้ว หวังเป่าเล่อก็โค้งคำนับบิดามารดา ก่อนหันหลังจากไป

เขาไปหากระต่ายน้อย ต่อด้วยหลี่หว่านเอ๋อร์ เขาส่งข้อความให้หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีเพื่อแจ้งข่าว เจ้านครดาวอังคารและคนอื่นๆ ตกใจเป็นอันมากเมื่อได้ยินว่าหวังเป่าเล่อกำลังจะจากระบบสุริยะไป ขณะที่หลี่ซิงเหวินกระวนกระวายจนแทบจะเป็นบ้า ต้วนมู่ฉีเงียบกริบ ไม่ทราบแม้แต่น้อยกว่าตนเองควรทำอย่างไรต่อไป

หวังเป่าเล่อไม่มีทางเลือกอื่น เขาอยากอยู่ต่อ แต่ก็รู้ดีว่าศิษย์พี่ของตนพูดถูกแล้วในเรื่องนี้ นี่เป็นทางที่ดีกว่า ทั้งสำหรับตัวเขาเองและสำหรับสหพันธรัฐ เขาต้องจากบ้านเกิดของตนไปเพื่อตามหาความหวังที่ซุกซ่อนอยู่นอกระบบสุริยะ

ชายหนุ่มเสียใจที่ตนเองยังไม่มีโอกาสได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ สุดท้ายแล้วเจ้านครดาวอังคารก็ได้ก้าวขึ้นมานั่งเก้าอี้นี้ในฐานะผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป การที่หวังเป่าเล่อจากสหพันธรัฐไปถือเป็นความลับสูงสุด ประชาชนรู้เพียงว่าเขาเข้าเก็บตัวถือสันโดษยาวเพื่อฝึกวิชาเท่านั้น

เวลาหนึ่งวันอันแสนของเขาเดินทางมาถึงจุดจบในที่สุด หวังเป่าเล่อยืนมองแสงอาทิตย์สุดท้ายที่กำลังลาลับขอบฟ้า ก่อนจะลุกขึ้นยืน และกระโจนสู่ห้วงอวกาศเบื้องบน!

ทันทีที่เขาออกจากชั้นบรรยากาศโลก เฉินชิงก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกาย ชายหนุ่มโบกมือ ก่อนอวกาศรอบตัวของทั้งสองจะแปรเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน พวกเขาเคลื่อนย้ายออกจากโลกมาปรากฏตัวที่…ดาวพลูโต!

“หนทางไปสำนักแห่งความมืดใต้ดินนั้นยาวไกลนัก เราต้องเดินทางผ่านบริเวณต้องห้ามถึงเจ็ดที่ด้วยกัน แล้วยังต้องผ่านอาณาเขตหลักของตระกูลไม่รู้สิ้นด้วย เมื่อเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นเดินทางมาถึง เจ้าจะต้องเข้าไปนอนหลับในโลงศพเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง โลงศพนี้เป็นของขวัญจากท่านอาจารย์ของเรา เป็นวัตถุเวทที่มีพลังพิเศษมาก จึงไม่สามารถใส่ไว้ในกระเป๋าได้ ข้าจะต้องแบกโลงนี้ไปตลอดทางจนกว่าจะถึงที่หมาย เราจะใช้เวลาเดินทางสิบปีด้วยกัน กว่าเจ้าจะตื่นขึ้นเราก็คงถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว”

หวังเป่าเล่อเงียบกริบเมื่อได้ยินคำอธิบายการเดินทางจากปากเฉินชิง เขารู้สึกหดหู่เมื่อคิดว่าตนเองต้องโยนเวลาทิ้งโดยการหลับไปถึงสิบปี แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าตนเองไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงพยักหน้าตกลงเท่านั้น ดาวพลูโตสั่นสะท้านเมื่อเฉินชิงโบกมือ รอยแยกขนาดมหึมาแตกออกทั่วดาว หมอกมืดพวยพุ่งขึ้นในอากาศ ก่อนรวมตัวกันเป็นโลงศพยักษ์ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ!

เฉินชิงสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ โลงศพสั่นสะเทือนก่อนจะย่อขนาดลงอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายแล้วกลายเป็นโลงศพขนาดปกติ โลงศพนั้นไม่ได้สร้างมาจากหมอกสีดำอีกต่อไป หากแต่เป็นโลหะกล้าสีดำสนิท!

ร่องรอยแห่งความเก่าแก่แผ่กระจายออกจากโลงศพที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน อักขระที่ทอแสงสว่างอยู่บนฝาโลงส่งพลังรุนแรงเกินจินตนาการออกมา

“ข้าจะต้องเข้าไปนอนในโลงจริงๆ หรือ” หวังเป่าเล่อถอนใจ

“ไม่ต้องห่วงไปหรอกเป่าเล่อ มันก็เหมือนเจ้านอนกลางวันเท่านั้น พอตื่นมาเราก็ถึงที่หมายกันแล้ว” เฉินชิงมองหวังเป่าเล่อด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบก ฝาโลงแง้มออกช้าๆ หมอกไหลออกจากภายในโลงศพเข้าหาตัวชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อนวดหน้าผากตนเอง ก่อนก้าวเท้าเข้าไปในโลง

เมื่อเข้าไปนอนในโลงศพแล้ว ชายหนุ่มก็พบว่ามันไม่ได้อึดอัดแข็งกระด้างเหมือนที่คิดไว้ แต่กลับอบอุ่นเสียจนทำให้เขาเริ่มง่วงงุน หวังเป่าเล่อหาวหวอด พูดพึมพำกับศิษย์พี่ของตน “ความจริงก็ไม่เลวนะถ้าจะนอนไปสักสิบปี พอตื่นมาก็ถึงแล้ว หวังว่าระหว่างทางจะไม่เกิดอะไรขึ้น…”

“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน!” เฉินชิงยืนอยู่นอกโลงพร้อมเสียงหัวเราะ เขาปิดฝาโลงและจัดการยกมันขึ้น จากนั้นก็ก้าวเท้ายาวออกสู่ดวงดาวไกลโพ้น เพียงสามก้าวเขาก็ออกจากระบบสุริยะไปเรียบร้อยแล้ว!

ชายหนุ่มไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกครั้ง คืบออกห่างจากบ้านเกิดของหวังเป่าเล่อไปอย่างรวดเร็ว เพื่อมุ่งหน้าไปสู่ดวงดาวอันไกลโพ้น!

บทที่ 728 หายนะแห่งเต๋าสวรรค์!
การใช้ช่วงเวลาในวัยเยาว์อย่างอิสระเสรี ปราศจากซึ่งความกังวลใดๆ คือความสุขที่ทำให้คนผู้นั้นยังคงความเยาว์วัยได้!

คำกล่าวนี้คือต้นกำเนิดของชื่อทะเลสาบป่าขจีแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทะเลสาบมรกตแห่งนี้ได้เฝ้าดูการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่แรกเริ่มยุคกำเนิดวิญญาณ และยังเฝ้าดูการเจริญเติบโตของหวังเป่าเล่อ จากตอนที่เขายังเป็นหนุ่มน้อย มาจนถึงชายหนุ่มผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐในทุกวันนี้

ทะเลสาบป่าขจีเฝ้ามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตราบจนทุกวันนี้ ตั้งแต่ที่ฤดูใบไม้ร่วงคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบบนผืนดินแห่งนี้ ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มวัยรุ่นเติบโตขึ้นจนกลายเป็นชายเต็มตัว และยังคงเฝ้ามองดูเขาตราบจนถึงตอนนี้ ขณะที่เขายืนหันหลังให้ทะเลสาบชอุ่ม สองตาเพ่งมองเงาของศิษย์พี่เฉินชิงเบื้องหน้า

ผมของชายหนุ่มปลิวไสวในสายลมอ่อนของฤดูใบไม้ร่วง ช่วงเวลาวัยหนุ่มพัดพาปลิดปลิวไปกับสายลมอ่อนไหว สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงรอยแผลที่วันเวลาทิ้งไว้ แทนที่ความสุขและอิสระเสรีในวัยเด็ก

กระทั่งเงาสะท้อนของชายหนุ่มบนผิวน้ำก็ยังดูมืดมนยากจะหยั่งถึง ใบบัวลอยเคลื่อนผ่านมาตามกระแสน้ำที่พัดพา ทำให้น้ำนิ่งกระเพื่อมเป็นริ้วๆ เงาของหวังเป่าเล่อที่เคยสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำพลันปั่นป่วนในทันใด ราวกับเป็นกระจกที่สะท้อนความคิดจิตใจของชายหนุ่มในตอนนี้ ภายในของเขาแท้จริงแล้วไม่ได้สงบนิ่งเหมือนฉากหน้าแม้แต่นิด

หวังเป่าเล่อรับน้ำเต้ามาจากศิษย์พี่ของตน ก่อนดื่มเข้าไปอึกใหญ่โดยไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังดื่มสิ่งใดเข้าไป

สุรานั้นแรงเหลือ เพียงอึกเดียวก็อาจทำให้ผู้อื่นเริ่มกรึ่มได้ หวังเป่าเล่อดื่มสุราในน้ำเต้าเข้าไปถึงครึ่ง ก่อนจะส่งกลับคืนให้ศิษย์พี่ตรงหน้า สายตามองศิษย์พี่เฉินชิง ก่อนจะเริ่มเอ่ยปาก

“ศิษย์พี่ ข้าอยากถามท่านมานานแล้ว สิ่งทีข้าเห็นในนิมิตมืด สิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน เป็นเรื่องจริงหรือไม่”

ดวงจันทร์สาดแสงอ่อนโยนเป็นยวงลงบนผืนดิน บรรยากาศรอบกายของทั้งสองเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้นที่พัดพา ส่งไอเย็นยะเยือกแผ่เข้าร่างที่เมามายของหวังเป่าเล่อให้ทวีความเย็นจับใจขึ้นไปอีก คำถามของเขาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกบางอย่างภายในที่ยากเกินอธิบาย

ใบบัวในทะเลสาบสั่นไหวตามสายลมบางเบาของฤดูใบไม้ร่วง หวังเป่าเล่อมองตามผิวน้ำที่ทอดยาวออกไปไกล จิตใจว้าวุ่นปั่นป่วนจนยากจะข่มตาหลับ มีบางสิ่งหนักอึ้งอยู่ในใจ!

ทุกอย่างเริ่มขึ้นตั้งแต่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับโยวหรัน แม้หวังเป่าเล่อจะกลับมาที่นครศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ความทุกข์หนักหน่วงนี้ก็ไม่เคยเลือนหายไปจากใจ แม้จะมีบิดามารดาอยู่ข้างกาย หรือในยามที่เขาใช้ชีวิตอย่างสงบเยือกเย็น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจก็ไม่เคยหายไปไหน เขาสลัดมันทิ้งไม่ได้ ทำได้แค่เลิกนึกถึงเพียงประเดี๋ยวประด๋าว และฝังความไม่สบายใจนี้ลึกลงในวังวนของจิตใจ ตัดใจของตนเองให้ไม่นำเรื่องนี้มาคิดต่อ หากเฉินชิงไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน หวังเป่าเล่ออาจปล่อยเรื่องนี้ให้ฝังอยู่ในห้วงจิตใจที่ลึกที่สุดของตนต่อไป…และไม่พูดถึงมันอีกชั่วชีวิต

ตอนที่เขากำลังประมือกับโยวหรันนั้น การเปลี่ยนใจของจื่อเยว่ที่หันไปโจมตีโลกนั้นปุบปับเกินการคาดการณ์ของเขา สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอันมาก และทำให้เขาปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของตนเองออกมาจนทำให้ร่างกายอ่อนล้าแทบสิ้นแรง เหตุการณ์นี้ทำให้จิตเชื่อมโยงระหว่างเขากับโลงศพบนดาวพลูโตแนบสนิทขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง…เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนเรื่องบังเอิญที่ดูพอเหมาะพอเจาะเกินกว่าจะเป็นไปได้!

หากเขาก้าวผิดเพียงก้าวเดียวระหว่างการต่อสู้ การตัดสินใจที่ผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยอาจทำให้สหพันธรัฐล่มสลาย ส่งผลให้ครอบครัวและสหายของเขาเสียชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นความพอเหมาะพอเจาะที่เรียกได้ว่าโชคดี แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้เช่นกันที่…มีบางคนพยายามใช้อำนาจของตนในการเปลี่ยนผลของเหตุการณ์นั้น!

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าคนที่ทำเรื่องนี้ทำได้อย่างไร เขาไม่แปลกใจสักนิดที่เฉินชิงเปิดปากพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง แต่ก็จะไม่ใช้สิ่งนี้เป็นหลักฐานว่าแท้จริงแล้วเฉินชิงเป็นผู้ควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเช่นกัน

เขาถามออกไปเพียงคำถามเดียว และเชื่อว่าเฉินชิงรู้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร

แล้วก็จริงเสียด้วย หญิงสาวที่ฟ้าลิขิตให้มาเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของเขา ถูกเปลี่ยนชะตาไปด้วยการแทรกแซงของใครผู้ใดผู้หนึ่ง จนทำให้ทั้งดวงวิญญาณและการมีอยู่ของนางถูกทำลายหายไปจากโลกนี้ ใครกันจะพูดได้ว่าเฉินชิงไม่เคยเจอเหตุการณ์เลวร้ายที่ทำให้เขาต้องทนทรมานในชีวิต แม้ภายนอกจะดูไม่เป็นกังวลต่อสิ่งใด แต่ในความเป็นจริง เฉินชิงยังคงรู้สึกโศกเศร้ากับการสูญเสียในครั้งนั้นอยู่

ชายหนุ่มไม่ได้อยากรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องนี้ แล้วก็ไม่อยากทำให้ใครต้องเจ็บปวดกับเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้เช่นกัน

เฉินชิงรับน้ำเต้ามาโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เขาดื่มเหล้าที่เหลืออยู่ในน้ำเต้าหมดในอึกเดียว ชายหนุ่มหลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากผ่านไปเนิ่นนาน เขามองเข้าไปในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ศิษย์น้องที่รักของข้า ข้าไม่ได้ทำสิ่งที่เจ้าคิดแน่นอน แต่ข้ายอมรับว่า…ความตั้งใจที่ข้าจะทำให้จื่อเยว่กลายเป็นพลังบำรุงร่างกายให้เจ้าเป็นเหตุให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น ขอเวลาข้าสักนิด ข้าจะต้องหามาให้ได้…ว่าใครกันแน่ที่กำลังพยายามทำให้เราสองคนแตกกัน!”

หวังเป่าเล่อมองเฉินชิงก่อนหัวเราะออกมา ความหนักอึ้งในดวงใจยังคงอยู่ แต่เขามั่นใจแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น…หรือไม่ก็มีพลังอำนาจที่เหนือกว่าทุกสิ่งเข้ามาควบคุมจริงๆ ด้วยเหตุผลที่เขาเองก็ไม่อาจล่วงรู้ได้

“ศิษย์พี่ ท่านมีสุราเหลือหรือไม่” หวังเป่าเล่อถามด้วยรอยยิ้ม ความสบายใจเริ่มก่อตัวขึ้นภายใน

เฉินชิงมองหวังเป่าเล่อที่กลับมาเป็นคนร่าเริงดังเดิมอีกครั้งแล้วหัวเราะออกมาเช่นกัน เขาหยิบน้ำเต้าออกมาอีกสองอัน ทั้งสองนั่งกินลมชมวิวดื่มสุราริมทะเลสาบทอประกายระยิบระยับใต้แสงจันทร์

ฉากนี้…ควรจะเป็นฉากที่สวยงาม ผิวทะเลสาบสว่างกระจ่างด้วยแสงอ่อนของดวงจันทร์กระเพื่อมเป็นวงด้วยสายลมอ่อน ชายหนุ่มทั้งสองใส่ชุดคลุมยาว ใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อเหลาเหมือนเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์

ลมฤดูใบไม้ร่วงเย็นเยือก แต่ทั้งสองกลับรู้สึกอบอุ่นด้วยฤทธิ์ของสุรา เฉินชิงบอกหวังเป่าเล่อว่าตนเองมาเยือนสหพันธรัฐด้วยเหตุผลใด เขาต้องการพาหวังเป่าเล่อกลับไปด้วยกัน ชายหนุ่มอายุน้อยกว่ากะพริบตาปริบ ปากเริ่มทำเสียงจ๊อบแจ๊บ เขาหยิบขนมถุงออกมาและกินเสียงดัง เฉินชิงมองหวังเป่าเล่อที่ส่งถุงขนมมาให้พร้อมหยิบไข่ต้มซีอิ้วออกจากกระเป๋าคลังเก็บด้วยสายตางุนงงเหมือนโดนสะกด

เขาคว้าไข่จากหวังเป่าเล่อมากัดตามความเคยชิน และกำลังจะเอ่ยบางสิ่ง แต่หวังเป่าเล่อก็ยกน้ำเต้าของตนเองขึ้นชนกับของเฉินชิงเสียก่อน

“ศิษย์พี่ ชนแก้ว!”

แต่ไม่จบเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อยังหยิบปีกไก่ดิบที่หมักเรียบร้อยแล้วออกมาสิบกว่าปีก ปากยังดื่มไม่หยุด ขณะใช้เวทสร้างกองไฟเพื่อปิ้งไก่ เฉินชิงมองอย่างอึ้งๆ ขณะที่หวังเป่าเล่อควักเนื้อเสียบไม้และเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ จำนวนมโหฬารมาปิ้งกิน ท้ายที่สุดเขาก็ควักหม้อออกมาต้มห่านตัวใหญ่ พร้อมโยนพริกหยวกเขียวครึ่งจานลงไปในหม้อเพื่อปรุงรส บรรยากาศที่เคยสวยงามเหมือนมนต์สะกดหายวับไปกับตา ภาพที่เคยดูเหมือนฉากที่แสดงมิตรภาพของชายหนุ่มหน้าตาดีสองคน บัดนี้กลายเป็นภาพธรรมดาสามัญทั่วไป

“มา กินกันเถิด ท่านไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทตอนอยู่กับข้านะ ศิษย์พี่”

เฉินชิงจ้องหวังเป่าเล่อ อับจนด้วยคำพูดใดๆ ขณะที่มองชายหนุ่มทั้งกินและดื่มไปในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มนวดหน้าผากตัวเอง ก่อนจะพูดสิ่งที่ค้างไว้ต่ออีกครั้ง

“เป่าเล่อ ข้าจะพาเจ้าไปที่…”

แต่ก่อนที่เฉินชิงจะพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ยกน้ำเต้าซดจนหมดเกลี้ยง ดวงตาพร่ามัวด้วยม่านหมอกแห่งห้วงนิทรา เขาหันมามอง ส่งยิ้มทึ่มๆ ออกมา ก่อนจะเบือนหน้าไปข้างๆ แล้วผล็อยหลับไป

เฉินชิงรู้ชัดว่าหวังเป่าเล่อไม่อยากจากบ้านเกิดของตนเองไป และตั้งใจทำสิ่งทั้งหลายนี้เพื่อให้เขาพูดต่อไม่ได้ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขายกมือขวาขึ้นโบกสะบัด ฉับพลันอำนาจที่มองไม่เห็นก็แทรกซึมเข้าไปในร่างของหวังเป่าเล่อ ดันเอาสุราทั้งหมดที่ดื่มเข้าไปออกจากร่าง ชายหนุ่มที่ก่อนหน้านี้หลับใหลสะดุ้งตื่นลืมตาอย่างงุนงง แต่ก่อนที่ศิษย์พี่จะได้พูดอะไร ศิษย์น้องก็ชิงตบหน้าผากตนเองเสียก่อน

“แย่แล้ว ข้าต้องไปแล้วละศิษย์พี่ แม่ข้าบอกให้กลับบ้านก่อนตีหนึ่งทุกวัน ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันนะ” หวังเป่าเล่อผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว และกำลังจะก้าวเท้าออกไป แต่เฉินชิงก็ชี้นิ้วมาที่เขาเสียก่อน ขาทั้งสองของชายหนุ่มถูกตรึงอยู่กับที่ด้วยอำนาจที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ขยับไม่ได้แม้แต่นิ้วเดียว ร่างครึ่งบนของเขาโยกไปมาด้วยความพยายามที่จะเดินหนี แต่ขากลับติดอยู่กับพื้นเหมือนหนูติดกับ

“แต่ศิษย์พี่ ข้าไม่อยากไป…” สีหน้าของชายหนุ่มยุ่นยู่ไปหมดขณะมองจ้องเฉินชิง

ตัวศิษย์พี่เองก็จ้องเขากลับเช่นกัน เริ่มรู้สึกได้ถึงขมับที่เต้นตุบๆ ด้วยความปวดหัว

“เป่าเล่อ สำนักแห่งความมืดอาจล่มสลายไปแล้ว แต่ก็ยังมีผู้รอดชีวิตที่หลบลงไปอยู่ใต้ดิน พวกเขาสร้างสำนักใต้ดินแห่งใหม่ขึ้น เจ้าเป็นบุตรแห่งความมืด ในฐานะศิษย์พี่ของเจ้า ข้ามีหน้าที่พาเจ้ากลับไปที่สำนักแทนท่านอาจารย์ของพวกเรา เพื่อที่จะเจ้าได้ฝึกวิชาต่อ!”

“ศิษย์พี่ บิดามารดาข้าแก่ชรานัก ข้าไม่อยากอยู่ห่างพวกท่าน ข้ากลัวเหลือเกินว่ากว่าข้าจะกลับมา พวกท่านก็จะไม่อยู่บนโลกนี้เสียแล้ว ข้าคง…”

“ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง บิดามารดาเจ้าก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ของข้า ข้าจะให้โอสถอายุวัฒนะแก่พวกท่านทั้งสอง ที่จะทำให้พวกท่านมีอายุยืนยาวไปอีกสองร้อยปี เท่านี้ปัญหาของเจ้าก็ไม่มีแล้ว เจ้าไม่มีทางจากไปนานถึงสองร้อยปีแน่ เมื่อเจ้ากลับมา ข้าก็จะช่วยเจ้าหายานี้มาเพิ่มเติมอีก!”

“อ้าวหรือ ขอบคุณศิษย์พี่ แต่ศิษย์พี่…บรรดาคนรักของข้ายังอยู่ที่สหพันธรัฐกันหมด จะเกิดอะไรขึ้นกันเล่าหากข้าจากไป พอข้ากลับมาพวกนางไม่แต่งงานกับชายอื่นกันไปหมดแล้วหรือ…” หวังเป่าเล่อรีบพูดอย่างรวดเร็ว พยายามที่จะทำให้ศิษย์พี่ของเขาเปลี่ยนใจ

“ไม่ต้องเป็นห่วงไป ด้วยสถานะของเจ้าในสหพันธรัฐตอนนี้ ใครจะไปกล้าแย่งคนรักของเจ้ากันเล่า” เฉินชิงพูดอย่างไม่ยี่หระ ชายหนุ่มโยกมือขวายกหวังเป่าเล่อให้ลอยขึ้นในอากาศพร้อมกันกับเขา ทั้งสองลอยล่องขึ้นเรื่อยๆ พร้อมที่จะจากดาวเคราะห์สีน้ำเงินแห่งนี้ไปสู่ห้วงอวกาศไกลแสนไกล

หวังเป่าเล่อตกใจแทนสิ้นสติ

“ข้าไม่อยากไป ข้ายังไม่ได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐเลย มาทำข้อตกลงกันก่อนเถิด ทำไมท่านไม่รอให้ข้าได้นั่งเก้าอี้ผู้นำสหพันธรัฐก่อนเล่า เมื่อได้ตำแหน่งมากอดไว้แล้วข้าจะไปกับท่านทันทีเลย ตกลงหรือไม่”

“เป่าเล่อ!” เฉินชิงหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ก้มลงมองหวังเป่าเล่อที่อยู่เบื้องล่างด้วยสายตาจริงจังหนักหน่วง

“ข้าไม่ได้จะพาเจ้าจากไปโดยไร้เหตุผล หายนะแห่งเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังจะมาเยือนแล้ว ทุกครั้งที่ปรากฏตัวขึ้น มันจะปล่อยพลังออกมาตรวจตราทั่วจักรวาล เพื่อหาร่องรอยของสำนักแห่งความมืดที่ยังเหลืออยู่และทำลายให้สิ้นซากในทันที เจ้ายังอ่อนแอนัก ไม่มีทางที่จะสู้กับมันได้แม้แต่นิด มันจะหาเจ้าเจอในทันทีแล้วเจ้าก็จะตายโดยไม่ทันได้กะพริบตาด้วยซ้ำ!

“ข้าถึงบอกเจ้าหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าให้เตรียมตัวให้พร้อม เพราะว่าข้าจะต้องพาเจ้าจากไป ทางเดียวที่เจ้าจะรอดชีวิตจากหายนะแห่งเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้น คือตามข้าไปที่สำนักแห่งความมืดใต้ดิน และรับพรจากเศษซากเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดที่เหลืออยู่!

“เจ้าอาจจะรู้อยู่แล้ว แต่เต๋าสวรรค์นี้เป็นวัตถุเวทที่ทรงอำนาจมาก มีเพียงเต๋าสวรรค์เท่านั้นที่จะต่อกรกับเต๋าสวรรค์ด้วยกันได้ เต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดเสียหายไปเกือบหมด แต่ก็ยังพอเหลือซากเหลืออยู่บ้าง เต๋าสวรรค์ที่เหลืออยู่ของสำนักเราจะช่วยปกป้องเจ้า!

“ส่วนโลงศพที่เจ้าพบในดาวพลูโตแห่งกลุ่มพันธมิตรระบบสุริยะนั่น คือสิ่งที่ท่านอาจารย์ของพวกเราส่งมาให้เจ้าด้วยพลังอำนาจเหนือจินตนาการ ท่านต้องพยายามหลบเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้น โดยใช้พลังเวทส่งโลงศพนี้ผ่านห้วงเวลาจากอดีตมาให้เจ้าที่อยู่ในปัจจุบัน จุดประสงค์ของท่านคือต้องการให้เจ้าใช้โลงศพนี้ในการจำศีล เพื่อที่เจ้าจะไม่ถูกเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นสังหาร!

“เจ้าเลือกเอาว่าจะเข้าไปนอนจำศีลในโลงศพทุกสิบปีและตื่นมาอีกร้อยปีให้หลัง หรือว่าจะตามข้าไปเพื่อจัดการปัญหานี้ให้สิ้นซากเสีย!

“เจ้าจะเลือกทางใด บอกข้ามา”

บทที่ 727 ศิษย์พี่มาแล้ว!
“นกนางแอ่นดำ…” สีหน้าของหวังเป่าเล่อจริงจัง อารมณ์แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมหลังจากที่อ่านรายละเอียดเต็มๆ ของภารกิจ

ภารกิจนกนางแอ่นดำคือภารกิจที่ต้องแฝงตัวเข้าไปอยู่ในดินแดนต่างถิ่น!

แต่การแฝงตัวนี้ไม่ใช่ที่ใดที่หนึ่งในสหพันธรัฐหรือสำนักวังเต๋าไพศาล แต่เป็นการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย…ในห้วงอวกาศที่ไม่เคยไปเยือนมาก่อน!

หลายปีก่อน ตอนที่ยุคกำเนิดวิญญาณเกิดขึ้นครั้งแรก สหพันธรัฐค้นพบการมีอยู่ของอารยธรรมอื่นรอบระบบสุริยะผ่านวิธีการพิเศษ

วิธีการที่ว่านั้นคือการใช้ยันต์พิเศษที่หลี่ซิงเหวินเคยเล่าให้หวังเป่าเล่อฟัง ซึ่งเป็นแก่นของวงแหวนปราณระบบสุริยะ นอกจากนี้ยังใช้โบราณสถานที่พบทั่วโลกเป็นเบาะแสอีกด้วย หวังเป่าเล่ออ่านเรื่องราวของภารกิจนกนางแอ่นดำ แล้วพบเข้ากับ…บันทึกเกี่ยวกับบิดาของหลินเทียนหาว หลินโยว!

บันทึกนั้นบอกเอาไว้ชัดเจนว่าหลินโยวเคยหายตัวไปในโบราณสถานแห่งหนึ่งตอนที่เขายังเป็นชายหนุ่ม และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในที่แห่งเดิมหนึ่งปีถัดจากนั้น รายงานกล่าวว่าเขาถูกเคลื่อนย้ายไปยังอารยธรรมต่างดาว และนำข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับอารยธรรมอื่นๆ กลับมาให้สหพันธรัฐ

อีกชื่อหนึ่งในบันทึกที่ทำให้หวังเป่าเล่อต้องตกตะลึง คือชื่อของ…เซี่ยไห่หยาง!

บันทึกนี้กล่าวถึงพฤติกรรมประหลาดของเซี่ยไห่หยาง โดยเฉพาะการหายตัวไปจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และการปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่สำนักวังเต๋าไพศาล สหพันธรัฐคาดการณ์ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ก็สืบความต่อไม่ได้ เนื่องจากปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอารยธรรมกับสำนักบนกระบี่สำริดเขียวโบราณในตอนนั้น

หลังจากที่สงครามปิดฉากลง สหพันธรัฐก็เดินหน้าสืบสวนเรื่องนี้ต่อไป เพื่อหาต้นกำเนิดที่แท้จริงของเซี่ยไห่หยาง เกมที่เขาร่วมมือสร้างขึ้นมากับหวังเป่าเล่อเป็นหนึ่งในประเด็นหลักที่ถูกยกขึ้นมาวิเคราะห์เช่นกัน หากไม่ใช่เพราะสถานะพิเศษของหวังเป่าเล่อในสหพันธรัฐ เขาคงกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการตรวจสอบด้วยเช่นกัน

แม้ว่าการสืบสวนจะไม่ได้ให้บทสรุปที่ตายตัว แต่เจ้าพนักงานที่ดูแลเรื่องนี้ก็ได้เบาะแสบางอย่างมาเช่นกัน พวกเขาเชื่อว่า…เซี่ยไห่หยางมาจากอารยธรรมอื่นที่ยิ่งใหญ่และพัฒนาไปไกล ซึ่งมาฝึกวิชาที่สหพันธรัฐ!

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนที่เป็นเป้าของการสืบสวนลับนี้ หวังเป่าเล่อเจอรายชื่อกว่าร้อยรายชื่อ ทั้งหมดมาจากพื้นเพที่แตกต่างกันไป แต่ล้วนมีสองสิ่งที่เหมือนกัน ประการแรกคือพวกเขาเคยหายตัวไปและกลับมาอีกครั้งเหมือนหลินโยว… หรือไม่ก็มีสัญญาณบ่งบอกว่าไม่ใช่คนจากสหพันธรัฐ!

ชื่อของจั่วอี้ฟานและจั่วอี้เซียนก็อยู่ในบันทึกนี้เช่นกัน จากการสืบสวน ทั้งสองถูกเคลื่อนย้ายออกจากระบบสุริยะไปแล้วด้วยอำนาจลึกลับบางอย่าง!

เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นซ้ำๆ นี้ ทำให้สหพันธรัฐต้องหันมาสนใจเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ทำให้ปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐและการเชื่อมสัมพันธ์กับสำนักวังเต๋าไพศาลยังดำเนินต่อไปในรูปแบบของ…ภารกิจนกนางแอ่นดำ เป้าหมายหลักของภารกิจคือการหาผู้ฝึกตนที่มีความสามารถเฉพาะตัว ทั้งยังเป็นคนที่สหพันธรัฐไว้ใจได้ และจัดการส่งพวกเขาเหล่านั้นไปปฏิบัติการนอกระบบสุริยะ โดยมีจุดประสงค์หลักคือการค้นหาอารยธรรมนอกระบบสุริยะนั่นเอง!

วิธีการเดินทางออกนอกระบบสุริยะนั้นคล้ายคลึงกับวิธีที่หลินโยวเคยทำในอดีต บันทึกระบุไว้ว่า สหพันธรัฐค้นพบสถานที่ที่คิดว่าเป็นวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายถึง 43 ที่!

เนื่องจากความเสี่ยงมีสูงมาก ทางการเองจึงยังไม่กล้าใช้วงแหวนปราณเหล่านี้ลองเคลื่อนย้ายแม้แต่ครั้งเดียว จึงไม่มีใครรู้ว่าวงแหวนปราณเหล่านี้ทำสิ่งใดได้บ้าง ผู้ปฏิบัติภารกิจนกนางแอ่นดำจะต้องไปหาข้อมูลที่นอกระบบสุริยะมาให้ได้มากที่สุด หากการเคลื่อนย้ายสำเร็จ พวกเขาจะต้องทำตามแผนการที่วางไว้ โดยการแทรกซึมเข้าอารยธรรมต่างดาวให้สำเร็จ นอกจากนั้นยังต้องระวังความปลอดภัยของตนเอง และรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สหพันธรัฐเข้าใจว่าอารยธรรมต่างๆ ที่รายล้อมสหพันธรัฐเอาไว้เป็นอย่างไร

แผนการนี้ร่างขึ้นมาจากข้อมูลเท่าที่สหพันธรัฐมีอยู่ในมือ คนส่วนใหญ่ที่หายตัวไปด้วยการเคลื่อนย้ายมักจะไม่ได้กลับมาอีก แต่ก็มีบ้างที่เดินทางกลับมายังสหพันธรัฐได้อย่างปลอดภัยหลังจากที่เวลาผ่านไปหลายเดือน บางทีก็หลายปี

แผนการนี้คงจะเป็นการยากที่จะทำให้สำเร็จหากสหพันธรัฐต้องทำเพียงลำพัง ความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติภารกิจขึ้นอยู่กับจำนวนกระบวนเวทที่มีติดตัว รวมถึงวัตถุเวทที่จะทำให้พวกเขาสามารถซ่อนตัวและเปลี่ยนรูปร่างได้ตามใจชอบเพื่อแทรกซึม นอกจากนี้ยังต้องสามารถสื่อสารภาษาต่างดาวท้องถิ่นของพื้นที่นั้นๆ รวมถึงมีพลังปราณที่สูงพอสมควรด้วย

เมื่อมีผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลมาร่วมด้วยปัญหานี้ก็หมดไป ก่อนที่สำนักวังเต๋าไพศาลจะมา สหพันธรัฐกำลังอยู่ระหว่างการสร้างวัตถุเวทที่ช่วยปิดบังตัวตนและเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของผู้ใช้ แต่เมื่อมีสำนักวังเต๋าไพศาล เจ้าผินฟางก็สร้างวัตถุเวทเหล่านี้สำเร็จได้โดยง่าย นอกจากนี้สำนักยังช่วยกำจัดปัญหาเรื่องการพูดคุยกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวให้ด้วย

ภารกิจนี้กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง แม้จะดูเหมือนเป็นการตัดสินใจที่เร็วเกินไป แต่ทางสหพันธรัฐเองก็เริ่มวางแผนนี้มานานแล้ว

หวังเป่าเล่อจ้องบันทึกตรงหน้าที่ตนเพิ่งอ่านจบด้วยความเงียบงัน ใจหนึ่งเขาก็อยากหยุดเจ้าเยี่ยเหมิงและสหายเอาไว้ ให้ทุกคนถอนตัวออกจากปฏิบัติการนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าตนเองจะโน้มน้าวสหายของตนได้อย่างไร และไม่รู้แม้กระทั่งจะเริ่มพูดอย่างไร สหพันธรัฐทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ที่พยายามศึกษาจักรวาลรอบกายซึ่งอยู่นอกเหนืออาณาเขตตน พวกเขาต้องการรู้ให้ได้ว่าในบรรดาดาราจักรที่รายรอบนั้นมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง หากต้องเผชิญกับอารยธรรมต่างแดนอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู พวกเขาก็จะสามารถป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ที่ต้องสู้รบระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีก

นี่คือความพยายามของอารยธรรมที่จะพัฒนาไปข้างหน้า ลำพังตัวเขาเพียงคนเดียวคงทำสิ่งนี้ให้สำเร็จไม่ได้ เนื่องจากภารกิจนี้ต้องใช้กำลังคนมากมายในการพิชิต ยิ่งอารยธรรมของสหพันธรัฐรุดหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ คนจำนวนมากก็ต้องใช้ความสามารถของตนในการช่วยเหลืออาณาจักร และพิสูจน์ขีดความสามารถให้โลกได้รับรู้

แม้ภารกิจนี้จะดูอันตรายมาก แต่หวังเป่าเล่อก็เห็นว่าสหพันธรัฐให้ทรัพยากรจำนวนมากกับผู้เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจ ทุกคนได้รับมอบระเบิดต้านทานวิญญาณรุ่นที่สองนับสิบลูก แต่ละลูกสามารถทำให้ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณบาดเจ็บหนักได้เลยทีเดียว

นอกจากนี้สหพันธรัฐยังเก็บตัวอย่างพันธุกรรมของทุกคนเอาไว้ และยังใช้นวัตกรรมจากสำนักวังเต๋าไพศาลในการเก็บเสี้ยวของวิญญาณเอาไว้เช่นกัน หากมีผู้ใดเสียชีวิตก็มีโอกาสจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ในวันที่เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์การวิญญาณของสหพันธรัฐก้าวไกลพอ!

สิ่งที่หวังเป่าเล่อทำได้คือการมอบอาวุธเวทที่เขาหลอมขึ้นมาเองให้เจ้าเยี่ยเหมิงและสหายคนอื่นๆ นอกจากนี้เขายังใช้พลังปราณของตนสร้างร่างอวตารของเขาขึ้นมาหลายร่างและมอบให้เหล่าสหายอีกด้วย เผื่อว่าร่างเหล่านี้จะมีประโยชน์ขึ้นมาวันหนึ่งในยามที่ต้องต่อสู้!

หวังเป่าเล่อตรวจดูจนแน่ใจว่าร่างอวตารเหล่านี้ไม่ได้ปล่อยพลังปราณออกมา มิเช่นนั้นอาจทำให้สหายของเขาตกอยู่ในอันตรายได้ เขาพยายามสุดความสามารถที่จะปกปิดพลังปราณของตนในร่างอวตาร จึงทำให้จิตเชื่อมโยงของเขากับร่างจำลองเหล่านี้อ่อนแอลงด้วย ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือร่างอวตารเหล่านี้ไม่มีสัญญาณพลังปราณให้ตรวจจับเลยแม้แต่น้อย แต่ยังคงทรงพลังเท่าเดิม!

ในวันต่อๆ มา หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าร่างอวตารของเขาพร้อมเจ้าของของมันได้หายออกไปจากจิตสัมผัสวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มรู้ดีว่าการหายตัวไปนั้นหมายถึงสิ่งใด…สหายของเขาไม่ได้อยู่ในระบบสุริยะอีกต่อไปแล้ว

ชายหนุ่มตกอยู่ในความเศร้าสร้อย เขาออกจากบ้านเพื่อไปเดินเล่นรอบนครศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียว ดวงตาเฝ้ามองผู้คนที่สัญจรไปมา และยวดยานมากมายที่แล่นขวักไขว่ หูฟังเสียงอื้ออึงของบรรยากาศนครโดยรอบ ชายหนุ่มเดินไปอย่างไร้จุดหมาย จนพบว่าเท้าของเขาพาตัวเองมาถึงริมบึง เขานั่งลง จ้องมองผืนน้ำและใบบัวที่ลอยเอื่อยอยู่บนผิวน้ำ สมองเริ่มคิดย้อนไปถึงวันวาน

ชายหนุ่มคิดถึงวัยเด็ก วันเวลาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และที่สำนักวังเต๋าไพศาล สุดท้ายแล้วเขาก็นึกถึงการต่อสู้ของเขากับโยวหรัน เมล็ดวิญญาณของจื่อเยว่ และเส้นด้ายของนางที่ทอดยาวไปในห้วงอวกาศกว้างใหญ่

เวลาเดินผ่านไปอย่างช้าๆ ดวงอาทิตย์ลาลับ ดวงจันทร์ขึ้นมาแทนที่ ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายกล้าขึ้น ชายหนุ่มไม่รู้สึกตัวว่ามีคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขามาพักใหญ่ ชายผู้นั้นมีใบหน้าอ่อนเยาว์ สะพายกระบี่ไม้ไว้บนหลัง ในมือถือน้ำเต้าอันใหญ่ และกำลังยืนพิงต้นไม้ยักษ์ เขามองหวังเป่าเล่อขณะที่ยกน้ำเต้าขึ้นดื่ม ดวงตาล้ำลึกด้วยความคิดที่อยากจะหยั่งถึง ดูเหมือนว่าชายผู้นี้กำลังพยายามเฟ้นหาคำพูดที่จะใช้ปลอบใจอีกฝ่าย

หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกตัวว่ามีผู้ใดอยู่เบื้องหลังตน แสงในดวงตาของเขาแรงกล้าขึ้น ชายหนุ่มเริ่มพึมพำกับตัวเอง

“พวกนั้นมีภารกิจของตัวเอง ข้าก็มีเช่นกัน…พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมภาระหน้าที่อันหนักอึ้ง ข้าอาจไม่สนใจทั้งชื่อเสียงและความโด่งดัง ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีไร้ซึ่งพันธะเหมือนนกป่า แต่เพื่อสหพันธรัฐแล้ว ข้าคงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องรับหน้าที่ในฐานะผู้นำสหพันธรัฐ!

“ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ข้าไม่ได้ร้องขอให้ตนเองมีพลังปราณที่ยิ่งใหญ่เหนือสวรรค์ หัวใจที่บริสุทธิ์ยุติธรรม และใบหน้าอันหล่อเหลาถึงเพียงนี้ คนของข้าต้องการข้า สหพันธรัฐต้องการข้า ใช่แล้ว…กลุ่มพันธมิตรระบบสุริยะต้องการให้ข้าเป็นผู้นำ!”

สีหน้าของชายหนุ่มที่กำลังพิงกำแพงอยู่นั้นเปลี่ยนเป็นปุเลี่ยนทันทีที่ได้ยิน เขาตบหน้าผากตัวเองเบาๆ พลันกลืนคำพูดปลอบใจลงคอไป

“ข้าจะมามัวเศร้าสร้อยกับการแยกย้ายของสหายไม่ได้ ข้าต้องเรียสติตนเองกลับคืนมา ข้าต้องปลดปล่อยพลังของข้า พลังของชายที่หน้าตาดีที่สุดในสหพันธรัฐ!” หวังเป่าเล่อทะลึ่งตัวขึ้นยืนพลางพูดพึมพำกับตนเอง เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า อ้าปากจะพูดปลอบใจตนเองอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร เสียงกระแอมกระอก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เสียงนั้นดูเต็มไปด้วยความรำคาญใจ

“ศิษย์น้องที่รักของข้า วิธีการปลอบใจตนเองของเจ้า…ช่างประหลาดเสียจริง”

เมื่อได้ยินคำนั้น ชายหนุ่มก็ตัวแข็งทื่อในทันที เขาหันหน้าขวับกลับไปมอง สายตาสบลงที่ชายหนุ่มผู้ซึ่งยืนพิงต้นไม้ใหญ่อยู่… ชายผู้นั้นคือศิษย์พี่ของเขา เฉินชิง!

หวังเป่าเล่อยืนมองเฉินชิง แต่แทนที่จะเปิดปากพูดคุยในทันที ชายหนุ่มกลับเงียบลง…

เฉินชิงเองก็เงียบเช่นกัน ทั้งสองยืนอยู่ข้างทะเลสาบ สายลมพัดผ่านส่งให้ผิวน้ำไหวเป็นระรอก เส้นผมของทั้งสองปลิวไสวในสายลม

หลังจากเวลาผ่านไปแสนนาน เฉินชิงก็นวดหน้าผากตนเอง เขาถอนหายใจก่อนโยนน้ำเต้าให้หวังเป่าเล่อ ดวงตาจริงจังขณะพูดเสียงเบา “เป่าเล่อ จิตวิญญาณที่ชาญฉลาดมักมาพร้อมกับความรู้สึกมากมาย ข้าเพิ่งรู้ซึ้งถึงความจริงข้อนี้เมื่อตอนที่มาถึงที่นี่เอง โปรดอย่าเข้าใจข้าผิด สิ่งที่เจ้ากำลังเป็นทุกข์อยู่ในใจนั้น ข้าไม่ได้เป็นคนก่อ”

บทที่ 726 ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำ!
ในปีที่ 48 ของยุคกำเนิดวิญญาณ สงครามระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐได้อุบติขึ้น

ห้าเดือนต่อมาสงครามก็สิ้นสุดลง ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล นำโดยเมี่ยเลี่ยจื่อ เลือกที่จะยอมแพ้ไปในที่สุด

สงครามครั้งนี้สั้นนัก แต่กลับดุเดือดโชกเลือดไปด้วยความตายของผู้คนมากมาย จุดจบของมันเป็นเรื่องลึกลับที่แทบไม่มีใครล่วงรู้

เนื่องจากไม่มีผู้ใดมีโอกาสได้เฝ้าติดตามการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจริงจึงยังคงเป็นความลับ ที่นำมาซึ่งข่าวลือมากมายว่าแท้จริงแล้วสงครามนี้ปิดฉากลงอย่างไร

ข่าวลือแพร่กระจายจากคนหนึ่งไปสู่อีกคน ในระหว่างนี้การฟื้นฟู ทำความสะอาด และสร้างสิ่งใหม่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง สิ่งแรกที่ต้องจัดการคือจะทำอย่างไรกับผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่ยอมจำนนในฐานะผู้แพ้สงคราม ร้อยละสามสิบของผู้ฝึกตนที่รอดชีวิตถูกตัดสินว่าทำความผิดร้ายแรงอุกฉกรรจ์ ต้วนมู่ฉีเป็นผู้ประกาศโทษของพวกเขาเหล่านั้นให้ทราบโดยทั่วกันต่อหน้าทุกชีวิตในสหพันธรัฐต้วนมู่ฉี พวกเขาต้องโทษประหารชีวิต!

บทลงโทษนี้ร้ายแรงเกินจะเอ่ย แต่ประชาชนสหพันธรัฐทุกคนต้องการสิ่งนี้ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปล่อยให้ผู้ที่เข้ามารุกรานอาณาจักรของตนยอมแพ้ไปโดยไม่ได้รับบทลงโทษที่สาสม และต้วนมู่ฉีก็ยอมรับผลที่ตามมาจากการสังหารหมู่ผู้คนเหล่านี้ทุกประการ!

นอกจากนี้ผู้ฝึกตนชั้นสูงจากสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนจะถูกจองจำด้วยคำสาปแห่งวิทยาศาสตร์การวิญญาณ อันเป็นผลลัพธ์มาจากการค้นคว้าของเจ้าผินฟาง พวกเขาเหล่านี้จะไม่เป็นภัยต่อสหพันธรัฐอีกต่อไป โดยคำสาปนี้จะติดกายอยู่ถึง ห้าร้อยปีด้วยกัน!

หลังจากผ่านไปครบห้าร้อยปีจึงจะถือว่าพ้นโทษ และได้รับการปลดปล่อยจากคำสาป สถานะและการโดนควบคุมจิตใจของเมี่ยเลี่ยจื่อทำให้เขาได้รับการยกเว้นเป็นพิเศษ สหพันธรัฐลังเลว่าควรตัดสินโทษเขาอย่างไรดี แต่เมี่ยเลี่ยจื่อให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะกลับไปเฝ้าสำนักวังเต๋าไพศาลจนกว่าชีวิตจะหาไม่ และจะไม่มีวันออกจากสำนักอีกนอกเสียจากว่าสหพันธรัฐจะเรียกตัว

สำหรับการซ่อมแซมบ้านเมืองนั้น สำนักวังเต๋าไพศาลจะมอบทรัพยากรเท่าที่ตนเองมีให้สหพันธรัฐ รวมถึงการเข้าถึงบันทึกประวัติศาสตร์ต่างๆ และกระบวนเวททุกประเภทด้วย สหพันธรัฐมีสิทธิ์ทุกประการที่จะเข้าไปยังพื้นที่ของสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้ฝึกตนทุกคนสามารถเข้าออกกระบี่สำริดเขียวโบราณได้อย่างอิสระ แต่แน่นอนว่าด้วยการยืนกรานอย่างแข็งขันของเฟิ่งชิวหรัน… บริเวณที่ลึกที่สุดของกระบี่ยังคงสภาพเป็นพื้นที่ต้องห้ามต่อไป ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในบริเวณนั้น เนื่องจากอาจไปรบกวนการจำศีลของเหล่าผู้อาวุโสประจำสำนักได้

ต่อมาก…ข้อเสนอของหวังเป่าเล่อที่ให้สร้างกลุ่มพันธมิตรก่อนที่จะเกิดสงคราม ถูกนำกลับมาพิจารณาอีกครั้ง ต้วนมู่ฉีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เขาเรียกเหล่าชนชั้นนำจากสหพันธรัฐรวมถึงเฟิ่งชิวหรัน เข้าหารือเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งสองฝ่ายเพิ่มรายละเอียดเล็กน้อยเข้าไปในแผนการดั้งเดิม และตกลงกันว่าจะสร้างกลุ่มพันธมิตรขึ้นมา

ปีที่ 49 ของยุคกำเนิดวิญญาณ กลุ่มพันธมิตรระบบสุริยะก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ถือเป็นนิมิตหมายของยุคสมัยใหม่ นามว่ายุคสุริยะ!

ในตอนนี้กลุ่มพันธมิตรระบบสุริยะมีสมาชิกเพียงสองอารยธรรมเท่านั้น คือสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาล ข้อบัญญัติของการรวมกลุ่มพันธมิตรระบุไว้ว่า สหพันธรัฐเป็นอารยธรรมเดียวที่ถือว่าเป็นสมาชิกลำดับหนึ่งในกลุ่มพันธมิตรตลอดไป และมีอำนาจในการเปลี่ยนหรือปัดตกการตัดสินใจใดๆ ที่กลุ่มพันธมิตรตกลงร่วมกัน สำนักวังเต๋าไพศาลมีสถานะเป็นผู้สมาชิกลำดับสองเท่านั้น

กฎนี้ทำให้สหพันธรัฐมีอำนาจเหนือสำนักวังเต๋าไพศาล หากเป็นเมื่อก่อนสำนักวังเต๋าไพศาลคงไม่มีวันยอมรับข้อตกลงนี้แน่นอน แม้แต่ตัวเฟิ่งชิวหรันเองที่คิดจะสร้างกลุ่มพันธมิตรกับสหพันธรัฐอยู่ตลอดก็ย่อมต้องการดันให้สำนักของตนมีอำนาจลำดับหนึ่งแน่นอน ทว่าสงครามและพลังอำนาจที่สหพันธรัฐสำแดงให้เห็นระหว่างสงครามทำให้นางเปลี่ยนใจ ทั้งตัวนางและสำนักวังเต๋าไพศาลเริ่มมองสหพันธรัฐด้วยความยำเกรงมากกว่าเดิมเป็นอย่างมาก ทุกคนยอมรับในอำนาจของสหพันธรัฐ และเหตุผลหลักของความเปลี่ยนแปลงนี้ก็ยังเป็น…หวังเป่าเล่อ!

พลังของเขาและการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับโยวหรันซึ่งยังเป็นความลับ ทำให้เฟิ่งชิวหรันยอมตกลงประทับตราในสัญญาการสร้างกลุ่มพันธมิตร ต่อให้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างการต่อสู้ครั้งสุดท้ายก็ตาม

จุดเริ่มต้นอันหอมหวานระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐเปิดฉากขึ้นด้วยการสร้างกลุ่มพันธมิตร การพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างสองอารยธรรมเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ ความรู้ด้านการฝึกปราณและเคล็ดวิชาจากสำนักเต๋าไพศาลมีค่าล้นเหลือสำหรับสหพันธรัฐ เมื่อมีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างสองอารยธรรม จึงทำให้วิทยาศาสตร์การวิญญาณเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว

สำนักวังเต่าไพศาลเองก็ได้ประโยชน์จากการเชื่อมสัมพันธ์นี้เช่นกัน ความรู้ด้านโครงสร้างขนาดใหญ่ต่างๆ ที่สหพันธรัฐมี เช่น เครือข่ายวิญญาณ รวมถึงทรัพยากรในการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลมาก เมื่อกฎหมายการย้ายถิ่นฐานของทั้งสองดินแดนเปิดเสรีมากยิ่งขึ้น ผู้ฝึกตนจากทั้งสองอาณาจักรก็เริ่มเดินทางออกไปตั้งรกรากใหม่

การสร้างอาคารบ้านเรือนขึ้นใหม่เดินหน้าไปอย่างราบรื่น เมื่อได้แรงสนับสนุนจากสำนักวังเต๋าไพศาล การฟื้นฟูดาวอังคารก็เดินหน้าไปอย่างไร้อุปสรรค การขุดค้นลึกลงไปในดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูนประสบความสำเร็จด้วยดีด้วยการช่วยเหลือกันระหว่างสองฝ่าย ดาวเคราะห์ใหม่เหล่านี้กลายเป็นฐานที่มั่นใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างสองอารยธรรมที่เบ่งบาน จนอาจเรียกได้ว่าเมืองใหม่เหล่านี้ คือเมืองแห่งอิสระเสรีที่แรกๆ ในระบบสุริยะอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ยังมีดาวพฤหัสบดีด้วย… หลังจากที่คิดสะระตะอยู่สักพัก สำนักวังเต่าไพศาลก็ตัดสินใจไม่พูดถึงดาวพฤหัสบดี และสหพันธรัฐก็ใช้อำนาจของตนในฐานะสมาชิกลำดับหนึ่งจัดดาวพฤหัสและแถบดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ใกล้เคียงให้เป็นพื้นที่ต้องห้าม!

มีน้อยคนนักที่เข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของการตัดสินใจครั้งนี้ แต่ไม่ใช่หลี่ซิงเหวิน ต้วนมู่ฉี และผู้ฝึกตนชั้นสูงจากสหพันธรัฐคนอื่นๆ พวกเขาขอคำแนะนำจากหวังเป่าเล่อและเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี ทุกคนพร้อมตีเส้นกั้นบริเวณนั้นให้กลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม เพื่อสร้างสถานที่ที่เป็นของหวังเป่าเล่อเพียงคนเดียวเท่านั้นในระบบสุริยะ

การถือกำเนิดของกลุ่มพันธมิตรในครั้งนี้นำมาซึ่งชีวิตใหม่และโอกาสมากมาย การหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวของทั้งสองอารยธรรมทำให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นนับไม่ถ้วน อารยธรรมของทั้งสองพัฒนาก้าวกระโดดอย่างไม่หยุดยั้ง ในขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็ได้รับการยอมรับจากผู้คนทั้งอาณาจักร เขาไม่ได้เป็นแค่วีรบุรุษ แต่ทุกชีวิตไล่ตั้งแต่ประชาชนคนเดินดินทั่วไป ไปจนถึงชนชั้นปกครองของสหพันธรัฐ กระทั่งในสำนักวังเต๋าไพศาลเอง ยังรู้กันถ้วนหน้าว่าชายผู้นี้คือคนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป เขาจะก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดในฐานะผู้นำของกลุ่มพันธมิตรระบบสุริยะ!

แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ เนื่องจากทั้งสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลเพิ่งเริ่มรวมอารยธรรมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ยังมีภารกิจอีกมากที่ต้องทำเพื่อให้การรวมตัวกันเสร็จสมบูรณ์ พวกเขาต้องสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่ ร่างกฎหมายและข้อปฏิบัติ ตัดสินใจร่วมกันว่าจะแบ่งกำไรกันอย่างไร มีภาระหน้าที่น่าเบื่อหน่ายอีกมากที่ต้องทำให้เสร็จสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ต้วนมู่ฉีก็ไม่ต้องการให้หวังเป่าเล่อต้องมานั่งจัดการกับสถานการณ์วุ่นวายโกลาหลเช่นนี้ ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง เขาอยากเป็นคนจัดการเรื่องน่าเบื่อเหล่านี้ให้เสร็จสิ้นไปเสีย ต้วนมู่ฉีอยากสะสางการเมืองภายในสหพันธรัฐ อันเกิดจากกลุ่มอำนาจภายในมากมายที่แย่งชิงอำนาจกันเองให้หายยุ่งเหยิงเสียก่อน โดยตั้งใจว่าจะตัดเนื้อร้ายนี้ออกจากแกนกลางของสหพันธรัฐให้เหี้ยนเตียน ต้วนมู่ฉีจะใช้อำนาจที่เขาได้มาจากการชนะสงครามเพื่อรวมอำนาจเข้าไว้ที่ศูนย์กลางในมือผู้นำสหพันธรัฐเพียงผู้เดียว จากนั้นเขาจึงจะมอบอาณาจักรอันไร้ซึ่งปัญหาและอุปสรรคที่เกิดใหม่นี้ให้หวังเป่าเล่อ!

หวังเป่าเล่อแทบรอที่จะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐไม่ไหว แต่เขาก็เข้าใจถึงความปรารถนาดีของต้วนมู่ฉี หลังจากฟื้นตัวจากการต่อสู้กับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันแล้ว ชายหนุ่มก็กลับมายังโลก เขาใช้เวลาอยู่กับบิดามารดา มีความสุขกับการใช้ชีวิตที่แสนปกติธรรมดา ฝังคำถามและเรื่องราวที่เกิดหลังจากการต่อสู้กับโยวหรันที่ยังหาคำตอบไม่ได้เอาไว้ภายในใจ ชายหนุ่มเก็บความอึดอัดไม่สบายใจนี้ไว้เงียบๆ คนเดียว ไม่ต้องการที่จะขุดมันขึ้นมาคิดอีก

เขาบอกตนเองให้มีความสุข ล้างสมองตนเองอย่างเงียบๆ จนค่อยๆ ลืมปัญหาที่หยั่งรากลึกเหล่านั้น เขาเริ่มตั้งหน้าตั้งตารอการประกาศจากทางการ ว่าตนเองคือผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ

ชีวิตของเขากับบิดามารดานั้นสงบเรียบง่ายยิ่งนัก นอกจากการอยู่เคียงข้างทั้งสองแล้ว สิ่งที่หวังเป่าเล่อชอบมากที่สุดคือการแอบนำลาของตนออกไปข้างนอก เขาจะไปแอบฟังผู้คนคุยกัน ฟังการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน และเฝ้าดูสีหน้ารักใคร่ของผู้คนขณะพูดถึงเขา

ชายหนุ่มทำแม้กระทั่งปิดบังตัวตนออกไปข้างนอก ทำตัวเป็นผู้ถูกกลั่นแกล้ง ก่อนจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงในตอนหลัง และซึมซับสีหน้าตกใจของคู่กรณีเมื่อรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่หลังจากที่ทำแบบนั้นซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้ง เจ้าลาก็เริ่มเบื่อหน่าย ส่วนตัวเขาเองก็พบว่าการทำเช่นนี้ช่างแสนไร้ประโยชน์ หลังจากที่คิดอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็เริ่มประท้วงเรื่องความเป็นชายโสดของตนให้มารดาฟัง ไม่นานนักมารดาของเขาก็เริ่มนัดจับคู่เขากับหญิงสาวมากหน้าหลายตา

แม้มารดาของเขาจะรู้ว่าลูกชายตนยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ในสายตาของนาง เขาก็ยังเป็นเด็กน้อยคนเดิมเสมอ นางค่อยๆ เลือกเฟ้นว่าที่ลูกสะใภ้ ส่วนชายหนุ่มก็เริ่มพาลาของตนไปนัดดูตัวด้วย ซึ่งถือเป็นประสบการณ์แสนสนุกเรื่องใหม่ของเขา

จากนั้นกระต่ายน้อยก็มาเยี่ยม หวังเป่าเล่อจึงทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากเลิกนัดดูตัวเสีย แต่เขาก็ยังมีความสุขกับการใช้เวลากับกระต่ายน้อย การทำวิจัยร่วมกันของพวกเขาทำให้ชายหนุ่มมีความสุขเป็นอันมาก

แต่ความสุขนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน ต่อมา…หลี่หว่านเอ๋อร์ก็มาเยี่ยมเยียน อารมณ์สุขใจของหวังเป่าเล่อแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวในทันที เขาเริ่มปวดศีรษะตุบ เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนครบสามเดือน การดำเนินการของกลุ่มพันธมิตรเป็นไปอย่างราบรื่น และการฟื้นฟูบ้านเมืองก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว หลังจากที่ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจทั้งหมดลงไป ต้วนมู่ฉีก็จัดระเบียบสหพันธรัฐได้สำเร็จในที่สุด ทุกสิ่งอย่างชี้ไปที่การเริ่มต้นใหม่อันสวยงาม ส่วนหวังเป่าเล่อก็นั่งเท้าคางเฝ้ารอด้วยความตื่นเต้น ทว่าในตอนนั้นเอง…

สหายมากมายของชายหนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเยี่ยเหมิง หลิวต้าวปิน หลี่อู๋เฉิน จินตั้วหมิง หลินเทียนหาว และกงเต๋า ต่างมาเคาะประตูเยี่ยมเยียนเขาเพื่อบอกลา

พวกเขาไม่ได้บอกว่าตนเองจะจากไปที่แห่งใด บอกเพียงว่าจะไปทำภารกิจลับเท่านั้น และภารกิจนี้ก็อาจกินเวลาสั้นหรือยาวมากก็เป็นไปได้

ก่อนหน้านี้เจ้าเยี่ยเหมิงไม่ได้เข้าร่วมภารกิจด้วย เนื่องจากนางเป็นถึงบุตรสาวของเจ้านครดาวอังคารและเจ้าผินฟาง นางจึงมีอนาคตที่สดใสรุ่งโรจน์ในสหพันธรัฐและกลุ่มพันธมิตร แต่เจ้าเยี่ยเหมิงเลือกที่จะจากไปและเข้าร่วมภารกิจนี้ด้วยตนเอง ไม่มีใครทราบว่าเพราะเหตุใดนางจึงตัดสินใจเช่นนี้ นำเสียงของนางเย็นเยียบขณะมาบอกลาชายหนุ่ม นางทำแม้กระทั่งมองจิกเขาก่อนจะจากไป

ความไม่เป็นมิตรรุนแรงในแววตาของนางทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นด้วยความรู้สึกผิด เขาให้อำนาจในการเข้าถึงข้อมูลลับของตนเพื่อค้นหาข้อมูลของภารกิจนี้ในทันที ไม่มีสิ่งใดในอาณาจักรนี้ที่เขาไม่มีสิทธิ์รับรู้

หลังค้นหาข้อมูลอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลง ภารกิจนี้จัดได้ว่าลับมากที่สุด มีเพียงสี่คนจากทั้งอาณาจักรเท่านั้นที่เข้าถึงข้อมูลนี้ได้!

ซึ่งก็คือ หลี่ซิงเหวิน ต้วนมู่ฉี เจ้าผินฟาง และหวังเป่าเล่อ!

ภารกิจนี้คือภาคต่อของปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ เป็นแผนของสหพันธรัฐที่มีสำนักวังเต๋าไพศาลเข้าร่วมด้วย แผนการนี้ร่างมานานหลายปีดีดักแล้ว ชื่อของมันก็คือ… ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำ!

บทที่ 725 กำจัดให้สิ้นซาก!
ห้วงจักรภพสั่นสะท้านด้วยกระแสพลังปราณที่พวยพุ่งออกจากดาวพลูโต กระจายไหลหลากไปทั่วระบบสุริยะ!

ในวินาทีนั้น ดาวพลูโตกลายเป็นศูนย์กลางระบบสุริยะไปชั่วขณะ กระทั่งแสงอาทิตย์ยังอ่อนลงไปไม่น้อยเมื่อกระแสปราณมหาศาลไหลบ่าออกจากดาวพลูโต พื้นผิวของดาวดวงสุดท้ายในระบบสุริยะสั่นสะเทือนราวกับกำลังจะพังทลาย รอยแยกปรากฏขึ้นบนพื้นน้ำแข็ง แตกร้าวลึกและขยายอาณาเขตออกเรื่อยๆ เหมือนเป็นใยแมงมุมยักษ์ ภายในพริบตา…รอยแตกเหล่านั้นก็คลุมไปทั่วผิวดาว

หมอกสีดำพวยพุ่งออกจากทุกซอกทุกมุมของรอยแตก เข้าห่อหุ้มดาวเอาไว้ทั้งดวง ดาวพลูโตมืดมิดหายไปจากสายตา สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ให้มอง…คือก้อนหมอกสีดำยักษ์ในอวกาศ!

หมอกมืดปั่นป่วนสะท้าน เริ่มเปลี่ยนรูปร่างจากทรงกลมไปเป็นบางสิ่งที่ยาวกว่า เมื่อการกลายสภาพสิ้นสุดลง…สิ่งเดียวที่เหลืออยู่บนห้วงอวกาศคือโลงศพยักษ์ขนาดมหึมา!

โลงศพนี้เก่าแก่จนนับเวลาไม่ได้ กลิ่นอายแห่งความโบราณเหนือกาลเวลาแผ่ออกมาทันทีที่มันอุบัติขึ้นในอวกาศมืดมิด พลังปราณหลั่งไหลเข้าสู่ห้วงจักรวาลโดยรอบ เสียงเพลงโบราณของสำนักแห่งความมืดลอยจากโลงศพมาเข้าหู!

เพลงนี้แปลกประหลาดและแพร่กระจายไปได้ไกล ภายในชั่วอึดใจเดียว ทั้งระบบสุริยะก็เสนาะไปด้วยท่วงทำนองนี้ ทั้งบนดาวอังคารและโลก สิ่งมีชีวิตทุกชนิดในจักรภพ กระทั่งเหล่าผู้อาวุโสที่กำลังนิทราอยู่ที่ปลายกระบี่สำริดเขียวโบราณก็ยังหลบบทเพลงนี้ไม่พ้น…ท่วงทำนองนี้สดับเข้าโสตประสาทของทุกสิ่งทุกอย่าง ชัดเจนแจ่มแจ้งทุกถ้อยคำ!

“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”

“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”

“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”

ท่วงทำนองแห่งความตายกังวานไปทั่วดาราจักร ดวงเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะพลันหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกมันหยุดโคจรรอบดวงอาทิตย์และหยุดหมุนรอบตนเอง ดาวหางและมวลฝุ่นในห้วงอวกาศปราศจากการเคลื่อนไหว ทุกกฎของจักรวาลตกอยู่ภายใต้การควบคุมของบทเพลงนี้ ไม่อาจกลับไปทำหน้าที่ของตนเองตามปกติได้อีกต่อไป

สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่ภายใต้วัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ล้วนถูกบทเพลงจากโลงศพเข้าครอบงำทั้งสิ้น ทั้งระบบสุริยะกลายเป็นภาพเขียนที่ถูกหยุดนิ่งอยู่ในห้วงหนึ่งของกาลเวลา!

ในภาพเขียนนี้มีสิ่งมีชีวิตทุกชนิด มีดาวทุกดวง มีทุกจิตวิญญาณ และแน่นอนว่าย่อมมีทั้งโยวหรันและจื่อเยว่…อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน!

แต่กลับไม่มีหวังเป่าเล่อ

ในฐานะบุตรแห่งความมืด เขาอยู่เหนือกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติทั้งปวง หวังเป่าเล่อไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพวาดวิจิตร หากแต่เป็นผู้ที่ยืนพินิจมัน

ชายหนุ่มยืนอยู่บนดาวซีรีส มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ประสาทสัมผัสของเขาทอดยาวลึกซึ้งตามอำนาจบทเพลงที่แพร่กระจายออกไปไกล ราวกับเขาสามารถมองเห็นทั้งระบบสุริยะได้ด้วยการมองเพียงปราดเดียว

ชายหนุ่มเห็นดาวเคราะห์ เม็ดฝุ่น และชีวิตมากมายหลายล้านชีวิต ในทุกชีวิตนั้น เขาเห็นเงามืดพร่าเลือนที่หมุนวนรอบกายพวกเขา เงามืดพร่าเลือนนั้น…คือสิ่งที่สำนักแห่งความมืดรู้จักดีในฐานะดวงวิญญาณ เป็นสิ่งที่บอกถึงการมีชีวิตอยู่!

หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าหากเขาต้องการเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณนับล้านล้านด้วงในระบบสุริยะนี้ เขาก็แค่ต้องคิดเท่านั้น ไม่มีกฎใดในจักรภพอันกว้างใหญ่นี้ที่จะหยุดเขาไม่ให้ทำเช่นนั้นได้ กระทั่งเต๋าสวรรค์ยังทำได้เพียงเฝ้ามองอย่างเงียบเชียบ ไร้ซึ่งอำนาจที่จะหยุดยั้งเขา!

“ข้าอาจไม่ทรงพลังพอที่จะทำเช่นนั้นได้ในตอนนี้ แต่…ทางที่ข้าเลือกเดินจะทำให้ข้าใช้พลังนี้ได้สำเร็จในวันหนึ่งแน่นอน ข้ามั่นใจว่าจะทำได้ก่อนที่จะพัฒนาขีดความสามารถของตนเองไปจนสุดด้วยซ้ำ!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองขณะมองภาพวาดระบบสุริยะเบื้องหน้า เขารู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าหากพลังปราณของตนสูงกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เขาอาจทำได้แม้กระทั่ง…เปลี่ยนกฎที่ควบคุมจักรภพนี้ได้เสียด้วยซ้ำ

เขาสามารถเปลี่ยนที่ตั้งของดวงดาว ตัดสินใจได้ว่าดวงใดควรอยู่นิ่ง ดวงใดควรโคจรรอบดวงอาทิตย์ เขาจะทำได้แม้กระทั่งสั่งให้ดวงอาทิตย์หยุดฉายแสง ทำลายมันเป็นชิ้นๆ เปลี่ยนโครงสร้างของมันจากแก่นใน เขาจะเปลี่ยนได้ทุกสิ่งที่ตนต้องการ ทุกสิ่งในระบบสุริยะแห่งนี้!

“แบบนี้เองสินะ สำนักแห่งความมืดถึงได้น่าเกรงขามเหนือใคร” หวังเป่าเล่อกระซิบกับตนเอง เข้าใจอำนาจที่แท้จริงของสำนักแห่งความมืดอย่างแจ่มแจ้ง

สำนักแห่งความมืดเปรียบเสมือนปากกาที่มอบอำนาจในการเปลี่ยนความจริงให้ผู้ที่ถือมัน!

พวกเขาไม่ได้มีเพียงอำนาจควบคุมความตายของคนในฐานะเต๋าสวรรค์เท่านั้น…แต่ยังมีอำนาจเปลี่ยนเต๋าสวรรค์ได้ด้วย แม้สำนักแห่งความมืดจะดูเหมือนกลุ่มอำนาจที่ทำงานรับใช้เต๋าสวรรค์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว…เต๋าสวรรค์ต่างหากที่เป็นวัตถุเวทของสำนักแห่งความมืด วัตถุเวทที่มอบอำนาจการเปลี่ยนกฎแห่งจักรวาลได้ตามใจนึก!

แม้แต่สำนักแห่งความมืดที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ยังจบสิ้นลงได้ แต่ต่อให้สำนักกลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์ไปแล้ว พลังของมันที่ยังคงอยู่ในจักรวาลแห่งนี้ ก็ยังมีอำนาจเปลี่ยนหลายสิ่งหลายอย่างได้เช่นกัน… โลงศพที่ฝังอยู่ในดาวพลูโตมานานเท่าใดก็ไม่มีใครทราบโลงนี้ ถือเป็นหนึ่งในขุมพลังอันยิ่งใหญ่ที่หลงเหลืออยู่ของสำนักแห่งความมืด!

ชายหนุ่มตกอยู่ในความเงียบงัน เขารู้ดีว่าพลังที่โลงศพแผ่ออกมานั้นเป็นของใคร มันจะเป็นของใครไม่ได้นอกจากอาจารย์ของเขานั่นเอง!

ความทรงจำของเขาในมิติมืดทำให้เขารู้ความจริงข้อนี้ดี โลงศพนี้เป็นหนึ่งในแผนการที่อาจารย์วางไว้ให้เขา สำหรับเขาแต่เพียงผู้เดียว อาจารย์ของเขาบิดอำนาจแห่งเต๋าด้วยวิธีการใดก็ไม่อาจทราบได้ เพื่อส่งโลงศพนี้ผ่านเวลาและอวกาศมาอุบัติขึ้นภายในดาวพลูโต

หวังเป่าเล่อที่จิตใจหนักอึ้งด้วยความรู้สึกขอบคุณและความเศร้าโศก เริ่มสำรวจดูผู้คนในภาพระบบสุริยะเบื้องหน้า ดวงตาของเขากวาดผ่านทุกคน มาหยุดอยู่ที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน

ชายหนุ่มมองดวงวิญญาณของโยวหรัน เพื่อดูว่าใครกันแน่ที่สิงสู่อยู่ในดวงวิญญาณนั้น เป็นจื่อเยว่นั่นเอง!

การมีอยู่ของจื่อเยว่แตกต่างจากผู้อื่น นางไร้ซึ่งกายหยาบ เป็นเพียงเมล็ดพันธุ์วิญญาณมายาบางเบาที่เร้นกายอยู่ภายในวิญญาณของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน

หวังเป่าเล่อกวาดตามองทั่วทั้งระบบสุริยะอีกครั้ง เขาพิจารณาเรือบินรบเต๋ามรณะและกระบี่สำริดเขียวโบราณ ร่างจริงของจื่อเยว่ไม่ได้อยู่ในที่ใดจากทั้งสองที่ แต่สิ่งที่เขาเจอ…กลับเป็นเส้นด้ายที่บางเบาจนแทบมองไม่เห็นที่เชื่อมโยงเข้ากับเมล็ดพันธุ์ดวงวิญญาณของนาง และยืดขยายออกไกลนอกระบบสุริยะ

ข้าเข้าใจแล้ว จื่อเยว่ตัวจริงไม่ได้อยู่ที่นี่ สิ่งที่เรากำลังต่อกรด้วยคือเมล็ดพันธุ์วิญญาณของนางต่างหาก!

หวังเป่าเล่อหรี่ตา สายตาคมกริบไล่ตามเส้นด้ายพยายามที่จะมองไปยังจักรวาลอันไกลโพ้น แต่เขาก็จับไม่ได้ว่าปลายทางของเส้นด้ายนั้นอยู่ที่ใด แววเย็นเยียบวาบเข้ามาในแววตาของชายหนุ่ม เขายกมือขวาขึ้นชี้ไปที่โยวหรัน!

โลงศพบนดาวพลูโตสั่นสะท้าน ฝาโลงค่อยๆ เปิดออกทีละน้อย บทเพลงที่ขับขานยิ่งทวีความดังขึ้นอีก ตามมาด้วยแขนสีดำสนิทที่ยื่นออกจากโลงศพนั้น มันขยายขนาดจนมโหฬาร ยื่นเข้าไปในภาพวาดระบบสุริยะหมายจะคว้าตัวโยวหรัน!

แขนยักษ์สีดำนั้นรวดเร็วมาก มันข้ามจักรวาลกว้างใหญ่ในพริบตามาปรากฏตรงหน้าเป้าหมาย มันยื่นเข้าไปในกายโยวหรัน จับวิญญาณของเขาและเมล็ดพันธุ์ดวงวิญญาณของจื่อเยว่ที่อยู่ในวิญญาณเอาไว้โดยไร้ซึ่งความลังเล!

ทั้งโยวหรันและเมล็ดพันธุ์ดวงวิญญาณของจื่อเยว่หมดสิ้นซึ่งอำนาจเมื่อเผชิญหน้ากับมือยักษ์ ไร้ซึ่งความสามารถในการขัดขืน จนหลุดออกจากร่างของโยวหรันได้โดยง่าย ก่อนจะถูกดึงหายเข้าไปในโลงศพ

ทุกสิ่งเกิดขึ้นภายในพริบตา ชั่วครู่เดียวมือยักษ์ก็กลับไปอยู่ในโลงศพอีกครั้ง ฝาโลงปิดลงเสียงดังตึง และหมอกมืดหนาก็เริ่มจางหาย โลงศพกลายสภาพกลับเป็นหมอกดำ แทรกซึมชอนไชเข้าไปในดาวพลูโตดังเดิมตามทางที่มันออกมา จากนั้นรอบแตกใยแมงมุมบนดาวก็ปิดสนิทราบเรียบอีกครั้ง

ราวกับทุกสิ่งไม่เคยเกิดขึ้น!

ดาวพลูโตกลับไปอยู่ในสภาพเดิม ดาวเคราะห์น้อยใหญ่ในระบบสุริยะเริ่มโคจรอีกครั้ง ฝุ่นธุลีเริ่มลอยอย่างไร้จุดหมายในห้วงความเวิ้งว้าง แสงอาทิตย์กลับมาสว่างเจิดจ้าไปทั่วดาราจักร ทุกสิ่งกลับมาอยู่ในถ่วงทำนองแห่งการมีชีวิตดังเดิม!

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดอาจเป็น…ความจริงที่ว่าไม่มีใครสักคนเดียวล่วงรู้ ว่าเวลาได้หยุดลงชั่วขณะ ไม่แน่ว่าสิ่งเดียวที่ได้รับรู้ความจริงข้อนี้ และได้เห็นความลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายในระบบสุริยะ ก็คือร่างของโยวหรันที่ชีวิตดับลงแล้วนั่นเอง!

ร่างของโยวหรันเหี่ยวย่นลงในทันที และดับสลายกลายเป็นเถ้าถ่านพัดกระจายไปทั่วอวกาศ รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับแถบดาวเคราะห์น้อย

ทั้งร่างกายและวิญญาณของเขาดับสลายอย่างไร้ร่องรอย!

ความตายของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทำให้แสงในดวงตาของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นบนดาวอังคารดับวูบลง พวกเขาร่วงลงกลับพื้นกลายเป็นเศษธุลี เพราะชีวิตถูกผูกติดอยู่กับการมีอยู่ของโยวหรัน

เมี่ยเลี่ยจื่อและคนอื่นๆ ที่ถูกควบคุมจิตใจตัวสั่นเทิ้ม สติกลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง!

อำนาจที่อ่อนแอลงของอภิมหาวงแหวนปราณระบบสุริยะ ทำให้ไม่มีใครได้เห็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างหวังเป่าเล่อและโยวหรัน กระนั้นเมื่อผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่อยู่บนดาวอังคารทุกคนเห็นคนจากตระกูลไม่รู้สิ้นกลายเป็นธุลีดิน และเห็นเมี่ยเลี่ยจื่อกับคนอื่นๆ กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง ความตื่นเต้นปีติก็ล้นเอ่อขึ้นมาในดวงตา พวกเขาเดาได้ทันทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

แต่ก็ไม่มีทางยืนยันได้ทันทีว่าสิ่งที่คิดนั้นถูกหรือไม่ กระนั้นสิ่งเดียวที่แน่นอนก็คือ สงครามที่อาจทำให้สหพันธรัฐต้องสูญสิ้น…ได้ปิดฉากลงแล้วในที่สุด!

ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็กระอักเลือดออกมาและร่วงลงบนพื้น อาการบาดเจ็บที่แบกรับเอาไว้บนบ่าทั้งหมดจากการใช้พลังเกินตัว เบาบางลงเมื่อได้รับการเยี่ยวยาจากอาจารย์ก็จริง แต่การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสไม่มีชิ้นดี ดังนั้นเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว ความตึงเครียดตื่นตัวจากการรบก็ไหลออกจากร่าง ชายหนุ่มทนยืนอยู่ไม่ได้อีกต่อไปและหมดสติไปในทันที

ในตอนนั้นเอง…ณ ที่แห่งหนึ่งซึ่งไกลแสนไกลจากระบบสุริยะ มีดาราจักรหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของดวงดาวแปลกประหลาดดวงหนึ่ง ดาวเคราะห์ดวงนี้เต็มไปด้วยเถาวัลย์ เลือด และเนื้อปกคลุมอยู่ทั่วทุกพื้นผิว เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง หากมองใกล้ๆ จะเห็นว่าจุดหนึ่งบนผิวดาวที่อยู่ท่ามกลางกองเถาวัลย์ เลือด และเนื้อ มีใบหน้าหนึ่งที่หลับตาพริ้มปรากฏอยู่

แม้ใบหน้านั้นจะดูไม่แจ่มชัดนัก แต่มองปราดเดียวก็รู้ทันที…ว่าเป็นจื่อเยว่!

ดวงตาของนางเปิดออก ในดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยมิติมากมาย และดวงตาอีกหลายหมื่นคู่ซ้อนทับกันอยู่ภายใน ในดวงตาแต่ละดวงมีร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ทันใดนั้นร่างๆ หนึ่งก็เกิดรอยร้าวและแตกสลาย

“หวังเป่าเล่อหรือ”

บทที่ 724 โลงศพแห่งดาวพลูโต!
เรือสำปั้นยังคงเผาไหม้พลังชีวิตตัวเองอย่างต่อเนื่อง ขับหวังเป่าเล่อให้พุ่งทะยานไปในอวกาศอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงกึกก้องครึกโครม ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนดาวซีรีส!

ดาวเคราะห์สีเทาอยู่แทบเท้าหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกได้ว่าดาวเคราะห์ดวงนี้กำลังพยายามหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเรือสำปั้นของเขา หวังเป่าเล่อยืนนิ่งอยู่บนดาวซีรีส ก่อนหันขวับในทันที ดวงตาโชติช่วงด้วยแสงแรงกล้า เขาเลิกผนึกระดับพลังปราณภายในกายและปลดปล่อยออกอย่างเต็มพิกัด วิญญาณจุติของชายหนุ่มเดินเครื่องเต็มที่ ปลดปล่อยพลังที่สั่งสมไว้ภายในออกมา!

พลังมหาศาลนี้ได้รับแรงเสริมจากทั้งดาวซีรีสและดาวพฤหัสบดี รวมถึง…ดาวเคราะห์น้อยทั้งแสนดวงในอาณาบริเวณนี้!

มันเป็นพลังที่…ขับเคลื่อนได้แม้กระทั่งดาวทั้งดวง!

คุณสมบัติพิเศษของวิญญาณจุติดวงดารา ทำให้ผู้ใช้งานแข็งแกร่งยิ่งขึ้นตามระยะทางที่เข้าไปใกล้ดาวเคราะห์ ขนาดของดาวเคราะห์เองก็มีผลต่อพลังที่เพิ่มขึ้นของผู้ครอบครองวิญญาณจุติชนิดนี้เช่นกัน

รวมถึง…จำนวนดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้เจ้าของวิญญาณจุติดวงดาราด้วย แม้ดาวเคราะห์ขนาดเล็กจะไม่ได้ช่วยเสริมพลังให้มากมายถึงเพียงนั้น แต่เมื่อพวกมันมารวมตัวกันนับแสนดวง ก็ย่อมส่งให้ผู้ครอบครองวิญญาณจุติแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวนัก

ดาวซีรีสเองก็เป็นขุมพลังขนาดใหญ่ที่เสริมพลังของหวังเป่าเล่อให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก ส่วนดาวเคราะห์อีกดวงที่เป็นกำลังสำคัญในระบบสุริยะ…คือดาวพฤหัสบดี!

พลังที่รอให้หวังเป่าเล่อเข้าเก็บเกี่ยวโดยไม่ต้องเสียอะไรไปนั้นมีมากเหลือเกิน นี่เป็นการเพิ่มพลังปราณที่สูงที่สุดเท่าที่ตัวเขาเคยสัมผัสมาตั้งแต่ที่ได้วิญญาณจุติดวงดารามาไว้ในครอบครอง!

สถานที่แห่ง…เป็นสองรองจากดาวพลูโตเพียงเท่านั้น สำหรับตัวชายหนุ่มแล้ว นี่คือสนามรบที่อันดับสองที่ดีที่สุดสำหรับเขาในระบบสุริยะ!

พลังปราณของชายหนุ่มระเบิดออกมาอย่างไร้จำกัด ก่อให้เกิดพายุหมุนที่พัดวนไปในอากาศ กระแสพลังปราณสีขาวมากมายไหลวนจากดาวซีรีส ดาวพฤหัสบดี และดาวเคราะห์ดวงเล็กดวงน้อยมากมาย และตรงเข้าหาหวังเป่าเล่อ ราวกับทุกสิ่งถูกแรงดึงดูดจากกายของชายหนุ่มดูดเข้ามา พลังปราณสีขาวโอบล้อมร่างของเขา เปลี่ยนสภาพไปเป็นพายุหมุนสีขาวบริสุทธิ์ราวหิมะ หวังเป่าเล่อยืนอยู่ใจกลางพายุเหมือนบุตรแห่งจักรวาล ดุจดั่งเทพเจ้าที่ลงมาเยี่ยมเยียนโลกมนุษย์กระนั้น!

พลังที่ชายหนุ่มปล่อยออกจากร่างในตอนนี้เลยผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณไปถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือความจริงอาจทรงพลังมากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่าจิตเชื่อมโยงระหว่างเขากับดาวพลูโตเสถียรแล้วในที่สุด แม้จะยากลำบากนักกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ตาม!

หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่า…ภายใต้พื้นผิวที่เป็นน้ำแข็งเย็นเยือกของดาวพลูโต ซึ่งเย็นจัดเสียจนแทบไม่มีสิ่งมีชีวิตใดใช้ชีวิตอยู่ได้ มีบางสิ่งบางอย่างฝังอยู่ และสิ่งนั้น…ก็คือโลงศพ!

ความตกใจวาบผ่านเข้ามาในใจหวังเป่าเล่อ เขาพยายามแตะโลงศพผ่านจิตเชื่อมโยงระหว่างเขากับดาวพลูโตแต่ก็ไม่เป็นผล ชายหนุ่มต้องการพลังมากกว่านี้ และคงทำไม่สำเร็จในคราวเดียว เขาต้องสะสมพลังให้ได้มากกว่านี้ก่อนจะลองดูอีกครั้ง

ข้าต้องการเวลามากกว่านี้ ประกายดุดันวาบเข้ามาในแววตาของหวังเป่าเล่อ เขายังไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะปลุกพลังของโลงศพ ขณะที่มือขวาก็ชี้ไปที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน สีหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความตระหนก!

“โยวหรัน มาสู้กันดีกว่า!”

หวังเป่าเล่อคำรามด้วยความกระหายสงคราม เสียงคำรามของเขาส่งผลไปถึงดาวซีรีส ดาวพฤหัสบดี และทะเลดาวเคราะห์น้อยใหญ่มากมายรอบกาย ราวกับห้วงอวกาศที่แต่งแต้มไปด้วยดวงดาวกำลังคำรามไปพร้อมกับชายหนุ่ม!

ชายหนุ่มเหวี่ยงแขนตัวเองไปแนบลำตัว เกราะจักรพรรดิปรากฏขึ้นบนกายในทันที ห่อหุ้มร่างของชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เกราะจักรพรรดิในคราวนี้หน้าตาแตกต่างไปจากทุกที มันเป็นสีขาวผ่อง เฉกเช่นเดียวกับพายุรอบกาย!

ชุดคลุมแห่งความมืดที่เคยขาดวิ่น กลายเป็นผ้าคลุมไหล่ให้ชุดเกราะและโบกสะบัดอยู่ในอากาศ ดวงตาปีศาจเองก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขาเช่นกัน!

พลังที่เพิ่มขึ้นจากดาวเคราะห์ไม่เพียงแต่เปลี่ยนหน้าตาของเกราะจักรพรรดิไป แต่ยังมีผลต่อดวงตาปีศาจด้วย แม้มันจะยังหลับอยู่ แต่ก็ดูสมจริงเหมือนลูกตาจริงไม่มีผิด ราวกับเป็นดวงตาแห่งดาวเคราะห์ที่กำลังตกอยู่ในห้วงนิทรากระนั้น!

ภาพนี้น่าพรั่นพรึงเป็นอย่างมาก แม้แต่กับผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งเช่นศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็ยังชะงักงันอยู่กับที่ ชายชราจ้องหวังเป่าเล่อด้วยสายตาระแวดระวัง รู้สึกได้ถึงอันตรายที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างเรื่อยๆ

ทั้งสองประสานสายตากัน ดวงตาปีศาจของหวังเป่าเล่อลืมตาตื่นอย่างฉับพลัน พลังที่มองไม่เห็นฟาดลงมาจากสวรรค์เบื้องบน ดูดเอาพลังจากดาวเคราะห์ที่อยู่รายรอบ ก่อนเปลี่ยนมันให้กลายเป็นบางสิ่งที่จับต้องได้ แสงสว่างที่มีฤทธิ์ทำให้ทุกอย่างนิ่งราวหยุดเวลาฟาดใส่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน และล้อมร่างกายของเขาเอาไว้หมดสิ้น

โยวหรันตัวสั่นสะท้าน ก่อนที่จะได้แหกกรงขังแห่งแสงออกมา หวังเป่าเล่อก็กระโจนไปข้างหน้าเหมือนลูกศรที่พุ่งทะยาน เขารวบรวมพลังจากดวงดาวเอาไว้ในหมัดขวา ปลุกอำนาจของวิญญาณจุติดวงดาราขึ้น แขนอาวุธเทพของชุดเกราะจักรพรรดิปล่อยแสงสว่างเจิดจ้า แสงนั้นโชติช่วงราวกับเป็นดวงอาทิตย์ที่พุ่งตรงเข้าหาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!

แรงปะทะทำให้เกิดเสียงดังอึกทึกสะท้อนไปทั่วอวกาศ โยวหรันกระอักเลือดชุดใหญ่ การรวมร่างของเขากับเรือบินรบเต๋ามรณะทำให้ชายชราแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก แม้ในยามที่ต้องเผชิญการโจมตีของหวังเป่าเล่อซึ่งรวมเอาพลังจากดวงดาว และอำนาจของดวงตาปีศาจเข้ามาแล้ว ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็เพียงแค่กระอักเลือดออกมาเท่านั้น ไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงแต่อย่างใด อาการบาดเจ็บของเขาหายเป็นปลิดทิ้งในทันที ราวกับว่าแก่นในที่ส่งพลังให้เขามีพลังชีวิตอยู่อย่างมหาศาลจนร่างกายแทบจะไร้เทียมทาน!

การโต้กลับของชายชรายังดุดันรวดเร็ว เถาวัลย์สีดำมากมายเต้นเร่าอยู่ในอากาศ ขณะที่เขาสร้างผนึกฝ่ามืออย่างรวดเร็ว ร่างกายกลายเป็นอาวุธที่เข้าผนึกกำลังกับเถาวัลย์และเคล็ดเวท พลังปราณกระเพื่อมผ่านห้วงอวกาศ เข้าปะทะกับหวังเป่าเล่อในแถบดาวเคราะห์น้อย

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันฟื้นฟูร่างกายเร็วก็จริง แต่หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน การฟื้นสภาพร่างกายของเขานั้นเร็วกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันมากนัก ด้วยพลังเสริมจากดวงดาวโดยรอบ อาการบาดเจ็บของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้งในทันทีเช่นเดียวกับโยวหรัน

ทั้งสองใช้ร่างกายแข็งแกร่งของตนเองเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใครแม้แต่นิด การปะทะแต่ละครั้งทำให้ทั้งสองบาดเจ็บทุกครั้ง แต่ก็ยังกระโจนเข้าใส่กันต่อ…กระนั้นก็ไม่มีใครล้มอีกคนลงได้!

แม้หวังเป่าเล่อจะดูเหมือนเสียเปรียบกว่า เพราะดูเทียบโยวหรันไม่ติดตั้งแต่ตอนเริ่มเปิดฉากโจมตี และตอนนี้ก็กำลังเป็นฝ่ายตั้งรับ ทว่า…โยวหรันก็ล้มชายหนุ่มลงไม่ได้เสียที

สถานการณ์เลยเถิดเกินกว่าชายชราจะควบคุมได้ ทั้งสองต่อสู้กันยืดเยื้อ แม้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจะทำลายดาวเคราะห์ขนาดเล็กรอบกายไป แต่ก็ทำให้หวังเป่าเล่ออ่อนกำลังลงในระยะเวลาอันสั้นไม่ได้

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ความกังวลใจเริ่มพองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในหัวใจของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เขาอธิบายไม่ถูกว่าความรู้สึกนี้มีที่มาจากสิ่งใด แต่มันเป็นลางบอกเหตุตามสัญชาตญาณในกายของเขา เขารู้สึกได้ว่าหากการต่อสู้ยืดเยื้อออกไปเช่นนี้ สุดท้ายแล้วจะเป็นตัวเขาเองที่พ่ายแพ้และเสียชีวิตในที่สุด

ไอ้วิญญาณจุติดวงดาราในตำนานนี่…ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นเพราะสิ่งนี้เท่านั้น! เหตุใดข้าจึงรู้สึกกังวลใจถึงเพียงนี้กันนะ! ข้าต้องพลาดบางสิ่งไปแน่

จื่อเยว่เองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ความจริงแล้ว ความไม่สบายใจของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั้นมีต้นตอมาจากจื่อเยว่ นางเป็นผู้ใช้กระบวนเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า ผู้ควบคุมกงกรรมแห่งจักรภพ ซึ่งแปลว่าความรู้สึกถึงอันตรายใหญ่หลวงของนางนั้นรุนแรงกว่าของโยวหรันเสียอีก นางรู้สึกเหมือนมีเคียวยมทูตกำลังพาดอยู่บนคอ พร้อมที่จะฟันลงมาได้ทุกวินาที

กระนั้น จื่อเยว่เองก็ยังเปิดหน้ามาโจมตีหวังเป่าเล่อไม่ได้ นางทำได้เพียงกัดฟันต่อสู้กับความต้องการที่จะเปลี่ยนแผนที่วางเอาไว้อย่างแยบยลเท่านั้น ความคิดนี้หยั่งรากลึกในจิตใจของนางขึ้นเรื่อยๆ จื่อเยว่ตัดสินใจได้ทันที นางจะทำตามแผนการขั้นสุดท้าย เพื่อพัฒนาพลังแห่งเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าของตนเองให้เร็วที่สุด นางจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อันหอมหวาน และพัฒนาขั้นปราณของตนให้รุดหน้าไปอีก จากนั้นนางจึงจะค่อยตัดสินใจว่าจะอยู่ที่แห่งนี้ต่อหรือจากไป!

นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากยิ่ง เนื่องจากตัวนางเองต้องละทิ้งหลายสิ่งไป แผนการสำหรับอนาคตต้องถูกชะลอลงเช่นกัน แต่ความรู้สึกได้ถึงภัยร้ายทำให้นางต้องตัดใจเลือกทางนี้ จื่อเยว่ตะโกนออกคำสั่งโยวหรันในทันที คำสั่งของนางสะท้อนก้องในหัวของชายชรา!

“เลิกต่อสู้กับหวังเป่าเล่อ ใช้พลังชีวิตของเจ้าเป็นเชื้อเพลิงและเปลี่ยนมันเป็นพลังงานให้หมด ข้าจะเพิ่มพลังให้กับเจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้ทำลายสหพันธรัฐ เปิดประตูแห่งกรรมออก ทำโชคชะตาของเจ้าให้เป็นจริง! โยวหรัน ตั้งแต่ที่เจ้าได้พบข้า โชคชะตาของเจ้าก็ถูกกำหนดไว้แล้ว เจ้าต้องทำลายอารยธรรมนี้ให้สิ้นซาก นี่คือ…ชะตาชีวิตที่ข้า จื่อเยว่ กำหนดให้เจ้า!”

ทันทีที่นางเอ่ยจบ ห้วงอวกาศใหญ่โตก็เริ่มบิดเบี้ยวเหนือความควบคุม ไม่มีใครรู้ว่านางทำได้อย่างไร แต่ลมหมุนคล้ายหลุมดำปรากฏขึ้นในอวกาศอย่างฉับพลัน!

ในลมหมุนนั้นมีอีกห้วงอวกาศอยู่ รวมถึงดวงดาวสีฟ้าสดใส…ดาวโลกนั่นเอง!

หลุมดำนั้นคือประตูที่เปิดไปสู่จุดอื่นในจักรวาล!

ภาพนั้นทำให้หวังเป่าเล่อผงะด้วยความตกใจ!

ดวงตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเดือดพล่านด้วยแสงแรงกล้า เขาเริ่มพึมพำกับตนเอง

“ข้าจะทำตามโชคชะตาของข้าและทำลายอารยธรรมนี้เสีย นี่คือชะตาชีวิตข้า…ข้าต้องทำมันให้เสร็จสิ้นให้ได้!” เสียงพึมพำของเขาลอยสะท้อนไปในอากาศ ร่างกาย แก่นใน วิญญาณ และพลังปราณกลายเป็นเชื้อเพลิงที่ตัวเขาจุดให้โหมลุกเป็นไฟโดยไม่ลังเล ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทันได้ซึมซับคำพูดของโยวหรัน ชายชราก็กลายร่างไปเป็นทะเลเพลิงพิโรธ

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเงยหน้าขึ้นมองฟ้าและคำรามอย่างบ้าคลั่ง ร่างของเขากำลังเผาไหม้อยู่ในทะเลเพลิง มือมายายักษ์ยื่นออกมาจากไฟทำลายล้าง ยืดยาวขึ้นจากสามร้อยเมตรไปเป็นสามร้อยกิโลเมตร ก่อนจะกลายเป็นสามแสนกิโลเมตร และสามล้านกิโลเมตร มันขยายขึ้นเรื่อยๆ จนใหญ่เท่าดาวเคราะห์ พุ่งเข้าไปยังพายุหมุนหลุมดำ มุ่งหน้าไปยังโลก…หมายจะคว้าดวงดาวสีฟ้าเอาไว้ในอุ้งมือ!

สถานการณ์ที่พลิกผันนี้เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ภาพในพายุหมุนแสดงให้เห็นดาวโลกที่เริ่มไร้ซึ่งสีสัน ดาวเคราะห์บ้านเกิดหวังเป่าเล่อกำลังถูกดูดพลังชีวิต ดาวที่เขาเกิดและเติบโต ที่ที่บิดามารดาของเขาอาศัยอยู่ ที่ที่มีทุกสิ่งที่เขารัก!

ดวงตาของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดงฉาน ความรู้สึกมากมายไหลบ่าเข้าในดวงจิต ทำให้ขีดความสามารถที่แท้จริงของเขาถูกปลดออก ตราสัญลักษณ์เปลวไฟสีดำปรากฏขึ้นบนหน้าผากของชายหนุ่ม ก่อนกระจายไปทั่วทุกพื้นที่บนร่าง ตรานั้นมาพร้อมอาการปวดร้าว หวังเป่าเล่อกรีดร้อง ดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดทรมาน จิตเชื่อมโยงระหว่างเขากับดาวพลูโตมั่นคงสมบูรณ์ในที่สุด!

ห้วงเวลาไพศาลที่ถือกำเนิดมาเนิ่นนานและไร้จุดสิ้นสุด กระโจนผ่านอวกาศกว้างใหญ่เข้ามาในใจของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกได้ถึงโลงศพและสิ่งที่อยู่ภายใน นี่คือพลังอำนาจของสำนักแห่งความมืด พลังที่แข็งแกร่งเกินจินตนาการแต่ก็ยินยอมให้เขารับไปได้ ความรู้สึกนี้นำมาซึ่งความอบอุ่นที่คุ้นเคย!

ราวกับเป็นความอบอุ่นของฝนที่ตกลงมาในฤดูใบไม้ผลิ มันเข้าหล่อเลี้ยงจิตใจและวิญญาณของเขา ปลดเปลื้องเขาออกจากพันธนาการของความเจ็บปวด และภัยอันตรายของการดันขีดจำกัดตนเองเพื่อปลดปล่อยพลังสูงสุด มันทำให้หวังเป่าเล่อมีแรงยกมือขวาขึ้นชี้ไปที่มือยักษ์ของโยวหรัน ซึ่งกำลังพุ่งเข้าหาโลกอันเป็นที่รัก!

“ดวงวิญญาณ จงมา!”

ในตอนนั้นเอง ดาวพลูโตก็เริ่มสั่นสะท้าน พื้นผิวที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งยุบตัวลง รอยแยกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนผิวดาว กระแสพลังปราณพวยพุ่งออกจากรอยแยกนั้น พลังที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ใต้ดินมาหลายหมื่นหลายพันปีหรืออาจนานกว่านั้น บัดนี้กำลังพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบนด้วยปีกแห่งความเป็นอิสระเสรี!

……………………………

บทที่ 723 สมรภูมิที่สร้างมาเพื่อหวังเป่าเล่อเท่านั้น!
แล้วหวังเป่าเล่อเดาถูกจริงเสียด้วย!

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเป็นเพียงหุ่นเชิดหนังหน้าไฟเท่านั้น ความคิดของชายชราจึงไม่สำคัญแม้แต่น้อย สิ่งที่สำคัญคือความคิดจิตใจของจื่อเยว่ต่างหาก เมื่อสูญเสียนิ้วของตนเองไป นางก็พลันมองว่าหวังเป่าเล่อสำคัญกว่าสหพันธรัฐ!

ทั้งหมดนี้ถูกต้องตามตรรกะทุกอย่าง แผนการทำลายสหพันธรัฐของหญิงสาวเป็นเพียงการทดลองที่นางสร้างมาสำหรับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน และเป็นเสี้ยวหนึ่งของการเพิ่มพูนพลังปราณด้วยกระบวนเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าของนาง ความตั้งใจของนางคือใช้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันให้ทำตามแผนที่ตนเองวางไว้ ส่วนนางจะทำตัวเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ และใช้สงครามนี้เพื่อเพิ่มพูนพลังปราณให้ตนเอง

มันก็เหมือนกับการเล่นว่าวที่ต้องคอยดูทิศทางลม นางไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าสหพันธรัฐจะอยู่หรือตายกับเหตุการณ์นี้ ผิดกับหวังเป่าเล่อที่กลายมาเป็นภัยร้ายซึ่งอาจทำลายตัวตนของนางได้จริงๆ นางรู้แล้วว่าตนเองไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ตรงๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไร จื่อเยว่ก็ไม่มีวันปล่อยให้หวังเป่าเล่อหนีไปได้แน่นอน!

นอกจากนี้สถานการณ์ยังเดินทางมาถึงจุดที่ออกนอกความควบคุมของนางไปแล้ว เวทที่หญิงสาวร่ายใส่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเป็นความพยายามที่จะทดสอบกระบวนเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเสริมสร้างพลังปราณของนาง ด้วยเหตุนี้นางจึงใช้เวลาเตรียมการเรื่องนี้นานมาก ทันทีที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยึดครองสหพันธรัฐได้สำเร็จตามแผนการ ขั้นปราณของนางในฐานะผู้ควบคุมเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าก็จะก้าวหน้าไปอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้จื่อเยว่จึงยอมแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด อีกเหตุผลที่นางยังล่าถอยตอนนี้ไม่ได้คือนางได้คำนวณมาเรียบร้อยแล้ว ว่านี่คือโอกาสเดียวที่นางจะค้นหาสิ่งที่เฉินโม่เฟิงซ่อนเอาไว้ไม่ให้นางพบ สิ่งที่จำเป็นต่อการฝึกวิชาเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า

นอกจากนี้…ในแผนการดั้งเดิมของนาง การทำลายสหพันธรัฐและใช้ระบบสุริยะทั้งหมดเป็นเครื่องสังเวย จะทำให้นางมีพลังงานมากพอที่จะพัฒนาขั้นปราณของตนเองได้ นางจะสามารถควบคุมกระบี่สำริดโบราณและฝังเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าเข้าไปในกายของบรรดาผู้อาวุโสที่หลับใหลอยู่ได้ ระบบสุริยะจะกลายเป็นรากฐานให้นางก้าวข้ามขีดจำกัดขั้นปราณของตน เพื่อที่จะบรรลุไปยังระดับดารานิรันดร์ได้ในระยะเวลาอันสั้น!

แผนการของนางจัดได้ว่าสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างเดินหน้าไปอย่างราบรื่น จนกระทั่ง…หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้น!

การปรากฏตัวของเขาส่งผลกับนางมาก เนื่องจากนางลงทุนลงแรงไปไม่น้อย จนใกล้จะได้เวลาเก็บเกี่ยวผลลัพธ์อันแสนหอมหวานอยู่รอมร่อ หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ จื่อเยว่คงหนีไปตั้งแต่ตอนเผชิญหน้ากับราชันสวรรค์ลำดับแรกนานแล้ว เพราะแบบนี้…นางจึงทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากกัดฟันเดินหน้าต่อ!

จื่อเยว่ไม่สนใจที่จะสังหารหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย แต่ด้วยสถานการณ์พาไป นางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจบชีวิตเขาเสีย และกำจัดเขาออกจากวงจรเหตุการณ์ทั้งหมด นางได้ข้อสรุปนี้มาหลังจากที่ใช้พลังของเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าคำนวณความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งหมด การสังหารหวังเป่าเล่อจะช่วยปลดปล่อยนางออกจากกงกรรมกงเกวียนนี้เช่นกัน!

เมื่อความมาดหมายของจื่อเยว่ถูกส่งผ่านเข้ามาในร่างของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ดวงตาของชายชราก็สว่างวาบ โยวหรันไม่สนใจสนามรบบนดาวอังคารอีกต่อไป แต่กลับติดตามหวังเป่าเล่อไปในทันที ทั้งสองหายออกจากอาณาเขตของดาวอังคาร พากันท่องอวกาศไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นท่ามกลางแสงดาวระยับ

ความเร็วอันน่าเหลือเชื่อของทั้งสองทำให้ผู้ที่ดูการต่อสู้อยู่ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเกิดสิ่งใดขึ้น วงแหวนปราณระบบสุริยะที่อ่อนแรงลงจากการทำลายตัวเองก่อนหน้านี้ จึงไม่สามารถจับเหตุการณ์ระยะไกลเพื่อถ่ายทอดความเคลื่อนไหวต่อได้ ชาวโลกและชาวดาวอังคารทำได้เพียงเฝ้ารอด้วยความกระวนกระวายเท่านั้น เมื่อเห็นทั้งสองทะยานหายลับสายตาไป

แต่ยังโชคดี…ที่สมรภูมิบนดาวอังคารกลับมาสมดุลกันอีกครั้งเมื่อศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจากไป ทุกคนรู้ดีว่าการต่อสู้บนดาวสีแดงไม่ใช่สนามหลักอีกต่อไป สนามที่จะชี้เป็นชี้ตายชะตาของสหพันธรัฐ คือการขับเคี่ยวกันระหว่างผู้ฝึกตนทั้งสองคนที่กำลังทะยานจากไปต่างหาก!

ชัยชนะของสหพันธรัฐในสงครามครั้งนี้ขึ้นอยู่กับชัยชนะของหวังเป่าเล่อในศึกกับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน หากชายหนุ่มชนะ อารยธรรมของพวกเขาก็จะคงอยู่ต่อไป แต่หากเขาพ่ายแพ้…ทุกอย่างก็จะดับสลายลง กลายเป็นเพียงเถ้าธุลีในอวกาศเวิ้งว้าง

หวังเป่าเล่อแบกชะตากรรมของทั้งอารยธรรมไว้บนบ่า แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมเต็มร้อยในตอนนี้ ริมฝีปากของชายหนุ่มอาบไปด้วยเลือดสดๆ เขาพยายามเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากที่สุดเท่าที่ตนเองจะทำได้ เบื้องหลังของชายหนุ่มคือศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่ว่องไวไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จึงเป็นการยากที่เขาจะทิ้งระยะห่างออกไป

ชายหนุ่มยังคงร้องเรียกดาวพลูโต และตอบรับเสียงเพรียกก่อนหน้านี้อย่างกระวนกระวายขณะมุ่งหน้าไปสู่ปลายระบบสุริยะ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังอยู่ไกลเกินไป นอกจากนี้ ต่อให้เขาจับเสียงเรียกได้ พลังปราณที่จำกัดของเขาก็ยากจะประสานกับเสียงเรียกนั้น หรือกระทั่งเดินทางไปถึงอีกปลายด้านหนึ่งของระบบสุริยะ!

เรื่องระยะทางนั้นแก้ง่าย แต่เรื่องพลังปราณของข้าที่ต่ำต้อยเกินไปจะแก้อย่างไรดี ความกระวนกระวายคืบคลานไปทั่วร่างชายหนุ่ม ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันปลดปล่อยอำนาจของกระบวนเวทลึกลับบางอย่างออกมา ทำให้ความเร็วของชายชราเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงนี้ยิ่งทำให้ชายหนุ่มเครียดขึ้นอีก

เขารู้ดีว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจะไล่เขาทันในที่สุด หากไม่รีบหาวิธีมาต้านการโจมตีของโยวหรัน ตัวเขาคงต้องสิ้นชีพเป็นแน่!

ดาวพฤหัสบดีก็แล้วกัน! ดวงตาของหวังเป่าเล่อเด็ดเดี่ยวชัดเจน ขณะมุ่งหน้าไปยังดาวพฤหัสบดีแทน ระยะทางระหว่างเขากับดาวพลูโตก็จะยังหดสั้นลงต่อให้เขาเปลี่ยนทิศการเดินทาง นอกจากนี้อำนาจพิเศษของวิญญาณจุติดวงดาราจะทำให้เขาได้รับพลังที่เพิ่มมากขึ้นจากดาวพฤหัสบดี จนสามารถทดแทนพลังปราณที่น้อยนิดเกินไปของเขาอีกด้วยเรือสำปั้นแห่งความมืดแทบเท้าเริ่มเผาไหม้พลังชีวิตของตนเอง ในเวลานี้หวังเป่าเล่อยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับชัยชนะ เขาทะยานตัดผ่านระบบสุริยะไปด้วยความเร็วสูงจนมองไม่เห็น ราวกับกำลังเคลื่อนย้ายไปโผล่ที่อีกจุดหนึ่งมากกว่าการเดินทางด้วยความเร็วปกติ เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มก็อยู่ในวิถีของดาวพฤหัสบดีเรียบร้อยแล้ว

ราคาที่เขาจ่ายให้กับการท่องอวกาศด้วยความเร็วสูงนั้นมากล้น ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมาอีกยกใหญ่ แทบจะล้มหมดสติลงกับพื้น ร่างกายของเขามาถึงขีดสุดจนแทบจะทานทนการเดินทางด้วยความเร็วขนาดนี้ไม่ไหว เค้าโครงของเรือสำปั้นแห่งความมืดเริ่มเลือนรางเนื่องจากใช้พลังงานไปมาก จนกลายเป็นเพียงม่านหมอกบางเบาเท่านั้น!

ด้วยความที่เรือสำปั้นยังไม่ได้รับการซ่อมแซมโดยสมบูรณ์ มันจึงได้รับความเสียหายใหญ่หลวง แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่มีเวลาและพลังงานพอที่จะมาสนใจมัน เขาใช้พลังของสำนักแห่งความมืดอีกครั้งเพื่อเดินหน้าเข้าไปใกล้ดาวพฤหัสบดีมากยิ่งขึ้น จุดหมายปลายทางยังอยู่ห่างออกไปพอสมควร กระนั้นวิญญาณจุติดวงดาราในร่างกายของชายหนุ่มก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น

ความเชื่อมโยงระหว่างตัวเขาและดาวพลูโตทวีความแข็งแกร่งขึ้นมาก ซึ่งทำให้ตัวเขามั่นใจขึ้นไม่น้อยว่าตนเองจะทำได้สำเร็จ

แค่ดาวพฤหัสบดีอาจจะยังไม่เพียงพอ… ดวงตาของหวังเป่าเล่อวาวโรจน์ด้วยความบ้าคลั่ง เขาคิดไปถึงสถานที่ที่จะเพิ่มพลังวิญญาณจุติดวงดาราของตนเองให้ไปอยู่ในจุดที่น่ากลัวจนทนไม่ได้

เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอยู่ใกล้หรือไกลออกไปเพียงใด จากการคำนวณของชายหนุ่ม เขาเพียงแต่ต้องไปถึงดาวพฤหัสบดีให้ได้เท่านั้น หวังเป่าเล่ออาจไม่มีหวังว่าตนจะกำชัยในการสู้รบกับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันตัวต่อตัว แต่เขาแน่ใจว่าจะทะลุผ่านไปถึงดาวพลูได้แน่นอน!

เรือสำปั้นแห่งความมืดผลาญพลังชีวิตของตนเองอีกครั้งเพื่อเพิ่มความเร็วให้มากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มเข้าใกล้ดาวพฤหัสบดีเข้าไปทุกที ในตอนนั้นเองแรงระเบิดก็อุบัติขึ้นที่เบื้องหลังเขา ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทะยานผ่านห้วงอวกาศมาปรากฏอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ สีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจ ชายชราขยับตัวเพื่อปล่อยเถาวัลย์ออกจากหลัง เถาวัลย์นั้นพันเกี่ยวกันไปมาและแปรเปลี่ยนเป็นปีกยักษ์สองข้าง พัดกระพือเพียงครั้งเดียวก็ส่งกระแสพลังปราณให้กระเพื่อมไปในอวกาศ ซึ่งช่วยให้โยวหรันเพิ่มความเร็วได้มากขึ้นไปอีก อสูรกายโยวหรันทะยานไปข้างหน้า มือใหญ่สร้างผนึกฝ่ามือ อักขระโบราณส่องสว่างขึ้นทั่วร่างกายชายชรา

“หวังเป่าเล่อ ระบบสุริยะนั้นเล็กนัก เจ้าคิดว่าจะหนีข้าไปได้พ้นหรือ” เสียงของชายชราดังก้องไปทั่วจักรภพ อักขระเวทโบราณผละออกจากร่าง ลอยค้างอยู่ในอวกาศ พวกมันพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วที่มากเสียยิ่งกว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเสียอีก ระยะห่างระหว่างทั้งสองหดแคบลงเรื่อยๆ อักขระย่นย่อระยะทางลงมาอย่างรวดเร็ว อักขระสามตัวในนั้นไล่หวังเป่าเล่อทันในที่สุด อักรขระทั้งสามพลันระเบิดก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ!

กระแสพลังระเบิดทรงอำนาจจนทำให้ห้วงอวกาศแทบแตกสลาย มันพัดพาไปทั่วจนก่อให้เกิดพายุร้ายที่พุ่งเข้าทำลายหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง เขาโบกมือส่งชุดคลุมแห่งความมืดให้พองออกอีกครั้งเพื่อป้องกันร่างของตนจากแรงระเบิด เลือดไหลทะลักออกจากปาก แต่ความเร็วยังคงที่โดยการใช้พลังชีวิตของเรือสำปั้นแห่งความมืดเข้าแลก ชายหนุ่มพุ่งเข้าใกล้ดาวพฤหัสบดีเข้าไปทุกที และวิญญาณจุติดวงดาราของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

จิตเชื่อมโยงระหว่างเขาและดาวพลูโตทวีความเข้มข้นขึ้นด้วยเช่นกัน จนเขาสัมผัสได้ถึงเสียงเพรียกจากดาวเคราะห์ที่อยู่แสนไกลในที่สุด เสียงเพรียกนั้นถือกำเนิดมาจากบางสิ่งที่ยังมองเห็นไม่ชัดเจนสำหรับเขา

ยังไม่พอ! หวังเป่าหรี่ตาลง กัดฟันแน่น ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาหนีต่อไป อักขระโบราณของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังคงระเบิดอย่างต่อเนื่องเบื้องหลังเขา ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บมากขึ้นอีก กระนั้นเขาก็ยังคงหนีเพื่อไปให้ถึงดาวพฤหัสบดี วิญญาณจุติดวงดาราเริ่มเอ่อล้นด้วยพลังเต็มเปี่ยม พลังปราณที่เพิ่มสูงขึ้นไหลบ่าทั่วร่างกายของชายหนุ่ม ทำให้อาการบาดเจ็บของเขาหายไปแทบจะในฉับพลัน

ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็เห็นดาวพฤหัสบดีอยู่ไกลลิบๆ วิญญาณจุติดวงดาราของเขาลืมตาขึ้นในวินาทีนั้น พลังของมันเต้นตุบอยู่ในดวงตาทั้งสองข้าง พลังประหลาดที่ดาวพฤหัสบดีส่งออกมาไหลเข้าสู่กายหวังเป่าเล่อ นี่คืออำนาจที่เขาไม่เคยประสบมาก่อน พลังนี้ทำให้ดวงตาของชายหนุ่มสว่างไสวด้วยความตื่นเต้น

หวังเป่าเล่อพยายามเป็นอย่างมากที่จะซ่อนพลังใหม่ของเขาให้มิดชิด กระนั้นศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็ยังรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดแผกไป สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไปอีกครั้ง สัญชาตญาณประหลาดส่งออกมาจากอวัยวะภายใน แต่ก็ไม่มีเวลามาคิดหาคำตอบ ประกายเด็ดเดี่ยววาบเข้ามาในดวงตาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เขายกมือขวาขึ้นกระชากแขนซ้ายของตนเองทิ้ง ก่อนตะโกนก้อง “วิชาแปรเปลี่ยนดาราเทพ!”

แขนซ้ายที่ถูกกระชากออกดิ้นเร่า ภายในพริบตาก็กลายสภาพเป็นแมลงกิ่งไม้สีดำร่างอ้วนตัวใหญ่สามร้อยเมตร มันกรีดร้องเสียงแหลมก่อนกระโจนไปในอากาศพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ ปากของมันอ้ากว้างหมายกลืนกินชายหนุ่มเข้าไปทั้งตัวในคราวเดียว ชุดคลุมสีดำของหวังเป่าเล่อพองใหญ่อีกครั้ง แต่ก็ไม่มีประโยชน์ คมเขี้ยวของแมลงยักษ์เจาะทะลุชุดคลุมมาอย่างง่ายดาย!

เมื่อแมลงกิ่งไม้ยักษ์เข้าใกล้ ความอำมหิตก็ทาบทับดวงตาของหวังเป่าเล่อ ร่างของเขาพร่าเลือน ร่างอวตารปรากฏกายขึ้นนับสิบอย่างรวดเร็ว พวกมันไม่ได้เข้าโจมตีแมลงกิ่งไม้ แต่ระเบิดโดยพลัน แรงระเบิดส่งให้หวังเป่าเล่อทะยานไปข้างหน้าใกล้ดาวพฤหัสบดีมากขึ้นไปอีก ในที่สุดเขาก็เข้าสู่อาณาเขตของแถบดาวเคราะห์น้อยที่กั้นระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดไว้!

นี่คือเป้าหมายของหวังเป่าเล่อ เป็นความคิดที่จะช่วยเพิ่มพูนพลังปราณของตนเองให้พุ่งสูงขึ้นจนอยู่ในระดับที่น่ากลัวจับใจ!

แถบดาวเคราะห์น้อยประกอบไปด้วยดาวเคราะห์ขนาดเล็กนับแสนดวง และเบื้องหน้าของหวังเป่าเล่อ คือดาวเคราะห์พิเศษที่สหพันธรัฐค้นพบเมื่อล้านปีก่อน…ดาวเคราะห์แคระซีรีส ดาวเคราะห์แคระหนึ่งเดียวในแถบดาวเคราะห์น้อยนั่นเอง!

ในที่แห่งนี้ พลังของวิญญาณจุติดวงดาราจะแข็งแกร่งที่สุดจนยากจะหาใดเทียบ และพลังที่แท้จริงของมันก็จะปรากฏให้เห็น!

…………………………………….

บทที่ 722 ปลายทางก็คือ ดาวพลูโต
ประชาชนสหพันธรัฐทุกคนตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว ผู้ฝึกตนทุกคนบนดาวอังคารตกใจจนแทบสิ้นสติ ความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจเข้าเกาะกุมจิตใจอย่างไร้ความควบคุม แม้แต่ศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลก็ถูกจองจำด้วยความพรั่นพรึงจนหยุดนิ่งอยู่กับที่!

ทุกคนสูญสิ้นซึ่งแรงใจในการสู้ต่อ ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้สนใจผู้ฝึกตนและหุ่นเชิดจากตระกูลไม่รู้สิ้นแม้แต่น้อย แต่เมื่อเหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้น และเมื่อศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันประกาศว่าตนได้รวมเข้าเป็นหนึ่งกับเรือบินรบเต๋ามรณะเรียบร้อย ทุกคนก็ทำเป็นเพิกเฉยต่อสถานการณ์ร้ายแรงนี้ไม่ได้อีกต่อไป

นอกจากนี้…หากไม่ใช่เพราะหวังเป่าเล่อ ก็มีโอกาสสูงมากที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจะดูดพลังของพวกเขาทั้งหมดจนไม่เหลือซาก ความรู้สึกมากมายไหลบ่าเข้ามาในดวงตาของผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเขายืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้น ตาก็จ้องมองไปยังอวกาศ

สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของพวกเขา และดวงตาของผู้ฝึกตนจากดาวอังคารรวมถึงสหพันธรัฐ…คือร่างใหญ่ยักษ์น่าสะพรึงกลัวของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน พลังของร่างประหลาดที่ตระหง่านอยู่หน้าหวังเป่าเล่อนั้นยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้อวกาศและโลกสั่นสะเทือน ไอพลังที่ชายชราปล่อยออกมาดูเหนือธรรมชาติจนน่าขนลุก…แตกต่างจากพลังของเขาก่อนหน้านี้ชนิดกลับตาลปัตร!

จื่อเยว่… หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขารู้ดีว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกลายร่างไปเป็นเช่นนี้ได้ด้วยพลังอำนาจของจื่อเยว่ เขาได้ยินน้ำเสียงที่แตกต่างไปจากโยวหรันคนเดิมด้วยเช่นกัน เสียงของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันฟังดูเหมือนเครื่องจักรที่แฝงไปด้วยเสียงเหล็กกระทบกันอยู่ภายใน ราวกับว่าตัวตนของอีกฝ่ายได้เปลี่ยนไปเป็นอื่นเรียบร้อยแล้ว

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันต้องจ่ายอะไรไปบ้างจึงได้ร่างทรงพลังน่ากลัวนี้มาครอบครอง แต่ก็รู้ดีว่าบัดนี้โยวหรันกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวกว่าเดิมมากนัก ต่อให้เขามีวัตถุเวทแห่งความมืดอยู่ในครอบครอง ก็ยังอดไม่ได้ที่จะสัมผัสได้ถึงอันตรายเบื้องหน้า!

ทันทีที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันรวมร่างเข้ากับเรือบินรบเต๋ามรณะ สถานการณ์ก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ!

ยังไม่ทันได้คิดหาทางหนีทีไล่ ขณะที่เสียงประกาศยังสะท้อนก้องไปในอวกาศเวิ้งว้าง อสูรกายตรงหน้าหวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นชี้มาที่ชายหนุ่มและเริ่มเปิดฉากโจมตีทันที!

การโจมตีนั้นไม่ได้มาพร้อมแสงสว่างเจิดจ้า แต่ก็ยังทำให้ชายหนุ่มตกใจ เขารีบโบกไม้พายตะเกียงข้างหน้าตน เปลวไฟสีดำกระจายออกแปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงมืดมิด เรือสำปั้นแห่งความมืดไหลไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว ในวินาทีนั้นเอง อวกาศเบื้องหน้าเขาก็ยุบตัวลง เสียงระเบิดดังเหมือนสายฟ้าฟาด เถาวัลย์มากมายพุ่งออกจากบริเวณที่ทรุดลงทะยานเข้าหาหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วสูง

เมื่อเถาวัลย์พาดผ่าน ห้วงอวกาศโดยรอบก็เหี่ยวย่นเหมือนดอกไม้ไร้ชีวิต ในที่สุดเถาวัลย์ก็ปะทะเข้ากับเปลวไฟสีดำของหวังเป่าเล่อ

เปลวไฟที่ดำที่เป็นจุดจบของทุกสิ่งในห้วงอวกาศ พบคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเป็นครั้งแรก เปลวไฟเผาไหม้เถาวัลย์เหี้ยนเตียนไปมาก แต่ก็มีบ้างที่ถูกดับลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ภายในไม่กี่วินาที เปลวไฟสีดำก็ดับสิ้น เถาวัลย์ที่เหี่ยวย่นมอดไหม้ด้วยเปลวเพลิงพลันมีต้นอ่อนถือกำเกิดขึ้นจากเศษซากดำเมี่ยม ต่างพากันพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อเพื่อโจมตีเป็นครั้งที่สอง

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันหรี่ตาลง มือขวาสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ เพื่อปล่อยเถาวัลย์ออกจากร่างให้พุ่งแหวกอวกาศออกไป เถาวัลย์นั้นดูเหมือนหมวดของหมึกมากมายที่ดิ้นเร่าอยู่ในอากาศ ทั้งหมดเหวี่ยงเข้าหาหวังเป่าเล่อ หมายล้อมชายหนุ่มเพื่อกักขังเอาไว้ภายใน!

แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ประกายสังหารอาบอยู่ในแววตาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ขณะที่เขาก้าวมาข้างหน้าพร้อมยกมือซ้ายขึ้น มือนั้นกำแน่น หมัดลุ่นๆ พุ่งตรงไปหาหวังเป่าเล่อด้วยพลังทำลายล้างรุนแรง ราวกับสามารถกำจัดทุกสิ่งที่ขวางทางให้หายไปจากโลกนี้ได้!

เถาวัลย์มากมายกระจายไปในอากาศด้วยความว่องไว พวกมันเข้าล้อมหวังเป่าเล่อเอาไว้จนแทบจะกักขังเขาได้มิด หมัดทรงพลังของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันใกล้จะถึงตัวชายหนุ่ม

สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึมจริงจัง ขณะที่อันตรายใหญ่หลวงยืนทะมึนทาบทับอยู่บนกาย

เถาวัลย์แต่ละเส้นเต็มไปด้วยพลังต้านและความยืดหยุ่นทนทาน เปลวไฟสีดำของชายหนุ่มอาจเผามันให้มอดไหม้ได้ แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำลายให้เหี้ยนเตียนทั้งหมด

สิ่งที่แย่ที่สุดคือเถาวัลย์เหล่านี้จะงอกใหม่เรื่อยๆ ตราบใดที่ยังทำลายได้ไม่หมด ความสามารถในการเกิดใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ทำให้หวังเปาเล่อหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม พลังที่โยวหรันแผ่ออกมายิ่งทำให้เขาเครียดมากขึ้น

สู้กันตรงนี้ต่อไปเห็นจะไม่ได้แล้ว… ความเคร่งขรึมจริงจังวาบเข้ามาในดวงตาของชายหนุ่ม เขารู้ดีว่าหากยังดึงดันขับเคี่ยวกันตรงนี้ต่อไป ดาวอังคารอาจเกิดความเสียหายร้ายแรงได้ การโจมตีของทั้งเขาและศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอาจก่อภัยพิบัติทำลายล้างดาวเคราะห์สีแดงเสียหมดสิ้น และในขณะเดียวกัน…แม้ดาวอังคารจะจัดได้ว่าเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับระบบสุริยะทั้งหมดแล้ว… มันก็ไม่ใช่สถานที่ที่เขาจะปล่อยพลังทั้งหมดของตนเองออกมาได้เช่นกัน

ข้าต้องออกไปจากที่นี่! ชายหนุ่มไม่ลังเลแม้ต่อน้อย ดวงตาจ้องมองเถาวัลย์ที่พันเกี่ยวรอบตัวซึ่งกำลังตั้งท่าจะโถมเข้าใส่อีกครั้ง เขาวางไม้พายตะเกียงลงบนเรือสำปั้น เสียงกระทบกันของวัตถุเวททั้งสองดังกังวานในอากาศ จากนั้นหวังเป่าเล่อก็ร่ายเวทลึกลับของสำนักแห่งความมืด

ทันทีที่ร่ายเวทเสร็จสิ้น ใบหน้าของราชครูก็ปรากฏขึ้นบนชุดคลุมสีดำ พร้อมกับร่างของเด็กชายที่ลอยออกมาจากไม้พายตะเกียง ใบหน้าของเด็กชายเสี่ยวเป่ามืดมนน่ากลัว อัดแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยวอำมหิต เขากรีดร้องเสียงแหลม ไม้พายตะเกียงพลันเกิดรอยปริแตก!

เปลวไฟสีดำภายในตะเกียงพุ่งกระจาย กินวงกว้างกว่าเปลวไฟสีดำที่หวังเป่าเล่อมีอยู่ในกายมากนัก ชายหนุ่มยอมสละไม้พายตะเกียงเพื่อปลดปล่อยอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเปลวไฟสีดำอีกครั้ง!

เพลิงมืดไหลบ่าออกจากตะเกียงที่แตกร้าวเข้าล้อมร่างของชายหนุ่มเอาไว้ ก่อนจะพุ่งพรวดไปข้างหน้าในพริบตาเดียว และเข้าปะทะกับหมู่เถาวัลย์ราวกับเป็นภูเขาไฟระเบิด

เสียงอึกทึกจากแรงปะทะกังวานไปทั่วในห้วงอวกาศ แม้เถาวัลย์จะแข็งแกร่งแน่นหนา แต่ราคาที่หวังเป่าเล่อต้องจ่ายไปกับการโจมตีครั้งที่สองนั้นมากเสียจนทำให้กองเถาวัลย์เองยังต้องมอดม้วยจนกลายเป็นตอตะโกไปเกือบหมด กระนั้นทะเลเพลิงของหวังเป่าเล่อก็ได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน จึงทำให้หมัดของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่ตามมาทำลายมันได้โดยง่าย เปลวไฟกระจัดกระจายตามแรงกระแทกจากหมัดของโยวหรัน ปลิวว่อนไปในห้วงอวกาศเหมือนใบไม้ที่ปลิดปลิวในฤดูใบไม้ร่วง หมัดอันทรงพลังของโยวหรันพุ่งทะลุเปลวไฟสีดำเหล่านั้น และมุ่งตรงมายังหวังเป่าเล่อ

ก่อนที่หมัดจะกระแทกตัวชายหนุ่ม ราชครูก็ร้องเสียงดังก้อง ชุดคลุมแห่งความมืดขยายขนาดพองออกจนใหญ่มหึมา ล้อมชายหนุ่มเอาไว้เหมือนเกราะป้องกันอันแข็งแกร่ง หมัดยักษ์เข้าปะทะชุดคลุมของราชครูในทันที

แรงระเบิดส่งให้ชุดคลุมแตกสลายเป็นชิ้นๆ ใบหน้าของราชครูพร่าเลือน ส่วนหวังเป่าเล่อกระอักเลือดออกมาชุดใหญ่ แรงจากหมัดซัดเข้าไปที่เรือสำปั้นใต้เท้าของเขา…ส่งให้เรือพุ่งออกจากทะเลเพลิงในบัดดล เรือสีดำพุ่งทะลุกำแพงเถาวัลย์ที่รายล้อม ไปปรากฏอีกครั้ง…บนท้องฟ้าระยิบระยับด้วยแสงดาวในระยะไกล

แต่มันก็ไม่หยุดเพียงเท่านั้น เรือยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ สู่หมู่ดาวอันไกลโพ้น

“จะหนีรึ” โยวหรันหรี่ตาลง เขาไม่ได้ถอนหมัดกลับ แต่มือนั้นกลับยืดยาวออกไปอย่างไม่น่าเป็นไปได้ หมายไล่ล่าชายหนุ่มบนเรือมืดที่กำลังทะยานไปไกล!

นิ้วของโยวหรันก็ยืดออกด้วยความเร็วเช่นกัน ภาพนั้นดูน่าขนลุกเป็นอันมาก แต่หวังเป่าเล่อที่ผ่านประสบการณ์การรบพุ่งมาอย่างโชกโชนตั้งแต่เริ่มเดินไปบนเส้นทางการฝึกตน ไม่แม้แต่จะหันไปมองเบื้องหลัง แววตาของเขาแน่วแน่ด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว

“เจ้าไม้พายตะเกียง ข้าขอสัญญาว่าจะสร้างเจ้าขึ้นมาใหม่ในอนาคตแน่นอน!” เด็กชายตัวน้อยที่ลอยอยู่เหนือซากไม้พายตะเกียงน้ำตาปริ่ม ทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับนายของตนเท่านั้น เด็กชายหันหลังไปเผชิญหน้ากับมือยักษ์ที่กำลังไล่ล่ามา แววกระหายเลือดเคียดแค้นปรากฏขึ้นในดวงตาคู่น้อย เขาเริ่มร่ายคำสาปตามคำสั่งของหวังเป่าเล่อ ตอนนั้นเอง ชายหนุ่มก็ปล่อยไม้พายตะเกียงของตนออกจากมือ เด็กชายเสี่ยวเป่ากลับเข้าวัตถุเวทประจำตัว ไม้พายหมุนรอบตัวและพุ่งเข้าใส่มือยักษ์ของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันในทันที!

คลื่นพลังงานทำลายตนเองระเบิดออกมาจากไม้พายตะเกียงสีดำ แรงต้านรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดของขีดความสามารถ พริบตาต่อมาไม้พายตะเกียงก็พลันระเบิด แรงระเบิดแปรเปลี่ยนเป็นเกราะคุ้มกันล่องหนที่หยุดมือยักษ์ของโยวหรันเอาไว้กับที่!

แม้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจะต้องการไล่ล่าหวังเป่าเล่อต่อ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้น แม้ไม้พายตะเกียงจะได้รับความเสียหายรุนแรง แต่มันก็ยังเป็นถึงอาวุธเทพระดับสูง การทำลายตนเองที่ทันท่วงทีและถูกจังหวะ ทำให้การโจมตีที่แม้จะรุนแรงของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังต้องถอยหนีเพื่อลดความเสียหายจากแรงปะทะ!

เสียงระเบิดดังก้องอวกาศ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันชะงักค้างอยู่กลางความเวิ้งว้างด้วยพลังการทำลายตนเองของไม้พายตะเกียง หวังเป่าเล่อกระอักเลือดเต็มปาก ขณะที่เรือสำปั้นแห่งความมืดปล่อยพลังเต็มที่ พุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงหายไปในห้วงอวกาศไกล ดวงตาของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เขารู้ดีว่าตนเองสู้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่ได้ในตอนนี้ ทางเดียวที่จะพลิกกลับมาเอาชนะได้คือการเพิ่มขีดจำกัดพลังของตนจากดาวดวงสุดท้ายในระบบสุริยะ มีบางสิ่ง…กำลังร้องเรียกเขาจากดาวพลูโต!

ชายหนุ่มกำลังเดิมพันครั้งใหญ่ เขาเดิมพันความสำคัญของตนที่มีต่อจื่อเยว่ โดยคาดการณ์ว่าตัวเขามีความสำคัญต่อหญิงสาวมากกว่าสหพันธรัฐ แม้ไม่มั่นใจว่าตนเองจะเอาชนะนางได้ แต่หลังจากที่ดูดซึมพลังจากนิ้วของนางเข้าไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็มั่นใจพอตัวว่าตนเองเดาพฤติกรรมของนางถูก

ชายหนุ่มหวังว่าตนจะเดานิสัยของนางได้ไม่ผิดเพี้ยน ผู้ที่เห็นแก่ตัวจนสนใจเพียงความต้องการของตนเองเช่นนาง คงไม่คิดเอาความอยู่รอดของอารยธรรมมาขู่เขา เพราะในสายตาของนาง มันจะดูเหมือนเด็กอมมือเล่นขายเกินไป

บทที่ 721 ร่างที่แท้จริงของโยวหรัน!
เสียงขับขานของวิญญาณทั้งสามสะท้อนไปทั่วท้องฟ้า ผืนนภามืดมิด ลมปีศาจที่หอบมาจากแห่งหนใดไม่มีผู้ใดทราบ กรรโชกเข้าสู่ดินแดนแห่งนั้นในทันที ลมนั้นทำให้หมอกสีดำอันกำเนิดจากวัตถุเวทแห่งความมืดปั่นป่วน และเข้าปกคลุมทุกแห่งหน!

หมอกกระจายตัวเข้าปกคลุมทุกพื้นผิวของดาวอังคารอย่างรวดเร็ว มันกรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยว ทุกคนจ้องมองท้องฟ้ารอบหวังเป่าเล่อที่กลายสภาพเป็นทะเลหมอกสีดำ!

มันคือทะเลหมอกแห่งความตายที่พวยพุ่งออกจากโลกแห่งความตายใต้พิภพ หรืออีกนามหนึ่งก็คือทะเลแห่งความมืด!

ทะเลแห่งความมืดเข้าครอบครองทั้งท้องฟ้าและผืนดิน คลื่นแรงซัดโหมไปทั่วดาว จนดาวอังคารทั้งดวงกลายเป็นเพียงภาพเงาทรงกลม เปลวไฟสีดำในกายหวังเป่าเล่อรุนแรงขึ้น หากการเกิดใหม่ขึ้นอยู่กับประภาคารแล้วละก็ ไฟในกายของชายหนุ่มก็เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงในตะเกียงที่ส่องให้ประภาคารสว่างไสว เปลวเพลิงเย็นเยือกที่เผาไหม้ได้ทุกสิ่ง อัดแน่นไปด้วยพลังอันแสนยิ่งใหญ่แห่งจักรวาล

เปลวเพลิงมรณะปลุกให้ทะเลแห่งความมืดปล่อยพลังอีกครั้ง คลื่นพลังปราณโหมไปข้างหน้าเต็มกำลัง ซัดเข้าใส่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันหมายทำลายเขาให้สิ้นซาก!

สายฟ้าฟาดลงมาอีกครั้งด้วยเสียงกึกก้องน่าหวาดหวั่น!

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะหนีทะเลแห่งความมืดไปให้ได้ พลังของมันยิ่งใหญ่มากเสียจนทำให้ดาวทั้งดวงสั่นสะเทือน แต่ก็ไม่เป็นผล ความตื่นตระหนกและความสิ้นหวังเข้าเกาะกุมจิตใจของเขา ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกรีดร้อง เขาดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้หลุดพ้น พยายามสุดความสามารถที่จะสู้กลับ

คลื่นทะเลแห่งความมืดสูงตระหง่านเหมือนเสาค้ำฟ้า พร้อมซัดลงเบื้องล่างเพื่อทำให้ทุกสิ่งดำดิ่งสู่ความมืดมน ขณะคลื่นยักษ์ทมิฬกำลังจะกระแทกใส่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ชายชราก็ระเบิดใบหน้าทุกหน้าบนร่างของตนเองออก อันเป็นความพยายามสุดท้ายที่จะป้องกันตัวเอง เขาเปรียบเสมือนฟองสบู่ที่สิ้นหวัง เปราะบาง พร้อมจะแตกสลายตลอดเวลา!

แรงระเบิดจากใบหน้าทั้งหมดส่งผลกระทบมหาศาลต่อร่างกายของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เลือดไหลทะลักออกจากริมฝีปาก ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงยุ่งเหยิงพัดกระจายไปในอากาศ เสื้อผ้าขาดวิ่น ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความสิ้นหวังและความบ้าคลั่ง เสียงของเขาดุดัน อัดแน่นไปด้วยความเกลียดและชิงชัง

“หวังเป่าเล่อ ข้าไม่ยอมศิโรราบต่อเจ้าหรอก!” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันประกาศก้อง ละทิ้งซึ่งความพยายามที่จะหนี เขากระแทกเท้าขวาลงบนพื้นอย่างแรงเพื่อยืนให้มั่น มือทั้งหกสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ อย่างบ้าคลั่ง ชายชรากำลังเผาพลังชีวิตตนเองเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่เหนือกว่า เขาจะสู้จนตัวตาย จนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันดันพลังเกินขีดจำกัดไปถึงร้อยละยี่สิบ ผลึกรูปร่างประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตาอีกครั้ง ผลึกนี้เป็นของล้ำค่าเหลือคณานับสำหรับเขา และมันก็เริ่มแสดงทีท่าว่าจะแตกสลาย!

หวังเป่าเล่อทำให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างแท้จริง ความอันตรายนี้มากกว่าทุกสิ่งที่ตัวเขาเคยเจอมาทั้งชีวิต ชายชราจึงโยนทุกสิ่งทิ้งไปกับสายลม ด้วยหวังว่าโชคชะตาจะนำพาเขาให้รอดชีวิตออกจากทะเลแห่งความมืดไปได้

เสียงระเบิดดังสะท้อนไปในอากาศ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังคงปักหลักอยู่กับที่ แสดงให้เห็นถึงพลังใจและความแข็งแกร่งของเขาเมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายร้ายแรง ชายชรายังคงปล่อยพลังปราณของตนออกมาโดยใช้พลังชีวิตเข้าแลก ผลึกประหลาดในดวงตายิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นศิลายักษ์ที่ตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ปกป้องเขาจากคลื่นร้ายของทะเลแห่งความมืดที่ถาโถมเข้าใส่ คลื่นยักษ์หยุดลงตรงหน้าเขาราวกับถูกศิลายักษ์สกัดไว้ ไม่อาจซัดไปข้างหน้าต่อเพื่อทำลายชายชราให้สิ้นชีพได้!

ทุกคนที่ดูการต่อสู้อยู่ตัวสั่นเมื่อเห็นภาพนี้ พลังของหวังเป่าเล่อนั้นยิ่งใหญ่มากเสียจนไม่มีสิ่งใดอธิบายได้ การที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังมีชีวิตอยู่ ปักหลักแน่วแน่อยู่กับพื้น จึงเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากเหลือประมาณ แต่ในความเป็นจริง… ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเดินทางมาถึงขีดจำกัดของตนเองแล้ว ร่างของเขาสั่นเทิ้ม รอยแตกเริ่มปรากฏขึ้นที่แขน ทะเลแห่งความมืดกดทับลงบนตัวเขาด้วยน้ำหนักของดาวทั้งดวง จนชายชราแทบจะต้านไว้ไม่ไหวอีกต่อไป

“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมให้ข้าพรากวิญญาณไป ก็ดับสลายไปพร้อมกันเลยก็แล้วกัน” หวังเป่าเล่อยังคงสงบนิ่ง เขายืนอยู่บนเรือสำปั้น มองดูศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่กำลังทุรนทุรายต่อสู้กับอำนาจที่เหนือกว่า เสียงของชายหนุ่มแหบพร่า มือขวาที่ถือไม้พายตะเกียงอยู่ยกขึ้นสูง ชี้ไปที่อีกฝ่าย ก่อนวาดตวัดลงเบื้องล่าง!

ทะเลแห่งความมืดขยับออกจากเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันในทันที คลื่นพุ่งสูงตระหง่านถึงสวรรค์ เปลี่ยนรูปร่างเป็นนิ้วขนาดยักษ์ ตามมาด้วยนิ้วที่สองและนิ้วที่สาม ภายในพริบตา…ฝ่ามือขนาดใหญ่กว้างหลายพันกิโลเมตรก็ปรากฏขึ้นในอากาศ!

มือยักษ์นั้นซัดเข้าใส่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันในทันที!

ดวงตาของชายชราเบิกกว้างแดงฉาน ท่วมท้นด้วยความสิ้นหวังที่จะมีชีวิตรอดกลับไป

“แม่นางจื่อเยว่ โปรดช่วยข้าด้วย!” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกรีดร้องด้วยความกลัว ไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าใด มือยักษ์นั้นก็เข้ามาประชิด ฟาดลงบนกายด้วยเสียงระเบิดกึกก้อง มือทั้งหกของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกลายเป็นเศษเนื้อ ขาอัดเละลงกับพื้นด้วยแรงกระแทก

ไม่มีแม้กระทั่งโอกาสให้ชายชรากรีดร้องอีกครั้ง มือยักษ์ฟาดลงมาด้วยความเร็ว…ทำลายร่างเขาจนไม่เหลือชิ้นดี

มือนั้นกำหมัดอย่างรวดเร็ว ร่างแข็งแกร่งของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน รวมถึงดวงวิญญาณของเขา…ถูกทำลายสิ้นซากภายในพริบตาเดียว!

แต่การต่อสู้ยังไม่จบสิ้น ประกายในดวงตาของหวังเป่าเล่อลุกโชน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันสิ้นชีพ ชายหนุ่มรู้ดีว่าการต่อสู้ของเขากับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น!

“หรือจะเรียกว่าการต่อสู้ระหว่างข้ากับจื่อเยว่ดี…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ยกมือขวาขึ้นในอากาศและชี้ไปยังจุดที่ไกลออกไป ฝ่ามือของชายหนุ่มหันหน้าหาพื้นดิน เรือสำปั้นแทบเท้าเริ่มสั่นสะเทือน ก่อนพุ่งตรงไปข้างหน้าผ่านท้องฟ้า โดยมีเขาเป็นผู้โดยสาร

มือยักษ์ที่ทำลายศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจนสิ้นซากไปเมื่อครู่ทะยานมาอยู่ข้างกายเขา ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าเหนือนครดาวอังคาร เบื้องหน้า…คือเรือบินรบเต๋ามรณะของตระกูลไม่รู้สิ้น

เรือบินรบเต๋ามรณะทำงานทันทีที่หวังเป่าเล่อเดินทางมาถึง ไม่มีใครรู้ว่ามันทำได้อย่างไร แต่เรือออกคำสั่งให้หุ่นเชิดผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ในนครดาวอังคารระเบิดตนเอง พวกมันดิ้นเร่า เศษเลือดเนื้อลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า รวมร่างกันเบื้องหน้าเรือบินรบเต๋ามรณะ จากนั้นก็ก่อรูปก่อร่างเป็นก้อนเนื้อขนาดยักษ์ที่พุ่งเข้าหมายกระแทกหวังเป่าเล่อ!

ใบหน้ามากมายผุดออกมาจากก้อนเนื้อ ต่างพากันกรีดร้องสาปแช่งหวังเป่าเล่อในภาษาที่เขาฟังไม่เข้าใจ เสียงร้องแหลมพ่นคำหยาบนี้ดังระงมในอากาศ ก่อนที่พวกมันจะปล่อยพลังออกมาเป็นแรงระเบิด

ม่านตาของชายหนุ่มหดแคบ มือซ้ายสร้างผนึกฝ่ามือก่อนส่งพลังไปข้างหน้า มือยักษ์ที่สร้างมาจากทะเลแห่งความมืดกระโจนเข้าใส่ก้อนเนื้อและจับมันเอาไว้

เสียงปะทะดังกัมปนาท ก่อให้เกิดแรงกระแทกที่ทำให้ดาวทั้งดวงสั่นไหว ก้อนเนื้อระเบิดในทันที เปลี่ยนสภาพไปเป็นก้อนเลือดเนื้อไร้รูปร่าง มือยักษ์ที่ก่อกำเนิดมาจากทะเลแห่งความมืด ซึ่งเป็นรูปร่างชั่วคราวของพลังจากวัตถุเวทแห่งความมืด เริ่มแสดงอาการแตกร้าวให้เห็นเช่นกัน

การใช้งานมือยักษ์อย่างต่อเนื่องทำให้มันอ่อนกำลังลง นอกจากนี้พลังปราณของหวังเป่าเล่อก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะใช้งานวัตถุเวทแห่งความมืดซึ่งยังอยู่ในสภาพเสียหาย ในที่สุดวัตถุเวทแห่งความมืดที่ฟื้นฟูกลับมาได้เพียงส่วนเดียวก็เริ่มแสดงอาการไม่สมบูรณ์ออกมาในรูปแบบพลังที่อ่อนแอลงของมือยักษ์

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อดูซีดเซียวเล็กน้อย อวัยวะภายในเริ่มปั่นป่วน เขากัดฟันปล่อยเปลวไฟสีดำออกมาเพื่อควบคุมวัตถุเวทแห่งความมืดต่อไป มือยักษ์ที่เริ่มแตกสลายพุ่งเข้าหาเรือบินรบเต๋ามรณะในทันที!

ชายหนุ่มรู้ดีว่าเรือบินรบคือกุญแจหลักของสงครามในครั้งนี้!

ตอนนั้นเองเรือบินรบเต๋ามรณะก็สั่นสะท้าน พลังแข็งแกร่งรุนแรงที่ทำให้หวังเป่าเล่อหัวใจเต้นรัวสาดออกมาจากเรือบินรบ พลังของมันรุนแรงมากเสียจนกระทั่งเรือบินรบเองก็เริ่มแตกสลาย ชิ้นส่วนของเรือหดลงอย่างรวดเร็ว เถาวัลย์สีดำพุ่งออกจากเรือบินรบก่อนเข้ารัดรึงชิ้นส่วนของเรือเอาไว้ ดูเหมือนว่าเถาวัลย์นี้จะกำลังดูดพลังชีวิตจากดาวอังคารเพื่อทำให้ตนเองขยายขนาดขึ้น นครดาวอังคารเริ่มยุบตัวลง เมืองทั้งเมืองถล่มลงต่อหน้าต่อตาทุกคน!

ไม่ว่าจะยืนอยู่ข้างใด ผู้ฝึกตนบนดาวอังคารก็พบเจอชะตากรรมเดียวกัน พลังชีวิตและพลังปราณของพวกเขาถูกดูดออกจากร่างจนแห้งเหี่ยว พื้นดินเองก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างกัน พลังชีวิตของทุกสิ่งทั่วทั้งดาวอังคารล้วนหลุดออกจากร่าง ลอยขึ้นไปบนอากาศ และมุ่งตรงไปหาเรือบินรบเต๋ามรณะที่กำลังเล็กลงเรื่อยๆ!

สถานการณ์ที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทำให้ทุกคนตกใจเป็นอันมาก ผู้ฝึกตนทุกคนตัวสั่นเทิ้ม พยายามอย่างเต็มที่ที่จะสู้กลับแต่ก็ไม่เป็นผล ความพยายามที่จะรักษาชีวิตของพวกเขาแสดงอยู่บนหน้าจอที่ฉายไปทั่วสหพันธรัฐ ประชาชนทุกคนจ้องภาพตรงหน้าค้างด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง

ความตระหนกผ่านเข้ามาบนใบหน้าหวังเป่าเล่อ เขาไม่มีเวลาคิดอีกแล้ว ขณะมองภัยร้ายที่กำลังจ้องทำลายดาวทั้งดวง เปลวไฟสีดำระเบิดออกจากร่างกาย ชายหนุ่มคำรามก่อนควบคุมมือยักษ์ให้คว้าเรือบินรบที่กำลังหดตัวลงเรื่อยๆ ตามแรงที่โดนสูบพลัง ตอนนั้นเองวัตถุเวทแห่งความมืดก็ระเบิดพลังออกมา มือยักษ์เหวี่ยงโยนเรือบินรบทิ้งไปในห้วงอวกาศไกลโพ้น!

แรงระเบิดมหาศาลปะทุออกมาจนทำให้ท้องฟ้าและดาวทั้งดวงสั่นสะท้าน เรือบินรบเต๋ามรณะที่ค่อยๆ หดตัวลงเรื่อยๆ เปลี่ยนสภาพเป็นเส้นสายรุ้งที่พุ่งทะยานออกไปในอากาศ แรงเหวี่ยงส่งให้มันพุ่งตัดท้องฟ้า แหวกชั้นบรรยากาศของดาวอังคารเข้าไปในอวกาศไกลลับตา!

แรงดูดที่ส่งมาจากเรือบินรบอ่อนกำลังลงเมื่อมันหลุดออกจากดาวอังคาร แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ทันมีเวลาได้พักหายใจ เขาพุ่งทะยานตามออกไปเช่นกัน เมื่อเห็นบางสิ่งที่ทำให้ต้องเสียวสันหลังวาบ!

เรือบินรบแทบจะสูญสิ้นทุกชิ้นส่วนจากการถูกดูดพลังงานและการถูกโดนไปในอวกาศ สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแก่นกลางของมันที่ปกคลุมด้วยเถาวัลย์หนา เถาวัลย์เหล่านี้ยังคงขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมร่างปรากฏเป็นแขนขาและศีรษะมนุษย์ ใบหน้านั้น…เป็นของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอย่างชัดเจน!

ใบหน้าของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันใหญ่ยักษ์จนเหลือคณนา!

ดวงตาของโยวหรันปิดอยู่ ใบหน้าปกคลุมด้วยเถาวัลย์สีดำเหมือนเส้นเลือด ใต้หน้าผากของเขามีก้อนเนื้อที่เต้นตุบๆ โดยไม่หยุดพัก ภาพนี้ดูน่าสะพรึงกลัวขนหัวลุกเป็นอย่างมาก พลังรุนแรงส่งออกมาเป็นกระแสคลื่นจากร่างใหม่ของโยวหรัน

หวังเป่าเล่อมองการรวมตัวของร่างยักษ์แสนประหลาดที่ปรากฏให้เห็นเบื้องหน้า เสียงเตือนภัยกรีดก้องอยู่ในหัว ในตอนนั้นเองที่ดวงตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเปิดออกโดยฉับพลัน

“ต้องขอบคุณอาจารย์ของข้าและเจ้า หวังเป่าเล่อ ที่ทำให้ข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับเรือบินรบเต๋ามรณะได้สำเร็จในที่สุด!”

“เพื่อตอบแทนความช่วยเหลือนี้ ข้าจะทำลายบ้านเกิดของเจ้าให้สิ้นซากและนำพลังนี้ไปบำรุงปราณท่านอาจารย์ข้า เป็นของขวัญสำหรับสิ่งที่ท่านมอบให้ข้าในวันนี้”

บทที่ 720 บุตรแห่งความมืดถือกำเนิด!
ดวงตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่ม!

สีหน้าของหวังเป่าเล่อขณะกำลังยืนอยู่บนเรือนั้นเรียบเฉย เปลวไฟสีดำในดวงตาครอบครองอำนาจที่แก่กล้าจนราวกับจะเผาไหม้ได้ทุกสิ่งที่อยู่บนสวรรค์และผืนดิน ราวกับครอบครองพลังที่ล้างโลกได้ทั้งใบ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนเรือสำปั้นนั้นดูยิ่งใหญ่ราวเทพเจ้า อำนาจของเขาเข้าเกาะกุมหัวใจของทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!

พลังที่เรือสำปั้นปล่อยออกมาทำให้โยวหรันล่าถอยด้วยความตกใจ เขารีบถอยหนีในทันที การล่าถอยนั้นก็อยู่ในสายตาของคนทั้งอาณาจักร ซึ่งทำให้คำสั่งที่สองของหวังเป่าเล่อดูทรงพลังมากขึ้นไปอีก!

พื้นดินสั่นสะท้านด้วยความแรงที่มากกว่าครั้งแรก และทรุดตัวลงอีกหลายแห่งจนเกิดแอ่งหลุมยักษ์ ปฐพีร้องคำราม เสียงกรีดร้องอู้อี้ลอยออกมาจากใต้ดิน ขณะที่สิ่งมีชีวิตที่แหกกฎแห่งธรรมชาติทุกอย่างปรากฏตัวขึ้นจากพื้นดิน!

กระแสปราณมืดระเบิดออกอีกครั้งจากรอยแยกบนพื้นดิน มันหลบหนีออกจากรอยแตกนั้น และพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน!

พวกมันรวมตัวเป็นสายหมอกสีดำ ย้อมให้อากาศรอบกายหวังเป่าเล่อมัวหม่น ก่อนพุ่งขึ้นสู่สรวงสวรรค์!

เสียงท้องฟ้าคำรามกังวานในอากาศ ฟากฟ้าแปรเปลี่ยนขณะที่ลมพัดกรรโชกรุนแรง เมฆเคลื่อนที่ย้อนกลับ!

แท่งค้ำยันสีดำสูงตระหง่านจากหมอกมืดเชื่อมท้องฟ้าและผืนดินเข้าด้วยกัน ราวกับวันสิ้นโลกกำลังอุบัติขึ้นต่อหน้า ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันผงะตกใจ ความตื่นกลัวของเขาทวีความรุนแรงขึ้นอีกเมื่อพลังกดดันทับโถมลงมาบนร่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม!

ท้องฟ้าเบื้องบนยังคงถูกหมอกสีดำย้อมป้าย แสงสว่างและความมืดหลอมรวมกันเหมือนในวันที่โลกถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก ลมหมุนยักษ์อุบัติขึ้นกลางอากาศพัดกระพืออย่างบ้าคลั่ง สายฟ้าฟาดกระหน่ำก้องไปไกล หมอกดำกระจายตัวออกปกคลุมทั่วท้องฟ้าจนมืดมิด!

ชายหนุ่มยืนตระหง่านเหมือนยักษ์ใหญ่ มือขวาของเขาที่ชี้ลงเบื้องล่างค่อยๆ ยกขึ้น และชี้ไปที่พายุหมุนสีดำขนาดใหญ่บนท้องฟ้า ก่อนจะกดขึ้นด้านบน

อสนีบาตรวมตัวกันฟาดพื้นดินอีกครั้งด้วยเสียงดังลั่น พายุหมุนสีดำค่อยๆ ลดลงมาหาชายหนุ่ม ล้อมร่างของเขาเอาไว้มิด ไม่มีใครเห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นที่ตาพายุ พายุหดตัวลงฉับพลัน วินาทีถัดมา ร่างของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏสู่สายตาอีกครั้ง พายุหมุนหดตัวกลายเป็นชุดคลุมสีดำที่ปิดบังร่างกายของเขาไว้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า!

แทบเท้าของชายหนุ่มมีเรือสำปั้นแห่งความมืด และทั่วร่างก็ปกคลุมด้วยชุดคลุมแห่งความมืด หวังเป่าเล่อคนใหม่ทำให้ทุกคนตกใจเป็นอันมาก ผู้ที่มีจิตสัมผัสวิญญาณแก่กล้ากว่าคนอื่นจะรู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขาม ราวกับกำลังจ้องมองเทพแห่งความตายด้วยดวงตาของตนเองกระนั้น!

นั่นคือ…สัญชาตญาณภายในของทุกสิ่งมีชีวิต ที่เกิดมาจากความกลัวตายโดยธรรมชาติ!

พลังของหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อชุดคลุมสีดำปรากฏ จนทำให้เลือดไหลออกจากริมฝีปากของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ชายชรารู้สึกตัวแล้วว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ไม่ว่าจะดิ้นรนเท่าใดก็ไม่มีทางตอบโต้กลับได้เลย ความพยายามทุกอย่างของเขาไร้ซึ่งความหมาย

“ยังเล่นสกปรกเจ้าเล่ห์เพทุบายเหมือนเดิม! หวังเป่าเล่อ เจ้าเป็นใครกันแน่” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันตัวสั่นขณะคำรามใส่หวังเป่าเล่อ คำตอบค่อยๆ ผุดขึ้นในจิตใจ แต่ชายชราก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี สำหรับเขาเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย

ข้าจะมากลัวหัวหดเช่นนี้ไม่ได้ นี่มัน…ยังไม่เหมือนกับที่ข้าเคยอ่านเจอ ยังขาดไปอีกสิ่งหนึ่ง…

แต่ก่อนที่เขาจะได้ตอบตนเองในหัวว่าสิ่งใดที่ขาดไป ความตกใจก็ฉายขึ้นบนใบหน้าอีกครั้งขณะกำลังล่าถอย ทันทีที่ได้ยิน…คำพูดต่อไปของหวังเป่าเล่อ!

“ไม้พายตะเกียง… เข้าประจำที่!”

หวังเป่าเล่อในชุดคลุมสีดำบนเรือสีดำ ลดมือลงชี้ที่พื้นดินอีกครั้ง ดาวทั้งดวงสั่นอย่างรุนแรง เสียงกรีดร้องดังออกมาจากพื้นดินใต้โลกกรีดแทงอากาศเบื้องบน ราวกับถูกปิดปากให้สงบเงียบมาชั่วอายุขัย หลังจากที่รอมานานแสนนาน มันก็เป็นอิสระอีกครั้ง พลังอำนาจแก่กล้าเต็มเปี่ยมระเบิดออกมาในทันที!

ปราณมืดพุ่งออกจากโลกใต้ดินอีกครั้งด้วยพลังอำนาจที่เหนือกว่าครั้งก่อนหน้า ท้าทายสวรรค์ให้สยบราบคาบอยู่แทบเท้า ปราณมืดนั้นไม่ได้พุ่งไปที่ใต้เท้าของหวังเป่าเล่อ หรือเปลี่ยนเป็นพายุหมุนเบื้องบน หากแต่…พุ่งตรงเข้าหาเขา และลอยอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มห่างไปเพียงชั่วแขน!

ทะเลหมอกสีดำก่อตัวขึ้นต่อหน้าหวังเป่าเล่อ และเพิ่มความแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างก่อนเป็นอันดับแรก คือด้ามจับที่ขยายยาวขึ้นขณะที่หมอกเริ่มจับตัวเป็นของแข็ง และในที่สุดก็กลายสภาพไปเป็นไม้พาย!

แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น หมอกมืดยังคงเปลี่ยนรูปร่างต่อไป สายโซ่ปรากฏขึ้นที่ปลายไม้พาย ที่ปลายโซ่นั้น…คือตะเกียงแห่งความมืดที่ส่องแสงสีดำเรืองออกมา!

พลังที่ก่อตัวในอากาศทวีความแข็งแกร่งขึ้นอีก ส่งให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันหมดสิ้นซึ่งความคิดใดๆ !

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อโผล่พ้นหมวกชุดคลุมออกมาเพียงเสี้ยวเดียว จึงทำให้ไม่มีใครหยั่งสีหน้าที่แท้จริงของเขาได้ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้น นิ้วมือกำรอบไม้พายตะเกียงที่อยู่ข้างหน้าตนแน่น!

เขาพลิกมือเพื่อจัดไม้พายซึ่งอยู่ในแนวขวางให้กลายมาเป็นแนวตั้ง และดึงไม้พายตะเกียงเข้ามาไว้ข้างขวาของตัวเอง ปลายไม้พายแตะเข้าที่เรือสำปั้นแห่งความมืด เสียงกระแทกดังขึ้นอย่างแรงทันทีที่สัมผัส!

เสียงนั้นใสกังวานไปทั่วท้องฟ้า ส่งให้พื้นดินสั่นสะท้าน ดาวอังคารสะเทือน กระแสพลังกระเพื่อมออกสู่ห้วงอวกาศภายนอก เสียงพึมพำแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินกระจายไปในห้วงมิติเวลาและอวกาศ ภาพนี้ฉายให้เห็นบนหน้าจอทั่วสหพันธรัฐ

ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก!

เสียงที่เกิดจากการกระทบกันของไม้พายและเรือสำปั้น สะท้อนทั่วอวกาศเหมือนเสียงระฆังกังวานที่ปลุกความรู้สึกบางอย่างในใจของผู้ชมทั่วสหพันธรัฐให้ตื่นขึ้น เสียงนั้นก้องสะท้อนอยู่ในหัวของทุกคน รวมถึงศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่กระอักเลือดออกมาอีกครั้งและถอยร่นไปในทันที การคาดเดาของเขากลายเป็นความจริงขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างปะติดปะต่อเข้าด้วยกันจนกลายเป็นภาพสมบูรณ์ในที่สุด ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาในจิตใจ ชายชราจมอยู่ในความไม่อยากเชื่อจนแทบสติหลุด เขาอุทานเสียงดัง

“บุตรแห่งความมืด!”

เสียงของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเต็มไปด้วยความกังขา กดทับโดยความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ ดูเหมือนว่าเขาจะเคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับสำนักแห่งความมืดจากบันทึกมากมายในตระกูลไม่รู้สิ้นมาก่อน สำนักแห่งความมืดตั้งอยู่เมื่อนานนมมาแล้ว ขณะยังเรืองอำนาจนั้น สำนักได้รับอำนาจจากเต๋าสวรรค์และถือเป็นขั้วอำนาจที่น่ากลัวที่สุด ข้อมูลที่เขาเคยอ่านเจอมานั้นตราตรึงอยู่ในความคิดจนยากจะลบเลือน!

เฟิ่งชิวหรันเองก็ตกใจเช่นกัน ร่างของนางสั่นสะท้าน ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงและเจ้าผินฟางผู้เป็นบิดาก็ประสบกับสภาวะอารมณ์เดียวกัน!

อีกบุคคลหนึ่งที่ผงะด้วยความตกใจไม่แพ้กัน คือผู้ที่กำลังกำบังกายอยู่ในความว่างเปล่า…จื่อเยว่นั่นเอง!

เป็นเพราะ…รูปลักษณ์ในตอนนี้ของหวังเป่าเล่อ ทั้งชุดคลุมสีดำ เรือสำปั้นแห่งความมืด ไม้พายตะเกียง และเปลวไฟสีดำที่ซัดสาดออกจากตัว ทำให้เขาดูเหมือนความตายในร่างคน!

ปฏิกิริยาของหวังเป่าเล่อที่มีต่ออาการตกใจขนหัวลุกของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั้นประหลาดมาก เขาไม่ได้เข้าโจมตีในทันที หากแต่เงยหน้าขึ้นมองผ่านชุดคลุมที่ปิดบังใบหน้า ไปยัง…หมู่ดวงดาว!

มีใบหน้าเพียงครึ่งเดียวของเขาเท่านั้นที่เผยลอดชุดคลุมออกมา ดวงตาของชายหนุ่มยังคงถูกบดบังไว้ไม่มีผู้ใดเห็น ไม่มีใครทราบว่าเขากำลังมองไปที่สิ่งใด

“เป็นดาวพลูโตเองหรอกหรือ…” เขาหลับตาลงและพึมพำเสียงแผ่วจนมีเพียงตนเองที่ได้ยิน ความรู้สึกหนึ่งฟาดเข้ามาในจิตใจทันทีที่มือกำไปบนไม้พายตะเกียง และวัตถุเวทแห่งความมืดอยู่ประจำตำแหน่งครบองค์สมบูรณ์ ตอนนั้นเองชายหนุ่มเหมือนจะหมดสิ้นซึ่งความรู้สึกใดๆ ไม่มีทั้งความยินดี ไม่มีทั้งความโกรธเกรี้ยว ไม่มีแม้กระทั่งความเศร้าสร้อย เขาไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้นต่อชีวิต และไม่สนใจแม้ความตาย

ความว่างเปล่าในจิตใจนั้นทั้งน่ากลัวและง่ายดายที่จะถูกครอบงำ ราวกับเป็นแพน้อยที่ลอยอย่างไร้ทิศทางในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ทำได้เพียงพัดพาไปตามกระแสน้ำ เคราะห์ดีที่…ในตอนนั้นเอง มีบางสิ่งส่งกระแสพลังออกมาจากดาวพลูโต บางสิ่งที่เปรียบเสมือนประภาคาร หรือไม่ก็สมอเรือ ที่คอยดึงเขาเอาไว้ให้หันหน้าไปหาแสงสว่าง

“มันคือเสียงเพรียก…” หวังเป่าเล่อกระซิบกับตนเอง หากเป็นยามปกติ ตัวเขาคงไม่รับรู้สึกเสียงเพรียกนี้ แต่ทันทีที่วัตถุเวทแห่งความมืดถือกำเนิดขึ้นโดยสมบูรณ์แบบ ชุดคลุม เรือสำปั้น และไม้พายตะเกียงที่ประสานพลังเข้าด้วยกัน ทำให้ชายหนุ่มได้ยินเสียงปริศนานี้!

มีบางสิ่งซ่อนอยู่ที่ดาวพลูโต บางสิ่งที่สำคัญยิ่ง สิ่งนั้นเก่าแก่มากเสียจนคะเนไม่ได้ ราวกับมีอยู่มานานแสนนานชั่วกัปชั่วกัลป์

หวังเป่าเล่อเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหายใจเข้าลึกและหันกลับมามองภาพเบื้องหน้าดังเดิม ดวงตาของเขามองไปที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันผู้ที่ยังคงพยายามเรียกสติตนเองจากอาการตกใจ และพยายามถอยหนีออกจากหวังเป่าเล่อ ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ลงช้าๆ มือขวาที่ถือไม้พายตะเกียงอยู่ค่อยๆ ยกขึ้น ก่อนตกลงมาขณะชี้ไปยังศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!

“ดวงวิญญาณ จงออกมา!”

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกู่ร้องด้วยความตกใจในทันที ความรู้สึกถึงภัยอันตรายทำให้เขาสลัดความคิดทุกอย่างออกจากหัว ใบหน้าบนร่างระเบิดออกมาพร้อมๆ กัน เปลี่ยนสภาพไปเป็นพลังงานล้นเหลือที่เข้าครอบงำอากาศโดยรอบ มือของเขาตั้งผนึกรวดเร็วจนเห็นเป็นภาพพร่าเลือน ขณะปล่อยทุกเคล็ดเวทที่ตนเองรู้ออกมา ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยอมผลาญพลังชีวิตของตนเพื่อให้ได้มาซึ่งพลัง แต่ไม่ใช่เอาไว้ต่อสู้…หากแต่เป็นการหลบหนี!

สัญชาตญาณที่ลึกที่สุดของชายชราบอกว่าเขาไม่ควรสู้กลับ แต่ควรจะหนีไปให้ไกลแสนไกล!

กระนั้น…ก็ยังไม่มีประโยชน์!

กระแสเสียงของหวังเป่าเล่อกระเพื่อมไปในอากาศ ใบหน้าของชายร่างหนาปรากฏขึ้นบนเรือสำปั้น ใบหน้าของราชครูปรากฏขึ้นบนชุดคลุม และโครงร่างของเด็กชายลอยออกจากตะเกียง วิญญาณวุธทั้งสามหันไปมองศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ก่อนเริ่มขับขานบทเพลงแห่งวิญญาณ!

“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”

“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”

“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”

บทที่ 719 วัตถุเวทแห่งความมืดถือกำเนิด!
หวังเป่าเล่อผุดลุกขึ้นยืนขณะเอื้อนเอ่ย ชายหนุ่มกระโจนก้าวเดียวเข้าไปในความว่างเปล่าอันมืดมิดและอันตรธานหายไป ท้องฟ้าและพื้นดินของโลกภายนอกแปรเปลี่ยนโดยฉับพลัน ลมพายุพัดโหมกรีดร้อง หมู่เมฆหมุนวนถอยกลับ หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เหนือนครอาวุธเทพใหม่!

ชายหนุ่มไม่ได้เรียกชุดเกราะจักรพรรดิออกมา ไม่เรียกแม้กระทั่งดวงตาปีศาจ ไม่แม้แต่จะใช้เคล็ดเวทใดๆ เพียงแต่ลอยอยู่บนอากาศด้วยสีหน้าสงบนิ่งเยือกเย็นเท่านั้น สิ่งเดียวที่แตกต่างไปจากยามปกติ…คือเปลวไฟสีดำที่โชติช่วงอยู่ในดวงตาของชายหนุ่ม!

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่ปลดปล่อยตนเองออกจากสถานการณ์อันตรายก่อนหน้านี้ได้ กลืนกินเลือดเนื้อของหุ่นเชิดผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นนับไม่ถ้วนเข้าไป และกลับมามีสภาพร่างกายที่ยอดเยี่ยมจนดียิ่งกว่าเดิม กลับผงะถอยหลังไปเมื่อเห็นเปลวไฟสีดำนั้น!

พลังที่ร่างของหวังเป่าเล่อปล่อยออกมาทำให้ชายชรารู้สึกประหลาดเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มไม่มีชุดเกราะจักรพรรดิ ไม่มีดวงตาปีศาจอยู่เบื้องหลัง พลังปราณก็อยู่ที่ขั้นจุติวิญญาณ ทว่า…หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรง พร้อมด้วยเปลวไฟสีดำที่โชติช่วงอยู่ในดวงตา กลับทำให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันรู้สึกได้ถึงอันตรายร้ายแรงที่กำลังจะมาเยือน เลือดในกายของชายชราเดือดพล่านปั่นป่วน ร่างกายกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว พาลสั่นสะท้านบอกเขาว่าไม่มีทางเลย…ที่เขาจะเอาชนะชายตรงหน้าได้!

เมื่อไม่มีศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันคอยเสริมกำลัง การต่อสู้บนสมรภูมิก็กลับมาสูสีคู่คี่กันอีกครั้ง การเตรียมตัวของกองทัพดาวอังคารและการโต้กลับอย่างแข็งแกร่งก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่การแปรพักตร์ของผู้ฝึกตนฝ่ายหนึ่งจากสำนักวังเต๋าไพศาลและมาช่วยผู้ฝึกตนบนดาวอังคารก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาเสมอกัน ฝ่ายที่แปรพักตร์นำโดยตู้กูหลินนั่นเอง พวกเขาร่วมสู้กับสหพันธรัฐ และเริ่มโจมตีหุ่นเชิดผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น

ความช่วยเหลือที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว และคำพูดที่ฝ่ายของตู้กูหลินประกาศต่อผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลมีผลกระทบต่อจิตใจของพวกเขามากเช่นกัน ความเหนื่อยล้าจากการสู้รบ ทำให้พวกเขาเริ่มสงสัยในการกระทำของตนเอง การปรากฏตัวของเฟิ่งชิวหรันและคำบัญชาการที่ตามมาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันและเมี่ยเลี่ยจื่อ ทำให้ทุกคนเริ่มสองจิตสองใจ…แม้จะไม่เปลี่ยนข้าง แต่ก็เริ่มถอยร่นไปโดยสัญชาตญาณ และเลือกที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้แทน

ผู้ฝึกตนชั้นนำของสหพันธรัฐ รวมถึงเจ้านครดาวอังคาร หลี่ซิงเหวิน และต้วนมู่ฉี เฝ้าสังเกตการณ์การต่อสู้อย่างดุเดือดผ่านอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร ตอนนี้ทุกคนสังเกตเห็น…อีกการต่อสู้หนึ่งที่กำลังอุบัติขึ้นบนท้องฟ้าเหนือนครอาวุธเทพใหม่แล้ว!

ทุกคนเห็นหวังเป่าเล่อพุ่งเข้าปะทะศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เห็นความพยายามที่ไร้ผลของร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ เห็นศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่แหกกรงขังออกมาได้สำเร็จและร่างใหม่ของเขาที่แข็งแกร่งกว่าเดิม รวมถึงวินาทีที่…ร่างจริงของหวังเป่าเล่อปราฏตัวขึ้น!

การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อเป็นห้วงเวลาชี้เป็นชี้ตายของสงครามในครั้งนี้ การต่อสู่ระหว่างชายหนุ่มและศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันคือการต่อสู้นัดที่สำคัญที่สุด หลี่ซิงเหวิน ต้วนมู่ฉี และเจ้านครดาวอังคารมองเห็นทุกอย่างผ่านอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร ในตอนนั้นเอง…ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็เริ่มเปิดฉากโจมตี!

ความรู้สึกประหลาดที่หวังเป่าเล่อมอบให้เขา ทำให้ความหวาดกลัวถึงขีดสุดก่อตัวขึ้นในจิตใจ ส่งให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเริ่มใจเย็นไม่ลง เขารอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แรงสังหารเข้ากัดกินดวงตา ขณะที่ร่างพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ ใบหน้าทั้งหมดที่ปกคลุมร่างกายส่งเสียงกู่ร้องออกมาพร้อมๆ กัน พลังที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันปล่อยออกมานั้นพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า ผ่านขีดจำกัดของขั้นเชื่อมวิญญาณไปในที่สุด

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเปรียบเสมือนคลื่นยักษ์ที่โถมเข้าหาแพน้อยกลางทะเล เขาตั้งใจจะทำลายหวังเป่าเล่อให้สิ้นซาก ไม่เหลือไว้แม้กระทั่งร่างกายและวิญญาณให้ดูต่างหน้า!

ขณะที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ เปลวไฟสีดำในดวงตาของชายหนุ่มก็สั่นระริก เขาดูไม่ยี่หระกับอันตรายที่อยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย แต่กลับยกมือขวาขึ้นชี้นิ้วลงไปที่ผืนดินแทน!

“เรือสำปั้นแห่งความมืด เข้าประจำที่!”

พื้นดินสั่นสะเทือนเมื่อสิ้นสุดคำพูด หมอกสีดำพวยพุ่งออกจากใต้ดินรอบกายชายหนุ่ม กระจายขึ้นไปบนผืนฟ้าอย่างไม่หยุดยั้ง

หมอกสีดำเหล่านี้ปล่อยพลังงานรุนแรงออกมา เข้าห้อมล้อมร่างของหวังเป่าเล่อเอาไว้จนมิด เกราะกำบังปรากฏขึ้นเพื่อกันศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่ให้ทะลวงเข้ามาได้ สีหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ก่อนที่จะทันได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บางสิ่งก็ทำให้เขาต้องก้มลงไปมองที่พื้นเบื้องล่างเสียก่อน

พื้นดินดาวอังคารสั่นสะเทือน ผู้ที่มีพลังปราณสูงพอจนสามารถปล่อยจิตสัมผัสวิญญาณออกไปสำรวจ โดยมองข้ามพลังงานที่วัตถุเวทแห่งความมืดปล่อยออกมา จะเห็นได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ที่ใต้ดิน สิ่งที่ถูกฝังอยู่ลึกลงไปในดินสีแดงของดาวอังคารใต้นครอาวุธเทพใหม่ คือวัตถุเวทขนาดยักษ์!

วัตถุเวทนั้นหน้าตาเหมือนเรือสำปั้นที่ดูเก่าแก่และอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ กระนั้นก็ยังมองเป็นรูปเป็นร่างอยู่ หากพินิจดูใกล้ๆ อาจสัมผัสได้ว่าเรือสำปั้นนี้อายุมากเพียงใด แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือพลังอันแข็งแกร่งที่ตัวเรือปล่อยออกมา

เรือสำปั้นสั่นไหวจนทำให้เกิดแผ่นดินไหวในนครใหม่และพื้นที่โดยรอบเป็นบริเวณกว้าง หมอกสีดำยังคงพวยพุ่งขึ้นจากใต้พื้นดินไม่ขาดสายและมุ่งหน้าขึ้นสู่สวรรค์เบื้องบน จำนวนของมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

ดูราวกับว่า…เรือสำปั้นนั้นหมายมั่นจะทำลายพื้นดินให้แหลกสลายลงเพื่อโผล่ขึ้นมา และกลับไปสู่ห้วงจักรวาลไพศาลที่มันจากมาให้ได้!

“นั่นมัน…” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่เห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ที่ใต้ดิน แต่ก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล หัวใจของเขาเต้นระส่ำอยู่ในอก ความไม่อยากเชื่อเข้าจับจองดวงตาทั้งสองข้าง ในตอนนั้นเอง…พื้นดินเบื้องล่างก็ระเบิดราวกับโดนสายฟ้าฟาด ส่งเสียงดังลั่นกังวานไปในอากาศ

พื้นดินรอบนครอาวุธเทพใหม่ยุบตัวลง เรือสำปั้นแยกส่วนตนเองออก กลายร่างเป็นพลังปราณมืดเข้มข้นที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนทะเลหมอกสีดำ พลังปราณมืดวิ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างใต้เท้าของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเอง หมอกมืดก็กลายสภาพเป็น…เรือสำปั้นสีดำในที่สุด!

นี่คือ…หนึ่งในสมบัติเวทที่ไม่เคยห่างกายบุตรแห่งความมืด…เรือสำปั้นแห่งความมืดนั่นเอง!

การปรากฏตัวของมันทำให้ทั้งท้องฟ้าและพื้นดิน รวมถึงดาวอังคารทั้งดวงสั่นสะเทือน ห้วงอวกาศกระเพื่อมเป็นระรอก กระแสพลังปราณระเบิดพวยพุ่งสู่โลกภายนอก พร้อมพลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน แม้กระทั่งคนที่แข็งแกร่งอย่างศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังรู้สึกตกใจกลัว เขากู่ร้องขณะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะตรึงที่มั่นของตนเองไว้ แต่อำนาจอันยิ่งใหญ่ของเรือสำปั้นก็ทำให้ชายชราต้องล่าถอยไปในที่สุด

พลังของเรือสำปั้นแข็งแกร่งจนราวกับเป็นกำปั้นที่ทุบทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าและทุกชีวิตให้แหลกเป็นผุยผงได้!

ไม่ว่าจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นเรือสำปั้นที่กำลังก่อรูปร่างขึ้นใต้ฝ่าเท้าของหวังเป่าเล่อ ทุกสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของมัน พลังอำนาจของสมบัติเวทนี้ทำให้ผู้ฝึกคนจากทั้งสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลที่เลือกไม่สู้ต่อ ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ เช่นกัน!

แม้กระทั่งหุ่นเชิดจากตระกูลไม่รู้สิ้นยังสั่นไหว รับรู้ได้ถึงอำนาจที่กดทับลงบนกายของพวกมัน จนเริ่มแสดงพฤติกรรมแปลกประหลาด อำนาจที่ควบคุมพวกมันอยู่เริ่มอ่อนกำลังลง เมี่ยเลี่ยจื่อและผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน คำสาปที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันสาปไว้เพื่อล้างสมองเมี่ยเลี่ยจื่ออ่อนแอลงทันทีที่เรือสำปั้นแห่งความมืดปรากฏขึ้น ในตอนนั้นเองประกายความแจ่มแจ้งก็กลับมาปรากฏในดวงตาของเขาอีกครั้ง!

ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากผู้ที่กำลังสังเกตการณ์ทุกสิ่งผ่านอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารอย่างเจ้านครดาวอังคาร หลี่ซิงเหวินจำเรือสำปั้นแห่งความมืดได้ในทันทีที่มันเผยโฉมสู่สาธรณชน มันคือ…อาวุธเทพลึกลับบนดาวอังคารนั่นเอง!

“ข้าว่าแล้ว! เป่าเล่อเป็นผู้ครอบครองอาวุธเวทนี้มาตลอด!” ความดีใจและความตื่นเต้นเอ่อล้นดวงตาของหลี่ซิงเหวิน ตอนนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงความหวังเป็นครั้งแรกตลอดสงครามที่ยืดเยื้อนี้!

ต้วนมู่ฉี หลี่ซิงเหวิน และเจ้านครดาวอังคารต่างพากันตื่นเต้นดีใจถ้วนหน้า แน่นอนทุกคนเดาได้ว่าเรือสำปั้นนี้คืออาวุธเทพแห่งดาวอังคาร แต่ผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ พวกเขากลับอุทานด้วยความตกใจ

“เรือสำปั้นประจำสำนักแห่งความมืด!” ผู้ที่อุทานนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก…ผู้ที่เป็นหัวใจหลักของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การวิญญาณแห่งสหพันธรัฐ ผู้ทำวิจัยเกี่ยวกับสำนักแห่งความมืด เจ้าผินฟางนั่นเอง!

แต่พวกเขาก็ไม่มีเวลาซักถามเจ้าผินฟางเพิ่มเติมว่าอีกฝ่ายหมายถึงสิ่งใด หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีมองหน้ากันและตัดสินใจได้ในทันที หลี่ซิงเหวินสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ โดยไม่ลังเลเพื่อปลุกอำนาจของวงแหวนปราณระบบสุริยะที่กำลังเดินหน้าทำงานต่ออย่างยากลำบาก แต่หลี่ซิงเหวินก็เชื่อมต่อพลังของมันเข้ากับพลังของอภิมหาวงแหวนปราณแห่งดาวอังคาร เพื่อถ่ายทอดภาพการต่อสู้นี้ไปทั่วสหพันธรัฐ!

สหพันธรัฐกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายจนอาจถึงคราวล่มสลาย และกำลังต้องการวีรบุรุษ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทั้งอาณาจักรต้องการที่สุดในเวลานี้ คือความหวัง!

หวังเป่าเล่อคือวีรบุรุษที่สหพันธรัฐต้องการเป็นอย่างยิ่งในเวลานี้ เขาคือความหวังเพียงหนึ่งเดียว และชายหนุ่มตรงหน้าก็กำลังต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตของทุกคนเอาไว้!

ไม่ว่าผลจะออกมาว่าแพ้หรือชนะ… การต่อสู้นี้ต้องการสักขีพยานจากทุกภาคส่วนในอาณาจักร ถือเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเห็นด้วยตาของตนเอง!

ด้วยเหตุนี้ ในวินาทีถัดมา ทุกหน้าจอบนโลก ดาวอังคาร และที่อื่นๆ ในระบบสุริยะที่มีผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐอาศัยอยู่ จึงถ่ายทอดฉากการต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์ขึ้น!

ดวงตาทุกคู่กำลังจับจ้องภาพที่เกิดขึ้นเหนือท้องฟ้าของนครอาวุธเทพใหม่ผ่านหน้าจอมากมายหลายล้านจอ ไม่ว่าจะเป็นในบ้านพักอาศัย บนถนนหนทาง ทั้งในในและนอกตึกรามต่างๆ!

เสียงอุทานด้วยความตกใจดังระงมขึ้นทั่วโลก ขณะที่เสียงเคร่งขรึมจริงจังของหลี่ซิงเหวินประกาศก้องไปทั้งอาณาจักร

“ท่านผู้นี้คือเสนาบดีแห่งสหพันธรัฐ เจ้าเมืองนครอาวุธเทพใหม่ประจำดาวอังคาร ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้บัญชาการแห่งดวงจันทร์ และผู้ฝึกตนที่ทรงพลังที่สุดในสหพันธรัฐ!

“นามของเขาก็คือ…หวังเป่าเล่อ!

“บทสรุปของการต่อสู้นี้ จะเป็นตัวชี้ชะตาอนาคตของสหพันธรัฐและอารยธรรมของเรา!”

ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมทั่วทั้งระบบสุริยะในชั่วอึดใจ ก่อนที่ทั้งอาณาจักรจะกึกก้องด้วยเสียงอุทานและเสียงตะโกนร้อง ผู้คนมากมายทะยานออกจากที่พักของตนเอง บ้างก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าจอที่อยู่เหนือศีรษะ บ้างก็กำลังตกใจอย่างถึงขีดสุด บ้างก็กำลังตัวสั่นด้วยความกลัวกระวนกระวาย…

ผู้คนทั้งสหพันธรัฐและทั้งโลกรวมตัวกันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทุกถนนและทุกตรอกซอกซอย… ในห้วงเวลานั้น เป็นห้วงเวลาของหวังเป่าเล่ออย่างแท้จริง!

บิดามารดาของเขา อาจารย์ที่เคยสั่งสอนกันมา สหายมากมาย รวมถึงตู้หมินและกระต่ายน้อย ศิษย์น้องร่วมสำนักทั้งชายหญิงจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนกระจัดกระจายอยู่ทั่วสหพันธรัฐในเวลานั้น แต่ก็มองไปที่ดาวอังคารอย่างพร้อมเพรียงกัน!

“เป่าเล่อ!”

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ!”

“เจ้าอ้วน…”

“พี่เป่าเล่อ …”

ดวงตาทุกคู่ในสหพันธรัฐมองชายหนุ่มไม่กะพริบตา ชายหนุ่มผู้ซึ่งยืนเหยียบเรือสำปั้นแห่งความมืด โอบล้อมด้วยพลังปราณมืดหนาแน่นบนท้องฟ้าเหนือนครอาวุธเทพใหม่ ผู้ที่กำลังสำแดงอำนาจให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันต้องล่าถอย ยืนอย่างมั่นคงอยู่ตรงนั้นเหมือนผู้ที่แยกตัวออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง เขากางกั้นหยินและหยาง รวมถึงชีวิตและความตาย… เปลวไฟสีดำลุกโชติช่วงในดวงตาอีกครั้ง สีหน้าของชายหนุ่มสงบราบเรียบ เขายกมือขวาขึ้นและชี้ลงไปที่พื้นดินเบื้องล่างอีกครั้ง!

“ชุดคลุมแห่งความมืด เข้าประจำที่!”

บทที่ 718 ข้าจะไม่ซ่อมอีกต่อไปแล้ว!
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันลอยอยู่กลางอากาศ กำลังจะเปิดฉากโจมตี เขาเงยหน้าขึ้นในตอนที่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อพุ่งตัวออกมาจากถ้ำ โยวหรันมองไปยังทิศที่นครอาวุธเทพใหม่ตั้งอยู่ ด้วยพลังปราณที่มี ทำให้ชายชราสัมผัสได้ในทันทีว่ามีพลังงานที่คุ้ยเคยพวยพุ่งออกมาจากใต้ดิน

“ไอ้หวังเป่าเล่อ!” โยวหรันหรี่ตา ก่อนหน้านี้เขาหาร่องรอยของหวังเป่าเล่อไม่เจอ ไม่ว่าจะตั้งใจหาเพียงใด จึงสรุปได้ว่ามีสิ่งลึกลับบางอย่างซ่อนอยู่ในดาวเคราะห์ดวงนี้ที่ตัวเขาเองก็ไม่ทราบว่าคือสิ่งใด

“แล้วจะอย่างไรเล่า…ไม่เห็นจะต้องสนใจ!” ประกายเย็นเยียบฉายวาบเข้ามาในดวงตาของโยวหรัน ภาพที่จื่อเยว่ปลูกต้นไม้มากมายบนดาวศุกร์เพียงแค่โบกมือ และปลุกกองทัพหุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้นกว่าแสนตนผุดขึ้นมาในใจของเขา ภาพนี้ติดแน่นอยู่ในสมองของโยวหรัน เขาสรุปได้ว่าจื่อเยว่ต้องมีปราณระดับดาวพระเคราะห์เป็นอย่างน้อย เมื่อตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ โยวหรันก็ยิ้มเยาะออกมา ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อมุ่งหน้าไปยังนครอาวุธเทพใหม่ทันที!

ขณะที่โยวหรันพุ่งเข้าหานครใหม่นั้น ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏขึ้นบนอากาศเหนือนคร แต่ด้วยความที่พลังปราณยังไม่แก่กล้าพอ เขาจึงไม่สามารถเรียกเรือสำปั้น ชุดคลุม และไม้พายตะเกียงแห่งความมืดออกมาได้เป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากนี้ร่างอวตารของเขายังดูโปร่งแสงอีกด้วย

พลังการต่อสู้ของร่างอวตารเทียบกับของตัวจริงไม่ได้ จึงทำให้ชายหนุ่มไม่ต้องการเปิดฉากต่อสู้ในตอนนี้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก ทันทีที่ร่างอวตารของเขาปรากฏขึ้นเหนือนคร ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงพลังหนึ่งที่รุนแรงมาก พลังนั้นกำลังพุ่งมาหาเขาจากนครดาวอังคารหลัก ประกายเย็นเยียบฉายวาบเข้ามาในดวงตาของหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขายกคันธนูสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ในมือซ้ายขึ้นมา มือขวาดึงสายคันธนูมาด้านหลัง เปลี่ยนสภาพคันธนูให้กลมกลึงเหมือนดวงจันทร์เต็มดวง เขาเล็งไปยังร่างที่กำลังพุ่งมาหาตน ก่อนจะปล่อยสายในทันที

อากาศรอบตัวชายหนุ่มสั่นไหวก่อนจะเริ่มแตกออกเป็นชิ้นๆ ในหลายๆ จุด แสงสว่างเจิดจ้ารวมตัวกันรอบคันธนู ก่อนพุ่งออกไปตามแรงของสายชัก แสงเจิดจ้าเปลี่ยนสภาพเป็นหอกที่พุ่งตัดอากาศไปในระยะไกล ปลายหอกคมกริบจนดูเหมือนจะเสียบทะลุทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้!

พลังที่สะสมอยู่ในหอกรุนแรงอย่างเหลือเชื่อ จนทำให้ทั้งผืนฟ้าและพื้นดินสั่นไหว ราวกับทุกสิ่งที่ขวางหน้าจะถูกทำลายให้ราบคาบเป็นหน้ากลองไม่มีแม้แต่โอกาสจะสู้!

เหล่าผู้ฝึกตนจากนครอาวุธเทพใหม่พากันชะงักงัน แต่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อไม่หยุดเพียงเท่านั้น!

ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายวาบ เขาง้างคันธนูอีกครั้งเพื่อปล่อยหอกออกมาครบสิบเอ็ดเล่มในครั้งเดียว!

แรงระเบิดราวสายฟ้าฟาดซัดกระหน่ำลงมาไม่หยุดยั้ง อากาศรอบกายเริ่มปริแตก ท้องฟ้าโดยรอบทำท่าเหมือนจะถล่มลงมา พลังอำนาจของคันธนูสีดำยิ่งใหญ่มากเสียจนแม้กระทั่งสวรรค์ก็ยังทานทนไม่ไหว!

นั่นไม่ใช่การกล่าวเกินจริงแต่อย่างใด คันธนูสีดำเป็นถึงอาวุธเทพระดับเก้า แม้ตอนที่หวังเป่าเล่อไปพบเข้า คันธนูนี้จะอยู่ในสภาพเสียหาย แต่พลังของมันก็ฟื้นฟูกลับมาเต็มที่เหมือนเดิมเมื่อชายหนุ่มซ่อมแซมมันจนเสร็จ ทั้งยังยังใส่ชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวและแร่อัคคีชั้นสูงสุดเข้าไปในนั้นเพื่อเพิ่มพลังการโจมตีด้วย นอกจากนี้ชายหนุ่มยังใช้อาวุธเวทแห่งความมืดเข้ามาผสมรวมในการซ่อมแซมครั้งนี้ ส่งผลให้คันธนูสีดำทรงพลังกว่าที่เคยเป็นมา!

ด้วยความสามารถในการหลอมอาวุธของหวังเป่าเล่อ พลังของคันธนูในตอนนี้เพิ่มสูงขึ้นกว่าตอนก่อนซ่อมเสียอีก… นอกจากนี้ตัวเขาก็ไม่ได้ใช้คันธนูโจมตีในวิถีปกติ แต่มุ่งหน้าปล่อยพลังที่รุนแรงที่สุดออกมาโดยไม่สนใจว่าตัวอาวุธเวทจะได้รับความเสียหาย พลังที่ส่งออกมานั้นเกินหน้าสิ่งที่คันธนูทำได้ในยามปกติไปมาก และหอกสิบเอ็ดเล่ม…ก็ถือเป็นขีดจำกัดของมันแล้ว!

ทันทีที่หอกสิบเอ็ดเล่มพุ่งออกจากคันธนู อาวุธเวทระดับเก้าก็สลายกลายเป็นผุยผงอยู่ในมือของหวังเป่าเล่อ

เส้นรุ้งสิบเอ็ดสายพุ่งไปข้างหน้าเหมือนสายฟ้า และเข้าหลอมรวมกันกลายเป็นทะเลแสงที่ส่องสว่างเจิดจ้าผ่าอากาศไป ลำแสงนั้นดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปยังพิกัดที่เล็งเอาไว้และอัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้างรุนแรง เป้าหมายของมันก็คือ…ผู้ที่กำลังพุ่งเข้าหามันด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั่นเอง!

หอกทั้งสิบเอ็ดเล่มปรากฏขึ้นต่อหน้าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันในทันที ชายชราหรี่ตา ยกมือขวาของตนขึ้นฟาดไปข้างหน้า ผนึกอักขระโบราณปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา ก่อนขยายขนาดจนกว้างใหญ่ถึงสามร้อยเมตร ผนึกอักขระโบราณพุ่งไปข้างหน้าเข้าปะทะกับหอกทั้งสิบเอ็ดเล่ม

เสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วบริเวณ การโจมตีของลำแสงเหมือนจะถูกหยุดลง แต่กลับมีหมอกสีดำพวยพุ่งออกมาจากหอกแทน หมอกนั้นเข้ากลืนกินผนึกหมายจะทำลายเสียให้สิ้นซากก่อนจางหายไป

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนิ่วหน้าเล็กน้อย รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งซ่อนอยู่ภายใต้ฉากหน้าของหอกทั้งสิบเอ็ดเล่ม พลังของมันปล่อยกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวที่พุ่งเข้าเกาะกุมจิตใจเขาโดยไม่รู้ตัว

แต่ชายชราก็ระบุไม่ได้ว่าพลังนี้คือสิ่งใด และไม่มีเวลาพอที่จะมานั่งวิเคราะห์ เขารีบเคลื่อนย้ายหนีวิถีโจมตีของหอกในทันที และพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ!

“นี่ร่างอวตารมิใช่รึ แปลว่าตัวจริงของเจ้าก็ต้องอยู่แถวนี้!” เสียงของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอาบเคลือบไปความเย็นเยียบและความชิงชัง คำพูดของเขาสะท้อนก้องในอากาศ ชายชราทะยานไปข้างหน้า ร่างกลายเป็นเพียงภาพพร่าเลือน ขณะพุ่งเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อ!

ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อล่าถอยและรีบสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ อย่างรวดเร็ว ศพอสูรร้ายปรากฏขึ้นขนาบข้างชายหนุ่มในทันที ดวงตาของสัตว์ร้ายทั้งสองโชนแสงสีแดงแรงกล้า มันอ้าปากส่งเสียงกู่ร้องทำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนกระโจนเข้าหาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!

เพลิงสีเขียวรายล้อมหุ่นเชิดอสูรเขี้ยวดาราขณะที่พวกมันพุ่งทะยานไปข้างหน้า เพลิงที่สัตว์ร้ายปล่อยออกมานี้แตกต่างจากตอนที่มันมีชีวิตอยู่และไม่ใช่เปลวไฟสีดำ เปลวไฟนี้เกิดจากการรวมตัวกันของเปลวไฟทั้งสองชนิด ผสานอำนาจของทั้งสองเอาไว้ แต่ก็ไม่ใช่ชนิดใดชนิดหนึ่งเช่นกัน กระนั้นพลังของมันก็ไม่มีข้อกังขา อสูรทั้งสองกลายร่างเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ที่กำลังพุ่งเข้าหาเป้าหมาย!

ลูกไฟอสูรทั้งสองพุ่งเข้าหาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันในทันที และโอบล้อมเขาจากทั้งสองด้าน การปะทะที่เกิดขึ้นแทบจะในพริบตาส่งเสียงระเบิดดังกึกก้องไปในอากาศเหมือนฟ้าผ่า การผนึกกำลังกันโจมตีของอสูรทั้งสองทำให้แม้แต่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็ยังตกที่นั่งลำบาก เขาขมวดคิ้ว อสูรเขี้ยวดาราเหล่านี้มีปราณอยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะก่อนจะสิ้นชีพ แปลว่าร่างกายของมันแข็งแกร่งเป็นอย่างมากจนไม่อาจเอาชนะได้ง่ายๆ

สิ่งที่โยวหรันต้องระวังไม่ได้มีเพียงอสูรทั้งสองเท่านั้น เขาอาจหลบการโจมตีนี้ไปได้โดยการเคลื่อนย้ายหนี เพื่อเริ่มไล่ล่าหวังเป่าเล่ออีกครั้ง แต่ขณะที่เขากำลังยกมือขวาขึ้นโบกเพื่อปลุกพลังเคลื่อนย้าย หวังเป่าเล่อก็สร้างผนึกฝ่ามืออีกครั้ง หุ่นเชิดอสูรทั้งสองคำรามก้อง เปลวไฟสีเขียวพวยพุ่งออกจากร่างกายของพวกมัน อสูรทั้งสองเริ่มใช้ร่างกายของตนเองเป็นเชื้อเพลิง เปลวไฟเริ่มพัดโหมขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นทะเลเพลิงที่ลามไปทั่วพื้นที่!

ลูกไฟทั้งสองรวมตัวเข้าด้วยกัน สร้างทะเลเพลิงให้อุบัติขึ้นทั่วบริเวณ ปิดตายพื้นที่เอาไว้เพื่อกันไม่ให้ศัตรูเคลื่อนย้ายออกไปได้!

ทุกสิ่งเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา เมื่อเปลวเพลิงระเบิดออกจากร่างของอสูรร้าย ประกายแสงก็สว่างวาบขึ้นในแววตาของร่างอวตารขณะที่สร้างผนึกฝ่ามืออีกครั้ง เปลวไฟสีดำพุ่งออกจากร่าง กระจายตัวออกไปข้างนอกและรวมตัวกับทะเลเพลิงสีเขียว กักขังศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเอาไว้ภายใน!

แต่ไม่จบเพียงเท่านั้น ขณะที่เพลิงกำลังโอบล้อมศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอยู่นั้นเอง เสียงระเบิดดังต่ำก็สนั่นขึ้น ส่งให้ทะเลเพลิงเปลี่ยนสภาพไปอีกครั้ง!

“กักขัง!”

เมื่อสิ้นสุดคำสั่ง หอกทั้งสิบเอ็ดเล่มที่ถูกผนึกอักขระหยุดไว้ก่อนหน้านี้ก็ปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าออกมา พวกมันแหวกทำลายผนึกและพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ปลดปล่อยความเร็วกะทันหัน จนมาปรากฏอยู่ต่อหน้าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันในฉับพลัน หอกทั้งสิบเอ็ดเล่มลอยอยู่เหนือทะเลเพลิงกระจายตัวเป็นวงกลมล้อมรอบศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเอาไว้ จากนั้นฝูงหอกก็พุ่งเข้าเสียบ ไม่ต่างจากดาบคมที่แทงทะลุกรงขังเหล็ก การโจมตีแต่ละครั้งมาพร้อมเสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่นปะทุจากทะเลไฟ!

ทั้งหมดนี้คือแผนการที่หวังเป่าเล่อวางไว้ เขารู้ว่าร่างอวตารของตนต่อกรกับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่ได้แน่ๆ การเริ่มเปิดฉากโจมตีครั้งนี้จึงมีเพียงเป้าหมายเดียว คือการสละร่างอวตารของเขาเพื่อกักขังโยวหรันเอาไว้ และซื้อเวลาให้ตนเองเพิ่มขึ้น!

หอกทั้งสิบเอ็ดพุ่งเข้าใส่เป้าหมาย เริ่มหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง พวกมันปลดปล่อยพลังถึงขีดสุดออกมา เพื่อแปรเปลี่ยนพลังนั้นให้เป็นพลังกดดันที่ส่งให้ทะเลเพลิงเดือดพล่าน เมื่ออุณหภูมิพุ่งขึ้นถึงจุดที่สูงจนวัดไม่ได้ อากาศโดยรอบก็เริ่มบิดเบี้ยวตามความร้อนมหาศาล ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำลังดิ้นทุรนทุรายทรมานด้วยความเจ็บปวดจากทะเลไฟประลัยกัลป์!

หวังเป่าเล่อวางหมากไว้อย่างแยบยล และแผนการนั้นก็เดินหน้าไปอย่างราบรื่น ราบรื่นจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มรู้สึกตกใจที่ทุกอย่างเข้าทางตนเองถึงขนาดนี้ สัญชาตญาณบอกเขาว่ามีบางอย่างไม่ปกติ

ตอนนั้นเองที่แขนขนาดมหึมาพุ่งออกจากทะเลเพลิง และคว้าหอกด้ามหนึ่งเอาไว้ แขนยักษ์นั้นเต็มไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์มากมาย เป็นภาพที่น่าขนลุกยิ่ง แขนยักษ์กระชากอย่างรุนแรงจนหอกสะบั้นลง!

หอกที่โดนทำลายส่งเสียงกึกก้องสะท้อนไปในอากาศ เสียงหัวเราะน่าสยดสยองดังออกมาจากทะเลเพลิง แขนอีกข้างพร้อมศีรษะยักษ์ผุดขึ้นมาจากเปลวไฟทำลายล้าง!

ศีรษะนั้นทั้งดูเหมือนศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน แต่ก็ไม่ใช่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันด้วยเช่นกัน ศีรษะทั้งสองและแขนทั้งสี่ที่ถูกราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีทำลายสิ้นกลับมาสภาพดีดังเดิมแล้ว และดูเหมือนจะแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมเสียด้วย ใบหน้านับไม่ถ้วนปกคลุมทั้งแขนและศีรษะที่โผล่พ้นไฟออกมา เป็นภาพที่น่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง!

“ข้ารู้ว่าคนร้อยเล่ห์อย่างเจ้ามีกลลวงมากมายซ่อนอยู่ ข้าจึงจัดการสังเวยหุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้นไปเสียหมื่นตนก่อนจะมาถึงที่นี่ เพื่อรักษาร่างกายของตัวเองให้กลับมาอยู่ในจุดสูงสุดดังเดิม แถมยังดูเหมือนจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ บัดนี้ข้ามีพลังชีวิตของวิญญาณหมื่นตนอยู่ในกาย แล้วเจ้า…จะล้มข้าลงได้อย่างไรหรือ” เสียงของโยวหรันเต็มไปด้วยความรู้สึกเต็มเปี่ยมของชัยชนะ ความย่ามใจนี้สะท้อนก้องไปทั่วผืนฟ้า เขากระโจนออกจากทะเลเพลิงในทันที หอกทั้งหมดที่เหลือแตกสลายกลายเป็นผุยผง ทะเลเพลิงถูกพัดกระจาย เผยให้เห็นรูปลักษณ์อันน่าพรั่นพรึงของชายชรา!

ในวินาทีนั้นเอง หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งนั่งอยู่ในวัตถุเวทแห่งความมืดก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของชายหนุ่มโชติช่วงด้วยความมุ่งมั่นแรงกล้า

“ดูเหมือนจะไม่มีเวลาซ่อมให้เสร็จเสียแล้ว…เริ่มเลยก็แล้วกัน!”

บทที่ 717 ต้องสู้เท่านั้น!
ดาวอังคารสั่นสะเทือนเมื่อเจ้านครอาณานิคมตะโกนคำสั่งออกไป คลื่นพลังวิญญาณปรากฏขึ้นมาจากอากาศธาตุ ก่อนจะกระจายออกไปในจักรวาลโดยมีดาวอังคารเป็นจุดศูนย์กลาง ดูเหมือนเป็นพายุหมุนรวดเร็วที่จะกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางทางให้สูญสิ้นไป

ด้วยนิสัยแข็งกร้าวและเด็ดขาดของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร แถมยังมีเปลวเพลิงแห่งความดื้อดึงที่เผาไหม้อยู่ในกระดูกของนาง จึงรับประกันได้ว่าการต่อสู้บนดาวอังคารต้องแตกต่างจากดาวศุกร์และดาวพุธอย่างแน่นอน ความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงนี้ลอบเข้าไปถึงตัวศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันโดยไม่ทันตั้งตัว!

ชายชราล่วงรู้ถึงความสามารถอันแปลกประหลาดของวงแหวนปราณระบบสุริยะตั้งแต่ช่วงต้นๆ ของการรุกราน เขาพยายามคิดหาวิธีเอาชนะมันให้ได้ แต่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรุกรานโลกหากไม่ทำลายดวงดาวหลักๆ ที่สนับสนุนวงแหวนปราณระบบสุริยะเอาไว้เสียก่อน

นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขาไปรุกรานดาวศุกร์ และการมาบุกดาวอังคารครั้งนี้ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่คาดคิดว่าดาวอังคารจะปลดปล่อยพลังของวงแหวนปราณระบบสุริยะออกมาในรูปแบบนี้!

สิ่งนี้เปรียบได้กับการเรียกใช้ระบบทำลายตัวเองของวงแหวนปราณระบบสุริยะ ความแตกต่างก็คือ แทนที่จะใช้งานเพียงครั้งเดียว การทำลายนี้จะถูกควบคุมและปลดปล่อยออกมาเป็นระลอก แรงระเบิดที่ปล่อยออกมาแม้จะไม่ได้รุนแรงเท่า แต่วงแหวนปราณก็จะไม่สลายไปในคราวเดียว แต่กระนั้น…พลังของมันก็จะอ่อนแอลง หากศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันมีเวลา เขาก็สามารถล่อให้วงแหวนปราณอ่อนแอลงโดยการสละกองกำลังบางส่วน และควบทะลุวงแหวนปราณระบบสุริยะเข้าไปยังโลกได้

แต่ขณะนี้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังคิดไม่ตก มันคงจะง่ายดายกว่านี้หากไม่ได้มีคำสั่งของจื่อเยว่อยู่ ชายชรานึกถึงคำสั่งของนางให้จับเป็นหวังเป่าเล่อขึ้นมาได้ จากนั้นเขาจึงทอดสายตาไปมองบรรดาหุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้น หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็กัดฟันและยอมละทิ้งความคิดที่จะทำให้วงแหวนปราณอ่อนกำลังลง หากเขาเลือกทำเช่นนั้น ก็จะเป็นการให้เวลาดาวอังคารมากขึ้นที่จะโต้กลับ

“โจมตีเข้าไปด้วยทุกสิ่งที่เจ้ามี!” ประกายเยือกเย็นสะท้อนผ่านดวงตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันขณะที่เขาตะโกนสั่งการ กระบวนเรือบินรบขนาดมหึมาของสำนักวังเต๋าไพศาลแปรขบวนเข้าหาดาวอังคารอย่างรวดเร็วและปลดปล่อยพลังเต็มที่ออกมาทันที กระบวนเรือบินรบเปรียบได้กับลูกศรจำนวนมหาศาลที่พุ่งออกจากแล่ง มุ่งตรงเข้าปะทะแนวจู่โจมแรกของวงแหวนปราณระบบสุริยะในทันที!

เรือบินรบจำนวนหนึ่งพลันสลายไปในพลังการทำลายตัวเองระลอกแรกของวงแหวนปราณระบบสุริยะ ผู้ฝึกตนบนนั้นทั้งหมดตายทันที ร่างกายสลายกลายเป็นฝุ่นผง เรือบินรบอีกมากสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงภายใต้แรงกระแทกและเสียหายไปตามๆ กัน

เรือบินรบของสหพันธรัฐและวัตถุเวทบนดาวอังคารเริ่มโจมตีเช่นกัน การโจมตีของพวกเขาเข้าไปรวมกับคลื่นทำลายล้างจากพลังของวงแหวนปราณ ก่อตัวขึ้นเป็นเกราะกำบังที่ป้องกันไม่ให้บรรดาสำนักวังเต๋าไพศาลเดินหน้าเข้ามาต่อได้

แต่การโจมตีระลอกแรกก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง ขณะที่กองเรือของสำนักวังเต๋าไพศาลยังคงเดินหน้าเข้ามาไม่หยุดยั้ง กองกำลังเรือบินรบสำนักวังเต๋าไพศาลมุ่งหน้าเข้าไปยังดาวอังคาร ในวินาทีนั้น ประกายเยือกเย็นก็สะท้อนขึ้นในแววตาของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร การโจมตีระลอกที่สองและสามถูกปล่อยออกมาตามๆ กัน!

เสียงระเบิดในห้วงอวกาศดังสนั่นดาวอังคาร ลูกบอลแสงส่องประกายเมื่อเรือบินรบของสำนักวังเต๋าไพศาลระเบิด เรือบินรบที่รอดจากการถูกทำลายยังได้รับความเสียหายต่อไป เมื่อการโจมตีระลอกที่สี่กระจายออกไปในจักรวาล เรือบินรบราวร้อยละหกสิบของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็สลายไปหมด!

ผู้ฝึกตนจำนวนมากเสียชีวิตไป ในนั้นมีคนจากสำนักวังเต๋าไพศาลอยู่บ้าง แต่ส่วนมากเป็นหุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้น เรือบินรบทั้งหมดได้รับความเสียหายอย่างหนัก กองเรือของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเล็กลงอย่างมากเมื่อเทียบกับจำนวนก่อนการรุกรานในครั้งนี้

แม้จะดูเหมือนเป็นความสำเร็จ แต่ราคาที่สหพันธรัฐต้องจ่ายก็แพงใช่เล่น วงแหวนปราณระบบสุริยะอ่อนแอลงอย่างมาก พลังของมันลดลงไปมหาศาล กำแพงที่ปกป้องแก่นของสหพันธรัฐบางลงถนัดตา พลังป้องกันก็เสื่อมถอย

ดาวอังคารสูญเสียความสามารถในการใช้วงแหวนปราณระบบสุริยะเพื่อการเคลื่อนย้ายครั้งใหญ่ไปแล้ว การจะเคลื่อนย้ายทุกคนออกไปพร้อมกันเหมือนตอนที่ต่อสู้บนดาวศุกร์เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ทำได้ดีที่สุดแค่การเคลื่อนย้ายเป็นกลุ่มๆ เท่านั้น ด้วยวิธีการต่อสู้เช่นนี้ดาวอังคารจึงหลังชนฝาเข้าไปทุกที

ยากที่จะคาดเดาได้ว่าพวกเขาสูญเสียหรือได้ประโยชน์มากกว่ากันในการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ แต่หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีก็เลือกที่จะสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร พวกเขาไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงแค่จับตามองการรบดำเนินไปเท่านั้น

“เรือบินรบทั้งหลาย ถอยก่อน ล่อให้พวกมันเข้ามา อภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร เตรียมตัว ผู้ฝึกตนดาวอังคาร เตรียมรับคำสั่งข้าให้ดี!” เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารหรี่ตาลงก่อนจะส่งคำสั่งออกไป เรือบินรบสหพันธรัฐที่ปกป้องน่านฟ้าของดาวอังคารอยู่ถอยและหยุดยิงทันที เรือบินรบสำนักวังเต๋าไพศาลรีบรุดหน้าผ่านแนวป้องกันและเข้าไปสู่น่านฟ้าเหนือนครอาณานิคมดาวอังคาร ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลและหุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้นเร่งรุดออกมาจากเรือบินรบเป็นกลุ่มๆ เป้าหมายของพวกเขาก็คือนครอาณานิคมดาวอังคาร!

“สังหารทุกคนบนดาวนี้ แล้วควานหาตัวหวังเป่าเล่อให้พบ!” เรือบินรบที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยืนอยู่นั้นปรากฏขึ้นท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่นบนน่านฟ้าดาวอังคาร เรือบินรบนั้นมีขนาดใหญ่ยักษ์จนแทบจะบดบังท้องฟ้าไปสิ้น เงาสีดำขนาดมหึมาปกคลุมผืนแผ่นดินเอาไว้

ทุกคนภายในนครอาณานิคมดาวอังคารต่างก็ผงะถอยหลังด้วยความตกตะลึง เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าก็เช่นกัน ทุกคนจ้องมองไปยังเรือบินรบขนาดมหึมาที่บดบังท้องฟ้าเอาไว้จนหมด มีความบ้าคลั่งปรากฏขึ้นในแววตาของทุกคนขณะที่พวกเขาสาบานว่าจะสู้จนลมหายใจสุดท้าย

ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่เหลือต่างก็ลังเลใจที่จะทำตามคำสั่งของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ในขณะที่ฝ่ายหุ่นเชิดไร้วิญญาณของตระกูลไม่รู้สิ้นต่างก็รับคำสั่งอย่างเต็มใจ พวกมันพุ่งตัวออกไปอย่างเชื่อฟัง จิตสังหารฉาบเคลือบอยู่ในแววตา ต่างก็พุ่งตัวออกไปทางนครอาณานิคมดาวอังคารเบื้องล่าง

ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลและหุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้นพุ่งลงมาราวกับเป็นพายุที่พัดลงมาจากท้องฟ้า และมุ่งหน้าไปยังเป้าหมาย ตอนนั้นเอง…

“เปิดใช้การปิดกั้นระลอกแรกของอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารเดี๋ยวนี้!” เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารสร้างผนึกฝ่ามืออย่างรวดเร็ว อภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะปล่อยคลื่นพลังกดดันกวาดไปบนท้องฟ้า ชนเข้ากับกองกำลังของศัตรูทันที

คลี่ยนพลังนั้นไม่อันตรายถึงตาย แต่เป็นเหมือนคลื่นรบกวนที่ทำให้บรรดาผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลปวดศีรษะไปตามๆ กัน ผู้ที่ควบคุมหุ่นเชิดตระกูลไม่สิ้นอยู่ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ทำให้เหล่าหุ่นเชิดหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ

“ทุกคนเข้าจู่โจมตอนนี้เลย!” ขณะที่คลื่นพลังของวงแหวนปราณกระเพื่อมไปรอบๆ สนามรบ คำสั่งของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารก็ดังสนั่นขึ้นทันที ผู้ฝึกตนสหพันธรัฐจำนวนมากพุ่งออกมาพร้อมส่งเสียงคำรามลั่น และเรือบินรบสหพันธรัฐก็ปรากฏขึ้นเพื่อให้การช่วยเหลือทางอากาศ ฉกฉวยโอกาสที่กองทัพศัตรูหยุดนิ่งไปชั่วขณะเพื่อเริ่มการ…โจมตีกลับ!

เกิดการบาดเจ็บล้มตายกันขึ้นทั้งสองฝ่ายทันที จำนวนคนตายมีมากมายเหลือคณานับ เลือดกระเซ็นลงมาจากฟ้าไม่หยุดหย่อน ท่อนแขนขาขาดกระเด็นร่วงปักลงดิน เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังสะท้านไปทั่วท้องฟ้า เสียงระเบิดฆ่าตัวตายดังสนั่นขึ้นมา ระเบิดต้านทานวิญญาณระเบิดขึ้นขณะที่หุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้นต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัว ฉากความตายและความรุนแรงก่อกำเนิดขึ้นอีกครั้งบนสนามรบดาวอังคาร

การปะทะครั้งนี้ส่งผลให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันและกองกำลังของเขาเสียความได้เปรียบทางอากาศไป ยิ่งกว่านั้น คลื่นพลังกดดันจากอภิมหาวงแหวนปราณยังช่วยเสริมพลังการต่อสู้ให้กับผู้ฝึกตนสหพันธรัฐอีกด้วย แม้กระนั้น ความแตกต่างด้านพลังของทั้งสองฝ่ายก็ยังคงอยู่ เมี่ยเลี่ยจื่อและผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกสองคนเข้าร่วมแนวรบมาด้วย ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ผู้ที่กำลังใช้เรือบินรบเต๋ามรณะเพื่อควานหาหวังเป่าเล่อ ก็ตัดสินใจแบ่งสมาธิเป็นสองส่วนเพื่อทั้งหาและต่อสู้ไปพร้อมๆ กัน ภายใต้คำสั่งของเขา เรือบินรบเต๋ามรณะปล่อยอักขระโบราณออกมามากมาย พวกมันแปรสภาพเป็นเสาแห่งแสงที่พุ่งเข้าใส่นครอาณานิคมดาวอังคาร ต่อให้มีการป้องกันของวงแหวนปราณอยู่ ดาวอังคารก็ยังเพลี้ยงพล้ำในการต่อสู้อยู่นั่นเอง!

นครครึ่งหนึ่งถูกทำลายไปทันที เปลวไฟสีดำแพร่กระจายออกไปทั่วดวงดาวอย่างรวดเร็ว หลอมทั้งผู้ฝึกตนที่ถูกไฟคลอกและดาวอังคารไปพร้อมๆ กัน แน่นอนว่าดาวอังคารยังคงยืนหยัดต่อสู้อยู่ ผู้ฝึกตนบนดาวต่างก็สาบานว่าจะสู้จนตัวตาย การเตรียมการรับมือของอัจฉริยะแห่งวิทยาศาสตร์วิญญาณอย่างเจ้าผินฟางได้ผลดียิ่ง การโจมตีกลับของดาวอังคารเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อได้เห็น

ปืนใหญ่ต้นกำเนิดดาราสามสิบกระบอกที่ได้รับพลังจากต้นกำเนิดดาราของดาวอังคารโดยตรง ถูกยกขึ้นจากพื้นและยิงออกไปพร้อมกัน ลำแสงจำนวนมากพวยพุ่งไปบนท้องฟ้าด้วยพลังรุนแรงที่แม้กระทั่งศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังต้องตะลึง

ต่อไปเป็นระเบิดต้านทานวิญญาณ อาวุธที่สำนักวังเต๋าไพศาลคุ้นเคยเป็นอย่างดี ในบรรดาระเบิดเหล่านี้มีระเบิดที่มีพลังทำลายเทียบเท่าการโจมตีจากผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอยู่ด้วย เป้าหมายไม่ใช่เพื่อการสังหาร…แต่เป็นการสร้างสถานการณ์วุ่นวายและปิดผนึกสนามรบทั้งหมดเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเคลื่อนย้ายฉับพลันได้!

สหพันธรัฐมีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอยู่บ้าง และยังถือว่าเสียหายน้อยหากทั้งสองฝ่ายต้องเสียความสามารถในการเคลื่อนย้ายไป และจะถือเป็นความได้เปรียบของสหพันธรัฐอย่างแน่นอน!

จากนั้นก็ถึงคราวระเบิดต้านทานวิญญาณที่รุนแรงยิ่งขึ้น แต่ละลูกรุนแรงเทียบเท่าการโจมตีจากผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ เพียงแต่จำนวนของพวกมันมีน้อยกว่า พลังอันน่าสะพรึงกลัวแปลว่าพวกมันมีความสำคัญมากในการต่อสู้ และท้ายที่สุด เจ้าผินฟางยังมีไพ่ตายซ่อนอยู่อีกสำหรับการต่อสู้บนดาวอังคาร!

สิ่งนั้นก็คือ… วัตถุเทียมจักรวาลที่มีรูปร่างคล้ายครอบแก้ว!

วัตถุเวทจำนวนมหาศาลลอยขึ้นในอากาศก่อนจะเข้าไปล้อมดาวอังคารเอาไว้ และแปรสภาพเป็นครอบแก้วขนาดใหญ่ที่ครอบดวงดาวเอาไว้ หน้าที่ของมันไม่ใช่การดูดพลังออกจากดวงดาว แต่คือ…การดูดระลอกพลังวิญญาณและปราณวิญญาณจากสนามรบ ทำหน้าที่เป็นอาวุธโจมตีพร้อมกับ…สร้างผนึกบรรยากาศขึ้นมาในสนามรบ!

มันจะกลายเป็นปราการรอบดาวอังคารที่จะปิดกั้นไม่ให้พลังวิญญาณบนดาวไหลออกไป และป้องกันไม่ให้พลังวิญญาณจากภายนอกไหลเข้ามา!

สหพันธรัฐได้ปล่อยไพ่ตายทั้งหมดออกมาในการต่อสู้ครั้งนี้ เป็นการโต้กลับที่รุนแรงที่สุดที่เคยมีมา แม้จะยังไม่สามารถต่อกรกับศัตรูได้ทั้งหมด แต่ก็ซื้อเวลาออกไปได้พอสมควร ผนึกนั้นป้องกันไม่ให้มีปราณวิญญาณไหลเข้าไปเสริมพลังผู้ฝึกตนที่ใช้กระบวนเวท แปลว่าอาวุธปืนจะมีประโยชน์ขึ้นมาในการต่อสู้ และทำให้ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เวลาผ่านไป!

แม้กระนั้น ที่นี่ก็เป็นจักรภพที่การฝึกปราณเป็นใหญ่ ความสำคัญของพลังต่อสู้จากคนๆ เดียวกำลังจะเป็นที่ประจักษ์ เมื่อศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันล้มเลิกการตามหาหวังเป่าเล่อและเลือกเข้าร่วมการต่อสู้ ชายชราครอบแก้วที่ใช้ครอบดวงดาวได้อย่างไร้ปัญหา

ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะหนีได้หากข้าทำลายดาวดวงนี้ลงทั้งดวง หวังเป่าเล่อ! แรงอาฆาตปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งคู่ของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ชายชราพร้อมที่จะปลดปล่อยพลังเต็มที่และทำลายดาวอังคารไปทั้งดวง ตอนนั้นเองร่างอวตารของหวังเป่าเล่อที่ซ่อนลึกอยู่ในท้องของวัตถุเวทแห่งความมืดก็เงยศีรษะขึ้นอย่างปุบปับด้วยสีหน้าขึงขัง

การซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดแม้จะยังไม่สำเร็จ แต่ธนูอาวุธเวทระดับเก้าก็ซ่อมแซมเสร็จสมบูรณ์แล้ว และศพของอสูรเขี้ยวดาราทั้งสองก็หลอมสำเร็จเรียบร้อย ศพนั้นอาจเทียบกับร่างกายขั้นวิญญาณอมตะเมื่อครั้งมีชีวิตไม่ได้ แต่ก็ยังมีพลังอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณอยู่ดี

วีธีเดียวที่จะยื้อเวลาซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดได้คือต้องสู้เท่านั้น! ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อหรี่ตาลง แสงแปลกแปร่งปรากฏขึ้นจากร่าง แขนขวาของเขายกขึ้นคว้าอากาศ ธนูลอยละลิ่วมาเข้ามือ ศพอสูรทั้งสองเปิดตาขึ้นก่อนจะส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกัน หวังเป่าเล่อออกเดินนำกองกำลังของเขาออกจากวัตถุเวทแห่งความมืดไปโผล่ขึ้นบนพื้นดิน!

บทที่ 716 เริ่มการต่อสู้บนดาวอังคาร!

ราชครูก็ยังคงดูเจ้าเล่ห์ไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่เด็กชายยังดูน่าขนลุกอยู่เหมือนเคย ร่างกายโปร่งแสงของพวกเขาจางลงไปจนดูราวกับจะหายไปได้ทุกขณะ

คำทักทายของชายร่างกำยำนั้นเสียงดังฟังชัดที่สุด ในบรรดาวิญญาณวุธทั้งสาม เขาเป็นคนที่ภักดีต่อหวังเป่าเล่อที่สุด

ทั้งสามไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ขณะที่หวังเป่าเล่อนั้นไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว ตอนที่จากทั้งสามไป ชายหนุ่มอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน มาบัดนี้ เขากลับมาพร้อมพลังปราณขั้นจุติวิญญาณ และพลังการต่อสู้ที่เทียบเท่าชั้นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ อันที่จริงแล้ว หากนับรวมพลังของเกราะจักรพรรดิและวิญญาณจุติดวงดาราเข้าไปด้วย การสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นก็เรียกได้ว่าง่ายดายสำหรับเขาทีเดียว!

ไหนจะดวงตาปีศาจสีดำที่ช่วยเสริมพลังให้เขาอีก มันพาเขาเข้าใกล้พลังขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายเข้าไปทุกขณะ ณ ปัจจุบันนี้ ต่อให้วัตถุเวทแห่งความมืดจะไม่รับรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของมัน ชายหนุ่มก็ยังสามารถบังให้วิญญาณวุธทั้งสามไปต่อรองแทนเขาได้

เป็นเหตุให้เมื่อวิญญาณทั้งสามมาทักทาย ชายหนุ่มจึงไม่ได้รอช้า เขาเรียกเกราะจักรพรรดิออกมาและปลดปล่อยพลังปราณเต็มที่ทันที พลังอันมหาศาลเข้าโอบล้อมรอบกายเขาเอาไว้ วิญญาณทั้งสามแม้จะแคลงใจกับพลังของหวังเป่าเล่ออยู่เมื่อครู่ แต่การปลดปล่อยพลังอย่างปุบปับก็ทำเอาพวกเขาตกตะลึง

สีหน้าของราชครูเปลี่ยนแปลงไป นัยน์ตาของเด็กชายเบิกโพลง ชายร่างกำยำก็เช่นกัน ทุกคนยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ พวกเขาบาดเจ็บหนักเพราะความเสียหายที่วัตถุเวทแห่งความมืดต้องเผชิญ ส่งผลให้ไม่สามารถคาดเดาระดับปราณของหวังเป่าเล่อได้แม่นยำนัก การที่จู่ๆ ระดับปราณของชายหนุ่มสร้างแรงกดดันขนาดมหาศาลใส่ทั้งสาม ทำให้พวกเขาถึงกับต้องผงะ

“เอาละ ลุกขึ้นเถิด วัตถุเวทแห่งความมืดเป็นอย่างไรบ้างระหว่างที่ข้าไม่อยู่” หวังเป่าเล่อเก็บเกราะจักรพรรดิไปก่อนจะถามอย่างเนิบๆ

เมื่อเหล่าวิญญาณหายจากอาการตื่นตะลึงเมื่อครู่ พวกเขาก็ละล่ำละลักตอบหวังเป่าเล่อ ไม่มีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ชายหนุ่มจากไป แต่เพราะขาดแคลนวัตถุดิบ ทำให้การซ่อมบำรุงวัตถุเวทแห่งความมืดดำเนินไปอย่างยากเย็น

หวังเป่าเล่อพยักหน้า และด้วยการโบกมือขวาเพียงครั้งเดียว วัตถุดิบจำนวนมหาศาลก็หลั่งไหลออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างมีครบ แม้อาจจะยังไม่พอสำหรับการซ่อมบำรุงวัตถุเวทแห่งความมืด แต่ก็ถือว่ามากพอดู

เมื่อบรรดาวัตถุดิบชนิดต่างๆ ออกมากองกันเป็นภูเขาย่อมๆ ปราณวิญญาณในอากาศก็หนาแน่นขึ้นมาในบัดดล หลังจากที่หวังเป่าเล่อหยิบของเหลววิญญาณและต้นกำเนิดดาราออกมา ปราณวิญญาณในอากาศก็หนาแน่นมากเสียจนแทบจะแปรสภาพเป็นของเหลว

วิญญาณวุธทั้งสามตื่นตะลึงอีกครั้ง นัยน์ตาของพวกเขาเบิกโพลง ยังไม่จบแค่นั้น…ความตื่นตะลึงครั้งใหญ่ตามมาในตอนจบ!

พอหวังเป่าเล่อวางของที่เขาไปเก็บมาจากดาวเคราะห์เต๋าไพศาลหลักและดาวดวงอื่นๆ บรรดาวิญญาณวุธก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีกเมื่อได้เห็นแร่อัคคีชั้นสูงสุดที่ชายหนุ่มไปได้มาจากป่ามี่หลัว

“แร่อัคคีชั้นสูงสุด!”

“สวรรค์ แร่นี้จะช่วยเร่งอัตราการซ่อมแซมได้เป็นอย่างดี อันที่จริงแล้ว มันเป็นวัตถุดิบที่จำเป็นอย่างยิ่งในซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืด เป็นวัตถุดิบหลักที่ไม่สามารถใช้อย่างอื่นมาแทนที่ได้!”

“ช่างน่าเสียดายที่มีอยู่น้อยเหลือเกิน…” ดวงวิญญาณทั้งสามทอดถอนใจ หวังเป่าเล่อดูไม่ตื่นตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มมองหน้าราชครู ก่อนจะหยิบกำไลคลังเวทออกมาอีกอัน คราวนี้แทนที่จะหยิบวัตถุดิบออกมา เขากลับหยิบ…กระเป๋าคลังเก็บร่วมสิบใบออกมาจากกำไลคลังเวท หวังเป่าเล่อเปิดทุกใบออก ก่อนที่แร่อัคคีชั้นสูงสุดจำนวนมหาศาลจะไหลบ่าออกมากองเป็นภูเขาอยู่แทบเท้า

ดวงวิญญาณทั้งสามผงะด้วยความตื่นตะลึง ก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไร หวังเป่าเล่อก็ส่งเสียงต่ำอยู่ในลำคอเป็นเชิงคิด และดึงศพอสูรออกมาอีกสองศพ!

พวกมันคือศพของอสูรเขี้ยวดาราขั้นจิตวิญญาณอมตะที่เขาเจอระหว่างที่อยู่ในป่ามี่หลัวสองวัน ศิษย์พี่ของเขาบังคับให้พวกมันพุ่งชนกันและตายสนิท ก่อนที่พวกมันจะตาย พวกมันยังช่วยหวังเป่าเล่อประหยัดเวลาโดยการกระชากแก่นในอสูรออกมาให้เขาเสียเอง!

“ใช้พลังของวัตถุเวทแห่งความมืดชุบชีวิตอสูรเขี้ยวดาราทั้งสองนี้ ข้ามีงานสำคัญให้พวกมันทำ แล้วก็…เริ่มการซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดทันที ข้าให้เวลาสิบวัน สิบวัน…เพื่อฟื้นฟูวัตถุเวทแห่งความมืดให้อยู่ในสภาพที่ข้าจะดึงมันออกจากถ้ำนี้และเอามันขึ้นไปต่อสู้บนอวกาศได้!” น้ำเสียงเด็ดขาดของหวังเป่าเล่อแสดงให้เห็นว่าไม่มีพื้นที่ให้ต่อรองแม้แต่น้อย ชายหนุ่มรู้ดีว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว

เห็นได้ชัดว่าวิญญาณทั้งสามแอบลอบออกไปข้างนอกในช่วงที่เขาไม่อยู่ พวกมันจึงรู้เรื่องสงครามระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลดี ราชครูไปได้จอภาพที่ฉายข่าวในสหพันธรัฐจึงเอามาให้ทุกคนดู พวกเขาติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกถ้ำอย่างใกล้ชิด และรู้ถึงความสุ่มเสี่ยงของสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งสามไม่กล้าตีหน้าซื่อ ก่อนจะพยักหน้าอย่างขึงขังแล้วรีบแยกย้ายกันไปทำงานทันที

หวังเป่าเล่อมองดูดวงวิญญาณทั้งสามหายตัวไป ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าทั้งสามกำลังเริ่มซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดอย่างแข็งขัน ชายหนุ่มหรี่ตาลง หวังเป่าเล่อคนเก่าคงจะไม่ยอมให้วิญญาณวุธทั้งสามเริ่มการซ่อมแซมได้โดยง่าย แม้ว่าอาจารย์ของเขาจะใช้เคล็ดเวทนิมิตมืดบอกพวกเขาว่าชายหนุ่มเป็นเจ้านายในนิมิตมืดแล้วก็ตาม เหตุก็เพราะวัตถุเวทแห่งความมืดเสียหายหนัก ทำให้บรรดาวิญญาณวุธอ่อนแอลงไปเช่นกัน การซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดจะช่วยฟื้นฟูพลังของทั้งสามไปด้วยในตัว

เรื่องอาจไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ อีกประเด็นหนึ่ง…ชายหนุ่มกลัวจะถูกวิญญาณทั้งสามกลืนกิน เป็นเหตุให้หวังเป่าเล่อยังชั่งใจอยู่ตอนที่ออกไปหาวัตถุดิบ

แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาอีกต่อไป ไม่อาจรอได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มก็แข็งแกร่งขึ้นมากโข จึงทำให้เขามั่นใจกับการเดิมพันครั้งนี้มากพอ ยิ่งไปกว่านั้น เขาคำนวณไว้เรียบร้อยแล้ว แม้หวังเป่าเล่อจะเก็บวัตถุดิบมาได้จำนวนมาก แต่ก็ยังห่างไกลจากการซ่อมบำรุงให้วัตถุเวทแห่งความมืดกลับไปอยู่ในสภาพสมบูรณ์ได้

น่าจะซ่อมให้กลับไปมีพลังได้สักครึ่งหนึ่ง…ระดับพลังปราณของข้าในตอนนี้น่าจะเพียงพอที่จะเรียกใช้อีกพลังหนึ่งของวัตถุเวทแห่งความมืดได้

หวังเป่าเล่อหรี่ตาและขยายจิตวิญญาณสัมผัสของตนเองออกไปปกคลุมวัตถุเวทแห่งความมืด เชื่อมไปถึงเสื้อคลุมแห่งความมืด เรือสำปั้นแห่งความมืด และไม้พายตะเกียงแห่งความมืดในทันที ชายหนุ่มค่อยคลายใจและยอมให้จิตของตนเชื่อมต่ออยู่กับวัตถุเวทแห่งความมืดทั้งสามไว้ตลอดอยู่อย่างนั้น

การทำเช่นนี้จะช่วยเร่งความเร็วในการซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืด ยิ่งไปกว่านั้น จากที่หวังเป่าเล่อจำได้จากนิมิตมืด ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาควรสร้างอวตารของดวงจิตตัวเองเอาไว้

ในอดีตสิ่งนั้นอาจเกินความสามารถ แต่ขณะนี้ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าเขาน่าจะทำได้สำเร็จ

หวังเป่าเล่อสร้างผนึกฝ่ามืออย่างบ้าคลั่ง ร่างมายาค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา ดวงตาทั้งคู่ของมันปิดอยู่ และดูเหมือนหวังเป่าราวกับฝาแฝด สิ่งเดียวที่ต่างกันคือเครื่องแต่งกายเท่านั้น

ร่างอวตารอยู่ในชุดคลุมสีดำสนิท ยืนอยู่บนเรือสำปั้นแห่งความมืด ในมือข้างหนึ่งถือไม้พายแห่งความมืด ที่ตรงปลายมีตะเกียงแห่งความมืดห้อยอยู่ ร่างอวตารนั้นไม่เชิงเป็นภาพมายาเสียทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่ความจริงเช่นกัน คล้ายกับว่าก่อตัวขึ้นมาจากหมอกควันสีดำที่ปล่อยรัศมีเย็นยะเยือกออกมาเป็นระลอก ดูราวกับเป็นผู้นำสารแห่งความตายที่ขึ้นมาเหยียบบนโลกมนุษย์

จู่ๆ ร่างอวตารก็เปิดตาขึ้นมา แสงไฟประหลาดในดวงตาทั้งคู่ส่องประกายกล้า ทำให้ร่างนั้นดูไม่เหมือนมนุษย์ หวังเป่าเล่อใช้จิตสัมผัสวิญญาณเข้าไปสำรวจความสามารถด้านการสู้รบของร่างอวตาร ก่อนจะถอนหายใจ

แทบไม่มีเลย แต่ก็เป็นวิธีควบคุมวัตถุเวทแห่งความมืดที่สะดวกดีไม่ใช่น้อย อย่างน้อยๆ ถ้าเทียบกันแล้ว ก็ดีกว่าการใช้ร่างจริงของข้า หวังเป่าเล่อจมดิ่งอยู่ในความคิด จากนั้นร่างอวตารของเขาก็ยกมือขวาที่ชูไม้พายเอาไว้ขึ้น จู่ๆ พายุหมุนก็ปรากฎขึ้นบริเวณที่ศพของอสูรเขี้ยวดาราทั้งสองนอนอยู่ ก่อนจะกลืนศพทั้งสองเข้าไป ปราณมืดปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุและไหลบ่าเข้าสู่ศพทั้งสอง

วัตถุเวทแห่งความมืดจะกลายมาเป็นอาวุธคู่ใจชิ้นใหม่ของข้า ขั้นต่อไป ข้าต้องใช้พลังของวัตถุเวทแห่งความมืดเพื่อหลอมศพอสูรทั้งสองนี้ให้กลายเป็นหุ่นเชิด พวกมันจะกลายเป็นอาวุธคู่ใจลำดับสองของข้า นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อแวววาวด้วยความมุ่งมั่น ชายหนุ่มพยายามผลักดันร่างอวตารของเขาให้ใช้วัตถุเวทแห่งความมืดในการหลอมซากอสูรทั้งสอง

หุ่นเชิดถือเป็นสมบัติเวทอีกรูปแบบหนึ่ง และหวังเป่าเล่อก็มีความสามารถเหนือผู้ฝึกตนธรรมดาในด้านนี้ ประสบการณ์ที่ชายหนุ่มสั่งสมมาในช่วงปีต้นๆ ที่ทำให้เขาระลึกได้ว่าตนเองมีความสามารถในการหลอมหุ่นเชิด

ช่วงที่เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดในสำนักวังเต๋าไพศาล ชายหนุ่มได้อ่านจารึกและหนังสือของสำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนมาก ซึ่งช่วยเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทและหุ่นเชิดให้เขา

นอกจากหุ่นเชิดแล้ว ข้าต้องหลอมและเสริมพลังให้วัตถุเวทอื่นๆ ด้วย ชายหนุ่มยกมือขึ้นโบกเรียกคันธนูสีดำออกมา ก่อนจะส่งมันเข้าไปในพายุหมุน มือของเขาประกบเข้าหากันก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ และเริ่มหลอมวัตถุเวทอย่างเร่งรีบ

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังง่วนอยู่กับการหลอมวัตถุเวทนั้นเอง ดาวอังคารก็กำลังวุ่นวายกับการเตรียมตัวรับมือสงครามหลังจากที่การเคลื่อนย้ายครั้งใหญ่สิ้นสุดลง ทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารอย่างเคร่งครัด เวลายังเดินหน้าต่อไปไม่หยุด

ผ่านไปแล้วเจ็ดวัน มีการตรวจสอบระบบของวงแหวนปราณระบบสุริยะ ระบบเตือนภัยถูกติดตั้งรอบดาวอังคาร และวัตถุเวททั้งหมดก็พร้อมใช้งาน จากนั้นเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารจึงออกคำสั่งลงไป วัตถุเวททั้งหมดปล่อยพลังออกมาพร้อมกัน รวมกันเป็นลำแสงจำนวนมหาศาลที่พุ่งเข้าไปในจักรวาลเหนือดาวอังคาร

เกิดวังวนขนาดมหึมาขึ้นในอวกาศในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง และเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้นก็พุ่งออกมาจากภายในวังวนนั้น!

การโจมตีของวัตถุเวทพุ่งเข้าใส่เรือบินรบอย่างจัง แต่ก็แทบจะไม่สร้างรอยขีดข่วนให้อีกฝ่ายเลย ขณะที่บรรดาวัตถุเวทกลับสลายไปเพราะการโจมตีนั้นเป็นการทำลายตนเองด้วย ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นบนเรือบินรบ…เขาคือศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั่นเอง!

“หวังเป่าเล่อ!” ใบหน้าของชายชราคลั่งแค้นราวกับเป็นพายุคลั่ง จิตสังหารฉาบเคลือบอยู่ในดวงตา เขายกมือขวาขึ้นก่อนจะชี้ไปที่ดาวอังคาร กองเรือบินรบขนาดมหึมาของสำนักวังเต๋าไพศาลปรากฏขึ้นเบื้องหลัง ผู้รอดชีวิตของสำนักวังเต๋าไพศาลและหุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้นนับแสนปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน และพุ่งเข้าไปหาดาวอังคารทันที

เจ้านครอาณานิคมส่งคำสั่งออกไปด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดอย่างไม่รอช้า

“เริ่มการจู่โจมของวงแหวนปราณระบบสุริยะแนวแรกทันที!”

บทที่ 715 การกลับมาของบุตรแห่งความมืด!

ประกายเยือกเย็นสะท้อนอยู่ในดวงตาของจื่อเยว่ ในวินาทีเดียวกันนั้น ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็นำทัพหุ่นเชิดไร้จิตใจนับแสนและผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่รอดจากแรงระเบิดของดาวศุกร์มุ่งหน้าไปยังดาวอังคาร จิตใจของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่รอดชีวิตเต็มไปด้วยความกลัวและไม่อยากเข้าร่วมสงครามนัก แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้มีทางเลือก ขณะที่มุ่งหน้าไปยังดาวอังคาร วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายนับพันบนดาวอังคารก็เริ่มส่องแสง พวกมันถูกหลอมขึ้นก่อนหน้านี้เพื่อให้ทำงานร่วมกับการเคลื่อนย้ายหมู่ของวงแหวนปราณระบบสุริยะ

ผู้ฝึกตนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าจากดาวศุกร์มาปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงระยิบระยับนั้น ทุกคนต่างก็บาดเจ็บมากน้อยต่างกันไป

พวกเขาถูกผู้ฝึกตนจากดาวอังคารที่เฝ้ารออยู่ล้อมทันที ก่อนจะได้รับการช่วยเหลือ และพาตัวออกไปจากบริเวณวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย เหล่าหมอที่ชำนาญการนับพันเริ่มมาตรวจรักษาอาการบาดเจ็บทันที

แต่มีผู้ฝึกตนจากดาวศุกร์เข้ามามากเกินไป ทำให้บรรดาหมอไม่อาจช่วยดูอาการได้ทันทั้งหมด เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารเตรียมการรับมือเรื่องนี้โดยการจัดสรรค์ผู้ฝึกตนนับหมื่นเอาไว้รอช่วยงานบรรดาหมอ

“อาการบาดเจ็บภายใน มีอวัยวะสามถึงห้าส่วนเสียหาย ส่งสหายเต๋าไปที่บริเวณจุดพักรักษาทันที!”

“สหายเต๋าเอ๋ย อาการบาดเจ็บของเจ้าไม่รุนแรงนัก เจ้าเพียงแต่เสียพลังวิญญาณมากเกินไป ใครช่วยพาสหายท่านนี้ไปนอนพักรักษาตัวในห้องก่อน!”

“วิญญาณของเจ้าแสดงอาการว่าจะแตกสลาย ส่งโอสถรักษาวิญญาณมาทางนี้หน่อย!”

ฐานที่มั่นดาวอังคารยังคงรักษาผู้ได้รับผลกระทบจากสงครามอย่างรวดเร็วและมีวินัย มีการจัดการดูแลผู้ฝึกตนที่เพิ่งเคลื่อนย้ายมาจากดาวศุกร์ไปยังฐานที่มั่นอย่างเหมาะสมและว่องไว ในบรรดาผู้ที่ถูกเคลื่อนย้ายมา มีเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าด้วย พวกเขาต่างก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมอาการบาดเจ็บสาหัสและร่างกายที่อ่อนแรง ทั้งคู่ไม่ได้เคลื่อนย้ายเพื่อไปรับการรักษา หากแต่ยืนอยู่ข้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย พลางเฝ้ารออย่างกังวล

พวกเขารอหวังเป่าเล่อ ต้วนมู่ฉี และหลี่ซิงเหวินปรากฏกาย

ผู้ที่ยืนรออยู่เคียงข้างพวกเขาคือ…ผู้ฝึกตนจากนครอาวุธเทพใหม่แห่งดาวอังคาร นำโดยหลิวต้าวปิน!

พัฒนาการของนครอาวุธเทพใหม่นั้นก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาหลายปีที่หวังเป่าเล่อไปอยู่ที่สำนักวังเต๋าไพศาล นครแห่งนี้เติบโตขึ้น และจำนวนผู้ฝึกตนที่อยู่ในนครก็เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ กลุ่มอำนาจการเมืองหลายกลุ่มอยากครอบครองตำแหน่งเจ้าเมือง กลายเป็นปัญหากวนใจบรรดาผู้ติดตามของหวังเป่าเล่อที่ชายหนุ่มมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลนครยิ่งนัก

หลิวต้าวปินถูกกีดกันและเกือบจะถูกขับออกจากนคร แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะพิสูจน์ตนเองและทำคุณูปการให้กับสหพันธรัฐอย่างแข็งขัน แต่ก็ไม่ได้ช่วยป้องกันเหล่ากลุ่มอำนาจการเมืองที่หวังจะฮุบนครนี้เพื่อสนองความโลภของตนแม้แต่น้อย

โชคยังดีที่ชายหนุ่มได้รับการหนุนหลังจากเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารแหละหลี่ซิงเหวิน จึงช่วยให้เขารักษาสถานะเจ้าเมืองไว้ได้

จากนั้น เมื่อหวังเป่าเล่อได้ไต่เต้าขึ้นสูงในสำนักวังเต๋าไพศาล การที่ชายหนุ่มได้ตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดทำให้ทั้งสหพันธรัฐพากันแซ่ซ้องยินดี เมื่อนั้นสถานการณ์บนดาวอังคารจึงค่อยคลี่คลายลง บรรดากลุ่มอำนาจการเมืองทั้งหลายต่างก็ต้องทำการอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้สนใจหากจะทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาหวังเป่าเล่อ เพราะไม่ว่าชายหนุ่มจะทำดีกับสหพันธรัฐมากเพียงใด เขาก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบและต้องเล่นตามกติกาที่คนเหล่านี้สร้างขึ้นมา แต่ทันทีที่หวังเป่าเล่อเป็นผู้อาวุโสสูงสุด สถานการณ์ก็พลิกผัน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายอีกต่อไป

หลิวต้าวปินและหลี่หว่านเอ๋อร์ต่างก็ถอนหายใจด้วยคามโล่งอก จากนั้นจึงเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างช้าๆ หลังจากนั้นเมื่อเกิดสงคราม และหวังเป่าเล่อหายตัวไป ในช่วงเวลานั้นบรรดากลุ่มอำนาจการเมืองก็ไม่สนใจจะชิงอำนาจกันอีก พวกเขาไม่ได้เสียอำนาจไปมากนักในช่วงที่หวังเป่าเล่อหายตัวไป จากนั้นเมื่อชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งและสังหารผู้ฝึกตนรขั้นเชื่อมวิญญาณได้ ฉากความเชี่ยวชาญในการรบพุ่งของเขาทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองของชายหนุ่มในนครตื่นเต้นกันไม่หยุด พวกเขาดีใจเป็นอย่างยิ่ง

พวกเขาฉวยโอกาสนี้กุมอำนาจในนครเอาไว้ได้ทั้งหมด ขณะนี้ทั้งคู่ต่างพาบรรดาผู้ฝึกตนแห่งนครใหม่ออกมารอต้อนรับเจ้าเมืองกลับมา!

เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารไม่ได้อยู่ที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้าย หากแต่ไปอยู่บริเวณศูนย์กลางของอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร นางและผู้บริหารระดับสูงของดาวอังคารไปเปิดวงแหวนปราณนั้นขึ้น เพื่อเตรียมการป้องกันดาวในกรณีที่เกิดสงครามขึ้น

มีเรือบินรบนับแสนลำลอยพร้อมอยู่นอกวงโคจรของดาวอังคาร และมีผู้ฝึกตนจำนวนมหาศาลยืนตั้งแถวเป็นระเบียบเพื่อเฝ้ารอคำสั่ง ทันทีที่เจ้านครอาณานิคมสั่ง วัตถุเวทเพื่อการสงครามทั้งหมดบนดาวจะถูกเปิดใช้งานพร้อมกัน บรรยากาศที่คุกรุ่นไปด้วยไฟสงครามปกคลุมไปทั่วดาวอังคาร

เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารนั้นต่างจากต้วนมู่ฉีหรือหลี่ซิงเหวิน นางอาจเป็นผู้ฝึกตนสตรี แต่นิสัยใจคอทั้งแข็งแกร่งและเถรตรง แถมยังดุดันราวกับเปลวเพลิงคลั่ง หากไม่มีสิ่งใดมาแหย่เปลวเพลิง สันติสุขก็จะปกคลุมอยู่ทั่วไป แต่หากเปลวไฟจุดติดขึ้นมาเมื่อใด มันก็จะแผดเผาทุกสิ่งให้ราบเป็นหน้ากลอง

กลยุทธ์ของนางต่างกับกลยุทธ์ของดาวศุกร์ ฝ่ายหลังนั้นยอมเสียแนวป้องกันในอวกาศถึงเก้าแนว ถือเป็นการรับมือเชิงตั้งรับและปรับตัวเข้ากับศัตรู แต่กลยุทธ์ของนาง..คือการเอาต้นกำเนิดดาราของดาวอังคารออกมาและใช้ระเบิดต้านทานวิญญาณคู่กับอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารและวงแหวนปราณระบบสุริยะ ดาวอังคารจะค่อยๆ รับมือกับกองทัพสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นระลอกๆ ก่อนจะบังคับให้บรรดาผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลต้องลงมาสู้กันบนพื้น เป็นการต่อสู้ที่ตัดสินชะตาครั้งสุดท้าย!

“ระบบทำลายตนเองของวงแหวนปราณระบบสุริยะถูกตั้งค่าใหม่ พวกเรายังไม่มีสิทธิ์การเข้าถึงตรงนั้น หากได้สิทธิ์นั้นมา พวกเราก็สามารถเริ่มวงจรการทำลายตนเองห้าส่วนได้ทันที!”

“การเตรียมการอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารสำเร็จแล้ว พวกเราสามารถใช้ปราณยับยั้งลงไปบนพื้นผิวดาวสามครั้งเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ!”

“บริเวณทำลายตัวเองสามแสนเจ็ดหมื่นจุดเตรียมการพร้อมแล้ว!”

การรายงานความพร้อมหลั่งไหลเข้ามาในห้องบังคับการ เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารดูใจเย็นขณะที่เงยหน้าขึ้นมองไปในอวกาศ มีแม่ทัพจากกองทัพดาวอังคารยืนอยู่ข้างนาง เขาดูร้อนรนก่อนจะรีบพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามกดให้เบา

“ท่านเจ้านคร เรื่องสิทธิ์การเข้าถึงวงแหวนปราณระบบสุริยะ…หลี่ซิงเหวินอาจจะไม่มอบให้เราก็ได้ เขายังต้องการเก็บสิ่งนั้นไว้เป็นแนวป้องกันสุดท้ายสำหรับผู้รอดชีวิตในสหพันธรัฐ”

“เจ้าแก่นั่น!” เจ้านครพูดอย่างเยือกเย็น พลังปราณขั้นจุติวิญญาณมอบความรู้สึกถึงอำนาจและบารมีอันยิ่งใหญ่ให้กับนาง

“เราจะเสียเปรียบหากเป็นการต่อสู้บนอวกาศ! การต่อสู้บนพื้นดินเท่านั้นที่จะช่วยให้เราได้เปรียบที่สุด แถมยังใช้พลังของวิทยาศาสตร์การวิญญาณได้สูงสุดอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น หากสหพันธรัฐพ่ายแพ้ แม้จะมีผู้รอดชีวิตแต่ก็ต้องล่องลอยไปในอวกาศ จะมีประโยชน์อย่างไรกัน หากใครสักคนจะรอดชีวิตไปได้ เขาก็คงไม่เหลืออะไรนอกจากจะต้องใช้ชีวิตภายใต้ร่มเงาของอารยธรรมต่างดาวไปตลอด!”

“ถึงกระนั้น วิธีนี้ก็ต้องมีการเสียสละชีวิตเป็นจำนวนมาก…” แม่ทัพพูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“พวกเราส่วนมากมาจากอารยธรรมทางตะวันออกของโลกมนุษย์ พวกเขามีภาษิตอยู่บทหนึ่ง…มีเพียงผู้บ้าคลั่งเท่านั้นที่มีชีวิตรอด!

“การเสียเลือดเนื้อนั้นคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดาวอังคารเป็นแนวป้องกันสุดท้ายของสหพันธรัฐ หากดาวอังคารยังคงอยู่ สหพันธรัฐก็จะคงอยู่ด้วย หากเราพ่ายแพ้…ครอบครัวทั้งสามคนของข้าจะสู้จนลมหายใจสุดท้ายบนสนามรบ ขอให้สิ่งนี้เป็นการแสดงความภักดีต่อสหพันธรัฐครั้งสุดท้ายของเรา!

“ข้าจะพูดกับหลี่ซิงเหวินและขอสิทธิ์การควบคุมมาเอง…ออกคำสั่งมาได้เลย!”

แม่ทัพที่ได้ฟังคำพูดอันแข็งแกร่งและเด็ดขาดของเจ้านครทำได้เพียงนิ่งเงียบไป จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ก้มหน้ารับคำสั่ง และออกคำสั่งต่อไปทันที เสียงกัมปนาทดังสนั่นสะท้อนไปทั่วดาวอังคารทันที ทุกอย่างพร้อมแล้ว

ขณะที่การเตรียมการสู้รบบนดาวอังคารกำลังดำเนินอยู่นั้น สถานการณ์ที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็กำลังเข้าสู่ช่วงท้าย ต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินปรากฏกายขึ้น ตามด้วยเฟิ่งชิวหรันและหลี่อู๋เฉิน คนสุดท้ายที่โผล่มาคือหวังเป่าเล่อ!

ชายหนุ่มเดินทางมาพร้อมดวงจันทร์ แต่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายไม่อาจบรรจุทั้งสองได้ไหว ในท้ายที่สุด ด้วยความช่วยเหลือจากหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี ดวงจันทร์ก็มาปรากฏอยู่ข้างๆ ดาวอังคาร ก่อให้เกิดระลอกพลังวิญญาณกระจายออกไปในจักรวาล

ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีกลับไปหลับใหลอีกครั้ง ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นไม่มีเวลากระทั่งจะกล่าวทักทายเจ้าเยี่ยเหมิง หลิวต้าวปิน หรือหลี่หว่านเอ๋อร์ที่ชายหนุ่มมีสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยเลยสักนิด เขาหันไปมองว่าทุกคนปลอดภัย ก่อนจะพยักหน้าหนึ่งครั้ง แล้วจึงกล่าวอำลาหลี่ซิงเหวินกับต้วนมู่ฉี หลังจากนั้นหวังเป่าเล่อก็พุ่งตัวไปทางนครของเขาทันที!

เขาได้คุยกับทั้งต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินก่อนเล็กน้อย

“ท่านผู้นำ ผู้อาวุโสสูงสุด โปรดถ่วงเวลาให้ข้าสักหน่อย ข้าต้องไปเอาสิ่งหนึ่งออกมา…มันอาจจะเป็นอาวุธที่ช่วยให้เราพลิกสถานการณ์ในสงครามนี้ได้ก็เป็นได้!” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็วิ่งเต็มฝีเท้าจากไป

หวังเป่าเล่อนั้นทั้งควบคุมราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ประมือกับโยวหรัน แถมยังต้องเผชิญหน้ากับจื่อเยว่ผู้ลึกลับ ชายหนุ่มสร้างคุณูปการมหาศาลในการต่อสู้บนดาวศุกร์ คำพูดของเขามีน้ำหนักใหญ่หลวงกับทั้งหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี และเหล่าบรรดาผู้ฝึกที่อยู่ในเหตุการณ์การปะทะที่ดาวศุกร์

ยิ่งไปกว่านั้น ดาวอังคารก็เหมือนเป็นบ้านหลังที่สองของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเป็นศูนย์รวมอำนาจและความโด่งดังทั้งในนครเก่าและนครใหม่ไม่ต่างกัน

เป็นเหตุให้คำพูดสุดท้ายของเขาแพร่สะพัดไปทั่วดาวอังคารอย่างรวดเร็ว เมื่อหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีมาถึงห้องบังคับการก็ได้พบเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร และบอกสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดให้นางฟังเช่นกัน

นั่นอาจจะเป็นเหตุผลให้ หลี่ซิงเหวินที่นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ยอมกัดฟันตกลงทำตามแผนของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารที่จะให้ระเบิดวงแหวนปราณระบบสุริยะ!

ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็มาถึงนครอาวุธเทพใหม่ดาวอังคาร ชายหนุ่มจ้องมองไปที่นครซึ่งใหญ่โตขึ้นกว่าตอนที่เขาจากไปหลายเท่า แต่ก็ยังมีความคุ้นเคยอยู่ในความแปลกใหม่นั้น ทำให้ความทรงจำหลายหลากพวยพุ่งขึ้นมาในใจก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อขยี้หน้าผากก่อนจะนึกย้อนไปถึงตอนที่นิ้วของจื่อเยว่สลายกลายเป็นฝุ่นไป

ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนคราวนี้แม่นางน้อยจะผล็อยหลับไปจริงๆ ทำให้คำถามของหวังเป่าเล่อไร้ซึ่งคนตอบอยู่เช่นเดิม

หวังเป่าเล่อทำได้เพียงปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อนและพุ่งตัวไปหาแท่นสังเวยบูชาตรงกลางเมือง ตรงนั้น…คือทางเข้าถ้ำนั่นเอง!

คลื่นพลังวิญญาณที่คุ้นเคยไหลบ่าออกมาจากถ้ำลึกทันทีที่เขาก้าวเข้าไป ราชครู ชายร่างกำยำ และเด็กชายปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ

“ยินดีต้อนรับกลับมา บุตรแห่งความมืด!”

“ช่างเป็นชายหนุ่มที่ปากหวานอะไรอย่างนี้ มิน่าเล่า ธิดาศักดิ์สิทธิ์จึงได้ชอบพอเจ้านัก หากเจ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไร บางทีธิดาศักดิ์สิทธิ์คงจะรู้อะไรบ้างกระมัง” จื่อเยว่ซ่อนรอยยิ้มของนางเอาไว้หลังฝ่ามือขณะที่พูด ก่อนจะยกมือขวาขึ้นหมายจะจับตัวหวังเป่าเล่อ

แต่ทันใดนั้นเองคลื่นพลังจากการทำลายตัวเองของดาวศุกร์ก็รุนแรงถึงขีดสุด เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น ดาวศุกร์สั่นสะท้านอย่างรุนแรงก่อนจะ…ระเบิด!

แรงระเบิดช่างมหาศาลยิ่ง มันพวยพุ่งออกมาจากตำแหน่งที่ลึกลงไปในแผ่นดินของดาวศุกร์ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่ว ลำแสงสว่างเจิดจ้าพุ่งทะลุออกมาจากแก่นของดาวศุกร์ เหมือนจะตัดดาวศุกร์ให้แหลกเป็นชิ้นๆ!

คลื่นพลังน่าสะพรึงกลัวเดินทางออกมาพร้อมกับแสงดังกล่าว มันท่วมท้นจนไหลบ่าออกไปไกล ทุกๆ สิ่งถูกดูดจนแห้งกรังและเหี่ยวเฉา ก่อนจะค่อยๆ ย่อยสลายกลายเป็นฝุ่นไปสิ้น!

สิ่งปลูกสร้าง ภูเขา ทุกสิ่ง โชคยังดีที่ต้วนมู่ฉี เฟิ่งชิวหรัน และคนอื่นๆ ต่างก็เลือกจะเคลื่อนย้ายตนเองออกไปก่อนการทำลายตัวเองของดาวศุกร์ ไม่มีผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐคนไหนหลงเหลืออยู่บนดาวศุกร์ในวินาทีของการระเบิด เหลืออยู่เพียงแค่…ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลเท่านั้น!

ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลเหล่านั้นกำลังประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่ พวกเขาส่วนมากไม่มีวิธีทางและสถานที่ที่จะหนี ไม่ว่าจะวิ่งหนีเร็วเพียงใด หรือเริ่มหนีก่อนเพื่อนนานเท่าใด ก็ไม่อาจหนีความตายได้พ้น

หลายคนถูกคลื่นพลังวิญญาณจากการระเบิดล้อมรอบ ก่อนที่ร่างกายอันสั่นเทาจะถูกพัดพาและสลายกลายเป็นฝุ่นไป การทำลายดวงดาวทั้งดวงดูคล้ายว่าจะสร้างหลุมดำชั่วคราวขึ้นมา หลุมดำนั้นดูดกลืนเอาทุกอย่างที่ขวางหน้าเข้าไป!

ทุกสิ่งและทุกคน…ยกเว้นจื่อเยว่ ผู้ที่ดูจะไม่อนาทรร้อนใจกับการทำลายตัวเองของดาวศุกร์ ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังสนั่นก้องจักรวาล มือขวาของนางยังคงยื่นออกมาหวังจะจับตัวหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อตกใจจนศีรษะชา ชายหนุ่มนึกเสียดายที่ไม่ได้ตัดสินใจเคลื่อนย้ายหนีไปตั้งแต่ต้น

“ข้ามันช่างโง่เขลานัก! ทำไมถึงไม่รีบหนีออกไปกันนะ ปัญหานี้เป็นเรื่องของเขาสองคน ข้าไปสอดเรื่องส่วนตัวของคนอื่นทำไมกัน” หวังเป่าเล่อตะโกนดั่งลั่นด้วยความแตกตื่นและหวาดกลัว

“จื่อเยว่ เจ้ากล้าทำร้ายข้าอย่างนั้นหรือ ศิษย์พี่ของข้าคือราชันย์สวรรค์ลำดับแรกของตระกูลไม่รู้สิ้น ศิษย์พี่ มาช่วยข้าเร็วเข้า!” หวังเป่าเล่อพูด จากนั้นก็ท่องบทสวดอยู่ในใจ ดวงจิตปริศนาจากฟากฟ้าปล่อยรัศมีอันน่าอัศจรรย์ลงมาอีกครั้ง จื่อเยว่ยิ้มบางๆ

“ทรงพลังดีนี่ แต่น่าเสียดาย เจ้าใช้ลูกไม้นี้กับหุ่นเชิดของข้าไปแล้ว” มีแสงเจือจางส่องประกายอยู่ในแววตาของจื่อเยว่ มือขวาที่ยื่นยาวออกมาของนางบัดนี้มาอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว และเคลื่อนที่เข้าใกล้คอเขาเรื่อยๆ

ขณะที่นางกำลังจะกำรอบคอของชายหนุ่มเอาไว้นั้นเอง แขนมายาผอมบางข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อ เข้าไปตีแขนของจื่อเยว่อย่างรวดเร็ว

แม่นางน้อยนั่นเอง!

เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้น หวังเป่าเล่อตัวสั่นเมื่อรู้สึกถึงสายลมรุนแรงที่มาพร้อมพลังอันยิ่งใหญ่ซึ่งพัดกระทบตัวเขา หากชายหนุ่มเป็นกองไฟ สายลมก็คงจะทำให้เขาดับมอดไปในทันที แรงลมรุนแรงพอจะที่บดขยี้เขาได้ในพริบตา

มีม่านแสงเรืองอ่อนส่องสว่างจากแขนมายาข้างที่ยื่นออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อ มันแปรสภาพไปเป็นเกราะป้องกันการโจมตีไม่ให้ถึงตาย แต่แรงสะท้อนกลับนั้นยังมีอยู่ เกราะจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อแหลกสลาย วิญญาณจุติของเขาเหี่ยวเฉาลงจนแทบสลายไป เลือดทะลักออกมาจากปากชายหนุ่มลงเปรอะเปื้อนร่างกายหลายต่อหลายจุด

หวังเป่าเล่อกระโจนถอยหลังราวกับว่าวที่หลุดจากเชือก กระเด็นชนสิ่งก่อสร้างหลายแห่งที่ถล่มลงในพริบตาก่อนจะไปชนเข้ากับปราการดวงจันทร์

“วิ่งไป เร็ว!” เสียงอันอิดโรยของแม่นางน้อยเตือนสติเขาอย่างบ้าคลั่ง หวังเป่าเล่อกัดลิ้นตนเองอย่างแรงเพื่อบังคับให้สติไม่หลุดลอยจากอาการบาดเจ็บสาหัส ชายหนุ่มปล่อยให้วงแหวนปราณระบบสุริยะปล่อยพลังการเคลื่อนย้ายล้อมรอบกาย ดวงจันทร์ทั้งดวงและตัวเขาเริ่มพร่าเลือน เมื่อแสงสะท้อนจากกระบวนเวทเคลื่อนย้ายส่องสว่าง ประกายแสงประหลาดก็สะท้อนขึ้นในดวงตาของจื่อเยว่เช่นกัน นางก้าวออกมาข้างหน้าขณะที่ทั้งดวงจันทร์และหวังเป่าเล่อกำลังจะถูกเคลื่อนย้ายออกไป

นางวางเท้าลง ก่อนจะฝ่าแสงของการเคลื่อนย้ายมาปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ริมฝีปากของจื่อเยว่ม้วนขึ้นไปเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมเมื่อมองเห็นความตื่นตกใจบนใบหน้าของชายหนุ่ม นิ้วมือของนางยื่นออกมาสัมผัสหน้าผากของหวังเป่าเล่อ

“เจ้าหนุ่มน้อย เรียกศิษย์พี่ของเจ้าออกมาสิ ขอให้เขามาปกป้องเจ้า”

นิ้วของนางแตะเข้าที่หน้าผากของหวังเป่าเล่อ มันราวกับว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชายหนุ่มในอีกอึดใจคือการที่กระดูกทั้งร่างป่นสลายพร้อมกับร่างกายและวิญญาณถูกทำลายสิ้น การเคลื่อนย้ายจะล้มเหลว แม่นางน้อย ปราการดวงจันทร์ รวมถึงราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะติดอยู่ที่นี่

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ทันทีที่นิ้วของจื่อเยว่สัมผัสที่หน้าผากของหวังเป่าเล่อ…นิ้วนั้นก็เริ่มละลายหายไป ราวกับว่ามันเป็นหิมะและกายของหวังเป่าเล่อทำมาจากโลหะที่ร้อนระอุกระนั้น!

ขณะที่นิ้วของนางละลายไป มันก็แปรสภาพกลายเป็นแสงไฟดวงเล็กจ้อยที่พุ่งเข้าไปสู่กายของหวังเป่าเล่อ พวกมันเหมือนสารอาหารที่ร่างกายของเขาดูดซับเข้าไปโดยไม่มีผลข้างเคียง อาการบาดเจ็บบนกายชายหนุ่มหายเป็นปลิดทิ้ง และพลังปราณของเขาก็พุ่งสูงขึ้นทันที!

ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตา กระทั่งจื่อเยว่เองก็ยังตกลึงไปชั่วขณะหนึ่ง ใบหน้าของนางแสดงอารมณ์อันรุนแรงออกมา เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมานานแล้วตั้งแต่ที่นางได้รับเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าไป นางรีบล่าถอย ก่อนจะใช้เคล็ดเวทสะบั้นนิ้วนั้นออกจากร่างอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นระรัวขณะถอนตัวไป

หวังเป่าเล่อก็ตื่นตะลึงไม่แพ้กัน แต่เขาไม่มีโอกาสได้แสดงความตื่นเต้นยินดีนี้ ร่างกายของเขา และปราการดวงจันทร์ เริ่มพร่าเลือนจากพลังการเคลื่อนย้าย ก่อนจะหายวับไป!

แรงระเบิดของดาวศุกร์มาถึงจุดสูงสุดในตอนนั้นเอง คลื่นแห่งการทำลายก็ยังคงไหลบ่าออกมา จนกระทั่งมาถึงจุดที่จื่อเยว่เคยยืนอยู่ ดาวศุกร์ทั้งดวงกำลังแปรสภาพกลายเป็นหลุมดำ ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าวังเต๋าไพศาลรอบตัวนางหากไม่บาดเจ็บก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดก่อนตายถูกกลบด้วยเสียงระเบิดดังต่อเนื่องที่เกิดมาจากการทำลายตัวเองของดวงดาว

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันตัวสั่น ความพยายามทั้งหมดของเขามลายหายไปในพริบตา ความวิตกกังวลเข้าเกาะกุมจิตใจของชายชรา แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะพูด สตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าสำหรับเขาแล้วน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

“ไร้ค่า” จื่อเยว่พูดด้วยใบหน้าเกรี้ยวกราดก่อนจะตวัดสายตาไปมองโยวหรันอย่างเกลียดชังและหันกลับไปจ้องดาวศุกร์อีกครั้ง นางยกมือขวาขึ้นซัดออกไปข้างหน้า เข้าปะทะกับคลื่นพลังทำลายตัวเองที่กระจายออกมาจากดาวศุกร์

คลื่นยักษ์รุนแรงดูราวจะถูกหยุดเอาไว้ชั่วขณะ ราวกับมีกำแพงขนาดยักษ์มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าสตรีผู้นี้ และแม้แต่แรงกระแทกจากดวงดาวที่ระเบิดเป็นจุณก็ยังไม่อาจเจาะทะลุกำแพงดังกล่าวเข้ามาได้

มือขวาของจื่อเยว่เอื้อมผ่านความว่างเปล่าไปคว้ากระเป๋าถือออกมาจากอากาศธาตุ กระเป๋านั้นทำมาจากผ้าสีดำที่มีลายลูกไม้แปลกตาปักแซมอยู่ ความกลัวแล่นเข้ามาจับหัวใจของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเมื่อได้เห็นกระเป๋าใบนั้น ชายชราสัมผัสได้ถึงพลังที่ไหลบ่าออกมาจากมัน เป็นพลังที่น่ากลัวกว่าสตรีตรงหน้าเขาเสียอีก

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่มีเวลาคาดเดาว่าสิ่งที่อยู่ข้างในกระเป๋าคืออะไร จื่อเยว่เปิดกระเป๋าเปิดอย่างระมัดระวัง เมล็ดสีดำสนิทเจ็ดเมล็ดลอยออกมาจากกระเป๋า นางสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ส่งพวกมันไปทางดาวศุกร์ที่กำลังระเบิดด

เมล็ดสีดำเหล่านั้นเข้าไปในดาวศุกร์แทบจะทันที คลื่นพลังงานจากแรงระเบิดไม่อาจทำอันตรายเมล็ดเหล่านี้ได้ อันที่จริงแล้ว เมล็ดพวกนั้นดูดซับพลังเอาไว้ พวกมันส่องแสงสีทองออกมาขณะเข้าไปในดาวศุกร์ และเริ่มเจริญเติบโตเป็นเถาวัลย์พันเกี่ยวออกมาด้านนอกและปกคลุมดาวศุกร์…ก่อนจะรับพลังระเบิดเอาไว้ แล้วแปรสภาพพลังงานเหล่านั้นให้เป็นสารอาหารของตนเอง!

ขนบนศีรษะของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันลุกชันเมื่อเห็นภาพตรงหน้า กิ่งไม้ปรากฏออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นาน ดาวศุกร์ทั้งดวงก็ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยเถาวัลย์แน่นหนานับสิบชั้น รูปโฉมของมันแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แรงระเบิดถูกควบคุมเอาไว้ราวกับถูกผนึก ไม่มีทางเล็ดรอดออกมาได้อีก!

จุดโป่งพองมากมายปรากฏขึ้นบนกิ่งไม้เหล่านั้น พวกมันไหลเข้ามารวมกันจนทั้งกิ่งมีแต่จุดเหล่านี้ จุดโป่งพองดังกล่าวกระดิกไปมา และหลายจุดก็ระเบิด มีผู้ฝึกตระกูลไม่รู้สิ้นปีนออกมาจากจุดพวกนี้!

ผู้ฝึกตนเหล่านั้นกระโจนขึ้นไปในอากาศเข้าไปสมทบกับจื่อเยว่ จำนวนของพวกเขามากขึ้นทุกทีๆ จนกระทั่งจุดโป่งพองทั้งหมดระเบิด ผู้ฝึกตนจำนวนมากกระโจนออกมา จื่อเยว่มีกองทัพผู้ฝึกตนนับแสนอยู่ตรงหน้าแล้ว!

แต่ก็เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นเหล่านี้ไม่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตนเอง พวกเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น!

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันรู้สึกมึนงงกับภาพที่เห็น ชายชราตัวสั่นอย่างรุนแรง สิ่งนี้ช่างบ้าคลั่งเกินจิตนาการของเขาไปมาก เขาไม่อาจเข้าใจได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น!

“จับตัวพวกมันเอาไว้และทำลายอารยธรรมของพวกมันให้สิ้น จากนั้น…ก็ไปจับเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วพาตัวมาให้ข้า!” จื่อเยว่ออกคำสั่งอย่างเยือกเย็น

ใบหน้าของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันซีดขาว ชายชราค้อมศีรษะลงตามสัญชาติญาณเพื่อรับคำสั่ง จากนั้นก็เริ่มจัดแจงผู้ฝึกตนที่รอดชีวิต ก่อนจะนำกองทัพผู้ฝึกตนหุ่นเชิดนับแสนพร้อมเรือบินรบเต๋ามรณะแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นมุ่งหน้าไปยังดาวอังคาร!

จักรวาลในส่วนนี้เงียบลงเมื่อศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเดินทางจากไป จื่อเยว่เป็นคนเดียวที่ยังอยู่ นิ้วของนางลากผ่านเป็นผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ราวกับว่ากำลังทำการทดลองอยู่ ผ่านไประยะหนึ่งนางก็หยุดชะงักลง นางหลับตานิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานานแล้วจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจ้องไปในจักรวาลอันห่างไกล

ข้าจำได้เพียงว่า ผู้ที่มีพลังมหาศาลคนหนึ่งได้เปลี่ยนชีวิตของข้าไป…ข้าควบคุมและเปลี่ยนชะตาชีวิตของผู้อื่นราวกับมดปลวก…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าไม่รู้เลยว่ามีใครคนหนึ่งควบคุมชีวิตของข้าอยู่เช่นกัน แล้วก็ทำกับข้าเหมือนเป็น…สิ่งใดกัน มดหรือ หรือว่าใครคนนั้นกำลังใช้ข้าเพื่อเพิ่มพลังให้หวังเป่าเล่อกันแน่ จื่อเยว่ตัวสั่น ประกายเย็นยะเยือกส่องสะท้อนแรงกล้าอยู่ในดวงตานาง

ราชันสวรรค์ลำดับแรกเช่นนั้นหรือ

………………………..

บทที่ 713 ท่านหญิง ข้าสาบานว่าได้ไม่ใช่ข้า!
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปเป็นตกตะลึงเห็นได้ถนัดตาเมื่อได้ยินชื่อที่ออกมาจากปากของเฉินโม่เฟิง นัยน์ตาของชายหนุ่มกระตุก เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็รู้จักชื่อนั้นดี อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อรู้ดีทีเดียวว่าชื่อนั้นมีความสำคัญอย่างไรกับราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!

เนื้อคู่แห่งเต๋าของเฉินโม่เฟิง ผู้ที่แยกสมองเขาออก ควักหัวใจเขา และทำลายเต๋าของเขา ตอนนี้อยู่บนเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้น! หวังเป่าเล่อผงะเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ โชคยังดีที่ระบบการทำลายตัวเองของดาวศุกร์ถูกเปิดขึ้นมาเสียก่อน แรงระเบิดและคลื่นพลังทำลายล้างส่งเสียงดังกระหึ่มไม่หยุดหย่อนอยู่บนดาวศุกร์ พลังของวงแหวนปราณระบบสุริยะครอบคลุมสนามรบเอาไว้ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังการเคลื่อนย้ายที่มองไม่เห็นซึ่งโอบล้อมกายเขาเอาไว้ หากต้องการ ชายหนุ่มก็สามารถเคลื่อนย้ายออกจากที่นี่ได้เลยทันที!

ความคิดนั้นทำให้หวังเป่าเล่อเบาใจลงไปมาก ขณะที่ยังถอยหนีต่อไป ชายหนุ่มก็หันหลังกลับไปจ้องมองนิ้วมือที่ลอยอยู่ตรงหน้าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!

ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง นิ้วมือนั้นก็ส่องประกาย ก่อนที่ร่างของสตรีนางหนึ่งจะค่อยๆ ปรากฏขึ้น นิ้วมือนั้นขยายกลายเป็นฝ่ามือ แขน อะไรต่อมิอะไรจนกระทั่งกลายมาเป็นสุภาพสตรีรูปร่างงดงามในชุดคลุมเต๋า

ราวกับว่าจักรวาลเป็นภาพวาด และสตรีนางนี้ก็เดินออกมาจากภาพนั้น ความงามกระจ่างตาของนางคืนความสดใสให้กับผืนแผ่นดิน!

กายของนางโปร่งใส ทำให้ไม่อาจเห็นรูปร่างได้ชัดเจนนัก แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจทำให้ความงดงามของนางเสื่อมถอยลงได้ อันที่จริงแล้ว ความโปร่งใสมองไม่ชัดนี้เองที่สะกดทุกๆ สายตาที่มองมาหานาง พวกเขาทุกคนดูจะสับสนงงงวยกับสิ่งที่ได้พบเห็นอยู่เล็กน้อย

ดูเหมือนว่าอาจไม่ใช่แค่ความงดงามของนาง แต่เพราะรัศมีประหลาดที่นางแผ่ออกมาที่สะกดสายตาของสรรพชีวิตเอาไว้

“ในที่สุด…เจ้าก็ปรากฏตัวเสียที…” ดวงจิตของเฉินโม่เฟิงที่กำลังจะผล็อยหลับไปเมื่อครู่ มาบัดนี้ สภาพจิตใจกลับปลอดโปร่ง ราวกับการปรากฏของนิ้วมืออีกนิ้วและเสียงถอนหายใจเป็นการตบหน้าเขาให้ตื่นขึ้นอย่างเต็มที่อย่างไรอย่างนั้น

ความสับสนงุนงงในแววตาของเฉินโม่เฟิงจางหายไปขณะเปิดปากพูด ดูเหมือนว่าเขาจะพูดความคิดที่แท้จริงได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความคิดนั้นสะท้อนสิ่งที่เขาพึมพำไปเมื่อครู่ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความเกลียดชัง มีแต่ความถวิลหาอันลุ่มลึก

สตรีที่งดงามนางนั้นเงียบลงเมื่อได้ยินเสียงพึมพำของเฉินโม่เฟิงก่อนจะมองเข้าไปในตาอีกฝ่ายด้วยแววตาลึกซึ้ง จากนั้นนางก็ถอนสายบัวและพูดออกมาอย่างนุ่มนวล “สามีที่รักของข้า นานเหลือเกินแล้วที่เราไม่ได้พบกัน ท่านต้องพานพบกับหายนะอันใหญ่หลวง แต่ก็ยังส่งเสียงเรียกชื่อข้า ในฐานะภรรยาของท่าน…ข้าจะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าท่านได้อย่างไรเล่า”

การได้ยินเสียงของเนื้อคู่แห่งเต๋าเป็นครั้งแรกในระยะเวลายาวนานอาจไปกวนความทรงจำของเฉินโม่เฟิงขึ้นมา ร่างกายอันใหญ่โตของเขาสั่นเทา ลึกลงไปภายใต้ดวงตากระจ่างใสนั้น ปรากฏเปลวไฟสีแดงขึ้นมาอีกครา วิญญาณที่ก่อตัวใหม่ภายหลังการตายของเขากำลังพยายามชิงร่างกายคืนจากดวงวิญญาณที่แท้จริงของเฉินโม่เฟิง

พลังของเมล็ดบัวจางหายไปนานแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้วิญญาณที่แท้จริงของเฉินโม่เฟิงยังตื่นอยู่คือความถวิลหาอันรุนแรง เฉินโม่เฟิงต่อสู้เพื่อให้สติสัมปชัญญะยังคงอยู่ เขาจ้องมองไปยังจื่อเหว่ พยายามทำสายตาให้อ่อนโยนและนุ่มนวล ก่อนจะพูดออกมาเสียงดังเท่าการกระซิบ “จื่อเยว่…ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ข้าไม่ถือโทษโกรธเคืองในสิ่งที่เจ้าทำ มา…กลับบ้านกับข้าเถิด”

เฉินโม่เฟิงยกมือขวาขึ้นขณะที่พูด สีหน้าของเขาอ่อนโยน เต็มไปด้วยความถวิลหาและความหวัง มันคือสีหน้าของคนที่หลงมัวเมาในรัก

จื่อเยว่มองสบตาเฉินโม่เฟิง ประกายสีในแววตาของนางจางหายจนเหลือเพียงความรักใคร่อันเจือจาง นางกล่าวตอบอย่างแผ่วเบา “สามีที่รักยิ่งของข้า ภรรยาของท่านคิดถึงท่านแทบจะขาดใจเช่นกัน เมื่อใดก็ตามที่ข้าคิดถึงท่าน ข้าจะหยิบสิ่งนี้ขึ้นมา…”

ขณะที่จื่อเยว่พูด มือขวาของนางก็กวาดออกไปในความเวิ้งว้างตรงหน้า หัวใจชุ่มเลือดดวงหนึ่งปรากฏขึ้นในมือข้างนั้น

หัวใจนั้นยังคงเต้นอยู่ พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งไหลบ่าออกมาท่วมจักรวาล เฉินโม่เฟิงตัวสั่น ริมฝีปากของเขาขยับอย่างยากลำบาก

“จื่อเยว่ อย่า…”

“มีสิ่งนี้ด้วย…” ราวกับว่าไม่ได้รับรู้อาการของสามี จื่อเยว่ยิ้มก่อนจะขัดจังหวะคำขอร้องของอีกฝ่าย นางปล่อยมือจากหัวใจเฉินโม่เฟิงและกวาดมือไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาต่อจากนั้นเป็นก้อนสีขาวก้อนหนึ่ง มันก็คือ…สมองของเฉินโม่เฟิง!

“สามีที่รักของข้า ดูเถิด ความคิดถึงของข้าบรรเทาลงได้เมื่อมีสองสิ่งนี้อยู่ข้างกาย”

“จื่อเหว่…โปรดหยุดเถิด ข้าขอร้อง…”

“ข้าคิดว่า ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความคิดถึงที่ข้ามีต่อท่าน ได้โปรดอย่ากลัวไปเลย ขอให้ภรรยาผู้นี้ไปหามันมาให้ท่านดู…” สายตาของจื่อเยว่จับจ้องไปยังเฉินโม่เฟิง ขณะที่อาการสั่นเทาของผู้เป็นสามีรุนแรงขึ้น และความเจ็บปวดบนใบหน้าก็ทวีคูณขึ้นเช่นกัน นางอมยิ้มไปด้วยขณะที่พูด

น้ำเสียงของนางชัดใสและน่าฟัง ราวกับเป็นเสียงของภูติกระนั้น ในน้ำเสียงมีความงดงามอ่อนช้อยแฝงอยู่ ไม่ว่าใครได้ยินจิตใจก็จะได้รับการเยียวยา แต่หากใครก็ตามได้เห็นการกระทำ และความอาฆาตร้ายในถ้อยคำของนางแล้ว ต่างก็ต้องผงะถอยหลังด้วยความกลัวด้วยกันทั้งสิ้น!

โดยเฉพาะศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ที่ตัวสั่นงันงกขณะจับจ้องสายตาไปยังสตรีที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ดูเหมือนว่าชายชราจะเคยพบหน้านางมาก่อน แต่หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็นึกได้ว่าไม่เคย ความรู้สึกไม่คุ้นเคยที่นางแผ่ออกมาเจือปนไปด้วยบางสิ่งที่คุ้นเคย ความแตกต่างกันของความรู้สึกนั้นทำให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันถึงกับตื่นตะลึง ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่ชายชราจ้องมองนาง เขาก็รู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงทาสที่อยู่ต่อหน้าเจ้านาย ช่างเป็นความรู้สึกที่สับสนและชวนให้กระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างยิ่ง

ทุกคนดูราวกับว่ากำลังตื่นตะลึงขีดสุด ฝ่ายหวังเป่าเล่อยังคงถอยหนีออกมาจากสตรีนางนั้น ชายหนุ่มกลับไปถึงปราการดวงจันทร์ ก่อนจะจ้องมองออกไปยังเฉินโม่เฟิงและจื่อเยว่ และเบนสายตาไปหาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน สายตาของชายหนุ่มกราดเกรี้ยวขึ้นเมื่อเข้าใจสิ่งที่เกิดขึเนตรงหน้า

นางกำลังพยายามจะยั่วโมโหเฉินโม่เฟิง!

แม่นางน้อยเคยพูดถึงเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋ามาก่อน…บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่จื่อเยว่ไม่ยอมสังหารเฉินโม่เฟิง การที่นางมายั่วยุเขาเช่นนี้อาจเป็นเพราะเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋ากระมัง หวังเป่าเล่อไม่ได้คำตอบ แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเขาเดาได้ใกล้เคียงแล้ว

เช่นนี้ก็หมายความว่า…จื่อเยว่เป็นผู้ชุบชีวิตศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันขึ้นมา! อารมณ์ความรู้สึกหลากหลายท่วมท้มอยู่บนใบหน้าของหวังเป่าเล่อ ความเครียดที่ชายหนุ่มรู้สึกมาตลอดพุ่งสูงขึ้นทันที

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่ผสานร่างเข้าเรือบินรบเต๋ามรณะของตระกูลไม่รู้สิ้นนับเป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวงสำหรับสหพันธรัฐแล้ว ใครจะไปล่วงรู้ได้…ว่าเบื้องหลังนั้นยังมีศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าเร้นกายอยู่อีก!

สำหรับสหพันธรัฐแล้ว สิ่งนี้นับเป็นการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง หวังเป่าเล่อรู้รายละเอียดเรื่องของเฉินโม่เฟิงและจื่อเยว่ นางไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา แม้ว่าจะเป็นการพบกันครั้งแรกก็ตาม

นางคือผู้ที่ขโมยเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าของเฉินโม่เฟิงไป ซ่อนตัวอยู่ในเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น แอบควบคุมศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอยู่ลับๆ และเป็นผู้เริ่มสงครามนี้ขึ้น! แววอาฆาตส่องประกายอยู่ในตาของหวังเป่าเล่อ มีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ปรากฏขึ้นในใจ ชายหนุ่มรู้ดีว่าโอกาสของสหพันธรัฐยังไม่ดีขึ้นเท่าใดแม้จะทำลายดาวศุกร์ไปแล้วก็ตามที

หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนเดียวที่คิดเรื่องนี้อยู่ ขณะที่คลื่นพลังทำลายล้างของพลังวิญญาณยังคงไหลบ่าออกไปทั่วดาวศุกร์และแรงระเบิดมหาศาลยังส่งเสียงดังก้องกังวาลไปทั่วทั้งจักรวาลอยู่นั้น ขณะที่สายใยของจักรวาลและดวงดาวต่างก็บิดเบี้ยว และผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าหายตัวและถูกเคลื่อนย้ายไปยังจุดปลอดภัยผ่านวงแหวนปราณระบบสุริยะ ผู้ฝึกตนที่ยังเหลืออยู่ต่างก็มีความคิดเช่นเดียวกัน!

ต้วนมู่ฉีเองก็เช่นกัน ขณะนั้นชายชรายืนตระหง่านอยู่ในศูนย์บัญชาการ พลางจับจ้องไปยังจื่อเยว่ที่ยืนอยู่หน้าโยวหรันตาไม่กะพริบ เขาไม่รู้ความหลังระหว่างจื่อเยว่และราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีแม้แต่น้อย แต่ก็ยังบอกได้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ต้วนมู่ฉีบัดนี้รู้แล้วว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังสงครามครั้งนี้มิใช่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน แต่เป็น…สตรีที่ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเรียกว่าจื่อเยว่ผู้นี้!

คนอื่นๆ ที่เหลืออยู่คือเฟิ่งชิวหรันและหลี่อู๋เฉิน พวกเขานิ่งเงียบ แต่นัยน์ตาของทั้งคู่มีความรู้สึกมากมายฉาบเคลือบอยู่

ขณะที่ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าค่อยๆ ถูกเคลื่อนย้ายออกไป จื่อเยว่ก็ทอดถอนใจยาว

“ข้าหาไม่พบ!”

“สามีที่รักของข้า เหตุใดท่านไม่ช่วยเยว่เอ๋อร์ที่รักของท่านหาเสียหน่อยเล่า” จื่อเยว่ปล่อยมือจากสมองและกวาดมือไปในอากาศ สิ่งที่ปรากฏบนฝ่ามือนางต่อมา…คือกระดิ่งมายาลูกหนึ่ง!

กระดิ่งนั้นมีสีดำสนิท และแม้ว่าจะอยู่ในรูปมายา มันก็ยังแผ่รัศมีของดวงดาวที่เจือจางจนแทบสัมผัสไม่ได้ออกมา ชัดเจนว่าสิ่งนี้เป็นวัตถุเวทที่มหัศจรรย์ยิ่ง!

“สามีที่รักของข้า กระดิ่งนี้อยู่ที่ใดหรือ ข้ากลืนกินสมองของท่านและบดขยี้หัวใจท่าน แต่ข้าก็ยังหากระดิ่งไม่พบ เป็นความผิดของท่านแท้ๆ เหตุใดท่านจึงต้องผนึกมันเอาไว้ก่อนตายด้วย ข้าไม่อาจสัมผัสถึงมันได้เลย โปรดบอกเยว่เอ๋อร์ที่รักของท่านว่ามันอยู่ที่ใดด้วยเถิด” จื่อเยว่มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเฉินโม่เฟิงในขณะที่พูด มีรอยยิ้มพาดอยู่บนใบหน้า เฉินโม่เฟิงไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขายกมือทั้งสองขึ้นกุมศีรษะ ก่อนจะส่งเสียงร้องตะโกนอย่างเจ็บปวด

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้ หยุดพูด!”

แสงสีแดงปะทุขึ้นอีกครั้งในดวงตาทั้งสองของเขา วิญญาณที่แท้จริงของเฉินโม่เฟิงที่พยายามอย่างมากในการคงตัวอยู่ ในที่สุดก็ถูกเบียดบังออกไป ยักษ์ใหญ่บ้าคลั่งแล้ว เขายกมือทั้งสองขึ้นเอื้อมไปหาจื่อเยว่

“น่าเบื่อเสียจริง” จื่อเยว่โคลงศีรษะอยู่ไปมา ก่อนที่ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะจับนางได้ นางก็ยกมือขวาขึ้นโบกเบาๆ มีเสียงระเบิดดังกึกก้องมาจากในกายของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ชุดเกราะของเขาแตกร้าว อักขระโบราณบนร่างส่องสว่างขึ้นก่อนจะกดเขาเอาไว้ราวกับเป็นผนึก ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีส่งเสียงดังลั่นและล้มตัวลงทับปราการดวงจันทร์อย่างแรง

จื่อเยว่หันหน้าออกจากเฉินโม่เฟิง สายตาของนางมาจับจ้องที่หวังเป่าเล่อแทน มีรอยยิ้มอันชั่วร้ายแต่งดงามอยู่บนใบหน้า

“เจ้า เจ้าผู้มีดวงตาของธิดาศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่ข้าต้องการอยู่กับเจ้าใช่หรือไม่”

หวังเป่าเล่อขนหัวลุก ชายหนุ่มสั่นศีรษะอย่างบ้าคลั่งก่อนจะละล่ำละลักออกมา “ไม่ใช่เลยขอรับ แม่นางผู้ซึ่งเป็นสตรีที่สวยงามและแข็งแกร่งที่สุดในจักรภพ หากท่านไม่เชื่อ โปรดใช้จิตสัมผัสวิญญาณของท่านเพื่อตรวจสอบข้าได้เลยขอรับ!”

บทที่ 712 คนรักจากอดีต!
หวังเป่าเล่อถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีหรือเฉินโม่เฟิงจู่โจม ชายหนุ่มใช้เมล็ดดอกบัวทั้งหมดที่เขามีในการปลุกวิญญาณที่แท้จริงของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขึ้นมา ดังนั้น…ความลังเลของเฉินโม่เฟิงจึงทำให้หวังเป่าเล่อทั้งกังวลและกลัดกลุ้มใจ….

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มวัดระดับปราณที่แท้จริงของเฉินโม่เฟิงได้ เขาสัมผัสได้ว่าพลังที่อยู่ภายในนิ้วมายาของเฉินโม่เฟิงนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเสียอีก ความจริงแล้วมันอาจจะเกินขั้นจิตวิญญาณอมตะด้วยซ้ำไป แม้จะไม่แข็งแกร่งเท่าศิษย์พี่ของหวังเป่าเล่อ แต่พลังที่ชายหนุ่มสัมผัสได้นั้นคล้ายคลึงกับพลังที่เขารู้สึกระหว่างบรรลุสู่ขั้นจุติวิญญาณ แทบจะเทียบเท่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ก็ว่าได้!

หรือว่าสิ่งนี้จะเป็น…พลังจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์!

แต่การคาดคะเนนี้นั้นไม่อาจวัดระดับพลังที่แท้จริงของเฉินโม่เฟิงได้ ชายในร่างยักษ์ยังคงงุนงงและได้รับเพียงเศษเสี้ยวของวิญญาณดั้งเดิมของตนกลับมาเท่านั้น กายเนื้อและระดับพลังปราณยังอ่อนแอยิ่งนัก แม้กระนั้น เขาก็ยังสามารถปล่อยพลังที่เทียบเท่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ คงไม่ยากที่จะจินตนาการว่าเฉินโม่เฟิงแข็งแกร่งเพียงใดเมื่อมีพลังเต็มเปี่ยม!

ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ควรจะเป็นหนึ่งในผู้นำของสำนักวังเต๋าไพศาลอันเลื่องลือเสียด้วยซ้ำ เขาควรมีอนาคตอันสดใสเฝ้ารออยู่ โชคชะตาผกผันและพาเอาความเป็นไปได้นั้นหลุดจากเงื้อมมือเขาไปโดยสิ้นเชิง

ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในใจของหวังเป่าเล่อขณะที่จ้องมองไปยังศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน สีหน้าของอีกฝ่ายฉาบเคลือบไปด้วยความตื่นกลัว ในขณะที่กำลังล่าถอยหลบหลีกนิ้วมือยักษ์อย่างเร่งรีบ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อขณะนี้เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารรุนแรง

“ข้าสังหารเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง ข้าย่อมสังหารเจ้าอีกครั้งได้แน่ มาดูกันเสียว่าเจ้าจะฟื้นคืนชีวิตกลับมาได้อีกครั้งหรือไม่” จิตสังหารในสายตาหวังเป่าเล่อถูกแต่งแต้มด้วยความสงสัย ความสงสัยของเขาขณะนี้…เกี่ยวของกับการฟื้นคืนชีพของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน

ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่า…มีความลับอันยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้การฟื้นคืนชีพนั้น!

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าตนเองได้ตายไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ ชายชราจึงทำได้เพียงตัวสั่นและล่าถอยพร้อมขนศีรษะที่ลุกชัน

ความเกรงกลัวความตายและอันตรายแทบจะทำให้โยวหรันเป็นบ้า ขณะกำลังล่าถอย เขาก็ประกบฝ่ามือก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ เรือบินรบมรณะของตระกูลไม่รู้สิ้นปลดปล่อยแสงสว่างจ้าที่แปรสภาพเป็นผนึกขนาดมหึมา ผนึกปรากฏขึ้นตรงหน้าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ทำหน้าที่เป็นโล่ป้องกันการโจมตีของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี

ชายชราสัมผัสได้ว่าการป้องกันเท่านี้นั้นไม่เพียงพอ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่สนใจดาวศุกร์อีกต่อไป เขาดึงผนึกที่ปิดกั้นดาวศุกร์ออกมา เปลวไฟสีดำและผนึกที่ล่องลอยอยู่เหนือดาวศุกร์จางหายไปก่อนจะปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงหน้าชายชรา และแปรสภาพเป็นผนึกหนาแน่นที่ยืดยาวร่วมสามกิโลเมตร!

ผนึกนั้นเป็นผนึกโบราณที่ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลแต่ก็ปฏิเสธการเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลไปพร้อมๆ กัน มันเป็นความรู้สึกขัดแย้งที่ไม่อาจอธิบายได้ ที่ทำให้รู้สึกว่า…เป้าหมายถูกผนึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

ผนึกนั้นขับไล่พื้นที่ของจักรวาลออกไปและทำหน้าที่ได้สำเร็จ ทำให้เรือบินรบอยู่ร่วมกับจักรวาลได้อย่างสมบูรณ์!

สิ่งนี้เองที่ทำให้เรือบินรบเต๋ามรณะพิเศษ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ผู้ที่แม้จะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงอยู่ ณ ขณะนี้ ได้ละทิ้งแผนการทั้งหมดและพร้อมจะเสี่ยงทุกสิ่งอย่าง ชายชรารวบรวมพลังสูงสุดของเรือบินรบเพื่อช่วยต่อกรกับพลังดัชนีจากเฉินโม่เฟิง หรือราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!

จักรวาลสั่นสะเทือน ผนึกสะท้อนแสงสว่าง ก่อนจะหยุดพลังดัชนีของเฉินโม่เฟิงเอาไว้ ขณะที่หยุดพลังโจมตีของดัชนีนั้น ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็รีบเร่งฝีเท้าก่อนจะล่าถอยด้วยความตั้งใจที่จะหนีไปจากสนามรบ!

แม้ว่าชายชราจะรวดเร็วสักเพียงใด และแม้ว่าการป้องกันจะทรงพลังสักแค่ไหน แต่…ก็ยังไม่เพียงพอ!

นิ้วของเฉินโม่เฟิง ที่สร้างขึ้นมาจากการรวบรวมสรรพชีวิตบนดวงจันทร์ ปะทะกับผนึกสีดำที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันปลดปล่อยออกมาจากเรือบินรบเต๋ามรณะของตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างรุนแรง

เสียงกัมปนาทดังสนั่นปะทุขึ้นในจักรวาลก่อนที่จะสะท้อนกระจายออกไป พัดพาเอาคลื่นพลังวิญญาณให้ไหลบ่าไปทั่วสนามรบ นิ้วของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ที่สร้างขึ้นจากการรวบรวมดวงแสงจำนวนมหาศาล กระแทกเข้าไปในผนึกสีดำทมิฬราวกับเป็นดาวตก การกระแทกทำลายพลังของดัชนีลงไปกว่าครึ่งและฉีกทำลายผนึกสีดำเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่วนที่เหลืออยู่ของดัชนีพุ่งผ่านผนึกสีดำและกระแทกใส่ร่างของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอย่างจัง

ไม่สำคัญว่าชายชราจะล่าถอยไปรวดเร็วเพียงใด เพราะอย่างไรเขาก็ไม่อาจหนีพ้นได้ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทำได้เพียงมองนิ้วมือและความตายพุ่งตรงเข้ามาหา ความบ้าคลั่งฉาบเคลือบอยู่ในแววตา เขาตะโกนลั่น “เต๋าสวรรค์!”

ผลึกรูปร่างประหลาดในดวงตาส่องแสงสว่าง ก่อนจะก่อตัวและขยายขนาดขึ้น ก่อนที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจะพุ่งตัวออกไปหาดัชนีของเฉินโม่เฟิงและกระแทกเข้าไปอย่างจัง

เสียงระเบิดดังสนั่นจักรวาลขึ้นอีก ผลึกนั้นไม่ได้สลายไปจากพลังอันมหาศาลของนิ้วเฉินโม่เฟิง แต่กระนั้น พลังปราณของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะรักษาสภาพของผลึกเอาไว้ได้ แม้มันจะดูไร้รอยขีดข่วนจากแรงกระแทก แต่ก็ยังหลุดกระเด็นกลับไปหาตัวโยวหรัน ก่อนที่แรงปะทะจะพุ่งเข้าใส่ร่างของโยวหรันเต็มๆ

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกระอักเลือดออกมากองใหญ่ ก่อนที่แขนทั้งหกซึ่งอ่อนเปลี้ยจะประกบเข้าหากันเพื่อสร้างผนึกมือท่วงท่าต่างๆ ดูเหมือนจะเป็นกระบวนเวทที่ใช้เคลื่อนย้ายอาการบาดเจ็บได้ บาดแผลทั้งร่างถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ตามแขนขาแทน ผลก็คือ…แขนหักไปสี่ข้างจากหกข้าง และศีรษะก็ยุบสลายไปสองจากสาม รอยปริแตกปรากฏขึ้นทั่วทั้งร่างของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน และเลือดก็ยังไหลซึมออกมาจากบาดแผลไม่หยุด

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังคงรอดชีวิตมาได้ด้วยทักษะในการใช้กระบวนเวทแม้จะรับการโจมตีจากราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีไปเต็มๆ นัยน์ตาของชายชราแสดงความอ่อนแอและตื่นกลัว เขาล่าถอยอย่างบ้าคลั่งและพยายามจะหนีให้ห่างจากนิ้วมือของเฉินโม่เฟิงให้ไกลที่สุด ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันรู้ดีว่าสภาพของเฉินโม่เฟิงในตอนนี้จะคงอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ชายชราต้องอยู่รอดให้ได้จนกว่าจะพ้นอันตราย

แล้วก็เป็นจริงตามนั้น หลังการโจมตีนั้น สายตาลุ่มลึกในดวงตาของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็จางหายไปและถูกแทนที่ด้วยแสงสีแดงแทน พลังของเมล็ดบัวจากหวังเป่าเล่อเริ่มจะเสื่อมสลาย ชายหนุ่มมีเวลาไม่กี่วินาทีก่อนที่วิญญาณอันแท้จริงของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะกลับไปหลับใหลอีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้น นิ้วมือที่เกิดจากอสูรบนดวงจันทร์ก็จะหายไปด้วยเช่นกัน

หวังเป่าเล่อเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ขณะที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันพยายามจะชะลอการปะทะครั้งต่อไปเพื่อจะถอยให้ห่างจากนิ้วของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี หวังเป่าเล่อก็พุ่งตัวออกไป ด้วยการเพิ่มความเร็วจากเกราะจักรพรรดิและอาวุธเทพที่ส่องสว่างอยู่บนแขน ชายหนุ่มใช้ความเร็วสูงสุดและพุ่งเข้าไปหาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันด้วยความเร็วราวกับเป็นดาวหาง

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันขณะนี้มีสีหน้าตื่นตกใจ การรักษาระยะห่างจากนิ้วใช้พลังงานที่เหลือของเขาไปจนหมด หวังเป่าเล่อพุ่งตัวเข้ามาในช่วงเวลาที่ล่อแหลมที่สุด ไม่มีทางเลยที่ชายชราจะหลบการโจมตีได้พ้น!

“ข้าไม่มีวันยอมแพ้!” นัยน์ตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันฉาบเคลือบได้ด้วยความบ้าคลั่ง ร่างจริงของชายชรายังคงอยู่ในเรือบินรบเต๋ามรณะ แต่วิญญาณของเขาผสานรวมไปกับเสื้อคลุมรบเต๋าเรียบร้อยแล้ว หากร่างวิญญาณได้รับความเสียหาย เขาก็จะบาดเจ็บไปด้วย ผลกระทบของอาการบาดเจ็บอาจทำลายกายเนื้อของเขาไปเลยก็เป็นได้!

ในวินาทีเดียวกันนั้น สายตาของต้วนมู่ฉีเองก็ฉาบเคลือบไปด้วยความบ้าคลั่งเช่นกัน ตอนที่ชายชราออกคำสั่งให้ระเบิดดาวพุธนั้น เขาทำพลาดจนเสียความได้เปรียบไป จากนั้นพอมาถึงดาวศุกร์ เขาก็ทำพลาดอีก ความเลวร้ายนั้นดูราวกับจะฉายภาพซ้อนขึ้นมา ขณะนี้ต้วนมู่ฉีมีสองทางเลือก ทางแรกคือรอ บางทีการต่อสู้อาจจะจบลงได้โดยที่เขาไม่ต้องระเบิดดาวศุกร์ทิ้ง ทางเลือกที่สองคือฉวยโอกาสนี้ระเบิดดาวศุกร์เสีย เป็นการเสียสละเพื่อให้แผนการรบเดิมดำเนินต่อไปตามที่ตั้งใจไว้!

“ถ้าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังมีไพ่ตายหลงเหลืออยู่ เขาก็คงต้องใช้เพื่อปกป้องตนเองก่อน เขาไม่มีแรงเหลือจะแทรกแซงดาวศุกร์อีกแล้ว ข้าจึงคิดว่าพวกเราควร…ทำลายตัวเองเสีย!” ต้วนมู่ฉีที่ตาแดงก่ำส่งเสียงคำราม หลังจากที่ตัดสินใจเด็ดขาด

ดาวศุกร์ทั้งดวงสั่นไหวเมื่อระเบิดต้านทานวิญญาณที่ฝังอยู่ใต้ดินหลุดออกจากผนึกและถูกสั่งใช้งานอีกครั้ง การระเบิดเริ่มต้นขึ้น เสียงกัปนาทดังสนั่นกึกก้องอยู่ในอากาศ ดาวศุกร์สั่นคลอนอย่างหนัก หลี่ซิงเหวินเปิดใช้งานวงแหวนปราณระบบสุริยะและปลดปล่อยพลังสูงสุดออกมาเพื่อทำการเคลื่อนย้ายแบบวงกว้าง ในทันใดนั้น ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐทุกคนบนดาวศุกร์ก็เริ่มเลือนรางก่อนจะหายวับไป

ผู้ฝึกตนเหล่านั้นจากงทีละกลุ่มขณะที่คลื่นพลังทำลายล้างบนดาวศุกร์รุนแรงยิ่งขึ้น ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลถึงกับผงะด้วยความตกตะลึง ไม่มีใครพยายามจะหยุดการระเบิดตนเองนั้น ต่างก็พากันวิ่งหัวซุกหัวซุกด้วยความกลัวไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเองก็ไม่มีแรงจะยุ่งกับดาวศุกร์อีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะต้องการเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะแทรกแซงได้ ในเมื่อตัวเองยังต้องเผชิญอันตรายร้ายแรงอยู่เช่นนี้!

ดาวศุกร์กำลังถูกทำลายในที่สุด ขณะที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกำลังหนีอย่างลนลาน และก่อนที่หวังเป่าเล่อจะเข้าถึงตัวชายชรานั่นเอง ก็มีเสียงทอดถอนใจดังออกมาจากเรือบินรบเต๋ามรณะเบื้องหลังโยวหรัน เสียงนั้นเป็นของสตรีนางหนึ่ง มันแฝงไปด้วยความถวิลหาและอารมณ์ความรู้สึกหลากหลาย เสียงถอนใจสะท้อนไปทั่วสนามรบ นิ้วมือมายาปรากฏขึ้นตรงหน้าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ก่อนจะเอียงเข้าไปหานิ้วมือของเฉินโม่เฟิงแล้วสัมผัส!

ไม่มีเสียงระเบิดดังสนั่น ไม่มีแรงกระแทกรุนแรง นิ้วของเฉินโม่เฟิงสลายไปอย่างไร้สุ้มเสียงเมื่อถูกสัมผัส มันแตกกระจายกลายเป็นแสงไฟดวงเล็กจิ๋วที่ลอยลับหายไปในจักรวาล

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อถึงกับกระตุกเมื่อได้เห็น ชายหนุ่มล่าถอยทันที ความตื่นตะลึงไหลบ่าขึ้นมาในใจ พลังของเมล็ดบัวของเขาสลายไปจนหมดแล้ว แต่เฉินโม่เฟิง ผู้ที่ควรจะกลับไปหลับใหล กลับพึมพำขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มต่ำและแหบพร่า เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากพูดตั้งแต่ตื่นขึ้นมาบนสนามรบแห่งนี้

“จื่อเยว่…”

บทที่ 711 เฉินโม่เฟิง!
เปลวไฟสีดำในกายหวังเป่าเล่อปะทุออกมาอย่างรุนแรงหลังจากที่ชายหนุ่มพูดจบ ก่อนจะแพร่กระจายออกไปจากไหล่ของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอย่างบ้าคลั่ง!

น้ำแข็งสีฟ้าที่กักขังราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเอาไว้พลันเปลี่ยนสีไปทันที

เปลวไฟจากร่างของชายหนุ่มคือเปลวไฟสีดำในกายของเขานั่นเอง!

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอาจมีความรู้เรื่องสำนักแห่งความมืดที่เคยห้ำหั่นกับตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างดุเดือดอยู่บ้าง แต่ด้วยระดับในตระกูลไม่รู้สิ้นของตัวเขาบวกกับระดับพลังปราณ ทำให้โยวหรันจำแนกไม่ได้ในทันทีว่ามันคือเปลวไฟสีดำของสำนักแห่งความมืด แต่กระนั้น ชายชราก็รู้ถึงอันตรายที่ไม่อาจบรรยายได้ ทำให้มีสีหน้าตื่นตกใจขึ้นมาในบัดดล

เปลวไฟสีดำแพร่ออกจากกายหวังเป่าเล่อ น้ำแข็งที่กักขังเขาเอาไว้เริ่มสลายไปอย่างรวดเร็ว!

มันไม่ใช่ละลายหายไปธรรมดา แต่อันตรธานไปเสียสิ้น!

การละลายหมายความว่าชั้นน้ำแข็งกลายเป็นน้ำเพราะสัมผัสกับเปลวไฟที่มีอุณหภูมิสูงกว่า ส่วนการสลายไปนั้น…มีความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!

อุณหภูมิเป็นสิ่งสัมพัทธ์ น้ำแข็งสีฟ้าของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอาจดูเหมือนมีอุณหภูมิต่ำ แต่หากได้สัมผัสกับบางสิ่งที่เย็บเยียบเสียยิ่งกว่า น้ำแข็งก็จะไม่เป็นน้ำแข็งอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นไฟที่เยียบเย็นกว่าเดิม

น้ำแข็งสีฟ้ากำลังสลายไป หากสังเกตจากที่ไกลๆ จะเห็นว่าน้ำแข็งนั้นระเหิดหายไปในจักรวาล ปลดปล่อยผู้ที่ถูกจองจำอยู่ด้านใน ได้แก่ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีและหวังเป่าเล่อออกมา ขณะที่เปลวไฟสีดำแพร่กระจายออกไปนั้น น้ำแข็งสีฟ้าที่ยึดปราการดวงจันทร์เอาไว้ก็เริ่มสลายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ภาพนั้นทำเอานัยน์ตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกระตุก

เปลวไฟนั้นทำมาจากอะไรกัน หัวใจของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเต้นระรัวขณะที่ร่างของชายชราผงะถอยหลังด้วยความตื่นตะลึง ผู้ฝึกตนบนสนามรบต่างก็ตื่นตกใจกันไปหมด ดาวศุกร์ที่เหมือนกับว่าจะต้องแตกสลายไปอย่างแน่นอนแล้วเมื่อไม่กี่วินาทีเริ่มมองเห็นประกายความหวังอีกครั้ง!

แต่หวังเป่าเล่อก็แอบลอบถอนหายใจอยู่อย่างลับๆ เพราะระดับพลังปราณของเขายังอ่อนแอเกินไป หากชายหนุ่มแข็งแกร่งมากพอและสามารถใช้เปลวไฟสีดำได้อย่างยิ่งใหญ่และอลังการกว่านี้ การต่อสู้ครั้งนี้…คงจะจบลงไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว

วินาทีนั้นเองความเด็ดเดี่ยวก็ฉายชัดอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อ หลังจากที่ได้เอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นออกมาและมอบประกายแสงแห่งความหวังให้สหพันธรัฐแล้ว ชายหนุ่มก็เอื้อมมือเข้าไปหาเมล็ดบัวนับสิบในเมล็ดดูดกลืนอย่างไม่รอช้าก่อนจะ…ขยี้พวกมันจนแตกละเอียด!

ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตัวสั่นอย่างรุนแรง ก่อนที่ประกายสีแดงในดวงตาจะลุกโชติช่วงขึ้นมาอีกครั้ง ดูราวกับตะเกียงเจ้าพายุสองดวงที่สาดแสงสว่างอาบไปทั่วสนามรบทั้งหมด ดวงจิตที่กำลังหลับใหลดูจะดิ้นรนอย่างรุนแรง ไม่ต่างจากคนนอนหลับที่ถูกเขย่าตัวปลุกอย่างแรงและกำลังจะตื่นขึ้น!

จุดมุ่งหมายในการใช้เปลวไฟสีดำและขยี้เมล็ดบัวนั้นไม่ใช่ใดอื่น…หวังเป่าเล่อต้องการปลุกวิญญาณที่แท้จริงของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขึ้นมานั่นเอง!

หวังเป่าเล่อคิดจะปลุกวิญญาณที่แท้จริงของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขึ้นมาและใช้พลังที่แท้จริงของอีกฝ่ายปราบศัตรู มันเป็นไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดใบสุดท้ายของชายหนุ่มแล้ว!

สัญญาณอันตรายใหญ่หลวงทำให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันตกตะลึง ประกายแสงรุนแรงฉาบเคลือบอยู่ในแววตา ไม่มีเวลามามัวกังวลเรื่องดาวศุกร์แล้ว ชายชรายกมือขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ทำให้แผ่นวงแหวนทั้งสามบนเรือบินรบเต๋ามรณะของตระกูลไม่รู้สิ้นฉายแสงแรงกล้าออกมา แทนที่จะระเบิดแสงสีฟ้าออกมาอีกครั้ง คราวนี้แผ่นวงแหวนเหล่านั้นกลับเรียกผนึกที่เหมือนอันที่ปกคลุมดาวศุกร์เอาไว้ออกมาอีกผนึกหนึ่ง ผนึกนั้นลอยมาปรากฏอยู่เหนือศีรษะหวังเป่าเล่อ พลางปล่อยเปลวไฟสีดำสนิทออกมาโดยหวังจะหยุดและหลอมชายหนุ่มไปเสีย!

“ไม่มีใครขวางทางข้าได้หรอก!” ดวงตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันส่องประกาย ผนึกรูปร่างประหลาดที่อยู่ภายในส่องแสงจ้า ชายชราก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวก่อนจะปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมา และพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็วราวกับเป็นศรที่ออกจากแล่ง!

ในที่สุดโยวหรันก็เข้าใจ การทำลายสหพันธรัฐแม้จะยากแต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่เป็นตัวปริศนาที่สุดในสงครามครั้งนี้ หากชายหนุ่มยังอยู่ การตัดสินใจผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวก็อาจทำให้ผลลัพธ์ของการรบครั้งนี้ออกมาต่างไปอย่างสิ้นเชิง!

“ข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้!”

ขณะที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ จู่ๆ ชายหนุ่มก็ผุดลุกขึ้นยืนตระหง่านอยู่บนไหล่ของราชาของเผ่าพันธุ์อมตะราตรี นัยน์ตาส่องประกายกล้า แขนทั้งสองก็ยืดกางออกไป เปลวไฟสีดำภายในกายพวยพุ่งออกมาอีกครั้ง พร้อมกับพลังของวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณ พลังของทั้งสองประกอบกับพลังของดอกบัวในกายหวังเป่าเล่อแปรสภาพเป็นพลังของวิชาแห่งศาสตร์มืด พลังที่ดูราวจะดูดกลืนเอาวิญญาณเข้าไปได้ หวังเป่าเล่อพูดออกมาเนิบๆ “เฉินโม่เฟิง!”

เสียงติดสำเนียงแปลกแปร่งของชายหนุ่มดังสะท้อนก้องไปในอวกาศ ก่อนจะพาให้ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตัวสั่น แล้วส่งเสียงคำรามออกมาน่าสะพรึงกลัว

“วิญญาณ จงกลับมาเถิด!” หวังเป่าเล่อกล่าว เสียงของชายหนุ่มเหมือนจะมีอำนาจควบคุมวิญญาณได้ ราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นวาจาสิทธิ์ ชายหนุ่มประกบมือเข้ามาหากันเป็นผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ก่อนจะแยกออกจากกันคล้ายการแยกกันของหยินและหยาง การเป็นอิสระจากชีวิตและความตาย ในที่สุดวิญญาณที่หลับไหลอยู่…ก็ตื่นขึ้น!

ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเงยศีรษะขึ้นมองฟ้าแล้วคำรามออกมาอีกครั้ง โทสะของเขาดังสนั่นสะท้อนก้องไปทั่วทั้งสนามรบ ส่งเอาความกลัวและตื่นตะลึงเข้าไปอยู่ในทุกหัวใจที่เต้นระรัว เสียงคำรามกลบเสียงของหวังเป่าเล่อไปสิ้น ส่งคลื่นพลังวิญญาณกระเพื่อมออกไปในจักรวาล รัศมีอันน่าสะพรึงกลัวปะทุออกมาจากร่างของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!

รัศมีที่ปรากฏออกมานั้นเหนือชั้นกว่าทุกคนในสนามรบ ผู้ฝึกตนทุกคน ไม่ว่าจะจากสำนักวังเต๋าไพศาลหรือสหพันธรัฐ ต่างก็ตัวสั่นเทิ้มไปตามๆ กัน!

กระทั่งศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็ยังตัวสั่นเทาทั้งๆ ที่ยังพุ่งเข้าหาอยู่ ชายชราถอยกรูดตามสัญชาตญาณ และตื่นกลัวเกินกว่าจะเข้าใกล้ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี รอยสีแดงปรากฏขึ้นบนหน้าผากของโยวหรัน ดูเหมือนว่าตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ามีรอยนั้นอยู่ ลึกลงไปในเรือบินรบเต๋ามรณะของตระกูลไม่รู้สิ้น สตรีนางหนึ่งที่นั่งอยู่บนหน้าผาเริ่มผงกศีรษะขึ้นช้าๆ นางจ้องมองออกไปยังโลกภายนอกเรือบินรบ คลื่นอารมณ์อันปั่นป่วนฉาบเคลือบอยู่ในแววตา

วินาทีเดียวกันนั้นเอง แสงสีแดงในนัยน์ตาของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือแสงสลัวลุ่มลึกที่ดูจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและงุนงง

สนามรบเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไรทั้งสิ้น ต่อให้ตื่นเต้นเพียงใด เฟิ่งชิวหรันก็ยังพูดไม่ออกเพราะแรงกดดันอันมหาศาลที่ส่งมาจากราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ไม่มีใครสังเกตเห็นหลี่อู๋เฉินในตอนนั้น ชายหนุ่มตัวสั่นเทา ผนึกที่อยู่ในดวงตาทั้งสองเหมือนจะแตกสลายไป ทำให้ความทรงจำมากมายไหลกลับคืนมาในศีรษะ ในดวงตาปรากฏแววตเวทนาเมื่อชายหนุ่มจ้องมองไปยังราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี

“เฉินโม่เฟิง…”

ท่ามกลางความตื่นตกใจของทุกคน เฉินโม่เฟิงก็ก้มศีรษะลงมองผนึกต้องสาปบนเนื้อหนังของตนเองอย่างงุนงง ก่อนจะหันไปมองโซ่ตรวนที่ล่ามเขาเอาไว้ จากนั้นก็หันศีรษะไปมองหวังเป่าเล่อที่อยู่บนไหล่อย่างเงียบเชียบ ราวกับว่าสายตาของเขากวาดผ่านหวังเป่าเล่อไป โชคไม่ดีนักที่เมื่อเขาตื่นขึ้น ความคิดอ่านทั้งหลายยังไม่ตื่นตามเขาไปด้วย ทำให้เฉินโม่เฟิงยังตกอยู่ในความสับสน

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อซีดขาว ชายหนุ่มยืนอยู่บนบ่าของเฉินโม่เฟิง พร้อมรับรัศมีอันรุนแรงของอีกฝ่ายเข้าไปเต็มๆ เขาต้องใช้พลังของวิญญาณจุติดวงดารา เกราะจักรพรรดิ เปลวไฟสีดำ และความเกี่ยวโยงกันระหว่างดอกบัวเขียวกับราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี จึงสามารถยืนต่ออยู่ได้ หวังเป่าเล่อหันไปสบตาราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ชายหนุ่มยกมือขึ้นอย่างยากเย็นพลางประกบมือและก้มศีรษะคารวะต่ำ

“ข้า หวังเป่าเล่อ เป็นศิษย์น้องของท่านและศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาล ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทรยศหักหลังสำนักและส่งสำนักวังเต๋าไพศาลไปสู่อันตราย ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปลุกท่านผู้อาวุโสขึ้นมา ข้าน้อยขอร้องให้ท่านช่วยเหลือและสังหารผู้ทรยศศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันผู้นี้ด้วยเถิด!”

ดูเหมือนว่าเฉินโม่เฟิงจะไม่ได้ยินหวังเป่าเล่อเลยแม้แต่น้อย เขาถอนสายตาสับสนที่จ้องมองหวังเป่าเล่อไปกวาดดูสนามรบ หยุดจับจ้องหลี่อู๋เฉินอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะเคลื่อนต่อไปหยุดนิ่งอยู่ที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันซึ่งตัวสั่นเทา ขนหัวลุกตั้ง เฉินโม่เฟิงมองเห็นรอยบนหน้าผากศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ซึ่งดูเหมือนจะกระตุ้นบางอย่างในตัวขึ้นมา ชายในร่างยักษ์ดูราวกับกำลังต่อสู้กับความสับสนของตัวเอง

หวังเป่าเล่อเริ่มโมโหที่เฉินโม่เฟิงเมินตนอย่างสิ้นเชิงหลังจากตื่นขึ้นมา ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าพลังของเมล็ดบัวที่ถูกขยี้ไปนั้นจางหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับการตื่นขึ้นของเฉินโม่เฟิง และจะหายไปสิ้นภายในอีกสิบลมหายใจ จากนั้นเฉินโม่เฟิงจะกลับไปหลับไหลอีกครั้ง ด้วยความวิตกกังวล ชายหนุ่มจึงตะโกนเรียกเฉินโม่เฟิงอีกรอบ

“ได้โปรดเถิด ผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติ โปรดช่วยข้าสังหารชายผู้นี้ด้วย!” หวังเป่าเล่อเขย่าดอกบัวสีเขียวในกายอย่างรุนแรงขณะที่พูด พลางปลดปล่อยเปลวไฟสีดำไปด้วย เฉินโม่เฟิงตัวสั่นน้อยๆ ก่อนจะมีจิตสังหารปรากฏขึ้นบนแววตา พาให้ยกมือขวาใหญ่ยักษ์ขึ้นช้าๆ

บรรดาวิญญาณจันทรา เผ่าพันธุ์อมตะราตรี และแมลงจันทราบนดวงจันทร์ต่างก็ตัวสั่นเทาเมื่อเห็นท่าทางนั้น มีพลังปริศนาบางอย่างกำลังฉุดรั้งพวกมัน ในที่สุดพวกมันก็สลายกลายเป็นดวงไฟเล็กจ้อยที่ล่องลอยไปสู่จักรวาล

ดวงไฟเหล่านั้นมีจำนวนนับแสนๆ ดวง พวกมันขึ้นไปรวมตัวกันบนจักรวาลราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีมาโดยตลอด ก่อนจะแปรสภาพเป็นสายน้ำแห่งแสงที่ไหลอยู่ข้างกายราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ขณะที่มือขวาของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรียกขึ้นจนเต็มที่ สายน้ำแห่งแสงก็ไหลไปยังมือข้างที่ยกอยู่ก่อนจะแปรสภาพกลายเป็นนิ้วมายา!

นิ้วนั้นช่างเล็กจ้อยหากเทียบกับขนาดดวงจันทร์ เล็กประมาณหนึ่งในสิบเท่านั้น แต่การปรากฏขึ้นของมันก็ทำให้ทุกคนที่รายล้อมอยู่ถึงกับตื่นตะลึง นิ้วพุ่งเข้าหาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอย่างรวดเร็วปานฟ้าผ่า!

บทที่ 710 หลอมดาวศุกร์!
“หวังเป่าเล่อ พวกเราเปิดใช้งานระเบิดต้านทานวิญญาณบนดาวศุกร์แล้ว พร้อมจะจุดชนวนทุกเมื่อ จงพยายามล่อให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันปล่อยพลังของเรือบินรบเต๋ามรณะออกมา เพราะเขาจะต้องเพ่งสมาธิทั้งหมดไปควบคุมมัน และไม่อาจต้านพลังทำลายตนเองของดาวศุกร์ได้!” ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจ้องตากับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอยู่นั้น เสียงเกรี้ยวกราดของหลี่ซิงเหวินก็ดังขึ้นในหูเขาจากวงแหวนปราณระบบสุริยะ

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นชี้หน้าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ทันใดนั้น นัยน์ตาของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็ลุกโชนด้วยเปลวไฟแดงก่ำ ก่อนที่เขาจะส่งเสียงร้องลั่นและพุ่งตัวไปข้างหน้าตรงไปหาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน โซ่ที่ล่ามเขาเอาไว้ตึงแน่น ดวงจันทร์แทบจะดึงรั้งเขาเอาไว้ไม่อยู่

มีแสงสว่างจ้าส่องออกมาจากดวงจันทร์ ก่อนที่วัตถุเวทของดวงจันทร์จะเริ่มทำงานอย่างสมบูรณ์ มันไม่ได้โจมตีเปะปะไปทั่วอย่างเมื่อครู่ หากแต่สับเปลี่ยนเป้าหมายไปยังตำแหน่งเดียวแทน แสงสีแดงนับแสนเส้นเล็งไปยังเป้าหมายเดียว ก่อนจะยิงใส่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันพร้อมๆ กัน

นัยน์ตาของชายชราส่องประกาย ก่อนที่จะประกบมือเข้าหากันเพื่อสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ลำแสงสีดำและขาวพวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือเขา ก่อนจะผสานกันกลายเป็นแสงสีเทาที่พุ่งเข้าสกัดแสงสีแดงและกำปั้นของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีพร้อมกัน

เสียงกัมปนาทดังสนั่นจักรวาล หวังเป่าเล่อเรียกร่างอวตารออกมา และส่งมันออกไประเบิดตัวเองทันที!

สีหน้าของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเปลี่ยนไปทันที ชายชราบินถลาถอยกลับท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว เขาเป็นบุรุษเดียวที่กำลังประมืออย่างขันแข็งอยู่กับทั้งพลังรบของปราการดวงจันทร์ ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี และร่างอวตารของหวังเป่าเล่อที่ระเบิดตัวเอง

ชายชราดูไม่เต็มใจที่จะนำเรือบินรบมรณะเข้ามาร่วมต่อสู้ด้วย ขณะที่กำลังล่าถอยนั้น แขนทั้งหกก็ขยับอย่างว่องไวเป็นผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ดอกไม้กลีบสีขาวที่มีใจกลางสีดำปรากฏขึ้นข้างกาย ก่อนจะผลิบาน แล้วโปรยกลีบดอกออกไปในจักรวาล กลีบดอกสีขาวนวลเหล่านั้นล่องลอยไปปกคลุมร่างของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเอาไว้

ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีคำราม ก่อนจะกวัดแกว่งแขนอย่างรุนแรง ชุดเกราะของเขาแยกออกจากตัวก่อนจะหลุดเป็นชิ้นๆ หวังเป่าเล่อกระโจนขึ้นไปและฟันอาวุธเวทลงมาอย่างเด็ดขาด ดวงจันทร์สั่นสะท้าน บรรดาผู้ฝึกตนบนดวงจันทร์ต่างก็ส่งพลังออกไปเต็มที่ กระทั่งต้นกำเนิดดาราภายในปราการดวงจันทร์ก็ยังหมุนวนรุนแรง กระแสของลำแสงสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นมือสีแดงขนาดยักษ์ที่พุ่งทะลุกลีบดอกสีขาวและเอื้อมไปคว้าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเอาไว้

คลื่นพลังงานกระจายไปทั่วจักรวาลอีกครั้ง ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตัวสั่น เลือดซึมออกมาจากปากของหวังเป่าเล่อ พลังประสานของทั้งคู่ขจัดกลีบดอกไม้ไปได้ ก่อนจะผสานพลังกันพุ่งเข้าใส่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอีกครา

ประกายเด็ดขาดสว่างวาบขึ้นในดวงตาของโยวหรัน ชายชรายกแขนขวาขึ้นชี้ไปยังเรือบินรบเต๋ามรณะ น้ำเสียงแหบพร่าแผดสนั่นดังลั่นจักรวาล

“ผนึก!”

แผ่นวงแหวนทั้งสามบนเรือบินรบเต๋ามรณะปลดปล่อยแสงสีฟ้าออกมาทันทีที่คำสั่งนั้นดังขึ้น ทะเลแสงที่เย็นเยียบระเบิดทะลักออกมา แช่แข็งทุกสิ่งที่มันสัมผัส!

ทะเลแสงสีฟ้าไหลบ่าออกมาจากเรือบินรบในพริบตา เมื่อเห็นเช่นนั้น นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็มีแสงจางสะท้อนอยู่ ชายหนุ่มดูเหมือนกำลังครุ่นคิดและวิตกกังวลไปพร้อมๆ กัน ก่อนจะล่าถอยอย่างไม่รอช้าด้วยความเร็วสูงสุด แต่ก็สายเกินไป ดวงจันทร์ทั้งดวง ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี และหวังเป่าเล่อถูกทะเลแสงไหลเข้าท่วมทันที ก่อนจะถูกแช่แข็งเอาไว้!

ภาพนั้นทำเอาผู้ฝึกตนทั้งจากสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐผงะด้วยความตกตะลึง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นพลังของเรือบินรบเต๋ามรณะ การทำลายดาวพุธไม่สัมฤทธิ์ผลเพราะเรือบินรบเต๋ามรณะได้ใช้การโจมตีที่คล้ายกันนี้หยุดพลังของระเบิดต้านทานวิญญาณเอาไว้ มันแช่แข็งดาวพุธทั้งดวงและกลบพลังของระเบิดต้านทานวิญญาณไปเสียสิ้น ทำให้ภารกิจทำลายดาวพุธล้มเหลวโดยสิ้นเชิง!

การโจมตีเช่นเดิมกลับมาอีกครั้ง ทว่าเป้าหมายของมันไม่ใช่ดาวเคราะห์อีกต่อไป แต่เป็นราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ปราการดวงจันทร์…และหวังเป่าเล่อ!

ใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงซีดเผือด ร่างกายสั่นสะท้าน กงเต๋าเองก็ตัวสั่น แต่เป็นเพราะความโกรธและจิตวิญญาณการต่อสู้ในกายที่แผดเผาขึ้นอย่างรุนแรง ขณะที่มิตรสหายคนอื่นๆ ของหวังเป่าเล่อต่างก็ทั้งตกใจและกังวลด้วยกันทั้งสิ้น

หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีกัดกรามแน่น พวกเขาเฝ้ารอโอกาสนี้มานาน หลี่ซิงเหวินเปิดวงแหวนปราณระบบสุริยะเพื่อเคลื่อนย้ายผู้ฝึกตนสหพันธรัฐออกให้พ้นรัศมี ขณะที่ต้วนมู่ฉีก็เปิดใช้งานระบบทำลายตัวเองของดาวศุกร์ทันที!

พวกเขาไม่ได้ทำการบุ่มบ่ามหรือบ้าบิ่นแม้แต่น้อย ทั้งคู่กังวลว่าครั้งนี้อาจจะเป็นกับดักของศัตรู แต่…หากพลาดโอกาสนี้ไป โชคชะตาของดาวศุกร์อาจจะเป็นเช่นเดียวกับดาวพุธก็เป็นได้ เป็นเหตุให้…พวกเขาตัดสินใจลองเดิมพัน แม้ว่าจะติดกับก็ตามที!

โชคไม่ดี…ที่พวกเขาแพ้การเดิมพัน!

ในขณะที่กลไกทำลายตัวเองของดาวศุกร์กำลังทำงาน และระเบิดต้านทานวิญญาณที่ฝังลึกอยู่ภายในกำลังจะระเบิดออกมา ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นแล้วกำหมัดแน่น!

แสงที่ส่องออกมาจากเรือบินรบเต๋ามรณะแปรเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีดำในบัดดล ทะเลสีดำทะมึนกว้างไกลกว่าทะเลสีฟ้าถูกปลดปล่อยออกมาจนท่วมจักรวาล กระแสทะเลสีดำสนิทไหลบ่าผ่านผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐทุกคน ผ่านแนวป้องกันต่างๆ ไปปรากฏอยู่ตรงดาวศุกร์พอดิบพอดี ก่อนจะแปรสภาพเป็นผนึกขนาดมโหฬารที่คลุมดาวศุกร์ทั้งดวงเอาไว้ และหล่นลงไปทับอย่างรุนแรง!

ดาวศุกร์สั่นสะเทือนอย่างหนัก ระเบิดต้านทานวิญญาณถูกแรงกดดันมหาศาลจากผนึกสะกดเอาไว้จนหยุดระเบิดกลางคัน!

ต้วนมู่ฉีตัวสั่นเทา แววบ้าคลั่งปรากฏขึ้นบนดวงตาของชายชรา ก่อนที่ทั้งเขาและหลี่ซิงเหวินจะสร้างผนึกฝ่ามือร่วมกันเพื่อเปิดใช้ไพ่ตายใบสุดท้ายของดาวศุกร์!

ลึกลงไปภายใต้พื้นผิวของดาวศุกร์ มีคุกที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มยุคกำเนิดวิญญาณ มันเป็นสถานที่คุมขังนักโทษที่กระทำผิดมหันต์ตั้งแต่เริ่มต้นยุค หญิงชราจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพก็เป็นหนึ่งในนั้น และมีอสูรจำนวนหนึ่งจากบนโลกถูกคุมขังอยู่ที่นี่ด้วย!

อสูรส่วนมากอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในและไม่ได้เป็นอันตรายเท่าใดนัก แต่ต้วนมู่ฉีได้ส่งคำสั่งลับให้เจ้าผินฟาง บิดาของเจ้าเยี่ยเหมิง ให้ปรับแต่งระเบิดต้านทานวิญญาณที่สามารถซุกซ่อนเอาไว้ในกายของนักโทษเหล่านี้ได้ ระเบิดต้านทานวิญญาณเหล่านี้มีต้นกำเนิดดาราเป็นแก่น ดังนั้นแรงระเบิดก็จะรุนแรงเทียบเท่ากับการจู่โจมจากผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเลยทีเดียว มีวงแหวนปราณถูกหลอมขึ้นมารายล้อมนักโทษเหล่านี้ด้วย โดยที่เมื่อนักโทษร้อยคนมารวมตัวกันก็จะได้วงแหวนปราณขนาดย่อมขึ้นมา และเมื่อวงแหวนปราณขนาดย่อมมารวมตัวกันก็จะเป็นวงแหวนปราณขนาดใหญ่ยักษ์!

วงแหวนปราณนี้…เชื่อมต่อโดยตรงกับต้นกำเนิดดาราของดาวศุกร์ ดังนั้นการระเบิดตัวเองของบรรดานักโทษจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่จะทำลายต้นกำเนิดดาราและทำให้ดาวศุกร์ล่มสลาย!

นี่คือแผนการรบสองชั้นที่สหพันธรัฐได้เตรียมเอาไว้!

เมื่อวงแหวนปราณถูกเปิดใช้งาน นักโทษไร้สติทุกคนในเรือนจำแห่งดาวศุกร์ก็ตัวสั่นอย่างรุนแรง มีลำแสงส่องสว่างออกมาจากกายของพวกเขาทุกคน ก่อตัวเป็นคลื่นพลังทำลายล้างที่จะส่งผลต่อต้นกำเนิดดารา จากนั้นดาวศุกร์ก็จะสั่นสะท้านราวกับว่าจะระเบิดขึ้นอีกคราหนึ่งกระนั้น!

“นี่หรือไพ่ตายของพวกเจ้า!” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันหัวเราะอยู่ในลำคอ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆแล้วชี้ออกไป ผนึกสีดำสนิทที่ปกคลุมอยู่เหนือดาวศุกร์ปล่อยเปลวเพลิงสีดำออกมาทันที เปลวเพลิงนั้นแผดเผาโชติช่วง ก่อนจะกระจายตัวออกห้อมล้อมดาวศุกร์เอาไว้ราวกับเป็นสายลมคลั่ง ดาวศุกร์ทั้งดวงถูกห้อมล้อมด้วยเปลวไฟซึ่งกลายเป็นผนึกชั้นที่สอง กดทับจนไพ่ตายของสหพันธรัฐล้มไม่เป็นท่า ขณะที่เปลวไฟเผาไหม้ มันก็เริ่มหลอมดาวศุกร์ทั้งดวงไปด้วย!

แนวป้องกันที่สามบนดาวศุกร์พังครืนลงมาในพริบตา พร้อมๆ กับแนวป้องกันที่สองที่กำลังละลายลงไปอย่างรวดเร็ว!

โทสะไหลเวียนอยู่ในกายของต้วนมู่ฉีขณะที่ชายชราอาเจียนเอาเลือดออกมากองใหญ่ นัยน์ตาของเขาแดงก่ำ ความขมขื่นกัดกินอยู่ในใจ หลี่ซิงเหวินเองก็อยู่ในสภาพคล้ายกัน เขาตัวโงนเงน ใบหน้าซีดขาว ผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐคนอื่นๆ ต่างก็นิ่งเงียบกันไปหมด!

“หากข้าไม่คิดใช้พวกเจ้าระเบิดดาวศุกร์ เพื่อที่ว่าต้นกำเนิดดาราของมันจะได้เผยออกมาให้ข้าเก็บสะสมได้ง่ายๆ ข้าคงจะหลอมพวกเจ้าทุกคนไปเสียนานแล้ว” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม เป้าหมายของเขาไม่ใช่เพียงการทำลายดาวศุกร์ หากแต่ต้องการหลอกล่อให้สหพันธรัฐปลุกต้นกำเนิดดาราให้ตื่นขึ้น มันไม่เพียงจะทำให้การหลอมของเขาสมบูรณ์เท่านั้น แต่ต้นกำเนิดดารายังเป็นแหล่งพลังงานอันยิ่งใหญ่ที่จะช่วยซ่อมแซมเรือบินรบเต๋ามรณะที่ชายชราผสานรวมกายของตนเองเข้าไปได้อย่างดีอีกด้วย

โยวหรันแสร้งทำเป็นหลังพิงฝา จนต้องนำเรือบินรบเต๋ามรณะมาช่วยรับมือกับทั้งหวังเป่าเล่อ ปราการดวงจันทร์ และราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แต่ความจริงมันเป็นกับดัก เป้าหมายที่แท้จริงคือการล่อให้สหพันธรัฐระเบิดดาวศุกร์นั่นเอง

“หวังเป่าเล่อ ข้าอยากให้เจ้ามองดูดาวเคราะห์ที่เจ้าพยายามจะรักษาเอาไว้ถูกกลืนกินเข้าไปอย่างช้าๆ และกลายมาเป็นสารอาหารให้เรือบินรบของข้า” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่น สายตาของเขาจับจ้องไปยังหวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งยังติดอยู่ในน้ำแข็งบนไหล่ของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี

หวังเป่าเล่อถูกแช่แข็งนิ่งอยู่กับที่แต่ยังไม่ตาย ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มคิดสิ่งใดอยู่ แต่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันมองเห็นความวิตกกังวลในสายตาของชายหนุ่มได้ชัดเจน

“มาเริ่มงานเลี้ยงกันเถิด!” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกล่าวอย่างลิงโลดใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำได้เพียงมองดูด้วยสายตากลัดกลุ้ม ชายชราหัวเราะออกมาอีก ก่อนจะโบกมืออีกครั้ง ทะเลเพลิงที่ล้อมรอบดาวศุกร์อยู่ก็ทะลุผ่านแนวป้องกันที่สองเข้าไปได้ วงแหวนปราณป้องกันเริ่มแตกร้าว ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนนิ่งงันไปเพราะพลังอันยิ่งใหญ่ที่พวกเขากำลังประสบ แต่ความโลภก็เข้าเกาะกุมจิตใจ หลังจากที่รู้ว่าเปลวไฟสีดำทำอันตรายพวกเขาไม่ได้ ต่างก็รีบรุดผ่านเปลวไฟและเริ่มต่อสู้อีกครั้ง

ระบบทำลายตัวเองล้มเหลว และแนวป้องกันของดาวศุกร์กำลังจะล่มสลาย ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิธีใดที่ช่วยหลีกหนีความพ่ายแพ้ได้อีก ต้วนมู่ฉีหัวเราะอย่างขมขื่น เขากำลังจะออกคำสั่งให้สละดาวศุกร์และสั่งกองทัพให้ถอนกำลังไปยังดาวอังคารโดยใช้วงแหวนปราณระบบสุริยะ และพวกเขาจะไปจัดตั้งกองกำลังกันที่นั่นแทน

ตอนนั้นเองที่หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งติดอยู่ในน้ำแข็งบนไหล่ของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เปลวไฟสีดำปะทุขึ้นมาจากร่างของชายหนุ่ม แม้จะดูคล้ายกันกับเปลวไฟสีดำที่โยวหรันใช้หลอมดาวศุกร์อยู่ในขณะนี้ แต่แก่นของมันกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง เปลวไฟนั้นผ่านทะลุน้ำแข็งออกมา และทำให้น้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว เสียงของหวังเป่าเล่อระเบิดสนั่นขึ้นก้องจักรวาล

“แปลว่าตอนนี้เจ้าเองก็ไม่มีไพ่ตายใดๆ เก็บเอาไว้อีกแล้วสินะ”

บทที่ 709 โยวหรันมาถึงแล้ว!
หมัดนั้นกระแทกเข้าไปในจักรวาลและสร้างพายุหมุนรุนแรงขึ้นมาในพริบตา พายุหมุนพวยพุ่งเข้าใส่แสงสีดำที่พุ่งเข้ามาและปะทะกันอย่างจัง แสงสีดำปลดปล่อยพลังเต็มขั้นก่อนจะระเบิด!

แรงสั่นสะเทือนกระจายออกมาราวกับเป็นคลื่นคลั่ง ดึงร่างราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีลงไป ร่างยักษ์สั่นสะท้านและซวนเซถอยหลังภายใต้แรงสะท้อนกลับรุนแรง เขาไม่ได้ล้มลงใส่ดวงจันทร์แต่เซไปในอีกทิศทางหนึ่ง

ท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่น โซ่ที่ล่ามราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเอาไว้ก็ส่งเสียงครั่นครืนเพราะพลังของแสงสีดำ มันส่งเสียงเอียดอาดก่อนจะแกว่งอย่างรุนแรง ดวงจันทร์สั่นคลอนก่อนจะไถลออกไปหลายร้อยเมตร

ความรุนแรงของการโจมตีมากล้นเสียจนผู้ฝึกตนทุกคนในบริเวณนั้นกลัวขึ้นมาจับใจ ทั้งผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐต่างก็มองเห็นภาพนั้นพร้อมๆ กัน และต่างใจเต้นโครมคราม ความคิดตื้อตึงไปหมด

ใจของหวังเป่าเล่อหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม หากเป็นเขา คงต้านทานการโจมตีนั้นได้ยากเต็มกลืน และถึงแม้จะสกัดไว้ได้ ก็คงจะบาดเจ็บสาหัสและอาเจียนออกมาเป็นโลหิตเป็นแน่ ชายหนุ่มรีบหันไปมองราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีทันทีเพื่อตรวจดูสภาพของอีกฝ่าย

พลันชายหนุ่มก็มีสีหน้าแปลกประหลาด ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีถูกผลักถอยหลังไปจนเสียหลัก แต่วินาทีถัดมา เขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างดุร้ายอีกครั้งร่างกายไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน!

เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ค่อยคลายใจ ชายหนุ่มหรี่ตาลงก่อนจะจ้องมองออกไปไกลยังทิศทางที่แสงสีดำมุ่งหน้ามา เรือบินรบขนาดมหึมาสร้างจากแผ่นกลมสามแผ่นดูคุ้นตาปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจากที่ล่องหนอยู่ก่อนหน้านี้!

บนเรือบินรบมีคนยืนอยู่คนหนึ่ง ดูเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับความใหญ่ยักษ์ของเรือบินรบ แต่เห็นได้ชัดว่าบุคคลผู้นี้คือแก่นของเรือบินรบลำนี้!

เป็นภาพที่หวังเป่าเล่อรู้สึกคุ้นตานัก…

ร่างกายกำยำ มีสามศีรษะและหกแขน แผ่ปราณวิญญาณระดับน่าสะพรึงกลัวออกมา รัศมีที่เปล่งออกมานั้นรุนแรงราวกับว่าจะสามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้ พลังที่ไหลบ่าออกมาจากร่างของคนผู้นั้นเหมือนกำลังประกาศอำนาจบารมีเหนือทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณใกล้เคียง!

เขาดูไม่เหมือนศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนชุดคลุมออกศึกที่อาบชุ่มไปด้วยของเหลววิญญาณบนเรือบินรบที่หวังเป่าเล่อทำลายไปมากกว่า!

แต่เมื่อสายตาของหวังเป่าเล่อจับจ้องไปยังเสื้อคลุมออกศึกที่กลายสภาพไป ชายหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่า…นั่นคือศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!

“รวมร่างกันอย่างนั้นสินะ…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ไม่มีความกลัวหรือความคิดที่จะล่าถอยอยู่ในสายตาคู่นั้นแม้แต่น้อย มันฉายประกายกล้าที่เต็มไปด้วยความกระหายการต่อสู้ซึ่งพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ เส้นปราณสีโลหิตปรากฏขึ้นรอบกายพร้อมๆ กับเกราะจักรพรรดิที่ส่งเสียงโครมครามขณะประกอบกันขึ้นรอบกายเขา อาวุธเวทบนแขนขวาส่องประกายกล้า ดวงตาปีศาจสีดำสนิทที่ล่องลอยอยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อก็ใช้จังหวะนี้ขยายตัวขึ้น ดวงตานั้นเผยอลืมขึ้นก่อนจะจับจ้องเขม็งไปยังศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!

ขณะที่ดวงตานั้นจับจ้องไป ประกายสีเทาจางก็ปรากฏขึ้นบนนัยน์ตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเช่นกัน ลึกลงไปภายในดวงตาคู่นั้นมีผลึกไร้รูปทรงขนาดเท่าเล็บมนุษย์ซุกซ่อนอยู่ ตัวตนของมันอยู่ระหว่างความจริงและภาพลวงตา พลางส่องแสงสีดำและขาวที่ผสมกันกลายเป็นสีเทามัวๆ ขึ้นในตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!

นัยน์ตาของชายชราส่องประกายสีเทาอ่อน และเมินเฉยกับการจับจ้องของดวงตาปีศาจด้านหลังหวังเป่าเล่อ ชายชราก้าวลงมาจากเรือบินรบก่อนจะเหยียบย่างลงบนท้องฟ้าเกลื่อนดาว แล้วแปรสภาพกลายเป็นภาพพร่ามัว ความเร็วของเขาทำเอาระยะที่ห่างไกลลิบๆ นั้นดูราวกับว่าห่างออกไปเพียงเอื้อมมือ!

จิตสังหารของชายชรามาถึงก่อนตัวตนของเขาเสียอีก!

โยวหรันยกฝ่ามือทั้งสองประกบเข้าหากันเป็นผนึกฝ่ามือ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มากมายปรากฏขึ้นรอบกายชายชราก่อนจะกระจายตัวออกไป พลางส่องแสงสว่างราวกับเป็นดาวฤกษ์ แล้วจึงค่อยๆ จัดเรียงตัวกลายเป็นแผนที่จักรวาลขนาดย่อม!

ภายในแผนที่มีดวงอาทิตย์เก้าดวงและดวงจันทร์นับร้อย รวมไปถึงดาวดวงเล็กดวงน้อยนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไปทั่ว แผนที่นี้ไม่ใช่แผนที่ระบบสุริยะ แต่เป็นส่วนหนึ่งของฟากฟ้าที่ไม่ปรากฏอยู่ในโลกความเป็นจริง พลังอันยิ่งใหญ่อุบัติขึ้นทันทีที่แผนที่ปรากฏออกมา มันรุนแรงราวกับจะพัดพาให้ทุกสิ่งพังพินาศ เสียงทุ้มต่ำของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันดังขึ้นพร้อมๆ พลังที่ซัดสาดใส่หวังเป่าเล่อ!

“จับตัวมันเอาไว้!” จักรวาลสั่นสะเทือนและไหวกระเพื่อม บรรดาดวงดาวก็ดูราวจะอับแสงไป แผนที่ที่โยวหรันเรียกออกมานั้นขณะนี้กลายมาเป็นจุดกำเนิดแสงสว่างเพียงแห่งเดียวขณะที่มันพวยพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ ราวกับว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกำส่วนหนึ่งของจักรวาลเอาไว้ในมือและใช้มันเพื่อเอาชนะหวังเป่าเล่อก็ไม่ปาน!

แต่นั่นอาจเป็นการอธิบายเกินจริงไปเสียหน่อย อันที่จริงแล้ว พลังที่แท้ของคาถาอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับที่อธิบายไป แต่ถึงกระนั้น ความยิ่งใหญ่ของคาถาและความรู้สึกเมื่อได้เห็นก็ยังน่าตื่นตะลึงอยู่เช่นเดิม!

ความมุ่งร้ายที่แปรเปลี่ยนกลายเป็นจิตสังหารรุนแรงขนาดที่หวังเป่าเล่อไม่เคยสัมผัสมาก่อนปะทุขึ้นในใจของชายหนุ่มราวกับเป็นประกายสายฟ้านับแสน สัญญาณเตือนในศีรษะชายหนุ่มดังขึ้นพร้อมกัน หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้นเพราะความรุนแรงของการโจมตีที่กำลังใกล้เข้ามา หวังเป่าเล่อรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา วิญญาณเริ่มสั่นไหว ชายหนุ่มไม่อาจจะหลบการโจมตีนั้นได้ ไม่มีเวลาชั่งใจว่าเหตุใดจู่ๆ ดวงตาปีศาจก็สูญสิ้นพลังไปเสียเฉยๆ ชายหนุ่มที่ดวงตาแดงก่ำทำได้เพียงใช้ทุกสิ่งที่มีเพื่อสั่งงานดวงตาปีศาจเบื้องหลังให้ได้อีกครั้ง!

ต้องทำให้โยวหรันหยุดชะงักและขัดขวางแผนที่ดวงดาวให้ได้ เป็นวิธีเดียวที่จะโต้ตอบการโจมตีของอีกฝ่ายและหลีกเลี่ยงความตายได้!

“ข้าสังหารเจ้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ทำไมจะทำอีกครั้งไม่ได้!” แววตาบ้าคลั่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวังเป่าเล่อ วิญญาณจุติดวงดาราลืมตาขึ้นก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมาสนับสนุนดวงตาปีศาจ ซึ่งลืมตาตื่นอย่างเต็มที่ในอีกอึดใจต่อมา มีเส้นเลือดสีแดงก่ำปรากฏขึ้นทั่วม่านตา พลังมหาศาลที่ก่อตัวขึ้นเป็นผนึกเข้าไปปิดล้อมศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเอาไว้!

ผลึกในดวงตาของโยวหรันส่องแสงออกมาเลือนลาง แต่ก่อนที่เขาจะทำอะไรได้ หวังเป่าเล่อก็ตะโกนท่องบทสวดอยู่ในศีรษะ พลังอันทรงอำนาจที่เดินทางมาจากส่วนลึกสุดของอวกาศแผ่ลงมาจากเบื้องบนของพวกเขา และปะทุอยู่รอบกายของทั้งคู่!

เสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้นภายในศีรษะของผู้ฝึกตนทุกคนเมื่อพลังนั้นมาถึง ตอนนั้นเอง ดวงตาปีศาจสีดำก็ปลดปล่อยพลังออกมาเต็มขั้น สุดท้ายสีหน้าของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก ทั้งตัวเขาและแผนที่ดวงดาวอันน่าเกรงขามชะงักไปชั่วอึดใจ

แสงจากผลึกรูปร่างแปลกประหลาดที่อยู่ลึกลงไปในดวงตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอ่อนลงไปมาก ราวกับว่าประกายกล้าของมันเมื่อครู่ถูกพลังงานจากภายนอกที่เข้าปกคลุมสะกดทับเอาไว้ ก่อนจะกักขังประกายของมันเอาไว้ด้านใน!

หวังเป่าเล่อรีบฉวยโอกาสทันทีอย่างไม่รอช้า เขาทิ้งร่างอวตารไว้ข้างหลังก่อนจะพุ่งตัวออกไป ร่างกายภายในเกราะจักรพรรดิยกแขนขวาขึ้น แสงที่ส่องออกมาจากอาวุธเทพแรงกล้าราวกับเป็นดวงตะวัน เขาเล็งอาวุธเทพไปทางโยวหรันแล้วฟันทันที!

คลื่นพลังวิญญาณไหลบ่าไปทั่วจักรวาล แรงที่ฟันลงไปนั้นปรากฏเป็นสายรุ้งทอดยาว เคลื่อนที่ผ่านความเวิ้งว้างอันมืดมิดไปโผล่อยู่ตรงหน้าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทันที มันเลี่ยงแผนที่ดวงดาวแล้วพุ่งเข้าใส่โยวหรันโดยตรง

ตอนนั้นเอง ผลึกในดวงตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็หลุดออกมาได้ ดวงตาปีศาจของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน ขณะที่ตัวชายหนุ่มเองก็บ้วนเอาเลือดออกมากองใหญ่ ผลึกนั้นปลดปล่อยพลังออกมาเต็มที่ได้อีกครา

ประสาทสัมผัสของหวังเป่าเล่อรู้สึกถึงอันตรายและความบ้าคลั่งที่ขยับเข้ามาพร้อมๆ กัน ชายหนุ่มไม่ได้ล่าถอย แต่กลับยืนปักหลักตั้งมั่นและส่งแรงฟันไปข้างหน้าต่อไป!

ฝ่ายโยวหรันเองก็เพิ่งขยับตัวได้อีกครั้ง ชายชราไม่ได้พยายามหลบการโจมตีของหวังเป่าเล่อแต่อย่างใด กลับกัน เขาประกบฝ่ามือสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ด้วยจิตสังหารแรงกล้า แล้วเหวี่ยงแผนที่ดวงดาวเข้าไปสกัดกั้นการโจมตี แผนที่ดวงดาวและอาวุธเทพของหวังเป่าเล่อปะทะกันทันที!

“สลายไปเสีย!” หวังเป่าเล่อคำราม ก่อนจะฟาดอาวุธเวทลงไปอย่างแรง ฟาดฟันแผนที่ดวงดาวจนแหลกเป็นชิ้นๆ!

เสียงกัมปนาทดังสนั่นสะท้อนไปทั่วจักรวาล คลื่นพลังวิญญาณไหลบ่ากระจายออกไปราวกับเป็นคลื่นขนาดมโหฬาร แรงสะท้อนกลับกระแทกเข้าใส่ผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่าย หลายต่อหลายคนถึงกับกระอักเลือดก่อนจะรีบซวนเซหลีกให้พ้นทาง

เลือดไหลซึมออกมาจากปากของหวังเป่าเล่อเช่นกัน พลังมหาศาลพวยพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มทันทีที่แผนที่ดวงดาวแหลกสลาย แม้จะมีการป้องกันของเกราะจักรพรรดิอยู่ก็ไม่อาจปกป้องเขาจากอาการบาดเจ็บได้ แรงสะท้อนกลับรุนแรงเสียจนเกราะจักรพรรดิแตกร้าวไปทั่ว หวังเป่าเล่อกระเด็นถอยหลังไป ประสาทสัมผัสของชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงอันตรายทันทีที่เห็นมือของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเอื้อมออกมาจากด้านหลังแผนที่ดวงดาวที่แหลกสลายนั้น

มือข้างนั้นเปี่ยมไปด้วยพลังประหลาด ผลึกที่อยู่ในดวงตาของชายชราบัดนี้มาปรากฏอยู่บนฝ่ามือที่ยื่นมา หมายมั่นจะจับตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้ให้ได้!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากชายหนุ่มถูกจับได้ ทั้งร่างกายและวิญญาณคงถูกทำลายจนสิ้นซาก เขาไร้ซึ่งพลังจะตอบโต้ โชคยังดีที่หวังเป่าเล่อเป็นนักสู้มากประสบการณ์ ขณะที่เงื้อมมือมัจจุราชกำลังจะถึงตัว ชายหนุ่มก็รีบสลับที่กับร่างอวตารทันที

ร่างจริงของหวังเป่าเล่ออันตรธานหายไป มีร่างอวตารมาปรากฏอยู่แทนที่ ร่างนั้นระเบิดทันทีที่เงื้อมมือของโยวหรันคว้ามันไว้ได้ แรงระเบิดสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งจักรวาลและพุ่งเข้ากระแทกมือนั้นอย่างแรง

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันส่งเสียงฮึ่มอยู่ในลำคอ ก่อนจะแปรสภาพเป็นสายรุ้งเส้นยาว และพุ่งทะลุเศษแผนที่ดาวที่แหลกสลายตรงไปยังร่างจริงของหวังเป่าเล่อซึ่งยืนอยู่บนไหล่ของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีทันที

ชายชราเคลื่อนที่รวดเร็วจนร่างของเขากลายเป็นเพียงภาพพร่าเลือนที่พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะจบการต่อสู้นี้ลงโดยเร็วที่สุด โดยไม่ยอมให้โอกาสหวังเป่าเล่อได้ตั้งตัวและตอบโต้ แต่ดูเหมือนชายชราจะดูถูกปฏิกิริยาตอบสนองอันว่องไวของหวังเป่าเล่อเกินไป ทันทีที่ชายหนุ่มสลับตำแหน่งกับร่างอวตาร เขาก็ทุบเมล็ดบัวอีกสิบเมล็ดอย่างแน่วแน่ ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหวังเป่าเล่อคำรามและพุ่งตัวออกไปทันที ก่อนจะยกหมัดขวาขึ้นต่อยออกไปข้างหน้า!

ราวกับว่าหวังเป่าเล่อและศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันลงมือพร้อมกัน ทั้งคู่พุ่งเข้าใส่กันก่อนจะปะทะกันในที่สุด ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีซวนเซถอยหลังจากการปะทะรุนแรง ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็กระดอนกลับไปหลายร้อยเมตร ก่อนจะหยั่งเท้าและหยุดตัวเองได้ ชายชราเงยใบหน้าถมึงทึงเปี่ยมด้วยโทสะขึ้นจ้องมองไปยังบ่าของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตรงที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่

มีเลือดซึมออกมาจากมุมปากของชายหนุ่ม เขาเองก็เงยหน้าขึ้นมองโยวหรันเช่นกัน การต่อสู้ของทั้งคู่เพิ่งเริ่มมาได้ไม่กี่อึดใจ และเห็นได้ชัดว่าหวังเป่าเล่อเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ชายหนุ่มก็ยืนหยัดรับมือได้ด้วยไหวพริบและบรรดาเคล็ดวิชาเฉพาะตัว

บทที่ 708 การมาครั้งยิ่งใหญ่!
ดวงจันทร์อาจเล็กเมื่อเทียบกับดาวศุกร์ แต่ก็ยังถือเป็นตัวตนหนึ่งในจักรวาล เมื่อดวงจันทร์เคลื่อนผ่าน คลื่นพลังก็พวยพุ่งไปรอบบริเวณส่งผลให้ผืนอวกาศดูบิดเบี้ยว

เหล่าผู้ฝึกตนทั้งในและนอกดาวศุกร์ต่างตื่นตกใจกับการมาถึงของดวงจันทร์

สิ่งที่ทำให้ภาพตรงหน้าน่าตื่นตะลึงขึ้นไปอีกคือยักษ์หน้าตาดุร้ายขนาดมหึมาที่อยู่ด้านหน้าดวงจันทร์ ยักษ์ตนนั้นสวมชุดเกราะ ผิวหนังเต็มไปด้วยผนึก รอบตัวปกคลุมไปด้วยรัศมีแห่งความตาย โซ่ตรวนขนาดใหญ่ล่ามยักษ์เอาไว้กับดวงจันทร์ เขากำลังฉุดลากดวงจันทร์ไปข้างหน้าพร้อมคำรามก้อง!

ภาพที่เห็นนั้นดูไม่น่าเชื่อและน่าหวั่นเกรงเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งขับดันให้การมาถึงของดวงจันทร์ดูทรงพลังขึ้นไปอีก ทุกสายตาจับจ้องไปยังร่างๆ หนึ่งที่ยืนอยู่บนบ่าของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เขาผู้นั้นก็คือหวังเป่าเล่อนั่นเอง!

ชุดคลุมและเส้นผมพัดปลิวไสว โครงหน้าหล่อเหลา หุ่นผอมเพรียว และดวงตาเย็นชาส่งให้เขาดูแปลกไม่คุ้นตา นอกจากนี้ยังเปล่งพลังทรงอำนาจ ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้ามาลองดี!

แม้ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะตัวใหญ่ยักษ์เพียงใดแต่ก็เป็นเพียงมดปลวกเมื่อมาอยู่ต่อหน้าดาวเคราะห์ หวังเป่าเล่อไม่สามารถใช้คาถาขยายขนาดราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีได้ แต่ก็สามารถสร้างภาพมายาของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีได้!

และ…ก็ได้ผลดีทีเดียว เหล่าผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้นต่างตื่นกลัวเมื่อได้เห็นร่างใหญ่ยักษ์ของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี พวกเขาเป็นเหมือนมดปลวกที่เข้าเผชิญหน้ายักษ์ใหญ่ แรงกดดันมหาศาลจากราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีทำให้พวกเขากลัวจนขนหัวลุก!

ผู้ฝึกตนมีอายุบางคนจากสำนักวังเต๋าไพศาลจำชายผู้นี้ได้ พวกเขาร้องขึ้นด้วยความตื่นตกใจ “เฉินโม่เฟิง!”

ขณะที่เหล่าผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลกำลังตื่นตกใจกันอยู่ คลื่นพลังวิญญาณจากดวงจันทร์ที่พุ่งเข้ามาก็พัดกระจายไปทั่ว วังวนนับสิบพลันปรากฏขึ้นพร้อมกองทัพสำนักวังเต๋าไพศาลชุดใหม่ พวกเขาพุ่งตรงไปหาดวงจันทร์ หมายจะหยุดยั้งมันเอาไว้

เรือบินรบเหล่านี้ซ่อนตัวจากสนามรบเป็นเวลานาน เป้าหมายของกองเรือบินรบนี้คือคอยซุ่มโจมตีกองกำลังเสริมของสหพันธรัฐและซ่อนพลังที่แท้จริงของสำนักวังเต๋าไพศาลไว้ไม่ให้ศัตรูรู้ เมื่อถึงเวลา กองเรือบินรบก็จะเผยตัวตนและเข้าร่วมกับกองทัพเพื่อกำจัดดาวศุกร์ด้วยชุดการโจมตีอันแข็งแกร่ง

กองกำลังที่ซ่อนตัวจากสนามรบอยู่นานมีจำนวนไม่น้อยทีเดียว คลื่นพลังวิญญาณพัดกระจายไปทั่วจักรวาล พริบตาเดียว วังวนนับสิบก็ปรากฏขึ้นอีก ทำให้ในตอนนี้มีวังวนเกินร้อยหมุนวนอยู่ทั่วห้วงอวกาศ กองเรือบินรบสำนักวังเต๋าไพศาลพุ่งออกมาจากวังวน พวกมันเข้าไปล้อมดวงจันทร์ แสงคาถามากมายระเบิดขึ้นเปลี่ยนทั่วบริเวณให้กลายเป็นทะเลแสง ดวงจันทร์และราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีถูกแสงถาโถมใส่ในทันใด

หากเป็นดาวเคราะห์อื่นของสหพันธรัฐที่เข้ามาเสริมทัพ มันก็อาจทนการดักซุ่มโจมตีนี้ได้ แต่คงเลี่ยงความเสียหายที่เกิดจากการปะทะไม่ได้ ทำได้ดีที่สุดแค่ช่วยแบ่งกำลังพลของสำนักวังเต๋าไพศาลออกมาและลดแรงกดดันที่ดาวศุกร์กำลังแบกรับ แต่ไม่สามารถช่วยดาวศุกร์ได้อย่างเต็มที่

ทว่าที่มาเสริมทัพคือปราการดวงจันทร์ที่มีราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอยู่ใต้บัญชา การโจมตีเหล่านี้ไม่สามารถทำอะไรปราการนี้ได้ หวังเป่าเล่อหรี่ตามองทะเลแสงที่ปกคลุมทั่วพื้นที่ จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นชี้นิ้ว

เสียงคำรามดังขึ้นจากราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ฟังดูคล้ายเสียงกรีดร้องของพายุ ร่างมหึมาของเขาพุ่งผ่านทะเลแสง ลากดวงจันทร์ผ่านตรงไปหาทัพศัตรู ไม่สนใจเรือบินรบที่เข้าขวางทาง!

กองเรือบินรบคืออาวุธสุดแข็งแกร่งที่ไม่ควรเข้าไปลองดี แต่คู่ต่อสู้ที่ต้องเผชิญหน้าคือราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีและดวงจันทร์ พวกเขาจึงดูอ่อนแอเมื่อต้องประมือกับคู่ต่อสู้ดังกล่าว ทะเลแสงอาจจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะต้านดวงจันทร์ไว้ได้!

กองเรือบินรบไม่สามารถหลบได้ทันจึงปะทะเข้ากับคลื่นพลังงานจากดวงจันทร์และกระเด็นออกไป จากนั้นก็ถูกดวงจันทร์ที่เคลื่อนผ่านบดขยี้!

เสียงปะทะดังก้องเมื่อเหล่าเรือบินรบถูกบดขยี้ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน ผู้ฝึกตนหลายคนพยายามหลบหนีออกจากเรือบินรบ แต่ก็ทำได้แค่มองคลื่นพลังพุ่งเข้ามาหาตนเองอย่างสิ้นหวัง ดวงจันทร์ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในสายตา ก่อนจะบดขยี้พวกเขาและช่วงชิงลมหายใจไป!

ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลถูกสังหารหมู่ เสียงคำรามของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีดังก้องห้วงอวกาศขณะกำลังฉุดลากดวงจันทร์ ตัวตนมหึมาทั้งสองพุ่งผ่านทัพศัตรูเข้าไปใจกลางสนามรบ!

เรือบินรบสำนักวังเต๋าไพศาลมากมายระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเมื่อราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีพุ่งผ่าน ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงเย็นเยียบขึ้นขณะที่เอ่ยออกคำสั่งให้ผู้ฝึกตนทุกคนบนปราการดวงจันทร์เปิดใช้งานวัตถุเวทที่มี ดวงจันทร์ฉายไปด้วยแสงสีแดงในทันที วัตถุเวททุกชิ้นบนดวงจันทร์ถูกเปิดใช้งาน ลำแสงจ้านับไม่ถ้วนยิงพุ่งแหวกอากาศจากทุกองศาของปราการดวงจันทร์

ลำแสงสีแดงแต่ละเส้นอาจไม่แข็งแกร่งนัก แต่…เมื่อมารวมกันก็มีจำนวนเกินแสนๆ เส้น คลื่นพลังวิญญาณพัดกระจายไปทั่วจักรวาล ลำแสงนับสิบยิงพุ่งผ่านอากาศชุดแล้วชุดเล่าไม่มีหยุดพัก!

ลำแสงสีแดงนับล้านเส้นสาดซัดทั่วสนามรบ เรือบินรบสำนักวังเต๋าไพศาลทุกลำในระยะโดนลำแสงสีแดงนับร้อยถล่ม ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่พุ่งออกจากเรือบินรบก็ไม่สามารถหลบได้พ้น เสียงเรือบินรบระเบิดและเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของเหล่าผู้ฝึกตนดังก้องไปทั่วพื้นที่ เหมือนดังบทเพลงแห่งความทรมานที่ไม่มีวันจบสิ้น!

หวังเป่าเล่อบีบทำลายเมล็ดดอกบัวเรื่อยๆ เพื่อควบคุมราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีที่กำลังอ้าแขนกวัดแกว่งไปทั่วจักรวาล พายุพุ่งแหวกอากาศทำลายทุกสิ่งที่ขวางทางทุกครั้งที่แขนพาดผ่าน หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าไปหาผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าที่ร่างมายาของเฟิ่งชิวหรันกำลังต่อกรด้วยอยู่ เขาไม่ได้โลภมาก จึงเลือกจัดการแค่สามคนที่อยู่ใกล้สุดเท่านั้น

ร่างอวตารเดินแยกออกจากร่างชายหนุ่ม มันไม่ได้พุ่งเข้าไปโจมตี แต่ยังคงเกาะอยู่บนไหล่ของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!

การมาของหวังเป่าเล่อเป็นดังฝันร้ายสำหรับเหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้น พวกเขาทราบเรื่องเหตุการณ์การต่อสู้ครั้งก่อน รวมถึงกระบวนเวทประหลาดที่ชายหนุ่มปลดปล่อยจากดวงตาปีศาจที่ลอยอยู่ด้านหลัง ซึ่งเป็นสาเหตุการตายของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณนับสิบ

ทันทีที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว เหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณก็ถอยห่างออกไป

“ผู้อาวุโสชิวหรัน!” ชายหนุ่มร้องขึ้นเมื่อเห็นศัตรูกำลังจะหลบหนี ดวงตาปีศาจปรากฏขึ้นด้านหลังพร้อมลืมตาตื่นทันที!

เฟิ่งชิวหรันและหวังเป่าเล่อเคยร่วมศึกด้วยกันหลายหน เฟิ่งชิวหรันคุมร่างมายาให้เข้าไปขวางทางเหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่กำลังจะหนี นางพร้อมเสี่ยงทุกอย่างไม่ให้พวกเขาหนีไปได้ สิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่…คือฝันร้ายที่ไม่เคยพบพานมาก่อน!

เสียงกัมปนาทดังก้องจักรวาล พลังประหลาดพวยพุ่งออกมาจากดวงตาปีศาจสีดำที่ลืมตาตื่น หวังเป่าเล่อเข้าจู่โจมอย่างไม่ลังเลใจและสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนหนึ่งได้ทันที เฟิ่งชิวหรันใช้โอกาสนี้ร่วมมือกับหวังเป่าเล่อฆ่าผู้ฝึกตนอีกคนและฝากบาดแผลไว้กับคนที่สาม!

โชคดีของผู้ฝึกตนคนที่สามที่สามารถเอาชีวิตรอดไปได้ เขาคือผู้ฝึกตนเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากการต่อสู้กับหวังเป่าเล่อครั้งก่อน ความกลัวที่ฝังรากลึกสั่งให้เขารีบหนีไปทันทีที่เห็นชายหนุ่มเข้าสู่สนามรบ ชายผู้นี้จึงสามารถรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ได้

พริบตาเดียวที่หวังเป่าเล่อมาถึง สนามรบดาวศุกร์ก็ตกอยู่ในความโกลาหลจากแสงสีแดงนับล้านที่พวยพุ่งออกมาจากปราการดวงจันทร์ และเสียงร้องคำรามอันน่าสะพรึงกลัวของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!

ผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐทุกคนตื่นตะลึงไปเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า บางคนไม่สามารถเก็บงำความตื่นเต้นเอาไว้ได้จึงร้องออกมาเสียงดัง “หวังเป่าเล่อนี่! ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็มาด้วย!”

สหพันธรัฐนั้นคุ้นเคยกับชื่อราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีมากกว่า ‘เฉินโม่เฟิง’ คนทั่วไปในสหพันธรัฐอาจไม่ค่อยรู้เรื่องราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แต่ผู้ฝึกตนทุกคนในสหพันธรัฐล้วนต้องเคยได้ยินตำนานของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีมาก่อน!

และตอนนี้…พวกเขาก็ได้พบร่างที่แท้จริงของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีซึ่งตื่นจากการหลับใหล อีกทั้งยังได้เห็นพลังที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อ ทั้งสองทำให้ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐตื่นตกใจเป็นอย่างมาก แม้แต่หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีก็ยังตกตะลึงไปด้วย เมี่ยเลี่ยจื่อก็ถึงกับตัวสั่นเทิ้มไปครู่หนึ่ง การปรากฏกายของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีได้ปลุกบางอย่างภายในให้ตื่นขึ้นมา ความทรงจำมากมายโหมเข้าใส่หัว ดวงตาของเขาเปล่งแสงสลัว ราวกับว่ากำลังต่อสู้กับตนเองอยู่

เขามุ่งหน้าไปยังแนวป้องกันที่สามได้ช้าลง การปรากฏตัวของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีทำให้เมี่ยเลี่ยจื่อสูญเสียความเร็วก่อนหน้านี้ไป หลี่ซิงเหวินและกลุ่มของเขาจึงเข้าไปขวางไว้ก่อนที่เมี่ยเลี่ยจื่อจะถึงแนวป้องกันที่สาม

แน่นอนว่าตอนนี้…ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีกับดวงจันทร์ รวมถึงการโจมตีของหวังเป่าเล่อ ไม่มีใครสังเกตเห็นหลี่อู๋เฉินที่อยู่ในกลุ่มช่วยเหลือว่าเขาดูสับสนเมื่อได้เห็นราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลี่อู๋เฉินได้เห็นราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แต่เป็นครั้งแรกที่ภาพแปลกประหลาดฉายขึ้นในหัวเมื่อได้พบราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เขาไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร สัมผัสได้เพียงความรู้สึกที่แสนคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาดขณะมองราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี

ยังไม่ทันที่หลี่อู๋เฉินจะได้ตรวจสอบภาพที่ปรากฏขึ้นในหัวและสัมผัสอันแสนคุ้นเคยที่รู้สึก เสียงแค่นจมูกไร้อารมณ์ก็ดังก้องไปในอวกาศ ราวกับเสียงของทวยเทพลงมายังสนามรบก็ไม่ปาน แสงสีดำปรากฏขึ้นก่อนจะพุ่งแหวกอากาศผ่านสนามรบตรงไปหาหวังเป่าเล่อ!

แสงนั้นรวดเร็วมาก เหมือนดังลูกธนูพุ่งแหวกอากาศสร้างคลื่นพลังวิญญาณพัดกระจายไปทั่วบริเวณ คลื่นพลังวิญญาณพัดกระจายไปไกล สูบเอาพลังของผู้ฝึกตนที่โชคร้ายถูกพุ่งเข้าปะทะ ก่อนที่ร่างและวิญญาณจะดับสิ้นไป!

หวังเป่าเล่อหรี่ตามอง เขาสลับที่กับร่างอวตารโดยไม่ลังเลใจทันใดที่สัมผัสได้ถึงสัญญาณอันตราย ชายหนุ่มปรากฏตัวอีกครั้งบนดวงจันทร์ นั่งขัดสมาธิอยู่บนไหล่ของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ดอกบัวสีเขียวภายในเมล็ดดูดกลืนกวัดแกว่งรุนแรง เขาบีบทำลายเมล็ดดอกบัวอีกห้าเมล็ดเพื่อเสริมแรงคำสั่งที่ส่งผ่านไปยังราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!

ชายหนุ่มรู้ว่าตนต้องตื่นตัวและทำให้ดวงวิญญาณของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตื่นอยู่ตลอด มิเช่นนั้นพลังที่แท้จริงของร่างนี้จะถูกดวงวิญญาณที่เกิดใหม่กดให้หลับใหลไป หวังเป่าเล่อรู้ว่าพลังที่แท้จริงของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีนั้นไม่ได้อยู่ในขั้นขั้นเชื่อมวิญญาณแต่เป็นพลังกายที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน!

ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตัวสั่นเทิ้มเมื่อเมล็ดดอกบัวถูกขยี้เป็นผุยผง แสงสีแดงในตาเปล่งประกายราวกับดวงดารา เขาเงยหน้าขึ้นร้องคำราม จากนั้นก็ยกมือขวากำหมัดชกเข้าใส่แสงสีดำที่กำลังพุ่งเข้ามาหา!

บทที่ 707 ควบคุมศพ!
หวังเป่าเล่อเคยใช้เมล็ดดอกบัวควบคุมราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีมาก่อน ระหว่างการต่อสู้ในเขตจันทราเวท ชายหนุ่มบังเอิญใช้เมล็ดดอกบัวสั่งการให้ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีสังหารเฉินหุย ศิษย์สำนักรุ่งสางจักรพิภพภายในชั่วพริบตา!

สหพันธรัฐเองก็สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ บางคนคิดว่าน่าจะต้องเกี่ยวข้องกับหวังเป่าเล่อ แต่ก็ไม่พบหลักฐานใดๆ อีกทั้งชายหนุ่มยังไม่ได้เป็นที่สนใจมากเหมือนในตอนนี้

นั่นคือครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อเข้าควบคุมราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีได้สำเร็จ ส่วนครั้งที่สองนั้นเพิ่งจะผ่านไปได้ไม่นาน ความสำเร็จทั้งสองครั้งทำให้เขารู้สึกมั่นใจว่าเมล็ดดอกบัวมีพลังในการควบคุมราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี

เขาวางแผนเอาไว้ว่าเมื่อไปถึงสนามรบจะใช้พลังเมล็ดดอกบัวในจังหวะที่สำคัญที่สุด เพื่อจะได้ช่วยสหพันธรัฐให้ได้เปรียบในการต่อสู้ แต่…เหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไป

หลังจากพิจารณาตัวเลือกต่างๆ ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็เลือกปลดปล่อยพลังควบคุมราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอย่างไม่ลังเลใจ เขาบีบเมล็ดดอกบัว พลันราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็ลืมตาตื่น เสียงกัมปนาทดังขึ้นจากอสูรที่หลับใหลอยู่ ส่งดวงจันทร์ทั้งดวงสั่นสะเทือน

แม้ดวงจันทร์จะกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด แต่มันก็สั่นไหวไปเล็กน้อยเพราะเสียงคำราม เหล่าผู้ฝึกตนบนดวงจันทร์ต่างตื่นตกใจ หัวใจพวกเขาเต้นถี่รัวด้วยความหวั่นเกรง

ยังไม่ทันจะหายตกใจ ผืนดินใต้เท้าก็สั่นไหวอีกครั้ง ลึกลงไปในถ้ำของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี มือขนาดมหึมาที่หลังมือมีผนึกสีเขียวมากมายประทับอยู่กำลังเอื้อมออกมาจับขอบถ้ำ ผืนดินเริ่มยุบตัวลงด้วยแรงกดจากฝ่ามือดังกล่าว ร่างขนาดใหญ่ยักษ์ของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีโผล่ออกมาจากถ้ำและพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา!

เขาพุ่งขึ้นไปได้ไม่ไกลนัก เสียงโซ่ก็ดังก้องไปทั่ว ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีหยุดชะงักกลางอากาศจากโซ่ตรวนที่ล่ามตรึงไว้ ดวงตาเริ่มแดงก่ำ เขาเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกับร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

เสียงคำรามกึกก้องพัดกระจายไปทั่วท้องฟ้า หวังเป่าเล่อลอยอยู่กลางศูนย์บัญชาการ เหล่าผู้ฝึกตนที่กำลังตื่นตกใจได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น

“ฟังคำสั่ง ปรับอัตราส่วนแรงผลักและเปลี่ยนจุดแรงขับเคลื่อนไปยังด้านมืดของดวงจันทร์ เตรียมตัวส่งแรงผลักอีกครั้ง!”

กลุ่มผู้ฝึกตนส่งเสียงฮือฮาเมื่อทราบว่าหวังเป่าเล่อกำลังจะทำอะไร คลื่นความรู้สึกถาโถมเข้าสู่ดวงใจจนต้องโพล่งออกมาด้วยความตื่นตะลึง

“เขาพยายามจะใช้ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเป็นตัวขับเคลื่อนดวงจันทร์หรือ”

“เจ้าเมืองหวังสามารถควบคุมราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีได้จริงๆ ด้วย!”

ท่ามกลางเสียงฮือฮา หวังเป่าเล่อก็บีบเมล็ดดอกบัวอีกเมล็ดอย่างไม่ลังเลใจและส่งคำสั่งที่สองไปยังราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!

เมื่อส่งผ่านคำสั่งไป ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนกับว่าตนได้กลายร่างเป็นราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี คำสั่งเมื่อครู่คือสิ่งที่คิดอยู่ในหัว ทันทีที่ความคิดนั้นถูกส่งผ่านออกไป ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีที่กำลังร้องโหยหวนอยู่ก็ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาเริ่มฉายแสงผิดแปลกไป

แสงดังกล่าวเป็นเหมือนดวงตาอีกคู่ที่กำลังมองผ่านดวงตาของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี…ดวงตาอีกคู่ที่ว่าเป็นของหวังเป่าเล่อ!

ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขยับร่างไปมา ก่อนจะคำรามลั่นพร้อมพุ่งทะยานขึ้นฟ้าด้วยความเร็วเต็มพิกัด พละกำลังของเขาถูกฉุดรั้งไว้ด้วยโซ่ตรวนที่ล่ามอยู่ พลังของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเคลื่อนผ่านโซ่ตรวนลงไปสู่ดวงจันทร์ ฉุดกระชากดวงจันทร์ด้วยพลังที่เทียบเท่ากัน

ดวงจันทร์ปรับแรงส่งพร้อมกันภายใต้คำสั่งของหวังเป่าเล่อ แรงขับเคลื่อนเต็มพิกัดผสานเข้ากับแรงดึงของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทก้องไปทั่วพื้นที่ ผืนดินสั่นไหวและเริ่มปริแตก ดาวบริวารดวงนี้กำลังจะทลายออกเป็นเสี่ยงๆ ทันใดนั้น ปราการดวงจันทร์ก็ปะทุความเร็วขึ้นทันใด!

ความเร็วที่ปะทุขึ้นนั้นสูงกว่าความเร็วตั้งตนของดวงจันทร์หลายเท่า ดวงจันทร์พุ่งไปในห้วงอวกาศ ราวกับมีผีนักซิ่งเป็นคนขับเคลื่อน!

ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีกลายเป็นเหมือนมังกรขนาดยักษ์ครึ่งเป็นครึ่งตายที่ถูกโซ่ล่ามเอาไว้ เขากำลังลากดวงจันทร์…พุ่งแหวกจักรวาลไป!

ดวงจันทร์เดินทางข้ามอวกาศด้วยความเร็วเทียบเท่ากับความเร็วเต็มพิกัดของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ เกือบจะเทียบชั้นได้กับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ต้องแลกมาคือเมล็ดดอกบัวที่ถูกบีบทำลายไปเมล็ดแล้วเมล็ดเล่า

ทุกคนบนดวงจันทร์สัมผัสได้ถึงความเร็วนี้ ถึงแม้จะไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา แต่ก็พอจะนึกภาพออก ภาพที่ปรากฏในหัวเป็นภาพสุดตื่นตะลึงที่พวกจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต!

ผู้ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้คือหวังเป่าเล่อ…เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ชายหนุ่มดูลึกลับและควรค่าแก่การยกย่องในสายตาของฝูงชนบนดวงจันทร์มากขึ้นไปอีก!

ผืนจักรวาลได้รับผลกระทบจากเสียงคำรามและการฉุดดึงดวงจันทร์ของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี คลื่นพลังพัดกระจายไปทั่วจักรวาล เปลี่ยนห้วงอวกาศให้กลายเป็นทะเลที่มีคลื่นไหวกระเพื่อมอย่างต่อเนื่อง การเดินทางที่ต้องใช้เวลาถึงสี่วัน บัดนี้ลดทอนเหลือเพียงวันเดียวเท่านั้น!

หนึ่งวันอาจจะดูสั้นสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับเหล่าผู้ฝึกตนสหพันธรัฐที่กำลังต่อสู้อยู่ในสนามรบ ณ ดาวศุกร์กลับเป็นช่วงเวลาอันทุกข์ทรมานที่ดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้น แนวป้องกันที่เก้าพังลงเมื่อหนึ่งวันก่อน แนวป้องกันที่แปด เจ็ด หก และห้ากำลังต่อกรกับกองทัพสำนักวังเต๋าไพศาลที่ไหลหลากเข้ามาไม่หยุดหย่อน

สหพันธรัฐกำลังตกที่นั่งลำบากในสงคราม ระเบิดต้านทานวิญญาณและการเตรียมตัวมาอย่างดีไม่ได้ทำให้การต่อสู้เป็นไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการสักเท่าไหร่ ทำได้เพียงต้านศัตรูไว้และยื้อเวลาออกไป ขณะที่เบื้องหน้ามีความพ่ายแพ้ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้คอยท่าอยู่

วัตถุเวทมากกว่าครึ่งถูกทำลายทิ้ง วงแหวนปราณจำนวนมากใช้การไม่ได้ จำนวนคนตายเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ สำนักวังเต๋าไพศาลเองก็ต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นกัน แต่สถานการณ์ที่เป็นรองในตอนนี้ทำให้สหพันธรัฐเริ่มท้อแท้ใจขึ้นเรื่อยๆ

ทุกคนกำลังเฝ้ารอ ไม่ได้รอให้หวังเป่าเล่อมาถึง แต่รอต้วนมู่ฉีสั่งระเบิดดาวศุกร์ ซึ่งคือจุดมุ่งหมายของศึกครั้งนี้ ทว่า…คำสั่งนั้นก็ยังไม่มาสักที

ต้วนมู่ฉีพร้อมออกคำสั่ง แต่ก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น…ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลกว่าสามร้อยคนได้พุ่งเข้ามาปะทะกับแนวป้องกันของดาวศุกร์พร้อมด้วยเรือบินรบอีกนับไม่ถ้วน ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณห้าถึงหกคนรวมเมี่ยเลี่ยจื่อเข้าร่วมวงปะทะด้วยเช่นกัน ศัตรูรายล้อมอยู่ทั่วดาวศุกร์ ทว่า…โยวหรันกลับยังไม่ปรากฏตัว!

การที่โยวหรันยังไม่ปรากฏตัวหมายความว่าศัตรูยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังเต็มที่ ดังนั้นต้วนมู่ฉีจึงยังไม่สามารถสั่งระเบิดดาวศุกร์ได้ เขาได้บทเรียนจากดาวพุธแล้ว ในตอนนั้น โยวหรันและเรือบินรบเต๋ามรณะอันน่าพรั่นพรึงสามารถจัดการกับการระเบิดดาวเคราะห์ได้อย่างง่ายดาย

“เราจะรอจนกว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจะปรากฏตัว เมื่อเขาปรากฏตัว เราจะใช้วงแหวนปราณระบบสุริยะจับเขาไว้ จากนั้นจึงค่อยระเบิดดาวศุกร์!” ต้วนมู่ฉีจ้องหน้าจอตาไม่กะพริบ ภาพสถานการณ์ในสนามรบฉายอยู่บนหน้าจอมากมายและสะท้อนอยู่ในดวงตาอันแดงก่ำของเขา ความเครียดที่ต้องแบกรับนั้นหนักหนาเกินจะรับได้ไหวแล้ว

แนวป้องกันที่สี่ทลายลงขณะที่พวกเขาเฝ้าคอยอยู่อย่างนั้น เฟิ่งชิวหรันสร้างร่างมายาห้าตนออกไปต้านศัตรูขั้นเชื่อมวิญญาณห้าคนไว้อย่างสุดความสามารถ ถึงร่างกายจะฟื้นฟูกลับมาจนมีสภาพสมบูรณ์ แต่การต่อกรกับศัตรูห้าคนก็ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถอยู่มาก นางยอมเอาตัวไปเสี่ยงเพื่อต้านศัตรูไว้และกันไม่ให้พวกเขาปลดปล่อยพลังได้เต็มขั้น

เหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณของสำนักวังเต๋าไพศาลควรจะเป็นกลุ่มที่ทำให้ฝ่ายตนเองได้เปรียบในศึกครั้งนี้ แต่ทางสหพันธรัฐก็วางแผนเล็งกลุ่มนี้เป็นหลัก ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่เป็นผู้นำกลุ่มต่อสู้ย่อยได้ปล่อยระเบิดต้านทานวิญญาณตอนเริ่มศึก ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณต้องมาปวดหัวกับการรับมือระเบิด การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป กลุ่มช่วยเหลือที่นำโดยเจ้าเยี่ยเหมิงและคนอื่นๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่มีใครมีเวลาให้ได้พักหายใจ เจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋าจะใช้ตำแหน่งของตนเองเลือกประจำอยู่ที่ฐานทัพอันปลอดภัยก็ได้ แต่สุดท้ายทั้งสองกลับเลือกที่จะเข้าไปร่วมสู้กับทัพหน้า

บรรดากลุ่มช่วยเหลือที่มีหลี่อู๋เฉินร่วมอยู่ด้วยต้องสูญเสียสหายร่วมรบไปมากมายตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ทุกคนเริ่มเหนื่อยอ่อนและต้องดึงพลังออกมาใช้จนถึงขีดสุด บาดแผลบนร่างกายเพิ่มพูนขึ้น อาการบาดเจ็บเริ่มทรุดหนัก ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมถอย!

กลุ่มต่อสู้ยังคงต่อกรกับศัตรูอย่างดุเดือด พวกเขาไม่มีวันทิ้งสหายและถอยหนีไป!

ดาวศุกร์คือหนึ่งในสองปราการหลักของสหพันธรัฐ มีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของสหพันธรัฐ ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมแพ้และถอยหนีไปเด็ดขาด!

“อดทนไว้!” เจ้าเยี่ยเหมิงกัดฟันแน่นและพุ่งไปด้านหน้า นางช่วยสหายคนหนึ่งไว้ได้ และสกัดการโจมตีจากผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในของสำนักวังเต๋าไพศาลไว้ นางดูจะรู้จักผู้ฝึกตนคนนั้น เขาเองก็เหมือนจะจำเจ้าเยี่ยเหมิงได้จึงรีบถอยไปตั้งหลัก

กงเต๋าตามหลังเจ้าเยี่ยเหมิงไปไม่ห่าง แผลตรงอกของเขาเป็นรูลึกจนมองเห็นกระดูก ชายหนุ่มสูดหายใจ กัดฟันแน่น และโยนโอสถให้ผู้ฝึกตนที่ทั้งสองเพิ่งจะช่วยชีวิตเอาไว้

ผู้ฝึกตนคนนั้นมีบาดแผลมากมายอยู่ทั่วร่าง ใบหน้าของเขาซีดเผือด ริมฝีปากเปรอะไปด้วยเลือดสีแดงฉาน เขายิ้ม กำลังจะอ้าปากพูดบางอย่าง ทันใดนั้นม่านแสงคุ้มกันของแนวป้องกันที่สี่ก็…ทลายลง!

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก สหพันธรัฐที่กำลังตกที่นั่งลำบากต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ซึ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก มีผู้ฝึกตนคนหนึ่งพุ่งออกมาจากกองทัพผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล เขาปรากฏตัวพร้อมลงมือโจมตีวงแหวนปราณที่คอยคุ้มกันแนวป้องกันที่สี่ในทันที พลังขั้นเชื่อมวิญญาณปะทุขึ้นพร้อมกับแนวป้องกันที่สี่ทลายลง

ผู้ฝึกตนที่เพิ่งปรากฏตัวคือ…เมี่ยเลี่ยจื่อนั่นเอง!

เขาพังแนวป้องกันที่สี่ หลบร่างมายาของเฟิ่งชิวหรัน และพุ่งไปยังแนวป้องกันที่สาม เมี่ยเลี่ยจื่อตั้งใจจะทำลายวงแหวนปราณทั้งหมดในพื้นที่และบังคับให้สหพันธรัฐต้องควักไพ่ตายออกมาใช้เร็วขึ้น!

“หยุดเมี่ยเลี่ยจื่อเอาไว้ให้ได้!” เสียงร้องคำรามของหลี่ซิงเหวินดังก้องทั่วแนวป้องกันที่สาม เขาพุ่งไปหาเมี่ยเลี่ยจื่ออย่างรวดเร็ว ประมุขสำนักสวีรีบพุ่งตามไปเช่นกัน แต่เหมือนว่าทั้งสองจะช้าไป

แนวป้องกันที่สามกำลังจะทลายลง…ทันใดนั้นเสียงตะโกนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังกองทัพตระกูลไม่รู้สิ้นและสำนักวังเต๋าไพศาล กลบความโกลาหลทั้งหมดบนสนามรบไปสิ้น!

ปราการดวงจันทร์มุ่งหน้าตรงมาจากห้วงอวกาศพร้อมส่งเสียงกัมปนาทกึกก้องไปทั่วบริเวณ!

บทที่ 706 ศึก ณ ดาวศุกร์!
คำสั่งของโยวหรันกระจายไปทั่วฐานทัพบนดาวพุธ เหล่าผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล คนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่แอบแฝงกายคอยควบคุมผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลก็ทำตามคำสั่งในทันที เพราะผลประโยชน์และความหิวกระหาย สงครามใหญ่ครั้งที่สองก็อุบัติขึ้นในอารยธรรมสหพันธรัฐ!

ศึก ณ ดาวศุกร์ได้เปิดฉากขึ้นแล้ว!

ตระกูลไม่สิ้นและสำนักวังเต๋าไพศาลดูจะมั่นใจในชัยชนะของตน พวกเขาเชื่อมั่นว่าต้องชนะสงครามครั้งนี้แน่นอน เรื่องเดียวที่เป็นกังวลคือจะทำเช่นไรจึงจะสูญเสียน้อยที่สุดแต่ได้มาซึ่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ระเบิดต้านทานวิญญาณของสหพันธรัฐทำให้พวกเขาระแวดระวังเป็นอย่างมาก

พวกเขาตระหนักถึงพลังของระเบิดต้านทานวิญญาณ รวมถึงการที่สหพันธรัฐ…พร้อมเสี่ยงทุกอย่างในสงครามครั้งนี้!

ยกตัวอย่างเช่น…การระเบิดดาวเคราะห์ทั้งดวงเพื่อสังหารศัตรู!

กลยุทธ์ทำลายตนเองที่สร้างความเสียหายให้กับทั้งฝ่ายของตนและฝ่ายของศัตรูสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้สำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้น

ซึ่งก็เป็นเหตุผลว่าเหตุใดโยวหรันถึงไม่ได้โจมตีดาวศุกร์อย่างเต็มกำลังในทันทีแม้จะยึดดาวพุธมาได้ เขารอจนเรือบินรบเต๋ามรณะฟื้นฟูสภาพจนถึงจุดที่สามารถเอาชนะพลังระเบิดตัวเองของดาวศุกร์ได้ก่อน จึงค่อยเปิดฉากโจมตี

สหพันธรัฐเองก็รู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้ เป้าหมายหลักของศึกครั้งนี้คือหาทางระเบิดดาวศุกร์ให้ได้ และสร้างความเสียหายต่อสำนักวังเต๋าไพศาลให้ได้มากที่สุด

เป็นเรื่องยากที่จะทำเช่นนั้น แม้จะเตรียมการมาพร้อมสรรพแต่พวกเขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จ หากระเบิดเร็วเกินไป พลังทำลายตัวเองอาจกลายเป็นของสูญเปล่า แต่ถ้าช้าเกินไป…ก็อาจเสียโอกาสในการสั่งระเบิดไปเลยก็เป็นได้

เพราะเหตุนี้หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีจึงเรียกปราการดวงจันทร์มาเพื่อต้านเรือบินรบของโยวหรันและเปิดโอกาสให้ระเบิดดาวศุกร์

ทางสหพันธรัฐรายงานให้หวังเป่าเล่อทราบทันทีที่พบการเคลื่อนไหวของกองทัพสำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้น พวกเขาเร่งชายหนุ่มเพื่อให้มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะมาถึงได้ทันเวลา

หลี่ซิงเหวิน ต้วนมู่ฉี และผู้นำคนอื่นๆ สั่งให้ผู้ฝึกตนสหพันธรัฐและเรือบินรบทั้งหมดถอยกลับมาตั้งแนวป้องกันรอบดาวศุกร์ แนวป้องกันที่แข็งแกร่งเก้าแถวตั้งเรียงรายรอฟังคำสั่งต่อไป กลไกทุกอย่างเปิดทำงาน วงแหวนปราณและวัตถุเวททางการทหารขนาดใหญ่จำนวนมากเปิดทำงานเตรียมไว้เช่นกัน

กลุ่มย่อยมากมายของผู้ฝึกตนนับหมื่นกระจายอยู่ในห้วงอวกาศรอบดาวศุกร์ พวกเขาคือดาบแรกในศึกครั้งนี้ โดยมีประมุขสำนักสวีจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพและต้นไม้ยักษ์เป็นคนนำทัพ

เหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณมีหน้าที่คุมเหล่ากลุ่มย่อย หลี่ซิงเหวินรับผิดชอบการเปลี่ยนแนวป้องกัน ส่วนต้วนมู่ฉีคอยคุมจังหวะการรบ

นอกจากนี้ยังมีเฟิ่งชิวหรันที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเพียงคนเดียวประจำอยู่ในฐานทัพ หลังจากพักผ่อนอยู่นาน พลังปราณของนางก็ฟื้นฟูจนเกือบจะครบสมบูรณ์ ภารกิจของนางคือใช้พลังเสริมจากระบบสุริยะและเคล็ดวิชาของตนเองสร้างร่างแยกจำนวนมากออกมาต่อกรกับเหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณของตระกูลไม่รู้สิ้น!

เป็นหน้าที่อันหนักอึ้งที่สุดแสนจะสำคัญ!

ขณะที่ดาวศุกร์ตั้งแนวรับเต็มกำลัง กองทัพสำนักวังเต๋าไพศาลก็เคลื่อนทัพออกจากดาวพุธ เหล่ากองทัพมารวมพลและตั้งเป็นแนวโจมตีมุ่งหน้าตรงไปยังดาวศุกร์ วันที่ทั้งสองกองกำลังจะเข้าปะทะกันเริ่มใกล้เข้ามา ในห้วงอวกาศระหว่างโลกและดาวศุกร์ หวังเป่าเล่อกำลังคุมปราการดวงจันทร์มุ่งหน้าไปหาดาวศุกร์ เขาต้องเผชิญกับเรื่องที่ยากจะตัดสินใจได้

“เจ้าเมืองหวัง ด้วยความเร็วของดวงจันทร์ในตอนนี้ พวกเราต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสัปดาห์ถึงจะเข้าไปใกล้แนวป้องกันของดาวศุกร์ได้!”

“ถึงจะยอมเสี่ยงทุกอย่างและเร่งเครื่องจนเกินกำลังก็ร่นระยะลงมาเต็มที่ได้แค่สิบวันถ้าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น การใช้เครื่องยนต์อย่างหนักมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เครื่องไม่เสถียร…ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมา ดวงจันทร์อาจทลายลงได้ขณะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง”

หวังเป่าเล่อที่อยู่ในศูนย์บัญชาการมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะฟังการรายงาน

หลี่ซิงเหวินบอกเขาว่าให้มาถึงภายในสองสัปดาห์ แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าในสนามรบนั้นไม่สามารถคาดการณ์อะไรได้ ถ้าโชคดีก็คงไม่เกิดสิ่งไม่คาดคิด แต่ถ้าสำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้นมาถึงเร็วกว่าที่คาดไว้และเริ่มโจมตีก่อนที่ปราการดวงจันทร์จะไปถึง สหพันธรัฐจะต้องตกที่นั่งลำบากแน่

พวกเราต้องไปถึงให้เร็วที่สุด… หวังเป่าเล่อหรี่ตาที่ฉายแสงแห่งความมุ่งมั่น เขารีบสั่งให้เตรียมพร้อมรับมือกับการเร่งเครื่องยนต์เกินขีดจำกัด กลุ่มผู้ฝึกตนในศูนย์บัญชาการดูลังเลใจเมื่อได้ยินคำสั่งแต่ก็เลือกที่จะทำตาม ดวงจันทร์ที่กำลังเคลื่อนผ่านห้วงอวกาศพลันสั่นไหวเมื่อเครื่องยนต์ถูกเร่งพลังเพิ่มอีกครั้ง ก่อนหน้านี้มันเคลื่อนที่ไปด้วยแรงส่งที่ปล่อยออกมาเป็นครั้งคราว แต่ตอนนี้ได้แรงส่งอย่างต่อเนื่องพาขับเคลื่อนไปด้านหน้า

เสียงกัมปนาทดังสนั่นทั่วดวงจันทร์เมื่อความเร็วเพิ่มสูงขึ้นทวีคูณ คลื่นพลังงานพัดกระจายไปไม่หยุดขณะดวงจันทร์พุ่งตรงไปหาดาวศุกร์

เวลาผ่านไป ประชาชนชาวสหพันธรัฐต่างจับจ้องไปยังดาวศุกร์ไม่วางตา ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่บนโลกหรือดาวอังคารล้วนพุ่งความสนใจไปที่การต่อสู้ ณ ดาวศุกร์ที่กำลังจะเกิดขึ้น พวกเขาเฝ้ามองด้วยความทุกข์ที่ซุกซ่อนความหวังอยู่ภายใน

หกวันบนโลกผ่านไป ในวันที่เจ็ด ศึก ณ ดาวศุกร์ก็เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ!

วังวนขนาดใหญ่นับสิบวงปรากฏขึ้นเหนือแนวป้องกันดาวศุกร์ ในวังวนมีสีสันหลากหลาย เรือบินรบสำนักวังเต๋าไพศาลเคลื่อนตัวออกมาจากแสงสีที่ส่องสว่างเหล่านั้น!

กองทัพกลุ่มแรกของตระกูลไม่รู้สิ้นและสำนักวังเต๋าไพศาลคือกองทัพเรือบินรบเต๋าไพศาล พวกมันพุ่งเข้าไปหาแนวป้องกันที่เก้าที่อยู่ด้านนอกสุด

ดาวศุกร์ที่รายล้อมด้วยเรือบินรบสหพันธรัฐจำนวนมากดูพร่ามัวไปจากลำแสงที่พุ่งมาจากวงแหวนปราณและประกายแสงของวัตถุเวท การต่อสู้เปิดฉากขึ้นทันทีที่กองทัพชุดแรกของสำนักวังเต๋าไพศาลมาถึง!

เป็นการต่อสู้อันดุดันและเดือดจัดขึ้นจนถึงขีดสุดเมื่อกองกำลังทั้งสองเข้าปะทะกัน กลุ่มต่อสู้ที่นำโดยต้นไม้ยักษ์และประมุขสำนักสวีเผชิญภัยอันตรายครั้งยิ่งใหญ่ เรือบินรบที่ขนาบสองข้างส่งเสียงดังสนั่นเมื่อเปิดฉากยิง กองทัพผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลพุ่งออกมาจากเรือบินรบ ความกระหายอยากได้แต้มการรบสั่งการให้พวกเขาเข้าโจมตี เสียงปะทะกันดังก้องไปทั่วอวกาศ บริเวณแนวป้องกันที่เก้าเกิดการระเบิดสนั่นหวั่นไหวหลายระลอก

กองทัพสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นเหมือนตั๊กแตนที่กัดกินแนวป้องกันของสหพันธรัฐ พวกเขาไม่ต่างจากคลื่นยักษ์ที่ผลักสหพันธรัฐให้ล่าถอยออกไปเรื่อยๆ แนวป้องกันชั้นที่เก้าตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง แม้ฝั่งสหพันธรัฐจะคอยปรับเปลี่ยนรูปแบบกองกำลังอย่างต่อเนื่องก็ไม่สามารถต้านพลังที่เหนือชั้นกว่าอย่างเห็นได้ชัดได้ แนวป้องกันชั้นที่เก้าเริ่มจะทลายลง

พลังจากวงแหวนปราณและอาวุธเวทยังถูกปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง คลื่นคาถายิงแหวกผ่านห้วงอวกาศ ลำแสงเจิดจ้ามากมายระเบิดขึ้นกลางสนามรบ ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐบางคนเลือกระเบิดพลีชีพตัวเอง จำนวนผู้เสียชีวิตพุ่งสูงขึ้นภายในระยะเวลาสั้นๆ ตั้งแต่การต่อสู้เปิดฉาก

ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในร่างของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลปรากฏตัวขึ้น เขาคือหนึ่งในผู้ฝึกตนในกลุ่มที่เข้าโจมตีหวังเป่าเล่อและหนีไปได้เพราะโยวหรันมาช่วยไว้ได้ทันเวลา การปรากฏตัวของเขาเป็นเหมือนลูกธนูแหลมคมที่พุ่งผ่านแนวป้องกันที่เก้าเข้ามา และขณะที่กำลังจะพุ่งผ่านไปได้ เฟิ่งชิวหรันซึ่งได้รับคำสั่งมาก็สร้างร่างแยกทะยานออกไปปะทะกับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนนั้น ทั้งสองเปิดฉากต่อสู้กันในทันที!

การต่อสู้ปะทุเดือดจนถึงขั้นสุด ทันใดนั้นวังวนนับสิบก็ปรากฏเพิ่มในห้วงอวกาศ กองทัพสำนักวังเต๋าไพศาลชุดที่สองเดินทางมาถึง สถานการณ์ในสนามรบเปลี่ยนไปอีกครั้ง!

ต้วนมู่ฉีเห็นภาพรวมของสถานการณ์ทั้งหมดผ่านวงแหวนปราณระบบสุริยะ ผู้ฝึกตนในสนามรบที่อยู่ทัพหน้าและในกลุ่มย่อยไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ภาพรวมเป็นอย่างไร รู้เพียงแค่ว่า…ต้องสู้ต่อไป!

เจ้าเยี่ยเหมิง หลี่อู๋เฉิน กงเต๋า และคนอื่นๆ อาจไม่ได้ร่วมต่อสู้ในทัพหน้า เพราะอยู่ในกองกำลังช่วยเหลือ แต่พวกเขาต่างก็ตาแดงก่ำด้วยความคลั่งขณะคอยสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง สนามรบเต็มไปด้วยเสียงปะทะดุดันที่ไม่มีทีท่าว่าจะจบลง

ระหว่างที่การต่อสู้กำลังคุกรุ่น หวังเป่าเล่อก็มุ่งหน้าไปยังสนามรบด้วยความเร็วสูงสุด สิทธิ์การเข้าถึงที่มีทำให้ชายหนุ่มทราบว่าศึก ณ ดาวศุกร์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หัวใจของเขาเต้นถี่ด้วยความกังวล เหล่าผู้ฝึกตนในปราการดวงจันทร์ได้คำนวณดูแล้วว่าจะต้องใช้เวลาอีกสี่วันจึงจะไปถึงสนามรบได้ด้วยความเร็วในปัจจุบัน

สี่วัน…จะทันไหม หวังเป่าเล่อเงียบไปครู่หนึ่ง แสงแห่งความมุ่งมั่นฉายขึ้นในดวงตา เขารออีกสี่วันไม่ได้ ไม่อยากจะเสี่ยงว่าดาวศุกร์จะทนรับมือต่อไปได้สี่วัน

หากเกิดอะไรไม่ดีขึ้นในสนามรบ ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป เขาจะต้องไปถึงสนามรบให้เร็วที่สุดและใช้พลังปราการดวงจันทร์พร้อมกับพลังของตนเข้าต่อสู้ นี่คือทางที่ดีที่สุดที่จะสร้างความได้เปรียบให้สหพันธรัฐ

ทุกคนในศูนย์บัญชาการประจำปราการดวงจันทร์เห็นความมุ่งมั่นในแววตาของหวังเป่าเล่อก็พอจะเดาได้ว่าชายหนุ่มคิดอะไรอยู่ ผู้ฝึกตนคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว

“เจ้าเมืองหวัง นี่คือแรงขับเคลื่อนเต็มกำลังของปราการดวงจันทร์แล้ว…”

“ไม่จริง!” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น ในตาฉายแสงแปลกไป เขาหายวับไปท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของฝูงชน ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งกลางอากาศ ชายหนุ่มมองไปยังที่พำนักของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี จากนั้นก็กุมมือโค้งคำนับพร้อมกับพึมพำขึ้น “ศิษย์พี่เฉินโม่เฟิง…ข้าขออภัยที่ต้องรบกวนการพักผ่อนของท่าน!”

หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังเมล็ดดูดกลืนเต็มกำลังอย่างไม่ลังเลใจ ดอกบัวสีเขียวในกายกวัดแกว่งไปมาอย่างรุนแรง เมล็ดบัวเมล็ดหนึ่งจากนับร้อยพลันระเบิด!

ทันใดนั้น ลึกลงไปในถ้ำของดวงจันทร์ ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีที่กำลังหลับใหลอยู่…ก็ลืมตาตื่นขึ้น!

บทที่ 705 ไม่เกลียดนางหรือ
เสียงพึมพำของดวงวิญญาณเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่ ไม่ได้แฝงแววความสงสัยหรือกังขาในคำถามที่ถามออกไปเลย ราวกับราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีไม่ได้นึกสงสัยว่าเหตุใดจื่อเยว่ผู้เป็นภรรยาจึงทำเรื่องโหดร้ายกับเขาได้ลง เหมือนเขากำลังส่งผ่านความเศร้าโศกที่ความสัมพันธ์ต้องจบลงเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นต่างหาก เสียงพึมพำของเขาเป็นดังสองมือที่มองไม่เห็นซึ่งพยายามเอื้อมสัมผัสใบหน้าและลูบผมตรงแก้มของภรรยาที่บัดนี้ไม่ได้อยู่เคียงข้างแต่อย่างใด

แม้จะได้รับบาดเจ็บหนักขนาดที่คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถนึกภาพตามได้ แต่ดูเหมือนเขาจะยังคงถวิลหาเพียงภรรยาเท่านั้น…

หวังเป่าเล่อไม่เข้าใจราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แต่ก็พอจะนึกถึงสิ่งที่เคยอ่านเจอเมื่อตอนเป็นเด็กได้รางๆ ว่าหากถลำลึกเข้าไปในภวังค์รักแล้วจะต้องพบเจอกับอะไร

คำตอบมีอยู่มากมาย อาจจะเป็นความถวิลหา อาจเป็นหน้าที่ อาจจะเป็นความเจ็บปวด หรืออาจจะสูญเสียดวงวิญญาณไป

ชายหนุ่มนิ่งเงียบ เขาไม่ใช่ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร แต่ดวงตาของชายหนุ่มกลับหม่นหมองด้วยอารมณ์มากมาย หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าที่ตนนึกเศร้าใจกับราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เป็นเพราะว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่าย หรือเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความรักอย่างไม่ลืมหูลืมตาที่ยังหลงเหลืออยู่กันแน่!

หวังเป่าเล่อไม่ได้เสียเวลาค้นหาว่ามีความรู้สึกอื่นใดแฝงอยู่ในเสียงพึมพำของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอีก เขาไม่รู้ว่าพลังพิเศษของวิชาแห่งศาสตร์มืดสามารถทำให้ล่วงรู้ความรู้สึกนี้ได้ เลือดที่พ่นออกไปและคาถาที่ร่ายคงช่วยสนับสนุนด้วยเช่นกัน

ชายหนุ่มตัวสั่นในทันทีหลังจากที่เสียงพึมพำผ่านหูไป ไม่สามารถเห็นเปลวแสงของดวงวิญญาณราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีที่แท้จริงได้อีก สิ่งที่เห็นในตอนนี้มีเพียงดวงวิญญาณหม่นหมองที่เกิดขึ้นใหม่เท่านั้น

“จื่อเยว่หรือ” แสงลุ่มลึกฉายวาบขึ้นในแววตาของหวังเป่าเล่อ เขาหันมามองข้างตัวทันที แม่นางน้อยปรากฏกายขึ้นข้างชายหนุ่ม ดวงตาของนางที่มองไปยังราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและขมขื่น

หวังเป่าเล่อไม่ได้พูดอะไร เขายืนอยู่เงียบๆ ข้างแม่นางน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่ ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็เริ่มสั่นเทิ้ม เหมือนจะพยายามสลัดวิชาแห่งศาสตร์มืดของชายหนุ่มให้หลุดไป ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีร้องคำราม ทันใดนั้นแม่นางน้อยก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา “เป่าเล่อ ข้าขอยืมเมล็ดดอกบัวของเจ้าหน่อย”

ชายหนุ่มปลุกเมล็ดดูดกลืนโดยไม่ลังเลใจ ทำให้ดอกบัวสีเขียวกวัดแกว่งไปมา เมล็ดดอกบัวเมล็ดหนึ่งหล่นลงบนมือของหวังเป่าเล่อ

เมล็ดนั่นไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงภาพมายาโปร่งแสง หวังเป่าเล่อยื่นเมล็ดดอกบัวให้แม่นางน้อย

“ขอบคุณนะ” แม่นางน้อยกระซิบบอก นางหยิบเมล็ดดอกบัวไป ก่อนจะแปลงกายเป็นแสงพุ่งเข้ากลางหน้าผากราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ครู่ต่อมาราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็หยุดดิ้น ค่อยๆ เงียบเสียงและหลับตาลง ราวกับว่าได้หลับใหลไป

หวังเป่าเล่อเฝ้ามองอยู่เงียบๆ หนึ่งชั่วโมงผ่านไป แสงจางๆ ก็ส่องสว่างออกจากตรงหน้าผากของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีพร้อมแม่นางน้อยที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งข้างชายหนุ่ม ใบหน้าของนางดูเหนื่อยอ่อน ความเศร้าโศกเมื่อครู่กลายเป็นความเดือดดาลที่แฝงไปด้วยความเสียใจ

“จื่อเยว่คือเพื่อนคนแรกของข้าในสำนักวังเต๋าไพศาล” แม่นางน้อยกระซิบขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน

“ในวันที่นางแต่งงานกับเฉินโม่เฟิงศิษย์ของประมุขโจว ข้าได้มอบวัตถุเวททรงพลังที่ได้มาจากบิดาเป็นของขวัญให้นาง

“เต๋าที่ทรงพลังที่สุดในสำนักวังเต๋าไพศาลคือเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า บิดาของข้ากล่าวยกย่องมันไม่จบไม่สิ้นหลังจากที่ได้อ่านเจอ ประมุขโจวได้ฝึกกระบวนเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า การจะส่งต่อกระบวนเวทนี้ให้คนอื่นนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ในแต่ละรุ่นจะมีผู้สืบทอดเพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น โดยที่ผู้สืบทอดจะต้องได้รับมอบเมล็ดพันธุ์ดวงวิญญาณของอาจารย์ผู้ส่งต่อวิชา…”

“เฉินโม่เฟิงเป็นศิษย์คนเดียวของประมุข เขาคือคนต่อไปที่จะได้ฝึกวิชาเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าของสำนักวังเต๋าไพศาล!” แม่นางน้อยกล่าว จากนั้นก็หยุดชะงักไป เหมือนจะไม่สามารถพูดต่อได้อีก

“เป่าเล่อ ข้ารู้ว่าทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ เจ้าอยากทดสอบดูว่าดอกบัวของเจ้าจะใช้ควบคุมเขาได้หรือเปล่าเช่นนั้นสินะ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่ารบกวนการพักผ่อนของศิษย์พี่เฉินเลย…ข้าเหนื่อย…” เสียงของแม่นางน้อยเบาบางลงเรื่อยๆ ก่อนจะหายวับไปเมื่อนางกลับสู่หน้ากาก เหมือนว่านางจะเข้าสู่ภวังค์นิทราอีกครั้ง หรือไม่ก็สูญเสียความเป็นตนเองไปหลังจากครุ่นคิดถึงความโหดร้ายที่คนคนหนึ่งสามารถกระทำลงไปได้

หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา แม่นางน้อยเดาเป้าหมายของเขาถูก ชายหนุ่มตั้งใจจะตรวจดูความสัมพันธ์ระหว่างดอกบัวสีเขียวกับราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เพราะอยากรู้ว่าตนจะสามารถควบคุมราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีได้หรือไม่ เขาไม่รู้เรื่องอดีตของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยทำอะไรลงไปตอนเข้าไปในหน้าผากของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แต่ก็พอจะเดาได้บ้างจะสิ่งที่นางพูด

ตระกูลไม่รู้สิ้นบุกมา ก่อนที่ประมุขโจวจะพ่ายแพ้ในการสู้รบ เขาได้ส่งวิชาเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าให้เฉินโม่เฟิงศิษย์ของเขา เฉินโม่เฟิงต้องแบกภาระอันหนักอึ้งแต่กลับโดนเนื้อคู่แห่งเต๋าของตนหักหลัง สมองถูกชิงไปเพื่อสกัดเอาความทรงจำ หัวใจถูกควักออกไปเพื่อขโมยดวงวิญญาณ เต๋าโดนทำลายทิ้งทั้งยังถูกชิงพลังปราณไป ทั้งหมดนี้นำไปใช้หลอมเป็นเมล็ดพันธุ์ดวงวิญญาณเพื่อที่เนื้อคู่แห่งเต๋าของเขาจะได้ฝึกกระบวนเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าได้ หวังเป่าเล่อจ้องมองราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีที่กำลังหลับใหลอยู่

วิธีการของจื่อเยว่นั้นแสนจะโหดร้ายป่าเถื่อน เหมือนนางจะพยายามกันไม่ให้ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตื่นขึ้น นางไม่รู้เลยว่าเขาไม่ได้รู้สึกเกลียดชังนาง มีแต่ความรู้สึกถวิลหาเพียงเท่านั้น… ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงการเชื่อมโยงระหว่างเมล็ดดอกบัวและราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เขาถอนหายใจ ความสงสารในแววตาเลือนหายไป หวังเป่าเล่อหันกลับออกจากถ้ำ พริบตาต่อมาก็ไปลอยอยู่กลางอากาศด้านนอกถ้ำแล้ว

เหมือนว่าดอกบัวสีเขียวและราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะมีความเชื่อมโยงกัน หรือว่า…เขาจะเป็นเจ้าของคนก่อนของดอกบัวสีเขียว หรืออาจจะไม่ใช่…เจ้าของคนก่อนอาจจะเป็นประมุขโจว อาจารย์ของเขาก็เป็นได้ หวังเป่าเล่อตัดสินใจไม่เอ่ยถามรบกวนแม่นางน้อยที่กำลังเศร้าอยู่ เขาทะยานออกไป เงยหน้ามองหมู่ดาวบนท้องฟ้า

เต๋าที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักวังเต๋าไพศาลหรือ ถึงจะเป็นกระบวนเวทอันทรงพลัง แต่ใครกันที่ยอมถึงขั้นทำเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง…ตัวข้าคงไม่ทำเช่นนั้นแน่ ชายหนุ่มหันมองราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีที่หลับใหลอยู่ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังฐานทัพดวงจันทร์

สามวันผ่านไป หวังเป่าเล่อคอยควบคุมดูแลและตรวจสอบกระบวนการต่างๆ อย่างละเอียด เขายืนอยู่ในศูนย์บัญชาการของฐานทัพดวงจันทร์ จ้องมองข้อมูลนับไม่ถ้วนเลื่อนผ่านหน้าจอมากมายท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนที่กำลังยุ่งมือเป็นระวิง ในที่สุดชายหนุ่มก็สั่งการให้ออกเดินทาง!

“ออกเดินทางได้!”

เครื่องยนต์ทั้งหมดบนดวงจันทร์ทำงานเต็มกำลังเมื่อเสียงของหวังเป่าเล่อดังก้องขึ้น!

เสียงกัมปนาทดังสนั่นไปทั่วเมื่อพลังงานจำนวนมากเริ่มมารวมตัวกันภายในดวงจันทร์หลังจากที่เครื่องยนต์ทำงาน พลังงานสะสมรวมมากขึ้น ดวงจันทร์เริ่มสั่นไหวและค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากวงโคจร แรงดึงดูดของโลกยังทำให้ดวงจันทร์อยู่กับที่ พวกเขาต้องการเวลามากกว่านี้ในการพาดวงจันทร์ออกจากวงโคจรปกติได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังต้องการเวลาให้ดวงจันทร์รวบรวมพลังงานมาต้านทานแรงดึงดูดของโลกอีกด้วย

“วงแหวนปราณดวงจันทร์เปิดทำงานสมบูรณ์ จากการจำลองข้อมูลพบว่าถึงจะใช้ความเร็วเต็มพิกัด ดวงจันทร์ก็ยังคงเสถียรภาพไว้ได้อยู่!”

“ตอนนี้รวบรวมพลังได้ร้อยละหกสิบ กำลังขึ้นไปถึงร้อยละเจ็ดสิบ!”

“ค่าทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ปกติ ขออนุญาตดำเนินการจุดระเบิดต้านทานวิญญาณสิบลูกเพื่อเพิ่มแรงผลัก!” หลายฝ่ายส่งรายงานเข้ามายังศูนย์บัญชาการอย่างต่อเนื่อง หวังเป่าเล่อพยักหน้ายินยอมให้จุดระเบิดต้านทานวิญญาณ

ในดวงจันทร์นั้นมีระเบิดต้านทานวิญญาณอยู่จำนวนมาก หวังเป่าเล่อเพิ่งจะทราบหลังจากได้สิทธิ์ควบคุมดวงจันทร์ เขาตระหนักว่าสหพันธรัฐพยายามแสร้งทำเป็นดูอ่อนแอ แต่จริงๆ แล้วคอยสร้างระเบิดต้านทานวิญญาณเก็บเอาไว้อยู่หลายปี

ระเบิดต้านทานวิญญาณสิบลูกระเบิดขึ้นสร้างเสียงดังกึกก้อง ส่งแรงขับเคลื่อนดวงจันทร์ให้เพิ่มขึ้นไปเป็นร้อยละเก้าสิบ ทุกคนสัมผัสได้ถึงแรงปะทะ

“ทุกอย่างเป็นไปตามแผน รอการอนุมัติเพื่อผสานเข้ากับวงแหวนปราณระบบสุริยะเพื่อส่งแรงผลักครั้งสุดท้ายให้ดวงจันทร์!”

“อนุมัติ!” หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกและตะโกนสั่งการ ดวงจันทร์และระบบสุริยะเริ่มทำการผสานรวมกัน เมื่อเสร็จสมบูรณ์ ดวงจันทร์ก็สั่นไหว พลันหลุดออกจากแรงดึงดูดของโลก…จากนั้นก็พุ่งตรงไปยังหมู่ดวงดารา!

การออกตัวของดวงจันทร์สร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงโลก ประชากรบนโลกเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ดวงจันทร์ไม่ได้อยู่ตรงที่ที่เคยอยู่อีกต่อไป บัดนี้มันเริ่มลอยออกไปไกล ขนาดค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ!

ใครได้เห็นก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริด คลื่นทะเลปั่นป่วนเมื่อดวงจันทร์หลุดออกจากวงโคจร คลื่นยักษ์มากมายพลันก่อตัวขึ้น พร้อมจะถล่มผืนดินให้กลายเป็นดินแดนใต้ทะเล

โชคดีที่สหพันธรัฐเตรียมการรับมือเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เหล่าผู้ฝึกตนที่หลงเหลืออยู่บนโลกปลดปล่อยพลังต้านคลื่นยักษ์เต็มกำลัง ในที่สุดก็สามารถทำให้สงบได้ แต่ในหัวของเหล่าประชาชนยังคงจำภาพดวงจันทร์ลอยหายไปและคลื่นยักษ์ที่พลันก่อตัวขึ้นกะทันหันได้ไม่มีวันลืม!

สหพันธรัฐออกประกาศให้ทุกคนทราบถึงคนที่รับผิดชอบสั่งการฐานทัพดวงจันทร์ หวังเป่าเล่อคือคนที่ควบคุมดวงจันทร์และคอยกำกับดูแลกระบวนการทั้งหมด!

ชื่อเสียงของหวังเป่าเล่อพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในสหพันธรัฐ อาจจะเหนือกว่าต้วนมู่ฉีไปอีก!

ขณะที่ดวงจันทร์หลุดออกจากวงโคจรและมุ่งหน้าทะยานไปในห้วงอวกาศ ณ ที่แห่งใดสักแห่งบนดาวพุธ บนเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น โยวหรันที่นั่งสมาธิและซ่อมแซมชุดคลุมออกศึกที่ใช้ควบคุมเรือบินรบก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ชุดคลุมออกศึกเบื้องหน้าเกือบจะฟื้นฟูสมบูรณ์ เขาเงยหน้าขึ้นมองดาวศุกร์ ดวงตาเป็นประกายดำมืด ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงสั่งการก็ระเบิดดังก้องไปทั่วสำนักวังเต๋าไพศาล!

“ทำลายดาวศุกร์ให้พินาศ!”

บทที่ 704 จื่อเยว่!
ไม่มีเสียงร้องคำราม ไม่มีการตอบกลับใดๆ มีเพียง…แสงสีแดงสองดวงที่เต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่งปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิดในถ้ำ แสงนั้นคือ…ดวงตาของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!

ดวงตามีสีแดงหม่นๆ ไม่มีสีม่วงช่วยขับ มีเพียงความมืดมน ปราศจากแววฉลาด แววตาดุดันของอสูรแสนดุร้ายจ้องมองมายังหวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบ ราวกับว่ากำลังสนใจอะไรบางอย่างจนละสายตาออกไปไม่ได้

ดวงตาของชายหนุ่มนั้นสงบนิ่ง เขาลดสายตามองจ้องเข้าไปในดวงตาของราชาเผ่าพันธุ์อสูรอมตะราตรี มนุษย์และศพมองประสานสายตา ผู้หนึ่งอยู่ด้านนอกถ้ำ ส่วนอีกฝ่ายถูกขังอยู่ภายใต้ความมืดมิดในถ้ำ

มองดูแล้วช่างเป็นเหมือนภาพวาดแสนประหลาด!

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า สามสิบนาทีล่วงเลยไป เครื่องยนต์ดวงจันทร์ที่เริ่มทำงานและแรงสั่นสะเทือนที่เพิ่มมากขึ้นปลุกราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขึ้นมา การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อก็เหมือนจะไปกระตุ้นอีกฝ่ายหนักขึ้น ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ ขณะจ้องประสานสายตา เสียงคำรามขู่เริ่มดังออกมาจากในถ้ำ

หวังเป่าเล่อจ้องเข้าไปในตาราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขณะฟังเสียงขู่คำราม สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่เคยเป็นของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเมื่อครั้งยังมีชีวิตคุกรุ่นอยู่ภายใน ประเมินดูแล้ว…น่าจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ

แม้จะตื่นขึ้นก็ไม่สามารถปลดปล่อยพลังขั้นเชื่อมวิญญาณที่เคยมีได้ เพราะมีแค่สัญชาตญาณที่หลงเหลืออยู่ ไร้ซึ่งเชาวน์ปัญญา การตื่นขึ้นสองครั้งก่อนหน้านั้นทำให้เกิดความโกลาหล แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่สหพันธรัฐควบคุมได้จึงเกิดความเสียหายขึ้นเพียงเล็กน้อย อาจเป็นเพราะโซ่ที่ล่ามอยู่ช่วยผนึกพลังที่แท้จริงเอาไว้ก็เป็นได้

“น่าผิดหวังเสียจริง” ชายหนุ่มถอนใจ อาจเป็นเพราะตนมีพลังล้นเหลือ หลายปีก่อนเขาเคยกลัวจนตัวสั่นเป็นลูกนกเมื่อได้เห็นราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าสามารถเอาชนะได้

น่าจะเอาไปใช้ในศึกครั้งนี้ได้ หวังเป่าเล่อส่ายหัวเล็กน้อยด้วยความผิดหวังขณะก้าวเข้าไปในถ้ำ พริบตาต่อมาก็ออกพุ่งทะยานลึกเข้าไป ดวงตาของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีฉายแสงดุดันทันใดที่ชายหนุ่มเข้ามาใน เขาเงยหน้าขึ้นร้องคำรามจนเกิดลมกรรโชก จากนั้นก็ยกมือขวาฟาดเข้าใส่หวังเป่าเล่อ

ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีนั้นตัวใหญ่ยักษ์ นิ้วมือของเขามีขนาดเท่าหวังเป่าเล่อ มือของเขาพุ่งเข้าหาเป้าหมาย ชายหนุ่มหายวับไปด้วยพลังเคลื่อนย้ายหลบการโจมตีได้ทันท่วงที ก่อนจะไปปรากฏตัวอีกครั้งตรงบริเวณที่ลึกที่สุดเข้าถ้ำ ในที่สุดเขาก็ได้เห็นร่างมหึมาของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี

ผนึกสีเขียวมากมายแต้มอยู่ตามร่างกายของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ภาพเบื้องหน้าอาจทำให้ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณหลายคนสั่นกลัว แต่ชายหนุ่มไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณธรรมดาทั่วไป

เกราะจักรพรรดิ ความสามารถพิเศษของวิญญาณจุติดวงดารา และพลังประหลาดของดวงตาปีศาจทำให้หวังเป่าเล่อมีพลังขนาดปลิดชีพผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณลงได้อย่างง่ายดาย ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเบื้องหน้าก็เป็นแค่ศพธรรมดา

หวังเป่าเล่อหลบการโจมตีและไปปรากฏตัวอีกครั้งใกล้ๆ ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เขาไม่ได้สนใจอสูรตรงหน้าแต่เป็นโซ่ตรวนเก้าเส้นที่ล่ามอยู่ ที่มาของโซ่นั้นยังเป็นปริศนา บันทึกของสหพันธรัฐบอกไว้ว่าโซ่เหล่านี้มีมาตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว โซ่ทั้งเก้านั้นล่ามราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีไว้กับแก่นของดวงจันทร์

โซ่ที่สามารถผสานรวมกับดาวบริวารได้ต้องสร้างจากวัตถุดิบพิเศษที่มีพลังล้นเหลือ หวังเป่าเล่อไตร่ตรองในใจว่าตนจะสามารถหลอมโซ่นี้ขึ้นได้หรือไม่ เพราะมันอาจกลายเป็นวัตถุมีค่าที่นำไปใช้ต่อกรกับโยวหรันได้

ชายหนุ่มก้าวหลบการโจมตีรุนแรงของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอีกครั้งและไปปรากฏตัวด้านหลังอีกฝ่าย เขาอยู่ห่างจากโซ่ไม่ถึงสามสิบเมตรและเริ่มตรวจดูโซ่อย่างละเอียด

ดวงตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลงด้วยความตื่นตะลึงกับการค้นพบของตนเอง ในหัวเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง ถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ ร่างของเขาพลันเลือนรางขณะร่างอวตารปรากฏขึ้นมาอยู่เคียงข้าง มันพุ่งไปหาโซ่ สายฟ้าชั่วร้ายปรากฏขึ้นรอบร่างอวตารทันทีก่อนจะระเบิดออกมา แม้ร่างอวตารจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่สามารถทนแรงระเบิดได้ มันสั่นเทิ้ม เริ่มเสื่อมสภาพลง

แม้จะหลบหนีออกมาอยู่ข้างชายหนุ่มแล้ว ร่างอวตารก็ยังเสื่อมอายุลงเรื่อยๆ ผมของมันขาวโพลน ร่างกายผุดรอยเหี่ยวย่น ราวกับว่าถูกดึงพลังชีวิตไปและแก่ตัวลงในทันที

หวังเป่าเล่อตื่นตกใจ โซ่พวกนี้…ไม่เพียงมีพลังแข็งแกร่ง แต่ยังแสนจะคุ้นตา!

เหมือนโซ่บนเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้นที่ล่ามเหล่าอสูรร้ายไว้กับท่อนไม้เพื่อหมุนโม่หินไม่มีผิด! เขาหรี่ตามองโซ่ตรงหน้า จากนั้นก็หันไปมองราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงเคร่งขรึม

เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ถูกล่ามด้วยโซ่พวกนี้จะมีพลังแค่ขั้นเชื่อมวิญญาณ ต้องมีบางอย่างที่ข้ามองข้ามไป! หวังเป่าเล่อหรี่ตาและเดินวนรอบราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอย่างรวดเร็วเพื่อตรวจดูอย่างละเอียด ไม่นานเขาก็พบแผลสามรอยที่ฟื้นฟูสภาพแล้วบนร่างของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสังเกตเห็นได้จากเลือดเนื้อที่ฟื้นฟูสมบูรณ์

แผลแรกอยู่บริเวณด้านหลังศีรษะของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แผลที่สองอยู่ตรงหัวใจ และแผลสุดท้ายอยู่ตรงจุดตันเถียน!

ยังมีรอยแผลคล้ายๆ กันนี้อีกมากมายตรงบริเวณอื่น แต่รอยทั้งสามนั้นทำให้หวังเป่าเล่อนึกสนใจที่สุดหลังจากตรวจดูใกล้ๆ

ไม่เหมือนรอยแผลที่เกิดจากการต่อสู้…เหมือนจะเป็นรอยที่เกิดจากการฉีกกระชากเนื้อด้วยมือเปล่าในขณะที่เขาไร้ทางสู้! หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งเครียด หากเป็นคนอื่นคงไม่สามารถตระหนักได้รวดเร็วเพียงนี้ แต่ชายหนุ่มต่างออกไป แผลทั้งสามทำให้เขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองบนดวงจันทร์ ตอนที่ถูกกระชากรากฐานตั้งมั่นออกจากร่าง

แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอาจจะต่างออกไป ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่ทั้งสองก็เคยโดนกระชากบางสิ่งออกไปจากร่างเหมือนกัน! บาดแผลเหล่านี้เกิดจากการกระทำดังกล่าวนั่นเอง!

“ดึงสมอง กระชากหัวใจ แถมยังทำลายเต๋าทิ้ง ช่างเลือดเย็นเสียงจริง! ต้องเกลียดชังราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขนาดไหนกันถึงทำลงไปได้ขนาดนี้” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำ สังหรณ์ใจว่าน่าจะต้องใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดสักอย่างช่วงชิงพลังไป ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยอารมณ์หลายหลากขณะมองราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีด้วยความสงสาร ตอนที่ชายผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ ต้องมีพลังอันไร้เทียมทานเป็นแน่ ขนาดโดนชิงสมอง หัวใจ และเต๋าไปก็ยังมีพลังอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ!

แค่นั้นยังไม่พอ หลังจากกระชากสมองกับหัวใจและทำลายเต๋าไปแล้ว ยังจับราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีมาล่ามไว้เพื่อดูดเอาพลังชีวิต ตรึงโซ่ลึกเข้าไปภายในเพื่อไม่ให้ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีฟื้นฟูตนเองได้ แปลกจริง ทำไมต้องทำเช่นนั้นกับคนที่ตายไปแล้วด้วย…หรือว่าราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะยังไม่ตาย ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อคิดได้ดังนั้น เริ่มตรวจดูราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอีกครั้งขณะหายใจถี่รัว ชายหนุ่มพบบางสิ่งไม่ชอบกล ผนึกสีเขียวบนร่างของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี…เป็นคำสาปอีกรูปแบบหนึ่ง!

คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียว ใครคนนั้นไม่สามารถล้มราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีลงได้อย่างสมบูรณ์ด้วยเหตุผลบางอย่าง จากนั้นก็กลัวว่าราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะสามารถฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บได้จึงใช้วิธีต่างๆ คุมขังเขาเอาไว้…แต่ก็ยังให้คำตอบไม่ได้ว่าเหตุใดราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อยู่ดี… หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ผ่านไปสักพัก ดวงตาของเขาก็ฉายแสงวาบ ชายหนุ่มหลบการโจมตีจากราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอีกครั้ง จากนั้นก็ถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมพึมพำกับตนเอง

“ช่างปะไร ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ข้าจะตรวจดูว่าเจ้ามีดวงวิญญาณเทพหรือเปล่า” ดวงตาของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท เปลวไฟสีดำพวยพุ่งออกมาเมื่อเขาปลดปล่อยวิชาแห่งศาสตร์มืด ดวงตาปีศาจปรากฏขึ้นเมื่อพลังวิชาแห่งศาสตร์มืดพัดกระจายออกมา มันลืมตาตื่นและมองตรงไปยังราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี

ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตัวสั่นเทิ้ม ถูกเปลวไฟสีดำเข้าห้อมล้อมในทันใด หวังเป่าเล่อกลายเป็นผู้นำทางเหล่าดวงวิญญาณที่พลัดหลง ดวงตาของเขามองทะลุผ่านคำสาปที่ผนึกราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีไว้ ลึกเข้าไปภายในตรงจุดที่ดวงวิญญาณสีหม่นลอยอยู่!

หวังเป่าเล่อพบดวงวิญญาณอันแสนดุร้าย ป่าเถื่อน ไร้ปัญญา เต็มไปด้วยสัญชาตญาณดิบเถื่อนของอสูรร้าย!

นี่เป็นดวงวิญญาณที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่ใช่ดวงวิญญาณที่แท้จริงของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี! คนอื่นอาจไม่สามารถรู้ได้ แต่หวังเป่าเล่อเป็นบุตรแห่งความมืดผู้ได้ร่ำเรียนวิชาแห่งศาสตร์มืดที่เป็นกระบวนเวทดั้งเดิมจากยุคเต๋าสวรรค์ในอดีต ทำให้มองเข้าไปในดวงวิญญาณและเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถเห็นได้

หวังเป่าเล่อเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ได้คิดจะล้มเลิกความตั้งใจ เขาหลับตา กดฝ่ามือเข้าด้วยกันเพื่อสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ จากนั้นก็กัดปลายลิ้นพ่นเลือดออกมา ชายหนุ่มโบกมือขวา ร่ายคาถาเสริมพลังเปลวไฟแห่งความมืด ก่อนจะลืมตาขึ้น ในที่สุดก็สามารถมองเห็น…เปลวแสงที่ไม่สามารถตรวจพบได้ถ้าไม่ได้ใช้วิชาแห่งศาสตร์มืด เปลวแสงนั้นก็คือ ดวงวิญญาณของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!

เสียงพึมพำทุ้มต่ำของดวงวิญญาณดังขึ้นเมื่อเขามองตรงไปที่ดวงวิญญาณ!

“จื่อเยว่ ภรรยาผู้เป็นที่รักของข้า เหตุใด…เจ้าถึงทำเช่นนี้…”

บทที่ 703 ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!
ดวงจันทร์สั่นไหวพร้อมเสียงคำรามที่ดังขึ้น เหล่าคนที่กำลังยืนก้มหัวให้หวังเป่าเล่ออยู่มีสีหน้าตื่นตกใจ บางคนถึงกับหน้าซีดจากความหวาดกลัว

เหล่าผู้ฝึกตนที่ประจำการในฐานทัพของดวงจันทร์ต่างทราบถึงปริศนาที่ซ่อนอยู่บนดวงจันทร์ดีกว่าผู้ใด ด้านสว่างของดวงจันทร์ถือว่าปลอดภัย ส่วนด้านมืดกลับเต็มไปด้วยภัยอันตราย ในส่วนลึกสุดของด้านมืดมีศพขนาดมหึมาหลับใหลอยู่!

การมาถึงของกระบี่สำริดเขียวโบราณได้นำพาชิ้นส่วนกระบี่ลงปักบนดวงจันทร์ ปลุกศพขนาดยักษ์ให้ตื่นจากการหลับใหลถึงสองครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ส่วนครั้งที่สอง…เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้!

ศพขนาดมหึมาปลดปล่อยพลังน่าพรั่นพรึงพร้อมเผยให้เห็นโซ่ที่ล่ามอยู่รอบตัวตอนที่มันตื่นขึ้นครั้งล่าสุด มันทรุดตัวลงคุกเข่าขณะจ้องมองไปยังกระบี่สำริดเขียวโบราณ ภาพที่ได้เห็นทำให้ทุกคนหวาดหวั่นและยำเกรงเป็นอย่างยิ่ง

ศพศพนี้ทำให้ดวงจันทร์ยังถือเป็นสถานที่อันตราย ในขณะเดียวกันก็ทำให้ดาวดวงนี้เป็นดาวบริวารมีพลังเกินกว่าจะหยั่งรู้ได้ซ่อนอยู่!

ขณะที่ทุกคนตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินเสียงร้องคำรามดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็พูดขึ้นพร้อมดวงตาที่ฉายแสงวาบ

“เปิดเครื่องยนต์ทั้งหมดบนดวงจันทร์ เราจะพาดวงจันทร์ออกจากวงโคจรปกติในสามวันและมุ่งหน้าไปยังดาวศุกร์ ห้ามให้เกิดการล่าช้าแม้แต่นิดเดียว!”

เมื่อออกคำสั่งออกไปชัดเจน ชายหนุ่มก็มุ่งหน้าตรงไปยังศพที่ร้องคำรามทันที คลื่นอากาศพัดกระจายไปทั่วบริเวณเมื่อเขาพุ่งตัวออกไป ชายหนุ่มหายวับไปจากสายตาของฝูงชน ทิ้งไว้เพียงเสียงที่ดังก้องไปทั่วท่าอากาศยาน

“รับทราบ!” ฝูงชนยังคงรู้สึกยำเกรงแม้ชายหนุ่มจะจากไปแล้ว ทุกคนก้มหัวพร้อมขานรับอย่างพร้อมเพรียงตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางที่หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไป

“ศพยักษ์ร้องขึ้นทันทีที่หวังเป่าเล่อลงเหยียบบนดวงจันทร์ ข้าว่าต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่!”

“นึกออกแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ศพยักษ์ตื่นคือตอนที่ศิษย์จากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ขึ้นมาทำการทดสอบเพื่อบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่น…ตอนนั้นเสนาบดีหวังก็อยู่บนนี้เหมือนกัน…”

“จริงด้วย ข้าจำได้ว่าเจ้าเมืองหวังเกือบตาย ผู้อาวุโสจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพที่ขโมยแก่นในเขาไปยังโดนกักตัวอยู่เลย!”

หวังเป่าเล่อมีตำแหน่งเป็นทั้งเสนาบดีและเจ้าเมือง ทำให้ไม่มีคำเรียกเฉพาะเจาะจง ทุกคนกำลังคลายจากอาการตื่นกลัว แม้จะนึกกังวล แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของชายหนุ่ม ไม่นานคำสั่งของเขาก็กระจายต่อออกไป ดวงจันทร์ทั้งดวงเริ่มสั่นไหว

เป็นการสั่นสะเทือนที่แตกต่างจากตอนศพมหึมาคำราม การสั่นสะเทือนเพราะศพคำรามนั้นเกิดขึ้นอย่างปุบปับ แต่การสั่นสะเทือนครั้งนี้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เครื่องยนต์ทั้งหมดบนดวงจันทร์ถูกเปิดใช้งานตามคำสั่งนั่นเอง

ขณะที่ทุกคนแยกย้ายไปเปิดเครื่องยนต์ทั้งหมดและเตรียมเปลี่ยนวิถีวงโคจรของดวงจันทร์ หวังเป่าเล่อก็กำลังเดินทางข้ามด้านสว่างของดวงจันทร์ไปอย่างรวดเร็ว เสียงแหวกอากาศดังไปทั่วพื้นที่ขณะเขาพุ่งตัวผ่าน อสูรจันทราระดับการฝึกตนโบราณต่างสั่นกลัวและรีบถอยห่าง

ค้างคาวจันทรารัตติกาลกรีดร้องอย่างหวาดหวั่นเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของหวังเป่าเล่อจากที่ไกลห่าง พวกมันไม่กล้าบินขึ้นฟ้า รีบปล่อยตัวลงพื้นและมุดดินเข้าไปหลบตัวสั่นอยู่ใต้พิภพ

อสูรทั้งสองสายพันธุ์ไม่ได้อยู่ในสายตาของหวังเป่าเล่อตั้งแต่ที่เขาขึ้นมาบนดวงจันทร์เป็นครั้งแรก ชายหนุ่มพุ่งแหวกอากาศไปราวกับเป็นสายฟ้า ไม่หันมาเหลียวแลพวกมันแม้แต่นิด ครู่ต่อมา ขณะกำลังจะถึงด้านมืดของดวงจันทร์ เขาก็หยุดนิ่งไป

ผืนดินใต้เท้าของเขามีแมลงจันทราขนาดมหึมาหลายร้อยตัวอยู่ สิ่งมีชีวิตคล้ายตะขาบขนาดใหญ่เป็นเหมือนอสูรแห่งความตายในตำนานที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย แต่ละตัวมีความยาวหลายร้อยหลายพันเมตร มีพลังอยู่ในขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่สามและสี่ พวกมันปรากฏตัวเป็นโขยงตอนที่ชายหนุ่มขึ้นมาบนดวงจันทร์ครั้งแรก ตอนนั้นมันช่างเป็นประสบการณ์ที่ทำให้หัวใจแทบจะหยุดเต้น ส่วนตอนนี้น่ะหรือ…

เขาพุ่งขึ้นไปบนฟ้าขณะที่ฝูงแมลงจันทราก้มหัวตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ของเหลวหยดเปื้อนพื้นบริเวณหางของแมลงหลายตัวราวกับว่ามันกลัวจนฉี่ราดอย่างไรอย่างนั้น

หวังเป่าเล่อส่ายหัว ตั้งใจจะมุ่งหน้าต่อไป ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ชายหนุ่มหันมองไปทางขวา เห็นหมอกเริ่มก่อตัวหนาพัดกระจายไปทั่วบริเวณ

หมอกเวทเคลื่อนย้าย! ชายหนุ่มผุดยิ้มบางๆ เหมือนว่าจะโปรดปรานมันไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะหมอกเวทเคลื่อนย้าย เขาคงจะเอาตัวไม่รอดในเขตจันทราเวท และคงกลายเป็นฝุ่นผงลอยอยู่บนดวงจันทร์ไปแล้ว

ภาพหมอกเวทเคลื่อนย้ายทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย ชายหนุ่มเปลี่ยนทิศ มุ่งหน้าไปหาหมอกเวทเคลื่อนย้ายแทน พริบตาต่อมา หวังเป่าเล่อก็มาปรากฏตัวข้างๆ ปล่อยให้หมอกเข้าปกคลุมทั่วร่าง

หมอกบดบังวิสัยทัศน์ของชายหนุ่มไป เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังงานจากหมอกที่เข้าปกคลุมร่าง และพยายามจะส่งเขาเคลื่อนย้ายหายไป

“น่าสนใจ” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง แม้จะเคยใช้หมอกเวทเคลื่อนย้ายในการสร้างประคำหมอกรอยเวทมาก่อน แต่เขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าหมอกเวทเคลื่อนย้ายทำงานอย่างไร ตอนนั้นชายหนุ่มทำได้แค่หยิบยืมความสามารถในการเคลื่อนย้ายของมันมาเพียงเท่านั้น แต่ตอนนี้ระดับการฝึกตนของเขาสูงขึ้นจากตอนที่เจอหมอกเวทเคลื่อนย้ายครั้งแรกมาก ศพมหึมาเงียบเสียงไปหลังจากร้องคำราม หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้รีบร้อนอะไรมากและตัดสินใจเดินลึกเข้าไปในหมอก

คลื่นพลังงานที่พัดกระทบร่างกลายเป็นสายหมอกเล็กๆ หวังเป่าเล่อไม่ต้องปลดปล่อยพลังปราณก็สามารถเดินตรงต่อไปโดยไม่โดนหมอกเคลื่อนย้ายหายไปได้ ไม่นานชายหนุ่มก็นึกสงสัยขึ้นอีกครั้ง ขณะที่เดินลึกเข้าไปในหมอก พลังเคลื่อนย้ายก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มส่งผลกระทบกับตัวเขา หวังเป่าเล่อต้องปล่อยพลังปราณออกมาต้านพลังเคลื่อนย้ายไว้

ตอนนั้นข้าไม่สามารถหาคำตอบได้ ตอนนี้…ไม่รู้ว่าข้าจะค้นเจอหรือเปล่าว่าหมอกเวทเคลื่อนย้ายคืออะไรกันแน่! หวังเป่าเล่อหรี่ตา ปล่อยจิตสัมผัสวิญญาณออกไปตรวจสอบหมอกเวทเคลื่อนย้าย

ภาพหมอกเวทเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้นในหัวทันใด เขาเพ่งจิตสัมผัสวิญญาณจนทำให้ภาพหมอกในหัวแจ่มชัดขึ้น ต้องใช้จิตสัมผัสวิญญาณถึงร้อยละเก้าสิบจึงจะเห็นได้ว่าหมอกนี้คืออะไรกันแน่ ดวงตาชายหนุ่มหรี่ลงในทันที

นี่มัน… เขาเห็นร่างที่แท้จริงของหมอกผ่านจิตสัมผัสวิญญาณ ที่จริงแล้วหมอกเวทเคลื่อนย้ายคือแมลงขนาดเล็กจิ๋วเท่าเชื้อโรคจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน!

ไม่ได้มีชีวิตอยู่ แต่เป็นศพ!

พวกมันมีลำตัวเป็นปล้องยาวโปร่งใส สีอมเหลืองเล็กน้อย ตรงปลายลำตัวทั้งสองด้านมีหนวดคู่ที่แบ่งออกเป็นสามส่วนอย่างชัดเจน!

นี่มันแมลงอะไรกัน เหตุใดศพของพวกมันจึงมีพลังเคลื่อนย้าย! หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น เมล็ดดูดกลืนในกายเริ่มปั่นป่วน วิญญาณจุติดวงดาราลืมตาตื่น พลังปราณพวยพุ่งออกมาพร้อมพลังของเมล็ดดูดกลืน เกิดเป็นแรงสูบรุนแรงปะทุออกจากฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ

หมอกรอบตัวเริ่มปั่นป่วน หมอกที่พัดกระจายออกไปเริ่มไหลมารวมตัวกันอยู่รอบชายหนุ่มในทันใด วังวนปรากฏขึ้นขณะที่เมล็ดดูดกลืนปลดปล่อยพลังเต็มที่เพื่อดึงหมอกเข้ามาหา หวังเป่าเล่อกลายเป็นวังวนที่หยุดยั้งไม่ให้หมอกเวทเคลื่อนย้ายพัดกระจายออกไป แต่พัดหมุนวนเข้าหาตนเองแทน

หากมองไกลๆ จะเห็นว่าหมอกหนาเริ่มจางลง ขณะที่ร่างของชายหนุ่มเริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดหมอกก็หายวับไปหมด ในมือขวาของหวังเป่าเล่อมีดวงแสงสีเหลืองขนาดเท่ากำปั้นอยู่!

เขาตรวจดูดวงแสงในมืออย่างละเอียด เขาไม่พบเหล่าแมลงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกได้ว่าน่าจะเอาดวงแสงนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ ชายหนุ่มผนึกดวงแสงไว้และเก็บเข้ากระเป๋าคลังเก็บก่อนจะทะยานออกไป

หวังเป่าเล่อเหาะข้ามด้านสว่างเข้าไปในด้านมืดของดวงจันทร์ ข้ามผ่านสนามรบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณจันทรา อสูรที่มีตารอบตัว หรือเผ่าพันธุ์อมตะราตรีผู้แกร่งกล้าต่างก็หยุดเคลื่อนไหวเมื่อเห็นชายหนุ่ม วิญญาณจันทราตัวสั่นเทิ้มเมื่อพบเขา ส่วนเผ่าพันธุ์อมตะราตรีนั้น…หลังจากที่นิ่งไปในตอนแรก มันก็ทรุดลงไปกับพื้นราวกับจะหมอบกราบ!

ท่าทีของเผ่าพันธุ์อมตะราตรีทำให้เขาเงียบไป สัมผัสได้ถึงดอกบัวสีเขียวและเมล็ดดูดกลืนที่สั่นไหวเล็กน้อย ในที่สุดชายหนุ่มก็มาถึงบริเวณใจกลางของด้านมืดบนดวงจันทร์ หวังเป่าเล่อก้าวเข้าไปในหุบเขาที่เขาเกือบจะเอาตัวไม่รอดกลับมา!

ชายหนุ่มยืนมองซากปรักหักพังเบื้องหน้า จ้องไปยังถ้ำที่ยังเหลือรอดอยู่และนิ่งเงียบไป จากนั้นก็ก้มมองเข้าไปในถ้ำอันแสนมืดมิด ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็กระซิบออกมา “ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เจ้ายัง…มีสติอยู่กับตัวหรือไม่”

……………………..

บทที่ 702 ปราการดวงจันทร์!
วันคืนผ่านไปขณะหวังเป่าเล่อคิดหาหนทาง ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่ประจำอยู่ในฐานทัพทุกคนทราบเรื่องการมาถึงของเขาและเฟิ่งชิวหรันดี ต้วนมู่ฉีตั้งใจเปล่าประกาศเรื่องนี้ออกไป ทำให้ทุกคนบนดาวศุกร์ ดาวอังคาร รวมถึงโลกต่างทราบถึงการกลับมาของหวังเป่าเล่อ

พวกเขาทราบว่าหวังเป่าเล่อได้บรรลุขั้นการฝึกตนไปไกล อีกทั้งเฟิ่งชิวหรัน ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาลก็ได้เข้าร่วมทัพกับสหพันธรัฐ ทั้งสองเรื่องนี้ทำให้ทุกคนตื่นเต้นดีใจ

กระแสตอบรับบนดาวศุกร์เป็นไปในด้านบวก คำพูดปลุกใจของหวังเป่าเล่อที่ท่าอากาศยานส่งเข้าไปถึงใจใครหลายคน พวกเขาต่างรู้สึกฮึกเหิมจากไฟนักสู้ที่ลุกโชนอยู่ภายใน

ผู้คนต่างแวะเวียนมาหาหวังเป่าเล่อถึงที่พักชั่วคราว มีทั้งเหล่าพันธุ์กล้าที่ได้รู้จักกันบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ คนคุ้นเคยกันดีอย่างต้นไม้ยักษ์และประมุขสำนักสวี รวมถึงผู้ทรงอำนาจจากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ในสหพันธรัฐ พวกเขาต่างแสดงเจตนาอยากรู้จักชายหนุ่มให้มากขึ้นรวมถึงแสดงความนอบน้อมให้เห็น

หากเป็นโอกาสอื่น หวังเป่าเล่อผู้จดจำคำสอนในอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงได้จนขึ้นใจคงจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสานสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มไม่มีอารมณ์จะทำเช่นนั้น ผ่านไปสองสามวันเขาก็ประกาศว่าจะเข้าสู่การถือสันโดษ

สงครามยังคงดำเนินต่อไปและคุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่ชายหนุ่มเก็บตัว วงแหวนปราณระบบสุริยะซึ่งคอยตรวจตราทุกอย่างที่อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ทำให้พบว่า…สำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นใกล้จะเตรียมการทำศึกเสร็จสมบูรณ์แล้ว สงครามกับดาวศุกร์ใกล้จะเปิดฉากขึ้นเต็มที

ในวันที่สิบของการถือสันโดษ กงเต๋าก็ทำภารกิจเสร็จสิ้นและกลับมายังสหพันธรัฐ เขาเป็นสหายคนแรกของหวังเป่าเล่อที่กลับมา

กงเต๋ามาหาหวังเป่าเล่อถึงที่พักทันทีที่กลับมา สิ่งแรกที่เขาบอกออกไปเมื่อได้เจอหน้าอีกฝ่ายก็คือ…

“เป่าเล่อ จั่วอี้ฟานหายตัวไป!”

แสงเย็นเยียบฉายวาบขึ้นในแววตาของหวังเป่าเล่อ คำถามมากมายพรั่งพรูออกจากปาก ระหว่างปฏิบัติภารกิจบนเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้น กงเต๋าได้เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในยานกู้ภัยจึงรอดจากการสังหารหมู่ที่ตามมาได้ จากนั้นเขาก็รอจนโยวหรันออกไปที่อื่น และใช้จังหวะที่คลื่นแทรกของเรือบินรบอ่อนกำลังลงหลบหนีออกมา

เขาตามเจ้าเยี่ยเหมิงไม่ทันหลังจากกลับมาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล และพลาดการอพยพกลับสหพันธรัฐ แต่กงเต๋าก็ใช้เส้นสายในสำนักวังเต๋าไพศาลที่มีรวมถึงแต้มการรบทั้งหมดที่สะสมมา พาตัวเองหลบหนีออกมาจากกระบี่สำริดเขียวโบราณได้ก่อนที่โยวหรันจะกลับมา

“โชคดีที่ดาวพุธยังอยู่ตอนที่ข้ากลับมา ผู้นำสหพันธรัฐไม่ได้สั่งระเบิดดาวพุธทิ้ง มิเช่นนั้นข้าคง…” กงเต๋าตัวสั่นเมื่อคิดเช่นนั้น

“ข้าเจอเจ้าเยี่ยเหมิงและคนอื่นๆ ตอนที่กลับมาถึง พอได้พูดคุยกันก็พบว่าไม่มีใครเห็นจั่วอี้ฟานเลย เจ้าเองก็กลับมาแล้ว แต่ยังตามหาตัวจั่วอี้ฟานไม่พบ พี่ชายของเขา จั่วอี้เซียนก็หายตัวไปด้วย!” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับมองหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อเงียบอยู่นานก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ออกมา หากไม่ได้เกิดสงครามอยู่ เขาคงสามารถใช้ตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดประจำสำนักวังเต๋าไพศาลในการตามหาตัวสหายได้

แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในช่วงสงคราม จั่วอี้ฟานจึงต้องพึ่งพาตนเอง ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะเป็นห่วงสหายสักเพียงใดก็ทำได้แค่ผลักเรื่องนี้ออกไปก่อนเพราะสงครามกำลังจะปะทุขึ้นในไม่ช้า เขาคุยกับกงเต๋าอีกพักใหญ่ พอเห็นว่าอีกฝ่ายเหนื่อยอ่อนและซ่อนอาการบาดเจ็บเอาไว้ ชายหนุ่มก็หยิบของเหลววิญญาณสองสามขวดให้ก่อนจะจบการสนทนา

การปะทะกันของสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากกงเต๋าฟื้นจากอาการบาดเจ็บและได้พักจนเพียงพอแล้ว เขาก็ถูกส่งตัวไปปฏิบัติภารกิจอีกครั้ง ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทุกคนต้องทำงานกันอย่างหนัก มีเรื่องมากมายให้จัดการเต็มไปหมด

เหล่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเป็นเสาหลักช่วยสนับสนุนกลุ่มสำรวจเขตแดน ดูแลอภิมหาวงแหวนปราณ ออกปฏิบัติภารกิจสอดแนมและปฏิบัติการกู้ภัย กระบวนเวทที่หวังเป่าเล่อส่งกลับมาตอนที่อยู่สำนักวังเต๋าไพศาลช่วยกลุ่มผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐที่ติดอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์มานานได้เห็นทางสว่าง ถึงกระนั้น ก็มีเพียงสามคนที่ได้บรรลุขั้นจุติวิญญาณ ขึ้นมายืนอยู่จุดเดียวกับประมุขสำนักสวี ต้นไม้ยักษ์ ต้วนมู่ฉี และหลี่ซิงเหวิน

หนึ่งในนั้นคือผู้นำคณะเสนาบดี บิดาของหลี่หว่านเอ๋อร์ อีกคนคือผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตระกูลนภาห้าสมัย ส่วนคนสุดท้ายนั้น…ไม่ได้มาจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าหรือกลุ่มไตรจันทรา ไม่ได้มาจากสำนักชุมนุมสกุณา เป็นคนที่ไม่น่าจะบรรลุขึ้นมาได้ แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดีก็ไม่ใช่เรื่องเกินคาดเดาอะไร คนที่สามที่ได้บรรลุขั้นจุติวิญญาณคือ…บิดาของหลินเทียนหาว เจ้านครศักดิ์สิทธิ์ หลินโยว!

หลินโยวเป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะเสนาบดี แม้ตำแหน่งเจ้าเมืองจะทำให้เขามีอำนาจมากในสหพันธรัฐ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งในสหพันธรัฐ พอหลินโยวบรรลุขั้นการฝึกตน ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป ไม่มีใครกล้าดูถูกเสนาบดีผู้ยังเยาว์คนนี้อีกต่อไป!

นอกจากนี้ หลินโยวยังมีความสามารถด้านการจัดการกับผู้คน ทำให้บิดาของหลี่หว่านเอ๋อร์แต่งตั้งเขาให้เป็นรองผู้นำคณะเสนาบดี ด้วยสถานะทางการเมืองที่สูงขึ้นทำให้สถานะของนครศักดิ์สิทธิ์และลูกชายของเขาสูงมากขึ้น

เมื่อนับหลินโยวและหวังเป่าเล่อแล้ว สหพันธรัฐในตอนนี้มีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทั้งหมดแปดคน ห้าในแปดคนนั้นประจำการอยู่บนดาวศุกร์ ส่วนอีกสามคนแบ่งไปคุ้มกันโลกหนึ่งคนและประจำการบนดาวอังคารอีกสองคน สองคนที่ประจำการบนดาวอังคารคอยคุ้มกันเจ้านครอาณานิคมที่กำลังถือสันโดษเพื่อบรรลุขั้นการฝึกตนอยู่ สถานการณ์ในปัจจุบันทำให้บทบาทของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในมีความสำคัญเป็นอย่างมากในตอนนี้

กงเต๋าไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ยุ่งจนหัวหมุน ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในของสหพันธรัฐทุกคนต่างยุ่งจนมือเป็นระวิงกันหมด ไม่เว้นแม้แต่เจ้าเยี่ยเหมิงที่มีสถานะพิเศษกว่าคนอื่นๆ นางส่งข้อความเสียงหาหวังเป่าเล่อเรื่อยๆ ระหว่างออกปฏิบัติภารกิจ แต่ก็ยังไม่ได้กลับสหพันธรัฐเลยตั้งแต่หวังเป่าเล่อมาถึงดาวศุกร์

หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้มีเวลามากมายให้ถือสันโดษเพียงอย่างเดียว ไม่นานหลังจากกงเต๋ากลับออกไป ชายหนุ่มก็ได้รับภารกิจจากหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี

“จงไปที่ดวงจันทร์ ภารกิจของเจ้าคือการพาดวงจันทร์…มายังดาวศุกร์ให้ได้โดยสวัสดิภาพ!”

ดวงจันทร์นั้นเป็นดาวบริวารของโลก ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์วิญญาณในปัจจุบันทำให้สหพันธรัฐสามารถแปลงดาวบริวารให้กลายเป็นปราการชั้นสูงซึ่งเกือบจะสมบูรณ์แบบได้ ปราการดวงจันทร์นั้น นอกจากจะมีพลังโจมตีที่แข็งแกร่งแล้ว ยังมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงวิถีโคจรของตนเอง ทำให้มันเป็นเหมือนปราการอวกาศที่สามารถเดินทางข้ามห้วงอวกาศได้!

แผนตั้งต้นคือการใช้ปราการดวงจันทร์ในการสนับสนุนศึกบนดาวอังคาร หลังจากหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีได้พูดคุยกันและปรึกษากับคนอื่นๆ พวกเขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนแผนมาใช้ปราการดวงจันทร์สนับสนุนดาวศุกร์แทน

ภารกิจนี้ถือเป็นภารกิจที่สำคัญมาก แต่มีความเสี่ยงน้อย การเดินทางไปดวงจันทร์อาจจะกินเวลานาน แต่ก็อยู่ภายใต้การคุ้มกันของวงแหวนปราณระบบสุริยะ แทบไม่มีโอกาสปะทะกับกองกำลังสำนักวังเต๋าไพศาลเลยแม้แต่น้อย

ภารกิจนี้สำคัญมาก หวังเป่าเล่อจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้รับผิดชอบ เขาต้องไปเปลี่ยนวิถีวงโคจรของดวงจันทร์ที่หมุนรอบโลกให้เข้าสู่สนามรบ แค่คิดฝูงชนก็คงคึกคักกันยกใหญ่ ภาพดวงจันทร์เปลี่ยนวิถีวงโคจรย่อมสร้างชื่อเสียงให้ชายหนุ่มแน่!

เขาตอบรับภารกิจอย่างไม่ลังเล แม้ใจหนึ่งจะคิดว่าด้วยความสามารถของตน ให้ไปทำภารกิจที่ยากกว่านี้คงจะดีเสียกว่า แต่ชายหนุ่มก็มีแผนลับเกี่ยวกับดวงจันทร์ที่อยากจะลองทำดู เมื่อรับภารกิจมา หวังเป่าเล่อก็ขึ้นเรือบินรบของสหพันธรัฐ นำผู้ฝึกตนกว่าพันคนมุ่งหน้าไปยังดวงจันทร์

เรือบินรบของสหพันธรัฐได้วงแหวนปราณระบบสุริยะช่วยเสริมความเร็ว ผ่านไปหกวัน พวกเขาก็เข้าไปใกล้โลกและลงจอดบนดวงจันทร์

เหล่าผู้ทรงอำนาจจากทุกกลุ่มอำนาจการเมืองที่ประจำอยู่ในฐานทัพต่างรออยู่พร้อมหน้า พวกเขาได้รับคำสั่งมาให้ทำตามที่ชายหนุ่มบอก หวังเป่าเล่อได้รับสิทธิ์เต็มที่ในการควบคุมฐานทัพบนดวงจันทร์

กลุ่มอำนาจการเมืองหลายฝ่ายยอมรับการเปลี่ยนแปลงผู้นำอย่างกะทันหันครั้งนี้ ถึงกระนั้นก็ยังมีบางส่วนที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ ถึงจะได้ยินมาว่าชายหนุ่มบรรลุขั้นจุติวิญญาณแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เห็นหรือสัมผัสพลังของเขาด้วยตนเอง เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้รู้สึกกดดันหรือเคารพยำเกรงหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีพวกหัวโบราณที่คิดว่ายศถาบรรดาศักดิ์นั้นสำคัญกว่าระดับการฝึกตน คนกลุ่มนี้อาจจะไม่แสดงออกโต้งๆ ว่าไม่พอใจชายหนุ่ม แต่ก็จะไม่ให้ความร่วมมืออย่างเต็ม

แน่นอนว่านี่…คือสิ่งที่พวกเขาคิดก่อนเรือบินรบจะลงจอด และความคิดเหล่านั้นก็ปลิวหายไปทันทีเมื่อหวังเป่าเล่อเดินออกมาจากเรือบินรบ จริงๆ แล้ว…หวังเป่าเล่อก็ทราบดีว่าเหล่าผู้ทรงอำนาจที่มากด้วยวัยวุฒิคิดเห็นเช่นไร ชายหนุ่มไม่มีทางเปิดโอกาสให้คนเหล่านั้นได้ต่อต้าน ทันทีที่เดินออกจากเรือบินรบ เขาก็ปลดปล่อยเกราะจักรพรรดิ วิญญาณจุติดวงดารา ดวงตาปีศาจ รวมถึงจิตสังหารที่ได้จากการสังเวยชีวิตมามากมายในทันใด ทำให้ดวงจันทร์ในตอนนี้เหมือนโดนถล่มด้วยพายุและคลื่นยักษ์รุนแรง!

“ข้าคิดว่าพวกเจ้ารู้จักข้า คงไม่จำเป็นต้องแนะนำตัว ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะคิดอย่างไรกับข้า แต่นับจากนี้ จงเก็บความคิดนั้นไว้กับตัวเอง เลือกเอาว่าจะทำตามคำสั่งของข้าอย่างเคร่งครัด…หรือจะโดนเชือดทิ้ง!” หวังเป่าเล่อพูดเสียงนิ่งขณะเดินออกมาจากเรือบินรบ เขาไม่ได้พูดเสียงดังมาก แต่เมื่อได้พลังรัศมีรุนแรงมาช่วยเสริม เสียงของเขาก็กลับกลายเป็นสายฟ้าที่ฟาดเข้ากลางหัวทุกคน ผู้ฝึกตนทั้งหมดหายใจถี่รัวทันใด หันมองหวังเป่าเล่อที่เป็นดังปีศาจด้วยหัวอันอื้ออึง พวกเขาตัวสั่นเทิ้มจากจิตสังหารรุนแรง ความคิดร้ายพลันหายวับไป ทุกคนก้มหัวอย่างเชื่อฟังพร้อมร้องตอบออกไป

“รับทราบ!”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองไปทางศพมหึมาที่นอนอยู่พร้อมกับหรี่ตาลง

อาจเป็นเพราะพลังรัศมีของเขาแกร่งกล้าเกินไป ศพขนาดยักษ์ที่นอนอยู่เหมือนจะมีการตอบกลับ ดวงจันทร์สั่นไหวรุนแรงทันทีที่หวังเป่าเล่อหันไปมองศพที่หลับใหลอยู่ เสียงร้องผิดมนุษย์ค่อยๆ ดังขึ้นจากศพที่นอนอยู่บนพื้น!

บทที่ 701 การคาดเดาของหลี่ซิงเหวิน!
“ยันต์ใบนี้มีลักษณะเหมือนยันต์ทั่วไป มีการลงอักขระ วัสดุที่ใช้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากกระดาษธรรมดาทั่วไป ตอนนี้มันอยู่ใต้ทะเลสาบในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หากสหพันธรัฐล่มสลายขึ้นมาจริงๆ หลังจากจบสงคราม เจ้าต้องเป็นคนไปเก็บยันต์มาและทำหน้าที่เป็นผู้ปกปักอารยธรรมของเราต่อไป ข้าได้ตรวจสอบยันต์มาแล้วและพบว่ายันต์ใบนี้…เหมือนจะเป็นสิ่งที่คล้ายกับของดูต่างหน้า!” หลี่ซิงเหวินมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาลุ่มลึกขณะพูดอย่างจริงจัง

หวังเป่าเล่อตะลึงงันไป ช่างเป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการไปไกล สิ่งมีชีวิตใดกันที่สามารถหลอมวัตถุที่มีพลังมหาศาลขนาดปกป้องอารยธรรมหนึ่งขึ้นมาได้ด้วยการเขียนตัวอักขระลงบนกระดาษเท่านั้น

ศิษย์พี่จะมีพลังทำเช่นนี้ได้หรือไม่นะ… ชายหนุ่มหายใจถี่รัว นิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด จนไม่ทันสังเกตเห็นว่าหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีหันมองกับด้วยสีหน้าลังเลใจ

เขาใช้เวลาไปพักหนึ่งกว่าจะทำความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังมาทั้งหมดได้ หลี่ซิงเหวินเหมือนจะตัดสินใจอะไรได้จึงพูดต่อ

“เพราะเหตุนี้เราจึงต้องปกป้องดาวศุกร์ไว้ด้วยชีวิต แม้สุดท้ายมันจะถูกศัตรูถล่มราบคาบ มันก็ยังช่วยให้เราได้เตรียมพร้อมกับศึกตัดสิน และการเสียสละครั้งสุดท้ายของเราบนดาวอังคาร!

“เป่าเล่อ ข้ารู้ว่ามีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ในดาวอังคาร และดูเหมือนว่าเจ้าล่วงรู้ความลับเหล่านั้นแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะทุ่มเต็มที่ในสงครามบนดาวอังคาร!”

หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกและพยักหน้ารับอย่างจริงจัง หลี่ซิงเหวินรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับวัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคาร ชายหนุ่มก็รู้ว่าอีกฝ่ายรู้ หากไม่ได้หลี่ซิงเหวินช่วยปิดเรื่องให้ ตนคงไม่สามารถเก็บเรื่องวัตถุเวทแห่งความมืดไว้เป็นความลับได้ ต้องมีคนอื่นล่วงรู้เป็นแน่

หลี่ซิงเหวินบอกขั้นตอนต่างๆ ให้หวังเป่าเล่อรู้อีกเล็กน้อย เมื่อราตรีมาถึง หวังเป่าเล่อก็ออกจากห้องลับไปด้วยดวงใจอันหนักอึ้ง

ต้วนมู่ฉีเองก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขาหันมาหาหลี่ซิงเหวินพร้อมกับอ้าปากเตรียมพูด แต่ก็ไม่สามารถหาคำที่จะเอ่ยออกไปได้ ผ่านไปสักพัก เขาก็ถามขึ้น “เราจะไม่บอกความจริงทั้งหมดกับเขาจริงๆ หรือ”

“ให้บอกเรื่องอะไร เรื่องรูปปั้นในนครหลวงที่มาจากอารยธรรมโบราณของโลกน่ะหรือ เราไม่มีเวลาพอที่จะปลุกพวกมันขึ้นมาได้ ทำได้แค่ใช้งานเพียงครั้งเดียว เราสองคนก็ตรวจสอบกันมาแล้ว พวกมันไม่น่าจะสู้กับศัตรูได้ไหว แทนที่จะเอามาใช้เป็นอาวุธโจมตี เราควรเก็บมันไว้เป็นเครื่องป้องกันเหล่าผู้เหลือรอดดีกว่า!” ดวงตาของหลี่ซิงเหวินฉายแววแน่วแน่ เขาพูดเสียงเบาพร้อมกับยกมือขวาขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือ ดึงพลังจากวงแหวนปราณระบบสุริยะมารวมอยู่รอบตัวสร้างเป็นชั้นป้องกัน

“อีกอย่าง ที่เขาไม่รู้คือส่วนสุดท้ายของความลับ เหตุการณ์นั้น…ถูกเก็บเงียบไปตั้งแต่หลายสิบปีก่อน เขาไม่ควรจะต้องมาแบกรับภาระนี้ ถ้าเราชนะศึกครั้งนี้ก็ดีไป แต่ถ้าเราแพ้ขึ้นมา ข้าอยากให้อดีตเป็นเพียงแค่อดีต กลายเป็นฝุ่นพัดหายไปกับสายลม เหลือไว้แค่ชีวิตใหม่และความหวังใหม่!” หลี่ซิงเหวินมองต้วนมู่ฉีขณะกล่าว แววตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ลึกลงไปในดวงตามีแววกล้ำกลืนฝืนทนซ่อนอยู่ ราวกับว่ายังไม่อยากยอมแพ้ให้กับอะไรบางอย่าง

ต้วนมู่ฉีเห็นถึงอารมณ์ทั้งสองในแววตาของหลี่ซิงเหวินอย่างชัดเจน เขาเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมา ใบหน้าดูแก่ลง ในใจรู้สึกห่อเหี่ยว

“คนพวกนั้น…เลือกที่จะหนีไปหลายปีก่อน เลือกที่จะทิ้งที่แห่งนี้ไป แล้วจะทิ้งยันต์นี่ไว้ทำไมกัน…ท่านใบ้หวังเป่าเล่อไปว่ามันเป็นของดูต่างหน้า ไม่ใช่ว่านั่นคือเครื่องพิสูจน์ว่าท่านยังมีความหวังอยู่หรือ” ต้วนมู่ฉีถามเสียงเบา หลี่ซิงเหวินหลับตาลง ไม่ได้ตอบคำถามอีกฝ่าย

ความเงียบงันเข้าปกคลุมห้องลับ ไม่มีใครพูดอะไรอีก หลี่ซิงเหวินถอนหายใจอยู่ภายใน ในใจเต็มไปด้วยความขมขื่นที่ส่งผ่านไปถึงในปาก เขาไม่ได้บอกความลับส่วนสุดท้ายของโลกให้หวังเป่าเล่อฟัง แม้แต่ต้วนมู่ฉีก็ยังไม่รู้ความจริงทั้งหมด มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้

จะบอกทั้งสองไปก็ได้ แต่ก็ไม่อยากทำเช่นนั้น ชายชราไม่อยากบอกหวังเป่าเล่อ ตอนที่ได้ค้นพบยันต์เมื่อหลายปีก่อน เขาได้ศึกษาและตรวจสอบมัน เขาขุดคุ้ยบันทึกทางประวัติศาสตร์และขุดค้นโบราณสถานต่างๆ ที่เคยปรากฏอยู่บนโลก ได้พบวัตถุต่างๆ และข้อมูลมากมาย ท้ายที่สุดแล้ว หลี่ซิงเหวินก็ค้นพบอะไรอย่างหนึ่งเข้า

เหล่าผู้ฝึกตนที่ปรากฏขึ้นในยุคกำเนิดวิญญาณไม่ใช้ผู้ฝึกตนกลุ่มแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ!

ทุกสิ่งประกอบรวมกันได้ข้อสรุปเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งก็คือ…โลกเคยเป็นกลุ่มย่อยหนึ่งของอารยธรรมโบราณอันยิ่งใหญ่ที่ต่อมาถูกละทิ้งไป หลี่ซิงเหวินเคยสงสัยว่าโลกน่าจะไม่สำคัญต่ออารยธรรมที่ยิ่งใหญ่นี้ ไม่มีโลกก็คงไม่ส่งผลอะไร อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้น่าจะมีอารยธรรมย่อยคล้ายโลกอีกนับไม่ถ้วนกระจายอยู่ทั่วไปในจักรวาล

เราคงจะมีความสำคัญแค่มีสายโลหิตคล้ายกัน ทำให้ผู้คนบนโลกสามารถนำไปใช้เป็นทาสได้ พวกเขาใช้ที่แห่งนี้ทำอะไรกันแน่ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์เช่นนั้นหรือ หลี่ซิงเหวินหลับตา เก็บงำความขุ่นเคืองไว้ภายใน เขาบอกใบ้หวังเป่าเล่อไปว่ายันต์แผ่นนี้อาจเป็นของดูต่างหน้า ไม่แน่ว่าต้วนมู่ฉีอาจพูดถูก ลึกๆ ภายในใจ ตนยังคงมีหวังอยู่

เขามั่นใจว่าคนที่ทิ้งยันต์ไว้ให้ไม่ใช่คนจากอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นคนบนโลกที่ถูกอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่พาตัวไป จึงแอบทิ้งยันต์เอาไว้บนโลกอย่างลับๆ!

เวลาผ่านไป คนทั้งคู่ยังคงนิ่งเงียบอยู่ หวังเป่าเล่อไม่ทราบเลยว่าหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีคุยอะไรกันหลังจากที่เขากลับออกไปแล้ว ชายหนุ่มไม่รู้ความลับเรื่องอารยธรรมโบราณและการคาดเดาของหลี่ซิงเหวิน แต่ระดับการฝึกตนของเขาแซงหน้าหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีไปแล้ว จิตสัมผัสวิญญาณจึงแข็งแกร่งขึ้นมาก ทำให้…หวังเป่าเล่อสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของวงแหวนปราณระบบสุริยะที่ส่งมาคุ้มกันห้องลับหลังจากตนกลับออกมา

อาจารย์ปู่…ไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟัง หวังเป่าเล่อตามผู้ฝึกตนจากฐานทัพดาวศุกร์ไปยังที่พักชั่วคราว เขาเดินเข้าไปนั่งในห้อง ความลุ่มลึกฉายชัดในแววตา

“ยันต์ใบนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล” ชายหนุ่มพูดพึมพำ เขาเชื่อว่าหลี่ซิงเหวินไม่ได้คิดร้ายกับตนเอง หากให้วิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ตามความเชื่อนี้ ก็จะได้ข้อสรุปอย่างง่ายดาย สิ่งที่หลี่ซิงเหวินปิดบังอยู่ย่อมเกี่ยวข้องกับที่มาของยันต์แน่ ที่ชายชราไม่ได้บอกเขา คงเพราะมีเหตุผลบางอย่างทำให้บอกไม่ได้ หรือไม่ก็ไม่อยากให้ชายหนุ่มเป็นกังวลเกินไป

เหล่าผู้สูงวัยล้วนอยากให้พวกเด็กน้อยปราศจากความกังวล พวกเขายอมแบกรับความเหนื่อยยากเอาไว้เอง พวกเขาอยากจะเป็นต้นไม้ใหญ่คอยปกป้องคุ้มครองลูกหลานให้ปลอดภัยจากสายลมและหยาดฝน ใช่แล้ว แต่เด็กคนนี้ที่ได้รับการปกป้องมาโดยตลอดอยากจะเติบใหญ่ในเร็ววันเพื่อปกป้องต้นไม้ใหญ่บ้าง หวังเป่าเล่อถอนใจเบาๆ

เขาหยิบแหวนสื่อสารขึ้นมาติดต่อหาพ่อกับแม่ หวังเป่าเล่อหายไปหลายเดือน ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกท่านเป็นเช่นไร แต่ก็พอเดาได้ว่าคงเป็นกังวลกันมาก โชคดีที่เจ้าเยี่ยเหมิงและโจวเสี่ยวหยาที่เลิกเก็บตัวฝึกตนไปเยี่ยมทั้งสองอยู่บ่อยๆ ให้พอได้ใจชื้น การปลอบใจของคนทั้งคู่ทำให้คู่รักวัยชราคลายความกังวลไปได้บ้าง

พอได้รับข้อความเสียงที่หวังเป่าเล่อส่งไปบอกว่ายังปลอดภัยดี คู่รักวัยชราก็หายเป็นกังวล ผ่านไปสักพัก เขาตัดสายไป จากนั้นก็ส่งข้อความเสียงไปหาเจ้าเยี่ยเหมิง จั่วอี้ฟาน และคนอื่นๆ เพื่อบอกว่าตนกลับมาแล้ว ชายหนุ่มได้รับการตอบกลับอย่างรวดเร็ว ดูจากความเร่งรีบและข้อความที่ตอบกลับมาสั้นๆ หวังเป่าเล่อก็ทราบว่าพวกเขาคงกำลังง่วนอยู่กับภารกิจของตนเอง

จั่วอี้ฟานเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ตอบกลับ หวังเป่าเล่อไม่ได้คิดอะไรมาก เขาปล่อยหัวให้โล่ง พยายามไม่หมกมุ่นอยู่กับความลับที่หลี่ซิงเหวินไม่ยอมเปิดเผย ชายหนุ่มเชื่อว่าเมื่อถึงเวลา อาจารย์ปู่คงบอกเรื่องราวทั้งหมดกับเขาเอง

ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยแววความคิดตรึกตรอง เขาเริ่มประเมินสิ่งต่างๆ ที่จะใช้ในศึกครั้งต่อไป เวลาผ่านไปเนิ่นนานก่อนที่จู่ๆ หวังเป่าเล่อจะร้องออกมาเสียงดัง “ศิษย์พี่ ศิษย์น้องอันเป็นที่รักของท่านกำลังมีปัญหา ท่านศิษย์พี่ผู้หล่อเหลาและแสนไร้เทียมทานอยู่หรือไม่”

เขารออยู่นานแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจึงเริ่มขุ่นเคือง เขาไม่เชื่อว่าศิษย์พี่จากไปแล้ว แต่จะยอมเดิมพันทุกสิ่งว่าอีกฝ่ายยังอยู่แถวนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าศิษย์พี่ไม่อยู่ขึ้นมาจริงๆ จะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้

“แม่นางน้อยผู้งดงามที่สุดในจักรวาล เจ้าอยู่หรือไม่…” หวังเป่าเล่อถอนใจและเรียกหาแม่นางน้อยในหัว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น การตอบกลับของแม่นางน้อยขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนาง และตอนนี้เหมือนว่านางจะอารมณ์ไม่ดีอยู่ ไม่ว่าจะเรียกสักกี่ครั้ง นางก็ไม่ยอมตอบกลับเสียที

พวกเขาเมินข้า! ได้ ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองไม่ได้! หวังเป่าเล่อแค่นเสียงไม่พอใจ เริ่มครุ่นคิดอย่างหนัก

ยังมียักษ์อยู่บนดวงจันทร์และมีวัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคาร…แถมข้ายังใช้ความสามารถพิเศษของวิญญาณจุติดวงดาราได้ด้วย…

บทที่ 700 ความลับสุดยอดของสหพันธรัฐ!
เมื่อได้ยินคำพูดของต้วนมู่ฉี หวังเป่าเล่อที่กำลังคุ้ยหาขนมจากกำไลคลังเวทขึ้นมากินก็ตัวสั่นเทิ้ม เกือบจะสำลักขนมในปาก ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ในหูมีแต่เสียงอื้ออึง โชคดีที่ลำคอของเขาแข็งแกร่งกว่าจุดอื่น ชายหนุ่มจึงกลืนขนมลงคอไปได้ ก่อนจะเก็บถุงขนมไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหันมาจ้องต้วนมู่ฉี หายใจถี่รัวขณะโพล่งถามขึ้น

“จริงหรือ”

ตามหลักการแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งและระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อในปัจจุบันทำให้เขานึกลังเลเกี่ยวกับการขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ แต่สิ่งนี้เป็นเป้าหมายในชีวิตของเขา เป็นความฝันที่คอยไล่ตามมาตั้งแต่เด็ก ชายหนุ่มเข้าไปฝึกวิชาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะความฝันที่จะได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ นอกจากนี้ เขายังส่งเคล็ดวิชากลับมาให้สหพันธรัฐมากมายตอนที่อยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ คำนวณดูแล้วก็น่าจะเพียงพอในการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ

แต่พอเขาได้กลับมาและทราบถึงสถานการณ์ของสหพันธรัฐในปัจจุบัน ชายหนุ่มก็ตระหนักว่าการเปลี่ยนตัวผู้นำระหว่างการทำสงครามนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ทราบดีว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และชายหนุ่มก็รู้จักนิสัยของต้วนมู่ฉีดี หากไปบังคับให้อีกฝ่ายลงจากตำแหน่ง เขาต้องเจอกับปัญหามากมายแน่นอน ต่อให้เขาเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐ ก็ยังเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากอยู่ดี

การจะขึ้นไปรับตำแหน่งต้องเจอกับความยุ่งยากมากมาย อีกทั้งสหพันธรัฐก็เป็นบ้านเกิดของเขา ต้วนมู่ฉีและคนอื่นๆ ก็ดูแลเขาเป็นอย่างดีมาโดยตลอด จึงไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะไปบังคับขอเข้ารับตำแหน่งได้

นี่คือเหตุผลที่ชายหนุ่มไม่ถามถึงเรื่องรางวัลที่ตนควรได้รับ เขาได้ฟังสิ่งที่เฟิ่งชิวหรันกับต้วนมู่ฉีถกกันและตระหนักถึงสถานการณ์กับทางสำนักวังเต๋าไพศาลมากขึ้น หวังเป่าเล่อตั้งใจจะถามหลี่ซิงเหวินอ้อมๆ ว่ามีโอกาสที่ตนจะได้เลื่อนขั้นไปเป็นขุนนางชั้นต่อไปหรือไม่ คงจะดีหากเขาได้รับการประกาศว่าเป็นผู้รอรับเลือกเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป แต่ถ้าไม่ได้ แค่ได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางระดับหนึ่งชั้นรองก็เพียงพอแล้ว

เขาไม่คิดว่าต้วนมู่ฉีจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง ชายหนุ่มตื่นเต้นจนถึงขีดสุดเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าตอบคำถามเมื่อครู่ ในหัวเต็มไปด้วยความปีติยินดีจนรู้สึกเหมือนจะเป็นลมขึ้นมาเล็กน้อย หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว ยกมือตบอกเสียงดัง ดวงตาของเขาแดงก่ำ

“สหพันธรัฐจะต้องชนะศึกครั้งนี้ ตระกูลไม่รู้สิ้นและสำนักวังเต๋าไพศาลจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ข้าจะฆ่าทุกคนที่มาขวางทางการขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐของข้า!”

ต้วนมู่ฉีเห็นสีหน้าจริงจังของหวังเป่าเล่อแล้วก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หลี่ซิงเหวินยิ้ม เขาไม่แปลกใจที่ต้วนมู่ฉีประกาศไปเช่นนั้น หากไม่ติดที่ว่าหวังเป่าเล่ออายุยังน้อย ชายหนุ่มคงจะได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐในทันที

ชายชรารู้จักต้วนมู่ฉีดี เขาเป็นคนช่างคิด ช่างวางแผน มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และยึดมั่นในศักดิ์ศรีของตน ความผิดพลาดบนดาวพุธส่งผลกระทบต่อต้วนมู่ฉีมาก คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่หลี่ซิงเหวินทราบดีว่าเรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบให้อีกฝ่ายเพียงใด

นอกจากนี้ ต้วนมู่ฉีก็ตระหนักถึงหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเองดี เขาไม่มีวันยอมให้หวังเป่าเล่อขึ้นเป็นผู้นำในวันที่อารยธรรมต้องล่มสลาย จึงเลือกที่จะเป็นคนแบกรับความสูญเสียครั้งนี้เอง แต่ถ้าพวกเขาชนะขึ้นมา…เขาก็จะอยู่ตรงนั้น ร่วมต่อสู้อย่างสุดกำลังเพื่อพิสูจน์ตนเอง ต้วนมู่ฉีอยากให้คนรุ่นใหม่ได้ทราบถึงสิ่งที่ตนเองคอยทุ่มเทเพื่อสหพันธรัฐ เขาอยากให้หวังเป่าเล่อเริ่มดำรงตำแหน่งเมื่อยุคใหม่ได้เปิดฉากขึ้น!

“เป่าเล่อ ภารกิจของเจ้าไม่ใช่การเข้าสู้อีกต่อไป เจ้าจะต้อง…รักษาตนเองและคนอื่นๆ ที่ปฏิบัติภารกิจซึ่งสำคัญไม่ต่างกันให้มีชีวิตรอดปลอดภัย!” หลี่ซิงเหวินสูดหายใจลึก จากนั้นก็มองชายหนุ่มด้วยแววตาลุ่มลึก

หวังเป่าเล่อตัวสั่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเก็บงำความตื่นเต้นเข้าไปและทำสมองให้โล่ง ชายหนุ่มใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็ตระหนักได้ว่าเหตุใดต้วนมู่ฉีจึงเลือกเช่นนี้ รวมถึงเข้าใจนัยแฝงในคำพูดของหลี่ซิงเหวินด้วย

หากพวกเขาชนะ หวังเป่าเล่อก็จะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป แต่ถ้าแพ้ เขาต้องรับหน้าที่ปกป้องอารยธรรมให้คงอยู่ต่อไป!

“แนวป้องกันของดาวศุกร์จะต้านทานได้นานเท่าไหร่” แสงลุ่มลึกฉายวาบขึ้นในตาของชายหนุ่มหลังจากเงียบไปพักใหญ่ เขาเลิกเป็นกังวลเรื่องตำแหน่งในอนาคตและเอ่ยถามอย่างจริงจัง

“ถ้าไม่เกิดอะไรที่เกินคาด การป้องกันน่าจะพังลงหมดตอนตระกูลไม่รู้สิ้นเปิดฉากโจมตีเต็มกำลังซึ่งๆ หน้า” ต้วนมู่ฉีตอบเสียงแหบห้าว ในที่สุดเขาก็ยอมรับชะตากรรมอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถึงจะไม่เคยนึกอยากยอมรับ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อยู่ดี

“สหพันธรัฐเตรียมตัวมาหลายปีเพื่อทำศึกกับสำนักวังเต๋าไพศาล แผนที่วางไว้คือใช้วงแหวนปราณระบบสุริยะและแนวป้องกันจากทั้งสามแห่งบนดาวพุธ ดาวศุกร์ และดาวอังคาร โชคร้ายที่มีเวลาไม่เพียงพอ แม้จะได้เจ้าและเฟิ่งชิวหรันเข้ามาช่วย เราก็ยังไม่สามารถรับมือกับกองกำลังตระกูลไม่รู้สิ้นที่เพิ่มเข้ามาและเรือบินรบน่าพรั่นพรึงของพวกเขาได้” หลี่ซิงเหวินถอนใจ เขาผุดยิ้มเหยเก

“เป็นความผิดของข้าเอง เราถึงเสียดาวพุธไป!” ต้วนมู่ฉีพูดอย่างเคร่งเครียด

“ต้วนมู่ อย่าโทษตัวเองเลย ถึงเราจะระเบิดดาวพุธไป สงครามก็ยังไม่จบอยู่ดี ทำได้แค่ยื้อเวลาเพิ่ม แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะเตรียมทำศึกเต็มรูปแบบได้ อย่างไรเราก็ต้องมาลงเอย ณ จุดนี้เหมือนเดิม” หลี่ซิงเหวินส่ายหัวและหันไปมองหวังเป่าเล่อ

“เป่าเล่อ โลกคือต้นกำเนิดและศูนย์กลางอารยธรรมของเรา เป้าหมายของการต่อสู้ในครั้งนี้คือคอยป้องกันไม่ให้วงแหวนปราณระบบสุริยะที่ตั้งขึ้นมาเพื่อคุ้มกันโลกถูกทำลาย”

“ตราบเท่าที่วงแหวนปราณยังคงอยู่ สหพันธรัฐก็จะมีพลังในการคุ้มกันตนเอง อารยธรรมของเราก็ยังมีหวังที่จะมีชีวิตรอดต่อไป ดาวอังคารและดาวศุกร์คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนวงแหวนปราณระบบสุริยะ ขอแค่ดาวดวงใดดวงหนึ่งยังคงอยู่ วงแหวนปราณก็จะยังทำงานต่อไปได้ ต่อให้ถูกทำลายไปดวงหนึ่งก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อวงแหวนปราณ” หลี่ซิงเหวินอธิบาย หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วและพูดแทรกขึ้น

“อาจารย์ปู่ ผู้นำต้วนมู่ ข้ามีคำถามสองข้อ!

“ข้อแรกคือ ดาวเคราะห์ที่เป็นกุญแจสำคัญทั้งสองดวงตั้งอยู่คนละฝั่งของโลก มีระยะทางแตกต่างกันมาก เหตุใดตระกูลไม่รู้สิ้นจึงตัดสินใจจะทำลายดาวศุกร์ก่อน จากนั้นค่อยอ้อมโลกไปทำลายดาวอังคาร พวกเขาทำลายวงแหวนปราณแล้วมุ่งหน้าไปยังโลกเลยไม่ได้หรือ

“คำถามข้อที่สอง วงแหวนปราณระบบสุริยะแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ มันสามารถปกป้องอารยธรรมของเราได้จริงๆ หรือ”

หวังเป่าเล่อมองหลี่ซิงเหวินกับต้วนมู่ฉีหลังจากถามคำถามทั้งสองข้อออกไป ทั้งสองหันมองหน้ากัน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ต้วนมู่ฉีก็สร้างผนึกฝ่ามือขึ้นด้วยมือขวา เกราะป้องกันพลันปรากฏขึ้นรอบตัวพวกเขา มันกันไม่ให้มีใครแอบฟังได้ หลี่ซิงเหวินหยิบรูปสลักไม้ออกมาวางไว้ตรงด้านหนึ่ง จากนั้นก็เปิดใช้งาน เกราะป้องกันมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงเป็นประกายเมื่อได้เห็น เขาสร้างผนึกฝ่ามือดึงพลังของเกราะจักรพรรดิและวิญญาณจุติดวงดาราออกมา วิญญาณจุติดึงพลังจากดาวศุกร์มาช่วยเสริมพลังของเกราะป้องกันที่อยู่รอบตัวคนทั้งสามด้วยอีกแรง

ม่านคุ้มกันหลายชั้นป้องกันไม่ให้ใครแอบฟังบทสนทนาของพวกเขาได้ ต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินหันมองกันอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ในที่สุด หลี่ซิงเหวินก็ถอนหายใจและกระซิบขึ้น “เป่าเล่อ สิ่งที่ข้ากำลังจะบอกเจ้ามีเพียงข้า ต้วนมู่ฉี และอาจารย์เจ้าผินฟางเท่านั้นที่รู้ เจ้าจะเป็นคนที่สี่ของสหพันธรัฐที่ได้ล่วงรู้ความลับนี้!”

“นี่คือความลับสุดยอดของสหพันธรัฐ โดยหลักการแล้ว มีเพียงผู้นำสหพันธรัฐเท่านั้นที่จะเข้าถึงข้อมูลนี้ได้ เจ้าผินฟางมีพรสวรรค์ด้านวิทยาศาสตร์การวิญญาณ ต้วนมู่ฉีกับข้าจึงตกลงเผยข้อมูลนี้ให้เขาทราบ!

“เพราะอย่างนั้น…เจ้าห้ามแพร่งพรายความลับนี้ให้ใครรู้เป็นอันขาด! เว้นเสียแต่ว่า…สหพันธรัฐจะแพ้ศึกครั้งนี้ หากเป็นเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ถือเป็นความลับสุดยอดอีกต่อไป เจ้าจะไปบอกใครก็แล้วแต่เจ้า”

หวังเป่าเล่อมีสีหน้าจริงจังขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเขาเริ่มเต้นถี่รัว สัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียดจากหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี ชายหนุ่มรู้ว่าเรื่องที่หลี่ซิงเหวินกำลังจะบอกต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ อาจถึงขั้นสั่นคลอนโลกทั้งใบเลยทีเดียว

“ครับ ท่านอาจารย์!” ชายหนุ่มกุมมือและเอ่ยให้คำสัญญา

หลี่ซิงเหวินจ้องหวังเป่าเล่อเงียบๆ อยู่พักใหญ่ เหมือนว่าเขากำลังจมอยู่ในห้วงความทรงจำ หรือไม่ก็กำลังสรรหาคำมาอธิบายอยู่ เวลาผ่านไปพักหนึ่งก่อนชายชราจะเปิดปากพูดเสียงเบาอีกครั้ง

“พลังวิญญาณที่ใช้สนับสนุนวงแหวนปราณระบบสุริยะมาจากการที่ประชาชนในสหพันธรัฐ…ฝึกฝนวิชาค้ำจุนปราณ เรามีประชากรหมื่นล้านคน เกือบทุกคนฝึกวิชาค้ำจุนปราณกัน ปราณวิญญาณที่พวกเขาสร้างขึ้นระหว่างการฝึกวิชาจะถูกส่งไปเป็นพลังงานให้กับวงแหวนปราณระบบสุริยะ เรื่องนี้จะต้องเก็บไว้เป็นความลับ แต่ก็มีอยู่หลายคนที่รู้ ถึงอย่างนั้นก็มีแค่เราสามคนที่รู้ว่ารากฐานของวงแหวนปราณสุริยะคืออะไร!”

“รากฐานที่ว่าก็คือ…ยันต์ที่มีต้นกำเนิดอันเป็นปริศนา!” หวังเป่าเล่อตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินที่หลี่ซิงเหวินพูด

“ยันต์หรือ”

“หลายพันปีก่อนหน้าการมาถึงของยุคกำเนิดวิญญาณ มีการค้นพบยันต์ใบหนึ่งในซากเมืองโบราณทางเขตตะวันออกเฉียงใต้ของโลก ยันต์ใบนั้นคือเครื่องบูชา ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร ด้วยเงื่อนไขหลายๆ อย่างทำให้ไม่เหมาะที่จะทำการขุดค้น ถึงจะมีการคาดเดาและศึกษาอย่างหนักก็ไม่พบอะไรที่พอจะเป็นข้อสรุปได้ ยันต์ใบนั้นเลยถูกจัดเป็นวัตถุทางประวัติศาสตร์และได้นำไปเก็บรักษาไว้

“จากนั้นยุคกำเนิดวิญญาณก็มาถึง ปราณวิญญาณที่มาพร้อมเศษกระบี่สำริดเขียวโบราณได้เปลี่ยนอารยธรรมบนโลกไป ข้าเป็นคนแรกในสหพันธรัฐที่บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นได้ และวันนั้นเอง ยันต์ก็มาปรากฏตัวต่อหน้าข้า หลังจากศึกษาอย่างละเอียดก็ได้ข้อสรุปว่ายันต์ใบนี้น่าจะถูกขุดค้นมานานหลายพันปีแล้ว

“ยันต์ใบนี้มีพลังกล้าแกร่ง จุดที่พิเศษที่สุดก็คือ…มันไม่ปรากฏตัวต่อหน้าคนจากนอกโลก พวกเขามองไม่เห็นมัน สัมผัสก็ไม่ได้ แทบจะไม่รู้สึกถึงเลยด้วยซ้ำ ข้าลองใช้อาวุธเทพทดสอบดูก็พบว่าอาวุธเทพถึงกับสั่นคลอนเมื่อมาอยู่ต่อหน้ายันต์ ราวกับว่าเกรงกลัวในพลังอำนาจของมัน!

“หลังจากศึกษาอยู่ยกใหญ่ก็พบว่ามีโอกาสร้อยละหกสิบที่ยันต์ใบนี้จะเป็นแบบสร้างวงแหวนปราณ ข้าให้สหพันธรัฐสร้างวงแหวนปราณระบบสุริยะขึ้น ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าแก่นของวงแหวนปราณระบบสุริยะนั้น…สร้างขึ้นบนยันต์ใบนี้ มันทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวขยายพลัง หากมีทรัพยากรไม่เพียงพอก็ไม่สามารถขยายขอบเขตพลังออกไปได้ เราต้องใช้ดาวศุกร์และดาวอังคารในการขยายพลังของยันต์ออกไป สิ่งมีชีวิตที่โลกไม่รู้จักจะเข้ามาใกล้โลกได้ยาก ยิ่งพวกมันเข้ามาใกล้เท่าไหร่ ก็ยิ่งเดินหน้าไปต่อได้ยากลำบากขึ้นเท่านั้น!

“ตอนที่ลงจากตำแหน่ง ข้าได้บอกความลับนี้กับต้วนมู่ฉี มีการตั้งกฎขึ้นมาว่ามีเพียงผู้นำสหพันธรัฐเท่านั้นที่จะทราบข้อมูลนี้ได้ ในขณะที่คนภายนอกเชื่อกันว่าอาวุธเทพเป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องสหพันธรัฐให้ปลอดภัย แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ปกป้องพวกเราอยู่คือยันต์ใบนี้ต่างหาก!

“โลกเชื่อกันว่าอาจารย์เจ้าผินฟางสร้างระเบิดต้านทานวิญญาณขึ้นมาจากศูนย์ แต่จริงๆ แล้ว…เขาได้ข้อมูลมาจากการศึกษายันต์ จึงสามารถสร้างระเบิดต้านทานวิญญาณขึ้นมาได้

“ข้าไม่เป็นกังวลที่เจ้าและเฟิ่งชิวหรันขึ้นมาบนดาวศุกร์ เพราะข้าสามารถยืมพลังปริศนาจากยันต์ผ่านวงแหวนระบบสุริยะตรวจดูว่าเจ้ามีปรสิตแฝงกายอยู่ในร่าง หรือโดนสิ่งมีชีวิตนอกโลกควบคุมอยู่หรือเปล่าได้!”

“นี่คือความลับของวงแหวนปราณระบบสุริยะ และเป็นเหตุผลที่ข้ามั่นใจว่าตระกูลไม่รู้สิ้นจะมุ่งหน้าไปยังดาวอังคารหลังจากทำลายดาวศุกร์ได้ มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางเลยที่พวกมันจะเข้าไปยังโลกได้!” คำพูดที่พรั่งพรูออกจากปากหลี่ซิงเหวินเป็นเหมือนสายฟ้าที่แล่นเข้าใส่หวังเป่าเล่อ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง หายใจถี่รัวขณะฟังชายชราพูด เรื่องนี้ช่างเกินคาดคิดไปไกล ไม่มีทางเลยที่ชายหนุ่มจะสามารถเดาได้ว่าโลกมีความลับเช่นนี้ซุกซ่อนอยู่!

………………………..

บทที่ 699 เราจะเอาคืน!
วงแหวนปราณระบบสุริยะทำงานขึ้นเมื่อเรือบินรบลำที่หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันพักฟื้นอยู่เคลื่อนเข้าไปในชั้นบรรยากาศด้านนอกของดาวศุกร์ พวกเขาผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอนเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้ถูกตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าครอบงำ หลี่ซิงเหวินทำการตรวจสอบเป็นพิเศษด้วยตนเองเช่นกันเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครในหมู่พวกเขาโดนแทรกแซง เรือบินรบผ่านเข้าไปลงจอดในท่าอากาศยานดาวศุกร์ได้สำเร็จ

ทั่วทั้งท่าอากาศยานอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก

ภายในท่าอากาศยานถูกปิดตาย รอบนอกหุ้มด้วยเกราะป้องกัน ผู้ฝึกตนจำนวนมากยืนคุ้มกันอยู่อย่างระแวดระวัง พวกเขาได้รับคำสั่งจากต้วนมู่ฉีโดยตรง ดวงตามากมายนับไม่ถ้วนจับจ้องไปยังเรือบินรบที่กำลังลงจอดช้าๆ

ประตูเรือบินรบเปิดออก ดวงตาทุกคู่หันไปมองทางประตู เสียงทุ้มต่ำดังก้องขึ้น

“ทำความเคารพ!”

ผู้ฝึกตนและเหล่าพนักงานภาคพื้นดินทั้งหมด รวมถึงเหล่าผู้นำกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ล้วนยกมือขึ้นแสดงความเคารพตามแบบฉบับของกองทัพสหพันธรัฐ ต้วนมู่ฉีเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

พวกเขาทำความเคารพหวังเป่าเล่อ!

ทั้งหมดได้ฟังรายงานจากเจ้าเยี่ยเหมิงและประมุขสำนักสวี อีกทั้งหวังเป่าเล่อยังพาตัวเฟิ่งชิวหรันกลับสหพันธรัฐด้วยตนเอง บุญคุณที่เขามีต่อสหพันธรัฐนั้นเกินกว่าใครจะเทียบเท่าได้!

รายงานต่างๆ เผยว่าหวังเป่าเล่อเสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อช่วยให้พวกเจ้าเยี่ยเหมิงกลับมาอย่างปลอดภัย และทำให้สหพันธรัฐทราบถึงปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น การกลับมาของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันช่วยเสริมความมั่นใจให้กับสหพันธรัฐที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่

ตอนที่แผนพันธุ์กล้าสหพันธรัฐดำเนินการครั้งแรก ต้วนมู่ฉีเองก็ป่าวประกาศชื่อหวังเป่าเล่อไปด้วยเช่นกัน ทำให้ทั่วทั้งสหพันธรัฐรับรู้ถึงชื่อเสียงและความดีความชอบที่ชายหนุ่มสร้างให้สหพันธรัฐ แม้แต่ต้วนมู่ฉีเองก็ยังไม่รู้ว่าตนควรมอบตำแหน่งอะไรตอบแทนหวังเป่าเล่อดี…

การทำความเคารพนี้จึงเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มควรได้รับเป็นอย่างยิ่ง!

แต่…ขณะที่ทุกคนกำลังยืนทำความเคารพ เตรียมต้อนรับการมาเยือนของฝูงชนบนเรือบินรบ เสียงร้องของลาที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นก็ดังก้องไปทั่วทั้งท่าอากาศยาน ทุกคนตาเบิกกว้างเมื่อเห็นเรือบินรบเปิดออก พวกเขาต่างมีสีหน้าแปลกประหลาดใจ ต้วนมู่ฉีเองก็สะดุ้งตกใจ

คนกลุ่มแรกที่เดินออกมาจากเรือบินรบคือหลี่ซิงเหวินและต้นไม้ยักษ์ พวกเขาเดินออกมาตามปกติ ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่ทั้งสองดูจะอับอายอยู่เล็กน้อย หวังเป่าเล่อตามหลังมาไม่ห่าง เขาดูสบายดี ไม่ได้เหนื่อยอ่อน แต่งกายสุภาพ รูปร่างผอมเพรียว ไม่ได้อ้วนท้วน พลังที่แผ่พุ่งออกมาแตกต่างจากตอนที่เดินทางออกจากสหพันธรัฐมากทีเดียว

ทั้งหมดเป็นเพราะระดับการฝึกตนที่สูงขึ้น วิญญาณจุติดวงดารา และความพยายามตลอดหลายปี เขาไม่ได้เป็นเด็กน้อยอีกต่อไป ชายหนุ่มที่โตขึ้นและเปลี่ยนแปลงตนเองไปมากน่าจะมีโอกาสสร้างความประทับใจให้กับทุกคน ตัวตนใหม่ของหวังเป่าเล่อควรจะเป็นที่เคารพยำเกรง และคงจะเป็นเช่นนั้นได้…ถ้าไม่มีเจ้าลาขี่คออยู่!

ลาที่ชายหนุ่มแบกอยู่เป็นลาสีดำตัวเล็ก ขาหลังสองข้างห้อยขนาบข้างคอ ส่วนขาหน้าวางแหมะอยู่บนหัวหวังเป่าเล่อ ตัวของมันผอมแห้งจนเห็นโครงกระดูก แต่เสียงร้องยังฟังดูสดใส…

คนขี่ลาเป็นภาพที่เห็นกันได้ปกติ แต่ลาขี่คนนั้น…ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติไปไกล สถานการณ์แสนกระอักกระอ่วนใจทวีความหนักหน่วงขึ้นด้วยถุงขนมในมือชายหนุ่มที่ยื่นไปป้อนเจ้าลา…

สีหน้าทุกคนดูแปลกพิกลไปเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า

หวังเป่าเล่อไม่ได้หน้าด้านไร้ยางอาย แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เจ้าลาไม่ยอมกลับเข้าไปในกำไลคลังเวทหลังจากถูกปล่อยออกมา มันร้องคร่ำครวญ ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า ถึงกับแลบลิ้นออกมาเพื่อบอกว่ามันยอมตายลงตรงนี้ยังดีเสียกว่า ชายหนุ่มรู้สึกผิดเมื่อได้เห็นเช่นนั้น และความใจอ่อนในตอนนั้นก็นำพาเขามาสู่จุดนี้

เมื่อเห็นสภาพหิวโหยของเจ้าลา ชายหนุ่มเลยป้อนขนมให้ เจ้าลาใช้ประโยชน์จากความรู้สึกผิดของหวังเป่าเล่อ หากเขาหยุดป้อนเมื่อไหร่ มันก็ขู่ว่าจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายเมื่อนั้น

นี่เป็นเหตุให้เขาต้องเดินออกมาในสภาพเช่นนี้ หวังเป่าเล่อหันมองผู้คนด้านนอกเรือบินรบที่กำลังมองมาด้วยสีหน้าแปลกพิกล เขาถอนใจอยู่ภายในก่อนจะหยุดเดิน จากนั้นก็ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “สหายเต๋าทุกท่านคงจะสงสัยว่าเหตุใดข้าจึงปรากฏตัวต่อหน้าพวกท่านพร้อมลาบนคอ!”

“เป็นเพราะสำหรับข้า เจ้านี่ไม่ใช่แค่สัตว์ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นเพื่อนร่วมศึก เป็นพันธมิตรของข้า มันช่วยข้ามาแล้วหลายครั้งตอนที่ข้าตกอยู่ในอันตราย มันเลือกที่จะเมินข้าวปลาอาหารเพื่อออกตามหาอาหารและยามาให้ข้าที่นอนไร้สติ ต้องทนหิวจนแทบจะล้มตาย!”

“หวังเป่าเล่อผู้นี้ให้คุณค่ากับมิตรภาพและความภักดียิ่งกว่าสิ่งใด การแบกมันไว้บนคอหาใช่เรื่องใหญ่ไม่ ข้ายอมตัดเนื้อตัวเองมาเลี้ยงมัน เพราะตอนที่ข้าเข้าสู้เส้นทางการฝึกตน ท่านอาจารย์ปู่แห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้สอนข้าไว้ว่า พวกเราเหล่าผู้ฝึกตนจักต้องตอบแทนบุญคุณอยู่เสมอ!” หวังเป่าเล่อพูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ฝูงชนรู้สึกประทับใจเมื่อได้ฟังเขาพูดจนจบ

สภาพหนังหุ้มกระดูกของเจ้าลาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีที่สุด คงมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้มนุษย์หรือสัตว์ยอมทนหิวโหยขนาดนี้!

การทนหิวตายถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่มันยอมทำเช่นนี้…เหตุผลคงเป็นตามที่ชายหนุ่มเล่า มันเลือกสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเจ้านายของตน!

ไม่ใช่ทุกคนจะเชื่อหวังเป่าเล่อ แต่หลายคนก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างที่ชายหนุ่มพูด พวกเขามองเจ้าลาด้วยความเคารพ เจ้าลาผู้แสนชาญฉลาดสัมผัสได้ถึงท่าทีและแววตาของผู้คนที่เปลี่ยนไป มันนิ่งไป จากนั้นก็กะพริบตา กำลังจะฉีกยิ้มกว้าง แต่ชายหนุ่มก็กระแอมกระไอขึ้นเบาๆ เบาเสียจนมีแต่เจ้าลาที่ได้ยิน

เจ้าลาตีหน้าขรึมในทันใด เหมือนจะสื่อว่าตนพร้อมตายเคียงข้างเจ้านายของตน

หวังเป่าเล่อพอใจที่เห็นเจ้าลาตอบสนองได้ไว สิ่งที่เขาพูดไปไม่ใช่แค่ช่วยแก้เขินได้อย่างเดียว แต่ยังสร้างผลกระทบแง่บวกเพิ่มด้วย ชายหนุ่มแสนพึงพอใจ ไหวพริบเชาวน์ปัญญาเหมือนจะเพิ่มพูนขึ้นมาก เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“พอข้าสำเร็จวิชาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ต้วนมู่ฉี ผู้นำของเราได้สอนข้าไว้อีกอย่าง นั่นก็คือ…เราจะต้องเอาคืนอยู่เสมอ! ตระกูลไม่รู้สิ้นเข้ามารุกล้ำสหพันธรัฐ เราจะต้องแก้แค้น ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลเลือกเชื่อฟังคำสั่งตระกูลไม่รู้สิ้น ในฐานะผู้อาวุโสประจำสำนักวังเต๋าไพศาล ศิษย์พี่ชิวหรันและข้าจะกำจัดปีศาจทั้งหลายให้มลายไปจากสำนัก แต่ทุกสิ่งกลับเดือดพล่านจนมาอยู่ในจุดที่ผู้นำสหพันธรัฐต้วนมู่ฉีเคยสอนข้าไว้ พวกเรา ผู้ฝึกตนแห่งสหพันธรัฐจะไม่มีวันลืม เราจะเอาคืน!”

ชายหนุ่มใช้พลังทั้งหมดในการตะโกนคำสุดท้ายออกไป ด้วยระดับการฝึกตนของเขา เสียงร้องคำรามถ้อยคำสุดท้ายจึงมีพลังเหมือนดังพายุซึ่งพัดกระจายไปทั่วท่าอากาศยาน คำพูดของเขาเป็นเหมือนสายฟ้าที่แล่นเข้าสู่จิตใจของฝูงชน หลายคนพร้อมใจกันตะโกนขึ้น

“เราจะเอาคืน!”

เหล่าผู้ฝึกตนสหพันธรัฐฮึกเหิมขึ้นเมื่อหวังเป่าเล่อพูดปลุกใจ พวกเขาเขยิบเข้าใกล้กัน พลังรวมเป็นหนึ่งปลุกจิตวิญญาณนักสู้ขึ้นในตัว เหล่าตัวแทนจากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ก็ได้รับการปลุกเร้าไม่แพ้กัน พวกเขาเริ่มส่งเสียงโห่ร้องดังกึกก้อง ต้วนมู่ฉี หลี่ซิงเหวิน และคนอื่นๆ ที่คุ้นเคยกับหวังเป่าเล่อ รู้ดีว่าชายหนุ่มมีนิสัยชอบพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ถึงกระนั้นดวงตาของพวกเขาก็ฉายแสงเป็นประกาย ต้วนมู่ฉีผุดคิดขึ้น…หากหวังเป่าเล่อได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ แม้งานด้านอื่นจะยังไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะสามารถทำได้ดีเพียงใด แต่ถ้าเป็นการปลุกใจฝูงชนก็ถือว่าทำได้ดีกว่าต้วนมู่ฉีมาก ชายหนุ่มเหมาะสมกับตำแหน่งนี้จริงๆ

เฟิ่งชิวหรันที่เดินตามหลังชายหนุ่มออกมาก็รู้สึกตื้นตันใจไม่แพ้คนอื่นๆ อาการบาดเจ็บของนางยังไม่หายดี ใบหน้ายังดูซีดเผือดอยู่เล็กน้อย แต่หลังจากได้ยินเสียงกู่ก้องของผู้คนรอบๆ และสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณนักสู้ของสหพันธรัฐ นางก็ได้แต่สูดหายใจลึกและหลับตาลง ภาพใบหน้าผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล เหล่าผู้ฝึกตนที่นางต้องประมือเพื่อหนีมาปรากฏขึ้นในหัว เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววความสับสนก็หายไป กลับแทนที่ด้วยประกายแสงแห่งความมุ่งมั่น พอหวังเป่าเล่อพูดจบ นางก็เดินออกมายืนเคียงข้างชายหนุ่ม จากนั้นก็ยกมือขึ้นกุม ก้มหัวให้กับฝูงชน

“ผู้อาวุโสสูงสุดเป่าเล่อพูดถูก สำนักวังเต๋าไพศาล…ต้องได้รับการชะล้าง! เหล่าผู้ทรยศของสำนักวังเต๋าไพศาลได้ทำให้สหายเต๋าจากสหพันธรัฐได้รับบาดเจ็บ ถึงข้าจะเอ่ยขอโทษเป็นหมื่นครั้งก็ไม่เพียงพอ ข้าทำได้เพียงถวายชีวิตและความร่วมมืออย่างเต็มกำลังเพื่อร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่สหายเต๋าของสหพันธรัฐ!”

เสียงของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันดังก้องในใจฝูงชน คำประกาศจากทั้งสองทำให้ฝูงชนมีใจพร้อมสู้

“ทุกคนทำความเคารพหวังเป่าเล่อและศิษย์พี่ชิวหรัน!” ต้วนมู่ฉีตะโกนก้องด้วยน้ำเสียงแน่วแน่เด็ดเดี่ยว ทั่วทั้งท่าอากาศยานเต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

อารมณ์ของคณะต้อนรับพุ่งสูงถึงขีดสุด หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันลงจากเรือบินรบ จากนั้นก็เดินตามหลังหลี่ซิงเหวิน ต้วนมู่ฉี และคนใหญ่คนโตของสหพันธรัฐเข้าไปในฐานทัพ

ต้วนมู่ฉีในฐานะตัวแทนสหพันธรัฐพร้อมและบรรดาคนใหญ่คนโตเข้าไปพูดคุยกับเฟิ่งชิวหรันถึงรายละเอียดและข้อมูลต่างๆ ของสถานการณ์ในปัจจุบัน จากนั้นก็ส่งเฟิ่งชิวหรันไปยังห้องลับในฐานทัพเพื่อเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูร่างกายต่อ เจ้าลาเองก็ถูกนำตัวไปเช่นกัน หวังเป่าเล่อยืนอยู่ในตำหนักหลัก คนอื่นๆ แยกย้ายไปกันหมด เหลือเพียงต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวิน ต้วนมู่ฉีมีสีหน้าจริงจัง หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็พูดขึ้น

“หวังเป่าเล่อ ถ้าสหพันธรัฐชนะศึกครั้งนี้ เจ้าจะได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป!”

บทที่ 698 ใครกันที่เป็นปีศาจ!
หืม เหมือนจะเป็นเจ้าโง่อีกตัว ติดกับง่ายมาก เปลือกตาของหวังเป่าเล่อกระตุก เขาลืมตาขึ้น เผยให้เห็นแววเย็นเยียบ ริมฝีปากผุดยิ้มเยือกเย็น

ชายหนุ่มมีวิธีมากมายในการจัดการกับสภาพจิตใจที่เหนื่อยล้า อย่างไรเสียเขาก็เป็นนักหลอมอาวุธเวท การหลอมอาวุธเวทจำเป็นต้องใช้ความตั้งมั่นและความแข็งแกร่งทางจิตใจ แม้หวังเป่าเล่อจะยังไม่อาจใช้ผลต้นเฟิงซิ่นจากกระบี่กระบี่สำริดเขียวโบราณและกระบวนเวทต่างๆ ในการต่อสู้ได้เต็มที่ แต่เขาก็สามารถใช้สิ่งเหล่านี้เพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูสภาพจิตใจและดวงวิญญาณเมื่อพักจากการต่อสู้ได้

เขาไม่ได้ทำเช่นนี้ในตอนแรกและมัวสนใจแต่การฟื้นฟูสภาพร่างกาย เพราะต้องการจะทดสอบดวงจิตที่ซ่อนอยู่ในวิชาดวงตาปีศาจ!

หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาตรวจสอบก่อนหน้านี้เพราะมัวง่วนอยู่กับการต่อสู้และการหาทางหลบหนี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาละเลยไม่สนใจ ชายหนุ่มคอยจับตาดูมันอยู่ตลอด

ทำให้เขาเลือกฟื้นฟูสภาพจิตใจที่เหนื่อยล้าเป็นอย่างสุดท้ายและทำเป็นว่าจะพักผ่อน ชายหนุ่มอยากรู้ว่าดวงจิตจะแสดงท่าทีหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ เมื่อสัมผัสได้ว่ามันตื่นขึ้น หวังเป่าเล่อก็เรียกผลต้นเฟิงซิ่นออกมา จากนั้นก็กินโอสถเข้าไปชุดใหญ่ทันที มืออีกข้างสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ และใช้เคล็ดที่ได้รู้มาอีกเล็กน้อยเพื่อช่วยคลายความเหนื่อยล้าที่สะสมอยู่ของจิตใจและปรับสภาพให้จิตใจสมดุลแข็งแกร่งเหมือนเป็นป้อมปราการ

ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววสงสัยใคร่รู้ เขาขยายจิตสัมผัสวิญญาณลึกลงไปภายในเพื่อค้นหาดวงจิตของวิชาดวงตาปีศาจที่กำลังปลดปล่อยพลังอย่างบ้าคลั่ง

รูปแบบการปรากฏตัวของมันบ่งบอกว่ามันมีชีวิตอยู่ในร่างกายข้า ตอนสู้กับหัตถ์ยักษ์มันไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา แสดงว่ามันมีสติปัญญาในระดับหนึ่ง ถึงรู้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นตอนที่มันเข้าแทรกแซง มันก็เสี่ยงจะโดนทำลายได้เหมือนกัน

“แต่กลับติดกับการล่อหลอกง่ายๆ รึ เหมือนว่ามันจะไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น หรือว่ามันจะอาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ กัน” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตัวเอง ดวงตาของเขาฉายแววเฉียบคม ทันใดนั้น ตัวตนคล้ายหมอกสีดำก็เริ่มเข้าบดบังแววเฉียบคมในดวงตา เปลี่ยนสีตาของชายหนุ่มให้กลายเป็นสีดำสนิท

หรือว่าจะทำได้แค่กลบทับสติข้าด้วยความรู้สึกกระหายเลือดและความโหยหิวความตายระหว่างที่ข้าสู้รบ ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาใคร่ครวญถึงความกระสับกระส่ายที่ปะทุขึ้นภายในและความคิดอยากสังหารที่ผุดขึ้นในหัว มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนคนขาดยา หากไม่ยอมทำตามสัญชาตญาณดิบเถื่อนก็จะโดนมันกลืนกินแทน

ทำได้แค่นี้เองหรือ เสียเวลาชะมัด หวังเป่าเล่อส่ายหน้า เมฆหมอกสีดำบดบังดวงตา ทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนอมนุษย์ไม่มีผิด ถึงกระนั้นในหัวกลับมีสติแจ่มชัด ร่างกายและจิตใจของเขาเหมือนจะแยกออกจากกัน หวังเป่าเล่อคอยเฝ้าดูอย่างเรียบเฉย ปราศจากอารมณ์ใดๆ

เขาเฝ้าดูอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าดวงจิตที่เกิดจากวิชาดวงตาปีศาจไม่มีกลยุทธ์อื่นใดอีกจึงหมดความสนใจไป ชายหนุ่มกำลังจะสั่งให้มันเงียบ ทันใดนั้นดวงจิตก็ดูเหมือนจะยังไม่พอใจกับการยัดจิตสังหารใส่หัวหวังเป่าเล่อเพียงอย่างเดียว ก็เริ่มเคลื่อนตัวไปหาวิญญาณจุติ

หวังเป่าเล่อแปลกใจ มือที่สร้างผนึกฝ่ามือขึ้นหยุดชะงัก ตัดสินใจเฝ้าดูต่อ

ดวงจิตดังกล่าวเป็นเหมือนเกลียวเชือกสีดำที่รวมตัวขึ้นในร่าง ไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้าของร่างกำลังจับตาดูตนอยู่ มันเลื้อยไปข้างหน้าราวกับเป็นงู มุ่งหน้าไปหาวิญญาณจุติ

เล็งวิญญาณจุติอย่างนั้นหรือ ไม่งั้นพอเข้าไปใกล้วิญญาณจุติได้ ก็อาจจะเข้าครอบงำหรือกลืนกินดวงวิญญาณของข้าที่สถิตอยู่ในวิญญาณจุติก็เป็นได้ หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเมื่อพบว่าดวงจิตกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใด เมื่อผู้ฝึกตนบรรลุขั้นจุติวิญญาณ ดวงวิญญาณของเขาจะแปรเปลี่ยนเป็นดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ในวิญญาณจุติ เมื่อบรรลุขึ้นไปถึงขั้นเชื่อมวิญญาณ ดวงจิตเทพก็จะกลายเป็นดวงวิญญาณเทพ!

ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีความสำคัญกับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณมหาศาลทั้งยังต้องการการปกป้องอย่างดี ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบเมื่อศึกษาวิญญาณจุติของตัวเอง ภายในนั้นมีทั้งฝักกระบี่และเปลวไฟสีดำอยู่ เปลวไฟสีดำก่อกำเนิดขึ้นมาตอนที่เขากลายเป็นบุตรแห่งความมืด และเป็นหลักฐานที่แสดงว่าเขามาจากสำนักแห่งความมืด และสิ่งที่อยู่ในเปลวไฟสีดำก็คือดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขานั่นเอง

ต้องปลอดภัยไว้ก่อน… ชายหนุ่มใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดปลดปล่อยพลังแห่งความมืดออกมาเล็กน้อยผ่านเปลวไฟสีดำที่อยู่ในวิญญาณจุติ ตั้งใจจะทดสอบดูว่าดวงจิตนั้นแข็งแกร่งเพียงใด

เขาปล่อยพลังแห่งความมืดออกมาเพียงน้อยนิด แต่ทันใดที่พลังพวยพุ่งออกมา เกลียวเชือกสีดำของดวงจิตที่กำลังพุ่งไปหาวิญญาณจุติก็สั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับว่าได้พบตัวตนอันน่าสะพรึงกลัว มันสั่นเทิ้ม และเกือบจะสลายหายไป

“หืม” หวังเป่าเล่อตกใจ รีบลดทอนพลังแห่งความมืดลงไปเหลือเพียงหนึ่งส่วนสิบเพื่อช่วยให้ดวงจิตวิชาดวงตาปีศาจมีชีวิตรอด และให้โอกาสมันได้ปะทะกับพลังแห่งความมืดดู

ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นดวงจิตเข้าปะทะกับพลังแห่งความมืด เขาเฝ้าดูด้วยความสงสัย ก่อนจะเริ่มทำสีหน้าแปลกๆ ขึ้นเรื่อยๆ การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายเริ่มดุเดือด ดวงจิตต้องใช้พลังสุดความสามารถในการต่อกรกับพลังแห่งความมืด พอตระหนักได้ถึงความดื้อดึงของเจ้าของร่าง มันก็ชะลอการเข้าไปใกล้วิญญาณจุติ รีบถอยไปซ่อน นอกจากนี้ยังลบจิตสังหารไปอีกด้วย

“สุดยอดไปเลย!” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ไม่มีทางที่เขาจะยอมรับว่าตนได้กระทำเกินกว่าเหตุ

เขาปลอบใจตัวเองพร้อมกับพูดพึมพำด้วยสีหน้าจริงจัง “เหมือนว่ามันจะมีจิตอันแรงกล้า เป็นความบ้าคลั่งบางอย่าง ราวกับว่ามันเคยเป็นผู้ปกครองฟ้าดินแห่งนี้ มันมีเชาวน์ปัญญาประมาณหนึ่งและมีลักษณะเหมือนเชื้อไวรัสหรือไม่ก็การครอบงำอะไรสักอย่างที่มีเขียนอยู่ในบันทึกของสำนักวังเต๋าไพศาล!”

ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้เห็นอย่างหนักอยู่เป็นนาน มันคือตัวแทนของปีศาจ หวังเป่าเล่อคิดว่าคำนี้ช่างเหมาะสมกับมันยิ่งนัก

ช่างเป็นปีศาจที่น่าสะพรึงกลัว มันสามารถต่อกรกับพลังแห่งความมืดที่ลดทอนพลังลงไปสิบเท่าได้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ! หวังเป่าเล่อลูบคาง จ้องมองไปยังวิญญาณจุติในร่าง พยายามคิดว่าถ้าตนเป็นปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวตนนี้ หากจะเข้าครอบงำดวงวิญญาณของตน มันจะยากเย็นสักเพียงใด

ถ้าข้าเป็นปีศาจ ข้าจะต้องป้องกันตัวเองจากพลังแห่งศาสตร์มืด เริ่มจากลองต้านทานพลังหนึ่งส่วนพัน จากนั้นก็พัฒนาไปเรื่อยๆ จนสามารถต้านพลังแห่งศาสตร์มืดเต็มขั้นได้ เมื่อทำได้อย่างนั้นแล้วก็จะสามารถเข้าไปใกล้วิญญาณจุติได้…ข้าก็จะได้เห็นวิญญาณจุติดวงดาราซึ่งแตกต่างจากวิญญาณจุติอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง มาถึงตรงนี้ ข้าจะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น และลองเข้าแทรกแซงวิญญาณจุติดวงดาราซ้ำๆ หากโชคไม่ดี ข้าอาจบังเอิญต้องเผชิญหน้ากับฝักกระบี่ประหลาด และต้องจบชีวิตลง…

แต่ถ้าโชคเข้าข้าง ข้าก็จะหลบฝักกระบี่และเข้าแทรกแซงวิญญาณจุติได้ จากนั้นข้าก็จะสามารถปล่อยตัวตามสบาย เตรียมลิ้มรสอาหารชั้นยอด พอข้ากำลังจะเข้าครอบงำดวงวิญญาณ ข้าก็จะพบเปลวไฟสีดำ พลังวิญญาณที่แผ่พุ่งออกมาคือพลังเดียวกับที่พบตอนอยู่ด้านนอกวิญญาณจุติ!

จากนั้น…ข้าก็ต้องกัดฟันอดทนต่อสู้กับเปลวไฟสีดำ พอข้าได้เจอดวงวิญญาณของเจ้าของร่าง ข้าก็จะพบว่าดวงวิญญาณนี้มีคุณสมบัติพิเศษเป็นบุตรแห่งความมืด มีพลังเหนือชั้นกว่าเปลวไฟสีดำหลายเท่า…

ข้าจะต้องพยายามอย่างหนัก ถ้าโชคเข้าข้าง ข้าก็จะเอาชนะบุตรแห่งความมืดได้ จากนั้นพอข้าคิดว่าสามารถเข้าครอบงำดวงวิญญาณของเจ้าของร่างได้แล้ว…ข้าก็จะเผชิญกับ สวรรค์ เมล็ดดูดกลืนที่แอบเฝ้าดูอยู่ รอให้ถึงตาของมันอย่างหิวกระหาย หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอขึ้นอีกครั้งเมื่อคิดได้ดังนั้น เขาคิดว่าตนควรจะเลิกทำตัวเป็นปีศาจได้แล้ว และกลับมาใคร่ครวญถึงต้นกำเนิดของตัวตนนี้

มีบางอย่างแปลกๆ ข้าไม่ได้นึกคลางแคลงใจพลังของวิชาดวงตาปีศาจ วิชานี้เป็นเคล็ดเวทที่สุดแสนจะอันตราย แต่ก็น่าแปลกที่ดวงจิตปีศาจนี้กลับไม่แข็งแกร่งอย่างที่คิด ชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์ความคิด ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็ได้ข้อสรุปที่น่าจะเป็นไปได้สองประการ ข้อแรกคือเคล็ดเวทและดวงจิตนั้นเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วคือตัวตนที่แยกจากกัน ข้อที่สองคือตัวตนของเขานั้นชั่วร้ายและวิปริตกว่าวิชาดวงตาปีศาจหลายเท่านัก…

ข้อที่สองคือเรื่องจริงแท้แน่นอน! หวังเป่าเล่อแตะจมูกเบาๆ จากนั้นก็ขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไปตรวจดูปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ เขาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจไม่ทำลายมันในทันที ความคิดพิเรนทร์ผุดขึ้นในหัว

ข้าควร…เลี้ยงอสูรไว้เป็นสมุนอีกตัวดีไหมนะ ชายหนุ่มนึกลังเลใจ ก่อนจะตระหนักขึ้นได้ว่าตนลืมอะไรบางอย่างไป

“ข้าลืมอะไรไปนะ” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองขณะนึกสงสัย ดวงตาของเขาเบิกกว้างในทันใด

“เจ้าลา!” ชายหนุ่มตบหน้าผากตนเอง รีบค้นกำไลคลังเวท เขาพบเจ้าลาที่ตนเองลืมไปเสียสนิท มันตัวผอมแห้งจนติดกระดูก แทบจะไม่หายใจแล้ว

เจ้าลาเตะขาทั้งสี่ข้างอย่างไร้สติหลังจากถูกพาตัวออกมาจากกำไลคลังเวท มันหิวหนักจนถึงขั้นที่ว่าแค่หายใจก็ถือเป็นเรื่องยากลำบากแล้ว มันมึนงงอยู่สักพัก จากนั้นน้ำตาก็ไหลเป็นสายธารจากดวงตาครึ่งหลับครึ่งตื่นที่แฝงไปด้วยความทุกข์ระทมเกินจะทนไหว…

“ลูกข้า…”

บทที่ 697 ล่องูออกจากรู!
หวังเป่าเล่อไม่อาจทนอาการบาดเจ็บรุนแรงได้อีกต่อไป ทันใดที่เป็นอิสระจากหัตถ์ยักษ์ บาดแผลก็ปรากฏให้เห็น เขากระอักเลือดออกมากองใหญ่ เลือดเริ่มพวยพุ่งออกมาจากรอยแตกบนเกราะจักรพรรดิ ไหลหลากมารวมกันเป็นสายธารโลหิตกลางห้วงอวกาศ เกราะจักรพรรดิไม่สามารถคงรูปได้เช่นกัน มันทลายลงกลายเป็นเส้นปราณขาดวิ่นหดกลับเข้าไปในร่างของชายหนุ่ม

เขาไม่ได้ใช้วิชาจักรพรรดิพินาศ ซึ่งแปลว่าแม้เกราะจะเสียหายหนัก แต่ก็ยังสามารถใช้ปราณวิญญาณฟื้นฟูสภาพของมันได้ สภาพพังพินาศของเกราะบ่งบอกว่าการต่อสู้ที่หวังเป่าเล่อเพิ่งเอาชีวิตรอดมาได้นั้นหนักหนาเพียงใด

ชายหนุ่มสูญเสียการป้องกันจากเกราะจักรพรรดิ วิสัยทัศน์เริ่มพร่ามัวเมื่อเป็นอิสระ เขาใช้พลังที่มีไปจนหมดสิ้น ทว่า…ภัยอันตรายก็ยังไม่หายไปหมดแม้จะฝ่าฟันจนเป็นอิสระมาได้

ทันทีที่เขาเป็นอิสระจากหัตถ์ยักษ์สีดำ เมฆหมอกก็ก่อตัวขึ้นเป็นผนึกภายในหัตถ์ที่สลายตัวไป จากนั้นก็พุ่งตรงไปทางชายหนุ่ม หมายจะทะลวงร่าง

มันแผ่พลังรัศมีของสรรพสิ่งที่สิ้นชีวีออกมา เป็นพลังอำนาจที่พร้อมปลิดชีพทุกสิ่งให้เน่าสลาย!

หากพุ่งถึงตัว ชายหนุ่มในสภาพอ่อนแรงคงไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้!

หวังเป่าเล่อไม่อาจหลบการโจมตีนี้ได้ เกราะจักรพรรดิหายวับไปแล้ว ดวงตาปีศาจก็อ่อนพลังลงเรื่อยๆ จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยบนหน้าผากของชายหนุ่มดูคล้ายตาดวงที่สาม ความหวังเดียวของเขาคือสิ่งสุดท้ายที่ได้บอกเฟิ่งชิวหรันไปทางข้อความเสียง หากเกิดอะไรขึ้นกับเฟิ่งชิวหรันระหว่างที่เขากำลังต่อสู้ ชายหนุ่มคงทำได้เพียงปลดปล่อยพลังฝักกระบี่เต็มกำลังเพื่อช่วยตนให้พ้นจากความตาย

เฟิ่งชิวหรันไม่ทำให้หวังเป่าเล่อผิดหวัง นางจับตาดูการต่อสู้อย่างใกล้ชิด ทันทีที่ชายหนุ่มพุ่งผ่านหัตถ์ยักษ์ นางก็รีบทะยานตรงไปหา และปรากฏตัวข้างหวังเป่าเล่อในพริบตาต่อมา คว้าตัวชายหนุ่มไว้และหมุนรอบตัว จากนั้นก็สร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ก่อนจะชี้มือขึ้นฟ้า พลังขั้นเชื่อมวิญญาณปะทุขึ้นจากร่าง เฟิ่งชิวหรันแบมือออก หันไปทางผนึกที่พุ่งตรงเข้ามา เตรียมรับผลกระทบจากอาการบาดเจ็บอีกครั้ง

หน้าของนางซีดเผือดในทันใด ขวดสีขาวปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ เข้าต้านผนึกที่พุ่งมาปะทะ

ขวดระเบิดพร้อมกับเสียงกัมปนาทที่ดังขึ้น ผนึกสีดำที่พุ่งเข้ามาหยุดชะงักเพราะแรงระเบิด มันสูญเสียพลังไปจนไม่สามารถติดตามตามหวังเป่าเล่อต่อได้ เปิดโอกาสให้เฟิ่งชิวหรันมีเวลาเพียงพอในการหนี นางคว้าตัวชายหนุ่ม ก่อนจะแปลงกายเป็นเส้นสายรุ้งพุ่งหายไปจากสนามรบ ด้วยความช่วยเหลือจากหลี่ซิงเหวินและสหพันธรัฐ นางจึงขึ้นไปบนเรือบินรบลำหนึ่งได้สำเร็จ

หลี่ซิงเหวินรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าเป็นกังวลทันทีที่ทั้งสองขึ้นมาบนเรือบินรบ เขาไม่มีเวลามัวเป็นห่วงเฟิ่งชิวหรันที่ได้รับผลกระทบจากอาการบาดเจ็บ ได้แต่รับหวังเป่าเล่อมาจากอ้อมแขนของเฟิ่งชิวหรัน เมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดของชายหนุ่มที่อ่อนแรงจนไม่สามารถลืมตาขึ้นได้ และสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่กำลังจะดับหายไม่ต่างจากเปลวเทียนที่กำลังหมดไส้ เขาก็พูดตะกุกตะกักขึ้นอย่างเจ็บปวดใจ

“เจ้าเด็กบ้า…”

“ท่านอาจารย์ปู่…” เหมือนหวังเป่าเล่อจะได้ยินเสียงของหลี่ซิงเหวินจึงพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก เขาเห็นหลี่ซิงเหวินและเฟิ่งชิวหรันที่ยืนอยู่ข้างๆ วิสัยทัศน์เริ่มกระจ่างชัดขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม

“ศิษย์ได้ทำตามที่ท่านบอก ข้าพาอาจารย์ย่ากลับมาอย่างปลอดภัย…” เขาไม่สามารถพูดต่อจนจบได้ดังใจหวังเนื่องจากไม่อาจลืมตาตื่นได้นานนัก เมื่อได้เห็นใบหน้าคุ้นเคยของผู้คนจากสหพันธรัฐก็รู้สึกโล่งใจ จึงหมดสติ หัวเอียงพับไปด้านหนึ่ง

หลี่ซิงเหวินถอนหายใจอยู่ภายในเมื่อพบว่าหวังเป่าเล่อยังนึกเป็นห่วงเฟิ่งชิวหรันแม้จะอยู่ในสภาพสะบักสะบอม เขาเงยหน้ามองเฟิ่งชิวหรัน ใบหน้าของนางซีดเผือด ดูเหมือนจะโล่งใจไม่ต่างกัน นางกระอักเลือดออกมาหลังจากพยายามฝืนทนไว้ ก่อนจะทรุดนั่งลง ไม่สามารถขยับตัวได้อีก จากนั้นก็เริ่มกระบวนการฟื้นฟูตัวเอง

หลี่ซิงเหวินมองเฟิ่งชิวหรันกับหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหมู่ดาวที่อยู่ห่างออกไป เขาจ้องไปทางกองเรือรบและเหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่ตกอยู่ในความโกลาหลหลังจากที่ระเบิดต้านทานวิญญาณทำลายหัตถ์ยักษ์สีดำทิ้งไป ชายชราสูดหายใจลึก พวกเขาอยู่ใกล้ดาวพุธมากเกินไป เป้าหมายของภารกิจนี้คือช่วยหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรัน ซึ่งก็สำเร็จลุล่วงไปแล้ว ไม่มีเหตุจำเป็นต้องสร้างเรื่องอะไรอีก ชายชรากัดฟันแน่น ห้ามตัวเองไม่ให้ทำอะไรหุนหันพลันแล่น แม้ในใจจะร่ำร้องบอกให้ตนกลับลำเรือบินรบเพื่อไล่ตามเหล่าศัตรูไป แต่หลี่ซิงเหวินก็ตะโกนออกคำสั่งให้ถอยกลับแทน

ขณะถอยทัพกลับ หลี่ซิงเหวินก็สั่งให้เตรียมปล่อยระเบิดต้านทานวิญญาณอีกร้อยลูก พวกเขาท่องไปในอวกาศพร้อมกับขู่จะปล่อยระเบิดทุกเมื่อ เมื่อเหล่าผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลเห็นดวงแสงเหล่านั้นก็เริ่มตื่นตัว รู้สึกลังเลใจขึ้นมา

ณ ที่ใดสักแห่งบนดาวพุธ โยวหรันนิ่งเงียบไป เขาต้องใช้พลังมหาศาลในการปล่อยหัตถ์ยักษ์ หากปล่อยการโจมตีดังกล่าวออกไปอีกครั้งจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการฟื้นฟูของเรือบินรบเต๋ามรณะ ชายชราหรี่ตาลง หลังจากประเมินสถานการณ์เสร็จ เขาก็เก็บงำความคิดชั่วร้ายไว้ ไม่คิดจะไล่ตามกองทัพสหพันธรัฐที่กำลังหนีไป

กองเรือบินสหพันธรัฐหนีไปอย่างเชื่องช้า ใช้งานประตูกระแสวนจากวงแหวนปราณระบบสุริยะท่องผ่านข้ามห้วงอวกาศ สนามรบตกอยู่ในความเงียบงันหลังจากที่พวกเขาจากไป ผ่านไปครู่ใหญ่ กองทัพสำนักวังเต๋าไพศาลและเหล่าผู้ฝึกตนก็กระจายกำลังออกไปอย่างเงียบเชียบ

เมื่อหลบหนีกลับมาได้อย่างปลอดภัย หลี่ซิงเหวินก็ออกคำสั่งให้ตั้งวงแหวนปราณคุ้มกันขึ้นรอบเฟิ่งชิวหรันเป็นการชั่วคราวขณะที่นางกำลังฟื้นฟูร่างกายตนเอง พร้อมทั้งจัดแจงผู้ฝึกตนที่ไว้ใจให้คุ้มกันนางอีกแรง เขาพาหวังเป่าเล่อไปยังห้องลับด้วยตนเองและใช้พลังจากวงแหวนปราณระบบสุริยะกับทรัพยากรของสหพันธรัฐมากมายจัดแจงบริเวณโดยรอบให้เหมาะกับการฟื้นฟูร่างกายของชายหนุ่ม

หลี่ซิงเหวินถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อพบว่าหวังเป่าเล่อแค่หมดสติไป ไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงถึงตาย เขาขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไปเพื่อคอยดูแลคุ้มกันผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งสองคน

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขณะกองทัพสหพันธรัฐท่องผ่านห้วงอวกาศมุ่งหน้าไปทางดาวศุกร์ หลายชั่วโมงต่อมา หวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ความเหนื่อยล้าที่ส่งผ่านลึกลงไปถึงกระดูกและความเจ็บแปลบที่แล่นไปทั่วทั้งร่างทำให้เขาต้องกัดฟันแน่น ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเลพร้อมหอบหายใจหนัก จากนั้นก็หันมองรอบกาย เขาอยู่ในห้องลับ สัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณเข้มข้นที่อัดแน่นอยู่ในห้อง ภาพการต่อสู้ครั้งล่าสุดแล่นกลับเข้ามาในหัว หวังเป่าเล่อขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไปตรวจดูทั่วบริเวณโดยไม่ให้คนอื่นรู้ เขาเห็นทุกอย่างบนเรือบินรบ รวมถึงเฟิ่งชิวหรันที่กำลังฟื้นฟูร่างกายตนเองและหลี่ซิงเหวินที่คอยคุ้มกันอยู่ด้านนอก

ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้จริงๆ

ดูเหมือนว่าข้าจะยังไม่ตาย แถมยังกลับมายังสหพันธรัฐได้อย่างปลอดภัย ชายหนุ่มลูบท้องตนเองที่บัดนี้ความนุ่มนิ่มได้หายไป เมื่อโล่งใจได้แล้ว เขาก็หยิบขนมออกมายัดใส่ปากอย่างมูมมามโดยไม่ยั้งคิด จากนั้นก็เริ่มสังเกตอาการบาดเจ็บของตัวเอง

หนักหนาน่าดู เกราะจักรพรรดิเองก็เสียหายหนัก แต่ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล ของเหลววิญญาณสักสิบขวด…อาจจะสักยี่สิบขวดก็น่าจะพอฟื้นฟูร่างกายข้าให้สมบูรณ์ได้

ชายหนุ่มกินขนมต่อ ไม่ได้เริ่มกระบวนการฟื้นฟูตนเองในทันที เขาคิดคำนวณพร้อมหยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณออกมาซดหมดขวด จากนั้นก็หรี่ตาลงและยกมือขึ้นแตะรูปดวงตาสีดำที่ประทับอยู่บนหน้าผาก ภาพการต่อสู้เสี่ยงชีวิตเมื่อครู่ฉายขึ้นในหัว

วิชาดวงตาปีศาจแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้ พลังของดวงตาปีศาจหมื่นดวงสามารถทำลายหัตถ์ยักษ์ไปได้ครึ่งหนึ่งแถมยังลดทอนพลังของมันไปถึงครึ่ง หวังเป่าเล่อไม่ได้ขยายจิตสัมผัสวิญญาณไปยังรอยประทับบนหน้าผากในทันที ดวงตาฉายแสงวาบขึ้นจางๆ เขาวางขนมลง จากนั้นก็หยิบของเหลววิญญาณจากกระเป๋าคลังเก็บออกมาหนึ่งขวด วางไว้ใต้จมูกและสูดดมกลิ่น

ขวดสั่นไหว ของเหลววิญญาณภายในแปรเปลี่ยนเป็นหมอกหนา ลอยผ่านเข้าจมูก ปาก ดวงตา และหูทั้งสองข้างของหวังเป่าเล่อในทันที หมอกกระจายไปทั่วร่างชายหนุ่ม และเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บ

ไม่นานของเหลวในขวดก็หมดไป หวังเป่าเล่อหยิบขวดที่สอง และสามมาสูดดมต่อ ครึ่งชั่วโมงผ่านไป มีขวดเปล่ากว่าสามสิบขวดกองอยู่ข้างชายหนุ่ม เขาลืมตาขึ้น ยังคงดูเหนื่อยอ่อนอยู่ แต่อาการบาดเจ็บบนร่างกายได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์แล้ว

เกราะจักรพรรดิกลับมาใช้งานได้อีกครั้งหลังได้ของเหลววิญญาณหล่อเลี้ยง ส่วนที่พังเสียหายได้รับการซ่อมแซมอย่างสมบูรณ์ แต่การกักเก็บพลังไว้ในเกราะต้องใช้วิชาลักอัคคีสูบเอาเลือดเนื้อเข้าไปเสริม เพราะเขาไม่ได้ใช้ของเหลววิญญาณไปกับส่วนนี้

เมื่อผ่านกระบวนการฟื้นฟูต่างๆ เป็นที่เรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจลึก เตรียมพักผ่อนดวงตาและสมอง จิตใจของเขาต้องได้รับการพักผ่อน จากการคำนวณ พอเขาตื่นขึ้นอีกครั้ง เรือบินรบก็น่าจะใกล้ถึงดาวศุกร์แล้ว

เขายังไม่เห็นเจ้าเยี่ยเหมิงและคนสนิทอื่นๆ บนเรือบินรบลำนี้ แต่จากการขยายจิตสัมผัสวิญญาณตรวจสอบเรือบินรบเมื่อครู่ ก็ได้ข้อมูลจากบทสนทนาของเหล่าผู้ฝึกตนที่ทำให้เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น ชายหนุ่มพบว่าเจ้าเยี่ยเหมิงและคนอื่นๆ กลับสหพันธรัฐได้อย่างปลอดภัย พวกเขาไม่ได้มาร่วมภารกิจนี้เพราะได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจอื่น

พอพวกเขาได้รู้ว่าข้าแข็งแกร่งขึ้นมากคงกลัวเกรงข้ากันไปหมดแน่ ต้องหาวิธีแสดงออกถึงความนอบน้อมถ่อมตัวเสียแล้ว

หวังเป่าเล่อค่อยๆ หลับตาลงด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม ความตึงเครียดคลายออกจากร่างกาย แต่แสงเยือกเย็นยังคงซ่อนอยู่ในส่วนลึกที่ไหนสักแห่งในร่าง…เมื่อดวงตาของชายหนุ่มปิดสนิท รอยประทับดวงตาปีศาจบนหน้าผากก็เริ่มขยับ เหมือนจู่ๆ ก็มีชีวิตขึ้น ดวงตาสีดำที่ปิดสนิทเหมือนจะมีความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ตอนนั้นเองมันก็…ลืมตาตื่น!

ดวงจิตที่ซ่อนอยู่ในร่างตื่นขึ้นทันใด สภาพหวังเป่าเล่อในปัจจุบันคือโอกาสที่ดีที่สุดที่มันจะเข้าควบคุมอีกฝ่าย!

………………………..

บทที่ 696 หนีตาย!
หวังเป่าเล่ออาจสู้กับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นและชั้นกลางได้ด้วยการเสริมพลังจากวัตถุเวทและเคล็ดวิชา แต่เมื่อต้องประมือกับผู้ฝึกขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายก็ถือเป็นที่เรื่องท้าทายมาก หากพลาดไปแม้แต่นิดเดียวอาจจะต้องบาดเจ็บหนักเหมือนตอนที่สู้กับโยวหรันก็เป็นได้

ชายหนุ่มอยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นปลาย แม้จะเสริมพลังด้วยวัตถุเวทและเคล็ดวิชาต่างๆ แล้วก็ยังสามารถสำแดงพลังได้ถึงเพียงขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายเท่านั้น เกราะจักรพรรดิเองก็มีขีดจำกัด วิญญาณจุติดวงดาราก็มีข้อจำกัดไม่น้อย ส่วนวิชาดวงตาปีศาจก็อันตราย ผลกระทบที่ตามมาจากการใช้มันเสริมพลังนั้นรุนแรงทีเดียว

ด้วยระดับการฝึกตนในปัจจุบัน มีหลายวิธีที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการปลดปล่อยพลังของฝักกระบี่ หรืออาศัยพลังเฉพาะตัวของวิญญาณจุติแล้วไปหาดาวเคราะห์ที่เป็นแหล่งพลังไม่สิ้นสุดให้ตนเอง

ตอนนี้วิธีแรกนั้นเป็นไปไม่ได้ ส่วนวิธีที่สองก็ไม่มีดาวเคราะห์ให้เห็นเลยสักดวง

พลังการโจมตีจากเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นปลาย เทียบเท่าพลังขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์หรืออาจถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะเลยทีเดียว เป็นระดับพลังที่ทำให้หวังเป่าเล่อต้องตัวสั่นเทิ้ม

กล้ามเนื้อและเส้นประสาททุกส่วนเริ่มกรีดร้องบอกให้หวังเป่าเล่อรีบหนีออกไปในทันที ประสาทสัมผัสทั้งหลายร้องเตือนส่งสัญญาณถึงภัยอันตรายราวกับเป็นคลื่นยักษ์ที่สาดซัดทุกสิ่ง

ถ้าหนีไปก็เท่ากับพ่ายแพ้ให้กับจิตใจ เช่นนั้นข้าคงจะทนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้! ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแววดุดัน เขาจ้องไปยังหัตถ์สีดำขนาดมหึมาที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหาตาไม่กะพริบ ขณะส่งข้อความเสียงไปหาเฟิ่งชิวหรันที่กำลังตามมาเสริมทัพ เฟิ่งชิวหรันหยุดชะงักเมื่อได้ยินที่ชายหนุ่มบอก ทันใดนั้น หัตถ์ยักษ์สีดำพลังกล้าแกร่งก็เอื้อมเข้ามาคว้าตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้

พลังของมันพวยพุ่งเข้าใส่ก่อนที่หัตถ์จะเอื้อมถึงตัวเสียอีก เป็นพลังที่เหมือนจะแผดเผาทุกสิ่งให้เป็นจุณได้ ชุดคลุมของหวังเป่าเล่อสลายหายไป ส่วนเกราะจักรพรรดิก็ส่งสัญญาณเหมือนจะพังทลายลง

หวังเป่าเล่อยืนต้านคลื่นพลังวิญญาณที่พวยพุ่งเข้ามา ดวงตาของเขาแดงก่ำขณะยกสองมือขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือก่อนจะชี้ตรงไปยังหัตถ์ยักษ์ที่กำลังตรงมาหา

“ดวงตาปีศาจ จงระเบิด!”

เสียงร้องคำรามที่ดังขึ้นเต็มไปด้วยความแน่วแน่และความดุดัน ดวงตาสีดำนับหมื่นปรากฏขึ้นเต็มผืนฟ้าด้านหลัง ดวงตาปีศาจของชายหนุ่มเบิกตาขึ้นในทันใด!

ดวงตานับหมื่นจ้องมองผ่านห้วงอวกาศ ตรึงหัตถ์ยักษ์สีดำที่กำลังตรงเข้ามาจับให้นิ่งอยู่กับที่!

แต่ระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อและโยวหรันห่างชั้นกันเกินไป หัตถ์ยักษ์ทลายการจ้องมองของเหล่าดวงตาปีศาจได้ในทันที และพุ่งตรงเข้าหาชายหนุ่มต่อ!

การโจมตีเมื่อครู่ไม่ได้ไร้ประโยชน์ ทันใดที่หัตถ์ยักษ์ทลายการจ้องมองลงได้ ดวงตาสีดำนับหมื่นด้านหลังหวังเป่าเล่อก็หายวับไปและปรากฏตัวอีกครั้งด้านหน้า ก่อนจะระเบิดในทันใดจนกลายเป็นพายุสีดำที่เกิดจากการผสานระหว่างความชั่วร้ายและการทำลายล้าง พายุหมุนร้องคำรามขณะพุ่งเข้าปะทะหัตถ์ยักษ์สีดำ

เสียงกัมปนาทดังก้องในห้วงอวกาศ สะท้อนออกไปไกลไม่สนใจกฎของจักรวาล ดวงตาปีศาจระเบิดทันที่ที่เข้าปะทะหัตถ์ยักษ์ สร้างคลื่นปะทะโหมเข้าใส่หัตถ์ยักษ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หัตถ์ยักษ์สีดำสั่นไหวและเริ่มเลือนรางเมื่อโดนคลื่นพลังวิญญาณพัดโหมเข้าใส่ซ้ำๆ

คลื่นพลังวิญญาณหลายระลอกที่เกิดจากการปะทะพัดกระแทกเข้าใส่กลุ่มผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่อยู่ใกล้ๆ หลายคนเพิ่งจะได้ตื่นเต้นดีใจเมื่อเห็นหัตถ์ยักษ์ปรากฏขึ้น ก่อนที่ครู่ต่อมาจะโดนคลื่นปะทะเข้าใส่ฉีกกระชากร่างกายและวิญญาณออกมา

หวังเป่าเล่อไม่สนใจการตายของพวกเขาแม้แต่นิด เขายกสองมือขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆพร้อมปลดปล่อยพลังจากเกราะจักรพรรดิไปเสริมวิชาลักอัคคี ชายหนุ่มเห็นพลังกล้าแกร่งของดวงตาปีศาจ แต่ก็คิดว่ายังมีจำนวนไม่เพียงพอ ดวงตาปีศาจระเบิดปล่อยพลังทำลายล้างโหมใส่หัตถ์ยักษ์ไม่หยุด หัตถ์ยักษ์เริ่มจางหาย ขนาดเริ่มหดเล็กลง แต่แก่นในยังคงอยู่

เมื่อดวงตาปีศาจดวงสุดท้ายระเบิด หัตถ์ยักษ์ที่หดขนาดเหลือครึ่งหนึ่งก็พุ่งเหยียดมือเข้ามาหาชายหนุ่ม!

หัตถ์ที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วแผ่จิตสังหารของโยวหรัน มันพยายามเอื้อมเข้ามาคว้าตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้ ทันใดนั้นดวงตาของชายหนุ่มก็ฉายแววดุดัน เส้นผมพัดปลิวไปในห้วงอวกาศนิ่งสงบ เสียงร้องคำรามราวกับเป็นเทพปีศาจดังขึ้นพร้อมกับที่หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังเกราะจักรพรรดิเต็มขั้น!

พลังแกร่งกล้าไร้เทียมทานปะทุขึ้นจากตัวหวังเป่าเล่อ จากเส้นปราณมากมาย จากเกราะจักรพรรดิ และจากแขนอาวุธเทพที่ชายหนุ่มยกขึ้นฟาดเข้าใส่หัตถ์ยักษ์อย่างรุนแรง

วิญญาณจุติภายในกายลืมตาตื่น ร่างกายชายหนุ่มเปล่งแสงสุกสว่าง ดาวดวงหนึ่งปรากฏขึ้นและหมุนอยู่ในร่างวิญญาณจุติ มันปลดปล่อยพลังเต็มขั้น ช่วยเสริมพลังทั้งหมดที่มีให้หวังเป่าเล่อ!

หัตถ์ยักษ์สีดำและชายหนุ่มเข้าปะทะกันเกิดเป็นเสียงดังสนั่น หัตถ์สีดำหยุดนิ่งจากการต้านทานของหวังเป่าเล่อ นิ้วทั้งห้าพยายามบีบเข้าหากันเพื่อกำเป็นกำปั้นขังชายหนุ่มเอาไว้…

แต่มันก็ไม่สามารถบีบเป็นกำปั้นได้สมบูรณ์ หวังเป่าเล่อยืนนิ่งอยู่ภายในราวกับเป็นศิลาแสนดื้อรั้น ไม่ว่าหัตถ์ยักษ์จะปล่อยพลังกล้าแกร่งสักเพียงใดก็ไม่สามารถบดขยี้เขาลงได้

อาวุธเทพที่ฟาดฟันไปช่วยลดทอนพลังหัตถ์ยักษ์ลงได้ มันเริ่มเลือนรางจางสีไปมาก ถึงกระนั้นก็ยังต้องใช้เวลาสักพัก อาวุธเทพจึงจะสามารถพุ่งทะลวงฝ่ามือตรงหน้าไปได้

ทั้งสองฝ่ายต้านพลังกันได้อย่างเท่าเทียม หวังเป่าเล่อหน้าแดงก่ำ การโดนหัตถ์ยักษ์บีบเข้าใส่ก็เหมือนโดนชนด้วยเรือบินที่แล่นมาอย่างรวดเร็ว อวัยวะต่างๆ เริ่มกระตุกเกร็ง ในหูได้ยินแต่เสียงอื้ออึง ไม่ได้ยินเสียงใดอื่นอีก

พลังที่หัตถ์ยักษ์ปล่อยออกมาเหมือนจะสามารถบดขยี้ได้ทุกสิ่ง ชีวิตของเขากำลังจะดับหายไปเหมือนเปลวไฟ ชายหนุ่มกำลังจะโดนบดขยี้ทั้งเป็น!

เกราะจักรพรรดิเริ่มปริแตกจากแรงกดดัน เหมือนจะทานพลังมาจนถึงขีดสุด เลือดเนื้อที่วิชาลักอัคคีรวมรวบมาพวยพุ่งเข้าไปช่วยซ่อมแซมเกราะ ถึงกระนั้นก็ยังเกิดรอยปริแตกขึ้นทั่วอย่างต่อเนื่อง วิญญาณจุติดวงดาราเริ่มสั่นไหวเมื่อปลดปล่อยพลังจนถึงขีดจำกัด

การต่อสู้ของทั้งสองไม่ได้วัดกันที่พลังการโจมตีแต่เป็นพลังในการต้านทาน ฝ่ายใดทนไม่ไหวก่อนก็ต้องแพ้ไป!

ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังต้านทานพลังกันสุดชีวิต เฟิ่งชิวหรันที่ยืนอยู่ไกลออกไปก็มองมาด้วยแววตาเป็นกังวลและใบหน้าซีดเผือด นางไม่ได้เข้าไปช่วยในทันที แต่กำลังรอหาจังหวะที่เหมาะสมอยู่ นางรู้ว่าหากเข้าไปตอนนี้ก็ช่วยอะไรหวังเป่าเล่อไม่ได้มากและรู้ดีว่าตนควรทำเช่นไร หากชายหนุ่มเป็นฝ่ายชนะ นางจะเข้าไปปกป้องและพาเขาออกจากสนามรบ แต่ถ้าแพ้ขึ้นมา นางก็จะรีบเข้าไปช่วยในทันที!

นี่คือแผนที่หวังเป่าเล่อบอกนางผ่านข้อความเสียง!

เวลาล่วงผ่านไป หัตถ์ยักษ์ยังคงพยายามบีบมือเป็นกำปั้น เหมือนมันจะเป็นฝ่ายเหนือกว่า ชายหนุ่มเริ่มแพ้ให้กับแรงกดดันที่ทวีความรุนแรงขึ้น เกราะจักรพรรดิส่งเสียงปริแตกดังก้อง กลุ่มผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เฟิ่งชิวหรันกังวลใจหนัก ไม่สามารถทนดูอยู่ห่างๆ ได้อีกต่อไป นางเตรียมพุ่งเข้าไปช่วยหวังเป่าเล่อ โดยไม่สนว่าจะเกิดผลกระทบอะไรตามมา

ทันใดนั้น เสียงคล้ายจักรวาลถูกฉีกกระชากออกก็ดังขึ้นจากที่ที่ไกลออกไป คลื่นพลังมหาศาลก่อตัวขึ้นและพัดกระจายไปทั่วบริเวณ เรือบินรบของสหพันธรัฐมากมายปรากฏขึ้นพร้อมคลื่นพลัง พวกเขาใช้วงแหวนปราณระบบสุริยะเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอวกาศมายังสนามรบ!

วงแหวนปราณหลายชั้นปรากฏขึ้นพร้อมเรือบินรบ แสงคาถามากมายพัดกระจายไปทั่วสนามรบราวกับเป็นพายุคลั่ง กลุ่มผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลหน้าตาตื่น รีบหลบการโจมตีและเสริมการป้องกัน เสียงที่เสริมด้วยพลังวิญญาณระเบิดก้องไปทั่วอวกาศจากภายในเรือบินรบของสหพันธรัฐ

“อย่ากลัวไปชิวหรัน ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว!”

ดวงแสงนับร้อยสว่างวาบขึ้นภายในเรือบินรบทันใดที่เสียงของหลี่ซิงเหวินดังก้องไปทั่ว ภายในดวงแสงแต่ละดวงมีผลึกศิลาประหลาดที่ปลดปล่อยพลังไร้เทียมทานออกมา!

ดวงแสงสีแดงอีกสิบดวงสว่างวาบขึ้นดึงความสนใจจากทุกคนในสนามรบ!

ดวงแสงเหล่านี้…คือระเบิดต้านทานวิญญาณ ไพ่ตายของสหพันธรัฐ ดวงแสงสีฟ้ามีพลังเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ ส่วนดวงแสงสีแดงคือลูกที่เพิ่งพัฒนาเพิ่ม ด้วยข้อจำกัดบางประการทำให้ไม่สามารถพัฒนาไปได้ไกลมากนัก ถึงกระนั้น ระเบิดต้านทานพลังรุ่นที่สองก็มีพลังเหนือชั้นขั้นจุติวิญญาณไปมาก จนสามารถเทียบได้กับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเลยทีเดียว!

ระเบิดต้านทานวิญญาณรุ่นที่สองมีแค่ไม่กี่ลูก มีเพียงผู้ที่มีสิทธิ์การเข้าถึงสูงสุดเท่านั้นจึงจะสามารถใช้งานได้ หลี่ซิงเหวินนำระเบิดต้านทานวิญญาณรุ่นที่สองติดตัวมาเกือบครึ่งจากจำนวนทั้งหมดที่มี เขาปล่อยระเบิดทุกลูกที่นำมาอย่างไม่ลังเลใจเมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังตกอยู่ในอันตราย

ดวงแสงนับร้อยพุ่งไประเบิดพลังมหาศาลใส่หัตถ์ยักษ์สีดำในทันที!

หัตถ์ยักษ์สีดำกล้าแกร่งเกินต้านทาน แต่ก็โดนดวงตาปีศาจและการโจมตีสุดกำลังของชายหนุ่มจนอ่อนกำลังลงไป และแทบจางหาย มันไม่สามารถหลบระเบิดต้านทานวิญญาณได้จึงโดนแรงระเบิดจากระเบิดกว่าร้อยลูกเข้าเต็มๆ ระเบิดสีฟ้ายังพอต้านทานได้ไหว แต่เมื่อผสานเข้ากับการระเบิดของลูกสีแดงก็สามารถสร้างความเสียหายให้แก่นในได้!

ดวงตาของเฟิ่งชิวหรันฉายแสงวาบเมื่อเห็นโอกาสโจมตี นางปล่อยวัตถุเวทและกระบวนเวทอย่างดุดัน การโจมตีจากภายนอกช่วยผ่อนแรงที่กดดันหวังเป่าเล่อได้มาก สถานการณ์เริ่มพลิกผัน

“ตอนนี้แหละ!” เสียงเหนื่อยอ่อนของหวังเป่าเล่อดังขึ้น วิญญาณจุติดวงดาราในร่างที่ใกล้จะสลายหายไปพลันลืมตาตื่น มันปลดปล่อยพลังเฮือกสุดท้ายไปยังอาวุธเทพ ชายหนุ่มเปลี่ยนสภาพกลายเป็นดาวตก ชี้อาวุธเทพพุ่งตรงไปข้างหน้าทันใด!

เขาทะยานไปด้วยพลังมหาศาลราวกับเป็นคลื่นยักษ์ทลายเขื่อน หัตถ์ยักษ์ไม่สามารถคงรูปได้ มันสั่นไหว เริ่มปริแตก อาวุธเทพของหวังเป่าเล่อเจาะทะลุผ่านหัตถ์ยักษ์ไป สุดท้ายมันก็ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ!

คลื่นปะทะรุนแรงพัดกระจายไปทั่วราวกับเป็นคลื่นยักษ์ ชายหนุ่มพุ่งผ่านหัตถ์ยักษ์ที่สลายตัวลง เป็นอิสระได้ในที่สุด!

……………………………

บทที่ 695 หัตถ์จิตวิญญาณอมตะ!
ตั้งแต่เริ่มเดินไปในเส้นทางของการฝึกตน หวังเป่าเล่อก็ผ่านประสบการณ์เสี่ยงตายมามากมาย เขาต้องเผชิญหน้ากับต้นไม้ยักษ์ หนีเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ภัยพิบัติบนดวงจันทร์ พยายามรักษาชีวิตตนในวัตถุเวทแห่งความมืดที่ใต้ดินดาวอังคาร และยังต้องต่อสู้กับอุปสรรคมากมายบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ เหตุการณ์เหล่านั้นอาจฟังดูผ่านไปได้ด้วยดี แต่ความจริงแล้ว หากก้าวพลาดแม้เพียงก้าวเดียว สิ่งที่เหลืออยู่คงจะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ เถ้ากระดูก และเศษธุลี

การสังหารหมู่นี้ดำเนินไปหลังจากที่เรือบินรบลำแรกพุ่งเข้าโจมตี ชายหนุ่มไม่รู้แล้วว่าตนเองสังหารผู้ฝึกตนไปมากเท่าใด

ผู้ที่ผ่านประสบการณ์เช่นนี้จะเริ่มมีจิตใจและท่าทีเย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่หวังเป่าเล่อ ความโหดเหี้ยมอำมหิตฝังลึกอยู่ในกระดูกของชายหนุ่ม และไม่เว้นแม้กระทั่งตนเอง ความไร้เมตตาปรานีแม้แต่กับตนเองนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อไร้ซึ่งความเมตตาต่อศัตรูของเขาเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ รูปร่างอวบอ้วนและนิสัยที่ติดตัวเขามาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กน้อย ทำให้ดูเหมือนว่าเขาเป็นคนอารมณ์ดีที่มีความสุขอยู่ตลอดเวลา

นี่คือคราบของแกะน้อยที่หวังเป่าเล่อเรียนรู้ที่จะสวมใส่ตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก!

ภาพชายเจ้าสำราญนี้กำลังเบาบางลงเรื่อยๆ เมื่ออยู่ภายใต้อิทธิพลของดวงตาปีศาจ แล้วพอเขาโยนภาพชายอารมณ์ดีทิ้งไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็เผยธาตุแท้ของตนเองออกมาในที่สุด

การสังหารหมู่อุบัติขึ้นในทันที ด้วยพลังปราณขั้นจุติวิญญาณชั้นปลาย ความไร้เทียมทานของเกราะจักรพรรดิ และพลังที่เพิ่มขึ้นจากวิญญาณจุติดวงดารา บวกกับอำนาจประหลาดของดวงตาปีศาจ ทำให้ชายหนุ่ม…เปรียบได้กับเทพเจ้าแห่งความตาย

เสียงระเบิดเปลี่ยนสภาพไปเป็นคลื่นพลังปราณที่กระเพื่อมผ่านสมรภูมิรบ ผู้ฝึกตนที่ถูกดวงตาปีศาจกักขังไว้ ตกอยู่ในสภาวะเคลื่อนไหวไม่ได้ และต้องชดใช้ความผิดพลาดนั้นด้วยชีวิต!

เส้นปราณสีโลหิตมากมายพุ่งออกจากเกราะจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อ ดูคล้ายอสรพิษสีแดงที่ชอนไชไปในอากาศ และเสียบทะลุสิ่งมีชีวิตรอบกายไปตลอดทางที่ชายหนุ่มเหาะผ่าน ความเร็วของเขาทำให้ใครก็ตามที่พุ่งเข้ามาชนแม้ในเวลาสั้นๆ ร่างระเบิดแหลกสลายกลายเป็นเศษเนื้อในทันที

เกราะจักรพรรดิลักอัคคียังคงดูดพลังชีวิตจากเหยื่ออย่างต่อเนื่อง เมื่อดูดพลังของอีกฝ่ายจนแห้งเหือดแล้ว เกราะจักรพรรดิก็ยิ่งทวีความน่าสยองขวัญขึ้นทุกวินาที เส้นกระดูกสีขาวเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว และเริ่มจับตัวเข้าด้วยกันเป็นกระดูกที่เสียดแทงออกจากเกราะกลายเป็นหนามแหลมคม ขณะที่การสังหารหมู่เดินหน้าต่อไปนั้น ความกระหายเลือดและความตื่นเต้นดีใจ ยิ่งเผยตัวตนให้เด่นชัดขึ้นในจิตใจของหวังเป่าเล่อที่ดวงตาปีศาจอาศัยอยู่

มันสูบวิญญาณแล้ววิญญาณเล่าเข้าใส่ตนด้วยความตะกละตะกลาม เปลี่ยนสภาพวิญญาณแต่ละดวงเป็นดวงตาสีดำขนาดเท่ากำปั้นที่ลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ แม้กระทั่งตอนที่อำนาจซึ่งขังทุกคนให้นิ่งอยู่กับที่สลายไปแล้ว ผู้ฝึกตนที่กลับมาควบคุมตนเองได้อีกครั้งก็ยังหนีไปไหนไม่พ้น สิ่งที่รออยู่ปลายทางมีเพียงความตายเท่านั้น!

บัดนี้…ชายหนุ่มได้กลายมาเป็นสิ่งที่น่ากลัว น่าหวาดหวั่น และเป็นความสิ้นหวังหนึ่งเดียว ท่ามกลางผู้คนมากมายที่แทบสิ้นสติด้วยความขนพองสยองเกล้า ความรู้สึกดำมืดไร้ทางออกแพร่กระจายไปทั่วสนามรบเหมือนไฟลามทุ่ง ทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับกำลังโดนเงาทะมึนทาบทับอยู่บนร่างกายและจิตใจ ทุกคนครองสติเอาไว้ไม่อยู่ รักษาตำแหน่งของตนเองในสนามรบเพื่อข่มขวัญศัตรูไม่ได้ และหมดซึ่งเรี่ยวแรงจะโจมตีกลับ อันเป็นเป้าหมายของการเข้าโจมตีก่อนของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้!

เขาต้องการสร้างความตกใจจนขาดสติและความตายให้เห็นกันต่อหน้าต่อตา ชายหนุ่มรู้ดีว่าผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลคิดอย่างไรและจะมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร หากเขาลังเลในการกระทำของตนเองแม้แต่น้อย ทุกคนจะฉวยโอกาสนี้เข้ามาสุมไฟแห่งการสู้รบให้โหมกระหน่ำ สิ่งที่รอเขาและเฟิ่งชิวหรันอยู่ย่อมเป็นการผนึกกำลังกองทัพผู้ฝึกตนกว่าหนึ่งหมื่นคนปราบพวกเขา แม้ชายหนุ่มจะฆ่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณได้โดยง่าย แต่ก็รู้ดีแก่ใจว่าขีดจำกัดของตนอยู่ตรงใด ลำพังตัวเขาเพียงลำพังคงต่อกรกับกองทัพที่มีจุดมุ่งหมายเพียงหนึ่งเดียวไม่ได้อย่างแน่นอน!

แม้มดจะตัวเล็ก แต่หากรวมกันมากพอก็สามารถล้มราชันอสูรลงได้!

กลยุทธ์การข่มขวัญคู่ต่อสู้คือทางออกที่ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ ดวงตาสีดำมากมายที่สร้างขึ้นโดยดวงตาปีศาจอาจควบคุมจิตใจศัตรูได้ชั่วคราวในยามที่มันเปิดออก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเช่นกัน ยิ่งร่างกายของเขาได้รับผลกระทบจากการใช้พลังเกินตัวมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ของดวงตาปีศาจที่มีต่อศัตรูก็ยิ่งอ่อนกำลังลงเท่านั้น

แผนการของหวังเป่าเล่อคือทำให้ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลหยุดชะงักไปชั่วคราว เมื่อผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเริ่มตะโกนสั่งให้ทุกคนตั้งแถว และหลอกล่อพวกเขาด้วยแต้มการรบ คนส่วนมากก็เริ่มจัดการตนเองให้เป็นระเบียบท่ามกลางความอลหม่านเลือดพล่านของสนามรบ

แต่ก่อนที่จะได้จัดแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ส่งไม้ตายออกไปจัดการ…โดยการท่องบทสวดแห่งเต๋า!

พลังอำนาจของบทสวดเข้าแทนที่ดวงตาปีศาจ พุ่งลงมาจากสรวงสวรรค์เบื้องบน และปักลงกลางใจอันระส่ำด้วยความกลัวของเหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล จากนั้นการสังหารที่บ้าคลั่งก็เริ่มต้นอีกครั้ง!

หวังเป่าเล่อคลั่งไปเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกเหมือนโดนกองกำลังจากดาวพุธเพ่งเล็ง ทำให้กระดูกสันหลังของเขาเย็นวาบ สัมผัสของภัยอันตรายทำให้ชายหนุ่มหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ เขารู้สึกราวกับว่าไม่ได้มีอำนาจกำหนดชีวิตตนเอง

แต่โชคดีที่ขณะเขาเดินหน้าฟาดฟันคู่ต่อสู้ ดวงตาที่อยู่เบื้องหลังก็เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกเย็นวาบเหล่านั้นค่อยๆ จางหายไปตามจำนวนดวงตาปีศาจที่เพิ่มขึ้น

ยังไม่พอ ยังไม่มากพอ! ดวงตาของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดงก่ำ ดูเหมือนเขาจะลืมไปแล้วว่าตนเองอยู่ที่ใด ความรู้สึกถึงภัยอันตรายที่ทาบลงมาบนร่าง ทำให้เขาค้นหาความอบอุ่นอย่างบ้าคลั่ง ความอบอุ่นที่จะทำให้ความเย็นจับขั้วหัวใจมลายหายไป ในตอนนี้สำหรับเขาแล้ว ทุกคนที่อยู่เบื้องหน้าคือเป้าหมายที่ต้องทำลายให้สิ้น!

ฆ่า!

เขาก้าวไปข้างหน้า ปรากฏตัวขึ้นข้างผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทันที เมื่อโดนเข้าประชิดตัว ผู้ฝึกตนผู้นั้นก็ตกใจรีบผละถอยหลังไป แต่หวังเป่าเล่อก็พุ่งเข้าใส่โดยไม่หันไปมองด้วยซ้ำ เสียงปะทะดังลั่นขึ้น ร่างของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นพุ่งไปด้านหลังราวกับเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่พุ่งเข้าชนเครื่องบินรบ กระดูกของเขาแหลกสลายไปในทันที ส่วนดวงวิญญาณก็ดับสิ้นไป!

ฆ่า!

หวังเป่าเล่อไม่ยอมหยุด เขากระโจนไปข้างหน้าพร้อมขบกรามแน่น ขณะที่สมบัติเวทนับร้อยถาโถมเข้าใส่จากทุกทิศทาง เกราะจักรพรรดิและแขนอาวุธเทพปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าออกมาขณะฟันไปด้านหน้า ก้อนสายฟ้าขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นและระเบิดทันที เปลี่ยนเป็นตาข่ายกว้างสามกิโลเมตรที่เผาทุกสิ่งที่เข้ามาปะทะให้มอดไหม้!

ความตายที่ได้จากวิธีการโจมตีเช่นนี้มากมายก็จริง แต่พลังงานที่ต้องใช้ไปก็มากเช่นกัน แม้เกราะจักรพรรดิลักอัคคีจะเดินหน้าดูดพลังชีวิตจากผู้สิ้นชีพอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอในระยะยาว เนื่องจากผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลมีมากจนเกินไป!

ความลำบากนี้ทวีเพิ่มขึ้นอีกด้วยผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นในคราบคนของสำนักวังเต๋าไพศาล เป้าหมายของพวกเขาคือการทำให้หวังเป่าเล่อหมดทางสู้ คำสั่งของโยวหรันทำให้ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลยังคงปักหลักอยู่ที่สมรภูมิรบโดยไม่หนีไปไหน เฝ้ารอให้หวังเป่าเล่อแสดงวินาทีของความอ่อนแอให้เห็น!

พวกเขาเหมือนขดลวดสปริงที่ย่อตัวลงด้วยแรงกดทับมหาศาล และเมื่อหวังเป่าเล่อเริ่มอ่อนแรงลง ก็พร้อมที่จะปล่อยพลังงานทั้งหมดที่สั่งสมไว้ออกมาทันที แต่แน่นอนว่าขดลวดสปริงเองก็มีขีดจำกัด หากแรงกดทับมีมากเกินไป ก็คงถูกทำลายย่อยยับในพริบตา หมดสิ้นซึ่งหนทางจะปล่อยพลังออกมาได้!

สิบห้านาทีผ่านไปท่ามกลางความรุนแรงอำมหิตที่เดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด…ขดลวดสปริงก็พังทลายลง!

สนามรบตกอยู่ในความโกลาหล กองทัพผู้ฝึกตนไม่สามารถทานทนแรงกดดันได้อีกต่อไป จนเริ่มแสดงท่าทีว่าจะยอมจำนน ไม่มีใครรู้ว่าคนแรกที่หลบหนีด้วยใบหน้าสยดสยองคือใคร แต่ทุกคนก็แห่กันทำตามโดยไม่ลังเล สมรภูมิกลายเป็นกระแสผู้คนที่หลบหนีไปด้านหลัง กองทัพย่อยยับไปด้วยตนเองจากภายใน

“ข้าไม่สนแต้มการรบแล้ว ไอ้บ้านี่มันไม่ใช่คน!”

“ข้ายังมีมหาเต๋าอยู่เบื้องหน้าและมีหลายอย่างที่ยังอยากทำ ข้าไม่ยอมกลายเป็นก้อนกรวดให้ไอ้หมอนี่มันบดขยี้จนตายหรอก!”

การถอยร่นของกองทัพทำให้ทุกอย่างพังพินาศ ความวุ่นวายเข้าครอบคลุมสนามรบในห้วงอวกาศแห่งนี้ทันที ภาพนี้ทำให้เฟิ่งชิวหรันเย็นสันหลังวาบ นางมองหวังเป่าเล่อ และหันไปมองผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่ล้อมพวกเขาทั้งสองไว้ หัวใจเอ่อล้นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก แต่สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงถอนหายใจ

ขณะที่กองทัพกำลังแตกฮือเหมือนมดแตกรัง หวังเป่าเล่อก็โผล่ขึ้นที่ใจกลางสนามรบ ท่ามกลางทะเลเลือดและร่างไร้ชีวิต เกราะจักรพรรดิสีแดงชาดยังคงดูน่าสยองพองขน แต่สิ่งที่ทำให้ขนหัวลุกที่สุด คือดวงตาหลายหมื่นดวงที่ลอยอยู่เบื้องหลัง!

ดวงตาทั้งหมดปิดเปลือกตาอยู่ และกำลังดิ้นเร่าๆ จนทำให้อวกาศโดยรอบบิดเบี้ยวไม่มีชิ้นดี พวกมันลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ ที่กำลังยืนอยู่ด้านบน รายล้อมด้วยซากศพมากมาย ราวกับเป็นเทพปีศาจร้ายจุติลงมาจากเบื้องบนเพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็ไม่ปาน!

แค่นี้ยังไม่พอ ต้องมีมากกว่านี้! หวังเป่าเล่อหอบใจหอบ อ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจจนแทบยืนไม่ไหว พลังงานที่ยังคงหลั่งไหลเข้ามาจากเกราะจักรพรรดิและความกระหายเลือดของดวงตาปีศาจ บังคับให้ตัวเขาต้องรู้สึกทั้งความเหนื่อยล้าและความตื่นเต้นที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดง เขาขยับเท้าเพื่อพร้อมออกสังหารอีกครั้ง

ในตอนนั้นเอง เสียงประหลาดก็ดังแว่วออกจากดาวพุธ สะท้อนก้องกังวานไปทั่วอวกาศ เรือบินรบเต๋ามรณะบนดาวพุธและสายฟ้าสีดำที่ก่อตัวขึ้นนั้น ปล่อยพลังของมันออกมาโดยฉับพลัน!

สายฟ้าสีดำนับไม่ถ้วนไม่ได้รวมตัวกันเป็นลำแสงกว้างสามกิโลเมตรอีกต่อไปแล้ว หากแต่ขยายออกเป็นสามสิบกิโลเมตร ลำแสงนั้นกลายสภาพเป็นมือยักษ์สีดำที่สร้างมาจากสายฟ้าทมิฬ!

มือสายฟ้ายักษ์กวาดห้วงอวกาศ ก่อให้เกิดพลังที่แซงหน้าขั้นเชื่อมวิญญาณ พลังที่น่าเกรงขามและน่าหวาดหวั่นนี้พอฟัดพอเหวี่ยงกับขั้นจิตวิญญาณอมตะเลยทีเดียว มันปรากฏขึ้นในสนามรบอย่างฉับพลัน และพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ หมายจะจับตัวเขาเอาไว้!

มือยักษ์อาจดูเหมือนเถ้าธุลีเมื่อเทียบกับจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล แต่มันยิ่งใหญ่ราวกับเป็นทั้งผืนฟ้าเมื่อเทียบกับขนาดของสมรภูมิรบ มันพร้อมที่จะจับทั้งหวังเป่าเล่อและดวงดาวโดยรอบเอาไว้ จากนั้นก็บดขยี้จนแหลกคามือ ก่อนจับไปฝังทั้งเป็น!

บทที่ 694 หมดทางหนี!
ดวงตาทั้งสี่ดวงประกอบไปด้วยหนึ่งดวงตายักษ์และอีกสามดวงตาขนาดเล็กเท่ากำปั้น ลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ ดวงตาทั้งสามที่เกิดใหม่พุ่งตรงจากด้านหลังของชายหนุ่ม มาปรากฏเบื้องหน้าเขา อยู่ตรงกลางระหว่างเจ้าของพลังและลำแสงสีแดง ก่อนจะลืมขึ้นพร้อมกัน!

แต่คราวนี้พลังที่ส่งออกมาจากการลืมขึ้นของดวงตาแตกต่างไปจากทุกที นอกจากมันจะมีพลังทำให้ทุกสิ่งหยุดชะงักอยู่กับที่แล้ว รังสีที่ดวงตาทั้งสามปล่อยออกมายังอาบไปด้วยพลังทำลายล้างมหาศาล ก่อนที่ลำแสงสีแดงจะทันได้ไหลท่วมดวงตาทั้งสาม พวกมันก็ชิงระเบิดเสียก่อน!

คลื่นพลังปราณรุนแรงพุ่งออกจากดวงตาทั้งสาม สร้างแรงต้านที่แม้จะไม่เทียบเท่าการโจมตีจากลำแสงของเรือบินรบเต๋ามรณะ แต่ก็มากพอที่จะทำให้ลำแสงขนาดใหญ่แตกออกเป็นสายได้ ลำแสงสีแดงกระจายออกเป็นเส้นแสงเล็กๆ ที่เจิดจ้าน้อยลง ส่งผลให้พลังงานของมันที่เคยร้ายแรงในตอนแรกทุเลาลงไป

กระนั้นการโจมตีที่อ่อนกำลังลงไปแล้ว ก็ยังทำให้หวังเป่าเล่อต้องถอยร่นไปด้านหลังหลายร้อยเมตร และทำให้อวัยวะภายในของเขาปั่นป่วนอยู่ด้านในเกราะจักรพรรดิ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออก ทว่าเฟิ่งชิวหรันเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบมากกว่า นางยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากอาการบาดเจ็บล่าสุด นอกจากนี้ยังถูกกลืนกินวิญญาณและบดบังจิตใจจากกรงขังหมอกแดงก่อนหน้านี้ ลำแสงสีแดงทำให้เฟิ่งชิวหรันเลือดไหลออกจากมุมปาก ขณะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะล่าถอยไป ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่นางต่อสู้ด้วยเมื่อครู่ ถือโอกาสนี้ปล่อยพลังเวทให้ตนรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับแสง และหลบหนีไปได้ในที่สุด!

แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น โยวหรันโกรธเกรี้ยวหนักกับความประมาทของตน และรับไม่ได้กับการสูญเสียกำลังพลสำคัญจำนวนไม่น้อยของตนเอง ความเกลียดชังในตัวหวังเป่าเล่อทวีความรุนแรงขึ้น แตะถึงจุดที่หากไม่สังหารหวังเป่าเล่อเสีย เขาคงไม่มีวันสบายใจ

นั่นเพราะ…ในครั้งนี้เขาเป็นคนเปิดฉากโจมตีเอง แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าเขาทุ่มหินใส่เท้าตนเอง หากชายชราไม่คิดจะใช้หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันเป็นเหยื่อเพื่อล่อให้ยานรบของสหพันธรัฐออกมา เขาคงไม่ใช้วิชาหล่อวิญญาณพินาศ และหวังเป่าเล่อก็คงไม่ใช้กระบวนเวทนี้มาแทงข้างหลังเขา จนทำให้เขาต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายถึงเพียงนี้

“หวังเป่าเล่อ ข้าต้องฆ่าเจ้าให้ได้!” โยวหรันนั่งอยู่ภายในเรือบินรบเต๋ามรณะบนดาวพุธ ผมเผ้าหลุดลุ่ยไม่เป็นทรง ประกายสีแดงวาวโรจน์ในดวงตา เบื้องหน้าของเขาคือสระน้ำที่มีร่างหนึ่งอยู่ในนั้น!

ร่างนั้นเต็มไปด้วยรอยแตก ราวกับนำชิ้นส่วนหลายชิ้นมาประกอบเข้าด้วยกันเป็นร่างเดียว ร่างนั้นคือสิ่งที่หวังเป่าเล่อระเบิดทิ้งก่อนหน้านี้ หัวใจหลักของพลังแห่งเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้น ชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะนั่นเอง!

โยวหรันพยายามรวมร่างเข้ากับชุดคลุมขณะที่เดินหน้าซ่อมแซมเรือบินรบ จึงไม่มีโอกาสออกจากตัวเรือไปได้ กระนั้นความต้องการสังหารหวังเป่าเล่อในใจของชายชราก็รุนแรงยิ่งนัก จนแม้จะออกจากเรือไปไม่ได้ แต่ก็ยังปลีกตัวไปจัดการภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้นด้วยวิธีอื่น และลำแสงที่เขาส่งออกไปก่อนหน้านี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังต่อสู้กับลำแสงนั้น โยวหรันก็ส่งคำสั่งใหม่ออกไป คำสั่งนั้นส่งตรงไปถึงผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่ซ่อนตัวอยู่ในอวกาศ พร้อมที่จะซุ่มโจมตีเรือบินรบสหพันธรัฐ

ทุกคนกำลังรอคำสั่ง และเร้นกายห่างออกไปจากสมรภูมิรบ จึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นที่โลกภายนอก ทันทีที่ได้รับคำสั่ง สีหน้าของบรรดาผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นในเรือบินรบก็ฉายแววตื่นตระหนกชัดเจน พวกเขารีบกระจายคำสั่งออกไปทันที เรือบินรบเผยตัวตนให้ทุกคนได้เห็นในวินาทีนั้น เบนหางเสือไปยังสนามรบที่หวังเป่าเล่ออยู่ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปนัก พวกเขากระจายตัวออกเป็นครึ่งวงกลม และพุ่งเข้าใส่สนามรบนั้นทันที!

เพื่อให้แน่ใจว่าหวังเป่าเล่อจะไม่รอดแน่นอน หลังจากส่งคำสั่งสังหารออกไปเรียบร้อยแล้ว โยวหรันก็กัดฟันและกดมือลงบนชุดคลุมที่ขาดรุ่งริ่งหมดสภาพเบื้องหน้าตน ไม่มีใครรู้ว่าเขาใช้กระบวนเวทใด แต่ดวงตาของชุดคลุมที่หลับอยู่ก็พลันลืมขึ้น!

ดวงตาของชุดคลุมวาวโรจน์ด้วยความเกลียดชังหวังเป่าเล่อ และเป็นแววตาเดียวกับโยวหรันไม่ผิดเพี้ยน!

“หวังเป่าเล่อ!” ชุดคลุมเอ่ยปาก มันยกนิ้วชี้ขวาขึ้นด้วยความยากลำบาก เพื่อชี้ไปที่ผิวของสระน้ำ นิ้วนั้นจุ่มลงไปในน้ำเล็กน้อย เรือบินรบที่สร้างมาจากเศษเสี้ยวของเต๋าสวรรค์สั่นสะเทือนในบัดดล พลังงานสีดำกระเพื่อมเป็นระลอก ขณะที่คลื่นพลังปราณกระจายออกสู่ห้วงอวกาศ ความเร็วในการดูดพลังจากต้นกำเนิดดาราของดาวพุธเพิ่มมากขึ้น เรือบินรบกวาดเอาพลังงานทั้งหมดเข้ามาใส่ตน ในตอนนั้นเอง ก้อนพลังงานหนึ่งก็พุ่งออกไปสู่อวกาศ และเล็งเป้าไปที่หวังเป่าเล่อ!

สีหน้าของชายหนุ่มที่เป็นเป้าหมายเปลี่ยนไปทันที ดวงตาปีศาจและเกราะจักรพรรดิไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติ แต่วิญญาณจุติดวงดาราของหวังเป่าเล่อเปิดดวงตาของมันขึ้นในวินาทีนั้น ความรู้สึกหวาดกลัวภัยอันตรายที่เข้ามาใกล้พวยพุ่งออกจากวิญญาณจุติ ไหลเข้าท่วมทุกประสาทสัมผัสในกายของหวังเป่าเล่อ

“มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล!” ความรู้สึกอันตรายที่ทำให้หัวใจเต้นแรงแทบระเบิดเข้าครอบงำชายหนุ่ม ทำให้เขาต้องระเบิดความเร็วในทันที เขาพุ่งหนีออกไปในระยะไกล เฟิ่งชิวหรันไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายแม้แต่น้อย แต่เมื่อเห็นแววจริงจังในดวงตาของหวังเป่าเล่อ นางก็ไม่พูดอันใด รีบตามเขาไปทันทีโดยไม่มีข้อกังขา

แต่บริเวณนั้นทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การควบคุมของโยวหรันเป็นที่เรียบร้อย ไม่มีที่ใดที่ทั้งสองจะหลบหนีไปได้พ้น เรือบินรบที่ซ่อนอยู่ในความมืดของห้วงอวกาศปรากฏตัวขึ้นตามคำสั่งของโยวหรัน การเรียงตัวเป็นครึ่งวงกลมทำให้ฝูงเรือบินรบกวาดพื้นที่ไปได้มหาศาล ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะหันหน้าไปทิศใด ก็ยังเห็นเรือบินรบของศัตรูอยู่ในวิสัยเสมอ

เรือบินรบนับสิบลำเริ่มจับการเคลื่อนไหวของเขาได้ พวกมันสร้างวงแหวนปราณขึ้นอย่างรวดเร็ว กองทัพผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้นที่ซ่อนตัวอยู่ในร่างเปลือกนอก แห่กันออกมาจากเรือบินรบ และพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อในทันที

ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นไม่ได้เห็นการต่อสู้ที่น่าเกรงกลัวของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ แต่ก็พอเดาได้ด้วยตนเองว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจากคำสั่งที่ได้รับจากโยวหรัน ส่วนผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลก็หน้ามืดตามัวด้วยความโลภจากการอยากได้แต้มการรบ ทุกคนต้องการสังหารหวังเป่าเล่อเพื่อรับรางวัลก้อนใหญ่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้โง่เขลา หลายคนรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล แค่ดวงตาสีดำขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อก็มากพอที่จะทำให้ใครต่อใครพากันขนหัวลุก

ด้วยเหตุนี้…แม้ทุกคนจะพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มด้วยความเร็วคงที่ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครอยากเป็นคนแรกที่เปิดฉากโจมตีและตายคาสนามรบ สิ่งที่พวกเขาตั้งใจจะทำคือถ่วงหวังเป่าเล่อเอาไว้ในสนามรบ และควบคุมเขาไม่ให้หนีไปไหนได้ ซึ่งดูเป็นวิธีการปลอดภัยที่จะยังทำให้พวกเขาได้แต้มการรบมาครอบครอง และนับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีเยี่ยมทีเดียว แต่แน่นอนว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลกับหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มยังคงถูกความกระวนกระวายใจเกาะกุม ความรู้สึกถึงอันตรายยังก่อตัวอยู่ภายในและกัดกินดวงวิญญาณของเขา แววสังหารในดวงตาทวีความรุนแรงขึ้น อวัยวะภายในกรีดร้อง หากเขาปล่อยให้ตนเองถูกถ่วงอยู่ตรงนี้ เขาย่อมต้องตายโดยไม่มีข้อสงสัยอย่างแน่นอน!

ทางเดียวที่จะรอดไปได้อาจไม่ใช่การหนี แต่ข้า…ต้องสังหารมันให้หมด! ชายหนุ่มเป็นคนเด็ดขาด เมื่อตัดสินใจได้ เขาก็หรี่ตาลงและเปลี่ยนทิศทางของตนเองทันที เบื้องหน้าของเขาคือเรือบินรบจำนวนมากที่กำลังพุ่งเข้าใส่ วงแหวนปราณเจิดจ้า และกองทัพผู้ฝึกตนมากมาย แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ถอยหนี เขากลับเพิ่มความเร็วของตนเองขึ้นและพุ่งเข้าใส่ศัตรู!

วิชาเกราะจักรพรรดิ!

หวังเป่าเล่อคำรามก้องอยู่ในใจ ชุดเกราะที่สวมใส่อยู่เปลี่ยนรูปร่าง เส้นปราณโลหิตมากมายระเบิดออกมาจากชุดเกราะ และเต้นเร่าอยู่รอบกาย เปลี่ยนชายหนุ่มให้กลายเป็นอสูรร้ายที่น่าพรั่นพรึง!

เขาไม่สนใจพลังแสงที่วงแหวนปราณของเรือบินรบปล่อยออกมา และปล่อยให้มันพุ่งเข้าหาตนเอง ลำแสงเหล่านั้นทำให้พลังปราณรอบกายเขาสั่นไหว แต่พลังงานเหล่านั้นก็ถูกเส้นปราณโลหิตของเขาหยุดเอาไว้ ลำแสงตัดเส้นปราณขาด แต่ก็เข้าไม่ถึงตัวหวังเป่าเล่อ ทันทีที่เส้นปราณถูกทำลาย เส้นปราณโลหิตเส้นใหม่ก็งอกขึ้นมาแทนที่!

ชายหนุ่มดูเหมือนรถศึกที่ไร้เทียมทาน ไร้ซึ่งข้อผิดพลาด และทรงพลังเหลือคณนา!

ดวงตาปีศาจ!

เส้นปราณสีแดงยังคงถูกลำแสงทำลายกลายเป็นเถ้าธุลี ก่อนจะถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้ง เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ ดวงตาสีดำขนาดใหญ่ยังไม่เปิดออก แต่ดวงจิตเบื้องหลังเปลือกตากำลังเต้นเร่าด้วยความหิวกระหาย มันส่งแรงอาฆาตและความกระหายเลือดเข้าสู่จิตใจของหวังเป่าเล่อ ความต้องการฆ่านั้นรุนแรงมากเสียจนทำให้อวกาศที่รายล้อมดวงตาสีดำบิดเบี้ยวคดงอ

เฟิ่งชิวหรันตัวสั่นเทา หวังเป่าเล่อกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนางไปในวินาทีนั้น แต่ผู้ที่กลัวที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้น ที่เพิ่งเหาะออกมาจากเรือบินรบ หมายหยุดหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันไม่ให้หนีไปได้

“นั่นมันบ้าอะไรกัน”

“เจ้านั่นคือหวังเป่าเล่อหรือ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”

“หมอนั่นดูแปลกๆ นะ!” ความตื่นตระหนกตกใจเข้าครอบงำจิตใจของผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเขาพยายามหนีแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว หวังเป่าเล่อกระโจนเข้าใส่ ดวงตาสีดำเบื้องหลังลืมขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว!

ดวงตาสีดำไร้ซึ่งตาขาว นัยน์ตาดำสนิทของมันปล่อยความรู้สึกแสนประหลาดออกมา ราวกับว่า…ทุกคนกำลังจ้องเข้าไปยังดวงตามนุษย์จริงๆ อย่างไรอย่างนั้น!

ความรู้สึกนั้นอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้าย ความบ้าคลั่ง และความกระหายเลือดเข้มข้น แววตาของมันรุนแรงชัดเจนจนทำให้ทุกสิ่งหยุดการเคลื่อนไหว!

ปรากฏการณ์นี้แพร่กระจายไปทั่วห้วงอวกาศที่พร่างพราวด้วยดวงดาว เหล่าผู้ฝึกตนยืนจ้องหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าเหมือนต้องมนต์ ขณะที่ชายหนุ่มพุ่งเข้าใส่พวกเขา!

สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดเกราะจักรพรรดิ คือหวังเป่าเล่อที่กำลังมีเลือดไหลออกจากมุมปาก เขาพยายามใช้พลังของดวงตาควบคุมผู้ฝึกตนที่มีจำนวนมากเกินกว่าร่างกายจะรับไหว จนทำให้พลังนี้ย้อนกลับมาทำร้ายตนเอง

เจ็บก็เจ็บ ข้าต้องการดวงตาจำนวนมากมาต่อกรกับภัยที่กำลังมาเยือน! ความต้องการสังหารวาบผ่านดวงตาของชายหนุ่มขณะที่พุ่งเข้าโจมตี!

บทที่ 693 ดวงตาปีศาจระเบิด
ตอนที่ร่างกายของเขาบรรลุความแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ หวังเป่าเล่อสามารถปล่อยความเร็วได้เท่าพลังของขั้นจุติวิญญาณชั้นปลาย ความเร็วโดยปกติของเขาก็มากกว่าคนในระดับเดียวกันอยู่โขแล้ว แต่เมื่อมีเกราะจักรพรรดิมาช่วยเสริมพลัง เขาก็เข้าใกล้ความเร็วขั้นเชื่อมวิญญาณในทันที นอกจากนี้วิญญาณจุติดวงดารายังเสริมพลังขึ้นไปอีก สุดท้ายแล้วเมื่อมีกระบวนเวทดวงตาปีศาจ ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าน่าตกใจ!

หากเป็นการเดินทางจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งตามปกติ ความเร็วระดับนี้คงไม่ดีเทียบเท่าการเคลื่อนย้าย แต่มันก็มีข้อดีที่การเคลื่อนย้ายให้ไม่ได้เช่นกัน การเพิ่มความเร็วทำให้สามารถสะสมพลังงานได้ ทฤษฎีนี้ได้รับการพิสูจน์จากสหพันธรัฐเมื่อหลายพันปีมาแล้ว พลังงานเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของความเร็วแบบสะสม!

พลังกายของหวังเป่าเล่อเมื่อได้รับการเสริมพลังจากเกราะจักรพรรดิ บวกกับความเร็วอันผิดธรรมดาของเขา รวมกันออกมาเป็นพลังอันแข็งแกร่งจนเหลือเชื่อ ที่กำลังพุ่งตรงเหมือนดาวหางเข้าไปหาผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนที่สอง เขากระโจนด้วยเสียงกึกก้องเหมือนฟ้าคำราม ผ่านทะเลดวงวิญญาณมากมายในเสี้ยววินาที ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนที่สองยืนนิ่งด้วยความตกใจ รูม่านตาหดแคบ ขณะที่หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าโจมตีด้วยพลังที่เทียบเท่าดาวหาง!

ผู้ฝึกตนคนนั้นร้องเสียงหลง เมื่อความตายมายืนตระหง่านให้เห็นตรงหน้า เสียงเตือนก็ดังกรีดก้องในหัว เขายกแขนทั้งสองขึ้นอย่างฉับพลัน แขนอีกสี่ข้างแทงทะลุลำตัวออกมา สองมือกำหมัดแน่น อีกสองแบมือออก และสองมือสุดท้ายก็สร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ผู้ฝึกตนผู้นี้พยายามป้องกันตนเองเต็มที่เพื่อหยุดการโจมตีของหวังเป่าเล่อ

สายฟ้าฟาดกระหน่ำ ท้องฟ้าสั่นสะเทือน พลังงานพุ่งสูงขึ้นจนท่วมไปทั่วบริเวณ พลังปราณนั้นกระเพื่อมไปในห้วงอวกาศเหมือนคลื่นยักษ์ที่ถาโถม ดวงวิญญาณมากมายกรีดร้องและรีบล่าถอยในทันที ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นกระอักเลือดออกมายกใหญ่ ร่างกายถูกซัดไปด้านหลัง ความตกใจฉายชัดบนใบหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ ขณะพยายามหาทางหนี

แต่ก็ช้าเกินไปเสียแล้ว หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าใส่อีกครั้งด้วยความเร็วเทียบเท่าดาวหาง ดวงตาสีดำที่อยู่เบื้องหลังเขาเปิดออกอีกครั้ง พลังที่ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดนิ่งสนิทอยู่กับที่ถูกปลดปล่อยออกมา ชายหนุ่มได้ยินเสียงคำรามที่อยู่ภายในใจ เสียงคำรามที่สั่งให้เขาฆ่า

ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่กำลังหนีตายอย่างบ้าคลั่ง หยุดนิ่งสนิทอยู่กับที่ทันทีที่ดวงตาสีดำเปิดออก ดวงตางงงวยเหมือนต้องมนต์สะกด ดวงตาสีดำเบื้องหลังหวังเป่าเล่อจ้องมอง สายตาของมันราวกับแปรสภาพเป็นคุกที่กักขังผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเอาไว้ภายใน ทำให้เขาชะงักค้างอยู่กลางอากาศ!

หากมีเวลามากพอ เขาอาจต้านทานพลังนี้ได้จนถึงขั้นหนีออกไปได้โดยง่ายด้วยซ้ำ แต่ในตอนนี้เขากำลังต่อสู้ในการต่อสู้ที่อาจพรากชีวิตไปจากเขา ดังนั้นทุกเสี้ยววินาทีจึงมีความหมาย!

ราคาที่ต้องจ่ายจากการหยุดชะงักไปนั้นช่างแพงเหลือเกิน หวังเป่าเล่อเข้าประชิดตัวในทันที ชายหนุ่มไม่ต้องใช้พลังของอาวุธเทพเสียด้วยซ้ำ เขายกมือขวาขึ้นกดฝ่ามือลงไปบนศีรษะของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น!

แล้วปล่อยพลังเกราะจักรพรรดิลักอัคคีออกมา!

ร่างของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเหี่ยวเฉาลงท่ามกลางเสียงระเบิดกึกก้อง มันหดตัวลงยุบเข้าไปในมวลของตนเอง ราวกับลูกบอลที่ถูกรีดจนไร้อากาศ!

แต่ยังไม่จบแค่นั้น ชายหนุ่มยังปล่อยพลังของกระบวนเวทดวงตาปีศาจออกมาด้วย!

วิญญาณของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นถูกกระชากออกจากร่างในบัดดล เปลี่ยนสภาพเป็นแสงสีเงินเรืองรองที่พุ่งเข้าหาดวงตาสีดำ ดวงตาดวงที่สามถือกำเนิดขึ้นเบื้องหลังหวังเป่าเล่อ ร่างของผู้เคราะห์ร้ายที่ไร้ซึ่งเลือด เนื้อ และวิญญาณ แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี สีเทาที่ลอยล่องรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับห้วงอวกาศ

ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนที่สามที่ถูกวิญญาณกักขังอยู่ และคนที่สี่ซึ่งกำลังต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับเฟิ่งชิวหรันเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองตกใจจนเรียกสติไว้ไม่อยู่ ความรู้สึกไม่อยากเชื่อที่อธิบายไม่ถูกถาโถมเข้ามาในจิตใจ อารมณ์ที่กำเนิดจากการโจมตีของหวังเป่าเล่อไม่สามารถกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดได้ พลังที่เขาสำแดงให้เห็นน่ากลัวเกินไป!

เขาสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทิ้งไปสองคนภายในระยะเวลาอันสั้น เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะก่อความกลัวให้ทวีคูณขึ้นในใจของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อดูน่าเกรงกลัวยิ่งไปกว่านั้น คือรูปลักษณ์ของเขา และเคล็ดเวทลึกลับที่เขาใช้

สิ่งที่ลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อคือดวงตาสีดำขนาดใหญ่หนึ่งดวงและขนาดเล็กสองดวง พวกมันขยับสั่นไหวในท่วงท่าที่แสนประหลาด ราวกับกำลังดูดกลืนบางสิ่งอยู่ ดวงตาเหล่านั้นทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต้องขนหัวลุก เป็นความรู้สึกเดียวกันกับการได้เผชิญหน้าอสูรกายที่ทั้งน่าเกลียดน่ากลัว และทั้งน่าประหวั่นพรั่นพรึง

นั่นมันกระบวนเวทอะไรกัน

พลังนี้ดูเหมือนจะเข้าครอบงำกฎแห่งเต๋า เป็นการเล่นกับพลังงานของจิตเวทแห่งเต๋าโดยตรง ปกติแล้วมันเป็นพลังที่ต้องมีปราณอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ก่อนถึงจะทำได้ แล้วหมอนี่ทำได้อย่างไรกัน

ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่ยังรอดชีวิตทั้งสองทั้งตกใจทั้งสยองขวัญ พวกเขาหมดสิ้นซึ่งความกระหายอยากต่อสู้ สิ่งเดียวที่คิดได้ในตอนนี้คือต้องหนีไปให้ไกล แต่คนหนึ่งก็ติดอยู่ในการต่อสู้กับเฟิ่งชิวหรัน และอีกคนถูกดวงวิญญาณที่อยู่ใต้การควบคุมของหวังเป่าเล่อกักขังเอาไว้ ไม่มีทางเลยที่ทั้งสองจะหนีออกไปได้ในเวลาอันสั้น ความกระวนกระวายถาโถมเข้ามาในจิตใจพวกเขา

ขณะที่ทั้งสองกำลังขนลุกขนพองด้วยความหวาดหวั่น เฟิ่งชิวหรันก็กำลังอยู่ให้ห้วงความตกใจเช่นกัน นางรู้สึกเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกครั้งที่หวังเป่าเล่อนำเคล็ดวิชาใหม่ๆ ออกมาใช้งาน ดวงตาที่เป็นของใหม่ล่าสุดนี้ทำให้รู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามที่แท้จริง

ความรู้สึกยำเกรงของเฟิ่งชิวหรันไม่ได้ส่งตรงไปที่ตัวหวังเป่าเล่อ แต่เป็นดวงตาที่ลอยอยู่ข้างหลังเขา พลังงานที่มันปล่อยออกมาเป็นความชั่วร้ายของปีศาจอย่างแท้จริง เป็นความร้ายกาจดำสนิทที่ทำให้ทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างจืดชืดกลายเป็นเพียงกระดาษขาว!

หลังจากที่กินร่างกายและวิญญาณของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าไปสองคน หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากปกติแต่อย่างใด เขายังดูเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน แต่ก็รู้สึกได้ว่าภายในกายของเขามีจิตหนึ่งที่ก่อกำเนิดขึ้นจากวิชาดวงตาปีศาจ ยิ่งเขาฆ่ามากเท่าใดดวงจิตนี้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

ประหลาดดี หนังสือที่ข้าอ่านตอนอยู่ในนิมิตมืดไม่เห็นบอกไว้เลย ว่าไอ้ดวงตาปีศาจนี่มันมีความคิดจิตใจเป็นของตนเอง หวังเป่าเล่อส่ายหน้า เขาไม่มีเวลามานั่งคิดเรื่องนี้ในตอนนี้ แม้ดวงตาที่มีความคิดเป็นของตนเองจะถือว่าอันตราย แต่ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คืออันตรายที่ใกล้ตัวยิ่งกว่า

ไม่มีเหตุผลให้ต้องกังวลเรื่องอนาคต หากเอาตัวรอดจากปัจจุบันไม่ได้ ชายหนุ่มหรี่ตาที่วาบด้วยแววเย็นเยียบ เขาก้าวออกไปข้างหน้า พุ่งตรงเข้าหาผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนที่สามที่ถูกดวงวิญญาณกักขังไว้

เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ตั้งแต่ตอนที่หวังเป่าเล่อสังหารผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนแรก ไปจนถึงตอนที่เขาคิดถึงอันตรายจากดวงตาที่มีความคิดเป็นของตนเอง มันเป็นความคิดที่ไม่มีใครล่วงรู้นอกจากตัวเขา ตอนนี้หวังเป่าเล่อกำลังพุ่งเข้าหาเหยื่อรายที่สามซึ่งกำลังร้องคำรามด้วยความโกรธ จิตใจเอ่อท่วมด้วยความความกลัวจับขั้วหัวใจ จนทำให้สติแทบหลุด

เขารู้ดีว่าตนเองสู้หวังเป่าเล่อไม่ได้ เฝ้ามองดวงตาสีดำที่เปรียบเสมือนพลังของจิตเวทแห่งเต๋าที่แสนยิ่งใหญ่ค่อยๆ คืบเข้ามาใกล้ และรู้ดีว่าตนเองต้องมีชะตากรรมไม่ต่างจากเพื่อนร่วมสำนักที่ไม่มีแม้กระทั่งร่างไร้วิญญาณให้ดูต่างหน้า!

เมื่อเทียบกันแล้ว การตายแบบที่ยังเหลือร่างเอาไว้ดีกว่าอย่างเทียบไม่ติด โดยเฉพาะในยามที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าถึงอย่างไรก็หนีความตายไปไม่พ้น ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนที่สามหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ความฟั่นเฟือนวาวแสงโรจน์ในดวงตา ทันทีที่หวังเป่าเล่อเข้ามาใกล้ เขาก็ระเบิดตนเอง ร่างเปลือกนอกของผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลฉีกขาด เผยให้เห็นศีรษะทั้งสามและแขนทั้งหกซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของตระกูลไม่รู้สิ้น

“มีแต่ข้าเท่านั้นที่กำหนดความตายของตนเองได้!” พลังทำลายตนเองซึ่งอัดแน่นอยู่ในร่างที่เพิ่งเผยโฉมถูกปลุกขึ้นในทันที

ฉับพลันที่พลังทำลายตนเองพุ่งสู่บรรยากาศภายนอก และเริ่มทำลายร่างของเจ้าของพลัง…ดวงตาทั้งสามเบื้องหลังหวังเป่าเล่อก็เปิดออก ความคิดของชายหนุ่มสะท้อนก้องอยู่ในอากาศ และในจิตใจของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณผู้นั้น ผู้ซึ่งดวงวิญญาณกำลังแตกสลาย

“เจ้าคิดผิดแล้ว”

นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เขาได้ยิน คลื่นพลังทำลายล้างหยุดนิ่งอยู่กับที่ในอากาศ ถูกแช่แข็งเอาไว้ด้วยสายตาทั้งสามที่จ้องมองมา หวังเป่าเล่อก้าวผ่านผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นผู้นั้น พร้อมดึงเลือดเนื้อที่กำลังแหลกสลาย รวมถึงวิญญาณที่ถูกทำลายไปส่วนหนึ่งเข้าหาตนเอง

ดวงตาทั้งสามเบื้องหลังชายหนุ่มหลับลงอีกครั้ง ความเงียบงันเข้าปกคลุม และดวงตาดวงที่สี่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา!

ในตอนนั้นเอง เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ดังสะเทือนมาจากสวรรค์เบื้องบน

“ไอ้หวังเป่าเล่อ!” เสียงที่คุ้นเคยนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากโยวหรัน หวังเป่าเล่อจัดการคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็วก็จริง แต่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่หายไปถึงสามคนก็ทำให้โยวหรันจับความรู้สึกได้ แม้จะบันดาลโทสะ แต่โยวหรันก็ออกจากเรือบินรบไม่ได้ กระนั้นชายชราก็ยังเลือกที่จะโจมตี!

การโจมตีไม่ได้มาจากตัวเขาเอง…หากแต่ด้วยเรือบินรบเต๋ามรณะ!

เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวทำให้อวกาศสั่นสะเทือน ตามมาด้วยลำแสงสีแดงกว้างสามกิโลเมตรที่สาดออกมาจากดาวพุธ ลำแสงนั้นพุ่งตรงตัดผ่านห้วงอวกาศ ก่อให้เกิดหลุมดำขึ้นมากมายตามทางที่มันพุ่งผ่าน และมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อกับเฟิ่งชิวหรันในทันที!

พลังนั้นทั้งรวดเร็วและทรงพลัง ความเร็วและความรุนแรงของมันเทียบเท่าแสงสว่าง และเจิดจ้าไม่ต่างกันแม้แต่น้อย ลำแสงสีแดงส่งพลังทำลายล้างที่เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ออกมา จนอาจทำลายทั้งสองได้เป็นจุณในเสี้ยววินาที!

อันตรายใหม่ที่มาเยือนโดยไม่ทันคาดคิดนี้ ไม่ได้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจแต่อย่างใด เขาหันไปมอง แววตาสว่างจ้าด้วยความบ้าคลั่ง ก่อนสร้างผนึกฝ่ามือโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย จากนั้นชายหนุ่มก็ส่งพลังจากมือของตนออกไปสู่บรรยากาศภายนอก มุ่งตรงไปยังทิศที่ลำแสงนั้นกำลังเดินทางมา พลังงานจากลำแสงกระเพื่อมไปในบรรยากาศ เผาเส้นขนของเขาให้มอดไหม้

“ดวงตาปีศาจ จงระเบิด!”

บทที่ 692 สังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ!
“หวังเป่าเล่อรึ”

ดวงตาประหลาดและรูปร่างน่าสะพรึงของหวังเป่าเล่อ ทำให้ใบหน้าของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณหลายคนในที่มีสีหน้าตกใจ ความไม่อยากเชื่อฉายชัดในแววตาของพวกเขา ไม่มีใครคาดคิดว่าหวังเป่าเล่อจะปลดปล่อยตนเองออกมาจากหมอกสีแดงได้ ภาพดวงวิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนคุกเข่าลงแทบเท้า เพื่อหมอบกราบหวังเป่าเล่อราวกับว่าเขาเป็นราชันแห่งดวงวิญญาณทั้งปวงทั้งดูน่าตกใจและไม่น่าเชื่อ

กระนั้นทุกคนก็ยังเป็นผู้ฝึกตนที่มากด้วยประสบการณ์การรบจากตระกูลไม่รู้สิ้น ความตกใจที่ทุกคนรู้สึกทำให้พวกเขาหันมามองหน้ากัน ก่อนจะระเบิดความเร็วจนกลายเป็นร่างพร่ามัวทั้งสี่ ที่กระโจนเข้าหาหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วสูง

พวกเขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย หากแต่รีบปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของตนเองทันที!

ชื่อหลินโบกมือเรียกชุดคลุมเต๋าสีเทาออกมา ชุดคลุมนั้นลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา ดูราวกับว่ากำลังมีคนที่ไม่มีผู้ใดมองเห็นสวมใส่อยู่ ชุดคลุมปล่อยกลิ่นอายแห่งความตายไปทั่วขณะพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ

ผู้ฝึกตนที่เหลือทั้งสามล้วนมีท่าไม้ตายเป็นของตนเอง คนหนึ่งสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆเพื่อเปลี่ยนร่างของตนให้กลายเป็นภาพซ้อน อีกคนกลายร่างเป็นกิ้งก่าสีดำขนาดยักษ์ที่เข้ารวมร่างกับคนแรก กิ้งก่าที่รวมร่างเรียบร้อยแล้วนี้มีปากขนาดใหญ่ ลมหายใจเหม็นเน่าโชยออกมาโดยรอบ พลังที่ปล่อยออกมาน่าสะพรึงกลัวและพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนราวกับว่าจะฉีกทุกสิ่งที่ขวางหน้าออกเป็นเสี้ยวๆ

ส่วนคนสุดท้ายนั้นโบกมือและฉีกร่างของตนเองเป็นชิ้นๆ เผยให้เห็นศีรษะทั้งสามและแขนทั้งหมด เขาไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าร่างจริงของตนจะถูกเปิดเผย และหมายเอาชนะหวังเป่าเล่อด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของตน

ไพ่ตายของผู้ฝึกตนคนสุดท้ายนี้แปลกประหลาดที่สุดในทั้งหมด เขาก้าวเท้ามาข้างหน้า แบ่งร่างตนเองออกเป็นหลายร่าง ร่างทั้งหมดตรงมาจากทุกทิศทาง แต่ละร่างปล่อยแสงสีฟ้าเจิดจ้า ดูก็รู้ว่ามีพิษอาบไว้อย่างแน่นอน!

หวังเป่าเล่อมองทั้งสี่ปล่อยพลังของตนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เมื่อผู้ฝึกตนทั้งสี่กระโจนเข้าหาเขาด้วยแรงสังหาร ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นโบก วิญญาณมากมายที่อยู่แทบเท้าหันขวับไปมองทั้งสี่ในทันที ทุกตนอ้าปากออกกรีดร้องไร้เสียง เสียงที่ไม่ได้ยินพุ่งตรงเข้ากรีดทำลายจิตสัมผัสของผู้เคราะห์ร้าย ก่อนที่ดวงวิญญาณทุกดวงจะพุ่งเข้าใส่ทั้งสี่ในทันทีโดยไร้ซึ่งความกลัวใดๆ !

ดวงวิญญาณทั้งหมดรวดเร็วและมีจำนวนมากเหลือ พวกมันไหลบ่าเข้าหาผู้ฝึกตนทั้งสี่เหมือนน้ำทะเลที่พัดโหมเข้าฝั่ง แม้จะอ่อนแอกว่าจนจำนวนที่มากมายก็ไม่อาจเอาชนะทั้งสี่คนได้ แต่พวกมันก็เป็นเครื่องถ่วงเวลาให้หวังเป่าเล่อได้เป็นอย่างดี

คลื่นพลังปราณซัดสาดไปทั่วห้วงอวกาศในเวลานั้น หวังเป่าเล่อที่มีสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่แม้แต่จะมองผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในทะเลวิญญาณ ชายหนุ่มตรงไปยังหมอกที่กักขังเฟิ่งชิวหรันไว้ข้างในทันที เขาปรากฏตัวขึ้นข้างหมอกก้อนนั้นอย่างฉับพลับ ก่อนจะวางฝ่ามือขวาลงบนรอบนอกของหมอก

ในวินาทีนั้น ดวงวิญญาณที่อยู่ในกลุ่มหมอกซึ่งกำลังชอนไชเฟิ่งชิวหรันอยู่ก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง พวกมันรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่กำลังทาบเงาทะมึนอยู่เบื้องบน เงาปล่อยรังสีอำมหิตเย็นเยียบออกมา และพูดเพียงประโยคเดียวเท่านั้น

“ไสหัวไป!”

แค่ประโยคเดียวก็แทบทำให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ พวกมันรีบหนีกระจัดกระจายทันที หมอกสีแดงต้านทานพลังของดวงวิญญาณที่กำลังหนีตายไม่ไหว จึงระเบิดในบัดดล วิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนไหลบ่าออกจากหมอก เผยให้เห็นเฟิ่งชิวหรันที่หายใจรวยรินอยู่ภายใน

เฟิ่งชิวหรันเป็นผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก แม้นางจะถูกกักขังและโดนดูดพลังชีวิตอยู่เป็นเวลานาน แต่ความคิดของนางก็ยังชัดเจนแจ่มแจ้ง รูม่านตาของเฟิ่งชิวหรันหดแคบเมื่อเห็นว่าคนที่ช่วยชีวิตนางเป็นใคร นางจำหวังเป่าเล่อได้รางๆ ดวงตาตวัดหันไปมองดวงตาสีดำขนาดใหญ่เบื้องหลังชายหนุ่มที่กำลังปิดเปลือกตาอยู่

ภาพนั้นทำให้นางรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด ราวกับกำลังจ้องเข้าไปในหลุมดำที่หมุนวนอย่างไม่หยุดยั้ง เฟิ่งชิวหรันรู้สึกเหมือนวิญญาณของตนกำลังจะออกจากร่าง ด้วยความตกใจ นางรีบกัดปลายลิ้นของตนเองเพื่อใช้ความเจ็บปวดเรียกสติ นางแตกตื่นอยู่เงียบๆ คนเดียว ไม่ทราบแม้แต่นิดว่าดวงตาสีดำนั้นคือสิ่งใด แต่รู้ว่าหวังเป่าเล่อยังไม่ได้ปลุกพลังของมันขึ้นมา กระนั้นสิ่งนี้ก็ยังทำให้สติของนางหลุดไปได้ชั่วครู่ พลังของดวงตาสีดำดวงนี้คงจะทรงพลังมากจนประเมินไม่ได้

“หวังเป่าเล่อ เจ้า…”

“อาจารย์ย่าชิวหรัน ดวงวิญญาณเหล่านี้ถ่วงเวลาผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น น่าเสียดายที่ไม่นานพอให้พวกเราหนีได้ทัน ท่านช่วยจัดการสักคนหนึ่งให้ข้าได้หรือไม่” ชายหนุ่มโบกมือขวาเพื่อหยิบขวดโอสถมากมายออกมา

เสียงของชายหนุ่มสงบเย็น เป็นความเย็นที่แตกต่างจากความเย็นของร่างกายเขา รวมถึงบรรยากาศน่าสยองขวัญที่ดวงตาซึ่งลอยอยู่เบื้องหลังชายหนุ่มแผ่ออกมาเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั้งเสียงของหวังเป่าเล่อที่สะท้อนอยู่ในหัวของเฟิ่งชิวหรันก็ยังเย็นเยียบ

“ได้!” เฟิ่งชิวหรันหยิบขวดโอสถมาดื่มในอึกเดียว นางพยักหน้าอย่างเด็ดขาด ตวัดสายตาไปมองผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่ถูกกักขังอยู่ และเริ่มโจมตีคนหนึ่งที่ยังเคลื่อนไหวไม่ได้ทันที

เมื่อเฟิ่งชิวหรันปล่อยการโจมตีใส่ สีหน้าของผู้ฝึกตนคนนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นตกใจ ทั้งสองเปิดฉากต่อสู้กันอย่างดุเดือด พลังปราณซัดออกมาเป็นคลื่นจากแรงปะทะ

มีผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณเหลืออยู่อีกสามคน ดวงตาของหวังเป่าเล่อตวัดผ่านทั้งสาม มาหยุดอยู่ที่ชื่อหลิน

“เห็นทีจะต้องรีบจัดการเสียหน่อย…” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำกับตนเอง เขาก้าวเพียงก้าวเดียวไปหาชื่อหลิน เมื่อเท้าสัมผัสลงพื้น เส้นปราณสีโลหิตก็กระจายออกจากร่าง เข้าห่อหุ้มร่างกาย และกลายเป็นชุดเกราะจักรพรรดิ!

ร่างกายของเขาผอมลงมาแล้ว จึงแปลว่าเกราะจักรพรรดิไม่ได้ดูใหญ่มหึมาเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่พลังงานกระหายเลือดที่ปล่อยออกมาไม่ได้ยิ่งหย่อนลงจากเดิมแม้แต่น้อย ดวงตาสีดำเบื้องหลังหวังเป่าเล่อยิ่งทำให้ชุดเกราะดูน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นไปอีก ราวกับชายหนุ่มได้กลายไปเป็นเทพปีศาจอย่างไรอย่างนั้น เขาก้าวครั้งที่สองมาหยุดอยู่ข้างชื่อหลิน ยกมือซ้ายขึ้นส่งหมัดไปข้างหน้า!

หมัดนั้นอัดแน่นด้วยพลังของกระบวนเวทระเบิดกำเนิดดวงดารา เกราะจักรพรรดิ วิญญาณจุติดวงดารา รวมถึงดวงตาปีศาจ!

พลังของทุกกระบวนเวทที่ผนึกรวมกัน ทำให้หมัดก้าวผ่านขีดจำกัดของขั้นจุติวิญญาณไปเรียบร้อย และเป็นพลังที่ร่างกายของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณไม่อาจทานทนได้ แต่หวังเป่าเล่อมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมากนัก และเกราะจักรพรรดิก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาทนต่อพลังนี้ได้ ชายหนุ่มจึงสามารถปล่อยการโจมตีที่แซงหน้าขีดจำกัดของพลังขั้นจุติวิญญาณออกมาได้!

หมัดที่ปล่อยออกมาไม่เพียงเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่มันแซงหน้าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นไปเป็นที่เรียบร้อย จนมาหยุดอยู่ที่ชั้นกลางเลยทีเดียว!

สีหน้าของชื่อหลินหวาดหวั่นขึ้นมาทันที เขากู่ร้อง โบกแขนทั้งสองขึ้นเพื่อส่งชุดคลุมเต๋าสีเทาที่ลอยอยู่เหนือศีรษะออกไปข้างหน้า ชุดคลุมสีเทาลอยลงมาข้างล่างอยู่เบื้องหน้าเขา เพื่อเตรียมพร้อมต้านทานการโจมตีของหวังเป่าเล่อ

นอกจากนี้ชื่อหลินยังเตรียมตัวล่าถอยอย่างรวดเร็ว เขาตบหน้าผากของตนเองอย่างแรงเพื่อทิ้งร่างเปลือกนอกเอาไว้ เผยให้เห็นรูปร่างที่แท้จริงของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ภายใน

มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และเขาก็เดินหน้าทำตามแผนอย่างรวดเร็ว แต่ก็สายเกินไป!

ขณะที่ชุดคลุมสีเทาบินออกมาด้านหน้าชื่อหลิน ส่วนเจ้าตัวก็กระโจนล่าถอยไปข้างหลัง ประกายแสงก็วาบเข้ามาในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ดวงตาสีดำเบื้องหลังชายหนุ่มที่หลับมาตลอด ก็พลัน…ลืมตาขึ้น!

จักรวาลสั่นสะเทือน ความเงียบสงัดเข้าปกคลุม ทั้งห้วงอวกาศ เวลา และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดหยุดนิ่งไร้ความเคลื่อนไหว!

ชื่อหลินก็หยุดนิ่งเช่นกัน เขาตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ราวกับเส้นด้ายที่เชื่อมร่างกายกับวิญญาณได้ขาดสะบั้นลง ความคิดทั้งหมดทั้งมวลสูญหายไปจากจิตใจ ชื่อหลินยืนนิ่งสนิทอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ ผู้ที่เดินผ่านชุดคลุมสีเทาและเจ้าของของมันไปภายในพริบตา แขนขวาของชุดเกราะจักรพรรดิสว่างวาบด้วยแสงของอาวุธเทพ

ช้าเกินไปที่จะหนีการโจมตีหรือโต้กลับ และช้าเกินไปสำหรับผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่จะออกจากร่างเปลือกนอกของตน แขนอาวุธเทพฟาดไปข้างหน้าเพียงครั้งเดียว และการต่อสู้นี้ก็ปิดฉากลง… เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ศีรษะของชื่อหลินปลิวไปในอากาศ เมื่อหัวหลุดจากบ่า ร่างของเขาก็เหี่ยวย่นลงในทันที เลือดและเนื้อถูกเกราะจักรพรรดิสูบเข้าไปจนหมดสิ้น วิญญาณของชื่อหลินถูกดวงตาสีดำกลืนกินเข้าไปในตอนเดียวกันนั้น เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ ข้างๆ ดวงตาสีดำ มีดวงตาที่ปิดสนิทขนาดเท่ากำปั้น…ถือกำเนิดขึ้น!

ง่ายเพียงเท่านี้เองหรือ การสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ หวังเป่าเล่อหลับตาลง รู้สึกได้ถึงพลังปราณอีกชนิดที่ไหลวนอยู่ภายในกาย ดวงตาปีศาจของเขาแข็งแกร่งขึ้น และกำลังคืบคลานใกล้ระดับที่สี่ของกระบวนเวทนี้เข้าไปทุกที

สีหน้าของชายหนุ่มราบเรียบ ไร้ซึ่งความยินดีหรือความเศร้าโศก นี่คือราคาที่ต้องจ่ายจากการฝึกกระบวนเวทดวงตาปีศาจ เขาไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วขณะปลิดชีวิตผู้อื่น อันที่จริงแล้ว ความรู้สึกหิวกระหายที่บอกไม่ถูกกำลังค่อยๆ เปิดเผยตัวขึ้นในจิตใจ มันคือความรู้สึกหิวกระหายการฆ่า

น่าสนใจดี แปลว่าดวงตาปีศาจนี้มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตนเองด้วยหรือนี่ มันกำลังพยายามจะควบคุมข้าเช่นนั้นหรือ… หวังเป่าเล่อประเมินแววหิวกระหายในจิตใจตนเอง ก่อนหันไปมองผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนที่สองที่ถูกขังอยู่ ความเย็นเยียบวาบเข้ามาในแววตาอีกครั้งขณะก้าวเดินไปหาเหยื่อรายที่สอง!

บทที่ 691 ดวงตาปีศาจสีดำ!
หวังเป่าเล่อรู้จักวิชาดวงตาปีศาจเป็นครั้งแรกในนิมิตมืด วิชานี้เป็นเคล็ดเวทแปลกประหลาดที่มีต้นกำเนิดมาจากอารยธรรมฝึกปราณที่สูญสิ้นไปแล้ว จารึกนั้นสิ้นสุดลงตรงเคล็ดเวทขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น สำนักแห่งความมืดไม่ได้ให้ความสนใจกับมันมากนัก แต่เพราะพลังทำลายล้างที่รุนแรง ทำให้วิชาดวงตาปีศาจติดหนึ่งในสามเคล็ดเวทขั้นจุติวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดที่สำนักแห่งความมืดเคยมีมา หากฝึกตนไปพร้อมๆ กับวิชาแห่งศาสตร์มืด ก็จะปลดปล่อยพลังที่ทำให้มันกลายเป็นเคล็ดเวทขั้นจุติวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดที่สำนักเคยพบเห็น แต่วิชาดวงตาปีศาจกลับถูกทอดทิ้งเพราะจารึกนั้นไม่สมบูรณ์

เคล็ดเวทนี้มุ่งเน้นเรื่องการเข่นฆ่า มีด้วยกันห้าระดับ แต่ละระดับจะเพิ่มพูนพลังปราณของผู้ฝึก รวมไปถึงความแข็งแกร่งและความเร็ว โดยที่สองอย่างหลังนี้จะเพิ่มขึ้นสองเท่าในทุกระดับ

พูดตามทฤษฎีแล้ว ผู้ฝึกตนที่สามารถไปถึงระดับสามได้จะแข็งแกร่งและเร็วกว่าตอนที่เริ่มฝึกเคล็ดเวทถึงแปดเท่า และเป็นสามสิบสองเท่าเมื่อไปถึงระดับที่ห้า!

ระดับแรกมีไว้สำหรับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นต้น ระดับสองสำหรับชั้นกลาง ระดับสามสำหรับชั้สูง และระดับสี่สำหรับขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์ มาถึงระดับนี้พลังปราณของผู้ฝึกจะเรียกได้ว่าสูงจนแทบจะเหลือเชื่อ จากนั้น ยังมีระดับสุดท้ายของเคล็ดเวทนี้ หรือระดับที่ห้าอีก!

มีวิธีการปกติสำหรับการเลื่อนระดับ ซึ่งคือการฝึกฝนทั่วไป และทางลัด ทางลัดนั้นเกี่ยวข้องกับการสังหาร ยิ่งเข่นฆ่ามากเท่าใด ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แล้วก็จะยิ่งบ้าคลั่งขึ้นด้วยเช่นกัน!

ในความเป็นจริงแล้ว การเข่นฆ่านี่ละ คือการฝึกฝนเคล็ดเวทนี้อย่างแท้จริง!

ในจารึกบอกไว้ว่า ในช่วงแรกๆ ของการฝึกฝนเคล็ดเวทนี้ ผู้ฝึกตนสามารถเรียกดวงตาสีขาวออกมาไว้ข้างกายได้ นี่อาจเป็นจริงสำหรับผู้ฝึกตนทั่วๆ ไป แต่หากฝึกฝนวิชาแห่งศาสตร์มืดก่อนที่จะฝึกเคล็ดเวทนี้ ดวงตาที่เรียกออกมาจะเป็นดวงตาปีศาจสีดำสนิท!

เหมือนดวงตาเย็นเยียบแปลกประหลาดที่มาปรากฏอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อในขณะนี้!

แม้จะมีแค่ดวงเดียวในตอนนี้ แต่เมื่อหวังเป่าเล่อฆ่าคน เขาจะสามารถดึงวิญญาณเทพออกมาจากศพ และวิญญาณนั้นจะแปรสภาพกลายมาเป็นดวงตาปีศาจดวงต่อไป ดวงตาปีศาจแต่ละดวงสามารถสกัดกั้นคาถาได้ และการทำลายดวงตาก็จะปลดปล่อยพลังออกมาจำนวนมหาศาล เทียบเท่ากับการระเบิดร่างของเจ้าของดวงวิญญาณเทพที่ใช้สร้างดวงตานี้ขึ้นมาเลยทีเดียว

ดูจะเข้ากับวิชาแห่งศาสตร์มืดได้ดียิ่ง…ที่จริงแล้ว ดูเหมือนจะทำงานเข้าคู่ได้ดีกับวิชาลักอัคคีด้วย! หวังเป่าเล่อนั่งทำสมาธิอย่างแน่วแน่ แถมยังหลับตาแน่นขณะที่เริ่มฝึกฝนวิชาดวงตาปีศาจ ความคิดมากมายไหลวนอยู่ในศีรษะ ชายหนุ่มหวนคิดไปถึงวิชาลักอัคคีของตน

วิชาลักอัคคีเป็นอีกหนึ่งเคล็ดเวทที่เน้นสังหารผู้อื่น หัวใจของการฝึกคือการดูดเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามา ด้วยวิธีนี้ร่างกายของผู้ฝึกก็จะแข็งแกร่งขึ้น และพลังปราณก็จะเพิ่มขึ้นด้วย หวังเป่าเล่อได้ปรับแต่งให้เกราะจักรพรรดิในฐานะภาชนะหลัก เป็นตัวรับสสารทุกอย่างที่วิชาลักอัคคีซึมซับมา ก่อให้เกิดการประสานรวมพลังระหว่างวิชาลักอัคคีและเกราะจักรพรรดิซึ่งเป็นเหมือนวัตถุเวทนอกกาย จึงทำให้มีขีดจำกัดอยู่

“แม้ว่าวิชาลักอัคคีจะมีขีดจำกัด แต่วิชาดวงตาปีศาจไม่มี” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตัวเอง เขาดูเหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ในที่สุด ความนิ่งสงบเริ่มปกคลุมจิตใจเมื่อชายหนุ่มถอดเกราะจักรพรรดิออกจากกาย

ร่างกายที่เป็นประหนึ่งภูเขาเนื้อหนังอันใหญ่โตของหวังเป่าเล่อออกมาสัมผัสหมอกทันที ชายหนุ่มดูเหมือนอสูรยักษ์โบราณ ที่ปลดปล่อยคลื่นพลังน่าสะพรึงกลัวออกมาไม่หยุดยั้ง

คลื่นพลังปราณขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางแผ่ออกมาจากกายเขาไม่หยุดหย่อน ชายหนุ่มใกล้จะไปถึงจุดสูงสุดของขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางเต็มที ปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลสั่งสมอยู่ในกายเขาในรูปของไขมันวิญญาณ ซึ่งจะช่วยเป็นรากฐานให้หวังเป่าเล่อในการฝึกวิชาดวงตาปีศาจ

ยิ่งพลังปราณของเขารุดหน้าขึ้นเท่าใด ดวงตาสีดำที่ลอยอยู่เบื้องหลังก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นเท่านั้น มันปล่อยคลื่นพลังเย็นเยียบที่เย็นขึ้นเรื่อยๆ ออกมา พร้อมๆ กันนั้น ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็เริ่มหดเล็กลง!

ไขมันวิญญาณจำนวนมากแปรสภาพไปเป็นปราณวิญญาณ และหลั่งไหลเข้าไปในดวงตาปีศาจ สิ่งนี้ไม่ใช่การดูดซับธรรมดาๆ ที่ผ่านมาหวังเป่าเล่อมีเพียงพลังปราณแต่ไม่มีเคล็ดวิชาฝึกปราณ มาบัดนี้…ชายหนุ่มตัดสินใจเลือกเคล็ดวิชาที่จะกำหนดแนวทางการฝึกปราณของเขาแล้ว วิชาดวงตาปีศาจถูกปลุกขึ้นมา ร่างกายของเขาเหมือนจะถูกแยกส่วนออกเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนจะประกอบกันขึ้นมาใหม่ ขณะที่หวังเป่าเล่อผลักดันตัวเองเข้าไปในเส้นทางของวิชาดวงตาปีศาจ!

ขนาดตัวของหวังเป่าเล่อหดลงกว่าครึ่งในชั่วพริบตา ชายหนุ่มบรรลุวิชาดวงตาปีศาจระดับหนึ่งแล้ว และพลังปราณของเขาก็บรรลุขั้นจุติวิญญาณชั้นต้นอย่างแท้จริงเสียที!

ยังไม่จบแค่นั้น วิชาดวงตาปีศาจยังคงทำงานบนร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มันยังคงหดเล็กลงเรื่อยๆ ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็กลับมามีขนาดตัวเท่าคนปกติอีกครั้ง และได้บรรลุวิชาดวงตาปีศาจระดับที่สอง!

มีเสียงระเบิดดังกึกก้องอยู่ในใจชายหนุ่มราวกับสายฟ้าฟาด ดวงตาปีศาลเบื้องหลังเขาขณะนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นทุกขณะจนดูเหมือนของจริง รูปลักษณ์ของมันช่างน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

ความก้าวหน้าของชายหนุ่มกับวิชาดวงตาปีศาจยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อยังคงใช้ปราณวิญญาณจำนวนมากที่เก็บกักมาจากวังลำดับสุดท้าย แม้ว่าไขมันวิญญาณในกายจะหมดไปแล้ว แต่ก็ยังมีปราณวิญญาณคงเหลืออยู่มากมายในเส้นปราณที่คอยเป็นพลังให้เขาไต่ขึ้นไปถึงวิชาดวงตาปีศาจระดับที่สามได้

เพียงนับหนึ่งถึงสิบ พลังปราณภายในกายของหวังเป่าเล่อก็หยุดหมุนวน เพราะได้ผสานรวมเข้ากับวิชาดวงตาปีศาจโดยสมบูรณ์ ส่งให้ดวงตาปีศาจบรรลุจากระดับสองขึ้นไปเป็นระดับสาม!

ไปจนถึงขั้นจุติวิญญาณชั้นปลาย!

ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นไหวรุนแรง ก่อนที่จะมีรัศมีแก่กล้าที่แข็งแกร่งและเข้มข้นยิ่งกว่าอะไรที่ชายหนุ่มเคยมีมาระเบิดออกมาจากร่าง มันเป็นพลังกล้าแกร่งที่ดูราวกับจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปจนสิ้น!

ใบหน้าผีสางวิญญาณที่ยังคงปรากฏขึ้นในหมอกสีแดงซึ่งล้อมรอบกายเขาอยู่เริ่มตอบสนองต่อพลังที่ระเบิดออกมานั้น สีหน้าของพวกมันเปลี่ยนไป มีความเคารพ หวาดกลัว และความยำเกรงเข้ามาแทนที่ เหล่าวิญญาณเริ่มถอยหนี

พวกมันรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกจากกายของหวังเป่าเล่อและดวงตาน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ด้านหลัง ความกลัวทิ่มแทงเหล่าวิญญาณราวกับเป็นลิ่ม ดวงไฟวิญญาณที่มีพลังขึ้นมาเพราะวิชาแห่งศาสตร์มืดซึ่งหลั่งไหลออกมาขณะที่หวังเป่าเล่อฝึกปราณอยู่ก็เกรงกลัวไม่ต่างกัน พวกมันไม่กล้าเข้ามาใกล้

หากเลือกได้ เหล่าดวงวิญญาณคงอยากหนีให้ห่างจากหวังเป่าเล่อ แต่ถึงกระนั้น หมอกสีแดงก็เป็นคุกของพวกมันเช่นกัน พวกมันติดอยู่ในนี้ในขณะที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ไม่อาจจะหนีรอดไปได้ วิธีเดียวที่จะออกไปได้คงต้องผ่านหวังเป่าเล่อ โดยการกลืนกินเขาหรือไม่ก็ถูกเขากลืนกินเข้าไป

ดวงวิญญาณเริ่มสับสนยิ่งขึ้น เจตจำนงของวิชาหล่อวิญญาณพินาศยังคงหลอกหล่อ กดดัน และเชื้อเชิญพวกมันให้เข้ามา วิญญาณที่มารวมตัวกันอยู่ในหมอกสีแดงเริ่มดิ้นรนและโกรธเกรี้ยว ความหงุดหงิดและแรงโทสะเริ่มเติบโต หมอกสีแดงทั้งก้อนค่อยๆ คำรามและเดือดดาลไปด้วยอารมณ์รุนแรง

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่ได้คาดการณ์ถึงสถานการณ์นี้มาก่อน ชื่อหลินและผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนอื่นๆ รวมไปถึงผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่กำลังทำสมาธิกับอยู่บนเรือบินรบ ที่วิญญาณกำลังถูกวงแหวนปราณดูดเข้าไปอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ได้รับรู้ถึงการก่อตัวขึ้นของอสูรร้ายที่พวกเขากำลังสร้างแม้แต่น้อย

แต่ความผันผวนของหมอกที่จับหวังเป่าเล่อไว้ชัดเจนกว่าก้อนที่ขังเฟิ่งชิวหรันไว้มากนัก ดังนั้นมันจึงไม่อาจรอดพ้นสายตาของชื่อหลินและพรรคพวกไปได้ หมอกสีแดงที่จับเฟิ่งชิวหรันไว้สงบนิ่งมาก เมื่อเทียบกับก้อนของหวังเป่าเล่อ ไม่มีใครบอกได้ว่าเกิดสิ่งใดอยู่ด้านใน แม้กระนั้น พวกเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณแปลกประหลาดที่หลุดรอดออกมาจากหมอกสีแดงนั้น

ความแตกต่างกันของหมอกทั้งสองก้อนเบนความสนใจของพวกเขาไป แต่เพราะไม่อาจเข้าไปตรวจสอบด้านในได้ ชื่อหลินและพรรคพวกจึงทำได้เพียงขมวดคิ้วและจ้องมองเท่านั้น หมอกสีแดงไม่เพียงเป็นคุกที่ขังนักโทษเอาไว้ แต่ยังเป็นโล่ที่กันเหล่าผู้คุมเอาไว้ด้านนอกและปกปิดทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายในด้วย

“บางทีอาจเป็นเพราะความพิเศษของหวังเป่าเล่อก็เป็นได้…” ชื่อหลินและพรรคพวกมองตากันไปมา พวกเขาต่างก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจหลังจากได้รับข้อความเสียงหลายข้อความ จนในที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจไปขอคำปรึกษาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน

แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้น ภายในหมอกสีแดง หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งนั่งทำสมาธิมาโดยตลอดและเพิ่งจะฟื้นตัวเต็มที่ ก็ลืมตาขึ้น!

ใบหน้าที่รายล้อมชายหนุ่มอยู่ภายในหมอกสีแดงสั่นคลอนอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังจะกรีดร้อง แต่ต้องอดกลั้นเอาไว้เพราะความกลัว ใบหน้าเหล่านั้นสั่นสะท้าน สีหน้าก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความกลัว ราวกับว่าเพียงคำเดียวจากปากหวังเป่าเล่อจะสามารถตัดสินความเป็นความตายของพวกมันได้กระนั้น

นัยน์ตาเยือกเย็นของหวังเป่าเล่อมองกวาดไปยังดวงวิญญาณที่รายล้อมอยู่ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นช้าๆ ประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ในแววตา จากนั้นเขาก็ลดมือลงและชี้นิ้วไปข้างหน้า ไม่ได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ถึงกระนั้นเจตจำนงของเขาก็เข้าไปอยู่ในดวงวิญญาณทุกดวงภายในหมอกสีแดงผ่านการยกมือเพียงครั้งเดียว พวกมันตัวสั่นก่อนจะกลับหลังหันทันที ราวกับเป็นทหารที่เพิ่งได้รับคำสั่ง ก่อนจะเริ่มพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรุนแรง!

หมอกสีแดงสั่นคลอนและกระตุกหนัก มันขยายตัวออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง ราวกับว่าพร้อมจะระเบิดได้ทุกขณะ ใบหน้านับไม่ถ้วนส่งเสียงร้องโหยหวนและดิ้นรนไปมาอยู่ภายใน สีหน้าของพวกมันบิดเบี้ยวด้วยความบ้าคลั่ง

ชื่อหลินและพรรคพวกต่างมีสีหน้าตื่นตกใจเมื่อได้เห็น พวกเขาสัมผัสได้ถึงอันตราย แต่ก่อนที่จะได้มองดูให้เห็นชัดเจน ก็มีพลังอันเหลือเชื่อปะทุออกมา ราวกับเป็นคลื่นยักษ์ที่ถาโถมพร้อมกลืนกินทุกสิ่งเข้าไป หรือไม่ก็ภูเขาไฟที่ปะทุรุนแรงจนแทบแยกแผ่นดิน หมอกสีแดงไม่อาจต้านทานวิญญาณคลั่งได้อีก ผิวชั้นนอกของมันเริ่มปริแตก ก่อนจะปล่อยให้วิญญาณที่อยู่ภายในทะลักทลายออกมา!

ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่รับการโจมตีเข้าไปอย่างจัง พวกเขาไม่อาจจะหนีได้ จึงต้องยอมรับแรงกระแทกเข้าไปเต็มๆ จนตัวสั่นล่าถอยไม่เป็นขบวน เรือบินรบที่รายล้อมอยู่ก็กระดอนไปราวกับเป็นของเล่นเด็ก ก่อนจะปลิวหายไปไกลโพ้นในอวกาศ ความวุ่นวายเข้าปกคลุมชั่วขณะ ชื่อหลินและผู้ฝึกตนคนอื่นๆ มีสีหน้าตื่นตกใจสุดขีด บรรดาวิญญาณที่หลุดจากหมอกสีแดงพวยพุ่งออกมาก่อนจะหันหลังกลับไปมองหมอกสีแดงทันที พวกมันจ้องเขม็งเข้าไปภายในหมอก ก่อนจะหลุบศีรษะลงต่ำและนั่งคุกเข่า!

เป็นภาพที่น่าตื่นตะลึงนัก ชายร่างผอมสูงก้าวออกมาจากหมอก ผมยาวสยายลงคลุมบ่าเมื่อเขาย่างสามขุมออกมาอย่างแช่มช้า!

ชายผู้นั้นคือหวังเป่าเล่อนั่นเอง

“ต้องขอบใจพวกเจ้า ข้าจึงตัดสินใจเลือกเส้นทางการฝึกตนที่ควรดำเนินไปได้เสียที!” น้ำเสียงเยียบเย็นราวกับน้ำแข็งดังขึ้นในใจของทุกคน มันทรงพลังราวกับสามารถแช่แข็งตรึงทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ได้ ด้านหลังหวังเป่าเล่อ มีเส้นร่างของดวงตาสีดำสนิทกำลังก่อตัวอยู่

ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!

บทที่ 690 วิชาดวงตาปีศาจ!
เรือบินรบนับหมื่นมารวมตัวกันไม่ไกลจากดาวพุธนัก พื้นที่บริเวณนี้ถูกปกคลุมด้วยทะเลสีแดงไปจนทั่ว ผู้ฝึกตนนับหมื่นต่างก็ส่งพลังปราณเข้าไปในทะเลสีแดงและเริ่มกระบวนการหลอม!

อาจจะเรียกว่าการหลอมได้ เพราะนี่คือการสร้างวงแหวนปราณชนิดพิเศษภายใต้การนำของชื่อหลินและผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนอื่นๆ!

วงแหวนปราณนี้เป็นกระบวนเวทที่ชั่วร้ายของตระกูลไม่รู้สิ้น มีชื่อว่ากระบวนเวทหล่อวิญญาณพินาศ!

กระบวนการทั้งหมดอาจอธิบายได้ว่าเป็นวิธีการหลอมแบบพิเศษเพื่อจะยัดเยียดวิญญาณจำนวนมหาศาลเข้าไปในร่างกายมนุษย์ การหลอมอย่างต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายของมนุษย์ผู้นั้นกลายเป็นระเบิดมนุษย์ วงแหวนปราณช่วยปรับแต่งและเพิ่มพูนพลัง แรงระเบิดที่เกิดจากระเบิดมนุษย์จะไม่ใช่ผลรวมของพลังปราณและวิญญาณที่เข้าไปในวงแหวนปราณ แต่เป็นการเพิ่มชนิดเท่าทวีคูณแทน

ช่างเป็นพลังที่รุนแรงอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งกลืนกินวิญญาณเข้าไปมากเพียงใด ยิ่งพลังปราณถูกส่งเข้าไปมากเท่าใด แรงระเบิดในตอนท้ายก็จะรุนแรงขึ้นเท่านั้น ฝูงผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่เดินขึ้นเรือบินรบมานั้นไม่รู้เลยว่าพวกตนถูกใช้เป็นเครื่องมือ และกำลังส่งวิญญาณของตนให้วงแหวนปราณกลืนกิน!

ขณะที่พลังปราณของคนเหล่านี้หลั่งไหลเข้าไปในวงแหวนปราณ วิญญาณของพวกเขาจะหลอมรวมเข้ากับวงแหวนปราณด้วย พวกเขาจะค่อยๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของวงแหวนปราณไปโดยอย่างไม่รู้ตัว

ทั้งหมดนี้…เป็นแผนของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันมาโดยตลอด!

ไกลออกไปจากทะเลสีแดง เรือบินรบจำนวนมากของสำนักวังเต๋าไพศาลล่องลอยอยู่ภายในมิติอวกาศที่บิดเบี้ยว บนนั้นมีผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลอยู่หลายคน พวกเขาถูกเรียกมายังทะเลแดงและกำลังรอคอยคำสั่ง โดยที่ไม่รู้สักนิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตน

คนเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันด้วยเช่นกัน!

ต้องยอมรับว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเป็นอัจฉริยะ แม้ไม่อาจออกมาจากเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้นได้เพราะต้องซ่อมแซมมัน แต่ก็ยังวางแผนทำลายแนวป้องกันที่สองของสหพันธรัฐเอาไว้ แถมยังคิดออกมาได้ภายในระยะเวลาอันสั้นท่ามกลางเหตุการณ์ไม่คาดฝันนานัปการ ทั้งยังรับมือกับการปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันได้อีกด้วย

เป็นแผนเรียบง่ายที่มุ่งเน้นการโจมตีจุดอ่อนและล่อเอากองกำลังที่เหลือของศัตรูออกมา หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันเป็นเหยื่อที่จะล่อให้คนของสหพันธรัฐออกมาช่วยเหลือ ไม่ว่าจะมากี่คนก็ไม่มีผล เพราะพวกเขาทุกคนจะต้องถูกทำลายจนย่อยยับ จากการคาดคะเนของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ชายชราเชื่อว่ามีโอกาสมากที่สหพันธรัฐจะแสร้งทำเป็นเตรียมการโจมตีครั้งใหญ่ เพื่อหันเหความสนใจจากปฏิบัติการณ์ช่วยเหลือ และเมื่อช่วยเพื่อนสำเร็จ พวกเขาก็จะล่าถอยไปเมื่อมีโอกาส

“เมื่อเวลานั้นมาถึง…และเมื่อพวกเขามาถึง ก็จะเป็นโอกาสอันดีในการใช้พลังของกระบวนเวทหล่อวิญญาณพินาศ พวกเราจะทำลายกำลังหลักของสหพันธรัฐ และดาวศุกร์ ซึ่งเป็นกุญแจสู่วงแหวนปราณระบบสุริยะ ก็จะตกเป็นของพวกเราอย่างง่ายดาย!

“สิ่งเดียวที่ข้ากลัวคือพวกที่มาช่วยจะมีน้อยเกินไป!

“แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น พวกเราก็ยังมีภาชนะขั้นเชื่อมวิญญาณอีกสองคนที่จะเป็นอาวุธหนักในการโจมตีดาวศุกร์อยู่ดี!” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันขณะนี้นั่งนิ่งอยู่บนเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นบนดาวพุธ ดวงตาของเขาหรี่เล็ก ซุกซ่อนประกายแสงแห่งการรอคอยอยู่ภายใน ขณะที่ใบหน้าซึ่งมีรอยยิ้มน้อยๆ กำลังบ่นพึมพำอยู่กับตนเอง

สหพันธรัฐเสียเปรียบหากเป็นเรื่องขั้นการฝึกปราณและความรู้ด้านกระบวนเวท แม้ว่าพวกเขาจะมีวงแหวนปราณระบบสุริยะช่วย ก็ยังยากที่จะสัมผัสได้ถึงกระบวนเวทหล่อวิญญาณพินาศของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เป็นเหตุให้ชายชราไม่คิดเปลี่ยนแปลงแผนการณ์แต่อย่างใด

กองกำลังของสหพันธรัฐแสร้งทำเป็นเคลื่อนพลออกจากดาวศุกร์ไปยังดาวพุธ หลี่ซิงเหวิน ผู้นำกองกำลังย่อยนเดินทางล่วงหน้าออกมาก่อน ชายชราเร่งรุดไปยังจุดนัดพบที่เขาได้นัดแนะกับเฟิ่งชิวหรันไว้ก่อนหน้า

ทุกๆ การเคลื่อนไหวของสหพันธรัฐผ่านการวางแผนมาเป็นอย่างดีโดยกลุ่มนักวางแผนผู้รอบรู้ พวกเขาจำลองสถานการณ์ของสงครามผ่านข้อมูลทั้งหมดที่สามารถเข้าถึงได้ แม้จะไม่ล่วงรู้ถึงกับดักที่วางรอไว้ แต่ก็คำนวณเรื่องการถูกซุ่มโจมตีเอาไว้บ้าง แผนการณ์ของพวกเขาจึงมีการเตรียมการรับมือเอาไว้ล่วงหน้าด้วย

แน่นอนว่า ไม่มีใครรู้เลยว่าแผนสำรองนั้นจะมีประสิทธิภาพเพียงใด

แผนของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันและภารกิจช่วยเหลือจากสหพันธรัฐก็ดำเนินไปพร้อมๆ กัน ในใจกลางพายุ บริเวณที่ทะเลสีแดงตั้งอยู่ มีหมอกสีแดงสองก้อน ภายในหมอกมีคนกำลังถูกหลอมให้กลายเป็นภาชนะ หวังเป่าเล่ออยู่ภายในหมอกแดงก้อนหนึ่ง ชายหนุ่มกำลังเผชิญกับการตัดสินใจอันยากลำบาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขาบ่อยนัก!

เขาไม่รู้เลยว่าเฟิ่งชิวหรันเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้ แต่ชายหนุ่มรู้ถึงขีดจำกัดของเกราะจักรพรรดิและร่างกายของตนดี ทั้งคู่กำลังถูกย่อยสลายไปอย่างรวดเร็วภายในหมอกสีแดง เป็นไปได้มากว่าเฟิ่งชิวหรันก็คงอยู่รอดได้ไม่นานไปกว่าเขานัก อันที่จริงแล้ว นางอาจอยู่ได้ไม่นานเท่าเขาด้วยซ้ำ

หมอกสีแดงนี้ประหลาดยิ่ง มันมีพลังที่จะผนึกและขังพวกเขาเอาไว้ แถมยังสามารถย่อยสลายได้ ภายในนั้นทั้งเย็นเยียบและแปลกแปร่ง หวังเป่าเล่อไม่อาจสลัดหลุดได้ไม่ว่าจะดิ้นรนสักเพียงใดก็ตาม ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนเป็นแมลงวัน และหมอกสีแดงก็เป็นดั่งมือขนาดยักษ์ที่จับเขาไว้อย่างแน่นหนา ไม่ทีทางให้เขาหนีรอดไปได้เลย กระทั่งจะเคลื่อนไหวก็ยังลำบาก

หวังเป่าเล่อทำได้เพียงมองเมื่อหมอกเริ่มกัดกินเกราะจักรพรรดิของเขาไปทีละน้อย และทันทีที่เกราะจักรพรรดิสลายไปจนสิ้น ชายหนุ่มก็จินตนาการได้ว่าร่างกายของเขา วิญญาณจุติของเขา และสุดท้ายคือวิญญาณของเขาที่จะถูกกัดกินต่อไป

ไขมันวิญญาณในกายข้าคงช่วยซื้อเวลาได้เล็กน้อยเท่านั้น…หวังเป่าเล่อหัวใจหล่นวูบ ชายหนุ่มไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกได้และไม่รู้ว่าตนเองยังอยู่ในตำแหน่งเดิมที่ถูกจับตั้งแต่ต้นหรือไม่ หัวใจของชายหนุ่มเริ่มลุกลี้ลุกลน

หากตระกูลไม่รู้สิ้นพยายามจะใช้เฟิ่งชิวหรันและตัวข้าเป็นเหยื่อล่อ…นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อกระตุก หัวใจเต็มล้นไปด้วยความกังวล ชายหนุ่มพยายามดิ้นรนให้หลุดแต่ก็ไร้ผล เขายิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นทุกที อันตรายก็ยิ่งใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ โอกาสที่เขาจะรอดชีวิตออกไปได้ก็น้อยนิดเหลือเกิน!

ทางเดียวที่ทำได้คือข้าต้องสร้างร่างอวตารขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วระเบิดมันอย่างต่อเนื่อง ลองระเบิดดูก็ยังดีกว่าติดอยู่ที่นี่แล้วถูกย่อยจนตาย…สิ่งเดียวที่ข้ากังวลก็คือข้าจะต้องสู้กับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณถึงสี่คน จะต้องเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากแน่นอน…เดี๋ยวก่อนนะ ไหนจะเมี่ยเลี่ยจื่ออีก เขาจะต้องตามมาทันแน่ๆ! หวังเป่าเล่อคิดไม่ตก ช่างโชคร้ายที่พวกเขาไม่ได้อยู่ใกล้ดาวพุธอีกต่อไป เมื่อมองดูสถานการณ์แล้ว ชายหนุ่มอาจจะต้องเสี่ยงเรียกวัตถุเวทแห่งความมืดออกมา

ข้าไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ว! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อสะท้อนประกายแห่งความบ้าคลั่ง ชายหนุ่มกัดฟันและเตรียมตัวเรียกร่างอวตารออกมาเพื่อจะได้ส่งให้ระเบิด ทันทีที่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อปรากฏและพร้อมที่จะระเบิดตัวเองนั้น ชายหนุ่มก็จ้องมองไปทางหมอกที่เลือนลางตรงหน้าด้วยสายตาเบิกโพลง!

มีใบหน้าหนึ่งล่องลอยผ่านไปแว่บหนึ่งในหมอกนั้น แม้จะจางหายไปแทบจะในทันที แต่หวังเป่าเล่อก็มองเห็นความโลภโมโทสันและความร้ายกาจที่ปรากฏอยู่บนใบหน้านั้น ราวกับว่ามันมองเห็นหวังเป่าเล่อเป็นอาหารอันโอชะและอยากจะลองชิมสักคำหนึ่งกระนั้น

นั่นมัน…หัวใจของชายหนุ่มเต้นระรัว เขาล้มเลิกความคิดที่จะระเบิดร่างอวตารก่อนจะตรวจสอบหมอกโดยรอบอย่างถี่ถ้วน นัยน์ตายังเบิกโพลงอยู่ ไม่นานนัก เขาก็มองเห็นใบหน้านั้นอีกครั้ง ครั้งนี้ต่างออกไป ใบหน้านั้นมีสีหน้าสับสน

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกโชนเมื่อได้เห็น ชายหนุ่มไม่ได้กระทำการผลีผลาม เขายังคงรอคอยต่อไป ในไม่ช้า ก็มีใบหน้าจำนวนมากโผล่ขึ้นมา บ้างก็เป็นบุรุษ บ้างก็เป็นสตรี บ้างก็ดูดุร้าย บ้างก็ดูงุนงง ใบหน้าบางหน้าเปี่ยมไปด้วยความโลภ บางหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความสัปดน

ดวงไฟวิญญาณปรากฏขึ้นข้างๆ ใบหน้าเหล่านั้น ก่อนจะเกาะกุมตัวกันและมาล่องลอยอยู่รอบๆ หวังเป่าเล่อ

นี่มันเหมือนกับมีคนยื่นหมอนมาให้ตอนที่รู้สึกง่วงนอนแท้ๆ! หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบ ความตื่นเต้นยินดีสุดประมาณไหลบ่าท่วมหัวใจ วิญญาณคนตายเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ในฐานะบุตรแห่งความมืด การเห็นวิญญาณเหล่านี้ก็ราวกับได้เห็นข้ารับใช้รายล้อมอยู่รอบตัว

ชายหนุ่มลิงโลดใจเป็นยิ่งนัก เริ่มประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ข้าไม่รู้เลยว่าทำไมพวกเขาจึงมาอยู่ที่นี่ แต่ตราบใดที่มีวิญญาณซุกซ่อนอยู่ในหมอกนี้มากพอ ข้าก็ย่อมใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดหนีออกไปได้ ไม่มีความจำเป็นต้องระเบิดร่างอวตารอีกต่อไป!

ข้าจะใช้ดวงวิญญาณเหล่านี้เป็นอาวุธก็ได้เช่นกัน…แต่หลังจากที่หลุดออกไปได้ ต่อให้มีวิญญาณให้ใช้ ข้าก็ยังต้องรับมือผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกถึงสี่คน ยังมีกองกำลังเรือบินรบและผู้ฝึกตนฝ่ายศัตรู แถมยังต้องช่วยเฟิ่งชิวหรันอีก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำได้สำเร็จ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง

นอกเสียจากว่าข้าจะแข็งแกร่งขึ้นได้มาก ในชั่วพริบตา…

พลังนั้น…ไม่ใช่อุปกรณ์ในการเข่นฆ่าเท่านั้น และเพราะเหตุนี้…วิชาดวงตาปีศาจ…ความบ้าคลั่งส่องประกายอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อ หากชายหนุ่มเลือกเส้นทางของวิชาดวงตาปีศาจ เขาก็จะส่งตนเองลงไปยังเส้นทางที่เต็มไปต้องเข่นฆ่าเพื่อได้มาซึ่งพลัง หากมีเส้นทางอื่น หวังเป่าเล่อก็ไม่อยากจะเลือกทางนี้ เพราะกระบวนเวทขั้นจุติวิญญาณถือเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างรากฐานการฝึกตนกับการจุติ เป็นกุญแจที่จะกำหนดทิศทางสถานที่ที่พวกเขาจะไปในอนาคต

“แต่จะมีอนาคตได้อย่างไรหากข้ายังรอดปัจจุบันไปไม่ได้!” หวังเป่าเล่อเป็นบุรุษผู้เด็ดเดี่ยว เส้นเลือดในดวงตาของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ความมุ่งมั่นฉายชัดอยู่บนดวงตาขณะที่ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง เขาไม่รอช้าอีกต่อไป แม้ว่ามือทั้งสองข้างจะถูกผนึกจนขยับไม่ได้ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังสามารถท่องคาถาวิชาดวงตาปีศาจในใจได้

ดวงตาสีดำน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นข้างกายเขา ดวงตานั้นหลับอยู่ มันปรากฏเป็นรูปร่างอย่างช้าๆ พลางแผ่รัศมีสีดำสนิทที่ไปเปรอะเปื้อนอากาศรอบข้าง ก่อนจะไหลบ่าเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ ตอนนั้นเอง รัศมีชั่วร้ายเย็นเยียบก็ไหลบ่าออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อช้าๆ!

บทที่ 689 ติดกับ!
พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่ระเบิดขึ้น ทะเลสีแดงพวยพุ่งออกมาโอบล้อมกระสวยเอาไว้ราวกับเป็นคลื่นยักษ์ ก่อนจะกลืนกระสวยลำจ้อยเข้าไปในพริบตา!

ราวกับว่าทะเลสีแดงกำลังค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นมือขนาดยักษ์ มือนั้นจับกระสวยไว้จากข้างใต้ก่อนที่มันจะได้ออกตัวด้วยความเร็วสูงเพื่อหนีการสกัดกั้นไป!

จากนั้นทะเลสีแดงก็ค่อยๆ ไหลมารวมตัวกัน ราวกับว่าจะแช่แข็งตัวเองและกระสวย รวมไปถึงอวกาศบริเวณนั้นทั้งหมดให้กลายสภาพเป็นน้ำแข็งไปกระนั้น

ขณะที่สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แพร่กระจายไปทั่วทะเลแดงก่อนจะตรงมายังกระสวย!

กระสวยสั่นอย่างรุนแรง ทำให้เฟิ่งชิวหรันและหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ด้านในถึงกับสะเทือนตาม ความตื่นตระหนกฉายชัดอยู่ในสีหน้าของทั้งคู่ พวกเขาสังเกตว่ากระสวยส่งเสียงแกรกกรากเพราะแรงกดดันมหาศาลที่บีบรัดเอาไว้ และมีทีท่าเหมือนว่าจะแตกสลาย ในไม่ช้ากระสวยต้องถูกขยี้จนเป็นผุยผงอย่างแน่นอน

แม้ว่ามันจะเป็นวัตถุเวทระดับสูงยิ่ง แต่ก็ไม่อาจต้านทานพลังของเรือบินรบนับหมื่นลำได้ ดังนั้นจึงพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ

“สั่งให้กระสวยทำลายตัวเองเถิดขอรับ!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่มีเวลาพูดอะไรอย่างอื่นแล้ว ชายหนุ่มตะโกน ก่อนจะกระโจนขึ้นไปในอากาศ เส้นปราณโลหิตพวยพุ่งออกมาจากร่าง เกราะจักรพรรดิก่อตัวขึ้นรอบกายอันใหญ่โตของเขาอีกครั้ง เทพสงครามร่างอ้วนท้วนก็ปรากฏตัวให้เห็นอีกครา หวังเป่าเล่อปล่อยพลังปราณทั้งหมดของตนออกมา ชายหนุ่มเตรียมตัวพร้อมทั้งการป้องกันและการโจมตี

ความไม่แน่ใจปรากฏขึ้นบนสายตาของเฟิ่งชิวหรัน นิสัยที่ไม่เด็ดขาดของนางไม่ได้เปลี่ยนความเป็นจริงที่ว่านางเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่แข็งแกร่ง และผ่านประสบการณ์การสู้รบมาอย่างโชกโชน บทสนทนาระหว่างนางและหลี่ซิงเหวินเองก็มีส่วนช่วยเช่นกัน นางชั่งใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ความมุ่งมั่นจะปรากฏชัดในแววตา มือทั้งสองประกบเข้าหากันสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ก่อนจะประกบเข้าหาผนังกระสวย

พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่เคลื่อนที่เข้ามาประชิดกระสวยจากสี่ทิศ และก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาล้อมกระสวยที่ติดอยู่ท่ามกลางทะเลแดงได้สำเร็จ ยานพาหนะลำนั้นก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา แสงนั้นสุกสว่างจนกลบความสว่างของดวงดาวในอวกาศไปเสียสิ้น จนแทบจะทำให้ผู้ที่พบเห็นต้องตาบอดไป

ราวกับว่ากระสวยได้แปรสภาพเป็นดวงอาทิตย์ขนาดย่อมซึ่งเผาไหม้ตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนที่จะ…ระเบิด!

แรงกระแทกอันรุนแรงกระจายไปทั่วอวกาศราวกับเป็นหิมะถล่ม เปรียบได้กับท้องฟ้าถล่มหรือแผ่นดินทลายก็ไม่ปาน กระแสพลังวิญญาณพวยพุ่งออกมาไม่ต่างจากคลื่นยักษ์ที่ถาโถม ระลอกพลังอันรุนแรงนั้นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!

แรงระเบิดเปี่ยมไปด้วยจิตสัมผัสแห่งความตายและความบ้าคลั่งที่ฉีกทะเลสีแดงจนเปิดออกในบัดดล ราวกับเป็นการจุดระเบิดในภูเขาหิมะกระนั้น!

วัตถุดิบระดับสูงที่ใช้ในการหลอมกระสวยส่งให้ความเสียหายเพิ่มสูงขึ้นไปอีก ทำให้เกิดแรงระเบิดที่รุนแรงยิ่งกว่าแรงระเบิดทั่วไปหลายเท่านัก!

ทะเลสีแดงที่กำลังจะกลายเป็นน้ำแข็งสั่นสะท้านก่อนระเบิดในพริบตา กลายเป็นส่วนหนึ่งของแรงระเบิดจากกระสวย แรงกระแทกยังหยุดผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่เอาไว้ได้อีกด้วย พวกเขาต้องเปลี่ยนทิศทางเพื่อหลบแรงกระแทก เรือบินรบไม่อาจเปลี่ยนทิศได้เร็วเท่าจึงต้องรับแรงระเบิดเข้าไปเต็มๆ

กระบวนเรือบินรบเกิดโกลาหลขึ้นมาเมื่อกระสวยทำลายตัวเอง ตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันจึงฉวยโอกาสหนีไป

เฟิ่งชิวหรันควบคุมให้แรงระเบิดส่วนมากกระจายออกไปด้านนอก ส่งผลให้ทั้งตัวนางเองและหวังเป่าเล่อแทบไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด นางมีพลังปราณระดับเชื่อมวิญญาณคุ้มกันอยู่ ส่วนหวังเป่าเล่อก็มีเกราะจักรพรรดิ เมื่อทั้งสองรอดจากแรงกระแทกระลอกต่อๆ มาแล้ว ก็พากันพักฟื้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพุ่งออกไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด โดยมีแรงผลักระเบิดของกระสวยเป็นตัวส่ง และฉวยโอกาสตอนที่เรือบินรบของศัตรูเสียขบวน เคลื่อนที่มุ่งตรงไปข้างหน้าราวกับเป็นลูกศรที่ออกจากแล่ง!

ความเร็วของพวกเขา บวกกับแรงผลักจากระเบิด ทำให้ทั้งคู่ดูเสมือนภาพเลือนลาง พวกเขาผ่าทะลุทะเลสีแดง สร้างแรงกระเพื่อมในอวกาศ ก่อนจะมาโผล่อยู่อีกด้านหนึ่งของกระบวนเรือบินรบของศัตรู!

บรรดาผู้ฝึกตนบนเรือบินรบเหล่านั้นต่างก็มองเห็นการหลบหนีของทั้งคู่เต็มตา ทว่าแต่ละคนต่างยังวุ่นวายและมึนงงกับแรงระเบิด ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่เองก็ด้วย พวกเขาต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กันเมื่อเห็นศัตรูหนีรอดเงื้อมมือไปได้หวุดหวิด!

โอกาส…ที่พวกเขาจะรอดจากการสกัดกั้นนี้ไปได้มีเพียงแค่เสี้ยวเดียว ไม่มีใครคาดคิดว่าทั้งคู่จะรอดไป ต้องมีใครสักคนตัดสินใจระเบิดกระสวยทันทีที่เรือบินรบเริ่มเข้ามาล้อม มันอาจดูเป็นการตัดสินใจที่ง่าย แต่คงมีไม่กี่คนที่จะสามารถตัดสินใจเรื่องเช่นนี้ได้ภายในเสี้ยววินาที

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้การหลบหนีครั้งนี้สำเร็จคือความรวดเร็วในการการตัดสินใจที่จะระเบิดกระสวยทิ้ง!

บรรดาผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่ที่ถูกแรงระเบิดผลักออกไปนั้นต่างเคยเป็นผู้ฝึกคนขั้นจุติวิญญาณของสำนักวังเต๋าไพศาลด้วยกันทั้งสิ้น หนึ่งในนั้นคือชื่อหลิน ผู้ซึ่งอยู่ฝ่ายเฟิ่งชิวหรันและยังมีความบาดหมางกับหวังเป่าเล่อมาก่อน

เขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่เป็นเจ้าของร่างให้ปรสิตตระกูลไม่รู้สิ้น ระดับพลังปราณของเขาก็ได้รับการส่งเสริมจนบรรลุถึงขั้นเชื่อมวิญญาณ เขาหรี่ตาลงก่อนจ้องมองไปยังทิศทางที่หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันมุ่งหน้าไป เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะเร่งรีบติดตาม เพียงแค่ยิ้มเยาะออกมา

ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว แต่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกสามคนก็ต่างยิ้มเยาะด้วยเช่นกัน พวกเขาบรรลุสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณได้หลังจากที่กลายมาเป็นเจ้าของร่างให้ปรสิตตระกูลไม่รู้สิ้น สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังอวกาศห่างไกลที่เฟิ่งชิวหรันและหวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไป ความเวิ้งว้างอันดำมืดและเย็นเยียบเริ่มบิดเบี้ยวและหมุนวน!

สายตาของหวังเป่าเล่อแสดงความตกใจ เฟิ่งชิวหรันเองก็หรี่นัยน์ตาลง ทั้งสองพยายามเปลี่ยนเส้นทาง แต่ก็สายเกินไป รอยแยกในอวกาศที่ขวางอยู่ตรงหน้าแปรสภาพเป็นพายุหมุนขนาดยักษ์!

มันดูคล้ายหลุมดำที่นำพาไปสู่สถานที่ที่ไม่รู้จัก การหมุนวนไม่รู้จบดูเหมือนจะไปเปิดประตูอวกาศเข้า หมอกสีแดงสดสองก้อนทะลักออกมาจากภายใน!

หมอกทั้งสองก้อนยาวหลายร้อยเมตร มันพุ่งตรงเข้ามาหาหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันทันทีที่ปรากฏ พลางแผ่พลังที่กดพลังปราณของทั้งคู่เอาไว้ พวกเขาไม่อาจหลบหนีได้เลย

หมอกแดงนั้นเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เฟิ่งชิวหรันก้าวถอยหลัง ใบหน้าซีดขาว ก่อนจะตบไปที่กระเป๋าคลังเก็บและหยิบกระดิ่งออกมา อักขระสีขาวทะลักออกมาจากกระดิ่งเมื่อนางเขย่ามันอย่างรุนแรง ก่อนจะไหลเข้ามารวมตัวกันเป็นกำแพงยาวหลายร้อยเมตรและเริ่มฟาดฟันพัดหมอกออกไปเพื่อซื้อเวลาให้ทั้งสองได้หนี

กำแพงยักษ์ที่เกิดจากอักขระโบราณพุ่งผ่านหมอกแดงปริศนาไป ทว่าหมอกนั้นกลับไหลบ่าเข้าท่วมตัวเฟิ่งชิวหรันที่กำลังตกใจสุดขีด ก่อนจะกลืนนางลงไปและขังนางเอาไว้

หวังเป่าเล่อไม่รอช้า ร่างกายของชายหนุ่มพร่าเลือนก่อนจะแยกตัวออกไปเป็นร่างอวตาร ร่างอวตารหยุดนิ่ง เหมือนจะถูกพลังเกินต้านของหมอกแดงกดเอาไว้ และหยุดอยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อ ไม่มีเวลาให้ชายหนุ่มใช้ลูกไม้เดิมๆ คือการสลับที่กับร่างอวตาร

เป้าหมายเดียวที่เขาเรียกร่างอวตารออกมาคือเพื่อระเบิดมันนั่นเอง!

ร่างอวตารพุ่งเข้าใส่หมอกแดงทันทีที่ออกมาจากกายหวังเป่าเล่อ และก่อนที่หมอกแดงจะกลืนหวังเป่าเล่อเข้าไป ร่างอวตารก็ระเบิดตัวเอง!

แรงระเบิดรุนแรนเป็นอย่างยิ่ง มันกวาดผ่านอวกาศราวกับเป็นพายุหมุนรุนแรง พัดเอาหมอกสีแดงให้สั่นไหวก่อนจะเคลื่อนไหวช้าลงในทันที

หวังเป่าเล่อฉวยโอกาสนั้นถอยหนีอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นโครมครามอยู่ในอก เสียงสัญญาณเตือนภัยดังก้องอยู่ในศีรษะ ชายหนุ่มมองเห็นหมอกสีแดงก้อนที่สามที่กำลังลอยออกมาจากพายุหมุน ภาพนั้นทำเอาเขาขนหัวลุกซู่ ทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้นต่างเตรียมตัวมาดีจริงๆ ขณะที่เขากำลังจะหนีออกไปนั้นเอง ชื่อหลินและผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกสามคนก็ใกล้เข้ามา พร้อมที่จะโจมตี

คลื่นพลังวิญญาณไหลบ่าท่วมอวกาศ ก่อให้เกิดทั้งพายุหมุนและลมแรงพัดพาไปทั่ว หวังเป่าเล่อเริ่มท่องบทสวด แต่ก็ไม่เป็นผล เขามีเกราะจักรพรรดิอยู่ แถมยังมีดวงดาวใกล้ๆ ที่มอบพลังให้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ชายหนุ่มไม่อาจรับมือผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณพร้อมกันสี่คนได้ เกราะของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่ชายหนุ่มกระเด็นไปข้างหลัง เลือดกระเซ็นออกมาจากปาก หมอกสีแดงสองก้อนพุ่งเข้าใส่ก่อนจะกลืนเขาเข้าไป!

บนท้องฟ้ามีหมอกสีแดงอยู่สองก้อน ก้อนหนึ่งใหญ่กว่าอีกก้อน พวกมันหมุนวนอยู่ไปมา ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

“เรียกรวมผลผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคน นี่คือประกาศจากผู้อาวุโสสูงสุด จงเปิดใช้วงแหวนปราณและเล็งเป้าไปที่คนทรยศหวังเป่าเล่อเสีย จงทำลายวิญญาณของเขาให้สิ้น!”

“จงปลดคาถาที่สะกดผู้อาวุโสสูงสุดเฟิ่งชิวหรันเสีย เพื่อที่นางจะได้ฟื้นคืนสติกลับมา!” เสียงของชื่อหลินดังขึ้นในใจของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนในเรือบินรบบริเวณใกล้เคียง พวกเขาตัวสั่นก่อนจะนั่งลงในทันที และปล่อยพลังปราณออกมาเต็มกำลัง แสงสีแดงปรากฏขึ้นจากเรือบินรบทุกลำอีกครั้ง และฉายลงมาบนหมอกสีแดงจนทุกสิ่งกลายเป็นสีแดงสด!

บทที่ 688 อาจารย์ย่าเช่นนั้นหรือ
กระบวนเรือบินรบของสำนักวังเต๋าไพศาลลอยอยู่ใกล้ๆ ดาวพุธ คล้ายกับว่าจะรู้สึกได้ถึงการมาถึงของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรัน เรือบินรบทั้งมวลต่างก็แปรขบวนมุ่งหน้าไปหาทั้งคู่ แสดงให้เห็นความตั้งใจที่จะขัดขวางอย่างชัดเจน

หวังเป่าเล่อได้เปรียบเพราะมีทั้งความเร็วและความคล่องตัวสูง แถมขณะนี้ยังเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ ชายหนุ่มมองเห็นโชคชะตาของตนเองอยู่บนทะเลดวงดาว ความรู้สึกราวกับเป็นปลาที่เพิ่งหวนคืนสู่ท้องสมุทรอันยิ่งใหญ่มอบความหยิ่งผยองมากล้นให้ ชายหนุ่มยกมือไขว้หลังพลางหันหน้าไปมองเฟิ่งชิวหรัน ผู้ที่ตามอยู่ข้างหลัง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเฉยชา

“ผู้อาวุโสชิวหรัน ต่อไปข้าจะเร่งความเร็วแล้ว ตัวข้ามีเกราะจักรพรรดิแถมยังมีกำลังกายที่เข้มแข็งนัก ความเร็วของข้าในตอนนี้นั้น แม้ตัวข้าเองยังตะลึง เพราะบ้านเกิดของข้าอยู่ในหมู่ดาว หากท่านตามไม่ทันก็อย่าฝืนร่างกายเลย ได้โปรดบอกข้าโดยเร็วเถิด” หวังเป่าเล่อกำลังจะห้อตะบึงออกไปในขณะที่เฟิ่งชิวหรันจู่ๆ ก็มีสีหน้าแปลกแปร่ง นางยกมือขวาขึ้นโบก ก่อนจะมีแสงสีขาวส่องสว่างออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บของนาง

แสงสว่างเจิดจ้านั้นมาหยุดอยู่ข้างกายเฟิ่งชิวหรัน ก่อนจะขยายตัวขึ้นและแปรสภาพกลายเป็นกระบี่ขนาดยักษ์ขนาดยาวสามร้อยเมตร!

แม้ว่าจะมีรูปทรงคล้ายอาวุธ แต่คลื่นพลังวิญญาณที่หลั่งไหลออกมาและโครงสร้างก็ดูชัดเจนว่าเป็นเรือบินรบขนาดย่อม อันที่จริงแล้วเรียกว่าเป็นกระสวยอวกาศอาจจะถูกต้องกว่า!

ผิวภายนอกของมันส่องแสงเรื่อเรืองที่ทำให้อากาศรอบๆ บิดเบี้ยว ดูคล้ายอสูรที่อยากพุ่งทะยานออกไปแต่มีผู้ควบคุมขี่อยู่บนหลัง มันพยายามดิ้นรนอยู่ไปมา และเมื่อใดก็ตามที่เชือกซึ่งคล้องคออยู่คลายออก มันก็พร้อมพุ่งทะยานหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที!

หวังเป่าเล่อตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อได้เห็นกระสวยนั้น เฟิ่งชิวหรันก้าวขึ้นกระสวยอย่างใจเย็น ก่อนจะหันศีรษะมามองหวังเป่าเล่อที่ยังตะลึงอยู่ นางไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใด แต่นัยน์ตาพูดแทนทุกสิ่ง นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อจึงดูอยากเสียแรงเหาะไปในเมื่อมีกระสวยอวกาศให้ใช้ได้ตลอดเวลา…

“หากเจ้าอยากเหาะไปด้วยตัวเอง ข้าก็ไม่ขัดข้อง…” เฟิ่งชิวหรันจ้องลึกเข้าไปในตาหวังเป่าเล่อขณะที่เอ่ยตอบอย่างเห็นอกเห็นใจ

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไป…

ชายหนุ่มจ้องกระสวยตาไม่กะพริบ เห็นได้ชัดว่ากระสวยนี้เป็นวัตถุเวทที่น่าทึ่ง จากนั้นเขาจึงหลุบศีรษะลงมองขาทั้งสองข้างของตน หวังเป่าเล่อนิ่งงันไปชั่วอึดใจ ต่อให้เป็นคนอับจนปัญญาก็ยังบอกได้ว่าการเดินทางด้วยกระสวยอวกาศและการใช้ขาทั้งสองข้างนั้นแตกต่างกัน…แต่ชายหนุ่มได้พูดไปเสียใหญ่โตก่อนหน้านั้น และคงน่าอับอายหากจะต้องคืนคำ เขาไม่แน่ใจนักว่าต้องทำอย่างไรต่อไป ในวินาทีนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็มองเห็นเรือบินสำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนมากปรากฏขึ้นมาล้อมพวกเขาไว้ ผู้ฝึกตนจำนวนหนึ่งรีบรุดออกมาจากเรือบินเหล่านั้น ดาวพุธอยู่ใต้เท้าของพวกเขา เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็ติดตามพวกเขามาในรูปขอพายุหมุนขนาดยักษ์เช่นกัน สีหน้าของหวังเป่าเล่อจริงจังขึ้นในบัดดล

“ผู้อาวุโสชิวหรัน ช่างน่าเสียดาย สหพันธรัฐขณะนี้กำลังพบกับการรุกรานจากพลังชั่วร้าย ในฐานะศิษย์น้อง ข้าเสียใจที่ไม่อาจนำทางท่านต่อไปในขณะที่เราท่องอวกาศไปด้วยกันด้วยเท้าทั้งสองข้าง และจ้องมองดวงดาวต่างๆ ในสหพันธรัฐไปด้วยข้าขอปฏิญาณ ข้าจะชดเชยให้ท่านเมื่อเราขจัดพวกคนชั่วช้าเหล่านี้ออกไปจากแผ่นดินได้สำเร็จ เอาละ…เรารีบไปกันเถิด” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะยกเท้าก้าวขึ้นกระสวยไป ชายหนุ่มขึ้นไปยืนอยู่เคียงข้างเฟิ่งชิวหรันโดยไม่ใส่ใจสายตาแปลกแปร่งของนางที่จ้องมองมา สีหน้าเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ ไม่มีร่องรอยของความเหนียมอายอยู่เลยแม้แต่น้อย

เห็นได้ชัดว่าหวังเป่าเล่อมีความสามารถได้การพูดจากล่อมตัวเองเป็นอย่างยิ่ง เฟิ่งชิวหรันเป็นศิษย์พี่ของตนและเป็นว่าที่ภรรยาของหลี่ซิงเหวิน ตนควรเรียกนางว่าอาจารย์ย่าด้วยซ้ำไป และไม่มีอะไรน่าอับอายหากต้องยอมอ่อนข้อให้ผู้เป็นอาจารย์ย่า การรู้จักนบนอบให้กับผู้ใหญ่ย่อมเป็นเรื่องดี!

หลังจากที่ได้ปลอบใจตนเองเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าเขาช่างประพฤติตนได้เหมาะสมเสียจริง

เฟิ่งชิวหรันหันมาจ้องหวังเป่าเล่อครั้งหนึ่ง ความไร้ยางอายของเขาไม่ได้ทำให้นางขุ่นเคืองแต่อย่างใด อันที่จริงแล้ว มันออกจะน่าเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ นางเริ่มมองเขาเป็นเด็กที่ทำตัวสมอายุอีกครั้ง

เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น นางหัวเราะอย่างชื่นใจ ก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ด้วยมือขวา ส่งให้มีแสงสีขาวจำนวนมากอาบชโลมพวกเขาก่อนจะไหลบ่าท่วมบริเวณนั้นราวกับเป็นแสงดาว แสงนั้นเริ่มเคลื่อนที่ ก่อนจะปลดปล่อยพลังอันรุนแรงและเคลื่อนตัวด้านหน้าด้วยความเร็วตัดผ่านอวกาศราวกับเป็นมีดที่ทะลุผ่านเนยเหลวกระนั้น กระสวยพุ่งออกไปไกลนำหน้าเรือบินรบและผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่ มันทะยานหนีไปก่อนที่เมี่ยเลี่ยจื่อในรูปพายุหมุนจากดาวพุธจะมาถึงตัว

กระสวยนั้นรวดเร็วกว่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเสียอีก นับเป็นหนึ่งในสมบัติระดับสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาล เฟิ่งชิวหรันที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดได้เห็นทั้งความรุ่งโรจน์และการล่มสลายของสำนัก กระสวยนี้มาอยู่ในความครอบครองของนางเนิ่นนานเสียจนอาจจะนับว่าเป็นของใช้ส่วนตัวของนางก็ได้ ความเร็วของมันพาเฟิ่งชิวหรันและหวังเป่าเล่อลอยละล่องผ่านแนวสกัดของเรือบินรบศัตรูมาได้อย่างง่ายดาย

หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระรัวเมื่อรู้สึกถึงความเร็วของกระสวย มีวงแหวนปราณอันหนึ่งฉาบเคลือบกระสวยเอาไว้ มันก่อตัวเป็นเกราะป้องกันที่ช่วยให้ผู้โดยสารในกระสวยไม่รู้สึกวิงเวียนแม้จะเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อก็ตามที ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ข้อความเสียง เพราะชายหนุ่มสามารถพูดได้ตามสบาย เขาหันหน้าไปมองดาวพุธที่หดเล็กลงทุกทีด้วยสายตาฉงนสงสัย

“เจ้าสิ่งนี้น่าประทับใจเสียเหลือเกิน” หวังเป่าเล่อย่อตัวลงไปสัมผัสผิวภายในของกระสวย ความรู้ด้านวัตถุเวทบอกชายหนุ่มว่ากระสวยนี้ต้องเป็นอาวุธเวทระดับเก้าเป็นอย่างน้อย แม้จะไม่ใช่อาวุธเทพ แต่ระดับพลังของมันก็ถือว่าใกล้เคียง เขาเงยหน้าขึ้นก่อนจะหันไปทางเฟิ่งชิวหรัน

“ผู้อาวุโสชิวหรัน…ข้าขอยืมกระสวยไปศึกษาเสียหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”

เฟิ่งชิวหรันเลิกคิ้ว นางกำลังจะอ้าปากพูด แต่แหวนสื่อสารของหวังเป่าเล่อก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความกังวลของหลี่ซิงเหวินดังมาตามสาย

“เจ้าตัวแสบ ยังไม่ตายใช่หรือไม่ เป็นอะไรบ้างหรือเปล่า”

หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความอบอุ่นเมื่อได้ยินเสียงของชายชรา ชายหนุ่มกดเปิดลำโพง ก่อนจะพูดเข้าไปในแหวนสื่อสารว่า

“ข้าน้อยขอบคุณท่านอาจารย์ปู่ที่เป็นห่วง โปรดวางใจได้ เป่าเล่อจะทำหน้าที่ตามคำสั่งที่ได้รับมา ข้าจะนำอาจารย์ย่าไปส่งถึงดาวศุกร์อย่างปลอดภัยให้จงได้ ต่อให้ต้องตายก็ตาม!”

หลี่ซิงเหวินเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“เป่าเล่อ ทำได้ดีมาก อาจารย์ย่าของเจ้าสำคัญสำหรับข้ามากนัก ข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับมาตลอดระยะเวลานี้ เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง”

ลมหายใจของเฟิ่งชิวหรันขาดช่วงไปเมื่อได้ยินเสียงที่ดังผ่านแหวนสื่อสาร อารมณ์ความรู้สึกมามายถาโถม ฉายชัดอยู่ในแววตาและสีหน้าที่แปลกแปร่ง หวังเป่าเล่ออดที่จะชื่นชมหลี่ซิงเหวินไม่ได้ นับว่ามีประสาทสัมผัสไวสมกับเป็นอดีตผู้นำแห่งสหพันธรัฐโดยแท้ ชายชราเดาถูกตั้งแต่ตอนที่หวังเป่าเล่อเรียกเฟิ่งชิวหรันว่าอาจารย์ย่า ว่าชายหนุ่มกดเปิดลำโพงแหวนสื่อสาร

“เป่าเล่อ ข้ากำลังไป เจ้าจงปกป้องอาจารย์ย่าและระวังพวกตระกูลไม่รู้สิ้นด้วยเล่า… เป่าเล่อ ข้าติดหนี้เจ้าครั้งใหญ่แน่นอน ข้า…” หลี่ซิงเหวินมีน้ำเสียงร้อนรนใจ เห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะพบเฟิ่งชิวหรันโดยเร็ว ชายชราไม่ได้มีโอกาสบอกความรู้สึกของเขาอย่างหมดเปลือก หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกเคอะเขินเมื่อเฟิ่งชิวหรันกระแอมกระไอออกมา นางเองก็ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไปแล้วเช่นกัน

“หลี่ซิงเหวิน…”

“ชิวหรัน!” เสียงดังสนั่นเหมือนเก้าอี้ล้มดังมาจากอีกฝากหนึ่งของแหวนสื่อสาร ตามมาด้วยเสียงของหลี่ซิงเหวิน ผู้ซึ่งขณะนี้แทบจะสิ้นสติด้วยอารมณ์ที่ถาโถม

“หลี่ซิงเหวิน เจ้า…”

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ชิวหรัน เจ้าเหนื่อยหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ ปวดเมื่อยหรือเปล่าเล่า ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะดูแลเจ้าเองทันทีที่เจ้ามาถึงสหพันธรัฐ ข้าจะทำให้พวกคนที่รังแกเจ้าต้องชดใช้อย่างสาสม!”

เฟิ่งชิวหรันถึงกับเงียบงันเพราะถ้อยประกาศอันเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของหลี่ซิงเหวิน นางมีชีวิตผ่านสงครามมา ทำให้แก่ลงไปถนัดตา ความรักกลายมาเป็นสิ่งแปลกหน้าที่เกินจะเอื้อมถึง ถ้อยคำของหลี่ซิงเหวินทำให้นางสั่นไหวจนลึกถึงในใจ ใบหน้าเป็นสีชมพูระเรื่อขึ้นมาถนัดตา หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอเบาๆ หลี่ซิงเหวินตอนนี้ทำตัวราวกับเป็นคนหนุ่มที่ลุ่มหลงในคนรักจนโงศีรษะไม่ขึ้น

หลี่ซิงเหวินรู้จักหวังเป่าเล่อดี ชายชราบอกหวังเป่าเล่อทันทีว่าให้ส่งแหวนสื่อสารให้เฟิ่งชิวหรันเสีย ชายหนุ่มไม่อาจทัดทานจึงต้องยอมทำตาม เมื่อแหวนสื่อสารไปอยู่ในมือนางแล้ว นางจึงหรี่เสียงลงก่อนจะพูดคุยกันหลี่ซิงเหวินต่อไป

หวังเป่าเล่อไม่รู้เลยว่าหลี่ซิงเหวินพูดอะไรบ้าง แต่ใบหน้าของเฟิ่งชิวหรันดูจะแดงก่ำขึ้นมากหลังจากที่คุยกับอีกฝ่ายจบ นัยน์ตาของนางไม่สับสนอีกต่อไป แต่มีความศรัทธาและมั่นใจเข้ามาแทนที่

“อาจารย์ย่าชิวหรันขอรับ”

เฟิ่งชิวหรันผงกศีรษะขึ้นจ้องมองหวังเป่าเล่อ นางไม่ได้ปฏิเสธชื่อใหม่นี้แม้แต่น้อย ทว่านางกลับหันเหทิศทางที่กระสวยกำลังมุ่งไป จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างเร่งรีบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อาจารย์ปู่ของเจ้าบอกเส้นทางนี้กับข้า หากเราไปตามทางนี้ น่าจะใช้เวลาราวสองวันก็จะถึงจุดหมายและพบกับเขาก่อน หลังจากนั้น…” จู่ๆ สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนไป ชายหนุ่มหันศีรษะไปทันที แสงสีแดงฉานปรากฏขึ้นเหนือศีรษะพวกเขาก่อนจะแผ่กระจายออกเป็นทะเลสีแดงที่ปกคลุมกระสวยเอาไว้ทันที

อากาศข้างบนทะเลสีแดงบิดเบี้ยว ก่อนที่เรือบินรบของสำนักวังเต๋าไพศาลจะปรากฏขึ้นนับหมื่นลำ แต่ละลำส่องแสงสีแดงกล้าออกมา ซึ่งเป็นที่มาของทะเลสีแดงนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันต้องติดอยู่ภายในกระสวย!

ซ้ำร้าย หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่คุ้นเคยสี่กระแสซึ่งพวยพุ่งออกมาจากเรือบินรบสำนักวังเต๋าไพศาล…ทั้งหมดต่างอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสิ้น!

บทที่ 687 ทะเลดวงดาว!
การทำลายตัวเองของร่างอวตารก่อให้เกิดแรงกระแทกหนักหน่วงที่สร้างรูขนาดใหญ่ไว้ในอวกาศ ลมหมุนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและดูดทุกสิ่งเข้าไปหา แม้ว่าจะมีพลังปราณอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่เมี่ยเลี่ยจื่อก็ต้องชะลอการติดตามลงเพราะการระเบิดที่ต่อเนื่องจากทั้งหอกดำและร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ

แรงกระแทกจากการระเบิดไม่เพียงกระจายไปเป็นวงกว้างแต่ยังกระทบกับพื้นที่โดยรอบอีกด้วย การเคลื่อนย้ายในระยะสั้นไม่อาจทำได้ ชายวัยกลางคนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องถอยหนีเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ

มนุษย์เรืองแสงเป็นร่างรวมของดวงจิตนับแสน แม้จะมีพลังเทียบเท่าขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่ก็ยังต้องใช้ดวงจิตจำนวนมากมารวมกัน แรงระเบิดส่งผลกับมันเช่นกัน ร่างนั้นหลบแรงระเบิดไม่พ้น ตัวของมันสั่นเทาเพราะแรงสั่นสะเทือนรุนแรง มีผู้ฝึกตนร่วมๆ สองหมื่นคนภายในวงแหวนปราณพันตาบนดาวพุธที่อาเจียนเอาเลือดออกมาพร้อมๆ กัน บ้างก็เสียชีวิตคาที่เพราะร่างกายแหลกเหลวไป

แรงสะท้อนกลับอันรุนแรงหยุดยั้งการติดตามเอาไว้ ซื้อเวลาให้หวังเป่าเล่อได้หลบหนี!

แต่ชายหนุ่มอาจไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น หลังจากที่หลบแรงระเบิดของร่างอวตารของหวังเป่าเล่อได้ เมี่ยเลี่ยจื่อก็เริ่มต้นไล่ตามอีกครั้ง ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังคงอยู่ภายในเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น ไม่อาจออกไปร่วมต่อสู้ด้วยได้ แต่สายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่สนามรบไม่ห่าง

หวังเป่าเล่อ เฟิ่งชิวหรัน พวกเจ้าไม่มีทางหนีพ้นหรอก! ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันหรี่ตาก่อนจะยกมือขวาขึ้น แผ่นหยกหนึ่งปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ ก่อนจะส่งคำสั่งออกไปทันที

คำสั่งนั้นไม่ได้ส่งไปยังผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลบนดาวพุธ หากแต่เป็นสหายร่วมตระกูลไม่รู้สิ้น ผู้ซึ่งตื่นขึ้นและซ่อนตัวอยู่ภายในร่างกายของผู้ฝึกตนสำนักเต๋าไพศาลนั่นเอง!

พวกเขาส่วนมากอยู่ในอวกาศ กำลังนำกลุ่มผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลในเรือบินล่องไปทั่วจักรวาล และเตรียมตัวรบกับสหพันธรัฐครั้งต่อไป นัยน์ตาของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นส่องประกายเย็นเยียบเมื่อได้รับคำสั่ง

เรือบินอวกาศที่อยู่ภายนอกดาวพุธล้อมรอบดวงดาวเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ใครหลบหนีไปได้

ขณะเดียวกันนั้นเอง ผู้บริหารระดับสูงของสหพันธรัฐกลุ่มใหญ่ก็รวมตัวกันอยู่ด้านหลังแนวป้องกันบนดาวศุกร์ พวกเขามาจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า กลุ่มไตรจันทรา ตระกูลนภาห้าสมัย และกลุ่มอำนาจการเมืองที่มีอิทธิพลอื่นๆ

ผู้ฝึกตนเหล่านี้ไปประจำอยู่ที่นั่นตามคำสั่งของต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวิน พวกเขาได้รับทรัพย์สมบัติและอำนาจจากสหพันธรัฐไม่น้อย ดังนั้นเมื่อสหพันธรัฐตกอยู่ในอันตราย พวกเขาก็ต้องต่อสู้และปกป้องมันเอาไว้!

สีหน้าของพวกเขาต่างจริงจัง ทุกคนรวมตัวกันอยู่บริเวณห้องสั่งการหลัก สายตาจับจ้องไปยังจอใหญ่เบื้องหน้า

จอนั้นฉายแผนที่ของระบบสุริยะ วงแหวนปราณระบบสุริยะกำลังทำงานอยู่ หมายความว่าแผนที่นี้เป็นภาพตามเวลาจริง ภาพของดาวพุธบนแผนที่ดูพร่าเลือน การที่ดาวพุธตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูและคลื่นรบกวนจากวงแหวนปราณบนดาวทำให้พวกเขาไม่อาจรับข้อมูลจากดาวพุธได้

อาณาเขตรอบๆ ดาวพุธเป็นสีดำสนิทจนกระทั่งสามสิบนาทีก่อน ตอนนั้นเอง ภาพที่พร่าเลือนก็เข้ามาแทนที่ความมืดมิดในตอนแรก มีบางอย่างทำให้คลื่นแทรกในบริเวณนั้นอ่อนแรงลง

“มีบางอย่างเกิดขึ้นกับวงแหวนปราณดาวพุธ เหมือนว่าจะถูกโจมตีด้วยพลังบางอย่างขอรับ!”

“ตามข้อมูลที่เราเก็บมาจากวงแหวนปราณระบบสุริยะ เรือบินของสำนักวังเต๋าไพศาลภายนอกดาวพุธดูเหมือนกำลังแปรขบวน…”

“เราได้รับรายงานจากแนวหน้าว่าเรือบินรบของสำนักวังเต๋าไพศาลที่อยู่รอบนอกกำลังถอนตัว…เหมือนว่ากำลังจะตั้งแนวเพื่อขวางอะไรบางอย่าง!”

“ตามข้อมูลที่เรามี น่าจะสรุปได้ว่า…มีบางอย่างเกิดขึ้นที่สำนักวังเต๋าไพศาล ใครบางคนพยายามจะหนี หากดูตามรูปแบบการแปรขบวนของเรือบินรบ คาดว่าคนผู้นี้กำลังหนีจากดาวพุธออกไปสู่อวกาศ!”

ผู้ฝึกตนจากกรมที่รับผิดชอบกลยุทธ์ทางการทหารของสหพันธรัฐ ซึ่งเชี่ยวชาญการศึกสงคราม ยืนจังก้าอยู่หน้าจอยักษ์ในฐานและแจ้งข้อมูลให้ทุกคนในนั้น พวกเขาอธิบายข้อสรุปซึ่งมาจากข้อมูลที่เก็บมาได้ในช่วงสามสิบนาทีนั้น

ทุกคนมีสีหน้าตกใจเมื่อได้ยิน พวกเขาไม่มีเวลาพูดคุยเรื่องนี้กันต่อ หลี่ซิงเหวิน ซึ่งยืนอยู่ข้างต้วนมู่ฉีที่มีสีหน้าเกรี้ยวกราด กระแอมกระไอออกมา ทั้งคู่ยืนอยู่ด้านหน้าฝูงชน

“อย่างที่ทุกท่านได้เห็นแล้ว นี่คือสถานการณ์ปัจจุบันของเรา เวลาเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ข้าอยากให้ทุกคนฟังข้อความเสียงนี้สักหน่อย” เมื่อชายชราพูดจบ ก็เปิดข้อความของหวังเป่าเล่อจากแหวนสื่อสารด้วยเสียงอันดัง

“ตาเฒ่า เป่าเล่อของท่านกลับมาแล้ว! ข้าพาภรรยาท่านกลับมาด้วย!”

เสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดีและอบอุ่น มันดังก้องสะท้อนไปในห้องโถงใหญ่ที่ผู้บริหารระดับสูงของสหพันธรัฐนั่งอยู่ ดวงตาของพวกเขาเบิกโพลง บ้างก็ถึงกับหายใจสะดุดด้วยความตกใจ

“หวังเป่าเล่อหรือ”

“เจ้าเด็กที่ไปเป็นผู้อาวุโสสูงสุดที่สำนักวังเต๋าไพศาลน่ะหรือ”

“เขายังไม่ตายหรือ แล้วภรรยาที่ว่านี่คือ…”

อารมณ์หลากหลายพลุ่งพล่านอยู่ในฝูงชนเมื่อพวกเขาจำเสียงของหวังเป่าเล่อได้ ทุกคนให้ความสนใจกับสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดในตอนท้าย แล้วจึงนึกได้ว่าผู้ที่หวังเป่าเล่อกล่าวว่าเป็นภรรยาของหลี่ซิงเหวินคือใคร

“ผู้อาวุโสสูงสุดเฟิ่งชิวหรันแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล!”

หลี่ซิงเหวินไม่ได้มีท่าทีเขินอายต่อความตื่นตกใจนั้น ชายชราดูเหมือนจะภูมิใจเอาเสียด้วยซ้ำ ใบหน้าของต้วนมู่ฉียังคงกราดเกรี้ยว เขาตกใจที่ได้รู้ว่าหลี่ซิงเหวินได้รับข้อความเสียงจากหวังเป่าเล่อ แต่หลี่ซิงเหวินได้พูดต่อเรื่องการหาตัวแทนตำแหน่งผู้นำ ทำให้ต้วนมู่ฉีกังวลใจเป็นที่สุด ศีรษะก็ปวดตุบเพียงแค่คิดเรื่องนี้ แม้กระทั่งสงครามก็ยังไม่ทำให้เขาวุ่นวายใจได้ถึงเพียงนี้

“เอาละ สหายร่วมสำนักเต๋าทั้งหลาย ข้าขอเสนอว่าเราควรไปรับหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันมาทันที ข้ารู้ดีว่าพวกท่านอาจจะยังข้องใจว่าเป็นพวกเขาจริงหรือแค่หลอกลวง แต่จากข้อมูลที่เราได้รับมา ขณะนี้ เมี่ยเลี่ยจื่อกำลังถูกควบคุม แถมยังมีเรื่องการแฝงตัวของสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นในร่างมนุษย์ด้วย แต่พวกเราไม่อาจทิ้งพวกเขาทั้งสองเพียงเพราะความสงสัยได้ ข้าเสนอว่าพวกเราควรไปช่วยพวกเขามาก่อน แล้วจึงค่อยตัดสินใจว่าจะทำเช่นไรต่อไป!” หลี่ซิงเหวินพูดอย่างเด็ดขาด แม้ว่าเขาจะพูดในเชิงเสนอ แต่ความมุ่งมั่นในแววตาของเขาก็เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนดี

“ข้าเห็นด้วย!”

“ข้ายังคงไม่วางใจนัก แต่หวังเป่าเล่อก็มีคุณต่อสหพันธรัฐมากนัก แม้นี่จะเป็นกับดักก็ตามแต่ พวกเราก็ต้องลองดู!”

สหพันธรัฐขณะนี้อยู่ท่ามกลางสงครามที่จะชี้ชะตาความอยู่รอดของพวกเขา และธรรมชาติอันน่ารังเกียจของมนุษย์ก็มักจะเผยตัวออกมาพร้อมสงคราม แต่ถึงกระนั้น การที่มีศัตรูคนเดียวกันก็ทำให้ทุกคนวางความโกรธเคืองครั้งเก่าและร่วมมือกัน ดังนั้นตระกูลนภาห้าสมัยจึงเห็นด้วยกับการตัดสินใจของหลี่ซิงเหวิน

ต้วนมู่ฉีรีบส่งคำสั่งในฐานะผู้นำของสหพันธรัฐ ให้ส่งกองเรือบินของสหพันธรัฐออกไป และเปิดใช้แนวป้องกันของดาวศุกร์ ดูคล้ายกับว่าสหพันธรัฐกำลังจะบุก วงแหวนปราณระบบสุริยะก็เดินเครื่องเต็มกำลังเช่นกัน มันสร้างคลื่นแทรกที่สะท้อนไปไกลถึงดาวพุธ ส่งผลให้ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้นไม่อาจตั้งแนวขัดขวางได้สำเร็จ

ขณะที่กองกำลังถูกปล่อยออกไป หลี่ซิงเหวินก็นำกลุ่มของตนเองเดินทางไปยังดาวพุธอย่างลับๆ ชายชราใช้พลังของวงแหวนปราณระบบสุริยะและมุ่งตรงออกไปด้วยความเร็วสูงสุด

กลุ่มของเขาประกอบไปด้วยต้นไม้ยักษ์ ประมุขสำนักสวีจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพ และยังมีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกหลายคนจากกลุ่มอำนาจการเมืองอื่นๆ หากสู้กันตัวต่อตัว พวกเขาอาจไม่ใช่คู่ปรับของศัตรู แต่เมื่อมีวิทยาการของสหพันธรัฐคอยช่วยเหลือ เมื่อรวมความรู้ด้านวิทยาการและด้านพลังวิญญาณเข้าด้วยกัน ทำให้พวกเขามีวิธีการปรับพลังตนเองมากมาย หนึ่งในอาวุธหลักของพวกเขาก็คือระเบิดต้านทานวิญญาณนั่นเอง!

กองกำลังสหพันธรัฐเคลื่อนที่จากดาวศุกร์ พร้อมๆ กับหลี่ซิงเหวินที่ออกเดินทางไปอย่างลับๆ ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้าเหนือดาวพุธ หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันต่างก็กำลังง่วนกับการหลบหนี และต่อสู้กับดาวพุธที่พยายามจะดึงรั้งพวกเขากลับไปบนพื้น

หัวใจของหวังเป่าเล่อยังคงเจ็บปวดไม่หายจากการสูญเสียหอกดำไป ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจกับการเสียร่างอวตารไปสักเท่าใดนัก…หอกดำนั้นเป็นวัตถุเวทที่ไม่เหมือนใคร ในขณะที่ร่างอวตารถูกสร้างขึ้นจากไขมันวิญญาณที่มีอยู่มากมายในกายเขา ร่างอวตารที่ระเบิดไปก็เปรียบได้กับการใช้พลังวิญญาณหมดไปเท่านั้นเอง

อันที่จริง มีปัญหาหนึ่งที่รบกวนใจหวังเป่าเล่อมาตลอดตั้งแต่การสลับตำแหน่งกับร่างอวตารเพื่อพยายามจะหนี

แรงระเบิดจากร่างอวตารของข้าดูจะแรงไม่ใช่เล่น…ทำไมข้าไม่ลองใช้วิธีนี้จู่โจมเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นดู หากข้าสามารถสังหารศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันได้อีกครั้ง ข้าจะจบสงครามได้ด้วยตัวเอง และข้าก็จะกลายเป็นวีรบุรุษ!

ความคิดนั้นช่างล่อใจเป็นอย่างมาก หัวใจของชายหนุ่มเต้นระรัวเพียงแค่คิดเท่านั้น แต่ก็ต้องตัดใจอย่างรวดเร็ว การฟื้นคืนชีพของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังมีปริศนาอยู่มากเกินไป และด้วยนิสัยของเฟิ่งชิวหรัน นางจึงไม่อาจเป็นที่พึ่งให้เขาได้เช่นกัน อีกอย่างหนึ่ง ชายหนุ่มจำสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่เขาพบภายในเรือบินรบ ซึ่งกำลังหลับไหลและรักษาตัวอยู่ได้ พลังที่แผ่ออกมาจากกายของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าคนเหล่านั้นแข็งแกร่งเพียงใด

โอกาสที่เขาจะรอดชีวิตกลับไปเป็นวีรบุรุษมีเพียงน้อยนิด แต่โอกาสที่จะตายกลายเป็นอนุชนให้กับสงครามนั้นมีมากยิ่งกว่า

อีกอย่างหนึ่ง หวังเป่าเล่อไม่ควรใช้กลเม็ดนี้อย่างโจ่งแจ้งเกินไปนัก ชายหนุ่มไม่ใช่คนที่มีท่าไม้ตายเดียว ซึ่งอาจทำให้เขาเสียเหลี่ยมในการต่อสู้ได้ เขาจึงตัดสินใจไม่ทำตัวเป็นวีรบุรุษ

อีกอย่าง นิสัยนี้ก็ไม่ควรส่งเสริม ข้าอาจเคยชินจนเผลอทำลายร่างจริงของตัวเองเอาก็เป็นได้…หวังเป่าเล่อคิดไปก็ขนลุกขนชันไป ก่อนจะเร่งความเร็วขึ้นอีก พวกเขาใกล้จะหลุดจากดาวพุธออกสู่อวกาศขึ้นทุกขณะ

น้ำหนักที่ดึงรั้งเขาไว้จางหายไปในวินาทีต่อมา ชายหนุ่มพุ่งตัวขึ้นไปอีกหลายร้อยเมตร ความรู้สึกอันเหลือเชื่อค่อยๆ หลั่งไหลออกจากวิญญาณจุติดวงดาราของเขา

ผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในสามารถอยู่ในอวกาศได้ชั่วขณะหนึ่ง ผู้ที่อยู่ในขั้นจุติวิญญาณแม้ไม่สามารถอยู่ในอวกาศได้เหมือนดวงดาว แต่ก็ยังใช้คาถาและเหาะเหินได้อย่างไร้ปัญหา แม้จะไม่นานนัก ส่วนผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย

ทุกๆ อย่างเป็นไปได้ ขอแค่เพียงมีปราณวิญญาณเพียงพอ!

แน่นอนว่า สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไปเรื่องนี้ยังมีข้อจำกัดอยู่ แต่หวังเป่าเล่อนั้นต่างออกไป ร่างกายของเขาสั่นอย่างรุนแรงทันทีที่ออกจากบรรยากาศของดาวพุธและเข้าสู่อวกาศ วิญญาณจุติดวงดาราในกายก็รู้สึกแปลกแปร่ง ราวกับว่า…เขาได้จมลงไปในมหาสมุทรของดวงดาว และวิญญาณจุติดวงดาราก็เป็นปลาตัวหนึ่งในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่นี้!

ข้าคิดอยู่เสมอว่าตัวข้าเป็นคนพิเศษ เป็นผู้ที่โชคชะตากำหนดให้ขึ้นปกครองสหพันธรัฐ และนำสหพันธรัฐยึดครองจักรวาลทั้งหมด ดูเหมือนว่าวิญญาณจุติของข้าจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ดีทีเดียว! ความพิเศษของวิญญาณจุติทำให้ชายหนุ่มรู้สึกใจชื้น เขาหันไปมองเฟิ่งชิวหรัน ผู้ซึ่งออกมาถึงอวกาศแล้วเช่นกัน จากนั้นจึงหันไปมองดวงดาวห่างไกล และด้วยการเร่งความเร็วอย่างฉับพลัน หวังเป่าเล่อก็พุ่งทะยานออกไปไกลลิบ!

บทที่ 686 ประมือกับเมี่ยเลี่ยจื่ออีกครั้ง!
วงแหวนปราณที่บรรดาผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลหลอมขึ้นแผ่กระจายปกคลุมท้องฟ้าสีดำสนิทของดาวพุธราวกับเป็นไยแมงมุม มองดูละม้ายคล้ายรวงผึ้ง หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันเป็นเพียงมดตัวเล็กหากเทียบกับตาข่ายขนาดมโหฬารนั้น แต่สัตว์เล็กจ้อยเท่ามดเพิ่งจะปลดปล่อยพลังมหาศาลที่สั่นคลอนทั้งสวรรค์และพื้นพิภพออกมา

ทั้งท้องฟ้าและแผ่นดินสั่นคลอนเมื่อวิญญาณจุติดวงดาราในกายหวังเป่าเล่อลืมตาขึ้น ดาวพุธทั้งดวงราวกับกำลังสั่นไหว ก่อนที่จะส่องแสงออกมาสนับสนุนพลังของชายหนุ่ม แขนกระดูกที่ฟาดลงมาของหวังเป่าเล่อสร้างรอยฉีกขาดในวงแหวนปราณของสำนักวังเต๋าไพศาล มันขยายกว้างขึ้นก่อนจะแหวกออกเป็นทางยาวราวกับเป็นปากขนาดมหึมา!

เสียงที่ดังสนั่นกว่าเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นรอบกายพวกเขา หวังเป่าเล่อ ที่ขณะนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง พุ่งตัวออกมาจากรอยแยก เฟิ่งชิวหรันตามเขาไปติดๆ ด้วยดวงตาที่เบิกโพลงจากความตื่นตะลึง พลังที่หวังเป่าเล่อปลดปล่อยออกมานั้นทำเอานางต้องผงะด้วยความตกใจแม้ว่าจะเตรียมใจมาแล้วก็ตาม!

เขาพัฒนาไปได้ไกลขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ลมหายใจของนางถี่รัว หญิงวัยกลางคนไม่เข้าใจแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อมีพลังมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อเพียงแค่กลับมาถึงดาวพุธเท่านั้น

นางรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลามามัวคิดหาเหตุผล จึงรีบตามชายหนุ่มออกไปจากรอยแยกในวงแหวนปราณทันที พวกเขากำลังจะออกจากดาวพุธ มุ่งหน้าไปยังอวกาศ

หวังเป่าเล่อหยิบแหวนสื่อสารออกมาและส่งข้อความเสียงไปหาหลี่ซิงเหวิน

“ตาเฒ่า เป่าเล่อของท่านกลับมาแล้ว! ข้าพาภรรยาของท่านกลับมาด้วย!”

หวังเป่าเล่อมีสีหน้าตื่นตกใจทันทีที่พูดจบ เฟิ่งชิวหรันเองก็มีสีหน้าคล้ายคลึงกัน ด้านล่างของพวกเขา ภายในวงแหวนปราณใยแมงมุม อากาศกำลังบิดเบี้ยว มีเสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้นรอบๆ บริเวณ และวงแหวนปราณก็ดูคล้ายกับจะพร่ามัวลงไป

ในวินาทีต่อมา มันก็แปรสภาพไปอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าขนาดมหึมาปรากฏขึ้นตรงกลางวงแหวนปราณ ใบหน้านั้นมีสีหน้างุนงง แววตาว่างเปล่ากำลังจับจ้องมายังหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรัน

รัศมีของมันสามารถกลบพลังของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณไปได้ มันคือพลังของขั้นเชื่อมวิญญาณนั่นเอง!

“เมี่ยเลี่ยจื่อ!” ใบหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึมขึ้นทันที อารมณ์ความรู้สึกมากมายฉายชัดอยู่ในแววตาของเฟิ่งชิวหรัน ใบหน้าของเมี่ยเลี่ยจื่อพุ่งออกมาจากวงแหวนปราณด้วยความเร็วอย่างน่าทึ่ง ตรงเข้าใส่คนทั้งสองทันที

ขนาดของใบหน้าอาจไม่ได้กว้างใหญ่เท่าผืนแผ่นดินที่อยู่ด้านหลัง แต่ก็ยังใหญ่เท่าๆ กับเกาะขนาดย่อมๆ และรวดเร็วเอามากๆ เสียด้วย ใบหน้านั้นกำลังจะพุ่งเข้ามาชนพวกเขาในอีกไม่ช้า นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ก่อนที่ชายหนุ่มจะสูดลมหายใจเข้าลึก

ดาวพุธสั่นไหวไปพร้อมๆ กับการสูดลมหายใจนั้น ราวกับว่าหวังเป่าเล่อได้สูบพลังแปลกประหลาดบางอย่างเข้าไป วิญญาณจุติดวงดาราของเขาผ่อนคลายแขนขาก่อนจะปล่อยพลังเต็มขั้นออกมา แสงดาวไหลบ่าเข้าท่วมกายมันและทะลักล้นไปทั่ว อึดใจนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็เหมือนกำลังจะแปรสภาพกลายเป็นดวงดาวอีกดวง

“ออกไปให้พ้นทางข้าเสีย!” ชายหนุ่มคำราม ก่อนจะยกมือขวาของเกราะขึ้น พลังปราณไหลบ่าเข้าไปในอาวุธเทพของแขนขวาก่อนจะกระแทกกำปั้นเข้าใส่ใบหน้ายักษ์ด้วยพลังเกื้อหนุนจากดวงดาว!

กำปั้นนั้นสั่นสะเทือนท้องฟ้าและผืนแผ่นดิน ราวกับว่ามีพลังจากดวงดาวอยู่เบื้องหลัง ดวงดาวนั้นเปล่งแสงประกายออกมาประสานรวมกับกายของหวังเป่าเล่อ จนเหมือนว่าใบหน้าของเมี่ยเลี่ยจื่อปะทะกับดาวทั้งดวงก็ไม่ปาน

เสียงกัมปนาทดังสนั่นสะท้านไปทั่วดาวพุธ ใบหน้ามายาของเมี่ยเลี่ยจื่อเริ่มก็แตกร้าว รอยร้าวเริ่มจากจุดที่กำปั้นหวังเป่าเล่อกระทบใส่ ลากยาวไปจนกระทั่งแตกออกพร้อมเสียงดังสนั่น จากนั้นก็ระเบิดขึ้น ร่างๆ หนึ่งลอยละลิ่วออกไปไกลนับพันเมตร ร่างนั้นมีสีหน้าเรียบเฉย ลมหายใจห้วนถี่ เขาคือเมี่ยเลี่ยจื่อนั่นเอง หมัดของหวังเป่าเล่อแสดงให้เห็นว่าบัดนี้ชายหนุ่มเป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริง

หวังเป่าเล่อไม่ได้แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น พลังปราณของชายหนุ่มยังอยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางเท่านั้น แม้จะได้รับการเสริมพลังจากเกราะจักรพรรดิและดาวพุธแล้วก็ตาม ก็ยังไม่อาจเทียบเท่าผู้ที่อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณได้ เขาส่งเสียงอยู่ในลำคอ แม้ว่าจะไม่ได้สำรอกเลือดออกมา และอวัยวะภายในก็ไม่ได้เสียหาย แต่กระนั้นแรงกระแทกก็ยังส่งให้หวังเป่าเล่อลอยละล่องออกมา

เฟิ่งชิวหรันกำลังจะฉวยโอกาสจู่โจมในจังหวะที่ทั้งคู่ผละออกจากกัน ทันใดนั้นเอง เมี่ยเลี่ยจื่อก็หรี่ตาลงก่อนจะตะโกนขึ้นมา

“ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลเข้าประจำที่ จัดตั้งวงแหวนปราณเพื่อต้อนรับการกลับมาของผู้อาวุโสชิวหรัน!”

สายฟ้าจำนวนมหาศาลเข้าปกคลุมท้องฟ้าทันที เมื่อผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนใช้พลังปราณอย่างเต็มที่พร้อมกัน

วงแหวนปราณแห่งดาวพุธมีจุดอ่อนอยู่นับพันจุด แต่ละจุดถูกผู้ฝึกตนนับร้อยคุ้มกันไว้ มีผู้ฝึกตนนับแสนกำลังปกป้องและควบคุมวงแหวนปราณอยู่ในขณะนี้ และตอนนี้พลังของพวกเขาทั้งหมดก็ไหลบ่าเข้าไปสู่วงแหวนปราณตามคำสั่งของเมี่ยเลี่ยจื่อ วงแหวนปราณส่องแสงจ้า ก่อนที่ดวงไฟนับไม่ถ้วนจะปรากฏขึ้น และล่องลอยมารวมกันเป็นบุรุษเรืองแสงที่สูงหลายร้อยเมตร!

ร่างนั้นดูเหมือนจะปรากฏขึ้นได้จากพลังของวงแหวนปราณ ถือเป็นการรวมพลังกันของดวงจิตของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลนับแสนก็ว่าได้ มันเอื้อมแขนออกมา เงยศีรษะขึ้นคำรามก่อนจะพุ่งเข้าใส่เฟิ่งชิวหรัน ผู้ซึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้าไปหาเมี่ยเลี่ยจื่อ!

“ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเป็นผู้รอดชีวิตจากตระกูลไม่รู้สิ้น และตอนนี้กำลังควบคุมจิตใจของเมี่ยเลี่ยจื่อเอาไว้ ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้าทุกคนคงไม่อยากเชื่อ แต่หากเจ้าเลือกทางผิด เจ้าก็กำลังช่วยเหลือคนชั่ว จงหยุดต่อสู้เสียเถิด เจ้ายังเลือกที่จะเพิกเฉยได้อยู่!” เฟิ่งชิวหรันพูด ดวงตาของนางแม้จะสดใสแต่ก็เปี่ยมด้วยความกังวล แตกต่างจากดวงตาที่ล่องลอยของเมี่ยเลี่ยจื่อเป็นอย่างยิ่ง มนุษย์ยักษ์เรืองแสงที่มาจากดวงจิตของผู้ฝึกตนนับแสนหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะก้มศีรษะลง ดูเหมือนว่ามันกำลังทำท่าตามผู้ฝึกตนจำนวนมากที่กำลังควบคุมวงแหวนปราณอยู่!

ทันใดนั้นเอง เสียงของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ที่ขยายด้วยกำลังของวงแหวนปราณ ก็สะท้อนดังขึ้นในอากาศ

“โปรดร่วมกันต้อนรับการกลับมาของผู้อาวุโสชิวหรัน ผู้ที่เข้าร่วมจะได้รับสามร้อยแต้มการรบ และผู้ที่ทำสำเร็จจะได้รับหนึ่งหมื่นแต้มการรบ!”

คำพูดเหล่านั้นดังสะท้อนก้องอยู่ไปมา มนุษย์เรืองแสงตัวสั่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครา ดวงตาทั้งคู่ส่องประกายกล้า ความต้องการแต้มการรบดูเหมือนจะเอาชนะดวงจิตนับแสนที่ควบคุมมนุษย์เรืองแสงอยู่ได้ ร่างนั้นเริ่มวิ่งเข้าใส่เฟิ่งชิวหรันอีกครั้ง

ร่างนั้นพุ่งไปข้างหน้า ทะลุกำแพงเสียงพลางแผ่พลังที่เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณออกมาขณะที่ชนเข้ากับเฟิ่งชิวหรันอย่างจัง

หวังเป่าเล่อเหลือบไปมองเฟิ่งชิวหรัน ผู้ซึ่งไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสู้กับมนุษย์เรืองแสง ชายหนุ่มมองเห็นความเศร้าสร้อยในแววตาของนาง แม้กระนั้น นางก็ยังไม่ใช้การโจมตีที่รุนแรง เพียงแต่พยายามจะป้องกันตัวเท่านั้น

หวังเป่าเล่อมีสีหน้าบูดบึ้งเพราะความวิตกกังวลที่ถาโถมอยู่ในใจ ชายหนุ่มต้องการออกจากดาวพุธให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ การรอช้าอยู่เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นเดินทางมาช่วยบรรดาผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลมากขึ้นอีก หากเวลานั้นมาถึง การจะหนีก็เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป เหลือเพียงความตายเท่านั้นที่รอพวกเขาอยู่

“ผู้อาวุโสชิวหรัน พวกเรารีบหนีออกจากที่นี่กันเถิด เร็วเข้า!” หวังเป่าเล่อตะโกน จังหวะนั้นเมี่ยเลี่ยจื่อก็เข้ามาถึงตัว ก่อนจะปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมาขณะที่พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อราวกับเป็นดาวหาง

หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาเตือนเฟิ่งชิวหรันอีก ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ กำไลคลังเวทสั่นไหว ก่อนที่หอกดำจะพุ่งแหวกอากาศเข้าใส่เมี่ยเลี่ยจื่ออย่างรวดเร็ว แถมเขายังเรียกร่างอวตารออกมาอีกด้วย

ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ส่วนร่างจริงนั้นกำหมัดแน่น พลังของวิญญาณจุติดวงดาราและเกราะจักรพรรดิรวมกันอยู่ในกำปั้น หมัดกำเนิดดวงดาราของเขาพุ่งตามอาวุธเวทไปติดๆ ตรงเข้าใส่เมี่ยเลี่ยจื่อ!

ทั้งคู่พุ่งเข้ากระทบกัน หอกดำเป็นวัตถุเวทน่าทึ่งที่ได้รับการเสริมแรงจากพลังแฝงของหวังเป่าเล่อ มันพุ่งเป็นลำแสงสีดำยาวที่ดูราวสามารถตัดผ่านอวกาศได้ด้วยความคม พลังที่แผ่ออกมาเป็นของอาวุธเวทระดับเก้า เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังระดับนั้น กระทั่งเมี่ยเลี่ยจื่อก็ยังรู้สึกหวั่นเกรง นัยน์ตาของเขากระตุกเกร็ง

หมัดระเบิดกำเนิดดวงดาราของหวังเป่าเล่อรวมพลังปราณและกำลังกายของเขาเข้าเป็นหนึ่งเดียว การโจมตีนั้นได้รับการสนับสนุนจากปราณวิญญาณที่มากมายไร้สิ้นสุดซึ่งหวังเป่าเล่อเก็บกักไว้ในรูปของไขมันวิญญาณในร่างกาย จะกล่าวว่าชายหนุ่มเป็นศิลาวิญญาณเดินได้ก็ไม่ผิดนัก

“รับไปเสีย! ข้ายังมีพลังวิญญาณเก็บไว้อีกมาก!” หวังเป่าเล่อคำราม ชายหนุ่มชกออกไปสิบหมัดพร้อมๆ กัน กำปั้นของเขาดูกว้างหลายร้อยเมตรขณะที่พุ่งชนอากาศ แรงกระทักอันดุดันของกำปั้นพุ่งเข้าใส่เมี่ยเลี่ยจื่อ!

กำปั้นเหล่านั้นระเบิดขึ้น เสียงระเบิดดังสนั่นสะท้อนอยู่ในอากาศ ผู้ฝึกตนทั้งสองยังคงต่อสู้กันไม่หยุด หอกดำพุ่งเข้าใส่เป็นอย่างแรก หวังเป่าเล่อกัดฟันก่อนจะสั่งให้มันระเบิดตัวเองอย่างไม่รอช้า!

เสียงกัมปนาทดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่ว!

แรงระเบิดของอาวุธเวทกระจายออกไป ก่อให้เกิดแรงกระแทกที่ผสานรวมกับหมัดระเบิดกำเนิดดวงดาราของหวังเป่าเล่อจนกลายเป็นพลังอันน่าอัศจรรย์ หวังเป่าเล่อใส่พลังทั้งหมดของเขาเข้าไปในหมัดระเบิดกำเนิดดวงดารา เมี่ยเลี่ยจื่อตัวสั่นก่อนจะลอยปลิวไปเพราะแรงโจมตีอันหนักหน่วง!

หวังเป่าเล่อเล่อร้องตะโกนขณะที่เมี่ยเลี่ยจื่อล่าถอยเพื่อหลบหลีก

“เฟิ่งชิวหรัน ทำไมถึงไม่ขยับเล่า” หวังเป่าเล่อหันไปพูด ก่อนจะส่งหมัดระเบิดกำเนิดดวงดารานับสิบไปหามนุษย์ส่องแสงที่กำลังสู้กับนางอยู่!

การโจมตีนั้นทำเอาสรวงสวรรค์สั่นสะเทือน สายลมพวยพุ่งหมุนวนตีก้อนเมฆกระจายเป็นทาง ภายใต้การควบคุมของหวังเป่าเล่อ การโจมตีของเขาผลักมนุษย์ส่องแสงออกไป ทั้งยังช่วยเพิ่มพลังให้เฟิ่งชิวหรันอีกด้วย

หญิงวัยกลางคนมีแววตามุ่งมั่น นางปล่อยพลังออกมา และด้วยการถีบตัวเพียงครั้งเดียว นางก็พุ่งทะยานออกไปสู่ท้องฟ้า!

หวังเป่าเล่อหายใจหอบถี่ ก่อนจะสลับที่กับร่างอวตารซึ่งล่วงหน้าไปอยู่ที่ขอบฟ้าแล้วในบัดดล!

ชายหนุ่มไม่เปิดโอกาสให้เมี่ยเลี่ยจื่อหรือมนุษย์ส่องแสงได้ติดตาม ประกายกล้าฉายวาบอยู่ในแววตาของร่างอวตาร ก่อนที่มันจะระเบิดตัวเองโดยไม่มีการรีรอใดๆ!

………………………..

บทที่ 685 ดาวพุธจู่โจม!
ตู้กูหลินเป็นชายหนุ่มผู้ปราดเปรื่อง เขารู้ดีว่าขณะนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังได้เปรียบในสงคราม ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเองก็ใช้ประโยชน์จากความโลภที่แทรกซึมอยู่ในธรรมชาติของบรรดาศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลทุกคน และขณะนี้ทุกคนก็เต็มใจเดินตามชายชราไปทำสงครามกันทั้งสิ้น

ทางเลือกที่ดีที่สุดของตู้กูหลินคือเข้าร่วมสงครามและต่อสู้เพื่อหาทรัพยากรมาใช้พัฒนาระดับปราณ

แต่ชายหนุ่มไม่อาจดึงตัวเองให้ผ่านอุปสรรคสุดท้ายไปได้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเห็นแก่สหพันธรัฐหรือสำนักของตน แต่เป็นเพราะอาจารย์ของเขา แม้อาจารย์จะเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย อารมณ์ฉุนเฉียวร้ายกาจ แต่กระนั้น…ตู้กูหลินก็ไม่อาจลืมพระคุณที่อาจารย์เคยดูแล ทั้งเวลาและพลังงานที่อาจารย์ได้ทุ่มเทสั่งสอนเขามา และทุกๆ เรื่องที่อาจารย์ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลมาโดยตลอด

มีทางเดียวที่จะช่วยเหลืออาจารย์ได้ นั่นคือศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันต้องตายเท่านั้น!

เป็นเหตุให้ตู้กูหลินตัวสั่นเทาเมื่อสัมผัสได้ถึงการมาถึงของเฟิ่งชิวหรันผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ชายหนุ่มยังชั่งใจอยู่บ้าง เขาไม่รู้เลยว่าเฟิ่งชิวหรันตกอยู่ในสภาวะหุ่นเชิดเช่นเดียวกับอาจารย์ของเขาหรือไม่ ชายหนุ่มจึงยังไม่รีบร้อนลงมือ

แต่ตอนนั้นเอง ร่างกายอวบอ้วนอีกร่างก็ปรากฏขึ้นข้างกายเฟิ่งชิวหรัน สิ่งที่รายล้อมร่างนั้นอยู่คือเส้นปราณสีโลหิตคล้ายรยางค์ที่เขาคุ้นเคย เมื่อนั้นเองตู้กูหลินก็จำหวังเป่าเล่อได้ ชายหนุ่มกัดฟันแน่นและตัดสินใจ

เพื่อเป็นการไม่ประมาท ตู้กูหลินจึงส่งคนอื่นๆ ไปล้อมวงแหวนปราณเอาไว้ก่อน จากนั้นชายหนุ่มก็ดึงแผ่นหยกที่ใช้เปิดสัญญาณเตือนออกมา เขาพูดอย่างใจเย็น แต่นัยน์ตากลับฉายแววกล้าขณะที่จ้องมองร่างทั้งสอง ร่างหนึ่งใหญ่ ร่างหนึ่งเล็ก ทก้าวเดินออกมาจากหมอกอย่างช้าๆ

เฟิ่งชิวหรันมีสายตาดุดัน ส่วนหวังเป่าเล่อก็มีสีหน้าอ่านยากอีกเช่นเคย แต่ในใจชายหนุ่มเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์มากมาย ทั้งคู่มองสำรวจทั่วบริเวณทันทีที่ก้าวออกมา หลังจากแน่ใจแล้วว่าตู้กูหลินเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต พวกเขาจึงหันไปหา

พลางจ้องมองแผ่นหยกในมืออีกฝ่ายตาไม่กะพริบ!

“สหายเต๋าตู้กูหลิน ไม่ได้พบกันเสียนาน” หวังเป่าเล่อสวมเกราะจักรพรรดิอยู่ เส้นปราณสีโลหิตปลิวไหวไปตามลมอยู่รอบเกราะ เมื่อเขาเอ่ยปากพูด หมวกเกราะก็ขยับเปิด เผยให้เห็นใบหน้าที่อยู่ภายใน

ตู้กูหลินหรี่ตามองหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็มองเฟิ่งชิวหรัน หลังจากที่แน่ใจแล้วก็สายตาของเฟิ่งชิวหรันไม่ได้ว่างเปล่าแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยประกาย ชายหนุ่มก็ทอดถอนใจด้วยความโล่งอก แล้วพูดออกมาทันที

“สหพันธรัฐล่าถอยไปยังดาวศุกร์ ขณะนี้พวกเรามีทรัพยากรไม่พอซ่อมแซมเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น จึงยังออกไปไหนไม่ได้ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอยู่ภายในเรือบินรบลำนั้น จากการสังเกตของข้า เขาคงไม่อาจรับมือทั้งเรื่องเรือบินรบและเรื่องอื่นๆ ได้พร้อมกันหากเรือบินรบยังซ่อมแซมไม่เสร็จดี!

“อาจารย์ข้า เมี่ยเลี่ยจื่อ ถูกควบคุมจิตใจ แต่ข้าลอบมองเขามาเป็นเวลานานแล้ว เขามีอาการเหม่อลอยอยู่บ้างเป็นบางเวลา เป็นไปได้ว่าวิญญาณของเขาอาจยังไม่ถูกทำลายไปจนหมด!”

“ศิษย์จะขออาสาอยู่ที่นี่ต่อไป และคอยส่งมอบข้อมูลทางการทหารให้ท่านทั้งสอง ข้ามีคำขอเพียงข้อเดียวเท่านั้น…โปรดช่วยอาจารย์ข้าด้วย! โปรดรีบไปเถิด ตระกูลไม่รู้สิ้นจะสำรวจบริเวณนี้ด้วยจิตสัมผัสวิญญาณทุกๆ สามสิบนาที มีเวลาอีกไม่มากแล้ว…” ตู้กูหลินพูดอย่างเร่งรีบ จากนั้นจึงยกมือขึ้นประสานและโค้งคำนับหวังเป่าเล่อกับเฟิ่งชิวหรัน!

ก่อนที่หวังเป่าเล่อหรือเฟิ่งชิวหรันจะทันได้พูดโต้ตอบ ตู้กูหลินก็ยกมือซ้ายขึ้นทุบหน้าอกตัวเองอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ร่างของเขาสั่นสะท้านก่อนจะพ่นเลือดออกมากองใหญ่

ช่างเป็นการโจมตีที่รุนแรงนัก ชายหนุ่มเกือบทำลายเส้นปราณของตนไปเสียแล้ว อาการบาดเจ็บนั้นรุนแรงเสียจนตู้กูหลินซวนเซถอยหลังและหมดสติไปทันที แผ่นหยกที่กำไว้แน่นในมือเป็นหลักฐานชั้นดี เขาถูกโจมตีบาดเจ็บสาหัสและหมดสติไปก่อนจะได้ส่งสัญญาณเตือน

“ผู้อาวุโสชิวหรัน รีบไปกันเถิด!” หวังเป่าเล่อจ้องมองร่างไร้สติของตู้กูหลินด้วยสายตาลึกซึ้งอยู่นาน ก่อนจะหันหน้าหนีและพุ่งตัวขึ้นฟ้าไป เฟิ่งชิวหรันรีรออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา

“จะต้องมีศิษย์เช่นตู้กูหลินเหลืออยู่อีกจำนวนมากในสำนักวังเต๋าไพศาล หากพวกเราสามารถเปิดเผยความจริงและปลดคาถาที่สะกดพวกเขาอยู่ได้ อาจจะมีประโยชน์กว่าการหนีไปยังสหพันธรัฐ”

“หากมีผู้ฝึกตนที่อยากรู้ความจริงหลงเหลืออยู่ในสำนักจริง ท่านคิดว่าพวกเขาจะโง่เขลาเสียจนมองไม่เห็นความจริงเลยเชียวหรือ” หวังเป่าเล่อพูดเบาๆ มีประกายเย็นเยียบสะท้อนอยู่ในแววตา

เฟิ่งชิวหรันอ้าปาก เตรียมพร้อมที่จะตอบโต้ หวังเป่าเล่อโคลงศีรษะ

“ผู้อาวุโสชิวหรัน ข้าเคยอ่านอัตชีวประวัติอยู่เล่มหนึ่ง มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘เมื่อใดก็ตามที่ประตูแห่งความโลภเปิดออก ก็จะไม่มีทางปิดลงได้อีก!’” หวังเป่าเล่อพุ่งทะยานออกไปบนท้องฟ้าขณะพูด ก่อนจะเร่งความเร็วขึ้นอีก

เฟิ่งชิวหรันเงียบงันไป นางมองไปรอบกาย ก่อนที่คลื่นอารมณ์จะถาโถมขึ้นมาในแววตา จากนั้น นางจึงถอนหายใจเบาๆ และรีบตามหวังเป่าเล่อไป พวกเขาแปรสภาพเป็นสายรุ้งสองเส้นพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าสีดำสนิท!

ทั้งสองเคลื่อนที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้น ตอนนี้ดาวพุธก็เป็นฐานที่มั่นของตระกูลไม่รู้สิ้นไปแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะมีระดับพลังปราณสูงเพียงใดหรือเคลื่อนที่รวดเร็วเพียงไหน ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงการถูกค้นพบได้อยู่ดี ทั้งคู่ยังไม่ทันจะไปถึงวงแหวนปราณดาวพุธด้วยซ้ำ เมื่อศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ผู้ที่ทำสมาธิอยู่ภายในเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้น สัมผัสการมาถึงของพวกเขาได้

ภายในชั้นสามของเรือบินรบ ที่ถูกแรงระเบิดของหวังเป่าเล่อทำลายไปก่อนหน้านี้ ได้รับการซ่อมแซมไปมากแล้ว ทั้งท่อเลือดเนื้อ รวมถึงสระน้ำมีสภาพเหมือนก่อนถูกระเบิดอย่างไม่มีที่ติ มีสิ่งเดียวที่ต่างออกไป…นั่นคือชุดคลุมออกศึกไม่ได้ตั้งอยู่ตรงกลางสระแล้ว แต่ที่ตรงนั้นถูกแทนที่โดย…ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!

ขณะกำลังทำสมาธิ ดวงตาทั้งคู่ของชายชราปิดอยู่ ลมหายใจก็สม่ำเสมอดี แต่หลังจากสัมผัสได้ถึงสิ่งไม่ชอบมาพากล ลมหายใจของเขาก็ถี่เร็วขึ้น ก่อนจะเปิดตาขึ้นมา!

หวังเป่าเล่อ! เฟิ่งชิวหรัน! แสงปีศาจส่องประกายอยู่ในแววตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ชายชราไม่รู้เลยว่าตนเองตายไปแล้วและถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ มีความเกลียดชังอยู่ในน้ำเสียงของเขา เพราะยังแค้นเคืองที่หวังเป่าเล่อทำให้เรือบินรบเสียหายหนัก

“ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลทุกคน หวังเป่าเล่อสมคบคิดกับผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรัน นางถูกเขาควบคุมจิตใจเอาไว้ จงใช้พลังทั้งหมดของเจ้าและสังหารหวังเป่าเล่อ ช่วยเหลือผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรันมาให้จงได้!”

เสียงของเขาดังกังวานไปทั่ว ก่อให้เกิดเสียงอื้ออึงที่ดังก้องอยู่ในเรือบินรบ ความมุ่งหมายของเขาแผ่ปกคลุมทั่วทั้งเรือบินรบ และกระจายออกไปยังวงแหวนปราณดาวพุธ ก่อนจะห่อหุ้มไปทั่วทั้งดาว ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนบนดาวพุธตัวสั่นเทาเมื่อได้ยินคำสั่งนั้น วงแหวนปราณทำงานเต็มที่ก่อนจะชี้บอกตำแหน่งของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันทันที!

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันผู้ที่ไม่อาจออกจากเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้นได้หรี่ตาลง ก่อนจะคำรามคำสั่งอีกคำสั่งหนึ่งออกมา

“เมี่ยเลี่ยจื่อ จับเฟิ่งชิวหรันและสังหารหวังเป่าเล่อเสีย!”

คำสั่งนั้นปะทุขึ้นในใจของเมี่ยเลี่ยจื่อ ก่อนจะสะท้อนดังไม่หยุดหย่อน ขณะที่อีกฝ่ายกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ในอาคารหลักของฐานที่มั่น

เมี่ยเลี่ยจื่ออยู่ในห้องลับสีดำสนิท เขายกศีรษะขึ้นช้าๆ หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ใบหน้าแสดงความงุนงง ชายวัยกลางคนลุกขึ้นยืนและก้าวออกไป ก่อนจะหายตัวออกจากห้องลับมาปรากฏตัวที่กลางอากาศ ด้วยความช่วยเหลือของอภิมหาวงแหวนปราณดาวพุธ เขาก็พบตำแหน่งของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันในทันที พลังปราณภายในกายเมี่ยเลี่ยจื่อเริ่มหมุนวน ก่อนปล่อยคลื่นปราณวิญญาณระดับเชื่อมวิญญาณออกมา อากาศที่รายล้อมกายอยู่เริ่มบิดเบี้ยว เขาก้าวออกไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง สร้างรอยฉีกในอวกาศขึ้นก่อนจะพุ่งตัวมุ่งไปหาเป้าหมาย

หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันยังคงเดินทางรุดหน้าผ่านท้องฟ้าของดาวพุธและกำลังจะหลุดออกนอกชั้นบรรยากาศไปสู่อวกาศ แต่ทั้งคู่ก็ต้องตัวสั่นเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่พวยพุ่งออกมาห้อมล้อมกายเอาไว้ พลังที่มองไม่เห็นดูเหมือนจะทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวช้าลงและพยายามไม่ได้ทั้งคู่หนีออกไปได้

“พวกนั้นพบเราแล้ว สิ่งนี้คือวงแหวนปราณประจำพื้นที่ของสำนักวังเต๋าไพศาล มันทรงพลังนัก ข้าคงต้องใช้เวลาราวสามสิบนาทีในการปิดมัน…” เฟิ่งชิวหรันมีสีหน้าตื่นตกใจ ทันทีที่นางพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นอย่างเงียบงัน ชายหนุ่มดูคล้ายเทพสงครามเมื่อสวมเกราะจักรพรรดิ

เขาพยายามติดต่อหลี่ซิงเหวินและคนอื่นๆ ผ่านแหวนสื่อสารหลายต่อหลายครั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าแหวนสื่อสารไม่ทำงานเมื่ออยู่บนดาวพุธ ชายหนุ่มต้องหลุดออกจากชั้นบรรยากาศไปให้ได้ก่อน

หวังเป่าเล่อเลิกล้มความตั้งใจจะใช้แหวนสื่อสาร เขาคำรามก่อนจะยกมือขวาขึ้น ปล่อยพลังปราณให้ปะทุออกมาจากร่าง วิญญาณจุติของเขาสั่นคลอนก่อนจะปล่อยคลื่นพลังวิญญาณที่รุนแรงยิ่งกว่าที่เคยได้ใช้บนกระบี่สำริดเขียวโบราณออกมา

ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับวิญญาณจุตินับตั้งแต่ก้าวออกจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย รู้สึกราวกับว่าสวรรค์และผืนปฐพีมอบพลังให้เขา…ดวงดาวภายใต้ฝ่าเท้าของชายหนุ่มชื่นชมยินดีกับการมาถึงของเขาเป็นอย่างยิ่ง

หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาศึกษาความรู้สึกนี้โดยละเอียด แต่เมื่อวงแหวนปราณของดาวพุธกำลังบีบตัวเข้าใส่ หวังเป่าเล่อก็ปล่อยวิญญาณจุติของตนออกมา บังเกิดความเชื่อมโยงระหว่างวิญญาณจุติและดาวพุธ ปราณวิญญาณในกายของหวังเป่าเล่อระเบิดและพุ่งทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ความแข็งแกร่งนั้นได้รับการส่งเสริมจากเกราะจักรพรรดิก่อนจะหลั่งไหลเข้าสู่มือขวา ตรงบริเวณที่มีอาวุธเทพอยู่!

พลังอันยิ่งใหญ่ที่สั่นคลอนทั้งดวงดาวไหลบ่าออกมาเป็นคลื่นพลังวิญญาณในชั่วพริบตา มันปะทุและแปรสภาพกลายเป็นลมพายุหมุนขนาดยักษ์ที่ดูคล้ายจะเชื่อมท้องฟ้าและพื้นแผ่นดินเข้าด้วยกัน สรวงสวรรค์ส่งเสียงครั่นครืนเมื่อหวังเป่าเล่อคำราม

“สลายไปเสีย!”

แขนของอาวุธเทพเหวี่ยงลงราวกับจะฟาดฟัน!

ทั้งท้องฟ้าและพื้นดินบิดเบี้ยว สายลมคำราม เมฆม้วนถอย วงแหวนปราณประจำพื้นที่ของสำนักวังเต๋าไพศาลที่กดทับหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันอยู่เมื่อครู่…ถูกบังคับให้ต้องเผยร่างที่แท้จริงแล้วดูคล้ายตาข่ายใยแมงมุมออกมา มันไม่อาจทานทนพลังมหาศาลที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมาได้ จึงค่อยๆ จางไปทีละชั้นๆ ก่อนจะเสื่อมสลายและหายไปในพริบตา!

บทที่ 684 การตัดสินใจของตู้กูหลิน
ณ สหพันธรัฐ บนดาวพุธ

ดาวพุธเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ของระบบสุริยะที่มีชั้นบรรยากาศบางเบา ด้วยเหตุนี้ แสงที่ส่องกระทบลงบนดาวจึงถูกสะท้อนกลับออกไปน้อยมาก ดังนั้นท้องฟ้าของดาวพุธจึงไม่เป็นสีฟ้าใสเท่าโลก หากปราศจากแสงของอาทิตย์และดาวดวงอื่นๆ มันจะปรากฏเป็นความมืดมิดดำทะมึน

ดูไปก็คล้ายโคมไฟตามถนนในยามค่ำคืน แม้ว่าตัวโคมไฟจะสุกสว่างส่องแสงเรืองรองให้กับทุกที่ที่แสงไปถึง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าท้องฟ้าจะไม่มืดมิด

มีแสงสว่างสังเคราะห์มากมายอยู่บนดาวพุธดวงเก่า ในฐานะที่เป็นที่ตั้งของวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย สหพันธรัฐได้ปรับแต่งสิ่งต่างๆ ที่ทั้งยุ่งยากและซับซ้อนให้ดาวพุธมากมาย ถึงกับสร้างดวงอาทิตย์สังเคราะห์ไว้ให้ แถมยังมีการป้องกันจากวงแหวนปราณระบบสุริยะด้วย ดาวพุธค่อยๆ พัฒนาจนกลายมาเป็นฐานที่มั่นของสหพันธรัฐในเวลาต่อมา!

ทว่าบัดนี้…ฐานที่มั่นเก่าของสหพันธรัฐเหลือเพียงแต่ซากเท่านั้น แสงสังเคราะห์อื่นๆ นอกเหนือจากดวงอาทิตย์ต่างก็ถูกทำลายจนพินาศสิ้น ร่องรอยของสงครามเกลื่อนกล่นอยู่ทั่วไป มีรอยแยกร้าวลึกบนแผ่นดินหลายต่อหลายแห่ง และไม่พบผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐเลยสักคนเดียว

ดาวพุธกลายมาเป็นฐานที่มั่นของกองทัพสำนักวังเต๋าไพศาล ภายใต้การนำของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไปแล้ว!

ระเบิดต้านทานวิญญาณถูกขุดออกมา วงแหวนปราณจำนวนมากถูกหลอมขึ้น ดาวพุธถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว นอกจากซากปรักหักพังและหุบเหวแล้ว สิ่งใหม่ที่มองเห็นได้ชัดเจนคือกองเนื้อขนาดมหึมา

แต่ละกองทอดยาวไปร่วมหลายร้อยเมตร ดูคล้ายกับเป็นก้อนเนื้อร้ายที่เติบโตออกมาจากดาวพุธ พวกมันเคลื่อนไหวไปมาและกระตุกอย่างรุนแรงราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังพยายามจะแหวกออกมาจากภายใน ก้อนเนื้อเหล่านี้ปล่อยพลังวิญญาณที่ไหลออกมาเกาะตัวกันคล้ายเป็นตาข่ายที่ห่อหุ้มรอบพื้นผิวดาวพุธเอาไว้หมด

ขณะเดียวกัน…เรือบินรบสีดำทะมึนก็ล่องลอยอยู่ทั่วน่านฟ้าดาวพุธในอวกาศ พวกมันคือเรือบินรบของสำนักวังเต๋าไพศาล ที่สามารถเดินทางไปในอวกาศได้

เรือบินรบเหล่านี้ถูกนำไปเก็บไว้หลักจากที่กระบี่สำริดเขียวโบราณถูกผนึก แต่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันสั่งการให้นำเรือบินรบออกมาหลังจากที่ประกาศสงครามกับสหพันธรัฐ

เรือบินรบลอยติดกันแน่นเป็นแพยาว ประมาณคร่าวๆ น่าจะมีอยู่ราวหนึ่งแสนลำ ขณะที่ส่วนหนึ่งล้อมรอบดาวพุธอยู่ อีกส่วนก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มเรือบินรบท่องไปทั่วจักรวาล

หากเทียบกันแล้ว สิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลรู้สึกเกรงกลัวยิ่งกว่าเรือบินรบเหล่านี้ก็คือ…เรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น!

มันเป็นเรือบินรบที่น่าสะพรึงกลัว สร้างขึ้นมาจากแผ่นวงกลมสามแผ่น ล่องลอยอยู่ในน่านฟ้าดาวพุธ ในใจกลางของเรือบินรบ ตรงตำแหน่งที่มีแท่นบูชาหลัก มีลำแสงยาวหลายพันกิโลเมตรที่เชื่อมโยงสวรรค์และโลกเข้าไว้ด้วยกันปรากฏขึ้น

เสียงกัมปนาทดังสะเทือนยังคงปะทุต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง ดาวพุธสั่นไหวราวกับว่าพลังงานของดาวกำลังถูกดูดกลืนไป ด้านเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นส่องแสงเรืองรอง ราวกับว่ากำลังฟื้นฟูตัวเองอยู่!

ความสว่างจากลำแสงส่องลงมาถึงพื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นด้านใน คลื่นพลังวิญญาณยังคงทะลักทลายออกมา ไหลบ่าท่วมพื้นดินไปไกลหลายพันกิโลเมตรในทุกทิศทาง ป้องกันไม่ให้มีใครกล้ำกรายเข้าไปใกล้

ภาพของเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้น ลำแสงสุกสว่าง และพื้นแผ่นดินที่กำลังสั่นสะเทือนดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

สงครามล่วงเลยมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลานั้น สหพันธรัฐก็พ่ายแพ้มาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น แผนการทำลายตัวเองอย่างสิ้นซากของดาวพุธก็ถูกขัดขวาง แต่กระนั้นการเตรียมการและการโต้กลับที่สหพันธรัฐได้ทำไป โดยเฉพาะการระเบิดของระเบิดต้านทานวิญญาณส่วนหนึ่งก็กระทบต่อความมั่นใจของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นอย่างยิ่ง ทัศนคติของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว

แน่นอนว่า หลายคนเริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล แต่…เมื่อมีเมี่ยเลี่ยจื่อผู้ทรงพลังและยานรบของตระกูลไม่รู้สิ้นที่น่าเกรงขามอยู่ตรงหน้า ผู้ที่ตั้งคำถามต่างก็ถูกสังหารหรือไม่ก็ต้องยอมกัดฟันทำตามคำสั่งไปแต่โดยดี

ตู้กูหลินก็เป็นหนึ่งในนั้น!

ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มยอมรับกับสภาวะสงคราม ดูเหมือนว่าพวกเขาจะค้นพบคุณค่าของตนเองผ่านการต่อสู้ในสงครามนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกพึงใจกับความแข็งแกร่งเมื่อได้ออกเข่นฆ่าและปล้นสะดม นอกเหนือจากระเบิดต้านทานวิญญาณอันรุนแรงแล้ว ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐนั้นก็ช่างอ่อนแอและถูกกำราบได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก!

เกิดการวางเพลิง ข่มขืน และปล้นชิงอยู่ทั่วไปเป็นปกติ ความเลวทรามและความหื่นกระหายภายในใจของทุกคนถูกปลุกให้ตื่นขึ้น สงครามที่ดำเนินมากว่าหนึ่งเดือนโบกโหมให้เปลวไฟของความชั่วร้ายแผดเผาเจิดจ้ารุนแรงขึ้นไปทุกที

ศิษย์แห่งเต๋าโยวรันก็มีส่วนสร้างสถานการณ์นี้เช่นกัน งานของเขาละเอียดลอออย่างยิ่ง…รายละเอียดเหล่านี้อยู่ในระบบการตบรางวัลเป็นแต้มการรบและการนำแต้มมาแลกสมบัติ ชายชราเปิดคลังสินค้าของสำนักวังเต๋าไพศาลขึ้นและนำสมบัติจำนวนมากของตระกูลไม่รู้สิ้นออกมาให้แลกเปลี่ยน กลายเป็นสิ่งกระตุ้นศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลได้ดีขึ้นไปอีก

พวกเขาจะทำผิดหรือถูกไม่สำคัญ เมื่อมีคนออกคำสั่ง ก็แปลว่าพวกเขาสามารถโยนความรับผิดชอบให้คนๆ นั้นได้อย่างเต็มที่ อีกอย่างหนึ่ง ศัตรูก็ไม่ใช่พวกเดียวกัน พวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดกับความละโมบ และไม่มีความจำเป็นต้องไว้ชีวิตศัตรู

ด้วยเหตุนี้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจึงไม่จำเป็นต้องโบกพักเปลวไฟแห่งสงครามหรือหลอกล่อผู้ติดตามของตนให้ทำตามอีกต่อไป สิ่งเดียวที่เขาต้องจดจ่อคือการซ่อมบำรุงเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นให้กลับสู่สภาพพร้อมใช้งานเต็มที่โดยใช้ทรัพยากรที่ชิงมาได้ในสงครามนี้!

ตอนที่หวังเป่าเล่อระเบิดเกราะจักรพรรดิของตนเอง ชายหนุ่มได้สร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ขึ้น สระน้ำและทางเดินขนาดมหึมาถูกทำลาย การพินาศของทั้งสองสิ่งทำให้เรือบินรบเสียหายอย่างหนัก เมื่อระเบิดต้านทานวิญญาณระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง สิ่งคล้ายๆ กันนี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่ได้ไล่ล่าเหล่าสหพันธรัฐที่ล่าถอยออกจากดาวพุธ แต่ชายชราฉกฉวยโอกาสนี้ซ่อมบำรุงเรือบินรบเสียก่อน

โยวหรันสั่งให้เมี่ยเลี่ยจื่อจัดการเรื่องอื่นๆ แทนจนกว่าจะซ่อมบำรุงเรือบินรบได้ลุล่วงระดับหนึ่ง เมี่ยเลี่ยจื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของชายชราอย่างเต็มที่ ความคิดอ่านถูกกดทับเอาไว้จนหมด เขาทำตามที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันสั่งอย่างไร้คำถามและไร้ที่ติ

สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นๆ ที่ปลอมตัวเป็นผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลต่างก็ขึ้นมามีบทบาทนำ พวกเขาพากลุ่มผู้ฝึกตนตะลุยเข้าไปในสนามรบ สร้างสงครามขึ้นจนสำเร็จ ดาวพุธไม่เพียงกลายมาเป็นฐานที่มั่นของสำนักวังเต๋าไพศาลเท่านั้น มันยังกลายมาเป็นสถานที่ที่สำนักวังเต๋าไพศาลใช้ซ่องสุมกำลังพลเพื่อเตรียมการโจมตีดาวศุกร์อีกด้วย

ขณะที่สงครามยังดำเนินต่อไป ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของฐาน มีศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลนับสิบนั่งขัดสมาธิอยู่ภายนอกบริเวณวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายซึ่งเชื่อมต่อกับกระบี่สำริดเขียวโบราณ

พวกเขาส่วนมากอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน ยกเว้นเพียงผู้ฝึกตนคนเดียวที่นั่งอยู่ห่างไปจากกลุ่ม เขาสวมชุดเกราะสีดำและอยู่ในขั้นจุติวิญญาณ พวกเขาเหล่านี้เป็นผู้ฝึกตนที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าจับตาดูวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเอาไว้!

ผู้ฝึกตนเกราะสีดำนั่งหลับตา ที่เหลือต่างก็นั่งติดกัน ทำเหมือนว่านั่งสมาธิอยู่ แต่จริงๆ แล้วกำลังพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หลายคนมีแววตาอิจฉาริษยาและเกลียดชังฉายอยู่บนใบหน้า

“ข้าได้ยินมาว่า เมื่อวานมีคนเก็บแต้มการรบจนสามารถแลกโอสถกำเนิดวิญญาณได้เชียวนา!”

“เดือนนี้มีคนได้โอสถกำเนิดวิญญาณไป 37 คนแล้ว ข้าสงสัยว่าเมื่อไรจะถึงเวลาของพวกเราสักที เมื่อไรพวกเราจะรวบรวมแต้มการรบได้มากพอบ้าง ข้าเจอเฉินลู่จื่อเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาได้หม้อหลอมไปหลายใบเชียวนะ…ดูเหมือนว่าจะเป็นหม้อระดับสูงเสียด้วย!”

“บัดซบ พวกเราติดอยู่ที่นี่ นั่งเล่นเป็นยามกันทั้งวันทั้งคืน แทนที่จะได้ไปสังหารพวกผู้ฝึกตนสหพันธรัฐชั้นต่ำ ไม่มีทางเลยที่เราจะเก็บแต้มการรบได้หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราคงได้แต่มองดูคนอื่นก้าวหน้า พวกผู้ฝึกตนสหพันธรัฐชั้นต่ำนั้นฆ่าง่ายนัก เรียกว่าได้แต้มการรบมาเปล่าๆ ก็คงไม่ผิดนัก!”

ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลพูดคุยกันเบาๆ ดูไม่ยี่หระหากผู้ฝึกตนในเกราะสีดำจะบังเอิญได้ยินเข้า ราวกับว่าต้องการจะให้เขารับรู้ถึงความไม่พอใจกระนั้น

สิ่งนี้คงไม่เกิดขึ้นหากเป็นสำนักวังเต๋าไพศาลเมื่อก่อน แต่ปัจจุบัน ความไม่พอใจกลับเห็นได้อยู่ทั่วไป

คำพูดของพวกเขาลอยไปเข้าหูผู้ฝึกตนในเกราะสีดำจริงๆ ดวงตาที่ปิดอยู่เมื่อครู่ค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ มีแสงสีดำส่องประกายอยู่ภายใน

หากหวังเป่าเล่อมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ ก็จะจำผู้ฝึกตนในเกราะสีดำได้ทันที เขาคนนี้คือศิษย์รักของเมี่ยเลี่ยจื่อ ตู้กูหลินนั่นเอง!

ตู้กูหลินได้ยินผู้ใต้บังคับบัญชาบ่นอุบ แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เขาเริ่มเงียบลงและพูดน้อยลงทุกทีในช่วงนี้ แต่ถึงอย่างไรตู้กูหลินก็ยังเป็นศิษย์ของเมี่ยเลี่ยจื่อ ไม่มีใครกล้ากังขากับการตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมการต่อสู้ของเขา ชายหนุ่มหลบเลี่ยงปัญหาและเลือกมาอยู่ยามในบริเวณวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายนี้แทน

ลูกน้องเก่าๆ ของเขาเคยถามเรื่องนี้หลายต่อหลายหน ชายหนุ่มสังเกตเห็นด้วยว่าลูกน้องส่วนมากแอบออกไปเข่นฆ่าผู้คนเพื่อแลกแต้มการรบ ตู้กูหลินรู้ดี…ว่าอีกไม่ช้า ทุกๆ คนในสำนักวังเต๋าไพศาลจะแยกดีชั่วไม่ออก สงครามได้ทำให้ดวงตาของพวกเขามืดบอดจากความถูกผิดดีเลว และเอาแต่มองหาเพียงประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น

ผู้อาวุโสชิวหรัน ท่านตายแล้วจริงๆ หรือ เหล่าบรรดาปรมาจารย์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พวกเขาจะตื่นขึ้นมาช่วยสำนักเอาไว้ได้ทันเวลาหรือเปล่า แล้วหวังเป่าเล่อเล่า…ไม่มีทางใดที่จะเปลี่ยนโชคชะตาของสำนักวังเต๋าไพศาลจากการถูกรุกรานจากภายในได้เลยหรือ ความขมขื่นเกาะกินจิตใจของตู้กูหลิน ชายหนุ่มหลุบศีรษะลงช้าๆ จากนั้นจู่ๆ ก็มีประกายบางอย่างส่องสว่างขึ้นในดวงตา เขาหันหลังไปทางวงแหวนปราณทันที

ลำแสงหนึ่งปรากฏขึ้นภายในวงแหวนปราณนั้น มันเจือจางในตอนแรกแต่ก็เข้มข้นขึ้นทันตา ก่อนจะระเบิดและแปรสภาพเป็นทะเลแห่งแสงที่ไหลท่วมวงแหวนปราณทั้งอัน

ตู้กูหลินเหมือนว่าจะเห็นอะไรบางอย่าง ก่อนที่นัยน์ตาของเขาจะเบิกโพลงด้วยความไม่อยากเชื่อ บรรดาลูกน้องของเขาก็เห็นการเคลื่อนไหวภายในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเช่นกันจึงรีบวิ่งมาดู

วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายไม่ได้ถูกใช้งานมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ทำให้บรรดาศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่รายล้อมอยู่สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าผู้มาใหม่จะเป็นใครกัน

ด้วยพลังปราณที่ต่ำเตี้ยของพวกเขา จึงเป็นการยากที่จะบอกได้ว่าผู้ซึ่งกำลังปรากฏกายขึ้นท่ามกลางแสงสว่างจ้านั้นเป็นใคร แต่ฝ่ายตู้กูหลินที่ดวงตาเบิกโพลงก็รีบปรับนัยน์ตาให้กลับมาเป็นปกติในบัดดล ดูเหมือนเขาจะคิดอะไรได้บางอย่าง จึงตะโกนออกมาอย่างปุบปับ

“บรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่ประจำอยู่ ณ สำนักวังเต๋าไพศาลมาถึงแล้ว พวกเจ้าอยากจะไปอยู่แนวหน้าและสังหารผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐแลกแต้มการรบไม่ใช่หรือ รีบไปเสีย ไปทำความเคารพพวกเขาแล้วหาโอกาสเสนอตัวไปด้วย หากพวกเขาตกลงรับพวกเจ้าไปด้วยข้าก็จะไม่ขัดขวาง!”

ความโลภผุดขึ้นในใจของบรรดาผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทันที มีเพียงสองคนที่ค่อนข้างฉลาดเฉลียวและยังรีรออยู่ ไม่รีบรุดออกไปตามเพื่อนส่วนใหญ่ ที่พุ่งตัวไปรออยู่ตรงขอบวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายทันทีที่ได้ยินตู้กูหลินพูด พวกเขามองเห็นร่างสองร่าง ร่างหนึ่งใหญ่ อีกร่างหนึ่งเล็ก ก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วภายในวงแหวนปราณนั้น ก่อนจะยกมือขึ้นประสานอย่างเคารพ

“ข้าน้อยคารวะ…”

ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เอ่ยคำทักทายจนจบประโยค แสงสีแดงจ้าก็ปะทุขึ้นในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายนั้น เส้นปราณสีโลหิตพุ่งทะยานออกมาราวกับเป็นลูกศรและระเบิดขึ้นรอบๆ วงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตา ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่ก้มศีรษะลงต่ำเพื่อทักทาย ไม่อาจหลบหลีกการโจมตีหรือส่งสัญญาณเตือนภัยได้ทัน เส้นปราณเหล่านั้นพุ่งทะลุหน้าผากของพวกเขาทันที!

ไม่มีกระทั่งโอกาสจะได้ส่งเสียงกรีดร้อง ผู้ฝึกตนนับสิบคนนั้น…ตายในบัดดล!

ผู้ฝึกตนทั้งสองที่อ้อยอิ่งอยู่เบื้องหลังถึงกับผงะด้วยความตื่นตะลึง ก่อนจะล่าถอยอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังสายเกินไป นัยน์ตาของตู้กูหลินส่องประกายก่อนที่จะใช้กระบวนเวทออกมา ผู้ฝึกตนทั้งสองตัวสั่นก่อนจะหยุดนิ่ง เส้นปราณสีโลหิตพุ่งออกมาจากวงแหวนปราณอีกครั้งและปักทะลุหน้าผากพวกเขาเช่นกัน!

ตู้กูหลินไม่ได้หันไปมองศพที่อยู่รอบกายเขาด้วยซ้ำ แต่กลับจ้องไปยังเส้นปราณสีโลหิตที่เคยสู้ด้วยก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ ชายหนุ่มหยิบแผ่นหยกที่เอาไว้ส่งสัญญาณเตือนคนอื่นๆ ออกมาถือในมือขวา นิ้วมือของเขาหยุดอยู่ตรงจุดที่จะส่งสัญญาณ มีประกายตาแรงกล้าฉายชัดอยู่ในแววตา ตู้กูหลินจ้องมองไปยังร่างทั้งสองที่ในที่สุดก็ปรากฏชัดขึ้นในวงแหวนปราณ ก่อนจะกล่าวอย่างช้าๆ

“ศิษย์ตู้กูหลินคารวะผู้อาวุโสหวังและผู้อาวุโสชิวหรัน!”

บทที่ 683 การกลับมา!
บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ซึ่งท้องฟ้าที่มืดมัวเต็มไปด้วยรอยฉีกขาดของห้วงอวกาศ และพื้นที่ต้องสาปปกคลุมทั่วผืนดิน หวังเป่าเล่อยืนนิ่ง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเคร่งขรึมและโทสะ ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันฟื้นคืนกลับมาหลังจากที่ถูกจู่โจมอย่างรุนแรงได้อย่างไร

ร่างนั้นเป็นร่างอวตารหรือ หวังเป่าเล่อเงียบงัน ความเคลือบแคลงใจฉายชัดอยู่ในแววตา ประกายเย็นเยียบสะท้อนอยู่รอบกายขณะที่พลังปราณมหาศาลไหลบ่าออกมา พลังนั้นแทรกแฝงไปด้วยความบ้าคลั่ง

เหลือเวลาไม่มากแล้ว…หวังเป่าเล่อหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าสองสามครั้ง ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าคลังเก็บของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นขึ้นมาโดยไม่รอช้า ก่อนจะพบเฟิ่งชิวหรันที่ถูกผนึกเอาไว้อยู่ภายใน

เฟิ่งชิวหรันบาดเจ็บสาหัสและไม่ได้สติอยู่ ทั้งพลังชีวิตและพลังวิญญาณของนางถูกใช้ไปจนเหือดแห้ง ไม่ใช่เพียงเพราะอาการบาดเจ็บเท่านั้น แต่เพราะนางไม่มีเวลาจะได้พักรักษาตัวแม้แต่น้อย ส่งผลให้อาการบาดเจ็บย่ำแย่ลงและพลังปราณของนางก็ตกลงมาสู่ขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น

เฟิ่งชิวหรันคอยยืนเคียงข้างและปกป้องหวังเป่าเล่อมาโดยตลอด ทัศนคติของนางต่อสหพันธรัฐเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ชายหนุ่มต้องช่วยนางเอาไว้ แม้ว่าจะรู้สึกกังวลไปหมด เขาก็ต้องบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ ก่อนจะดึงขวดออกมาขวดหนึ่ง และเทของเหลววิญญาณที่อยู่ภายในออกมา หวังเป่าเล่อสร้างผนึกฝ่ามือส่งของเหลววิญญาณเหล่านี้เข้าไปในกายเฟิ่งชิวหรัน

ของเหลววิญญาณนี้ไม่ใช่ของเหลวธรรมดาๆ เพียงแค่ขวดเดียวก็ยังให้ผลสุดมหัศจรรย์ ใบหน้าอันซีดเซียวราวกับศพของเฟิ่งชิวหรันมีสีเลือดขึ้นมาทันทีที่นางได้รับของเหลววิญญาณไป นางตัวสั่นน้อยๆ ก่อนจะลืมตาตื่น

นัยน์ตาของนางกระตุกเมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อ หลังจากที่ชายหนุ่มอธิบายไปยืดยาวนางก็เริ่มเชื่อว่าเขาเป็นตัวจริง เฟิ่งชิวหรันไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อยเมื่อรู้ว่าหวังเป่าเล่อบรรลุขั้นจุติวิญญาณแล้ว ถึงกระนั้น นางก็ยังทึ่งเมื่อมองเห็นศพผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่เรียงรายอยู่รอบกาย

นางสัมผัสได้ว่าการบรรลุขั้นของชายหนุ่มไม่ธรรมดา แต่ขณะนี้ก็ไม่ใช่เวลาถามหารายละเอียด พวกเขาไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อย หลังจากที่พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งคู่ก็พุ่งทะยานมุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล ณ ด้ามกระบี่ทันที

วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายในสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นเครื่องมือเดียวที่จะพาพวกเขาออกจากกระบี่สำริดเขียวโบราณได้ ทั้งคู่รู้ดีว่าพอไปปรากฏอยู่อีกฟากหนึ่งของวงแหวนปราณเมื่อใดก็อาจพบอันตรายได้ทุกเมื่อ ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินทางกลับไปยังสหพันธรัฐ

“เป่าเล่อ ของเหลววิญญาณในขวดนี้ช่างยอดเยี่ยม ความเข้มข้นขนาดนี้ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน แม้กระทั่งในยุครุ่งเรืองของสำนักวังเต๋าไพศาลก็ตาม ช่างเป็นโชคชะตาของเจ้าแล้วที่ได้พบของเหลวขวดนี้เข้า อย่าเอามาสิ้นเปลืองกับข้าเลย เก็บไว้เถิด เมื่อเรากลับไปยังสหพันธรัฐ เจ้า…” เฟิ่งชิวหรันควบคุมอาการบาดเจ็บของนางไว้ได้เพราะของเหลววิญญาณที่หวังเป่าเล่อมอบให้ก่อนหน้านี้ นางยื่นขวดส่งคืนให้ชายหนุ่ม หญิงวัยกลางคนรู้ระดับการบาดเจ็บของนางดี แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะหายดีในระยะเวลาเพียงเท่านี้ ของเหลววิญญาณขวดนี้ช่วยให้นางรักษาระดับพลังปราณในขั้นจุติวิญญาณเอาไว้ได้เพียงเท่านั้น

ของเหลววิญญาณมีมูลค่ามหาศาล และจะเป็นประโยชน์กับหวังเป่าเล่อมากกว่า เพราะอย่างไรเสีย เมื่อดูจากศพของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รอบกาย หวังเป่าเล่อในขณะนี้นั้นทรงพลังกว่าเฟิ่งชิวหรันไปแล้ว

“ผู้อาวุโสชิวหรัน ท่านต้องใช้ของเหลววิญญาณมากเพียงใดจึงจะรักษาระดับพลังปราณให้กลับไปอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณได้” หวังเป่าเล่อไม่ได้ยื่นมือออกมารับขวดแต่กลับถามคำถามนางแทน

เฟิ่งชิวหรันชะงัก ความไม่อยากเชื่อและความหวังเลือนรางปรากฏขึ้นในใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มถาม ประกายกล้าส่องสะท้อนอยู่ในแววตานาง ลมหายใจรัวเร็วขึ้นเล็กน้อย

“ห้าขวด…ไม่สิ สามขวดก็พอ!”

หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นมาอย่างเงียบงัน ชายหนุ่มตบกระเป๋าคลังเก็บของตนเองหนึ่งครั้ง ดึงขวดของเหลววิญญาณออกมาหกขวดก่อนจะโยนไปให้เฟิ่งชิวหรัน แต่ละขวดบรรจุของเหลววิญญาณจนแทบล้นออกมา การปรากฏของขวดทั้งหกทำให้อากาศโดยรอบหนาแน่นไปด้วยปราณวิญญาณเข้มข้น

“นี่มัน…” เฟิ่งชิวหรันจ้องมองขวดทั้งหก นางรู้สึกได้ถึงความเข้มข้นของของเหลววิญญาณภายใน ซึ่งทำเอานางผงะ ไป เฟิ่งชิวหรันยกมือขวาขึ้นและเก็บขวดทั้งหกเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองหวังเป่าเล่ออย่างจริงจังและกล่าวว่า

“เป่าเล่อ ขอเวลาข้าสองสัปดาห์ ข้าจะ…”

“สองสัปดาห์ยาวนานเกินไป! ผู้อาวุโสชิวหรัน ท่านสามารถรักษาตัวให้กลับไปอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณภายในสามวันได้หรือไม่” หวังเป่าเล่อหมุนมือขวาอีกครั้งก่อนจะดึงขวดของเหลววิญญาณออกมาอีกหลายสิบขวดจากบรรดานับร้อยๆ ขวดที่อยู่ในกระเป๋าคลังเก็บ ก่อนจะยื่นให้นางอีกครั้ง

“ได้!” เฟิ่งชิวหรันที่ตาแทบถลนตกปากรับคำอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาทั้งคู่ของนางส่องประกายกล้า จู่ๆ ก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้หลังจากที่ตอบไปอย่างเร่งรีบ นางยกมือขวาขึ้นและส่งกำไลคลังเวทอันหนึ่งให้หวังเป่าเล่อ

“อันนี้เป็นของเจ้าไม่ใช่หรือ ข้าเก็บมันเอาไว้ให้ตั้งแต่เรือบินรบนั้นจากไป”

หวังเป่าเล่อลิงโลดขึ้นมาเมื่อได้เห็น มันเป็นของเขาจริงๆ ชายหนุ่มทิ้งกำไลคลังเวทอันนี้ไว้กับร่างอวตาร มันจึงหายไปพร้อมๆ กับตอนที่ร่างอวตารถูกทำลาย ชายหนุ่มเก็บวัตถุเวทและสมบัติจำนวนมากเอาไว้ในนั้น

เพราะการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างตัวเขากับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทำให้ชายหนุ่มหมดสติไป หลังจากนั้นหวังเป่าเล่อก็วุ่นอยู่กับการบรรลุขั้นหลายครั้ง จึงยังไม่มีเวลาคร่ำครวญกับการเสียกำไลคลังเวทไปเท่าใดนัก ชายหนุ่มตั้งใจจะออกตามหามันหลังจากทุกอย่างสงบเรียบร้อย แต่ตอนนี้มันกลับมาหาเขาแล้ว หวังเป่าเล่อตรวจสอบของด้านในทันทีที่ได้รับ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้เฟิ่งชิวหรันเป็นเชิงขอบคุณ จากนั้นทั้งคู่ก็เร่งความเร็วพุ่งไปไกลลิบ

พวกเขาอยู่ห่างจากเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลพอสมควร ต้องใช้เวลาราวสองสัปดาห์หากเดินทางด้วยความเร็วธรรมดา แต่ด้วยความรอบรู้ของหวังเป่าเล่อเรื่องแท่นคงกระพัน การเดินทางระยะไกลจึงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

ชายหนุ่มนำเฟิ่งชิวหรันไปยังแท่นคงกระพันที่ใกล้ที่สุด ก่อนที่ทั้งคู่จะละลายกลายเป็นหมอกเคลื่อนที่และเดินทางมุ่งไปยังเกาะหลักบนด้ามกระบี่อย่างรวดเร็ว เฟิ่งชิวหรันคุ้นเคยกับแท่นคงกระพันดี แต่นางไม่มีสิทธิ์เปิดใช้แท่น แถมยังไม่รู้วิธีการควบคุม แม้ในยุครุ่งเรืองของสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้ที่ใช้แท่นคงกระพันได้ก็จะต้องเป็นศิษย์เอกขึ้นไปเท่านั้น

เฟิ่งชิวหรันมองวิธีที่หวังเป่าเล่อใช้แท่นคงกระพันอย่างชำนิชำนาญแล้วก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าชายหนุ่มเป็นศิษย์อุปถัมภ์ที่แท้จริง แต่ก็ยังไม่วายนึกสงสัย นางคิดว่าการที่หวังเป่าเล่อบรรลุขั้นการฝึกปราณได้อย่างต่อเนื่องนั้นต้องเป็นเพราะชายหนุ่มพบโอกาสชิ้นงามอย่างแน่นอน และดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่หลับไหลอยู่ด้วย

หวังเป่าเล่อไม่ปริปากพูดสิ่งใดแม้แต่น้อย เฟิ่งชิวหรันอาจจะคาดเดาไปต่างๆ นานา แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยปากถามเช่นกัน นางรู้ดีว่าเป้าหมายเดียวของหวังเป่าเล่อในยามนี้คือการเดินทางกลับไปยังสหพันธรัฐ ชายหนุ่มกังวลเรื่องนี้มากกว่านาง และแน่นอนว่าเขาเองยังกังวลเรื่องสงครามครั้งนี้มากกว่านางเช่นกัน

เมื่อชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร ก็แปลว่าโอกาสที่เขาได้รับและข้อมูลที่เขาได้มานั้นไม่มีประโยชน์กับสงครามครั้งนี้ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หวังเป่าเล่อเพิ่งจะค้นพบว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังไม่ตาย ชายหนุ่มอยากเดินทางกลับยังวังลำดับสามและร้องขอให้เหล่าบรรดาปรมาจารย์ตื่นจากการจำศีลและมาช่วยรณรงค์ในสงครามครั้งนี้!

ทว่าสุดท้ายแล้ว หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจไม่ทำเช่นนั้น!

ไม่มีใครรับรองได้ว่าความพยายามนั้นจะส่งผลดี มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าการปลุกพยัคฆ์มาไล่จิ้งจอกนั้น…อาจมีผลสะท้อนกลับรุนแรง พวกเขาอาจถูกพยัคฆ์ขย้ำกินเสียเองในตอนท้ายก็เป็นได้!

สหพันธรัฐในปัจจุบันไม่มีทั้งรากฐานและประสบการณ์ของการเป็นอารยธรรมฝึกปราณ ตามหลักการแล้ว พวกเขาควรจะแก้ปัญหาในปัจจุบันด้วยตนเองและค่อยๆ เติบโตขึ้นตามกาลเวลา ยิ่งไปกว่านั้น หากต้องเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายที่ยากเกินหลีกเลี่ยง หวังเป่าเล่อก็เลือกจะพึ่งพาศิษย์พี่ของเขามากกว่าผู้อาวุโสสำนักวังเต๋าไพศาล ที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วต้องการสิ่งใดกันแน่

คนสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างไรเสียก็เป็นคนนอกอยู่นั่นเอง…หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มยังคงระมัดระวังตัวอยู่เสมอกระทั่งกับเฟิ่งชิวหรัน แต่เขาได้ซ่อนความระแวดระวังนี้เอาไว้เป็นอย่างดีขณะที่ทั้งคู่มุ่งหน้าไปสู่เกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็ผ่านไปสองวัน!

สภาพแวดล้อมและอุณหภูมิบริเวณด้ามกระบี่โหดร้ายน้อยกว่าตัวกระบี่มากนัก ความเร็วของหมอกเคลื่อนย้ายเพิ่มขึ้นอย่างมาก หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันมาถึงเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลในอีกสองวันให้หลัง และตอนนั้นพลังปราณของเฟิ่งชิวหรันก็ฟื้นกลับมาเกือบจะสมบูรณ์แล้ว

เกาะหลักนั้นแทบจะว่างร้างผู้คน มีเพียงผู้ฝึกตนจำนวนหยิบมือที่หลงเหลืออยู่ มีคนตระกูลไม่รู้สิ้นยืนยามอยู่จำนวนหนึ่งเช่นกัน แต่พวกเขาก็ไม่อาจรับมือหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันได้ ทั้งคู่สังหารผู้ฝึกตนเหล่านั้นอย่างไร้เมตตา

การปะทะกันใช้เวลาไปเพียงสามสิบนาที สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นเจ็ดหรือแปดคนที่เหลืออยู่บนเกาะถูกสังหารสิ้น การกลับมาของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันถูกเก็บเป็นความลับ ไม่มีการส่งสัญญาณ ไม่มีการปล่อยข่าว ทั้งคู่เดินทางต่อไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายทันที เมื่อสำรวจตรวจตราวงแหวนปราณเสร็จ พวกเขาก็รีบเปิดใช้งานมัน

ลำแสงส่องสว่างขึ้นส่งเสียงดังกระหึ่ม ก่อนจะฉายโชนขึ้นไปยังฟากฟ้า แผ่นดินสั่นไหว หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันมองตากัน

“ผู้อาวุโสชิวหรัน เราควรจะอยู่ด้วยกัน โปรดตามข้ามา…เราจะสู้ฝ่าออกไปพร้อมกัน!”

“เรารออีกวันหนึ่งไม่ได้หรือ ข้าต้องการเวลาอีกวันเดียวเท่านั้นในการฟื้นฟูพลังปราณ ตอนนี้ข้าเกือบจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว” เฟิ่งชิวหรันนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะถาม

หวังเป่าเล่อไม่ได้เอ่ยคำ หากแต่หันหน้าไปหานางและก้มคำนับต่ำ

เฟิ่งชิวหรันจ้องมองหวังเป่าเล่อ นางสัมผัสได้ถึงภาระที่ชายหนุ่มแบกเอาไว้บนบ่า หญิงวัยกลางคนทำได้เพียงทอดถอนใจและไม่ตอบคำ เพียงแต่เรียกใช้พลังปราณของตน พลังขั้นเชื่อมวิญญาณทะลักล้นออกมาจากร่างขณะที่นางก้าวเข้าไปในวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย

หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก เส้นปราณสีโลหิตปรากฏขึ้นทั่วกาย ส่งเสียงดังเปรียะขณะที่รวมตัวกันเข้าเป็นเกราะจักรพรรดิสีโลหิต ร่างใหญ่ยักษ์น่าสะพรึงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกระหายการต่อสู้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเช่นกัน

วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเริ่มทำงานในวินาทีนั้น แสงสว่างจ้าฉายฉาบไปยังสรวงสวรรค์ขณะที่พลังวิญญาณทะลักเป็นคลื่นออกมาภายนอก ทั้งสวรรค์และพื้นปฐพีสั่นสะเทือน สายลมคลั่งพัดโบกอย่างรุนแรงทำให้ก้อนเมฆแตกกระจาย ก่อนที่ทั้งคู่…จะหายตัวไป!

บทที่ 682 อสูรยักษ์ที่น่าสะพรึงกลัว!
หวังเป่าเล่อท่องบทสวดอยู่ในใจ ขณะที่เอ่ยบางสิ่งซึ่งแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเสียงดังพลางโจมตีไปยังศัตรู ชายหนุ่มทำสิ่งนี้มาก่อนหน้านี้แล้วหลายต่อหลายครั้งจนเคยชิน

พลังของบทสวดส่งตรงมาจากฟากฟ้า ความหวาดหวั่นพุ่งขึ้นภายในใจของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้า จิตใจของพวกเขาว่างเปล่า แม้ว่าจะเป็นนักรบที่ผ่านศึกมามากมาย พวกเขาก็ยังตื่นตะลึงกับพลังอันมหาศาลนั้น มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ล่าถอยไปได้ทันท่วงที อีกสามคนเชื่องช้าเกินไป ภายในชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อก็มาปรากฏตรงหน้าของพวกเขาพร้อมกับเมฆหมอกพายุรุนแรง

เสียงกัปมนาทของอสนีบาตดังกึกก้อง หมอกระเบิด ส่งคลื่นกระแทกรุนแรงที่ผลักเลือดในกายของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งสามให้ทะลักออกมาจากปาก ผู้ฝึกตนคนที่พูดอยู่เมื่อครู่รับแรงระเบิดเข้าไปเต็มเปา ในเสี้ยววินาทีนั้น หัตถ์อวบอ้วนขนาดยักษ์ก็เอื้อมมาจับศีรษะของเขาเอาไว้

หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะกดฝ่ามือลงบนศีรษะของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น และขยี้อีกฝ่ายลงไปกับดินด้วยพลังหนักหน่วงราวกับลูกตะกั่วที่ถูกทิ้งลงมาจากหอคอยสูงเสียดฟ้า ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงดังสนั่นคำรามขึ้นอีกครั้งก่อนจะมีแอ่งแผ่นดินขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนพื้นดิน เป็นบริเวณที่หวังเป่าเล่ออัดผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นลงไปนั่นเอง!

เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของผู้ฝึกตนคนนั้นถูกกลบด้วยเสียงดังสนั่นของการกระแทก ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่ลอยอยู่กลางอากาศอีกสี่คนมีสีหน้าตื่นตกใจ ขณะที่หวังเป่าเล่อเดินออกมาจากแอ่งแผ่นดินช้าๆ

ชายหนุ่มตัวใหญ่ราวภูเขาเลากา ท่าทางน่าสะพรึงกลัว เขาดูไม่เหมือนมนุษย์แม้แต่น้อย แต่จะดูคล้ายอสูรร้ายโบราณเสียมากกว่า พลังที่แผ่ซ่านออกมาจากกายท่วมท้นอยู่ในอากาศและไหลบ่าเข้าไปกระตุ้นความกลัวในใจของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทุกคน

สิ่งที่ทำให้ภาพนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ…เส้นปราณสีโลหิตจำนวนมหาศาลที่ล่องลอยอยู่รอบๆ ภูเขาแห่งเนื้อหนังราวกับรยางค์ ก่อนจะพันผูกเข้าด้วยกันก่อตัวเป็นชุดเกราะหน้าตาน่าสะพรึงขณะที่หวังเป่าเล่อย่างสามขุมออกมาจากแอ่งแผ่นดิน ทำให้เขาดูน่าเกรงขามขึ้นอีกระดับหนึ่ง ชายหนุ่มบัดนี้ดูเหมือนเทพสงครามที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ก็ไม่ปาน!

มือขวาของเขาลากศพมาด้วยศพหนึ่ง ศีรษะทั้งสามของศพแหลกเหลว เลือดไหลแดงทาแผ่นดินเป็นทางยาว ภาพนั้น…ส่งเอากระแสแห่งความกลัวอันเย็นเยียบไหลผ่านสันหลังของทุกคนที่ได้พบเห็น!

“เจ้ามาจากอารยธรรมใดกัน”

“ดินแดนนี้เป็นสมบัติของตระกูลไม่รู้สิ้น อาจจะมีการเข้าใจผิดกันอะไรบางอย่าง…” ผู้ฝึกตนทั้งสี่ละล่ำละลักเมื่อเห็นภาพตรงหน้า พลางหันรีหันขวางปรึกษากันอยู่ไปมา

“สัตว์อสูรตนนี้คือสิ่งใดกัน”

“ข้าเคยได้ยินเรื่องของตระกูลชื่ออารยธรรมยักษ์ สมาชิกทุกคนของอารยธรรมนั้นเกิดมาเป็นกองเนื้อที่เติบโตขึ้นตามระดับการฝึกปราณ พวกเขาจะเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถกลืนกินดวงดาวได้ทั้งดวง!”

“เจ้าหนุ่มคนนี้อยู่ในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น แต่กลับแสดงพลังได้ทัดเทียมผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ หรือเขาจะมาจากอารยธรรมยักษ์” ลมหายใจของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งสี่ถี่เร็วด้วยความกังวล พลังวิญญาณที่หวังเป่าเล่อแผ่ออกมา พร้อมทั้งร่างกายอันใหญ่โตมโหฬาร ทำให้ทั้งสี่เกรงกลัวจนสุดประมาณ

หวังเป่าเล่อไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่ผู้ฝึกตนทั้งสี่พูด ชายหนุ่มลากศพออกมา นัยน์ตาทั้งคู่ส่องประกายเย็นเยียบ ตอนนั้นเอง เขาก็พุ่งทะยานเข้าใส่ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างรวดเร็วราวกับเป็นก้อนเนื้อขนาดยักษ์ที่กลิ้งหลุนๆ เข้าใส่

ศัตรูของเขามีสีหน้าตื่นตะลึง ก่อนจะพากันล่าถอยไม่เป็นกระบวน เมื่อนั้นเอง พลังของบทสวดที่ท่องอยู่เมื่อครู่ก็กลับปรากฏขึ้นอีกครั้งจากฟากฟ้าพร้อมการระเบิดที่ไร้เสียง ผู้ฝึกตนทั้งสี่ตัวสั่นเทา ประสาทสัมผัสมึนชา จิตใจก็มึนงง หวังเป่าเล่อไล่ตามทัน แต่แทนที่จะส่งกำปั้นเข้าใส่ ชายหนุ่มกลับใช้ร่างกายที่ใหญ่โตประหนึ่งภูเขาเลากาพุ่งเข้าหาผู้ฝึกตนคนหนึ่งแทน

เสียงกัมปนาทดังสนั่นเลื่อนลั่นไปทั่ว พลังที่ออกมาจากทั้งเกราะจักรพรรดิและกายของหวังเป่าเล่อก่อให้เกิดแรงกระแทกมหาศาล พอๆ กับถูกอุกกาบาตขนาดย่อมๆ พุ่งชน เสียงกระดูกแตกและเสียงตะโกนอย่างเจ็บปวดดังออกมา ผู้ฝึกตนที่ถูกหวังเป่าเล่อพุ่งชนไม่อาจต้านทานการโจมตีนั้นได้ ร่างกายของเขาแหลกเหลวไปในพริบตา เลือดกระจายเป็นฝอยอยู่ในอากาศ วิญญาณจุติของเขาพยายามจะหนี แต่ก็ไม่อาจหลบเมล็ดดูดกลืนและเกราะจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อได้

วิญญาณจุติพยายามดิ้นรนแต่ก็ไม่เป็นผล มันดิ้นหนีพลังดูดกลืนมหาศาลที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นไม่พ้น จนถูกหวังเป่าเล่อดูดเข้าไปในที่สุด เกราะจักรพรรดิกลืนวิญญาณจุติเข้าไปราวกับเป็นขนม หวังเป่าเล่อเรอก่อนเลียริมฝีปากและเงยหน้าขึ้นมองผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอีกสามคน ทั้งสามตัวสั่นเทา ขนหัวลุกชันไปจนหมด พวกเขาหนีอย่างไม่คิดชีวิต แยกกันออกเป็นสามทาง

พยายามจะหนีอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มเหวี่ยงศพในมือขวาเข้าใส่ผู้ฝึกตนที่วิ่งหนีไปทางขวาอย่างแรง เกราะจักรพรรดิกระตุกก่อนจะแยกส่วนออกมา แปรสภาพกลับเป็นเส้นปราณสีโลหิตที่พุ่งออกไปหาผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคน เส้นปราณเหล่านั้นพุ่งถึงตัวเขาทันที ผู้ฝึกตนคนนั้นส่งเสียงร้องพลางพยายามดิ้นหนีแต่ก็ไม่เป็นผล เส้นปราณเหล่านั้นล้อมรอบกายเขาก่อนจะกลายเป็นเกราะจักรพรรดิที่เป็นเสมือนคุกขังอีกฝ่ายไปโดยปริยาย

เสียงตะโกนด้วยความกลัวของชายผู้นั้นเงียบหายไปแทบจะในทันที หวังเป่าเล่อพุ่งตัวออกไปปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ ชายหนุ่มกำลังไล่ตามผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคนหนึ่ง

เมื่อไม่มีเกราะจักรพรรดิ พลังการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อก็ลดระดับลงจากขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่กายเนื้อที่แข็งแกร่งของชายหนุ่ม บวกกับพลังปราณขั้นจุติวิญญาณ รวมทั้งปราณวิญญาณมหาศาลภายในกายทำให้พลังในการสังหารของเขายังคงยอดเยี่ยม หวังเป่าเล่อปล่อยปราณวิญญาณในร่างออกมาเต็มที่ ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นเพิ่งจะตั้งตัวได้หลังการปลดปล่อยพลังอันยิ่งใหญ่ก่อนหน้า หวังเป่าเล่อก็ซัดเขาจนร่วงจมดินไปด้วยหมัดระเบิดกำเนิดดวงดารา สร้างความเสียหายหนักจนผู้ฝึกตนคนนั้นต้องกระอักเอาโลหิตออกมากองใหญ่

หวังเป่าเล่อโบกมือเพียงครั้งเดียวก็มีหุ่นเชิดจำนวนมากพุ่งออกมาจับกุมผู้ฝึกตนคนนั้นไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณจุติของเขาหลบหนี หวังเป่าเล่อเตะเส้นปราณของอีกฝ่าย แรงเตะส่งคลื่นพลังวิญญาณมหาศาลเข้าไปในกายผู้ฝึกตนคนนั้น ปิดผนึกวิญญาณจุติของเขาเอาไว้อย่างหมดจด

ทุกสิ่งเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่หนีไปทางขวา ถึงกับผงะเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อจัดการกับสหายทั้งสองของตนได้อย่างง่ายดาย เขาเอี้ยวตัวหลบศพที่หวังเป่าเล่อเหวี่ยงใส่และกำลังออกวิ่งหนีเต็มฝีเท้า

ตอนนั้นเอง ศพไร้ศีรษะก็ระเบิด เส้นใยสีดำจำนวนมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากเลือดและเนื้อที่แยกออกจากกัน และรวมตัวกันเป็นเงาคน เงานั้นคือร่างอวตารของหวังเป่าเล่อนั่นเอง!

ร่างอวตารรีบรุดเข้าไปจับผู้ฝึกตนคนนั้นไม่ให้หนี แน่นอนว่านี่ไม่ใช่จุดประสงค์หลักของมัน เป้าหมายหลักของการใช้ร่างอวตารในครั้งนี้มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ…เพื่อสลับตำแหน่งกับหวังเป่าเล่อนั่นเอง!

หวังเป่าเล่อสลับตำแหน่งกับร่างอวตารในพริบตา การสลับร่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป จนหัวใจของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนสุดท้ายเต้นโครมครามด้วยความกลัว เขาไม่มีเวลากระทั่งจะเร่งความเร็วก่อนที่จะถูกหวังเป่าเล่อจับ พลังจากบทสวดเมื่อครู่พุ่งกระแทกลงกับพื้นพร้อมๆ กันกับพลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของหวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นกรีดร้องด้วยความกลัว ก่อนที่ศีรษะสองในสามของเขาจะถูกบดขยี้จนแหลก พร้อมกับกายที่ถูกกระแทกลงจมแผ่นดิน เขาหมดสติไปทันที

ภายในชั่วพริบตา ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าคน ถูกสังหารไปสองคน บาดเจ็บสาหัสสองคน อีกหนึ่งคนถูกจับกุมเอาไว้!

ผู้ที่ได้พบเห็นการต่อสู้ครั้งนี้คงต้องตกใจเหลือล้นพ้นประมาณเป็นแน่!

หวังเป่าเล่อเองก็ควรภูมิใจในตนเองเช่นกัน แต่ชายหนุ่มไม่มีเวลามาคิดเรื่องนั้นในตอนนี้ เฟิ่งชิวหรันถูกไล่ล่ามาอย่างไม่ลดละ และตระกูลไม่รู้สิ้นก็ยังคงก่อความวุ่นวายไปทั่ว สถานการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคาดคิดแม้สักนิด

บางทีศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอาจจะไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้กระมัง หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มก้มลงจับตัวผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่สลบไสลไม่ได้สติเอาไว้ ก่อนจะก้าวออกไปปรากฏตัวอยู่ข้างๆ ผู้ฝึกตนอีกคนที่ถูกหุ่นเชิดของเขาจับตัวอยู่

เส้นปราณของผู้ฝึกตนคนนั้นเสียหายอย่างหนัก พลังปราณก็ถดถอยไปมากเช่นกัน แถมวิญญาณจุติก็ไม่อาจหลบหนีได้ ผู้ฝึกตนคนนั้นถูกหุ่นเชิดจำนวนมากจับเอาไว้อย่างแน่นหนา สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือจ้องมองหวังเป่าเล่อที่ย่างกรายเข้ามาด้วยสายตาเคียดแค้นก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าลบหลู่ตระกูลไม่รู้สิ้น เจ้า…”

“พูดมากชะมัด!” หวังเป่าเล่อพูดออกมาอย่างสบายใจ ก่อนจะยกมือขึ้นกดหน้าผากผู้ฝึกตนคนนั้นและใช้คาถาค้นวิญญาณ ที่ผ่านมาชายหนุ่มอาจใช้คาถาได้ไม่คล่องนัก แต่ตั้งแต่บรรลุขั้นจุติวิญญาณมาก็สามารถใช้ได้ดีขึ้นแล้ว

ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นตัวสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึมขึ้นทันที หลังจากผ่านไปสิบวินาทีกว่า ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น ลมหายใจของเขาถี่เร็ว มีความไม่อยากเชื่อปรากฏอยู่ในแววตา เขาหันกลับไปมองผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่หมดสติก่อนจะใช้คาถาค้นวิญญาณอีกครั้ง

ชายหนุ่มยังไม่อาจเชื่อข้อมูลที่เขาได้รับจากการค้นวิญญาณครั้งที่สอง หวังเป่าเล่อบินข้ามบริเวณไปยังบริเวณที่เกราะจักรพรรดิของเขาตั้งอยู่ ก่อนจะจับตัวผู้ฝึกตนอีกคนออกมาจากเกราะ และใช้คาถาค้นวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง!

คำตอบที่ได้รับจากการค้นวิญญาณสามครั้งตรงกัน!

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังไม่ตาย สำนักวังเต๋าไพศาลกับสหพันธรัฐ…กำลังมีสงครามครั้งใหญ่!

บทที่ 681 ไปตกปลากันไหม
หวังเป่าเล่อผู้ที่ยังไม่รู้เรื่องสงครามยังคงเดินทางข้ามตัวกระบี่ต่อไป ชายหนุ่มเหาะเหินอย่างรวดเร็วข้ามพื้นดิน ข้ามรอยฉีกขาดของอวกาศ พื้นที่ต้องสาป เปลือกแผ่นดินที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งปีศาจและอสูรที่เดินด้อมๆ มองๆ อยู่ไปสิ้น

ดูราวกับว่าไม่มีสิ่งใดจะหยุดการเคลื่อนไหวของหมอกซึ่งเคลื่อนที่ผ่านท้องฟ้าและผืนแผ่นดินไปอย่างรวดเร็วได้!

หมอกเคลื่อนที่มหัศจรรย์เสียจนหวังเป่าเล่อแอบเสียดายโอกาส เพราะไม่ได้เปิดเผยร่างอันงดงามของเขาให้โลกใบนี้ได้ชมเป็นขวัญตา

“นี่เป็นจะเป็นการลดน้ำหนักครั้งสุดท้ายของข้า!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองภายในหมอกเคลื่อนย้าย ชายหนุ่มตัดสินใจหนักแน่น สิ่งแรกที่เขาจะทำเมื่อกลับถึงสหพันธรัฐและหลังจากเข้ารับตำแหน่งผู้นำแห่งสหพันธรัฐคือการออกประกาศ หวังเป่าเล่อจะนิยามความอ้วนเป็นมาตรฐานของความงาม

ทุกๆ คนจะต้องขุนตัวเองให้อ้วนขึ้น เป็นวิธีเดียวที่จะรับประกันว่าโลกจะก้าวไปข้างหน้า เป็นทางเดียวที่จะข่มขู่บรรดาอารยธรรมต่างดาวที่จะเข้ามารุกราน! ยิ่งชายหนุ่มคิดเรื่องนี้มากเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าสมเหตุสมผลขึ้นเท่านั้น ร่างกายที่ใหญ่โตนั้นดูน่าเกรงขามจริงๆ

ข้าหมายถึงว่า หากจับภูเขากองเนื้อกับถั่วงอกมาวางไว้ข้างเคียงกัน ผู้คนจะเกรงกลัวสิ่งใดมากกว่ากัน หวังเป่าเล่อเล่อครุ่นคิดอย่างจริงจังก่อนจะตกลงปลงใจว่าสิ่งแรกย่อมต้องน่ากลัวกว่า เป็นการยืนยันความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี

เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ เพื่ออนาคตของอารยธรรมของเรา…และเพื่อการศึกษาค้นคว้าสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของบรรพบุรุษข้า มันอาจมีความลับอันยิ่งใหญ่บางอย่างซ่อนเร้นอยู่ก็เป็นได้! หวังเป่าเล่อปล่อยให้จินตนาการของเขาเตลิดไปไกลขณะที่กายก็เดินทางใกล้ด้ามกระบี่เข้าไปทุกที

เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ด้วยความเร็วปัจจุบัน หวังเป่าเล่อคาดว่าเขาจะพ้นเขตตัวกระบี่ในอีกร่วมๆ หนึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มเริ่มเพ้อฝันไปถึงอนาคตของตนเองอีกครั้ง ความคาดหวังเพิ่มพูนขึ้นในใจขณะที่เดินทางต่อไป แต่จู่ๆ ก็มีบางอย่างดึงความสนใจของเขาไป หมอกเคลื่อนที่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ มันแหวกออกเผยให้ใบหน้าตื่นตกใจของหวังเป่าเล่อ

ข้าสัมผัสได้ถึงพลังเทพของขั้นเชื่อมวิญญาณ… ศีรษะของชายหนุ่มเอียงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือขณะที่สายตาของเขาเพ่งมองไปไกล หวังเป่าเล่อมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ทว่าตั้งแต่ที่ปราณของเขาบรรลุถึงขั้นจุติวิญญาณ จิตสัมผัสวิญญาณก็เฉียบคมขึ้นเป็นอันมาก จิตสัมผัสนั้นบอกเขาว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่น

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ แล้วจึงเปลี่ยนทิศทางของหมอกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือแทน

คำสาปที่กระจายอยู่ทั่วไปทำให้ดินแดนนั้นมีแต่ความมืดมิด รอยฉีกขาดของห้วงอวกาศปรากฏให้เห็นบนท้องฟ้าอยู่ประปราย บนท้องนภามีสตรีในวัยกลางคน ใบหน้าซีดขาวผมเผ้ายุ่งเหยิงกำลังวิ่งเต็มฝีเท้าเพื่อเอาชีวิตรอด

นางบาดเจ็บหนัก และการวิ่งหนีเต็มฝีเท้าก็ไม่ส่งผลดีกับบาดแผลบนร่างเท่าใดนัก โลหิตหลั่งไหลออกมาจากริมฝีปากของนางอย่างต่อเนื่อง ด้านหลังมีร่างจำนวนมากที่วิ่งไล่ตามมา ทุกร่างต่างแผ่รัศมีเย็นเยียบออกมา ร่างเหล่านั้นโผล่ออกมาจากทั่วทุกสารทิศ ล้อมรอบสตรีนางนั้นเอาไว้พร้อมกับปิดทางหนีของนางจนสิ้น

ร่างที่วิ่งตามมาเหล่านั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล ศีรษะทั้งสามและแขนหกข้างบ่งบอกว่าพวกมันเป็นสมาชิกของตระกูลไม่รู้สิ้น!

สตรีนางนั้น…มีใบหน้าอันคุ้นเคยที่ไม่ว่าผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลคนใดก็ต้องรู้จัก นางคือ…หนึ่งในสี่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล เฟิ่งชิวหรันนั่นเอง!

เจ้าเยี่ยเหมิงไม่ใช่คนเดียวที่หนีรอดออกมาได้จากครั้งที่หวังเป่าเล่อระเบิดเกราะจักรพรรดิในเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นและทำลายคลื่นแทรกการเคลื่อนย้าย เฟิ่งชิวหรันเองก็หนีออกมาได้เช่นกัน!

หากเทียบกับเจ้าเยี่ยเหมิงแล้ว เฟิ่งชิวหรันเป็นเป้าหมายที่สำคัญกว่ามากสำหรับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน แม้ว่าเขาจะเลือกติดตามหวังเป่าเล่อไปเพราะความแค้น แต่ชายชราก็ไม่ลืมที่จะส่งสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นไปไล่ตามเฟิ่งชิวหรัน

หลังจากที่ฟื้นคืนชีวิต ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนำเมี่ยเลี่ยจื่อและเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นออกจากกระบี่สำริดเขียวโบราณและมุ่งหน้าไปยังสหพันธรัฐ แต่ถึงกระนั้น คำสั่งของเขาที่ให้ไล่ล่าและสังหารเฟิ่งชิวหรันก็ยังคงอยู่

เฟิ่งชิวหรันซ่อนตัวมาโดยตลอด รอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด หากนางไม่ได้อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณและมีวิธีการเอาตัวรอดซ่อนเร้นอยู่บ้าง ก็คงถูกสังหารไปนานแล้ว

ถึงกระนั้น…เฟิ่งชิวหรันก็กำลังจะถึงขีดสุด ระดับพลังปราณของนางลดต่ำลงจากขั้นเชื่อมวิญญาณมาสู่ขั้นจุติวิญญาณ เมื่อถูกพบตัวอีกครั้ง นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลบหนี แต่เพราะอาการบาดเจ็บสาหัส ความเหนื่อยล้าเหลือประมาณ และความรู้สึกผิดอย่างรุนแรงที่เกาะกุมจิตใจ ได้ดึงรั้งให้เฟิ่งชิวหรันมีสภาพราวกับตายทั้งเป็น

เฟิ่งชิวหรันหมดสิ้นความหวัง มองไม่เห็นอนาคต ไร้ซึ่งทางที่จะมีชีวิตรอด โชคชะตาของนางถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่วินาทีที่หญิงวัยกลางคนก้าวขึ้นไปบนเรือบินรบลำนั้น

ชีวิตข้าจะต้องสิ้นสุดตรงนี้แล้วหรือ…รอยยิ้มขมขื่นฉายฉาบบนริมฝีปากของเฟิ่งชิวหรัน นางบ้วนเอาเลือดออกมากองใหญ่ ไม่อาจควบคุมอาการบาดเจ็บสาหัสในร่างกายได้อีกต่อไป ความบาดเจ็บกำลังประทุษร้ายร่างกายนางจากภายใน อวัยวะภายในของนางทั้งบอบช้ำและมีเลือดออก เส้นปราณก็ยุบไปหลายจุด ชีวิตกำลังหลั่งไหลออกจากร่างไม่หยุดหย่อน เฟิ่งชิวหรันสัมผัสได้เพียงความสิ้นหวัง

สายตาของนางพร่ามัวเมื่อผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นสามคนเข้าขนาบทั้งสองด้าน นัยน์ตาของพวกเขาทั้งสามเย็บเยียบขณะที่พุ่งตัวเข้ามาใส่เฟิ่งชิวหรันอย่างรวดเร็วราวกับเป็นลูกศรจากแล่ง ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคนหนึ่งประชิดตัวนางจากด้านหลังด้วยความเร็วสูง ด้านหน้าเฟิ่งชิวหรัก็มีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นพุ่งเข้ามาหาเช่นกัน

มีทั้งสิ้นด้วยกันห้าคน บ้างก็มีรอยยิ้มแสยะอยู่บนริมฝีปาก บ้างก็ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ โดยสิ้นเชิง บ้างก็แสดงความตื่นเต้นออกมาทางสีหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาทุกคนมีแผลเก่าที่ยังไม่หาย แถมยังอยู่ในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่ทั้งห้าคนจะรุมเฟิ่งชิวหรันซึ่งกำลังเจ็บหนัก หากไม่กลัวว่าเฟิ่งชิวหรันจะใช้การโจมตีรุนแรงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะสิ้นใจ พวกเขาก็คงสังหารนางไปเสียนานแล้ว

แต่ทั้งห้ายังไว้ชีวิตนางเพราะอีกเหตุผลหนึ่งด้วย ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันต้องการจับเป็นนางหากเป็นไปได้ การมีเฟิ่งชิวหรันอยู่ก็เปรียบเสมือนมีลูกสมุนขั้นเชื่อมวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกคน อีกอย่างหนึ่ง เฟิ่งชิวหรันเป็นคนสำคัญที่มีสถานะสูงส่งให้สำนักวังเต๋าไพศาล นางย่อมช่วยศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยึดครองสำนักวังเต๋าไพศาลได้โดยสมบูรณ์

สิ่งนี้เป็นเหตุผลเดียวที่เฟิ่งชิวหรันยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ ถึงกระนั้น…นางก็อับจนหนทาง เฟิ่งชิวหรันบัดนี้ราวกับเป็นสัตว์ป่าที่ติดกับ ไร้พลังและไร้ทางสู้โดยสิ้นเชิง ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าเข้ามาพร้อมกันโดยหวังจะสังหารนางเสีย!

เสียงฟ้าผ่าดังกระหึ่มก้องฟ้า ขณะที่เกราะกำบังเจือจางก่อตัวขึ้นรอบกายเฟิ่งชิวหรัน ป้องกันนางจากคาถาของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้า แถมยังมีแรงสะท้อนที่ส่งพวกเขาทั้งหมดลอยละล่องไป พวกเขาไม่ได้บาดเจ็บมากมายจากแรงสะท้อนกลับ แต่เฟิ่งชิวหรันคายเลือดออกมาอีกหนึ่งกองใหญ่ ก่อนจะทรุดลงไปนอนกับพื้น ไม่อาจหนีได้อีกต่อไป

ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้ารีบรุดกลับมาหาเฟิ่งชิวหรันในพริบตา ก่อนที่สองคนจะเริ่มสร้างผนึกฝ่ามือและร่ายคำสาปออกมา

“มี่เจิน!”

จู่ๆ ก็มีพลังมหาศาลที่ราวกับจะกดทับวิญญาณของคนได้พวยพุ่งลงมาจากสรวงสวรรค์ ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นอีกสามคนหยิบกระจกบานเล็กๆ ออกมา แสงที่สะท้อนออกมาจากกระจกเหล่านั้นผสานตัวกันเป็นเส้นใยมายาขนาดใหญ่ราวตาข่ายที่พุ่งตรงเข้าหาเฟิ่งชิวหรันอย่างรวดเร็ว

ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตาเดียว ผู้ฝึกตนทั้งห้าโจมตีผสานกันได้อย่างไร้ที่ติ และในสภาพปัจจุบัน เฟิ่งชิวหรันไม่อาจรับมือพวกเขาได้แม้แต่น้อย เส้นใยเรืองแสงพุ่งเข้าคลุมและรัดตัวนางเอาไว้แน่น สายฟ้าแตกเปรียะขณะที่ไหลบ่าผ่านตาข่ายอย่างรวดเร็ว ทำให้เฟิ่งชิวหรันต้องบ้วนเลือดออกมาอีกกองก่อนจะหมดสติไป

“ไปกันเถิด!” ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าไม่รอช้า พวกเขาแปรสภาพเป็นสายรุ้งห้าเส้นทันทีก่อนจะพวยพุ่งออกไปไกลลิบ ทั้งหมดตั้งใจจะไปจากที่นี่เพื่อรายงานความสำเร็จในการจับกุมตัวเฟิ่งชิวหรัน

แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะจากไปนั่นเอง หมอกกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากขอบฟ้าไกลๆ มันดูเหมือนหมอกธรรมดาๆ ในตอนแรก แต่เมื่อสังเกตเห็นผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น หมอกนั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป มันขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วพลางส่งเสียงครั่นครืนไม่หยุด ก่อนจะก่อตัวเป็นใบหน้าขนาดใหญ่

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อนั่นเอง!

ชายหนุ่มมองเห็นผู้ฝึกตนทั้งห้าและเฟิ่งชิวหรัน ผู้สลบไสลไม่ได้สติอยู่ภายในตาข่ายเรืองแสงนั้น

สายตาของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าเบนไปหาหวังเป่าเล่อทันทีที่เขาเผยกาย ประกายสว่างจ้าปรากฏขึ้นบนดวงตา พวกเขาไม่ได้ถอยหนี แต่กลับหยุดนิ่ง มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้ฝึกตนคนหนึ่ง เป็นรอยยิ้มเปื้อนไปด้วยความบ้าคลั่งและเหยียดหยาม เขาใส่เฟิ่งชิวหรันลงไปในกระเป๋าคลังเก็บ ก่อนจะกระซิบบางอย่างกับสหายเป็นภาษาตระกูลไม่รู้สิ้น

“เจ้าแพ้พนันแล้ว ข้าบอกแล้วว่าเราไม่จำเป็นต้องรีบจับเฟิ่งชิวหรัน หากไล่ตามนางไปอีกสักพัก เราต้องล่อพวกคนโชคร้ายออกมาได้อีกแน่นอน เห็นหรือยังว่าเราตกได้ปลาตัวใหญ่เชียวละ”

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องสว่างขณะที่ร่างของเขาลอยอยู่กลางอากาศ ชายหนุ่มเริ่มท่องบทสวดในศีรษะก่อนที่ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นๆ จะได้ตอบคำสหาย จากนั้น ขณะที่พลังมหาศาลกำลังเคลื่อนตัวลงมาจากท้องฟ้า ชายหนุ่มก็กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็นเป็นภาษาโบราณของสำนักแห่งความมืด

“พวกเจ้าเคยตกได้ปลาฉลามหรือไม่เล่า”

ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ พลังอันยิ่งใหญ่ของบทสวดก็พวยพุ่งลงมาจากท้องฟ้าและไหลบ่าท่วมไปทั้งบริเวณ!

กลุ่มควันที่รวมตัวกันเป็นใบหน้าของหวังเป่าเล่อส่งเสียงคำรามและเริ่มระเหิดไป ก่อนจะพุ่งตรงเข้าใส่ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าด้วยความรุนแรงราวกับเป็นคลื่นคลั่ง!

บทที่ 680 หลี่อู๋เฉินเป็นคนชั่วช้า!
ขณะที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางสระนั้น หวังเป่าเล่อดูราวกับเป็นเทพสงครามผู้อ้วนท้วนบริบูรณ์ น่ากลัวไม่ต่างจากอสูรที่กำลังแผ่รังสีความอำมหิตออกมา!

บนแขนข้างขวาของเกราะคือแขนกระดูกอาวุธเทพ ที่พลังเพิ่มพูนขึ้นเช่นกันจากการได้รับปราณวิญญาณเพิ่ม ขณะนี้อาวุธเทพนี้รวมกับเกราะของหวังเป่าเล่อเป็นเนื้อเดียว พลังที่แผ่ออกมาจากเกราะนั้นก้าวพ้นขั้นจุติวิญญาณไปเทียบเท่าขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว

หวังเป่าเล่อขณะนี้นั้นสามารถปลดปล่อยพลังสูงสุดของเขาออกมาได้ หากต้องเผชิญกับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ไม่ต้องพึ่งเล่ห์กลเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้ว!

ในที่สุดระดับน้ำในสระก็เริ่มลดลงบ้าง เกราะจักรพรรดิลักอัคคีค่อยๆ ถึงขีดจำกัดอย่างช้าๆ หากต้องดูดกลืนปราณวิญญาณเข้าไปอีกอาจทำให้เกราะระเบิดก็เป็นได้ เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็คิดว่าเขาคงสามารถดูดกลืนต่อไปได้อีกสักหน่อย แต่ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะดูดกลืนต่อนั้นเอง…

ศพที่นั่งอยู่บนใบบัวห่างออกไปที่เพิ่งเปิดตาขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง…จู่ๆ ก็ลืมตาโพลงขึ้นมา นัยน์ตาทั้งคู่อาบเคลือบไปด้วยความสับสนและแสงสีขาว ศพยกมือขวาขึ้นและขยับนิ้วอย่างแผ่วเบาราวกับเป็นนิสัยเคยชิน

พลังอันยากจะอธิบายระเบิดขึ้นต่อหน้าหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มผงะถอยหลังอย่างตกตะลึง ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนองการจู่โจมอันฉับพลันนั้น ร่างของเขาก็ถูกเหวี่ยงไปข้างหลัง ชายหนุ่มถูกโยนออกไปจากสระ พ้นประตูวังพุ่งตรงออกไปด้านนอก

“เกิดอะไรขึ้นกัน” เสียงตะโกนด้วยความตกใจของหวังเป่าเล่อยังคงสะท้อนก้องไปทั่วโถงก่อนค่อยๆ จางหายไปช้าๆ แสงสีขาวในดวงตาของศพก็ค่อยๆ จางหายไปในเวลาเดียวกัน เผยให้เห็นแววตาแห่งความเข้าใจรางๆ

ราวกับว่าศพนั้นเพิ่งจะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ในตอนนั้น มันกวาดตามองสิ่งรอบกายอย่างงงงวย ก่อนจะทำหน้ามุ่ยเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณรอบๆ กาย

“รัศมีของหลี่อู๋เฉิน…ไม่สิ มีคนนอกอยู่คนหนึ่งด้วย…” ศพพึมพำ ก่อนจะหลุบศีรษะลงจ้องมองสระน้ำ ผ่านไปพักใหญ่จึงโคลงศีรษะไปมา

“ข้าสงสัยมาตลอดว่าเจ้าหลี่อู๋เฉินตัวแสบต้องกำลังวางแผนการร้ายอะไรอยู่เป็นแน่ แล้วข้าก็คิดถูกเสียด้วย เจ้าคนโลภโมโทสัน!” ศพพึมพำอีกครั้ง อาจเป็นเพราะเพิ่งตื่นขึ้นมาหรือเพราะอาการบาดเจ็บรุนแรง จึงทำให้มันไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ศพไม่ได้ทำสิ่งใดต่อ นอกจากหลับตาลงและเริ่มหลับลึกต่อไป

ฝ่ายหวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับว่าถูกขับออกมาจากวังด้วยแรงการโจมตีอันหนักหน่วงและรุนแรง ชายหนุ่มไม่อาจหยุดร่างกายได้เมื่อถูกเหวี่ยงออกมาไม่ว่าจะพยายามมากสักเพียงใด เขาถูกเหวี่ยงออกมาห่างวังร่วมห้าสิบกิโลเมตร ผมเผ้ายุ่งเหยิงดูน่าเวทนายิ่ง

หวังเป่าเล่อไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง เพียงแต่ระบมไปทั่วทั้งร่าง ชายหนุ่มแยกเขี้ยวและบ่นพึมพำอย่างฉุนเฉียว

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ข้าขออนุญาตดูดน้ำออกมาจากสระแล้วไม่ใช่หรือ ไม่มีใครคัดค้านเสียหน่อย…อีกอย่างหนึ่ง ข้าไม่ได้จะเอาทั้งหมดด้วย เพียงจะขอแบ่งไปบ้างก็เท่านั้น หวังเป่าเล่อนึกย้อนไปถึงสถานการณ์ในวัง คาดเดาได้อย่างแม่นยำว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่เขาจะถูกผลักออกมานั้น ชายหนุ่มมองเห็นร่างหนึ่งบนใบบัวยกมือขึ้น ผู้อาวุโสแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลในดูราวกับ…ยังมีชีวิตอยู่กระนั้น

หวังเป่าเล่อทอดถอนใจก่อนจะซวนเซลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มก้มลงมองท้อง ก่อนจะหันคอด้วยความยากลำบากไปมองรอบกาย แล้วจึงรู้ว่าตัวเขาขณะนี้อยู่ที่ไหนสักแห่งระหว่างปลายกระบี่กับตัวกระบี่ หวังเป่าเล่อจ้องมองไปยังทิศของวังอย่างโหยหาแต่ตัดสินใจยอมแพ้หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่ระยะหนึ่ง

“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ช่างเถอะ หากวังไม่ต้องการข้าแล้วอย่างไรกัน จะต้องมีที่อื่นที่ต้อนรับข้าอย่างแน่นอน ข้าจะไม่ขอทนอยู่ที่นี่อีกต่อไป ข้าจะกลับไปสู่สหพันธรัฐ เพื่อรับตำแหน่งผู้นำ!” หวังเป่าเล่อพึมพำ ชายหนุ่มคิดถึงคุณงามความดีที่เขาทำให้กับสหพันธรัฐ รวมถึงการที่เขาจัดการศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ซึ่งนับเป็นการปัดเป่าเสี้ยนหนามของสหพันธรัฐด้วย ถือเป็นความสำเร็จอันใหญ่หลวง และชายหนุ่มก็ยังส่งเคล็ดวิชาการฝึกปราณจำนวนไม่น้อยกลับไปยังสหพันธรัฐอีกต่างหาก ต้วนมู่น้อยต้องยกตำแหน่งผู้นำของสหพันธรัฐคนต่อไปให้เขาเป็นแน่ หาไม่แล้วก็คงไม่สมเหตุผลอย่างยิ่ง

หวังเป่าเล่อยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น การจะได้เป็นผู้นำของสหพันธรัฐเป็นความฝันของเขามาตลอดชีวิต แม้จะดูห่างไกลมาโดยตลอด แต่บัดนี้ ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น หวังเป่าเล่อเชิดหน้าขึ้นทันที ความเจ็บปวดรวดร้าวอันตรธานหายไป ชายหนุ่มลืมความรู้สึกหงุดหงิดและเศร้าสร้อยเมื่อครู่ไปหมดสิ้น พลางเงยหน้าขึ้นมองหาแท่นคงกระพัน

แต่ขณะนี้หวังเป่าเล่ออ้วนเกินไป ไขมันวิญญาณในร่างก็หนาแน่นนัก ทำให้ตัวเขาในตอนนี้หนักมาก ไขมันวิญญาณที่หวังเป่าเล่อมีอยู่ในร่างมาตลอดไม่ได้หนึ่งในสิบของตอนนี้ด้วยซ้ำไป ณ ขณะนี้ น้ำหนักของเขาพุ่งสูงจนน่ากลัว ชายหนุ่มดูคล้ายภูเขาเนื้อหนังหากมองจากที่ไกลๆ

ไม่ว่าเป็นใครหากได้เห็นหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็คงต้องตื่นกลัว เพราะคิดว่าพบอสูรร้ายน่าสะพรึงกลัวนั่นเอง

หวังเป่าเล่อกระโจนขึ้นฟ้ามาด้วยความปรีดา แต่ในทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มก็ร่วงหล่นลงมาบนพื้นชนิดแทบจะหัวคะมำลงกับดิน เขารู้สึกราวกับว่าแบกภูเขาใหญ่โตเอาไว้บนบ่า หวังเป่าเล่อใช้ความพยายามอย่างหนักก่อนที่จะจัดการกับตนเองได้ แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ทั้งร่างของชายหนุ่มก็อาบโทรมไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ

ไม่ได้การ ข้ากลับไปที่สหพันธรัฐตอนนี้ไม่ได้ ข้าควรกลับไปยังเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลและพยายามลดน้ำหนักลงเสียก่อน…หวังเป่าเล่อหายใจเข้าออกยาวๆ น้ำหนักของชายหนุ่มในตอนนี้ทั้งน่ายินดีและน่าสะพรึงกลัว เขานึกย้อนไปถึงประวัติครอบครัวและบรรพบุรุษจ้ำม่ำ รวมถึงการที่พวกเขาต่างจากไปก่อนวัยอันควร…แม้ว่าชายหนุ่มจะเป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ก็ยังกังวลอยู่นั่นเอง

หลังจากที่คิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ หวังเป่าเล่อก็ปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมด ยกร่างของตนขึ้น ก่อนจะพุ่งตัวออกไปไกลลิบ ไม่นานนักชายหนุ่มก็มาถึงแท่นคงกระพัน เขาแปลงกายเป็นหมอกกลุ่มใหญ่และเริ่มเดินทางข้ามตัวกระบี่ไป!

หวังเป่าเล่อยังไม่ล่วงรู้ถึงการฟื้นคืนชีพของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าผู้ฝึกตนแห่งเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋ามีตัวตนอยู่ในเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นด้วย ชายหนุ่มเข้าใจไปว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันตายแล้วและบัดนี้ความสงบสุขก็กลับมาเยือนแผ่นดินอีกครา

นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมหวังเป่าเล่อจึงใช้เวลาฝึกฝนเพื่อบรรลุขั้นพลังปราณในวังทั้งสามไปมากมาย เพราะชายหนุ่มไม่รู้เลย…ว่าขณะนี้สหพันธรัฐกำลังทำศึกกับบรรดาผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่!

สงครามเริ่มขึ้นแล้วเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ!

โชคยังดีที่เจ้าเยี่ยเหมิงไปเตือนสหพันธรัฐได้ทันเวลา ยิ่งไปกว่านั้น ต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวิน พร้อมกับผู้ฝึกตนระดับสูงคนอื่นๆ ในสหพันธรัฐต่างก็ระแวดระวังสำนักวังเต๋าไพศาลอยู่เป็นทุนเดิมและได้วางแผนรับมือไว้บ้างแล้ว ส่งผลให้แม้ว่าสงครามจะกระทบต่อสหพันธรัฐเป็นอย่างมาก แต่การรับมือของสหพันธรัฐก็ทำเอาทั้งศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันและสำนักวังเต๋าไพศาลถึงกับตกตะลึงไป!

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะสิ่งหนึ่งที่สหพันธรัฐเชี่ยวชาญคือการวางแผนและการซุ่มโจมตี ความชาญฉลาดในด้านการรบพุ่ง รวมทั้งการเอาความคิดของผู้คนทั้งหลายมารวมกันเป็นจุดแข็งของพวกเขานั่นเอง!

แผนพันธุ์กล้าหนึ่งร้อยต้นก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการด้วย หากมันสำเร็จ พวกเขาจะควบรวมเป็นหนึ่งเดียวและอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข แต่หากแผนการล้มเหลว…พวกเขาก็ยังมีอภิมหาวงแหวนปราณดาวพุธและระเบิดต้านทานวิญญาณที่พร้อมจะใช้งานได้ทุกขณะ

อันที่จริง สหพันธรัฐได้ทดสอบแผนการรบเอาไว้หลากหลายรูปแบบ พวกเขาได้ปรับปรุงแผนการรบเหล่านี้ตามข้อมูลที่หวังเป่าเล่อและผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ส่งมาให้ การเตรียมตัวเพื่อปกป้องการคงอยู่ของอารยธรรมมีมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และมีการสร้างแนวป้องกันทั้งสามขึ้นมา!

แนวป้องกันแรกคือดาวพุธ!

แนวป้องกันที่สองคือดาวศุกร์!

และแนวที่สามก็คือดาวอังคาร!

หากแนวป้องกันทั้งสามไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้ โลกก็คงต้องพบจุดจบ

ไม่ว่าแผนของสหพันธรัฐจะรัดกุมเพียงใด ความเสี่ยงในการเกิดความผิดพลาดก็ยังมีอยู่ มีระเบิดต้านทานวิญญาณหลายลูกฝังอยู่บนดาวพุธ ซึ่งเป็นแนวป้องกันแรกของสหพันธรัฐ ดาวพุธจะถูกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ทันทีที่สหพันธรัฐสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล การที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายถูกทำลายจะกระทบต่อสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างรุนแรง

แต่ต้วนมู่ฉีทำพลาดไปอย่างหนึ่ง ชายชราตั้งใจรอให้กองกำลังของสำนักวังเต๋าไพศาลมาถึงแล้วจึงค่อยจุดชนวนระเบิด เขาไม่เพียงต้องการทำลายวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเท่านั้น แต่ตั้งใจจะสร้างความเสียหายให้กองทัพที่บุกมาอีกด้วย

แต่กองกำลังของสำนักวังเต๋าไพศาลมาถึงรวดเร็วเกินกว่าที่ต้วนมู่ฉีจะต้อบสนองได้ทัน พลังที่แผ่ออกมาจากเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นรุนแรงเสียจบกลบการทำลายตนเองของดาวพุธไปเสียสิ้น แผนของสหพันธรัฐล้มเหลว พวกเขาทำได้เพียงล่าถอยออกมาจากแนวป้องกันแรก และถอยร่นไปยังดาวศุกร์ ซึ่งเป็นแนวป้องกันแนวที่สองแทน

แต่ถึงอย่างไร สหพันธรัฐก็มีเวลาเตรียมการมานานหลายปี แม้ว่าระเบิดต้านทานวิญญาณที่ใช้ในการระเบิดดาวพุธจะอ่อนแรงลง แต่ก็ยังสร้างความเสียหายให้เรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นและทำให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกับสำนักวังเต๋าไพศาลตื่นตระหนกได้ ความเสียหายนั้นเข้าไปทับถมความเสียหายเดิมที่หวังเป่าเล่อสร้างไว้ สำนักวังเต๋าไพศาลต้องหยุดพักเพื่อซ่อมแซมเรือบินรบอยู่ระยะหนึ่ง

โอกาสแห่งความไม่แน่นอนสั้นๆ เผยขึ้นในช่วงสงครามนั่นเอง!

บทที่ 679 ทางเลือกทั้งสาม!
ปราณวิญญาณปกคลุมหนาแน่นไปทั่วบริเวณจนดูคล้ายหมอก หวังเป่าเล่อง่วนอยู่กับการดูดกลืนปราณวิญญาณเหล่านั้นและยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ชายหนุ่มกำลังพยายามไปให้ถึงอีกจุดหมายหนึ่งในเส้นทางแห่งการฝึกปราณ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าหนึ่งในบรรดาซากศพกำลังจะตื่นขึ้น

ถือเป็นเรื่องดี เพราะหากเป็นคนอื่นมาที่นี่คงจะกลัวจนหัวหดเมื่อเห็นศพลืมตาขึ้น หากโชคดี ความกลัวนี้ก็คงแค่ขัดขวางการฝึกปราณเล็กน้อย หาไม่แล้ว…อาจจะทำให้ปราณวิญญาณพลุ่งพล่านจนเกินจะควบคุมได้

ศพนั้นยังไม่ตื่นเต็มที่ มันเพียงแต่เริ่มขยับขนตาก่อนจะหลับไหลลงอีกครั้ง หวังเป่าเล่อยังคงดูดกลืนปราณวิญญาณในอากาศต่อไปโดยไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ระดับพลังปราณของเขาคืบเข้าใกล้การบรรลุขั้นต่อไปขึ้นทุกขณะ!

ชายหนุ่มตั้งใจดูดกลืนต่อกระทั่งปราณของเขาบรรลุสู่ขั้นจุติวิญญาณชั้นกลาง เรื่องนี้อาจเป็นการยากสำหรับผู้ฝึกตนทั่วๆ ไปที่ยังไม่จัดเจดเคล็ดวิชาฝึกตน ต้องมีการตระเตรียมมากมายเพื่อให้ฝึกได้เทียบเท่ากัน เคล็ดวิชาการฝึกตนเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในปราณขั้นใด แต่หวังเป่าเล่อมีวิญญาณจุติดวงดารา ตรงจุดนี้เองที่วิญญาณจุตินี้แตกต่างจากวิญญาณจุติทั่วไป

หวังเป่าเล่อสามารถผลักดันพลังปราณของตนให้รุดหน้าได้ด้วยการดูดกลืนปราณวิญญาณ โดยไม่จำเป็นต้องร่ำเรียนเคล็ดวิชาฝึกปราณใดๆ แม้แต่น้อย เพราะตอนนี้ชายหนุ่มยังไม่มีเคล็ดวิชาฝึกปราณขั้นจุติวิญญาณอยู่แม้แต่วิชาเดียว การบรรลุขั้นใดๆ ก็ตามที่เขาอาจทำได้ในช่วงนี้ยังไม่ถือเป็นการบรรลุขั้นอย่างแท้จริง แต่เมื่อใดก็ตามที่หวังเป่าเล่อฝึกเคล็ดวิชาการฝึกปราณจนช่ำชอง ชายหนุ่มก็จะสามารถทำให้พลังปราณของเขาเสถียรได้โดยไร้ผลข้างเคียงใดๆ

หวังเป่าเล่อเรียนรู้เคล็ดวิชาการฝึกปราณมาโดยตลอด ความทรงจำจากนิมิตมืด พลังเทพที่ได้รับมาจากสำนักวังเต๋าไพศาล รวมถึงวิชาที่ร่ำเรียนมาจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น แปลว่าเขารู้ดีว่าต้องเดินหน้าไปอย่างไรในขั้นจุติวิญญาณนี้

ไม่มีความจำเป็นต้องไปกวนใจถามแม่นางน้อย ชายหนุ่มมีแผนอยู่แล้วราวๆ เจ็ดถึงแปดแผนในศีรษะ แต่ละแผนมีจุดดีจุดด้อยต่างกันไป เขายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกใช้แผนใดแน่ หวังเป่าเล่ออยากศึกษาแผนแต่ละแผนให้ละเอียดหลังจากที่เดินทางกลับไปยังสหพันธรัฐแล้ว จากนั้นจึงค่อยตัดสินใจ

เคล็ดวิชาการฝึกปราณในขั้นจุติวิญญาณกำหนดอนาคตของผู้ฝึกตนได้เลยทีเดียว แผนที่หวังเป่าเล่อคิดขึ้นมาแต่ละแผนนั้นก็ดูน่าจะเป็นไปได้มากทั้งสิ้น และสามารถแบ่งออกได้เป็นสามจำพวกด้วยกัน

จำพวกแรกเป็นแผนที่มุ่งเน้นการฝึกปราณด้วยกายหยาบ โดยให้ปราณวิญญาณเป็นตัวหนุน หวังเป่าเล่อสามารถงัดเอาภูเขาขึ้นมาจากพื้นโลก หรือทุบแยกแผ่นดินให้แม่น้ำไหลผ่านได้ด้วยกำลังกายเพียงอย่างเดียว ชายหนุ่มยังสามารถหยิบดวงดาราลงมาจากท้องฟ้าได้อีกด้วย หากเขาเลือกทางนี้ จะมีเคล็ดวิชาฝึกปราณสามวิชาให้เลือก ซึ่งทั้งสามต่างก็ดูน่าสนใจพอๆ กัน

แผนต่อมาเน้นไปที่พลังเทพ การพัฒนาพลังเทพจะส่งผลให้ความสามารถในการรับรู้พลังธรรมชาติของหวังเป่าเล่อพุ่งสูง ซึ่งจะช่วยเร่งอัตราการเติบโตของปราณวิญญาณในกายอีกด้วย ชายหนุ่มจะสามารถแปรสภาพเมล็ดถั่วให้กลายเป็นทหาร เรียกพายุ และควบคุมทิศทางลมได้ วิญญาณจุติดวงดาราจะช่วยให้พลังของเขาก้าวหน้าไปกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันมาก อาจกล่าวได้ว่าหวังเป่าเล่อสามารถเอาชนะคนอื่นๆ ได้เพราะตัวตนอันยิ่งใหญ่เลยทีเดียว หากชายหนุ่มตัดสินใจเลือกแผนนี้ ก็จะมีเคล็ดวิชาการฝึกปราณอีกสามวิชาให้เลือกสรรค์ เขายังต้องศึกษาพวกมันให้ละเอียดขึ้นก่อนตัดสินใจ

แผนสุดท้ายเป็นแผนที่ทำให้หวังเป่าเล่อลังเลใจมากที่สุด แผนนี้ไม่สนใจกำลังกายหรือการรับรู้พลังธรรมชาติ หากแต่มุ่งเน้นไปที่การ…เข่นฆ่าเพียงอย่างเดียว!

ชายหนุ่มต้องไต่เต้าขึ้นไปด้วยการฆ่าฟัน หากเลือกเส้นทางนี้ เขาจะกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการสังหารและความรุนแรงในดินแดนของวิญญาณจุติทั้งหลาย ราวกับเป็นยมทูตแห่งสรรพชีวิตฉะนั้น!

มีเคล็ดวิชาฝึกปราณเพียงหนึ่งเดียวให้หวังเป่าเล่อเรียนหากเลือกเส้นทางนี้ นั่นก็คือ…วิชาดวงตาปีศาจ!

เคล็ดวิชานี้คือการสร้างดวงตาสีขาวที่ล่องลอยอยู่ข้างกายตลอดและกลายเป็นสิ่งแสดงถึงระดับพลังปราณของเขา วิธีการฝึกนั้นแตกต่างกับเคล็ดวิชาฝึกปราณอื่นๆ โดยสิ้นเชิง ผู้ฝึกตนต้องทำสิ่งเดียว ก็คือการ…ฆ่าฟัน!

การสังหารหนึ่งครั้งชายหนุ่มจะสร้างดวงตาได้หนึ่งดวง ดวงตาจะช่วยเพิ่มระดับพลังปราณให้เขา และดวงตานั้นก็คือดวงตาปีศาจนั่นเอง

หลังจากเข่นฆ่าผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ระดับปราณก็จะเกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และหวังเป่าเล่อจะสามารถเรียกดวงตาออกมาล้อมกายตนเองได้นับไม่ถ้วน!

ดวงตาปีศาจแต่ละดวงสามารถปัดเป่าคาถาและยังแผ่พลังออกมามหาศาล พลังทำลายที่เกิดจากการทำลายตัวเองของดวงตารุนแรงเทียบเท่าแรงระเบิดที่ใช้สังหารคนเพื่อจะสร้างดวงตา

เคล็ดวิชาฝึกปราณนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสังหารผู้อื่น ยิ่งผู้ฝึกตนฆ่าคนมากเท่าใดก็จะยิ่งแข็งแกร่ง และบ้าคลั่งมากขึ้นเท่านั้น!

เคล็ดวิชานี้ไม่ปรากฏอยู่ในดวงตาแห่งวิชาไม่รู้สิ้นหรือจารึกใดๆ ในสำนักวังเต๋าไพศาล กระทั่งแม่นางน้อยก็ยังไม่เคยได้ยินชื่อเคล็ดวิชานี้มาก่อน หวังเป่าเล่อไปอ่านมาจากจารึกของสำนักแห่งความมืดเมื่อครั้งที่อยู่ในนิมิตมืดนั่นเอง

หวังเป่าเล่อจำได้อย่างชัดเจนว่าเคยอ่านเรื่องนี้มาจากจารึกของสำนักแห่งความมืด วิชานี้เป็นกระบวนเวทลึกลับที่มีต้นกำเนิดมาจากอารยธรรมโบราณซึ่งสูญสิ้นไปนานแล้ว มีเพียงจารึกของการใช้กระเวทนี้ในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้นที่เหลือรอดมาได้ ที่เหลือสูญหายไปจนสิ้น เป็นเหตุให้กระบวนเวทนี้ถือว่าไม่สมบูรณ์ แม้จะทรงพลังเพียงใดก็ตาม

อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องนั้นเลย…หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะวางความคิดเหล่านั้นลง ชายหนุ่มหันกลับมาตั้งสมาธิกับการดูดกลืนของเหลววิญญาณในสระ ไม่ว่าเขาจะเลือกทางใด สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการสูบปราณวิญญาณจากสระและบรรลุไปสู่ขั้นจุติวิญญาณชั้นกลาง ระดับพลังจะเป็นรากฐานอันมั่งคงให้กับเขาไม่ว่าจะเลือกทางใดก็ตาม

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เมล็ดดูดกลืนในกายของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มพลังดูดกลืนขึ้นอีก วิญญาณจุติตัวน้อยร่างอ้วนท้วนบนศีรษะเขาประกบฝ่ามืออวบอูมทั้งสองเข้าด้วย มือทั้งสองเคลื่อนไหวรวดเร็วเสียจนพร่าเลือนเพื่อสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ชายหนุ่มเริ่มดูดกลืนของเหลววิญญาณเข้าไปจำนวนมากราวกับเป็นวาฬขนาดยักษ์ ของเหลววิญญาณเหล่านั้นระเบิดปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่องในกายเขา ก่อนจะแปรสภาพกลายเป็นปราณวิญญาณที่ผลักให้ระดับปราณของหวังเป่าเล่อพุ่งสูงขึ้นทุกที

ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที ร่างของหวังเป่าเล่อก็เริ่มส่งเสียงแตกร้าวอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าชายหนุ่มดูดกลืนของเหลววิญญาณเข้าไปมากกว่าที่ร่างกายจะรับไหว ปราณวิญญาณภายในกายของเขามีมากเกินกว่าที่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นต้นจะแบกได้ ขณะนี้หวังเป่าเล่อมีปราณวิญญาณอยู่ในกายเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางแล้ว

วิญญาณจุติของเขาก็ไม่ใช่เจ้าอ้วนน้อยอีกต่อไป แต่มันกลายสภาพเป็นลูกบอลเนื้ออ้วนกลม คนทั่วไปคงไม่มีทางรู้ได้ว่าสิ่งนี้คือวิญญาณจุติ…

หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตัวเขาถึงที่สุดแล้วทั้งทางกายและทางวิญญาณ ชายหนุ่มหายใจแทบไม่ทัน แต่เขาเองก็ไม่อยากหยุดอยู่เพียงเท่านั้น

ข้าพยายามไปตั้งมากกว่าจะเข้ามาที่นี่ได้ จะดูดกลืนปราณวิญญาณเข้าไปเพียงเท่านี้ไม่ได้! หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นจ้องมองสระน้ำตรงหน้า ส่วนที่เขาดูดกลืนไปแล้วนั้นไม่ถึงหนึ่งในพันของปริมาตรของสระด้วยซ้ำ นัยน์ตาของชายหนุ่มฉายแววมุ่งมั่น เขาต้องเคี่ยวเข็ญตัวเองสักหน่อยแล้ว

ข้าจะอ้วนเสียหน่อยก็ช่างปะไร ข้าจะดูดกลืนมันต่อไปเช่นนี้ละ! หวังเป่าเล่อตะโกนอยู่ในใจก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก เมล็ดดูดกลืนภายในกายเริ่มทำงานเต็มกำลังอีกครั้ง ปราณวิญญาณจำนวนมากจนน่ากลัวพวยพุ่งเข้าไปในกาย เมื่อเข้าไปแล้วก็พลุ่งพล่านไปทั่วตัวราวกับเป็นคลื่นยักษ์ที่ซัดสาด

เมื่อทั้งวิญญาณจุติและกายของหวังเป่าเล่อมาถึงขีดจำกัด ชายหนุ่มก็หันไปพึ่งทักษะที่คุ้นเคย…เขาเปลี่ยนปราณวิญญาณเป็นไขมันเก็บสะสมไว้ในร่างกาย

เรื่องนี้อาจเป็นปัญหาสำหรับคนอื่น แต่มันง่ายดายมากสำหรับหวังเป่าเล่อ ผู้ที่มีเมล็ดดูดกลืนเป็นของตนเอง ชายหนุ่มสามารถดูดกลืนปราณวิญญาณไปเรื่อยๆ จนกายระเบิดเป็นเสี่ยงก็ย่อมได้

ร่างของหวังเป่าเล่อบวมเป่ง คลื่นพลังวิญญาณที่แพร่กระจายออกมาแข็งแกร่งขึ้นทุกขณะ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ มาเห็นคงต้องตกตะลึงเป็น เพราะรัศมีที่แผ่ออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อในขณะนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณธรรมดาๆ ขวัญผวาได้เลย

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป กระทั่งการหายใจก็ยังยากเย็น หวังเป่าเล่อขณะนี้ดูละม้ายคล้ายวิญญาณจุติของเขา คืออ้วนกลมจนเหมือนเป็นก้อนเนื้อใหญ่ๆ ใบหน้าหล่อเหลาหดเล็กจนหาไม่เจอ แม้จะเป็นคนที่รู้จักคุ้นเคยกับเขา หากมาเห็นตอนนี้ก็คงมองไม่ออก จิตใจของเขายังคงมุ่งมั่น แต่ร่างกายช่างอ่อนแอเสียเหลือเกิน ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมหยุด

ข้าต้องหยุดเสียแล้ว หากไม่หยุดตอนนี้ ข้าคงจะกระโดดขึ้นฟ้าไม่ได้เป็นแน่…หวังเป่าเล่อเปิดตาอย่างยากเย็น ก่อนจะก้มลงมองท้อง ชายหนุ่มกัดฟันและดูดกลืนปราณวิญญาณเข้าไปอีกหน่อย จากนั้นจึงบังคับตนเองให้หยุด แล้วหยิบหุ่นเชิดออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ

แม้ว่าข้าจะไม่ไหวแล้ว แต่ข้าก็ยังมีหุ่นเชิดอยู่! ความมุ่งมั่นฉายชัดอยู่ในแววตาทั้งสอง ชายหนุ่มส่งหุ่นเชิดทั้งหมดลงไปในสระและเปิดแก่นวิญญาณของพวกมันขึ้นด้วยผนึกฝ่ามืด หุ่นเชิดเหล่านั้นกลายไปเป็นภาชนะบรรจุของเหลวในสระ

ต่อมาชายหนุ่มก็หยิบขวดทั้งใหญ่และเล็กออกมาจำนวนหนึ่ง ก่อนจะเริ่มกรอกของเหลววิญญาณใส่เข้าไป พอกรอกเสร็จแล้ว ในสระก็ยังเหลือของเหลววิญญาณอยู่อีกมหาศาล เขาเริ่มชั่งใจก่อนจะหยุดนิ่งคิดอยู่นาน ไกลออกไปบนใบบัว จู่ๆ เปลือกตาของศพศพหนึ่งก็กระตุก เป็นศพเดียวกับที่กระพือขนตาอยู่เมื่อครู่ ศพนั้นลืมตาขึ้นมาช้าๆ เผยให้เห็นแสงสีขาวเจือจางภายใต้ดวงตา

จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็ตบท้องของตนอย่างแรง

ข้าลืมเกราะจักรพรรดิไปได้อย่างไรกัน! หวังเป่าเล่อเงยศีรษะขึ้นอย่างเร่งรีบก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือเรียกเส้นปราณโลหิตให้พวยพุ่งออกมาจากกายและเลื้อยไปมาอยู่รอบๆ ก่อนจะแปรสภาพเป็นเกราะสีแดงฉาน หวังเป่าเล่อเรียกใช้วิชาลักอัคคีทันที!

วิชาลักอัคคีเป็นวิชาที่มุ่งเน้นการดูดกลืน ในขณะที่วิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิทำหน้าที่เป็นเหมือนภาชนะภายนอก ทั้งคู่ทำงานเข้าขากันเป็นอย่างดีในวังลำดับสาม เมื่อพวกมันปลดปล่อยพลังออกมาเป็นหนึ่งเดียวกัน ของเหลววิญญาณจำนวนมากก็พวยพุ่งเข้าไปในเกราะจักรพรรดิ ก่อนจะเปลี่ยนสภาพของเกราะไปมหาศาล เส้นปราณโลหิตปรากฏขึ้นอีกก่อนจะเข้าพันผูกกันเป็นแผ่นเส้นปราณโลหิตหนาหนัก เกราะจักรพรรดิทั้งสูงขึ้นและใหญ่ขึ้นอย่างมาก ช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง

ปราณวิญญาณทั้งหมดฟื้นฟูให้เกราะจักรพรรดิหายจากความเสียหายกลับสู่สภาพสมบูรณ์อีกครั้ง และเข้าสู่การพัฒนาระดับที่สอง โครงกระดูกปรากฏให้เห็น เส้นสายสีขาวแทรกอยู่ท่ามกลางเนื้อสีแดงสด และยิ่งปรากฏถี่ขึ้นทุกที เพิ่มมากกว่าครั้งที่หวังเป่าเล่อประมือกับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ก่อนจะค่อยๆ หนาแน่นขึ้นและกลายเป็นกระดูกขึ้นมาจริงๆ!

บทที่ 678 ขอขอบคุณท่านปรมาจารย์!
วิสัยทัศน์มืดสนิทแปรเปลี่ยนเป็นความมืดอันน่าหวาดหวั่น ก่อนจะค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นหลังจากหวังเป่าเล่อก้าวเข้าไปในวัง ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อ สัมผัสได้ถึงขนที่ลุกชัน เขายืนนิ่ง สัญชาตญาณบอกให้ถอยกลับออกไป

ด้านในวังลำดับสามนั้นแตกต่างจากวังทั้งสองแห่งก่อนหน้า ไม่มีใครรอตรวจสอบคุณสมบัติอยู่ด้านใน และทั่วบริเวณก็ดูกว้างใหญ่กว่า

สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้ชายหนุ่มหัวใจเต้นถี่รัว ด้านในยังมีสระขนาดใหญ่กินพื้นที่กว่าสามร้อยเมตร ในนั้นเต็มไปด้วยน้ำสีขาวดูคล้ายน้ำนม กลิ่นที่ลอยออกมาเย้ายวนให้อยากลองตักชิม

หมอกจางๆ ลอยอยู่ทั่วบริเวณ คลื่นพลังงานอัดแน่นอยู่ทั่วทั้งวัง สร้างแรงกดดันประหลาดไปทั้งพื้นที่

ต้นตอของแรงกดดันนี้มาจากสระสีน้ำนมตรงใจกลางวัง!

ใบบัวสิบเอ็ดใบลอยอยู่ในสระ มีคนนั่งอยู่บนใบบัวทั้งสิบ มีเพียงใบบัวใบที่สิบเอ็ดที่ไร้สิ่งใดอยู่ด้านบน

รวมแล้วมีคนอยู่ทั้งหมดสิบคน!

คนที่นั่งอยู่มีทั้งชายและหญิง หวังเป่าเล่อมองผ่านหมอกเห็นว่าร่างของพวกเขาล้วนผอมแห้งติดกระดูก และต่างนั่งนิ่งไม่ไหวติง กลิ่นอายความตายแผ่ออกมาจากร่างทั้งสิบ พวกเขาเหมือนเป็น…ศพ!

ชุดคลุมที่สวมใส่อยู่ดูคล้ายชุดคลุมของศพที่อยู่กลางทะเลโลหิต พวกเขาน่าจะเป็นผู้อาวุโสระดับใกล้เคียงกันของสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ละคนนั้นแผ่พลังแกร่งกล้าไม่ต่างกันออกมา ชายหนุ่มตัวสั่นเทิ้มจากพลังรัศมีของศพเหล่านี้

วังนี่มันอะไรกัน นอกจากจะแตกต่างจากอีกสองวังแล้ว ยังมีศพเยอะแยะขนาดนี้ซ่อนอยู่อีก! หวังเป่าเล่อปากสั่นด้วยความหวาดกลัว เขาหยุดหายใจไปชั่วขณะ ได้ยินเสียงหัวใจเต้นระส่ำดังก้องในหู พลังที่แผ่พุ่งออกมาจากเหล่าศพและบรรยากาศโดยรอบทำให้เขาตื่นกลัวและไม่สบายใจจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไร

ใจหนึ่งก็อยากจะกลับออกไปจากที่แห่งนี้ แต่ร่างกายกลับหยุดนิ่งหลังจากถอยไปได้หนึ่งก้าว ดวงตาของเขาหรี่ลง ก่อนจะเบิกกว้างขึ้นในทันใด

ในหมอกมีปราณวิญญาณอยู่ แถมยังหนาแน่นมาก… ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มไม่ทันเอะใจเพราะมัวแต่ตื่นกลัว เขาพยายามผ่อนคลายร่างกายของตนเองและดูดซับหมอกรอบกายเข้าไป ตัวของเขาสั่นเทิ้ม

หมอกไหลเข้าสู่ร่างกายชายหนุ่มในทันที ความอบอุ่นและสัมผัสอันอุดมสมบูรณ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนไหลหลากเข้าสู่ร่าง หวังเป่าเล่อรู้สึกเติมเต็มและอิ่มเอมใจ

ปราณวิญญาณนี่..แตกต่างจากปราณวิญญาณในสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาล ดูมีพลังและคุณภาพดีกว่า! หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปาก เขาจ้องมองสระและน้ำสีน้ำนมที่โดนหมอกบังอยู่ ไม่รู้เลยแม้แต่นิดว่าน้ำที่ว่านี่กลั่นมาจากสิ่งใด แต่ก็รู้ว่ามันน่าจะมีความพิเศษบางอย่าง ขนาดหมอกที่ลอยออกมาจากสระยังอัดแน่นไปด้วยปราณวิญญาณ แสดงว่าน้ำในสระจะต้องไม่ใช่สิ่งธรรมดาทั่วไปแน่

หวังเป่าเล่อกังวลเรื่องศพบนสระเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็ปัดความกังวลทิ้งไปและเดินเข้าไปในหมอก อาจจะดูเป็นการกระทำที่บุ่มบ่าม แต่ชายหนุ่มก็คอยระแวดระวังตัวอย่างเต็มที่ เขาไม่ได้เข้าไปในสระ แต่นั่งลงกลางม่านหมอกด้านนอก พยายามดูดซับปราณวิญญาณที่อัดแน่นอยู่ในนั้น

ปราณวิญญาณจำนวนมากไหลเข้าสู่ร่างของเขา เริ่มมีเสียงปริแตกดังขึ้นขณะความอบอุ่นเกินบรรยายแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีมือเล็กๆ มากมายกำลังนวดคลายความเมื่อยล้าให้หายไป แม้แต่ดวงวิญญาณยังรู้สึกอุ่นสบาย เสียงครางเกือบจะหลุดรอดออกมาจากริมฝีปาก โชคดีที่ชายหนุ่มห้ามตัวเองไว้ได้ทัน จึงไม่ได้ส่งเสียงอะไรแปลกๆ ออกมา

ทั่วทั้งร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและได้รับการบำรุง เส้นผมยืดยาวขึ้น ผิวหนัง เลือดเนื้อ รวมไปถึงกระดูกเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง หลังจากบรรลุไปขั้นจุติวิญญาณ เขาก็เป็นเหมือนผืนดินแห้งแล้ง แต่ตอนนี้มีฝนร่วงหล่นลงมาฟื้นฟูสภาพผืนดินขึ้นใหม่อีกครั้ง!

เขารู้สึกว่าร่างกายเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ขณะพลังชีวิตไหลเวียนเข้าไปบำรุงภายใน ระดับพลังปราณเองก็เริ่มกล้าแกร่งขึ้นเช่นกัน

หวังเป่าเล่อรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดครึ่งชั่วโมงที่ผ่านไป ดวงตาของเขาส่องแสงเป็นประกายเมื่อได้พบว่าระดับพลังปราณของตนพุ่งสูงกว่าเดิมมาก

สิ่งนี้น่าจะเป็นของเหลววิญญาณอันกล้าแกร่งสักอย่างในตำนาน ทิ้งไว้ตรงนี้ก็น่าเสียดาย ศพเหล่าผู้อาวุโสก็ดูดซับไม่ได้อยู่แล้ว… ชายหนุ่มกะพริบตา ลุกยืนขึ้นกุมมือโค้งคำนับสระน้ำเบื้องหน้า

“ศิษย์ผู้นอบน้อมได้กระทำการอันหยาบคายเข้ามารบกวนการพักผ่อนของท่าน ข้าจำเป็นต้องทำเช่นนี้และหวังว่าท่านปรมาจารย์ผู้สูงส่งจะไม่คิดเอาผิดข้า ข้าไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากหาทางบรรลุขั้นการฝึกตนในสถานที่แห่งนี้เพื่อปกป้องสำนักวังเต๋าไพศาลจากภัยอันตราย!”

“โปรดยินยอมให้ข้านำของเหลววิญญาณในสระติดตัวไปเพื่อช่วยสำนักวังเต๋าไพศาล หากท่านไม่ยินยอมโปรดส่งสัญญาณบอกศิษย์ด้วย” หวังเป่าเล่อกุมมือและคำนับอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจังหลังพูดจบ เขาคอยอยู่อย่างนั้นอย่างนอบน้อมเพื่อรอการตอบกลับ

หลายสิบวินาทีผ่านไป ชายหนุ่มกะพริบตาและเงยหน้าขึ้น สีหน้ายังดูจริงจังไม่แปรเปลี่ยน เขาดูจะซึ้งใจจึงพูดขึ้นอีกครั้ง

“ท่านปรมาจารย์ผู้สูงส่งทั้งหลายช่างเที่ยงธรรม ข้าขอขอบคุณพวกท่านที่ไม่ปฏิเสธคำร้องขอของข้า!”

เขารู้สึกสบายใจ ส่วนตัวแล้วชายหนุ่มคิดว่าไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่จะสูบปราณวิญญาณในที่แห่งนี้ไป อย่างไรเสีย ตนก็เป็นศิษย์อุปถัมภ์ของสำนักวังเต๋าไพศาลและมีแม่นางน้อยอยู่เคียงข้าง ที่นี่ก็เหมือนบ้านของเขาเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้เอ่ยถามก่อน

ท่านปรมาจารย์ทั้งหลายไม่ได้ปฏิเสธคำขอของข้า หมายความว่าพวกเขายอมรับในตัวข้า หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจว่าเหล่าศพตรงหน้าไม่สามารถบอกปฏิเสธอะไรได้และเริ่มมั่นใจในการกระทำของตนเองมากขึ้น เขาเชิดหน้า ยืดอก จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้พร้อมสูบปราณวิญญาณในอากาศเข้าไป เขาดูดซับปราณวิญญาณขณะเดินตรงไปข้างหน้า หยุดพักบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อปรับสมดุลปราณวิญญาณที่ดูดซับเข้ามา สี่ชั่วโมงผ่านไป หมอกทั่วบริเวณจางลงมาก ระดับพลังปราณของหวังเป่าเล่อเพิ่มพูนขึ้นจากปราณวิญญาณที่สูบเข้ามา พุ่งไปอยู่ใกล้จุดสูงสุดของขั้นจุติวิญญาณชั้นต้น

ชายหนุ่มเดินตรงไปทางสระน้ำขณะดูดซับปราณวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเขาก็มาหยุดยืนอยู่หน้าสระน้ำ จ้องมองน้ำในสระตาเป็นประกาย นึกลังเลใจอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยปลอบตนเอง จากนั้นก็สร้างผนึกฝ่ามือ ดึงหยดน้ำสีน้ำนมขึ้นมาจากสระ

หยดน้ำส่งกลิ่นเย้ายวนใจจนหวังเป่าเล่อเกือบจะพุ่งไปเขมือบลงคอ เขาเป็นคนรักสะอาดประมาณหนึ่งจึงหยุดตัวเองไม่ให้ทำเช่นนั้น เมล็ดดูดกลืนในกายตื่นพลัง ปลดปล่อยแรงสูบผ่านไปทางปลายนิ้วมือ หยดน้ำหายวับไปในทันใด กลายเป็นหมอกสีขาวไหลผ่านนิ้วมือเข้าไปในร่างกายชายหนุ่ม

เกิดการระเบิดขึ้นในหัวของเขา หวังเป่าเล่อหลับตาลง ปราณวิญญาณหนาแน่นเกินบรรยายถาโถมเข้าสู่ร่างราวกับเป็นคลื่นยักษ์ วิญญาณจุติพลันลืมตาตื่น จากนั้นก็สูดหายใจและเริ่มดูดซับพลังปราณ ผ่านไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นพร้อมความตื่นเต้นที่พุ่งขึ้นสูง

เยี่ยมไปเลย! เขาเลียริมฝีปาก ประเมินระดับพลังปราณของตนที่เพิ่มขึ้นและตรวจดูให้มั่นใจว่าร่างกายไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากนั้นก็เดินไปนั่งริมขอบสระอย่างไม่ลังเลใจและปลดปล่อยพลังเมล็ดดูดกลืนเต็มกำลัง

เสียงกัมปนาทดังขึ้นในหัวราวกับมีอสนีบาตฟาดผ่าใส่ไม่ยั้ง น้ำในสระพวยพุ่งขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นไอหมอกไหลเข้าร่างหวังเป่าเล่อผ่านรูขุมขน ชายหนุ่มตัวสั่นเทิ้ม วิญญาณจุติรีบสูบปราณวิญญาณอย่างหิวกระหาย คลื่นพลังงานในกายแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านพ้นไป

พลังปราณของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วจนพุ่งขึ้นไปหยุดอยู่ตรงจุดสูงสุดของขั้นจุติวิญญาณชั้นต้น!

“ยังได้อีก มา!” หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัวขณะพูดพึมพำกับตนเอง เขาบังคับเมล็ดดูดกลืนให้ปล่อยพลังสูบรุนแรงอีกครั้ง วิญญาณจุติในร่างปรากฏตัวและลอยขึ้นไปบนหัว จากนั้นก็สร้างผนึกฝ่ามือสูบน้ำในสระเพื่อเร่งกระบวนการดูดซับ

หมอกปราณวิญญาณหนาแน่นไหลเข้ามาห้อมล้อมชายหนุ่ม เป็นเหมือนวังวนขนาดใหญ่ที่มีหวังเป่าเล่อนั่งอยู่ตรงกลาง ชายหนุ่มไม่ทันสังเกต…ว่าศพเหี่ยวแห้งศพหนึ่งที่นั่งอยู่บนใบบัวเริ่มสั่นไหว ขนตาปรือไปมา เหมือนว่ากำลังจะลืมตาตื่น

บทที่ 677 ผนึกจงคลายออก!
หวังเป่าเล่อหรี่ตามองแมลงปอสีเลือดที่ปรากฏตัวขึ้น เขากำหยดเลือดสีแดงคล้ำและหายตัววับไปโดยไม่ลังเลใจ

คมมีดสีแดงชาดสองคมพุ่งตัดอากาศผ่านจุดที่ชายหนุ่มเคยอยู่ เกิดเป็นกากบาทสีโลหิตขนาดใหญ่บนท้องฟ้า

ชายหนุ่มขนหัวลุกเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากหายตัวไปปรากฏถัดออกไปไกล เขาสัมผัสได้ถึงพลังล้นเหลือที่แผ่ออกมาจากแมลงปอ พลังที่สัมผัสได้นั้นเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณไปอีก อาจจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณหรือสูงกว่า

ตัวใหญ่อะไรขนาดนั้น! เขาคิดขึ้นในหัว แมลงปอโฉบขึ้นฟ้าจากทะเลโลหิตหลังโจมตีเสร็จ ส่งเสียงกึกก้องทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเสียงกัมปนาทที่ดังก้องในอากาศมีต้นตอจากปากกว้างหรือปีกขนาดมหึมากันแน่ อสูรยักษ์พุ่งเข้าใส่ชายหนุ่ม

มันปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อในพริบตาต่อมา เตรียมจะฉีกกระชากและเขมือบชายหนุ่มทั้งเป็น เขาคงไม่สามารถหลบการโจมตีนี้ได้หากยังไม่บรรลุขั้นจุติวิญญาณ อาจไม่สามารถมองการเคลื่อนไหวของแมลงปอได้ทันด้วยซ้ำ เพราะคงจะตายในทันที แต่ตอนนี้เขามีวิญญาณจุติดวงดาราในครอบครอง ดวงอาทิตย์ที่อยู่ในระยะอาจไม่ใช่ดาวเคราะห์ที่ช่วยเสริมพลังให้กับเขาได้ แต่ชายหนุ่มก็ยังมีระดับพลังปราณที่เพิ่มพูนขึ้นมากหลังบรรลุขั้นการฝึกตน เขาจึงหลบการพุ่งโจมตีได้ทันท่วงที

ถึงกระนั้น แมลงปอก็ยังแข็งแกร่งกว่าชายหนุ่มมาก แม้ตัวจะหลบได้พ้น แต่กระจุกผมกลับหนีไม่พ้น จึงถูกตัดขาดและปลิวไปกับสายลม

หวังเป่าเล่อใจเต้นถี่รัว เขายกมือขวาขึ้นและท่องคาถาในหัวอีกครั้ง

เพียงความคิดเดียวเท่านั้นก็จะปลดปล่อยเจ้าจากคุกจองจำอันล้ำลึกนี้ได้

นั่นคือวรรคที่สี่ของคาถา!

ส่วนประโยคต่อมาคือคำด่าทออสูร

“เจ้าอสูรจองหอง!”

ฟ้าดินสั่นคลอนขณะดวงจิตปริศนาจุติลงมาจนเกิดเสียงดังกัมปนาทอีกครั้ง พลังกดดันทวีความรุนแรง ราวกับมีหัตถ์มหึมาที่มองไม่เห็นกดทับทุกสิ่งและเข้าต้านทานแมลงปอที่กำลังพุ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ

แม้จะไม่มีร่างที่เป็นรูปธรรม แต่ก็สามารถทำให้แมลงปอที่พุ่งเข้ามาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดและรีบถอยกลับอย่างตื่นกลัว หวังเป่าเล่อเห็นว่าคาถาใช้ได้ผลก็รู้ว่าจังหวะนี้คือโอกาสเดียวที่จะหนีรอดจากความตายไปได้ เขาหายวับไปอีกครั้ง และปรากฏตัวขึ้นไกลออกไป จากนั้นก็ปลดปล่อยความเร็วเต็มขั้น หมายจะหนีออกจากทะเลโลหิตไปให้จงได้

แมลงปอดูโกรธแค้นเมื่อสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มพยายามหลบหนี ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความดุร้ายขณะกระพือปีกอย่างดุดัน หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ อสูรร้ายร้องคำรามขึ้นพร้อมตีปีกสู้กับความกลัวที่เข้าเกาะกุมจิตใจ และพุ่งตามชายหนุ่มไปอีกครั้ง

ดื้อด้านเสียจริง! หวังเป่าเล่อลนลาน ไม่มีเวลาพอให้คิดอะไร เขาหันกลับไปตะโกนลั่น ไม่มีอารมณ์มามัววางมาด ในหัวคิดถึงคาถาขณะปากเอ่ยพูดเสียงดัง

“จงน้อม…”

ที่พูดขึ้นคือส่วนแรกของวรรคสุดท้ายที่เรียนรู้มา วรรคนี้มีทั้งหมดเก้าคำ หวังเป่าเล่อเอ่ยสองไปคำแรก และกำลังจะเอ่ยต่อ…แต่ก็มีบางสิ่งหยุดเขาไว้ในจังหวะสุดท้าย ทำให้ไม่กล้าท่องต่อให้จบ

พลังปริศนาระเบิดขึ้นหลังจากที่เขาเอ่ยสองคำออกไป ทวีคูณความรุนแรงขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว พลังดังกล่าวเป็นดังคลื่นยักษ์ที่ถาโถมใส่ทุกสิ่ง ทั่วบริเวณเริ่มสั่นไหวรุนแรง

แมลงปอตื่นกลัว รีบถอยหนีไม่คิดชีวิต ทิ้งเงาสีแดงเลือนรางไว้เบื้องหลัง ขณะถลากลับสู่ทะเล

มันตัวสั่นเทิ้มอยู่ใต้น้ำ สร้างคลื่นปั่นป่วนบนผิวทะเล ดวงตาของมันยังคงโผล่พ้นน้ำ จ้องไปทางหวังเป่าเล่อด้วยความหวาดกลัว

เป็นภาพที่ทำให้ใจสงบลงได้ ทั่วบริเวณไม่มีใครอื่น ชายหนุ่มคิดว่าตนไม่จำเป็นต้องวางมาดเป็นผู้ฝึกตนทรงพลังอีกต่อไป เขารีบปลดปล่อยความเร็วเต็มพิกัด พุ่งหายไปไกลลับตา

แมลงปอยังคงตื่นกลัว มันมองหวังเป่าเล่อหนีหายไป เลิกล้มความตั้งใจที่จะไล่ตามไปอีก

ผ่านไปพักใหญ่ เมื่อทั่วบริเวณกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แมลงปอก็โผขึ้นจากทะเล บินวนรอบศพหนึ่งรอบ จากนั้นก็ตีปีกดุดันราวกับจะแสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยว ห้วงอากาศแหวกออกในทันใด ฝูงงูเขียวบนศพสั่นกลัว แต่ก็ยังไม่จบแค่นั้น มันตีปีกอีกครั้ง สร้างความปั่นป่วนให้กับทะเลโลหิต เลือดพุ่งขึ้นสูงเฉียดฟ้า ก่อนจะบิดหมุนกลายร่างเป็นคน

ร่างสีแดงที่ปรากฏขึ้นมีรูปลักษณ์เหมือนหวังเป่าเล่อไม่มีผิด

แมลงปอคำรามลั่นเมื่อเห็นดังนั้น มันพุ่งตรงไปตัดแขนและขาอย่างละข้างด้วยปีก จากนั้นก็อ้าปากเขมือบเข้ากลางร่างที่สร้างขึ้นจากโลหิต การแก้แค้นดำเนินต่อไปจนร่างสีแดงพิกลพิการจนดูไม่ออกว่าเป็นใคร อสูรร้ายพ่นลมหายใจ เหมือนว่าจะสาแก่ใจขึ้นมาบ้าง มันสร้างร่างคล้ายหวังเป่าเล่อขึ้นมาอีกสองสามร่างและลงมือแก้แค้นซ้ำๆ เมื่อพึงพอใจแล้วก็หายวับกลับสู่ทะเลไป

หวังเป่าเล่อทนดูภาพเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้ มิเช่นนั้นคงได้กลัวจนตัวสั่นแน่ ไม่มีวันที่เขาจะไปทำให้แมลงปอแค้นเคืองอีก มันดูจะเป็นอสูรที่จำความแค้นไว้ได้จนขึ้นใจ

ชายหนุ่มเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ อยู่หลายครั้งจนพบแท่นคงกระพัน จากนั้นก็ท่องหมอกกลับไปยังปลายกระบี่

สำหรับคนอื่นอาจเป็นเรื่องยาก แต่หวังเป่าเล่อรู้วิธีใช้งานแท่นคงกระพันแถมยังเพิ่งเดินทางมาจากปลายกระบี่ จึงรู้ว่าบริเวณไหนปลอดภัยที่จะผ่าน ไม่นานเขาก็กลับไปถึงจุดที่วังทั้งสามตั้งอยู่

หวังเป่าเล่อยืนจ้องชั้นน้ำแข็งอยู่หน้าวังลำดับสามอย่างมีความหวัง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ารางวัลในวังแห่งนี้ย่อมต้องยิ่งใหญ่กว่าอีกสองวัง เขาไม่รอช้า สูดหายใจเข้าลึก ยกมือขวาหยิบตราประจำตัวขึ้นมาพร้อมตะโกนลั่น

“ผนึกจงคลายออก!”

เสียงของเขาดังก้องในอากาศ วังลำดับสามเริ่มสั่นไหว พลังที่มองไม่เห็นพวยพุ่งขึ้นตอบรับตราประจำตัวในมือชายหนุ่ม ชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมวังอยู่เริ่มสั่นไหว ส่งสัญญาณเหมือนจะทลายลง

หวังเป่าเล่อเริ่มตื่นเต้น เขาตั้งตาคอยด้วยความคาดหวัง เวลาผ่านไป นอกจากการสั่นไหวแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ชั้นน้ำแข็งสั่นคลอนแต่ไม่ได้ทลายลงมา เหมือนกับว่า…ยังขาดอะไรไป

ชายหนุ่มหรี่ตา ยกมือซ้ายขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือ เกราะจักรพรรดิลักอัคคีเริ่มตื่นพลัง เขาทำลายเกราะชิ้นแรกไป และเพิ่งจะสร้างขึ้นใหม่ได้เพียงขั้นแรก

แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

เส้นปราณมายากระจายจากมือข้างซ้ายไปทั่วร่างกายชายหนุ่ม ร่างของหวังเป่าเล่อพลันหุ้มด้วยเกราะจักรพรรดิลักอัคคีสีโลหิต เขาสูดหายใจลึกและหยิบหยดเลือดสีแดงคล้ำออกมา

วังลำดับแห่งที่สามสั่นไหวรุนแรงขึ้น ชายหนุ่มตาเป็นประกาย รีบหลอมหยดเลือดเข้ากับเกราะจักรพรรดิ จากนั้นก็ปลดปล่อยพลังเต็มขั้น พลังจากเจ้าของหยดเลือดพวยพุ่งขึ้นทันใด หวังเป่าเล่อยกมือขวาชูตราประจำตัวและตะโกนขึ้นอีกครั้ง

“ผนึกจงคลายออก!”

วาจาของชายหนุ่มสะท้อนอยู่ในอากาศ เสียงระเบิดรุนแรงดังก้องขึ้นจากวังลำดับสาม ผนึกน้ำแข็งทลายลง พลังมหาศาลจากวังพัดกระจายออกไปทั่วบริเวณ เหมือนจะประกาศแสดงความยินยอม ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังหายใจไม่ทั่วท้องอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ในฐานะผู้อาวุโส เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะแบกรับหน้าที่ในการปกป้องสำนักวังเต๋าไพศาล เจ้าสามารถเข้าไปในวังวิญญาณลำดับสามเพื่อบรรลุขั้นการฝึกตนของเจ้าได้!”

เสียงกัมปนาทดังก้องท้องนภา ประตูสู่วังลำดับสามแง้มเปิดออก เผยให้เห็นวิสัยทัศน์ปริศนาที่อยู่ด้านใน!

หวังเป่าเล่อตื่นเต้นหนัก หลังจากผ่านวังลำดับแรกและลำดับสองมาได้ เขาก็รู้ว่าจะต้องทำเช่นไร ชายหนุ่มพุ่งตรงไปทางวังลำดับสาม

และเข้าไปในวังทันที!

บทที่ 676 แมลงปอนำภัยอันตราย
หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลแม้จะซ่อนตัวอยู่ในหมอก ศพกลางทะเลโลหิตเป็นเหมือนปากยักษ์น่าสะพรึงกลัวที่พร้อมจะเขมือบเขาทั้งเป็น

สัมผัสในคราวนี้รุนแรงกว่าตอนที่เขาเดินทางผ่านศพในครั้งแรก ตอนนั้นเขายังไม่ได้บรรลุขั้นจุติวิญญาณ ทว่าตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เขาหยุดลอยอยู่บนฟ้าเหนือศพ ไม่ได้รีบเคลื่อนตัวผ่านไป ระดับพลังปราณของชายหนุ่มสูงขึ้นมาก จิตสัมผัสวิญญาณก็เฉียบคมขึ้นเช่นกัน ทำให้สามารถสัมผัสทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน

รู้สึกได้ถึงอันตรายร้ายแรง… หวังเป่าเล่อเงียบไป เขาลังเลว่าควรจะทำตามแผนการต่อดีหรือไม่ แต่พอคิดถึงสิ่งที่รอตนอยู่ในวังลำดับสามก็ได้แต่กัดฟันแน่น

“บางทีก็จำเป็นต้องพาตัวเองไปลำบากเพื่อให้ได้รับโอกาสอันหายาก อาจจะถึงกับต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง แน่นอนว่าจะต้องมีแผนสำรองอยู่เสมอ หากว่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นจะได้หนีกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย” เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาส่องประกายจ้า ก่อนจะเริ่มเอ่ยคาถาขึ้นในทันใด

“ตื่นเถิด…”

ทันใดที่เอ่ยคำแรกออกจากปาก พลังคุ้นเคยจากส่วนลึกสุดของจักรวาลก็ลงมาจุติ พลังวิญญาณที่พวยพุ่งออกมาจากศพดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปชั่วครู่ เปิดโอกาสให้หวังเป่าเล่อได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

นึกว่าจะใช้การไม่ได้แล้ว ยังใช้ได้ผลอยู่นี่… ชายหนุ่มจ้องมองฟากฟ้าและหยุดร่ายคาถา จากนั้นก็สร้างผนึกฝ่ามือขึ้นเพื่อแยกตัวจากควัน เตรียมพร้อมจะพุ่งลงไปหาศพกลางทะเลโลหิต ทันใดนั้นศพเบื้องล่างก็สั่นไหว!

เส้นขนมากมายปรากฏขึ้นบนผิวหนัง ทั้งส่วนที่เผยให้เห็นและส่วนที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดคลุม แม้จะตายไปแล้ว แต่เส้นขนก็ไม่ได้หลุดร่วงจากร่าง ยังคงมีชีวิตอยู่ในสภาพแปลกๆ เหมือนว่าจะมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตนเอง

เส้นขนมีสีเขียวเข้ม หนาประมาณแขนมนุษย์ มันยืดยาวขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในชั่วพริบตา ตรงปลายเส้นขนก็แยกออก เหมือนปากที่เปิดกว้าง เปลี่ยนเส้นขนเหล่านั้นให้กลายเป็นฝูงงู!

งูจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเกี่ยวพันกันยุ่งเหยิง ดูน่าสะพรึงกลัว ฝูงงูหันไปทางหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าอันตรายร้ายแรงกำลังพุ่งเข้ามาหา เขาได้ยินเสียงระฆังเตือนดังขึ้นในหัว กล้ามเนื้อทุกส่วนสั่นระริก เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายส่งเสียงกรีดร้อง แม้แต่วิญญาณจุติยังลืมตาตื่น

ฝูงงูส่งเสียงขู่ดังลั่น จากนั้นงูนับร้อยก็ยกตัวขึ้นมา และพุ่งตรงเข้าใส่ชายหนุ่มอย่างรวดเร็วจนทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลัง หมายจะเขมือบทั้งเป็น

มองดูแล้วเหมือนลูกศรนับร้อยกำลังพุ่งตรงเข้าใส่ ฝูงงูชุดใหม่ส่งเสียงร้องขู่ขึ้นตามมา ถัดไปมีงูเหลือมสีเขียวใหญ่ยักษ์หลายตัวเลื้อยออกมาจากชุดคลุมที่ขาดเป็นริ้ว ทุกตัวดูน่าพรั่นพรึง

ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงวาบเมื่อภัยอันตรายพุ่งตรงเข้ามา เขาตั้งมือขวาไปด้านล่างพร้อมกับร้องคำรามขึ้น

“ตื่นเถิด…”

พลังแกร่งกล้าจุติลงมาจากห้วงอวกาศ เข้าปกคลุมทั่วบริเวณอีกครั้ง ฝูงงูเขียวรีบถอยกลับไปทันใด พวกมันตัวสั่นเทิ้ม นอนขดอยู่กับพื้น ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่นิด

หวังเป่าเล่อใจชื้นเมื่อเห็นว่าคาถาใช้ได้ผล เขารีบพุ่งแหวกอากาศเข้าไปหยุดอยู่เหนือศพตรงตราประจำตัวพอดี เขาตะโกนขึ้นอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัย

“ผู้ถูกจองจำในเต๋าสวรรค์…”

ระเบิดไร้เสียงเหมือนจะปะทุขึ้นในหัวของฝูงงู หลายตัวสั่นเทิ้มและตายไป อีกส่วนเริ่มน้ำลายฟูมปาก แม้แต่งูเหลือมตัวใหญ่ที่อยู่ถัดไปก็ขดตัวหนี ส่วนฝูงที่รายล้อมหวังเป่าเล่อต่างหนีหายไป ทิ้งเขาให้อยู่ตัวคนเดียว

ชายหนุ่มรู้ดีว่าที่แห่งนี้อันตรายเพียงใด จึงท่องคาถาต่ออย่างไม่ลังเลใจ หลังจากร่ายคาถาต่ออีกหนึ่งท่อน เขาก็คุกเข่าลงและหยิบตราประจำตัวบนศพขึ้นมา

ศพนั้นมีขนาดใหญ่ยักษ์ ตราประจำตัวจึงมีขนาดใหญ่ตามไปด้วย แต่ทันทีที่หวังเป่าเล่อเอื้อมมือไปแตะ แสงก็พลันสว่างจ้าออกมาจากตรา เหมือนว่ามันจะยอมรับเขาและยินยอมให้เก็บกลับไป แสงสว่างย่อส่วนเล็กลงเหลือขนาดเท่าฝ่ามือในพริบตา ชายหนุ่มเอื้อมมือไปคว้าและยัดใส่กระเป๋าคลังเก็บโดยไม่เหลือบไปมอง

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อหอบหายใจถี่ ในหัวยังส่งสัญญาณเตือนไม่หยุด ภัยอันตรายที่สัมผัสได้ยังไม่หายไปไหน แต่กลับยิ่งทวีคูณความรุนแรงขึ้นแม้จะร่ายคาถาจนฝูงงูเขียวขดตัวหนี หวังเป่าเล่อกำลังจะหนีออกไป แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นผิวหนังของศพ เขากัดฟันแน่น

ลำบากเหลือเกินกว่าจะลงมาได้ ไหนๆ ก็ลงมาแล้ว…ข้าควรเก็บเลือดกลับไปสักหน่อย…แค่ตราประจำตัวเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่พอ เขารู้ดีว่าสิ่งตรงหน้าคือศพ มีโอกาสน้อยมากที่จะมีเลือดหลงเหลืออยู่ แต่วัดจากสีของผิวหนังแล้ว หวังเป่าเล่อก็รู้สึกมีหวัง ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวขณะที่ชายหนุ่มยกสองมือขึ้น

มือซ้ายของเขาเอื้อมไปทางขอบทะเลโลหิต มือซ้ายสร้างผนึกฝ่ามือ เกราะจักรพรรดิลักอัคคีที่ยังไม่สมบูรณ์และแขนกระดูกอาวุธเทพปรากฏขึ้น เส้นปราณของเกราะจักรพรรดิเลื้อยพันรอบแขนที่กำลังปลดปล่อยพลังของอาวุธเทพพุ่งเข้าไปเจาะผิวหนังศพ!

มือข้างซ้ายคว้าหยดน้ำขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาจากทะเลและเก็บกลับไป ขณะที่แขนอาวุธเทพตรงมือขวาพุ่งตรงเข้าใส่ศพ

ถึงหวังเป่าเล่อจะมีอาวุธเทพและเพิ่งบรรลุขั้นการฝึกตนมา แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายามมีชีวิตอยู่ศพตรงหน้านั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ผิวหนังของศพแข็งหนาแม้จะไร้ซึ่งชีวิต ไม่ว่าชายหนุ่มจะพยายามเท่าใดก็ทำได้แค่สร้างรอยแผลเล็กๆ ขึ้นบนผิวหนัง ไม่มีทางเลยที่จะสูบเลือดออกมาจากรอยแผลเหล่านี้ได้

เขาคงต้องปล่อยพลังปราณเต็มขั้นซ้ำๆ และใช้เวลาสักพักถึงจะสามารถเจาะทะลุผิวหนังได้สำเร็จ แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีเวลามากขนาดนั้น คลื่นบนทะเลโลหิตรอบศพเริ่มพัดกระเพื่อม เหมือนว่ามีบางสิ่งใต้ทะเลกำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว สัญญาณอันตรายที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้เริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อตัวตนดังกล่าวเคลื่อนตัวเข้ามาหา

หวังเป่าเล่อเริ่มตื่นตระหนก หันมองทิวทัศน์รอบตัว จากนั้นก็หายวับไปและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งห่างออกไปหลายร้อยเมตร จุดที่ชายหนุ่มอยู่เป็นบริเวณหน้าอกของศพ ตรงหน้ามีบาดแผลเปิดกว้างขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการโจมตีอันรุนแรง

ชายหนุ่มรีบคุกเข่าลงและวางมือขวาเหนือบาดแผล ดวงตาฉายแสงวาบ วิญญาณจุติเองก็ตาเป็นประกายเช่นกัน เขาสร้างผนึกฝ่ามือ ปลดปล่อยพลังเมล็ดดูดกลืนส่งแรงสูบไปยังแขนของตนเอง

แรงสูบพวยพุ่งออกจากฝ่ามือหวังเป่าเล่อ มุ่งลงไปในบาดแผลและกระจายไปทั่วศพ ไม่นาน ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงหยดเลือดเล็กๆ

ทันใดนั้นศพก็สั่นไหว ฝูงงูเขียวเริ่มลุกฮือขึ้นอีกครั้งพร้อมกับคลื่นกระเพื่อมในทะเลโลหิตที่เริ่มก่อตัวเป็นระลอกคลื่น สิ่งมีชีวิตในทะเลกำลังกราดเกรี้ยว

ทะเลพุ่งกระจายขึ้นสูง ปีกสองข้างรูปทรงคล้ายปีกของจักจั่นโผล่พ้นทะเล ปีกอีกส่วนกรีดกรายขึ้นมาจากน้ำราวกับเป็นใบเรือ ลวดลายบนปีกเหมือนอักขระโบราณที่จองจำอสูรเอาไว้ภายใน ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวเหมือนปีศาจ ดวงตาปูดโปนสองข้างโผล่พ้นน้ำขึ้นตรงกลางระหว่างปีก

สัญญาณอันตรายเกินบรรยายระเบิดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อทันทีที่อสูรปรากฏตัว ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ เมล็ดดูดกลืนยังปลดปล่อยแรงสูบผ่านมือขวาไม่หยุดขณะที่เขายกมือซ้ายขึ้นชี้ไปทางทะเลโลหิต

“สรรพชีวิตย่อมต้องเผชิญภัยพิบัตินับไม่ถ้วนเป็นสรณะ!”

ตู้ม!

พลังกดดันที่จุติลงมาจากฟากฟ้าทวีความรุนแรงขึ้นจากการใช้คาถาหลายต่อหลายครั้ง ทำให้เขารู้ว่าตัวตนที่อัญเชิญออกมาจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หากร่ายคาถาต่อไปไม่หยุด ชายหนุ่มไม่เคยร่ายเกินสองวรรคเพราะกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา แต่ตอนนี้เขาอยู่ในสถานการณ์คับขัน จึงต้องร่ายวรรคที่สามออกมาด้วยความลนลาน

แรงกดดันที่เหล่าอสูรได้รับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อสูรที่โผล่พ้นขึ้นมาจากทะเลโลหิตตัวสั่นเทิ้ม เหมือนว่าถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็นกดทับอยู่ มันหยุดโผขึ้นจากทะเลไปชั่วขณะ

ประจวบเหมาะกับที่เมล็ดดูดกลืนปฏิบัติภารกิจสำเร็จพอดี หยดเลือดสีแดงคล้ำหุ้มไปได้รอยเส้นเลือดมากมายปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของชายหนุ่ม!

หยดเลือดเป็นเหมือนตัวเร่งปฏิกิริยา อสูรในทะเลโลหิตร้องคำรามลั่นพร้อมกระโจนขึ้นจากทะเล น้ำในทะเลสาดกระเซ็น อสูรร่างยักษ์ปรากฏร่างให้เห็น

รูปลักษณ์ของมันเหมือน…แมลงปอ ต่างตรงที่มันตัวใหญ่กว่าหลายต่อหลายเท่า ตัวของมันเป็นสีโลหิตดูน่าพรั่นพรึง

มันจ้องหวังเป่าเล่อเขม็งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง!

บทที่ 675 ตราบเท่าที่มีดวงดารา!
หวังเป่าเล่อเกาหัวและหันมองรอบๆ ไม่ว่าจะร้องขอสักเพียงใดก็ไม่มีการตอบกลับจากศิษย์พี่ที่ชอบแอบเฝ้าดู เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าศิษย์พี่ที่บังเอิญเจอกันได้จากไปแล้วหรืออย่างไร…

ไม่มีทาง เขาไปแล้วจริงๆ หรือ ชายหนุ่มกะพริบตา พยายามเรียกหาศิษย์พี่อีกสองสามครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ เขาถอนใจ ศิษย์พี่ของตนน่าจะจากไปแล้ว ถึงแม้จะยังอยู่ ก็ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมาปรากฏตัวต่อหน้าหวังเป่าเล่อ

“เช่นนั้นก็ได้ หวังเป่าเล่อผู้นี้พึ่งพาความสามารถของตนเองมาโดยตลอด คงจะเป็นชะตาลิขิตเอาไว้ไม่ให้ข้าใช้ทางลัดหรือคอยพึ่งพาผู้อื่น” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำ พยายามปลอบใจตนเอง เขาไม่ได้สนใจเสียงแค่นจมูกเบาๆ ของแม่นางน้อยที่ดังขึ้นหลังจากตนพูดจบ

ชายหนุ่มมาถึงจุดที่สามารถเพิกเฉยต่อคำดูหมิ่นของแม่นางน้อยที่โพล่งออกมาด้วยความริษยา นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังเป็นคนมองโลกในแง่ดี แม้จะถอนใจให้กลับสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่เขาก็ก้าวข้ามความรู้สึกนั้นได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ หลังจากตรวจสอบระดับการฝึกตนของตัวเอง

ขั้นจุติวิญญาณ! หวังเป่าเล่อแสนสุขใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาพบว่าตนเองนั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าตอนอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในมาก ความแตกต่างนั้นเกินจะบรรยายได้ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกตื่นเต้นหนักขึ้นเรื่อยๆ

ข้าควรจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียน ไม่มั่นใจในตัวเองเกินไป ข้าควรฟังอีกฝ่ายให้ครบถ้วนก่อนจะตัดสินใจอะไรลงไป ชายหนุ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวังศิษย์แห่งเต๋าและหาข้อสรุปอย่างจริงจัง เขายังไม่ได้เริ่มคิดหาทางเข้าไปในวังลำดับสาม หากแต่นั่งขัดสมาธิลงและเริ่มปรับสมดุลพลังปราณของตนเอง

เมล็ดดูดกลืน ดอกบัวสีเขียว และฝักกระบี่ได้กลับสู่ร่างกายเขาครบหมดแล้ว ตอนนี้มีร่างเล็กจิ๋วบนดอกบัวสีเขียวเพิ่มขึ้นมา เป็นร่างมนุษย์โปร่งใสส่องแสงแจ่มจรัส รูปร่างของมัน…ดูอ้วนท้วน ดูแล้วเหมือนหวังเป่าเล่อกำลังนั่งหน้าขรึมอยู่บนดอกบัวสีเขียวไม่มีผิด

ฝักกระบี่นั้นหดลงไปมาก มันหมุนวนรอบวิญญาณจุติ ปลดปล่อยพลังรัศมีน่าพรั่นพรึง เมล็ดดูดกลืนเปล่งแสงคล้ายคลึงกัน มันหมุนรอบตัวเองตามจังหวะการหายใจของชายหนุ่ม

ราวกับว่าเขาคือศูนย์กลางทุกอย่าง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของเขา!

หัวใจของชายหนุ่มเต้นถี่รัว รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองสิ่งมีชีวิตทุกตน เมื่อพลังปราณสมดุลแล้ว เขาก็เริ่มศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณจุติดวงดาราที่ไหลหลากเข้าสู่หัวก่อนหน้านี้

ผ่านไปพักใหญ่กว่าหวังเป่าเล่อจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความตื่นเต้นในแววตายังไม่หายไปไหน แต่กลับเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ขณะที่พลังปราณในกายกลับมาอยู่ในสภาพสมดุล หลังจากศึกษาข้อมูลมากมายในหัวก็ได้พบความรู้ใหม่ที่ทำให้หัวใจเต้นระส่ำ

วิญญาณจุติดวงดารา…แข็งแกร่งขนาดนี้เลยหรือ ชายหนุ่มหายใจถี่รัว ยังคงตกอยู่ในอาการไม่อยากเชื่อแม้จะยืนยันกับข้อมูลในหัวอยู่หลายครั้ง ที่วิญญาณจุติดวงดาราได้ชื่อว่าเป็นวิชาต้องห้ามไม่ได้มาจากความยากในการฝึกเพียงอย่างเดียว แต่มาจากความแข็งแกร่งของมันด้วยเช่นกัน!

วิญญาณจุติดวงดารานั้นเกิดจากการชนกันกับดาวเคราะห์ ทำให้มีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่วิญญาณจุติอื่นไม่มี อาจจะชัดเจนกว่าถ้าจะเรียกมันว่าคุณสมบัติภายใน

ด้วยคุณสมบัติภายในนี้…ทำให้ยิ่งผู้ฝึกตนเข้าใกล้ดาวเคราะห์มากเท่าใดก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น โดยจะได้รับการเสริมพลังจากหมู่ดาวเคราะห์ บางคนอาจเถียงว่าผู้ครอบครองวิญญาณจุติดวงดารานั้นสามารถดูดซับพลังจากดาวเคราะห์ได้…สรุปก็คือ ผู้ฝึกตนที่มีวิญญาณจุติดวงดาราจะเก่งกาจในการสู้รบเมื่อมีดาวเคราะห์อยู่ใกล้ๆ

จริงๆ แล้ว…พลังที่ได้เสริมมานั้นจะเพิ่มพูนขึ้นตามขนาดและความพิเศษเฉพาะตัวของดาวเคราะห์ จากข้อมูลที่หวังเป่าเล่อได้มาพบว่า…การเสริมพลังนั้นไร้ซึ่งขีดจำกัด ขีดจำกัดเพียงอย่างเดียวคือขนาดของดาวเคราะห์ที่ได้อยู่ใกล้!

ตามทฤษฎีแล้ว หากมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ไร้ขอบเขตและไม่สามารถทำลายลงได้อยู่จริง หวังเป่าเล่อก็จะมีสถานะใกล้เคียงกับความเป็นอมตะแค่เพียงอยู่ใกล้ๆ ดาวเคราะห์ดวงนั้น

นี่คือพลังของหนึ่งในห้าวิญญาณจุติในตำนาน วิชาต้องห้าม…วิญญาณจุติดวงดารา!

เยี่ยมไปเลย! หวังเป่าเล่อใจเต้นถี่รัว หายใจติดขัด แทบทำใจเชื่อไม่ได้ว่าจะดวงดีถึงเพียงนี้ ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งถึงจะตระหนักได้ว่าตนแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าและหัวเราะเสียงดัง ในใจรู้สึกฮึกเหิม ความเหนื่อยยากทั้งหมดที่ทุ่มเทไปได้ผลตอบแทนกลับมาอย่างคุ้มค่า

“สวรรค์ช่างยุติธรรม โลกใบนี้อาจจะเต็มไปด้วยคนที่ได้อะไรมาโดยไม่ต้องพยายาม หรือไม่ก็คนที่บังเอิญได้ดิบได้ดีเพราะโชคช่วย แต่…โชคชะตาก็ไม่ได้ละทิ้งผู้ที่ตรากตรำอย่างหนัก!”

แม่นางน้อยเห็นใบหน้าผยองและสิ่งที่ชายหนุ่มพล่ามออกมาก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก นางถอนใจด้วยความเหนื่อยอ่อน

“เอาที่สบายใจ…”

หวังเป่าเล่อไม่สนใจคำประชดของแม่นางน้อยและลุกยืนขึ้น เขายืดอกเอามือไพล่หลัง จ้องมองไปยังวังลำดับสุดท้ายด้วยความภาคภูมิ สายตาของชายหนุ่มฉายแววเฉียบขาด พลังแกร่งกล้าปะทุออกจากร่างของเขาในทันใด

มันเป็นพลังที่เหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน พลังขั้นจุติวิญญาณก่อให้เกิดพายุที่กรีดร้องอยู่รอบตัว แสงดวงดาวกระพริบวับวาวอยู่ภายในพายุ พลังวิญญาณกล้าแกร่งเพิ่มพูนขึ้นขณะหวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังปราณเต็มขั้น ปราณวิญญาณอัดแน่นขึ้น ก่อนจะก่อตัวเป็นเงามายาวิญญาณจุติของหวังเป่าเล่อ!

ร่างมายาที่ปรากฏขึ้นสั่นสะเทือนผืนฟ้าและผืนดิน ลมกรรโชกหวีดร้องขณะที่พายุพัดหมุนรอบชายหนุ่มที่กำลังรวบรวมพลัง แสงพลันสว่างวาบในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขาร้องคำรามและพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

เขาพุ่งตัวแหวกอากาศ ทิ้งเงาร่างไว้เบื้องหลังขณะมุ่งหน้าตรงไปทางวังลำดับสาม เมื่อเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มก็ร้องคำรามพร้อมปล่อยหมัดตรงไปและปลดปล่อยแขนกระดูกอาวุธเทพ

“แหลกไปซะ!”

เสียงกัมปนาทดังก้องไปทั่วบริเวณ ตามมาด้วย…เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของหวังเป่าเล่อที่ถูกส่งกระเด็นขึ้นฟ้า ปลิวไปด้านหลังก่อนจะกระแทกลงพื้น พื้นดินสั่นสะเทือนจากการกระแทกจนเกิดเป็นหลุมขึ้นมา

ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่ หวังเป่าเล่อใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะตะกายขึ้นมาจากหลุมได้ เขาดูสลดใจขณะจ้องตรงไปยังวังตรงหน้าที่ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย ชายหนุ่มหมุนข้อมือที่เจ็บระบบพร้อมกับถอนใจ

ข้ามั่นใจในตนเองเกินไป…

หวังเป่าเล่อนวดข้อมือและจ้องวังลำดับสามด้วยความขุ่นเคืองใจ หากกลับออกไปเฉยๆ คงจะเสียโอกาสที่ยิ่งใหญ่ไป สิ่งที่ได้มาจากวังทั้งสองแห่งนั้นช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ดังนั้นรางวัลที่ได้จากวังลำดับสามคงจะยอดเยี่ยมไม่แพ้กันหรืออาจจะดีกว่าก็เป็นได้

ข้าจะเข้าไปได้อย่างไรกัน…ข้ามีคุณสมบัติไม่ถึง… ชายหนุ่มคิดพิจารณา เขาเข้าไปในวังลำดับแรกได้เพราะมีคุณสมบัติเหมาะสม ส่วนวังลำดับสองก็ได้แขนกระดูกของหลี่อู๋เฉินเมื่อชาติที่แล้วช่วยเบิกทาง

แสดงว่าแม้แต่ศิษย์แห่งเต๋าก็ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเข้าไปได้ มีเพียงคนที่มีสถานะสูงกว่าศิษย์แห่งเต๋าถึงจะเข้าไปได้อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อคิด ตามความเข้าใจของเขา มีเพียงผู้อาวุโสเท่านั้นที่มีสถานะสูงกว่าศิษย์แห่งเต๋า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นแค่ผู้อาวุโสธรรมดาก็ยังถือว่ามีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเข้าไปได้ อย่างน้อยต้องเป็นผู้อาวุโสระดับสูง หรืออาจจะต้องผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้นถึงจะเหมาะสม

แล้วข้าจะไปหาสิทธิ์ที่ว่ามาจากไหน ชายหนุ่มถอนใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ใจหนึ่งก็จะอยากยอมแพ้ ทันใดนั้น ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็สว่างวาบขึ้น ในหัวเริ่มตรึกตรองไม่หยุดขณะภาพสิ่งต่างๆ ปรากฏขึ้น ภาพสุดท้ายที่เห็นเป็นภาพของศพยักษ์แผ่พลังแกร่งกล้าที่นอนอยู่กลางทะเลโลหิต!

หวังเป่าเล่อพบศพศพนั้นครั้งแรกบนแท่นคงกระพัน ภาพในตอนนั้นทำให้เขาต้องตื่นตะลึงไป พลางนึกสงสัยว่าศพศพนั้นอาจจะเป็นศพของบุคคลสำคัญมากสักคน

หัวใจชายหนุ่มเต้นรัวเมื่อคิดถึงศพศพนั้น ก่อนจะได้ข้อสรุปให้กับตนเอง

ข้าจะไปตามหาศพศพนั้นและเก็บเนื้อกลับมาส่วนหนึ่ง ถ้าได้เลือดด้วยก็คงดี พลังที่แผ่ออกมาน่าจะช่วยคลายผนึกวังลำดับสามได้! คิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็ทะยานออกไปตามหาแท่นคงกระพันทันที!

สำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณนั้นกว้างใหญ่ สามารถพบเห็นแท่นคงกระพันมากมายกระจายอยู่ทั่วบริเวณ บางส่วนอาจพังทลายไปตอนที่ฟ้าดินพังทลาย แต่ก็มีเหลืออยู่อีกมากที่บริเวณปลายกระบี่ ไม่นานหวังเป่าเล่อก็พบแท่นหนึ่ง หลังจากเอ่ยขออย่างหน้าไม่อายอยู่สักพัก แม่นางน้อยก็ยอมสอนวิธีเปิดใช้งานให้ ผ่านไปครู่หนึ่งแท่นคงกระพันก็สั่นไหว ชายหนุ่มหลอมรวมกับหมอกและลอยขึ้นไปบนฟ้า!

เขาพอจะจำได้รางๆ ว่าเจอศพอยู่ตรงไหน เมื่อสามารถควบคุมแท่นคงกระพันได้มากขึ้น ใช้เวลาไม่นาน ประมาณแค่ครึ่งวัน หมอกก็พาชายหนุ่มมาถึง…ทะเลโลหิต!

ปราณโลหิตพวยพุ่งขึ้นมาจากทะเลเบื้องล่าง สายฟ้าสีแดงฟาดฝ่าส่งเสียงกัมปนาท ศพยักษ์ลอยอยู่กลางทะเลโลหิต มีพลังกล้าแกร่งไม่ต่างจากเทพ

แม้จะตายไปแล้วแต่ก็ยังส่งพลังแกร่งกล้าออกมา สร้างแรงกดดันมหาศาลแผ่พุ่งไปทั่วบริเวณ!

บทที่ 674 ศิษย์พี่ ท่านยังอยู่ไหม
คมกระบี่เดียวฟันตัดผ่านแขน!

แสงกระบี่พุ่งผ่านแขนเกล็ดสีแดงที่กำลังยื่นไปหาหวังเป่าเล่อ ฟันข้อมือจนขาด ฝ่ามือแตกสลายกลายเป็นโลหิตมายาไหลตรงไปยังแขนที่ถูกฟันขาด

แต่มันก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ คมกระบี่ที่เฉือนแขนจนขาดฉายแสงขึ้นอีกครั้ง พลังแกร่งกล้าพลันจุติลงมาจากฟากฟ้าเหมือนมีหัตถ์ที่มองไม่เห็นเอื้อมลงมากวาดโลหิตออกไป ไม่ให้ไหลกลับเข้าสู่แขน

โลหิตพุ่งไปทางหวังเป่าเล่อแทน จิตของเจ้าของโลหิตถูกชำระล้างไปสิ้นจนตอนนี้มันไม่ใช่โลหิตของผู้ใด โลหิตที่กระเด็นมาปลดปล่อยพลังแปลกประหลาดที่เหมือนจะแปรเปลี่ยนเป็นโลหิตเสริมพลังเข้าผสานกับแก่นในอัสนี แก่นในแห่งความมืด และร่างกายของชายหนุ่มได้อย่างราบรื่น!

หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มจากโลหิตที่ไหลเวียนเข้ามา เขาพยายามต้านทานดาวเคราะห์ไว้อย่างทุลักทุเล โดยต้องปลดปล่อยพลังงานทั้งหมดมาช่วยเสริม แต่สติที่เหนื่อยล้ากลับรู้สึกเหมือนได้โอสถชั้นเลิศมาช่วยเสริมพลัง สติของเขาพลันกระจ่างในทันใด แม้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะชวนให้ตื่นตะลึง แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีเวลามัวมาคิดอะไรให้มากความ โลหิตที่ไหลเข้าสู่ร่างนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังชีวิต

แก่นในอัสนีและแก่นในแห่งความมืดที่ได้รับการบำรุงจากแหล่งพลังเข้มข้นแปรเปลี่ยนเป็นมหาสมุทรถาโถมเข้าภายในใจ เสียงกลองยักษ์ดังขึ้นในหัว ชายหนุ่มตัวสั่นจากโชคที่ร่วงหล่นใส่โดยไม่ทันตั้งตัว เขาร้องคำรามและส่งคลื่นพลังชีวิตที่ไหลหลากเข้ามาไปทั่วร่างเพื่อบรรลุขั้นการฝึกตน

“บรรลุ!”

ร่างของเขาส่องแสงเรืองรองขณะที่วิญญาณจุติดวงดาราค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายในร่าง ไม่นานพลังของวิญญาณจุติดวงดาราก็ปะทุขึ้น ชายหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นดวงดาราในทันใด ปราณวิญญาณเริ่มทวีคูณความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

เสียงกัมปนาทดังก้องในหัวไม่หยุด เสียงร้องคำรามดังสะท้อนขึ้นไปถึงสรวงสวรรค์!

ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงพลังกล้าแกร่งที่เพิ่มพูนขึ้นภายใน เขาหายใจถี่รัวและปลดปล่อยทุกอย่างที่มีอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นพลังปราณ พลังกาย แก่นในอัสนี และแก่นในแห่งความมืด เพื่อบรรลุขั้นการฝึกตน!

หวังเป่าเล่อในตอนนี้เป็นเหมือนดวงดาราที่กำลังถือกำเนิด แสงส่องสว่างเป็นวงรัศมีรอบตัวค่อยๆ เจิดจ้าขึ้น ไม่นานดาวเคราะห์เบื้องหน้าเขาก็เริ่มสั่นไหว การต้านกำลังกันจากทั้งสองฝ่ายกำลังจะพังทลายลง ดวงดาราของหวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังออกมาเต็มขั้น ดาวดวงหนึ่งกำลังจะถือกำเนิดขึ้น!

ทุกอย่างเหมือนจะเกิดขึ้นเป็นภาพช้าๆ แต่จริงๆ แล้ว ตั้งแต่การโจมตีของเฉินชิงไปจนถึงการดูดซับโลหิตจวบจนดวงดาวที่ตื่นพลังขึ้นล้วนเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา และขณะที่พลังของดวงดาวกำลังจะปลดปล่อยออกมาเต็มขั้นนั้นเอง…

เสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราดและเจ็บปวดก็ดังผ่านห้วงอวกาศมา น้ำเสียงฟังดูตื่นกลัว พลังวิญญาณของหวังเป่าเล่อเริ่มสั่นคลอน

“มาส่งของเสร็จแล้วยังไม่ไปอีก จะอยู่กินข้าวเย็นด้วยหรืออย่างไร” เสียงของเฉินชิงดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน ตามมาด้วยแสงของคมกระบี่ที่ปรากฏขึ้นและหายวับไปในพริบตาต่อมาก เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นขึ้น

“ไสหัวไป ถ้ายังส่งเสียงอีก ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย!” เฉินชิงแค่นเสียงไม่พอใจก่อนจะพูดขึ้นอย่างเย็นชา ขัดเสียงร้องโหยหวนที่ดังก้องในอากาศ

ห้วงความว่างเปล่าสั่นคลอน ผืนจักรวาลที่พวกเขาอยู่สั่นสะเทือน ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็เงียบไป แม้จะยังเจ็บแค้น แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมาอีก มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับออกไป

แขนด้วนหายวับไปพร้อมตัวตนนั้น ราวกับว่าตัวตนที่ไม่รู้จักดังกล่าวไม่เคยย่างกรายเข้ามา ครู่ต่อมา ทุกอย่างให้ผืนจักรวาลนี้ก็ดำเนินต่อไปอีกครั้ง

พอไม่มีใครมาขัดขวาง หวังเป่าเล่อก็ร้องคำรามเสียงดุดันแหวกห้วงอวกาศ แสงมารวมตัวกันนอกร่างกายของเขาและพวยพุ่งออกไปรอบด้าน สว่างเจิดจ้าจนแสบตาไปไกล ดวงไฟเรืองแสงสุกสว่างเหมือนดังดวงอาทิตย์และดวงดาวที่เพิ่งถือกำเนิด เสียงปริแตกเหมือนเปลือกไข่ร้าวดังก้องห้วงอวกาศ

“บอกว่าให้บรรลุไง!” ชายหนุ่มร้องคำราม พลังปราณเพิ่มพูนขึ้นในทันที จนบรรลุจากขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ไปสู่ขั้นจุติวิญญาณ!

พลังของดวงดาราพุ่งขึ้นสูงถึงสรวงสวรรค์ทันใดที่ชายหนุ่มบรรลุขั้นจุติวิญญาณ ด้านในดวงแสงเห็นเป็นร่างเล็กจิ๋วกำลังเหยียดแขนขา ร่างนั้นคือวิญญาณจุตินั่นเอง!

มันคือหนึ่งในห้าวิญญาณจุติในตำนาน วิชาต้องห้าม วิญญาณจุติดวงดารา!

สัมผัสพลังที่ไม่เคยพบมาก่อนก่อตัวขึ้นในร่างของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกราวกับว่าตนมีพลังควบคุมดวงดาราและสามารถท่องผ่านห้วงอวกาศได้ ชายหนุ่มหายใจถี่รัว เห็นตัวตนคุ้นเคยอยู่ไกลห่างออกไป ตัวตนนั้นยกมือที่ถือน้ำเต้าอยู่ขึ้นทักทาย

“ศิษย์พี่…” หวังเป่าเล่อเบิกตากว้างขณะพูดพึมพำ ร่างคุ้นเคยไม่รอให้ชายหนุ่มได้พูดต่อ เขาตวัดแขนเสื้อ พลันดาวเคราะห์เบื้องหน้าและห้วงความว่างเปล่าก็เริ่มสั่นไหว ทุกสิ่งเริ่มเลือนรางก่อนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!

พลังแกร่งกล้าพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่ม พัดพาเขาลงไปยังหุบเหวไร้ที่สิ้นสุดก่อนจะหายวับไป

ก่อนพลังจะหายไปทั้งหมด เสียงของเฉินชิงก็ดังขึ้นในหัวที่อื้ออึงของชายหนุ่ม

“ศิษย์น้องที่รัก เจ้าเหลือเวลาไม่มากแล้ว ข้า…จะมารับเจ้าไปเร็วๆ นี้”

ห้วงความว่างเปล่าเริ่มเลือนหายไปพร้อมหวังเป่าเล่อ ทุกอย่างเริ่มมืดดำ เฉินชิงยกน้ำเต้าขึ้นซด เขาหันไปร้องเพลงอย่างยินดีปรีดา

“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”

“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”

“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น… ”

เป็นเพลงโบราณที่ฟังดูเก่าแก่ยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อชายหนุ่มเป็นคนร้อง ขณะที่กำลังจะหายวับไปในความมืด เขาก็พลันตัวแข็งทื่อ ก่อนจะหันไปจ้องตรงทิศทางหนึ่ง ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง

สายตาของเขามองทอดผ่านห้วงอวกาศไปหยุดอยู่ตรงระบบสุริยะที่มีกระบี่สำริดเขียวโบราณหลับใหลอยู่ เขาจ้องอยู่เนิ่นนานก่อนจะหัวเราะออกมา

โอหังจริงๆ ทั้งที่เป็นแค่เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า เอาเถอะ ได้เป็นตัวช่วยให้ศิษย์น้องของข้าเติบโตขึ้น ก็ถือว่าไม่เลวเท่าไหร่ เฉินชิงยิ้ม ก่อนจะหันกลับและเดินหายวับไปในความมืดมิด

ณ ปลายกระบี่สำริดเขียวโบราณ บริเวณที่พบวังทั้งสาม หวังเป่าเล่อปรากฏตัวอีกครั้งด้านนอกวังศิษย์แห่งเต๋าท่ามกลางแสงจ้า เขาเงยหน้าขึ้นมองรอบตัวด้วยลมหายใจถี่รัว

“ศิษย์พี่…” หวังเป่าเล่อพึมพำขึ้น จากนั้นก็เงียบไป เขานึกถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่บุกไปยังเรือบินรบ เริ่มตระหนักถึงสิ่งที่ไม่เข้าเค้าหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ศึกครั้งสุดท้ายกับโยวหรันทำให้ชายหนุ่มนึกอะไรบางอย่างออก

ขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าแม่นางน้อยที่อยู่ในหน้ากากตื่นตกใจเพียงใด คำว่าตื่นตกใจอาจเบาเกินไปที่จะอธิบายความรู้สึกของนางในตอนนี้เสียด้วยซ้ำ

เจ้าอ้วนน้อยนี่…สร้างวิญญาณจุติดวงดาราได้เฉยเลย!

บิดาข้าบอกว่ามีเพียงคนบ้าเท่านั้นที่จะเลือกวิญญาณจุตินี้ เจ้าอ้วนบ้านี่… แม่นางน้อยคลั่งไป ไม่ได้เป็นเพราะความอิจฉา แต่เป็นเพราะสิ่งที่นางเคยพูดไปก่อนหน้า ความรู้สึกที่ว่าคำพูดของนางมีพลังบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนเป็นความจริงได้ถาโถมเข้าสู่ความคิดของแม่นางน้อยอีกครั้ง ทุกครั้งที่นางพูดอะไรบางอย่างซึ่งเกินความสามารถของชายหนุ่ม เขาก็จะทำได้สำเร็จเสมอ แม่นางน้อยเริ่มตื่นกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

“ไม่เห็นจะเก่งอะไรเลย ก็แค่พึ่งพาบารมีศิษย์พี่ก็เท่านั้น!” แม่นางน้อยพึมพำขึ้นด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย

ผ่านไปสักพัก เมื่อหวังเป่าเล่อพบคำตอบของเรื่องราวต่างๆ เขาก็สูดหายใจลึก เหตุการณ์ทั้งหมดนำเขาไปสู่การค้นพบครั้งสำคัญ

ศิษย์พี่ชอบสอดแนม เขาเฝ้าดูทุกอย่างมาสักพักแล้ว! คิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็หันไปสำรวจรอบตัวอีกครั้ง ดวงตาเขาเลื่อนไปหยุดอยู่ตรงวังลำดับสาม จากนั้นก็กะพริบตาและกระแอมกระไอขึ้น

“ศิษย์พี่ ช่วยศิษย์น้องผู้แสนหล่อเหลาปลดผนึกวังลำดับสามได้หรือไม่” หวังเป่าเล่อพูดขึ้น จากนั้นก็ตั้งตาคอยด้วยความคาดหวัง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นอีกด้วยสีหน้าออดอ้อน

“ศิษย์พี่ที่รัก นี่คือศิษย์น้องผู้แสนสำคัญของท่านที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและทนลำบากมานานหลายปี ศิษย์พี่ ระดับพลังปราณของท่านนั้นไม่มีใครเทียบได้ ฝีดาบก็ช่ำชองไม่มีใครเกิน โปรดช่วยข้าปลดผนึกวังลำดับสามทีเถิด

“ศิษย์พี่ เลิกทดสอบข้าเสียทีแล้วปลดผนึกวังลำดับสามเสีย

“ศิษย์พี่ ข้าเริ่มโกรธแล้วนะ!

“ศิษย์พี่…ท่านยังอยู่ไหม”

บทที่ 673 วิญญาณจุติดวงดารา!
วิญญาณจุติในตำนานบ้าบออะไรกัน เลือกวิญญาณจุตินี่ก็เท่ากับฆ่าตัวตายชัดๆ! หวังเป่าเล่อกัดฟันแน่นขณะโอดครวญในใจ ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับวิญญาณจุติดาราอัดแน่นอยู่ในหัว ทำให้เขาเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องดาวพระเคราะห์มากขึ้น

จากที่หวังเป่าเล่อได้ศึกษาบันทึกของสำนักแห่งความมืด เขาพบว่าระดับดาวพระเคราะห์เป็น ระดับการฝึกตนสูงสุดระดับแรกที่ผู้ฝึกตนสามารถบรรลุได้ ถัดจากขั้นจุติวิญญาณ ขั้นเชื่อมวิญญาณ และขั้นจิตวิญญาณอมตะ

ผู้ฝึกตนในระดับนี้มีวิญญาณและกายเนื้ออันทรงพลัง หลังจากใคร่ครวญข้อมูลที่ได้รับตอนอยู่ในสำนักแห่งความมืดและที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิญญาณจุติดวงดารา หวังเป่าเล่อก็เริ่มเห็นภาพรวมของระดับดาวพระเคราะห์มากขึ้น

ที่ระดับดาวพระเคราะห์ได้ชื่อเช่นนี้ เป็นเพราะผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่หวังจะบรรลุขึ้นมาถึงระดับนี้ต้องหลอมตนเองเข้ากับดาวเคราะห์จริงๆ ในห้วงอวกาศ!

อาจเรียกว่าเป็นการกลืนกินดาวเคราะห์ก็ได้ ผู้ฝึกตนต้องแปลงดาวเคราะห์มาเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง จากนั้นดาวเคราะห์ก็จะเข้ามาอยู่ในร่างและกลายเป็นรากฐานแห่งเต๋าที่จะช่วยส่งผู้ฝึกตนขึ้นไปอยู่ท่ามกลางหมู่ดวงดารา ตำนานกล่าวขานไว้ว่าหลายอารยธรรมเรียกขั้นตอนนี้ว่าการจุติ!

เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ฝึกตนขั้นดาวพระเคราะห์จึงเทียบได้ว่าเป็นดาวเคราะห์จริงๆ!

ขั้นตอนการกลืนกินและหลอมรวมกับดวงดาวนั้นท้าทายมาก หากผิดพลาดจะต้องพบกับความตาย ถือเป็นช่องว่างที่ผู้ฝึกตนจะต้องข้ามผ่านไปให้ได้ในเส้นทางการฝึกตน!

นอกจากนี้…ขนาดของดาวเคราะห์ เส้นผ่านศูนย์กลาง และคุณสมบัติอื่นๆ รวมถึงพลังงานที่เก็บซ่อนอยู่ จะเป็นตัวกำหนดว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จะแข็งแกร่งเพียงใด ผู้ฝึกตนขั้นดาวพระเคราะห์ที่แข็งแกร่งจะมีหน้ามีตาในจักรวาล สามารถท้าสู้กับผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ได้และถึงแพ้มาก็ไม่เสียเกียรติ ส่วนผู้ฝึกตนขั้นดาวพระเคราะห์ที่อ่อนแอนั้นทำได้แค่รังแกผู้ฝึกตนที่มีระดับการฝึกตนด้อยกว่า เพราะผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันถือเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยาก

หวังเป่าเล่ออยากจะร้องไห้ออกมาเมื่อคิดได้เช่นนั้น เขารู้ว่าไม่สามารถโทษใครได้เลยที่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ความสามารถและความฉลาดได้นำพาตนเองมาพบปัญหาเสียแล้ว ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้วังศิษย์แห่งเต๋านึกอิจฉาจนส่งผลให้ความยากในการบรรลุไปยังขั้นจุติวิญญาณของเขาทวีคูณสูงขึ้น

ความเสียใจก่อตัวขึ้นภายใน แต่ก็ไม่สามารถอะไรได้เลยในตอนนี้ เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณที่ไหลเวียนรอบตัวในห้วงความว่างเปล่ากว้างไกลไร้ดวงดาวแห่งนี้ พลังทำลายล้างแกร่งกล้าที่สามารถบดขยี้ทุกสิ่งและทำให้ชายหนุ่มขนหัวลุกตัวสั่นเทิ้มพุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว เส้นเลือดปูดโปนขึ้นในตา ใบหน้าบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้

“ตื่นเถิด!” ชายหนุ่มเอ่ยคาถาขึ้น ก่อนจะต้องนิ่งอึ้งไปในเวลาต่อมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คาถาที่คอยช่วยชีวิตมานักต่อนักกลับใช้การไม่ได้!

เกิดอะไรขึ้นกัน หวังเป่าเล่อเบิกตากว้างด้วยความงุนงง หรืออาจต้องท่องในหัวถึงจะสำเร็จ เขาท่องคาถาในหัวอย่างรวดเร็ว ร่ายคาถาต่อเนื่องไปอีกหลายคำ แต่พลังอันคุ้นเคยที่เคยส่งตนมาจากส่วนลึกสุดของห้วงอวกาศกลับไม่ปรากฏขึ้นแต่อย่างใด

เมินข้าอย่างนั้นหรือ

ไม่มีเวลาพอให้เขาได้คิดอะไรมาก หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มเมื่อคลื่นพลังวิญญาณรอบตัวเริ่มทรงพลังขึ้นทันทีที่พลังทำลายล้างพุ่งตรงเข้ามา ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างเมื่อดวงแสงส่องสว่างปรากฏขึ้นห่างไกลออกไปในฟากฟ้ามืดมิดเบื้องหน้า!

มันเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ครู่ต่อมา ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงดังสนั่น เหมือนว่าดวงดาราได้ทลายลง

หากมีใครมองลงมาจากด้านบน จะเห็นว่ามีลูกไฟขนาดมหึมากำลังพุ่งตรงมาทางหวังเป่าเล่อ!

สิ่งนั้นไม่ใช่ลูกไฟธรรมดา…แต่เป็นดาวเคราะห์ ขนาดไม่ได้ใหญ่มากเมื่อเทียบกับดวงอื่นๆ แต่ก็ยังถือว่าใหญ่อยู่ดี ดาวเคราะห์ดวงนี้มีขนาดประมาณดวงจันทร์ เมื่อเทียบกันดูแล้ว หวังเป่าเล่อก็เป็นเหมือนฝุ่นผงเท่านั้น!

แม้จะยังอยู่ห่างไกลออกไป แต่คลื่นพลังวิญญาณรอบตัวชายหนุ่มกลับสั่นไหวรุนแรง หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม สัมผัสได้ถึงสัญญาณอันตรายและความตายที่ถาโถมไปทั่วร่างราวกับเป็นคลื่นยักษ์

ไม่เห็นจะเหมือนเป็นการทดสอบเลย! หวังเป่าเล่อตื่นตระหนก ดวงตาแดงก่ำ ไม่มีเวลามัวคิดอะไรไปมากกว่านี้ จากข้อมูลที่ได้ศึกษามาทำให้เขารู้ว่าตนมีเพียงโอกาสเดียว ถ้าไม่ได้บรรลุขั้นการฝึกตนก็…ต้องพบกับความตาย

ไม่มีทางใดให้หนี มีเพียงต้องเดินหน้าต่อไป!

“ดาวเฮงซวยอะไรกัน! รู้ไหมว่าในร่างกายข้ามีสิ่งแปลกประหลาดอะไรอยู่ภายในบ้าง คิดว่าข้าจะกลัวเจ้าอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อตะโกนลั่น เขายกมือขวาตบเข้าที่อกเสียงดัง เมล็ดดูดกลืนตื่นขึ้น ดอกบัวสีเขียวภายในเมล็ดดูดกลืนสั่นไหวไปมา สายฟ้ามากมายฟาดผ่าไปมาขณะที่แก่นในอัสนีโผล่พ้นออกจากปากของชายหนุ่ม!

อัสนีเปล่งประกายฟาดผ่าไปทั่วพื้นที่ราวกับเป็นฝูงสัตว์เลื้อยคลานสีเงิน แก่นในอัสนีปลดปล่อยพลังเต็มขั้น พยายามต้านทานแรงกดดันของดาวเคราะห์ที่พุ่งตรงเข้ามา เป็นดังตั๊กแตนที่พยายามจะหยุดเกวียนเทียมม้า แก่นในอัสนีไม่สามารถต้านทานพลังของดาวเคราะห์ได้แม้แต่น้อยและเริ่มส่งสัญญาณแตกหักเมื่อดาวเคราะห์เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้

หวังเป่าเล่อเจ็บระบมไปทั่วร่าง เขายกมือขวาขึ้นตบอกอีกครั้งอย่างไม่ลังเลใจด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นพร้อมพลังอันแกร่งกล้ายิ่งกว่าแก่นในอัสนีปะทุออกมาจากร่างชายหนุ่ม ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมพื้นที่ เปลวไฟสีดำลุกโชนขึ้นรอบตัวหวังเป่าเล่อ!

เปลวไฟสีดำนั่นเอง!

หวังเป่าเล่อถ่มแก่นในชิ้นที่สองซึ่งก็คือ…แก่นในแห่งความมืดออกมา!

คลื่นพลังวิญญาณพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าขณะที่แก่นในแห่งความมืดและแก่นในอัสนีพยายามต้านทานพลังดาวเคราะห์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ทำได้แค่ชะลอดาวเคราะห์ลงไปเล็กน้อยเท่านั้น!

การชะลอความเร็วของดาวเคราะห์ลงไม่ได้ช่วยอะไรแม้แต่น้อย ห้วงอวกาศเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อถูกปกคลุมไปด้วยแสงจากดาวเคราะห์ลุกโชติช่วงที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา ชายหนุ่มไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อีก เบื้องหน้ามีเพียงดาวเคราะห์ที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้และทะเลเพลิงที่คืบคลานมาจากที่ไกลโพ้น!

พลังที่พุ่งตรงเข้ามาหาหวังเป่าเล่อนั้นแกร่งกล้าน่าพรั่นพรึง แก่นในอัสนีเริ่มแตกร้าว แก่นในแห่งความมืดเริ่มละลาย แม้แต่แก่นในหัวใจยังถูกกลืนกินไปในทันที เหมือนว่านี่จะเป็นจุดสิ้นสุดของชายหนุ่ม เขากำลังจะหมดสติไป ดวงชีวิตกำลังจะถูกดาวเคราะห์ลุกโชติช่วงกลืนกิน ทันใดนั้น หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นตบอกเสียงดังอีกครั้ง

“ถ้าพวกเจ้าไม่ออกมา เราได้ตายกันหมดแน่!” ชายหนุ่มร้องคำราม รู้สึกได้ว่าพลังชีวิตเริ่มจางหายไป เมล็ดดูดกลืนในกายเป็นสิ่งแรกที่ไม่สามารถทานทนพลังของดาวเคราะห์ได้ไหว มันปรากฏตัวขึ้นพร้อมปลดปล่อยพลังแกร่งกล้าและแปรเปลี่ยนร่างเป็นวังวนพยายามหยุดยั้งดาวเคราะห์ที่กำลังพุ่งตรงมา ดาวเคราะห์ชะลอความเร็วลงอีกครั้ง

ดอกบัวสีเขียวก่อตัวขึ้น ปล่อยพลังชีวิตไม่รู้สิ้นกลางอากาศ มันรวมพลังช่วยวังวนต้านดาวเคราะห์เอาไว้!

ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ในช่วงเวลาคับขันนั้นเอง ฝักกระบี่ภายในกายของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏขึ้นเหมือนเป็นเชลยที่ถูกลากตัวออกมาอย่างไม่เต็มใจ คมคำสาปมากมายพุ่งตรงไปทางดาวเคราะห์!

ดาวเคราะห์ชะลอลงเป็นอย่างมาก ทั้งสองฝ่ายเหมือนจะต้านพลังกันได้อย่างเท่าเทียม ทุกวินาทีที่ผ่านไปช่างเนิ่นนานสำหรับหวังเป่าเล่อ

พลังกดดันจากดาวเคราะห์ทำให้ร่างของชายหนุ่มสั่นเทิ้ม แก่นในอัสนีปริแตกมากขึ้น ส่วนแก่นในแห่งความมืดก็ยังละลายอย่างต่อเนื่อง ร่างกายที่เริ่มสลายตัวสร้างความเจ็บปวดรุนแรงทรมานไปถึงจิตใจ ขณะที่แรงกดดันถาโถมเข้าใส่ พลังงานแห่งการเกิดใหม่ก็เริ่มไหลเวียนออกมาจากแก่นในที่กำลังสลายตัว เข้าโอบล้อมรอบตัวชายหนุ่มไว้!

พลังงานดังกล่าวเป็นเหมืองเปลวเพลิงริบหรี่และดวงดาวที่กำลังก่อตัวขึ้น พลังวิญญาณที่พวยพุ่งออกมานั้นแสนแกร่งกล้า ราวกับว่าเทพได้ถือกำเนิดขึ้น!

สิ่งนี้คือหนึ่งในห้าวิญญาณจุติในตำนาน…วิญญาณจุติดวงดารา!

วิญญาณจุติดวงดาราสูบพลังจากแก่นในทั้งสามของหวังเป่าเล่อและดาวเคราะห์ แล้วค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้น ห้วงแห่งความว่างเปล่าก็สั่นไหว พลังจากภายนอกเหมือนจะสัมผัสได้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงเข้ามาหยุดยั้งไม่ให้วิญญาณจุติดวงดาราถือกำเนิดขึ้น!

พลังแกร่งกล้าจากภายนอกสั่นคลอนห้วงแห่งความว่างเปล่า ส่งผลให้โลกไร้ดวงดาวเริ่มบิดเบี้ยว ปรากฏเป็นแขนมายาขนาดยักษ์ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดง แขนนั้นยืดตรงไปทางหวังเป่าเล่อ หมายจะทำลายร่างกายรวมถึงวิญญาณของชายหนุ่มและหยุดยั้งไม่ให้วิญญาณจุติดวงดาราถือกำเนิดขึ้นได้

ทันใดนั้น…เสียงแค่นจมูกอย่างไม่พอใจก็ดังก้องขึ้นในอากาศ เหมือนว่ามีคนมากมายนับไม่ถ้วนแค่นจมูกขึ้นพร้อมกันจนเกิดเป็นเสียงดังสนั่น!

“เจ้าโง่หน้าไหนบังอาจมาขัดขวางการบรรลุของศิษย์น้องข้า”

แสงอันทรงพลังราวกับจะผ่าสวรรค์เป็นสองท่อนได้พุ่งตรงลงมาอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปทางแขนสีแดงที่กำลังเหยียดตรงไปหาหวังเป่าเล่อ!

กระบี่ร่วงลงมา!

แขนถูกฟันขาด!

บทที่ 672 ต้องห้าม!
สำเร็จ! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงนั้น หัวใจเริ่มเต้นรัว เขาดีใจยิ่งกว่าตอนที่ปลดผนึกวังลำดับแรกได้สำเร็จ เพราะวังแรกเขาสามารถเข้าไปได้ด้วยสิทธิ์ที่ตนมี ส่วนวังลำดับสองนั้น…

เป็นเพราะความพยายามของข้า! ชายหนุ่มเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจขณะมองชั้นน้ำแข็งรอบวังลำดับสองทลายลงพื้น จากนั้นลำแสงสีฟ้าก็พวยพุ่งจากวังขึ้นสู่ฟากฟ้า!

คลื่นพลังวิญญาณสั่นคลอนผืนฟ้าและผืนดิน แรงสั่นสะเทือนนั้นรุนแรงกว่าตอนที่ปลดผนึกวังลำดับแรกได้ แม้ร่างกายของเขาจะอยู่ในขั้นจุติวิญญาณแต่ก็ยังถูกส่งกระเด็นถอยหลังไปหลายร้อยเมตร ชายหนุ่มรอให้พลังปะทะรุนแรงราวกับเป็นคลื่นยักษ์ที่สาดซัดไปทั่วพื้นที่จางลง จากนั้นจึงเริ่มเดินเข้าไปใกล้ด้วยความตื่นเต้นที่เอ่อล้นอยู่ในใจ

ไม่นานเขาก็หยุดอยู่หน้าวัง มองเห็นบานประตูเปิดแง้ม มีแสงสีฟ้าพวยพุ่งออกมาจากภายใน หวังเป่าเล่อผุดยิ้มสุขใจ ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวัง

ความรู้สึกแสนคุ้นเคยพัดผ่านร่าง เมื่อวิสัยทัศน์แจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มก็พบว่าตนได้มายืนอยู่ตรงบริเวณที่แสนคุ้นตา ด้านในของวังนี้มีความคล้ายคลึงกับวังลำดับแรก ทั้งรูปปั้นและสถาปัตยกรรมภายในล้วนคุ้นตาทั้งสิ้น แตกต่างตรงที่ครั้งนี้ ไข่มุกตรงหน้าส่องแสงสีฟ้า

ด้านล่างไข่มุกมีร่างหนึ่งนั่งอยู่ ไม่ใช่ผู้อาวุโสคนเดิมจากวังลำดับแรก แต่เป็นชายวัยกลางคนสีหน้าเรียบเฉย

ชายคนนั้นเหลือบมองหวังเป่าเล่อ แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่ผู้อาวุโสคนก่อนมองมา ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกเหมือนกำลังโดนมองชนิดทะลุปรุโปร่ง แต่กลับหวาดผวาอยู่ภายใน ชายเบื้องหน้าเหมือนจะครอบครองพลังน่าพรั่นพรึงบางอย่างอยู่ หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว รีบก้มหัวทักทาย

“สวัสดีศิษย์พี่ ศิษย์น้องมีนามว่าหวังเป่าเล่อ!”

ชายผู้นั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับ เพียงแค่จ้องมองมาด้วยสายตาเย็นชา หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเขากำลังมองมาที่ตนเอง หรือมองทะลุผ่านไปถึงแขนกระดูกอาวุธเทพที่เก็บกลับไปแล้ว ความเงียบทำให้ชายหนุ่มเริ่มเป็นกังวล ในหัวคิดไปต่างๆ นานาด้วยความร้อนใจ ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะพูดขึ้น

“วังแห่งนี้…จะพาผู้ฝึกตนก้าวข้ามอุปสรรคทุกอย่างเพื่อบรรลุขั้นการฝึกตน ถ้าเจ้าสามารถผ่านการทดสอบไปได้ด้วยขั้นปราณของเจ้าในปัจจุบัน เจ้าก็สามารถอาศัยวังแห่งนี้เป็นที่บรรลุไปขั้นจุติวิญญาณได้!”

“สำนักวังเต๋าไพศาลมีบันทึกวิญญาณจุติเก้าร้อยสามสิบแปดชนิดซึ่งเก็บรวบรวมมาตั้งแต่ครั้งกาลนาน ถ้าเจ้าผ่านการทดสอบไปได้ เจ้าจะสามารถเลือกวิญญาณจุติได้หนึ่งชนิดโดยวัดจากผลการทดสอบของเจ้า!” ชายวัยกลางคนอธิบายเสียงเย็นชา ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เสียงของเขาแตกต่างจากเสียงที่หวังเป่าเล่อได้ยินด้านนอก แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันในแง่ของความไร้อารมณ์และวิธีพูดที่เหมือนหุ่นยนต์

หวังเป่าเล่อรู้อยู่แล้วว่าชายวัยกลางผู้นี้เป็นเพียงภาพมายาเหมือนผู้อาวุโสที่วังลำดับแรก แม้จะมีความเชี่ยวชาญด้านอาวุธเวท แต่เขาก็ไม่รู้ว่าวังทั้งสามมีกลไกในการทำงานอย่างไร บอกได้เพียงว่าทั้งผู้อาวุโสและชายวัยกลางคนน่าจะเป็นวิญญาณวุธ

เสียงของชายวัยกลางคนดังก้องขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังใคร่ครวญ

“วิญญาณจุติที่เจ้าจะมีสิทธิ์เลือกขึ้นอยู่กับความสามารถและดวงชะตาของเจ้า ถ้าเจ้าสามารถทนรับพลังวิญญาณของข้าได้จนนับถึงสิบ เจ้าจะมีสิทธิ์เลือกวิญญาณจุติดวงใดก็ได้ที่ไม่ใช่สิบดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในบันทึกของเรา!

“ถ้าเจ้าทนได้จนข้านับถึงยี่สิบ เจ้าจะมีสิทธิ์เลือกวิญญาณจุติที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสิบ ถ้ายังทนจนนับได้หกสิบ เจ้าจะมีสิทธิ์ตัดสินใจว่า…จะรับวิญญาณจุติดวงดาราซึ่งเป็นวิญญาณจุติในตำนานเพียงหนึ่งเดียวที่สำนักวังเต๋าไพศาลมีอยู่ไปหรือไม่!”

วิญญาณจุติดวงดาราหรือ หวังเป่าเล่อตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขานึกทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณจุติที่เคยอ่านเจอในสำนักวังเต๋าไพศาลทันที

วิญญาณจุติที่สามารถพบได้ในสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นมีมากมายหลายชนิด ขั้นจุติวิญญาณถือเป็นขั้นสำคัญ การบรรลุจากขั้นกำเนิดแก่นในไปขั้นจุติวิญญาณเหมือนเป็นการสร้างชีวิตที่สองขึ้น ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงผู้ฝึกตนไปอย่างมาก

กุญแจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้คือคุณภาพของวิญญาณจุติ!

ยิ่งมีคุณภาพดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้ฝึกตนมากขึ้นเท่านั้น หวังเป่าเล่อพบว่าถ้าตัดเรื่องเคล็ดวิชากับสมบัติเวทออกไปและพิจารณาความสามารถของผู้ฝึกตนแล้ว ระดับพลังปราณถือเป็นตัววัดพื้นฐาน คุณภาพของวิญญาณจุติของผู้ฝึกตนจะช่วยทวีคูณระดับพลังปราณเพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการต่อสู้ของผู้ฝึกตน

พลังที่จะปลดปล่อยในการต่อสู้จึงจะแตกต่างกันไปตามระดับพลังปราณที่ได้รับการทวีคูณ คุณภาพของวิญญาณจุติจึงส่งผลต่อพลังของผู้ฝึกตน!

คุณภาพของวิญญาณจุติมีผลต่อการหลอมรวมกับกฎธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินความแข็งแกร่งในการต่อสู้และอนาคตของผู้ฝึกตน ที่สำคัญที่สุดคือ…หวังเป่าเล่อจำได้ว่าในบันทึกของสำนักวังเต๋าไพศาลได้กล่าวถึงเรื่องหนึ่งเอาไว้!

มีวิญญาณจุติหายากห้าชนิดกระจายอยู่ในอารยธรรมนับไม่ถ้วนในจักรวาล ทั้งห้าดวงถือเป็นตำนาน สำนักวังเต๋าไพศาลดั้งเดิมได้มาหนึ่งดวงเพราะโชคช่วย แต่ในบันทึกของสำนักวังเต๋าไพศาลปัจจุบันบอกไว้ว่าวิญญาณจุติในตำนานได้สูญหายไปแล้ว!

หวังเป่าเล่อเคยถามแม่นางน้อยเกี่ยวกับวิญญาณจุติดังกล่าว แต่นางก็บอกเขาว่าอย่าหวังเกินตัวมากนัก เห็นได้ชัดว่านางไม่น่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

เป็นเหตุให้ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินชายวัยกลางคนพูดถึงวิญญาณจุติดวงดาราซึ่งเป็นวิญญาณจุติในตำนาน เขาระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นก่อนที่ชายวัยกลางคนจะทันได้พูดจนจบ

“ข้าเลือกวิญญาณจุติดวงดารา!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงเป็นประกาย เขากลัวว่าอาจจะได้รับโทษจากการโกงเข้ามา จึงรีบท่องคาถาในหัวทันทีที่ประกาศออกไปเช่นนั้น!

ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หวังพึ่งความพยายามของตนเองอีก เพราะเชื่อว่าได้พยายามอย่างหนักแล้วจนมาอยู่ในจุดนี้ได้ ทุกอย่างที่มีในปัจจุบันเป็นผลจากเลือด หยาดเหงื่อ และหยดน้ำตาของตัวเอง การช่วยเหลือจากภายนอกเป็นครั้งคราวนั้นไม่ได้ขัดต่อหลักการของเขาแต่อย่างใด

หวังเป่าเล่อท่องคาถาด้วยความตื่นเต้น ฟากฟ้าเริ่มร้องคำราม วังเริ่มสั่นไหวเมื่อพลังจากลึกสุดของจักรวาลพุ่งตรงลงมา กระบี่สำริดเขียวโบราณสั่นสะเทือน พลังเข้ากดทับชายวัยกลางคนที่อยู่ภายในวัง!

ชายวัยกลางคนเบิกตากว้าง ไม่ได้ดิ้นรนหรือสู้กลับ เขาหลับตา ขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไป ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ชายวัยกลางคนทำสีหน้าแปลกประหลาด ขณะมองหวังเป่าเล่อและพยักหน้าให้

“เจ้าผ่านการทดสอบ!”

ชายหนุ่มเป็นกังวลใจอยู่นานจนกระทั่งได้ยินประโยคดังกล่าว ภายในเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขากำลังจะพูดอะไรออกไป ตอนนั้นเองชายวัยกลางคนก็มองตรงมาด้วยสายตาลุ่มลึก

“สมกับที่เป็นคนที่เข้ามาได้ด้วยพลังของศิษย์แห่งเต๋า ข้าขอชื่นชมความกล้าหาญของเจ้า ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าเลือกวิญญาณจุติในตำนาน ซึ่งเป็นวิชาต้องห้ามที่แทบไม่มีใครเคยฝึกสำเร็จเลย!”

“ว่าอย่างไรนะ” หวังเป่าเล่อที่กำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำว่า ‘วิชาต้องห้าม’ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา ก่อนจะทันได้ถามรายละเอียดอะไร ชายวัยกลางคนก็ยกมือขวาขึ้นชี้ตรงมาทางชายหนุ่ม

“เจ้าจะได้สิ่งที่ตนเองต้องการ เข้าสู่ขั้นตอนการบรรลุตนได้!” ชายวัยกลางคนพูด ไม่เปิดโอกาสให้หวังเป่าเล่อได้ต่อรองหรือนึกเสียดายที่เลือกไปเช่นนั้น แสงสว่างพุ่งจากปลายนิ้วตรงไปกลางหน้าผากหวังเป่าเล่อทันที!

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนเกิดการระเบิดขึ้นในหัว วิสัยทัศน์พลันเลือนราง เริ่มรู้สึกเหมือนเท้าลอยขึ้นจากพื้น ก่อนจะถูกแสงสว่างนำพาขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์!

เขาพุ่งทะลุฟากฟ้าเข้าสู่ห้วงอวกาศและปรากฏตัวอีกครั้งในฟากฟ้ามายาไม่คุ้นตา ดวงดาวส่องแสงเป็นประกายอยู่รอบตัว ยังไม่ทันที่สติจะกลับมาครบสมบูรณ์ ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับวิธีหลอมวิญญาณจุติดวงดาราก็ถาโถมเข้าใส่สมอง!

ข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณจุติแล่นเข้าสมองทำให้เขาเข้าใจเรื่องวิญญาณจุติมากขึ้น ขณะที่ความรู้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกมากมายๆ ก็ถาโถมเข้ามาในใจ สุดท้ายชายหนุ่มก็ได้แต่ร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ระทมออกมา

“ข้าไม่อยากฝึกวิชานี้แล้ว! ข้าพลาดไป…ข้าคิดผิด คิดผิดจริงๆ ข้าไม่อยากศึกษาวิชานี้แล้ว แม่นางน้อย ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย…”

วิญญาณจุติดวงดารา หนึ่งในห้าวิญญาณจุติในตำนานจากทั่วทั้งจักรวาลที่สำนักวังเต๋าไพศาลได้ครอบครองโดยบังเอิญ สำนักวังเต๋าไพศาลรู้ซึ้งดีว่าความยากของการสร้างวิญญาณจุติชนิดนี้อยู่ในระดับใด และได้ตีตราให้มันเป็นวิชาต้องห้าม!

ทฤษฎีบอกไว้ว่าผู้ฝึกตนต้องแยกแก่นในทองคำออกมาและนำไปปะทะกับดาวเคราะห์ที่หลอมรวมกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ หากผิดพลาด แก่นในจะพังทลายและผู้ฝึกตนก็ต้องพบกับความตาย หากสำเร็จก็จะสร้างวิญญาณจุติดวงดาราขึ้นได้

………………………………..

บทที่ 671 วังศิษย์แห่งเต๋า!
หวังเป่าเล่อฟื้นคืนสติ

ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งที่ด้านนอกวังแห่งแรก เขาจ้องมองฟากฟ้า รู้สึกงุนงงเล็กน้อย ในหัวมีคำถามหนึ่งผุดขึ้น ทำไมตนจึงหมดสติไปเสมอหลังจากสู้กับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน

กี่ครั้งแล้วนะ… หวังเป่าเล่อถอนใจขณะพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืน ดวงตาของเขาเบิกกว้าง แค่เพียงกดมือลงบนพื้นธรรมดาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่พวยพุ่งออกมาจากร่างกาย ผืนดินสั่นสะเทือนก่อนจะส่งเขาลอยขึ้นฟ้าไป

หวังเป่าเล่อกลืนน้ำลายอึกใหญ่ขณะลอยอยู่กลางอากาศ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาเขายังไม่ทันได้ตรวจระดับการฝึกตนของตนเองเลย ชายหนุ่มก้มมองสำรวจต้วเอง ดวงตาฉายแววตื่นเต้นดีใจ

ระดับการฝึกตนไม่ได้เปลี่ยนไป ยังอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ แต่ร่างกายของข้า…ได้บรรลุไปสู่ขั้นจุติวิญญาณแล้ว! หวังเป่าเล่ออ่ได้านตำรามากมายในสำนักวังเต๋าไพศาลและรู้ว่าพลังของผู้ฝึกตนนั้นมาจากสี่แหล่งด้วยกัน ได้แก่ พลังปราณ เคล็ดวิชา สมบัติเวท และท้ายที่สุด…ความแข็งแกร่งของร่างกาย

ทั้งสี่แหล่งนั้นช่วยเติมเต็มกันและกัน การบรรลุสิ่งใดในทั้งสี่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ให้ผู้ฝึกตน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเคล็ดวิชาและสมบัติเวทแล้ว การพัฒนาด้านพลังปราณและความแข็งแกร่งของร่างกายถือเป็นเรื่องสำคัญกว่าและเป็นกุญแจหลักของพลังผู้ฝึกตน

โดยเฉพาะอย่างหลัง…ความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นอาจดูพัฒนาได้ง่าย แต่ถ้าผู้ฝึกตนไม่ได้มีสายเลือดพิเศษ การพัฒนาความแข็งแกร่งของร่างกายก็ถือเป็นเรื่องท้าทายไม่ต่างจากการพัฒนาพลังปราณ ยิ่งระดับสูงขึ้นเท่าใดก็ยิ่งก้าวหน้าได้ยากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้ ผู้ฝึกตนยังมีเวลาและทรัพยากรที่จำกัด มีเพียงผู้ฝึกตนทรงพลังที่บรรลุขั้นการฝึกตนไปไกลแล้วเท่านั้นที่จะหันมามุ่งฝึกฝนร่างกาย มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีร่างกายแข็งแกร่งเหมือนหวังเป่าเล่อขณะอยู่ในขั้นจุติวิญญาณ

ในที่สุด…ข้าก็บรรลุสู่ขั้นจุติวิญญาณ! หวังเป่าเล่อระเบิดหัวเราะหลังจากตรวจสอบร่างกายของตนเอง เขาหายวับไปและปรากฏขึ้นอีกครั้งห่างออกไปสามร้อยเมตร

เขาไม่ได้ทำการเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา มันคือความเร็วที่ร่างกายขั้นจุติวิญญาณสามารถปลดปล่อยออกมาได้ ทำให้ได้ผลออกมาคล้ายคลึงกับการเคลื่อนย้าย เขายกมือขวาขึ้นกำหมัด สัมผัสได้ถึงพลังแกร่งกล้าในกำมือแม้จะยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังปราณออกมา ชายหนุ่มยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น

แม้จะยังแข็งแกร่งไม่เท่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันหากวัดจากฝีมือจากการสู้ครั้งล่าสุด แต่ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าตนเองคงไม่จบในสภาพน่าเวทนาเหมือนรอบที่แล้ว

แค่วังแรก ร่างกายข้าก็บรรลุไปขั้นจุติวิญญาณแล้ว… ชายหนุ่มสูดหายใจลึกขณะมองวังแห่งแรก เขาเห็นว่าแสงสีแดงที่พุ่งออกมาจากวังจางลงไป น้ำแข็งเริ่มเกาะกุมรอบๆ เหมือนว่ากำลังจะโดนผนึกอีกครั้ง หวังเป่าเล่อถอนใจด้วยความเสียดาย

แม้การทดสอบจะเป็นไปอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา แต่เขาก็ยังตัวสั่นเทิ้มเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดที่ได้สัมผัสในสระโลหิตหมื่นวิญญาณ ทั้งปราณโลหิตที่เจาะเข้าสู่ร่างกายและความนึกคิดของอสูรนับไม่ถ้วนที่เข้าครอบงำได้สร้างความเจ็บปวดมหาศาลให้ตนเอง ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนว่าได้ตายไปหลายหมื่นหนอย่างไรอย่างนั้น

น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถทนได้นานเท่าที่ตั้งใจไว้ มิเช่นนั้นละก็…ดูจากขนาดของสระโลหิตหมื่นวิญญาณแล้ว ข้าอาจจะบรรลุไปถึงขั้นเชื่อมวิญญาณ หรือไม่ก็ขั้นจิตวิญญาณอมตะ ที่จริง…ร่างกายข้าอาจจะบรรลุไประดับดาวพระเคราะห์เลยก็เป็นได้!

บางทีเต็มที่อาจจะได้เท่านี้ เอาไว้แข็งแกร่งกว่านี้ข้าจะหาทางกลับมาที่นี่ใหม่ ข้าจะลองซึบซับปราณโลหิตและบรรลุขั้นการฝึกตนอีก! หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปาก รู้สึกว่าเขาจะติดอกติดใจการบรรลุขั้นปราณเสียแล้ว ในใจของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาของชายหนุ่มก็จับจ้องไปยังวังอีกสองแห่งที่ถูกน้ำแข็งปกคลุมอยู่

ข้าจะเข้าไปในอีกสองวังได้ไหมนะ… ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างวาบเมื่อคิดเช่นนั้น เขาเดินตรงไปตรวจสอบใกล้ๆ น้ำแข็งที่เกาะอยู่ในวังทั้งสองไม่ได้ละลายลงแม้แต่นิด เสียงเยือกเย็นก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ดังขึ้น

หมายความว่าข้ามีคุณสมบัติไม่เพียงพอจะเข้าไปได้หรือ ชายหนุ่มเกาหัว ตระหนักแล้วว่าที่แห่งนี้มีกฎอย่างไร แต่ก็ยังไม่พร้อมจะกลับออกไป เขาเดินวนรอบวังอยู่สองสามรอบ ทันใดนั้นสายตาก็หันไปจ้องวังทางด้านขวา ดวงตาเริ่มฉายแสงสว่างอบอุ่นขณะสำรวจวังแห่งนั้น

วังด้านขวามีขนาดเท่าวังด้านซ้าย แต่ภาพสลักตกแต่งมีรายละเอียดซับซ้อนกว่ามาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มีสิทธิ์เข้าวังนี้ต้องมีสถานะสูงกว่าศิษย์อุปถัมภ์

หวังเป่าเล่อปวดใจขึ้นมาเมื่อคิดได้เช่นนั้น ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็กัดฟันแน่น ยกมือขวาขึ้นปลดปล่อยพลังปราณและพลังกายเต็มขั้น ก่อนจะปล่อยหมัดตรงเข้าใส่น้ำแข็งที่ปกคลุมรอบวังด้านขวา

“แหลกไปซะ!”

ชายหนุ่มร้องคำราม พายุพลังทำลายล้างก่อตัวขึ้นรอบหมัดขวา ทรงอำนาจกว่าเกราะจักรพรรดิลักอัคคีเสียอีก!

หมัดนั้นตรงเข้าใส่ชั้นน้ำแข็ง แต่มันก็เหมือนหินที่จมหายไปในมหาสมุทร เสียงอู้อี้ดังก้องขึ้น ทว่าชั้นน้ำแข็งกลับไม่ได้รับความเสียหายใดๆ มันปราศจากแม้รอยขีดข่วน

เขาลนลาน กำลังจะปล่อยหมัดไปอีกครั้ง ทันใดนั้นสายฟ้าสีม่วงก็ปรากฏขึ้นในชั้นน้ำแข็งหลังจากได้ดูดซับพลังจากหมัดแรกไป สายอัสนีพุ่งผ่านน้ำแข็งมาปรากฏตรงหน้าหวังเป่าเล่อและระเบิดอัดเต็มหน้าของชายหนุ่ม

เสียงระเบิดดังสนั่น หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มและกระเด็นถอยหลังไปจากแรงระเบิด เขากระเด็นไปไกลประมาณสามร้อยเมตรถึงเริ่มทรงตัวได้อีกครั้ง หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมอง หายใจติดขัด วังเบื้องหน้าและชั้นน้ำแข็งรอบๆ ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ สายฟ้าสีม่วงหายวับไปสักพักแล้ว ที่คงเหลืออยู่มีเพียงความกลัวที่แล่นผ่านเส้นเลือดในกาย เมื่อครู่คือสัญญาณเตือน หากเขายังคิดโจมตีอีก อาจจะไม่ได้รับแค่คำเตือน อาจกลายเป็นการเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงแทน

ไร้ความเมตตาเสียจริง! หวังเป่าเล่อมองวังด้านขวา เริ่มรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา ที่ไม่สามารถเข้าไปด้านในได้น่าจะเป็นเพราะสถานะหรือไม่ก็ขั้นการฝึกตนไม่สูงพอ

ถ้าข้าเป็นศิษย์แห่งเต๋าละก็… ชายหนุ่มยืนวิเคราะห์ จากนั้นแสงผิดแปลกก็ฉายวาบขึ้นในดวงตาเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว

ถึงข้าจะไม่ได้เป็นศิษย์แห่งเต๋า แต่ข้าก็มีแขนที่อาจจะเป็นของศิษย์แห่งเต๋า… เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจลึก ก่อนจะหยิบแขนกระดูกอาวุธเทพออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ เขาถือแขนกระดูกไว้ในมือ ปลดปล่อยพลังปราณให้ไหลเข้าสู่กระดูก แขนอาวุธเทพเริ่มฉายแสงจ้า แผ่พลังกล้าแกร่งออกมา

ทันทีที่พลังน่าพรั่นพรึงปะทุขึ้นจากแขนอาวุธเทพ วังด้านขวาก็เริ่มสั่นไหวขณะที่ชายหนุ่มมองตรงไปด้วยสายตาเป็นกังวล วังสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยุดนิ่งไป

หรือว่าพลังที่ปลดปล่อยจากแขนจะแข็งแกร่งไม่พอ หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็สรุปได้ว่าพลังที่ปลดปล่อยออกไปน่าจะยังแข็งแกร่งไม่พอ นอกจากนี้ การเชื่อมโยงระหว่างเขาและแขนกระดูกก็ยังไม่สมบูรณ์เหมือนที่ตั้งใจไว้

ความแน่วแน่ฉายแสงขึ้นในดวงตา ชายหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะอัดพลังปราณเข้าไปในแขนกระดูก เขานั่งลง ตั้งใจว่าจะหลอมเกราะจักรพรรดิชุดใหม่ขึ้นด้วยวิธีการหลอมแบบดั้งเดิม!

มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แต่ความท้าทายอยู่ตรงการปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ โดยเขาต้องผสานวิชาเกราะจักรพรรดิเข้ากับกระบวนเวทลักอัคคีเพื่อที่จะปลดปล่อยพลังออกมาได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการศึกษาของชายหนุ่มเรื่องการผสานสองวิชาเพื่อเสริมพลังของกันและกันให้เพิ่มพูนขึ้น

กระบวนเวทเกราะจักรพรรดินั้นกินพลังชีวิตมาก ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เสร็จสมบูรณ์ในเร็ววัน แต่เขาก็มั่นใจว่าแค่สร้างเกราะจักรพรรดิขึ้นใหม่ได้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ด้วยประสบการณ์จากครั้งก่อน ชายหนุ่มจึงใช้เวลาแค่สองสัปดาห์ เส้นปราณมายาสีโลหิตก็เริ่มปรากฏขึ้นบนร่างกาย

เส้นปราณพวกนั้นคือเกราะจักรพรรดิขั้นแรก พลังและความแข็งแกร่งไม่สามารถเทียบเท่าเกราะจักรพรรดิชุดก่อนได้แม้แต่น้อย แต่ก็สามารถใช้หลอมแขนกระดูกเข้ากับชุดเกราะได้

เส้นปราณคืบคลานเข้าไปในแขนกระดูกอาวุธเทพด้วยการควบคุมของชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังปราณอีกครั้งโดยไม่ลังเลใจ พลังวิญญาณไหลหลากผ่านเส้นปราณเข้าไปในแขนอาวุธเทพ

คลื่นพลังวิญญาณเริ่มพวยพุ่งออกมาจากแขนกระดูกเมื่อถูกปลุกพลังให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง!

ทันใดนั้น…วังด้านขวาก็เริ่มสั่นไหว เสียงเยือกเย็นดังก้องขึ้นในอากาศอีกคราหนึ่ง!

“ในฐานะศิษย์แห่งเต๋า เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะแบกรับหน้าที่ในการสร้างสำนักวังเต๋าไพศาลขึ้นใหม่อีกครั้ง เจ้าสามารถเข้าไปในวังวิญญาณลำดับสองเพื่อบรรลุขั้นการฝึกตนของเจ้าได้!”

บทที่ 670 จุติวิญญาณ!
หวังเป่าเล่อไม่ทันได้ยินประโยคเมื่อครู่ เขาทุ่มพลังตบหน้าผากตนเองเต็มที่ ถ้าร่างกายไม่แข็งแกร่งพอ ชายหนุ่มคงได้ตายไปแล้ว ไม่ใช่แค่หมดสติไป

แม้ดอกบัวสีเขียวจะช่วยฟื้นฟูร่างกายได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงสองชั่วโมงกว่าเขาจะลืมตาตื่น ชายหนุ่มหันมองรอบตัวด้วยสายตางุนงง รู้สึกเหมือนหัวจะแยกเป็นสองส่วน โชคดีที่เคยชินกับการสลบและฟื้นกลับขึ้นมา ไม่นานหวังเป่าเล่อก็จำเรื่องราวก่อนหน้าที่จะหมดสติไปได้ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง รีบลุกขึ้นยืนและหันมองรอบตัว ชายหนุ่มไม่ได้อยู่ด้านนอกวัง แต่เป็นภายใน!

ภาพมายาผู้อาวุโสหายไปแล้ว ตรงจุดที่เขาเคยนั่งมีประตูทางเข้าทรงรีส่องแสงเจิดจ้าลอยอยู่ ราวกับว่ากำลังรอหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มตื่นเต้นกับภาพเบื้องหน้า หายปวดหัวในทันใดขณะรีบวิ่งเข้าไปใกล้ เขาตรวจสอบทางเข้าและหันมองรอบตัว เขาคงจะเรียกตัวเองว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้ถ้ายังไม่รู้ตัวว่าผ่านการทดสอบแล้ว ชายหนุ่มระเบิดหัวเราะออกมา

“ข้าช่างเป็นบิดาที่ชาญฉลาดจริงๆ การทดสอบแสนธรรมดานี้เป็นแค่ของกล้วยๆ!” เขาพูดอย่างโอ้อวดพร้อมลูบท้องไปมา แต่กลับไม่พบความเด้งดึ๋งอย่างเคย มีเพียงมัดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งเท่านั้น มันเป็นความรู้สึกไม่คุ้นเคยที่ทำให้ไม่ค่อยสบายใจเอาเสียเลย

ผอมเกินไปก็ไม่ดี ต้องมีเนื้อมากกว่านี้ถึงจะจับแล้วรู้สึกสบายใจ หวังเป่าเล่อถอนใจ เขายืนอยู่หน้าทางเข้าที่ส่องสว่าง สูดหายใจลึกและก้าวผ่านเข้าไป

วิสัยทัศน์พลันเลือนรางก่อนจะแจ่มชัดขึ้นทันที ทางเข้าเมื่อครู่เป็นเหมือนประตูเคลื่อนย้าย ส่งหวังเป่าเล่อมาสู่โลกขนาดเล็กที่สำนักวังเต๋าไพศาลเคยสร้างไว้เป็นมรดกตกทอด!

โลกใบนี้ขนาดเล็กกว่าดวงจันทร์ ใหญ่ไม่ถึงหนึ่งส่วนสิบของดวงจันทร์เลยด้วยซ้ำ อาจจะใหญ่โตสำหรับคนธรรมดา แต่ก็ถือว่าน้อยนิดสำหรับหวังเป่าเล่อ

ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็ยังตื่นตะลึงไปเมื่อได้เห็นทัศนียภาพของโลกนี้ ฟากฟ้าเป็นสีขาวบริสุทธิ์ มีสีแดงแต้มอยู่ตรงกลาง สีสันด้านบนไม่ใช่สีจริงของท้องนภา…แต่เป็นเงาสะท้อนจากผืนแผ่นดิน!

ผืนดินสีขาวปราศจากพันธุ์พืช มีเพียงหาดทรายสีขาวปกคลุมทั่วทั้งโลกและแอ่งแผ่นดินตั้งอยู่ตรงกลาง

พูดให้ถูกคือตรงใจกลางของโลกใบนี้มีเทือกเขาขดรอบเป็นวงกลม มองไกลๆ เห็นเป็นเหมือนแอ่งแผ่นดิน แต่จริงๆ แล้วเป็นเหมือนทะเลสาบปล่องภูเขาไฟมากกว่า!

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจ สิ่งที่ทำให้เขาต้องอ้าปากค้างและตัวสั่นสะท้านไปถึงทรวงคือศพอสูรขนาดมหึมาจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่กองสุมอยู่บนเทือกเขาที่ขดเป็นวงกลม!

ศพอสูรเหล่านั้นดูน่าพรั่นพรึง ส่วนใหญ่แล้วเป็นอสูรที่ไม่เคยพบเห็น แต่ก็มีอยู่บางส่วนที่ชายหนุ่มรู้จัก นั่นก็คือเหล่าอสูรที่เล่าขานในตำนานของสหพันธรัฐ อย่างเช่นเหล่ามังกรผู้ยิ่งใหญ่!

เขาเห็นมังกรมีปีกตามตำนานฝั่งตะวันตกหลายตัว รวมถึงมังกรสีเขียวตัวยาวเหมือนงูของฝั่งตะวันออกด้วย

นอกจากนี้ยังเห็นศพของยักษ์มากมายและผู้คนจากตระกูลไม่รู้สิ้น บนเทือกเขาแห่งนี้น่าจะมีศพอยู่อย่างน้อยหนึ่งแสนศพ

พวกมันถูกปาดคอและจับโยนขึ้นไปบนเทือกเขา หากชายหนุ่มสามารถมองทะลุไปถึงในนั้นก็จะเห็นหินภูเขาสีม่วงคล้ำมากมาย ราวกับว่าถูกอาบไปด้วยเลือด!

สีหน้าของหวังเป่าเล่อหน้าเคร่งขรึมลงเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขาห้ามความคิดที่ผุดขึ้นในหัวไม่ได้ หลายปีก่อน ต้องมีใครสักคนมาสังหารฝูงอสูรและคนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่นี่ ใครคนนั้นไล่ปาดคอเหล่าอสูรกับตระกูลไม่รู้สิ้น จากนั้นก็ยืนดูพวกมันกรีดร้องขณะที่เลือดพวยพุ่งออกมา ไหลลงภูเขา ไปรวมกันในแอ่งแผ่นดิน…แปลงแอ่งแผ่นดินให้กลายเป็น…ทะเลสาบโลหิตกลางวงเทือกเขา!

ทะเลโลหิตสะท้อนขึ้นฟากฟ้า ปรากฏเป็นสระสีเลือดกลางนภาสีขาวบริสุทธิ์!

นี่คือ…สระโลหิตหมื่นวิญญาณหรือ หวังเป่าเล่อลอยค้างอยู่กลางอากาศ ขณะก้มหน้ามองทะเลสาบสีเลือดที่ตั้งอยู่กลางเทือกเขา ผ่านไปสักพักเขาก็เก็บงำความตื่นตกใจไป ก่อนดวงตาจะฉายแสงผิดแปลกขึ้น

จากข้อมูลที่ผู้อาวุโสบอก ทำให้เขาทราบว่าสระโลหิตหมื่นวิญญาณมีคุณสมบัติช่วยเสริมพลังกาย พอได้เห็นศพมากมายด้วยตาตัวเอง เขาก็ตระหนักแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่

น้ำในสระกลั่นมาจากเลือดของวิญญาณหนึ่งหมื่นดวง จากนั้นก็นำสารอาหารในเลือดมาบำรุงร่างกายของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้ที่มาบรรลุตนที่นี่จึงมีร่างกายแข็งแกร่ง!

นี่เป็นโอกาสอันหายากยิ่ง! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก เขาไม่ใช่คนคลั่งความสะอาดและไม่ได้แขยงกลิ่นเลือดหรือที่มาของทะเลสาบโลหิต แม้แต่พวกบ้าความสะอาดยังรู้สึกยากที่จะบอกปฏิเสธโอกาสบรรลุตนนี้ไปได้ ความหิวกระหายเริ่มคุกรุ่นในจิตใจขณะที่เขาจ้องมองไปยังทะเลสาบโลหิต

หวังเป่าเล่อรู้สึกเป็นเหมือนผืนดินแห้งแล้งที่โหยหาหยาดฝน เขาครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก่อนดวงตาจะฉายแสงวาบและออกพุ่งทะยานตรงไปยังทะเลสาบ

ชายหนุ่มเข้าไปใกล้ทะเลสาบ จากนั่งก็นั่งขัดสมาธิ ปล่อยตัวให้จมลงไปก้นทะเลสาบอย่างไม่ลังเลใจ

ปราณโลหิตมหาศาลพวยพุ่งตรงมาทางหวังเป่าเล่อทันใดที่เขาสัมผัสน้ำในทะเลสาบ!

ราวกับว่าปราณโลหิตได้สะสมอยู่ในทะเลสาบมานานหลายปีจนเต็มปริ่ม การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อจึงเป็นเหมือนการเปิดช่องทางระบาย ปราณโลหิตมหาศาลไหลหลากเข้าสู่ร่าง เจาะผ่านทุกรูขุมขนเข้าไปในกายชายหนุ่มอย่างบ้าคลั่งในทันใด

หวังเป่าเล่อเกือบจะกรีดร้องออกมา รู้สึกเหมือนมีเลือดเนื้อกำลังเจาะเข้ามาในร่างกายและมีเข็มมากมายนับไม่ถ้วนกำลังทิ่มแทงอยู่ ชายหนุ่มตัวสั่นเทิ้มขณะปราณโลหิตไหลหลากเข้าสู่ภายใน ความเจ็บปวดทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งพยายามฉีกกระชากตัวเขาออกจากภายใน ร่างกายเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ปราณโลหิตนั้นไม่เหมือนปราณวิญญาณ ปราณโลหิตไม่ได้ช่วยเสริมพลังปราณ แต่ช่วยบำรุงร่างกาย ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตนคิดฝันไปเองหรือเปล่า แต่ขณะกำลังทนทรมานจากความเจ็บปวด เขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายแข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่ไม่ได้มีพัฒนาการมาเป็นเวลานาน!

ร่างกายเขาแข็งแกร่งขึ้นจริงอย่างที่คิด ปราณโลหิตที่ไหลหลากเข้ามาไม่หยุดทำให้ร่างกายของชายหนุ่มถูกฉีกกระชาก เส้นปราณ กระดูก และอวัยวะภายในล้วนถูกฉีกออกจากกัน!

หากมองใกล้ๆ จะพบว่าขณะที่ปราณโลหิตเจาะผ่านเข้าสู่ร่างกาย เลือดเนื้อและกระดูกก็สลายไปทีละนิด ก่อนจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นใหม่เมื่อได้ปราณโลหิตช่วยบำรุงหล่อเลี้ยง!

ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่จะไม่รู้สึกเจ็บปวด!

ไม่ว่าร่างกายหวังเป่าเล่อจะทนทานเพียงใด ก็ยังต้องทนเจ็บปวดจนแทบหมดสติไป เขากัดฟันแน่น พยายามฝืนครองสติ ชายหนุ่มสามารถทำเช่นนั้นได้เนื่องจากเคยสลบเหมือดมาแล้วหลายครั้งจนชินชา มิเช่นนั้นคงจะหมดสติไปนานแล้ว

เขาไม่รู้ว่าถ้าหมดสติไปแล้วการทดสอบจะจบลงไปด้วยหรือเปล่า แต่ก็ไม่นึกอยากลองเสี่ยง จึงเป็นเหตุให้ชายหนุ่มพยายามครองสติให้ตื่นอยู่อย่างสุดความสามารถ!

ความเจ็บปวดเริ่มทวีคูณแรงขึ้น ความรู้สึกที่ร่างกายกำลังถูกฉีกกระชากและเสียงกัมปนาทที่ดังขึ้นพร้อมกันเป็นความทรมานอย่างที่สองที่ตามมา แต่แล้วเขาก็ต้องพบกับอีกการทดสอบที่ยากจะทนไหว

ขณะที่ร่างกายค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ความคิดที่ยังหลงเหลืออยู่ในศพซึ่งติดค้างอยู่ในทะเลสาบ ทั้งความโกรธแค้นและความเศร้าเสียใจต่างระเบิดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อขณะร่างกายกำลังสูบเอาปราณโลหิตเข้าไป!

เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากอสูรนับไม่ถ้วนดังขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อที่กำลังทนทรมาน เหล่าอสูรและตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าครอบงำชายหนุ่ม เขาต้องเผชิญความเจ็บแค้นและความเศร้าโศกที่พวกมันรู้สึกตอนก่อนจะจบชีวิตลง!

ความคิดที่หลงเหลืออยู่เหล่านี้ทำให้ชายหนุ่มสูญเสียความเป็นตัวเองไปชั่วขณะ เขากลายเป็นมังกรตัวใหญ่ถูกปาดคอเปิดกว้าง จากนั้นก็กลายเป็นอสูรตนอื่นๆ ที่ถูกปาดคอเช่นกัน อีกทั้งยังสัมผัสได้ว่าตนเองได้กลายร่างเป็นเหล่าอสูรและผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น

เขารู้สึกเหมือนต้องตายซ้ำไปซ้ำมา บอกไม่ได้เลยว่าตนได้ตายไปแล้วกี่ครั้ง

ชายหนุ่มไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาหมดสติลง ถือเป็นสัญญาณสิ้นสุด!

ทันทีที่หมดสติไป…ร่างกายของเขาก็ส่งกลิ่นไม่คุ้นเคยออกมาขณะนอนอยู่ในทะเลสาบเลือด ก่อนจะพวยพุ่งขึ้นและระเบิดเป็น…พลังแกร่งกล้าเกินกว่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทั่วไป!

ร่างกายของเขาได้บรรลุสู่ขั้นจุติวิญญาณเรียบร้อยแล้ว!

บทที่ 669 หวังเป่าเล่อผู้ไม่ยอมแพ้!
หวังเป่าเล่อจ้องกำแพงน้ำแข็งที่พังทลายลงในชั่วพริบตา วังขนาดใหญ่เผยโฉมให้เห็นเบื้องหน้า ลำแสงสีแดงเข้มพุ่งขึ้นเสียดท้องฟ้า ลมหายใจของชายหนุ่มหยุดลงชั่ววินาที ผมของเขาถูกพัดปลิวด้วยคลื่นพลังปราณที่ไหลบ่าออกจากลำแสงสีแดงสูงตระหง่าน ร่างเซถลาไปด้านหลังตามแรงกระแทกของกระแสปราณ

พื้นดินรอบกายเริ่มสั่นสะเทือน ราวกับอสูรร้ายที่หลับไหลมานานชั่วกัปชั่วกัลป์ได้ลืมตาตื่นขึ้นโดยฉับพลัน พลังรุนแรงแผ่ออกจากอสูรร้ายที่อยู่ตรงหน้า จนทำให้โลกสั่นสะท้าน!

แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ได้ดูเหมือนมดตัวจ้อยเมื่อยืนอยู่หน้าวัง แต่ก็ยังเล็กนักเมื่อเทียบกัน ขนาดของวังและพลังปราณที่ปล่อยออกมานั้น ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเหลือคณนา

ความยิ่งใหญ่นี้ทวีความน่าประทับใจขึ้นอีกหากได้มองวังนี้จากระยะไกล วังทั้งสามสูงตระหง่านอลังการ วังด้านซ้ายที่ปล่อยแสงเจิดจ้าสีแดงเข้มออกมายิ่งดูโดดเด่นขึ้นไปอีก ในยามที่วังอีกสองวังที่เหลือยังคงถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งเย็นเยือก

ไอเข้มข้นรุนแรงจากวังใช้เวลานานกว่าสามสิบวินาทีจึงค่อยๆ สลายไป ลำแสงสีแดงเข้มยังคงพุ่งตรงขึ้นสู่สรวงสวรรค์เบื้องบน กระแสปราณยังคงกระเพื่อมเป็นวงกว้างต่อเนื่อง แต่ทุกอย่างนอกเหนือจากนี้กลับสู่สภาวะปกติแล้ว ประตูวังสีแดงแง้มออกเพียงเล็กน้อง ปล่อยให้แสงสีแดงสาดส่องออกมายังโลกภายนอก

ทางที่เปิดออกนั้นแคบมากจนดูเหมือนเป็นรอยแยกเล็กๆ เมื่อเทียบกับวังทั้งหมด แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว ประตูที่แง้มออกเพียงเล็กน้อยนั้นกว้างพอให้ชายฉกรรจ์สามคนเดินจูงมือเรียงหน้ากระดานเข้าไปอย่างพร้อมเพรียง

ภาพตรงหน้าให้รู้สึกยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม แต่ชายหนุ่มไม่ใช่เด็กน้อยวัยแตกพานด้อยประสบการณ์คนเดิมที่เพิ่งก้าวสู่เส้นทางการฝึกตน เขาไม่ได้รีบพุ่งเข้าไป หากแต่ตรวจตราสภาพโดยรอบดูให้แน่ใจก่อน แล้วคิดสะระตะถึงเสียงเย็นเยียบที่ดังกังวานเมื่อครู่ หวังเป่าเล่อเริ่มปะติดปะต่อข้อมูลเท่าที่มีเข้าด้วยกัน เพื่อกลั่นกรองเป็นข้อสรุปของตนเอง

ดูเหมือนว่าข้าจะเจอโอกาสทองเข้าแล้ว! ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายสดใส สุกสกาวด้วยความตื่นเต้นและความกระหาย เขาใฝ่ฝันถึงการได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐมาตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กน้อย และรู้ดีว่ามีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น…ที่จะได้อำนาจในการควบคุมสหพันธรัฐไปครอบครอง หากเขาเก่งกล้าขึ้นได้อีก ก็จะมีอำนาจกำหนดเส้นทางชีวิตตนเอง!

หลังจากที่รอดมาจากการปะทะกับโยวหรัน และผ่านความรู้สึกไร้ประโยชน์ไร้ความสามารถจากเหตุการณ์ที่พบเจอมาบนเรือบินรบเต๋ามรณะ หวังเป่าเล่อก็คิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่าเขาจะต้องพัฒนาขั้นปราณและพละกำลังของตนเองให้จงได้ แม้จะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่ในใจของชายหนุ่มก็ท่วมท้นไปด้วยความกระหายพลังที่เหนือกว่าผู้ใดทั้งปวง!

หลังจากที่ประเมินสถานการณ์เรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็พุ่งเข้าใส่วังตรงหน้าด้วยความมุ่งมั่น เขามาหยุดอยู่หน้าวังแทบจะในทันที ยืนอยู่เบื้องหน้าประตูที่เปิดออก กัดฟันแน่น ก้าวเข้าไปในแสงสีแดงที่อาบไล้สู่อีกฟากของประตู!

ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวก่อนจะชัดเจนขึ้นในบัดดล ในวังนั้นมีแต่ความว่างเปล่าไพศาล รอบกายของเขามีรูปปั้นอยู่สามตัว รูปปั้นทั้งสามมีไข่มุกสีแดงอยู่เหนือศีรษะ ไข่มุกเหล่านั้นปล่อยแสงสีแดงเรืองเรื่อ และเบื้องหน้าเขามีผู้อาวุโสผู้หนึ่งอยู่!

ความตกใจเข้าเกาะกุมหวังเป่าเล่อทันทีที่ได้เห็นผู้อาวุโสคนนั้น เขารีบถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะควบคุมลมหายใจให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ทำมือคารวะ และโค้งตัวลงต่ำ

“ขอคารวะศิษย์พี่ผู้อาวุโส!”

หวังเป่าเล่อยืนก้มตัวอยู่อย่างนั้น พลางแอบดูผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ตรงหน้า ในตอนแรกเขาสงสัยว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่ แต่ไม่นานก็เริ่มตระหนักได้ถึงความผิดปกติ

ไม่ใช่ตัวจริงหรอกหรือ ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวหวังเป่าเล่อ เขาเห็นแล้วว่าร่างของผู้อาวุโสตรงหน้าไม่ใช่ของจริง ร่างนั้นดูเหมือนเป็นภาพมายาที่นั่งอยู่ ไม่ยอมขยับเขยื้อนเคลื่อนกายใดๆ

ขณะที่หวังเป่าเล่อสังเกตการณ์ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า ผู้อาวุโสที่หลับตาอยู่นานเท่าใดไม่มีใครทราบได้ ก็พลันลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างของเขาสว่างไสวเหมือนดวงดาวแฝดที่พุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งระเบิดภายในใจของเขา ดวงตาคู่นั้นเหมือนทะลุผ่านร่างของเขาไป เปิดเผยความลับในตัวเขาออกเสียหมดสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเผยออกมาต่อหน้าสายตาที่ราวกับกำลังประเมินของผู้อาวุโสผู้นี้

แต่อำนาจของสายตานั้นก็คงอยู่ไม่นานนัก ผู้อาวุโสมองไปทางอื่นในที่สุด เหงื่อเม็ดเป้งผุดออกจากหน้าผากหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มหายใจหนัก ตกตะลึงอยู่กับที่ เขายังไม่ทันได้เรียกสติตนเองกลับมา เสียงแหบของภาพมายาผู้อาวุโสก็พูดขึ้นก่อน

“เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอเข้ารับการทดสอบ หากเจ้าต้านทานกระแสพลังปราณของข้าได้จนข้านับถึงสิบ จะถือว่าเจ้าผ่านการทดสอบนี้ และจะได้รับโอกาสเข้าไปยังสระโลหิตหมื่นวิญญาณ เพื่อสร้างเสริมร่างกายของเจ้าให้แข็งแกร่งขึ้น!”

ผู้อาวุโสไม่ได้ให้โอกาสหวังเป่าเล่อตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนอ หากแต่เมื่อพูดจบ เขาก็พลันยกมือขวาขึ้นและชี้มาที่ชายหนุ่ม ทันทีที่นิ้วนั้นนิ่งอยู่กลางอากาศ พลังรุนแรงราวพายุก็ระเบิดออกจากร่างของผู้อาวุโส กระแสพลังปราณโหมเข้าใส่หวังเป่าเล่อเหมือนคลื่นยักษ์ที่เกิดจากลมพายุร้าย หมายพัดพาให้ชายหนุ่มล้มลง

พลังนั้นรุนแรงมากเสียจนทำลายได้ทุกสิ่ง จนถึงกับทำให้โลกและผืนฟ้าสั่นสะท้าน และดวงตาของหวังเป่าเล่อพร่าเลือน เขากลายเป็นใบไม้ที่ปลิดปลิวท่ามกลางพายุพิโรธ ควบคุมไม่ได้แม้กระทั่งความคิดหรือหนึ่งลมหายใจของตนเอง ร่างของเขากรีดร้อง ก่อนที่ชายหนุ่มเจ้าของร่างจะหมดสติไปในทันที ร่างสั่นเทิ้มด้วยพลังน่าพรั่นพรึงที่กดทับ

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานเพียงใดก่อนที่จะกลับมาลืมตาตื่นอีกครั้ง เขานอนอยู่นอกวังท่ามกลางความเงียบสงัด ชายหนุ่มงุนงงอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรีบผุดลุกขึ้นนั่ง ความทรงจำที่เกิดขึ้นก่อนสลบไปไหลเข้ามาในจิตใจ หวังเป่าเล่อหยุดหายใจไปชั่วขณะ หันขวับไปมองวังสีแดง เมื่อเห็นว่าประตูยังคงเปิดอยู่ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ

ดูเหมือนว่าต่อให้ทำพลาด บททดสอบนี้ก็จะยังไม่หายไป… ต่อให้ข้าสอบตกก็จะไม่มีอันตรายเกิดขึ้น เพียงแต่ถูกซัดออกมาเท่านั้น หวังเป่าเล่อนั่งคิดอยู่เงียบๆ เขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะหมดสติไป พลางสรุปว่าต้องเป็นเพราะเขาไม่ได้เตรียมตั้งรับเป็นแน่

ลองดูอีกสักตั้งก็แล้วกัน! ความมุ่งมั่นแรงกล้าฉายเข้ามาในดวงตาของชายหนุ่ม เขาลุกขึ้นยืน หันตัวเปลี่ยนทิศ และมาหยุดอยู่หน้าทางเข้าวังอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเตรียมตัวเตรียมใจมาเป็นอย่างดี ชายหนุ่มปล่อยพลังปราณทั้งหมดของตนเองออกมาทันทีที่เข้าไปในวัง และร้องคำรามก้อง พยายามอย่างเต็มที่ที่จะยืนหยัดอยู่ที่เดิม แต่ก็ทนได้ไม่นานนัก พายุพลังปราณที่ผู้อาวุโสซัดออกมาหมุนวนอยู่ภายในโถงอีกครั้ง วินาทีต่อมาร่างของหวังเป่าเล่อก็พุ่งออกจากโถง ผ่านช่องประตูแคบๆ ออกไปกระแทกลงบนพื้นข้างนอก และหมดสติไปในทันที

หวังเป่าเล่อตื่นขึ้นอีกครั้งในหนึ่งชั่วโมงถัดไป เขาลุกขึ้นนั่ง มองไปที่วังตาไม่กะพริบ ฟันเฟืองในหัวทำงานอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มได้ข้อสรุปว่าตนเองคงจะผ่านบททดสอบนี้ไปไม่ได้ง่ายๆ

แต่กฎไม่ได้บอกนี่ว่าห้ามใช้สมบัติเวท! หวังเป่าเล่อตาเป็นประกายวาบ เขาก้มหน้าลงค้นกระเป๋าของตนเอง หลังจากผ่านไปสักพักก็หยิบอาวุธเวทออกมาสองสามชิ้น ชายหนุ่มติดอาวุธให้ตนเองและก้าวเข้าไปในวังอีกครั้ง คราวหน้าเขาทนได้ถึงนับสาม ในวินาทีที่สี่ ชายหนุ่มก็ล้มตึงไปข้างหลังและหมดสติ ร่างของเขาถูกซัดออกจากวังอีกรอบ

ไม่ใช่ว่าร่างกายของข้าทนแรงกดดันไม่ไหว แต่เป็นเพราะประสาทสัมผัสของข้าต่างหาก ประสารทสัมผัสของข้าไวเกินไป ทำให้ข้าได้รับผลกระทบจากแรงกดดันจำนวนมหาศาล หากข้าทำให้ประสาทสัมผัสของตนเองทื่อลงได้ ก็มีโอกาสที่จะผ่าน… เมื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งหวังเป่าเล่อก็นิ่วหน้าและเริ่มคิดหาทางออก หลังจากที่คิดอยู่นาน ดวงตาของชายหนุ่มก็สว่างขึ้นอีกครา

หลังจากเข้าวังไปเรียบร้อย หากข้าตีให้ตัวเองหมดสติไปก่อน ก็แปลว่าข้าจะไม่รู้สึกถึงแรงกดดันแม้แต่น้อย ถ้าทำแบบนั้นข้าอาจจะผ่านก็เป็นได้ แต่ถ้าไม่ผ่านละก็…ข้าอาจต้องท่องบทสวด หวังเป่าเล่อเนื้อเต้นกับความคิดบรรเจิดของตนเอง ก่อนจะถอนใจออกมา เขาไม่อยากใช้บทสวดนอกเสียจากว่าจำเป็นถึงที่สุดจริงๆ ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าพลังลึกลับนั้นหลับไปแล้ว หลังจากที่ถูกปลุกขึ้นมาเมื่อครั้งก่อน หากเขาไปกระตุกหนวดเข้าอีกครั้ง อาจทำให้พลังลึกลับนั้นโกรธก็เป็นได้

“สงสัยจะไม่ชอบตื่นเช้า… แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คนอย่างข้า หวังเป่าเล่อ ต้องยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเอง เพื่อที่จะได้ครอบครองโอกาสการบรรลุขั้นปราณนี้!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ก่อนจะกระโจนเข้าใส่รอยแยกประตูอีกครั้ง คราวนี้ก่อนที่ผู้อาวุโสจะซัดพลังออกมา เขาก็รีบตบหน้าผากตนเองอย่างแรงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

เสียงแปะดังลั่นไปทั่ว เขาใช้พลังแรงพอตัวจนทำให้ตนเองหมดสติไป และเพื่อไม่ให้เสียแผน หวังเป่าเล่อยังปล่อยพลังปราณออกมาขณะตบด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองจะหมดสตินิ่งสนิทจริงจนเหมือนนอนตาย ร่างของเขาตกลงบนพื้นเสียงดังลั่น ร่างมายาของผู้อาวุโสตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นเหตุการณ์ ร่างนั้นเป็นเพียงภาพมายาจึงไม่ได้มีปัญญามากนัก ดูเหมือนการทำร้ายตนเองจนหมดสภาพของหวังเป่าเล่อจะทำให้ผู้อาวุโสงุนงงเป็นอันมาก

กระแสพลังปราณที่ผู้อาวุโสปล่อยออกมาจางหายไป สีหน้าของเขาดูเหมือนกำลังไตร่ตรองพิจารณา ว่าหวังเป่าเล่อผ่านเกณฑ์ของบททดสอบหรือไม่

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ มีหลายคนที่หมดสติไปทันทีที่โดนซัดพลังปราณใส่ แต่อาการหมดสติของหวังเป่าเล่อเปรียบเสมือนการพยายามปิดประสาทสัมผัสทั้งห้าของตนโดยสิ้นเชิง ตอนนี้ตัวของชายหนุ่มไม่ต่างอะไรกับศพที่นอนตายอยู่บนพื้น ซึ่งแปลว่าเขาจะไม่ได้รับผลกระทบจากพลังกดดันของผู้อาวุโสอีกต่อไป… สิบวินาทีผ่านไป ร่างมายาของผู้อาวุโสยังคงจมอยู่กับว่าสับสน

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ผู้อาวุโสที่งุนงงมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาประหลาด ก่อนหลับตาลง

“เจ้าผ่านการทดสอบ!”

บทที่ 668 วังศักดิ์สิทธิ์!
สงครามระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้น แต่หวังเป่าเล่อยังไม่รู้เรื่องนี้ เนื่องจากเขายังไม่ได้สติอยู่ แม่นางน้อยใช้แท่นคงกระพันส่งหวังเป่าเล่อไปยังที่ที่ตัวเขาเองคงไม่ได้กล้ำกรายด้วยระดับพลังปราณที่มีอยู่ตอนนี้!

แม้จะมีศักดิ์เป็นถึงศิษย์อุปถัมภ์ แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับหวังเป่าเล่อที่จะมาเยือนสถานที่แห่งนี้อยู่ดี เนื่องจากต้องรอให้โอกาสพอเหมาะพอเจาะ และแม่นางน้อยก็เป็นผู้มอบโอกาสนั้นให้เขา!

ท้องฟ้าไม่ได้เป็นสีดำมืดเช่นเดียวกับบริเวณซากปรักหักพังในตัวกระบี่ ครึ่งหนึ่งของท้องฟ้าเป็นสีดำสนิท ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีแดงเพลิง หากมองบรรยากาศบนท้องฟ้าใกล้ๆ จะเห็นว่าอากาศถูกดึงให้บิดเบี้ยวในด้านที่เป็นทะเลเพลิง ท้องฟ้าสีแดงเดือดปะทุด้วยความร้อนรุนแรงมหาศาล!

ส่วนท้องฟ้าอีกครึ่งที่เป็นสีหมึกนั้นพร่างพรายด้วยดวงดาว ดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายอยู่ทั่ว พื้นดิน…เป็นที่ราบไร้เนิน ไม่มีทะเลเพลิงร้อนแรง ไม่มีทุ่งหญ้าเขียวขจี ไม่มีกระทั่งซากปรักหักพังหรือศพที่เป็นสัญญาณว่าเคยเกิดเหตุรบพุ่งที่นี่

หวังเป่าเล่อนอนอยู่บนพื้นไม่ไหวติง เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างแน่นิ่งไร้สติ เยียวยาตนเองได้อย่างเชื่องช้า แม้จะมีพลังของดอกบัวสีเขียวช่วยด้วยก็ตาม

เวลาค่อยๆ เดินผ่านไป ไม่มีใครรู้ว่านานเท่าใดเนื่องจากท้องฟ้าคงสภาพเดิมไม่เสื่อมคลาย ดูเหมือนว่าบริเวณนี้จะไม่มีทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ราวกับดินแดนนี้จะคงอยู่ตราบชั่วกัลปาวสาน หรืออย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อเห็นเมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์

ข้าอยู่…ที่ไหนกัน… ความอ่อนล้าและความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความตกใจ

เขาตื่นมาหนึ่งวันเต็มแล้ว แต่จิตใจยังคงพร่ามัวว่างเปล่า ความทรงจำของเขาขาดหายไปบางส่วน จึงทำได้เพียงนอนมองท้องฟ้าอย่างไร้ปฏิกิริยาอยู่หนึ่งวันเต็ม ไร้ซึ่งการตอบรับต่อบรรยากาศโดยรอบ

ในหนึ่งวันที่ผ่านไปนั้น บาดแผลของหวังเป่าเล่อเริ่มเยียวยาตนเอง ความทรงจำที่ขาดหายค่อยๆ ได้รับการเติมเต็มอีกครั้ง แต่ก็ยังคงสับสนอยู่มาก อาจเป็นเพราะว่าก่อนจะหมดสติไป เขาได้ใช้เคล็ดเวทที่ทรงพลังจนน่ากลัว จึงทำให้สมองได้รับผลกระทบ

เรือบินรบเต๋ามรณะ…โยวหรัน…ถูกตามฆ่า…ฝักกระบี่… ชิ้นส่วนความทรงจำค่อยๆ ปะติดปะต่อเข้าหากัน หวังเป่าเล่อนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น เรื่องราวมากมายสับสนวุ่นวายอยู่ในหัว ชายหนุ่มหายใจหนักขึ้นเมื่อดวงตาเริ่มชัดเจนขึ้นอีกนิด

จำได้แล้ว ข้าโดนโยวหรันตามฆ่า แล้วตอนสุดท้ายข้าก็ปล่อยพลังของเส้นคำสาปออกมาจากฝักกระบี่…ฆ่าโยวหรันตาย! ความทรงจำนั้นทำให้หวังเป่าเล่อเรียกสติตนเองกลับมาได้อีกครั้ง ทั้งร่างกายและจิตใจพลันเครียดขึง ชายหนุ่มรีบผุดตัวลุกขึ้นนั่งทันที ก่อนมองไปรอบตัวและเงยหน้าขึ้นดูท้องฟ้า

ความเวิ้งว้างของพื้นที่โดยรอบและท้องฟ้าที่ไม่คุ้ยเคย ทำให้หวังเป่าเล่อเงียบอยู่เป็นเวลานาน เขาหลับตาลงเรียกแม่นางน้อยในใจ แต่ก็ไม่ได้รับเสียงตอบกลับ

ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง สำรวจบาดแผลบนร่างกายตนเอง และพบว่ามันสมานตัวไปเกือบครึ่งแล้ว จิตใจของเขายังคงเลือนไปด้วยเมฆหมอก ความคิดได้รับผลกระทบมากกว่าร่างกายเสียอีก ความทรงจำในหัวนั้นมีมาก แต่ก็ดูห่างไกลเหลือเกิน

หวังเป่าเล่อพอจะนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ความคิดของเขาได้รับความกระทบกระเทือนออกสองสามอย่าง แต่สิ่งที่ดูเป็นไปได้มากที่สุด…คือการบังคับใช้ฝักกระบี่ในการต่อสู้

“ขั้นปราณของข้ายังไม่สูงพอที่จะใช้ฝักกระบี่ เป็นเช่นนี้หรือเปล่านะ พอข้าบังคับใช้พลังของมัน ความทรงจำจึงถูกลบออกไปบางส่วน…” ชายหนุ่มพูดพึมพำกับตนเอง เขานวดหน้าผากก่อนหันไปมองพื้นที่รอบตัวอีกครั้ง อยากรู้ว่าตนเองมาตกอยู่ที่ใด

เมื่อสติกลับมาครบอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็เริ่มสำรวจบรรยากาศ ยิ่งมองลมหายใจของเขาก็ยิ่งถี่ขึ้น ความรู้สึกมากมายวาบผ่านขึ้นมาบนใบหน้า ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ทะลึ่งตัวขึ้นยืน พยายามสู้กับความวิงเวียนขณะวิ่งไปรอบๆ เพื่อตรวจตราพื้นที่ เมื่อเสร็จเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็กลับมายืนนิ่งอยู่ตรงจุดเดิมด้วยจิตใจที่ปั่นป่วน

นี่ไม่ใช่บริเวณด้ามหรือตัวกระบี่ หรือเกาะอะไรทั้งสิ้น ไม่มีทะเลเพลิง ไม่มีพื้นที่ต้องสาป!

อุณหภูมิ…ต่ำกว่าที่ด้ามและตัวกระบี่… หัวใจของหวังเป่าเล่อระเบิดอยู่ในอก เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านที่เป็นสีแดงอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นจึงหันไปมองท้องฟ้าสีดำที่เต็มไปด้วยดวงดาว เขามองดวงดาว พยายามหากลุ่มดาวที่คุ้นเคย แล้วก็ต้องตัวสั่นเทา เขารู้แล้วว่าตนเองอยู่ที่ใด!

ข้าอยู่ที่ปลายกระบี่… หวังเป่าเล่อมองพื้นที่อยู่แทบเท้า จิตใจรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด ส่งให้ร่างกายสั่นเทิ้ม ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะยอมรับความจริงได้ เขาอยู่ที่ปลายกระบี่จริงๆ เสียด้วย

ชายหนุ่มพอจะเดาออกว่าตนเองมาถึงที่นี่ได้อย่างไร

“ต้องเป็นแม่นางน้อยแน่ๆ … นางพาข้ามาที่นี่ระหว่างที่ข้าหมดสติอยู่” เขาพึมพำบอกตนเอง ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ได้แต่นั่งลงกับพื้นและหยิบโอสถออกมาเริ่มกระบวนการเยียวยาตนเอง

หวังเป่าเล่อจำได้ว่าโยวหรันเสียชีวิตแล้ว ซึ่งแปลว่าสงครามระหว่างสหพันธรัฐกับสำนักวังเต๋าไพศาลจะไม่มีอีกต่อไป แต่ต่อให้เกิดการรบพุ่งกันขึ้น ความแตกต่างระหว่างพลังของทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ห่างชั้นกันมากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว สหพันธรัฐคงไม่โดนสำนักวังเต๋าไพศาลทำลายล้างได้ง่ายๆ แน่

ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้ตื่นตูม เขาใช้เวลาสองสามวันรักษาบาดแผลตนเองให้หาย ความทรงจำกลับมาแจ่มชัดอีกครั้งเช่นกัน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน สายตาตื่นตัว เริ่มสำรวจสถานที่ทุกซอกทุกมุม

สถานะผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลทำให้หวังเป่าเล่อรู้ข้อมูลที่ศิษย์ทั่วไปไม่ทราบ ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่ว่าที่ปลายกระบี่…เป็นสถานที่ต้องห้ามของสำนัก ตำนานกล่าวเอาไว้ว่า ดินแดนนี้เป็นสถานที่ที่ผู้อาวุโสแต่โบราณกาลนิทราอยู่นั่นเอง!

ผู้อาวุโสที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มนี้มีปราณระดับดาวพระเคราะห์ บางคนก็มีปราณอยู่ที่ระดับดารานิรันดร์ เฟิ่งชิวหรันเคยบอกเขาว่า นางเชื่อว่ามีผู้อาวุโสระดับดาราจักรหลายคนที่รอดชีวิต และกำลังเยียวยาตนเองอยู่ที่ปลายกระบี่

นางไม่มีข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้ แต่เมี่ยเลี่ยจื่อก็เชื่อเช่นเดียวกัน หวังเป่าเล่อฟังสิ่งที่นางพูดโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เขาเคยคิดว่าตนเองต้องมาเหยียบปลายกระบี่ให้ได้สักวันหนึ่ง แต่ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงนี้!

ด้วยความที่แม่นางน้อยกำลังจำศีลอยู่ หวังเป่าเล่อจึงต้องระวังทุกย่างก้าว เขาเดินช้าลงขณะสำรวจพื้นที่รอบตัว ปลายกระบี่นั้นกว้างใหญ่ แต่ก็เทียบไม่ได้กับตัวกระบี่แม้แต่น้อย ชายหนุ่มเดินทางอยู่หลายวัน ก่อนที่พื้นดินจะเริ่มเปลี่ยนสภาพไป แม้กระนั้นท้องฟ้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

ราวกับว่าดินแดนแห่งนี้ถูกใครบางคนขีดเส้นแบ่งออกเป็นสองส่วน ชั้นป้องกันสร้างจากน้ำแข็งและหิมะพาดยาวเป็นเส้นต่อหน้าชายหนุ่ม กว้างไกลจรดปลายฟ้าสุดลูกหูลูกตา

หวังเป่าเล่อยืนอยู่เบื้องหน้าหิมะและน้ำแข็ง มองพื้นที่สีขาวเย็นเยียบตรงหน้าห่างไปหลายเมตร เขาคิดสะระตะอยู่สักพัก ก่อนจะก้าวข้ามไปยังดินแดนน้ำแข็งนั้น

ลมหนาวพัดกรรโชกเข้าใส่ชายหนุ่มทันทีที่เท้าของเขาก้าวข้ามไปยังแดนเหมันต์ ลมพัดเข้าใส่ชั้นป้องกันที่บัดนี้อยู่เบื้องหลังเขาและหยุดชะงักไป ราวกับโลกน้ำแข็งนี้อยู่คนละมิติกับพื้นที่ราบเรียบที่อยู่เบื้องหลัง

ท้องฟ้าแบ่งออกเป็นสองซีก ซีกแรกร้อนระอุ อีกซีกสว่างไสวด้วยแสงดาวพร่างพราย พื้นดินปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งจนมิด ภาพประหลาดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อระวังยิ่งกว่าเดิม เขาไม่หยุดเดิน แต่ก็ไม่ได้เร่งรีบจนไม่ระมัดระวัง หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ชายหนุ่มก็เห็นสิ่งปลูกสร้างหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ขนาดใหญ่สามหลังตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เขาหยุดชะงักอยู่กับที่ ดวงตาเบิกกว้าง

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หวังเป่าเล่อหายใจเอาลมเย็นเข้าปอดและเริ่มเพิ่มความเร็วขึ้น อาคารสูงทั้งสามชัดเจนขึ้นในสายตาเมื่อเข้าไปใกล้

อาคารทั้งสามนี้…คือวังสูงสามร้อยเมตรห่อหุ้มด้วยน้ำแข็ง ดูราวกับเป็นธารน้ำแข็งยักษ์สามธารที่ตั้งตระหง่านอย่างไรอย่างนั้น!

หวังเป่าเล่อตะลึงกับความยิ่งใหญ่อลังการของสิ่งปลูกสร้างทั้งสามมาก เขาเข้าไปใกล้อาคารพอประมาณ ทันใดนั้น…กระแสจิตหนึ่งก็พุ่งออกจากวังทางด้านซ้าย!

กระแสจิตนั้นเปรียบเสมือนพายุล่องหนน่าหวาดหวั่น ที่พัดหอบเอาอากาศเข้ามาปะทะหวังเป่าเล่อเหมือนคลื่นทรงพลัง ชายหนุ่มเป็นเพียงแพน้อยที่ลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเล จิตใจของเขาเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า กระแสจิตน่ากลัวนั้นไม่ได้ตรึงตัวเขาไว้นาน แต่ล่าถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเสียงเยือกเย็นไร้อารมณ์ก็ดังสะท้อนขึ้นในอากาศ

“ในฐานะศิษย์อุปถัมภ์ เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะแบกรับหน้าที่ในการสร้างสำนักวังเต๋าไพศาลขึ้นใหม่อีกครั้ง เจ้าสามารถเข้าไปในวังวิญญาณลำดับแรก เพื่อบรรลุขั้นการฝึกตนของเจ้าได้!”

หวังเป่าเล่อยังไม่ทันได้ตอบโต้คำประกาศนั้น วังยักษ์ทางด้านซ้ายก็ปล่อยเสียงแตกร้าวออกมา น้ำแข็งที่ห่อหุ้มวังแรกแตกกระจายฉับพลัน น้ำแข็งร้าวร่วงลงบนพื้น เผยให้เห็นหน้าตาของวังที่แท้จริงเบื้องหน้าชายหนุ่ม!

เมื่อออกจากคุกน้ำแข็งได้ วังก็เริ่มเรืองแสงสีแดงเข้มออกมา แสงนั้นเปลี่ยนเป็นเสายักษ์ที่พุ่งทะยานขึ้นไปยังสรวงสวรรค์!

บทที่ 667 ประกาศสงครามกับสหพันธรัฐ
ไม่มีใครบนกระบี่สำริดเขียวโบราณที่รู้จักสตรีผู้ซึ่งกำลังมองไปยังดาวโลกนางนี้ และต่อให้มีใครรู้จักนาง ก็คงหาทางลงไปที่ชั้นสี่ของเรือบินรบ เพื่อจ้องมองตัวตนของนางให้แน่ใจไม่ได้อยู่ดี

และไม่ว่าวิชาที่นางมีไว้ในครอบครองจะเป็นวิชาเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าหรือเมล็ดพันธุ์สวรรค์เต๋า ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหวังเป่าเล่อในตอนนี้แต่อย่างใด การเผชิญหน้าระหว่างชายหนุ่มกับโยวหรันปลุกพลังของฝักกระบี่ภายในกายของเขาออกมา และปล่อยเส้นคำสาปที่ฝักกระบี่หลอมรวมเข้าไปจนทำให้โยวหรันถึงแก่ความตาย

หากข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ทั้งสำนักและสหพันธรัฐคงตกอยู่ในความโกลาหลเป็นแน่ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!

หวังเป่าเล่อใช้พลังจากภายนอกช่วยมากมาย ทั้งเคล็ดเวทลับอย่างหัตถ์ดึงวิญญาณ นิมิตหมุนวน หมื่นภัยพิบัติ และพันชีวิต อีกทั้งยังโยนเกราะจักรพรรดิให้ระเบิด รวมถึงดูดพลังจากชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะอีกด้วย นอกจากนี้โยวหรันยังไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมสู้ และท่าไม้ตายสุดท้ายของหวังเป่าเล่อก็เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายเช่นกัน

โยวหรันตัวแข็งทื่อไปในเสี้ยววินาทีสุดท้ายขณะพยายามเคลื่อนย้ายหนีเพื่อหลบหลีกเส้นคำสาปสีดำ แต่หวังเป่าเล่อ แม่นางน้อย หรือกระทั่งสตรีลึกลับก็ไม่ได้สังเกตเห็นจังหวะนั้น

นั่นคือสาเหตุที่แท้จริงของการตายของโยวหรัน ด้วยพลังปราณอันแก่กล้าของเขา โยวหรันย่อมหลบการโจมตีของเส้นคำสาปไปได้ แม้จะได้รับบาดเจ็บแต่ก็อาจไม่ถึงแก่ความตาย

การสิ้นชีพของโยวหรันส่งให้สตรีลึกลับสร้างโยวหรันคนใหม่ขึ้นมา แต่แม้นางจะใส่ความทรงจำของโยวหรันคนเก่าลงไปในร่างใหม่ ก็ยังมีช่วงเวลาที่ขาดหายไประหว่างตอนที่โยวหรันตายและเกิดใหม่อยู่ดี

นางอาจไม่ได้สนใจเรื่องนี้ หรืออาจเป็นอย่างที่นางกล่าวอ้างว่าวิชาของนางนั้นคือเมล็ดพันธุ์สวรรค์เต๋า นางปฏิบัติตามกฎชุดหนึ่งที่ตนเองบรรลุและเชื่อถือ สตรีลึกลับผู้นี้คอยเฝ้าดูชีวิตของผู้คนแทนที่จะเข้าแทรกแซงโดยตรง นางเปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นเหมือนพระเจ้าที่เฝ้าดูผู้คน และปรับชะตาชีวิตของพวกเขาให้เดินไปในทางที่นางต้องการอย่างลับๆ

ผลของการแทรกแซงนี้…ทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงมาโผล่ที่ด้ามกระบี่หลังจากที่เคลื่อนย้ายออกจากเรือบินรบ และมีเวลาให้หนีออกจากจุดเกิดเหตุได้ทันท่วงที คนอื่นอาจเดินทางกลับถึงสำนักวังเต๋าไพศาลได้ไม่รวดเร็วเท่านี้ แต่เจ้าเยี่ยเหมิงมีศักดิ์เป็นศิษย์สำนักใน จึงทำให้นางมีอำนาจปรับวงแหวนปราณจำนวนหนึ่งบนกระบี่สำริดโบราณได้ ทั้งยังมีความรู้มากพอที่จะทำเช่นนั้นด้วย

สิทธิ์พิเศษนี้ทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงระบุตำแหน่งวงแหวนปราณบนเกาะที่ใกล้ที่สุดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น นางปรับโครงสร้างของวงแหวนปราณ และเคลื่อนย้ายตนเองออกไปเป็นระยะไกล

ด้วยเหตุนี้เจ้าเยี่ยเหมิงจึงสื่อสารกับประมุขสวีและคนอื่นๆ ในสำนักวังเต๋าไพศาลได้ทันการ เมื่อประมุขสวีได้รับข้อความเสียงของเจ้าเยี่ยเหมิงที่ส่งมาอย่างเร่งรีบ เขาก็หายใจเร็วขึ้นทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจกับเหตุการณ์ร้ายที่ไม่คาดคิด

“เมี่ยเลี่ยจื่อถูกล้างสมอง ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของเฟิ่งชิวหรัน โยวหรันมาจากตระกูลไม่รู้สิ้น! ภารกิจนี้เป็นกับดัก ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมภารกิจไม่ตายก็ถูกล้างสมอง ประมุขสวี…ท่านต้องรีบอพยพทุกคนออกไปให้เร็วที่สุด!”

ความตกใจเข้ายึดครองใบหน้าของประมุข เขาไม่ลังเลที่จะเชื่อเจ้าเยี่ยเหมิงในทันที ไม่มีเวลาให้มานั่งคิดถึงรายละเอียดอะไรอีกแล้ว ประมุขสวีรีบติดต่อต้นไม้ยักษ์ ให้รวบรวมพันธุ์กล้าสหพันธรัฐทุกคนเพื่อปฏิบัติตามแผนการที่พวกเขาได้วางไว้ระหว่างทำภารกิจ

หวังเป่าเล่อทิ้งคำสั่งเอาไว้ก่อนจากไปยังเรือบินรบ และประมุขสวีเองก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์มากประสบการณ์ เขาไม่เห็นด้วยกับการปฏิบัติการช่วยเหลือครั้งนี้ และเตรียมรับมือสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นไว้แล้ว แม้จะตกใจเมื่อได้ฟังสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้สติแตกแต่อย่างใด ประมุขสวีเดินหน้าตามแผนการอย่างรัดกุม

ภายในเวลาหกชั่วโมงทุกคนก็พร้อมออกเดินทาง ตอนที่ประมุขสวีเดินทางมาพร้อมพันธุ์กล้าสหพันธรัฐรุ่นที่สอง เขาได้บอกหวังเป่าเล่อว่าภารกิจของตนคือการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายลับ แล้วก็ได้ใช้งานมันจริงๆ เสียด้วย

การสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายลับนี้เป็นเรื่องยากที่จะทำให้สำเร็จ แต่เมื่อหวังเป่าเล่อได้ตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่มาครอบครอง การส่งทรัพยากรและปกปิดร่องรอยภารกิจก็เป็นไปโดยราบรื่น ขณะที่ทุกคนออกไปทำภารกิจบนเรือบินรบ ประมุขสวีก็เป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในสำนัก แม้จะไม่มีอำนาจใช้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายหลัก แต่ก็มีวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายลับที่พร้อมใช้งานอยู่ในอาณัติ

หลังจากที่ปลุกวงแหวนปราณขนาดเล็กขึ้นมาเรียบร้อย ประมุขสวีก็ส่งผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐไปเป็นชุดๆ ด้วยความที่มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว การเคลื่อนย้ายจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น แม้วงแหวนปราณนี้จะมีขนาดเล็กก็ตาม

ต้นไม้ยักษ์จากไปพร้อมผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐชุดแรก เพื่อรายงานภัยที่เกิดขึ้นบนกระบี่สำริดโบราณ ส่วนประมุขสวียืนอยู่ในวงแหวนปราณอย่างเงียบๆ เพื่อปรับเปลี่ยนวงแหวนปราณให้ทำลายตนเองหลังจากส่งผู้ฝึกตนชุดสุดท้ายกลับไปเรียบร้อย เขายังไม่ยอมจุดให้วงแหวนปราณระเบิด แต่กลับยืนกำแหวนสื่อสารเอาไว้และมองออกไปในระยะไกล เฝ้ารอด้วยความกระวนกระวาย

ประมุขสวีรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ในเรือบินรบเต๋ามรณะผ่านข้อความของเจ้าเยี่ยเหมิง เขารู้ดีว่าโอกาสที่หวังเป่าเล่อจะรอดชีวิตกลับมานั้นมีน้อยเพียงใด ความคิดนี้ทำให้จิตใจของเขาจมดิ่งสู่ความหดหู่ กระนั้นแสงแรงกล้าก็ยังทอประกายอยู่ในดวงตา

หนึ่งวันผ่านไป เจ้าเยี่ยเหมิงที่ใช้อำนาจของตนในฐานะศิษย์สำนักใน และความชำนาญด้านวงแหวนปราณในการปรับเปลี่ยนวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายระหว่างทาง จนกลับมาถึงสำนักได้ในที่สุด ทั้งสองเตรียมตัวเคลื่อนย้ายออกจากกระบี่สำริดเขียวโบราณในทันที เจ้าเยี่ยเหมิงมองไปยังทิศที่เรือบินรบเต๋ามรณะอยู่ รู้ดีว่ารอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงถอนหายใจและยอมจากไป

พวกเขาไม่ได้บอกศิษย์ในสำนักวังเต๋าไพศาลว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เนื่องจากไม่ทราบว่าใครไว้ใจได้บ้าง ชะตากรรมของสหพันธรัฐอยู่ในมือพวกเขา ทั้งสองจึงไม่กล้าเสี่ยง

เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วบริเวณขณะที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายลับกำลังถูกทำลาย เสียงระเบิดนั้นดังกว่าการเคลื่อนย้ายก่อนหน้านี้ ทำให้ทั่วทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลรับรู้ถึงเหตุการณ์ดังกลาว

ตู้กูหลินเป็นคนแรกที่สัมผัสได้ถึงกระแสปราณที่ผิดปกตินี้ เขาหายตัวออกจากที่ถือสันโดษ และมาปรากฏตัวอีกครั้งตรงจุดที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายลับเคยอยู่ วงแหวนปราณเล็กอยู่หลังตำหนักผู้อาวุโสสูงสุดของหวังเป่าเล่อ และบนพื้นยังมีร่องรอยของวงแหวนปราณที่เพิ่งถูกทำลายไปหมาดๆ ปรากฏให้เห็น ความรู้สึกมากมายฉายขึ้นบนใบหน้าของตู้กูหลิน แต่เขาก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่

ไม่นานนักข่าวการหายตัวไปของผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐก็แพร่ไปทั่วสำนัก ข่าวนี้กระจายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง ก่อให้เกิดความสงสัยในหมู่สานุศิษย์เป็นอันมาก ไม่นานนักเสียงระเบิดก็ดังขึ้นอีกครั้งในทะเลเพลิงที่อยู่ไกลออกไป ส่งให้ทุกคนตัวสั่นสะท้าน พวกเขาหันไปดูทิศทางที่เกิดระเบิด และเห็นเรือบินรบยักษ์กำลังพุ่งออกจากทะเลเพลิงตรงมาทางพวกเขา

เรือบินรบเต๋ามรณะนั่นเอง!

โยวหรันซ่อมแซมเรือบินรบให้กลับมาใช้งานได้ดังเดิม แม้จะไม่สมบูรณ์เหมือนเก่าแต่ก็ยังทำงานได้ เรือบินรบเต๋ามรณะเข้าใกล้สำนักวังเต๋าไพศาลขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงข้างสำนักพอดิบพอดี เกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลดูเล็กเหมือนมดตัวน้อยเมื่อเทียบกับขนาดที่ใหญ่โตของเรือบินรบยักษ์นี้ ผู้ฝึกตนทุกคนต่างพากันตกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ก่อนที่ร่างมากมายจะพุ่งออกมาจากเรือบินรบ!

ทุกคนคุ้นเคยกับใบหน้าเหล่านั้นดี พวกเขาคือผู้ที่จากไปเพื่อทำภารกิจช่วยเหลือนั่นเอง ส่วนมากเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ มีเพียงไม่กี่คนที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน สองคนในซึ่งเป็นเป้าสายตาที่สุดคือเมี่ยเลี่ยจื่อและโยวหรัน

ใบหน้าของทั้งสองเคร่งขรึมจริงจึง เมื่อมองใกล้ๆ จะเห็นว่าสีหน้าของเมี่ยเลี่ยจื่อดูเหมือนถูกสะกดจิตมากกว่าโกรธเกรี้ยว ส่วนโยวหรันนั้นดูบันดาลโทสะไปแล้วโดยสิ้นเชิง

จิตสัมผัสวิญญาณของเขาบอกว่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐได้ออกไปจากกระบี่สำริดเขียวโบราณหมดแล้ว และเขารู้ดีว่าเพราะเหตุใด

โยวหรันและเมี่ยเลี่ยจื่อ รวมถึงผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณราวสิบคนเหาะออกจากเรือบินรบ ทั้งหมดลอยอยู่กลางอากาศเหนือเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล ทุกคนที่อยู่บนพื้นดินเบื้องล่างมองขึ้นไปยังพวกเขาและทำความเคารพ

ตู้กูหลินยืนอยู่ในบรรดาผู้ฝึกตนเหล่านั้น พลางมองท่านอาจารย์ของตน ตู้กูหลินเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สังเกตเห็นสีหน้าเหมือนโดนสะกดจิตบนหน้าของเมี่ยเลี่ยจื่อ เขามองอาจารย์ ก่อนหลับตาลงเพื่อเก็บซ่อนความเศร้าลึกอยู่ภายใน

ขณะที่ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลคุกเข่าทำความเคารพนั้น เมี่ยเลี่ยจื่อก็ประกาศ เสียงแหบต่ำของเขากังวานไปทั่วบริเวณเหมือนสายฟ้า

“ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐผิดคำสาบานและละทิ้งซึ่งศีลธรรมตน หวังเป่าเล่อเป็นแกนนำขโมยสมบัติล้ำค่าจากตระกูลไม่รู้สิ้นและทำร้ายผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล ไอ้พวกชั้นต่ำน่ารังเกียจนี้ซุ่มโจมตีผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรัน เพราะมันทั้งสาม ทำให้สำนักวังเต๋าไพศาลของเราต้องสูญเสียทรัพยากรอันมีค่าไปมากมาย!

“สหพันธรัฐเป็นศัตรู และมันต้องชดใช้สิ่งที่มันทำไว้!

“ข้าขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันไว้ ณ ที่นี้ ศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนจงมารวมตัวเดี๋ยวนี้ เราจะทำสงครามกับสหพันธรัฐ พวกเรา…จะลบสหพันธรัฐออกจากระบบสุริยะให้เหี้ยน พวกมันทุกคนจะกลายเป็นขั้นบันไดให้สำนักวังเต๋าไพศาลกลับไปรุ่งโรจน์อีกครั้งดังอดีตที่เคยเป็นมา!”

บทที่ 666 สามีข้า!
ความรู้สึกมากมายผ่านเข้ามาบนใบหน้าของแม่นางน้อย ขณะอุ้มหวังเป่าเล่อที่ไม่ได้สติจากไป นางทั้งไม่เข้าใจ ตกใจ และโกรธ แม่นางน้อยขบกรามแน่น ความรู้สึกลังเลและความสงสัยวาบเข้ามาในจิตใจเช่นกัน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางไปเป็นภาพมายาของแสงดาวบนศพของโยวหรันเข้า

ผู้ฝึกตนธรรมดาจะมองไม่เห็นแสงดาวนี้อย่างแน่นอน นี่เป็นกระบวนเวทพิเศษที่มีเพียงร่างวิญญาณพิเศษเท่านั้นที่มองเห็นได้!

“เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า…มรดกที่สำนักวังเต๋าไพศาลรับสืบทอดมาจากดินแดนลึกลับ บิดาข้าเรียกพลังแห่งเต๋านี้ว่าเป็นพลังเต๋าที่ทรงพลังที่สุดของสำนัก หลังจากได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับกระบวนเวทนี้เข้า!” แม่นางน้อยพึมพำกับตนเอง นางรู้จักเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าดี แม้จะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเรียนรู้ แต่ก็ทราบดีว่าวิชานี้ทรงพลังเพียงใด

เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าอาจเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดเวทการสร้างร่างเหมือนต้นแบบ หรือการล้างสมองก็ว่าได้ แต่แก่นแท้ของมันนั้นไม่ใช่ทั้งสองสิ่ง หัวใจหลักของเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋านั้นต่อต้านทุกตรรกะ ในจักรวาลนี้มีดวงดาวอยู่หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นดาวเคราะห์หรือดาวนิรันดร์

แต่เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าไม่ได้แบ่งประเภทดาวตามดาวเคราะห์หรือดาวนิรันดร์ ดวงดาวสำหรับเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋านั้นแบ่งออกเป็นสามประเภทและสามระดับ

ระดับดารา ระดับจันทรา และระดับสุริยะ!

ในระดับดารา ผู้ฝึกตนต้องเข้าสู่สภาวะนิทรา ผู้ใช้จะสามารถปล่อยเมล็ดพันธุ์ดารามากมายออกมาได้ตามระดับพลังปราณของตน เพื่อนำไปหลอมรวมกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในจักรวาล สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะฝึกปราณของตนเองได้ จนกระทั่งถึงเวลาที่เจ้าของกระบวนเวทจะเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ดาราทั้งหมดกลับมาโดยใช้เพียงความคิดเท่านั้น

การเก็บเกี่ยวนี้ไม่ใช่แค่เก็บเมล็ดพันธุ์ดารากลับคืนมา แต่รวมถึงพลังปราณและพลังชีวิตของเจ้าของร่างที่เมล็ดพันธุ์ดาราสิงสู่ด้วย หลังจากนั้น ผู้ใช้กระบวนเวทสามารถใช้อีกเคล็ดเวทหนึ่งเพื่อเพิ่มพลังของการเก็บเกี่ยวขึ้นหลายเท่า ผู้ฝึกตนจะบรรลุจากระดับดาราไปเป็นระดับจันทรา!

กระบวนการนี้เหมือนกันกับตอนที่ราชครูใช้หุ่นเชิดงูเหลือมยักษ์ ที่สุดท้ายถูกเจ้าลากินเข้าไป แต่ทรงพลังกว่าเมล็ดพันธุ์ของราชครูหลายเท่านัก

แต่ผู้ฝึกตนเจ้าของร่างที่เมล็ดพันธุ์ดาราสิงสู่นั้นล้วนแต่เป็นร่างทรงชั้นต่ำ หากทรงพลังพอที่จะฝังเมล็ดพันธุ์ดาราลงในดวงดาวได้ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนดาวดวงนั้นจะกลายเมล็ดพันธุ์ดาราเพื่อส่งพลังงานให้เก็บเกี่ยวได้ในที่สุด!

ตราบใดที่เก็บเกี่ยวดวงดาวได้มากพอ ผู้ใช้ก็จะได้รับพลังแซงหน้าระดับดาราไปเป็นระดับจันทรา แต่พลังที่ร้ายกาจและน่ากลัวที่สุดคือระดับสุริยะ ผู้ใช้เคล็ดเวทระดับสุริยะสามารถปลูกเมล็ดพันธุ์ลงในจักรพิภพ เก็บเกี่ยวจากอาณาบริเวณนั้น และได้รับพลังปราณรวมถึงพลังชีวิตจำนวนมหาศาลเป็นการตอบแทน!

แม่นางน้อยไม่เคยพบเจอใครที่ครอบครองพลังระดับสุริยะมาก่อน ในสำนักวังเต๋าไพศาล มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้พลังระดับจันทราไปครอง นางจำได้ดีว่าบิดาของนางถอนใจออกมาหลังจากที่ได้อ่านเรื่องรายของเคล็ดเวทนี้ บิดาของนางบอกเพียงว่าเคล็ดเวทนี้ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากจักรพิภพนี้ แต่ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

สิ่งที่แม่นางน้อยจำได้เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าทำให้นางตระหนักเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ…โยวหรันเป็นเพียงร่างที่เมล็ดพันธุ์เข้าสิงเท่านั้น ซึ่งแปลว่า…มีใครบางคนบนกระบี่สำริดโบราณนี้เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งที่เกิดขึ้น

โยวหรันเป็นเพียงหุ่นเชิดเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น!

นี่ถือเป็นความจริงที่ไม่คาดคิด แต่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย สิ่งที่ทำให้นางกัดฟันและรู้สึกหมดหนทาง คือความพิเศษเฉพาะตัวของเคล็ดเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า วิชานี้เป็นวิชาสืบทอดที่ต้องได้รับการยินยอม การสืบทอดนี้…ต้องใช้ผู้ที่อยู่ในระดับดารา ที่ยินยอมใช้วิญญาณตนเองสกัดออกมาเป็นเมล็ดพันธุ์!

ผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับดาราต้องยอมสละวิญญาณของตนเพื่อสร้างเมล็ดพันธุ์ดั้งเดิมที่บรรจุวิชาเอาไว้ และมอบให้ผู้รับสืบทอดวิชาคนต่อไป คนแรกของสำนักวังเต๋าไพศาลที่ได้รับวิชาสืบทอดนี้จากสถานที่ลึกลับ ได้รับเมล็ดนี้มาหลังจากที่ตัวเมล็ดตกอยู่ในสภาวะนิทรานานหลายปี

ชายผู้นั้นคือผู้บุกเบิกการใช้เคล็ดเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า วิชาสืบทอดนี้ถูกส่งต่อมารุ่นสู่รุ่นภายในสำนักวังเต๋าไพศาล ภายในหนึ่งชั่วอายุคนจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเจ้าของวิชานี้

คนสุดท้ายที่ได้รับวิชานี้ไปคือประมุขโจว…เป็นท่านหรือ ไม่มีทางเป็นใครที่มาจากตระกูลไม่รู้สิ้นแน่ เคล็ดเวทนี้ต้องให้ผู้ถ่ายทอดวิชายอมถ่ายทอดให้ก่อนถึงจะใช้ได้ แม้แต่ผู้ฝึกตนในระดับดารายังเข้ามายุ่มย่ามไม่ได้เลย! แม่นางน้อยนิ่งเงียบ นางจมอยู่กับความสับสนงุนงง หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเข้าไปอาศัยอยู่ในหน้ากาก นางก็ตกอยู่ในห้วงนิทรานานแสนนาน นางไม่รู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นหลังจากที่สำนักวังเต๋าไพศาลล่มสลายลง

หน้ากากนี้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ตัวนางไม่ครบสมบูรณ์ แม่นางน้อยเสียความทรงจำไปมาก นางรู้สึกว่าศพผียักษ์บนดวงจันทร์เป็นคนคุ้นเคย แต่ก็จำไม่ได้ว่าเป็นใครกันแน่

ในบรรดาความทรงจำที่นางมีทั้งหมด สิ่งที่จำได้เกี่ยวกับประมุขโจวคือเขาเป็นคนอ่อนโยน ทรงเกียรติ และยุติธรรมเที่ยงตรงเหมือนตาชั่ง นางไม่เชื่อแน่นอนว่าประมุขโจวจะเป็นคนทำเรื่องร้ายกาจเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นในเรือบินรบเต๋ามรณะ

ศีรษะมนุษย์ที่ห้อยต่องแต่งอยู่ที่ปลายท่อ การกลืนกินผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล และแผนการสังเวยทุกชีวิตในสหพันธรัฐ ทั้งหมดนี้ไม่มีทางที่ชายคนที่นางจำได้ในความทรงจำจะกระทำได้เลย!

แม่นางน้อยเงียบงันงุนงง นางยังคงอุ้มหวังเป่าเล่อเอาไว้ขณะทะยานไปบนฟากฟ้า ในที่สุดทั้งสองก็เจอแท่นคงกระพัน นางพยายามปลุกพลังของแท่นอย่างยากลำบาก และส่งหวังเป่าเล่อออกไปได้ในที่สุด ร่างบางเบาของนางสลายหายไป พร้อมด้วยจิตใจที่สับสนหนักอึ้ง กลับสู่ห้วงนิทราดังเดิม

ในขณะนั้นเอง ภายในเรือบินรบเต๋ามรณะที่ได้รับความเสียหาย ใต้ถ้ำชั้นสามที่ถูกทำลาย…ก็ปรากฏชั้นที่สี่ของเรือขึ้น!

แม้แต่หวังเป่าเล่อเองยังหาชั้นนี้ไม่เจอ ชั้นที่สี่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากอันตรายที่เกิดขึ้นภายนอก

โลกในชั้นสี่แตกต่างจากโลกทั้งสามที่เต็มไปด้วยความมืดมิดและซากศพอย่างสิ้นเชิง มีเสียงนกร้องและกลิ่นดอกไม้อบอวลในอากาศ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า น้ำทะเลปกคลุมพื้นผิวของโลกนี้ ตรงใจกลางมหาสมุทรมีเกาะหนึ่งตั้งอยู่ บนเกาะมีภูเขาที่ปลายยอดส่องแสงอ่อนโยนเรืองเรื่อ

ในแสงสว่างมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ ภาพนั้นเลือนรางจนจับไม่ถูก แต่ดูเหมือนจะเป็นร่างของสตรี ผมยาวสลวยของนางปกคลุมไหล่เอาไว้ ใบหน้าสดสวยจนน่าตื่นตะลึง

หากมีผู้ฝึกตนที่มีพลังปราณแก่กล้า จนมองทะลุผ่านเปลือกนอกเข้าไปถึงแก่นแท้ได้อยู่ตรงนี้ เขาจะทราบทันทีว่าสตรีนางนี้…ไม่ใช่คนจากตระกูลไม่รู้สิ้น และความสวยงามหยาดเยิ้มของนางก็ไม่ได้เป็นเพียงอาภรณ์เปลือกนอกเช่นกัน!

หากแม่นางน้อยอยู่ตรงนี้ นางคงจะตกใจเป็นอันมากหากได้เจออีกฝ่าย นั่นเพราะว่านางรู้จักสตรีผู้นี้ดี!

สตรีผู้นี้เป็นเพื่อนของแม่นางน้อยในอดีต และเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล!

สตรีนางนี้นั่งอยู่ท่ามกลางแสงเรื่อเรือง ดูเหมือนว่าจะหลับอยู่ในตอนที่โยวหรันเสียชีวิตลง แพขนตาของนางกระพือ ก่อนเปลือกตาจะค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นแสงดาวเป็นประกายอยู่ในดวงตาของนาง!

เขาสิ้นชีวิตแล้ว… แต่ก็ไม่ได้น่าแปลกใจแต่อย่างใด ในเมื่อคู่ต่อสู้เป็นถึงผู้ที่ถูกเลือกจากธิดาศักดิ์สิทธิ์ สตรีผู้นี้คลี่ยิ้ม แม้จะรู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรไปกับความตายของโยวหรัน แต่ก็ไม่ได้หัวเสียมากมายนัก โยวหรันไม่ใช่เจ้าของร่างทรงเมล็ดพันธุ์หนึ่งเดียวที่นางมี สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคนที่เจอหวังเป่าเล่อตอนเขาดำทะเลเพลิงลงไปเก็บชิ้นส่วนหน้ากาก ก็เป็นหนึ่งในร่างทรงเมล็ดพันธุ์ของนางเช่นกัน

นางไม่ค่อยเข้าแทรกแซงกิจการของพวกเขา ทำเพียงสังเกตการณ์ผ่านดวงตาของเจ้าของร่างเท่านั้น และมักปล่อยให้เจ้าของร่างทำตามความต้องการของตนเอง ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ไม่รู้แม้แต่น้อยว่ามีคนปลูกเมล็ดพันธุ์ดาราเอาไว้ภายในกายพวกเขา และสามารถกำหนดความตายของพวกเขาได้ด้วยความคิดเดียวเท่านั้น

โยวหรันพยายามมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ควรได้รับโอกาสให้ทำให้สำเร็จเสีย น่าจะสนุกเลยทีเดียวเชียว นางยิ้มอีกครั้ง ก่อนกระดิกนิ้วที่มือขวา ทะเลที่อยู่ไกลออกไปแหวกออก ร่างๆ หนึ่งผุดขึ้นจากทะเลนั้น!

ร่างนั้นเป็นร่างของสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่มีพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณ มีพลังงานบางอย่างดึงร่างนั้นเข้ามาอยู่เบื้องหน้าสตรีผู้นี้ นางชี้นิ้วอีกครั้ง ความทรงจำของโยวหรันก่อกำเนิดเป็นแสงเรืองอ่อนอยู่เบื้องหน้า ก่อนเข้าไปในศีรษะของร่างตรงหน้าทันที นอกจากนี้นางยังเปลี่ยนเสื้อผ้าของร่างตรงหน้าอีกด้วย!

เสื้อผ้านั้นหาใช่เสื้อผ้าปกติธรรมดาไม่ หากแต่เป็น… ร่างของผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล!

เป็นร่างกายโดยละเอียดของโยวหรันในแบบที่ปรากฏในสำนักเลยทีเดียว!

หลังจากที่จัดการเสร็จเรียบร้อย นางก็โบกมืออีกครั้ง โยวหรันที่เพิ่งเกิดใหม่หายวับไปและไปปรากฏตัวอีกครั้งที่ชั้นสอง เขาตัวสั่นเทา ก่อนลืมตาตื่นขึ้นและลุกขึ้นยืนในทันที โทสะพัดเข้ามาในดวงตาพร้อมเสียงตะโกนก้อง

“ไอ้หวังเป่าเล่อ!”

โยวหรันไม่มีความทรงจำว่าตนเองถูกสังหารแม้แต่น้อย เขาจำได้ถึงตอนที่หวังเป่าเล่อดูดพลังจากชุดคลุมออกศึก และตนเองรีบรุดไปจัดการเรื่องนี้ ก่อนที่จะทันได้ทำอะไร หวังเป่าเล่อก็ระเบิดชุดเกราะจักรพรรดิออก และทำลายถ้ำลงเสียเหี้ยนเตียน ชั้นหนึ่งและชั้นสองของเรือบินรบถูกทำลายเสียหาย

โยวหรันเลิกติดตามหวังเป่าเล่อในทันที เขาเริ่มย่อยเหตุการณ์ต่อและเดินหน้าตามแผนการเดิมที่วางไว้!

ชายชราไม่สงสัยสิ่งใดแม้แต่น้อย สตรีผู้กุมชะตาปล่อยโยวหรันที่เกิดใหม่นี้ให้ควบคุมเมี่ยเลี่ยจื่อซึ่งถูกล้างสมอง และผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ได้ดังเดิม

เขาไม่รู้เลยว่าในเรือบินรบมีชั้นที่สี่อยู่ด้วย และมีดวงตาคู่หนึ่งที่แอบจ้องมองเขาอยู่เงียบๆ

“ทุกอย่างในจักรวาลนี้ รวมถึงดวงดาว…ล้วนมีเส้นทางที่ตนเองต้องก้าวเดิน การเฝ้าดูโชคชะตาของพวกเขาแทนที่จะเข้าแทรกแซง ทำตนเองให้กลายเป็นพระเจ้าที่คอยนำพาพวกเขาไปในทางที่ถูกต้องนี่แหละ…คือแก่นของเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า! หรือจะเรียกว่า…เมล็ดพันธุ์สวรรค์เต๋าก็ย่อมได้! ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกตนที่ฝึกวิชานี้เดินทางผิดกันไปเสียหมด!” สตรีผู้ที่ห้อมล้อมด้วยแสงเรืองเรื่อที่ชั้นสี่พึมพำกับตนเอง ดวงตาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ นางหันไปมองที่ทิศหนึ่ง

สายตาของนางมองทะลุเรือบินรบ ผ่านกระบี่สำริดโบราณ ผ่านห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง ไปยัง…ดวงจันทร์!

“เพราะเหตุนี้อย่างไรเล่า…สามีข้า ข้าจึงไม่เสียใจกับสิ่งที่ตนเองได้กระทำไปแม้แต่น้อย ระหว่างเราสองคน ข้าคือคนที่เหมาะสมที่สุดในการสืบทอดวิชานี้… ท่านอาจารย์ของเจ้าเลือกผิดแล้ว เจ้าสูญเสียดอกบัวสีเขียวของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าคู่ควรกับการได้รับถ่ายทอดเคล็ดเวทนี้… ถึงข้าจะใช้เล่ห์กลขโมยวิชาที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้ให้เจ้ามาจนทำให้เจ้าต้องตาย แต่เจ้าถึงกับต้องอาฆาตแค้นข้าจนกลายเป็นผีดิบที่ไม่ยอมไปสู่สุขติเสียทีเลยหรือ”

บทที่ 665 สังหาร!
การระวังตัวมากขึ้นของโยวหรันทำให้ชายชราติดตามหวังเป่าเล่อได้ช้าลง ความรู้สึกโกรธเกลียดที่อัดแน่นอยู่ในจิตใจจากการเผชิญหน้าในเรือบินรบปรากฏขึ้นอีกครั้ง พลังปราณของเขาแข็งแกร่งกว่าหวังเป่าเล่อมาก แต่ชายหนุ่มตรงหน้าก็หลบลี้หนีเอาตัวรอดไปได้ตลอด ไม่ต่างจากปลาไหลที่ลื่นออกจากมืออยู่ร่ำไป!

ก่อนหน้านี้เขาเกือบสังหารหวังเป่าเล่อได้แล้ว แต่ชายหนุ่มก็กลับเอาตัวรอดไปได้อีกครั้ง แม้จะบาดเจ็บปางตาย แต่ก็ไม่ได้สลบไป นอกจากนี้ยังเพิ่มจำนวนก้อนสายฟ้าให้มากขึ้นด้วยขณะหลบหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย จำนวนก้อนสายฟ้าที่มากขึ้นนี้ทำให้คำสาปออกฤทธิ์รุนแรงขึ้นไปอีก ส่งให้ความวุ่นวายในบริเวณนั้นเพิ่มขึ้นมากโข แม้โยวหรันจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่ก็ต้องเดินหน้าต่อด้วยความระมัดระวัง

“ไอ้หวังเป่าเล่อ!” อารมณ์ของโยวหรันในตอนนี้ข้ามความเดือดดาลไปแล้ว นอกจากนี้เขายังกระวนกระวายอีกด้วย เขาออกจากเรือบินรบนานไม่ได้ เนื่องจากยังมีหลายสิ่งที่ต้องทำ ยิ่งเขาอยู่ที่นี่นานเท่าใด ก็ยิ่งจะซ่อมแซมเรือบินรบยากขึ้นเท่านั้น และจะทำให้แผนการพังลงไปมากกว่าเดิม

ท่ามกลางความกระวนกระวายใจนั้น แววตาของโยวหรันก็เปลี่ยนเป็นมุ่งมั่น!

เบื้องหน้าเขาคือหวังเป่าเล่อที่ยังคงหนีตาย ชายหนุ่มจิตใจพร่าเลือนไปหมด หากไม่ใช่เพราะดอกบัวสีเขียวในกายที่กำลังปล่อยพลังออกมาเต็มที่ จนทำให้ร่างกายของเขาเยียวยาตนเองได้อย่างต่อเนื่องแม้จะบาดเจ็บสาหัส เขาคงสลบคาที่ไปนานแล้ว

แม้จะมีดอกบัวสีเขียว แต่หวังเป่าเล่อก็ใกล้หมดพลังงานเข้าไปทุกที มีเพียงกำลังใจในการเอาชีวิตรอดเท่านั้น ที่ส่งให้เขาเดินหน้าหลบหนีการไล่ล่าต่อไป

หวังเป่าเล่อลืมทิศทางไปหมดสิ้นแล้ว เขาไม่รู้ซ้ายไม่รู้ขวา ใจจดจ่ออยู่อย่างเดียวเท่านั้น ว่าต้องหาแท่นคงกระพันให้เจอและออกไปจากที่นี่ให้จงได้!

กระนั้น…ความแตกต่างด้านพลังปราณและอาการบาดเจ็บก็ทำให้จุดมุ่งหมายห่างไกลออกไปทุกที หากโยวหรันไม่ได้ไล่ตามเขาอย่างไม่ลดละเช่นนี้ สภาพของชายหนุ่มคงไม่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ เขาทุลักทุเลก้าวไปข้างหน้าอยู่ราวครึ่งชั่วโมง ก่อนที่แรงระเบิดจะอุบัติขึ้นเบื้องหลังชายหนุ่มอีกครั้ง

โยวหรันใช้พลังชีวิตของตนเองโดยไม่ลังเลอีกครั้ง เพื่อทะลุผ่านคำสาปมากมายที่ระเบิดตามทางที่ผ่าน ร่างของเขาเหมือนสายฟ้าที่ทะยานไปข้างหน้าโดยไร้ซึ่งความกลัวใดๆ เมื่อเทียบกันในเชิงพลังแล้ว หวังเป่าเล่อเหมือนเม็ดฝุ่นที่ต้องแตกสลายกลายเป็นเศษธุลีทันทีที่เข้าปะทะ

ชายหนุ่มหัวเราะอย่างขมขื่นเมื่อเห็นความตายที่ไล่กวดมา แต่ในดวงตาก็ไม่ได้แสดงความสิ้นหวังแต่อย่างใด เขาไม่คิดถอยหนีแม้แต่น้อย แม้เกราะจักรพรรดิจะถูกทำลายไปแล้ว และแม่นางน้อยก็หมดสติไปเรียบร้อย แต่หวังเป่าเล่อก็ยังมีไพ่ตายเหลืออยู่!

ปัญหาของเขาคือไม่รู้ว่าจะใช้ไพ่ตายนี้อย่างไรเท่านั้นเอง พลังของมันไม่ได้ตื่นขึ้นแม้เขาจะตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตในถ้ำทะเลสาบสีทอง เป็นไปได้ว่าทางเดียวที่จะปลุกมันขึ้นมาได้คืออาจต้องทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายมากกว่าเดิม!

ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มไม่อยากเสี่ยง แต่ตอนนี้…ถึงอย่างไรเขาก็คงรอดไปไม่ได้แน่ จึงไม่มีเหตุผลอะไรให้กลัว

ความอำมหิตแรงกล้าวาบผ่านเข้ามาในตาของหวังเป่าเล่อ ทันทีที่โยวหรันปรากฏกายขึ้นเหมือนสายฟ้าฟาด ชายหนุ่มจึงหันหลังกลับไปเผชิญหน้าทันที มือสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ แล้วตบลงบนเส้นปราณของตนเองอย่างแรง พร้อมตะโกนก้อง “เมล็ดดูดกลืน!”

โยวหรันพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อที่กำลังปล่อยพลังของเมล็ดดูดกลืนออกจนหมดสิ้น มือขวาของชายชรายกขึ้นเปลี่ยนสภาพเป็นยอดเขาสูงที่สร้างจากหมอกมืดพัดเข้าใส่หวังเป่าเล่อ

“ตายไปเสีย!”

การโจมตีนั้นทรงพลังมากเสียจนทำให้ท้องฟ้าและพื้นดินสั่นไหว รวมถึงภูเขาและแม่น้ำที่อยู่ตรงกลางระหว่างสวรรค์และปฐพีด้วยเช่นกัน เมื่อมันพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ พลังงานที่ปล่อยออกมาเป็นคลื่น ก็กระจายแหวกอากาศจนทำให้บรรยากาศขาดออกจากกัน แต่ขณะที่มันกำลังจะพุ่งเข้ากระทบตัวชายหนุ่ม เมล็ดดูดกลืนในกายเขาก็ปล่อยพลังดูดมหาศาลออกมา เปลี่ยนร่างชายหนุ่มให้กลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่

หลุมดำนี้อุบัติขึ้นกลางอากาศและเริ่มหมุนวนในทันที ทำให้ภูเขาหมอกมืดที่กำลังเข้ามาใกล้สั่นสะเทือน หลุมดำของหวังเป่าเล่อกำลังจะดูดภูเขาเข้าไปทั้งลูก!

ความแตกต่างระหว่างขนาดของทั้งสองสิ่งนี้น่าตกใจเป็นอันมาก ดูราวกับงูที่กำลังพยายามกลืนช้างเข้าไปทั้งตัวอย่างไรอย่างนั้น!

“ข้าเห็นสิ่งประหลาดในกายเจ้า เจ้าอยากดูดพลังเวทของข้าหรือ เอาเลย ดูดเข้าไปให้หมดเลยสิ!” ความดุร้ายวาบอยู่ในดวงตาของโยวหรัน เขาปล่อยพลังปราณของตนเองออก คลื่นพลังงานกระจายจากร่างออกสู่บรรยากาศ

พลังปราณนั้นทำให้หวังเป่าเล่อควบคุมแทบไม่ได้ ร่างกายสั่นสะท้านไปหมด เมล็ดดูดกลืนของเขาพยายามดูดพลังน่ากลัวที่อันแน่นอยู่ในภูเขาหมอกมืด แล้วก็ดูดไปได้เยอะเสียด้วย กระนั้นส่วนที่เหลืออยู่ก็ยังคงไหล่บ่าออกมาไม่หยุดจนท่วมร่างหวังเป่าเล่อและพื้นที่ที่รอบกาย

ร่างของชายหนุ่มเริ่มเกิดรอยร้าว กระดูกเริ่มแตกสลายกลายเป็นเศษฝุ่น หวังเป่าเล่อกัดฟันทนความเจ็บปวดรุนแรง แต่ก็ยังต้านทานเมล็ดดูดกลืนภายในกายที่ขยายขนาดขึ้นและเดินหน้าดูดพลังต่อไม่ได้ หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับร่างกำลังจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เหมือนร่างกายของเขาเก็บระเบิดต้านทานวิญญาณเอาไว้ภายใน

“ดูดเข้าไปให้หมดเลย ไม่ชอบหรือ เอาเลยสิ ดูดเข้าไปอีก!” โยวหรันหน้าบูดเบี้ยวด้วยความรุนแรงกระหายเลือด

ความเจ็บปวดเข้าครอบงำใบหน้าของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกว่าร่างของตนกำลังจะขาดเป็นชิ้นๆ ในวินาทีใดวินาทีหนึ่งและทั้งร่างกายรวมถึงวิญญาณของเขาจะถูกทำลายหายไป ความรู้สึกนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผันผ่านเป็นวินาที เนื้อของชายหนุ่มเริ่มกลายเป็นไอหมอก พลังทำลายล้างเปลี่ยนทุกสิ่งให้บิดเบี้ยว และกำลังจะกวาดเขาหายไปจากโลกใบนี้ แม้กระทั่งแม่นางน้อยเองยังสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะอันตรายที่หวังเป่าเล่อหามาใส่ตัว นางเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าและกรีดร้องใส่เขาทันที

“หวังเป่าเล่อ เป็นบ้าไปแล้วหรือ เจ้าทำอะไรกัน”

“เมล็ดดูดกลืน…ระเบิดเสีย!” หวังเป่าเล่อไม่ได้เป็นบ้า เขาหยิบหน้ากากที่แม่นางน้อยอาศัยอยู่ออกมา ตะโกนสั่งเมล็ดดูดกลืน และโยนหน้ากากออกไปให้พ้นตัวด้วยพลังที่เหลืออยู่น้อยนิด เพื่อที่แม่นางน้อยจะได้ออกห่างจากแรงระเบิดของเมล็ดดูดกลืน ต่อให้ทั้งร่างกายและวิญญาณของเขาถูกทำลาย นางก็จะยังมีโอกาสรอดอยู่

แม่นางน้อยแทบคลั่ง แต่ก็หยุดหวังเป่าเล่อไม่ได้ นางทำได้เพียงมองหวังเป่าเล่อตะโกนคำสั่งออกมาเท่านั้น เมล็ดดูดกลืนเริ่มสั่นด้วยความไม่เสถียร ดอกบัวสีเขียวส่งสัญญาณว่ากำลังจะดับสลาย และกำลังจะทำลายตนเองไปพร้อมเมล็ดดูดกลืน โยวหรันเริ่มรู้สึกตัวเช่นกันว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้น ระดับพลังปราณของเขาเพิ่มสูงขึ้น พร้อมที่จะโต้กลับเมื่อถูกโจมตี… ตอนนั้นเอง ฝักกระบี่ในกายของหวังเป่าเล่อที่บัดนี้เป็นอาวุธเวทระดับเจ็ด และไม่ยอมตกอยู่ใต้อาณัติของเขาตั้งแต่นั้น ก็เริ่มสั่นเทาอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าฝักกระบี่จะรู้สึกได้ว่าเจ้าของของมันใกล้สิ้นชีพเต็มทน เส้นสีดำพุ่งออกจากตัวฝักที่สั่นสะท้าน!

เส้นสีดำที่ว่าคือลำแสงหนึ่งในหลายร้อยคำสาปที่หวังเป่าเล่อหลอมรวมเข้ากับฝักกระบี่ในกาย ระหว่างการหลอมฝักกระบี่ที่ดาวเอกของสำนักวังเต๋าไพศาล!

เส้นดังกล่าวพุ่งเข้าใส่เมล็ดดูดกลืนของหวังเป่าเล่อ ดูดกลืนพลังทำลายล้างที่สะสมเอาไว้ภายในเมล็ดเข้าไปจนหมดสิ้น แสงสีดำเรืองรองออกจากเส้นสีดำ มันพุ่งออกจากร่างของหวังเป่าเล่อ และปรากฏขึ้นตรงกลางระหว่างเขากับโยวหรัน!

นี่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด ก่อนหน้านี้โยวหรันได้เปรียบหวังเป่าเล่อ แต่เมื่อเห็นเส้นสีดำตรงหน้า ใบหน้าของชายชราก็ตื่นกลัวในทันที เขารู้สึกได้ถึงพลังงานที่อัดแน่นอยู่ภายในแสงนี้ จึงรีบล่าถอยและทำแม้กระทั่งยอมเสี่ยงดวงเคลื่อนย้าย

แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว…หวังเป่าเล่อกระอักเลือดออกมาชุดใหญ่ แต่ก็รู้สึกได้ถึงพลังจากฝักกระบี่ที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อครู่ ชายหนุ่มหอบหนัก ยกมือขวาขึ้นด้วยความยากลำบาก ก่อนตะโกนใส่โยวหรันที่กำลังถอยหนี

“ฆ่ามัน!”

ท้องฟ้าบริเวณตัวกระบี่สั่นสะเทือนทันทีที่มือของชายหนุ่มตกลง พร้อมคำพูดที่เอื้อนเอ่ย คำสาปมากมายแตกสลาย กระบี่สำริดเขียวโบราณสั่นสะท้าน เส้นสีดำพุ่งไปข้างหน้าไม่ต่างจากคมกระบี่ที่ทำลายสิ่งมีชีวิตได้ทุกชนิด ทะลุผ่านทุกอย่างที่ขวางทาง แม้แต่ความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุดก็ต้องสะเทือนเมื่อเจอมัน ความตกใจถึงขีดสุดเข้าครอบงำโยวหรันขณะที่เจ้าตัวกำลังพยายามเคลื่อนย้ายออกจากที่แห่งนั้น ในตอนนั้นเอง บางสิ่งในดวงตาของชายชราก็เปลี่ยนไป ร่างกายของเขากระตุกเล็กน้อยในเสี้ยววินาทีนั้น!

ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วมากจนทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็น แม้แต่หวังเป่าเล่อและแม่นางน้อยเองก็เช่นกัน เส้นสีดำพุ่งเข้าใส่โยวหรันเหมือนสายฟ้าฟาด ตัดผ่านร่างของชายชราไปในที่สุด!

เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปในอากาศ ตามด้วยความเงียบที่เข้าปกคลุมโดยฉับพลัน ร่างของโยวหรันถูกผ่าครึ่งอย่างคมกริบเป็นสองซีก เลือดสดๆ ทะลักออกจากทั้งสองส่วนนั้น หวังเป่าเล่อกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ร่างกายหมดสิ้นเรี่ยวแรงและสิ้นสติไปในที่สุด

แม่นางน้อยปรากฏกายขึ้น ใบหน้าซีดเผือด ร่างของนางพร่ามัวและแทบมองไม่เห็น นางพุ่งเข้ารับร่างของหวังเป่าเล่อไว้ทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจเมื่อเห็นสภาพของชายหนุ่ม แต่ก็โล่งใจไปในคราวเดียวกัน นางหันกลับไปมองร่างของโยวหรันที่ถูกผ่าครึ่ง และเห็นแสงดาวเรืองรองทอประกายระยิบระยับออกมาจากบาดแผลของร่างทั้งสองซีก สีหน้าของแม่นางน้อยเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจทันที!

“เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าหรือ”

แม่นางน้อยด้วยสั่น ความตกใจวาบเข้ามาในแววตา นางรีบอุ้มหวังเป่าเล่อหนีอย่างเร่งรีบโดยไม่ลังเล ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาลที่ด้ามกระบี่…แต่เป็นแท่นคงกระพันที่หวังเป่าเล่อตั้งใจจะไปเยือนตั้งแต่แรก!

………………………………………

บทที่ 664 ล่าชีวิต!
หวังเป่าเล่อเซถลาด้วยความอ่อนล้าจากการพยายามวิ่งเพื่อหนีออกจากบริเวณตัวกระบี่ ชายหนุ่มไม่สนใจแม้กระทั่งร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสของตนเอง เขาวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดพักด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเขามี

แต่ก่อนที่จะออกวิ่งนั้น หวังเป่าเล่อหยิบหุ่นเชิดมาวางไว้ตรงที่ที่เขาเคลื่อนย้ายมา และรีบหันหลังจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง

โชคดีที่หลังจากวิ่งไปได้สักครู่ หวังเป่าเล่อก็พบบริเวณที่เขาคุ้นเคย จนทำให้รู้ในที่สุดว่าตนเองอยู่ส่วนใดของบริเวณตัวกระบี่

ข้าไม่ได้ใกล้ด้ามกระบี่เลยแม้แต่น้อย… ชายหนุ่มหน้าซีด ใจหล่นวูบ จิตของชายหนุ่มหนักอึ้งเมื่อรู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด

เขามีสองทางเลือกเท่านั้น ทางแรกคือทำตามแผนการที่วางไว้ตอนแรก เดินหน้าต่อไปเพื่อกลับไปยังด้ามกระบี่ และมุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาลที่ที่เขาจะสามารถเคลื่อนย้ายออกจากกระบี่สำริดโบราณ กลับไปยังสหพันธรัฐบ้านเกิดได้ หรืออีกทางเลือกหนึ่ง คือเดินทางลึกเข้าไปในบริเวณตัวกระบี่เสียเลย!

ทางแรกนั้นดูดีกว่าและเป็นสิ่งที่เขาต้องการทำมากกว่า ทว่า…แม้จะดูง่ายและปลอดภัยกว่า หวังเป่าเล่อกลับรู้สึกว่าทางเลือกนี้อาจเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

หากโยวหรันรอดตายและมาตามล่าข้า ถึงอย่างไรข้าก็หนีไม่พ้นแน่ต่อให้กลับไปที่ด้ามกระบี่ก็เถอะ…

ข้าทำได้เพียงหวังให้มันตายไปแล้วเท่านั้น มันจะได้มาตามล่าข้าไม่ได้ ชายหนุ่มเงียบ สองจิตสองใจกับทางเลือกที่ตนเองมี แต่ความลังเลนี้ก็ไม่ได้อยู่กับเขานาน ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายวาบ เขาหันหลังกลับไปอีกทางในทันที มุ่งหน้าไปยังทิศที่ไม่ใช่ด้ามกระบี่ แต่ลึกเข้าไปในตัวกระบี่!

เลือดในกายไหลเวียนปั่นป่วน แต่ยังดีที่ร่างกายของหวังเป่าเล่อแข็งแรงมาก และความเร็วในการเยียวยาตนเองก็สูงเหลือเกินจากอำนาจของดอกบัวสีเขียว ชายหนุ่มจึงยังคงวิ่งด้วยความเร็วดังเดิมได้อยู่

แต่เขาก็ยังหยุดเลือดที่ไหลออกมาจากปากไม่ได้ หลังจากที่วิ่งอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็ยังกระอักเลือดออกมาไม่หยุด

ในเลือดที่กระอักออกมานั้นมีเศษเนื้อปนอยู่ด้วย เขาไม่รู้ว่าเศษเนื้อนั้นมาจากไหน แต่ความรู้สึกปั่นป่วนในกายกลับทุเลาลงทันทีที่กระอักเลือดกองนั้นออกมา ทว่าทันทีที่รู้สึกทุเลา ร่างกายของเขาก็กลับถูกครอบงำด้วยความมึนงง ความเจ็บปวดพุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ

ดูเหมือนภายในข้าจะเสียหาย… สีหน้าของหวังเป่าเล่อมืดมน เขาส่งจิตสัมผัสวิญญาณเข้าไปในกายของตนเอง และสรุปได้ว่าก้อนเนื้อนั้นน่าจะเป็นหนึ่งในอวัยวะภายในของเขา

เมื่ออ้วกเครื่องในของตนเองออกมา หวังเป่าเล่อก็รู้สึกเหมือนภายในกายขาดอะไรไป ความเหนื่อยอ่อนทวีขึ้นในจิตใจและแพร่กระจายไปทั่วร่าง ดวงตาของชายหนุ่มพร่ามัว

ความรู้สึกอยากนอนพักเข้าครอบงำจิตใจ ความอ่อนล้าถาโถมเข้าหาเหมือนคลื่นยักษ์ แต่ก่อนที่จะพ่ายแพ้ให้กับร่างกายที่ไม่เป็นใจ หวังเป่าเล่อก็กัดลิ้นตนเองเพื่อเรียกสติ ความเจ็บปวดทำให้เขากลับมาตื่นเต็มตาอีกครั้ง ลมหายใจหอบหนักปราศจากซึ่งม่านหมอกบัดบังจิตใจ

ข้าจะหยุดไม่ได้ ข้าจะมาหวังพึ่งดวงไม่ได้! หวังเป่าเล่อสูดหายเข้าลึก กัดฟันแน่น ก่อนวิ่งต่อไป เขาเลือกเข้าไปในบริเวณตัวกระบี่เพื่อหลีกหนีการโดนไล่ล่า ไม่ใช่เพราะเขาไม่อาจเดิมพันผลลัพธ์หากเลือกกลับไปที่ด้ามกระบี่ แต่เป็นเพราเขาไม่กล้าเดิมพันต่างหาก!

เพราะเขาจะไม่เหลือทางเลือกอีกเลยแม้แต่ทางเดียวหากแพ้เดิมพัน แต่หากเขาเลือกเข้าไปยังตัวกระบี่ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาอาจมีมากกว่า แต่โอกาสที่เขาจะรอดชีวิตก็มีมากกว่าเช่นกัน

นั่นเพราะคำสาปมากมายในตัวกระบี่ใช้ไม่ได้ผลกับเขา แต่ยังทรงพลังเต็มเปี่ยมกับผู้ที่ไล่ตามเขา!

แต่หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าโยวหรันแข็งแกร่งเพียงใด และมีลูกเล่นมากมายแอบซ่อนเอาไว้ หากโยวหรันไล่ล่าเขาจริงๆ หวังเป่าเล่อก็จะหวังพึ่งคำสาปเพื่อช่วยให้เขารอดตายไม่ได้อยู่ดี

ข้าต้องเพิ่มระยะทางระหว่างตัวเองกับโยวหรันให้มากขึ้นอีก จะได้มีเวลาเข้าไปยังตัวกระบี่ให้ลึกยิ่งขึ้น หากทำเช่นนั้น เป็นไปได้ว่าโยวหรันอาจจะติดตามข้าได้อย่างยากลำบาก แต่การจะเข้าไปลึกๆ ได้คงยากพอตัวเลยทีเดียว… หวังเป่าเล่อตาเป็นประกายวาบ ฟันเฟืองในหัวทำงานอย่างหนัก ชายหนุ่มยังคงมุ่งหน้าไปในทิศเดิม พุ่งตรงไปยังสถานที่ที่เขาจำได้อย่างรวดเร็ว

ไม่ว่าข้าจะเลือกทางไหน จะหนีหรือจะทำให้โยวหรันกลัวจนไม่กล้าไล่ตามมา ข้าก็ยังต้องเคลื่อนย้ายระยะไกลอีกครั้งอยู่ดี!

ข้าจะใช้การเคลื่อนย้ายที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในตัวกระบี่ หรือว่าจะใช้…แท่นคงกระพันก็ได้! ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างด้วยความมุ่งมั่น เขาจำได้ว่ามีแท่นคงกระพันอยู่ในทางที่กำลังมุ่งหน้าไป

แผนการระยะยาวของเขาคือการเดินทางไปที่แท่นคงกระพัน เพื่อเคลื่อนย้ายกลับไปยังด้ามกระบี่ และทำให้โยวหรันตามเขาต่อไม่ได้ ส่วนแผนการระยะสั้นของเขาคือการหาพื้นที่ที่กำลังจะเคลื่อนย้าย แล้วย้ายตนเองไปพร้อมพื้นที่นั้นเสียเลย!

หลังจากที่จัดระเบียบความคิดในสมองเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็กลืนโอสถเข้าไปอีกเม็ด และมุ่งหน้าต่อไป เสียงระเบิดก้องดังออกจากบริเวณที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นหลังออกจากเรือบินรบ โยวหรันยืนอยู่ตรงนั้น

หุ่นเชิดที่หวังเป่าเล่อทิ้งเอาไว้จับการปรากฏตัวของชายชราได้ในทันที มันระเบิดก่อนที่โยวหรันจะทันได้ทำอะไร โยวหรันเดินไปหาหุ่นเชิด มองชิ้นส่วนที่แหลกเป็นจุณด้วยสีหน้ามืดมิด

ร้ายกาจ เด็ดขาด ระมัดระวัง แถมยังพรั่งพร้อมด้วยกลเม็ดมากมาย…ดูเหมือนข้าจะประเมินไอ้หวังเป่าเล่อนี่ต่ำไป! แววสังหารทวีความรุนแรงขึ้นในดวงตาโยวหรัน เขาสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ เพื่อปล่อยกระบวนเวทออกมาตามหาตัวหวังเป่าเล่อ ก่อนจะเริ่มออกไล่ล่าในทันที โยวหรันมุ่งมั่นเป็นอันมากกับภารกิจนี้ คราวนี้…เขาจะไม่มีวันหยุดจนกว่าจะเห็นร่างไร้ลมหายใจของหวังเป่าเล่อ!

ในตอนที่โยวหรันจับเป้าหมายได้และกำลังไล่ตามหวังเป่าเล่ออยู่นั้น สีหน้าของหวังเป่าเล่อที่อยู่ไกลออกไปก็เต็มไปด้วยความตกใจ เขาทิ้งหุ่นเชิดเอาไว้เพื่อดูต้นทาง หากโยวหรันไม่ตามร่องรอยการเคลื่อนย้ายของเขามาจะเป็นการดีที่สุด แต่หากชายชราเลือกตามมาละก็ หวังเป่าเล่อก็จะรู้ได้ในทันที และมันก็ถือเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่ชายหนุ่มก็เตรียมรับมือเอาไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่แม้แต่จะหยุดชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงตัวตนของโยวหรันที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล หวังเป่าเล่อรีบเพิ่มความเร็วของตนเองขึ้นในทันที!

ชายหนุ่มกำลังทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง และนี่ก็ไม่ใช่เวลาให้มานั่งกังวลใจ เขาโยนความกลัดกลุ้มทิ้งไปเนื่องจากอาจทำให้อาการบาดเจ็บทรุดหนักลงอีก และเพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้งด้วยวิชากระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลง ชายหนุ่มกลายเป็นเส้นสายฟ้าที่เดินทางไปข้างหน้า เขาเลิกตามหาพื้นที่โดยรอบที่กำลังจะเคลื่อนย้าย และหันไปมุ่งมั่นกับการไปให้ถึงแท่นคงกระพันแทน

เวลาคือสิ่งสำคัญที่สุด ไม่มีที่สำหรับเรื่องอื่นอีกแล้วในตอนนี้ หวังเป่าเล่อเพิ่มความเร็วขึ้นถึงขีดสุด เขาทะยานผ่านคำสาปอันแล้วอันเล่า ทะลุผ่านทุกสิ่งไปโดยง่ายดาย

คำสาปหมดฤทธิ์ทันทีที่หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าหา ก่อนจะกลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อเขาผ่านมันไปได้ หวังเป่าเล่อตรงเข้าสู่จุดหมายอย่างรวดเร็ว

โยวหรันมีพลังปราณแข็งแกร่งที่ทำให้เขาทะลุผ่านจุดต้องสาปได้เช่นกัน แม้คำสาปจะระเบิดใส่ แต่ก็ทำอันตรายเขาได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น กระนั้นจำนวนของจุดต้องสาปทั้งหมดก็ยังมีมากเกินไป จึงทำให้เกิดการล่าช้าไปบ้าง ความเร็วของเขาที่ควรจะมากกว่าหวังเป่าเล่อ ถูกคำสาปมากมายเหล่านี้ชะลอลงไปนั่นเอง

นอกจากนี้กฎบริเวณตัวกระบี่ยังยุ่งเหยิง ทำให้เกิดความไม่แน่นอนยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการเคลื่อนย้ายของพื้นที่ โยวหรันต้องใช้กระบวนเวทของตนในการติดตามหวังเป่าเล่อต่อ และทำได้เพียงย่นระยะทางระหว่างตนเองกับหวังเป่าเล่อได้เท่านั้น แต่เข้าถึงตัวอีกฝ่ายไม่ได้ในทันที!

ระยะห่างระหว่างโยวหรันและหวังเป่าเล่อหดแคบลงเรื่อยๆ ความกระวนกระวายเข้าเกาะกุมจิตใจขณะกำลังไล่ล่าเป้าหมายของตน เมื่อโยวหรันเห็นหวังเป่าเล่ออยู่ในระยะไกล เขาก็กัดฟันใช้การเคลื่อนย้ายเพื่อพุ่งเข้าไปหาชายหนุ่ม แทนการทะลุผ่านคำสาปมากมายนับไม่ถ้วนที่อยู่ระหว่างทาง

โยวหรันหายตัวไปและมาปรากฏอีกครั้งที่สามสิบเมตรห่างจากหวังเป่าเล่อ สีหน้าของเขาซีดเผือด เขาโบกมือไปข้างหน้าหมายคว้าตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้ แต่ก็ต้องล่าถอยในทันที

พื้นที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้ยุบตัวลง รอยแยกมากมายปรากฏขึ้นแทนที่ในบรรยากาศพร้อมที่จะฉีกทำลายทุกสิ่งเป็นชิ้นๆ แม้โยวหรันจะเป็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลัง แต่ก็ยังตกใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอยู่ดี

หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นโบกเพื่อส่งอาวุธเวทออกไปเบื้องหลัง อาวุธเวทระเบิดตามคำสั่งของเขาในทันที คลื่นพลังปะทะเข้ากับแรงคว้าของโยวหรัน ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง การโจมตีของโยวหรันเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เขาเองก็กันเอาไว้ได้ด้วยอาวุธเวท กระนั้นแรงปะทะก็ยังทำให้อาการบาดเจ็บของเขาแย่ลง

แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ เขารีบเพิ่มความเร็วขึ้นอีกและสร้างผนึกฝ่ามือขณะหลบหนีไปด้วย ก้อนสายฟ้าปรากฏขึ้นมากมาย ชายหนุ่มโยนสายฟ้าเข้าใส่จุดต้องสาปไปตามทางที่ผ่าน ส่งให้มันระเบิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ เขาตั้งใจจะใช้กลเม็ดนี้ในการทำให้โยวหรันติดตามตนเองได้ช้าลง และเพิ่มความโกลาหลให้มากขึ้นไปอีก

บริเวณตัวกระบี่เต็มไปด้วยความวุ่นวายมากมายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ราวกับเป็นภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดอยู่รอมร่อ หวังเป่าเล่อเพิ่มเชื้อเพลิงให้กับเปลวไฟ ทำให้ความสับสนอลหม่านทวีความรุนแรงขึ้น พร้อมด้วยทะเลเพลิงที่โกรธเกรี้ยว

“ไอ้หวังเป่าเล่อ!” สีหน้าของโยวหรันมืดหม่นและดุร้าย เขาหลบหลีกแรงระเบิดไปได้ แต่ก็ทำให้ระยะห่างระหว่างตัวเขากับหวังเป่าเล่อกว้างขึ้นเช่นกัน ตอนนี้โยวหรันไม่กล้าเคลื่อนย้ายสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว การเคลื่อนย้ายก่อนหน้านี้ทุลักทุเลมากจนเขาเกือบเหยียบลงบนจุดที่ไม่ควรเหยียบเพราะกฎแห่งความวุ่นวายที่ปกครองบริเวณตัวกระบี่นี้ หากเขาเปลี่ยนที่ที่ตนเองจะปรากฏกายกะทันหัน ก็จะทำให้เกิดการยุบตัวของบรรยากาศอีก หลังจากตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ โยวหรันก็เรียนรู้ว่าตนเองควรระมัดระวังให้มากกว่านี้

บทที่ 663 หนีได้อย่างหวุดหวิด!
ถ้ำอัดแน่นไปด้วยพลังจากการทำลายตนเองของจักรพรรดิพินาศ ที่ส่งคลื่นเข้าปะทะกับพลังการระเบิดศีรษะทั้งสองของโยวหรัน แรงปะทะนี้ก่อให้เกิดพลังทำลายล้างมหาศาล หากเกิดขึ้นที่อื่นอาจไม่มีผลร้ายแรงถึงเพียงนี้

ภายในเสาค้ำที่อยู่ในถ้ำเต็มไปด้วยเลือดและเนื้อจำนวนมาก ซึ่งถูกกลั่นเป็นพลังงานเพื่อใช้ในการเยียวยาสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นและชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะ แต่นั่นไม่ใช่หน้าที่หลักของเสาค้ำนี้แต่อย่างใด!

ในสมัยที่เรือบินรบเต๋ามรณะยังรุ่งโรจน์ เสาค้ำและเส้นเลือดเนื้อมีไว้ใช้ส่งพลังงาน ที่เกิดมาจากการบดกระดูกของโม่หิน พลังงานนี้จะถูกส่งไปให้ผู้ใช้ชุดคลุมซึ่งจะนำมันไปบังคับทิศทางเรือบินรบ!

เสาค้ำนี้เปรียบเสมือนเครื่องยนต์ที่อยู่ยั้งยืนยงนั่นเอง!

แรงปะทะระหว่างพลังของกระบวนเวทจักรพรรดิพินาศของหวังเป่าเล่อ และการระเบิดศีรษะของโยวหรัน ทำให้เสาค้ำพังทลาย ทั้งยัง…ทำลายเครื่องยนต์ที่อยู่ยั้งยืนยงไปพร้อมๆ กันด้วย!

และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้พลังรุนแรงนี้เพิ่มขนาดขึ้นอย่างไม่อาจคาดการณ์ได้ แรงระเบิดไม่ได้เกิดขึ้นภายในถ้ำเท่านั้น แต่ยังพุ่งผ่านเสาค้ำเข้าไปในเส้นเลือดมากมายที่ชั้นสองของเรือบินรบ!

เส้นเลือดเนื้อมากมายระเบิดกระจุยกระจายตามการพังทลายของเสาค้ำ ส่งผลให้ชั้นสองทั้งชั้นสั่นสะเทือน รอยแตกเริ่มปรากฏและแยกกว้างขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเสาค้ำก็พังทลายลงตามระเบียบ

เสียงระเบิดดังผ่านอากาศตามมา พื้นดินยุบตัว บริเวณชั้นสองของเรือได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ผู้ฝึกตนที่กำลังขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดบนชั้นสองตกใจเป็นอันมากกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเฟิ่งชิวหรัน นางอ่อนล้าจากการถูกศัตรูไล่ล่า และได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบจะสิ้นสติอยู่รอมร่อ มีเพียงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าเท่านั้นที่ทำให้นางยังคงยืนหยัดอยู่ได้

ธรณียุบตัวลง หินกล้าแตกสลาย เศษดินเศษทรายกระจุยกระจายไปในอากาศ โลกทั้งใบสั่นสะเทือน เฟิ่งชิวหรันและผู้ที่ตามล่านางต่างได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ครั้งนี้ สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตกใจ ขณะมองแรงระเบิดมากมายที่ปะทุขึ้นรอบกายพร้อมๆ กัน

เส้นเลือดเนื้อที่เชื่อมต่อโดยตรงกับเสาค้ำกระจุยลงมาจากท้องฟ้า ผลกระทบนี้ถูกส่งต่อไปยังชั้นหนึ่งของเรือเช่นกัน

โลกทั้งใบเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ท้องฟ้าและพื้นดินแตกสลาย ชั้นแรกของเรือบินรบเองก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างกัน เรือบินรบสั่นสะเทือนไปทั้งลำเมื่อแท่นสังเวยของทุกชั้นถูกทำลาย!

เส้นเลือดทุกเส้นไหลเชื่อมกับแท่นสังเวยเหล่านี้ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับเส้นเลือดทำให้การบดกระดูกหยุดชะงัก อสูรร้ายที่กำลังดึงคันโยกถูกกระชากถอยหลังอย่างรุนแรง

ขณะที่กำลังชักเย่อกันอยู่นั้น คันโยกไม้ยักษ์ก็เริ่มมีรอยร้าวให้เห็น และแล้วคันโยกทั้งสามก็หักสะบั้นลง!

คันโยกถูกทำลาย อสูรร้องคำราม ส่วนพื้นดินก็สั่นไหว โลกทั้งสามของชั้นแรกสะท้าน เรือบินรบเต๋ามรณะสะเทือน

การพังทลายของเสาค้ำและเส้นเลือดรวมถึงโม่หินที่ได้รับผลกระทบตามมาเป็นทอดๆ ทำให้คลื่นแทรกของเรือบินรบอ่อนกำลังลงจนสามารถเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ได้ในที่สุด

เจ้าเยี่ยเหมิงที่ก่อนหน้านี้ซ่อนตัวอยู่ที่ชั้นสองและกำลังหนีตายจากแผ่นดินยุบ สัมผัสได้ถึงสัญญาณที่อ่อนลงในทันที ความตกใจวาบเข้ามาในดวงตาของนาง นางมองไปรอบกายแต่ก็ไม่เห็นหวังเป่าเล่อ

เจ้าเยี่ยเหมิงไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่ออยู่แห่งหนใด หรือกระทั่งว่าเกิดอะไรขึ้นจึงทำให้ภัยพิบัติขนาดใหญ่อุบัติขึ้นเช่นนี้ นางมองโลกทั้งใบล่มสลายต่อหน้าต่อตา หลังจากที่เงียบอยู่สักพัก เจ้าเยี่ยเหมิงก็ขบกรามแน่นแล้วบิดยันต์เคลื่อนย้ายของตนเองโดยไม่ลังเล

แสงเจิดจ้าวาบขึ้นพร้อมร่างของเจ้าเยี่ยเหมิงที่จากเรือบินรบไปในที่สุด นางกลับมายืนอยู่นอกเรือบินรบ เหนือทะเลเพลิงตรงบริเวณด้ามกระบี่

นางหายใจสะดุดไปชั่วครู่ สีหน้าดูมึนงง แต่ไม่นานนักก็ระเบิดความเร็วออกมา มุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาลในทันที และพยายามติดต่อผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐไปด้วย!

เจ้าเยี่ยเหมิงไม่ใช่คนเดียวที่หนีออกมาได้สำเร็จ หลายคนก็หนีออกจากเรือบินรบได้เช่นกัน รวมถึงตัวเฟิ่งชิวหรันด้วย แต่นางไม่ได้โชคดีเท่าเจ้าเยี่ยเหมิง เฟิ่งชิวหรันมาโผล่ที่บริเวณตัวกระบี่ นางได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างการต่อสู้ในเรือบินรบ และกระอักเลือดชุดใหญ่หลังจากที่ออกมาได้ เฟิ่งชิวหรันสลบไปทันที ร่างร่วงลงไปในทะเลเพลิงเบื้องล่าง

แม้เฟิ่งชิวหรันจะได้รับบาดเจ็บอาการปางตาย แต่สัญชาตญาณก็ส่งให้นางเรียกเกราะป้องกันแสงออกมาปกป้องร่างกายของตนเองไว้ไม่ให้ถูกเผาไหม้กลายเป็นจุณ

ผู้รอดชีวิตหนีตายเมื่อโอกาสมาเยือน ส่วนหวังเป่าเล่อก็สลับที่กับร่างอวตารของตนได้ทันท่วงที เมื่อกลับออกมาที่ชั้นสอง ชายหนุ่มก็กระอักเลือดยกใหญ่ ร่างกายบอบช้ำสาหัส แต่ยังดีที่ร่างกายของชายหนุ่มแข็งแรงยอดเยี่ยมเหนือใคร ทั้งยังมีดอกบัวสีเขียวที่ช่วยเพิ่มอัตราการเยียวยาตนเองได้มากกว่าคนทั่วไป แม้ตอนนี้หวังเป่าเล่อจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ได้หมดสติไปแต่อย่างใด ชายหนุ่มรีบหยิบยันต์เคลื่อนย้ายของตนเองออกมาเพื่อหลบหนีในทันที หลังจากสัมผัสได้ว่าคลื่นแทรกอ่อนกำลังลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าตนเองจะทำสำเร็จหรือไม่ แต่นี่เป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ เขาไม่มั่นใจว่าการโจมตีสุดท้ายกำจัดโยวหรันสำเร็จหรือเปล่า

โอกาสใหญ่ขนาดนั้นข้ายังทำได้แค่ทำให้หมอนั่นบาดเจ็บสาหัส แถมยังมีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม้รู้สิ้นคนอื่น และสมาชิกสำนักวังเต๋าไพศาลที่ถูกล้างสมองอยู่บนเรือบินรบนี้อีก… หวังเป่าเล่อสีหน้ามืดมน เขาบิดยันต์เคลื่อนย้าย ร่างกายห้อมล้อมไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้าในทันที ชายหนุ่มตื่นเต้นเป็นอันมากก่อนหายไปพร้อมระเบิดแสงสว่างไสว

เขามาปรากฏตัวอีกครั้งนอกเรือบินรบเต๋าไพศาล…ตรงบริเวณตัวกระบี่!

คนอื่นอาจมองว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่มีอันตรายซุกซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง แต่บริเวณตัวกระบี่นี้เปรียบเสมือนสวรรค์สำหรับหวังเป่าเล่อซึ่งดำรงตำแหน่งศิษย์อุปถัมภ์ เขารีบกลืนเลือดที่กบปากลงไปทันทีแล้วหยิบโอสถกินตามเข้าไป หลังจากที่รู้ว่าตนเองมาอยู่ที่ใด ชายหนุ่มก็รีบหนีออกจากบริเวณนี้ทันที เขาตั้งใจจะกลับไปที่สำนักวังเต๋าไพศาลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และตั้งใจจะใช้วงแหวนเคลื่อนย้ายหนีออกจากกระบี่สำริดเขียวโบราณเพื่อกลับไปยังสหพันธรัฐ มีเพียงทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เขาปลอดภัย อย่างน้อยก็ชั่วขณะหนึ่ง

แต่แผนการของเขาดูเหมือนจะไม่ราบรื่นนัก หวังเป่าเล่อเดาถูกว่าโยวหรันยังไม่ตาย นอกจากนี้ชายชราเองยังจงเกลียดจงชังชายหนุ่มเป็นอันมาก จนถึงขนาดที่ว่าไม่ยอมปล่อยให้เขารอดชีวิตไปได้แน่นอน โยวหรันคำรามโหยหวนอย่างโกรธเกรี้ยวออกมาจากสิ่งที่เคยเป็นถ้ำทะเลสาบสีทองที่ชั้นสาม ในตอนเดียวกับที่หวังเป่าเล่อเคลื่อนย้ายออกไปจากเรือบินรบ ร่างหนึ่งกระโจนออกมาท่ามกลางคลื่นพลังปราณที่ไหลทะลัก จนทำให้หินระเบิดกระจุยกระจาย

ชายผู้นั้นมีสภาพดูไม่ได้ แขนที่เคยมีหกข้าง บัดนี้เหลือเพียงสาม ศีรษะที่เคยมีสาม บัดนี้เหลือเพียงหนึ่ง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยแตกร้าวมากมาย จนเห็นเลือดเนื้อและกระดูกที่อยู่ภายใน

ร่างนี้คือ…โยวหรันที่หนีความตายมาได้ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดนั่นเอง!

โยวหรันหายใจหอบหนัก หน้าอกกระเพื่อมถี่ขณะมองทุกสิ่งทุกอย่างถล่มทลายลงต่อหน้าต่อตา เขาเงยหน้าขึ้นมองรอยแยกที่เปิดออกเป็นทางที่ซึ่งภายในเต็มไปด้วยเลือดเนื้อ ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำเมื่อเห็นสภาพตรงหน้า ความเสียหายนี้ซ่อมแซมได้ แต่ต้องใช้เวลาพอสมควรเลยทีเดียว ต่อให้เขาซ่อมทุกอย่างให้กลับมาเหมือนเดิมได้อีกครั้ง เรือบินรบลำนี้ก็จะไม่กลับไปสภาพดีดังเดิมอย่างที่เคยเป็น โยวหรันร้องโหยหวนด้วยความโกรธ!

“ไอ้หวังเป่าเล่อ!” ความเกลียดชังหวังเป่าเล่อเข้ากระดูกดำฝังรากลึกในจิตใจของโยวหรันจนไม่มีอะไรมาวัดได้อีกต่อไป เขามาปรากฏตัวตรงจุดที่หวังเป่าเล่อเคลื่อนย้ายหนีไปด้วยดวงตาแดงก่ำ สร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆโดยไม่ลังเลด้วยมือขวา และดูดเอาพลังชีวิตของตนเองออกมาเพื่อย้อนเวลากลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น!

ร่างมายาปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา โยวหรันเห็นหวังเป่าเล่อทำลายยันต์เคลื่อนย้ายของตนและเคลื่อนย้ายจากไป ชายชรากระชากแขนของตนออกมาและทำลายโดยไม่ลังเล พลังชีวิตจากแขนที่ถูกทำลายกลายสภาพเป็นหมอก ที่เข้าล้อมร่างมายาของหวังเป่าเล่อเอาไว้!

แน่นอนว่าหมอกนั้นไม่สามารถจับหวังเป่าเล่อตัวจริงเอาไว้ได้ เพราะชายหนุ่มจากไปไกลแล้ว สิ่งที่หลงเหลืออยู่เป็นเพียงร่องรอยของหวังเป่าเล่อ แต่เท่านี้ก็เพียงพอให้โยวหรันแกะรอยอีกฝ่ายได้แล้ว ชายชราตั้งใจจับการกระเพื่อมของกระแสปราณที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้าย หากตามรอยนั้นไป เขาก็จะสามารถเคลื่อนย้ายตนเองไปที่ที่หวังเป่าเล่อไปได้โดยการใช้กระบวนเวทของตนเอง!

ดวงตาของโยวหรันฉายแสงดุดัน ทันทีที่พลังชีวิตของเขาคว้าร่างมายาของหวังเป่าเล่อไว้ได้!

“เจอตัวแล้ว!”

โยวหรันก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและอันตรธานหายไป!

บทที่ 662 จักรพรรดิพินาศ!
หวังเป่าเล่อต้องลองดูสักตั้ง ไม่มีทางอื่นอีกแล้วในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้!

ชายหนุ่มไม่ใช่คนขลาด สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตนับครั้งไม่ถ้วนในสหพันธรัฐยืนยันความจริงข้อนี้ได้เป็นอย่างดี ภายใต้บุคลิกที่ดูมีไมตรีจิตรของเขานั้น คือธาตุแท้ที่เข้มข้นไปด้วยความโหดเหี้ยมต่อศัตรู และความอำมหิตยิ่งกว่าต่อตัวเอง!

ดวงตาของหวังเป่าเล่อเอ่อล้นด้วยความบ้าคลั่งขณะมองโยวหรันปล่อยการโจมตีใส่ตน ชายหนุ่มรู้ดีว่าข้อจำกัดด้านพลังปราณของตนเองในตอนนี้ ทำให้เขายังใช้วิชาพรากจุติและห้าโทษทัณฑ์ไม่ได้เต็มที่ แม้จะใช้พลังปราณจากชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะช่วยก็ตาม

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้กระบวนเวททั้งสองในตอนนี้ เพื่อเผด็จศึกโยวหรัน นั่นทำให้เขามีทางเลือกเหลืออยู่เพียงทางเดียวเท่านั้น!

ซึ่งก็คือ… เกราะจักรพรรดิลักอัคคี!

แม้เกราะของเขาจะแตกสลายไปแล้ว แต่หวังเป่าเล่อยังมีกระบวนเวทลับอยู่อีกอันหนึ่ง ที่ถือเป็นไพ่ตายของเขาเลยก็ว่าได้ กระบวนเวทนี้คือกำไรที่งามที่สุดที่เขาเสาะหามาได้บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ!

กระบวนเวทนี้มีนามว่า…กระบวนเวทจักรพรรดิพินาศ!

กระบวนเวทจักรพรรดิพินาศนี้ไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนครั้งที่เขาระเบิดเกราะออก แต่เป็นกระบวนเวทดั้งเดิมที่สืบทอดมาตามสายวิชาของกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิ ผู้ใช้ต้องเสียสละเกราะจักรพรรดิที่ใช้เวลาสรรค์สร้างมาเป็นเวลานานด้วยความยากลำบาก บีบอัดพลังปราณนั้นเข้าด้วยกันผ่านวิธีการพิเศษ และปล่อยพลังที่รุนแรงจนยากเกินจะหยั่งถึงใส่คู่ต่อสู้

พลังโจมตีนี้รุนแรงมหาศาลจนทำให้ทั้งสวรรค์และผืนดินต้องสั่นสะเทือน และสะท้อนใส่ทั้งผู้ใช้กระบวนเวทและเป้าหมาย หวังเป่าเล่อคงไม่บ้าบิ่นถึงขั้นใช้วิชานี้ในยามปกติ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออยู่แล้วจริงๆ

หากเขาพยายามหนี ความตายย่อมตามมาหลอกหลอนอย่างแน่นอน หากเขาไม่ลองเสี่ยงดวงต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตตนเองเอาไว้ตอนนี้…แล้วจะมีโอกาสได้ทำเช่นนั้นอีกเมื่อไรกันเล่า

ความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัวหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มส่งพลังปราณของตนเข้าไปยังเกราะจักรพรรดิลักอัคคีทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังปลุกพลังขั้นสูงสุดที่ชุดเกราะสั่งสมเอาไว้ออกมาอีกด้วย!

เขาส่งแรงใจทั้งหมดเข้าไปในชุดเกราะ ปลดปล่อยพันธนาการที่รั้งพลังที่แท้จริงของตนเองเอาไว้เสียหมดสิ้น ร่างกายที่ผ่ายผอมลงมาก บัดนี้ซูดซีดเหลือเพียงหนังติดกระดูก!

ดวงตาของหวังเป่าเล่อวาวโรจน์ แสงสว่างเจิดจ้าที่ชุดเกราะส่งออกมา บัดนี้สว่างไสวเหมือนดาวฤกษ์ที่กำลังเผาไหม้ เมื่อโยวหรันเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มก็ตะโกนออกมาในทันที!

“ปลดชุดเกราะ!”

เสียงคำรามของชายหนุ่มดังก้องสะท้อนไปทั่วผนังถ้ำ ชุดเกราะที่ส่องแสงโชติช่วงแยกออกจากร่างของเขา บีบตัวควบแน่นต่อหน้าต่อตา กลายเป็นลูกบาศก์ขนาดใหญ่ที่สร้างมาจากเนื้อและเส้นปราณโลหิต!

บัดนี้ชุดเกราะจักรพรรดิดูเหมือนกล่องที่สร้างมาจากเส้นเอ็นมากมาย เส้นปราณสีโลหิตว่ายวนอยู่ภายใน ก่อกำเนิดเป็นลูกบอลทรงกลมที่ห่อหุ้มแขนกระดูกอาวุธเทพเอาไว้ ทันทีที่ลูกบาศก์นี้ปรากฏ ความว่างเปล่ามืดมิดรอบข้างก็แตกสลายกลายเป็นเศษเสี้ยว กระแสพลังปราณรุนแรงน่ากลัวพัดโหมออกจากลูกบาศก์สีโลหิต

พลังปราณนั้นรุนแรงมากเสียจนโยวหรันยังต้องผงะ รูม่านตาของชายชราหดแคบ หัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิดอยู่ในอก เขาทิ้งความคิดที่จะทดสอบหวังเป่าเล่อไปในทันที ก่อนล่าถอยอย่างรวดเร็วเพื่อหลบแสงเจิดจ้าจากลูกบาศก์ที่กำลังส่งพลังทำลายล้างออกมา

โยวหรันเกรงกลัวพลังปราณเข้มข้นที่ชุดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีของหวังเป่าเล่อปล่อยออกมาอย่างเห็นได้ชัด พลังนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างจากคลื่นพลังปราณมหาศาลที่หวังเป่าเล่อสำแดงออกมาก่อนหน้านี้ ปริมาณน้อยกว่าก็จริง แต่แข็งแกร่งกว่าอย่างแน่นอน

ราวกับว่า…พลังแรกดูห่างเหิน แต่อีกพลังดูใกล้ชิดรุนแรงกว่า พลังแรกเปรียบเสมือนดวงดาวที่ระเบิดออกอย่างไร้ร่องรอย ส่วนอีกพลังคือแผ่นดินที่ยุบตัวลงใต้เท้าของผู้ถูกโจมตี!

ทั้งสองพลังนี้ทำให้โยวหรันหัวใจเต้นระส่ำ แต่พลังที่สองที่เห็นอยู่ตรงหน้า ทิ้งร่องรอยความสั่นสะท้านเอาไว้มากกว่า เนื่องด้วยภาพน่ากลัวของลูกบาศก์ที่กำลังทอแสงจ้า!

โยวหรันรีบถอยหนีทันทีตามสัญชาตญาณ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เขาต้อนหวังเป่าเล่อเสียจนมุม จนทำให้ชายหนุ่มไม่ยอมปล่อยให้เขาจากไปง่ายๆ นอกจากนี้ตัวหวังเป่าเล่อเองยังรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสเดียวของเขาที่จะจัดการโยวหรัน!

ดวงตาของหวังเป่าเล่อทอแสงแรงกล้า ชายหนุ่มตะโกนออกมา

“ครองกายา!”

โยวหรันถอยกรูดด้วยความตกใจเมื่อได้ยินชื่อกระบวนเวท ลูกบาศก์เกราะจักรพรรดิลักอัคคีระเบิดในทันที ไม่ได้ปะทุออกเป็นแรงระเบิดปกติ แต่กลับแยกสลายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับสิบ และพุ่งเข้าไปล้อมศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเอาไว้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากและต่อต้านทุกกฎที่เรือบินรบวางเอาไว้ เกราะจักรพรรดิที่แตกตัวออกพุ่งเป้ามาที่โยวหรัน ไม่ว่าจะหนีไวเพียงใด ก็ไม่มีวันหนีได้พ้น!

ภายในพริบตา เศษเกราะก็เข้าประชิดตัวชายชราทั้งด้านบน ด้านล่าง ด้านหน้า ด้านหลัง ซ้ายและขวา ก่อนค่อยๆ บีบตัวเข้าหากันจนกักขังเขาเอาไว้ภายใน!

ความไวของเหตุการณ์นี้ เริ่มตั้งแต่ตอนที่โยวหรันตัดสินใจเลิกทดสอบหวังเป่าเล่อ ตอนที่หวังเป่าเล่อโต้กลับอย่างกล้าหาญและเจ็บแสบ จนถึงตอนที่ชายชราถูกขังเอาไว้ในเศษชุดเกราะ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายพริบตาเท่านั้น ตัวโยวหรันเองดูเหมือนตกใจถึงขีดสุดแล้ว เขาไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่าหนีออกไปไม่ได้ ก็รีบกัดลิ้นตนเองทันที ศีรษะด้านซ้ายและขวาระเบิดพร้อมกัน!

นี่คือหนึ่งในกระบวนเวทติดตัวของตระกูลไม่รู้สิ้น และไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้เห็น กระนั้นชายหนุ่มก็ยังหยุดโยวหรันไม่ได้ ความเหี้ยมโหดในดวงตาของชายหนุ่มรุนแรงขึ้น เขารีบปล่อยกระบวนเวทขั้นที่สองของวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิในทันที!

“เก้าทบ!”

ทันทีที่สั่งจบ เศษลูกบาศก์ที่รายล้อมโยวหรันเอาไว้ก็เริ่มพับทบกัน เปลี่ยนสภาพจากสามมิติไปเป็นสองมิติ จนกลายเป็นระนาบหนึ่งมิติในที่สุด!

ภาพนี้แปลกประหลาดมาก ร่างโยวหรันถูกประทับอยู่บนระนาบแบนคล้ายกระดาษหนึ่งมิติ ร่างของเขาเริ่มแสดงสัญญาณว่าจะหายไป แต่หวังเป่าเล่อไม่หยุดเพียงเท่านั้น กระดาษนี้พับทบเข้าหากันอีกครั้ง!

สัญญาณว่าชีวิตของโยวหรันใกล้มาถึงจุดจบเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนที่กระดาษกำลังจะพับทบกันอีกครั้งนั้นเอง เสียงระเบิดก็ปะทุขึ้น กระดาษถูกฉีกออกจากภายในด้วยแรงมหาศาล โยวหรันระเบิดศีรษะทั้งสองของตนเองออก เพื่อหลบหนีออกจากกรงขังหนึ่งมิติ และรอดตายได้อย่างหวุดหวิด

หวังเป่าเล่อกระอักเลือดออกมาชุดใหญ่ เขาไม่อยากยอมรับว่าโยวหรันหนีการโจมตีของตนออกมาได้ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ความแตกต่างด้านพลังของทั้งสองนั้นมากเกินไป แม้เขาจะมีกระบวนเวทเยี่ยมยอดอยู่มากมายที่ทำให้โยวหรันตกใจ แต่ก็ทำได้เพียงสร้างอาการบาดเจ็บให้คู่ต่อสู้เท่านั้น การสังหารอีกฝ่ายดูเป็นเรื่องยากเหลือเกิน!

ถ้าเช่นนั้น… หวังเป่าเล่อมองระนาบหนึ่งมิติที่ระเบิดและโยวหรันที่หนีความตายออกมาได้ ก่อนตัดสินใจว่าต้องไปให้สุดทาง เขาตะโกนอีกครั้งเพื่อปล่อยท่าสุดท้ายของกระบวนเวท

“จักรพรรดิพินาศ!”

พลังรุนแรงร้ายกาจระเบิดออกมาจากชิ้นส่วนกระดาษแต่ละชิ้นที่โดนฉีกทำลาย แรงระเบิดนั้นทรงพลังมากเสียจนสร้างกระแสพลังงานให้พุ่งออกมาเป็นริ้วๆ ไหลบ่าเข้าท่วมทุกสิ่งทุกอย่างในถ้ำเหมือนน้ำเชี่ยวกราก!

ทั่วทั้งถ้ำสั่นสะเทือนเหมือนสายฟ้ากระหน่ำที่ไม่มีวันจบสิ้น ราวกับสัตว์อสูรจากสวรรค์กำลังคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ร่างของชายหนุ่มสั่นสะท้าน กระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ แล้วล่าถอยไปข้างหลัง คลื่นพลังปราณพวยพุ่งออกมาโดยมีเขาเป็นเป้าหมาย หวังเป่าเล่อที่หน้าซีดเผือดรีบใช้กระบวนเวทสลับที่กับร่างอวตารของตนเองในทันที!

ตอนนั้นเองมือโชกเลือดก็พุ่งออกจากใจกลางของเกราะจักรพรรดิ คว้าตัวชายหนุ่มเอาไว้ ทันใดนั้น แสงนุ่มนวลก็สว่างขึ้นทันทีที่มือนั้นยื่นออกมา แม่นางน้อยปรากฏกาย นางชี้มือออกไปข้างหน้า ลำแสงสีขาวพุ่งออกจากจักรพรรดิพินาศ กระโจนเข้าตรงกลางระหว่างแม่นางน้อยและมือโชกเลือดขนาดยักษ์ สิ่งนั้นก็คือ…แขนกระดูกอาวุธเทพที่เชื่อมเข้ากับเกราะจักพรรดิของหวังเป่าเล่อนั่นเอง!

แม่นางน้อยและมือยักษ์โชกเลือดเชื่อมต่อถึงกันผ่านแขนกระดูกจากอาวุธเทพในทันที เสียงระเบิดกึกก้องดังขึ้นจากแขนอาวุธเทพพุ่งสู่สรวงสรรค์ เสียงฮึดฮัดเบาๆ ดังออกจากจักรพรรดิพินาศ ใบหน้าของแม่นางน้อยซีดเผือด นางหายใจออกมาเป็นไอสีเขียว ร่างที่โผล่ให้เห็นเป็นตัวเริ่มสั่นสะท้านและจางลงในระดับหนึ่ง แม่นางน้อยก้าวถอยไปด้านหลัง ดึงแขนกระดูกอาวุธเทพมาข้างๆ หวังเป่าเล่อ

การปรากฏตัวของนางพร้อมการโจมตีนั้น ทำให้หวังเป่าเล่อมีเวลาสลับร่างกับร่างอวตารของตนเองได้ทันท่วงที ร่างอวตารเข้ามาแทนที่ร่างจริงที่อยู่ในถ้ำในที่สุด!

แรงปะทะจากจักรพรรดิพินาศพุ่งเข้าใส่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ ทันทีที่มันปรากฏขึ้นแทนที่เจ้าของร่างจริง หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาตอบโต้แม้แต่น้อย ร่างอวตารของเขาถูกพลังดึงเข้าไปและสลายกลายเป็นผุยผงในทันที!

แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ท่ามกลางเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวเหมือนสัตว์อสูร คลื่นยักษ์ซัดขึ้นมาจากทะเลสาบสีทองและระเหยหายไปทันทีที่เข้าปะทะอากาศ ผนังสลายกลายเป็นเถ้าธุลีในทันที เสาค้ำขนาดยักษ์ที่ห้อยย้อยลงมาจากเพดาน แม้จะเปลี่ยนรูปร่างและเยียวยาตนเองได้ด้วยความเร็วสูง ก็ยังมลายหายไปสิ้น เสานั้นพังครืนลงมาในทันที ส่งให้แรงระเบิดพุ่งพรวดขึ้นไปตามท่อเลือดเนื้อเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ทำให้พลังทำลายล้างพุ่งออกจากถ้ำ!

ถ้ำทั้งหมดสลายกลายเป็นผุยผง แรงระเบิดกระจายตัวออกเป็นวงกว้างในรัศมีอย่างน้อยสามสิบเมตร มีเพียงชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะเท่านั้นที่ยังตั้งอยู่ได้อย่างไม่สะทกสะท้านขณะที่เพดานพังครืนลงมา ราวกับมันต้านทานได้ทุกอำนาจทำลายล้างที่รายรอบ มีแค่รอยแตกบนกะโหลกที่แยกกว้างขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ที่เป็นเพียงความเสียหายเดียว

บทที่ 661 ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย!
ดวงตาของหวังเป่าเล่อเบิกกว้าง เลือดยังคงไหลทะลักออกจากปากไม่หยุด แต่ชายหนุ่มกลับดูเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามคำพูดที่ไหลออกจากปากเขา

“ข้าหมดสนุกแล้ว สมัยที่ข้าอยู่ที่ป่ามี่หลัว ข้าขี่อสูรเขี้ยวดาราเล่นแถมยังมีทุกอย่างที่ต้องการ หากศิษย์พี่ไม่สั่งให้ข้ามาฝึกวิชาที่นี่ คนอย่างข้าก็คงไม่ต้องลดตัวมาทำอะไรเช่นนี้หรอก!” หวังเป่าเล่อทะลึ่งตัวขึ้นยืนแล้วหยิบแก่นในของอสูรเขี้ยวดาราออกมาสองชิ้น เขาเริ่มดูดแก่นในชิ้นหนึ่งเพื่อรักษาบาดแผล แล้วเอาอีกชิ้นหนึ่งมานวดแผลตนเองเพื่อเยียวยา

กำไลคลังเวทที่เขาทิ้งไว้กับร่างอวตารมีไว้เพื่อเก็บวัตถุเวทเท่านั้น ทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ ถูกกระจายออกตามกระเป๋าคลังเก็บต่างๆ ที่เขามี ชายหนุ่มเรียนรู้จากประสบการณ์ว่าต้องพกกระเป๋าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน

เขายังคงดูดพลังจากแก่นในของอสูรเขี้ยวดาราอย่างต่อเนื่อง ขณะมองโยวหรันด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว

“ไอ้โง่เอ๋ย ข้าต้องสติฟั่นไปแน่ถึงเลือกมาประจำที่นี่ ทั้งๆ ที่มีที่อื่นอีกมากมายให้ข้าไปเล่นสนุกได้มากกว่านี้ เหตุใดจึงสมองทึบขนาดมาเลือกเอาสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นที่ฝึกวิชาเสียได้!”

หวังเป่าเล่อจ้องโยวหรันเขม็ง ปากดูดแก่นในอสูรแรงขึ้นตามอารมณ์ไม่พอใจที่เพิ่มมากขึ้น คำพูดของเขาสะท้อนก้องในถ้ำ ส่งให้โยวหรันที่กำลังกระโจนเข้าใส่หยุดชะงักกลางทาง ดวงตาของชายชราเบิกกว้าง สีหน้าราวกับกำลังเห็นผี!

โยวหรันอยู่ใต้บังคับบัญชาของราชันสวรรค์ลำดับสอง และย่อมรู้เรื่องราวของราชันสวรรค์ลำดับแรกแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นดี เขารู้ดีว่าชายผู้นั้นทั้งน่ากลัวและทรงพลังเพียงใด หัวใจของโยวหรันเต้นระส่ำเมื่อได้ยินคำว่า “ราชันสวรรค์ลำดับแรก” ที่หลุดออกจากปากหวังเป่าเล่อ

หลังจากที่หายตกใจเรียบร้อยแล้ว สิ่งแรกที่ชายชรารู้สึกคือความไม่เชื่อ เนื่องจากลำดับชั้นของเขาในตระกูลไม่รู้สิ้นไม่ได้สูงนัก ชายชราจึงไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามของราชันสวรรค์ลำดับแรก รู้เพียงแต่ว่าเขามีตัวตนอยู่เท่านั้น หวังเป่าเล่ออาจโกหกได้อย่างแนบเนียนเพื่อหลอกเขา แต่คนที่มาจากสหพันธรัฐจะรู้จักป่ามี่หลัวได้อย่างไร ชายหนุ่มตรงหน้าดูจะพูดชื่อป่านั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติเหลือเกิน

นอกจากนี้อีกฝ่ายยังหยิบแก่นในอสูรเขี้ยวดาราออกมาด้วยท่าทางราวกับมันเป็นเศษกรวด ซึ่งทำให้โยวหรันยิ่งตกใจขึ้นไปอีก เขารู้ทันทีว่าสิ่งที่หวังเป่าเล่อถืออยู่ในมือ คือแก่นในของอสูรระดับจิตวิญญาณอมตะ

แก่นในนี้มีมูลค่ามหาศาล ทุกคนรู้ดีว่าสิ่งมีชีวิตในป่ามี่หลัวขึ้นชื่อเรื่องการปกป้องเผ่าพันธุ์ของตนเพียงใด แต่หวังเป่าเล่อกลับหยิบแก่นในออกมาถึงสองชิ้นเพื่อดูดและถูบาดแผลของตนเอง การอวดร่ำอวดรวยนี้ทำให้โยวหรันถึงกับผงะ กระนั้นชายชราก็ยังไม่เชื่อเต็มร้อยอยู่ดี

ในตอนนั้นเองดวงตาของหวังเป่าเล่อก็เป็นประกายกล้า เขาเริ่มพูดด้วยภาษาแม่ของตระกูลไม่รู้สิ้น ซึ่งก็คือภาษาดั้งเดิมของสำนักแห่งความมืด ทันทีที่ชายหนุ่มเริ่มเอ่ยปาก ความตกใจที่ถาโถมเข้ามาก็แทบทำให้โยวหรันเป็นลมล้มพับไป!

“ข้าจะบอกให้เอาบุญนะ ศิษย์พี่ของข้าร่ายเวทใส่ตัวข้าเอาไว้ หากข้าตายไปละก็ เขาจะรู้อย่างแน่นอน ด้วยพลังอำนาจของศิษย์พี่ข้า เขาจะย้อนเวลากลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงทำให้ข้าเสียชีวิต ต่อให้เจ้าหาวิธีเลี่ยงกระบวนเวทนี้ได้ เจ้าก็ยังตายหยังเขียดอยู่ดี หากเจ้าสมองหนาปัญญานิ่มพอก็ลองดูสิ มาลองดูกันว่าศิษย์พี่ของข้าจะรีบมาที่นี่หรือไม่!” หวังเป่าเล่อแทบตะโกนคำท้ายๆ ออกมาทีเดียว

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกำลังกระสับกระส่ายจิตใจว้าวุ่นไปหมด แน่นอนว่าในบรรดาผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นมีคนรู้ภาษาของตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่บ้าง แต่ก็พูดไม่ได้คล่องแคล่วขนาดนี้ นอกจากนี้ยังต้องติดสำเนียงมาบ้างอีกด้วย แต่หวังเป่าเล่อไม่ติดสำเนียงแม้แต่น้อย เขาพูดภาษาสำนักแห่งความมืดได้ราวกับเป็นภาษาแม่ของตนเองเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้โยวหรันจึงตกใจมากและอดไม่ได้ที่จะถามกลับ

“เจ้าเอาหลักฐานมาให้ข้าดูสิ”

ท่าทีตื่นตระหนกของโยวหรันทำให้หวังเป่าเล่อแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ภายใน เขายังคงชักสีหน้าไม่พอใจ ขณะยันตัวลุกขึ้นยืนและประกาศกร้าว

“หลักฐานหรือ ศิษย์พี่ไม่ได้ให้อะไรไว้กับข้าแม้แต่น้อย เพียงแต่บอกว่าให้พูดชื่อที่เขาใช้ตระกูลไม่รู้สิ้นเท่านั้น คงไม่มีใครในฟากนี้ของจักรวาลกล้าทำอันตรายข้าแน่! โยวหรัน ข้าต้องการคำตอบว่าเหตุใดเจ้าจึงทำสิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะปู้ยี่ปู้ยำสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างไร แต่สหพันธรัฐเป็นที่ที่ข้าฝึกวิชาอยู่ ทหารเลวของราชันสวรรค์ลำดับสองอย่างเจ้า บังอาจกล้าขัดขวางการฝึกวิชาของข้าเชียวหรือ!”

หวังเป่าเล่อรู้ว่าสำนักวังเต๋าไพศาลถูกราชันสวรรค์ลำดับสองทำลาย จึงเดาได้อย่างถูกต้องว่าผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่ไล่ล่าสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดโบราณ ต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาของราชันสวรรค์ลำดับสองอย่างแน่นอน

“ข้าต้องการให้เจ้าขอโทษข้าเดี๋ยวนี้! และจ่ายค่าเสียหายมาด้วย แล้วข้าจะไม่บอกศิษย์พี่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง จากนั้นเจ้าจะเปิดตูดหนีไปพร้อมไอ้เรือบินรบเต๋ามรณะเส็งเคร็งของเจ้าก็ตามใจ!”

หวังเป่าเล่อแสดงท่าทางเดือดดาลถึงขีดสุด เขาพองตัวขึ้น น้ำเสียงแข็งกร้าวไม่ยอมลดราวาศอก ชายหนุ่มรู้ดีว่าตนเองอาจเลือกเดินอีกทางได้ ด้วยการพยายามทำให้โยวหรันเข้าข้างตนโดยใช้ชื่อศิษย์พี่เข้าช่วย เขาอาจล่อโยวหรันด้วยผลประโยชน์แสนหอมหวาน ซึ่งจะทำให้การเจรจาเป็นไปได้ราบรื่นเรียบง่ายกว่านี้มาก แต่ก็ทิ้งความคิดนี้ไปเสียหลังจากคิดอยู่สักพัก เนื่องจากหากนับตามศักดิ์แล้วทุกคนล้วนอยู่ต่ำกว่าเขาทั้งสิ้น

ศิษย์พี่เฉินชิงเป็นถึงราชันสวรรค์ลำดับแรก จากเรื่องราวที่แม่นางน้อยเคยบอก สิ่งที่ได้เห็นมาในป่ามี่หลัว และเรื่องที่เขารู้มาจากนิมิตมืด ศิษย์พี่ของเขาเป็นชายผู้เด็ดขาด ไร้ซึ่งความสะทกสะท้านต่อการคร่าชีวิต และเย่อหยิ่งมากเสียจนไร้เหตุผล ชายที่มีนิสัยเช่นนี้ย่อมเอาแต่ใจตนเองอย่างถึงที่สุด ฉะนั้นในฐานะศิษย์น้อง เขาจะแสดงท่าทีอ่อนแอประนีประนอมไม่ได้เด็ดขาด เพราะมันจะดูไม่สมจริง

การอนุมานของเขาถูกต้องเสียด้วย แม้โยวหรันจะรู้สึกว่าท่าทางยโสโอหังของหวังเป่าเล่อนั้นน่าโมโห แต่ก็ไม่ได้ระแคะระคายแม้แต่น้อย สำหรับโยวหรันแล้ว หากหวังเป่าเล่อไม่ได้แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาจะยิ่งดูน่าสงสัยเสียด้วยซ้ำ ความจองหองของอีกฝ่ายทำให้โยวหรันบันดาลโทสะ แต่ก็กำจัดความกังขาออกไปจากใจของชายชราได้ในเวลาเดียวกัน

นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังปล่อยหมัดเด็ดโดยการพูดถึงสองสิ่งที่คนอื่นไม่มีทางล่วงรู้ ซึ่งก็คือเรือบินรบเต๋ามรณะและราชันสวรรค์ลำดับสอง ชายหนุ่มพูดถึงสองสิ่งนี้ด้วยน้ำเสียงเหมือนการชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ รายละเอียดเชิงลึกนี้ทำให้โยวหรันตกใจจนแทบร่วงกลางอากาศ

แต่เขาจะไม่ยอมทิ้งแผนการนี้ไปง่ายๆ แน่นอน เขาตั้งใจจะเอาประชากรทั้งสหพันธรัฐมาเป็นเครื่องสังเวย เพื่อรวมร่างเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเรือบินรบเต๋ามรณะ นอกจากนี้ยังต้องการใช้พลังนี้ในการก้าวไปสู่ปราณระดับดาวพระเคราะห์อีกด้วย หากทำสำเร็จ แผนการนี้จะช่วยให้เขาพัฒนาพลังได้อย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว

หากราชันสวรรค์ลำดับแรกเปิดเผยตัวออกมาเสียให้รู้เรื่องกันไป เขาก็จะยอมเข่าอ่อนศิโรราบแต่โดยดีโดยไม่มีข้อกังขา แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในเท่านั้น แม้หวังเป่าเล่อจะประกาศว่าตนเองเป็นศิษย์น้องของราชันสวรรค์ลำดับแรก และแม้เรื่องราวที่เขาเล่าจะดูสมเหตุสมผลอยู่บ้าง แต่โยวหรันยังคงไม่ยอมเชื่อ และไม่อยากเชื่อคนตรงหน้านั่นเอง

ชายชรากำลังต่อสู้กับตนเองอยู่ภายในว่าจะจัดการอย่างไรดี ตอนนั้นเองประกายคมกริบก็วาบเข้ามาในแววตา ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ โยวหรันขยับตัวแล้วมาปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ เขายกมือขึ้นปล่อยพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณออกมา พลังนั้นอัดแน่นกลายเป็นแรงทำลายล้างน่าสะพรึงกลัวในมือ ที่ส่งออกมาหาหวังเป่าเล่อโดยตรง

ดูเหมือนว่าโยวหรันจะต้องการสังหารและปิดปากหวังเป่าเล่อเสีย!

เขายกมือขึ้นตั้งใจจะกระแทกใส่หวังเป่าเล่อ ในตอนนั้นเองดวงตาของชายหนุ่มก็ทอแสงอำมหิตแรงกล้า เขาเตรียมตัวเอาไว้อยู่แล้ว และเริ่มท่องบทสวดแห่งเต๋าในใจ ทันทีที่พูดในใจไปได้สองสามคำ ชายหนุ่มก็รีบตะโกนออกมา

“ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย!”

หลังเป่าเล่อตะโกนร้องขณะที่ท่องบทสวดแห่งเต๋าอยู่ในใจ ตอนนั้นเอง สวรรค์ก็สั่นสะท้าน เรือบินรบเต๋ามรณะสะเทือนไปหมด สำนักทั้งสำนักและกระบี่สำริดเขียวโบราณสั่นรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหว พลังลึกลับพุ่งออกจากจักรวาลอันไกลโพ้น เดินทางผ่านอวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาลมุ่งตรงมายังระบบสุริยะ ดวงอาทิตย์ที่อยู่ตรงใจกลาง แล้วตกลงบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ…ภายในถ้ำบนเรือบินรบพอดิบพอดี!

ตู้ม!

พลังนั้นยิ่งใหญ่มากเสียจนคะเนไม่ได้ หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงพ่นลมเยาะเย้ยลอยมาพร้อมพลังที่ตกลงในถ้ำ ชายหนุ่มตัวสั่น เริ่มกลัวว่าตนเองใช้กลเม็ดนี้บ่อยจนอาจไปปลุกจิตลึกลับนี้ขึ้นมาจริงๆ…

แต่เขาก็ไม่มีเวลามานั่งคิดเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจัง จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าพลังนี้จะมาเยือนและหายไปในเสี้ยววินาที จึงทำให้เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการข่มขวัญคู่ต่อสู้ ซึ่งพอเหมาะพอเจาะกับสถานการณ์ยากลำบากที่เขาเผชิญอยู่ตอนนี้พอดี

แล้วเขาก็เดาถูกจริงๆ เสียด้วย โยวหรันแทบจะสิ้นสติด้วยความกลัวทันทีที่หวังเป่าเล่อเรียกพลังนั้นให้ตกลงมาในถ้ำ ชายชราถอยร่นไปด้านหลัง กระอักเลือดออกมายกใหญ่ ดวงตาตื่นตระหนกตกใจ แต่เขาก็ไม่ได้หนีไปแต่อย่างใด แววความบ้าคลั่งเข้ามาแทนที่ความตกใจในดวงตาของโยวหรัน ชายชราพุ่งเข้าใส่หมายโจมตีหวังเป่าเล่ออีกครั้ง!

“หวังเป่าเล่อ หากเจ้าเป็นศิษย์น้องของราชันสวรรค์ลำดับแรกจริง เจ้าก็ต้องมีไพ่ตายอยู่กับตัวอย่างแน่นอน พลังที่เจ้าเรียกมาเมื่อครู่น่ากลัวก็จริง แต่…ข้าก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี หากเจ้าเอาตัวรอดจากการโจมตีนี้ได้ ข้าจะหันหลังกลับและจากไปเสีย!”

“แต่หากเจ้าทำไมได้ละก็…นั่นแปลว่าเจ้าก็แค่ปั้นน้ำเป็นตัวเท่านั้น!” โยวหรันเสียสติไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ในตอนแรกเขาเกือบเชื่อเรื่องราวของหวังเป่าเล่อ พลังจากอำนาจของบทสวดทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้าน เสียงในหัวกรีดร้องบอกให้เขาหนีไปเสีย ก่อนที่จะสิ้นชีพอยู่ตรงนี้!

แต่เขาก็ต้องลองโจมตีดู โยวหรันวางแผนนี้มานานและทุ่มเทไปมาก ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางทิ้งมันไปง่ายๆ แน่นอน ด้วยเหตุนี้…ชายชราจึงจะลองเสี่ยงดวงดูให้มันรู้ดำรู้แดงไป หากโชคชะตานำพา เขาก็พร้อมยอมตายโดยไม่มีอะไรให้เสียใจ!

“เจ้านี่มันกัดไม่ปล่อยจริงๆ !” หวังเป่าเล่อหัวเสีย พลางคิดว่าตนเองแสดงได้อย่างแนบเนียนถึงที่สุดแล้ว แถมยังลงทุนเอาบทสวดมาใช้ด้วย ชายหนุ่มไม่ได้คาดคิดเลยว่าโยวหรันจะสติแตกไปเรียบร้อย

ไม่มีเวลาให้คิดแผนการใหม่แล้ว ทันทีที่ความตายมารออยู่ตรงหน้า หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ดวงตาของชายหนุ่มฉายความบ้าคลั่งขึ้นมาเช่นกัน!

ลองมันดูสักตั้งก็แล้วกัน!

บทที่ 660 หมดเวลาเล่นแล้ว!
พลังปราณในช่วงที่สมบูรณ์แบบที่สุดของโยวหรัน หรืออันที่จริงแล้วอาจจะต้องพูดว่าผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่ใช้ร่างของโยวหรันอยู่ เลยระดับเชื่อมวิญญาณไปแล้ว!

โดยอาจจะอยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะหรือขั้นดาวพระเคราะห์ก็เป็นได้ สงครามในอดีตทำให้เขาได้รับบาดเจ็บรุนแรง จนทำให้การฟื้นฟูร่างกายนั้นเป็นได้ช้าเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้พลังปราณของเขาจึงแสดงออกมาในรูปแบบของขั้นเชื่อมวิญญาณแทนนั่นเอง

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะได้โอกาสเล็กๆ ในการเผด็จศึกจากการใช้หัตถ์สื่อวิญญาณ นิมิตหมุนวน หมื่นภัยพิบัติ และพันชีวิต แต่เขาก็ไม่อาจประมาทสัญชาตญาณการรบโยวหรันได้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้

ดวงตาของโยวหรันเริ่มเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อลืมตาตื่นขึ้น ทำให้ความเด็ดขาดในดวงตาของหวังเป่าเล่อยิ่งรุนแรงขึ้นอีก เขาไม่คิดหนี หากแต่เพิ่มความเร็วของตนให้มากขึ้นเพื่อเผด็จศึก พลังปราณของชายหนุ่มทำงานมากขึ้น จนปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างออกมาจนหมดสิ้น เขาเปรียบเสมือนดาวตกที่ห้อมล้อมโดยกระแสสายฟ้า ที่กำลังพุ่งเข้าใส่โยวหรันกลางอากาศ!

ภายในพริบตาเดียว หวังเป่าเล่อและกระบี่เหาะเหินคู่ใจก็ปรากฏขึ้นข้างกายโยวหรัน หมัดอัฐิเกราะจักรพรรดิกำลังจะพุ่งเข้าใส่ศีรษะของเป้าหมาย ในตอนนั้นเอง ที่ร่างนิ่งนั้นระเบิดออกเสียก่อน!

เสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่นในอากาศ กระบี่ของหวังเป่าเล่อปักเข้าที่จุดตันเถียนของโยวหรันจากข้างหลัง เลือดสดๆ สาดกระจายไปทั่วบริเวณ!

แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ดีใจแต่อย่างใด ตรงกันข้าม สีหน้าเขากลับเต็มไปด้วยความตกใจ จิตใจสัมผัสได้ถึงอันตรายที่คืบเข้ามาใกล้ ร่างทั้งร่างบอกกับตนเองว่าให้รีบหนีไปโดยเร็วที่สุด เขากัดฟันและรีบยกหมัดขึ้นอีกครั้ง พลังปราณพวยพุ่งระเบิดออก ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะต่อยโยวหรันอีกครั้งหนึ่ง!

แต่ก็ช้าเกินไปเสียแล้ว…อาจดูเหมือนว่าหมัดแรกของหวังเป่าเล่อพุ่งลงที่ศีรษะของโยวหรันพอดิบพอดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ศีรษะของเขาระเบิดออกเองต่างหาก ในตอนที่หมัดของเขาอยู่ห่างออกไปเพียงนิ้วเดียวเท่านั้น!

หวังเป่าเล่อไม่ได้ทำให้ศีรษะของโยวหรันระเบิดออก หากแต่เป็นตัวโยวหรันเองต่างหาก ที่ระเบิดศีรษะของตนเองทิ้ง!

โยวหรันที่ปลุกตนเองให้ตื่นไม่ทัน ตัดสินใจระเบิดชิ้นส่วนร่างกายของร่างที่ตนเองอาศัยอยู่ทิ้งไปแทน!

เขาตั้งใจทำลายศีรษะของตนเองทิ้ง เพื่อป้องกันตนเองจากการโจมตีของหวังเป่าเล่อที่อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ กระบี่บินนี้เหาะมาจากไหนก็ไม่ทราบได้ โดยที่ตัวโยวหรันเองไม่ทันได้คาดคิด ใครกันเล่าจะไปรู้ว่าจะมีกระบี่บินพุ่งออกจากเสาค้ำในวินาทีชี้เป็นชี้ตายเช่นนี้

ด้วยเหตุนี้…แม้เขาจะใช้พลังทั้งหมดไปกับการป้องกันตนเองจากหมัดของหวังเป่าเล่อ แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บจากกระบี่เหาะเหิน ที่ปักเข้ากลางจุดตันเถียนของเขาจากทางด้านหลัง

ทว่า…แม้อาการบาดเจ็บจะดูร้ายแรง แต่สำหรับหวังเป่าเล่อนั้น นี่ยังรุนแรงไม่พอ ความรู้สึกได้ถึงอันตรายทวีความรุนแรงขึ้นในจิตใจ เขาต้องการโจมตีต่อเป็นครั้งที่สอง แต่ก้อนเนื้อสามก้อนก็ปรากฏขึ้นจากกองเลือดกองมันสมองที่เคยเป็นศีรษะของโยวหรันเสียก่อน!

ก้อนเนื้อทั้งสองที่ขนาบอยู่นั้นไม่มีเครื่องหน้า ดูเหมือนก้อนเนื้อไร้รูปร่างที่ดูทั้งน่ากลัวและน่าขยะแขยง ส่วนก้อนเนื้อตรงกลางดูปกติกว่าตรงที่มีดวงตาอยู่คู่หนึ่ง กระนั้นก็ยังไร้ซึ่งเนื้อหนัง ปากเป็นเพียงซากกระดูกเท่านั้น อันทำให้ดูน่ากลัวไม่ต่างกันเท่าใดนัก

นี่คือร่างที่แท้จริงของโยวหรัน แขนสี่ข้างแทงออกจากลำตัวในตอนเดียวกับที่ก้อนเนื้อทั้งสามปรากฏขึ้น แขนข้างหนึ่งพุ่งออกมาอย่างเร็วจนเห็นเป็นภาพเลือน คว้าเอากระบี่บินของหวังเป่าเล่อเอาไว้ ส่วนมือที่เหลือก็สร้างผนึกมือก่อนพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ!

พลังทำลายล้างของผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณอุบัติขึ้นในตอนนั้นเอง แปรเปลี่ยนเป็นพายุที่โหมกระหน่ำทรงพลังเสียจนน่าจะทำลายได้ทุกสิ่งที่ขวางหน้า พายุร้ายพัดเข้าใส่หวังเป่าเล่อในทันที

พายุของโยวหรันดูเหมือนแท่งทรงกระบอกสีดำที่หมุนวนรวดเร็ว มันขยายใหญ่ขึ้นจนเท่าเกราะจักรพรรดิลักอัคคีในพริบตาเดียว และดูเหมือนว่ากำลังจะกลืนกินเกราะจักรพรรดิเข้าไปทั้งตัว

ชายหนุ่มเบลอไปชั่วขณะ จิตใจว่างเปล่า เขาไม่กล้าปล่อยให้มีสิ่งใดเข้ามาในจิตใจของตน ความคิดแรกของเขาที่มาจากสัญชาตญาณภายในคือการสลับที่กลับร่างอวตารของตน

แต่นั่นก็ทำได้เพียงชะลอความตายออกไปเท่านั้น และอาจไม่ได้ให้เวลาแก่เขามากมายเสียขนาดนั้นด้วยซ้ำไป เขามีเวลาอีกเพียงสิบวินาทีเท่านั้นก่อนที่ชีวิตจะถูกพรากออกจากร่าง นอกจากนี้ยังจะเสียโอกาสการเคลื่อนย้ายกลับไปอีกด้วย หากทำเช่นนั้นโยวหรันก็จะกลับมาควบคุมทุกสิ่งได้อีกครั้ง และแผนชั่วร้ายก็จะเดินหน้าต่อไป

เขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว…ดวงตาของหวังเป่าเล่อกลายเป็นสีแดงก่ำ พายุร้ายสีดำกำลังจะทำลายชุดเกราะจักรพรรดิของเขาเสียหมดสิ้น รวมถึงร่างของเขาเองก็กำลังจะถูกบีบจนระเบิดออกจากภายในด้วย หวังเป่าเล่อกู่ร้อง ก่อนปล่อยกระบวนเวททำลายตนเองออกมา!

นี่คือการดูดซึมพลังปราณแบบย้อนกลับเพื่อเผาผลาญไขมันวิญญาณในกายของเขา โดยปกติแล้วหวังเป่าเล่อจะไม่ใช้วิชานี้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ แต่ในเมื่อไม่มีเวลาคิดหาทางออกอื่น เขาก็จำเป็นต้องทำ ในขณะที่ชายหนุ่มกู่ร้อง ไขมันของเขาสั่นสะเทือนและสลายหายไปหมดสิ้นในพริบตา พลังปราณที่สะสมไว้ภายในกายระเบิดออก พวยพุ่งเข้าใส่เกราะจักรพรรดิ เขาถอนหมัดออกมา ก่อนยกมืออีกข้างขึ้นปัดป้องการโจมตีของโยวหรัน!

พายุทรงกระบอกพุ่งไปข้างหน้าเหมือนคลื่นยักษ์ พุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อและปล่อยพลังทั้งหมดเข้าใส่เขา ชุดเกราะของชายหนุ่มเกิดรอยร้าวในทันที ก่อนแตกสลายพร้อมเสื้อผ้าป้องกันที่อยู่ภายใน ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ล่าถอยไปข้างหลัง แต่…เขาก็รอดชีวิตจากพลังโจมตีของพายุมาได้!

เกราะจักรพรรดิแตกไปมากกว่าครึ่ง เสื้อผ้าป้องกันภายในถูกทำลายไปโดยสิ้นเชิง ส่วนร่างกายก็ได้รับบากเจ็บหนัก กระนั้นเขาก็ยังปล่อยพลังปราณของตนออก พร้อมยังใช้อาวุธเทพในการปัดป้องการโจมตีนั้นเอาไว้ได้ นอกจากนี้โยวหรันได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกระบี่บินของเขา และพายุนี้ก็สร้างขึ้นเฉพาะกิจจึงทำให้ไม่ใช่พลังที่ร้ายกาจที่สุด

ร่างของหวังเป่าเล่อปลิวไปข้างหลัง ชายหนุ่มตกไปอยู่ข้างชุดคลุมออกศึกกลางทะเลสอบอีกครั้ง เลือดกบปาก แม้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นที่เขาทำได้ คือการสลับร่างกับร่างอวตารของตน หากทำเช่นนั้นเขาก็จะยื้อชีวิตตนเองต่อไปได้อีกนิด!

ความแตกต่างระหว่างพลังของทั้งสองนั้นมากเกินไป การที่เขารอดมาได้ถึงตอนนี้ก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว โยวหรันระเบิดร่างของตนเองออก ส่วนหวังเป่าเล่อก็ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสได้ด้วยกระบี่บินของตนเอง…หากมีใครทราบเรื่องนี้เข้าคงจะตกใจเป็นอันมาก จนแทบไม่อยากเชื่อเลยทีเดียวว่าเป็นเรื่องจริง!

การที่โยวหรันโกรธมากจนคุมสติไม่ได้นั้น ไม่ได้เกินกว่าเหตุไปแม้แต่น้อย เนื่องจากแผนการที่เขาวางมานานถูกหวังเป่าเล่อทำลายเสียแทบป่นปี้ ชุดคลุมของเขาถูกดูดพลังเสียจนแขนหายไปหนึ่งข้าง ส่วนร่างที่ตนเองแฝงกายอยู่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อเขาดึงจิตตนเองกลับมาได้อีกครั้ง ดวงตาของโยวหรันก็เต็มไปด้วยโทสะที่รุนแรงเสียจนไม่อาจมีสิ่งใดเทียบเทียม เขาตะโกนขู่อาฆาตหวังเป่าเล่อพร้อมยื่นมือมาหมายจับตัวชายหนุ่ม

“ไอ้หวังเป่าเล่อ เจ้าไม่ตายดีแน่ ข้าจะดึงวิญญาณของเจ้าออกมา และให้เจ้าดูการล่มสลายของอารยธรรมชั้นต่ำของเจ้าด้วยตาของตนเอง ข้าจะ…” โยวหรันกล่าวบรรยายถึงความชั่วร้ายที่ตนเองจะทำ ขณะที่จับเอาตัวหวังเป่าเล่อมาได้ ในตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มที่ถูกจับตะโกนออกมาด้วยเสียงเย็นเยียบ ทั้งๆ ที่ยังหอบสั่นและเลือดกบปากอยู่

“เจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ”

“ศิษย์พี่ของข้ามีนามว่าเฉินชิง ราชันสวรรค์ลำดับแรกแห่งตระกูลไม่รู้สิ้น ข้าคือศิษย์น้องคนเดียวของเขา ศิษย์พี่ของข้าไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่หากเจ้าสังหารข้า ไม่ว่าเจ้าจะหนีไปแห่งหนใด เขาก็จะตามหาเจ้าจนเจอ และเมื่อเขาเจอเจ้า ก็เตรียมตัวตายเอาไว้ได้เลย!”

เสียงของหวังเป่าเล่อเย็นเยียบ ชายหนุ่มไม่ได้เล่นละคร เขาไม่ได้นึกถึงคำพูดในแบบเดียวกันที่ออกมาจากปากผู้คนที่เขาเคยสังหารเสียด้วยซ้ำ ราวกับว่าอำนาจนี้ฝังอยู่ภายในใจเบื้องลึกของเขาตลอดมา จนทำให้รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องธรรมชาติมากกว่าการเสแสร้ง

“โยวหรัน ข้ามายืนอยู่ตรงนี้เพราะศิษย์พี่ของข้าต้องการให้ข้ามาเข้ารายการฝึกวิชางี่เง่านี่ ใครจะมาคิดว่าคนสำคัญอย่างข้าจะต้องมาโดนไอ้ขี้คร้านอย่างเจ้าอัด หมดเวลาเล่นแล้ว ข้าเป็นถึงศิษย์น้องแห่นราชันสวรรค์ จะให้มาสู้จนตัวตายถวายชีวิตกับคนอย่างเจ้า ข้าไม่เอาด้วยหรอก!”

บทที่ 659 หัตถ์สื่อวิญญาณและนิมิตหมุนวน!
พลังของหมื่นภัยพิบัติและพันชีวิต ทำให้โยวหรันรู้สึกได้ถึงอันตรายจากสภาพแวดล้อมรอบกายภายในถ้ำแห่งนี้!

ความเป็นปฏิปักษ์แผ่ออกจากบรรดาเศษนิ้วที่ไหลบ่าออกจากเสาค้ำ และจากก้อนหินมากมายที่พร้อมจะพุ่งเข้าอัดเขา รวมถึงจากพลังของชุดคลุมที่แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าใครคือมิตรใครคือศัตรู

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนิ่งอึ้งอยู่กับที่ รู้สึกได้ว่าปรากฏการณ์ตรงกันข้ามกับตนกำลังเกิดขึ้นกับหวังเป่าเล่อ ทุกสิ่งในถ้ำหมุนวนรอบความต้องการของหวังเป่าเล่อทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเสาค้ำ ทะเลสาบทองคำ แม้กระทั่งชุดคลุมออกศึกเองก็เลิกต่อต้านการดูดพลังของชายหนุ่ม และส่งพลังทั้งหมดที่มันมีไปให้ชุดเกราะของเขาได้ดูดซึมอย่างอิ่มเอมเสียแทน เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เหลือเชื่อและแปลกประหลาดมากเหลือเกิน

สิ่งที่แย่ที่สุดคือ หวังเป่าเล่อกล้าเรียกเขาด้วยชื่อที่หมายเหยียดหยามเขาให้จมดิน ทำให้เขารู้สึกขมคอ หมอนั่นทำแม้กระทั่งยกตนเป็นบิดาเขาเสียด้วยซ้ำ ดวงตาของโยวหรันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ดูเหมือนกำลังจะสติหลุดใกล้บ้า เขากู่ร้องเสียงหลง ปล่อยพลังปราณเชื่อมวิญญาณของตนเองออกและทะยานไปข้างหน้าหมายเข้าชน ท่ามกลางบรรยากาศรอบกายที่อาฆาตมาดร้ายตน เขาตั้งใจต่อสู้กับทุกสิ่งในถ้ำแห่งนี้ ตั้งใจจะทำลายหวังเป่าเล่อให้สิ้นซากเสีย

โยวหรันมาจากตระกูลไม่รู้สิ้นและมีพลังปราณที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะเคยแข็งแกร่งกว่านี้ในอดีต แต่พลังปราณที่ตัวเขาส่งออกมาในตอนนี้ ท่ามกลางบรรยากาศโหดร้ายจากอำนาจของกระบวนเวทหมื่นภัยพิบัติ ก็ยังอาบไปด้วยแรงสังหารอย่างเต็มเปี่ยม

ม่านตาของหวังเป่าเล่อหดแคบลง เขาสร้างผนึกมือชุดและชี้ไปที่โยวหรันอีกครั้งหนึ่ง

“หัตถ์สื่อวิญญาณ!”

โยวหรันกรุยทางเอาไว้ให้หวังเป่าเล่อเรียบร้อยแล้ว โดยการกำจัดสิ่งกีดขวางจำนวนมากและต่อสู้กับแรงต้านจากชุดคลุมออกศึก จนมาหยุดอยู่ห่างจากหวังเป่าเล่อไปสามร้อยเมตรได้ในที่สุด จิตใจของเขาเดือดปุดด้วยความโกรธเกรี้ยว มือขวายกขึ้นหมายเปลี่ยนหวังเป่าเล่อให้กลายเป็นเศษเนื้อ ในตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มพูดสองคำนั้นออกมา…

เสียงของหวังเป่าเล่อสะท้อนไปทั่วถ้ำ ประคำสื่อวิญญาณบนข้อมือของเขาเรืองแสงจ้า ควันสีดำพวยพุ่งออกจากลูกประคำ ก่อนเปลี่ยนสภาพไปเป็นมือขนาดยักษ์กว้างหลายร้อยเมตร!

ปีศาจหน้าตาน่ากลัวห้าตนผูกติดอยู่กับนิ้วทั้งห้า ต่างพากันคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวขณะที่มือนั้นพุ่งเข้าใส่โยวหรัน มือนั้นทะลุผ่านร่างของเขาไป แต่หวังเป่าเล่อก็เห็นได้ชัดเจนว่ามีเงาดำหนึ่งซ้อนทับกับร่างของโยวหรันอยู่ เงาดำนั้นก็คือวิญญาณของเขาซึ่งหลอมรวมกับวิญญาณจุติเองนั่นเอง!

วิญญาณนั้นหลอมรวมเข้ากับวิญญาณจุติของโยวหรันมาหลายปีจนนับไม่ถ้วน จนแทบจะกลายเป็นหนึ่ง มือยักษ์คว้าเอาวิญญาณดวงนั้นออกจากร่าง และดึงออกมาได้ถึงครึ่งร่างในที่สุด!

ดวงวิญญาณของโยวหรันพร่ามัว แต่ใบหน้าของเจ้าของวิญญาณกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง โยวหรันตกใจเป็นอันมาก เขาไม่ได้คาดคิดว่าหวังเป่าเล่อจะมีกระบวนเวทที่ยอดเยี่ยมและทรงพลังเช่นนี้เอาไว้ในครอบครอง!

หากหวังเป่าเล่อทรงพลังมากกว่านี้ เขาจะไม่ต้องใช้ลูกประคำในการปลุกกระบวนเวทนี้แม้แต่น้อย แต่สามารถควบคุมอำนาจของมันได้ดังใจนึก ในตอนนั้น ชายหนุ่มจะกลายมาเป็นก้างชิ้นใหญ่แน่นอน ต่อให้หวังเป่าเล่อไม่ได้มีพลังปราณสูงเท่าโยวหรัน ก็ยังจะอันตรายมากอยู่ดี

แต่ตอนนี้…ชายหนุ่มยังต้องพัฒนาตนเองอีกมาก เมื่ออันตรายมาจ่ออยู่ตรงหน้า โยวหรันก็ไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตนเอง แต่ต่อสู้เพื่อขยับร่างกายให้เป็นอิสระด้วยการกัดลิ้นเรียกสติ ดวงตาของเขากลายเป็นสีเลือด ความเจ็บปวดและเลือดในปากทำให้เขาปล่อยกระบวนเวทบางอย่างออกมาได้

ร่างทั้งร่างกลายเป็นสีแดง พร้อมด้วยคลื่นพลังปราณน่ากลัวที่สาดออกมา ตามด้วยลมหมุนขนาดยักษ์ที่ก่อตัวขึ้นภายใน ลมหมุนนั้นพุ่งเข้าใส่วิญญาณของเขา และค่อยๆ ลากมันกลับเข้าไปยังร่างดังเดิม

ในตอนที่วิญญาณของโยวหรันกำลังจะกลับเข้าร่าง และกำลังจะหลอมรวมกับวิญญาณจุติและกายเนื้อของเขาได้อย่างไม่ค่อยเสถียรนั้นเอง ประกายอำมหิตก็วาบเข้ามาในดวงตาหวังเป่าเล่อ เขาตะโกนก้องพร้อมสร้างผนึกมือชุด!

“นิมิตหมุนวน!”

หัตถ์สื่อวิญญาณนั้นมีไว้เพื่อทำให้วิญญาณตกใจ ส่วนนิมิตหมุนวนมีไว้เพื่อล่อวิญญาณให้ออกจากร่าง!

ลูกประคำรูปดาวลูกสุดท้ายบนข้อมือเขาเริ่มทอแสงจ้าทันทีที่หวังเป่าเล่อประกาศสองคำนั้นออกไป พลังยิ่งใหญ่ที่อยู่รายรอบตัวทั้งสองเริ่มไหลวนเป็นกระแส!

ราวกับว่าพลังนี้เกิดขึ้นจากแก่นของชีวิต และมาจากสถานที่ลึกลับที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ หวังเป่าเล่อไม่ได้เข้าใจมากว่ากำลังเกิดสิ่งใดขึ้น ตั้งแต่ก่อนเกิดยุคกำเนิดวิญญาณ สหพันธรัฐได้พิสูจน์เรียบร้อยแล้วว่าความฝันของคนเรานั้นมีอำนาจลึกลับเพียงใด แต่ครั้งโบราณกาลมนุษย์พบเจอกับเรื่องประหลาดอย่างปรากฏการณ์เดจาวู ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้น เคยเกิดขึ้นมาก่อนในฝันของเรา

แต่สหพันธรัฐก็ยังสรุปได้เพียงคร่าวๆ เท่านั้นว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไรหลังจากโลกเข้าสู่ยุคกำเนิดวิญญาณ ต้นกำเนิดของมันมาจากพลังลึกลับที่อยู่รอบกายเรา พลังนั้นสะท้อนกับส่วนลึกภายในวิญญาณสิ่งมีชีวิตทุกชนิด จนเกิดเป็นภาพสะท้อนประหลาดที่ฉายออกจากภายในจิตใจ

หากมีใครนำพลังนี้มาใช้งานได้ ก็เปรียบเสมือนคนผู้นั้นได้บรรลุวิชาแห่งเต๋าผ่านทางความฝัน ผู้นั้นจะสามารถควบคุมแก่นของความฝันได้ และจะสามารถใช้อำนาจที่คล้ายคลึงกับนิมิตมืดได้!

นิมิตหมุนวนนี้ก็มีพลังที่คล้ายคลึงกัน แม้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่จนแผ่อำนาจได้เป็นวงกว้าง แต่ก็แข็งแกร่งพอควบคุมอาณาเขตเล็กๆ ได้ หลักการของมันคือการดึงเอาพลังลึกลับจากโลกแห่งความฝัน มาหมุนเป็นวงแหวนรอบกายคู่ต่อสู้ที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝันนั่นเอง!

วงแหวนหนึ่งวงคือความฝันหนึ่งเรื่อง ส่วนวงแหวนสองวงคือฝันซ้อนฝัน พลังขีดจำกัดของมันคือการสร้างฝันซ้อนฝันเก้าครั้ง ทำได้แม้กระทั่งควบคุมทุกสิ่งในโลกแห่งความฝัน และสังหารคนในฝันได้ด้วยเช่นกัน!

แต่พลังปราณที่ไม่มากพอของหวังเป่าเล่อ ก็ทำให้นิมิตหมุนวนปล่อยพลังถึงขีดสุดไม่ได้ แม้จะส่งพลังปราณจำนวนมากเข้าไปในลูกประคำแล้วก็ตามที ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงสร้างวงแหวนแห่งความฝันขึ้นมาหนึ่งวงเท่านั้น!

กระบวนเวทที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมานี้ สร้างผลึกมากมายที่เข้ารายล้อมโยวหรันอย่างไร้สุ้มเสียง ผลึกเหล่านั้นดูเหมือนเป็นภาพลงตา แต่เมื่อดูใกล้ๆ ก็จะพบว่ามีตัวตนอยู่จริง ผลึกค่อยๆ สร้างวงแหวนขึ้นรอบกายเป้าหมาย!

ดูเหมือนว่าโยวหรันจะไม่รู้ตัวว่าวงแหวนผลึกกำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างอยู่รอบตัวเขา เนื่องจากกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะดึงวิญญาณของตนเองกลับเข้าที่ รวมถึงความทรงพลังของตัวกระบวนเวทนิมิตหมุนวนเองด้วย!

ภายในพริบตา วงแหวนผลึกแก้วก็ล้อมเข้าไว้เป็นที่เรียบร้อย โยวหรันสะดุ้งสุดตัวก่อนหมดสติไป เขาลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศ นิ่งสนิทไม่ไหวติง พลังที่เขาใช้เพื่อทำให้วิญญาณตนเองกลับมาเสถียรมลายหายไปในอากาศ ราวกับร่างทั้งร่างถูกดึงเข้าไปในความฝันโดยไม่ทันตั้งตัว

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าโยวหรันกำลังฝันถึงสิ่งใดอยู่ เนื่องจากเขาเข้าไปดูด้วยตาตนเองไม่ได้ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสงามที่เขารอคอยมานานแสนนาน!

ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างวาบขณะมองชุดคลุมออกศึก แขนของหนึ่งของชุดคลุมถูกเขาดูดพลังไปจนแห้งเหี่ยว ส่วนอีกข้างกำลังกำลังเริ่มยวบยาบตามกำลังการดูดกลืนของชุดเกราะจักรพรรดิ

เขาอาจจะใช้โอกาสนี้ในการเดินหน้าดูดพลังจากชุดคลุมออกศึกต่อไปก็ได้ แต่ตนเองก็ไม่แน่ใจว่านิมิตหมุนวนจะคงอำนาจต่อไปได้นานเพียงใด ชายหนุ่มไม่อยากเดินหมากอย่างประมาทในสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้

หากมีทางเลือก เขาย่อมต้องการอนาคตที่เขาเลือกเอง!

ดวงตาของชายหนุ่มเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น เขาหยุดดูดพลังจากชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะและกระโจนขึ้นไปในอากาศ ชุดเกราะจักรพรรดิสว่างวาบในมือขวา รวมตัวควบแน่นกลายเป็นหมัด พลังปราณของเขาหมุนวน พลังที่อธิบายไม่ถูกพวยพุ่งออกจากอาวุธเทพอัฐิและซัดไปข้างหน้า ร่างของชายหนุ่มพร่าเลือนตามความเร็วที่เพิ่มขึ้นประทันหัน ก่อนปรากฏตัวขึ้นข้างๆ โยวหรัน หมัดของเขาพุ่งตรงไปที่ศีรษะของคู่ต่อสู้ ที่นิ่งสนิทไม่ไหวติงอยู่กลางอากาศ!

กระบี่เหาะเหินทอประกายวาบด้วยไอมรณะ พร้อมพุ่งออกจากเสาค้ำยันหนึ่งด้วยความเร็วเท่าหวังเป่าเล่อ หมายตัดจุดตันเถียนของโยวหรันให้ขาดสะบั้น!

สายสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มและกระบี่ได้ขาดลงตั้งแต่ที่เขาเข้ามาที่ชั้นสามและตกลงตรงเสาค้ำ เขาเสียใจเป็นอย่างมากที่สูญเสียกระบี่แสนรักไป แม้จะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะนำมันกลับมาครอบครองดังเดิม

อำนาจของหมื่นภัยพิบัติและพันชีวิตทำให้การเชื่อมโยงระหว่างเขาและกระบี่กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ปลุกเอานิ้วซากศพจำนวนมากให้ออกมาจากเสาค้ำนั้น หวังเป่าเล่อไม่ได้ปลุกมันขึ้นมาเมื่อก่อนหน้า แต่กลับรอให้พลังของมันกลับมาแก่กล้าเต็มที่ก่อน!

“ตายเสียเถิด!”

ชายหนุ่มกัดฟันปลุกพลังทั้งหมดของเกราะจักรพรรดิไปยังอาวุธเทพของเขา พลังของอาวุธเทพนี้มากพ่อที่จะสังหารผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณระดับต้นและกลางได้สบายๆ แม้โยวหรันจะมีปราณอยู่ในขึ้นเชื่อมวิญญาณ แต่หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่าพลังนี้แข็งแกร่งพอทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสได้ หากโจมตีพร้อมกับกระบี่เหาะเหิน!

หวังเป่าเล่อพุ่งตรงไปข้างหน้า แต่ในตอนนั้นเอง ดวงตาของโยวหรันก็เริ่มเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้เปลือกตา เขากำลังจะตื่นขึ้นจากนิทราแล้ว!

…………………………………….

บทที่ 658 หมื่นภัยพิบัติและพันชีวิต!
เสียงกู่ร้องนั้นดังเสียยิ่งกว่าฟ้าผ่า ทำให้อากาศภายในถ้ำระเบิดออก จนกำแพงและเสาค้ำยันเพดานสั่นไหว ลมแรงพัดผ่านผิวน้ำของทะเลสาบทองคำเกิดคลื่นเป็นระรอก ส่งให้หัวใจของหวังเป่าเล่อถูกเกาะกุมด้วยความกลัว

โยวหรันที่ดูเสียสติตาแดงก่ำพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อเหมือนสายฟ้า เขายกมือขวาขึ้นส่งพลังปราณระดับเชื่อมวิญญาณออกไป สร้างพลังร้ายกาจพร้อมเข้าปะทะ เพื่อดูดเอาพลังงานทั้งหมดที่ชายหนุ่มเอาไปเก็บสะสมเอาไว้มานำกลับไปใส่ในชุดคลุมออกศึกดังเดิม และทำลายชายหนุ่มให้ย่อยยับไปในคราวเดียว!

ความตายที่มาเยือนที่ปากประตูนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหัวแทบระเบิด

ชายหนุ่มตาเบิกกว้าง รู้สึกได้ว่าร่างอวตารของตนเองเคลื่อนย้ายเข้าเสาค้ำไปแล้วและกำลังจะไปโผล่ที่ชั้นสอง เขาเพียงแต่ต้องสลับที่กับร่างอวตารของตน เพื่อหนีออกไปจากจุดที่สิ้นหวังนี้เท่านั้น

แต่เขาเองก็รู้ดีว่าต่อให้ตนเองหนีออกไปได้ในครั้งนี้ ตราบใดที่คลื่นรบกวนจากเรือรบยังคงไม่อ่อนกำลังลง เขาก็ยังไปไหนไม่ได้อยู่ดี สุดท้ายก็คงจบชีวิตลงไม่ต่างกัน!

มีทางเดียวเท่านั้นที่จะหนีออกไปจากที่นี่ได้ ซึ่งก็คือการทำลายคลื่นแทรกจากเรือรบ เขาต้องทำให้คลื่นนี้อ่อนแอพอให้เจ้าเยี่ยเหมิงหนีออกไปได้ด้วยยันต์เคลื่อนย้าย!

เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำเช่นนั้น นอกเสียจากว่าร่างอวตารของเขาจะหาเจ้าเยี่ยเหมิงเจออย่างรวดเร็ว แต่เวลาก็แทบไม่มีแล้ว ความคิดหนึ่งวาบขึ้นในจิตของชายหนุ่ม สีหน้าของเขามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว หวังเป่าเล่อตะโกนออกมาทันทีโดยไม่ลังเลใจ ทันทีที่โยวหรันเข้ามาใกล้ ชุดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีของเขายังเดินหน้าสูบพลังต่อไป ไขมันวิญญาณในร่างเริ่มเผาผลาญเพิ่มเป็นพลังงานให้กับเจ้าของร่าง

นี่คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อคิดออกเป็นครั้งแรกจากการต่อสู้กับตู้กูหลิน ในครั้งที่เมล็ดแห่งการดูดกลืนของเขากลายพันธุ์และเริ่มดูดทุกอย่างเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง เขาพยายามทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นอีกหลายครั้ง แต่ก็ทำไม่สำเร็จเนื่องจากก่อนหน้านี้ผอมเกินไป

แต่บัดนี้เขาสะสมไขมันวิญญาณเอาไว้ในร่างกายมากโข อ้วนมากเสียจนจะยืนยังแทบทำไม่ได้ เมื่อชายหนุ่มปล่อยท่าไม้ตายนี้ ไขมันวิญญาณในร่างกายเขาก็เริ่มเผาผลาญอย่างรวดเร็ว คลื่นพลังปราณระเบิดออกจากร่างของชายหนุ่มเป็นริ้วๆ !

หากมีคนนอกมาช่วยคะเนอำนาจของพลังปราณที่เขาปล่อยออกมาในตอนนี้ จะพบว่าแซงหน้าพลังของผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณไปไกล จนเทียบเท่าพลังของโยวหรันในตอนนั้นเลยทีเดียว ทว่า…พลังนี้กลับไม่ใช่พลังปราณที่สะสมผ่านการฝึกตน แต่เป็นพลังจากไขมันของหวังเป่าเล่อที่เผาไหม้

แม้ปริมาณจะได้ แต่คุณภาพก็ยังห่างชั้น หากพลังของโยวหรันเปรียบเสมือนน้ำแข็ง พลังของหวังเป่าเล่อก็เป็นเพียงหมอกบางเท่านั้น!

ไม่ว่าหมอกนั้นจะหนาเพียงใด ก็ยังทะลุผ่านได้เสมอด้วยธรรมชาติของมัน หมอกนั้นอาจใช้เป็นโล่กำบังได้หากเปลี่ยนสภาพกลายเป็นน้ำ และเมื่อแข็งแกร่งจนกลายเป็นน้ำแข็ง ก็จะสามารถนำมาใช้โจมตีได้!

นอกจากนี้ความแตกต่างของสองยังมีอยู่ในขั้นการควบคุมพลังอีกด้วย โยวหรันใช้พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณของตนเองได้อย่างไร้ที่ติ ทำให้พลังปราณของเขาแปรเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นสิ่งใดก็ได้ ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นไม่สามารถควบคุมพลังที่ตนเองปล่อยออกมาได้ ทำให้ปรับสภาพการโจมตีของตนเองได้ไม่คล่องมือ

ตัวชายหนุ่มเองก็รู้ความจริงข้อนี้ดี เขาจึงพยายามปล่อยพลังจำนวนมากออกจากจากไขมันวิญญาณที่ตนเองสะสมเอาไว้เท่านั้น ไม่ได้พยายามใช้เคล็ดเวทใดๆ หรือใช้ปราณป้องกันการโจมตีของโยวหรัน

สิ่งที่เขาทำก็คือ การปล่อยพลังปราณจำนวนมหาศาลนั้น…เข้าไปยังกำไลของเขา สู่ลูกประคำหกลูกบนข้อมือนั่นเอง!

พลังปราณที่หลั่งไหลเข้าไปนั้น ทำให้ลูกประคำสี่จากหกลูกดูดกลืนอย่างหิวกระหาย เหมือนหลุมดำที่ไม่ได้รับสารอาหารหล่อเลี้ยงมานานแสนนาน ลูกประคำทั้งสี่สองแสงสว่างเจิดจ้าออกมา แต่ละลูกมีสีต่างกันไป ทั้งแดง น้ำเงิน ดำ และทอง!

พลังรุนแรงเกินต้านทานอุบัติขึ้นในอากาศ!

ลูกประคำแต่ละลูกอันแน่นด้วยพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นไพ่ตายของหวังเป่าเล่อ แม้เขาจะควบคุมพลังปราณมหาศาลที่ตนเองปล่อยออกมา และใช้มันเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ไม่ได้ แต่เขาก็ยังสามารถส่งพลังนั้นเข้าไปในกำไลของตน เพื่อปล่อยพลังเทพของลูกประคำต่อกรแทนได้!

ด้วยความที่พลังเทพ…ถูกบรรจุอยู่ในกำไลของเขา แปลว่า…พลังปราณของผู้ใช้งาน จะเป็นตัวกำหนดความแข็งแกร่งของพลังเทพแต่ละประเภท

กำไลเทพนี้เปรียบเสมือนตัวกลางที่ดูดเอาพลังปราณจากไขมันของหวังเป่าเล่อเอาไว้ และปล่อยออกมาเป็นพลังการโจมตีที่รุนแรงยิ่งกว่า เทียบเท่ากับการนำหมอกปราณนั้นมากลั่นและอัดเป็นใบมีดน้ำแข็ง!

นี่คือทางเดียวที่เขาคิดออก ในการปกป้องตนเองจากการโจมตีของโยวหรันในตอนนั้น เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเผาผลาญไขมันวิญญาณของตนเองออกให้หมด และปล่อยออกมาในรูปของพลังปราณเพื่อส่งไปยังกำไล ส่วนตัวโยวหรันเองนั้นก็กำลังพุ่งเข้าใส่เขา ด้วยโทสะถึงขีดสุดและพลังระดับเชื่อมวิญญาณทั้งหมดที่ตนเองมี ชายชราพร้อมขยี้หวังเป่าเล่อให้กลายเป็นผุยผง

ในตอนนั้นเองที่หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นและเอ่ยคำหนึ่งออกมา!

“หมื่นภัยพิบัติ!”

ทันทีที่พูดจบ ลูกประคำรูปดาวลูกหนึ่งบนข้อมือขวาของเขาก็ปล่อยแสงสีดำเจิดจ้า นกพิราบสีดำโบยบินออกจากลูกประคำนั้น!

นกสีดำนั้นขยายใหญ่ขึ้นจนขนาดเท่าเกราะจักรพรรดิ เงาของมันทะมึนเหนือทุกสิ่งและพุ่งเข้าหาโยวหรันในทันที!

โยวหรันที่กำลังโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด ไม่ได้คิดว่าหวังเป่าเล่อเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับตนเองแม้แต่น้อย แต่ทันทีที่เขาเห็นนกพิราบสีดำนั้น เขาก็พาลตัวสั่น!

ชายแก่รู้สึกราวกับว่าวิญญาณของตนเองถูกสะกดเอาไว้จนไปไหนไม่ได้ เขาขยับตัวไม่ได้ และก็หนีการโจมตีนี้ไปไม่ได้เช่นกัน โยวหรันสิ้นพลังในการตอบกลับไปโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกมืดแปดด้านเข้าเกาะกุมจิตใจ มาพร้อมกับความเย็นเยียบที่หาต้นตอไม่เจอ

โยวหรันไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะสร้างผนึกมือชุดและชี้นิ้วออกมา ปราณมืดก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างต่อหน้าเขา แปรสภาพไปเป็นรูปปั้นผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น หมายทำลายนกพิราบสีดำให้สิ้นซาก ภาพที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นแปลกประหลาดนัก เมื่อนกพิราบพุ่งเข้ารับการโจมตีของรูปปั้นนั้น มันกลับอันตรธานหายไปเสียเฉยๆ โดยไร้ซึ่งวี่แววการบาดเจ็บ ทว่า…นกพิราบสีดำกลับปรากฏขึ้นบนหน้าผากของโยวหรันในรูปแบบของรอยสลักแทนเสียนี่!

โยวหรันไม่ได้รู้สึกเจ็บหรือระคายแม้แต่น้อย เขาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก รู้สึกได้ในทันทีว่าพลังงานอันตรายแผ่ออกจากรอยสลักบนหน้าผากของตน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือพลังต้านที่กำเนิดขึ้นจากทะเลสาบ ทั้งภายในเสาค้ำ กำแพงที่รายรอบ และแม้กระทั่งจากชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะที่หวังเป่าเล่อกำลังดูดพลังอยู่!

พลังรุนแรงระเบิดออกทันที พลังนั้นไม่สนใจหวังเป่าเล่อ แต่พุ่งเป้าไปที่โยวหรัน ทุกสิ่งในถ้ำแห่งนี้มองตัวเขาเป็นศัตรูในที่สุด!

ทะเลสาบทองคำระเบิดออก แขนขาซากศพเหาะออกมาพร้อมกระโจนเข้าโจมตี เสาค้ำสั่นสะท้าน นิ้วหักๆ มากมายพุ่งเข้าใส่ตัวเขาเช่นกัน

ยังไม่จบเพียงเท่านั้น กำแพงรอบกายเริ่มปริแตกกลายเป็นก้อนหินที่พุ่งเข้าหาโยวหรันอันเป็นเป้าหมาย!

ตัวเขาตกใจเป็นอันมากจนต้องล่าถอยจากอันตรายที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน สถานการณ์นี้ทั้งแปลกประหลาดทั้งไม่น่าเชื่อจนเขาสับสนไปหมด

โยวหรันปล่อยพลังปราณของตนเองออก พร้อมโบกมือและเปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นพายุสีดำ ที่พัดพาเข้าใส่ชิ้นส่วนนิ้วและแขนขา รวมถึงเศษหินเหล่านั้น จากนั้นจึงกระโจนเข้าหาหวังเป่าเล่อต่อไป

การกระทำของเขาทำให้หมื่นภัยพิบัติโกรธเกรี้ยว ตราประทับนกพิราบบนศีรษะของโยนหรันทอแสงจ้า และลืมตาขึ้นในทันที พลังต่อต้านทวีความรุนแรงขึ้นและระเบิดรอบกาย พลังนั้นมาจากชุดคลุมออกศึกด้วยเช่นกัน พุ่งตรงมายังเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว โยวหรันตัวสั่นสะท้าน สีหน้าไม่อยากเชื่อสายตา ขณะที่ล่าถอยให้พ้นจากการโจมตีที่มองไม่เห็นหนี

นี่คือการปลุกอำนาจของหมื่นภัยพิบัติเป็นครั้งแรกของหวังเป่าเล่อ ตัวเขาเองก็ตกใจกับภาพตรงหน้าเช่นกัน ชายหนุ่มรีบปล่อยพลังชุดที่สองจากลูกประคำอันถัดไปออกมาทันทีโดยไม่ลังเล!

“พันชีวิต!”

ลูกประคำรูปดาวลูกที่สองทอแสงจ้า ความรู้สึกอบอุ่นที่คุ้นเคยกระจายไปทั่วร่างของหวังเป่าเล่อ นกพิราบตัวที่สองปรากฏขึ้นบนหน้าปากของเขา พลังนี้แข็งแกร่งกว่าพลังชุดแรกที่เขาปล่อยไปเป็นอันมาก!

หวังเป่าเล่ออบอุ่นไปทั้งร่างกาย ความรู้สึกได้รับการยอมรับรวมถึงไมตรีจิต เข้าโอบกอดเขาจากบรรยากาศโดยรอบ

ความเปลี่ยนแปลงนี้ปรากฏขึ้นชัดเจนที่สุดในชุดคลุมออกศึก ก่อนหน้านี้ขณะพยายามดูดพลัง หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าชุดคลุมนั้นต่อต้านการกระทำของเขา เมล็ดแห่งการดูดกลืนของหวังเป่าเล่อ เดินหน้าสูบพลังจากชุดคลุมอย่างแข็งขัน แต่ในตอนนี้…แรงต้านที่เคยสัมผัสได้เมื่อก่อนหน้านั้นหายไปเรียบร้อยแล้ว ชุดคลุมไม่ได้ต่อต้านเขาอีกต่อไป แต่กลับเชิญชวนหวังเป่าเล่อให้มาสูบพลังออกจากตนเองด้วยซ้ำ!

การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอันมาก เขาดีใจเป็นล้นพ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น จิตใจพุ่งขึ้นสู่ความปีติถึงขีดสุด!

“เจ้าโยวโยวน้อยเอ๋ย รู้ไหมว่านี่คือที่ได้ เจ้ากำลัง…อยู่ในบ้านของบิดาเจ้าอย่างไรเล่า มารับบทเรียนจากบิดาเจ้าคนนี้เสียดีๆ !”

บทที่ 657 โทสะของโยวหรัน!
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันรีบรุดออกไปในทันที เฟิ่งชิวหรันที่หน้าซีดเผือดกัดฟันหนีอย่างรวดเร็วเช่นกัน ท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น และผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่โดยล้างสมอง ที่กำลังไล่ตามอย่างไม่ลดละ นางสร้างผนึกมือชุดและกัดปลายลิ้นตนเองจนกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ

เลือดนั้นกลายเป็นหมอกโลหิตที่พุ่งเข้าใส่กลุ่มผู้ฝึกตน ทำให้พวกเขาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ในตอนนั้นเองนางรีบวาดมือขวาไปในอากาศอย่างบ้าคลั่ง คว้าเอากำไลคลังเวทที่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อทิ้งเอาไว้ ในยามปกติโยวหรันคงไม่ทิ้งของมีค่าเช่นนี้เอาไว้เบื้องหลัง แต่เขากำลังว้าวุ่นเสียจนลืมสิ้นทุกสิ่ง

เมื่อได้กำไลคลังเก็บมาเรียบร้อย เฟิ่งชิวหรันก็รีบหนีไม่คิดชีวิตทันที แม้ชั้นที่สองของเรือรบจะกว้างใหญ่ แต่นางก็ยังอยู่ในสถานการณ์คับขันสิ้นหวังหัวใจหนักอึ้ง นางไม่รู้ว่าตนเองควรไปที่ใด และไม่รู้เช่นกันว่าจะแก้สถานการณ์นี้อย่างไร

นางหันกลับมามองจ้องกลุ่มผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่เบื้องหลัง ใจนึกย้อนไปถึงสมรภูมิรบครั้งใหญ่ ภาพการต่อสู้แสนเลวร้ายมากมายที่เคยเกิดขึ้นบนกระบี่สำริดโบราณนี้ ใจของเฟิ่งชิวหรันเต็มไปด้วยใบหน้าคุ้นเคยจากสำนักวังเต๋าไพศาล ที่ถูกล้างสมองจนลืมสิ้นว่าตนเองเคยเป็นใคร ความขมขื่นเข้าเกาะกุมจิตใจนาง ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองช่างเป็นคนบาปเหลือเกิน

ทุกอย่าง…เป็นเพราะเราเลือกเดินเข้ามาที่เรือรบนี้ ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเป็นกับดัก… เฟิ่งชิวหรันสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด นางตระหนักแล้วว่าตนเองล้มเหลวในฐานะผู้นำอย่างไร นางปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำจนตัดสินใจเรื่องสำคัญอย่างไร้ซึ่งเหตุผล

โยวหรัน! ประกายเย็นเยียบวาบเข้ามาในแววตา เฟิ่งชิวหรันต้องการเปลี่ยนสิ่งผิดให้กลับมาถูกต้องอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีอำนาจพอทำสิ่งใดได้ ความขมขื่นนั้นทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าในหมู่ผู้ฝึกตนที่กำลังไล่ล่าอยู่นั้น มีเมี่ยเลี่ยจื่อรวมอยู่ด้วย

ยังมีความหวังอยู่! เฟิ่งชิวหรันพยายามทำจิตใจตนเองให้แข็งแกร่งท่ามกลางความเจ็บปวดล้นเหลือ คลื่นแทรกของเรือรบที่ทำให้พวกเขาเคลื่อนย้ายออกไม่ได้อ่อนกำลังลง ด้วยเหตุใดนางไม่อาจทราบได้ แต่ดูเหมือนจะทำให้โยวหรันถึงกับสติหลุดไปในทันที นั่นทำให้เฟิ่งชิวหรันรู้สึกว่าสถานการณ์ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง แม้จะริบหรี่ แต่ก็ยังดีกว่าความมืดมิด

นางยังตั้งหน้าตั้งตาหนีต่อไป ในขณะที่เจ้าเยี่ยเหมิงไปซ่อนตัวอยู่ในภูเขาอีกฝั่งหนึ่งของเรือ และพยายามเป็นอย่างมากที่จะสร้างวงแหวนปราณเพื่อปกปิดตนเองให้ไม่มีใครหาเจอ มือของเจ้าเยี่ยเหมิงกำยันต์เคลื่อนย้ายเอาไว้แน่น พยายามทำให้ลมหายใจของตนเองสงบ ดวงตาทอแสงจ้าด้วยความมุ่งมั่น นางกำลังรอจังหวะเหมาะอยู่

แม้เจ้าเยี่ยเหมิงจะกังวลว่าหวังเป่าเล่อจะเป็นอะไรไป แต่ก็รู้ดีว่านางรังแต่จะเป็นตัวถ่วงมากกว่าตัวช่วย ด้วยพลังปราณที่ยังอ่อนด้อยนัก นอกจากนี้นางยังรู้หน้าที่ของตนเองดี นางต้องออกไปแจ้งสหพันธรัฐว่ากำลังเกิดภัยร้ายใดอยู่ในตอนนี้!

“เป่าเล่อ…” เจ้าเยี่ยเหมิงพึมพำกับตนเองก่อนถอนหายใจ นางหลับตาลง คอยเฝ้ารออย่างใจเย็น

เฟิ่งชิวหรันไม่ใช่คำเดียวที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่ที่ชั้นสอง ผู้ฝึกตนจากฝ่ายของนางถูกจับแยกกันทันทีที่เข้ามาถึงชั้นสอง ส่วนมากสิ้นชีวิตลงด้วยเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้น แต่ก็มีหลายคนที่ถูกขังและผนึกเอาไว้ โยวหรันไม่ใช่คนเดียวบนเรือที่มาจากตระกูลไม่รู้สิ้น

กับดักนี้ถูกวางเอาไว้นานแล้ว การไล่ล่าของตระกูลไม่รู้สิ้นเริ่มต้นขึ้นทันทีที่พวกเขาก้าวเข้ามายังเรือรบ ชื่อหลินรวมถึงคนอื่นๆ อีกหลายคนถูกจองจำเอาไว้ หรือไม่ก็โดนนำไปบูชายัญให้แผ่นหิน

ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในส่วนมากสิ้นชีพลงหมด เนื่องจากสถานที่นี้อันตรายต่อผู้ที่มีพลังระดับกำเนิดแก่นในเป็นอย่างมาก พวกเขาเทียบคู่ต่อสู้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แม้หลายคนจะสัมผัสได้ถึงอันตรายและเลือกไปซ่อนแทน อย่างเช่นเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นต้น

กงเต๋าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ชายหนุ่มมีประสบการณ์ช่ำชองในการซุ่มโจมตีและการเร้นกาย แม้จะมีอันตรายซุกซ่อนอยู่ทุกมุมของเรือรบ แต่เขาเองก็มีวิธีเอาตัวรอดในแบบฉบับของตนเอง กงเต๋าคือชายผู้ที่เอาตัวรอดในพื้นที่รกร้างของดาวอังคารได้ แม้ในตอนนั้นจะยังมีปราณระดับการฝึกตนโบราณเท่านั้น

ตอนนี้กงเต๋าอยู่ที่ชั้นสองของเรือ แต่ไม่ได้อยู่ในจุดโล่งแจ้ง เขาซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่ไม่มีทะเลสาบทองคำ จึงไม่ใช่ที่เดียวกันกับหวังเป่าเล่อ แต่ก็ยังมีวัตถุเวทที่หน้าตาเหมือนยานอพยพอยู่บ้าง แม้หลายอันจะใช้การไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังมีบางอันที่ทำงานได้ดี

เนื่องจากหาทางออกไม่เจอ กงเต๋าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากกัดฟันซ่อนตัวอยู่ในยานอพยพเพื่อหนีการถูกตามล่า

ทุกคนกำลังหนีตาย ที่ชั้นสามอันเป็นที่อยู่ของชุดคลุมออกศึก เสียงกึกก้องกัมปนาทอุบัติขึ้นในท้องฟ้า หวังเป่าเล่อที่อ้วนเสียจนน่าสยองขวัญนั่งอยู่กลางทะเลสาบทองคำ ทุกส่วนของร่างกายเขากระเพื่อมด้วยไขมันหนา ดวงตาวาวโรจน์ขณะที่เมล็ดแห่งการดูดกลืนในกายหมุนวนทำงานอย่างบ้าคลั่ง

เร็วขึ้นอีก! หวังเป่าเล่อตะโกนก้องอยู่ในใจ เขากำลังกระวนกระวาย ในชุดคลุมออกศึกนั้นมีพลังปราณอยู่มากล้น แม้จะใช้ทั้งเมล็ดแห่งการดูดกลืนและฝักกระบี่ ก็ยังดูดเข้าไปไม่หมด หวังเป่าเล่อมีปราณเพียงขั้นกำเนิดแก่นในระดับสมบูรณ์แบบเท่านั้น จึงมีขีดจำกัดในการดูดกลืน อันตรายที่คืบเข้ามาใกล้ทำให้เขาไม่มีเวลาพอพยายามบรรลุขั้นปราณเพื่อกำจัดพลังงานที่พอกพูนด้วยซ้ำ การจะบรรลุจากระดับกำเนิดแก่นในไปเป็นระดับจุติวิญญาณได้ เขาต้องใช้อยู่ในสถานที่ปลอดภัยไร้อันตราย ปลีกวิเวกออกเพื่อจัดการตนเองให้เรียบร้อย

สิ่งที่ทำให้สถานการณ์แย่ลงคือ ความเร็วในการดูดพลังจากชุดคลุมของเขานั้นช้าลงเรื่อยๆ ตามเวลาที่เดินหน้าผ่านไป

ชุมคลุมเริ่มต่อต้านการดูดกลืนของหวังเป่าเล่อ ด้วยพลังที่ดูเหมือนจะเป็นกลไกการต่อต้านตามธรรมชาติของมันเอง แม้เขาจะใช้พลังเมล็ดแห่งการดูดกลืนเต็มที่ แต่ก็ยังไม่ได้ช่วยให้ซึมซับพลังปราณเร็วขึ้นแต่อย่างใด

เมื่อกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ชายหนุ่มก็สร้างผนึกมือต่อเนื่องเพื่อเรียกร่างอวตารของตนออกมา ร่างอวตารของเขาแยกออกจากร่างจริง พุ่งเข้าหาเสาค้ำ

ร่างเกราะจักรพรรดิลักอัคคีของหวังเป่าเล่อก็ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างเช่นกัน ร่างจริงของเขาดูดซับพลังปราณไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงจะใช้ร่างเกราะจักรพรรดิลักอัคคีของตนให้ทำงานแทน!

หวังเป่าเล่อต้องการเวลาอีกนิดเดียวเท่านั้น เพียงอีกแค่สองชั่วโมง หากเขายังสามารถดูดพลังจากชุดคลุมออกศึกไปได้เรื่อยๆ ด้วยอัตราเท่านี้ คลื่นแทรกการเคลื่อนย้ายของเรือรบจะอ่อนกำลังลงอย่างมาก หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าพลังงานนั้นจะอ่อนกำลังลงจนทำให้เคลื่อนย้ายออกจากเรือได้หรือไม่ แต่สิ่งที่เขามั่นใจคือหากตนเองตั้งหน้าตั้งตาดูดพลังต่อไป โอกาสที่เจ้าเยี่ยเหมิงจะเคลื่อนย้ายหนีสำเร็จ จะมีมากขึ้นอย่างแน่นอน!

กระนั้น…พลังของเรือรบที่อ่อนแอลงทำให้โยวหรันรู้สึกตัวแล้ว เขากำลังตัดทุกอย่างที่ขวางหน้าออกเพื่อกรุยทางไปถึงชั้นสามให้เร็วที่สุด ชุดเกราะของหวังเป่าเล่อเพิ่งเริ่มดูดพลังจากชุมคลุมต่อไปได้เพียงยี่สิบวินาทีเท่านั้น กำแพงของถ้ำที่เขาเร้นกายอยู่ก็ระเบิดออก!

เศษหินดินทรายกระจายไปทุกทิศทาง ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่กำลังโกรธเกรี้ยวปรากฏกายขึ้นในถ้ำ สายตากวาดมองไปที่ทะเลสาบทองคำที่ชุดคลุมออกศึกอันแสนล้ำค่าของเขาสถิตอยู่ในทันที ข้างชุดคลุมนั้นคือร่างอ้วนจนแทบระเบิดของหวังเป่าเล่อ ห่อหุ้มด้วยชุดเกราะจักรพรรดิลักอัคคี!

แสงเรืองรองของชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะนั้นจางลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวของมันดูเหี่ยวย่น แขนข้างหนึ่งกลายเป็นเพียงผิวหนังยวบยาบไร้กำลัง หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ข้างๆ กันนั้นยังคงเดินหน้าดูดพลังจาดชุดอย่างเต็มสูบ

โยวหรันคลั่งทันทีที่ได้เห็นฉากนี้ เขาตั้งใจว่าจะล่อผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลมาให้ติดกับในเรือรบ เพื่อล้างสมองทุกคนและเดินหน้าบูชายัญเลือดต่อไป โดยจำกัดความเสียหายเอาไว้ให้น้อยที่สุด เขามีพลังปราณอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ และยังมีสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นอีกมากที่ทำงานให้เขาอยู่บนเรือลำนี้

กระนั้น ทุกคนก็ยังไม่หายดีจากบาดแผลการต่อสู้มากมายเมื่อครั้งก่อน พวกเขาอาจจะเอาชีวิตรอดและชนะการต่อสู้ได้ แต่ก็คงยืนหยัดได้ไม่นานนัก นอกจากนี้เรือรบนี้ยังขาดส่วนประกอบสำคัญ ที่จะทำให้ผสานเข้ากับชุดคลุมออกศึกได้จนเป็นหนึ่ง จึงทำให้แสดงแสนยานุภาพจริงไม่ได้

วงแหวนปราณที่ปกป้องสำนักวังเต๋าไพศาลเอาไว้ รวมถึงพลังของเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรัน ทำให้โยวหรันเองยังไม่มั่นใจว่าแผนการของตนเองจะสำเร็จร้อยทั้งร้อย ที่สำคัญที่สุดคือ เขาไม่ต้องการจ่ายค่าเสียหายราคาแพงเพื่อชัยชนะในครั้งนี้

ด้วยเหตุนี้ตัวโยวหรันจึงเลือกการใช้กับดักแทนการโจมตีตรงๆ เขาตั้งใจว่าจะล้างสมองทุกคนก่อน และใช้พลังงานที่เก็บเกี่ยวมาจากร่างเหล่านั้น เป็นพลังงานหล่อเลี้ยงเรือรบ ซึ่งจะทำให้เขาหลอมรวมกับชุมคลุมเมื่อใดก็ได้ที่ตนเองต้องการ

หากทำสำเร็จ เขาจะสามารถบังคับเรือรบเต๋ามรณะได้ตามใจนึก และไปบุกสหพันธรัฐเพื่อจับทุกคนมาบูชายัญต่อ เมื่อทุกชีวิตในสหพันธรัฐกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับเรือรบเรียบร้อย ตัวเขาเองก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรือรบเต๋ามรณะในที่สุด!

แผนการของเขาดำเนินไปอย่างไร้อุปสรรค แต่เมื่อมาเจอว่าชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะที่เป็นหัวใจหลักของแผนชั่วร้าย กำลังถูกดูดพลังไปมหาศาลจนกลายเป็นซากไร้ชีวิตเช่นนี้ โยวหรันก็แทบสิ้นสติด้วยโทสะ!

ไอ้ห่าเอ๊ย มันเข้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน ดวงตาของโยวหรันกลายเป็นสีแดงก่ำ ศีรษะของเขาแทบจะระเบิดออก เขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธถึงขีดสุด

“ไอ้หวังเป่าเล่อ!”

บทที่ 656 มีบางอย่างผิดปกติ!
ขณะที่กำลังหนีออกมาพร้อมเจ้าเยี่ยเหมิง หวังเป่าเล่อได้เห็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกถึงบางสิ่งที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก ในตอนที่เมี่ยเลี่ยจื่อเงยหน้าขึ้นมานั้น ตัวเขาคนเดิมได้จากไปเรียบร้อยแล้ว

แม้จะไม่ได้สิ้นชีวิต แต่โอกาสที่เมี่ยเลี่ยจื่อจะกลับมาเหมือนเดิมได้อีกครั้งแทบจะเป็นศูนย์

“เราต้องออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!” ดวงตาของชายหนุ่มอัดแน่นด้วยความบ้าคลั่ง ร่างจริงของเขาที่ซ่อนตัวอยู่ที่ชั้นสาม ยังคงเดินหน้าดูดพลังจากชุดคลุมออกศึกอย่างไม่หยุดสิ้น จนทำให้เริ่มบวมพองขึ้นอย่างรวดเร็ว

แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจเรื่องความอ้วนอีกต่อไปแล้ว เจ้าเยี่ยเหมิงรู้ว่าสถานการณ์ของพวกเขาอันตรายเพียงใด นางเงียบขณะสร้างวงแหวนปราณที่ช่วยเพิ่มความเร็วของทั้งตนเองและหวังเป่าเล่อ

กระนั้นทั้งสองก็ยังเทียบศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่ติด นอกจากนี้เหล่าผู้ฝึกตนที่ถูกล้างสมองรอบกายเขายังทำให้อะไรๆ แย่ลงไปอีก โยวหรันไม่ได้ไล่ตามทั้งสองด้วยตนเอง เพียงแต่โบกมือส่งลูกสมุนราวเจ็ดแปดคนให้ไล่ล่าพวกเขาแทน!

“จับเป็นมาให้ข้า!” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันพูดอย่างไม่ใส่ใจ เขากำลังจะสำรวจดูกระเป๋าคลังเก็บของเมี่ยเลี่ยจื่อ แต่เสียงคำรามดังอุบัติขึ้นเสียก่อนที่ท้องฟ้าไกลราวกับอสนีบาตที่สะท้อนก้องในอากาศ ชั้นสองของเรือรบสั่นสะเทือน แรงระเบิดพุ่งผ่านอากาศเป็นริ้วๆ

พื้นดินสั่นสะท้าน ต้นไม้ใบหญ้าสั่นไหว หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงเองก็ตัวสั่นเช่นกัน ลมกรรโชกพัดเข้าใส่หน้า กลุ่มผู้ฝึกตนที่ไล่ล่าทั้งสองเองก็กำลังพบเจอชะตากรรมแบบเดียวกัน

แรงระเบิดรุนแรงที่ทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือนนั้น มาพร้อมกับร่างที่ปรากฏขึ้นในระยะไกล ร่างนั้นพุ่งเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูง พร้อมด้วยไม้วัดที่ปล่อยแสงเจิดจ้าลอยวนอยู่รอบกาย ร่างนั้นก็คือเฟิ่งชิวหรันนั่นเอง!

สภาพของนางดูย่ำแย่ไม่ต่างจากเมี่ยเลี่ยจื่อในตอนที่ปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในชั้นที่สอง ใบหน้าของเฟิ่งชิวหรันซีดเผือด ริมฝีปากอาบไปด้วยเลือด หากโยวหรันพูดจริงว่าได้ขังนางเอาไว้ในวงแหวนปราณ เฟิ่งชิวหรันก็คงต้องจ่ายค่าเสียหายราคาแพงเพื่อหลบหนีออกมา แรงระเบิดรุนแรงเมื่อก่อนหน้าอาจมาจากวงแหวนปราณที่ถูกทำลายลงก็เป็นได้

แต่ก็สายไปเสียแล้ว เมี่ยเลี่ยจื่อยื้อชีวิตตนเองเอาไว้ไม่ทันนางมา เมื่อเข้ามาใกล้มากขึ้น เฟิ่งชิวหรันก็เห็นใบหน้าไร้ความรู้สึกและไร้วิญญาณของเมี่ยเลี่ยจื่อ พร้อมด้วยโยวหรันที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ

ไม่จำเป็นต้องถามคำถามใดทั้งนั้น ภาพตรงหน้าบวกกับความเคลือบแคลงสงสัย ว่ามีสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นแฝงตัวอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาล ทำให้ทุกสิ่งชัดเจนแจ่มแจ้งในที่สุด ความมุ่งมั่นน่ากลัววาบเข้ามาในดวงตาของนาง ต่อให้ต้องตาย เฟิ่งชิวหรันก็จะต้องสังหารโยวหรันลงให้ได้ นางพุ่งเข้าหาเป้าหมายของตนเองทันทีโดยไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ !

“เจ้าทำลายวงแหวนปราณของข้าได้เสียด้วย เฟิ่งชิวหรัน… ดูเหมือนข้าจะประเมินเจ้าต่ำไป” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยิ้มบาง ก่อนโบกมือเพื่อเรียกเอาเมฆดำทะมึนกว้างใหญ่ออกมาจากร่าง เมฆนั้นลอยเข้าปกคลุมท้องฟ้าเป็นบริเวณกว้าง และพุ่งเข้าหาเฟิ่งชิวหรันทันที

ทั้งสองถูกห้อมล้อมโดยหมอกดำ เสียงระเบิดดังกึกก้องต่อเนื่องจากภายในม่านหมอก สะท้อนออกมายังบรรยากาศภายนอก หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายไม่ต่างกัน ผู้ฝึกตนที่โดนล้างสมองล้อมแต่ยังไม่ได้รับคำสั่ง ยืนยิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่ ส่วนฝ่ายที่ได้รับคำสั่งให้ไล่ล่าพวกเขานั้น ก็ยังคงตามอย่างไม่ลดละ ในขณะที่โยวหรันและเฟิ่งชิวหรันกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด

ในบรรดาผู้ฝึกตนแปดคนที่ตามพวกเขามา สี่คนมีปราณระดับจุติวิญญาณ ส่วนที่เหลืออยู่ในระดับกำเนิดแก่นใน หนึ่งในนั้นคือ… โจวชู่เต๋า!

หวังเป่าเล่อคิดว่าคงเป็นการยากหากจะรับมือพร้อมกันทีเดียวทั้งแปดคน ถึงแม้จะใช้ร่างที่แท้จริงของเขาก็ตาม และหากใช้ร่างอวตารโอกาสชนะนั้นยิ่งแทบจะเป็นศูนย์ ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายแน่วแน่ขณะรีบพูดออกคำสั่ง

“เยี่ยเหมิง เจ้าหนีไปก่อน หาที่หลบซ่อนตัวเพื่อรอให้คลื่นแทรกอ่อนกำลังลง จากนั้นก็จงเคลื่อนย้ายออกไปจากที่นี่เสีย!”

เจ้าเยี่ยเหมิงหาใช่สตรีธรรมดาไม่ เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่ นางมองหวังเป่าเล่ออยู่นานด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจ ก่อนจะพยักหน้าโดยไม่พูดสิ่งใดอีก เจ้าเยี่ยเหมิงรู้ดีว่าตนเองไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นางจึงยกมือขวาขึ้นจับผมของตน และตัดปอยหนึ่งออกเพื่อส่งให้หวังเป่าเล่อเก็บเอาไว้ ก่อนหันหลังจากไป

ความรู้สึกมากมายท่วมจิตใจของชายหนุ่ม เขาจับปอยผมของเจ้าเยี่ยเหมิงเอาไว้ ก่อนรีบเก็บมันเข้ากำไลคลังเวทและหันตัวจากไปเช่นกัน เสียงระเบิดกึกก้องดังลั่นทั่วท้องฟ้า ทะเลสายฟ้าอุบัติขึ้นห้อมล้อมร่างของชายหนุ่ม ร่างอวตารของเขากลายสภาพเป็นตาข่ายสายฟ้าขนาดใหญ่ ที่พุ่งเข้าใส่กลุ่มผู้ฝึกตนที่กำลังไล่ล่าตน

ทั้งแปดคนติดบ่วงในทันที เสียงระเบิดดังสะเทือนไปทั่ว ในขณะที่การต่อสู้ดำเนินต่อไป!

ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อเทียบชั้นผู้ฝึกตนทั้งแปดนั้นไม่ติด ตาข่ายสายฟ้าของเขาแทบจะสลายไปในทันที กลายสภาพไปเป็นเส้นสายฟ้า ก่อนก่อตัวขึ้นเป็นตาข่ายสายฟ้าอีกครั้ง แม้จะไม่ได้ส่องแสงเจิดจ้าเท่าครั้งแรก แต่ก็ยังพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ทั้งแปดด้วยความเร็วเท่าเดิม!

เสียงระเบิดดังก้องไปทั่ว ทั้งบนพื้นผิดและแผ่นฟ้า!

ศึกระหว่างเฟิ่งชิวหรันและโยวหรันกำลังดำเนินมาถึงจุดสำคัญ แม้เฟิ่งชิวหรันจะมีไม้วัด แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บจากการพยายามหนีออกจากวงแหวนปราณมาเมื่อก่อนหน้า นอกจากนี้ แม้พลังปราณของนางจะสูงกว่าเมี่ยเลี่ยจื่อ แต่ก็ยังต่ำกว่าโยวหรันอยู่เล็กน้อย โยวหรันนั้นใช้ความพยายามในการเก็บซ่อนความสามารถที่แท้จริงของตนเองเอาไว้ได้ดียิ่ง

โยวหรันค่อยๆ คืบคลานขึ้นมาเป็นต่อ…ส่วนศึกบนพื้นดินนั้นก็เริ่มดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน ตาข่ายสายฟ้าของหวังเป่าเล่อถูกทำลายลงเป็นครั้งที่สามภายในเวลาไม่กี่วินาที แต่ตัวชายหนุ่มเองยังมีสมบัติเวทเก็บสะสมเอาไว้อยู่มาก เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง ระฆังสูงตระหง่านแปดอันพุ่งเข้าครอบผู้ฝึกตนทั้งแปด กักขังทั้งหมดเอาไว้ภายใน

แต่ก็ทำได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณทั้งสี่ปล่อยพลังปราณของตนเองออก ส่งระฆังให้สะท้อนกลับไปอย่างไม่ใยดี แต่ก่อนที่จะทันได้พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ หอกสีดำก็พรวดเข้ามาก่อน ตามมาด้วยกระบี่บินที่ตกเหมือนห่าฝน กักขังทั้งสี่เอาไว้ในสนามรบอีกครั้ง

หวังเป่าเล่อโยนทุกสิ่งที่ตนเองมีใส่ ร่างอวตารของเขาถ่วงเวลาผู้ฝึกตนทั้งแปดเอาไว้ได้ ทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงหนีไปได้ทันท่วงที

ขณะที่การต่อสู้กำลังดำเนินต่อไปนั้น ร่างจริงของเขานั้นนั่งขัดสมาธิอยู่ในทะเลสาบทองคำที่ชั้นสาม และกำลังอ้วนถึงขีดสุด เขาไม่ได้ชะลอการดูดพลังจากชุดคลุมออกศึกแต่อย่างใด แต่กลับเพิ่มความเร็วขึ้นเสียด้วยซ้ำ หวังเป่าเล่อยังคงเดินหน้าสูบพลังจากชุดคลุมออกศึกอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าร่างจริงของเขาจะดูรับพลังงานเพิ่มอีกไม่ได้แล้วก็ตาม

พลังปราณที่ถูกหวังเป่าเล่อดูดกลืนมานั้น เดินทางมาถึงจุดที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบรับรุนแรง ผู้ฝึกตนที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่รู้สึกได้ในทันที ว่าเรือรบกำลังสั่นสะเทือนขึ้นฉับพลัน!

การสั่นสะเทือนนี้ทำให้คลื่นแทรกในเรือรบอ่อนกำลังลงอย่างมาก แม้จะยังไม่อ่อนแอพอให้เจ้าเยี่ยเหมิงฉวยโอกาสเคลื่อนย้ายออกไปได้ แต่ก็คงอีกไม่นานก่อนที่นางจะทำสำเร็จในที่สุด

นอกจากนี้ การสะเทือนของเรือรบยังทำให้เกิดผลกระทบตามมาเป็นลูกโซ่อีกด้วย ในชั้นแรกและชั้นที่สอง โลกทั้งใบภายในเรือรบกำลังสั่นไหว โยวหรันกำลังได้เปรียบเฟิ่งชิวหรัน ที่ถูกโจมตีให้ถอยร่นไปพร้อมเลือดที่ไหลไม่หยุดออกจากปาก เขาโบกมือและกำลังจะล้างสมองเฟิ่งชิวหรันได้สำเร็จ ในตอนนั้นเองที่เรือรบสั่นสะท้านส่งให้คลื่นแทรกอ่อนกำลังลง ความตกใจผุดขึ้นบนใบหน้าของโยวหรันในทันที!

“มีบางอย่างผิดปกติ!” ความรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากเข้าครอบงำจิตใจ เขารีบล่าถอยในทันที พร้อมสร้างผนึกมือชุดเพื่อปล่อยจิตสัมผัสของตนเองออกไปสำรวจสถานการณ์ ไม่นานนักดวงตาของโยวหรันก็เบิกกว้าง จิตของเขาที่เชื่อมโยงกับเรือรบทำให้มองเห็นได้ว่ากำลังเกิดสิ่งใดที่ชั้นสามของเรือ!

“ไอ้หวังเป่าเล่อ!” โยวหรันหายใจสะดุด ดวงตากลายเป็นสีเลือดขณะปล่อยเสียงร้องหลงด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาไม่สนใจเฟิ่งชิวหรันที่กำลังบาดเจ็บปางตายอีกต่อไปแล้ว แต่หันไปพุ่งใส่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อแทนด้วยความแค้น

หวังเป่าเล่อที่กำลังห้ำหั่นกับผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณสองสามคนอย่างดุเดือด ไม่มีเวลาหันมารับสถานการณ์แม้แต่น้อย พลังทำลายล้างที่พุ่งเข้าใส่เขานั้น ทำให้ร่างอวตารระเบิดออกในทันทีพร้อมด้วยเสียงดังจนหูแทบดับ!

สีหน้าของโยวหรันดูพร้อมสังหาร หลังจากที่ทำลายร่างอวตารของหวังเป่าเล่อลงเรียบร้อย เขาก็โบกมือส่งฝูงผู้ฝึกตนที่โดนล้างสมองไปจัดการเฟิ่งชิวหรัน สายฟ้าระเบิดกึกก้องทั่วท้องฟ้ารอบกาย รอยแยกปรากฏขึ้นบนท้องฟ้านั้น เปิดออกไปสู่ความมืดมิดไร้จุดสิ้นสุด ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเจ็ดถึงแปดคนก้าวออกจากรอยแยก ทุกคนเต็มไปด้วยบาดแผลจากศึกในอดีตที่ยังไม่หายดี กระนั้นก็ยังดีพอที่จะกลับมามีปราณระดับจุติวิญญาณได้

ทุกคนรู้สถานการณ์ดีและรีบพุ่งเข้าใส่เฟิ่งชิวหรัน โยวหรันกำลังว้าวุ่นกระวนกระวาย เขากระโจนออกไปด้วยความเร็วเต็มสูบ มุ่งหน้าไปยัง…ชั้นสามของเรือรบ!

บทที่ 655 ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้!
การปรากฏตัวขึ้นของเมี่ยเลี่ยจื่อและศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทำเอาหวังเป่าเล่อตกตะลึง ชายหนุ่มยิ่งตกใจไปมากกว่านั้นอีกเมื่อเห็นร่างนับสิบที่ตามหลังศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันมาติดๆ

ทุกๆ คนมีใบหน้าที่คุ้นเคย ส่วนมากเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่อยู่ในฝ่ายของโยวหรันและเมี่ยเลี่ยจื่อ ศิษย์เอกของโยวหรันอย่างโจวซู่เต๋าและหวงหยุนซานก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย!

ใบหน้าของพวกเขาดูเคร่งขรึม ทุกคนมีใบหน้าซีดเซียวราวกับว่าเสียโลหิตไปมาก ราวกับว่าวิญญาณของพวกเขาถูกปิดผนึกเอาไว้ แต่ทว่าทุกๆ คนในขณะนี้ยืนอยู่หลังศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอย่างพร้อมให้การสนับสนุน!

หวังเป่าเล่อพยายามนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน รวมไปถึงความรู้สึกระแวงที่มีต่อชายผู้นี้อยู่โดยตลอด ฉากตรงหน้านี้ยืนยันข้อสงสัยของชายหนุ่ม ความเป็นจริงมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว!

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทรยศหักหลังสำนักวังเต๋าไพศาล!

ความคิดนั้นเด่นชัดขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อขณะที่เขามองเห็นเมียเลี่ยจื่อใช้ผนึกฝ่ามือจำนวนมหาศาลเผื่อชะลออีกฝ่ายและพยายามหนี การระเบิดจากผนึกฝ่ามือนั้นเข้าไปปะทะกับการโจมตีที่มองไม่เห็นที่ถูกซัดตามหลังเขามาเป็นระยะ เห็นได้ชัดว่าเมี่ยเลี่ยจื่อบาดเจ็บหนัก แม้ว่าจะปัดป้องการโจมตีได้ แต่โลหิตก็ยังคงหลั่งไหลออกมาจากปากเขา ชายชราเดินเซ ก่อนจะเริ่มหัวเราะออกมาราวกับคนใกล้เสียสติ

“โยวหรัน เจ้าทำแบบนี้ทำไมกัน”

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันลอยตัวอยู่กลางอากาศ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยิน เสียงหัวเราะของเขามีบางสิ่งที่ดำมืดและลึกล้ำเกินกว่าจะคาดเดาเจือปนอยู่ เขาไม่ได้โจมตีอีกครั้ง หากแต่หยุดเพื่อตอบคำถามอย่างใจเย็น

“เมี่ยเลี่ยจื่อ เจ้ายังทำเป็นไขสืออยู่อีกหรือ เจ้าควรจะรู้ตั้งแต่ที่ข้าลอบโจมตีเจ้าแล้วนะ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะใช้การโจมตีที่รุนแรงที่สุดทั้งๆ ที่บาดเจ็บอยู่เช่นนั้นเพียงเพื่อหนีลงมาชั้นสองทำไม…เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะรู้ไม่ทัน เจ้าพยายามจะล่อเฟิ่งชิวหรันออกมาและร่วมมือกับนางใช่หรือไม่”

“เราเป็นเพื่อนกันมานาน เจ้าบอกข้าก็ได้หากเจ้าอยากจะถ่วงเวลา ข้าจะปล่อยให้เจ้าทำตามใจเลย” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยิ้มก่อนจะพูดกับเมี่ยเลี่ยจื่อ

ใบหน้าที่เจ็บปวดและซีดเซียวของเมี่ยเลี่ยจื่อหม่นหมองลงทันทีที่ได้ยินสิ่งที่โยวหรันกล่าว อีกฝ่ายคาดเดาถูกต้อง เมี่ยเลี่ยจื่อรู้คำตอบตั้งแต่ที่โยวหรันลอบโจมตีเขาแล้ว ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทรยศสำนักวังเต๋าไพศาล เมี่ยเลี่ยจื่อคิดไปถึงกระบวนเวทของตระกูลไม่รู้สิ้นทันทีเมื่อมองเห็นว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันสะกดคนเกือบทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลเอาใต้คาถาประหลาด

เป็นเหตุให้เมี่ยเลี่ยจื่อต้องสู้แบบถึงลูกถึงคนเพื่อจะฉีกแผ่นโลกและหนีลงมายังชั้นสอง เป้าหมายของเขาก็คือการตามหาเฟิ่งชิวหรัน ร่วมมือกับนาง และเอาชนะศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันให้ได้ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเลือกที่จะลอบทำร้ายเขาแทนที่จะสู้กับแบบต่อหน้า แปลว่าอีกฝ่ายเองก็คงไม่ทรงพลังถึงขนาดจะเอาชนะไม่ได้!

ความหวังยังคงมี!

แต่ทว่า ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันดูเหมือนจะรู้ทันความคิดของเมี่ยเลี่ยจื่อเสียแล้ว ความพูดน้อยของอีกฝ่ายเริ่มจะทำให้เมี่ยเลี่ยจื่อหวั่นวิตก

หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงซ่อนตัวอยู่ในภูเขาใกล้ๆ ขณะที่เมี่ยเลี่ยจื่อและศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันลอยตัวอยู่กลางอากาศ พวกเขาเฝ้ามองการต่อสู้อย่างตื่นตระหนก หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่หวังเป่าเล่อได้ไปพบมาในชั้นที่สาม เจ้าเยี่ยเหมิงก็สรุปได้อย่างรวดเร็ว

เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรากฏขึ้นของเรือรบ อันที่จริงแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังแผนการเหล่านี้ทั้งหมด การปรากฏตัวขึ้นของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนก่อนทำให้การเดาตัวตนที่แท้จริงของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั้นง่ายขึ้นไปอีก

หวังเป่าเล่อเองก็ได้คำตอบเช่นเดียวกันและตื่นตกใจอยู่เงียบๆ ร่างจริงของเขากำลังพยายามจะดูดซับชุดคลุมออกศึกให้หมดจด ไม่ว่าเขาจะต้องสะสมไขมันวิญญาณไว้มากเพียงใดก็ไม่สำคัญหากจะสามารถเร่งความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณจากชุดคลุมนี้ได้!

หวังเป่าเล่อเร่งมือรีบสูบพลังอีก บนท้องฟ้า นัยน์ตาของเมี่ยเลี่ยจื่อจู่ๆ ก็เป็นประกายประหลาด เขาจ้องมองไปยังศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก่อนจะถามขึ้นมาปุบปับ “เฟิ่งชิวหรันอยู่ไหน”

“ข้าชอบคำถามที่ตรงไปตรงมาของเจ้า” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยิ้มก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ

“เฟิ่งชิวหรันยังไม่ตาย ข้าจะยอมให้เจ้าทั้งคู่ตายได้อย่างไรกัน แต่อย่างไรเสียนางก็คงไม่มีทางมาถึงที่นี่ทันช่วยเจ้าหรอก นางติดอยู่ภายในวงแหวนปราณที่ข้าเตรียมมาสำหรับนางโดยเฉพาะ อีกอย่าง…” ตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันหรี่เล็กขณะที่เขาก้าวขาออกมาด้านหน้า เมี่ยเลี่ยจื่อถอยกรูดตามสัญชาติญาณ

แต่ทว่า เมี่ยเลี่ยจื่อก็บาดเจ็บหนัก แม้ว่าเขาจะเคลื่อนว่องไวเพียงใด ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็ตามมาทัน เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นในอากาศขณะที่ทั้งคู่ประมือกันอยู่บนฟ้า

การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว ผิวหนังของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันฉีกขาดออกเพราะแขนทั้งสี่ที่งอกออกมา และมือทั้งหกของเขาก็ประสานกันเป็นผนึกฝ่ามือจำนวนมหาศาล หมอกสีดำปรากฏออกมาและแปรสภาพกลายเป็นหม้อหลอมขนาดยักษ์ที่กระแทกเมี่ยเลี่ยจื่ออย่างแรง

เสียงกระแทกดังสนั่นดังขึ้น เมี่ยเลี่ยจื่อบ้วนโลหิตออกมากองใหญ่ เขาซวนเซก่อนจะปลิวไปชนกับภูเขาอย่างแรง ทำให้ภูเขาถึงกับถล่ม ขณะที่เมี่ยเลี่ยจื่อพยายามยันตัวลุกขึ้นยืน หม้อหลอมยักษ์ก็แปรสภาพกลายเป็นเส้นด้ายที่ชอนไชเข้าไปในร่างของเมี่ยเลี่ยจื่อ

เมี่ยเลี่ยจื่อตัวสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะกระอักเอาโลหิตออกมาเต็มปาก หน้าอกของเขายุบลงไป แขนข้างหนึ่งก็หัก ชายชราหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนจะยกศีรษะขึ้นอย่างยากเย็น ดวงตาทั้งคู่จับจ้องไปที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน

สีหน้าของอีกฝ่ายไม่เปลี่ยนแปลง โยวหรันยืดแขนทั้งหกออกอย่างเมื่อยขบก่อนจะฉีกยิ้ม

“เป็นเวลานานมาแล้วตั้งแต่ที่ข้าแสดงร่างจริงเป็นครั้งสุดท้าย แม้ว่าร่างกายของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลจะสะดวกสบายกว่ามากแต่ก็…อ่อนแอเกินไป!” เขาโคลงศีรษะก่อนจะทอดตามองไปไกล นัยน์ตาทั้งคู่กวาดมองขอบฟ้า ก่อนจะมองไปเห็นหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงที่หลบซ่อนตัวอยู่

แต่ทั้งสองไม่สำคัญแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเยี่ยเหมิงหรือหวังเป่าเล่อก็ตาม ทั้งสองเป็นเพียงแมลงในสายตาโยวหรัน แม้ว่าคนหนึ่งจะเป็นถึงศิษย์อุปถัมภ์และผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ แต่ตำแหน่งเหล่านั้นก็ช่างไร้ความหมาย สิ่งที่สำคัญก็คือระดับพลังปราณ!

ณ เวลานี้ โยวหรันสนใจเพียงแค่เมี่ยเลี่ยจื่อเท่านั้น เขาโบกมือหนึ่งครั้ง มีร่างเงานับสิบปรากฏขึ้นมาเบื้องหลังเขา พวกมันรายล้อมเมี่ยเลี่ยจื่อผู้เจ็บหนักเอาไว้ในพริบตา ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันย่างสามขุมเข้ามาหาเมี่ยเลี่ยจื่ออย่างแช่มช้า

หวังเป่าเล่อเห็นอย่างชัดเจนว่าโยวหรันกำลังพยายามควบคุมตนเองอย่างยากลำบาก ชายหนุ่มมีแววตามุ่งมั่นฉายขึ้นมาในแววตา ก่อนที่จะจับมือเจ้าเยี่ยเหมิงและพากันถอยหนีไปอย่างเร่งรีบ

เมี่ยเลี่ยจื่อสัมผัสกายมีอยู่ของพวกเขาได้ แต่ไม่ได้แม้แต่จะหันมามอง ดวงตาของเขานั้นยังคงดุร้าย แต่ความขมขื่นกำลังกลืนกินจิตใจ เขาไม่ได้ถือโทษการล่าถอยของหวังเป่าเล่อ หากเป็นเขาเอง ด้วยพลังปราณระดับกำเนิดแก่นใน เขาก็คงหันหลังหนีอย่างไม่คิดชีวิตเช่นกัน

ความรู้สึกขมขื่นนั้นเกิดขึ้นก็เพราะว่า หากเขาไม่ถูกลอบทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เขาก็คงไม่มาอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันมีพลังที่ซ่อนเร้นเอาไว้อีกด้วย จนเมี่ยเลี่ยจื่อไม่อาจจะรับมือได้ไหว ขณะที่เศร้าใจอยู่นั่นเอง ประกายแสดงกล้าก็ปรากฏขึ้นมาในแววตาของเมี่ยเลี่ยจื่อ

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันโคลงศีรษะก่อนจะใช้ผนึกฝ่ามืออีกครั้ง เส้นด้ายสีดำพุ่งออกมาจากร่างของเมี่ยเลี่ยจื่อและรัดเข้าเอาไว้อย่างแน่นหนา!

เมี่ยเลี่ยจื่อตัวสั่นอย่างแรง เส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆ เขาพยายามจะดิ้นหนีแต่ก็ไม่เป็นผล ทำได้เพียงแค่มองโยวหรันค่อยๆ ย่างก้าวเข้ามาหา

“เมี่ยเลี่ยจื่อ ข้านับถือจิตใจเจ้า ข้าจึงจะให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้ง ทุกๆ อย่างที่เจ้าเคยทำมาจะสาปสูญหากข้าประทับตราทาสลงบนกายเจ้า จิตใจของเจ้าจะเสียหายอย่างรุนแรง เจ้ารู้ดี อีกอย่างหนึ่ง สำนักวังเต๋าไพศาลพินาศไปแล้ว ไม่มีทางจะกลับมาเป็นเช่นเดิมอีก…คุกเข่าต่อหน้าข้า และข้าจะให้เจ้ามาเป็นนักรบคู่กาย ข้าสัญญาว่าภายในเวลาร้อยปีจะเปลี่ยนกายเนื้อของเจ้าให้ เจ้าจะได้มาเป็นสมาชิกที่แท้จริงแห่งตระกูลไม่รู้สิ้น!” มีแสงอันเยียบเย็นในดวงตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเมื่อเขาพูดจบ

เขาไม่ได้โกหกเมี่ยเลี่ยจื่อ มีคนสองคนเท่านั้นในสำนักวังเต๋าไพศาลที่โยวหรันชอบพอ หนึ่งก็คือเมี่ยเลี่ยจื่อ อีกคนคือศิษย์เอกของเขาตู้กูหลิน!

ทั้งสองเป็นผู้ที่เหมาะสมจะได้รับโอกาสในการเข้าร่วมตระกูลไม่รู้สิ้นในสายตาของโยวหรัน ส่วนคนที่เหลือนั้นเขาเกลียดชังนัก กระทั่งเฟิ่งชิวหรัน ผู้ที่อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ นางมีจิตใจอ่อนโยน ฉะนั้น จึงเป็นเพียงคนอ่อนแอ!

“คุกเข่าให้ตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างนั้นหรือ” เมี่ยเลี่ยจื่อระเบิดหัวเราะออกมา ไม่สำคัญแม้แต่น้อยว่าขณะนี้เขาจะถูกรัดอย่างแน่นหนาเสียจนกระทั่งความเจ็บปวดแล่นไปทั่วสรรพางค์กายจนกระทั่งตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ เสียหัวเราะของเขายังคงดังอยู่ต่อไป และดูเหมือนจะดังยิ่งขึ้นไปอีก

“ตัวข้าคนนี้ เมี่ยเลี่ยจื่อ อาจจะไม่ได้เป็นคนดีเด่น แต่ข้าก็เป็นศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาล ข้าคุกเข่าให้เพียงสวรรค์และบรรพชนแห่งสำนักวังเต๋าเท่านั้น ไม่คุกเข่าให้ใครอื่นอีก!”

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน ตระกูลไม่รู้สิ้นเป็นใครจึงคิดว่าข้าจะยอมคุกเข่าให้” แววตาเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนหน้าของเมี่ยเลี่ยจื่อ เขาพูดความจริง เขาไม่ได้เป็นคนดีเลยไม่ว่าจะมองจากมุมใด แต่ชายชราก็ยังมีหลักการดำเนินชีวิต และความภักดีของเขาก็มอบให้สำนักวังเต๋าไพศาลเพียงเท่านั้น!

แม้ว่ามือทั้งสองของเขาจะชุ่มไปด้วยเลือด และแม้จะเคยคิดสละสหพันธรัฐทั้งหมดเพื่อเป้าหมายของเขา แต่…ทุกๆ สิ่งที่เขาทำ ก็เพื่อความเกรียงไกรของสำนักวังเต๋าไพศาล ความภักดีและความทุ่มเทที่มีให้กับสำนักวังเต๋าไพศาลของเขานั้นไม่มีวันเสื่อมสลาย!

ขณะที่เสียงของเมี่ยเลี่ยจื่อดังกังวานไปถึงสวรรค์ ก็มีบางอย่างมาสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ชอบเมี่ยเลี่ยจื่อแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ในน้ำเสียงของอีกฝ่าย

เมี่ยเลี่ยจื่อกำลังพยายามยั่วโมโหให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันสังหารเขาเสีย!

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจับจ้องไปที่เมี่ยเลี่ยจื่อ ก่อนจะหรี่ตาลง เขาสะบัดมือขวาขึ้น หมอกสีดำที่กักขังเมี่ยเลี่ยจื่อเอาไว้แปรสภาพเป็นตัวอักขระโบราณสีดำที่เริ่มประทับลงไปบนผิวกายของเมี่ยเลี่ยจื่อ เขาตัวกระตุกอย่างแรง และหยุดหัวเราะไปในทันที สัญญาณชีวิตเริ่มจะลอยหายไปจากกายเขา

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันใช้ผนึกฝ่ามือออกมาอีกหลายครั้ง เมี่ยเลี่ยจื่อผู้ซึ่งชีวิตหลุดลอยออกไปแล้วจู่ๆ ก็ศีรษะขึ้นมา ดวงตาของเขา…สูญเสียสติสัมปชัญญะไปสิ้น

“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จงกลายเป็นทาสเสียเถิด”

บทที่ 654 ท้องฟ้าถล่ม!
การจะหลอมโอสถต้องใช้วัตถุดิบ ความร้อน และความรู้ความเข้าใจ แต่ทว่าหวังเป่าเล่อเป็นเจ้าแห่งการหลอมวัตถุเวท ชายหนุ่มจับผู้อาวุโสไว้ใต้สายฟ้าก่อนจะส่งสายฟ้าเข้าไปในร่างของคนตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างต่อเนื่อง ชายชราถูกแผดเผาจนร้อนฉ่าราวกับว่ากายของเขานั้นเป็นวัตถุเวทไปเสียแล้ว!

ความโหดร้ายของวิธีนี้เทียบเท่ากับการหลอมคนเป็นๆ ให้กลายเป็นโอสถก็ว่าได้

หวังเป่าเล่อกำลังโกรธจัด แต่ก็ยังไม่สิ้นสติไปเพราะโทสะ ชายหนุ่มกำลังหลอมส่วนที่เป็นกายหยาบของผู้อาวุโสเท่านั้น เมื่อกายหยาบนี้สลายเป็นผงไปเพราะสายฟ้าของเขา หวังเป่าเล่อก็ใช้มือขวาที่สร้างขึ้นสายฟ้า คว้าเข้าไปในกองขี้เถ้านั้น ก่อนจะหยิบเอาวิญญาณจุติออกมาดวงหนึ่ง!

วิญญาณจุตินั้นเป็นของผู้อาวุโส ทั้งอ่อนแอและยึดติดอยู่กับวิญญาณของเขา พร้อมจะแหลกสลายไปได้ทุกเมื่อ!

แม้ว่าระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อจะไม่สูงพอให้เขาเข้าไปค้นในวิญญาณได้ แต่ทว่าด้วยวิชาลับของศาสตร์มืด ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถบีบเอาข้อมูลออกมาจากวิญญาณนั้นได้บ้าง แต่ทว่าชายหนุ่มก็จะทำการนั้นผ่านร่างอวตาร ซึ่งอาจจะซับซ้อนอยู่สักหน่อย

ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นอาจจะอ่อนแอ แต่ทว่าความเกลียดชังในดวงตาก็แสดงให้เห็นว่าเขาคงไม่ยอมปริปากบอกสิ่งใดกับชายหนุ่มโดยง่ายเป็นแน่

มือขวาของหวังเป่าเล่อส่องสว่างไปด้วยสายฟ้า ชายหนุ่มเริ่มการสอบปากคำไปหนึ่งรอบอย่างไร้ผล หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้เสียเวลากับผู้อาวุโสอีกต่อไป เขาปิดผนึกดวงวิญญาณของผู้อาวุโสด้วยกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงก่อนจะโยนวิญญาณที่ผนึกแล้วนั้นไปทางเจ้าเยี่ยเหมิง

หญิงสาวเพิ่งจะฟื้นสภาพขึ้นมาหลังจากกลืนโอสถและพักผ่อน นางใช้ผนึกฝ่ามือและสลักอักขระโบราณเอาไว้บนวิญญาณก่อนจะเก็บเข้าไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ

ทั้งคู่มองหน้ากัน พวกเขามองเห็นความเคร่งขรึมในแววตาของกันและกัน

“ข้าพลัดหลงกับผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ เพราะเกิดไม่คาดฝันขึ้นภายในโม่หิน ข้าหาพวกเขาไม่พบ…” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดเบาๆ นางเงยหน้ามองหวังเป่าเล่อ ชัดเจนว่าหญิงสาวมีคำถามมากมายอยู่ในใจ ที่สำคัญที่สุดคือทำไมหวังเป่าเล่อจึงส่งเพียงร่างอวตารมาที่นี่เท่านั้น

“ข้าซ่อนตัวอยู่ในรอยแตกของโม่หิน…” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง จากนั้นจึงเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาให้นางฟังรวมถึงเหตุผลที่ส่งร่างอวตารมาที่นี่

เจ้าเยี่ยเหมิงฟังเรื่องการค้นพบชั้นที่สามและเสาใต้ดินด้วยสีหน้าจริงจัง เห็นได้ชัดว่านางกำลังตกใจเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่น่าตื่นตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือข้อมูลของชุดคลุมออกศึกของตระกูลไม่รู้สิ้นและการที่พวกเขาไปอยู่บนเรือรบเต๋ามรณะ!

การค้นพบนี้เกินความคาดหมายของเจ้าเยี่ยเหมิงไปมาก ใบหน้าของนางซีดขาว แม้กระนั้น นัยน์ตาของนางจะยังคงเรียบเฉย ไม่เจือจนด้วยความสับสนหรือตกใจ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนที่จะมีประกายส่องสว่างในดวงตา นางพูดออกมาอย่างรวดเร็ว

“เป่าเล่อ เจ้าต้องหาเฟิ่งชิวหรันให้เจอและบอกความจริงกับนาง!

“เห็นได้ชัดว่ามีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นซ่อนตัวอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้อาวุโสนั้นเป็นแค่หนึ่งในนั้น…เรื่องนี้อันตรายอย่างยิ่ง มันจะส่งผลต่อสำนักวังเต๋าทั้งหมด…รวมไปถึงสหพันธรัฐด้วย!”

“เป่าเล่อ หากข้าคาดเดาถูกต้อง สงครามระหว่างตระกูลไม่รู้สิ้นและสหพันธรัฐ…จะเกิดขึ้นในไม่ช้า! และสหพันธรัฐไม่ล่วงรู้ถึงอันตรายนี้เลย เราจะเสียเปรียบเป็นอย่างมาก!” ใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงไม่มีสีหลงเหลืออยู่อีกต่อไป หวังเป่าเล่อเองก็มีสีหน้าหมองหม่นเช่นกัน ชายหนุ่มเองก็คิดเช่นเดียวกัน แม้ว่าความเข้าใจสถานการณ์ของเขาจะดีกว่าบ้างก็ตาม

หวังเป่าเล่อได้ยินที่เจ้าเยี่ยเหมิงพูดแล้วก็หรี่ตาลง จากนั้นจึงกล่าวว่า “เยี่ยเหมิง เจ้าใช้วงแหวนปราณได้ดี หากข้าสามารถหยุดคลื่นรบกวนที่สถานที่นี้ปล่อยออกมา เจ้าจะสามารถใช้กระบวนเวทเคลื่อนย้ายได้หรือไม่

“หากเจ้าทำได้ เราต้องฉวยโอกาสนี้กลับไปที่สำนักวังเต๋าไพศาลทันที พวกเราต้องไปเตือนประมุขสำนักสวีและคนอื่นๆ ให้กลับไปที่สหพันธรัฐโดยเร็วที่สุด สหพันธรัฐจะต้องได้รับการเตือนทันทีเช่นกัน พวกเขาจะได้เตรียมตัว!”

เจ้าเยี่ยเหมิงเข้าใจความเคร่งเครียดของสถานการณ์ดี นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า

“ข้าสืบทอดวิชาวงแหวนปราณเอื้อชางโบราณมา ข้าสามารถใช้มันและจี้เคลื่อนย้ายเป็นฐานให้กับวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายระยะสั้นได้ พลังของมันน่าจะสู้กับคลื่นรบกวนได้ แต่ทว่า เจ้าจะต้องลดพลังคลื่นรบกวนให้ได้ก่อน!”

หวังเป่าเล่อมั่นใจว่าเขาทำได้แน่นอน ร่างจริงของเขาขณะนี้อยู่ในชั้นสาม และการดูดซึมพลังงานของชุดคลุมออกศึกษาแม้จะเชื่องช้าแต่ก็มั่นคง ยิ่งชุดคลุมออกศึกที่เป็นแกนของเรือรบเต๋ามรณะอ่อนแรงลงเท่าใด พลังในการขัดขวางการเคลื่อนย้ายของเรือรบก็จะอ่อนแรงลงด้วยเท่ากัน

ชายหนุ่มต้องการเวลาอีกสักหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะพร้อมให้เจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มการเคลื่อนย้าย

พวกเขาตกลงเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยก่อนจะเริ่มเดินทางตามหาเฟิ่งชิวหรัน พวกเขายังคงมองหากงเต๋าไปด้วยระหว่างทาง พวกเขาต้องหาเฟิ่งชิวหรันให้พบและบอกนางว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ต้องหากงเต๋าให้พบเพื่อที่จะได้หนีออกไปพร้อมกัน

แต่ถึงกระนั้น ชั้นที่สองนั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงใช้เวลาไปหลายวันแต่ก็ไม่พบกระทั่งร่องรอยของเฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ พวกเขาไม่อาจจะส่งเสียงดังได้อีกด้วย การพบกับผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นเมื่อครู่บ่งบอกว่าสถานที่นี้อันตรายเพียงใด พวกเขาต้องระมัดระวังไม่ให้พบกับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ด้วย

แม้ว่าความคืบหน้าของการค้นหาจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า พวกเขาก็ยังโชคดีในด้านอื่นๆ หวังเป่าเล่อสามารถจะดูดซับพลังของชุดคลุมออกศึกได้อย่างดี พลังของเรือรบในการปล่อยคลื่นรบกวนการเคลื่อนย้ายค่อยๆ อ่อนตัวลงอย่างช้าๆ

เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็จับตามองพลังของจี้เคลื่อนย้ายของนางอยู่ทุกๆ วัน จี้ส่องแสงสว่างขึ้นและคลื่นพลังที่ปล่อยออกมาก็รุนแรงขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน

“ตามการคำนวนของข้า หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ข้าจะสามารถเปิดจี้เคลื่อนย้ายได้ในอีกหนึ่งสัปดาห์และเราจะได้ออกไปจากที่นี่สักที!” จี้เคลื่อนย้ายนั้นเป็นความหวังของพวกเขา ทั้งคู่ได้พูดคุยกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว หากพวกเขาหาเฟิ่งชิวหรันไปพบก่อนหน้านั้น พวกเขาจะซ่อนตัวและเคลื่อนย้ายออกไปจากที่นี่เมื่อคลื่นรบกวนอ่อนแอลงมากพอ

หากจะต้องเลือกระหว่างชีวิตของทุกคนในสำนักวังเต๋าไพศาลและความปลอดภัยของสหพันธรัฐ พวกเขาทั้งคู่ย่อมต้องเลือกอย่างหลัง

เวลาผ่านไปอีกสามวัน หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงไม่พบกระทั่งร่องรอยของใครในช่วงสามวันที่ผ่านมา พวกเขาถอนใจก่อนจะเตรียมใจยอมแพ้ เมื่อกำลังมองหาที่ซ่อนตัวอยู่นั่นเอง ในทันใด…เพราะว่าการดูดกลืนพลังงานอย่างช้าๆ หรือเพราะสาเหตุอื่นใดไม่ทราบได้ แต่ก็เกิดเสียงกัมปนาทดังลั่นขึ้นบนท้องฟ้า!

เสียงกัมปนาทนั้นดังยิ่งกว่าฟ้าผ่าและสะท้อนไปทั่วโลกอันกว้างใหญ่ ฟังดูราวกับว่าสรวงสวรรค์กำลังแตกแยกออกเป็นเสี่ยง เสียงคำรามดังสนั่นปานสายฟ้านั้นสะท้อนก้องไปทั่วทั้งโลก หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงต่างก็ตกตะลึงตั่วแข็งทื่อกับเสียงที่ไม่คาดคิดนั้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ตรงเส้นขอบฟ้าไกลลิบๆ นั้น ปรากฏเป็นรอยแยกขนาดใหญ่ขึ้นมา!

วายุทมิฬฉีกทึ้งผ่านรอยแยกนั้นมาปรากฏอยู่ในชั้นที่สอง เสียงกัมปนาทยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง รอยแยกที่สอง ที่สาม ปรากฏขึ้นมาอีก ภายในเวลาสิบวินาที ท้องฟ้าก็ถูกฉีกขาดออกเป็นเสี่ยง!

เสียงดังสนั่นนั้นเขย่าโลกทั้งใบ ทั้งเศษดินและหินก็ตกใส่รอยแยก ทำให้ยิ่งถ่างกว้างขึ้นไปอีก ท้องฟ้าชิ้นขนาดเขื่องเริ่มร่วงหล่นลงมา!

ท้องฟ้านั้นเป็นฐานของพื้นชั้นบนที่หนึ่งของโลกใบนี้ ขณะที่มันถล่มลงมาและมีวายุทมิฬเบียดแทรกเข้ามาอยู่นั้นเอง เสียงโหยหวนของโครงกระดูกจากชั้นแรกก็ดังก้องมาแต่ไกล

ภาพนี้ทำเอาทั้งหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงผงะด้วยความตกตะลึง ทั้งคู่มีสีหน้าตื่นตกใจ หวังเป่าเล่อมองเห็นเงาร่างของคนๆ หนึ่งผ่านท้องฟ้าที่กำลังถล่มมาแต่ไกลๆ ร่างนั้นพุ่งทะยานผ่านไปราวกับดาวหาง คล้ายกับว่ากำลังหลบหนี ร่างนั้นก็คือ…เมี่ยเลี่ยจื่อ!

ผู้อาวุโสไม่ได้กำลังมุ่งตรงมาหาทั้งสองแต่อย่างใด แต่กำลังมุ่งไปที่ไหนสักแห่งหนึ่งใกล้ๆ บริเวณที่พวกเขาอยู่ เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น และดูเหมือนว่าเขากำลังตกที่นั่งลำบาก ใบหน้าก็ซีดขาวแต่นัยน์ตาวาวกล้าไปด้วยแรงโทสะ โลหิตไหลซึมออกมาจากปากของเขาไม่หยุด

ร่างอีกร่างหนึ่งพุ่งตามออกมารอยแยกเดียวกันราวกับว่าติดตามมา ร่างนั้นสวมใส่ชุดคลุมเต๋าและเปล่งรัศมีอันน่าสะพรึงกลัว อีกร่างนั้นก็คือ…ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั่นเอง

“เมี่ยเลี่ยจื่อ คิดว่าจะหนีพ้นอย่างนั้นหรือ เจ้ามีทางเลือกเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ…เข้าร่วมกับเราเสีย” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยิ้ม ก่อนจะก้าวออกมาจากรอยแยก พร้อมกับร่างอีกนับสิบที่พุ่งตรงตามหลังเขาเข้ามาในโลกใบนี้!

บทที่ 653 การหลอมด้วยสายฟ้า!
ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อมาอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสในพริบตา มีความบ้าคลั่งอยู่ในแววตาและจิตสังหารชัดอยู่ในหัวใจ หวังเป่าเล่อไม่อาจจะยับยั้งจิตสังหารของตนได้เมื่อมองเห็นเจ้าเยี่ยเหมิงบาดเจ็บหนักอยู่ต่อหน้าต่อตา ลมหายผู้อาวุโสถี่เร็วขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารนั้น ความหวาดกลัวทำเอาเขานิ่งเงียบไป

หวังเป่าเล่อมีจิตสังหารปกคลุมอยู่ทั่วกายอย่างหนักหน่วง ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นกัดปลายลิ้นของตนเองก่อนจะพ่นโลหิตออกมากองใหญ่

โลหิตแปรสภาพเป็นหมอกโลหิตที่แพร่กระจายออกไปหยุดไม่ให้หวังเป่าเล่อเข้ามาใกล้ หากเป็นร่างจริงของชายหนุ่ม เขาคงสามารถจะจัดการกับหมอกได้ในหมัดเดียวด้วยพลังจากเกราะจักรพรรดิลักอัคคี

ร่างอวตารนั้นไม่ได้ทรงพลังเท่ากับตัวจริง แต่มันก็ยังมีข้อได้เปรียบที่ร่างจริงไม่มีอยู่เช่นกัน นั่นก็คือ…ร่างกายที่เป็นสายฟ้านั้นสามารถแปรสภาพเป็นอะไรก็ได้หรือสลายไปเมื่อใดก็ได้!

ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อสลายไปทันทีที่กำแพงสีแดงฉานนั้นมาขวาง กลายเป็นทะเลสายฟ้าที่แพร่กระจายผ่านกำแพงไป แทนที่จะรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน สายฟ้านั้นค่อยๆ ไหลเข้าไปหาร่างของผู้อาวุโสก่อนจะแทรกตัวเข้าไปตามรูขุมขน!

ผู้อาวุโสกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ความรู้สึกที่เขามีตอนนี้คือเหมือนกันถูกฟ้าผ่า เนื้อของเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ขณะที่อวัยวะภายในก็กระตุกด้วยความรวดร้าว ความเจ็บปวดของการถูกกระแสไฟย่างร่างนั้นเลวร้ายยิ่งกว่ารูปแบบการทรมาณใดๆ ผู้อาวุโสรู้สึกราวกันว่ามีสายฟ้าลูกใหญ่มารวมตัวกับอยู่ในร่าง และกำลังจะระเบิดออกพร้อมกับฉีกร่างเขาเป็นเสี่ยงไปพร้อมกัน!

โลหิตไหลบ่าออกมาจากรูทวารทั้งหมดของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน และหัวใจของผู้อาวุโสเวลานี้ก็ถูกความกลัวเข้าครอบงำ ก่อนที่จะร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นกัดฟัด นัยน์ตาของเขาฉาบเคลือบไปด้วยความบ้าคลั่งขณะที่เขาชกกศีรษะของตนเองอย่างแรง!

“ออกไป!”

ศีรษะนั้นระเบิดออกกลายเป็นหมอกควันเนื้อและโลหิต หมอกโลหิตก่อตัวขึ้นมาเป็นหัตถ์โลหิตมายาที่เอื้อมมากำรอบร่ายกายผู้อาวุโสเอาไว้!

สายฟ้าที่ไหลบ่าอยู่ทั่วกายหยุดเคลื่อนไหวในบัดดล สายฟ้าหลายเส้นเคลื่อนตัวออกมาจากกายราวกับถูกดึงออกมาโดยหัตถ์โลหิตมายา

เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องง่ายๆ หากเขามีพลังเต็มที่ แต่เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสนั้นยากลำบากอย่างยิ่งกับระดับพลังปราณในปัจจุบัน เพราะว่าเขายังคงอ่อนแรงจากการรับระเบิดต้านทานวิญญาณของเจ้าเยี่ยเหมิงมา ทำให้พลังปราณของเขาตกจากขั้นจุติวิญญาณขั้นต้นมาสู่ขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุด ถึงกระนั้นผู้อาวุโสก็จะยังเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวสำหรับผู้ฝึกตนในขั้นกำเนิดแก่นในคนอื่นๆ แต่ว่าระดับปราณเท่านั้นไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับหวังเป่าเล่อแน่นอน!

สายฟ้าที่ไหลออกมาจากร่างผู้อาวุโสนั้นรวมตัวกันเป็นหน้าของหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของเขาส่องประกายเคียดแค้นไปยังหัตถ์โลหิต!

คลื่นพลังวิญญาณพวยพุ่งออกไปหยุดหัตถ์โลหิตมายาเอาไว้ หัตถ์นั้นอ่อนกำลังลง ส่งผลให้สายฟ้าที่หลั่งไหลออกมาเริ่มไหลกลับเข้าไปในร่างของผู้อาวุโส

ก่อนหน้านั้น สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนไหลบ่าเข้าไปสลายเผาข้างหนึ่งของผู้อาวุโสจนกลายเป็นผุยผง

ผู้อาวุโสกำลังจะเสียสติเพราะความกลัว เขาสัมผัสได้ถึงอวัยวะภายในที่กำลังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ด้วยสายฟ้า นัยน์ตาของเขาฉาบเคลือบไปด้วยความบ้าคลั่ง ขณะที่ชายชรายกมือขวาขึ้นทุบขยี้มือซ้ายจนแหลก!

สิ่งนี้คือกระบวนเวทที่ตระกูลไม่รู้สิ้นใช้เพื่อเพิ่มพลังมหาศาลในยระยะเวลาสั้น การทำลายมือนั้นเพิ่มพลังชีวิตให้กับเขา ผู้อาวุโสเลือกทำลายมือตัวเองเพื่อขอพลังเพิ่ม หัตถ์โลหิตมายาอีกอันหนึ่งปรากฏขึ้นและคว้าอากาศอีกครั้งหนึ่ง

พลังของหัตถ์โลหิตทั้งสองอันผสานกันรุนแรงพอที่จะดึงเอาสายฟ้าทั้งหมดออกจากกายได้!

“ออกไป!” ผู้อาวุโสคำราม เขาใช้แขนข้างที่เหลือกดหน้าอกอย่างแรง เสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้นข้างในกายขณะที่แขนอีกสองข้างระเบิดกลายเป็นผงไปท่ามกลางสายฟ้า ในที่สุดชายชราก็กำจัดเอาสายฟ้าทั้งหมดออกไปจากร่างได้สำเร็จ!

แต่สายฟ้าทั้งหมดนั้นก็ไหลออกมารวมตัวกันเป็นใบหน้าของหวังเป่าเล่ออีกครั้ง!

ช่างเป็นภาพที่แปลกตายิ่ง แม้ว่าผู้อาวุโสจะขับไล่พลังของหวังเป่าเล่อไปได้ แต่ความกลัวในใจก็ไม่ได้จางหาย ชายชรารู้ดีว่าเขายังคงอยู่ในอันตราย จึงล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว นัยน์ตายังคงส่องประกายอย่างบ้าคลั่ง ผู้อาวุโสต้องข่มความเจ็บปวดในใจเอาไว้ก่อนจะตะโกนออกมา

“ระเบิด!”

หัตถ์โลหิตมายาทั้งสองส่องแสงสีแดงแรงกล้าออกมา ก่อนจะหดตัวลงและระเบิดขึ้น!

แรงระเบิดกระจายออกไป สลายใบหน้าของหวังเป่าเล่อที่สายฟ้าสร้างขึ้นมาในบัดดล กลายเป็นเพียงสายฟ้าเส้นเล็กๆ ที่ค่อยร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน

ผู้อาวุโสยังคงไม่พอใจ ใบหน้าของเขายังซีดขาว เขายังคงล่าถอยต่อไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าที่จะอ้อยอิ่งอยู่ ชายชรารู้ดีว่าหวังเป่าเล่อสามารถสลับตำแหน่งกับร่างอวตารได้ในพริบตา และขณะนี้ผู้อาวุโสก็อ่อนแรงอย่างหนัก ระดับพลังปราณตกลงไปอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในขั้นต้นแล้ว!

หัตถ์โลหิตมายาทั้งสองที่ถูกทำลายไปนั้นเคยเป็นศีรษะของผู้อาวุโสมาก่อน เขาจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการระเบิดนั้นเช่นกัน แม้ว่าจะสามารถดูดซับพลังวิญญาณที่ใช้ไปแล้วกลับมาได้บ้างและงอกศีรษะออกมาได้ใหม่หากว่าเขาไม่ได้ระเบิดมันทิ้งไปเสียแล้ว แต่ตอนนี้ ผู้อาวุโสก็ไม่มีทางขยับได้มากนัก

ข้าขอเวลาอีกสักหน่อย ข้าจะจับเขากินทั้งเป็นเลย! ผู้อาวุโสคิดอย่างคั่งแค้นใจ ขณะที่เขากำลังล่าถอยไกลออกไป เสียงเย็นเยียบก็ดังขึ้นด้านหลังเขา

“เจ้าแก่ชั่วช้า ข้าอยากจะถามคำถามเจ้ามานานแล้ว เจ้ากล้าดียังไงถึงมาแตะต้องคนของข้า”

สายฟ้าที่กระจายอยู่บนพื้นลอยกลับขึ้นมาในอากาศและรวมตัวกันอีกครั้ง แปรสภาพกลายเป็นร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ ดูเหมือนกับใครสักคนที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากสายฟ้า สายฟ้าที่เหลือนั้นก็ลอยวนอยู่รอบร่างอวตาร เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง

ใบหน้าของผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นซีดขาว เขาเร่งฝีเท้าหนีให้เร็วขึ้นอีก การจู่โจมของหวังเป่าเล่อทำเอาชายชรากลัวจับใจ เขาใช้มือคู่ที่เหลืออยู่สร้างผนึกฝ่ามือขณะที่กำลังถอยหนี ผู้อาวุโสตั้งใจจะสละมือทั้งสองข้างเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้

แม้ว่าผู้อาวุโสจะเคลื่อนไหวเร็วเพียงใด ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อก็สร้างขึ้นมาจากสายฟ้า ด้วยการเคลื่อนที่เพียงก้าวเดียว สายฟ้าสีดำจำนวนมหาศาลก็พวยพุ่งแหวกอากาศ ส่งเสียงคำรามลั่นขณะที่มุ่งหน้าไปหาผู้อาวุโส บ้างก็ไปตกบนหอกดำที่ปักอยู่ไกลออกไป งัดมันขึ้นมาและพามันพุ่งตรงไปหาผู้อาวุโสจากทิศตรงข้าม กระบี่อีกสองเล่มที่เหลืออยู่จากชุดกระบี่เหาะเหินสามสีพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับหมู่มวลสายฟ้า

ผู้อาวุโสถูกล้อมรอบด้วยสายฟ้าแทบจะในทันที ขณะที่สายฟ้าพุ่งเข้าสู่ร่างกายที่กระตุกอยู่ตลอดเวลานั้นเอง หอกดำก็พุ่งเข้ามา ปักทะลุท้องและยึดตัวเขาติดกับพื้น กระบี่เหาะเหินทั้งสองตามหลักมาไม่ห่าง ก่อนจะยึดแขนทั้งสองข้างเอาไว้ หยุดการเคลื่อนไหวของผู้อาวุโสไว้โดยสมบูรณ์

หวังเป่าเล่อไม่ได้จ้องมองผู้อาวุโสเลยด้วยซ้ำ ชายหนุ่มมองไปยังเจ้าเยี่ยเหมิงแทน

“เยี่ยเหมิง เจ้าแก่ชั่วนั่นบอกเจ้าหรือไม่ว่าเขาจะสังหารเจ้าเพราะเหตุใด เขาวางแผนจะทำสิ่งใดกับเจ้ากันแน่”

หวังเป่าเล่อถาม ชายหนุ่มมองเห็นว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าเยี่ยเหมิงมาจากการที่พลังปราณของนางถูกดูดเอาไป แต่ไม่อันตรายถึงชีวิต เขาจึงเลือกที่จะพุ่งเป้าไปที่การจับกุมผู้อาวุโสก่อนมาดูอาการนาง

เจ้าเยี่ยเหมิงอาจจะหมดเรี่ยวแรงอยู่ในตอนนี้ แต่ว่าจิตใจของนางนั้นแข็งแกร่งมากโดยตลอด หญิงสาวบังคับตนเองให้เข้มแข็งเมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อปรากฏกายขึ้น ความอ่อนแรงกลืนกินนางอยู่อย่างช้าๆ แต่เมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อ นางก็รู้สึกปลอดภัย หัวใจของนางสงบ เจ้าเยี่ยเหมิงเงยหน้าขึ้นมองผู้อาวุโสที่อ่อนแรงพอกันเมื่อได้ยินคำถามของหวังเป่าเล่อก่อนจะตอบออกมาอย่างยากเย็น “เขาจะหลอมข้าเป็นโอสถ”

ใบหน้าอันเคร่งเครียดของหวังเป่าเล่อหม่นหมองลงไปอีก ชายหนุ่มหลุบศีรษะลงมองที่ผู้อาวุโสที่ตัวสั่นเทา จากนั้นจึงพยักหน้าครั้งหนึ่ง

“ดีละ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะหลอมเจ้าเป็นโอสถเสียเอง” เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นกดลงที่หน้าอกของผู้อาวุโส สายฟ้าปะทุออกมาจากกายเข้าปกคลุมร่างของผู้อาวุโสไว้จนทั่ว หวังเป่าเล่อจะหลอมผู้อาวุโสด้วยสายฟ้า!

เสียงตะโกนด้วยความเจ็บปวดดังสนั่นไปหมด!

บทที่ 652 เจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว!
นางเก็บระเบิดต้านทานวิญญาณพี่บิดามอบให้ไว้เป็นไพ่ตายสุดท้าย เสียงกัมปนาทดังสนั่นก้องไปทั่วเมื่อระเบิดต้านทานวิญญาณทำงาน ผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณล่าถอยอย่างบ้าคลั่ง พลางโยนซัดเอาทั้งคาถาและวัตถุเวทเพื่อป้องกันตัว แต่ทว่า ชายชรายืนอยู่ใกล้เจ้าเยี่ยเหมิงเกินไป

ไม่ว่าจะตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเพียงใด แม้ว่าจะเคลื่อนย้ายตัวเองออกไปก็ตาม ก็ยังคงช้าเกินไปก้าวหนึ่ง ระเบิดต้านทานวิญญาณเป็นอาวุธที่สหพันธรัฐคิดค้นขึ้นมา หลุมดำที่เกิดขึ้นมาจากแรงระเบิดและอำนาจการปิดผนึกพลังปราณได้ทำเอาผู้อาวุโสส่งเสียงคำรามลั่นด้วยแรงโทสะต่อหน้าต่อตาเจ้าเยี่ยเหมิง

กระดูกสีขาวโพลนทิ่มทะลุออกมาจากอก แรงระเบิดมหาศาลนั้นกวาดผ่านใบหน้าเขา บดขยี้ชิ้นส่วนร่างกายของเขาจนกลายเป็นก้อนเนื้อ ก่อนจะแหลกสลายกลายเป็นจุณไป!

ทุกอย่างเกินขึ้นในพริบตาเดียว เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บดังก้องไปทั่วเมื่อร่างขอผู้อาวุโสถูกทำลายและหลุดเป็นชิ้นๆ กระทั่งกระดูกก็ยังแตกสลาย หากเป็นใครอื่นก็คงจะตายทันที แต่ทว่าผู้อาวุโสยังเดินเขยกออกมาได้ แสงสว่างจ้าสีแดงส่องสว่างออกมาจากภายในร่าง แสงนั้นส่องสว่างออกมาจากกระดูกของเขา!

แขนหกข้างพุ่งออกมาจากร่างกายที่แหลกสลายนั้น สร้างรูขนาดใหญ่จำนวนมากบนเนื้อตัวเขา มีตุ่มเนื้อขนาดใหญ่อยู่บนคอทั้งสองข้างของเขา ที่ระเบิดออกมาเป็นศีรษะสองอัน!

ดูราวกับว่ามีร่างอีกร่างหนึ่งซ่อนอยู่ภายในร่างของผู้อาวุโสมาโดยตลอด ร่างของผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นเพียงเปลือกนอก ร่างที่แท้จริงของเขาคือสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นต่างหาก!

ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นเผยตัวออกมาจากร่างของผู้อาวุโสอย่างรุนแรง ลมหายใจของเจ้าเยี่ยเหมิงสะดุดเพราะความตกตะลึง ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นต้องใช้มือยันพื้นเพราะซวนเซ ก่อนจะตั้งตัวได้และหยุดนิ่งไม่ไหวติงอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมา โลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปาก ร่างนั้นหอบหายใจและปกคลุมไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ แม้ว่าร่างผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลจะช่วยลดแรงกระแทกไปบ้าง การโจมตีอันรุนแรงนั้นก็สร้างความเสียหายให้ร่างจริงไปไม่น้อยเช่นกัน!

ผู้อาวุโสมีใบหน้าบึ้งตึง และดวงตาสีแดงฉานที่จับจ้องมายังเจ้าเยี่ยเหมิงอย่างอาฆาตมาดร้ายนั้นเปี่ยมไปด้วยความอ่อนล้า

“เจ้าเกือบจะสังหารข้าได้…ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทำได้ถึงเพียงนี้ ข้าคงจะประมาทเจ้าไปหน่อย!” ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าในภาษาของสำนักวังเต๋าไพศาล เจ้าเยี่ยเหมิงผงะถอยหลัง ลมหายใจของนางไม่สม่ำเสมอ

นางเริ่มรู้สึกเสียดายขึ้นมา เพราะในครั้งนี้นางได้สู้สุดความสามารถ หญิงสาวไม่ได้ทำพลาด หากว่าคู่ต่อสู้ของนางไม่ใช่คนตระกูลไม่รู้สิ้นแต่เป็นผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล เจ้าเยี่ยเหมิงก็คงจะสังหารทั้งร่างกายและวิญญาณของเขาไปจนสิ้นแล้ว

คงจะเป็นโชคชะตาที่กำหนดมาเช่นนี้…เจ้าเยี่ยเหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก มีความขมขื่นอยู่ในใจ แต่ไม่ใช่ความสิ้นหวัง นางยอมรับโชคชะตา ก่อนจะหรี่ตาลง นางยกมือขวาขึ้นแตะหน้าผาก

หากไม่มีทางให้นางเอาชนะการต่อสู้ในครั้งนี้ นางก็คงยอมจะจบชีวิตตัวเองเสียดีกว่าจะถูกหลอมเป็นโอสถที่ส่งเสริมกำลังศัตรู เจ้าเยี่ยเหมิงยอมตายดีกว่ายอมแพ้!

ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นรีบพุ่งตัวออกมาปรากฏตัวตรงหน้านางทันทีที่เจ้าเยี่ยเหมิงยกมือขึ้น และตบมือของเจ้าเยี่ยเหมิงออกไปอย่างแรง ร่างของหญิงสาวปลิวออกไปชนกับกำแพงศิลา

โลหิตทะลักออกมาจากริมฝีปากของนาง ดวงตาของเจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มพร่าเลือน นางกัดกรามแน่น ไม่ยอมส่งเสียงออกมาแม้แต่คำเดียว หญิงสาวพยายามลืมตาอย่างยากเย็น ก่อนจะจับจ้องไปยังผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นที่ย่างสามขุมเข้ามาตาไม่กะพริบ

“ข้าต้องขอชื่นชมเจ้า แต่เจ้าไม่มีสิทธิจะตาย ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำลายตัวเองเสียหรอก! ข้าจะต้องหลอมคนเป็นๆ เท่านั้น โอสถจึงจะมีประสิทธิภาพสูงที่สุด โอสถนั้นจะพาข้ากลับไปยังจุดสูงสุดของระดับปราณของข้า นี่คือโชคชะตาของเจ้า”

ผู้อาวุโสหรี่ตาลง น้ำเสียงของเข้าเปี่ยมไปด้วยอำนาจ ชายชราก้าวขาออกมาและกำลังจะเข้าถึงตัวเจ้าเยี่ยเหมิงจู่ๆ ก็ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น เขายกแขนขึ้นวาดผนึกฝ่ามือก่อนจะซัดออกไปทางขวา

ในวินาทีนั้น มีร่างๆ หนึ่งพุ่งออกมาจากด้านขวาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า แต่ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นก็ยังเร็วกว่า และคว้ามันเอาไว้ได้ขณะที่มันพุ่งออกมา!

ร่างนั้นเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่ง!

เมื่อผู้อาวุโสคว้ามันไว้ หุ่นเชิดนั้นก็ระเบิกขึ้นทันที ก่อนที่จะถูกเขาขยี้จนเละ เสียงระเบิดดังสนั่นกระจายไปในอากาศ ผู้อาวุโสมีใบหน้าบึ้งตึง เมื่อมองเห็นหุ่นเชิดเจ็ดถึงแปดตัวที่พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง

ลมหายใจของเจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มขาดช่วงเมื่อมองเห็นบรรดาหุ่นเชิด เริ่มมีสัญญาณชีวิตไหลกลับเข้ามาในดวงตาของนาง

“ลูกไม้ชั้นต่ำ!” นัยน์ตาของผู้อาวุโสฉาบเคลือบไปด้วยความเกลียดชัง เขาเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บรุนแรงมา แถมยังไม่ได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ทำให้ตอนนี้ร่างของเขายังอยู่ในขั้นจุติวิญญาณขั้นต้น อันที่จริงแล้ว หลังจากแรงระเบิดของระเบิดต้านทานวิญญาณ ทำให้พลังปราณเขาผู้อาวุโสตกลงมาอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น แต่ความมั่นใจของเขายังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง!

เมื่อบรรดาหุ่นเชิดพุ่งเข้ามาใส่ ผู้อาวุโสก็ย่อตัวลง ก่อนจะกำมือทั้งหกและชกลงไปในดินไปพร้อมๆ กัน

คลื่นพลังวิญญาณพุ่งทะลักออกมาเสียงสนั่น พุ่งเข้ากระแทกหุ่นเชิดที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา

ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นกระโจนขึ้นในอากาศก่อนจะพุ่งตรงไปยังเจ้าเหยี่ยเหมิงอีกครั้ง มือก็ใช้ผนึกฝ่ามืออยู่ไม่หยุดหย่อน สร้างเปลวเพลิงลุกโหมกระหน่ำขึ้นมาอีกครั้ง ผู้อาวุโสวางแผนจะหลอมเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยกำลัง ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหอนที่เจือไปด้วยความบ้าคลั่ง ดุร้าย และกระหายเลือด ดังขึ้นมาเบื้องหลังเขา ราวกับสายฟ้าฟาดที่พุ่งทะลุทะลวงอากาศ!

“เจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว!”

เสียงคำรามดังสนั่นนั้นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะแปรสภาพเป็นลำแสงสีดำสนิทที่พวยพุ่งออกไปข้างหน้าราวกับดาวหาง แสงสีดำอันพร่ามัวนั้นมีพลังรุนแรงมหาศาล ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นแสดงความตกใจออกมาทางแววตาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งแรกคือตอนที่เจ้าเยี่ยเหมิงใช้ระเบิดต้านทานวิญญาณตรงหน้าเขา

ชายชราไม่รอช้า ไม่มีเวลากระทั่งจะจับเจ้าเยี่ยเหมิงมาบังเป็นโล่ห์มนุษย์ เขารีบเคลื่อนย้ายห่างออกไปหลายร้อยเมตรทันที ลำแสงสีดำหักเหอย่างว่องไวขณะที่ร่างของผู้อาวุโสหายไป แสงนั้นเลี้ยวผ่านหน้าเจ้าเยี่ยเหมิงไปโดยที่ไม่ได้ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย ราวกับว่ามีเป้าหมายอยู่ที่ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นเท่านั้น แสงยังคงพุ่งตรงเข้าไปหาเขาอย่างไม่ลดละ!

ลำแสงนั้นคือหอกดำ มันพุ่งผ่านความว่างเปล่าอย่างรวดเร็วไปหาผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นผู้ ซึ่งไม่สามารถจะเคลื่อนย้ายอีกครั้งได้เพราะอาการบาดเจ็บ หอกดำพุ่งเข้าปะทะอย่างแรง

ลมหายใจของผู้อาวุโสเริ่มขาดช่วง มือทั้งหกผสานกันเข้ามาเป็นผนึกฝ่ามือ ฝ่ามือประสานกัน ลายเส้นสีดำพุ่งประสานกันก่อตัวเป็นหน้าปีศาจ

ภาพใบหน้านั้นปะทะเข้ากับหอกดำ ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นที่ดังก้องสะท้อนไปในอากาศ หอกดำหยุดลงในที่สุด และสายฟ้าสีดำก็ปะทุออกมาจากหอกที่ถูกหยุดนั้นก่อนจะขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีร่างหนึ่งก้าวออกมาจากสายฟ้า และค่อยๆ ขยายขนาดจากเท่าฝ่ามือมาเท่าตัวคน ร่างนั้นซัดกำปั้นออกมาอย่างรวดเร็ว!

กำปั้นนั้นไม่มีแรงเสริมจากเกราะจักรพรรดิลักอัคคี แต่ก็ยังเป็นกำปั้นที่รุนแรงที่สุดที่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อจะชกได้ กำปั้นนั้นใช้พลังของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงผนวกกับระเบิดกำเนิดดวงดารา สายฟ้าปะทุออกมาโดยรอบเมื่อกำปั้นนั้นพุ่งเข้าชนเป้า ก่อนจะรวมตัวกันเป็นสายฟ้าลูกใหญ่ที่ระเบิดใส่หน้าของผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างจัง!

สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนปะทุอยู่ไปมาบนพื้นที่แตกระแหก ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นเจ็บหนักมาจากระเบิดต้านทานวิญญาณของเจ้าเยี่ยเหมิงอยู่แล้ว กำปั้นของหวังเป่าเล่อจึงส่งเขากระเด็นถอยหลังไปก่อนจะบ้วนเอาโลหิตออกมาจากปาก

การโจมตีนี้ทำให้ผู้อาวุโสไม่อาจจะต้านทานหอกดำไว้อีกต่อไป หอกพุ่งตรงออกไปข้างหน้า ศีรษะของผู้อาวุโสเริ่มตึงเครียด เขาเอี้ยวตัวไม่ให้หอกปักโดนอวัยวะสำคัญ หอกจึงพุ่งเสียบทะลุหัวไหล่เขาไป!

โลหิตกระจายไปทั่วพื้น ขณะที่ผู้อาวุโสล่าถอยพร้อมๆ กับส่งเสียงคำรามคลั่ง

“หวังเป่าเล่อ เจ้า…”

ชายหนุ่มตามเข้ามาถึงตัวก่อนที่ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นจะพูดจบประโยค เขาปรากฏตัวขึ้นได้ไวราวกับสายฟ้า หวังเป่าเล่อจะใส่ร่างอวตารเข้าไปในร่างของผู้อาวุโสเพื่อจะระเบิดออกมาจากภายใน!

บทที่ 651 เจ้าเยี่ยเหมิงผู้น่าสะพรึงกลัว!
สายฟ้าเปล่งประกายอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อขณะที่เขาพุ่งตัวออกไปหากองเสื้อผ้าเก่าขาดเปื้อนโลหิต ชายหนุ่มเรียกหุ่นเชิดออกมารอบกายและออกคำสั่งให้พวกมันค้นในบริเวณนั้นให้ทั่ว

ขณะที่หวังเป่าเล่อค้นหาไปทั่วบริเวณอย่างบ้าคลั่ง เจ้าเยี่ยเหมิงก็อยู่ในหุบเขาที่ห่างจากเขาไปประมาณห้าสิบกิโลเมตร นางเพิ่งจะกระอักเอาโลหิตออกมากองใหญ่ ใบหน้าของนางซีดเซียว ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง มือทั้งคู่กำเข็มทิศเอาไว้อย่างแน่นหนา

เข็มทิศนั้นส่องแสงสว่างจ้าที่ประกอบตัวกันเป็นเกราะป้องกันที่ล้อมรอบกายนางเอาไว้ แสงนั้นอ่อนแรงลงทุกที ดูราวกับว่าเกราะนั้นจะอยู่ได้อีกเพียงไม่นาน

เปลวไฟสีฟ้าลุกไหม้อยู่ด้านนอกเกราะป้องกันนั้น ขังเจ้าเยี่ยเหมิงเอาไว้ด้านใน ใบหน้าจำนวนมหาศาลผุดออกมาจากในเปลวไฟนั้น ก่อนจะพุ่งเข้าชนเกราะกำบังอย่างต่อเนื่องพลางส่งเสียงร้องโหยหวนไปที่นาง

เกราะป้องกันนั้นกันพวกมันเอาไว้ได้ในตอนนี้ แต่ว่าแสงของมันก็จางลงทุกทีๆ อุณหภูมิภายนอกพุ่งสูงขึ้นขณะที่เปลวไฟสีฟ้ายังคงลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง ผู้อาวุโสคนหนึ่งยืนอยู่กลางเปลวเพลิง เขาสวมใส่เสื้อคลุมของสำนักวังเต๋าไพศาลและเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณจากฝ่ายของเมี่ยเลี่ยจื่อ นัยน์ตาของเขาส่องประกายกล้าขณะที่จับจ้องไปยังเจ้าเยี่ยเหมิงผู้ซึ่งติดอยู่ภายในเกราะกำบังนั้น ก่อนที่จะหัวเราะด้วยเสียงแหบพร่า

“ไม่เลวเลย ที่ยังเก็บซ่อนวิธีเอาตัวรอดมาไว้จนป่านนี้” ผู้อาวุโสหัวเราะ เขาไม่ได้ดูกลัดกลุ้มกับเกราะกำบังแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาทั้งคู่จับจ้องไปที่เจ้าเยี่ยเหมิงอย่างพินิจพิเคราะห์และหิวโหย

“แม่นางน้อย ข้ามองเห็นความสามารถของเจ้าตั้งแต่การทดสอบแย่งชิงใบต้นไฮยาซิน เจ้าไม่ได้ใช่สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติธรรมดาๆ ทวารทั้งเจ็ดของเจ้าเปิดออกหมดแล้ว ไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าจะเป็นวัตถุชั้นเลิศในการหลอมโอสถโพรงวิญญาณ ช่างหายากเสียจริง!” ผู้อาวุโสฉีกยิ้ม ความหิวกระหายใจแววตาทวีคูณขึ้น ก่อนจะยกมือทั้งสองประสานกันเป็นผนึกฝ่ามือจำนวนมาก ส่งผลให้เปลวไฟสีฟ้ายิ่งเผาไหม้อย่างรุนแรงยิ่งขึ้น เปลวไฟโลมเลียเกราะป้องกันที่มีเจ้าเยี่ยเหมิงอยู่ด้านใน ผู้อาวุโสโจมตีต่อเนื่องโดยการลอยตัวไปรอบๆ เจ้าเยี่ยเหมิงก่อนจะทุบผนึกฝ่ามือลงกับแผ่นดิน

อักขระเวทโบราณจำนวนมหาศาลปรากฎออกมาล้อมรอบหญิงสาวเอาไว้ และเปลวไฟก็พุ่งสูงตามไปด้วย เจ้าเยี่ยเหมิงตัวสั่นและกระอักเอาโลหิตออกมาอีกเต็มปาก แขนทั้งสองข้างของนางสั่นเทาจนกระทั่งเข็มทิศแทบจะหลุดมือ

นางไม่ได้พยายามเช็ดโลหิตออกจากริมฝีปาก กลับกัน เจ้าเยี่ยเหมิงเงยหน้าขึ้นจ้องเยือกเย็นไปทางผู้อาวุโสที่กำลังยิ้มเผล่ แววตาของเขาดูน่าสะพรึงกลัวขึ้นเรื่อยๆ ชายชราติดตามนางมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว เจ้าเยี่ยเหมิงมองไม่เห็นใครตั้งแต่นางฟื้นคืนสติมา นางเดินทางอย่างระมัดระวังโดยไม่ได้พบเจอกับอันตรายมากมาย กระทั่งมาพบกับผู้อาวุโสคนนี้

ศัตรูของนางมีเป้าหมายชัดเจน ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตำแหน่งที่อยู่ของนางมาโดยตลอด ก่อนจะเข้าปรากฎตัวและจู่โจมนางทันที หากไม่ใช่เพราะได้วัตถุเวทล้ำค่าที่ได้รับมอบมาจากบิดาที่ช่วยปัดป้องการโจมตีของเขาออกไป เจ้าเยี่ยเหมิงก็คงจะตายไปแล้ว

แต่ทว่าถึงแม้จะมีวัตถุเวทดังกล่าวในครอบครอง ตอนนี้นางก็ติดกับ เจ้าเยี่ยเหมิงรู้ดีว่าผู้อาวุโสจะไม่สังหารนางทันที เพราะเขาต้องการใช้นางเป็นวัตถุดิบในการหลอมโอสถโพรงวิญญาณ!

เจ้าเยี่ยเหมิงกัดริมฝีปาก นางไม่โกรธและก็ไม่ได้จะพูดอะไรกับคู่ต่อสู้ พลังปราณของนางหมุนวนอยู่ภายในกาย และแม้ว่ากำลังจะหมดแรง แต่นางก็ไม่ได้หยุดปล่อยพลังงานเข้าไปในเข็มทิศ เข็มทิศนั้นเป็นอาวุธเวทระดับแปดที่นางพกติดตัวมาด้วยจากสหพันธรัฐ อาวุธเวทนี้ควรจะช่วยรักษาชีวิตนาง เจ้าเยี่ยเหมิงได้สร้างผนึกขึ้นมาอันหนึ่งหลังจากได้รับวิชาวงแหวนปราณเอื้อชางโบราณมาและสลักผนึกนั้นเอาไว้บนเข็มทิศนี้ ซึ่งช่วยเพิ่มพลังให้มันอีกต่อหนึ่ง

เข็มทิศตอนนี้กำลังทำงานอย่างเต็มที่ ร่วมกับพลังของจี้ที่ห้ออยู่บนคอนาง เจ้าเยี่ยเหมิงจึงสามารถต้านทานการโจมตีจากผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณได้ แต่ทว่า นางรู้ดีว่าพลังของจี้นั้นกำลังลดถอยลงไป เมื่อใดก็ตามที่มันหมดไป นางก็คงไม่อาจจะป้องกันต่อไปได้ด้วยวงแหวนปราณเพียงอย่างเดียว

เจ้าเยี่ยเหมิงทำทุกทางเพื่อจะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ตลอดเวลาสามวัน นางทิ้งร่องรอยโลหิตของตนและกองเสื้อผ้าขณะที่หลบหนี เพื่อเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือ แต่กระนั้น นางก็ไม่ได้พบกับใครเลยในโลกนี้ กำลังใจของหญิงสาวกำลังเสื่อมถอย ไม่ว่านางจะมีความอดทนสักเพียงใดก็ตาม

อย่างไรก็ตาม เจ้าเยี่ยเหมิงก็ยังไม่หมดหวัง!

นางไม่ใช่คนอ่อนแอ นางมีความทะเยอทะยาน มีความฝัน และความเชื่อเป็นของตนเอง ภายใต้ใบ้หน้าที่สงบนิ่งเรียบเฉยมีเปลวไฟร้อนแรง ที่อาจจะแผดเผาทั้งผู้อื่นและตัวนางเอง!

เจ้าเยี่ยเหมิงรู้ดีว่า ณ จุดนี้คงไม่มีใครมาช่วยนางได้ ความมุ่งมั่นฉาบเคลือบอยู่ในแววตาเมื่อนางพยายามส่งสัญญาณให้ผู้อาวุโสมองเห็นนางใช้ผนึกฝ่ามือ เข็มทิศของนาง ที่น่าจะทนได้อีกสักหน่อย จู่ๆ ก็สั่นไหวอย่างรุนแรงและเกิดระเบิดขึ้น!

แรงระเบิดจากอาวุธเวทระดับแปดไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เจ้าเยี่ยเหมิงได้สลักผนึกแห่งวงแหวนปราณโบราณเอื้อชางลงไปบนเข็มทิศนั้น ทำให้แรงระเบิดยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก เสียงกัมปนาทดังสนั่นปะทุขึ้น ก่อนจะก่อตัวเป็นลมหมุนที่พวยพุ่งออกไปทั่วทุกสารทิศ

เปลวไฟสีน้ำเงินหดตัวลงและสั่นไหวจนเกือบจะดับสลาย มวลหมู่ภูเขาส่งเสียงร่ำร้องและหดตัวถอย การโจมตีนั้นคงจะฝากรอยแผลไว้ให้กับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณได้เลยหากใช้ได้ตอนไม่ทันตั้งตัว แต่แววตามุ่งมั่นจนน่ากลัวในตาของเจ้าเยี่ยเหมิงแสดงให้เห็นชัดเจนเกินไป คู่ต่อสู้สัมผัสได้ถึงการโจมตีของนาง และมีเพียงเสียงหัวเราะเยาะที่ดังสะท้อนมาในอากาศ ขณะที่ตัวผู้อาวุโสถอยหนีและหลบแรงกระแทกจากการระเบิดที่กระจายออกไปพร้อมลมพายุ ชายชรายกมือขวาขึ้นคว้าอากาศ เปลวไฟสีฟ้าที่ดูจะอ่อนแรงลงไปเมื่อครู่นี้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งอย่างรุนแรง ก่อนจะแปรสภาพเป็นหัตถ์ลุกไหม้ขนาดยักษ์ที่เอื้อมคว้าออกไปทางเจ้าเยี่ยเหมิง!

เจ้าเยี่ยเหมิงมีท่าทีสงบแม้ว่าความพยายามของจะล้มเหลวและทำให้ตอนนี้นางตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าเดิม แต่ทว่า นัยน์ตาของนางก็มีประกายแห่งความตื่นตระหนกและสิ้นหวังฉายอยู่ขณะที่นางถอยหนีและปล่อยพลังปราณออกมาจนถึงขีดสุด หญิงสาวไม่อาจจะหลบหนีการจับกุมได้ด้วยพลังปราณของนางที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในและอาการบาดเจ็บในขณะนี้ หัตถ์ขนาดยักษ์จับตัวเจ้าเยี่ยเหมิงได้แทบจะในทันที และดึงตัวนางไปอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทันที

“แม่สาวน้อย แผนการของเจ้ายังอ่อนหัดนัก…” ผู้อาวุโสฉีกยิ้ม แล้วจู่ๆ ก็ยกมือขวาขึ้นอย่างปุบปับ ก่อนจะคว้าเอาจี้ห้อยคอของเจ้าเยี่ยเหมิงก่อนจะขว้างออกไปไกล จี้หอยคอระเบิดออก ส่งคลื่นกระแทกอันรุนแรงยิ่งกว่าการระเบิดของเข็มทิศออกไปทั่วทุกทิศทาง ใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงซีดขาวลงถนัดตา

“การระเบิดครั้งก่อนหน้าก็เพื่อจะหลอกให้ข้าตายใจ โดนหวังว่าการระเบิดครั้งที่สองจะได้ผล แม่นางเอ๋ย เจ้านี่ช่าง…” เจ้าเยี่ยเหมิงขัดจังหวะผู้อาวุโส โดยการซัดเข็มเหาะเหินออกมาจากปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย!

“แผนหลอกเด็ก!” ผู้อาวุโสคำรามออกมาพร้อมส่งสายตาจงเกลียดจงชัง ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นจับเข็มที่พุ่งตรงไปยังหน้าผากของเขาเอาไว้ได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนสีไปทันทีที่สัมผัสโดนเข็ม มันสลายกลายเป็นฝุ่นสีเทาที่ล่องลอยพุ่งไปยังดวงตาทั้งสอง

ผู้อาวุโสหลับตาลงตามสัญชาตญาณ ใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงยังคงซีดเผือด แต่ความตื่นตระหนกและสิ้นหวังในแววตาบัดนี้มลายหายไปสิ้น ถูกแทนที่ด้วยความดุร้าย หญิงสาวยกมือขวาขึ้น จรดปลายนิ้วชี้เข้ากับนิ้วหัวแม่มือก่อนจะกดลงอย่างแรง!

มีวัตถุเล็กๆ ฝังตัวอยู่ตรงปลายนิ้วหัวแม่มือของเจ้าเยี่ยเหมิง ดูเหมือนว่ามันจะถูกปลุกขึ้นด้วยการกดอย่างแรงนั้น ลำแสงแรงกล้าสองสายปรากฏขึ้นมาจากปลายนิ้วนั้น อันหนึ่งเป็นสีแดง อีกอันเป็นสีขาว!

แสงสีขาวห้อมล้อมกายเจ้าเยี่ยเหมิงเอาไว้ก่อนจะกลายเป็นเกราะลูกโป่งอากาศ ขณะที่แสงสีแดงนั้นพุ่งตรงเข้าหาผู้อาวุโสขั้นจุติวญญาณทันที หากจ้องมองให้ลึกเข้าไปยังแสงสีแดงแล้ว ก็อาจจะเห็นผลึกขนาดจิ๋วที่ถูกบีบอัดมานับครั้งได้ถ้วน!

คลื่นพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากผลึกเล็กจิ๋วนั้น ก่อนที่มันจะพุ่งชนผู้อาวุโสก่อนที่เขาจะตั้งรับได้ทัน เกิดเป็นการระเบิดดังสนั่น!

มีเกราะกำบังปรากฏขึ้นในวินาทีเดียวกัน เกราะนั้นดูเหมือนว่าจะสามารถจับปราณวิญญาณได้ และทำหน้าที่ปิดผนึกพลังปราณของเป้าหมาย แรงสะท้อนกลับอย่างรุนแรงจากปราณวิญญาณนั้นก่อตัวเป็นหลุมดำขนาดเท่ากำปั้นที่มีแรงดูดอันทรงพลัง ราวกับว่าสามารถจะฉีกทึ้งทำลายทุกสรรพสิ่ง!

สิ่งนี้ก็คือ…การผสานรวมระหว่างวิทยาการที่ก้าวหน้าที่สุดของสหพันธรัฐเข้ากับพลังวิญญาณ…หรือระเบิดต้านทานวิญญาณนั่นเอง!

ผู้อาวุโสส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดท่ามกลางแรงระเบิดอันน่าสะพรึงกลัว กายเนื้อของเขาสลายเป็นเศษเนื้อขณะที่ปลิวกระดอนถอยหลังไป เจ้าเยี่ยเหมิงเอง แม้ว่าจะเจ็บหนัก แต่ก็ถอยหลังกลับมาภายใต้เกราะกำบังจากแสงสีขาวได้สำเร็จ แต่กระนั้น เกราะกำบังก็ยังไม่อาจคุ้มครองนางได้เต็มที่ หญิงสาวกระอักเอาโลหิตออกมากองใหญ่ ขณะนี้ร่างกายของนางอ่อนล้าถึงขีดสุด แต่ประกายแสงในแววตานั้นไม่ได้จางหายไป ในแววตาของเจ้าเยี่ยเหมิงนั้นไม่แสดงอาการอ่อนแอหรือสิ้นหวังออกมาแม้แต่นิดเดียว

ไม่ใช่ความอ่อนด้อยประสบการณ์แต่อย่างใดที่นำพาให้เจ้าเยี่ยเหมิงแสดงความอาฆาตมาดร้ายหรือความตื่นกลัวออกมาทางแววตา การระเบิดเข็มทิศและจี้ห้อยคอก็เพื่อเป็นนกต่อ นางต้องการจะให้อีกฝ่ายมั่นใจในความสำเร็จ มากพอที่จะไม่ทันระวังตัว เพื่อที่นางจะได้ใช้การโจมตีที่รุนแรงที่สุดได้อย่างเต็มที่!

เจ้าเยี่ยเหมิงรู้ดีว่ามีโอกาสเพียงครังเดียวเท่านั้น นางจึงได้วางแผนนี้มาอย่างรัดกุมถึงขีดสุด!

อย่างงามถ้าสามารถปฏิบัติภารกิจนี้ได้สำเร็จ ทำให้มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะลองเสี่ยง!”

แม่นางน้อยอธิบายอย่างละเอียด น้ำเสียงของนางดูสุขุมนุ่มนวล ไม่ได้แฝงไว้ซึ่งความหนักใจ หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขาเห็นด้วยกับการคาดการณ์ของแม่นางน้อย แต่ก็รู้จักนิสัยนางดี ถ้านางอธิบายละเอียดเช่นนี้แสดงว่านางต้องมีทางออก ชายหนุ่มกระแอมไอ เอ่ยชมสักพักหนึ่งก็ถามถึงหนทางจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างกังวลใจ

“ง่ายจะตาย ก็แค่เรียกหาศิษย์พี่ของเจ้า เขาคงจัดการได้ด้วยคมดาบเดียว” แม่นางน้อยแค่นเสียงไม่พอใจกับการเอ่ยชมของชายหนุ่ม

หวังเป่าเล่อเงียบไป ถึงจะรู้ว่านั่นคือวิธีที่ง่ายที่สุด แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเรียกหาศิษย์พี่ได้อย่างไร จึงถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้น

“แล้วถ้าข้าลองขู่ผู้อยู่เบื้องหลังล่ะ ข้าจะบอกไปว่าศิษย์พี่ของข้าเป็นราชันลำดับหนึ่ง การสังหารข้าก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย คิดว่าจะสำเร็จไหม”

แม่นางน้อยเริ่มรู้สึกผิดที่กวนชายหนุ่มไปเช่นนั้น ความคิดของเขาทำให้นางต้องแปลกใจ ถึงกระนั้นก็ดูจะเป็นแผนที่สมเหตุสมผล นางรีบพูดขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน “เลิกเสียเวลากับความคิดบ้าๆ เสียที ศัตรูของเจ้าอาจจะอยากฆ่าเจ้ามากขึ้นถ้าดันบอกไปว่าตัวเองเป็นใคร ตรงหน้าเจ้าคือโอกาสอันหายาก ถึงจะใส่ชุดไม่ได้ แต่เจ้าก็ดูดพลังออกมาได้ ใช้เมล็ดดูดกลืนสูบพลังปราณให้เหี้ยน เจ้าอาจจะช่วยตัวเองและคนอื่นๆ ให้รอดได้”

สิ่งที่นางพูดฟังไม่เห็นเข้าท่าเลยสักนิด หวังเป่าเล่อกำลังจะเอ่ยถามรายละเอียดเพิ่ม แต่แม่นางน้อยก็เงียบหายไป ไม่รู้ว่านางหลับใหลไปอีกครั้งหรือแค่แสร้งทำ

ชายหนุ่มถอนหายใจ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งดวงตาก็ฉายแววมุ่งมั่น การประกาศตัวตนของตนเองดูจะเป็นการเสี่ยงเกินไป หากไม่เข้าตาจนจริงๆ ก็คงไม่น่าจะต้องใช้วิธีนี้ ดูดพลังจากชุดคลุมออกศึกน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดในตอนนี้

หวังเป่าเล่อไม่ลังเลใจ ส่งร่างอวตารเดินลงทะเลสาบสีทองตรงเข้าไปหยุดอยู่หน้าชุดคลุมออกศึก เขาตรวจชุดคลุมออกศึกจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดแปลก จากนั้นก็หลับตาลงและตั้งผนึกมือ ร่างจริงที่นั่งอยู่บนชั้นสองหยิบกระเป๋าคลังเวทออกมาวางและตั้งผนึกมือขึ้นเช่นกัน ร่างอวตารและร่างจริงพลันสลับที่กันด้วยวิชาอัสนีนิรันดร์จำแลงเหมือนกับการเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา!

ร่างอวตารไปปรากฏอยู่บนชั้นสอง ด้านในม่านป้องกันสีฟ้า ขณะที่ร่างจริงไปโผล่อยู่กลางทะเลสาบสีทองในถ้ำ หวังเป่าเล่อนั่งลงข้างชุดคลุมออกศึก เมล็ดดูดกลืนตื่นขึ้น เริ่มดูดพลังจากชุดคลุมผ่านรูโหว่ตรงหน้าผาก!

ชุดคลุมออกศึกเริ่มสั่นไหวเมื่อถูกสูบเอาพลังออกไป พลังปราณจำนวนมากพวยพุ่งออกมาจากรูโหว่ตรงหน้าผากไหลหลากเข้าสู่ร่างกายของหวังเป่าเล่อ!

ปราณวิญญาณมากมายเป็นดังคลื่นถาโถม เมล็ดดูดกลืนตื่นเต้นดีใจ รีบสูบเอาอย่างบ้าคลั่ง ส่งปราณวิญญาณไหลเวียนไปทุกส่วนในร่างกายของชายหนุ่ม ฝักกระบี่ด้านในเริ่มตื่นตัวและดูดเอาพลังปราณเช่นกัน

ชุดคลุมออกศึกพยายามต้านแรงสูบสุดกำลัง แม้จะชะลอหวังเป่าเล่อลงได้ แต่ถ้าให้เวลาสักพัก เขาก็สามารถสูบเอาพลังปราณออกมาจนหมดได้!

ร่างอวตารที่ชั้นสองหยิบเอากระเป๋าคลังเวทขึ้นมาและพุ่งตรงไปยังม่านกำบังสีฟ้าอย่างไม่ลังเลใจ มันตั้งใจจะออกไปตามหาคนอื่นๆ และบอกเรื่องทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อพบให้ทุกคนทราบ

การจะทะลุออกไปจากด้านในม่านกำบังสีฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยหากเปรียบเทียบกับการเข้ามาจากด้านนอกแล้ว นอกจากนี้ ร่างอวตารยังมีกระเป๋าคลังเวทที่ข้างในเต็มไปด้วยอาวุธเวท แม้จะไม่มีพลังกายจากหวังเป่าเล่อช่วย แต่ระดับพลังปราณของมันก็เทียบเท่ากับชายหนุ่ม จึงน่าจะสามารถผ่านออกไปได้

หอกสีดำปรากฏขึ้นในสองมือ ร่างอวตารร้องคำรามและแปลงกายเป็นทะเลอัสนีเข้าล้อมรอบหอก หอกสีดำพุ่งตรงเข้าใส่ม่านกำบัง แม้มันจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็สามารถทนได้ไหว ร่างอวตารแปลงกายกลับเป็นร่างมนุษย์หลังจากหลุดออกไปได้ สายอัสนีแผ่พุ่งรอบตัว นำทางหอกสีดำพุ่งไปตามหาคนอื่นๆ ไม่หยุดพัก

แต่หวังเป่าเล่อก็สามารถคุมได้ในระยะจำกัด ดินแดนชั้นที่สองนั้นกว้างใหญ่มาก แม้จะมีระดับพลังปราณสูง แต่ก็ยังติดข้อจำกัดเรื่องระยะทางที่ร่างอวตารสามารถออกไปไกลห่างร่างจริงได้ ส่งผลให้มันสามารถตามหาได้แค่ภายในระยะทางที่จำกัด

ชายหนุ่มจึงส่งหุ่นเชิดทั้งหมดที่มีออกไปตามหาช่วยอีกแรง ขณะที่ร่างอวตารก็ออกวิ่งตามหาให้ไกลที่สุดเท่าที่ทำได้

ร่างอวตารนั้นได้รับการเสริมพลังมาหลายครั้ง จึงสามารถควบคุมได้เป็นอย่างดี กองทัพหุ่นเชิดก็ช่วยออกตามหาได้รวดเร็วขึ้นกว่าที่เขาตัวคนเดียวจะทำได้

วันคืนผ่านไป ร่างจริงของหวังเป่าเล่อยังคงสูบเอาพลังปราณจากชุดคลุมออกศึก ส่วนร่างอวตารและเหล่าหุ่นเชิดก็ออกตามหาคนอื่นๆ ไม่หยุดพัก ในที่สุด หุ่นเชิดตัวหนึ่งก็จับสัญญาณผู้ฝึกตนได้จากพลังวงแหวนปราณผสานกับคาถาที่บริเวณหนึ่ง นั่นคือสัญญาณว่าเกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่!

หุ่นเชิดพบรอยเลือดสดใหม่และเศษชุดคลุม หวังเป่าเล่อตื่นตระหนกเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์ผ่านดวงตาของร่างอวตาร!

เยี่ยเหมิง!

บทที่ 649 ชุดคลุมออกศึก!
สิ่งนั้นไม่ได้มีสัมผัสของอาวุธเทพ เป็นแค่นิ้วมือธรรมดาสร้างขึ้นจากคลื่นพลังที่ทำให้หวังเป่าเล่อแทบจะหยุดหายใจ ราวกับว่าเพียงแค่นิ้วหักงอเข้าสัมผัสก็สามารถทำให้ร่างของเขาสลายกลายเป็นฝุ่นผงได้!

หัวใจของเขาเต้นถี่รัวเมื่อความกังวลเข้าถาโถมใส่ ชายหนุ่มนั่งใคร่ครวญด้วยแววตาเคร่งเครียด ก่อนจะเตรียมตัวเปิดรูโหว่และส่งร่างอวตารเข้าไปอีกครั้ง

ร่างอวตารพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็วเมื่อเข้าไปในเสาค้ำได้ มันไม่ได้ดำลึกลงไปแต่ทะยานขึ้นด้านบน พยายามอยู่ตรงจุดกึ่งกลาง ร่างโชกไปด้วยของเหลวสีม่วง จากนั้นก็ปลดปล่อยแรงเหวี่ยงส่งของเหลวสีม่วงพัดกระจายออกไป

ความโกลาหลที่เกิดขึ้นดึงความสนใจเหล่าตัวตนน่าสะพรึงกลัวภายในเสาค้ำทันที ลำแสงสีทองนับสิบพุ่งตรงมาทางร่างอวตารทันที

ตอบสนองช้ากว่าที่คิด… หวังเป่าเล่อหรี่ตาครุ่นคิด ลำแสงที่พุ่งตรงมาเจาะผ่านร่างอวตารทันที เขาเห็นตัวตนของลำแสงก่อนร่างอวตารจะแหลกสลายไปหมด ลำแสงเหล่านั้นคือแขนขาและส่วนต่างๆ ของร่างกายในสภาพหักงอ!

ทุกส่วนล้วนมีสีทอง!

แต่ละส่วนนั้นไม่ได้มาจากร่างเดียวกัน กลุ่มลำแสงสีทองจากไปหลังจากทำลายร่างอวตารของชายหนุ่มเสร็จ หวังเป่าเล่อเตรียมตัวไว้พร้อมอยู่แล้วจึงปล่อยร่างอวตารอีกร่างเข้าไปในเสาค้ำอย่างไม่ลังเลใจ

“ลองดูอีกรอบว่าพวกมันตอบสนองเร็วแค่ไหน!” ชายหนุ่มพูดพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะพุ่งความสนใจไปที่ร่างอวตาร

ร่างอวตารทะยานขึ้นสูงอย่างรวดเร็วทันทีที่เข้าไปในเสาค้ำ พยายามก่อความโกลาหลภายในและคอยรักษาตำแหน่งให้อยู่จุดกึ่งกลาง ไม่นาน…ร่างอวตารก็ถูกทำลายย่อยยับ

แขนขาพวกนั้นคิดเองไม่ได้ พวกมันโจมตีตามสัญชาตญาณ…ถึงจะแข็งแกร่งแต่ก็มีช่องโหว่ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็ลองดูอีกรอบทันที

ชายหนุ่มลองอีกครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…เจ็ดครั้ง แปดครั้ง เก้าครั้ง…เขาต้องกินโอสถมากมายเพื่อฟื้นฟูพลังปราณที่เสียไปเป็นจำนวนมากพร้อมกับปล่อยร่างอวตารนับไม่ถ้วนออกไปไม่หยุดหย่อน พวกมันเป็นเหมือนเครื่องบูชายัญที่ต้องส่งไปตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ร่างอวตารกลายเป็นเหยื่อล่อ คอยโจมตีที่เดิมซ้ำๆ ล่อเหยื่อให้มารวมตัวกัน ณ จุดเดียว!

การลวงล่อของชายหนุ่มทำให้ตัวตนสีทองมารวมตัวกันมากขึ้น ผ่านไปพักใหญ่ หวังเป่าเล่อที่หน้าซีดเผือดก็ต้องเห็นภาพร่างอวตารถูกทำลายไปอีกครั้ง ร่างกายของเขาเหมือนโดนสูบพลังไปจนหมด แต่ก็ยังส่งร่างอวตารอีกตนออกไปพร้อมกับโบกมือเรียกกระบี่บินเล่มหนึ่งให้ติดตัวมันไปด้วย ครั้งนี้ ร่างอวตารไม่ได้ลอยขึ้นไปเหมือนเดิม แต่กลับพุ่งตัวลงไปแทน!

มันดำลงไปลึกกว่าที่ร่างอวตารตัวก่อนๆ เคยไปถึง เหล่าตัวตนสีทองได้ไปรวมตัวอยู่บริเวณด้านบนทำให้ร่างอวตารสามารถดำลึกลงมาได้อย่าง่ายดาย

ร่างอวตารพุ่งผ่านชั้นที่สองไปถึงดินแดนที่ไม่รู้จัก ตอนนั้นเองเหล่าชิ้นส่วนร่างกายสีทองถึงจะตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น!

หวังเป่าเล่อเห็นบางอย่างเรืองแสงด้านนอกเสาค้ำ แต่ยังไม่ทันจะได้ตรวจสอบให้ละเอียด ชิ้นส่วนร่างกายสีทองสภาพแตกหักก็พุ่งแหวกของเหลวสีม่วงตรงมาหา ก่อนที่พวกมันจะตรงเข้าโจมตี ร่างอวตารก็อ้าปาก ปล่อยกระบี่บินสีแดงทะยานออกไป!

กระบี่เล่มนั้นคือกระบี่ที่ทรงพลังที่สุดในหมู่กระบี่บินสามสี มีพลังเทียบเท่ากับอาวุธเวทระดับเก้า

ร่างอวตารปล่อยพลังหนุน สายฟ้ามากมายพลันปรากฏรอบกระบี่เสริมพลังและความเร็วเพิ่มขึ้น กระบี่พุ่งตรงไปยังผนังเสาค้ำ แม้เสาค้ำจะแข็งหนาและสามารถฟื้นสภาพได้ไว แต่การโจมตีเมื่อครู่ก็เปิดช่องว่างเล็กๆ ขึ้นได้!

ช่องว่างที่เปิดออกกว้างไม่ถึงสามเซนติเมตร เป็นเพียงแค่รอยข่วนเล็กๆ บนเสาค้ำใหญ่โต มนุษย์หรือหุ่นเชิดไม่สามารถลอดผ่านไปได้ แต่ร่างอวตารของเขาสร้างขึ้นจากอัสนี มันแปลงกายเป็นสายฟ้าพุ่งตามกระบี่ลอดผ่านช่องว่างไปในพริบตา!

กระบี่บินสีแดงไม่สามารถผ่านไปได้ ช่องว่างปิดตัวลงทันใดหลังจากร่างอวตารผ่านออกไป ทิ้งกระบี่ให้ติดอยู่ภายในเสาค้ำ

หวังเป่าเล่อปวดใจที่ต้องเสียกระบี่ไป แต่ก็ไม่มีเวลามัวมาคร่ำครวญ ร่างอวตารปรากฏตัวนอกเสาค้ำและเริ่มสำรวจรอบๆ ตัว

ภาพเบื้องหน้าทำให้ร่างอวตารและร่างจริงตื่นตะลึงไป!

บริเวณใต้ชั้นที่สองไม่สามารถบรรยายได้ว่าเป็นโลกอีกใบ ทั่วบริเวณไม่ได้กว้างนัก เป็นเหมือนแค่ถ้ำกว้างแห่งหนึ่ง ไม่ใช่โลกใบใหม่!

ปลายอีกด้านของเสาค้ำห้อยลงมาจากผนังถ้ำ ตั้งค้างเติ่งอยู่กลางอากาศไม่ได้เหยียดยาวลงมาถึงพื้นดิน ดูเหมือนกับอุโมงค์ที่เชื่อมต่อไปยังชั้นที่สอง

รอบเสาค้ำมีหนวดจับยื่นยาวออกมา สั้นยาวแตกต่างกันไป ดูแล้วเหมือนกับหนวดสัตว์ที่ปลิวพลิ้วไปตามลม ที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับหวังเป่าเล่อที่สุดคือมีศีรษะผุดออกมาจากปลายหนวดจับ!

ศีรษะเหล่านั้นมีทั้งหญิงและชาย ทั้งเด็กและแก่ ราวกับว่าศีรษะพวกนี้ถูกสะบั้นออกจากบ่าและนำมาประดับตรงปลายหนวดจับไว้ เกิดเป็นภาพน่าขนลุก ชายหนุ่มหยุดหายใจเมื่อหันไปพบ เมื่อดูให้ละเอียดแล้ว ดวงตาทุกคู่ล้วนปิดสนิท ไม่ว่าหนวดจับจะโบกไปมาแรงแค่ไหนก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น หนวดจับบางเส้นหย่อนตัวลงทะเลสาบด้านล่าง!

ทะเลสาบเบื้องล่างมีสีทอง ผิวน้ำนิ่งสงบไม่ไหวติง ตรงกลางแม่น้ำ ด้านล่างเสาค้ำ มีร่างหนึ่งนั่งอยู่!

ร่างสามหัวหกแขนบ่งบอกชัดเจนว่าเขามาจากตระกูลไม่รู้สิ้น ดูแข็งแกร่งกำยำ พลังไร้เทียมทานแผ่จากร่างปกคลุมทั่วพื้นที่

ในกายผู้ฝึกตนคนนั้นมีพลังวิญญาณมากมายดั่งมหาสมุทร ตรงหน้าผากมีรูโหว่ที่ได้ทะเลสาบคอยฟื้นฟูสภาพแต่ก็ยังขยายออกอยู่เรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะรักษาได้สมบูรณ์

ร่างอวตารหรี่ตามองภาพเบื้องหน้า หยุดยืนดูอยู่นานก็ไม่พบอะไรผิดแปลก หวังเป่าเล่อจึงเริ่มตรวจดูร่างกลางแม่น้ำอย่างระมัดระวัง

เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นาน ก่อนจะเดินเข้าไปมองอยู่ไกลๆ

ไม่มีทั้งสัญญาณชีวิตหรือความตาย เหมือนเป็นแค่กายเนื้อ แต่ก็ให้สัมผัสคล้ายกับ…สมบัติเวท หวังเป่าเล่อไม่รู้จะอธิบายร่างกลางทะเลสาบอย่างไร ยิ่งตรวจดูก็พบว่ามันดูคล้ายกับ…ชุดคลุม!

อาจจะบอกว่าเป็น…ชุดเกราะก็ได้!

“เหมือนจะเป็น…ศิลาวิญญาณด้วยเหมือนกัน เป็นภาชนะบางอย่างที่ใช้กักเก็บปราณวิญญาณอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงขณะพึมพำกับตนเอง เขากำลังจะลงทะเลสาบไปตรวจสอบใกล้ เตรียมใจพร้อมรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ หากเกิดอะไรขึ้นมา เขาจะตัดการเชื่อมต่อระหว่างร่างจริงและร่างอวตารทันที

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะมุ่งหน้าเข้าไปใกล้ ทันใดนั้นเอง…ศีรษะชายแก่คนหนึ่งที่ห้อยติดกับหนวดจับเหนือหัวก็พลันลืมตาตื่น!

ศีรษะชายชราเต็มไปด้วยผมหงอกขาวและริ้วรอยแห่งวัย ดวงตาดูสับสน เสียงแหบห้าวดังขึ้น

“ช่วยข้าด้วย…ช่วยข้า…”

หวังเป่าเล่อขนหัวลุกทันทีที่ได้ยินเสียงนั่น เขารีบถอยกลับและเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะต้องตื่นตกใจไป ชายชราที่เอ่ยพูดขึ้นได้ตายไปแล้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความมืดมิด แต่เสียงยังดังก้องแจ่มชัด เหมือนจะมีพลังบางอย่างแฝงอยู่ เป็นพลังที่สามารถเจาะทะลุถ้ำและเรือบินรบออกไปสะท้อนอยู่ในกาลอวกาศ

ชายหนุ่มคุ้นเคยกับเสียงนั่น มันคือเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่พัดผ่านตามลมมาจนถึงสำนักวังเต๋าไพศาล เป็นเสียงของ…บิดาของเฟิ่งชิวหรันที่นางอยากพบใจจะขาดและอาจารย์ลุงของเมี่ยเลี่ยจื่อผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ฝึกตนทรงอำนาจของสำนักวังเต๋าไพศาล!

ไม่มีอะไรที่ข้าสามารถทำได้ในที่แห่งนี้…ข้าต้องบอกเรื่องนี้ให้ผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรันและคนอื่นทราบให้เร็วที่สุด! หวังเป่าเล่อหรี่ตา ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะตรวจสอบร่างผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น ส่วนร่างจริงก็จะแยกออกไปตามหายเฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ

ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะลงมือตามแผนที่วางไว้…แม่นางน้อยที่เงียบหายไปนานก็โพล่งขึ้นในหัว!

“นั่นคือชุดคลุมออกศึก…เป็นสิ่งที่ควบคุมเรือบินรบลำนี้!”

บทที่ 648 ชั้นที่สาม!
พื้นที่สว่างไสวสุดปลายทางคือโลกแห่งใหม่!

ดูน่ากลัวและแตกต่างจากโลกทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อเคยเห็น แม้แต่ดาวหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลที่ถูกตระกูลไม่รู้สิ้นถล่มไปยังไม่น่าตื่นตะลึงเท่าที่แห่งนี้!

ฟากฟ้ามืดมิดจากหมอกหนาสีดำ ท่อลำเลียงที่ถักทอจากเลือดเนื้อโผล่ออกมาจากหมอก ตรงดิ่งลงไปยังผืนดิน!

ในโลกใบนี้มีท่อลำเลียงคล้ายกันนี้อีกนับพันกระจายอยู่ทั่วฟ้า ส่วนปลายสายบรรจบรวม ณ จุดเดียวกันบนพื้นดิน!

จุดนั้นคือผืนดินสีดำสนิท…ที่มีเสาตั้งสูงตระหง่าน ขนาดกว้างกว่าสามร้อยเมตร!

เสาต้นนั้นก็สร้างขึ้นจากเลือดเนื้อที่เต้นตุบๆ ท่อลำเลียงนับพันเชื่อมต่อกับเสา ส่วนที่เต้นตุบๆ เหมือนจะดูดเอาเศษเลือดเนื้อจากท่อลำเลียงเข้าไป!

เสากลมตั้งตระหง่านให้เห็นเพียงแค่ส่วนเหนือพื้น ไม่มีใครรู้ว่าใต้ดินจมลึกลงไปอีกไกลเท่าใด ถัดจากเสามีดินสีดำที่เต็มไปด้วยก้อนเนื้อ แต่ละก้อนมีตัวอ่อนอยู่ด้านใน ไม่ใช่ทารกของตระกูลไม่รู้สิ้น แต่เป็นอสูรสายพันธุ์หนึ่ง!

เห็นได้ชัดว่ามีการปรับปรุงโลกใบนี้ใหม่ ท่อลำเลียงมากมายดูน่าสะพรึงกลัว รอบเสาขนาดใหญ่มีม่านแสงสีฟ้าคุ้มกันกว้างกว่าสามหมื่นเมตรคอยกีดกันไม่ให้ผู้บุกรุกเข้ามาใกล้ได้

ม่านสีฟ้าคล้ายๆ กันนี้มีอยู่รอบท่อลำเลียงทุกสายด้วยเช่นกัน ทำให้ด้านหลังม่านเหมือนเป็นโลกใบหนึ่ง ส่วนด้านนอกม่านเป็นโลกอีกใบ

เสียงสั่นสะเทือนดังก้องอยู่ทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อใจเต้นถี่รัวเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าและเสียงที่ก้องโสตประสาท ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็สูดหายใจลึกและตกอยู่ในภวังค์ความคิด ชายหนุ่มกัดฟันแน่นก่อนจะปีนลงท่อลำเลียง ผ่านหมู่เมฆไปพบกับโลกเบื้องล่างด้วยตาของตนเอง

โลกทั้งใบเหมือนจะมีเสาค้ำเป็นจุดศูนย์กลาง ม่านแสงสีฟ้าคอยคุ้มกันเสาไม่ให้สิ่งใดย่างกรายเข้าไปใกล้ได้ โชคดีที่เขาหาท่อลำเลียงในโม่หินเจอจึงมาถึงโลกใบนี้ในฝั่งด้านในของม่านคุ้มกัน!

หัวใจของเขาเต้นถี่รัว ลมหายใจเริ่มผิดจังหวะ เขาเกาะท่อลำเลียงและมองไปรอบๆ เสาค้ำเป็นเหมือนกับรังไหมที่คอยดูดเอาสารอาหารจากโม่หิน จากสิ่งที่ได้พบเห็นมาในโม่หินทำให้ชายหนุ่มได้ข้อสรุปว่าอาจจะมีโลกอีกใบอยู่อีกด้านหนึ่งของเสา ลึกลงไปใต้ดิน!

ถ้าดินแดนศพคือชั้นแรก นี่ก็คือชั้นที่สอง… หวังเป่าเล่อหรี่ตา ภาพเรือบินรบปรากฏขึ้นในหัว เขาจำได้ว่าเรือบินรบลำนี้สร้างจากแผ่นวงแหวนยักษ์สามแผ่น

มีแผ่นวงแหวนที่สี่เชื่อมต่อกับอีกสามแผ่น ซึ่งน่าจะเป็นส่วนหลักของเรือบินรบ ตั้งอยู่กึ่งกลางด้านล่างของแผ่นวงแหวนทั้งสามที่ประกบกันอยู่

ถ้ายึดตามนี้ แผ่นวงแหวนที่สี่ก็คือชั้นที่สอง เมี่ยเลี่ยจื่อกับสหายแห่งเต๋าโยวหรันน่าจะอยู่ที่นี่! เขานวดหน้าผากขณะจ้องมองออกไปไกล โลกใบนี้กว้างใหญ่เกินไปจนมองไม่เห็นขอบสุด

ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเลิกล้มความคิดที่จะออกนอกม่านแสงคุ้มกันไป การที่ได้อยู่ภายในม่านคุ้มกันเช่นนี้น่าจะเป็นการนำหน้าทุกคนไปหลายก้าว แม้จะดูอันตราย แต่นี่ก็น่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนี้

หวังเป่าเล่อหรี่ตามองขณะครุ่นคิดเช่นนั้น เขาปีนท่อลำเลียงลงไปก่อนจะกระโดดลงพื้น จากนั้นก็เดินไปตรงขอบม่านคุ้มกันและปล่อยหุ่นเชิดออกไป ชายหนุ่มพบว่าแม้จะมีความลำบากอยู่บ้างในการข้ามม่านคุ้มกันออกไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย แต่พอหุ่นเชิดจะกลับเข้ามาในม่านอีกครั้งกลับทำไม่ได้ เมื่อได้ข้อสรุป เขาก็หันไปมองเสาค้ำใหญ่โตเบื้องหน้า

ชายหนุ่มยืนมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินวนดูรอบเสา ดวงตาของเขาฉายแสงวาบเมื่อกลับมาหยุดอยู่ที่เดิม จากนั้นก็ปล่อยหุ่นเชิดให้เดินเข้าไปใกล้เสาค้ำ หวังเป่าเล่ออยากตรวจดูว่าหุ่นเชิดจะสามารถจมหายเข้าไปในเสาหลักและมุดลงไปยังบริเวณที่เขาคาดว่าจะเป็นชั้นที่สามของเรือบินรบได้หรือไม่

แม้เสาหลักจะดูนุ่มนิ่มจากการที่มันเต้นตุบๆ ไม่หยุด แต่กลับแข็งกว่าท่อลำเลียงอยู่มาก ไม่มีทางเลยที่เขาจะสามารถมุดเข้าไปด้านในได้โดยไม่ดึงเปลือกชั้นนอกออกและเจาะรูเข้าไปด้านใน

หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัวขึ้นมา เขามั่นใจว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างอยู่ด้านล่างเป็นแน่ อาจจะเป็นความลับของเรือบินรบหรือไม่ก็ช่องทางหนี แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปตรวจดูด้านในเสาค้ำได้ง่ายๆ โดยไม่เสี่ยงภัยอะไร

ชายหนุ่มไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ เขาหรี่ตาคิดหาทางออก ตั้งใจจะลองใช้หุ่นเชิดทดสอบดูก่อน เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจลึกและประเมินความแข็งของเสาค้ำอีกครั้ง ก่อนจะหรี่ตาเล็ก เกราะจักรพรรดิลักอัคคีพลันปรากฏรอบกายท่ามกลางเสียงดังสนั่น เส้นปราณสีเลือดถักทอรวมกันเป็นเกราะทรงพลังขณะที่แขนอาวุธเทพส่องแสงจ้า

เขาไม่คิดลังเลใจ เดินถอยห่างออกไปสามสิบเมตร กระทืบเท้าขวาลงพื้นเสียงดัง รวบรวมพลังทั้งหมด ก่อนจะพุ่งออกไปราวกับลูกธนู ชายหนุ่มทะยานตรงไปยังเสาค้ำ ยกแขนอาวุธเทพขึ้นนำหน้า

หวังเป่าเล่อพุ่งแหวกอากาศจนเกิดเป็นเสียงดังกึกก้อง ก่อนจะกำมือขวาปล่อยหมัดเมื่อเข้าใกล้เสาค้ำ พลังเกราะจักรพรรดิ พลังปราณของตนเอง และการพุ่งออกตัวเมื่อครู่เสริมแรงให้หมัดที่ปล่อยออกไปทรงพลังเกินกว่าหมัดครั้งไหนๆ พลังเทพพลันปะทุขึ้นเกิดเป็นเสียงกัมปนาท หมัดตรงเข้าปะทะเสาค้ำอย่างจัง!

เกิดรูโหว่ขนาดประมาณกำปั้นขึ้น ไม่ได้เกิดแรงปะทะกลับใดๆ รอยที่ปรากฏขึ้นนั้นเป็นเหมือนกับรอยบาดเล็กๆ ที่ไม่สำคัญอะไร

หมัดที่ปล่อยก่อให้เกิดเสียงปะทะอู้อี้ ของเหลวสีม่วงไหลออกมาจากรูโหว่ ทันทีที่หวังเป่าเล่อดึงหมัดกลับ รูโหว่เบื้องหน้าก็เริ่มฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็ว!

ชายหนุ่มไม่มีเวลาพอที่จะขยายรูให้กว้างขึ้นเพื่อส่งหุ่นเชิดเข้าไป ขณะที่รูโหว่กำลังจะปิดสนิท ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแววมุ่งมั่น ร่างกายพลันเลือนรางก่อนที่ร่างอวตารจะปรากฏตัวขึ้น ร่างอวตารแปรเปลี่ยนกลายเป็นสายฟ้าพุ่งเข้าไปในรูโหว่ก่อนที่จะปิดสนิท

หวังเป่าเล่อตัวสั่นเล็กน้อย เขาเรียกหุ่นเชิดออกมายืนคุ้มกันเมื่อพบจุดปลอดภัยที่สามารถนั่งลงได้ สมองต้องแบ่งความสนใจออกเป็นสองส่วนเพื่อคอยเฝ้าระวังรอบพื้นที่และคุมร่างอวตารดำลึกลงไปในเสาค้ำที่เต็มไปด้วยของเหลวสีม่วง

ร่างอวตารต้องพบกับฤทธิ์กัดกร่อนของของเหลวสีม่วงทันทีที่โดนตัว หากเป็นร่างจริง เลือดเนื้อคงจะโดยกัดกร่อนไปจนหมด

หุ่นเชิดเองก็คงไม่สามารถทนการกัดกร่อนได้ไหว แต่ร่างอวตารนั้นสร้างขึ้นจากสายฟ้าไม่ใช่เลือดเนื้อ จึงสามารถทนได้ระยะหนึ่ง แต่ถ้านานเกินไปก็ไม่น่าจะรอดเช่นกัน เขาจึงต้องรีบลงไปตามหาชั้นที่สามให้ได้เร็วที่สุด

แต่…ของเหลวสีม่วงก็ไม่ใช่สิ่งอันตรายเพียงอย่างเดียวในเสาค้ำ ยังมีภัยร้ายอื่นๆ ที่ไม่รู้จักซ่อนอยู่อีก ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อดำลึกลงไปได้ประมาณสามสิบเมตรก็พบกับแสงสีทองสว่างวาบขึ้น ยังไม่ทันจะเห็นได้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างอวตารก็สลายกลายเป็นสายฟ้าจมหายไปในของเหลวสีม่วง

หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ในชั้นที่สองลืมตาตื่นทันใด เขาตรวจสอบเสาเบื้องหน้าก่อนจะเรียกร่างอวตารตนที่สองออกมา จากนั้นก็ต่อยเสาจนเกิดเป็นรูโหว่และส่งร่างอวตารเข้าไปอีกรอบ ครั้งนี้เขาระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม จึงใส่อาวุธเวทป้องกันระดับแปดติดตัวร่างอวตารไปด้วย

ซึ่งก็ถือว่ามีประโยชน์ทีเดียว ทันใดที่แสงสีทองสว่างวาบขึ้นตามด้วยเสียงระเบิดกึกก้อง เสียงนั้นมีแหล่งที่มาจากตัวตนสีทองที่พุ่งเข้าปะทะกับอาวุธเวทจนพังทลายไป ร่างอวตารแหลกสลายไป ครั้งนี้หวังเป่าเล่อมองเห็นได้ทันว่าการโจมตีนั้นมีต้นตอมาจากที่ใด

ต้นตอนั้นก็คือนิ้วหักงอสีทอง!

บทที่ 647 ด้านใน!
หวังเป่าเล่อยังคงใจเต้นไม่หยุดเมื่อหุ่นเชิดที่ส่งออกไปก่อนหน้าแหลกละเอียดไปโดยปราศจากสัญญาณเตือนใดๆ เหมือนว่ามีพลังเข้าบีบขยี้จนแหลกเป็นผุยผง!

ตามมาด้วยพลังประหลาดที่ตามรอยจิตเชื่อมโยงระหว่างเขาและหุ่นเชิดไปจนพบชายหนุ่มที่ซ่อนอยู่ในรอยแตก หวังเป่าเล่อรีบหนีทันที ความอบอุ่นพลันหายไป อิทธิฤทธิ์วิชาพันชีวิตคลายลง ชายหนุ่มหายวับไปไกล หลบหนีจากพลังทำลายล้างที่ตามล่ามาได้สำเร็จ

พอมั่นใจว่าหนีจากพลังทำลายล้างมาได้พ้นแล้ว เขาก็หยุดพิงผนัง หอบหายใจแรง หัวใจเต้นถี่รัว ภัยอันตรายในที่แห่งนี้ช่างเกินกว่าจะคาดคิด ตั้งแต่ละอองดอกไม้มิติมายา ทุกสิ่งที่พบเจอมา จวบจนการโจมตีครั้งล่าสุด หวังเป่าเล่อต้องพบกับภัยร้ายไม่หยุดหย่อน!

นี่ยังแค่เพียงชั้นแรก…เรือบินรบนี่ช่างยิ่งใหญ่ ให้ทำลายวังเต๋าไพศาลในปัจจุบันทิ้งคงเป็นเรื่องกล้วยๆ แต่ก็แปลก…ถ้าทรงพลังขนาดนี้ ทำไมถึงได้ส่งเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือออกมานะ หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เฟิ่งชิวหรันและพวกสำนักวังเต๋าไพศาลอาจจะโดนหลอกเอาก็เป็นได้ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าใครกันที่เป็นคนส่งเสียงขอความช่วยเหลือ หลังจากนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกตนเอง ชายหนุ่มก็อดหรี่ตาอย่างสงสัยไม่ได้

เสียงร้องขอความช่วยเหลือนั่นต้องการดึงทุกคนให้เข้าไปหา เช่นนั้น อาจเป็นไปได้ว่า…ถึงแม้เรือบินรบจะทรงอำนาจสามารถคุมอสูรร้ายกาจมากมายได้ แต่แท้จริงแล้วมีข้อจำกัดอยู่มากเช่นกัน เป็นไปได้ว่าสิ่งมีชีวิตที่ขึ้นมาบนเรือบินรบจะถูกกักขังอยู่ในโลกใบนี้ ไม่สามารถออกไปได้ หรือไม่ก็เรือบินรบลำนี้ต้องการเชื้อเพลิงพิเศษในการทำงาน! ชายหนุ่มมีข้อมูลไม่เพียงพอจึงเดาอะไรไม่ได้มาก ถึงจะเป็นแค่การเดาลอยๆ แต่เขาก็รู้สึกว่าตนกำลังมาถูกทางแล้ว

ถ้าเป็นอย่างแรก แสดงว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้น่าจะทำไปเพราะต้องการจัดการกับเหล่าผู้ฝึกตนทรงอำนาจของสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง ก็หมายความว่าเขาจะใช้พวกเราเป็นเครื่องสังเวย ถ้าไม่ฆ่าก็คงทำให้เราตกอยู่ในการควบคุม! หวังเป่าเล่อหน้าเคร่งเครียดขึ้น เขาเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะออกสำรวจรอบๆ

ชายหนุ่มปัดความกังวลเรื่องเจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋าทิ้งไปและเริ่มตรวจสอบเส้นทางเบื้องหน้า เขาสูดหายใจลึก จากนั้นก็ค่อยๆ เดินหน้าไปทีละนิดท่ามกลางเสียงบดที่ดังก้องอยู่รอบตัว ชายหนุ่มตั้งใจจะตรวจสอบดูว่าทางอีกเส้นจะมีทางออกอยู่หรือเปล่า

เวลาผ่านไป หวังเป่าเล่อเดินไปตามทาง พบกับทางตันอยู่หลายครั้ง ต้องเดินกลับไปหาทางใหม่ เขาระวังตัวอยู่ตลอดเวลาจึงปล่อยหุ่นเชิดตัวหนึ่งออกไปสำรวจทางตรงหน้าว่ามีภัยอันตรายหรือไม่ จากนั้นก็ปล่อยกองทัพหุ่นเชิดออกมาแยกตรวจทางหลายๆ เส้นพร้อมกันเพื่อเลือกหาทางที่ดีที่สุด

เกือบหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป เป็นเวลาเที่ยงวันพอดีตอนที่หวังเป่าเล่อหยุดเท้า ดวงตาพลันหรี่เล็กลง ใบหน้าเริ่มซีดเผือดเมื่อเห็นบางสิ่งผ่านแวบไปจากวิสัยทัศน์ของหุ่นเชิดตัวหนึ่ง

หุ่นเชิดตัวนั้นอยู่บนทางที่ห่างจากเขาไปไม่ไกล ปลายทางเส้นนั้นมีทะเลสาบกว้างใหญ่ เหนือทะเลสาบมีดอกไม้ขนาดใหญ่หนึ่งดอก!

ดอกไม้สีม่วงห้อยมาจากด้านบน บานสะพรั่งกินพื้นที่เกือบสามสิบเมตรและเปล่งแสงดูชั่วร้าย ของเหลวสีม่วงไหลหยดจากดอกไม้ลงสู่ทะเลสาบเบื้องล่าง!

ใต้ทะเลสาบมีตัวตนหลายสิบนั่งขัดสมาธิอยู่ พวกเขามีสามหัว หกมือ เปล่งพลังรัศมีทรงพลัง ไร้ซึ่งสัมผัสพลังชีวิต แต่ก็ไม่มีสัญญาณบ่งบอกความตาย ราวกับว่าถูกผนึกให้หลับใหลอยู่ในห้วงความว่างเปล่า

ทั่วร่างมีบาดแผลเหวอะหวะเต็มไปหมด ของเหลวในทะเลสาบเหมือนจะมีพลังช่วยรักษา บาดแผลบนร่างกายที่จมอยู่ใต้ทะเลสาบค่อยๆ ได้รับการฟื้นฟู!

แม้จะเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ก็แน่ชัดว่าพวกเขากำลังฟื้นฟูตนเองอยู่!

หวังเป่าเล่อเป็นกังวลขึ้นมาเมื่อได้เห็นเช่นนั้น เริ่มระแวดระวังมากขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณที่แผ่ออกมาจากเหล่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น คนที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มมีพลังเทียบเท่ากับเมี่ยเลี่ยจื่อ

ชายหนุ่มไม่ได้กระทำอะไรหุนหันพลันแล่น เขาเรียกหุ่นเชิดกลับด้วยความระมัดระวัง จากนั้นก็ตรวจรอยแยกอื่นๆ ต่อ ผ่านไปพักใหญ่ หวังเป่าเล่อก็ต้องตื่นตะลึงเมื่อได้พบกับทะเลสาบกว่ายี่สิบแห่งในโม่หินนี้!

ไม่รู้ว่ายังมีทะเลสาบที่ยังไม่พบอีกมากเท่าใด เขาพบว่าทะเลสาบแต่ละแห่งมีดอกไม้สีม่วงขนาดใหญ่ห้อยลงมาทุกที่ ของเหลวที่หยดลงมาในทะเลสาบช่วยฟื้นฟูร่างกายเหล่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น!

หัวใจหวังเป่าเล่อเต้นถี่รัวด้วยความตื่นกลัว โชคดีที่มีกองทัพหุ่นเชิดอยู่ เขาเลือกเส้นทางด้วยความระมัดระวังมากขึ้นเมื่อได้พบกับดอกไม้พวกนี้ การค้นหาอย่างต่อเนื่องนำชายหนุ่มไปพบกับลำต้นและท่อลำเลียงของดอกไม้!

ลำต้นของดอกสีม่วงแต่ละดอกฝังลึกอยู่ในผนังหิน นอกจากนี้ยังนำไปสู่ท่อลำเลียงขนาดใหญ่!

ชายหนุ่มปล่อยหุ่นเชิดออกไปตรวจสอบให้กว้างขึ้น ผ่านไปสองสามวัน เขาก็พบท่อลำเลียงขนาดใหญ่ที่ปลายเส้นทางสายหนึ่ง ท่อลำเลียงตรงหน้ามีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวประมาณสามสิบเมตร ชั้นโปร่งใสด้านนอกนุ่มมือเมื่อสัมผัส หากเข้าไปดูใกล้ๆ จะพบกับกองเลือดเนื้อแหลกละเอียดกำลังเคลื่อนตัวผ่านท่อลำเลียงไป!

ภาพเบื้องหน้าทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไป ในหัวเริ่มนึกภาพโม่หินขนาดใหญ่บดโครงกระดูกจนแหลกละเอียดและส่งผ่านเข้าไปในท่อลำเลียง ก่อนจะแตกย่อยไปตามลำต้นที่เชื่อมต่อกับโถงแต่ละแห่ง ดอกไม้สีม่วงในโถงก็จะบานออกสร้างของเหลวมีฤทธิ์ช่วยฟื้นฟู

ดูจากขนาดของโม่หินแล้ว น่าจะมีท่อลำเลียงแบบนี้อยู่มากมายเลยทีเดียว หากมีแค่สายเดียวยังพอจะหาต้นทางแล้วยัดพิษใส่ ฆ่าล้างบางทีเดียวให้หมดได้… หวังเป่าเล่อถอนใจขณะจ้องมองท่อลำเลียงเบื้องหน้า จริงๆ ก็ไม่ได้มีสารพิษแบบที่ว่าอยู่หรอก ถึงจะมีแค่สายเดียวก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะตามหาต้นทางได้อยู่ดี หากทำอะไรพลาดไปแม้แต่นิดอาจทำให้พวกตระกูลไม่รู้สิ้นตื่นขึ้นมาได้ กลายเป็นขุดหลุมฝังตัวเองแทน

เขาถอนหายใจพร้อมกับโยนความคิดนั้นทิ้งไป พยายามเก็บความอึดอัดใจไว้และเริ่มตรวจสอบท่อลำเลียงเบื้องหน้า ผ่านไปพักใหญ่ หวังเป่าเล่อก็กัดฟันแน่น คิดว่าท่อลำเลียงตรงหน้าน่าจะเป็นโอกาสเดียวที่จะหาทางออกได้

หากเดินทางผ่านท่อลำเลียงก็จะช่วยให้ไปถึงส่วนลึกสุดของโม่หินได้ซึ่งเป็นทางเดียวที่จะสามารถหาทางหลบหนีออกไปจากเรือบินรบลำนี้ได้ นี่เป็นทางออกเดียวที่ชายหนุ่มพบหลังจากใช้เวลาสองอาทิตย์อยู่ในที่เฮงซวยนี่

ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววมุ่งมั่นขณะเดินเข้าไปใกล้และเอาตัวแนบติดกับท่อลำเลียงนุ่มนิ่ม จากนั้นก็กดตัวหนักขึ้นจนจมหายเข้าไปในท่อลำเลียง แต่ก็ติดอยู่แค่เพียงตรงชั้นนอก ยังไม่สามารถเข้าไปในท่อลำเลียงได้ เขาสัมผัสได้ถึงเศษเลือดเนื้อที่เคลื่อนตัวผ่านและได้กลิ่นคาวเลือดรุนแรง

หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนขี้ขลาด เขาหรี่ตาลง ก่อนจะเริ่มมุดตัวเข้าไปในท่อลำเลียงอย่างไม่ลังเลใจ จมหายเข้าไปเจอกับหินยื่นขวางทาง ชายหนุ่มมุ่งหน้าต่อไปอย่างระมัดระวังบนทางที่ยังไม่พบอันตรายใดๆ

ไม่รู้ว่าเดินมาได้ไกลเท่าไหร่แล้ว แต่กว่าจะเดินมาถึงปลายทางก็ผ่านไปสามวัน เหมือนว่าท่อลำเลียงจะนำทางมาสู่โลกใหม่ที่มีแสงส่อง

ชายหนุ่มตื่นเต้นเมื่อได้เห็นแสงสว่าง รีบเร่งฝีเท้าพร้อมกับหายใจถี่รัว เมื่อใกล้ถึงปลายทาง เขาก็ชะลอฝีเท้าลงและปล่อยหุ่นเชิดออกมาตรวจบริเวณด้านนอกก่อน โลกส่องสว่างพลันปรากฏแจ่มชัดผ่านสายตาหุ่นเชิด!

หวังเป่าเล่อตาเบิกกว้างเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า

ที่แห่งนี้คืออะไรกันแน่

บทที่ 646 ถูกขัง!
หวังเป่าเล่อหรี่ตามองปักษาเพลิงตาไม่กะพริบ เขาโน้มตัวไปข้างหน้าเหมือนกับเสือพร้อมกระโจนเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์

ถึงจะเป็นเสือที่พุงพลุ้ยหน่อยๆ…แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความเร็วของเขาลดลงแม้แต่น้อย พุงอ้วนกลมอาจเป็นตัวแทนความยืดหยุ่นพลิ้วไหวก็เป็นได้

หวังเป่าเล่อตั้งสมาธิ เตรียมร่างกายให้ตื่นตัว ปักษาเพลิงบินวนสวนทิศกับโม่หิน ก่อนจะพุ่งเข้าชนจนเกิดเสียงดัง คลื่นปะทะกระจายออกเป็นวงกว้าง ปักษาเพลิงพุ่งเข้าชนด้วยพลังเต็มขั้น โม่หินไม่เสียหายแม้แต่นิด แต่ก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่งตอนที่โดนพุ่งเข้าใส่

โม่หินหยุดนิ่งไปชั่ววินาที ด้ามหมุนทั้งเก้ากระตุกรุนแรง อสูรร่างยักษ์เก้าตนที่อยู่ห่างไกลออกไปในแต่ละทิศส่งเสียงร้องคำรามเกรี้ยวกราด

ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วขณะที่โม่หินหยุดชะงัก เฟิ่งชิวหรันเหมือนจะรอโอกาสนี้อยู่แล้ว นางรีบพุ่งตังลงแทรกตรงช่องว่างระหว่างชั้นโม่หิน!

เจ้าเยี่ยเหมิงและคนอื่นๆ ตามไปไม่ห่าง พวกเขาปล่อยความเร็วเต็มพิกัดพุ่งเข้าไปใกล้โม่หิน ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในช่องเดียวกัน หวังเป่าเล่อรีบพุ่งตามไปทันที!

ชายหนุ่มพุ่งตามเข้าไปในช่องว่างระหว่างชั้นทันทีที่พวกเฟิ่งชิวหรันทำให้โม่หินหยุดชะงัก

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขาทำให้ผู้ฝึกตนหลายคนตื่นตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นหวังเป่าเล่อก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าแสนดีใจเมื่อได้เห็นชายหนุ่ม เฟิ่งชิวหรันนิ่งอึ้งไปก่อนจะพยักหน้าให้

ตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะถามสารทุกข์สุกดิบกัน พวกเขารีบมุ่งหน้าตรงไปตามช่องทางระหว่างชั้นโม่หินที่เปิดออก

กลิ่นคาวเลือดลอยปะทะจมูก รอบกายเต็มไปด้วยเลือดเนื้อที่ถูกบดจนแหลกละเอียด บรรยากาศรอบกายช่างน่าสะพรึงกลัวจนบางคนอยากจะอ้วกออกมา แต่ก็ไม่มีเวลามัวมานึกรังเกียจ ไม่มีใครอยากตายลงตรงนี้ ทำได้เพียงเก็บความอึดอัดนี้ไว้และมุ่งหน้าต่อไป!

ทุกคนต่างรู้ดีว่า…ตนกำลังมุ่งหน้าผ่านช่องว่างระหว่างชั้นโม่หินอยู่ หากออกจากพื้นที่นี้ไปไม่ได้ก่อนที่โม่หินจะขยับอีกครั้ง ก็คงจะต้องพบกับชะตากรรมไม่ต่างจากโครงกระดูกที่ถูกโยนใส่โม่หิน…ถูกบดขยี้จนแหลกละเอียด!

ทุกคนรีบวิ่งหน้าตั้งตรงไปตามทาง แม้ว่าโม่หินจะใหญ่โตมโหฬาร แต่ปักษาเพลิงเองก็ทรงพลังไม่แพ้กัน ไม่มีใครปล่อยเวลาให้เสียเปล่า ต่างรีบวิ่งสุดชีวิตตรงไปด้านหน้า ในที่สุดพวกเขาก็พ้นเขตอันตรายมาถึงตรงใจกลางโม่หินก่อนที่มันจะเริ่มหมุนวนอีกครั้ง!

บริเวณใจกลางเป็นแอ่งหลุม ตรงหน้าพวกเขามีรูกว้างที่เชื่อมระหว่างชั้นด้านบนและชั้นด้านล่างของโม่หิน ด้านในรูมีเพียงเสียงลมหวีดร้อง

แม้จะมีหลายคนที่หนีพ้นช่องว่างระหว่างชั้นโม่หินมาได้ แต่ก็มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ช้าเกินไป โม่หินเริ่มขยับอีกครั้งก่อนที่พวกนั้นจะทันได้หนีออกมาได้ แรงสูบเกินต้านทานดึงพวกเขากลับไป เสียงสั่นของชั้นเครื่องโม่และเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของเหล่าผู้โชคร้ายทำให้เหล่าผู้เหลือรอดเสียวสันหลังวาบ

“เราต้องไปต่อ นี่คือทางเดียวที่จะเข้าไปในชั้นสองได้ เราต้องขัดจังหวะแท่นสังเวยเพื่อเปิดการเคลื่อนย้าย!” เฟิ่งชิวหรันพุ่งตัวลงรูกว้างไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดขณะพูด

พลังปราณของนางยังคงคุ้มกันเจ้าเยี่ยเหมิง กงเต๋า และศิษย์เอกของตนเองอีกสองคน พวกที่เหลือรีบตามติดนางลงรูกว้างไปไม่ห่าง หวังเป่าเล่อเองก็คอยอยู่ติดกับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ

ความเครียดเข้าเกาะกุมจิตใจทุกคนขณะเคลื่อนตัวลงรูกว้าง หากไม่อดทนอดกลั้นเอาไว้คงจะต้องร้องไห้ออกมายกใหญ่เมื่อต้องพบกับความล้มเหลวซ้ำๆ กับการหลบหนีที่มองไม่เห็นทางออก

รูกว้างเป็นเหมือนกับถ้ำมืดมิดเวิ้งว้าง โม่หินที่หมุนอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดแรงสูบดึงทุกคนกลับ ต้านพวกเขาไม่ให้มุ่งหน้าไปต่อได้เร็วนัก

กลิ่นคาวเลือดลอยอบอวลอยู่ในรูกว้าง แม้พวกเขาจะเป็นผู้ฝึกตนที่หล่อเลี้ยงร่างกายจนแข็งแกร่งด้วยปราณวิญญาณ แต่กลิ่นคาวคลุ้งนั้นรุนแรงเกินไป ส่งผลให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะจนอยากจะอ้วก!

แม้จะสามารถฝืนทนและก้าวผ่านความอึดอัดนี้ไปได้ แต่อุปสรรคที่ต้องพบก็ยังไม่จบแค่นั้น ขณะที่พวกเขากำลังลงลึกไปในรูกว้าง พลังที่พวยพุ่งออกมาจากทั่วทิศทางก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลงลึกไปต่อได้สิบวินาที ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคนหนึ่งก็เริ่มหน้าซีด ก่อนจะขึ้นสีแดงก่ำและเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ดวงตาของเขาเหลือกถลน ร่างระเบิดออกจากความกดดันมหาศาล

หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว เขาเรียกเกราะจักรพรรดิลักอัคคีออกมาต้านทานแรงกดดัน ชี่หลินและผู้ฝึกตนบางส่วนพยายามช่วยกลุ่มผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในต้านแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก ไม่นาน ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคนที่สองก็ร่างระเบิดตามไป!

ตามมาด้วยร่างที่สามและสี่ ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกสองคนเสียสติ เริ่มกรีดร้อง ดวงตาฉายแววหวาดหวั่นและสิ้นหวัง ร่างของพวกเขาค่อยๆ ลอยกลับขึ้นไป

“กลับมา!” เฟิ่งชิวหรันตะโกนลั่น เสียงของนางพัดหายไปกับสายลม พวกเขาลอยกลับขึ้นไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะหายวับไปโผล่ที่ปากรูกว้างด้วยแรงดูด

เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นฝ่าความมืด ตามมาด้วยเสียงบดร่างทั้งสองเป็นเศษเนื้อ เสียงโหยหวนยังคงดังก้องในอากาศขณะที่สัญญาณอันตรายพุ่งตรงจากปากรูกว้างลงไปด้านใน

หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนว่าดวงวิญญาณกำลังจะฉีกขาด แต่ก็ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมาก เขารีบใช้วิชาพันชีวิตที่สถิตอยู่ในกำไล

กลิ่นเน่าเหม็นพวยพุ่งลงไปในรูกว้างขณะเดียวกับที่ชายหนุ่มใช้พลังเทพ เหมือนว่ามีอสูรยักษ์กำลังพุ่งตรงมาหา

ก่อนที่อสูรจะทันเคลื่อนกายเข้าใกล้ เฟิ่งชิวหรันก็กัดปลายลิ้นและพ่นเลือดออกมาพร้อมกับตั้งผนึกมือขึ้น เลือดที่พ่นออกไปเปล่งแสงก่อนจะกลายสภาพเป็นตาข่ายสีเลือดขนาดใหญ่ผนึกบริเวณด้านหลังหวังเป่าเล่อและกลุ่มผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเอาไว้ กันไม่ให้อสูรเข้ามาใกล้ได้

เสียงร้องคำรามดังกึกก้อง ตาข่ายสีเลือดส่องแสงจ้า ขณะที่พวกเขามุ่งหน้าลึกลงไปเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นฝ่ามือเน่าเปื่อยขนาดเท่ารูกว้างกำลังตะกุยตาข่ายอยู่ ตาข่ายสามารถต้านมันไว้ได้เพียงแค่ชั่วคราว ตอนนี้ตาข่ายเบื้องหลังกำลังจางลง

ตาข่ายพังลงได้ทุกเมื่อ หลังจากนั้นก็จะไม่มีอะไรกั้นระหว่างพวกเขาและมืออสูร ทันใดนั้นปากทางออกก็ปรากฏขึ้นในสายตา ตรงทางออกมีแสงจางๆ ส่องสว่าง เหล่าผู้ฝึกตนรีบพุ่งทะยานตรงไปอย่างไม่คิดชีวิต

เหมือนว่าทางออกจะไม่ต้องการให้พวกเขาผ่านพ้นออกไปได้ มันเริ่มปิดตัวลงทันใด พวกเขามีเวลาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนทางออกจะถูกปิดสนิท!

หวังเป่าเล่อใจเต้นถี่รัวเมื่อเห็นทางออก เขาปลดปล่อยความเร็วเต็มพิกัด ทันใดนั้นตาข่ายสีเลือดก็พังตัวลง มือเน่าเปื่อยตระหนักว่าพวกเขากำลังจะหนีออกไปได้ มันสั่นไหวรุนแรงก่อนจะเร่งความเร็วแหวกอากาศส่งกลิ่นเน่าเปื่อยพัดไปตามลม มันไล่ตามไปประชิดกลุ่มผู้ฝึกตน…ก่อนจะคว้าหมับเข้า!

หลายคนหลบได้ทัน แต่ก็มีประมาณหกถึงเจ็ดคนที่หนีมืออสูรไม่พ้น ในกลุ่มนั้นมีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอยู่คนหนึ่ง มืออสูรบีบมือแน่นทันทีที่คว้าตัวพวกเขาได้!

หวังเป่าเล่อเองก็เกือบถูกมันคว้าตัวไป แต่ก็สามารถหลุดผ่านนิ้วมือออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ลมกระโชกแรงส่งเขากระแทกเข้ากับผนัง เลือดสดกระอักออกจากปากชายหนุ่ม เมล็ดดูดกลืนเริ่มปั่นป่วนอยู่ภายใน ตรึงร่างให้ติดกับผนัง เขาปีนผนังลงไปอย่างรวดเร็วก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในรอยแตก

มือยักษ์เริ่มกวัดแกว่งอย่างเกรี้ยวกราดเมื่อชายหนุ่มหลบเข้าไปในรอบแตก เสียงตึงตังดังสนั่นหวั่นไหวเคล้ากับเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ลมแรงพัดผ่านร่างเขาไป ผ่านไปนานกว่าเสียงจะเงียบลง

ชายหนุ่มหน้าซีดเผือดจากความตื่นกลัว เขารออยู่พักใหญ่ก่อนจะส่งหุ่นเชิดตัวหนึ่งออกไปสำรวจด้านนอก ทางออกถูกปิดสนิท ทั่วบริเวณเปื้อนเลือดและเศษเนื้อเป็นจุดๆ หวังเป่าเล่อเงียบไป

เขาไม่รู้ว่าเฟิ่งชิวหรัน เจ้าเยี่ยเหมิง กงเต๋าและคนอื่นๆ สามารถหนีออกไปได้ก่อนทางออกจะปิดสนิทหรือเปล่า รู้แค่ว่ามีใครหลายคนต้องจบชีวิตลงด้วยเงื้อมมืออสูรเมื่อครู่

หากไม่ใช่เพราะพลังเทพพันชีวิตที่ช่วยชายหนุ่มหลบการโจมตีได้อย่างอัศจรรย์และพาไปอยู่ในรอยแตก ตนก็คงจะต้องจบชีวิตลงเช่นกัน

บทที่ 645 แท่นสังเวย!
ที่ปลายท่อนไม้มีแท่นสังเวยอย่างที่เขาคิดไว้ก่อนหน้า แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาก็ยังสั่นสะท้านไปถึงทรวง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ

โม่หินขนาดใหญ่โตมโหฬารมีชั้นสอง ชั้นล่างไม่ขยับเขยื้อน ส่วนชั้นบนต่อติดกับด้ามหมุนเก้าด้ามที่คอยเคลื่อนส่วนด้านบนให้บดกับชั้นด้านล่าง เสียงบดดังสนั่น หากมีอะไรหลุดไปแทรกกลางคงจะถูกบดขยี้จนแหลก หวังเป่าเล่อนึกถึงอสูรร่างยักษ์สองตนที่พบบนโลกใบนี้ สรุปความได้ง่ายดายว่าน่าจะมีพลังบางอย่างสั่งการให้ศพอสูรเก้าตนคอยลากด้ามหมุนทั้งเก้า เหล่าอสูรถูกบังคับให้วิ่งวนไม่หยุดเพื่อหมุดโม่หิน!

อสูรแต่ตนถูกโซ่ล่ามไว้ หากชะลอฝีเท้าลงแม้แต่นิด ตัวอักขระบนโซ่จะแปรเปลี่ยนเป็นแส้ล่องหนเข้าฟาด ต้องจำนนทนทุกข์อยู่ในวังวนความเจ็บปวดและความเป็นทาส

ช่างตื่นตะลึงยิ่งนัก!

หวังเป่าเล่อหรี่ตา คุกเข่าลงบนท่อนไม้และจ้องไปยังโม่หินที่อยู่ถัดออกไป เขาเห็นกระดูกนับไม่ถ้วนกองสุมอยู่ใต้โม่หิน ถัดไปมีหุ่นเชิดร่างแห้งเหี่ยวมากมายกำลังโยนกระดูกเข้าหินโม่อย่างขยันขันแข็ง

โม่หินหมุนบดไปเรื่อยๆ โครงกระดูกถูกบดเป็นเศษผง เลือดสีคล้ำและเศษเนื้อไหลหยดลงจากโม่หิน แต่ส่วนใหญ่หายไปในโม่หินราวกับถูกกลืนกินเข้าไป

หวังเป่าเล่อรังเกียจตระกูลไม่รู้สิ้นมากขึ้นเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า ต้องใช้เวลาพักใหญ่ถึงจะสงบใจลงได้ เขาเขยือบไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง สัมผัสได้ถึงแรงสั่นที่เพิ่มมากขึ้น ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นร่องยุบบริเวณกึ่งกลางของโม่หิน

ภายในนั้นมีตัวตนหนึ่งนั่งอยู่!

เทียบกับโม่หินขนาดใหญ่ยักษ์แล้ว ตัวตนนั้นเล็กเหมือนกับมด ทำให้หวังเป่าเล่อไม่ทันสังเกตเห็นก่อนหน้า ต้องเดินเข้าไปใกล้ๆ ตัวตนนั้นเหมือนจะเป็นผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น!

ชายหนุ่มดูไม่ออกว่าชายคนนั้นตายไปแล้ว หรือยังมีชีวิตอยู่ ดวงตาทั้งสามปิดสนิท แขนหกข้างวางเรียบอยู่ข้างลำตัว เขาอาจจะทำสมาธิอยู่ หรือไม่ก็สิ้นลมไปในท่านั้น ร่างกายชายผู้นั้นไร้ซึ่งพลังชีวิต มีเพียงรอยช้ำดำคล้ำปรากฏอยู่ทั่วตัว

หวังเป่าเล่อพิจารณาผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นตรงหน้า ไม่ได้รีบร้อนทำอะไรบุ่มบ่าม เขาเป็นกังวลเรื่องพวกเจ้าเยี่ยเหมิงและความอันตรายของภารกิจนี้ ไม่รู้เลยว่าจะออกไปได้เช่นไร ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็รู้ว่ามาถึงจุดนี้แล้ว มัวคิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

เขากัดฟันแน่น ข่มความกังวลเอาไว้ ดวงตาพลันฉายแววเย็นเยียบ ชายหนุ่มคุกเข่าลง มองสำรวจโม่หินที่ทำงานไม่หยุด ตั้งใจจะดูสถานการณ์จนกว่าจะเห็นช่องโหว่อะไรสักอย่าง

เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้าขณะหวังเป่าเล่อเฝ้าโม่หินตรงหน้าด้วยความอดทนจนผ่านไปแล้วเจ็ดวัน

ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา เขาสังเกตเห็นว่าใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์พอดีที่ท่อนไม้ด้ามจับจะหมุนครบหนึ่งรอบ นอกจากนี้ยังบันทึกอัตราการบดกระดูกของโม่หินไปด้วย แต่ข้อมูลที่ได้ก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ โม่หินเป็นเหมือนเครื่องจักรทรงพลังที่ทำงานต่อเนื่องได้ถึงหนึ่งอาทิตย์โดยไม่มีหยุดพัก

ทั้งเหล่าหุ่นเชิดที่คอยโยนกระดูกใส่และผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่นั่งอยูบนโม่หินต่างเหมือนติดอยู่ในห้วงเวลาที่หยุดนิ่ง

เข้าไปใกล้ไม่ได้ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ข้าไม่มีทางทำลายแท่นสังเวยได้เลย… หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว พยายามปัดความกังวลและความไม่สบายใจทิ้งและเฝ้ารอต่อไป แต่ครั้งนี้ไม่ต้องรอนาน สามวันผ่านไปก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น

ไม่ใช่โม่หินหรือเหล่าหุ่นเชิดที่เปลี่ยน แต่เป็นโลกทั้งใบ ชายหนุ่มนั่งอยู่บนที่สูงจึงมองเห็นทัศนียภาพกว้างไกล เขาเห็นว่าฟากฟ้าไกลห่างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เหมือนกับว่าหมอกสีแดงกำลังพุ่งมาทางตน!

เสียงสั่นไหวดังขึ้นเรื่อยๆ จากทั่วทุกทิศ หวังเป่าเล่อเห็นเงากองทัพกำลังพุ่งตรงมา!

นั่นมัน… ชายหนุ่มหรี่ตา มองเห็นภาพที่คุ้นเคย หมอกสีแดงคือละอองเกสรที่ดอกปีศาจราเขียวปล่อยออกมา จึงไม่ยากเลยที่จะเดาได้ว่าเงากองทัพที่กำลังเคลื่อนตัวมานั้น…คือโครงกระดูกมากมายนับไม่ถ้วน!

เป็นไปได้ไหมว่าแท่นสังเวยจะทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เป็นช่วงๆ เพื่อดึงเหล่าโครงกระดูกที่ตกอยู่ในภวังค์คาถาของดอกปีศาจให้เข้าหา ชายหนุ่มมีสีหน้าตื่นตะลึง เขาก้มมองภูเขากระดูกใต้โม่หิน จากนั้นก็หันกลับไปมองยังขอบฟ้าที่อยู่ไกลห่าง ความตื่นตระหนกเริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจเมื่อภาพเหตุการณ์ตรงหน้าช่วยยืนยันว่าที่คิดไว้นั้นถูกต้อง

ผืนดินสั่นไหว ทัพความตายเคลื่อนตัวเข้ามาจากไกลห่าง จระเข้ยักษ์ร่างเน่าเปื่อยโผล่พ้นดินมาร่วมกับกองทัพแห่งความตาย

จระเข้ตัวนั้นไม่ใช่อสูรแข็งแกร่งเพียงหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ สถานการณ์เริ่มแย่ลงไปอีกเมื่ออสูรมากมายเริ่มปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ทีละตัว!

พลังประหลาดแผ่พุ่งไปรอบบริเวณ ดอกปีศาจราเขียวทุกดอกบานสะพรั่งทันใดพร้อมกับปล่อยละอองเกสรสร้างหมอกสีแดงนำพาศพรอบๆ มุ่นหน้าไปทางแท่นสังเวย

หวังเป่าเล่อไม่สามารถนั่งรอเฉยๆ ได้อีกต่อไปเมื่อภัยอันตรายกำลังรุดหน้าเข้ามา เขาแนบตัวลงกับพื้น ค่อยๆ คลานเข้าไปหาแท่นสังเวย หากเหล่าศพที่หมอกสีแดงนำทางมาถึง พวกนั้นคงจะพบตนเข้าในทันที และต้องติดอยู่ในกองทัพผีดิบเหมือนก่อนหน้านี้

หากเป็นเช่นนั้นคงจะมีโอกาสรอดต่ำมาก ทางเดียวที่จะรอดไปได้ตอนนี้คือมุ่งหน้าไปยังแท่นสังเวย แม้จะอันตราย แต่ก็เป็นทางเลือกเดียวที่เขามี

ข้าไม่น่ามาที่นี่เลย! หวังเป่าเล่อแบกหน้าเคร่งเครียดของตัวเองคลานไปด้านหน้า ก่อนจะเห็นอะไรบางอย่างผ่านตา เขามองไปทางกองกระดูกใต้ท่อนไม้ เหล่าหุ่นเชิดเหมือนจะไม่สังเกตเห็นเลยว่ามีฝูงชนกว่าสี่สิบคนบนภูเขากองกระดูกลูกหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวไปทางแท่นสังเวยอย่างระมัดระวัง!

ในฝูงชนนั้นมีคนคุ้นหน้าอย่างเฟิ่งชิวหรัน เจ้าเยี่ยเหมิง กงเต๋า สวีหมิง ลู่หยุน และผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอีกจำนวนหนึ่ง

พวกเขาซ่อนอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไรกัน เขาหยุดชะงักขณะหันมองกลุ่มผู้ฝึกตน สายตาเลื่อนไปหยุดอยู่ตรงอัญมณีเปล่งแสงห้าสีในมือเฟิ่งชิวหรัน ชายหนุ่มหยุดคิด เฟิ่งชิวหรันที่นำทัพอยู่เหมือนจะใช้พลังบางอย่างที่เขาไม่รู้จักซ่อนฝูงชนไว้ไม่ให้หุ่นเชิดสังเกตเห็น

พวกเขาน่าจะมาถึงนานแล้วแต่ตัดสินใจรอดูสถานการณ์ก่อนเหมือนข้า กองทัพที่ตื่นขึ้นจากละอองเกสรคงจะบีบบังคับให้พวกเขาต้องทำอะไรสักอย่าง! หวังเป่าเล่อได้ข้อสรุป ตายังจ้องไปทางเจ้าเยี่ยเหมืองและกงเต๋า

เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อพบว่าทั้งสองปลอดภัยดี ผู้ฝึกตนบางคนดูอ่อนล้า แต่ก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ การเดินทางของพวกเขาคงจะเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางมากมาย แต่ก็รอดพ้นมาได้เพราะมีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอย่างเฟิ่งชิวหรันคอยปกป้อง ด้วยพลังแกร่งกล้าจากท่อนไม้และจุดซ่อนตัวที่คาดไม่ถึงขอหวังเป่าเล่อ กลุ่มตรงหน้าจึงไม่สามารถสังเกตเห็นเขาได้

ทุกคนเคลื่อนตัวอย่างระมัดระวัง ตอนนี้ยังไม่เหมาะที่หวังเป่าเล่อจะเผยตัว เขาจับตาดูพวกเฟิ่งชิวหรันไปพร้อมๆ กับรุดหน้าเข้าไปหาแท่นสังเวย

ทั้งสองกลุ่มเดินหน้าไปยังแท่นสังเวยจากคนละจุดขณะที่ละอองเกสรยังระเบิดขึ้นในอากาศไม่หยุดหย่อน ผืนดินสั่นไหวรุนแรงจากกองทัพศพที่มุ่งหน้าเข้ามา ในที่สุด พวกเขาก็ไปถึงขอบแท่นสังเวยพร้อมกัน!

เหลือดไหลหยดเปื้อนหน้าพวกเขา พลังทรงอำนาจอัดแน่นในอากาศห้ามไม่ให้ใครเข้าใกล้ หลายคนตัวสั่นเทิ้มจากพลังกดดันแม้จะมีพลังปราณของเฟิ่งชิวหรันช่วยคุ้มกัน หวังเป่าเล่อเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เขาหันมองพวกเฟิ่งชิวหรันอีกครั้ง

ชายหนุ่มเห็นนางตั้งผนึกมือขึ้น ก่อนจะชี้นิ้วออกไป ยันต์ส่องแสงจ้าพุ่งออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ เป็นยันต์ที่ดูเก่าแก่ เหมือนจะอยู่รอดมาเป็นพันปี พลังแกร่งกล้าพวยพุ่งออกมาจากแผ่นกระดาษ หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนโดนผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จ้องหน้าทำให้เขาต้องหายใจถี่รัว

เฟิ่งชิวหรันกัดลิ้นพ่นเลือดใส่ยันต์ เปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาทันใด ปักษาเพลิงถือกำเนิดขึ้นจากเปลวไฟ มันกรีดร้องพร้อมกับพุ่งตรงไปยังโม่หิน!

บทที่ 644 โม่หินบดเลือดเนื้อ!
ข้าเคยตรวจดูตรงนั้นแล้ว! อสูรเขี้ยวดาราเริ่มเข้ามาใกล้ ปล่อยอุณหภูมิร้อนระอุปกคลุมทั่วบริเวณ มองจากไกลๆ เห็นเป็นเหมือนลูกไฟที่พร้อมเผาทุกอย่างที่ขวางทางให้เป็นจุณ

หวังเป่าเล่อต้องถอยกลับพลางครุ่นคิดอย่างหนัก เขาจำได้ว่าเคยไปยังทิศทางที่อสูรเดินมาแล้ว ตรวจอยู่นานแต่ก็ไม่พบอะไร ซึ่งก็หมายความว่าตนยังไปได้ไม่ไกลพอ หรือ…แท่นสังเวยอาจจะไม่ได้พบเจอได้โดยการมุ่งหน้าตามหาในทิศทางเดียว!

หากเป็นตามเหตุผลแรก ชายหนุ่มสามารถลองตรวจดูอีกรอบได้ แต่ถ้าเป็นเหตุผลหลัง เขาคงไม่สามารถยอมเสี่ยงได้เพราะจะมีเพียงทางเดียวที่จะสามารถตามหาแท่นสังเวยได้!

ต้องขึ้นไปเดินบนท่อนไม้ นี่เป็นทางเดียว…ที่จะช่วยไม่ให้หลงทาง ไม่ว่าแท่นสังเวยจะอยู่ตรงไหน ถ้าเดินตามท่อนไม้ไปต้อเจอแน่! หวังเป่าเล่อหรี่ตา ความคิดแล่นเข้าหัวไม่หยุด ไอร้อนระอุจากอสูรเขี้ยวดาราทำให้เขาเข้าไปใกล้ได้ยาก มีโอกาสน้อยมากที่จะขึ้นไปบนท่อนไม้ได้

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย… ชายหนุ่มมองอสูรเขี้ยวดาราเดินห่างออกไปไกล หลังจากคิดอยู่สักพัก เขาก็หยิบเอาแก่นในอสูรเขี้ยวดาราจากกระเป๋าคลังเวทขึ้นมาแนบไว้ตรงอก จากนั้นก็พยายามเข้าไปใกล้อสูรเบื้องหน้า แม้อุณหภูมิจะสูงจนเกินต้าน แต่ก็มาจากแหล่งพลังเดียวกับแก่นในอสูรเขี้ยวดาราในมือ ไม่นานก็พบว่าแก่นในอสูรสามารถชวนกันความร้อนได้ส่วนหนึ่ง

หวังเป่าเล่อใจชื้นขึ้น ดวงตาฉายแววมุ่งมั่น เขาเร่งความเร็วขึ้นโดยไม่ลังเล พุ่งทะยานตรงไปพร้อมกับแก่นในอสูรเขี้ยวดาราในมือ!

คลื่นไอร้อนระอุพัดกระทบร่างกายขณะเข้าไปใกล้ แก่นในอสูรเขี้ยวดาราปล่อยพลังเกราะป้องกันห่อหุ้มชายหนุ่มไว้ หวังเป่าเล่อเร่งความเร็ว พุ่งตรงไปหาอสูรเขี้ยวดาราอย่างรวดเร็วจนเห็นเหมือนเป็นเส้นสายรุ้ง

เส้นผมเริ่มลุกไหม้เมื่อเข้าไปใกล้ในระยะสามร้อยเมตร ร่างกายเริ่มแห้งเหี่ยวเหมือนไม่มีน้ำสักหยดอยู่ภายใน น้ำในกายเหือดแห้งอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงสัญญาณอันตราย เขาตระหนักว่าแค่การป้องกันจากแก่นในอสูรเขี้ยวดารานั้นไม่เพียงพอ หากเข้าไปใกล้กว่านี้ ร่างกายและวิญญาณคงจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน

ข้ายังมีอีกอัน! หวังเป่าเล่อหยิบเอาแก่นในอสูรเขี้ยวดาราอีกอันออกมาแนบอก รุดหน้าเข้าไปในระยะสามร้อยเมตรด้วยความช่วยเหลือจากแก่นในอสูรในทั้งสองชิ้น ก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงหน้าอสูรเขี้ยวดาราที่ลุกไหม้ร้อนแรงเหมือนดวงอาทิตย์

สัญญาณอันตรายดังขึ้นอีกครั้งในหัว ความกลัวส่งหัวใจให้เต้นร่ำ ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกใดอื่นนอกจากขึ้นท่อนไม้ไป มีอีกทางคือรอจนกว่าอสูรตนใหม่จะโผล่มา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าลองเสี่ยงกับอสูรเขี้ยวดาราน่าจะมีโอกาสสำเร็จมากกว่าเพราะมีแก่นในอสูรสองชิ้นคอยช่วย

ลองเสี่ยงดู! ชายหนุ่มเม้นปากแน่นก่อนจะหยิบเอาศพอสูรเขี้ยวดาราสองตนจากกระเป๋าคลังเวทออกมาไว้เบื้องหน้า จากนั้นก็ทะยานตรงไปหาอสูรเขี้ยวดารา ฟากฟ้าสั่นไหวเมื่อไอร้อนหลอมละลายพุ่งขึ้นสูง หลังจากงัดทุกอย่างที่มีออกมาใช้ หวังเป่าเล่อก็ขึ้นไปบนตัวอสูรเขี้ยวดาราได้

หัวใจสูบฉีดรุนแรงเมื่ออสูรเบื้องล่างสะบัดไปมา แต่เขาก็ไม่ได้ชะลอความเร็วลงแม้แต่ร้อย รีบทะยานข้ามหลังอสูร ไม่สนใจไอความร้อนลุกไหม้รุนแรงจนต้องปล่อยพลังเกราะจักรพรรดิลักอัคคีเต็มขั้น พลังปราณเริ่มปั่นป่วน ชายหนุ่มเรียกอาวุธเวทหลายชิ้นออกมาช่วยซื้อเวลาเพิ่ม ในที่สุดก็ลงเหยียบบนโซ่ที่ตรึงอสูรกับท่อนไม้เบื้องหน้าได้สำเร็จ!

โซ่นั้นกว้างใหญ่เหมือนกับสะพาน หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัวทันทีที่ลงเหยียบ สัญญาณอันตรายดังขึ้นในหัว ภัยอันตรายร้ายแรงก่อตัวขึ้นเหมือนกับคลื่นยักษ์พร้อมกลืนกินชาหนุ่ม ภัยร้ายถึงตายห้อมล้อมรอบด้าน เขาไม่หยุดคิด รีบเรียกเปลวไฟสีดำออกมาและส่งเข้าไปในลูกประคำดาวห้าแฉกของวิชาพันชีวิต!

ครั้งนี้ เจ้าไม่ได้เข้าไปเพื่อเรียนรู้วิชาแต่เพื่อใช้งาน!

ลูกประคำดาวห้าแฉกระเบิดแสงเป็นประกาย ตัวอักขระพลันปรากฏขึ้น เข้าห้อมล้อมชายหนุ่มก่อนจะพุ่งตรงเข้าร่างกาย หายวับไป

หวังเป่าเล่อสัมผัสไม่ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรมาก เว้นเสียแต่ความอบอุ่นภายในที่เหมือนจะมาจากส่วนลึกของกระดูกและดวงวิญญาณ เหมือนกับมีพลังบางอย่างคอยคุ้มกันอยู่

แค่นี้เองหรือ ชายหนุ่มแปลกใจ แต่ก็ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมาก เขากัดฟันแน่นขณะความอบอุ่นในร่างเริ่มอยู่ตัว จากนั้นก็พุ่งไปบนโซ่ อสูรเขี้ยวดาราที่เดินมุ่งหน้าไม่หยุดส่งผลให้โซ่สั่นไหวรุนแรง แต่ก็ไม่ได้ทำให้หวังเป่าเล่อช้าลงแต่อย่างใด เขาพบว่าทุกครั้งที่เหยียบโซ่ จะมีภาพปรากฏขึ้นรอบๆ

ภาพมากมายที่ปรากฏขึ้นเป็นรูปกระบี่ เหมือนจะไม่เป็นอันตรายอะไรถ้าไม่เหยียบมันเข้าโดยตรง ที่น่าแปลกคือร่างกายของเขาเหมือนจะรู้ว่าควรวางเท้าลงตำแหน่งใด ทำให้ถึงจะวิ่งเร็วอย่างไร ชายหนุ่มก็ไม่เคยเหยียบโดนรูปเหล่านี้เลย…

ทันใดนั้น หวังเป่าเล่อก็เห็นภาพกระบี่ปรากฏขึ้นตรงที่เท้ากำลังจะลงเหยียบ แต่ภาพก็พลันหายวับไปตอนที่เท้าแตะลงบนโซ่ ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า

ถัดมา เขาก็ถูกล้อมไว้ด้วยภาพกระบี่มากมาย ไม่มีช่องว่างให้ลงเหยียบ อสูรเขี้ยวดาราพลันกระโดดขึ้นฟ้า หวังเป่าเล่อโดนพลังสะเทือนส่งพุ่งถลาไปไกลหลายพันเมตร ก่อนจะไปหล่นลงตรงจุดที่ปราศจากภาพกระบี่

ชายหนุ่มสั่นสะท้านไปถึงทรวง เขาพบว่าความอบอุ่นภายในค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ ระหว่างเดินทางข้ามโซ่…

ในที่สุด หวังเป่าเล่อก็เดินทางมาถึงปลายโซ่พร้อมกับที่ความอบอุ่นในกายหายวับไป เขากระโดดลงเหยียบบนท่อนไม้ใหญ่ยักษ์ แม้จะโดนลากดึงไปเร็วแค่ไหน ท่อนไม้กลับนิ่งไม่ไหวติง

ง่ายขนาดนี้เลยหรือ ชายหนุ่มมองรอบตัว ก่อนจะหันกลับไปจ้องอสูรเขี้ยวดาราที่กำลังมุ่งตรงไปข้างหน้าและซี่ที่ล่ามมันไว้กับท่อนไม้ จากนั้นก็ปล่อยหุ่นเชิดออกมาด้วยความสงสัย

ทันใดที่หุ่นเชิดเหยียบลงบนโซ่ ภาพกระบี่ก็ปรากฏขึ้นใต้เท้าของมัน ปราณกระบี่มหาศาลพลันล้นทะลักขึ้นฟ้า รายล้อมรอบตัว!

พลังวิญญาณระเบิดสั่นสะเทือนผืนดิน ก่อนจะเข้าห้อมล้อมบริเวณสามสิบเมตรรอบตัวหุ่นเชิด ปราณกระบี่นับหมื่นพุ่งตรงไปยังทิศทางเดียวพร้อมกัน หุ่นเชิดของเขาถูกทำลายกลายเป็นฝุ่นผงในทันที…

หวังเป่าเล่อสั่นเทิ้มเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า หัวใจเต้นถี่รัวขณะมองลูกประคำพันชีวิต ยังจำได้ถึงความอบอุ่นเมื่อครู่ ที่สามารถข้ามมาได้อย่างราบรื่นเหนือธรรมชาติเป็นเพราะพลังเทพนี้

จะฝืนกฏธรรมชาติเกินไปแล้ว! เขาส่งเสียงตื่นตกใจ ลูกประคำเกิดรอยแตกเล็กๆ ซึ่งใช้ยืนยันการคาดเดาเมื่อครู่ได้ กำไลนี้…ใช้ได้จำกัดครั้ง จุดประสงค์จริงๆ ที่สร้างขึ้นคือเพื่อใช้ศึกษาพลังเทพที่สถิตอยู่ภายใน

แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต หวังเป่าเล่อเอานิ้วลูบรอยแตก เลิกคิดเรื่องนี้และมุ่งหน้าไปตามท่อนไม้

การเดินทางบนท่อนไม้ไม่ได้ถือว่าราบรื่นเลยเสียทีเดียว แต่อุปสรรคระหว่างทางก็ไม่ได้รับมือยากสักเท่าไหร่ ท่อนไม้เหมือนจะมีพลังรวมดวงวิญญาณ มีฝูงวิญญาณมากมายปรากกฏตัวขึ้นระหว่างทาง หากเป็นคนอื่นคงจะรับมือได้ยาก หากไม่มีวัตถุเวทที่เหมาะสมคงจะไม่สามารถรุดหน้าไปได้เลย แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วกลับเป็นเรื่องง่ายดาย

เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเหล่าวิญญาณ พวกมันเป็นภัยคุกคามที่ชายหนุ่มเป็นกังวลน้อยที่สุด เขาปลดปล่อยเปลวไฟสีดำก่อนจะพุ่งตรงไปไม่หยุด รุดหน้าไปไกลขึ้นเรื่อยๆ!

เจ็ดวันผ่านไป หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไปตามทางไม่หยุดพัก ความเหนื่อยล้าเริ่มถาโถมเข้าสู่ร่างกาย แต่ชายหนุ่มก็รุดหน้ามาจนใกล้ถึงปลายท่อนไม้แล้ว ทันใดนั้น เสียงกัมปนาทก็ดังขึ้นจากไกลๆ

เขาหันควับไปทางต้นเสียง คอยระแวดระวังตัว ชายหนุ่มนั่งลงและหยิบโอสถออกมา จากนั้นก็เริ่มทำสมาธิ สองชั่วโมงผ่านไป เมื่อร่างกายมีสภาพพร้อมสมบูรณ์อีกครั้ง เขาก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะลุกยืนและพุ่งตัวออกไปด้านหน้าพร้อมกับประกายแสงในตา!

เสียงกัมปนาทดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าไปใกล้ จนกระทั่ง…หวังเป่าเล่อเดินไปหยุดอยู่ตรงขอบท่อนไม้ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เสียงอื้ออึงระเบิดขึ้นในหัว เบื้องหน้าของชายหนุ่มคือ…แท่นสังเวย!

ที่ปลายสุดของท่อนไม้มีโม่หินขนาดมหึมา ใหญ่กว่าท่อนไม้ไปอีก!

โม่หินเบื้องหน้ามีด้ามหมุนเก้าด้ามยื่นเหยียดยาวไปไกลโพ้น หนึ่งในด้ามนั้น…คือท่อนไม้ที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่!

……………………………………..

บทที่ 643 วิชาแห่งศาสตร์มืดอีกรูปแบบ!
เสียงที่ดังขึ้นในหัวไม่ใช่กลอนไร้สาระ แต่พูดถึงพลังเทพทั้งหก!

พลังเทพไม่ใช่มนต์คาถาธรรมดาทั่วไป แต่เป็นพลังที่ใช้ประโยชน์จากกฏธรรมชาติและพลังแห่งจักรวาล มีเพียงผู้ฝึกตนแกร่งกล้าเท่านั้นที่จะมีพลังเทพในครอบครอง พลังเทพที่สืบทอดกันมานั้นยิ่งแกร่งกล้ามากขึ้นไปอีก

เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับหวังเป่าเล่อที่จะสามารถใช้พลังเทพทั้งหกจากดวงจิตเทพได้ เหมือนเช่นตอนอยู่ในนิมิตมืด เขาได้ศึกษาคาถาและพลังเทพมากมาย แต่ก็ไม่สามารถฝึกได้เพราะมีระดับการฝึกตนไม่ถึงขั้นซึ่งเป็นข้อจำกัดอันยิ่งใหญ่

แม้จะยังไม่สามารถก้าวผ่านข้อจำกัดนั้นไปได้ แต่ชายหนุ่มก็พบวิธีใช้งานพลังดังกล่าวผ่านอาวุธเวท เขาผนึกพลังเทพทั้งหกไว้ในลูกประคำแต่ละลูกผ่านการผสานดวงจิตเทพเป็นวิญญาณวุธ ลูกประคำเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่จะช่วยให้หวังเป่าเล่อก้าวข้ามข้อจำกัดเรื่องพลังปราณ เมื่อมีลูกประคำเป็นสื่อกลางและวิญญาณวุธเป็นตัวเร่ง ชายหนุ่มก็สามารถปลดปล่อยพลังเทพเหล่านี้ได้โดยใช้พลังปราณที่น้อยลง

ถึงจะช่วยลดลงไปบ้างแต่ก็ถือว่ายังต้องใช้พลังปราณมากอยู่ดี สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วถือว่าเป็นจำนวนที่มากเช่นกัน แต่ก็ยังพอรับได้ไว้!

อารมณ์มากมายฉายขึ้นบนสีหน้าชายหนุ่มขณะก้มมองกำไลตรงข้อมือ เขาสัมผัสได้ถึงพลังและวิญญาณวุธทั้งหกที่กักเก็บอยู่ภายใน พลันดวงตาก็ฉายแสงผิดแปลก

แต่ละลูกมีพลังเทพอยู่!

หวังเป่าเล่อไม่ได้คาดว่าจะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะดูอย่างไร นี่ก็เป็นการหลอมที่แสนสมบูรณ์แบบ เขารู้ว่ากำไลเส้นนี้มีความสำคัญอย่างไรด้วยความรู้ด้านอาวุธเวทที่มีและการที่หลอมมันขึ้นมาเองกับมือ กำไลนี้ไม่ได้ใช้เพื่อปลดปล่อยพลังเทพทั้งหก หากใช้เพียงแค่นั้น ผ่านไปมีกี่ครั้งก็จะกลายเป็นของไร้ประโยชน์ หลังจากใช้ซ้ำๆ ลูกประคำจะค่อยๆ แตกออกและกลายเป็นเถ้าธุลี พลังเทพก็จะปลิวหายไปกับสายลม

กำไลนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้ข้าได้ศึกษาพลังเทพที่สถิตอยู่ ข้าสามารถศึกษาได้เรื่อยๆ จนกว่าจะเชี่ยวชาญและทำให้กลายเป็นพลังของข้าโดยแท้จริง!

ชายหนุ่มสูดหายใจลึกและหันมองรอบๆ ฝูงหนอนสีแดงยังคงดิ้นไปมาทั่วบริเวณ แต่หลังจากสวมกำไลข้อมือแล้ว พวกมันก็ดูจะมุ่งร้ายน้อยลงไปมาก เหมือนว่าจะยอมจำนนต่อพลังของเขา

หวังเป่าเล่อตระหนักว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นหนึ่งในจุดปลอดภัยที่หาได้ยากในดินแดนกองศพนี้

เขาแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่ได้รีบร้อนจากที่แห่งนี้ไป ชายหนุ่มมองกำไลอีกครั้ง ก่อนจะหลับตา ปล่อยจิตให้เปลวไฟสีดำนำทางเข้าไปในลูกประคำทรงดาวห้าแฉกลูกแรก

วิสัยทัศน์เบื้องหน้าพลันเลือนราง พอแจ่มชัดขึ้นอีกครั้งก็เห็นฟากฟ้าเปลี่ยนเป็นยามค่ำคืน ท่ามกลางหมู่ดาวพร่างพราวมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อยู่ดวงหนึ่ง

การต่อสู้เปิดฉากขึ้นบนดาวเคราะห์ ชายหนุ่มเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนนั้น ดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นของสำนักแห่งความมืด คนจากตระกูลไม่รู้สิ้นมากมายกำลังปะทะกับศิษย์สำนักแห่งความมืดอย่างเร่าร้อน!

บนฟากฟ้ามืดสนิทเหนือดาวเคราะห์ มีหัตถ์ขนาดใหญ่ยักษ์กำลังก่อตัวขึ้น บนมือปรากฏตัวอักขระอยู่ทั่ว นิ้วมือแต่ละนิ้วเหมือนจะขังอสูรร้ายหน้าตาโหดเหี้ยมเกินบรรยายเอาไว้ หัตถ์ยักษ์เหยียดยื่นแหวกสวรรค์ คว้าเอาดาวเคราะห์มาไว้ในมือ!

ดาวเคราะห์สั่นไหวรุนแรง เหล่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นตัวแข็งทื่อ ขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้แม้แต่น้อยขณะวิญญาณเริ่มหลุดออกจากร่าง ดวงวิญญาณของพวกเขามารวมตัวก่อเป็นแม่น้ำแห่งความมืดไหลผ่านสรวงสวรรค์ ผ่านห้วงอวกาศ ตรงไปยังหัตถ์ยักษ์!

นี่คือหัตถ์ดึงวิญญาณ!

หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านไปถึงทรวง เขาสะดุ้งลืมตาขึ้น หายใจถี่รัวขณะจ้องลูกประคำห้าแฉกที่มีพลังหัตถ์ดึงวิญญาณบรรจุไว้ภายใน ไม่สามารถหยุดใจที่เต้นถี่รัวไว้ได้ วิชาหัตถ์ดึงวิญญาณเป็นวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณอีกรูปแบบหนึ่ง จริงๆ แล้วหากดึงพลังของวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณออกมาอย่างเต็มที่น่าจะมีผลลัพธ์เหมือนกัน

ชายหนุ่มได้ศึกษาเกี่ยวกับวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณจากบันทึกมากมายในนิมิตมืด แต่กลับไม่เคยเห็นวิชาหัตถ์ดึงวิญญาณเลย ไม่นานก็ตระหนักว่าแต่ละฝ่ายในสำนักมืดนั้น แม้จะมีรากฐานเหมือนกัน ในแต่ละในฝ่ายก็ได้มีการพัฒนาพลังเทพเฉพาะเป็นของตนเอง

วิชาหัตถ์ดึงวิญญาณนี้เป็นพลังเทพของฝ่ายหนึ่งในสำนักแห่งความมืด!

เขาไคร่ครวญต่ออยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็ปล่อยจิตให้ผสานเข้ากับลูกประคำห้าแฉกดวงที่สอง พลังเทพที่สถิตอยู่ในลูกประคำนี้มีชื่อว่า…นิมิตหมุนวน!

ชายหนุ่มนึกสงสัยความหมายของชื่อ พอลืมตาขึ้นอีกครั้งหลังจากได้เห็นวิชานิมิตหมุนวนก็ได้ข้อสรุปคล้ายๆ กับวิชาหัตถ์ดึงวิญญาณ นิมิตหมุนวนคือนิมิตมืดในอีกรูปแบบหนึ่ง

ไม่ได้ครอบคลุมเหมือนนิมิตมืด แต่ก็มีรายละเอียดมากและตรงจุดกว่า โดยเฉพาะตอนใช้ในการต่อสู้ วิชานี้ทำให้คนติดอยู่ในนิมิตมายาได้ในทันที คนนั้นจะไม่สามารถแยกแยะภาพฝันกับความจริงได้และกลายเป็นหุ่นเชิดให้คนอื่นควบคุม!

แสงสว่างวาบขึ้นในตาหวังเป่าเล่อขณะปล่อยจิตเข้าสู่ลูกประคำห้าแฉกอีกสองลูกที่เหลือ แต่ละลูกบรรจุวิชาหมื่นภัยพิบัติและวิชาพันชีวิตเอาไว้ ทั้งสองเป็นวิชาทรงอำนาจที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นกลัวถึงขั้วหัวใจ โดยเฉพาะวิชาหมื่นภัยพิบัติที่เหมือนจะเป็นคำสาปใช้ร่ายก่อนเริ่มสู้!

ผู้ถูกสาปจะกลายเป็นศัตรูกับทุกสิ่งไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง อาจจะโดนหินทับระหว่างเดินเล่นหรืออาจคลุ้มคลั่งไประหว่างทำสมาธิ

หมื่นภัยพิบัติที่ว่าคือการต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติมากมายจากสิ่งรอบตัว!

วิชาพันชีวิตมีอิทธิฤทธิ์ตามชื่อ เป็นวิชาขั้วตรงข้ามของวิชาหมื่นภัยพิบัติและเป็นวิชาเดียวที่สามารถใช้กับตนเองได้ โดยจะช่วยเพิ่มพลังชีวิตได้ถึงพันชีวิตระหว่างต่อสู้ หรือก็คือช่วยกันการโจมตีรุนแรงถึงตายได้หนึ่งพันครั้ง แต่เมื่อใช้จริงอาจจะได้ผลลัพธ์ต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์

ไม่มีอะไรแน่นอน หากเป็นตามที่ว่าจริง ศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักแห่งความมืดคงไม่ถูกฟันขาดเป็นสองท่อนเช่นนี้… หวังเป่าเล่อก้มมองกะโหลกที่ตนนั่งทับอยู่ พยายามข่มความตื่นเต้นเมื่อได้ทราบถึงวิชาพันวิญญาณและสงบใจลง จากนั้นก็เริ่มปล่อยจิตเข้าไปในลูกประคำดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ พลังเทพที่สถิตด้านในคือวิชาพรากจุติเกิดและวิชาห้าโทษทัณฑ์!

ไม่นานเขาก็ต้องล้มเลิกความพยายามไป พลังเทพทั้งสองนั้นเหนือชั้นกว่าพลังเทพอีกสี่อยู่มาก ความยากลำบากตอนหลอมก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ชายหนุ่มยังไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ทั้งสองวิชาเพราะไม่สามารถสัมผัสอะไรได้เลยจากลูกประคำสองลูกสุดท้าย

หลังจากเงียบอยู่พักใหญ่ หวังเป่าเล่อก็ถอนใจและเลิกล้มความตั้งใจไป จากนั้นก็หันมองรอบๆ แม้จะเป็นสถานที่แสนปลอดภัย แต่เขาก็เลือกที่จะจากซากเมืองแห่งนี้ไป

ชายหนุ่มก้มหัวคำนับกะโหลกยักษาและซากเมืองที่ตั้งอยู่ด้านบนก่อนจะกลับออกไป หนอนสีแดงมากมายยังดิ้นอยู่ในอากาศขณะหวังเป่าเล่อพุ่งขึ้นฟ้าและทะยานจากไป

ภารกิจของยังเป็นภารกิจเดิม ชายหนุ่มออกตามหาแท่นสังเวยต่อ เหมือนครั้งนี้โชคจะเข้าข้าง หลังจากท่องโลกได้สองสามวัน จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็หยุดชะงักกลางอากาศ รีบหันไปมองด้านหนึ่ง เขาสัมผัสได้ถึงผืนดินที่สั่นไหวและได้ยินเสียงโซ่กระทบกัน ลมหายใจหนักพัดขึ้น รุนแรงเหมือนดังพายุ พุ่งมาอย่างดุดันจากสุดขอบฟ้า

หวังเป่าเล่อไม่ลังเลใจ เกราะจักรพรรดิลักอัคคีพลันปรากฏขึ้น เขาถอยออกไปและจ้องอยู่จากไกลห่าง ผืนดินไหวรุนแรงขึ้น เสียงโซ่กระจ่างชัดในหู พายุหลายลูกโหมกระหน่ำบนฟ้า ร่างใหญ่ยักษ์สูงชะลูดพลันปรากฏตัวจากสุดขอบฟ้า!

มันไม่ใช่อสูรที่เขาเคยเจอก่อนหน้า ร่างกลมเริ่มปรากฏเด่นชัดในสายตาหวังเป่าเล่อ ดวงตาพลันเบิกกว้างเมื่อเห็นได้ชัดว่าเป็นตัวอะไร

อสูรเขี้ยวดารา!

อสูรเขี้ยวดาราเบื้องหน้าตัวใหญ่ยักษ์กว่าราชันอสูรที่หวังเป่าเล่อเคยพบ ร่างกายของมันส่งกลิ่นอายความตายพวยพุ่งออกมา ชายหนุ่มไม่ทราบได้ว่ามันตายมานานเท่าใดแล้ว แต่เปลวไฟรอบตัวมันยังคงลุกโชติช่วง ห้วงอากาศบิดเบี้ยวเมื่อมันเคลื่อนผ่าน นำพาความตายและอุณหภูมิร้อนระอุติดตัวไปตามทาง!

รอบตัวมีโซ่ล่ามไว้เหมือนวานรยักษ์ ปลายโซ่ล่ามติดกับท่อนไม้ มันลากท่อนไม้ไปตามทางเหมือนกับลา หากชะลอฝีเท้าแม้แต่นิดจะโดยแส้ที่มองไม่เห็นลงทัณฑ์!

หวังเป่าเล่อหยุดหายใจไป ต้องรีบถอยหนีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับไอร้อนระอุ ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังท่อนไม้ด้านหลังอสูรเขี้ยวดารา ท่อนไม้ยาวสุดลูกลูกตา ชายหนุ่มรู้ว่ามีความเป็นได้สูงที่ตรงปลายอีกด้านของท่อนไม้…จะมีแท่นสังเวยอยู่!

บทที่ 642 พลังเทพทั้งหก!
หากเป็นคนอื่นคงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แต่หวังเป่าเล่อเป็นได้ศึกษาเรื่องอาวุธเวทมาตลอดตั้งแต่เริ่มฝึกวิชาใหม่ๆ เขาเริ่มตั้งต้นในสาขาอาวุธเวท จากนั้นก็ได้เลื่อนขึ้นไปตำหนักอาวุธเวท ตอนอยู่บนดาวอังคารก็คอยศึกษาเกี่ยวกับการหลอมอาวุธเวทอยู่ตลอดจนทักษะและความรู้อยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญ

เขาสามารถหลอมอาวุธเวทระดับแปดที่สมบูรณ์ได้จึงมั่นใจว่าตนจะสามารถหลอมดวงจิตทั้งหกเข้ากับอาวุธเวทได้เช่นกัน

ที่น่าเป็นห่วงคือดวงจิตพวกนี้อ่อนพลังมาก หากทำผิดพลาดหรือเกิดแรงต้านระหว่างกระบวนการหลอมแม้แต่นิดเดียวอาจสร้างความเสียหายให้กับดวงจิต ถึงขั้นแหลกสลายไปได้ หวังเป่าเล่อคิดขณะก้มหัวคุ้ยกระเป๋าคลังเวท เขาเจอวัสดุหลอมมากมาย รวมถึงวัตถุเวทที่ไม่สมบูรณ์อีกหลายชิ้น

แต่ก็นำมาใช้การไม่ได้ ถ้าดวงจิตแข็งแกร่งกว่านี้ เขาคงไม่ต้องกังวลว่าจะสร้างความเสียหายให้กับพวกมันระหว่างการหลอม หากเป็นเช่นนั้นก็จะสามารถนำวัตถุสภาพไม่สมบูรณ์มาได้ แต่ก็อาจเกิดแรงต้านระหว่างการหลอมได้ตลอด

แรงต้านจะเกิดขึ้นเมื่อกระบวนการหลอมอาวุธเวทขั้นต้นเข้ากับดวงจิตเทพไม่มั่นคง โดยทั้งสองสิ่งอาจได้รับความเสียหายประมาณหนึ่งก่อนจะหลอมเป็นอาวุธเวทได้สำเร็จ

นักหลอมอาวุธเวทหลายคนไม่ค่อยให้ความสำคัญเรื่องนี้ ดวงจิตเทพที่จะนำมาใช้เป็นวิญญาณวุธและหลอมเข้ากับอาวุธเวทจะต้องคัดสรรเป็นพิเศษเพื่อให้มั่นใจว่าจะหลอมรวมกันได้สำเร็จแม้จะได้รับความเสียหายระหว่างกระบวนการหลอม

ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงปัญหาข้อนี้ เขาเลิกล้มความตั้งใจที่จะใช้วัตถุสภาพไม่สมบูรณ์ไป ดวงตาพลันฉายแสงวาบเมื่อหันไปเห็นรอยโหว่ของหัวกะโหลก

หวังเป่าเล่อไคร่ครวญอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ลุกยืนขึ้นและโค้งคำนับให้กับหัวกะโหลกที่ตนเหยียบอยู่

“ศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่ หวังเป่าเล่อผู้นี้เป็นศิษย์ของหมิงคุนจื่อ ข้าบังเอิญผ่านมาและสัมผัสได้ถึงดวงจิตที่หลงเหลืออยู่ในที่แห่งนี้ ข้าอยากจะเปลี่ยนพวกมันเป็นวิญญาณวุธเพื่อให้ดวงจิตเหล่านี้คงอยู่ต่อไป ซึ่งข้าจะต้องใช้กระดูกของท่านมาหลอมเป็นวัตถุบรรจุวิญญาณวุธ โปรดเข้าใจการกระทำของข้าด้วย!” หวังเป่าเล่อมีสีหน้าจริงจัง เขาสูดหายใจลึก จากนั้นก็ออกเดินหากระดูกรอบเมืองและบนภูเขาที่ตั้งอยู่บนกะโหลก

ไม่ใช่ทุกชิ้นที่จะสามารถนำมาใช้หลอมเป็นอาวุธเวทได้ ชายหนุ่มตามหากระดูกชิ้นที่มีพลังชีวิตและความยืดหยุ่นประมาณหนึ่ง

มีกระดูกจำนวนหนึ่งที่มีคุณสมบัติตามนั้น แต่เกณฑ์การเลือกอีกข้อที่สำคัญที่สุดคือ กระดูกชิ้นนั้นจะต้องผสานรวมกับดวงจิตได้!

อธิบายง่ายๆ คือ ก่อนยักษาจะตาย กระดูกชิ้นนั้นได้ดูดซับเอาพลังชีวิตและความรู้สึกในชั่วขณะนั้นเอาไว้ ทำให้กระดูกที่ว่ามีคุณค่ามากทีเดียว!

แม้กะโหลกจะใหญ่โตมโหฬาร หวังเป่าเล่อกลับหากระดูกที่มีคุณสมบัติตามที่ต้องการได้แค่สิบกว่าชิ้น ซึ่งต้องขุดขึ้นมาเอง เขาคิดอยากหลอมเกราะจักรพรรดิของตนเอง แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ ได้แต่คิดว่าหลี่อู๋เชินช่างเก่งกาจเสียจริงๆ

เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น หวังเป่าเล่อก็ปลดปล่อยเกราะที่มือข้างขวา รวมพลังอาวุธเทพมาใช้ขุดค้นกระดูกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้พลังกายของตนเอง!

อาวุธเทพแหลมคมมาก แต่กระดูกก็แข็งมากเช่นกัน ชายหนุ่มต้องออกแรงเพิ่มเล็กน้อย และปลดปล่อยพลังปราณเต็มขั้นอยู่หลายครั้งถึงจะขุดขึ้นมาได้สิบเอ็ดชิ้น

แต่ละชิ้นมีความยาวประมาณหนึ่งฝ่ามือ เมื่อนำมาต่อกันก็ดูมีขนาดใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับโครงกระดูกทั้งตัวแล้วถือว่าเล็กมาก

ในอดีต หลี่อู๋เชินต้องฝึกคาถาร้ายกาจหรือไม่ก็คงโชคดี มิเช่นนั้นคงไม่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นอาวุธเทพได้ ศิษย์พี่จากสำนักแห่งความคนนี้ต้องเป็นบุคคลแกร่งกล้าเช่นกัน แต่ถึงกระดูกจะแข็งเท่าไหร่ ก็เทียบกับอาวุธเทพไม่ได้อยู่ดี หวังเป่าเล่อก้มมองเกราะจักรพรรดิลักอัคคีบนแขนขวาขณะครุ่นคิด

เขาเลิกคิดและนั่งลง ปล่อยหุ่นเชิดออกมาคุ้มกันรอบๆ จากนั้นก็ปล่อยเปลวไฟสีดำออกมาพร้อมกับทำสมองให้โล่ง ชายหนุ่มตั้งผนึกมือ เริ่มหลอมกระดูกทั้งสิบเอ็ดเข้าด้วยกัน!

ชายหนุ่มตั้งใจจะใช้กระดูกของยักษามาหลอมเป็นแก่นวิญญาณเพื่อสร้างสมบัติเวท ซึ่งจะช่วยให้การกระบวนการผสานดวงจิตเป็นไปอย่างราบรื่น

แม้จะท้าทายอยู่มาก แต่หวังเป่าเล่อก็เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวท โดยเฉพาะเรื่องการคำนวณตัวอักขระที่ต้องใช้ในการหลอม เพราะเหตุนี้เขาจึงค่อนข้างมั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จ

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หลังจากชายหนุ่มเริ่มกระบวนการหลอม เขามีประสบการณ์เรื่องการคำนวณอักขราจารึกและการหลอมแก่นวิญญาณมากมาย ทำให้กระบวนการหลอมเป็นไปอย่างรวดเร็วแม้จะคอยระวังเป็นพิเศษ กระดูกทั้งสิบเอ็ดชิ้นเริ่มหดเล็กลงด้วยพลังปราณของหวังเป่าเล่อ ตลอดกระบวนการหลอมมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยเกิดขึ้นประปราย

ข้อผิดพลาดแต่ละครั้งทำให้กระดูกชิ้นหนึ่งแหลกเป็นฝุ่นผง กลายเป็นบทเรียนให้กับหวังเป่าเล่อ หลายวันผ่านไป ในที่สุดชายหนุ่มก็หยุดมือ ดวงตาดูเหนื่อยล้า เบื้องหน้ามีลูกประคำที่หลอมขึ้นจากกระดูกเจ็ดลูก!

กองลูกประคำส่องแสงสีฝุ่น แฝงไว้ซึ่งพลังลึกลับ แต่ละลูกมีตัวอักขระจำนวนมากอัดแน่นอยู่ แม้จะไร้ซึ่งวิญญาณวุธ ลูกปะคำแต่ละลูกก็มีพลังเทียบเท่ากับอาวุธเวทระดับเจ็ด

ด้วยวัสดุที่ใช้หลอมทำให้บอกได้ยากว่ามีพลังรบระดับใด ลูกประคำมีทั้งข้อดีและข้อเสียเมื่อใช้ในการต่อสู้ ประสบการณ์จากการหลอมสิ่งนี้ขึ้นทำให้เขาตระหนักว่าหากไม่ผสานเข้ากับดวงจิตเทพ กระดูกก็ไม่เหมาะนำมาใช้เป็นวัสดุหลอมเป็นอาวุธเวท

ชายหนุ่มเตรียมลูกประคำไว้พร้อมสำหรับผสานเข้ากับดวงจิต แต่ก็ไม่ได้เริ่มกระบวนการในทันที เขาหลับตาทำสมาธิอยู่สองชั่วโมงเพื่อขจัดความเหนื่อยล้า ฟื้นกำลังกายกลับคืน จากนั้นก็ลืมตาขึ้น แสงเห็นความมุ่งมั่งฉายวาบในแววตา หวังเป่าเล่อตั้งผนึกมือ ก่อนจะกดฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนกะโหลก

เปลวไฟสีดำและดวงจิตของเขาลอยเข้าไปในกะโหลก หวังเป่าเล่อพยายามเรียกดวงจิตเทพออกมาจากกะโหลก กลุ่มดวงจิตหลากสีสันกระจายตัวส่องสว่างอยู่ภายในกะโหลก ฝูงหนอนสีเลือดที่จับตาดูอยู่ตัวสั่นเทิ้ม พวกมันโค้งตัวลงพื้นเหมือนกับจะหมอบกราบ

เสียงจากโลกแห่งความตายในอดีตอันไกลพ้นดังก้องขึ้นในหัวหวังเป่อเล่ออีกครั้ง เสียงโบราณดังสะท้อนอยู่ในหัวไม่หยุด

“หัตถ์สื่อวิญญาณ นิมิตหมุนวน พรากจุติเกิด หมื่นภัยพิบัติ พันชีวิต ห้าโทษทัณฑ์!”

ขณะที่เสียงดังก้อง ดวงจิตเลือนรางหกดวงก็ลอยพ้นกะโหลกมาหยุดอยู่หน้าชายหนุ่ม จากนั้นก็เคลื่อนตัวเข้าไปส่องสว่างในลูกประคำหกลูก คลื่นพลังปะทุขึ้นจากแต่ละลูก ก่อนจะสั่นไหวและเริ่มเปลี่ยนรูป ลูกประคำสี่ลูกค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นลูกประคำทรงดาว แฉกทั้งห้าตั้งชี้ไม่เท่ากัน!

ทั้งสี่ลูกเปล่งพลังแกร่งกล้า ค่อยๆ จัดรูปร่างให้เข้าที่เข้าทาง อีกสองลูกยังคงเปลี่ยนรูปอยู่!

กองลูกประคำสั่นไหวรุนแรง เหล่าวิญญาณวุธนั้นทรงพลังเกินกว่าจะคงรูปในลูกประคำเหล่านี้ แม้ลูกประคำจะสร้างขึ้นจากแหล่งพลังเดียวกัน แต่ก็เหมือนว่าจะไม่สามารถบรรจุเหล่าดวงจิตไว้ได้ ทำให้ลูกประคำส่งสัญญาณเหมือนจะระเบิดออกได้ทุกเมื่อ คลื่นพลังที่พวยพุ่งออกมาจากลูกประคำอีกสองลูกแกร่งกล้ากว่าวิญญาณวุธสี่ดวงก่อนหน้า!

หวังเป่าเล่อเริ่มฉุนเฉียว เขาสูดหายใจลึก พยายามสงบใจลง ชายหนุ่มเคยพบกับประสบการณ์ท้าทายคล้ายกันนี้ตอนหลอมฝักกระบี่ พอสงบใจลงได้ เขาก็ปล่อยแขนอาวุธเทพเกราะจักรพรรดิลักอัคคี พลังจากแขนกดทับลูกประคำทั้งสองและห่อหุ้มเอาไว้มิด ทำเช่นนั้นไปได้สักพักก็เกิดเสียงปริแตกดังขึ้น รอยแตกเริ่มปรากฏขึ้นบนลูกประคำแต่ละลูกเรื่อยๆ จนมีมากกว่าสิบรอย เหมือนว่าจะแตกออกได้ทุกเมื่อ หวังเป่าเล่อหยิบลูกประคำลูกที่เจ็ดมาหลอมเข้ากับลูกประคำทั้งสองลูกอย่างไม่ลังเลใจ

เขาหลอมลูกประคำลูกที่เจ็ดเพิ่มเพื่อทำให้อีกสองลูกเกิดความสมดุล หลังจากอดทนพยายามอย่างหนัก…ลูกประคำทั้งสองลูกที่ทำถ้าเหมือนจะแตกออกก็ผสานรวมกับดวงจิตเทพได้สำเร็จ!

แต่ละลูกมีลักษณะแตกต่างกันมาก ลูกหนึ่งมีลักษณะกลมแบน ส่วนอีกลูกเป็นทรงเสี้ยวดวงจันทร์!

หลังจากผสานรวมกับบดวงจิตเทพสำเร็จ ลูกประคำทั้งหกก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะหมุนวนเข้าใกล้กัน ด้ายดำบางปรากฏขึ้น ร้อยเรียงลูกประคำเข้าด้วยกันเป็นกำไลแขน!

“ลูกกลมเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ ลูกทรงเสี้ยวเป็นเหมือนดวงจันทร์ ส่วนที่เหลือคือดวงดาว…ข้าจะเรียกอาวุธเวทชิ้นนี้ว่ากำไลเป่าเล่อ!” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง ช่างเป็นชื่อที่ดียิ่ง เขายกมือขวาขึ้น กำไลเบื้องหน้าลอยเข้ามาคล้องข้อมือในทันใด

คลื่นพลังพวยพุ่งออกมาจากกำไล พลังอาวุธเทพพลันตื่น ดังสะท้อนก้องในหัวหวังเป่าเล่อ!

เสียงเลือนรางเดินทางผ่านห้วงเวลา ข้ามผ่านเส้นแบ่งชีวิตและความตาย ดังกระจ่างขึ้นในหัวชายหนุ่ม!

“หัตถ์สื่อวิญญาณ นิมิตหมุนวน พรากจุติเกิด หมื่นภัยพิบัติ พันชีวิต ห้าโทษทัณฑ์!”

บทที่ 641 ดวงจิตเทพ!
หวังเป่าเล่อข่มอารมณ์สับสนอลม่านภายในไว้และออกตรวจดูรอบๆ เขาโยกมือขวาขึ้นโบก ส่งหุ่นเชิดสิบสองตัวกระจายออกไปตรวจรอบๆ ชายหนุ่มเริ่มเดินไปทั่วเมือง มองสิ่งปลูกสร้างตามทาง ก่อนจะไปเดินตรงไปยังทิศทางที่สัมผัสได้ถึงพลังรัศมีของสำนักแห่งความมืดได้รุนแรงที่สุด

มองดูก็รู้ว่าเมืองแห่งนี้เคยมีประชากรอยู่มากเลยทีเดียว จากร่องรอยที่เหลืออยู่บ่งบอกว่าชาวเมืองมีการเตรียมพร้อมรับมือหายนะครั้งนี้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะรอดจากโศกนาฏกรรมไปได้ ทุกคนโดนกำจัดสิ้น แม้แต่ยักษายังโดนฟันขาดเป็นสองส่วน

ความอาลัยเข้าเกาะกุมในใจหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มส่ายหัวและเดินตรงไปยังใจกลางซากเมือง เขาสูดหายใจลึก ก้าวเดินต่อไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงัก ดวงตาฉายแววเคร่งเครียด

หุ่นเชิดตัวหนึ่งจากอีกสิบสองตัวที่ปล่อยไปก่อนหน้าขาดการติดต่อไปโดยไม่ส่งสัญญาณเตือนใดๆ

หวังเป่าเล่อตื่นตัวทันใด รีบมุ่งหน้าไปยังจุดสุดท้ายที่หุ่นเชิดตนนั้นอยู่ก่อนจะขาดการติดต่อ เมื่อเดินไปถึงก็พบกับหุ่นเชิดนอนนิ่งอยู่ตรงหัวมุม

ชายหนุ่มไม่ได้เข้าไปหาหุ่นเชิดในทันที เขาหรี่ตาเล็กและยกมือขวาขึ้นโบก ส่งกระบี่บินพุ่งตรงไปทางหุ่นเชิด เป้าหมายพลันกระตุกและพลิกตัวกลับเมื่อกระบี่บินพุ่งเข้าไปใกล้ แสงสีแดงปรากฏขึ้นด้านใต้หุ่นเชิด มันหลบกระบี่บินและพุ่งตรงไปหาใส่หวังเป่าเล่อ

เหมือนมันจะสัมผัสได้ถึงเปลวไฟสีแดงที่ปรากฏอยู่นอกกายชายหนุ่มเมื่อเข้าใกล้ แสงสีแดงรีบเปลี่ยนทิศ พยายามจะหนีไป

แม้จะเร็วเพียงใด แต่หวังเป่าเล่อก็มีเกราะจักรพรรดิลักอัคคีอยู่ เขายกมือขวาเอื้อมไปคว้าแสงตรงหน้า

แสงสีแดงแท้จริงแล้วเป็นหนอนชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ศพ แต่เป็นสิ่งมีชีวิต มันดิ้นอยู่ในมือชายหนุ่ม บนหัวมีปากขนาดใหญ่ ส่งของเหลวไหลออกมาไม่หยุด ด้านในมีฟันสีดำเรียงรายอยู่ มันร้องคำรามพร้อมกับยิงเขี้ยวใส่หวังเป่าเล่อ พยายามดิ้นตัวอย่างรุนแรงเพื่อหนีไปจากมือของเขา

แต่ร่างสั่นเทาของมันก็บ่งบอกถึงความหวั่นกลัว เมื่อครู่ก็พยายามหลบเลี่ยงหวังเป่าเล่อ เห็นได้ชัดว่ามันกลัวเปลวไฟ!

หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ก่อนจะเหลือบไปเห็นรอยบนหลังของหุ่นเชิด คงจะโดนหนอนตัวนี้โจมตีตอนกำลังสำรวจรอบๆ มันเจาะทะลุร่างหุ่นเชิดพังไปถึงด้านใน

ดูไม่เห็นเก่งเท่าไหร่ เขาคิด ก่อนจะบีบมือที่สวมเกราะแน่น หนอนกรีดร้อง แต่กลับไม่ถูกขยี้ในทันที ชายหนุ่มหรี่ตามอง ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว เปลวไฟสีดำพลันเคลื่อนเข้าหาหนอนในมือ มันร้องดังลั่น ก่อนจะโดนเปลวไฟเผาเป็นเถ้าถ่านคามือ

เสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายก่อนตายดังก้องไปทั่ว ผืนดินสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อมันกลายเป็นเถ้าธุลี สิ่งปลูกสร้างรอบกายก็สั่นคลอนเช่นกัน ทันใดนั้น ทุกซอกมุมของสิ่งปลูกสร้างทุกหลัง ตั้งแต่พื้นพสุธาไปถึงยอดกระดูกแขนที่ตั้งตระหง่านเหมืองดังภูเขา จู่ๆ ก็มีฝูงหนอนสีแดงหลั่งไหลออกมา!

บางส่วนตัวเล็กเท่าๆ กับตัวที่ตายไป ขณะที่บางตัวมีขนาดใหญ่เกือบร้อยเมตร ตัวที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดโผล่พ้นดินขึ้นมาจากภูเขาที่อยู่ไกลออกไป ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปหาหวังเป่าเล่อ ลำตัวของมันยาวประมาณสามร้อยเมตร

ซากเมืองและกองศพถูกบดบังโดยกองทัพหนอนจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันเป็นดั่งเส้นขนที่งอกออกมาจากตัวยักษา ดิ้นไปดิ้นมาไม่หยุดอยู่ทั่วบริเวณ

หวังเป่าเล่อหรี่ตามองหนอนแดงมากมายรอบตัว หุ่นเชิดเริ่มขาดการเชื่อมต่อไปทีละตัว

“หนอนสีแดงพวกนี้เป็นเหมือน…เส้นขน” ชายหนุ่มส่ายหน้า แม้จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหนอนพวกนี้เลยแต่ก็ไม่คิดเป็นกังวลเพราะได้เห็นผลกระทบของเปลวไฟสีดำที่มีต่อหนอนแดงมาก่อนแล้ว เขาสูดหายใจลึก ปล่อยให้เปลวไฟสีดำลุกลามกระจายออกไป เปลวไฟสั่นไหวขณะโหมกระจายตัวไปรอบๆ ปล่อยพลังเย็นเยียบเปลี่ยนพื้นดินให้กลายเป็นเยือกแข็ง

ฝูงหนอนแพ้ทางเปลวไฟสีดำ พวกมันรีบถอยหนี แม้แต่หนอนตัวใหญ่ที่สุดบนแขนของยักษาก็ยังตัวสั่นเทิ้มและล่าถอยไป

เมื่อได้เห็นว่าเปลวไฟสีดำใช้ได้ผลดี หวังเป่าเล่อก็ออกเดินไปด้านหน้า ไม่มีหนอนตัวไหนกล้าเข้าใกล้ พวกมันรีบถอยห่างเปิดทางให้กับชายหนุ่มอย่างว่าง่าย

ตรงกลางเมืองนั้น…มีลานกว้างที่จมลึกลงไปอยู่!

อาจจะไม่เหมาะนักที่จะเรียกว่าลานกว้างเพราะมันมีลักษณะคล้ายกับแท่นสังเวย รอบๆ มีรูปปั้นหันพังประมาณสิบตัว กะดูแล้ว ตรงใจกลางของแท่นสังเวยนี้น่าจะอยู่กึ่งกลางศีรษะของกะโหลกยักษาพอดี!

จุดนี้เองที่มีพลังรัศมีสำนักแห่งความมืดเปล่งออกมารุนแรงที่สุด

หวังเป่าเล่อหันมองซากรูปปั้นรอบๆ ถึงจะมองไม่ออกว่ามีลักษณะอย่างไรเพราะส่วนใหญ่เสียหายไปมากทีเดียว แต่ชายหนุ่มก็มีความรู้สึกว่ารูปปั้นเหล่านี้น่าจะเป็นรูปปั้นของเหล่าบุคคลทรงอำนาจของสำนักแห่งความมืดในอดีต พวกเขาคือเสาหลักของสำนัก เหล่าผู้นำทางวิญญาณที่บรรดาสานุศิษย์แห่งสำนักแห่งความมืดต่างเคารพยำเกรง!

แต่ละตนเป็นตัวแทนของยุคสมัยอันรุ่งเรือง!

ชายหนุ่มหยุดมองรูปปั้นตนหนึ่ง ร่างของเขาสั่นเทิ้มขณะเยื้องย่างเข้าไปใกล้

เขาจ้องมองอยู่เนิ่นนาน รูปปั้นเบื้องหน้านั้นส่วนหัวขาดหายไป แต่ชุดคลุมแสนคุ้นเคยที่เห็นทำให้ชายหนุ่มหายใจถี่รัว หวังเป่าเล่อรู้ว่านี่เป็นรูปปั้นของใคร

“ท่านอาจารย์…” ชายหนุ่มพึมพำขึ้นหลังจากไม่ได้ปริปากพูดอะไรเป็นเวลานาน ความอาลัยอัดแน่นเต็มหัวใจ เขาก้มหัวให้กับรูปปั้นอยู่นานก่อนจะเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็เก็บเอารูปปั้นใส่กระเป๋าคลังเวทไว้

เขาหันไปมองกึ่งกลางของลานที่จมลึก หลังจากหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินไปหยุดอยู่ตรงกึ่งกลางกะโหลกยักษา รู้สึกได้ถึงพลังของสำนักแห่งความมืดและเปลวไฟสีดำที่ลุกโชติช่วง

มีบางอย่างแปลกๆ ชายหนุ่มก้าวออกไปสองสามก้าวก่อนจะหยุดมองตรงเท้า จากนั้นก็ถอยกลับไปยังจุดเดิม

ไม่ผิดแน่ เปลวไฟสีดำลุกโชติช่วงที่สุดถ้ายืนตรงนี้! หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็สว่างวาบ ยกมือขึ้นประสานเป็นผนึกมือท่วงท่าต่างๆ เปลวไฟสีดำภายในลุกโชนรุนแรงอีกครั้ง ชายหนุ่มนั่งลง จากนั้นก็หลับตา ปล่อยจิตให้ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเปลวไฟสีดำ พยายามจะเชื่อมจิตกับหัวกะโหลก

ทันใดที่เขาผสานเป็นหนึ่งกับเปลวไฟสีดำและมุดลงไปยังกะโหลกเบื้องล่าง ร่างของชายหนุ่มก็สั่นเทิ้ม ได้ยินเสียงโบราณดังขึ้นในหัว สั่นคลอนจิตไปถึงจิตวิญญาณ

“หัตถ์สื่อวิญญาณ ฝันหมุนวน พรากจุติเกิด หมื่นภัยพิบัติ พันชีวิต ห้าโทษทัณฑ์!”

เสียงที่ดังขึ้นส่งตรงมาจากหลายพันปีก่อน ฟังดูแล้วเหมือนจะมาจากโลกแห่งความตาย ส่งผ่านมาดังก้องอยู่ในโลกแห่งคนเป็น สะท้องดังอยู่ในหัวของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเห็นแสงไฟจางๆ หกดวงปรากฏขึ้น

นี่มัน…

หวังเป่าเล่อตัวสั่นระริก ก่อนจะลืมตาขึ้นพร้อมกับก้มหัวหอบหายใจ เขาจ้องกะโหลกเบื้องล่างขณะที่เสียงโบราณยังคงดังก้องอยู่ภายใน หมู่ดวงไฟยังเปล่งแสงรางๆ อยู่ในหัว ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแสงวาบ!

“ดวงไฟทั้งหัวดูคล้ายกันกับ…ดวงจิตเทพที่ข้าเคยเจอ เป็นดวงจิตเทพที่จำเป็นในการหลอมอาวุธเวท!” เขากระซิบ ในฐานะบุตรแห่งความมืดและผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวท หวังเป่าเล่อมั่นใจว่ามีดวงจิตหกดวงที่กำลังอ่อนแรงและเกือบจะสลายหายไปอยู่ด้านใต้กะโหลก!

ดวงไฟทั้งหกมีลักษณะเหมือนดวงจิตเทพที่จำเป็นในการหลอมอาวุธเวท!

ชายหนุ่มตาเป็นประกาย รีบผสานจิตเป็นหนึ่งกับเปลวไฟสีดำซ้ำๆ การพยายามซ้ๆ ของเขาทำให้มั่นใจมากขึ้นว่ามีดวงจิตเทพอ่อนแรงหกดวงอยู่ใต้กะโหลกจริง หากปล่อยทิ้งไปเช่นนี้ หลายสิบปีผ่านไป เหล่าดวงจิตอาจจะต้องหายวับไป ไม่สามารถฟื้นฟูกลับคืน

มีอยู่หลายทางที่จะต่อชีวิตดวงจิตเหล่านี้ให้เป็นนิรันดร์ แต่ทางเดียวที่หวังเป่าเล่อสามารถทำได้คือ…หลอมจิตเทพทั้งหกเข้ากับอาวุธเวทเพื่อแปลงพวกมันเป็นวิญญาณวุธ!

นี่คือทางเดียวที่จะช่วจิตเทพทั้งหกดวงได้!

ฟากฟ้ามืดสี แม้ศพอสูรขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่บนท้องนภาจะส่องสว่างเหมือนกับดวงอาทิตย์ แต่ก็ไม่สามารถมอบแสงสว่างให้กับดินแดนแห่งนี้ได้ หวังเป่าเล่อเห็นทางเบื้องหน้าส่องแสนเลือนรางขณะที่เส้นทางอื่นๆ มืดสนิท

แต่ถ้าเป็นผู้ฝึกตนก็สามารถมองได้ชัดหากมีพลังวิญญาณไหลผ่านดวงตา ดงดอกปีศาจราเขียวที่กระจายอยู่ทั่วดินแดนก็ช่วยส่องทางให้อีกแรง เหล่าดอกไม้ส่องแสงสีแดงจางๆ ให้พื้นที่รอบตัวสว่างขึ้นมาหน่อย

ทัศนียภาพเบื้องหน้าคงจะต่างออกไปมากหากไม่มีศพมากมายนับไม่ถ้วนนอนกองอยู่ การมีอยู่ของมันทำให้โลกใบนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย

แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นบุตรแห่งความมืด แต่เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับภาพความตายสักเท่าไหร่ สำนักแห่งความมืดนั้นมีอำนาจจัดการความตาย แต่หน้าที่ที่แท้จริงคือการนำทางเหล่าดวงวิญญาณ เหล่าศพบนโลกใบนี้ได้ตายไปนานโข ตัวตนของพวกมันจึงไม่ต่างกับหุ่นเชิดที่มีเลือดเนื้อ

พลังที่คอยควบคุมหุ่นเชิดเหล่านี้เป็นพลังที่หวังเป่าเล่อไม่รู้จัก เขารู้สึกสับสน ขณะเดียวกันก็รู้สึกตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้พบเจอบนโลกใบนี้

“ตระกูลไม่รู้สิ้นเป็นภัยคุกคามกับหลายจักรพิภพ ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาเป็นตัวตนแกร่งกล้า เพราะเหตุนี้พวกนั้นเลยนึกทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ไม่ยอมฟังคำใคร!” ชายหนุ่มพูดพึมพำกับตนเอง เขาพุ่งแหวกท้องนภาต่อไปไม่หยุด ในมือถือเกสรตัวเมียของดอกปีศาจราเขียวแนบไว้กับอก เกสรของมันมีพลังประหลาดช่วยให้เขาไม่ตกเป็นเหยื่อนิมิตมายาระหว่างการเดินทาง

ฝูงดอกปีศาจไม่มีวี่แววจะบานออกกระทันหัน การเดินทางของหวังเป่าเล่อหลังออกจากหมอกสีแดงมาได้เป็นไปอย่างราบรื่น ปราศจากอันตรายใดๆ

แต่สิ่งที่พบระหว่างทางก็ทำให้เขาต้องตกตะลึงพรึงเพริดยกใหญ่ ศพตามทางนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ ส่วนใหญ่แล้วเป็นสิ่งมีชีวิตที่หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน

เขาเห็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีลำตัวเป็นสัตว์แต่ส่วนหัวเป็นมนุษย์ กองซากศพที่มีลักษณะเหมือนหิน ร่างยักษ์ที่มีหนามแหลมห่อหุ้ม และศพรูปลักษณ์แปลกประหลาดอีกมากมาย บางส่วนมีสองหัว บางตัวมีร่างกายเหมือนนิ้วมือทั้งห้าแต่ไม่มีลูกตา

นอกจากนี้ยังมีกองศพที่มีลักษณะเหมือนลูกบาศก์ขนาดยักษ์ดั่งว่าถูกนำมาวางต่อกัน ดูแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวตนเหล่านี้จะเคยมีชีวิตอยู่ในอดีต แต่ที่รู้ตอนนี้มีเพียงแค่พวกมันได้กลายเป็นซากศพไปแล้ว

ภาพเบื้องหน้าทำให้หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ เขาพบศพรูปร่างคุ้นเคยอีกมากมาย เช่น คนแคระตัวดำเท้าใหญ่จากดาวเคราะห์วายุทมิฬ

ยังมีพลังรัศมีน่าสะพรึงกลัวเปล่งออกกมาแม้เหล่าศพจะตายไปแล้ว สัญชาตญาณบอกหวังเป่าเล่อว่าไม่ควรย่างกรายเข้าไปใกล้ มิเช่นนั้นอาจเกิดแรงปะทะโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อสัมผัสกับพวกมัน!

หวังเป่าเล่อพุ่งผ่านกองศพของชาวดาวเคราะห์วายุทมิฬ ครึ่งชั่วโมงผ่านไปเขาก็หยุดอยู่กลางอากาศและก้มมองด้านล่าง เขาทำหน้าแปลกใจเมื่อมองไปเห็นศพตนหนึ่งที่กองอยู่เหลือศพตนอื่นๆ

ศพตนนั้นมีรูปร่างผอมบาง หูยื่นยาวเล็กน้อย ดูคล้ายคลึงกับมนุษย์ ความตายไม่สามารถพรากเอาความงดงามจากศพตนนี้ไปได้ ชายหนุ่มเคยพบกับชนเผ่านี้ในเกมเทพจุติ

“เกมนั่น…” เขาพึมพำ อาจจะเพราะจ้องอยู่นานเกินไปจึงเห็นนิ้วมือของศพร่างเพรียวงามที่กองอยู่บนภูเขาซากศพเริ่มขยับ หวังเป่าเล่อตื่นตระหนก รีบพุ่งทะยานหนีไปอย่างไม่ลังเลใจ

เมื่อชายหนุ่มหายลับไปไกล นิ้วมือก็หยุดเคลื่อนไหว ดินแดนกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง

ข้าจะมัวอ้อยอิงไม่ได้ ทุกสิ่งอย่างในที่แห่งนี้ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก หันมองรอบตัวขณะพุ่งไปด้านหน้า พยายามพิจารณาว่าจะเลือกไปทางใดดี เขารู้ว่าทางที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดที่จะระบุตำแหน่งแท่นสังเวยคือหาอสูรยักษ์ที่พบก่อนหน้าให้เจอ

จากนั้นจึงจะสามารถตามอสูรตนนั้นไปยังแท่นบูชาได้

เวลาผ่านไปหลายวัน ชายหนุ่มยังคงทะยานข้ามผ่านดินแดนซากศพไม่หยุดพัก ที่หาเจอมีเพียงแค่ซากศพ ตามหาอสูรยักษ์ไม่พบแม้แต่เงา วันหนึ่ง ขณะหวังเป่าเล่อท่องนภาด้วยความเป็นกังวล ทันใด ดวงตาเขาก็หรี่เล็กลง!

ความรู้สึกประหลาดคุกรุ่นอยู่ภายใน เปลวไฟสีดำลุกโชนขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนจะพวยพุ่งออกมานอกร่างและแปรเปลี่ยนกลายเป็นเปลวเพลิงเย็นเยียบสีดำ!

“หืม” ดวงตาฉายหนุ่มฉายแสงวาบ สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างเข้ากระตุ้นตนเองและเปลวไฟสีดำที่อยู่ภายใน พลังดังกล่าวร้องสอดประสานกับเปลวไฟสีดำของเขา!

ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นเคย สิ่งนั้นคือ…พลังรัศมีของสำนักแห่งความมืด!

หรือจะมีคนของสำนักแห่งความมืดซ่อนกายอยู่แถวนี้ หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัวขึ้นเล็กน้อย เขาขยายขอบเขตสัมผัสวิญญาณตรวจค้นทั่วบริเวณอย่างละเอียด ชายหนุ่มหันไปด้านขวา พลังรัศมีของสำนักแห่งความมืดอันคุ้นเคยแผ่พุ่งมาจากทางนั้น!

เขาหยุดคิด จากนั้นก็หยิบเอาหน้าการของแม่นางน้อยออกมา แม้แม่นางน้อยจะไม่ขานตอบเขาเลยตั้งแต่เข้ามายังที่แห่งนี้ แต่หน้ากากก็ถือเป็นของสำคัญที่ทำให้ชายหนุ่มแยกความจริงและนิมิตมายาออกจากกันได้!

หน้ากากยังคงปรากฏชัดเจน หวังเป่าเล่อตรวจดูละอองตัวเมียในมือและมองไปรอบๆ รู้สึกโล่งใจที่ไม่ได้เข้าไปติดอยู่ในนิมิตมายาอีกครั้ง เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าตรงไปทางที่สัมผัสพลังรัศมีของสำนักมืดได้!

เขามุ่งหน้าไปด้วยความเร็วตามปกติพร้อมกับคอยระวังสิ่งรอบตัว ครึ่งชั่วโมงผ่านไป สัมผัสอันคุ้นเคยเริ่มเด่นชัดขึ้น เปลวไฟสีดำภายในลุกโชติช่วงในกายด้วยความหิวกระหาย หากมองดูจากไกลห่างจะมองไม่เห็นร่างของหวังเป่าเล่อ แต่จะเห็นเพียงแค่ลูกไฟสีดำ ทันใดนั้น…หวังเป่าเล่อก็มาถึงจุดกำเนิดพลังรัศมีของสำนักแห่งความมืด!

ที่แห่งนี้คือ…เมืองที่ตั้งอยู่ตีนเขาแห่งหนึ่ง!

นี่เป็นเมืองแห่งแรกที่หวังเป่าเล่อพบบนโลกใบนี้ เมืองแห่งนี้ไม่ได้เป็นเมืองใหญ่ มีขนาดประมาณนครศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังเป็นทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจในดินแดนซึ่งเต็มไปด้วยซากศพ

ตลอดทางเขาพบเจอเพียงแค่กองซากศพและดงดอกปีศาจ ไม่เห็นสิ่งปลูกสร้างใดๆ เมืองแห่งนี้จึงเป็นดั่งสิ่งสุดแสนสำคัญ ชายหนุ่มเริ่มหายใจติดขัดเมื่อความคิดดังกล่าวผุดขึ้นในหัว

หวังเป่าเล่อมั่นใจว่า…เมืองแห่งนี้เป็นตัวบ่งบอกว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ที่นี่!

ไม่สำคัญเลยว่าเมืองตรงหน้าจะเป็นแค่ซากปรักหักพัง สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในเมืองชำรุดทรุดโทรม บางส่วนพังทลายสิ้น ชายหนุ่มใจชื้นขึ้นเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ดวงตาเริ่มเบิกกว้างขึ้นเรื่อยขณะเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ เขาเหาะไปหยุดอยู่เหนือซากเมือง ในหัวอื้ออึงเมื่อก้มลงมอง เหมือนกับว่าเกิดการระเบิดขึ้นในหัว

ที่นี่มัน… หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม คลื่นความรู้สึกถาโถมเข้าภายใน เปลวไฟสีดำนอกร่างลุกโชนดุดัน

จากจุดที่เขาอยู่…ไม่ได้มีเพียงแค่ซากเมืองมองเห็น…แต่ยังมีอย่างอื่นอยู่อีก!

เมืองแห่งนี้ไม่ได้สร้างอยู่บนผืนดิน แต่สร้างอยู่บนกะโหลกขนาดใหญ่ คงจะสามารถจินตนาการกันได้ว่าหัวกะโหลกนี้ใหญ่เพียงใด กะโหลกเบื้องล่างไม่ได้ตั้งอยู่บนยอดเขา แต่เชื่อมติดกับแขนข้างหนึ่ง!

คงจะชัดเจนมากกว่าหากเรียกมันว่ากระดูกต้นแขนที่หักออกครึ่งหนึ่ง เหมือนดังว่าในอดีตมียักษาได้มานั่งสมาธิอยู่ จากนั้นก็โดนปาดเป็นแนวทะแยงจากหัวไหล่ด้านหนึ่งลงไป แบ่งร่างยักษาออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งได้กลายเป็นเถ้าธุลีไป เหลือทิ้งไว้เพียงอีกครึ่งที่เหลือ!

หวังเป่าเล่อหยุดหายใจไปขณะจ้องทัศนียภาพเบื้องหน้าอย่างเงียบเชียบ เขาสัมผัสได้ถึงพลังรัศมีของสำนักแห่งความมืดที่เปล่งออกมาจากซากกระดูก มีคลื่นพลังคล้ายกันพวยพุ่งออกมาจากเมืองที่ตั้งอยู่บนซากกระดูกด้วยเช่นกัน

ภาพเบื้องหน้าทำให้ชายหนุ่มเงียบไปครู่ใหญ่ เขาค่อยๆ ร่อนตัวลงไปบนหัวกะโหลก ลงเหยียบในเมืองและหันมองไปรอบๆ พลันความคิดหนึ่งก็แล่นเข้าหัว ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาติดไว่ก่อนหน้าที่ว่ามีใครได้สร้างเมืองแห่งนี้ขึ้น

แท้จริงแล้ว…เมืองแห่งนี้คือส่วนหนึ่งของยักษา อาจจะตั้งอยู่บนหัวของมันตั้งแต่ครั้งยังมีชีวิตอยู่!

สถาปัตยกรรมของเมืองแห่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อนึกถึงนิมิตมืด เขาคิดว่าน่าจะเป็นสถาปัตยกรรมช่วงเดียวกันกับที่พบในนิมิตมืด

“เหล่าผู้รอดชีวิตคนอื่นที่เหลือรอดหลังจากสำนักแห่งความมืดล่มสลายก็คงจะ…” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง อารมณ์มากมายฉายขึ้นในแววตา

บทที่ 639 กระจัดกระจาย!
ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในไม่สามารถหลบฝูงงูเหลือมได้ทันจึงถูกเขมือบทั้งเป็น เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจมหายไปท่ามกลางเสียงร้องคำรามลั่นของกองทัพศพ เหล่าผู้ฝึกตนไม่มีทางเลือกอื่น ต้องกระจายตัวกันออกไปเพื่อหลบการโจมตีของฝูงงูเหลือมยักษ์

หวังเป่าเล่อเองก็รีบถอยหนี งูเหลือมยักษ์พุ่งเข้ามาหาเขาจากทางขวาพร้อมกับร้องคำราม พยายามจะเขมือบชายหนุ่มทั้งเป็น แต่พลังของหวังเป่าเล่อนั้นทัดเทียมกับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ เกราะจักรพรรดิลักอัคคีปรากฏชึ้นทันใด ดวงตาของเขาฉายแสงเย็นเยียบขณะพุ่งไปข้างหน้า ไม่คิดถอยหนี ตรงเข้าไปประจันหน้ากับงูเหลือมยักษ์!

เสียงกัมปนาทดังกึกก้องทันใดที่แขนอาวุธเทพของชายหนุ่มเจาะทลวงร่างของงูเหลือมยักษ์ เขาถลาไปรอบๆ ก่อนจะพุ่งขึ้นฟ้า ส่งศีรษะงูเหลือมยักษ์ร่วงลงพื้นเสียงดัง

ร่างของงูเหลือมยังดิ้นไปมา พยายามฟาดตัวใส่หวังเป่าเล่อแม้จะถูกตัดหัวไป ชายหนุ่มตั้งผนึกมือท่วงท่าต่างๆ เรียกกระบี่บินสามสีพุ่งขึ้นฟ้า ตรงเข้าไปหั่นงูเหลือมเป็นชิ้นๆ ก่อนจะพุ่งกลับมาฟาดฟันรอบตัวหวังเป่าเล่อ หั่นเหล่าศพที่ดาหน้าเข้ามาทิ้ง

ชายหนุ่มไม่สนใจกองทัพศพรอบตัว เขาหันมองรอบด้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ฝูงงูเหลือมยักษ์กองทัพผู้ฝึกตนออกเป็นกลุ่มย่อย เสียงปะทะกันดังกึกก้อง งูเหลือมหลายตัวโดนผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณสังหารเรียบร้อย แต่หายนะบนสนามรบก็ยังไม่หมดสิ้น ผู้ฝึกตนมากกว่าสิบคนถูกปลิดชีพไป

เกราะลักษณะคล้ายเกล็ดปลาปรากฏขึ้นบนตัวกงเต๋า เหมือนจะช่วยเสริมความเร็วและทำให้ร่างกายโปร่งใสไปเล็กน้อย เขาพุ่งไปช่วยผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนหนึ่งล้มงูเหลือมยักษ์ลงอีกตัว!

ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ ถ้าพวกเราไม่ทำอะไรสักอย่างต้องได้ตายกันหมดแน่! หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว เขาพุ่งไปหากลุ่มผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน ก่อนจะสังหารงูเหลือมยักษ์ทิ้งเพียงแค่ยกมือขึ้นโบก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองฟ้า

เฟิ่งชิวหรันและเจ้าเยี่ยเหมิงที่อยู่กลางอากาศกำลังถูกอสูรบินได้เข้าล้อม ทั้งสองเปล่งแสงเป็นประกายก่อนแสงจะสว่างแสบตาขึ้นเรื่อยๆ เฟิ่งชิวหรันยกไม้วัดในมือขึ้น ดวงตาของนางฉายแสงวาบขณะตะโกนลั่น “สามหมื่นเมตร!”

นางฟาดไม้วัดในมือลงอย่างรุนแรง เจ้าเยี่ยเหมิงตั้งผนึกมือสร้างวงแหวนปราณเก้าร้อยเก้าสิบเก้าวงที่สะสมไว้ขึ้นพร้อมๆ กัน!

สรวงสวรรค์สั่นคลอน ผืนดินสั่นไหว ลมพัดกรรโชก เมฆาหมุนวน ศพและอสูรทุกตน รวมถึงฝูงงูเหลือมและกลุ่มผีดิบชุดดำในระยะสามหมื่นเมตรสั่นเทิ้ม ราวกับมีพลังไร้เทียมทานส่งตรงลงมาบดขยี้จากเบื้องบน!

เกิดการระเบิดสนั่นหวั่นไหวทำลายทุกสิ่งในเขตสามหมื่นเมตรเป็นเถ้าธุลี เหล่าศัตรูถูกกวาดล้างจนเกลี้ยง วงแหวนปราณของเจ้าเยี่ยเหมิงเสริมแรงให้กับการโจมตีพร้อมกับส่งคลื่นปะทะกระจายออกไปอีกหนึ่งหมื่นเมตรเหมือนดั่งมีหัตถ์ขนาดมหึมาโผล่พ้นดินมากวาดทุกสิ่งทิ้งไป!

อสูรบนฟ้าคือเป้าหมายหลักของเฟิ่งชิวหรันและเจ้าเยี่ยเหมิง พื้นที่บนฟ้าถูกกวาดล้างไปไกลกว่าบนดิน!

“เร็วเข้า!” ผืนดินสั่นไหว ทุกอย่างกลายเป็นเศษธุลี เฟิ่งชิวหรันคว้าเจ้าเยี่ยเหมิงพุ่งหายไปไกลขณะร้องบอกเสียงดัง

ไม่ต้องให้เฟิ่งชิวหรันบอกอีกครั้ง เหล่าผู้ฝึกตนที่เหลือเมื่อได้เห็นการโจมตีเมื่อครู่ก็ตื่นตัวพร้อมวิ่งหนี เมื่อหนทางเบื้องหน้าเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของทัพศัตรูชุดใหม่ถัดไปไกลกว่าหมื่นเมตร พวกเขาก็รีบพุ่งตัวออกไปในทันที

หวังเป่าเล่อคว้ากงเต๋าและทะยานขึ้นฟ้า กลุ่มผู้ฝึกตนกำลังจะใช้โอกาสที่มีหนีไปได้ ทันใดนั้น เสียงหอนก็หวีดขึ้นจากหลุมที่ฝูงงูเหลือมยักษ์โผล่ขึ้นมา

ผืนดินจมลึกลง ก่อนจะเกิดรอยปริแตกขนาดใหญ่ ตามมาด้วยเสียงร้องเห่าหอนดุดันสั่นคลอนจิตใจทุกคนที่ดังขึ้นจากใต้ดิน

เสียงร้องโหยหวนดังสอดประสานกับเสียงโซ่กระทบกัน หมาล่าเนื้อสีดำขนาดใหญ่ ตัวเน่าเปื่อยเป็นบางส่วน พลันกระโจนขึ้นไปบนอากาศจากรอยแตก พริบตาต่อมาก็อ้าปากเขมือบเอาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนหนึ่งและผู้ฝึกฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกสามคนเข้าปาก!

ความหวาดกลัวฉายชัดบนใบหน้าทุกคน ฝันร้ายของพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น รอยแตกคล้ายๆ กันเริ่มปรากฏขึ้นเพิ่ม หมาล่าเนื้อสีดำหลายตัวกระโจนขึ้นฟ้าพร้อมกับเห่าหอนเสียงดัง!

โชคดีที่พวกมันถูกล่ามไว้กับพื้นทำให้ไม่สามารถไปไหนได้ไกล ถึงกระนั้นหมาล่าเนื้อจำนวนหลายสิบตัวก็ถือเป็นภัยอันตรายร้ายแรง นอกจากนี้…ด้วยร่างกายพิเศษเฉพาะตัวของพวกมันทำให้ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากคาถา เป็นเหมือนดั่งโยนหินลงมหาสมุทรกว้างใหญ่ มีเพียงการโจมตีกายภาพโดยตรงเท่านั้นถึงจะสร้างความเสียหายกับพวกมันได้!

“เหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ กระจายตัวกันออกไป พวกขั้นกำเนิดแก่นในมารวมตัวกันรอบๆ ข้า เราจะหนีไปเจอกันที่ปลายท่อนไม้!” เฟิ่งชิวหรันหน้าซีดเผือดขณะร้องออกคำสั่งอย่างรีบร้อน นางอยากจะต่อสู้แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังร้ายกาจลึกลงไปเบื้องใต้กำลังมุ่งหน้าตรงมาหาอย่างรวดเร็ว!

พวกเขามีเวลาเพียงสามสิบวินาทีก่อนมันจะโผล่พ้นดิน!

นางไม่มีเวลาวางแผนอย่างละเอียดเพราะภัยอันตรายกำลังรุดหน้าเข้ามาใกล้ นางโยกมือขวาขึ้นโบก นำผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจำนวนหนึ่งมารวมตัวรอบๆ จากนั้นก็นำเจ้าเยี่ยเหมิงและคนอื่นๆ มุ่งหน้าหนีไปไกล!

ชี่หลินและผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ ก็กระจายตัวออกไปพร้อมกับใบหน้าซีดเผือด หวังเป่าเล่อก็เช่นกัน เขาตั้งใจจะตามเฟิ่งชิวหรันไป แต่ก่อนจะทันได้ทำเช่นนั้น ผืนดินด้านล่างก็สั่นไหว หมาล่าเนื้อสีดำตัวหนึ่งกระโจนเข้ามาขวางทาง หมายจะเขมือบเขาทั้งเป็น!

ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงดุดัน เกราะจักรพรรดิลักอัคคีปรากฏขึ้นทันใด พลังไร้เทียมทานไหลมารวมกันที่แขนอาวุธเทพ เขาปล่อยหมัดตรงไปยังหมาล่าเนื้อเบื้องหน้า!

หมัดหนักก่อให้เกิดพายุโหมเข้าใส่หัวของหมาล่าเนื้อจนเกิดเสียงดังกึกก้อง หมาล่าเนื้อกรีดร้องกระเด็นถอยหลัง หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มจากแรงสะท้อนกลับ เกราะส่งเสียงปริแตก ร่างของชายหนุ่มกระเด็นถอยไปไกลจากแรงปะทะจากหมัดเหมือนดั่งหุ่นเชิดถูกตัดออกจากสาย

ฟากฟ้าเต็มไปด้วยซากศพกลุ่มใหม่อีกครั้ง ฝูงอสูรร้ายโดนกระบี่บินเชือดทิ้งก่อนจะทันใดเข้าใกล้ หวังเป่าเล่อหายใจถี่หนักขณะพยายามทรงตัว เขาหันมองรอบๆ เห็นเพียงร่างไม่สมประกอบและเศษแขนขาของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนหนึ่ง ชี่หลินและคนอื่นๆ กระจายตัวออกไปสักพักแล้ว

กองทัพศพแยกกันตามเหล่าผู้ฝึกตนไป

เราไม่น่ามาเรือเฮงซวยนี่เลย! หวังเป่าเล่อกัดฟันแน่น เขาถอยหนีอย่างไม่ลังเลใจ ก่อนจะออกวิ่งไปตามทางที่เลือกมั่วๆ ขณะที่กำลังจะก้าวเท้า พื้นดินห่างออกไปสามหมื่นเมตรก็เริ่มสั่นไหว ปลาคุนนกเผิงขนาดใหญ่ยักษ์ ลำตัวเน่าเปื่อยเป็นบางส่วนก็โผล่ขึ้นมาจากใต้ดินทะยานขึ้นฟ้าเหมือนดังปลาโผล่พ้นมหาสมุทร!

ปราณมืดแผ่พุ่งออกมาจากอสูรที่เพิ่งโผล่พ้นดิน คลื่นพลังจากร่างเน่าเปื่อยแผ่กระจายสร้างความกลัวให้กับชายหนุ่ม พลังปราณในกายเริ่มสั่นคลอน เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เขาได้เผชิญหน้ากับอสูรเขี้ยวดารา หวังเป่าเล่อรู้ว่าอสูรเบื้องหน้ามีขั้นการฝึกตน…อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์!

ระดับดาวพระเคราะห์! ชายหนุ่มตัวชาไปถึงหนังศีรษะ สังเกตเห็นว่าปลานกคุนเผิงก็ถูกโซ่ล่ามไว้เหมือนเหล่าหมาล่าเนื้อเพียงแต่โซ่ที่มันอยู่มีมากกว่า แต่ก็ไม่มีเวลามาใคร่ครวญอะไรมาก เขารีบวิ่งหนีโดยไม่หันกลับมามอง

หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังทุกอย่างที่มี ระฆังอาวุธเวทเข้าห้องล้อมเกราะจักรพรรดิ กระบี่บินสามสี่บินหมุนรอบตัวคอยคุ้มกัน หลังจากเสริมพลังป้องกันแล้ว ชายหนุ่มก็ปลดปล่อยความเร็วเต็มพิกัด แปรเปลี่ยนเป็นดาวหางทะยานแหวกท้องนภา พุ่งเข้าชนเหล่าอสูรบินได้ที่อาจดีมาขวางทาง!

ชายหนุ่มพุ่งตรงไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ทิ้งเถ้าธุลีและความตายไว้ตามเส้นทางที่เคลื่อนผ่าน จิตสัมผัสของหวังเป่าเล่อขยายเต็มพิกัด เขารีบเปลี่ยนทิศทางทันทีที่สัมผัสได้ถึงอะไรไม่ชอบมาพากล ส่งให้ตนรอดจากภัยอันตรายที่ซ่อนตัวอยู่ ละอองเกสรน่าจะหมดฤทธิ์ไปแล้วเนื่องจากเหล่าศพเริ่มตัวขัดแข็ง ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าลงจนหยุดนิ่งไป หวังเป่าเล่อหลบหนีออกมาจากหมอกสีแดงและดินแดนแห่งซากศพได้สำเร็จ!

ชายหนุ่มหอบหายใจถี่ ชุดคลุมโชกไปด้วยเหงื่อ เขารีบหยิบเอาโอสถจำนวนหนึ่งมากลืนลงท้อง จากนั้นก็หันกลับไปมองสนามรบเบื้องหลัง ความหวาดหวั่นยังคงไม่หายไปจากสายตา

ปลาคุนนกเผิงโดนล่ามไว้ หนีมาไกลขนาดนี้คงจะตามมาไม่ได้แน่ เจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋าอยู่กับเฟิ่งชิวหรัน น่าจะไม่เป็นไร หวังเป่าเล่อใจเต้นถี่รัว แต่ลึกๆ ก็รู้ว่ามัวแต่ตื่นกลัวไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ชายหนุ่มสูดหายใจเฮือกใหญ่หลายครั้งเพื่อกลบฝังความไม่สบายใจที่คุกรุ่นอยู่ภายใน จากนั้นก็หันมองรอบตัวด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง สายตาของเขาเลื่อนไปหยุดตรงทิศทางหนึ่ง ดินแดนเบื้องหน้าเหมือนจะไร้ซึ่งภัยอันตรายใดๆ หวังเป่าเล่อจึงออกวิ่งไปยังทิศทางนั้น

บทที่ 638 การโจมตีครั้งใหญ่!
“เมื่อครู่นี้คืออะไรกัน!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองขณะผู้คนรอบๆ กำลังส่งเสียงฮือฮา เฟิ่งชิวหรันเองก็สั่นกลัว พลังแกร่งกล้าที่แผ่ออกมาจากตัวอสูรตนเมื่อครู่เข้าปกคลุ่มโลกนี้ทั้งใบ

ที่น่าตื่นตะลึงก็คือการที่อสูรทรงอำนาจถูกล่ามไว้เหมือนทาสและโดนใช้ให้ลากท่อนไม้เหมือนกับลา!

ภาพเบื้องหน้าทำให้ทุกคนสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ พวกเขาจ้องไปยังปลายอีกด้านของท่อนไม้ที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา ในใจอดเดาไม่ได้ว่าปลายสุดอีกด้านมีอะไรอยู่

“ปลายอีกด้านของท่อนไม้ต้องเป็นทางไป…แท่นสังเวยของโลกนี้แน่!” เฟิ่งชิวหรันโพล่งขึ้น สีหน้าของนางพลันแปรเปลี่ยน ทุกคนเริ่มเคร่งเครียด

ที่พวกเขาหน้าดำคร่ำเคร่งก็เพราะได้เห็นอสูรร่างยักษ์ลากท่อนไม้ผ่านไป ก้าวย่างหนักแน่นของมันทำให้ผืนดินสั่นไหว ดงดอกไม้สีแดงที่ยังตูมอยู่ก็สั่นไปด้วย บางดอกเริ่มส่งสัญญาณเหมือนจะผลิบาน!

ภาพเบื้องหน้าทำให้ทุกคนตื่นตกใจ ดอกปีศาจราเขียวมากมายที่ผลิบานในทันใดอาจปลุกกองทัพศพให้ลุกจากพื้นได้!

“เราต้องรีบไปแล้ว!” เฟิ่งชิวหรันเงยหน้า โบกมือขวาด้วยสีหน้าตื่นหลัว พลังพลันปะทุนำทุกคนเหาะขึ้นจากพื้นและผลักทุกคนหนีออกจากบริเวณ

นางไม่ต้องบอกอะไร เหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณก็รีบพุ่งไปอย่างลนลาน หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน เขาใช้แรงผลักจากพลังของเฟิ่งชิวหรันลากเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าพุ่งออกไป

แต่ก็สายไป!

พูดให้ถูกคือพวกเขาสูญเสียโอกาสออกจากบริเวณนี้ไปตั้งแต่วินาทีที่อสูรปรากฏตัว ผืนดินหยุดสั่นไหว เสียงระเบิดมากมายดังลั่นขึ้น!

เสียงระเบิดแต่ละครั้งเกิดจากดอกปีศาจราเขียวผลิบานเต็มขั้น แต่ละดอกมีขนาดเท่ากำปั้น ก่อนจะระเบิดออกเหมือนแบมือ ภาพเบื้องหน้าช่างน่าสะพรึงกลัว มองจากไกลห่างเห็นเหมือนมีมือมากมายนับไม่ถ้วนกำลังโบกเรียก!

ดอกปีศาจราเขียวมากมายที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าบานสะพรั่งในทันใด ละอองเกสรกระจายคลุ้งในอากาศ เกิดเป็นหมอกสีแดงชาด…บดบังฟากฟ้าจนมิด!

กองศพใต้หมอกสีแดงเริ่มกระตุกดิ้น เสียงโหยหวยดังก้องเมื่อเหล่าศพเริ่มลุกยืน ดวงตาของพวกมันลุกโชนด้วยเปลวไฟสีแดงขณะร้องคำรามลั่นและพุ่งไปหาเหล่าผู้ฝึกตน

กองทัพศพเบื้องหน้ามีทั้งอสูรไร้ท่อนล่างและมนุษย์แขนหรือขาด้วน อีกทั้งยังมีโครงกระดูกไร้เลือดเนื้อกับศพสภาพสมบูรณ์ที่พลังรัศมีสีดำแสนชั่วร้ายเปล่งออกมา!

นอกจากนี้ยังมีแมลงขนาดเท่ามนุษย์มากมายมารวมตัวกันเห็นเป็นฝูงเงาดำกำลังพุ่งมาหาพร้อมกับร้องคำรามลั่น!

แม้เฟิ่งชิวหรันจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่ถ้าถูกห้อมล้อมไว้ด้วยกองทัพศพมีชีวิตนี้แล้วละก็ นางอาจจะต้องสู้หาทางออกจนเหนื่อยอ่อนถึงขั้นตายลงก็เป็นได้!

อย่างไรเสีย นางก็เป็นมนุษย์ที่ยังหายใจอยู่ ในขณะที่กองทัพเบื้องหน้าคือซากศพไร้ชีวิต เสียงร้องคำรามของพวกมันกู่ก้องในอากาศขณะที่หมอกสีแดงเข้าปกคลุมท้องฟ้าปั่นป่วน ไม่มีเวลาให้ใครได้คิดหาแผนการอะไรอีกเพราะศพตนหนึ่งได้เคลื่อนเข้ามาประชิดพวกเขาแล้ว

เสียงปะทะกันดังขึ้น เฟิ่งชิวหรันตั้งผนึกมือท่วงท่าต่างๆ เรียกพายุออกมาเบื้องหน้า พวกที่เหลือตระหนักถึงความอันตรายดีจึงเข้ามารวมกลุ่มกัน จากนั้นก็พุ่งไปด้านหน้าพร้อมกับออกท่าโจมตีโดยมีเฟิ่งชิวหรันนำทัพ!

หวังเป่าเล่อคอยคุ้มกันอยู่ปีกขวา มีเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าอยู่เคียงข้าง ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องคอยปกป้องทั้งคู่ โดยเฉพาะเจ้าเยี่ยเหมิงที่สามารถใช้วงแหวนปราณช่วยหนุนทัพได้มาก นางตั้งผนึกมือปล่อยวงแหวนปราณชุดแล้วชุดเล่าออกไป โดยทุกๆ เก้าวงแหวนปราณจะเกิดการระเบิดของวงแหวนปราณที่ปล่อยไปก่อนหน้ากวาดล้างศพไปกองใหญ่ อีกทั้งยังส่งแรงปะทะสร้างความเสียหายกับศัตรูอีกมากมาย

กงเต๋าเองก็ดุดันไม่แพ้กัน สัญชาตญาณสัตว์ป่าของเขาถูกปลดปล่อยเต็มขั้นในการรบ ฝีมืออันร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ลึกภายในเผยให้เห็นเมื่อเขาหลบการโจมตีรุนแรงได้อย่างสบายๆ ก่อนจะโต้กลับอย่างโหดเหี้ยมไม่แพ้กัน

หวังเป่าเล่อเลิกเป็นกังวลเมื่อได้เห็นการต่อสู้ของเพื่อนๆ เขาตั้งผนึกมือเรียกทะเลอัสนี สายฟ้ามากมายปะทะกันระเบิดเป็นคลื่นอัสนีหลายระลอกสาดเข้าใส่กองทัพศพ

เกราะจักรพรรดิลักอัคคีนั้นเป็นอาวุธที่เหมาะกับการสู้แบบตัวต่อตัว เมื่อพวกกับศัตรูจำนวนมากเช่นนี้ ชายหนุ่มก็นึกถึงวิชาแห่งศาสตร์มืดเป็นอันดับแรก แต่ไม่นานก็ตระหนักว่าวิชาแห่งศาสตร์มืดนั้นไร้ประโยชน์ในศึกครั้งนี้เพราะเหล่าศัตรูนั้นปราศจากวิญญาณ กองทัพศพเบื้องหน้าในตอนนี้เป็นเหมือนกับหุ่นเชิดที่มีเลือดเนื้อ!

สายฟ้าของเขาจึงเป็นอาวุธในครอบครองที่มีประสิทธิภาพที่สุด นอกจากนี้เขายังเรียกกองทัพกระบี่บินจากกำไลคลังเวทพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะปล่อยให้พุ่งลงมาเป็นฝนคมกระบี่

คนอื่นๆ ก่อนปล่อยเคล็ดวิชาและคาถาทรงพลังเช่นกัน เฟิ่งชิวหรันคอยแหวกทางให้พวกเขาพร้อมกับรุดไปด้านหน้า แต่ก็มีอสูรและซากศพมากเกินไป เหล่าผู้ฝึกตนเคลื่อนทัพไปเรื่อยๆ แม้มองไม่เห็นปลายทาง อสูรบินได้พลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ ไกลออกไปยังมีฝูงผีดิบในชุดคลุมสีดำ!

แม้จะบอกได้ว่าฝูงผีดิบชุดดำเป็นเพียงฝูงเล็กๆ แต่ก็มีอยู่หลายร้อยตัว! แต่ละตัวมีหมอกสีดำเปล่งแสงอักขระชั่วร้ายปกคลุม ทันใดนั้นหมอกสีดำก็พุ่งตรงไปหาเหล่าผู้ฝึกตนพร้อมกับหวีดร้อง!

ไม่มีการระเบิดใดๆ เมื่อหมอกเข้าปะทะ แต่ความเสียหายที่ได้รับนั้นรุนแรงเหมือนโดนผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณต่อย!

แต่นั่นก็ไม่ใช่ภัยอันตรายที่สุดในตอนนี้ ภัยอันตรายร้ายแรงที่แท้จริงคือการติดอยู่ในศึกซึ่งไร้ทางหนี หากละอองเกสรกระจายออกไปไกลอาจปลุกเหล่าศพแสนอันตรายหรือดึงทัพศพมาเสริมกำลังเพิ่มได้!

เฟิ่งชิวหรันเริ่มตื่นตระหนก นางดึงไม้วัดออกมาโบกพร้อมกับร้องเสียงดัง

“สามร้อยเมตร!”

สิ้นคำ ผืนแผ่นดินในระยะสามร้อยเมตรก็เริ่มสั่นไหว พลังที่มองไม่เห็นก่อตัวขึ้นและเข้าบดขยี้กองทัพศพที่อยู่ในระยะสามร้อยเมตร เหล่าศพกลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตา!

แม้จะเป็นพลังอันร้ายกาจแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากเพราะกองทัพศพมีจำนวนมากเกินไป พื้นที่ระยะสามร้อยเมตรที่เพิ่งจัดการจนโล่งไปถูกศพตนใหม่กรูเข้ามาแทนที่ในทันที หมอกสีดำเริ่มเข้าปกคลุม

ชี่หลินและคนอื่นๆ ร่วมโจมตีด้วยเช่นกัน ช่วยให้เฟิ่งชิวหรันมีเวลาเตรียมตัวออกท่าโจมตีครั้งต่อไป ผ่านไปชั่วครู่ ดวงตาของนางก็ฉายแววเย็ยเยียบก่อนจะร้องคำรามลั่น

“สามพันเมตร!”

ดวงตาของเจ้าเยี่ยเหมิงฉายแสงวาบเมื่อเฟิ่งชิวหรันปลดปล่อยการโจมตี นางรีบตั้งผนึกมือปล่อยวงแหวนปราณเก้าสิบเก้าวงทับซ้อนกันเป็นวงแหวนปราณกว้างสามพันเมตรเข้าล้อมรอบบริเวณ

การโจมตีจากไม้วัดของเฟิ่งชิวหรันระเบิดออกจังหวะเดียวกับที่วงแหวนปราณปรากฏขึ้น

ตูม ตูม ตูม!

ผืนพสุธาสั่นไหว สรวงสวรรค์สีสันเลือนหายเมื่อทุกสิ่งอย่างในขอบเขตสามพันเมตรกลายเป็นฝุ่นผง พลังจากไม้วัดเหมือนจะได้แหล่งพลังอื่นช่วยเสริม พลังกระจายวงกว้างออกไป ส่งแรงปะทะไกลออกไปอีกหกพันเมตร!

แม้แรงปะทะอาจจะไม่ได้รุนแรงเท่าพลังต้น อีกทั้งยังอ่อนพลังลงตามระยะทางที่กระจายออกไป แต่ก็เพียงพอที่จะกำจัดเหล่ากองทัพศพ!

สนามรบพลันโล่งจากศัตรู แต่พวกเขาก็รุดหน้าไปได้ไม่ไกลก่อนศพอีกกองทัพจะปรากฏขึ้นตรงสุดขอบฟ้า!

การโจมตีเมื่อครู่ทำให้ทุกตนตระหนักถึงพลังวงแหวนปราณของเจ้าเยี่ยเหมิง หวังเป่าเล่อเองก็ตื่นตะลึงไป เขารู้ว่าวงแหวนปราณของเจ้าเยี่ยเหมิงนั้นไร้เทียมทาน แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะสามารถช่วยเสริมพลังผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณได้!

เฟิ่งชิวหรันตระหนักถึงความแข็งแกร่งของวงแหวนปราณที่เจ้าเยี่ยเหมิงสร้างขึ้น ดวงตาของนางฉายแสงวาบ ก่อนจะพลันหายวับไปปรากฏตัวข้างๆ เจ้าเยี่ยเหมิงกะจะให้นางมาร่วมสู้เคียงข้าง หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นข้างเจ้าเยี่ยเหมิงพร้อมๆ กัน เขายืนจ้องเฟิ่งชิวหรันอยู่อีกข้าง

“เป่าเล่อ ข้าขอสาบานด้วยชีวิตว่าจะไม่ให้เจ้าเยี่ยเหมิงได้รับอันตรายใดๆ!”

นางโพล่งออกมาทันใด หวังเป่าเล่อจ้องเจ้าเยี่ยเหมิงเงียบๆ เขาไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจแทนนาง เจ้าเยี่ยเหมิงหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกยิ้มแสนอ่อนโยนให้ชายหนุ่ม จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้กับเฟิ่งชิวหรันและติดตามนางไป ทั้งคู่ทะยานขึ้นฟ้า ตั้งใจจะปล่อยการโจมตีเมื่อครู่อีกครั้งกลางอากาศ

ความกังวลเกินบรรยายคุกรุ่นขึ้นในใจหวังเป่าเล่อขณะมองทั้งสองทะยานขึ้นฟ้า เข้าอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกไป ทันใดนั้น…พื้นดินก็เริ่มสั่นไหวรุนแรง!

ผืนดินเบื้องหน้าถล่มลง งูเหลือมยาวสามสิบเมตร ร่างเน่าเปื่อยเป็นหย่อมๆ พุ่งทะลุขึ้นมาจากใต้ดินส่งเศษหินกระจายไปทั่ว มันตรงเข้าไปปะทะกับกลุ่มผู้ฝึกตน!

หวังเป่าเล่อไม่มีเวลามัวกังวลใจเมื่อได้ยินเสียงปะทะกันดังสนั่น เขาพุ่งหลบการโจมตีพร้อมกับคนอื่นๆ ผืนดินเบื้องหลังถล่มลงอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวขึ้นของงูเหลือยักษ์ตัวที่สอง!

ผืนพสุธารอบตัวเริ่มถล่มลงหลุมแล้วหลุมเล่า งูเหลือมตัวที่สาม สี่ ห้า โผล่พ้นดินขึ้นมาเรื่อยๆ…ฝูงงูเหลือมสี่สิบตัวร้องคำรามลั่นพร้อมกับพุ่งเข้าหาเหล่าผู้ฝึกตน เปลวไฟสีดำพลันพวยพุ่งออกจากปากของพวกมัน!

บทที่ 637 ลากท่อนไม้!
หวังเป่าเล่อหยิบเอาเกสรตัวเมียมาเงียบๆ เขารู้ว่าเฟิ่งชิวหรันอยากช่วยบิดาตนใจจะขาดและรู้ว่าเมี่ยเลี่ยจื่อคอยอุทิศตนเพื่อสำนัก ทั้งสองยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อช่วยผู้อาวุโสของสำนัก ชายหนุ่มเข้าใจดีถึงความจงรักภักดีของสหายแห่งเต๋าโยวหรันที่มีต่อสำนัก แต่หวังเป่าเล่อก็อดระแวงเขาไม่ได้ สหายแห่งเต๋าโยวหรันเป็นคนพูดถึงกลไกการป้องกันตัวของเรือบินรบซึ่งเป็นเหตุให้ทุกคนถูกนิมิตมายาเข้าครอบงำได้อย่างง่ายดาย

แม้จะทราบแรงจูงใจของพวกเขา แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่เห็นด้วยกับภารกิจนี้ สถานการณ์อาจจะไม่แย่ขนาดนี้หากมีคนร่วมภารกิจไม่มาก แต่คณะมาปฏิบัติภารกิจนี้ประกอบด้วยผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทุกคนและผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกจำนวนมาก ผู้ฝึกตนหลายร้อยคนนี้คือกำลังรบสำคัญของสำนักวังเต๋าไพศาล

หากมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสำนักวังเต๋าไพศาลจนยากเกินจะเยียวยาได้ ทางสหพันธรัฐอาจจะไม่ได้รับผลกระทบในทันที แต่จะต้องเผชิญกับปัญหาที่ตามมาในระยะยาว

ถึงกระนั้น เขาก็ถือว่าเป็นคนนอก จึงไม่มีสิทธิ์ห้ามการตัดสินใจของพวกเขา ทำได้เพียงลดทอนจำนวนผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่จะมาเข้าร่วมในภารกิจ เจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋านั้นมีสถานะในสำนักไม่เหมือนคนอื่นจึงต้องเข้าร่วมภารกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะเหตุนี้ หน้าที่หลักของหวังเป่าเล่อจึงเป็นการดูแลความปลอดภัยของพวกเขา ส่วนการตามหาบิดาของเฟิ่งชิวหรันนั้นเป็นเรื่องรอง เขาแอบถอนใจและเดินไปหากงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิง ทั้งสองไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ภัยอันตรายที่เพิ่งพบเจอทำให้พวกเขาสั่นกลัว ถึงกระนั้น กงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ พวกเขารีบปัดความกลัวทิ้งไป ดวงตาของทั้งคู่ฉายแววดุดันขึ้นในทันใด

“กงเต๋า ลองเปิดใช้ยันต์เคลื่อนย้ายของเจ้าดู” หวังเป่าเล่อกระซิบบอกหลังจากเดินไปใกล้ทั้งสอง

กงเต๋าส่ายหัว

“ข้าลองดูแล้ว…ไม่ได้”

หวังเป่าเล่อไม่ใช่เพียงคนเดียวที่คิดอยากกลับออกจากที่แห่งนี้ มีหลายๆ คนในหมู่พวกเขาที่คิดเหมือนกัน แม้แต่เฟิ่งชิวหรันยังคิดเช่นนั้น พวกเขาแอบลองเปิดใช้ยันต์เคลื่อนย้ายดูก่อนแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จเป็นผลให้พวกเขารู้สึกหดหู่ใจ

เฟิ่งชิวหรันแอบถอนใจด้วยความขมขื่นเมื่อรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็ก้มหัวให้ทุกคนด้วยสีหน้าจริงจัง

“ครั้งนี้ข้าอาจจะตัดสินใจพลาดไป…แต่โปรดเชื่อในตัวข้า ข้าจะพายามทุกวิถีทางเพื่อพาทุกคนออกจากที่นี่!”

เฟิ่งชิวหรันไม่ได้แข็งขันดุดันเหมือนเมี่ยเลี่ยจื่อ แต่ความใจเย็นและการปรับตัวต่อสถานการณ์ได้ไวในแบบฉบับผู้หญิงของนางก็ถือเป็นข้อดี

ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดขณะที่นางก้มหัวและเอ่ยยืนยันรับปากกับทุกคน ทุกคนก้มหัวตอบอย่างเงียบเชียบ เลือกแล้วว่าจะเชื่อคำสัญญาของนาง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะลักษณะนิสัยของนาง พวกเขารู้ดีว่าเฟิ่งชิวหรัน…ไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้พวกตนตายในยามอันตราย

“ผู้อาวุโสเฟิ่งไม่จำเป็นต้องขอโทษ ในฐานะผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเราต้องคอยปกป้องผู้อาวุโสของเรา นอกจากนี้ พวกเราได้เลือกเดินเส้นทางการฝึกตนแล้ว ถ้ามากลัวตายเอาเสียตอนนี้ พวกเราก็ไม่ควรเลือกเดินทางนี้ตั้งแต่ต้น!” ชี่หลินกล่าวเสียงแหบห้าวท่ามกลางฝูงชน เขาหันมองผู้คนรอบๆ ด้วยแววตาดุดัน

“เราไม่สามารถทำการเคลื่อนย้ายได้ ดังนั้นก็เหลือเพียงแค่ทางเดียวคือเดินหน้าต่อไป!”

“ผู้อาวุโสเฟิ่ง พวกเราไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบันทึกเกี่ยวกับตระกูลไม่รู้สิ้นมากเท่าใดนัก ท่านทราบเกี่ยวกับดอกปีศาจราเขียว แล้วมีสิ่งประหลาดอย่างอื่นบนเรือบินรบนี้อีกไหมที่เราต้องระวัง” ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณถามขึ้น พวกผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในค่อยๆ เงียบเสียงไป หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองเฟิ่งชิวหรัน

เฟิ่งชิวหรันสูดหายใจลึก ข่มความกังวลในใจ นางรู้ดีว่าตนจะตกใจกลัวไปไม่ได้ มิเช่นนั้น นางอาจนำทางทุกคนไปตายและกลายเป็นคนบาปของสำนักวังเต๋าไพศาล

“ข้า เมี่ยเลี่ยจื่อ และโยวหรันได้ตัดสินใจผิดพลาดไป พอข้าได้เห็นกองศพและฝูงดอกปีศาจราเขียว ข้าก็นึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินมา นั่นก็คือ…เรือบินรบพิเศษของตระกูลไม่สิ้น!

“เรือบินรบพิเศษลำนี้มีรูปลักษณ์ไม่ต่างจากเรือบินรบลำอื่นๆ ของตระกูลไม่รู้สิ้น แต่มีกลไกการทำงานแตกต่างกัน รู้จักกันในชื่อวังสังเวย!

“วังสังเวยโดยพื้นฐานแล้วคือแท่นบูชาสำหรับสังเวย ทุกครั้งที่ตระกูลไม่รู้สิ้นครองดาราจักรแห่งหนึ่งได้ พวกนั้นจะสังหารผู้ฝึกตนมากมายมาและโยนศพเข้าวังสังเวย เลือดเนื้อพลังชีวิตของเหล่าผู้ฝึกตนจะกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับกองเรือบินรบเพื่อใช้ในการฟื้นฟูร่างกายของพวกตระกูลไม่รู้สิ้น!

“ข้าคิดว่าเรือบินรบลำนี้คือวังสังเวย ศพที่กองอยู่คือผู้ฝึกตนจากอารายธรรมที่เรือบินรบลำนี้เคยไปถล่ม!

“ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ที่นี่จะต้องมีแท่นสังเวยเล็กอยู่ในโลกแต่ละแห่งในแผ่นวงแหวน แท่นสังเวยเล็กทั้งสามนั้นเชื่อมโยงกันกับแท่นสังเวยหลักที่อยู่ด้านใต้!”

“ถ้าอยากออกจากที่นี่ พวกเราต้องเข้าไปในแท่นสังเวยหลัก…ก็จะพบกับทางออกให้เราใช้หนีไป!” เฟิ่งชิวหรันอธิบายให้ฟังอย่างจริงใจ ฝูงชนเงียบไป

หวังเป่าเล่อแอบถอนใจ ก่อนจะหยิบเอาสมบัติเวท โอสถ และหุ่นเชิดจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าคลังเวท จากนั้นก็ยื่นให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า

เขารู้ว่าสิ่งที่จะต้องพบเจอต่อไปนั้น…น่าจะยากหนักหนาเลยทีเดียว

เฟิ่งชิวหรันไม่ได้มองเหล่าผู้ฝึกตน แต่เลือกหันมองสิ่งแวดล้อมรอบตัว ในบริเวณหลายพันเมตรรอบๆ ปราศจากดอกปีศาจราเขียวแล้ว แต่นอกบริเวณนี้ออกไปยังมีกองซากศพและดอกปีศาจอีกนับไม่ถ้วน

โชคดีที่ส่วนใหญ่ยังตูมอยู่ ไม่เหมือนฝูงดอกที่บานสะพรั่งก่อนหน้า

“พวกเราพักกันก่อน อีกครึ่งชั่วโมงค่อยเคลื่อนทัพ!” ผ่านไปครู่ใหญ่ เฟิ่งชิวหรันก็หันกลับมาพร้อมกับเอ่ยขึ้นเสียงเบา ชี่หลินและคนอื่นๆ นั่งลง เริ่มปลดปล่อยพลังปราณกันเงียบๆ พยายามกระตุ้นตนเองให้อยู่ในสภาพพร้อมรบตลอด แต่ละคนนั้นหยิบเอาเกสรตัวเมียของดอกปีศาจราเขียวไปไว้ติดตัว

เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ส่วนใหญ่ฟื้นพลังกันเรียบร้อย พร้อมออกปฏิบัติภารกิจต่อ ทันใดนั้น ผืนดินก็เริ่มสั่นไหว!

แม้จะไม่ได้ไหวแรงมาก แต่ใบหน้าทุกคนกลับฉายชัดถึงความหวาดระแวง พวกเขารีบลุกยืน หันมองกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผืนพสุธาเริ่มสั่นไหวแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะเสียงกระทืบพื้นดังขึ้นจากไกลๆ ราวกับมียักษากำลังเคลื่อนกายเข้ามาหา!

เสียงหอบหายใจหนักดังตามมาดั่งเสียงหวีดของลมกรรโชก ก่อนเสียงโลหะกระทบกันจะดังขึ้นขัด หวังเป่าเล่อ เฟิ่งชิวหรัน และเหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณมีสีหน้าระแวดระวัง ไม่ต้องให้ใครหันบอก ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ก็หันมองบนฟ้าตรงทิศต้นทางของเสียง

พวกเขาจ้องเขม็งอยู่อย่างนั้น ทันใด ดวงตาก็พลันเบิกกว้าง หลายคนถึงกับหลุดพูดออกมาเสียงดัง

“นั่น…”

“นั่นมันอะไรกัน”

เสียงจากไกลห่างออกไปเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ลมพัดหวีดแรง ร่างสูงชะลูดเฉียดฟ้า…เริ่มปรากฏให้เห็นในสายตา!

ตอนแรกได้ยินเพียงแค่เสียง จากนั้นก็เริ่มเห็นเป็นเงา ร่างเงาเริ่มเด่นชัดขึ้นจนหวังเป่าเล่อและผู้ฝึกตนคนอื่นๆ สามารถมองเห็นได้ชัดว่ามันคืออสูรชั่วร้ายขนาดใหญ่ยักษ์เกินคำบรรยาย!

รูปลักษณ์ของมันคล้ายคลึงกับวานรเพชร เพียงแต่ตัวใหญ่กว่าหลายเท่า ทั่วร่างมีขนหนารุนรัง เว้าแหว่งเผยให้เห็นกระดูกสีดำเป็นหย่อมๆ ส่งกลิ่นเหม็นเน่าลอยคลุ้งอยู่รอบกาย

ร่างของมันถูกโซ่หนาเจาะผ่านล่ามไว้กับท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เบื้องหลัง!

ท่อนไม้ที่ว่า…กว้างหลายหมื่นเมตร หากเอาผู้ฝึกตนไปยืนเทียบคงดูราวกับเป็นมด แต่เมื่อเทียบกับอสูรตนนี้แล้ว ท่อนไม้กลับดูเล็กลงไปมาก!

ที่น่าตกใจไม่ใช่ความกว้างของท่อนไม้แต่เป็นความยาว…ที่ไกลออกไปไม่มีที่สิ้นสุด อสูรเบื้องหน้าถูกล่ามไว้กับปลายด้านหนึ่งของท่อนไม้ ส่วนปลายอีกด้านนั้นอยู่ไกลออกไปจนมองได้ไม่เห็น ท่อนไม้ใหญ่ยักษ์ยืดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา เหมือนว่าเชื่อมกับสุดขอบโลกเอาไว้!

อสูรยักษ์ตนนี้เป็นเหมือนลาที่กำลังลากท่อนไม้ไปข้างหน้าทีละก้าวด้วยความยากลำบาก!

หากชะลอฝีเท้าลงแม้แต่นิด โซ่ล่ามจะเปล่งแสงเป็นตัวอักขระ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแส้หนาฟาดใส่อสูรจนต้องร้องลั่น บังคับให้มันก้าวเดินต่อไปไม่หยุด

มันดูจะไม่ได้สนใจหวังเป่าเล่อและเหล่าผู้ฝึกตน เสียงเหล็กกระทบและเสียงฝีเท้าดังกึกก้อง เริ่มได้ยินเสียงหอบหายใจใกล้เข้ามา ห่างออกไปหลายหมื่นเมตร อสูรร่างยักษ์กำลังเดินลากท่อนไม้ไปข้างหน้าทีละก้าว ค่อยๆ ถอยห่างออกไปไกล!

ทุกก้าวที่ลงเหยียบพื้นทำให้ผืนพสุธาสั่นไหว ทุกก้าวที่ยกกลับคืนสร้างลมปั่นป่วน ฟากฟ้าร้องคำราม ลมพัดกรรโชกเมื่อมันเคลื่อนตัวผ่านไป!

บทที่ 636 ดอกปีศาจราเขียว!
การทำลายต้นไฮยาซินได้เผยให้เห็นสิ่งที่โลกมายาบดบังเอาไว้ แม้หวังเป่าเล่อจะเตรียมใจไว้พร้อม แต่ก็ยังต้องตกตะลึงไปเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า

เขาคิดเอาไว้แล้วว่าอาจจะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่สามารถสงบใจลงได้!

“แสดงว่า…ข้าไม่ได้กลับไปที่สำนักวังเต๋าไพศาล แต่ได้เข้ามาในเรือบินรบ!” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำ ถัดจากเขาไปสิบก้าว…มีดอกไม้สีแดงขนาดมหึมาอยู่!

ดอกไม้เบื้องหน้าสูงราวสามสิบเมตร มีตนอ่อนแตกหน่อสูงฉลูดฟ้า กลีบของมันส่องแสงประหลาด ดูน่าหวาดหวั่น กลิ่นที่โชยออกมานั้น…เป็นกลิ่นที่หวังเป่าเล่อคุ้นเคย เขาได้กลิ่นนี้ตอนที่ขึ้นไปบนเรือบินรบและตอนติดอยู่ในนิมิตมายา

กลิ่นนี้เองที่เป็นตัวนำพาเขาเข้าสู่นิมิตมายา มีผลมากมายขนาดเท่าตัวคนห้อยอยู่ใต้ดอกไม้ยักษ์สีแดง รอยปริแตกพลันปรากฏขึ้น ใต้รอยแตกมากมายเห็นเขี้ยวแหลมคม ช่างเป็นภาพแสนน่าสะพรึงกลัว

ของเหลวเหนียวหนืดจากรอยแตกหยดย้อยลงพื้นเกิดเป็นเสียงดังซู่ ผลที่ใกล้ตัวหวังเป่าเล่อที่สุดแห้งเหี่ยวและตายลง

ยังไม่จบเพียงแค่นั้น ขณะที่หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองดอกไม้รอบตัว เขาก็สังเกตเห็นแสงปีศาจจางๆ ฉายย้อมผืนฟ้าและผืนดินที่เต็มไปด้วยศพและดอกไม้ ร่างคุ้นเคยยืนอยู่เบื้องหน้าดอกไม้รอบตัวชายหนุ่ม

เขาเห็นเฟิ่งชิวหรัน เจ้าเยี่ยหรัน กงเต๋า และคนอื่นๆ ที่เข้ามาในเรือบินรบพร้อมกัน บ้างยืนอยู่หน้าผลที่ห้อยอยู่ใต้ดอกไม้ บ้างกำลังเดินเข้าไปหาดอกไม้ ที่เหลือกำลังคลานเข้าไปในผล

มีคนส่วนหนึ่งหายไป หวังเป่าเล่อรู้ว่าคนพวกนั้นหายไปไหนทันทีที่เห็นผลที่ห้อยจากดอกไม้บางดอกสุกเต็มที่ พวกเขาคงจะโดนผลกลืนกินไปหมดแล้ว

เฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ มีสีหน้าแตกต่างกันไป ส่วนหนึ่งยิ้มราวกับคนบ้า อีกส่วนดูสับสน บางคนดูตื่นตกใจ บางคนดูโกรธเกรี้ยว มีบ้างที่ดูกำลังทุกข์ทรมาน…มีคนกลุ่มหนึ่งจ้วงเอาเครื่องในจากศพที่กองอยู่ตรงพื้นมายัดใส่ปาก พวกนั้นทำหน้าราวกับได้ขึ้นสวรรค์เมื่อได้ลิ้มรสอาหารอันแสนโอชะ

สวรรค์เบื้องบนถูกฉาบสีด้วยแสงปีศาจ ผืนพิภพเต็มไปด้วยดอกไม้สีแดงบานสะพรั่ง ภาพเบื้องหน้าทำหวังเป่าเล่อสั่นกลัวไปถึงขั้นหัวใจ ลมหายใจถี่รัวขึ้นขณะออกวิ่งไปหาเจ้าเยี่ยเหมิง!

เจ้าเยี่ยเหมิงหน้าแดง ตาหวานเยิ้ม นางกำลังถูกผลดอกไม้กลืนกิน บัดนี้แขนข้างหนึ่งได้จมหายไปกว่าครึ่ง ราวกับว่ามีใครอยู่ในนั้นที่หวังเป่าเล่อมองไม่เห็นกำลังฉุดมือนางลงไปอยู่ในอ้อมกอดของตน!

นางกำลังจะก้าวเข้าไปในผลดอกไม้ตอนที่หวังเป่าเล่อไปถึง เขารีบคว้าแขนอีกข้างพร้อมกับดึงสุดแรง เสียงกรีดร้องดังมาจากในผลเมื่อวิญญาณโดนแย่งไป น้ำเสียงของมันฟังดูโกรธแค้นเพราะไม่ยินดีที่โดนแย่งเหยื่อไป พลังพลันปะทุจากด้านในผลผสานเข้ากับความกระหายอันแรงกล้า ผลตรงหน้าบวมเป่งขึ้น พยายามจะกลืนกินหวังเป่าเล่อ!

หวังเป่าเล่อต้านพลังด้วยหมัดเสริมแรงจากเกราะจักรพรรดิลักอัคคี ผลดอกไม้สั่นรุนแรง ส่งเสียงกรีดร้องดังออกมาจากภายใน ก่อนจะระเบิดออกส่งของเหลวหนืดกระจายไปทั่ว ชายหนุ่มดึงเจ้าเยี่ยเหมิงออกมา แต่เหมือนว่านางยังไม่ตื่นจากโลกมายา เขาเริ่มลนลาน รีบยกมือขวาชี้ไปที่หน้าผากของนาง

“ตื่นสิ!”

เสียงของชายหนุ่มดังก้องอากาศราวกับสายฟ้า เหมือนเสียงจะส่งถึงนาง เจ้าเยี่ยเหมิงตัวสั่งเทิ้ม ดวงตากลับมาแจ่มชัดดั่งเดิม นางพึมพำขึ้นเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ

“เป่าเล่อ ข้าฝัน ฝันว่าเรา…” ประโยคค่อยๆ เงียบไปเมื่อเจ้าเยี่ยเหมิงได้สติกลับมาครบและหันมองรอบตัว นางหรี่ตา อาการตื่นตกใจฉายชัดบนใบหน้า

เห็นเจ้าเยี่ยเหมิงได้สติ หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็ไม่มีเวลามาคอยห่วงนาง เขารีบพุ่งไปหาคนอื่นๆ ทันใดนั้น ดอกไม้ยักษ์เบื้องหน้าเฟิ่งชิวหรันก็สั่นไหว ไม่นานก็โค่นลง กลีบหลุดร่วง ก้านและผลระเบิดออก ปราณวิญญาณขั้นเชื่อมวิญญาณพลันพวยพุ่งออกมาจากร่างเฟิ่งชิวหรัน

“นิมิตมายาราเขียว!” เฟิ่งชิวหรันมีสีหน้าเคร่งเครียด นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงที่อ่อนแรงไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะหลุดพ้นจากนิมิตมายา ส่วนชายหนุ่มตรงหน้านั้น…ทำให้เฟิ่งชิวหรันต้องแปลกใจ นางรู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนที่ไม่ควรไปแหย่หนวดเสือเข้า แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนแรกที่หลุดจากนิมิตมายา

หวังเป่าเล่อโล่งใจเมื่อเห็นเฟิ่งชิวหรันหลุดจากนิมิตมายา พวกเขามองหน้ากัน ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ ทั้งสองก็พุ่งออกไปช่วยคนอื่นๆ มีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณบางส่วนยังติดอยู่ในนิมิตมายา แต่พวกเขาก็เริ่มรู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดแปลกไปและพยายามดิ้นรนซึ่งเห็นได้ชัดผ่านทางสีหน้า

หลายคนหลุดออกมาได้โดยไม่ต้องเข้าไปช่วย แต่บางส่วนก็อาจตายได้ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือ พวกเขาหลุดจากนิมิตมายาได้เร็วขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากเฟิ่งชิวหรันและหวังเป่าเล่อ

ไม่นานทั้งคู่และคนที่ช่วยออกมาได้ก็ช่วยผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่ยังไม่โดนกลืนไปหมดได้สำเร็จ แต่คนติดอยู่ในนิมิตมายาที่แตกต่างกันออกไป ทุกคนต่างตื่นตกใจไปเมื่อหลุดจากนิมิตมายา ก่อนจะหันมองกันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ไม่มีใครอยากพูดถึงความฝันของตัวเอง ความหนักอึ้งในใจและความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นจากสถานที่แปลกประหลาดยังคงไม่จางหายไปไหนแม้จะหลุดพ้นจากนิมิตมายา

พวกเขาเห็นเพื่อนบางส่วนถูกผลกลืนเข้าไปทั้งเป็น มีบ้างที่ได้เห็นซากกระดูกที่หลงเหลือหลังจากฟันผลดอกไม้ทิ้ง ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนตกอยู่ในความเงียบงัน

หวังเป่าเล่อรู้สึกหดหู่ ขึ้นมาบนเรือบินก็ได้พบกับประสบการณ์สุดแปลกประหลาดและอันตรายในทันใด ทุกคนต่างเป็นกังวลกับสถานการณ์ของพวกตนในปัจจุบัน

“เป่าเล่อ คุ้มกันคนพวกนี้ให้ข้าที ข้าจะไปทำลายดอกปีศาจราเขียวบริเวณนี้ทิ้ง!” เฟิ่งชิวหรันหน้าตาคร่ำเคร่ง แค่เพียงเข้ามาในเรือบินรบก็ต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตราย นางไม่สามารถสงบใจได้เมื่อคิดถึงบิดา นางเตรียมทะยานขึ้นฟ้าสำรวจรอบพื้นที่

แต่ทันที่ที่เฟิ่งชิวหรันพูดจบและหวังเป่าเล่อพยักหน้ารับคำ ดอกไม้ปีศาจสิบสองดอกที่อยู่รอบๆ ก็สั่นไหวรุนแรงก่อนจะระเบิดออกเสียงดัง เหมือนว่าพวกมันได้ใช้พลังชีวิตทั้งหมดเพื่อปล่อยกลิ่นดอกไม้ไปห้อมล้อมเหล่าผู้ฝึกตน!

หากมองอยู่ไกลๆ จะเห็นกลิ่นดอกไม้กระจายออกไปในสภาพแก๊ส แต่เมื่ออยู่ใกล้ๆ จะเห็นละอองเกสรสีแดงชาดเกาะกลุ่มกันเป็นหมอกสีโลหิตเข้าปกคลุมพื้นที่เป็นวงกว้างหลายพันเมตร

เหล่าดอกไม้แห้งตายไปทันทีที่ปล่อยละอองเกสรออกมา พริบตาเดียวก็ร่วงลงพื้นไป หมอกละอองเกสรกระจายตัวไปไกลส่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน!

ละอองเกสรร่วงหล่นลงบนศพที่กองอยู่ทั่วพื้นที่หลายพันเมตร เหล่าศพพลันบิดงอ ส่งเสียงครวญคราญไร้สติดังก้องในอากาศขณะพยายามหยัดยืนขึ้น บางส่วนมีลักษณะเป็นคน อีกส่วนเป็นอสูร มีอยู่หลายสายพันธุ์ที่หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นมาก่อน พวกมันลุกยืน เตรียมพุ่งไปทางชายหนุ่มและเหล่าผู้ฝึกตนที่เหลือรอด!

พลังรัศมีแห่งความตายพวยพุ่งออกจากร่างเหล่าศพ ส่งกลิ่นเหม็นลอยคละคลุ้งในอากาศ สีสันบนฟากฟ้าพลันเลือนหาย ลมแรงพัดโหม เมฆาบิดหมุน โชคดีที่แม้จะมีศพจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ก็ตายไปตั้งแต่นานนม ที่หลงเหลือติดอยู่มีเพียงสัญชาตญาณล้วนๆ ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอาจจะรับมือได้ยาก แต่สำหรับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะกำจัดหรือหลบเลี่ยง

ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอาจมองว่าเป็นคู่ต่อสู้แสนกระจอก ขณะที่เหล่าศพกรูกันเข้ามา ดวงตาเป็นกังวลของเฟิ่งชิวหรันก็ฉายแสงวาบขึ้น ก่อนนางจะยกมือขวาฟาดลงพื้นอย่างหนักหน่วง!

ฟ้าดินสั่นสะเทือนเมื่อหัตถ์มายาขนาดกว้างหลายพันเมตรปรากฏขึ้นเหนือหัว ก่อนจะฟาดลงบนพื้น ลมพัดโหมกระหน่ำส่งเส้นผมและเสื้อผ้าของทุกคนพัดปลิว ขณะที่ทุกคนกำลังยืนอึ้งอยู่นั้น หัตถ์ยักษ์ก็ฟาดผ่านร่างกายพวกเขาลงพื้นโดยไม่สร้างความเสียหายใดๆ ให้!

เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง ฟ้าดินร้องคำรามเมื่อฝ่ามือฟาดลงพื้น ศพที่ดาหน้าเข้ามาถูกบดขยี้เป็นเถ้าธุลีในทันใด!

หัตถ์มายาเลือนหายไป ทั่วพื้นที่กลับสู่ความสงบอีกครั้ง หวังเป่าเล่อถึงกับหยุดหายใจไปแวบหนึ่ง เขาจ้องมองเฟิ่งชิวหรันด้วยแววตาตื่นตะลึง นางไม่เคยแสดงพลังกล้าแกร่งขนาดนี้ให้ใครได้เห็นมาก่อนทำให้หลายคนมองว่านางด้อยพลังกว่าเมี่ยเลี่ยจื่อ

แต่ตอนนี้ นางก็ได้แสดงพลังอันเหมาะสมกับตำแหน่งให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว!

“ดอกไม้สีแดงเหล่านี้มีชื่อเรียกขานว่าดอกปีศาจราเขียว กลิ่นของมันจะทำให้คนติดอยู่ในนิมิตมายา” เฟิ่งชิวหรันเอ่ยขึ้น นางยกมือขวาคว้าอากาศ เด็ดเอาเกสรตัวเมียออกมาจากเหล่าดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวและวางลงตรงหน้าทุกคน

“เก็บสิ่งนี้ไว้ มันจะช่วยเจ้าทานพลังนิมิตมายาของพวกดอกปีศาจได้”

บทที่ 635 แหวกม่านบดบัง!
ผู้ฝึกตนหลายคนในสำนักวังเต๋าไพศาลรีบวิ่งมาเมื่อเห็นเหตุจลาจล แม้จะอยู่ห่างออกไป แต่หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นอาการตื่นตะลึงที่ฉายชัดบนใบหน้า ได้ยินกระทั่งเสียงหายใจถี่หนักของพวกเขา

“เป่าเล่อ เจ้า…”

“หวังเป่าเล่อ เจ้าทำอะไรของเจ้า”

หวังเป่าเล่อไม่ได้หันไปมองทางฝูงชนที่กำลังส่งเสียงฮือฮาด้วยความตื่นตกใจ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของประมุขสำนักสวี เจ้าเยี่ยเหมิง และคนอื่นๆ สายตายังจับจ้องไปทางเฟิ่งชิวหรันที่กำลังอ่อนแรง ชายหนุ่มค่อยๆ หรี่ตาลง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นชี้อย่างรวดเร็ว ทันใดกระสุนลมก็พุ่งเจาะทะลุหน้าผากของเฟิ่งชิวหรันไป

เฟิ่งชิวหรันตัวแข็งทื่อ ดวงตาแฝงแววขมขื่นของนางเบิกกว้าง ความรู้สึกมากมายฉายชัดขึ้นในแววตา นางจ้องหวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบก่อนจะสิ้นลมไป!

“คาถาคลายหรือยังนะ…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตัวเองขณะจ้องมองศพตรงหน้า เขาหันไปมองเหล่าศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลและผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่กำลังทำหน้าตื่นตะลึง แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง

“หวังเป่าเล่อ เจ้าบ้าไปแล้ว!”

“เป่าเล่อ!”

“เจ้านั่นฆ่าผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรัน!”

ฝูงชนระเบิดเสียงตื่นตกใจ บางคนนิ่งอึ้งไป บางคนสั่นกลัว อีกส่วนหนึ่งกำลังคลุ้มคลั่ง เหตุการณ์กำลังจะปะทุเดือดจนยากเกินควบคุม ทันใดนั้นประมุขสำนักสวีก็ปลดปล่อยพลังปราณพร้อมกับร้องคำรามขึ้น

“เหล่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าปกป้องผู้อาวุโสหวังเป่าเล่อ พวกเราจะออกจากที่แห่งนี้กัน!”

เหล่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่กำลังตื่นตกใจตัวสั่นเทิ้มเมื่อได้ยินเสียงคำสั่ง แม้ใบหน้าแสดงชัดเจนถึงอารมณ์สับสนปนเป แต่พวกเขาก็รีบพุ่งเข้าไปหาหวังเป่าเล่อเพื่อล้อมเป็นวงคุ้มกันตามคำสั่งของประมุขสำนักสวี

ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลตกอยู่ในความคลุ้มคลั่ง ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ทำเช่นนั้นได้ พวกเขารีบเข้าไปหยุดกลุ่มผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ ศึกระหว่างสองฝั่งพลันบังเกิด ความตายแผ่กระจายไปทั่วราวกับไฟลามป่า เสียงผู้คนปะทะกันดังก้องฟ้า ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณหลายคนรีบทะยานเข้ามาเสริมทัพ นัยน์ตาของพวกเขาฉายแววกราดเกรี้ยว

“เป่าเล่อ ข้าเชื่อว่าเจ้ามีเหตุผลบางอย่างถึงทำเช่นนั้นไป แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้คิดอะไรแล้ว รีบไปที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้าย เขาต้องรีบออกจากที่นี่และกลับไปยังสหพันธรัฐ!” ประมุขสำนักสวีตะโกนใส่หวังเป่าเล่อด้วยความลนลาน เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าหน้าซีดเผือด รีบวิ่งไปหาชายหนุ่ม

ทั้งสองพุ่งเข้าไปขนาบข้าง หิ้วปีกหวังเป่าเล่อที่กำลังจ้องศพเฟิ่งชิวหรันด้วยความงุนงงคนละฝั่ง จากนั้นก็ลากชายหนุ่มทะยานตรงไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย

สำนักวังเต๋าไพศาล ณ ตอนนี้ เต็มไปด้วยเสียงต่อสู้ เสียงร้องคำราม เสียงระเบิดรุนแรง และแสงคาถา หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบตลอดทางขณะเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าพาตัวไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ขณะที่กำลังจะถึง หวังเป่าเล่อก็หยุดยืนนิ่งและพูดพึมพำกับตนเอง

“ข้าเชื่อ…”

“พึมพำอะไรของเจ้า เป่าเล่อ เร็วเข้า รีบเข้าไปในวงแหวนเคลื่อนย้าย!” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดขึ้นด้วยความกระวนกระวาย รีบฉุดหวังเป่าเล่อเข้าไปในวงแหวนเคลื่อนย้าย แต่ชายหนุ่มกลับไม่ไหวติงแม้แต่นิด นางหันกลับมามอง ไม่ได้เห็นแววตางุนงงของชายหนุ่มเหมือนเมื่อครู่ เพราะบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า!

“ข้าบอกว่าข้าเชื่อในตัวแม่นางน้อย ข้าเชื่อในการตัดสินใจและสัญชาตญาณของข้า!” หวังเป่าเล่อพูดเสียงเบา จากประสบการณ์ในมิติมืดทำให้เขารู้เรื่องมิติมายามากขึ้น หากตอนนี้ติดอยู่ในห้วงความฝันหรือมิติมายาจริง ที่เขาต้องทำก็คือตามหาและกำจัดต้นตอทิ้ง

เพียงตามหาและกำจัดต้นตอทิ้งก็จะสามารถทำลายมิติมายาลงได้ มิติมืดสอนให้เขารู้ว่าต้นตอมักจะซ่อนอยู่ในสิ่งมีชีวิต

คนแรกที่หวังเป่าเล่อนึกถึงคือเฟิ่งชิวหรัน นางเป็นคนที่คุ้นเคยกันดีและมีระดับการฝึกตนสูงจึงมีโอกาสสูงที่จะเป็นต้นตอของมิติมายา แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหลังจากนางตาย

ข้าคิดถูก…เพียงแค่ยังหาต้นตอไม่เจอ! ทุกอย่างดูสมจริงมาก การจะสร้างให้สมจริงเช่นนี้ต้องอาศัย…ความทรงจำของทุกคนถึงจะสามารถกลบช่องโหว่ทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นตอนที่ข้าสนทนากับคนอื่นๆ!

เช่นนั้นแล้ว ความทรงจำของทุกคนรวมถึงตัวข้าคือรากฐานของมิติมายานี้ แต่…ก็มีเพียงแค่ความทรงจำ ไม่ใช่คนจริงๆ ถึงจะได้ความทรงจำมา แต่ก็ไม่มีทางสร้างหลักการให้เหตุผลและสัญชาตญาณของพวกเขาขึ้นได้ หวังเป่าเล่อหันมามองเจ้าเยี่ยเหมิงที่กำลังจ้องตนด้วยสายตาเป็นกังวล

“เยี่ยเหมิง เจ้าเชี่ยวชาญเรื่องวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ช่วยข้าคำนวณที สมมติว่าต้องส่งผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐกลับจำนวนมาก หากนำความสามารถของผู้ฝึกตนแต่ละคนและโดยภาพรวม รวมถึงการที่ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลมุ่งมั่นหยุดเราไว้มาใช้เป็นตัวแปร จะต้องทำการเคลื่อนย้ายกี่ครั้งและต้องแบ่งผู้ฝึกตนออกเป็นกลุ่มละกี่คนถึงจะสามารถส่งผู้ฝึกตนกลับไปได้มากที่สุด มีทางไหนที่จะช่วยส่งผู้ฝึกตนกลับไปได้เพิ่มไหม แล้วจำนวนที่มากที่สุดที่เจ้าคาดการณ์ไว้คือเท่าไหร่”

เจ้าเยี่ยเหมิงงุนงงกับคำถามกะทันหันของหวังเป่าเล่อ ดวงตาของนางฉายแววเป็นกังวลขณะตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“นี่ไม่ใช่เวลามามัวพูดอะไรไร้สาระ เป่าเล่อ เจ้ามัวทำอะไรอยู่ รีบเข้าไปในวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย!”

“เยี่ยเหมิง ได้โปรดช่วยข้าคิดทีเถิด” หวังเป่าเล่อจ้องเจ้าเยี่ยเหมิงพร้อมกับเอ่ยเว้าวอน

“เป่าเล่อ เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการกลับ…” กงเต๋ารีบเสริมขึ้น ก่อนจะทันได้พูดจบ หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจ แววความหวาดหวั่นในสายตาของเจ้าเยี่ยเหมิงทำให้เขาได้คำตอบ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้น เจ้าเยี่ยเหมิงตัวสั่นเทิ้มขณะรอยกรีดเปื้อนเลือดปรากฏขึ้นบนลำคอ เลือดสดพลันพวยพุ่งออกมา นางจ้องหวังเป่าเล่อด้วยแววตาสับสน ก่อนจะล้มลงพื้นไป

กงเต๋าตะลึงงันกับภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า เขาหายใจถี่รัวขณะเซถอยหลังไป ชายหนุ่มจ้องหวังเป่าเล่อด้วยแววตางุนงงสับสน ราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า ไม่เคยรู้จักอยู่

“กงเต๋า ข้าเรียกเจ้าว่ากงเต๋าไปก่อนแล้วกัน เจ้าช่วยอะไรข้าได้ไหม ไปซุ่มโจมตีชายผู้นั้นที” หวังเป่าเล่อเอ่ยขอพร้อมกับชี้มือไปทางผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่กำลังต่อสู้อยู่ไกลออกไป

“ข้า…” กงเต๋าสะดุดถอยหลัง เริ่มหายใจติดขัด เขาอาจจะไม่รู้ แต่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองกำลังฉายแววลนลาน หวังเป่าเล่อถอนหายใจด้วยความโล่งอก

โชคดีที่ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องจริง เขาถอนใจ ยกมือขวาขึ้นโบก พลันคมกระบี่ก็ฉายวาบขึ้น ทิ้งรอยโหว่ไว้ตรงทรวงอกของกงเต๋า ร่างไร้วิญญาณของคนตรงหน้าร่วงลงพื้น ชายหนุ่มพูดพึมพำขึ้น

“ยังไม่คลายอีกหรือ ต้นตอของมิติมายา…ไม่ใช่เฟิ่งชิวหรันหรือคนใกล้ชิดของข้า แล้ว…จะไปอยู่ที่ไหนกัน” หวังเป่าเล่อยืนอยู่ข้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย รู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดเกินบรรยายและภัยอันตรายที่เข้าเกาะกุมหัวใจ เขารู้ว่าถ้าไม่ทำลายมิติมายาให้ได้โดยเร็ว ตนอาจจะ…ไม่มีโอกาสอีกต่อไป

ชายหนุ่มหันมองฝูงชนที่กำลังต่อสู้กัน เห็นจั่วอี้ฟาน หลี่อี้ และจินตั้วหมิง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปหยุดตรง…ต้นไฮยาซินที่อยู่บนยอดเขา!

หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มทันทีที่เห็นต้นไฮยาซิน เขาได้กลิ่นดอกไม้แปลกจมูกอีกครั้ง สัญชาตญาณภายในร้องบอก จริงๆ แล้วมีเสียงหนึ่งในใจพยายามตะโกนบอกว่าต้นตอของเหตุการณ์ทั้งหมด…คือต้นไม้ต้นนั้น!

เขาไม่ลังเลใจ รีบพุ่งตรงไปยังต้นไฮยาซิน ผู้คนรอบกาย ไม่ว่าจะเป็น ประมุขสำนักสวี จั่วอี้ฟาน กลุ่มผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ หรือเล่าศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลต่างหันไปจ้องชายหนุ่มตาไม่กะพริบ พวกเขารีบพุ่งตามไป พยายามจะหยุดเขาไว้!

แต่ก็สายเกินไป!

ชายหนุ่มปลดปล่อยเกราะจักรพรรดิลักอัคคี พลังปราณคุกรุ่นอยู่ภายในขณะพลังอาวุธเทพเข้าห้อมล้อมแขน พลังแกร่งกล้ากว่าครั้งไหนๆ พวยพุ่งขึ้นฟ้า หวังเป่าเล่อที่ลอยอยู่กลางอากาศผสานกับอาวุธเทพได้สมบูรณ์ เป็นดั่งดาวหางพุ่งผ่าสรวงสวรรค์ตรงไปบดขยี้ต้นไฮยาซิน

หมัดดวงหางพุ่งปะทะเป้าหมาย เสียงกรีดร้องดังขึ้น ต้นไฮยาซินสั่นไหวรุนแรงก่อนจะโค่นตัวลง อัสนีบาทคำรามบนฟากฟ้า โลกทั้งใบพลันเปลี่ยนผัน เหล่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลกลายเป็นเงาดำก่อนจะจางหายไป ทะเลเพลิงรอบสำนักวังเต๋าไพศาลปะทุเดือดก่อนจะยุบหาย ราวกับมีลมแรงพัดม่านบดบังทิ้งไป เผยให้เห็นศพนับไม่ถ้วนกองอยู่รอบตัวเขา!

ไกลออกไป สายโลหิตได้มารวมตัวกันกลายเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ไหลหลากไปไกลสุดขอบฟ้า มองไม่เห็นปลายสาย เกาะรอบกายเผยตัวตนที่แท้จริงหลังจากม่านถูกเปิดออก!

แท้จริงแล้วคือซากศพมากมายมากองรวมเป็นภูเขา!

กองซากศพกระจัดกระจายไกลสุดลูกหูลูกตา มีดอกไม้สีแดงงอกอยู่บนศพเหล่านั้น บางดอกบานสะพรั่ง บางดอกยังตูมอยู่ ส่งกลิ่นคุ้นเคยลอยคลุ้งทั่วบริเวณ

ฟากฟ้าได้แปรเปลี่ยน บัดนี้ไม่ใช่ผืนนภาของสำนักวังเต๋าไพศาลอีกต่อไป ดวงอาทิตย์ขนาดมหึมาฉายแสงอยู่กลางอากาศ หากมองดูให้ชัดจะเห็นว่าดวงอาทิตย์ดวงนี้แท้จริงแล้วคือศพอสูรขนาดยักษ์ แสงที่สาดส่องให้ความอบอุ่นอันแสนประหลาด ทันใดที่ต้องกับสิ่งเบื้องล่างก็กลายเป็นดวงแสงแห่งความตาย

ที่นี่ไม่ใช่สำนักวังเต๋าไพศาล!

ที่นี่คือเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น!

บทที่ 634 กลิ่นดอกไม้!
ทำไมเข้าไม่ได้ หวังเป่าเล่อส่ายหัว หยุดหายใจไปเมื่อความคิดหนึ่งแล่นเข้าในหัว

หรือว่าเจ้าเซี่ยไห่หยางจะฮุบเอาทุกอย่างหนีไปแล้ว หวังเป่าเล่อเริ่มหวั่นใจ เขาพยายามติดต่อหาเซี่ยไห่หยางผ่านแหวนสื่อสารแต่ก็ไร้ซึ่งการตอบกลับ ชายหนุ่มนั่งลงด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็เริ่มครุ่นคิด

เซี่ยไห่หยางไม่เหมือนคนที่จะใช้แผนสกปรกเช่นนั้น… เขาคิด ก่อนจะถอนใจและกดแหวนสื่อสารเปลี่ยนไปช่องการสื่อสารของสหพันธรัฐ กลุ่มผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐกำลังถกกันเรื่องเรือบินรบ ผ่านไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มก็ส่ายหัว ผลักความกังวลเรื่องเซี่ยไห่หยางทิ้งไป จากนั้นก็หลับตา เริ่มทำสมาธิ

ทำสมาธิได้ไม่นาน หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น นัยน์ตาของชายหนุ่มฉายแสงผิดแปลกไป แม้จะตัดสินใจโยนเรื่องเซี่ยไห่หยางทิ้งไป แต่ลึกๆ ภายในมีเสียงหนึ่งคอยย้ำกับตนว่า…มีบางอย่างผิดแปลกไปมาก!

“จู่ๆ จินตั้วหมิงก็มาหาถึงที่พัก เซี่ยไห่หยางขาดการติดต่อไป ส่วนข้าก็เข้าเกมไม่ได้…” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำ สามเหตุการณ์นี้เหมือนจะมีจุดเชื่อมโยงกันอยู่ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร ชายหนุ่มไม่มีอารมณ์ฝึกวิชาต่อ รู้แค่ว่า…ตนคงวางใจไม่ได้ถ้าหาต้นตอของเรื่องทั้งหมดไม่ได้

เขาตรึกตรองถึงบทสนทนาระหว่างตนกับจินตั้วหมิงและเซี่ยไห่หยาง ทันใดนั้นชายหนุ่มก็หายใจถี่รัว ดวงตาเบิกกว้างเมื่อนึกถึงตอนที่ถามไปว่าจู่ๆ เกมจะล่มได้หรือเปล่า แล้วเซี่ยไห่หยางก็ตอบกลับมาว่า

“เกมไม่มีทางล่มเว้นเสียแต่จะอยู่ในฝัน!”

ประโยคนี้เป็นเหมือนดั่งสายฟ้าฟาดอยู่ในหัวหวังเป่าเล่อ ตัวของเขาสั่นเทิ้ม ความรู้สึกมากมายโถมเข้าใส่

ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววหวาดหวั่น เขาเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเอื้อมมือเข้าไปค้นในเสื้อ หยิบเอาหน้ากากที่แม่นางน้อยอาศัยอยู่ออกมา

เขารู้สึกถึงหน้ากากในมือ แต่กลับไม่สามารถมองเห็นได้ หวังเป่าเล่อหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด ในอากาศเหมือนจะมีกลิ่นอ่อนๆ ของดอกไม้

กลิ่นดอกไม้นี่อีกแล้ว… หวังเป่าเล่อหรี่ตา จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้กลิ่นนี้เป็นตอนที่ถูกเคลื่อนย้ายออกจากเรือบินรบ

เขานั่งเงียบ แผ่นหยกสื่อสารในกระเป๋าคลังเวทสั่นเตือนขึ้น ชายหนุ่มก้มหน้า หรี่ตามมอง ก่อนจะหยิบเอาแผ่นหยกสื่อสารออกมา ทันใดที่ปราณวิญญาณหลั่งไหลเข้าไปในแผ่นหยก เสียงเหนื่อยหน่ายของเฟิ่งชิวหรันก็ดังขึ้น

“เป่าเล่อ มาที่ถ้ำที่พัก ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกเจ้า”

หวังเป่าเล่อหลับตาลง ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ค่อยลืมตาขึ้น บัดนี้สีหน้าไม่ได้แสดงท่าทีผิดแปลกอะไร เขาลุกยืน เดินออกจากตำหนัก มุ่งหน้าไปทางถ้ำที่พักของเฟิ่งชิวหรัน คอยตรวจสอบสิ่งรอบตัวระหว่างทาง ศิษย์สำหนักวังเต๋าไพศาลและผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐเดินขวักไขว่ไปมา ทุกคนไม่ว่าจะเป็นประมุขสำนักสวี ต้นไม้ยักษ์ และคนอื่นๆ ต่างทำตัวตามปกติ ไม่มีอะไรผิดแปลกไปแม้แต่น้อย

ไม่มีช่องโหว่เลย…

นัยน์ตาของชายหนุ่มแฝงแววสับสน ในที่สุดเขาก็มาถึงหน้าทางเข้าถ้ำที่พักของเฟิ่งชิวหรัน ก่อนจะหยุดเท้าและจ้องเขม็งไปทางประตู

“เป่าเล่อ เข้ามาสิ” ประตูแง้มเปิดออกช้าๆ ทันทีที่หวังเป่าเล่อไปถึง เสียงแหบของเฟิ่งชิวหรันดังขึ้นตามมา นางดูเหนื่อยอ่อน ทั้งร่างกายและจิตใจ น้ำเสียงของนางดูอ่อนแรงระทมทุกข์ ราวกับได้สิ้นหวังกับทุกสิ่งอย่างไปแล้ว

“ก็ยังไม่มีช่องโหว่…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองเมื่อสัมผัสได้ถึงความทุกข์จากน้ำเสียงของเฟิ่งชิวหรัน เขาไม่ได้เข้าไปในถ้ำที่พักในทันที ชายหนุ่มยืนรออยู่ด้านนอก ดึงเอาหน้ากากออกมา แต่ก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้เหมือนเดิม หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก จำได้ว่าหน้ากากเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้ตัวว่ากำลังอยู่ในมิติมายาระหว่างการสอบเข้าสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่สามารถมองเห็นหน้ากากได้ในตอนนี้เป็นเพราะมิติมายาไม่สามารถสร้างภาพมันขึ้นมาได้

ข้าอยู่ในมิติมายาหรือ… หวังเป่าเล่อหันมองสองข้าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นฟ้าและก้มมองพื้นดิน ตรวจดูทุกสิ่งรอบกาย ความสมจริงของสิ่งรอบกายทำให้เขาเงียบไป แต่หน้ากากที่มองไม่เห็นบ่งบอกแน่ชัดว่าทุกสิ่งคือภาพมายา

หากเป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มก็พอจะทราบเหตุผลที่จินตั้วหมิงมาเยี่ยมถึงที่และการหายตัวไปของเซี่ยไห่หยาง

ถ้าที่นี่คือมิติมายา ก็หมายความว่ามิติมายาไม่สามารถสร้างเซี่ยไห่หยางขึ้นมาได้ จินตั้วหมิงเลยมาหาเพื่อจะขอเป็นหุ้นส่วน แต่จริงๆ แล้วเป้าหมายคืออยากให้ข้ารู้ว่าเซี่ยไห่หยางได้หายตัวไป ถ้าข้าเชื่อตามนั้นก็จะกลบช่องโหว่สุดท้ายไปได้ หวังเป่าเล่อถอนหายใจ หากมีแค่เหตุการณ์เดียวคงจะมองเป็นเรื่องบังเอิญได้ แต่นี่กลับมีทั้งท่าทีแปลกๆ ของจินตั้วหมิง ตามมาด้วยเซี่ยไห่หยางหายตัวไป เกมเข้าไม่ได้ หน้ากากก็มองไม่เห็น

แววตาของชายหนุ่มฉายแววเด็ดเดี่ยวเมื่อคิดพิจารณาเหตุการณ์ทั้งหมด

“จะเป็นฝันหรือมิติมายา ข้าก็ต้องแค่หาทางทำลายทิ้งเพียงเท่านั้น!” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำกับตนเองขณะเงยหน้าขึ้นมองถ้ำที่พักเบื้องหน้า เฟิ่งชิวหรันเอ่ยถามอย่างสงสัย ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นปลดปล่อยพลังปราณเต็มสูบ เกราะจักรพรรดิพลันปรากฏ พลังรัศมีพวยพุ่งขึ้นทะลุฟากฟ้าขณะหมัดขวาพุ่งทะยานไปด้านหน้า!

หมัดที่ผสานไปด้วยพลังเต็มขั้นของเกราะจักรพรรดิลักอัคคีและจิตตั้งมั่นของหวังเป่าเล่อพุ่งทะลุชั้นป้องกันทั้งหมด พายุพลันบังเกิด พัดโหมกระหน่ำไปทางถ้ำที่พักเบื้องหน้า ถ้ำที่พักของเฟิ่งชิวหรันสั่นไหวและเริ่มปริแตก เฟิ่งชิวหรันรีบหนีออกจากที่พัก ขาของนางสั่นระริกราวกับยังไม่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บรุนแรง นางหวีดเสียงใส่ชายหนุ่มทันทีด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยวและตื่นตกใจ

“หวังเป่าเล่อ เจ้าทำอะไร โดนตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าครอบงำเหมือนเมี่ยเลี่ยจื่อไปแล้วอย่างนั้นหรือ”

เข้าครอบงำหรือ หวังเป่าเล่อหน้าเคร่งเครียดขึ้น เขากำหมัดขวา พุ่งตรงไปทางเฟิ่งชิวหรัน พลังอาวุธเทพพวยพุ่งออกมาจากเกราะแขนขวาที่ได้ผสานกับแขนของศิษย์แห่งเต๋า พลังแกร่งกล้าขนาดเจ้าตัวยังหวาดหวั่นปะทุขึ้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแขนกระดูกมายาที่แฝงกลิ่นอายของหายนะและความตาย สามารถทำลายทุกสิ่งที่ขวางอยู่ตรงหน้าได้ แขนกระดูกพุ่งเข้าไปจับเฟิ่งชิวหรันในทันใด!

เฟิ่งชิวหรันหน้าตื่น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเดือดดาลและความไม่เข้าใจ นางยกมือขวาขึ้น พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณพวยพุ่งขึ้นฟ้า ฉาบทั่วบริเวณไปด้วยพลังกล้าแกร่ง พลังอันเหนือชั้นตรงเข้ากดดันหวังเป่าเล่อ แต่ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรงทำให้นางไม่สามารถคุมพลังได้เต็มที่ อีกทั้งยังไม่มีเจตนาอยากปลิดชีพชายหนุ่ม นางตะโกนขึ้นอีกครั้ง

“หวังเป่าเล่อ สู้กับการครอบงำของตระกูลไม่รู้สิ้น! ตาสว่างได้แล้ว!”

หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มเมื่อได้เห็นพลังของเฟิ่งชิวหรันและได้ยินที่นางพูด เส้นผมของเขาปลิวไหว เสื้อผ้าฉีกขาดจากลมกรรโชก ทั่วร่างรู้สึกเจ็บระบบ ทุกอย่างดูสมจริงไปหมด ความไม่มั่นใจโถมเข้าภายใน แต่หน้ากากที่มองไม่เห็น รวมถึงพฤติกรรมประหลาดของจินตั้วหมิงและเซี่ยไห่หยางทำให้ดวงตาของเขาฉายแสงเย็นเยียบ ชายหนุ่มร้องคำราม แขนกระดูกมายาฟาดเข้าใส่เฟิ่งชิวหรันในทันใด!

เสียงกัมปนาทดังก้อง เฟิ่งชิวหรันผุดยิ้มอย่างเจ็บปวด นางบาดเจ็บหนักอยู่แล้ว ประกอบกับการปลดปล่อยพลังปราณเมื่อครู่ทำให้อาการแย่กว่าเก่า พลังปราณพลันเลือนหาย ร่างของนางกระเด็นไปเหมือนกับกระดาษเมื่อโดนอาวุธเทพของหวังเป่าเล่อฟาดเข้าใส่ เฟิ่งชิวหรันตัวสั่นเทิ้ม กระอักเลือดสดกองใหญ่ นางมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาขมขื่นขณะทรุดลงพื้น ก่อนจะพึมพำขึ้นด้วยเสียงอ่อนแรง

“เมี่ยเลี่ยจื่อโดนครอบงำไปแล้ว เจ้าก็เช่นกัน…หวังเป่าเล่อ ได้สติทีเถิด นี่คือความจริง ไม่ใช่มิติมายา!”

“โดนครอบงำหรือ…” ชายหนุ่มเงียบไปขณะมองร่างเฟิ่งชิวหรันร่วงลงพื้น นางบาดเจ็บหนักอยู่ก่อนแล้วจึงสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย นางพยายามเรียกสติเขา ทุกอย่างดูเป็นเหตุเป็นผล

นางพูดถึงเหตุผลที่ได้รับบาดเจ็บ นั่นก็เพราะ…เมี่ยเลี่ยจื่อก็โดนตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าครอบงำ กำลังสงสัยว่าทุกอย่างคือภาพมายาเหมือนกันกับเขา

“นี่คือคาถาสะกดจิตของตระกูลไม่รู้สิ้น เจ้าได้กลิ่นดอกไม้แปลกๆ หรือเปล่า นั่นคือตัวบ่งบอกว่าเจ้าโดนครอบงำก่อนการเคลื่อนย้าย!” เฟิ่งชิวหรันหายใจติดขัด ดวงตาของนางเต็มไปด้วนความกังวล พยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้หวังเป่าเล่อเชื่อว่าที่นี่ไม่ใช่มิติมายา

……………………………….

บทที่ 633 เข้าไม่ได้!
ทุกคนพยักหน้าหลังจากได้ยินคำสั่งของสหายแห่งเต๋าโยวหรันและแยกย้ายกันออกไป หวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋าตามเฟิ่งชิวหรันไปยังแผ่นวงแหวนหนึ่งจากอีกสามวงแหวน

หวังเป่าเล่อชะลอความเร็วลงเล็กน้อยเพื่อให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าตามได้ทัน สำหรับเขาแล้วที่มาปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ก็เพื่อตอบแทนทางสำนักและเฟิ่งชิวหรัน จริงๆ ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องมาก็ได้ แต่ก็เป็นห่วงเจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋า

“เยี่ยเหมิง กงเต๋า อยู่ใกล้ๆ ข้าไว้ ถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น…เราจะกลับทันที!” ชายหนุ่มรู้ว่าควรให้ความสำคัญกับอะไรที่สุด เขาส่งข้อความไปบอกผ่านแหวนสื่อสารในช่องทางเฉพาะของสหพันธรัฐจึงไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาได้ยิน

เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าเองก็คิดเช่นนั้น ทั้งสามหันมองกัน ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ชัดเจนว่าพวกเขาจะคอยเกาะกลุ่มกันและกลับออกไปพร้อมกัน

ทั้งสามมุ่งหน้าเข้าไปใกล้แผ่นวงแหวนด้วยความเป็นกังวล มองไกลๆ ว่าดูน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว เมื่อเข้าใกล้ก็พบกับความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มองไม่เห็นเลยว่าขอบสุดอยู่ตรงไหน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองได้ทั่วด้วยดวงตาเพียงคู่เดียว

แผ่นวงแหวนเริ่มเด่นชัดในสายตาขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไม่สามารถระบุภูมิทัศน์ของมันได้ ผิวด้านบนมีลักษณะเป็นของเหลว คลื่นที่กระเพื่อมอยู่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังมุ่งหน้าเข้าไปยังมหาสมุทรกว้างใหญ่

พลังกดดันจากแผ่นวงแหวนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าใกล้ เหล่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเริ่มเวียนหัวแม้จะมีวงแหวนปราณป้องกันและพลังปราณจากเฟิ่งชิวหรันช่วยคุ้มกัน มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่ยังมีสติแจ่มชัด พลังปราณแกร่งกล้าและสถานะไม่ธรรมดาของหวังเป่าเล่อช่วยให้เขาปลอดภัยเช่นกัน ถึงกระนั้นก็ยังหายใจถี่รัว หัวใจเต้นระส่ำอย่างควบคุมไม่ได้

โชคดีที่พวกเขาไม่ต้องทนทรมานนานเท่าใดนัก ไม่นานกลุ่มผู้ฝึกตนที่มีเฟิ่งชิวหรันคอยคุ้มกันก็เคลื่อนทัพเข้าไปอยู่ห่างจากผิวน้ำของวงแหวนปราณประมาณสามร้อยเมตร แสงสว่างวาบในตาเฟิ่งชิวหรันขณะเหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเริ่มปลดปล่อยพลังปราณ ทุกคนมารวมตัวและรวมพลังกัน แปรเปลี่ยนเป็นดวงหางพุ่งตรงไปยังแผ่นวงแหวน

พวกเขาถึงจุดหมายในทันใด ขณะที่กำลังจะปะทะกับผิวน้ำของแผ่นวงแหวน เฟิ่งชิวหรันก็หยิบเอายันต์โบราณแผ่นหนึ่งออกมาโดยไม่ลังเล แผ่นยันต์ดังกล่าวสร้างขึ้นโดยสำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริง ใช้เพื่อเปิดชั้นด้านนอกของเรือบินรบเพื่อเข้าไปด้านใน มีชื่อเรียกว่า ยันต์ระเบิดเคลื่อนย้าย!

เสียงกัมปนาทดังสนั่นเมื่อยันต์ระเบิดออก ผิวน้ำของแผ่นวงแหวนกระเพื่อมรุนแรง เผยให้เห็นปากทางเข้าแคบๆ เฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ ปลดปล่อยพลังปราณพร้อมกันและพุ่งตรงไปยังปากทางเข้าด้วยความเร็วเต็มพิกัด!

พริบตาเดียวพวกเขาก็มาถึงหน้าปากทางเข้า ขณะที่กำลังจะเคลื่อนตัวเข้าไปก็มีคลื่นพลังเคลื่อนย้ายระเบิดออกจากโลกภายใน กระจายไปรอบด้าน ส่งให้ทุกคนหัวหมุน

หวังเป่าเล่อเองก็ได้รับผลกระทบ เขาอยู่ห่างจากโลกด้านในแผ่นวงแหวนเพียงแค่ก้าวเดียวจึงได้กลิ่นดอกไม้ลอยออกมา ถึงกระนั้น ภารกิจครั้งนี้ก็รุดหน้าต่อไปได้ไม่สำเร็จ ทุกคนเริ่มหายวับไปในพายุพลังเคลื่อนย้าย ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง…บนฟากฟ้าถัดจากเรือบินรบไปสามหมื่นเมตร

“เกิดอะไรขึ้น”

“นึกว่าเข้าไปได้แล้วเสียอีก!”

“เรือบินรบมีกลไกเคลื่อนย้ายผู้บุกรุกออกไปจริงๆ ด้วย!”

เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋ามีสีหน้าเคร่งเครียด ผู้ฝึกตนรอบกายเริ่มกระซิบคุยกันอย่างดุเดือด เฟิ่งชิวหรันทำหน้านิ่วขณะจ้องมองเรือบินรบ ความรู้สึกมากมายลุกโชนในแววตา ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นกลับแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ชายหนุ่มไม่เห็นด้วยกับการนำกลุ่มคนมากมายมายังเรือบินรบ แต่เมี่ยเลี่ยจื่อกับสหายแห่งเต๋าโยวหรันกลับเห็นดีเห็นงามกับแผนนี้ เฟิ่งชิวหรันเองก็เห็นชอบ หวังเป่าเล่อจึงไม่สามารถโต้แย้งอะไรออกไปได้

ก็ดีเหมือนกัน ผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรันน่าจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าบิดาของนางน่าจะตายไปแล้ว แต่ก็ทำได้แค่หวัง เขาถอนหายใจ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองสำรวจเรือบินรบ ชายหนุ่มเห็นแสงจากการเคลื่อนย้ายสว่างขึ้นถัดออกไปไม่ไกล พวกเมี่ยเลี่ยจื่อกับสหายแห่งเต๋าโยวหรันก็น่าจะโดนเคลื่อนย้ายออกมาเช่นกัน

ทุกคนหน้าคร่ำเคร่ง หลังจากสี่ผู้อาวุโสถกกันเสร็จ พวกเขาก็ตัดสินใจลองเข้าไปอีกครั้ง แต่ก็จบที่ถูกเคลื่อนย้ายกลับออกมาเหมือนเดิม ไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ ทันใดนั้น เมี่ยเลี่ยจื่อก็เสนอความคิดขึ้น

“เราต้องใช้พลังจากวงแหวนปราณของกระบี่สำริดเขียวโบราณเพื่อขัดขวางการเคลื่อนย้ายจึงจะสามารถเข้าไปด้านในเรือบินรบได้ ข้าเสนอให้เรากลับสำนักก่อนและรวมพลังกันทั้งสามฝ่าย เราต้องเตรียมการเผื่อมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นครั้งหน้า!”

หวังเป่าเล่อเห็นด้วยกับข้อเสนอของเมี่ยเลี่ยจื่อ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สหายแห่งเต๋าโยวหรันก็พยักหน้ายินยอม เฟิ่งชิวหรันถอนหายใจ แม้จะหดหู่ใจแต่นางก็ยอมรับการตัดสินใจครั้งนี้ กลุ่มผู้ฝึกตนหลายร้อยคนที่มุ่งหน้ามาอย่างดุดันตัดสินใจกลับสำนักมือเปล่า

เหล่าศิษย์ที่อยู่คุ้มกันสำนักและผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐต่างแปลกใจเมื่อได้เห็นพวกเขากลับมา สำนักวังเต๋าไพศาลยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน มีเพียงรูปลักษณ์เรือบินรบที่เปลี่ยน รวมถึงความกดดันจากการปฏิบัติภารกิจล้มเหลวที่ยังติดอยู่ในใจ

อย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป เรือบินรบที่เปลี่ยนโฉมไม่น่าจะส่งผลต่อชีวิตผู้คนในวังเต๋าไพศาลในเร็ววัน สองสามวันต่อมา ทางสำนักก็พบว่าเรือบินรบนั้นได้กลับสู่ตัวดาบ ไม่ได้หนีออกไปไหน หวังเป่าเล่อกับเฟิ่งชิวหรันถกกันด้วยความสงสัยระคนความไม่สบายใจ ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลหลายคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ทราบข่าว

การควบรวมระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐดำเนินต่อ วันคืนอันแสนสงบสุขผ่านไป หวังเป่าเล่อฝึกวิชาได้ไม่นาน จินตั้วหมิงก็มาหาในคืนหนึ่ง

เขายิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกับยกมือขึ้นคำนับทักทายหวังเป่าเล่อ

“เป่าเล่อ ข้ารู้ว่าก่อนหน้ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น อีกทั้งยังสัมผัสได้ว่าเราสองคนเริ่มจะห่างเหินกันไป ข้าจึงมาที่นี่เพื่อคุยเปิดอกกับเจ้า

“จินตั้วหมิงผู้นี้ไม่ได้ต้องการจะแย่งชิงตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐกับเจ้า ถึงจะเป็นภารกิจที่ต้วนมู่ฉีมอบหมายมา ข้าก็ไม่สน ข้ารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ข้าอยากมีส่วนร่วมในการควบรวมสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐ ข้าอยากจัดตั้งกลุ่มไตรจันทราที่ไม่ขึ้นตรงต่อตระกูลของตัวเอง!”

“เป่าเล่อ เจ้าช่วยข้าได้ไหม” จินตั้วหมิงเอ่ยถามอย่างจริงใจ ดวงตาที่จ้องมองมาดูซื่อสัตย์ ไม่มีอะไรแอบซ่อน

หวังเป่าเล่อนวดหน้าผาก หลังจากเรือบินรบเปลี่ยนโฉมไป เขาก็เอาแต่ครุ่นคิดไม่หยุด จริงๆ แล้วตนกับจินตั้วหมิงก็ไม่ได้ห่างเหินกันสักเท่าไหร่ พวกเขายังติดต่อหากันตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชายหนุ่มพิจารณาอยู่พักหนึ่งก่อนจะถามขึ้น

“ข้าจะช่วยเท่าที่ทำได้แล้วกัน เจ้าติดปัญหาเรื่องอะไร”

“ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เป่าเล่อ ข้ารู้ว่าเรื่องที่จะขออาจทำให้เข้าใจผิดได้ แต่…ข้าก็จะพูด ข้าอยากแลกหุ้นส่วนเครือข่ายวิญญาณของข้ากับหุ้นส่วนเกมของเจ้า” จินตั้วหมิงเบือนหน้าหลบด้วยความขัดเขินเมื่อเอ่ยขอขึ้น

ชายหนุ่มนวดหน้าผากตนเองอีกครั้ง ส่วนตัวแล้วก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะตัดสินใจได้ฝ่ายเดียว หลังจากครุ่นคิดสักพัก หวังเป่าเล่อก็ถามขึ้นอย่างมีชั้นเชิง “ตั้วหมิง เจ้าควรไปปรึกษาเรื่องนี้กับเซี่ยไห่หยาง”

“เป่าเล่อ ข้าตามหาเซี่ยไห่หยางดูแล้ว แต่ไปถ้ำที่พักก็ไม่เห็นใคร ภายในก็ว่างเปล่า เห็นว่าเขาหายตัวไปวันเดียวกับที่เรือบินรบปรากฏ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา…” จินตั้วหมิงถอนใจพร้อมกับเอ่ยบอกด้วยความหงุดหงิด

“ไม่เจอ ถ้ำที่พักก็ว่างเปล่า เขาหายตัวไปอีกแล้วอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่อ รีบหยิบแหวนสื่อสารขึ้นมาส่งข้อความหาเซี่ยไห่หยาง แต่ก็เหมือนดังโยนหินลงไปในมหาสมุทร ไม่มีการตอบกลับใดๆ

ดวงตาของจินตั้วหมิงฉายแสงวาบเมื่อเห็นดังนั้น เขาก้มหัวลงพร้อมกับถอนใจ

“ใช่ เขาชอบหายตัวไปไหนไม่รู้ นี่ก็ครั้งที่สองแล้ว”

หวังเป่าเล่อปวดหัวตุบๆ อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเซี่ยไห่หยางถึงมาหายตัวไปในเวลาเช่นนี้ เขาต้องตรวจสอบเรื่องนี้ คิดดังนั้นก็หันไปตอบจินตั้วหมิง

“ตั้วหมิง ไม่ต้องเป็นกังวลไป เซี่ยไห่หยางเป็นชายผู้เต็มไปด้วยปริศนา อาจจะมีธุระจำเป็นต้องไปสะสาง เดี๋ยวข้าไปตามหาเขาเอง จากนั้นจะรีบให้คำตอบเจ้า เอาตามนี้ได้ไหม”

จินตั้วหมิงยิ้มและพยักหน้าให้ เขาพูดคุยกับหวังเป่าเล่อต่ออีกพักใหญ่ก่อนจะกลับออกไป

ส่งจินตั้วหมิงกลับไปเสร็จ หวังเป่าเล่อก็กลับมานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ขณะกำลังคิดเรื่องการหายตัวไปของเซี่ยไห่หยาง ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองไปด้านนอกตรงทางที่จินตั้วหมิงเดินจากไป ความสงสัยเริ่มฉายขึ้นในดวงตา หลังจากใคร่ครวญสักพักก็พบว่าสิ่งที่จินตั้วหมิงพูดถึงเซี่ยไห่หยางเป็นจุดที่ทำให้เขานึกสงสัย

“ไม่เจอ ถ้ำที่พักก็ว่างเปล่า เขาหายตัวไปอีกแล้วอย่างนั้นหรือ”

“ใช่ เขาชอบหายตัวไปไหนไม่รู้ นี่ก็ครั้งที่สองแล้ว”

บทสนทนาเล่นซ้ำในหัวชายหนุ่มอีกครั้ง หน้าผากเริ่มขมวดเป็นรอยย่นลึก ถ้าจินตั้วหมิงไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยไห่หยางเคยหายตัวไป เขาน่าจะสงสัยเมื่อได้ยินตนพูดไปเช่นนั้น น่าจะถามถึงพฤติกรรมชอบหายตัวไปของเซี่ยไห่หยางกลับมา

แต่จากคำตอบก็ทำให้ตระหนักว่าอีกฝ่ายน่าจะรู้ว่าเซี่ยไห่หยางเคยหายตัวไป

มีบางอย่างไม่ถูกต้อง จินตั้วหมิงไม่น่าจะรู้ว่าเซี่ยไห่หยางเคยอยู่ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาเคยถามเรื่องเซี่ยไห่หยาง แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้บอกอะไรไปมาก ถึงจะไปค้นข้อมูลเพิ่มก็ไม่น่าจะพบอะไรเพราะตอนนี้พวกเขาอยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ไม่ใช่สหพันธรัฐ

นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังเคยเตือนจินตั้วหมิงว่าอย่าเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องเซี่ยไห่หยาง เขาจำสีหน้าของจินตั้วหมิงหลังจากนั้นได้ขึ้นใจ จินตั้วหมิงน่าจะเชื่อฟังคำแนะนำตามนิสัย อีกทั้งยังน่าจะฉลาดพอที่จะไม่แอบไปค้นเรื่องเซี่ยไห่หยางเอง อาจจะคิดไปว่าเซี่ยไห่หยางเป็นศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลด้วยซ้ำ

หวังเป่าเล่อเริ่มนึกสงสัย แต่อีกฝ่ายอาจจะไปไล่ถามคนอื่นมาก็ได้ ผู้ฝึกตนจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีเพียงแค่ตนคนเดียว

ข้าอาจจะคิดมากไปเอง ชายหนุ่มนวดหน้าผาก ตัดสินใจเลิกคิดเรื่องนี้ไป กลับมาสนใจเรื่องการหายตัวไปของเซี่ยไห่หยาง ความหงุดหงิดใจเริ่มคุกรุ่นขึ้นภายใน เขาเรียกหาแม่นางน้อย แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบกลับ

หลับอีกแล้วหรือ หวังเป่าเล่อลุกยืน ท้องฟ้ามืดลงแล้ว แต่ความหงุดหงิดในใจยังลุกโชนไม่ดับหาย เขาหยิบเอาแผ่นหยกเกมเทพจุติออกมา กะจะเข้าไปเล่นเกมให้หายหงุดหงิดเสียหน่อย

แต่แม้ว่าจะพยายามเชื่อมต่ออยู่หลายครั้ง ก็เหมือนว่าระบบเกมจะล่ม เพราะเขา…ไม่สามารถเข้าเกมได้!

บทที่ 632 แรกเห็น!
ทั่วทั้งสำนักตกอยู่ในความโกลาหล ความกลัวและความกระวนกระวายใจถาโถมเข้าใส่ทุกชีวิต ในตอนที่ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามจากไป

พิธีแต่งงานของหลี่อู๋เฉินและโจวเหมยสิ้นสุดลงในตอนนั้น ขณะที่ทั้งสำนักกำลังจมดิ่งอยู่ในความกังวลและความกลัว หวังเป่าเล่อก็เรียกเจ้าเยี่ยเหมิง ประมุขสำนักสวี และต้นไม้ยักษ์มา เพื่อหารือสิ่งที่เกิดขึ้น

ทั้งสี่สรุปกันว่าประมุขสำนักสวีและต้นไม้ยักษ์จะเป็นผู้เตรียมการรับมือสถานการณ์ร้ายแรงสูงสุด โดยหากจำเป็นจริงๆ จะต้องอพยพทุกคนผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายลับ ที่ประมุขสำนักแอบสร้างขึ้นมา

ทั้งสองต้องเตรียมการอย่างไม่ให้ใครจับได้ พร้อมกับเตรียมตัวรับการอพยพไปด้วย ประมุขสำนักสวี รวมถึงต้นไม้ยักษ์และเจ้าเยี่ยเหมิงที่เพิ่งรับรู้การมีอยู่ของวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายที่สองเป็นครั้งแรก ต่างตั้งใจตระเตรียมเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวังสูงสุด

ทั้งสามจากไปด้วยหัวใจหนักอึ้ง จิตใจมืดมิดด้วยความกังวล หวังเป่าเล่อยืนอยู่เพียงคนเดียวในหอคอยที่สูงที่สุดของตำหนักประจำตัว สายตามองไปยังท้องฟ้าไกลและทะเลเพลิง ชายหนุ่มก็เป็นกังวลมากเช่นกัน

เสียงนั้นอาจเป็นเพียงเสียงเรียกขอความช่วยเหลือธรรมดา แต่เขาแน่ใจว่าทุกคนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ รวมถึงตัวเฟิ่งชิวหรันเองด้วย กระนั้นในบางสถานการณ์อารมณ์ก็อยู่เหนือเหตุผล ด้วยเหตุนี้นางจึงเลือกมุ่งหน้าไปยังต้นเสียงเพื่อสืบดูให้รู้ความ

หวังเป่าเล่อเข้าใจดีว่าเหตุใดนางจึงทำเช่นนั้น และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ลางสังหรณ์นี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลมแรงเริ่มพัดโหมให้เสื้อผ้าของเขาปลิวสะบัด ขณะที่ชายหนุ่มหลับตาลง

“พายุกำลังจะมา…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง เขามองลงไปยังหุบเขาเบื้องล่าง เห็นผู้ฝึกตนมากมายเดินขวักไขว่อยู่ในสำนักรอบกายเขา หลังจากผ่านไปนานหวังเป่าเล่อก็นั่งลงและเริ่มฝึกปราณ

อัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงกล่าวเอาไว้ว่า ไม่ว่าอนาคตจะมีสิ่งใดรออยู่ สิ่งเดียวที่ทำได้คือการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน

เวลาเดินหน้าผ่านไปเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อยังคงฝึกปราณรอ และทั้งสำนักก็ยังคงพูดคุยเรื่องนี้ไม่หยุดหย่อน ห้าวันผ่านไปในรูปการณ์นี้

ในวันที่ห้า เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนคล้อย สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อกังวลใจที่สุดไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด เฟิ่งชิวหรันและผู้อาวุโสอีกสองคนกลับมาถึงเรียบร้อย ทั้งสามดูอมทุกข์ สีหน้าแสดงความรู้สึกมากมายที่ผสมปนเป

หวังเป่าเล่อได้รับเชิญให้เข้าหารือทันทีที่ทั้งสามกลับมา เขาจึงไปที่ตำหนักของเฟิ่งชิวหรันตามคำเชิญ ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามรออยู่แล้วข้างใน ท่ามกลางความเงียบงัน

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยิ้มและพยักหน้าให้หวังเป่าเล่อ เมี่ยเลี่ยจื่อที่โดยปกติมักจะทักทายเขาด้วยไอเย็นและพยายามไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเขาโดยสิ้นเชิง ในตอนนี้มีแววตาลำบากใจชัดเจน ความดุร้ายอันเป็นวิสัยปกติของเขาหายไป

เฟิ่งชิวหรันมีสีหน้าจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่มีใครทราบว่านางคิดสิ่งใดอยู่

หวังเป่าเล่อสังเกตสีหน้าของทั้งสาม ฟันเฟืองในสมองเริ่มเดินหน้าอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแต่นั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่สี่ในโถงเท่านั้น ดวงตาจับจ้องอยู่ที่เฟิ่งชิวหรัน

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ สตรีนางเดียวในโถงนั้นก็หลับตาลง ทั้งโถงตกอยู่ในความเงียบงัน เวลาผ่านไปนานแสนนานท่ามกลางความเงียบนี้…เฟิ่งชิวหรันลืมตาขึ้นในที่สุด ดวงตาทั้งสองของนางบัดนี้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ ในตอนนั้นเองที่เมียเลี่ยจื่อเอ่ยปากขึ้น

“เราต้องช่วยเขา!

“ต่อให้เป็นกับดักก็ไม่สำคัญ ตราบใดที่ยังมีความเป็นไปได้ว่าท่านอาจารย์ลุงยังมีชีวิตอยู่ จะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอันขาด เราต้องทำอะไรสักอย่าง!”

หวังเป่าเล่อยังคงเงียบขณะฟังคำของเมี่ยเลี่ยจื่อ เฟิ่งชิวหรันตัวสั่นก่อนเอ่ยปากขึ้นเช่นกัน คำพูดของนางเจือไปด้วยความขมขื่น

“เราตรวจสอบที่มาของเสียงเรียบร้อยแล้ว เป็นเรือรบของตระกูลไม่รู้สิ้น เราไม่ได้เข้าไปใกล้แต่ตรวจสอบดูจากระยะไกล แต่ก็รู้อยู่เป็นทุนเดิมจากสงครามเมื่อครั้งก่อนว่ามีเรือรบลักษณะนี้อยู่ไม่ถึงสิบลำ เราไม่ทราบว่ามีสิ่งใดรออยู่ในเรือ เหตุใดมันจึงปรากฏขึ้นอีกครั้ง และอะไรกันที่เป็นแผนการของพวกตระกูลไม่รู้สิ้นที่หลงเหลืออยู่…หากเราเข้าไปในเรือรบนั้น ทั้งสำนักอาจเป็นอันตรายได้!” เฟิ่งชิวหรันส่ายหน้าขณะพูด หัวใจของนางเจ็บปวดนัก นางต้องการช่วยบิดาของตนแต่ก็ไม่อยากนำทั้งสำนักมาเสี่ยง ด้วยเหตุนี้นางจึงตั้งใจว่าจะเข้าไปในเรือรบนั้นคนเดียว

“สำนักวังเต๋าไพศาลล่มสลายลงจนถึงจุดที่ว่าเราไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว หากเราช่วยผู้อาวุโสของตนเองไม่ได้ แล้วจะยังมีอยู่ไปเพื่อสิ่งใดกันเล่า ความหวังลมๆ แล้งๆ เช่นนั้นหรือ”

“หากเป็นเช่นนั้น ข้า เมี่ยเลี่ยจื่อคนนี้ ขอต่อสู้จนถึงที่สุดเสียยังดีกว่า!” เมี่ยเลี่ยจื่อทัดทาน ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ เมื่อเห็นเฟิ่งชิวหรันเลือกล่าถอย เขาจึงหันไปหาโยวหรันและหวังเป่าเล่อแทน

“พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร”

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไตร่ตรองอยู่สักพักก่อนพยักหน้า

“ข้าเห็นด้วยกับเมี่ยเลี่ยจื่อ การปรากฏตัวของเรือรบนั้นน่าสงสัย แต่หากยังมีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นหลงเหลืออยู่จากสงครามเมื่อครั้งนั้น พลังปราณของพวกมันคงไม่สูงมาก มิเช่นนั้นคงไม่เลือกเผยตัวในตอนนี้ ข้าว่าพวกเราควรเดินหน้าโจมตี!”

เมื่อได้ยินคำพูดของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เมี่ยเลี่ยจื่อก็หันมาหาหวังเป่าเล่อต่อ เฟิ่งชิวหรันเองก็เช่นกัน ทั้งสองต่างรอคำตอบของเขา

หวังเป่าเล่อคิดโดยยังไม่เอ่ยสิ่งใด ทั้งเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันเห็นพ้องต้องกันเรียบร้อย เฟิ่งชิวหรันอาจพูดอีกอย่าง แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับบิดาของนาง ความคิดที่แท้จริงของนางไม่ต้องเอื้อนเอ่ยก็รู้ดีว่าคือสิ่งใด

แม้ทั้งสามจะให้เขาเป็นคนเลือก แต่หวังเป่าเล่อก็รู้ว่าตนเองมีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น

เมื่อชายหนุ่มคงความเงียบ มติที่ประชุมก็เป็นเอกฉันท์ในที่สุด ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณทุกคนและผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในส่วนมากจากสำนักวังเต๋าไพศาลจะเข้าร่วมปฏิบัติการนี้ โดยจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ แต่ละกลุ่มนำโดยผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามคน เป้าหมายของภารกิจก็คือการแทรกซึมเข้าไปในเรือรบ เพื่อทำการสำรวจพื้นที่!

ขนาดของเรือรบนั้นใหญ่มากเสียจนต้องการคนจำนวนมากในการสำรวจ ซึ่งจะทำให้ปฏิบัติการช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเสียงร้องให้ช่วย รวมถึงพิกัดระหว่างตัวดาบและด้ามดาบที่เรือรบตั้งอยู่ ให้ทั้งสำนักได้รับทราบ ข่าวนี้ทำให้ทั้งสำนักตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้ง

สำนักวังเต๋าไพศาลเริ่มเตรียมการปฏิบัติภารกิจอย่างรวดเร็ว พวกเขาปลุกวงแหวนปราณเพื่อนำเอาสมบัติที่เก็บรักษาไว้ออกมา ซึ่งก็คือยันต์ระเบิดเคลื่อนย้าย นอกจากนี้ทุกคนยังได้รับยันต์เคลื่อนย้ายส่วนตัว ที่เอาไว้ใช้เพื่อนำตัวเองออกมาจากสถานการณ์อันตราย

ราคาสมบัติเวทและโอสถบางชนิดก็ถูกปรับลดลงเช่นกัน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติภารกิจซื้อมาตุนได้ง่ายขึ้น

ท้ายที่สุด เมี่ยเลี่ยจื่อก็ประกาศว่าทุกคนจะออกเดินทางในเวลาเจ็ดวัน ผู้เข้าร่วมภารกิจต่างแยกตัวกันไปถือสันโดษ เพื่อรักษาสภาพร่างกายให้สมบูรณ์ที่สุดก่อนเริ่มงานจริง

เจ็ดวันผ่านไป ทั่วสำนักวังเต๋าไพศาลเต็มไปด้วยกิจกรรมมากมาย วงแหวนปราณเริ่มทำงาน ผู้ฝึกตนหลายร้อยคนเหาะขึ้นไปในอากาศ เปลี่ยนสภาพเป็นสายรุ้งที่ทะยานไปข้างหน้า สู่เรือรบด้วยความน่ายำเกรง!

ในนั้นมีศิษย์เองของเฟิ่งชิวหรันและโยวหรันอยู่ด้วย แต่ก็ยังมีใบหน้าที่คุ้นเคยที่หายไปเช่นกัน อันได้แก่ ตู้กูหลิน จั่วอี้ฟาน ต้นไม้ยักษ์ และประมุขสำนักสวี ประมุขสำนักคือผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณคนเดียวที่ไม่ได้เข้าร่วมภารกิจ อันเป็นผลมาจากความสำเร็จของการต่อสู้อย่างหนักของหวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่เข้าร่วมมีเพียงหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋าเท่านั้น

ทั้งสามต้องเข้าร่วมเนื่องจากได้รับตำแหน่งศิษย์ของสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นที่เรียบร้อย และมีชื่อสลักอยู่บนแท่นสลักเต๋า ทำให้มีอำนาจควบคุมวงแหวนปราณบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ทั้งสามจะทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมระหว่างผู้ที่อยู่ข้างในและข้างนอกเรือรบ ขณะที่ผู้ฝึกตนแต่ละกลุ่มเริ่มเข้าพื้นที่

หากหวังเป่าเล่อและคนอื่นต้องการเดินทางไปยังบริเวณตัวดาบ พวกเขาจะต้องทำการเคลื่อนย้ายหลายรอบกว่าจะไปถึง แต่ด้วยความที่นี่เป็นภารกิจใหญ่ ทั้งสำนักจึงปลุกวงแหวนปราณทั้งหมดเพื่อทำให้การเดินทางง่ายขึ้น ความเร็วของทุกคนเพิ่มขึ้นสูงมากจนไม่น่าเชื่อ จนใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้น…ภาพของเรือรบขนาดยักษ์ที่ติดอยู่ตรงกลางระหว่างกำแพงกัน ก็ปรากฏขึ้นในสายตา!

ภาพนั้นทำให้หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านไปทั้งกายใจ จนต้องอุทานเมื่อได้เห็น เรือนั้นใหญ่มหึมาเกินบรรยาย แผ่นวงแหวนทั้งสามที่เป็นตัวเรือเปรียบเสมือนดาวหนึ่งดวง แต่ละวงแหวนเปรียบเสมือนโลกของตนเอง

พลังที่เรือรบปล่อยออกมาทำให้ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในสะท้าน ความกลัวผุดขึ้นในจิตใจ

เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าเองก็มีปฏิกิริยาเดียวกัน กระนั้นพวกเขาก็ยังได้รับการปกป้องจากสถานะศิษย์ของสำนัก ด้วยพลังของวงแหวนปราณบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ จึงทำให้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแรงกดดันได้เร็วกว่าคนอื่น แต่ถึงจะมีตัวช่วย ใบหน้าของพวกเขาก็ยังดูซีดเซียวอยู่

แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก มีเพียงผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากทรงพลังมากพอจนแทบจะบรรลุไปเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว ส่วนหวังเป่าเล่อมีตำแหน่งของศิษย์อุปถัมภ์คอยช่วยเหลืออยู่ จึงทำให้ต่อสู้กับแรงกดดันได้ ด้วยพลังปราณที่แก่กล้าขึ้นจากอำนาจของวงแหวนปราณบนกระบี่

“ตามที่วางแผนกันไว้ เราจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มเพื่อแทรกซึมเข้าไปในเรือรบ ภารกิจหลักของเราคือปฏิบัติการช่วยเหลือ แต่หากสถานการณ์ย่ำแย่ลง จงปลุกพลังของยันต์เคลื่อนย้ายของตนเองทันที และรีบหนีออกมาให้เร็วที่สุด!” เฟิ่งชิวหรันหายใจเข้าลึกมองใบหน้าทุกคนในที่แห่งนั้น นางอธิบายรายละเอียดของภารกิจอย่างเคร่งขรึมจริงจัง หวังเป่าเล่อพยักหน้ารับ ผู้ฝึกตนทั้งหมดแยกตัวออกเป็นกลุ่มตามคำสั่ง

ทุกคนเข้ากลุ่มตามฝ่ายที่ตนเองสังกัด ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐทั้งสามคนเข้ากลุ่มของเฟิ่งชิวหรัน เมื่อแบ่งกลุ่มเรียบร้อย ทุกคนก็พร้อมเดินหน้าต่อ ก่อนที่จะแยกย้ายไปตามทางของตนเอง ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็พูดเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง

“ทุกคนจงเตรียมใจให้พร้อมเสมอ แม้ว่ายันต์จะถูกออกแบบมาเพื่อใช้เคลื่อนย้ายพวกเจ้าออกจากเรือรบ แต่ก็อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ทำให้ใช้ไม่ได้ผลก็เป็นได้ ข้อมูลที่รวบรวมมาได้จากการสำรวจเรือรบเมื่อหลายวันก่อน บ่งชี้ว่าการเข้าไปยังอาณาเขตเรือรบของตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นยากลำบากมาก มีผู้เคยพยายามเข้าไปได้สำเร็จ แต่ก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมาอีกครั้ง

“นี่เป็นระบบป้องกันตนเองของเรือรบตระกูลไม่รู้สิ้น ด้วยเหตุนี้ หากพวกเจ้าคนใดเข้าไปไม่ได้และถูกดีดออกจากเรือ จงมารวมตัวกันที่นี่ เราจะมาคุยกันใหม่ว่าจะทำสิ่งใดเป็นการต่อไป”

บทที่ 631 เสียงเรียกขอความช่วยเหลือ!
เรือรบยักษ์ที่สร้างมาจากแผ่นวงแหวนสามแผ่นที่แยกออกจากกันอย่างเป็นเอกเทศ ลอยขึ้นจากทะเลเพลิงภายในบริเวณตัวดาบ และพุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยพลังล้นเหลือของกระบี่ที่ทรงพลัง โดยเป้าหมายอยู่ที่บริเวณด้ามดาบ ในขณะที่หลี่อู๋เฉินและโจวเหมยกำลังเข้าพิธีมงคลสมรสบนเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล

หลังจากที่ได้รับพรจากหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันเป็นที่เรียบร้อย เหล่าผู้ร่วมงานทั้งจากสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐก็พากันชื่นชมยินดีกึกก้อง แม้กระทั่งผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมพิธียังได้ยินเสียงหัวเราะด้วยความปีตินั้น ดังมาจากจัตุรัสสาธารณะที่ยอดเขาหลัก

ทุกสิ่งทุกอย่างในห้วงเวลานั้นดูแสนสมบูรณ์แบบ ต้นไฮยาซินปลิวพลิ้วไหวไปตามสายลมอ่อน ทั่วทั้งสำนักอาบไล้ไปด้วยความสงบสุขและความชมยินดี

ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสำนักวังเต๋าไพศาลได้บ้างแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีอย่างเครือข่ายวิญญาณ ระบบการกู้ยืมเงินตรา และกิจกรรมใหม่ๆ มากมาย ที่ทำให้ศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลคุ้นเคยกับวิถีชีวิตของชาวโลกมากขึ้น ทัศนคติที่พวกเขามีต่อคนจากสหพันธรัฐก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นกัน

สถานะของหวังเป่าเล่อในสำนักถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ด้วยเช่นกัน เขามีอำนาจอย่างเต็มเปี่ยมในสำนักวังเต๋าไพศาล ยกเว้นว่าเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายขึ้นจริงๆ

หากวิถีชีวิตของผู้คนจากทั้งสองโลกยังดำเนินไปเช่นนี้ ภายในเวลาสิบปี จะต้องเกิดการดองกันของผู้คนจากทั้งสองสำนัก เพื่อสร้างชนรุ่นหลังที่มีสายเลือดจากทั้งสองฝ่ายขึ้นมากมายอย่างแน่นอน การควบรวมอาณาจักรก็จะสมบูรณ์แบบแนบสนิท จนแยกสหพันธรัฐออกจากสำนักวังเต๋าไพศาลไม่ได้อีกต่อไป ข้อตกลงระหว่างเฟิ่งชิวหรันและหลี่ซิงเหวินก็จะถือว่าบรรลุเสร็จสิ้น

สัมพันธมิตรนี้จะทำให้อารยธรรมการฝึกตนของสหพันธรัฐก้าวหน้าไปอย่างมั่นคง และช่วยให้พัฒนาได้เร็วขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อารยธรรมของสหพันธรัฐจะรุดหน้าไปอีกอย่างแน่นอน…

นั่นคือเป้าหมายของสหพันธรัฐ และก็เป็นเป้าหมายของหวังเป่าเล่อด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้คำอวยพรของเขาที่มอบให้หลี่อู๋เฉินและโจวเหมยในวันมงคลสมรสของทั้งสองนั้น จึงเป็นถ้อยทำที่จริงใจ พร้อมด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่แน่นอนว่าเขาเองก็มีบางสิ่งที่ทำให้รู้สึกเสียใจอยู่เช่นกัน

หวังเป่าเล่อเองก็เป็นชายในวัยหนุ่มที่ยังไม่ได้ออกเรือน ไร้ซึ่งคู่ครอง สายตาของเขากวาดมองไปท่ามกลางฝูงชนอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนหยุดลงที่เจ้าเยี่ยเหมิง

เจ้าเยี่ยเหมิงกำลังยิ้มกว้าง ดวงตาสว่างเจิดจ้าด้วยความปิติยินดีต่อคู่แต่งงานใหม่ กระนั้นบนใบหน้าก็ยังมีความรู้สึกอิจฉาปนอยู่เล็กน้อยเช่นกัน นางรู้สึกได้ถึงสายตาของหวังเป่าเล่อที่กำลังมองมา เจ้าเยี่ยเหมิงเอาผมที่ถูกลมอ่อนพัดปลิวไสวกลับมาทัดหู ดวงตาระยิบระยับของนางสบเข้ากับดวงตาของหวังเป่าเล่อ

นางยิ้มเมื่อสายตาประสานกับชายหนุ่ม หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นแรงขึ้นอย่างบอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะเหตุใด จนทำให้เขาต้องเอื้อมมือไปลูบพุงตนเองตามนิสัยเดิม…

ท่าทีนั้นทำให้มนต์สะกดหายไปทันที เจ้าเยี่ยเหมิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่ออีก ส่วนหวังเป่าเล่อเองก็ดูเหมือนอายเช่นกัน เขากำลังจะเดินเข้าไปหาเจ้าเยี่ยเหมิงเพื่อพูดบางสิ่ง ในตอนนั้นเองโจวเหมยและหลี่อู๋เฉินที่กำลังอยู่ระหว่างดื่มคารวะกับผู้ร่วมงาน ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขาพอดิบพอดี

“ท่านเจ้าสำนัก…” โจวเหมยดื่มสุราเข้าไปเล็กน้อย แก้มของนางจึงเป็นสีแดงปลั่ง ดวงตามองหวังเป่าเล่อด้วยความเคารพนับถือปนความรู้สึกขอบคุณ นางโค้งคำนับเขาก่อนยื่นแก้วเมรัยให้

หลี่อู๋เฉินยืนอยู่ข้างๆ ความรู้สึกของเขาต่อหวังเป่าเล่อยังคงสับสนปนเประหว่างขั้วบวกและขั้วลบ แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกขอบคุณหวังเป่าเล่อที่กล้าตัดสินใจ และสนับสนุนความรักของเขาเช่นกัน ชายหนุ่มจึงสูดหายใจเข้าลึกและรินเหล้าให้เสียจนปริ่มเต็มแก้ว

หวังเป่าเล่อชะงักกลางคัน มองคู่สมรสใหม่ตรงหน้า ก่อนจะหันไปมองโจวเหมย ความทรงจำของนางในฐานะเด็กสาวตัวน้อยที่สำนักหมอกเขาแห่งเต๋าผุดขึ้นในใจ เขาหันไปหาหลี่อู๋เฉิน หัวใจเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดีและความชื่นใจ ก่อนหยิบแก้วสุรามาและเอ่ยด้วยท่าทีขำๆ “เหมยเอ๋อร์ เจ้าจะเรียกข้าว่าอาจารย์ก็ได้นะ”

โจวเหมยเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อด้วยความตื่นเต้นที่ทอแสงแรงกล้าอยู่ในดวงตา นางถือว่าหวังเป่าเล่อเป็นอาจารย์ของนางตั้งนานแล้ว และไม่ใช่นางเพียงคนเดียว ศิษย์รุ่นแรกเริ่มทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อเป็นคนประสาทวิชาให้ด้วยตนเองก็คิดเช่นเดียวกัน กระทั่งศิษย์รุ่นต่อมาที่ไม่ได้รับการสั่งสอนจากหวังเป่าเล่อโดยตรงยังเคารพยกย่องเขาไม่เสื่อมคลาย อันเป็นความจริงที่จะคงอยู่ตลอดไปในทุกรุ่นของสำนักหมอกเขาแห่งเต๋า หลังจากที่หวังเป่าเล่อก้าวขึ้นดำรงตำแห่งเจ้าสำนัก

โจวเหมยหายใจเข้าลึก ก่อนคารวะหวังเป่าเล่ออีกครั้ง

“ข้าขอคารวะท่านอาจารย์เจ้าค่ะ!”

เมื่อผู้ฝึกตนจากทั้งสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลเห็นโจวเหมยคารวะหวังเป่าเล่อ และเรียกเขาว่าท่านอาจารย์ ทุกคนก็มองนางเปลี่ยนไปในทันที สำนักวังเต๋าไพศาลให้ความสำคัญกับจารีตประเพณีเป็นอันมาก การที่โจวเหมยเรียกหวังเป่าเล่อว่าท่านอาจารย์นั้น แปลว่าสถานะของนางในสำนักวังเต๋าไพศาลนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว

บัดนี้ถือว่านางเป็นศิษย์เอกแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล และเป็นศิษย์เอกคนแรกของหวังเป่าเล่อ!

นี่ถือเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง!

หวังเป่าเล่อยิ้มให้หลี่อู๋เฉินท่ามกลางความตกใจและความอิจฉาของฝูงชน หลี่อู๋เฉินรู้ดีว่าเรื่องนี้สำคัญกับโจวเหมยอย่างไร แม้เขาจะรู้สึกสองจิตสองใจกับหวังเป่าเล่อเนื่องจากความไม่ลงรอยกันในอดีต แต่ความรู้สึกนั้นก็หายไปในทันที เมื่อหันกลับมามองผู้อาวุโสสูงสุดตรงหน้าอีกครั้ง เขาก็หายใจเข้าลึกก่อนคารวะด้วยการโค้งคำนับต่ำตามโจวเหมย

หวังเป่าเล่อยิ้ม เขาดื่มสุราจนหมด ก่อนวางแก้วลงและกำลังจะเอื้อนเอ่ย…แต่บางสิ่งก็ชิงเกิดขึ้นเสียก่อน!

ท้องฟ้าที่สร้างมาจากอำนาจของวงแหวนปราณที่เคยสดใสพลันแปรเปลี่ยน สายฟ้าฟาดกระหน่ำเหนือสำนักในบัดดล!

เปรี้ยง!

สายฟ้าพิโรธนั้นทำให้สวรรค์และผืนดินสั่นสะเทือน หวังเป่าเล่อสะดุ้ง ส่วนสีหน้าของเฟิ่งชิวหรันก็เต็มไปด้วยความตกใจเช่นกัน สานุศิษย์รอบกายพวกเขาตาเบิกกว้าง สีหน้างุนงง ความรู้สึกไม่สบายใจก่อตัวขึ้นภายใน ทุกคนรู้สึกได้ถึงลางร้ายที่กำลังคืบคลานเข้าใกล้

“เสียงอะไรกัน”

“เกิดอะไรขึ้นกันนี่”

เสียงอุทานด้วยความตกใจดังก้องไปทั่วบริเวณ ท้องฟ้าเบื้องบนเรื่องบิดเบี้ยว สายฟ้ายังคงฟาดกระหน่ำไม่หยุดและทวีความดังขึ้นเรื่องๆ พื้นดินสั่นไหวจนทำให้สำนักสะเทือน ทะเลเพลิงเดือดด้วยความโกรธเกรี้ยว!

ท้องฟ้าและปฐพีแปรเปลี่ยน ลมพายุซัดโหมหวีดหวิว เมฆเคลื่อนย้อนกลับ

ภาพนี้ทำให้ทั้งสำนักตกใจโกลาหล หลายคนที่ไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงาน เหาะออกจากถ้ำที่พักเพื่อสังเกตการณ์ด้วยสีหน้าตกใจ เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็เช่นกัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนหันไปมองยังทิศทางที่เป็นตัวดาบในทันที!

หวังเป่าเล่อหายใจถี่ รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติขณะมองไปรอบกาย ในตอนนั้นเอง…พายุหมุนก็โหมเข้ามาจากอากาศธาตุ ดูเหมือนว่าจะมาจากทางตัวดาบ ทางใดที่มันเคลื่อนผ่าน ทะเลเพลิงก็ระอุขึ้นเป็นระรอก จนทำให้เกิดการระเบิดปะทุขึ้นมากมาย เสียงระเบิดนั้นดังมาแต่ไกล ไล่เข้ามาเรื่อยๆ ตลอดทางที่พายุหมุนพัดผ่าน ทะเลเพลิงปั่นป่วนบ้าคลั่ง ก่อให้เกิดเป็นเสียงอึกทึกน่าหวาดหวั่นที่ทำให้หัวใจของทุกคนเย็นวาบด้วยความกลัว!

สีหน้าของทุกคนในสำนักตกใจถึงขีดสุด ก่อนที่จะทันได้ทำอะไร เสียงที่ชรามากเหลือก็ดังวังเวงมาจากระยะไกล ลอยมาตามสายลมที่พัดโหมเข้ามายังตัวสำนัก!

“ช่วยข้าด้วย… ช่วยข้าที…”

เสียงนั้นดังไปทั่วสำนัก เฟิ่งชิวหรันที่กำลังตกใจกับภาพตรงหน้าตัวสั่นอย่างรุนแรง สีหน้าของนางเปลี่ยนไปในแบบที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ราวกับกำลังจะสติหลุดสิ้นสติ!

“ท่านพ่อ”

เฟิ่งชิวหรันรู้จักเสียงนั้นดีกว่าใคร เสียงบิดาของนางผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้สิ้นชีพลงระหว่างการรบพุ่งบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ขณะกำลังท่องอวกาศหนีตาย บิดาของนางเสียชีวิตลงด้วยน้ำมือของตระกูลไม่รู้สิ้น!

“ท่านอาจารย์ลุงหรือ” เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็จำได้เช่นกัน ความตกใจวาบผ่านใบหน้าขณะที่หันไปมองเฟิ่งชิวหรัน ทั้งสองมองเห็นแววความไม่อยากเชื่อในสายตาของกันและกัน

เฟิ่งชิวหรันหายใจหอบ นางรีบกระโจนออกไปยังทางที่เสียงลอยมาทันทีโดยไม่ลังเล

“ผู้อาวุโสเฟิ่ง รอก่อน!” เมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันอาจคิดไม่เหมือนกัน แต่ตัวเมี่ยเลี่ยจื่อนั้นจงรักภักดีต่อสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างมั่นคงไม่เสื่อมคลาย เฟิ่งชิวหรันกำลังตัดสินใจวู่วามไร้เหตุผล แต่เขาก็หยุดนางเอาไว้ไม่ทัน เขากัดฟันก่อนตัดสินใจตามนางไปทันที!

โยวหรันเองก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน เขารีบรุดตามผู้อาวุโสทั้งสองไปจนลับสายตา!

ทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ก่อนที่จะมีใครได้ทันตั้งตัว ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามก็จากไปสุดขอบฟ้าเสียแล้ว

สีหน้าของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ประมุขสำนักสวี ต้นไม้ยักษ์ และผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จากทั้งสองสำนักก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน ทุกคนรู้สึกได้…ว่าเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น!

ณ เขตแดนที่กั้นระหว่างตัวดาบและด้ามดาบ เสียงระเบิดยังคงดังกึกก้องต่อเนื่องพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน เรือรบยักษ์ฝ่าแนวกั้นเข้ามาได้สำเร็จ ครึ่งหนึ่งของตัวเรือปรากฏขึ้นที่บริเวณด้ามดาบ ตัวกำแพงกั้นนั้นเริ่มมีรอยร้าว แม้จะไม่ได้สลายลงในทันที แต่เสียงปริแตกที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้พอเดาได้ว่าอีกไม่นานนักกำแพงนี้จะสลายหายไปอย่างแน่นอน

เรือรบหยุดเดินหน้าต่อในตอนนั้น มันลอยอยู่เหนือตะเข็บ ท่ามกลางกำแพงกั้นที่ปกป้องบริเวณด้ามดาบให้ปลอดภัยจากอันตรายภายในตัวดาบ เสียงชราแหบพร่าอ่อนแรงยังคงลอยออกจากในตัวเรืออย่างไม่หยุดยั้ง

“ช่วยข้าด้วย… ช่วยข้าที…”

เสียงชราลอยวนอยู่ในอากาศ รอยแตกของกำแพงก่อให้เกิดพายุหมุนรอบตัวเรือ พายุหมุนนั้นเริ่มบุกตะลุยเข้าไปยังบริเวณตัวดาบในทันที…

บทที่ 630 ปรากฏตัวครั้งแรก!
หลี่อู๋เฉินตกอยู่ในภวังค์เมื่อได้ยินประโยคนั้น ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างขณะมองหน้าหวังเป่าเล่อเหมือนโดนสะกดจิต ก่อนจะหันไปมองโจวเหมยและเห็นว่านางยังถูกผนึกอยู่จึงตอบกลับไม่ได้

ชายหนุ่มไร้ผมนิ่งอึ้งอยู่นานสองนาน หวังเป่าเล่อมองสีหน้าตกใจของเขาอย่างสงบนิ่งและพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย “ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นคนเลวที่กระทำผิดต่อเนื้อคู่แห่งเต๋าของตน วันรุ่งขึ้นเขาก็ได้รับผลกรรมเป็นความตาย”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่อู๋เฉินก็กลืนน้ำลายดังเอื๊อก ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากรับคำเสนอนี้ เพราะอาการตื่นเต้นเมื่อก่อนหน้าก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าชายหนุ่มคิดอย่างไร แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนไม่ทันตั้งตัว เมื่อกลายเป็นรูปนี้ไปแล้ว เขาก็จะไม่รีรออีกต่อไป หลี่อู๋เฉินทำมือคารวะพร้อมโค้งตัวลงต่ำให้หวังเป่าเล่อ

“ศิษย์คนนี้ขอรับข้อเสนอ!”

หวังเป่าเล่อพอใจเป็นอันมากที่หลี่อู๋เฉินแทนตนเองว่าเป็นศิษย์เขา ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังโจวเหมยเพื่อปล่อยนางออกจากผนึก ก่อนถามลูกศิษย์หญิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เหมยเอ๋อร์ เจ้าก็ตกลงเช่นกันหรือไม่”

โจวเหมยอายหน้าแดง นางก้มหน้าลงตอบด้วยเสียงเบาแต่ชัดเจน

“ข้ายินดีรับบัญชาของท่านเจ้าสำนักเจ้าค่ะ”

หวังเป่าเล่อส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเขาจะได้ประโยชน์จากการจับคู่นี้ แต่ความสุขที่เกิดขึ้นในใจจากการเห็นลูกศิษย์ของตนเองเป็นฝั่งเป็นฝานั้น ยิ่งใหญ่กว่าความรู้สึกพอใจจากการได้รับประโยชน์ส่วนตนมากนัก

“เช่นนั้นก็ตกลง พวกเจ้าทั้งสองกลับไปได้ ข้าขอให้พวกเจ้ารอรับข่าวสารจากข้า ในฐานะศิษย์พี่ ข้าจะจัดการเรื่องพิธีให้เจ้าทั้งสองเอง” หวังเป่าเล่อยิ้มก่อนโบกมือเชิญให้คู่หมั้นทั้งสองจากไป

หลี่อู๋เฉินเริ่มตระหนักแล้วว่าอนาคตของเขากำลังจะเปลี่ยนไป และกำลังตื่นเต้นดีใจกับชีวิตใหม่นี้เป็นอันมาก เขาหันไปมองโจวเหมยที่แก้มแดงปลั่งและมองกลับมาที่ขา ทั้งสองมองตากัน รู้สึกได้ชัดถึงความสุขที่เอ่อล้นในดวงตาของอีกฝ่าย

“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสสูงสุด!” ชายหนุ่มไร้ผมหายใจเข้าลึกก่อนโค้งคำนับต่ำด้วยความสุขที่มากล้นและความเคารพสูงสุด ชายหนุ่มรู้สึกขอบคุณหวังเป่าเล่อเป็นอันมาก เรียกได้ว่าหวังเป่าเล่อได้ชนะใจเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โจวเหมยเองก็เตรียมตัวจากไปพร้อมกัน หวังเป่าเล่อได้แต่ถอนหายใจขณะมองทั้งสองที่กำลังเดินจากไป

ถึงหลี่อู๋เฉินจะเป็นไอ้งี่เง่าที่ทำข้าปวดหัวมาหลายรอบ แต่ก็ยังเป็นคนจิตใจดี ข้าหวังว่าทั้งสองจะครองคู่กันไปชั่วชีวิต ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนหันไปส่งสัญญาณให้ต้นไม้ยักษ์จากไปเช่นกัน

บัดนี้ในโถงไม่เหลือผู้ใดอยู่แล้วนอกจากเขา หวังเป่าเล่อนั่งลงอีกครั้ง และเริ่มคิดถึงงานแต่งงานของหลี่อู๋เฉินและโจวเหมย สิ่งแรกที่เขานึกถึงคือปฏิกิริยาของเฟิ่งชิวหรันเมื่อนางทราบข่าว

แต่เฟิ่งชิวหรันก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเข้ามายุ่งได้… นอกเสียจากว่านางจะประกาศตัวตนที่แท้จริงของหลี่อู๋เฉินให้ทุกคนทราบ เมื่อตระหนักว่าตนเองต้องเป็นคนจัดงานแต่งงาน เขาก็ยกแหวนสื่อสารขึ้นออกคำสั่งในทันที นอกจากนี้ยังใช้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเพื่อถามความคิดเห็นของหลี่ซิงเหวินอีกด้วย

สหพันธรัฐตอบรับข้อความของหวังเป่าเล่อด้วยความสำคัญสูงสุด และมีการพูดคุยเรื่องนี้กันหลายครั้ง หลี่ซิงเหวินยังติดต่อบิดามารดาของโจวเหมยเองอีกด้วย!

นอกจากนี้สหพันธรัฐยังส่งแผนการถัดไปโดยละเอียดในการควบรวมสหพันธรัฐกับสำนักวังเต๋าไพศาล สหพันธรัฐอนุญาตให้สำนักวังเต๋าไพศาลส่งผู้ฝึกตนจำนวนสามสิบคนมายังโลกเพื่อแลกเปลี่ยนการฝึกปราณ ระดับพลังปราณของกลุ่มแรกนี้ต้องอยู่ต่ำกว่าระดับจุติวิญญาณ และหลี่ซิงเหวินจะเป็นผู้นำของกลุ่มนี้ สหพันธรัฐยังหวังว่าสำนักวังเต๋าไพศาลจะนำเมล็ดต้นไฮยาซินติดมาด้วย เมล็ดนี้จะถูกปลูกบนโลกเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพันธมิตรที่สมบูรณ์แข็งแรง

หลังจากที่ได้รับแผนจากบ้านเกิด หวังเป่าเล่อก็นำเรื่องนี้ไปปรึกษาประมุขสำนักสวี ต้นไม้ยักษ์ และเจ้าเยี่ยเหมิงในทันที เจ้าเยี่ยเหมิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเมื่อทราบว่าหวังเป่าเล่อทำตัวเป็นพ่อสื่อ แต่ก็ไม่ได้ออกความเห็นอะไรมากมายนักเกี่ยวกับเรื่องนี้

ทั้งสี่พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเรื่องแผนการของสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อเองก็เสนอความคิดตนเองเช่นกัน

“ในช่วงแรกของปฏิบัติการ เราอาจตั้งกลุ่มพันธมิตรชื่อเครือจักรภพแห่งเต๋า โดยมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์สองแห่ง โลกจะมีชื่อว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสหพันธรัฐ ส่วนแห่งที่สองคือกระบี่สำริดเขียวโบราณ อันจะมีชื่อเรียกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เต๋าไพศาล ส่วนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ นั้นเราจะเรียกว่าแคว้น โดยอยู่ในการควบคุมของเครือจักรภพแห่งเต๋า”

ข้อเสนอนี้เป็นเพียงความคิดคร่าวๆ เท่านั้น และเป็นผลของการกรั่นกรองจากประสบการณ์การเป็นผู้อาวุโสสูงสุด หลังจากที่ปรึกษาหารือกันเรียบร้อย พวกเขาก็ตัดสินใจส่งแผนการนี้กลับไปให้สหพันธรัฐ เพื่อให้มันสมองของสหพันธรัฐช่วยประเมินความเป็นไปได้

เนื่องจากส่งข้อความกลับไปไม่ได้ การสื่อสารเดียวที่พวกเขาทำได้คือการส่งแผ่นหยกผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย จึงต้องใช้เวลาถึงเจ็ดวัน

ข้อเสนอนี้เตะตาสหพันธรัฐเป็นอันมาก เนื่องจากทางสหพันธรัฐเองก็คิดเอาไว้เช่นกัน เพียงแต่ยังไม่พร้อมตั้งเครือจักรภพเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ความคิดนี้จึงยังเป็นได้แค่ความคิดต่อไป แต่ส่วนของงานแต่งงานระหว่างหลี่อู๋เฉินและโจวเหมยนั้น หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉือยินดีให้เดินหน้าต่อไปได้!

ข่าวการสมรสระหว่างเนื้อคู่แห่งเต๋าจากสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาล ค่อยๆ แพร่กระจายไปในสำนักในหลายวันต่อมา เฟิ่งชิวหรันตกใจในตอนแรกเมื่อทราบข่าว แต่หลังจากที่ลังเลอยู่สักพัก นางก็เลือกยอมรับสายสัมพันธ์นี้

ความเงียบอันหมายถึงการยินยอมของนาง แปลว่าแผนการนี้ไร้อุปสรรคอีกต่อไป ประมุขสำนักสวีทราบดีว่างานสมรสจะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่ง ในการกระชับสัมพันธ์ระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลให้แน่นแฟ้นขึ้น นอกจากนี้ด้วยความที่โจวเหมยเป็นศิษย์ของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจึงเข้ามายุ่งเกี่ยวในการเตรียมงานด้วย

อีกหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป งานแต่งงานจัดในวังเต๋าไพศาล โดยมีผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐทุกคนเป็นสักขีพยาน รวมถึงผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลคนอื่นๆ ด้วย โดยมีประธานฝังสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นเฟิ่งชิวหรัน!

นี่เป็นวันสำคัญของหลี่อู๋เฉินและโจวเหมย รวมถึงยังเป็นวันที่อยู่ในความทรงจำของทั้งสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาล จิตใจของเฟิ่งชิวหรันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย นางรู้ดีว่าแท้จริงแล้วหลี่อู๋เฉินเป็นใคร และเป็นนางเองที่เลือกส่งเขาไปยังสหพันธรัฐเพื่อความปลอดภัย ในตอนนี้นางกำลังมองดูเขาเข้าพิธีสมรสกับเนื้อคู่แห่งเต๋าของตน เฟิ่งชิวหรันรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อเป็นพ่อสื่อให้ทั้งสอง แต่หลังจากที่คิดดูถี่ถ้วนแล้วนางก็เลือกปล่อยให้มันเกิดขึ้น และเลือกมายืนอยู่เคียงข้างหวังเป่าเล่อในพิธี เพื่อเป็นพยานในการเริ่มต้นชีวิตคู่ของทั้งสอง!

ศิษย์แห่งเต๋าไพศาลอู๋เฉิน ข้าหวังว่าชาตินี้ของท่านจะมีความสุขมากกว่าชาติที่ผ่านมานะ เฟิ่งชิวหรันมองผ่านฝูงชนไปยังหลี่อู๋เฉินในชุดสีแดง ผู้ที่กำลังกุมมือโจวเหมยเอาไว้ ดวงตาของเขาเป็นประกายสดใสด้วยความตื่นเต้นและความสุขที่เอ่อล้นจนปิดไม่มิด นางมองทั้งสองเดินมาหานางและหวังเป่าเล่อ เพื่อหยุดทำความเคารพพวกเขา แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนกำลังสูญเสียบางสิ่งไป

ความทรงจำจากสมรภูมิรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดผุดขึ้นในใจนาง สงครามที่อุบัติขึ้นในครั้งที่กระบี่สำริดโบราณหลบหนีออกจากระบบจักรพิภพไพศาล ขณะถูกไล่ล่าโดยตระกูลไม่รู้สิ้น อันทำให้ทิศทางการท่องอวกาศของกระบี่เปลี่ยนไป

แม้สำนักวังเต๋าไพศาลจะชนะในศึกนั้น แต่ก็ยังมาพร้อมราคาแสนแพงที่ต้องจ่าย ตัวกระบี่เสียหายเป็นอย่างมาก เหล่าผู้อาวุโสก็บาดเจ็บสาหัสจนเข้าสภาวะนิทรา ส่วนศิษย์แห่งเต๋าไพศาลอู๋เฉินนั้นต่อสู้อย่างไม่ลดละ ปราศจากซึ่งความกลัวใดๆ จนบาดเจ็บสาหัสใกล้สิ้นชีวิต ทางเดียวที่จะเยียวยาตนเองได้ คือต้องเกิดใหม่และใช้พลังแห่งการกลับชาติมาเกิด ในการรักษาตนเองให้กลับมาสมบูรณ์แข็งแรงอีกครั้ง

ความทรงจำที่ปรากฏขึ้นนี้ซ้อนทับกับภาพในปัจจุบัน ที่ผู้คนมากมายมาร่วมแสดงความยินดีกับคู่รักทั้งสอง เฟิ่งชิวหรันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความสูญเสียที่ยังคงรุนแรงอยู่ในใจนาง จนหลี่อู๋เฉินและโจวเหมยเดินมาทำความเคารพตน

หลี่อู๋เฉินกระวนกระวายขึ้นมาทันที โจวเหมยเองก็เช่นกัน ฝูงชนรู้สึกได้ถึงพฤติกรรมแปลกๆ ของเฟิ่งชิวหรัน ทุกคนต่างจ้องไปที่นางอย่างไม่วางตา

แม้จะเห็นสีหน้าประหลาดของเฟิ่งชิวหรันแต่ก็ไม่มีใครอ่านใจนางออก มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่เดาได้จากสีหน้าสับสนของนาง ชายหนุ่มกระแอมก่อนสะกิดเฟิ่งชิวหรัน และจะยื่นมือออกไปเพื่อฉุดให้หลี่อู๋เฉินและโจวเหมยลุกขึ้นยืน

“ข้าขอให้เจ้าทั้งสองมีความสุข”

เฟิ่งชิวหรันเรียกสติตนเองกลับมาได้อีกครั้งเมื่อหวังเป่าเล่อสะกิดให้นางกลับมาอยู่กับปัจจุบัน นางยิ้มออกมาทันทีเมื่อมองไปยังคู่ข้าวใหม่ปลามันที่อยู่ตรงหน้า พร้อมพูดด้วยเสียงอ่อนโยน

“ข้าขอให้เจ้าทั้งสองครองคู่กันจนแก่เฒ่า”

หลังจากที่หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันให้พรคู่สมรสใหม่เรียบร้อย ผู้ฝึกตนทุกคนในวังเต๋าไพศาลระเบิดเสียงยินดีกึกก้อง เหล่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐเองก็เช่นกัน หลี่อู่เฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาไม่ทราบว่าตนเองมีสัมพันธ์ใดกับเฟิ่งชิวหรัน แต่รู้ดีว่านางเป็นผู้ฝากเขาครั้งที่ยังเป็นทารกให้ท่านอาจารย์ของเขาดูแล

หลี่อู๋เฉินเคารพเฟิ่งชิวหรันเช่นเดียวกับที่เขาเคารพหลี่ซิงเหวิน หัวใจของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความหวังเมื่อได้รับพรจากนาง เขากุมมือโจวเหมยเอาไว้แน่น

ไม่มีผู้ร่วมงานมงคลสมรสคนใดล่วงรู้ ว่าในตอนนั้นเองที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ผู้ซึ่งไม่ได้เข้าร่วมงานและกำลังนั่งอยู่ในโถงที่พักของตนเอง ลืมตาขึ้นมาโดยฉับพลัน พร้อมด้วยเปลวไฟสีฟ้าที่โชติช่วงในนัยน์ตาทั้งสองข้าง

“ในที่สุด… การซ่อมแซมก็เสร็จสิ้นเสียที!”

เขาพึมพำ ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมผุดลุกขึ้นยืน โยวหรันเงยหน้าขึ้นมองไปทางตัวดาบ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงระเบิดกึกก้องก็ดังลั่นมาจากทางตัวดาบ พุ่งพรวดขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้สวรรค์และผืนดินสั่นไหว

ทะเลเพลิงเริ่มเดือดคลั่ง บริเวณต้องคำสาปมากมายยุบตัวลง ทำให้ฝูงอสูรเริ่มหนีตายจ้าละหวั่น ขณะที่ทะเลเพลิงกำลังพัดโหมขึ้นลงอยู่นั้น เรือรบหน้าตาประหลาดอันมีแผ่นวงแหวนสามแผ่นที่ปลายแตะกันเป็นสามเหลี่ยม ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากทะเลเพลิงที่โกรธเกรี้ยว!

เรือรบลำมหึมานี้เปรียบราวกับสัตว์ทะเลขนาดยักษ์ ที่ใหญ่มหึมาเสียจนมองไม่ออกว่าท้ายเรืออยู่ที่ใด เมื่อยืนอยู่บนเรือนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นจุดสิ้นสุดของขอบเขตเรือ ทะเลเพลิงที่รายล้อมเรือยักษ์เผาไหม้ทุกสิ่งให้วอดวายกลายเป็นธุลี!

แผ่นวงแหวนที่เป็นรากฐานของเรือนั้น แต่ละอันมีขนาดเท่าดวงจันทร์ เป็นโลกสามใบที่แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง ต่างหมุนรอบตนเองและส่องแสงสว่างจ้า พร้อมด้วยบรรยากาศความพิศวงที่แผ่ออกมา พื้นผิวของเรือเป็นสีดำสลักด้วยอักขระโบราณเรียงกันเป็นแถว พลังอำนาจมหาศาลแผ่กระจายออกจากเรือยักษ์พุ่งขึ้นไปในอากาศ

เรือยักษ์ลึกลับพุ่งขึ้นจากทะเลเพลิง ตรงเข้าหาเขตแดนที่คั่นกลางระหว่างตัวดาบและด้ามดาบในทันที!

คำสาปมากมายระเบิดสลายกลายเป็นธุลีทันทีที่เข้าปะทะกับเรือรบยักษ์ ขุนเขาแหลกสลายกลายเป็นผุยผง เรือยักษ์สีดำอัดแน่นด้วยอักขระโบราณแสนขลัง ปล่อยพลังอำนาจรุนแรงทำลายทุกอย่างที่ขวางทางราบเป็นหน้ากลอง!

บทที่ 629 การจัดการสมรส!
เมื่อได้ยินคำสั่งของหวังเป่าเล่อ ต้นไม้ยักษ์ก็รีบรุดออกไปตามหาโจวเหมยทันที ก่อนจะอธิบายสถานการณ์อย่างคร่าวๆ ให้เด็กสาวผู้วิตกกังวลฟัง สีหน้านางเหมือนเด็กที่เพิ่งทำอะไรผิดมา

ต้นไม้ยักษ์รู้ถึงความสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์ของทั้งคู่จึงยืนรออย่างอดทนและไม่ได้เร่งเร้านาง หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่นาน โจวเหมยก็สูดลมหายใจเข้าลึก มีความมุ่งมั่นปรากฏขึ้นบนดวงตาของนางเมื่อนางติดตามต้นไม้ยักษ์ไปยังวังของหวังเป่าเล่อ

เมื่อนางก้าวเข้ามาในวังและมองเห็นหวังเป่าเล่อนั่งอยู่ตรงสุดปลายโถง ความกังวลของโจวเหมยก็พุ่งสูง เมื่อเข้าไปรวมกับความตื่นเต้นและความเคารพที่นางมีต่อหวังเป่าเล่อ ก็ทำให้นางต้องทรุดตัวลงคำนับทักทายเขาทันที

“โจวเหมยผู้ต่ำต้อย คารวะท่านหัวหน้าสาขาเจ้าค่ะ”

หวังเป่าเล่อจ้องมองสตรีวัยเยาว์ตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ โจวเหมยเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ ระดับปราณของนางพัฒนาขึ้นส่งผลให้ร่างกายกำยำที่นางได้รับจากการฝึกทักษะเป่าเล่อดูดกลืนสวรรค์นั้นผอมบางลงอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นความแข็งแกร่งของพลังของนางก็ดูจะเหนือกว่าผู้ฝึกตนในขั้นเดียวกันอยู่มากทีเดียว

สิ่งนี้เป็นผลมาจากทักษะการฝึกปราณที่หวังเป่าเล่อได้สอนพวกเขาไป โจวเหมยไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับประโยชน์จากทักษะนั้น ศิษย์รุ่นดั้งเดิมของชายหนุ่มขณะนี้กระจายกันไปอยู่ตามฝ่ายต่างๆ ในสหพันธรัฐ และความแข็งแกร่งทางกายภาพของพวกเขาก็เหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับปราณขั้นเดียวกันสิ้น และด้วยชื่อเสียงของหวังเป่าเล่อที่ขจรขยายไปไกลขึ้นทุกทีๆ ก็ทำให้บรรดาศิษย์ของเขาก็ยิ่งเคารพเขามากขึ้นในช่วงเวลาหลายปีมานี้

โจวเหมยเองก็เช่นกัน นางทักทายหวังเป่าเล่ออย่างตื่นเต้นและยังเรียกเขาว่าหัวหน้าสาขา ช่างเป็นคำที่ชวนให้รำลึกถึงอดีต ชายหนุ่มทอดถอนใจก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบก ก่อนจะมีพลังอันนุ่มนวลที่ยกตัวนางให้ยืนขึ้นมา

“ไม่เจอกันมาหลายปี เจ้าโตขึ้นมากนะ ข้าเผลอแค่อึดใจเดียว ไม่รู้เลยว่าเจ้าเองก็มาที่สำนักวังเต๋าไพศาลนี้ด้วยหากข้าไม่ได้เห็นชื่อเจ้าเสียก่อน” หวังเป่าเล่อจับจ้องไปยังโจวเหมยพลางถอนหายใจใหญ่ ชายหนุ่มรู้สึกแปลกประหลาด แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้แก่ชรานัก แต่เมื่อมองเห็นศิษย์อยู่ตรงหน้า เขาก็รู้สึกแก่ขึ้นมาถนัดใจ

หรือว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นแตะพุงอย่างเคยตัว ท้องของเขาใหญ่ขึ้นมามากทีเดียว

“หัวหน้าสาขาตอนนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล และกำลังยุ่งเรื่องงานบริหารเป็นอย่างยิ่ง ศิษย์เข้าใจข้อนี้เป็นอย่างดี อันที่จริงแล้ว ศิษย์อับอายเสียจนไม่อาจจะแบกหน้ามาพบท่านหัวหน้าสาขาได้” โจวเหมยกัดริมฝีปากและพูดออกมาแผ่วเบา

ความรู้สึกที่นางมีต่อหวังเป่าเล่อนั้นพิเศษมาก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เหมือนกับบิดาและลูกสาว แต่ก็อาจจะไม่ใช่แค่นั้น หวังเป่าเล่อเป็นอาจารย์ผู้ประสาทวิชาให้ หากไม่มีเขาแล้ว โจวเหมยก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ นางคงจะอ่อนแอและขี้อายเหมือนที่เคยเป็นมา หวังเป่าเล่อได้พลิกชีวิตของนางและเพื่อนร่วมห้องของนางไปตลอดกาล

หวังเป่าเล่อเป็นผู้ที่ได้พร่ำสอนให้พวกเขามั่นใจและรู้ถึงคุณค่าของความสามัคคี ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าการก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเขานั้นพาให้บรรดาศิษย์ที่เขาเคยสอนมารวมตัวกัน พวกเขารวมตัวกันในนามกลุ่มหวังเป่าเล่อ ก่อเกิดเป็นขั้วอำนาจใหม่ที่กระจายตัวกันอยู่ในทุกๆ กรมในสหพันธรัฐ

กลุ่มของพวกเขายังใหม่มาก แต่ทว่าก็ไม่ยากที่จะจินตนาการถึงพลังอำนาจที่มันจะมีในอนาคตเมื่อบรรดาสมาชิกพากันก้าวหน้าไปในอาชีพการงาน!

บรรดารุ่นพี่ต่างก็รวมตัวกันเป็นรากฐานอันสำคัญให้กับสหพันธรัฐ สถานการณ์บนดาวอังคารเองก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเข้มแข็งของพวกเขาได้เป็นอย่างดี!

เพราะเหตุนี้ โจวเหมยจึงเลือกเข้าศึกษาต่อ ณ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์หลังจากที่จบจากสำนักศึกษาเต๋าหมอกเขา แต่ทว่า โชคชะตาก็เป็นเรื่องประหลาดนัก นางไม่รู้เลยว่าวันหนึ่ง นางจะต้องมาตกหลุมรักกับหลี่อู๋เฉิน ผู้ซึ่งเป็นทั้งรุ่นพี่และศัตรูเก่าของนางเอง

และก็เป็นเหตุให้นางอับอายเกินกว่าจะกล้ามาเยี่ยมเยียนหวังเป่าเล่อนั่นเอง!

หวังเป่าเล่อจ้องมองโจวเหมยอย่างครุ่นคิด ชายหนุ่มไม่ได้เปรยเรื่องหลี่อู๋เฉินขึ้นมาในทันที หากแต่เริ่มต้นโดยการไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของโจวเหมยและศิษย์คนอื่นๆ เสียก่อน โจวเหมยเริ่มผ่อนคลายและความกังวลก็เริ่มหายไปอย่างช้าๆ จากนั้นหวังเป่าเล่อจึงเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มว่า

“โจวเหมย เรื่องระหว่างเจ้ากับหลี่อู๋เฉินนั้น…” หวังเป่าเล่อหยุดพูดเพียงเท่านั้น พลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาของโจวเหมย

โจวเหมยเริ่มวิตกกังวลอีกครั้งเมื่อถูกจ้องมอง ขณะที่นางได้ยินคำถามที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำของหวังเป่าเล่อ สีหน้านางก็เริ่มแสดงความตกใจและหวาดหวั่น น้ำเสียงของนางสั่นเครือและตะกุกตะกักเมื่ออ้าปากตอบ

“หัวหน้าสาขาเจ้าคะ…ข้า…เรื่องนี้นั้น…”

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อหม่นหมองลง ขณะที่โจวเหมยก็เริ่มกังวลจนตัวสั่น ชายหนุ่มเริ่มคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก่อนจะถามขึ้นมาปุบปับ

“หลี่อู๋เฉินสร้างปัญหาให้เจ้าเมื่อเจ้าเข้าสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วใช่หรือไม่ เขาทำเรื่องเลวทรามกับเจ้าใช่หรือไม่ ต้องใช่แน่ๆ เจ้าหลี่อู๋เฉินคนนี้ กล้าดีอย่างไร!” หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นทุบที่พักแขนบนเก้าอี้ ก่อนจะปล่อยรัศมีน่าสะพรึงกลัวออกมา จากนั้นจึงตะโกนสั่งการไปยังต้นไม้ยักษ์ ผู้ซึ่งยืนรออยู่ตรงมุมห้องด้านหนึ่ง

“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ โปรดไปเชิญตัวหลี่อู๋เฉินมาพบข้าเดี๋ยวนี้เถิด!”

“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ!” ใบหน้าของโจวเหมยซีดเผือดลงก่อนที่ต้นไม้ยักษ์จะได้พูดอะไร นางเดินโซเซออกมาข้างหน้าอย่างเร่งรีบ น้ำตารื้นขึ้นมาในดวงตาทั้งสองที่เปี่ยมไปด้วยความกลัวและวิตกกังวล เห็นได้ชัดว่านางลำบากใจอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อเองก็มองเห็น จึงถอนหายใจครั้งหนึ่ง ก่อนจะยกมือเป็นเชิงบอกให้ต้นไม้ยักษ์รออยู่ก่อน จากนั้นจึงยกมือขึ้นถูหน้าผากพลางจ้องมองไปทางโจวเหมย ผู้ซึ่งขณะนี้กำลังยืนคอตก

พักใหญ่ต่อมา หวังเป่าเล่อจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“โจวเหมย บอกข้ามาเสีย เจ้ามีใจให้หลี่อู๋เฉินจริงหรือไม่ เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าอยากจะเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของเขา”

“เลิกพยายามปิดบังความจริงจากข้าเสียที หากเจ้าคิดเช่นนั้น ก็ขอให้เป็นไปตามนั้น แต่หากไม่ ก็คือไม่” น้ำเสียงของหวังเป่าเล่อสูญเสียความดุร้ายที่เคยมีไปสิ้น ราวกับว่าเขากลับไปเป็นหัวสาขาแห่งสำนักศึกษาเต๋าหมอกเขาอีกครั้งหนึ่งก็ไม่ปาน

โจวเหมยหน้าแดงก่ำ ก่อนจะก้มศีรษะลงใคร่ครวญ ไม่นานนักก็ตอบขึ้นมาอย่างเอียงอายว่า

“ใช่เจ้าค่ะ!”

หวังเป่าเล่อเงียบงันไป จากนั้นจึงโคลงศีรษะและยิ้มออกมา เมื่อทั้งคู่ต่างก็มาสานสัมพันธ์กันโดยสมัครใจ ก็ไม่มีความจำเป็นให้เขาต้องตามดูทั้งคู่อีกต่อไป พวกเขาจะได้มาเป็นคู่ครองกันในอนาคตเป็นแน่

การแทรกแซงของหวังเป่าเล่อก็จะทำให้ความสัมพันธ์นี้เป็นทางการเร็วขึ้น ในฐานะศิษย์แห่งเต๋าแล้ว หากหลี่อู๋เฉินเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋ากับคนจากสหพันธรัฐ ก็จะยิ่งทำให้สถานะพันธมิตรระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีก

แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาทั้งคู่มีใจให้แก่กันจริง เพราะว่าคงจะไม่มีความหมายแต่อย่างใดหากคนใดคนหนึ่งไม่เต็มใจ

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็จ้องมองโจวเหมยอยู่อีกพักใหญ่ก่อนจะสรุปว่านางเองก็มีใจให้หลี่อู๋เฉินจริง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจได้และพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ โปรดไปเชิญตัวหลี่อู๋เฉินมาที่นี่เถิด”

โจวเหมยดูกังวล แต่น้ำเสียงที่สุภาพขึ้นขอหวังเป่าเล่อก็ทำให้นางโล่งใจได้บ้าง นางยังคงหลุบศีรษะลงต่ำและยืนนิ่งเงียบอยู่ที่เดิม หัวใจของนางเต้นไม่เป็นส่ำ นางเป็นสตรีที่หลักแหลมนัก และนางรู้ดีว่าหัวหน้าสาขาของนางกำลังจะทำสิ่งใด

หวังเป่าเล่อต้องรับบทพ่อสื่อเป็นครั้งแรก ช่างเป็นประสบการณ์ที่น่ารื่นรมย์เสียจริง ชายหนุ่มยิ้มแย้มและเย้าแหย่โจวเหมยอยู่เป็นครั้งคราว จากนั้นจึงชวนนางคุยเรื่องจินตั้วจื่อ เขาประหลาดใจที่ได้รู้ว่าจินตั้วจื่อไม่ได้กลับไปที่กลุ่มไตรจันทราหลังจากเรียนจบ แต่กลับเลือกไปอยู่กับกองทัพบนฐานที่มั่นบนดวงจันทร์แทน

ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ต้นไม้ยักษ์ผู้ขยันขันแข็งจะเดินนำหลี่อู๋เฉินเข้ามายังวังของหวังเป่าเล่อ หลี่อู๋เฉินไม่ได้อยากมา แต่ต้นไม้ยักษ์บอกเขาว่าโจวเหมยรอเขาอยู่ ชายหนุ่มจึงได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินตามมาอย่างเสียไม่ได้

ทันทีที่เขาเข้ามาถึงโถง ชายหนุ่มก็มองเห็นหวังเป่าเล่อนั่งอยู่ที่ปลายฝั่งหนึ่ง พลางพูดคุยกับโจวเหมยอย่างสุขใจ ภาพนั้นทำเอาหัวใจของเขาเต็มตื้นไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย หลี่อู๋เฉินรู้ดีว่าโจวเหมยเป็นลูกศิษย์ของหวังเป่าเล่อ เขายังรู้อีกด้วยว่าคงไม่มีทางซ่อนความสัมพันธ์นี้จากหวังเป่าเล่อได้เป็นแน่

ความอับอายและความบาดหมางในอดีตของทั้งคู่ทำให้หลี่อู๋เฉินทั้งกังวลทั้งกระอักกระอ่วนใจไปหมด ทันทีที่เขาเดินเข้ามาในห้องโถงและก่อนที่จะได้เอ่ยทักทาย สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ชายหนุ่มกล่าวอย่างเย็นชาว่า “หลี่อู๋เฉิน ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าและโจวเหมยจะต้องจบลงวันนี้ ข้าขอเตือนไม่ให้เจ้ามาตอแยกับศิษย์ของข้าอีกต่อไป หาไม่แล้ว ข้าจะสังหารเจ้าเสีย!” ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ โจวเหมยก็มีสีหน้าตกใจเป็นอย่างยิ่ง

“หัวหน้าสาขา ท่าน…”

หลี่อู๋เฉินชะงัก ลมหายใจของเขาเริ่มหนักหน่วงและสีหน้าก็เริ่มซีดขาว จากนั้น เมื่อมองเห็นหน้าโจวเหมยและได้ยินสิ่งที่นางพยายามจะพูด หลี่อู๋เฉินก็รู้สึกมีกำลังวังชาอย่างประหลาด เขาเลิกประหม่าและวิตกก่อนจะก้าวออกไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ ประกายความท้าทายฉายกล้าอยู่ในแววตา

“ผู้อาวุโสหวัง เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างเหมยเอ๋อร์กับตัวข้า ท่านอาจเคยเป็นอาจารย์ของนางแต่ท่านก็ไม่มีสิทธิมาขวาง…”

“ข้าสามารถรับประกันได้ว่าเจ้าจะบรรลุไปถึงขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดภายในหนึ่งปี และยังรับประกันได้อีกด้วยว่าเจ้าจะได้เข้าไปยังห้องจุติศาสตร์เวทอีกด้วย เจ้าจะได้มีโอกาสก้าวเข้าไปถึงขั้นจุติวิญญาณได้!”

“แต่ทว่า หากเจ้าไม่ทำตามที่ข้าสั่ง ข้าจะทำให้ชีวิตเจ้ายากลำบาก ต่อให้เจ้าจะเป็นคนของสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้ก็ตามที เจ้าจะต้องตายอยู่ในตัวกระบี่ หลี่อู๋เฉิน เจ้ารู้ดีว่าควรทำอย่างไร คิดดูให้แน่ใจและตอบข้ามา” น้ำเสียงของหวังเป่าเล่อนั้นเย็นชา ความรุนแรงปกคลุมอยู่ในอากาศอันหนักหน่วงที่ปกคลุมวังทั้งหมดเอาไว้ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นชี้ที่โจวเหมย คาถาหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากปลายนิ้วเข้าปิดปากโจวเหมยเอาไว้ นางไม่อาจจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาได้ ทำได้เพียงกังวลอย่างเงียบงัน

หลี่อู๋เฉินหน้าซีดลงอีก ความเกรี้ยวกราดในแววตาของเขาเปล่งประกายกล้าขึ้น ชายหนุ่มเงยหน้าจ้องหวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบก่อนจะเอ่ยปากตอบอย่างไม่รีรอ

“หวังเป่าเล่อ คำตอบของข้าก็คือ…ไม่มีทาง!”

หวังเป่าเล่อกลอกตา ชายหนุ่มตั้งใจแสดงให้ยิ่งใหญ่ไปเช่นนั้นเอง แต่เขาไม่มีทางเลือก เพราะเขาเคยเห็นตัวอย่างมาจากละครโทรทัศน์ในสหพันธรัฐ เขาเชื่อว่าคงจะต้องมีเหตุผลที่ต้องแสดงกันอย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ หวังเป่าเล่อได้ยินคำตอบของหลี่อู๋เฉินแล้วจึงจ้องมองเขาอย่างตั้งใจ ก่อนจะได้ข้อสรุป ชายหนุ่มยกมือขึ้นทุบที่เท้าแขนก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน และเมื่อเปิดปากพูด เสียงของเขาก็ดังสนั่นออกมากึกก้องอย่างน่ายำเกรง

“ไม่มีทางอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้น ข้าจะตัดสินใจให้เจ้าทั้งคู่เอง การสมรสของพวกเจ้าจะเกิดขึ้นภายในวังแห่งนี้ เจ้าจะเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของกันและกัน ไม่อาจจะแยกจากกันได้แม้ทั้งในชีวิตและความตาย!”

“หลี่อู๋เฉิน เจ้าตกลงหรือไม่”

บทที่ 628 โจวเหมย!
วิญญาณอัสนีนิรันดร์ วิญญาณธาตุทั้งห้า วิญญาณนิมิตสวรรค์ วิญญาณทั้งเก้าแห่งโลกา…ศีรษะของหวังเป่าเล่อเริ่มปวดหนึบ เพราะขณะนี้มันถูกอัดแน่นไปด้วยชื่อของวิญญาณจุตินับสิบที่แม่นางน้อยได้บอกมา ชายหนุ่มยังหาวิธีการบรรลุขั้นในจารึกของสำนักวังเต๋าไพศาลพบอีกด้วย เขาขมวดคิ้วน้อยๆ

วิญญาณจุติมีมากมายหลายประเภทเกินไป ขั้นจุติวิญญาณนั้นดูเหมือนกับอ่าวอันกว้างใหญ่ที่กั้นขวางระหว่างขั้นการฝึกปราณทั้งหลายเอาไว้ การเปลี่ยนแก่นในของตนให้กลายเป็นวิญญาณนั้นเทียบได้กับการสร้างชีวิตที่สองขึ้นมา และจะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของผู้ฝึกตนอีกด้วย

การเคลื่อนย้ายก็เป็นหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่ผู้ฝึกตนจะต้องเผชิญ การก่อตัวของวิญญาณจุติทำให้ผู้ฝึกตนนั้นกลายเป็นบุตรของสวรรค์และพื้นพิภพ และผู้ฝึกตนยังจะสามารถหลอมรวมกับพลังธรรมชาติและนำพลังนั้นมาใช้ในการต่อสู้ได้อีกด้วย

วิญญาณจุติยังมีพลังในการควบคุมพื้นแผ่นดินได้ อารยธรรมโบราณบางแห่งขนานนามวิญญาณจุติเหล่านี้ว่าปีศาจโบราณ นามนั้นเป็นเครื่องยืนยันถึงความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณได้เป็นอย่างดี

พลังของวิญญาณจุติเกี่ยวข้องโดยตรงกับประเภทของวิญญาณ ในจักรวาลนี้มีอารยธรรมฝึกปราณอยู่มากมายและมีประเภทของวิญญาณจุติอยู่เท่าๆ กัน วิญญาณจุติของหลี่ซิงเหวินเป็นวิญญาณเต๋า ส่วนหนึ่งที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพลังเทพของเขามีรากฐานมาจากการบรรลุธรรม ต้วนมู่ฉีเลือกฝึกวิญญาณธาตุทั้งห้า และสารัตถะของพลังนั้นก็ผนวกอยู่กับความมั่นคั่งของสหพันธรัฐอย่างเหนียวแน่น สิ่งนี้อาจจะดูแปลกประหลาดและลึกลับไปบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว วิญญาณจุติของเขาก็แสดงถึงอุดมคติและเจตจำนงค์ของเขานั่นเอง

หวังเป่าเล่อเคยถามประมุขสำนักสวีเกี่ยวกับวิญญาณจุติของเขา วิญญาณที่เขาเลือกคือวิญญาณคลั่ง ที่มุ่งเน้นไปที่ความรุนแรงและความตาย วิญญาณจุติที่ผู้ฝึกตนทุกคนทั้งในสหพันธรัฐและในสำนักวังเต๋าไพศาลเลือกใช้ก็แตกต่างกับแทบจะทั้งสิ้น

วิญญาณจุติของบางคนอาจจะเหมือนกันบ้าง แต่ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันออกไป เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าวิญญาณจุติประเภทใดดีกว่ากัน เพราะมีเพียงวิธีเดียวที่จะบอกได้ถึงความแข็งแกร่งของวิญญาณจุตินั่นก็คือ…คุณภาพของมัน!

คุณภาพเป็นตัวบ่งชี้ว่าวิญญาณจุติจะหลอมรวมเข้ากับพลังธรรมชาติได้ดีเพียงใด และเป็นตัวกำหนดขีดความสามารถในการต่อสู้และอนาคตของผู้ฝึกตนคนหนึ่งได้เลย ในจารึกของสำนักวังเต๋าไพศาลกล่าวไว้ด้วยว่า มีวิญญาณจุติหายากยิ่งอยู่ห้าประเภทที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในอารยธรรมต่างๆ วิญญาณจุติเหล่านี้เป็นตำนานก็ว่าได้ สำนักวังเต๋าไพศาลในอดีตเคยมีโอกาสได้ฝึกปรือวิญญาณจุติประเภทนี้อยู่หนึ่งดวง แต่วิธีการฝึกปราณนั้นก็สูญหายไปตามกาลเวลา สำนักวังเต๋าไพศาล ณ ปัจจุบันไม่ได้เก็บกุมความลับของการสร้างวิญญาณจุติเช่นนั้นเอาไว้อีกต่อไป

หวังเป่าเล่อถามแม่นางน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่นางกลับตอบเพียงว่าให้เขาอย่าทะเยอทะยานเกินตัวและกระหายอยากได้สิ่งที่อยู่เกินเอื้อม แต่ทว่า หวังเป่าเล่อก็มีกระบวนการตีความคำแนะนำของแม่นางน้อยในแบบของตัวเอง

สงสัยคงเป็นเพราะว่านางไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เป็นแน่ หรือไม่อย่างนั้นก็เพราะว่านางกลัวที่จะบอกข้ากระมัง หวังเป่าเล่อกะพริบตา ชายหนุ่มรู้มาระยะหนึ่งแล้วว่าทุกครั้งที่แม่นางน้อยมอบหมายภารกิจที่ดูเป็นไปไม่ได้มาให้ เขามักจะทำมันได้สำเร็จอย่างไม่ยากเย็นอะไรนัก…

“แม่นางน้อย วิญญาณจุติในตำนานที่ข้าไม่อาจเอื้อมถึงนั้น แท้จริงแล้วมันคือสิ่งใดกันแน่” หวังเป่าเล่อไม่อาจจะหักห้ามใจเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงเอ่ยถามไปอีกครั้ง

“…” ดูเหมือนว่าแม่นางน้อยก็กำลังครุ่นคิดเรื่องเดียวกันนี้อยู่เช่นกัน นางจึงไม่ได้ตอบคำถามเขาทันที นางแทบไม่เคยได้ยินเรื่องของคนที่เอาวิญญาณจุติในตำนานมาครอบครองได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่เรื่องนี้จะเป็นเสมือนตำนานเท่านั้นแต่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลยด้วยซ้ำ!

แม่นางน้อยยังคงดูกระอักกระอ่วนใจ เหมือนว่านางจะได้พูดไปแล้วว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ซึ่งก็น่าจะเพียงพอ…

“ถ้าหากเขายังทำเรื่องนี้สำเร็จอีก ข้าคงต้องเรียกเขาว่าท่านโคตรบิดาบ้างแล้ว!” แม่นางน้อยยิ้มเยาะอยู่เงียบๆ นางปลอบใจตนเองไปอีกพักใหญ่ แต่จู่ๆ ก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ก็พลันรู้สึกอยากจะตบปากตนเองขึ้นมาถนัด เรื่องอาจจะไม่ได้แย่มากนักหากนางไม่ได้พูดคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้ออกไป’ แต่นางก็พูดไปแล้ว…

แม่นางน้อยเมื่อคิดได้เช่นนั้นก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาปุบปับ แล้วจึงตัดสินใจเลิกคิดเรื่องนี้ไปโดยปริยาย

เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ขณะที่หวังเป่าเล่อก็ยังคงฝึกปราณและศึกษาเรื่องวิญญาณจุติต่อไปอย่างขะมักเขม้น ต้นไม้ยักษ์ก็พยายามเต็มที่ในการทำงานตามที่หวังเป่าเล่อไหว้วานไป เขาทำได้ไม่เลวทีเดียว ต้นไม้ยักษ์พาศิษย์สตรีทุกๆ คนที่เขารู้จักมาและพยายามจัดฉากให้หลี่อู๋เฉินและสตรีเหล่านั้นได้ตกหลุมรักกัน

ต้นไม้ยักษ์เองก็ไม่รู้มาก่อนว่าตัวเขามีความสามารถเพียงใดในเรื่องนี้ สวรรค์มอบรางวัลให้ผู้ที่ทำงานอย่างแข็งขัน ภายใต้สายตาที่ระแวดระวังและแผนการอันแยบยล ในที่สุดต้นไม้ยักษ์ก็ค้นพบอะไรบางอย่าง!

เขายืนยันข้อสังเกตของเขาอีกหลายครั้งก่อนจะรีบรุดไปยังที่พักของหวังเป่าเล่อเพื่อรายงานการค้นพบทันที

“ท่านผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติ ข้าน้อยใช้เวลาไปทั้งสิ้นหนึ่งเดือนจนในที่สุดก็ได้ทำภารกิจที่ท่านมอบหมายสำเร็จลุล่วงแล้ว ข้าพบกับศิษย์สตรีที่หลี่อู๋เฉินสนใจแล้วขอรับ” ต้นไม้ยักษ์กุลีกุจอยกมือคารวะและโค้งคำนับต่ำเมื่อเจอหวังเป่าเล่อ ทั้งท่าทีและแววตาต่างก็แสดงความนบนอบอย่างมาก

หวังเป่าเล่อลิงโลดใจเป็นยิ่งนัก แต่กลับทำท่าทีเฉยเมยและเพิ่งแต่พยักหน้าตอบน้อยๆ เท่านั้น ต้นไม้ยักษ์เห็นการตอบสนองของหวังเป่าเล่อจึงรีบกุลีกุจอหยิบเอาแผ่นหยกออกมายื่นให้ชายหนุ่มทันที พลางกระซิบว่า

“ข้าทราบมาว่าหลี่อู๋เฉินมีความสัมพันธ์กับผู้ฝึกตนขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ โจวเหมย ช่างน่าประหลาดใจนัก ข้าจึงได้ลองไปสืบหาภูมิหลังของโจวเหมยมาก นางเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐรุ่นที่สาม แม้ว่าระดับปราณของนางจะไม่สูงนัก แต่นางก็เป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ในช่วงหลายปีหลัง สำนักศึกษาจึงได้เลือกนางให้เป็นตัวแทนมาที่สำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้!”

“ในแผ่นหยกนี้มีประวัติของโจวเหมยอยู่ครบถ้วนแล้วขอรับ ผู้อาวุโส” ต้นไม้ยักษ์พูดจบก็ค้อมศีรษะและยืนเงียบรออยู่ เขาพบประวัติความสัมพันธ์ระหว่างโจวเหมยและหวังเป่าเล่อด้วย แต่ทว่า หากหวังเป่าเล่อไม่พูดเรื่องนั้นขึ้นมาก่อน เขาก็จะไม่พูดอะไรเช่นกัน จะแสร้งทำเป็นทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายต่อไป

ต้นไม้ยักษ์ไม่กล้า และไม่อยากถามหวังเป่าเล่อเกี่ยวกับความสัมพันธ์นี้ แม้เขาเองจะสืบค้นเรื่องนี้มาจนทะลุปรุโปร่ง แต่ก็เพราะว่าเขาไม่อยากจะเสี่ยงทำพลาดหรือประมาทเลินเล่อในกรณีที่หวังเป่าเล่อถามคำถาม

สิ่งนี้เป็นประสบการณ์ที่เขาได้รับมาจากผู้ใต้บังคับบัญชาขณะที่ดำรงตำแหน่งรองเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร ว่าควรจะต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายโดยคิดล่วงหน้าไว้แล้วสามขั้น แม้ว่าจะดูเหมือนต้นไม้ยักษ์จะทำงานตามคำสั่งเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว เขายังได้เรียนรู้รายละเอียดเกี่ยวกับภารกิจมาอีกด้วย เขาได้ทำการตรวจสอบข้อมูลที่อาจจะอยู่นอกเหนืองานที่รับและได้ตระเตรียมข้อมูลถึงขนาดที่ว่าหากจะต้องตอบคำถามแบบเฉพาะหน้า เขาก็จะตอบได้แบบไม่ขัดเขิน

ต้นไม้ยักษ์ทำงานอย่างเต็มที่ตามคำสั่งที่ได้รับจากหวังเป่าเล่อ

ศีรษะของเขายังคงก้มต่ำอยู่ ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็ชะงักงันอยู่กับที่ ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นชื่อโจวเหมยอย่างประหลาด แต่ไม่อาจจะนึกออกว่าทำไม เขาจึงหยิบเอาแผ่นหยกขึ้นมาเริ่มอ่านดู

“นางมาจากดาวอังคาร…จบการศึกษาจากสำนักศึกษาเต๋าหมอกเขางั้นหรือ” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเบิกโพลงเมื่ออ่านถึงตรงนั้น ในที่สุดชายหนุ่มก็จำได้ว่าทำไมชื่อนี้ถึงคุ้นนัก ภาพของหญิงสาวเจ้าเนื้อปรากฏชัดขึ้นมาในมโนสำนึก

หวังเป่าเล่อกะพริบตาก่อนจะเริ่มอ่านต่อไป รายงานในแผ่นหยกนั้นละเอียดเป็นอย่างยิ่ง มีข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของโจวเหมยอีกด้วย รวมไปถึงสิ่งที่นางไปทำหลังจากที่สำเร็จการศึกษาแล้ว นางเลือกที่จะเข้าศึกษาต่อที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จนจบการศึกษาจากเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง ในขณะที่ศึกษาอยู่ที่นั่น นางเลือกเข้าตำหนักอาวุธเวท!

ข้อมูลทั้งหมดทำเอาหวังเป่าเล่องุนงงเล็กน้อย ชายหนุ่มจำช่วงเวลาที่สำนักศึกษาเต๋าหมอกเขาได้ลางๆ ใบหน้าของบรรดาศิษย์ของเขาโผล่กลับมาในใจ และไม่นานนัก สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็อ่อนโยนลง จนอดยิ้มออกมาไม่ได้

ต้นไม้ยักษ์สังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจะต้องจำได้แล้วแน่นอนว่าครั้งหนึ่งโจวเหมยเคยเป็นลูกศิษย์ของเขา ต้นไม้ยักษ์กล่าวออกมาแผ่วเบา “ผู้อาวุโสขอรับ จากการสังเกตของข้า โจวเหมยและหลี่อู๋เฉินดูเหมือนจะมีใจให้แก่กัน…ข้าถามผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ได้รับการยืนยันมาเช่นนี้ พวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์กันจริง และดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ก็จะยิ่งพัฒนาขึ้นไปในระหว่างที่มาอยู่ที่สำนักวังเต๋าไพศาลด้วยกันนี้” ต้นไม้ยักษ์หยุดพูดเพียงแค่นั้น ก่อนจะหลุบศีรษะลงตำและถอยกลับไปรอฟังคำสั่งจากหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มนิ่งเงียบอยู่ เขาคงจะช่วยเหลือหลี่อู๋เฉินแน่นอนหากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้เป็นศิษย์ของเขาเองและเป็นใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก หวังเป่าเล่อคงจะช่วยให้พัฒนาการของความสัมพันธ์นั้นก้าวหน้าต่อไปได้โดยไม่กระทบกับหลักการของตนเอง

แต่ทว่า โจวเหมย ศิษย์ของเขา ขณะนี้ก็มามีส่วนในเรื่องนี้ด้วย หวังเป่าเล่อจึงไม่อาจจะทำการผลีผลามได้ ชายหนุ่มจะต้องคุยกับโจวเหมยและเข้าใจเรื่องนี้ก่อนจะตัดสินใจอะไรไปได้

หากโจวเหมยไม่เต็มใจอยู่ในความสัมพันธ์นี้ หวังเป่าเล่อก็จะหยุดทุกอย่างที่เขาคิดเอาไว้ในใจและหาวิธีอื่นในการควบคุมหลี่อู๋เฉินแทน จริงๆ แล้วชายหนุ่มอาจจะวิตกจริตมากเกินไป บางที เมื่อหลี่อู๋เฉินได้ความทรงจำกลับคืนมา หวังเป่าเล่อคงไปถึงระดับดาวพระเคราะห์แล้วก็เป็นได้

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ทัศนคติของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไป เขาส่งยิ้มออกมาก่อนจะกล่าวว่า “ต้นหอมหมื่นลี้น้อย เจ้าไปพาตัวโจวเหมยศิษย์ของข้ามาที่นี่ที ความทรงจำข้าคงเริ่มเลอะเลือน จึงได้จำนางไม่ได้ตั้งแต่แรก บางทีนางอาจจะเขินอายอยู่จึงไม่กล้ามาเจอหน้าข้าก็เป็นได้” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็นึกอะไรขึ้นมาได้ บางทีโจวเหมยอาจจะมีใจให้หลี่อู๋เฉินจริง เป็นเหตุให้ไม่กล้ามาสู้หน้าเขา เพราะอย่างไรเสีย นางก็รู้ดีถึงความตึงเครียดระหว่างตัวเขากับหลี่อู๋เฉิน

สำนึกศึกษาเต๋าเปลววิญญาณและสำนักศึกษาเต๋าหมอกเขานั้นขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดมาโดยตลอด และโจวเหมยเองก็เคยเป็นตัวแทนการประกวดประขันของสำนัก หวังเป่าเล่อสงสัยว่าทั้งคู่มาคบกันได้อย่างไรตั้งแต่แรก

บทที่ 627 ข้ามีแผน!
“นี่เจ้าเล่นลูกไม้อะไรอีก” หวังเป่าเล่อชะงัก ก่อนจะหันกลับไปมองต้นไม้ยักษ์เขม็งพลางพ่นลมออกมาทางจมูก

“เจ้าจะใช้สตรีมายั่วยวนข้าอย่างนั้นหรือ ข้าเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาล ข้าจะไปทำ… ฮืม” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ชายหนุ่มกำลังจะรับบทบาทผู้ทรงคุณธรรมก่อนจะดุด่าต้นไม้ยักษ์ แต่ก็พลันหยุดชะงัก กะพริบตา ก่อนจะนิ่งเงียบครุ่นคิด

ต้นไม้ยักษ์สังเกตเห็นปฏิกิริยาที่รุนแรงจากหวังเป่าเล่อแล้วก็ลอบถอนใจอยู่ลับๆ ดูเหมือนว่าเขาจะล้ำเส้นไปแล้ว การตัดสินใจที่หุนหันทำให้เขาเผยแผนที่แท้จริงออกไป

หวังเป่าเล่อนี่ไม่ใช่คนที่ต่อรองด้วยได้ง่ายๆ จริงๆ…ต้นไม้ยักษ์รำพึงกับตนเอง เขาเพิ่งมารู้สึกตัวว่าควรจะใช้วิธีอื่นในการชนะใจอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อนั้นมีทั้งสติปัญญาและทรัพย์สินเงินทอง ราวกับว่าต้นไม้ยักษ์กำลังพยายามจะต่อรองกับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกระนั้น

ขณะที่ต้นไม้ยักษ์กำลังจมดิ่งอยู่ในความคิด ลมหายใจของหวังเป่าเล่อก็เริ่มจะถี่เร็วขึ้น นัยน์ตาของชายหนุ่มฉายแววกล้าขณะที่สมองก็เริ่มทำงานอย่างหนัก คำพูดของต้นไม้ทำให้เขาคิดแผนออกมาได้แผนหนึ่ง!

หากข้ามีลูกบุญธรรมบ้าง แล้วให้นางไปเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋ากับหลี่อู๋เฉิน เขาก็จะต้องเคารพข้าและเรียกข้าว่าพ่อบุญธรรมทุกๆ ครั้งที่พบกัน…

ต่อให้เขาได้ความทรงจำกลับคืนมาและกลายมาเป็นศิษย์แห่งเต๋า เขาก็ยังต้องเคารพข้าอยู่นั้นเอง…หวังเป่าเล่อเริ่มตื่นเต้นกับแผนการณ์นี้ ถือว่าเป็นการรับรองความปลอดภัยหากเขาสามารถทำได้สำเร็จ ไม่ว่าหลี่อู๋เฉินจะแข็งแกร่งเพียงใด หวังเป่าเล่อก็จะเป็นผู้ใหญ่สำหรับเขาไปตลอด

ต้องได้ผลแน่นอน!

หวังเป่าเล่อหายใจถี่ ชายหนุ่มแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้าจนต้นไม้ยักษ์แอบมองเห็น ทำให้อีกฝ่ายถึงกับชะงักงันไป ต้นไม้ยักษ์เริ่มสงสัยเมื่อหวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดั่งสนั่น ชายหนุ่มยกมือตบไหล่ต้นไม้ยักษ์อย่างแรง สายตาเปี่ยมไปด้วยความยอมรับ

“ต้นหอมหมื่นลี้สหายร่วมสำนักเต๋าเอ๋ย ท่านช่างเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์แถมยังช่างสังเกต เก่งมาก ดีมาก ข้าคาดหวังกับท่านสูงจริงๆ!” หวังเป่าเล่อหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะยกมือไพล่หลัง แล้วเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้ต้นไม้ยักษ์ยืนกะพริบตาจ้องมองอยู่เบื้องหลัง ต้นไม้ยักษ์เริ่มจะสงสัยมากขึ้นทุกที เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเริ่มสงสัยว่าหวังเป่าเล่อกำลังบอกใบ้อะไรเขาอยู่หรือเปล่า…

หวังเป่าเล่อเมินต้นไม้ยักษ์ผู้กำลังคาดเดาสถานการณ์ไปต่างๆ นาๆ ไปเสียสิ้น ชายหนุ่มเริ่มก้าวย่างต่อไปพร้อมกับวาดฝันแผนการณ์สมบูรณ์แบบอยู่ในใจ ยิ่งเขาคิดเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันช่างสมเหตุสมผลมากขึ้นเท่านั้น ด้วยความตื่นเต้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มคิดถึงบุคคลที่เหมาะสมจะมาเป็นลูกบุญธรรมของเขา คนแรกที่เขานึกไปถึงคือหลี่อี้

ไม่ได้ๆ นางหน้าอกใหญ่แต่ไร้สมอง หากข้ารับนางมาเป็นลูกบุญธรรมแล้วจับคู่นางกับหลี่อู๋เฉิน นางจะต้องบังคับหลี่อู๋เฉินให้กำจัดข้าแน่นอน ต่อให้ข้าเป็นพ่อแท้ๆ ของนางก็เถอะ!

หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะดิก ชายหนุ่มคิดอยู่ชั่วอึดใจและจึงนึกถึงหญิงสาวอารมณ์ร้อนจากสำนักสหชุมนุมสกุณาขึ้นมาได้ คนที่ตัวสูงใหญ่ รูปร่างกำยำ และโผงผางตรงไปตรงมา นางดูจะเป็นคู่ที่เหมาะกันดีกับหลี่อู๋เฉิน

นางก็ไม่ได้ หลี่อู๋เฉินชอบสาวงามตามขนบ หากข้าจับคู่เขากับนาง…เขาอาจจะเกลียดข้ายิ่งกว่าเดิมก็เป็นได้ หวังเป่าเล่อเริ่มปวดศีรษะ ชายหนุ่มไม่ค่อยมีหัวเรื่องการเมืองในแง่นี้เท่าใดนัก เขาเหลือบตาออกไปมองด้านข้าง ก่อนที่จะตาเป็นประกายเมื่อมองไปเห็นต้นไม้ยักษ์

ตาเฒ่าคนนี้ดูเหมือนจะมีความคิดชั่วๆ อยู่เต็มศีรษะ ข้าควรจะมอบหมายงานนี้ให้กับเขา เขาจะต้องทำได้ดีแน่นอน หวังเป่าเล่อยิ้มออกมาได้ ชายหนุ่มจ้องมองไปทางต้นไม้ยักษ์ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้”

ต้นไม้ยักษ์กำลังจมจ่อมอยู่ในความคิดพลางจ้องมองดูหวังเป่าเล่ออย่างระแวดระวังอยู่ตลอด เมื่อมองเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของหวังเป่าเล่อ ก็มีความคิดหนึ่งแล่นผ่านศีรษะเขาอย่างรวดเร็ว เขาหยุดหายใจไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบกุลีกุจอยกมือคารวะ

“ท่านเรียกข้าว่า ‘สหายร่วมสำนักเต๋า’ นั้นมากมายเกินไป ตัวข้ามิบังอาจรับตำแหน่งดังกล่าวได้ ผู้อาวุโส โปรดเรียกข้าว่า ‘ต้นหอมหมื่นลี้น้อย’ เถิดขอรับ”

หวังเป่าเล่อพึงใจกับความถ่อมตัวของต้นไม้ยักษ์ เจ้าต้นไม้ยักษ์นี่ก็ไม่เลวเลย ทั้งทำตามคำสั่งแถมยังรู้จักที่ต่ำที่สูง ทำให้หวังเป่าเล่อพอใจจนต้องยิ้มออกมาอ่อนๆ

“ตกลง ต้นหอมหมื่นลี้น้อย ข้ามีงานให้เจ้าทำ”

“ข้าน้อยพร้อมน้อบรับคำบัญชา!” ต้นไม้ยักษ์ตัวสั่น ก่อนจะตอบอย่างหนักแน่นและเคารพนบนอบเป็นที่สุด

“งานนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้ามีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐกลุ่มที่สาม เจ้าน่าจะเคยได้ยินชื่อเขา เขาเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หลี่อู๋เฉิน” หวังเป่าเล่อพูดอย่างแช่มช้า ขณะที่จ้องมองต้นไม้ยักษ์ไปด้วย

ต้นไม้ยักษ์ไม่กล้าคาดเดาอะไรไปก่อน และยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยอยู่เช่นนั้น เขาไม่กล้าถามคำถามหรือสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อกับหลี่อู๋เฉิน เขารู้เพียงอย่างเดียวว่าต้องการจะสร้างเกราะป้องกันให้กันตนเอง เขาจะต้องไม่ถามคำถามและไม่คาดเดาอะไรไปมากมาย สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือทำตามคำสั่งของหวังเป่าเล่อเท่านั้น

“ข้ารู้จักศิษย์น้องหลี่อู๋เฉินมาเป็นเวลาพักใหญ่แล้ว ตัวเขาเองไม่มีคู่ครองมานานหลายปี ข้าทนเห็นเขาเหงาใจอยู่เช่นนี้ไม่ได้ ทำไมเจ้าไม่จัดการหาศิษย์สตรีมาให้เขารู้จักเล่า…เจ้าเข้าใจที่ข้ากำลังจะสื่อหรือไม่” ตามหลักการของอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องพูดจาสั่งการให้เป็นกิจลักษณะในทุกๆ เรื่อง นอกจากจะเป็นการทดสอบความรอบรู้ของลูกน้องแล้ว ยังเป็นการป้องกันตนเองไปในตัวด้วย

หวังเป่าเล่อยึดหลักการนี้เมื่อเขาพูดกับต้นไม้ยักษ์

ต้นไม้ยักษ์นั้นเคยเป็นถึงรองเจ้านครอาณานิคมแห่งดาวอังคาร แม้จะไม่ได้เป็นมนุษย์มาจากสหพันธรัฐ แต่ก็ดำรงตำแหน่งอยู่หลายต่อหลายปี เขายังฉลาดเฉลียวแถมยังรู้นอกในของสหพันธรัฐเป็นอย่างดี เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น และได้ใคร่ครวญอยู่ชั่วอึดใจ ต้นไม้ยักษ์ก็ยกมือขึ้นประสานและรับคำทันที

“ผู้อาวุโสขอรับ ความห่วงใยที่ท่านมีต่อหลี่อู๋เฉินอย่างจริงใจซาบซึ้งใจข้ายิ่งนัก ข้าเป็นคนใหม่ในสำนักวังเต๋าไพศาลแถมยังไม่รู้จักนิสัยใจคอว่าหลี่อู๋เฉินชอบสิ่งใด ข้าคงจะต้องขอรบกวนท่านบ่อยๆ ข้าต้องขออนุญาตและขออภัยล่วงหน้าด้วย”

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายเมื่อได้ยินสิ่งที่ต้นไม้ยักษ์พูด ความหมายโดยตรงของคำพูดเหล่านั้นไม่สำคัญเท่าความหมายแฝง ต้นไม้ยักษ์กำลังบอกหวังเป่าเล่อว่าเขารู้แผนของชายหนุ่มดีและจะจับตาดูหลี่อู๋เฉินพร้อมรายงานทุกความเคลื่อนไหว รวมไปถึงว่าศิษย์สตรีคนใดที่อีกฝ่ายเลือกจะสายสัมพันธ์ด้วย

“สภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและปลอดภัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกตนในระดับสูงเช่นข้า ได้โปรดอย่ารบกวนการฝึกปราณของข้าบ่อยนักเล่า” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเนิบๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

ต้นไม้ยักษ์พยักหน้ารับรู้ เขาได้แปลสิ่งที่หวังเป่าเล่อเพิ่งพูดมาในใจเรียบร้อย ชายหนุ่มบอกเขาเป็นนัยๆ ว่า…เขาควรจะจับตาดูหลี่อู๋เฉินไว้ และไม่ต้องกังวลเรื่องการรบกวนหวังเป่าเล่อ ต้นไม้ยักษ์ควรต้องคิดหาทางทำงานให้สำเร็จเท่านั้น หาไม่แล้ว ต้นไม้ยักษ์เองจะได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมการฝึกปราณที่อันตรายและไม่เงียบสงบอย่างแน่นอน

ทั้งคู่เดินทางอย่างรวดเร็วมาเป็นเวลาร่วมสองสัปดาห์จนในที่สุดก็กลับมาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล ทันทีที่กลับมาถึง ต้นไม้ยักษ์ก็จัดแจงไปทำตามประสงค์ของหวังเป่าเล่อในทันที เขาได้วางแผนอย่างละเอียดเอาไว้ตั้งแต่ช่วงการเดินทางขากลับ ต้นไม้ยักษ์ได้รับการหนุนหลังจากผู้อาวุโสสูงสุด ทำให้อะไรๆ ก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา

ระดับปราณที่สูงพอควรทำให้ต้นไม้ยักษ์ยักษ์เป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดจากสหพันธรัฐรองจากหวังเป่าเล่อและประมุขสำนักสวี สำนักวังเต๋าไพศาลเองก็ได้ทำการศึกษาต้นไม้ยักษ์มาพอสมควรเช่นกัน พวกเขารู้ว่าชายคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ และไม่ได้มีร่างกายที่ประกอบขึ้นมาจากเลือดเนื้อเช่นคนธรรมดา เขาเคยเป็นต้นไม้ที่ได้พัฒนาตนขึ้นมาเป็นผู้ฝึกปราณ และยังมีคุณสมบัติแปลกประหลาดอีกหลายประการด้วยกัน

ในช่วงหลายวันต่อมา หวังเป่าเล่อก็ปล่อยวางเรื่องนี้และหันไปเริ่มฝึกปราณต่อ เขาอยากจะใช้แขนขวาของศิษย์แห่งเต๋าที่เพิ่งจะผสานรวมกับเกราะจักรพรรดิให้เคยชิน ชายหนุ่มทดลองใช้พลังของแขนอยู่หลายครั้งเพื่อทดสอบขีดจำกัดของพลัง และความทนทานของตัวเขาเองด้วย

หลังจากที่ทดลองไปหลายครั้ง หวังเป่าเล่อก็สรุปว่าเขาสามารถใช้พลังจากแขนได้สามครั้ง การโจมตีแต่ละครั้งนั้นทั้งน่ากลัวและน่าตื่นตาตื่นใจพอๆ กัน เป็นการโจมตีที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลัง…ที่จะทำลายซุนไห่จนไม่เหลือแม้แต่ซาก!

ความชำนาญของหวังเป่าเล่อในการใช้กระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงและดัชนีอัสนีนิรันดร์ก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น การผสานรวมเอาแขนข้างนั้นและเกราะจักรพรรดิสร้างแรงบรรดาลใจให้ชายหนุ่ม เขาดึงเอาศพของอสูรเขี้ยวดาราในระดับจิตวิญญาณอมตะที่เขาเก็บกู้มาจากดาวอสูรเขี้ยวดาราออกมา และพยายามจะผสานรวมศพนั้นสองนั้นเข้ากับเกราะ ความพยายามนี้ไม่เป็นผลสำเร็จ

บางทีที่ข้าทำสำเร็จอาจเป็นเพราะว่าแขนที่หักข้างนั้นเป็นอาวุธเวทกระมัง หวังเป่าเล่อคิด แม้ว่าจะไม่ค่อยเต็มใจ แต่ชายหนุ่มก็ต้องยอมแพ้ เขาใช้สถานะผู้อาวุโสเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการหลอมหุ่นเชิด แม้จะได้ข้อมูลมาบ้าง แต่หวังเป่าเล่อก็ยังต้องการเวลาเพื่อจะค้นคว้าและทำการทดลองเพิ่มเติมเพื่อทำให้สำเร็จ

สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือการเตรียมตัวสำหรับการบรรลุขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น!

สิทธิพิเศษในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดของหวังเป่าเล่อทำให้เขาสามารถเข้าถึงจารึกที่พูดถึงวิธีการบรรลุขั้นจุติวิญญาณได้มากมาย รวมไปถึงจารึกที่พูดเรื่องประเภทของวิญญาณจุติ ซึ่งมีอยู่กว่า 300 ชนิดด้วยกัน ทั้งหมดแตกต่างกันออกไปเล็กน้อย การตัดสินใจเลือกวิญญาณจุติประเภทหนึ่งอาจจะกำหนดอนาคตของผู้ฝึกตนได้เลยทีเดียว

หวังเป่าเล่ออ่านข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณจุติหลากหลายประเภทเพื่อประกอบการตัดสินใจ ชายหนุ่มถึงกับเรียกแม่นางน้อยมาถาม นางให้ชื่อวิญญาณจุติมาหลากหลายชนิด จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมประสบการณ์ว่า หากหวังเป่าเล่อสามารถหลอมหนึ่งในบรรดาวิญญาณจุติที่นางเสนอมาสิบกว่าชนิดนี้ได้ นางก็จะมีวิธีช่วยยกระดับคุณภาพของวิญญาณนั้นให้ได้ จะเป็นการเกื้อกูลอนาคตของหวังเป่าเล่อได้อย่างมากทีเดียว!

บทที่ 626 หลุมฝังศพของศิษย์แห่งเต๋า!
การหลอมรวมนั้นไม่ได้ราบรื่นนัก ทั้งรุนแรงและขลุกขลักยิ่งเพราะว่าไม่มีการบอกกล่าวหรือขออนุญาตใดๆ ก่อนทั้งสิ้น ช่างเป็นกระบวนการที่ยากลำบาก แต่ทว่าตามความเข้าใจของหวังเป่าเล่อที่มีต่ออาวุธเวท ชายหนุ่มก็รู้ดีว่ากว่าจะได้มาซึ่งการยอมรับจากอาวุธเวทนั้นยากยิ่ง แขนที่หักข้างนั้นก็คงจะไม่ต่างกัน

เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าไม่มีใครนอกจากเจ้านายแต่เดิมของมันเท่านั้นที่จะทำให้มันศิโรราบได้โดยง่าย หวังเป่าเล่อไม่ได้ต้องการให้แขนยอมแพ้ คิดเพียงแต่อยากจะนำมาใช้ให้ได้เท่านั้น

สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มคิดว่าจะเป็นปัญหาก็คือพลังงานและแรงสะท้อนกลับจากการใช้แขนข้างนั้นเท่านั้น เป็นเหตุว่าทำไมเขาจึงเลือกที่จะนำแขนมาหลอมรวมกับเกราะจักรพรรดิลักอัคคี เพื่อให้แขนไปดูดกินพลังงานจากเกราะแทน แถมความเสียหายจากแรงสะท้อนกลับก็จะไปอยู่บนเกราะแทนอีกด้วย

หมายความว่า ไม่เพียงแต่หวังเป่าเล่อจะได้พลังของแขนมาใช้ แต่เขายังลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บลงไปได้มากโข เป้าหมายและแผนการในครั้งนี้ของหวังเป่าเล่อถือได้ว่าเสร็จสมบูรณ์

แม้ว่าจะไม่ได้เป็นการผสานรวมที่สมบูรณ์แบบ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังพอใจกับผลที่ออกมาอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าจุดตันเถียนและเส้นใยสีขาวภายในเกราะจักรพรรดิลักอัคคีนั้นรีบเคลื่อนที่เข้าไปในแขนทันที ทำให้ดูราวกับว่าแขนเป็นส่วนหนึ่งของชุดเกราะไป ความข้องเกี่ยวกันอย่างเหนียวแน่นนี้ทำให้ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงดวงจิตที่อยู่ในแขนที่หักข้างนั้น ที่อยู่ในสภาวะหลับลึก

เฉกเช่นเดียวกับวิญญาณวุธ เพราะเหตุใดไม่ทราบแน่ แต่มันก็ยังคงหลับใหล ดูเหมือนว่าจะไม่รู้ถึงการล่วงล้ำของเกราะจักรพรรดิลักอัคคีแม้แต่น้อย

ตราบใดที่ดวงจิตนี้ยังคงอยู่ ข้าก็ไม่อาจจะเป็นเจ้าของและครอบครองแขนข้างนี้ได้โดยสมบูรณ์…แต่ข้าก็ไม่ได้รีบร้อนสักเท่าใด เมื่อใดที่ข้าบรรลุขั้นจุติวิญญาณค่อยมาลองขับไล่มันดูอีกครั้งหนึ่งก็แล้วกัน หวังเป่าเล่อคิด จากนั้นจึงก้มศีรษะลงมองแขนขวาที่ติดอยู่กับเกราะจักรพรรดิของเขาก่อนจะยิ้มออกมาได้

ชายหนุ่มสวมใส่ชุดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีอยู่ และมีเกราะกำบังเกิดขึ้นทั่วทั้งกาย ยกเว้นแต่บริเวณแขนขวา ที่ขณะนี้บวมเป่งจนน่าสะพรึงกลัว! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ใส่ใจกับต้นไม้ยักษ์ที่ยังคงตกตะลึงกับการผสานรวมกับแขนของเขา หวังเป่าเล่อเรียกใช้พลังปราณและเพิ่มพลังเกราะจักรพรรดิลักอัคคีจนถึงขีดสุด ทันใดนั้นชุดเกราะก็ถูกอาบท่วมไปด้วยสีแสงสด

รัศมีแห่งความกระหายเลือดปะทุปกคลุมอากาศ คลื่นพลังงานที่รุนแรงยิ่งกว่าระดับพลังปราณของหวังเป่าเล่อถูกปลดปล่อยออกมา นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกาย ก่อนที่เขาจะนำเอาปราณวิญญาณทั้งหมดจากเกราะจักรพรรดิลักอัคคีเข้ามาอยู่ในแขนขวา พลางพยายามหลบเลี่ยงดวงจิตที่หลับใหลอยู่ แขนขวาเริ่มจะสั่นไหวด้วยความช่วยเหลือจุดตันเถียนและเส้นใยสีขาว วินาทีถัดมา…หวังเป่าเล่อก็เริ่มรู้สึกว่าแขนขวาของเกราะนั้นกลายมาเป็นแขนของเขาเอง

มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ ต้นไม้ยักษ์เฝ้ามองอย่างไม่เชื่อสายตาขณะที่เกราะจักรพรรดิลักอัคคีกำมือขวาเข้าเป็นกำปั้นอย่างยากเย็น!

พลังอันน่าตื่นตะลึงปะทุออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นไปแปรเปลี่ยนท้องฟ้า สายลมพัดคะนองคลั่ง หมู่เมฆเลื่อนไหลหมุนวน และทะเลเพลิงที่รายล้อมพวกเขาอยู่ก็เริ่มขยับเป็นจังหวะเดียวกันกับพลังที่ไหลบ่าออกมา

พลังอันน่าตื่นตะลึงของรัศมีทำเอาหวังเป่าเล่อหายใจติดขัด พลังนั้นไม่ออกมาจากร่างของเขาแต่มาจากแขนขวาของเกราะ หวังเป่าเล่อสงบใจลงอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาเปล่งประกายด้วยความยินดี อาจจะโชคร้ายอยู่สักหน่อยที่เขาไม่อาจจะควบคุมแขนได้โดยสมบูรณ์ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก

ข้าไม่สนใจหรอก ตราบใดที่ข้าสามารถใช้แขนได้ก็ถือว่าสำเร็จ อีกอย่าง ตอนนี้แขนก็อยู่ในการครอบครองของข้า มันจะหนีไปไหนเสียได้ หวังเป่าเล่อเฝ้ามองผลของพลังอันยิ่งใหญ่ที่แขนมีต่อสิ่งรอบข้างอย่างตื่นเต้น เขาสุดจะลิงโลดใจกับพลังมหาศาลที่ปลดปล่อยออกมาจากมือข้างขวา พลังนี้สามารถจะทลายทุกสิ่งที่ขวางทางได้เมื่อถูกปลดปล่อยออกมา!

หวังเป่าเล่อเต็มล้นไปด้วยความยินดี ชายหนุ่มเชื่อว่าหากเขามีโอกาสได้ต่อสู้กับซุนไห่อีกครั้ง เขาก็คงไม่ต้องออกแรงมากนัก เพียงแค่หมัดเบาๆ…อีกฝ่ายก็จะต้องย่อยยับและการต่อสู้ก็จะจบลงทันที!

หวังเป่าเล่อไม่ได้ทดสอบพลังของกำปั้นแต่อย่างใด แต่เพียงแค่การกำหมัดก็ยังปล่อยพลังมหาศาลที่เปลี่ยนแปลงท้องฟ้าและผืนแผ่นดินรอบกายเขา ต้นไม้ยักษ์ที่แม้จะยืนอยู่ห่างออกไประยะหนึ่งก็ยังตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ พลังปราณของเขาถูกสะกดเอาไว้ด้วยการแสดงพลังก่อนหน้า ศีรษะเขาตื้อตึง ดูราวกับว่าว่าหวังเป่าเล่อมีพลังจะทำลายทั้งร่างกายและวิญญาณของเขาได้ด้วยการใช้หมัดขวาชกใส่เพียงครั้งเดียว

ต้นไม้ยักษ์รู้สึกหวาดกลัวหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ขณะที่เขายืนตัวสั่นอยู่นั่นเอง นัยน์ตาของชายหนุ่มก็ส่องประกายวาบขึ้นมา หวังเป่าเล่อหันมาทางต้นไม้ยักษ์และพูดขึ้นอย่างปุบปับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เอาของที่เจ้าหยิบมาจากหลุมฝังศพนั้นมาให้ข้าดูเสีย”

ต้นไม้ยักษ์รู้สึกว่าสมองตื้อชาหลังจากที่ได้ยินคำของหวังเป่าเล่อ เขาทั้งวิตกกังวลและไม่แน่ใจเพราะสัมผัสอันตรายเมื่อครู่ยังไม่จางหาย ก่อนจะหยิบเอากระเป๋าคลังเก็บทุกใบออกมาอย่างไม่รีรอ ถึงกับยอมปลดเสื้อผ้าออกให้ดูว่าไม่ได้ซ่อนเร้นสิ่งใดเอาไว้อีก ก่อนจะละล่ำละลักออกมาว่า

“ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้ซ่อนสิ่งใดไว้กับตัวเลย กระเป๋าคลังเก็บทั้งหมดที่ข้ามีก็อยู่ตรงนี้แล้ว ท่านตรวจสอบดูได้ ท่านจะลงโทษข้าอย่างใดก็ได้หากท่านพบว่าข้าซุกซ่อนสิ่งใดเอาไว้อีก!”

หวังเป่าเล่อยกมือซ้ายขึ้นคว้าอากาศด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ บรรดากระเป๋าคลังเก็บก็พุ่งตัวเข้าไปหาเขาทันที ชายหนุ่มตรวจสอบกระเป๋าทีละใบจนแน่ใจว่าต้นไม้ยักษ์ไม่ได้ซ่อนสมบัติจากหลุมฝังศพเอาไว้ ชายหนุ่มไม่ได้แสดงอะไรออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองต้นไม้ยักษ์เป็นเวลานาน ก่อนจะเรียกใช้พลังจากแขนขวาอีกครั้ง ต้นไม้ยักษ์กลัวจนตัวสั่น หวังเป่าเล่อเอ่ยออกมาอย่างเนิบช้าว่า “เล่าให้ข้าฟังเสียว่าเจ้าเห็นอะไรบ้างในหลุมฝังศพนั้น!”

ต้นไม้ยักษ์ตัวสั่นด้วยความกลัว ก่อนจะเริ่มเล่าอย่างรวดเร็วด้วยความกลัวว่าชายหนุ่มจะไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูด

“ผู้อาวุโสขอรับ ภายใต้หลุมฝังศพนั้นมีวังใต้ดินอยู่ หมอกสีเขียวเข้มข้นเกินไป ข้าไม่อาจเข้าใกล้ชั้นนั้นได้ ข้าเข้าไปลึกที่สุดตรงบริเวณที่พบแขนที่หักสะบั้นข้างนั้นและแขนนั้นก็เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่หยิบออกมาได้ ข้าไม่อาจจะล่วงรู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ภายในวังแห่งนั้นขอรับ”

“ข้าคิดจะแอบลอบเข้าไปในวังและบันทึกทุกสิ่งที่ข้าได้ยินด้วยแหวนสื่อสาร แต่ทว่าแหวนก็ไม่อาจจะใช้การได้…” ขณะนั้น ต้นไม้ยักษ์กังวลหนักว่าหวังเป่าเล่อจะไม่เชื่อที่เขาพูด จึงรีบนึกย้อนกลับไปในความทรงจำ ณ ช่วงเวลานั้นอย่างเร่งรีบ ก่อนจะนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้และเริ่มเล่าต่อ

“มีอีกสิ่งหนึ่งขอรับ ข้าเห็นแผ่นหินข้างในนั้นเช่นกัน หมอกหนานัก ข้าจึงไม่อาจจะมองเห็นสิ่งที่สลักอยู่ได้ชัดเจน ข้าเห็นเพียงแค่สี่คำคือ ศิษย์แห่งเต๋าเฉิน… เหตุที่ข้าอ่านออกก็เพราะว่าพวกเราพันธุ์กล้ารุ่นที่สามนั้นต้องเรียนภาษาพูดและเขียนของสำนักวังเต๋าไพศาลก่อนจะออกเดินทาง” ต้นไม้ยักษ์อธิบายอย่างเร่งรีบ เขาพูดตามจริงและไม่ปิดบังสิ่งใดจากหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย หลังจากที่พูดจบ เขาก็ยืนนิ่งจ้องมองหวังเป่าเล่อ ในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความกลัวและวิตกกังวล

หวังเป่าเล่อชะงักเมื่อได้ยินต้นไม้ยักษ์พูดถึง “ศิษย์แห่งเต๋าเฉิน” นัยน์ตาของเขากระตุกและศีรษะก็เริ่มเวียน ราวกับว่าถูกฟ้าผ่าก็ไม่ปาน โชคยังดีที่ชายหนุ่มยังปลอดภัยอยู่ภายใต้เกราะจักรพรรดิ ซ่อนจากสายตาของต้นไม้ยักษ์ หาไม่แล้ว ต้นไม้ยักษ์ที่ฉลาดเฉลียวอยู่ไม่น้อยคงจะต้องรู้สึกสงสัยเป็นแน่

ต้นไม้ยักษ์ก็ยังคงไม่รู้ต่อไป ในขณะที่หวังเป่าเล่อนั้นตื่นตะลึงกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับมา ต้นไม้ยักษ์ไม่ระแคะระคายเกี่ยวกับคำไม่กี่คำที่ได้เห็นมานี้ แต่หวังเป่าเล่อคิดอะไรบางอย่างออกทันทีที่ได้ยิน

“ศิษย์แห่งเต๋าอู๋เฉิน…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตัวเองอยู่เงียบๆ ชายหนุ่มก้มลงมองแขนขวาของตนอย่างไม่เชื่อสายตา ชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อตนเอง

บัดซบ…นี่ข้าไปรุกรานหลุมฝังศพของหลี่อู๋เฉินในชาติปางก่อนอย่างนั้นหรือ

ความคิดนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อร้อนรน ชายหนุ่มยังไม่อาจหยุดคิดเรื่องนี้ได้เลยขณะที่นำตัวต้นไม้ยักษ์กลับออกไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล

แขนข้างนี้เป็นของหลี่อู๋เฉินในชาติปางก่อนอย่างนั้นหรือ ถ้าใช่ ในชีวิตก่อนหน้านี้นั้นเขาทรงพลังสักเพียงใดกัน…หวังเป่าเล่อคิดหนัก ดูเหมือนว่าเขาจะรนหาที่ตายเสียแล้ว ความบาดหมางก่อนหน้าระหว่างเขากับหลี่อู๋เฉินก็ยังไม่เสื่อมสลายไป เมื่อมารวมกับสิ่งนี้ ความแค้นระหว่างทั้งสองก็ดูเหมือนจะเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ

แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจจะทิ้งขว้างแขนนั้นไปได้ง่ายๆ หวังเป่าเล่อคิดไม่ตก เพราะเขาไม่อาจจะสังหารหลี่อู๋เฉินได้ เหตุผลแรกเพราะเฟิ่งชิวหรันรู้ว่าหลี่อู๋เฉินเป็นใคร ข้อสอง สถานการณ์ยังไม่บีบบังคับให้เขาถึงกับต้องสังหารอีกฝ่าย อีกอย่างหนึ่ง หากพวกเขาเกิดจะต้องประมือกันขึ้นมาจริงๆ หลี่อู๋เฉินก็เป็นถึงศิษย์แห่งเต๋าในชาติปางก่อน หวังเป่าเล่อเชื่อว่าหลี่อู๋เฉินต้องมีกลเม็ดเด็ดพรายที่ซ่อนเอาไว้เพื่อใช้ในการเอาชีวิตรอดอยู่เป็นแน่

แม้ว่าตัวหลี่อู๋เฉินเองก็อาจจะไม่รู้ว่าเขามีวิชาซ่อนเร้นอยู่จนกว่าจะได้รับความทรงจำจากชีวิตที่แล้วกลับคืนมา แต่ความจริงข้อนั้นก็ทำให้หลี่อู๋เฉินเป็นคู่ปรับที่น่ากลัวทีเดียว

ช่างยุ่งยากเสียจริง ข้าต้องหาวิธีป้องกันตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้หลี่อู๋เฉินมาทำอะไรข้าได้ แม้ว่าเมื่อได้ความทรงจำคืนมาแล้วก็ตาม…

หวังเป่าเล่อได้แต่ลอบถอนใจ ชายหนุ่มไม่ได้มีอารมณ์จะไปตอแยกับต้นไม้ยักษ์อีก กลับกัน เขากลับนิ่งเงียบและคิดอยู่คนเดียวพลางเดินทางกลับไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล ต้นไม้ยักษ์ตามหลังมา และลอบถอนใจเงียบๆ เขาเองก็มีความกังวลใจที่คล้ายคลึงกัน สำนักวังเต๋าไพศาลแห่งเป็นสถานที่ที่อันตรายเกินไปสำหรับเขา ทำให้ต้องคิดหาทางทำให้มันปลอดภัยขึ้นให้ได้ แถมยังต้องสร้างคุณค่าไม่ให้ให้หวังเป่าเล่อสังหารเขาทิ้งทันทีที่หมดประโยชน์

ต้นไม้ยักษ์ครุ่นคิดอยู่เป็นนานก่อนจะนึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องอื้อฉาวที่เขาเคยได้ยินเมื่อครั้งอยู่บนดาวอังคาร เกี่ยวกับหวังเป่าเล่อและลูกสาวหัวหน้าเสนาบดี หลี่หว่านเอ๋อร์ ความคิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นในใจ ต้นไม้ยักษ์เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย

“ผู้อาวุโส ในช่วงสองปีที่ท่านอยู่บนสำนักวังเต๋าไพศาลมา ข้าได้รับอุปการะลูกบุญธรรมคนหนึ่ง นางนิยมชมชอบท่านเป็นอย่างยิ่ง ท่านจะช่วยเรียกนางมาพร้อมกับคนจากสหพันธรัฐรุ่นต่อไปได้หรือไม่ เพื่อที่นางจะได้ติดตามและดูแลท่านไม่ให้ขาดตกบกพร่อง”

บทที่ 625 ผสานรวมกันแขน!
ม่านตาของหวังเป่าเล่อหดตัว ดวงตาทั้งคู่จับจ้องอยู่แต่ที่ตรงแขนข้างนั้นเท่านั้น

มีรัศมีของอาวุฑธเทพที่แข็งแกร่งเปล่งออกมาจากแขนที่หักข้างนั้นที่แทบจะพวยพุ่งขึ้นไปถึงท้องฟ้า ต้นไม้ยักษ์ที่ตัวสั่นถือแขนมาอยากยากเย็น เสียงหอนคล้ายของอสูรร้ายดังออกมาจากหลุมฝังศพไล่หลังมาติดๆ หมอกสีเขียวปริมาณมหาศาลก็พวยพุ่งออกมาพร้อมๆ กัน

หมอกสีเขียวนั้นก่อตัวเป็นหัตถ์ขนาดยักษ์ที่ไล่ตามต้นไม้ยักษ์ไป ดูราวกับว่าจากลากเอาต้นไม้ยักษ์กลับลงไปในหลุมฝังศพและขังเขาเอาไว้ในนั้นตลอดไป!

ต้นไม้ยักษ์รู้สึกสิ้นหวังเมื่ออันตรายเข้ามาใกล้เหลือเกิน ชายวัยกลางคนสัมผัสได้ถึงแรงที่ลากดึงเขากลับไป ความกลัวตายส่งเสียงลั่นอยู่ในศีรษะตลอดเวลาราวกับสัญญาณเตือนไฟ ความหวังเดียวของเขาตอนนี้อยู่ที่หวังเป่าเล่อ เขาทำได้เพียงหวังว่าชายหนุ่มจะไม่ทิ้งเขาให้ตายและคงไม่สั่งให้เขาโยนแขนข้างนี้ไปให้

คำสั่งนั้นจะหมายถึงว่าหวังเป่าเล่อตั้งใจจะช่วยแค่แขนและไม่ใช่ตัวเขา หากเป็นเช่นนั้นต้นไม้ยักษ์ก็ไม่มีทางเลือก เขาก็คงต้องกอดแขนไว้และหวังว่าหวังเป่าเล่อจะพาทั้งเขาทั้งแขนออกไปพร้อมกัน…แต่ก็หมายความว่าทั้งคู่ก็ยังคงเป็นศัตรูกันต่อไป โอกาสรอดชีวิตของเขาหลังจากนั้นช่างริบหรี่

ขณะที่ต้นไม้ยักษ์กำลังจ่มจ่อมอยู่ในความเกรี้ยวกราดและสิ้นหวัง ก็เกิดบางสิ่งที่เกินคาดขึ้น หวังเป่าเล่อไม่ได้ขอให้เขาโยนแขนไป ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มก็ใช้เมล็ดดูดกลืนภายในกายและส่งพลังดูดกลืนนั้นไปที่ต้นไม้ยักษ์ พลังนั้นต่อสู้กับแรงดึงจากหัตถ์ยักษืและช่วยเพิ่มความเร็วให้ต้นไม้ยักษ์อีกแรง!

หวังเป่าเล่อยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เมื่อใช้เมล็ดดูดกลืนแล้ว ร่างอวตารอัสนีของเขาก็ปรากฏขึ้น ทั้งหวังเป่าเล่อร่างอวตารพุ่งตรงไปหาต้นไม้ยักษ์พร้อมกัน

ทั้งคู่มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายต้นไม้ยักษ์แทบจะในเวลาเดียวกัน หัตถ์ยักษ์สีเขียวพุ่งตรงเข้ามาใส่เพื่อจะกำจัดพวกเขาเสีย หวังเป่าเล่อผลักต้นไม้ยักษ์อย่างแรง จนอวัยวะภายในของอีกฝ่ายสั่นสะเทือน แต่ทว่าแรงผลักก็ทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นอีก ระยะห่างระหว่างต้นไม้ยักษ์และหัตถ์สีเขียวก็เพิ่มขึ้นอีก!

จากนั้น ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อก็จับแขนต้นไม้ยักษ์และเหวี่ยงเข้าไปข้างหน้า ในที่สุดต้นไม้ยักษ์ก็หลุดรอดจากความตายมาได้

ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นขณะที่ต้นไม้ยักษ์กำลังหมดหวัง แต่ทว่า ทันทีที่ระยะทางระหว่างทั้งคู่ทิ้งห่างออก หัตถ์ยักษ์ก็พุ่งมาข้างหน้าอีกครั้ง เสียงหายใจดังสนั่นยังคงดังออกมาจากหลุมศพอย่างต่อเนื่อง นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ชายหนุ่มสลับตำแหน่งกับร่างอวตารทันที

ร่างอวตารพุ่งเข้าใส่หัตถ์สีเขียวทันที ส่งผลให้เกิดระเบิดขึ้นทันทีที่ปะทะกัน เสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้น มือของหวังเป่าเล่อเคลื่อนไหวเร็วจนพร่ามัวเมื่อชายหนุ่มเริ่มใช้ผนึกมือแล้วชี้ไปที่คำสาปเหนือหลุมฝังศพ

ประตูที่ส่องสว่างปิดลงทันที หัตถ์ยักษ์ที่ช้าลงเพราะแรงระเบิดของร่างอวตารถูกขังอยู่ในคำสาปด้านใน พลางส่งเสียงร้องอย่างเกรี้ยวกราด

“ตามข้ามา!” ไม่มีเวลารอดูให้เห็นกับตาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหัตถ์นั้นต่อไป หวังเป่าเล่อวิ่งนำหน้าออกไปด้วยสีหน้าเขร่งขรึม ต้นไม้ยักษ์ตกตะลึง เขาไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับแขนที่หักข้างนั้นสักคำเดียว แต่กลับใช้พลังงานทั้งหมดในการช่วยชีวิตตนเอาไว้ ชายวัยกลางคนยังคงตื่นเต้นกับอันตรายที่เขารอดมาได้แบบหวุดหวิด เขาหอบหายใจพลางวิ่งตามหวังเป่าเล่อไปติดๆ ด้วยความช่วยเหลือของหวังเป่าเล่อ ในที่สุดทั้งคู่ก็กลับมาถึงตำหนักวังบูชาจนได้

พวกเขาเคลื่อนที่มาด้วยความเร็วสูงสุด พุ่งทะลุแหวกอากาศราวกับประกายสายฟ้า เสียงหายใจอย่างเกรี้ยวกราดและไร้ชีวิตยังคงตามติดมา ทำให้ทั้งคู่หายใจไม่ทั่วท้อง ทันทีที่พวกเขากลับมาถึงตำหนักวังบูชาและก้าวเข้ามาใน เสียงหายใจที่ดังก้องอยู่ในหูจึงได้หยุดลง ราวกับว่าถูกตัดขาดออกไปกระนั้น

ทั้งคู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ต้นไม้ยักษ์กำลังจะเอ่ยปากพูดแต่หวังเป่าเล่อห้ามเอาไว้ พวกเขาก้าวเขาไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายอย่างเร่งรีบ แสงจากวงแหวนปราณนั้นส่องสว่างปกคลุมทั้งสองเอาไว้ ก่อนที่ทั้งคู่จะพร่าเลือนและมาปรากฏตัวขึ้นอีกทีบริเวณเขตแดนระหว่างตัวกระบี่และด้ามกระบี่ ไกลออกมาจากหลุมฝังศมพากนัก เมื่อนั้นเองพวกเขาจึงค่อยคลายใจ

ใบหน้าของต้นไม้ยักษ์ซีดเผือด หัวใจเขายังคงเต้นโครมครามอย่างควบคุมไม่ได้ ความตายเพิ่งจะมาลอยคุกคามอยู่เหนือศีรษะเขาอยู่เมือครู่ ความประมาทเพียงชั่วพริบตาอาจทำให้เขาตายไปแล้วก็ได้

“ที่นี่มันอะไรกัน” ต้นไม้ยักษ์พึมพำก่อนจะหันไปมอบรอบๆ

หวังเป่าเล่อนึกถึงคำตอบแบบประชดประชันขึ้นมาได้ เจ้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน ก่อนจะมีความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง ชายหนุ่มทำทีเป็นฉลาดเฉลียวก่อนจะกล่าวอย่างเยือกเย็น

“มีบางเรื่องที่เจ้าไม่รู้เสียจะดีกว่า” หวังเป่าเล่อจ้องตาต้นไม้ยักษ์อย่างเปี่ยมความหมาย ก่อนจะกวาดตาไปมองแขนที่หักในมือของอีกฝ่าย ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยปากขอ แต่เพียงแต่จ้องมองต้นไม้ยักษ์อย่างเงียบเชียบเช่นนั้น

ต้นไม้ยักษ์ถึงกับใบ้เบื้อ เขาทั้งตื้นตันกับความช่วยเหลือที่หวังเป่าเล่อให้ แม้ว่าเขาจะมีความคิดร้ายใดๆ อยู่ก่อนหน้า บัดนี้ความคิดเหล่านั้นก็มลายหายไปสิ้นแล้ว ชายวัยกลางคนค้อมศีรษะลงก่อนจะยื่นส่งแขนข้างนั้นให้หวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อแทบจะควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ขณะที่จับจ้องไปที่แขนข้างนั้น ชายหนุ่มรับแขนนั้นมาจากจ้นไม้ยักษ์ก่อนจะเริ่มมองสำรวจอย่างถี่ถ้วน หัวใจเขาเต้นแรง รัศมีของอาวุธเทพที่เปล่งออกมาจากแขนหักๆ ข้างนั้นแก่กล้ายิ่ง แม้จะเป็นเพียงแสงแขนที่หัก และผิวหนังก็เหี่ยวย่นและแห้งผาก มีกระดูกสีขาวทิ่มออกมาจากข้อต่อ ทั้งเลือดและเนื้อก็แห้งหายไปนานแล้ว ราวกับว่าเป็นแขนของศพผีโบราณกระนั้น

แขนข้างนี้เป็นของใครกัน แค่แขนยังทรงพลังถึงเพียงนี้…ยังมีส่วนอื่นๆ ของร่างกายถูกฝังอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่นะ…หวังเป่าเล่ออดสงสัยไม่ได้ แต่ทว่า ชายหนุ่มก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปในหลุมฝังศพนั้นมาก่อน หวังเป่าเล่อเชื่อว่าต้นไม้ยักษ์เป็นคนเดียวที่อาจจะรู้เรื่องเกี่ยวกับหลุมฝังศพนั้น

ต้นไม้ยักษ์คงไม่อาจบอกอะไรเขาได้ละเอียดนักเพราะเขาขาดข้อมูลสำคัญไป…หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบอยู่กับความคิด ชายหนุ่มตัดสินใจจะไม่ถามอะไรต้นไม้ยักษ์ตอนนี้ เขารู้ดีว่าการเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการถามคำถามแรกนั้นสำคัญเพียงใด จังหวะนั้นอาจจะส่งผลถึงความน่าเชื่อถือของคำตอบจากต้นไม้ยักษ์

ชายหนุ่มตัดสินใจจะไม่ทำการหุนหันพลันแล่น เขาจะรอจนกว่าจะถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อจะได้คำตอบที่จริงแท้ที่สุด เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะตัดสินใจเลิกคิดเรื่องต้นไม้ยักษ์ ผู้ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกภักดีกับใครแน่ ก่อนจะเริ่มจ้องมองศึกษาแขนข้างนั้นอย่างขะมักเขม้นต่อไป หวังเป่าเล่อปล่อยให้พลังปราณไหลบ่าเข้าไปสู่แขน รัศมีอันรุนแรงที่แผ่ออกมาจากแขนนั้นยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก ขณะที่พลังงานอันยิ่งใหญ่ไหลเวียนอยู่ภายในแขนนั้น

หวังเป่าเล่อตกใจกับการตื่นขึ้นอย่างฉับพลันทันด่วนของแขน มีบางสิ่งที่เขายังไม่เข้าใจ ชายหนุ่มพยายามจะปลุกใช้งานแขนก่อนที่จะได้รับอนุญาต พลังอันยิ่งใหญ่ของมันทำเอาหวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับเป็นเด็กน้อยที่กำลังเหวี่ยงกระบี่เล่มยักษ์!

ช่างเหน็ดเหนื่อยยิ่ง หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงการแข็งขืนจากแขนนั้น มันสั่นอย่างรุนแรงอยู่ในมือเขา ความชำนาญเรื่องอาวุธเวทของเขาทำให้เขาได้ข้อสรุปว่า หากเขายังขืนดึงดันจะใช้แขนนี้ต่อไป พลังของมันก็จะไม่แยกแยะมิตรหรือศัตรู แต่จะพยายามกลืนกินเขาเข้าไปด้วย

แต่ถึงอย่างนั้น หวังเป่าเล่อก็ยังอยากจะเอามันมาไว้ในครอบครอง การพินิจพิจารณาในช่วงสั้นๆ นั้นแสดงให้เห็นว่าพลังที่ไหลบ่าออกมาจากแขนนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าอาวุธเวทที่เขาครอบครองอยู่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหอกดำหรือกระบี่เหาะเหินสามสีก็ยังอ่อนแอไปถนัดตาเมื่อเทียบกัน!

มีเพียงอาวุธเทพของสหพันธรัฐเท่านั้นที่พอจะเทียบได้ แต่ก็แน่นอนว่า อาวุธเทพของสหพันธรัฐนั้นยังไม่แข็งแกร่งเท่าวัตถุเวทแห่งความมืดของหวังเป่าเล่อ

แต่ถึงกระนั้น สิ่งนี้ก็ยังเป็นอาวุธเทพ!

ข้าจะเอามันมาใช้โดยไม่ให้บุบสลายได้อย่างไรกัน…หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ชายหนุ่มคิดอยู่อึดใจใหญ่ จนกระทั่งเกิดความคิดอยู่ขึ้นมาในศีรษะ ช่างเป็นความคิดที่บ้าคลั่งและบ้าบิ่นยิ่ง

ความคิดนั้นเป็นราวกับวัชพืช ที่เมื่อได้ลงดินแล้วก็ชอนไชเติบโตอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีทางจะกำจัดมันออกไปได้ จนกระทั่งเริ่มทำให้หวังเป่าเล่อกังวล แววตาแห่งความมุ่งมั่นฉายชัดขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม เขาพูดขึ้นมาปุบปับ “สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ โปรดถอยหลังไปหน่อย”

ต้นไม้ยักษ์ถอยห่างออกมาอย่างกังวลใจในทันที หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเปิดใช้เกราะจักรพรรดิลักอัคคีขึ้น จุดตันเถียนในกายเขาปรากฏขึ้น พลางส่องแสงสีแดงระยับขณะที่เคลื่อนที่ไปมาอยู่ในอากาศและก่อนจะแปรสภาพเป็นเกราะจักรพรรดิหน้าตาน่าสะพรึงกลัว

จุดตันเถียนสีแดงสดออกมาก่อตัวเป็นเกราะอยู่นอกกายหวังเป่าเล่อ เกราะนั้นแผ่กระจายพลังงานที่ทำเอาต้นไม้ยักษ์หายใจไม่สะดวก พายุหมุนบังเกิดขึ้นรอบๆ กายเขา ต้นไม้ยักษ์เข้าใจในบัดนั้นเองว่าหวังเป่าเล่อทรงพลังเพียงใด ชายวัยกลางคนถึงกับหยุดหายใจ และผงะล่าถอยไปหลายก้าว

หวังเป่าเล่อไม่สนใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ทันทีที่เกราะสร้างตัวขึ้นมาสำเร็จ ชายหนุ่มก็เอื้อมมือซ้ายไปหยิบเอาแขนหักๆ ข้างนั้นมาถือไว้ ประกายกล้าฉายสว่างอยู่ในดวงตาขณะที่เขาวางเอาแขนข้างนั้นลงไปทาบกับแขนขวาของเกราะ ก่อนจะกดลงไปอย่างรุนแรง แขนนั้นเข้าผสานรวมกับเกราะและรวมเป็นเนื้อเดียวกับแขนขวาของเกราะ แขนหักๆ ข้างนั้นกลายมาเป็นแขนขวาของชายหนุ่มในบัดดล!

และสิ่งนี้คือความคิดอันบ้าระห่ำที่หวังเป่าเล่อคิดได้เมื่อครู่!

บทที่ 624 กระดูกอาวุธเทพโบราณ
ต้นไม้ยักษ์ไม่มีทางเลือก!

เขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเลือกอะไรได้ ชายวัยกลางคนในตอนนี้ก็เหมือนกับหวังเป่าเล่อเมื่อเพิ่งจะไปถึงดาวอังคาร ตอนนั้นชายหนุ่มก็ไม่อาจจะเลือกสิ่งใดได้ เขาถูกบังคับให้ต้องระมัดระวังตัว และค่อยๆ สั่งสมพลังและอำนาจกระทั่งไปถึงจุดที่สามารถรับประกันความปลอดภัยให้ตนเองและผลประโยชน์ของตนได้

เมื่อหวังเป่าเล่อเพิ่งมาถึงดาวอังคาร หากเขาไม่ได้เลือกเข้าไปอยู่ในฝ่ายการศึกษาเพื่อสร้างชื่อให้ตนเอง ชายหนุ่มคงไม่ได้มีโอกาสไปสร้างความประทับใจให้กับเจ้านครอาณานิคม และไม่เลือกจะต่อสู้เพื่อตำแหน่งผู้ปกครองเขตนครใหม่ เขาก็คงไม่รู้ว่าเจ้าเยี่ยเหมิงสำคัญเพียงใดกับเจ้านครเมื่อเขามาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล และคงไม่มีชื่อเสียงและไต่เต้าขึ้นตำแหน่งมาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ หวังเป่าเล่อก็คงไม่ได้เป็นปัญหากับต้นไม้ยักษ์มากมายนัก โอกาสที่จะเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุก็คงมีมากขึ้นโขทีเดียว

แน่นอนว่า ขณะนั้นต้นไม้ยักษ์เองก็ระแวงต้วนมู่ฉีอยู่ แต่เขากลับอ่านแผนการส่งหวังเป่าเล่อไปดาวอังคารไม่ออก ทำให้ต้องทั้งอดทนและระมัดระวังในการกระทำตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ดี เมื่อต้นไม้ยักษ์ตัดสินใจจะลงมือทำตามแผน หวังเป่าเล่อก็พัฒนามาไกลและมีเครือข่ายอันกว้างขวางที่ทำให้ต้นไม้ยักษ์ไม่อาจลงมือกับเขาได้

ความแค้นเคืองระหว่างทั้งคู่ยังคงอยู่ แต่ก็ไม่มีความพยายามจากทั้งสองฝ่ายที่จะจบเรื่องนี้เสียง เป็นเหตุให้หวังเป่าเล่อต้องจัดฉากสร้างเรื่องมากมายแล้วจึงปล่อยต้นไม้ยักษ์ไปง่ายๆ การบุกเข้าไปในหลุมฝังศพเป็นเป้าหมายหลักของเขา การบังคับให้ต้นไม้ยักษ์ยอมจำนนนั้นเป็นเป้าหมายรอง

หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจว่าต้นไม้ยักษ์จะยอมรับนับถืออำนาจของตนหรือไม่ อัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงระบุไว้ชัดเจน ไม่มีความซื่อสัตย์ใดจะคงอยู่ตลอดไป และไม่มีการทรยศหักหลังตลอดกาลเช่นกัน ชายหนุ่มเพิ่งแต่ต้องบอกให้ต้นไม้ยักษ์รู้ว่าการจะทรยศเขานั้นมีราคาอันแสนแพงเช่นใด แพงจนเขาคงจะจ่ายไม่ไหว ข้อนั้นอย่างเดียวก็คงจะเพียงพ

ข้อคิดนี้เป็นจริงสำหรับทุกสิ่งในโลก รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงด้วย หวังเป่าเล่อรู้เรื่องนี้ดี แม้เขาจะไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้นัก สำหรับเรื่องแรก ชายหนุ่มก็กระทำตามความเชื่อมของตนมาตลอด เป็นเหตุให้ชายหนุ่มพาต้นไม้ยักษ์ออกมาจากสำนักวังเต๋าไพศาล และใช้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายพาตัวเขาไปยังตำหนักวังบูชา!

หากเป็นคนอื่นก็คงไม่มีสิทธิใช้วงแหวนปราณนี้ ไม่ว่าจะขออนุญาตสักกี่ครั้งก็ตาม มีเพียงผู้ที่ถือครองใบต้นไฮยาซินเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ใช้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายน้ได้

อย่างไรก็ตาม กฎเหล่านี้ใช้กับหวังเป่าเล่อไม่ได้ ในฐานะหนึ่งในสี่ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาล หากสิ่งที่เขาจะทำไม่ใช่การก่อกบฎแล้ว ก็ไม่มีใครจะทัดทานการกระทำของเขาได้เลย

ชายหนุ่มไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยว่าเสียท่าเมื่อออกมาอยู่ตามลำพังกับต้นไม้ยักษ์ สถานะของเขาทำให้คำสาปส่วนใหญ่บนตัวกระบี่นั้นไร้ผล สถานที่สุดแสนจะอันตรายสำหรับต้นไม้ยักษ์ สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วก็เปรียบเสมือนห้องนั่งเล่น อีกอย่างหนึ่ง ชายหนุ่มก็มั่นใจในพลังของตนพอสมควร

เขาเคยสังหารวิญญาณจุติมาแล้ว ต้นไม้ยักษ์อาจจะแข็งแกร่งก็จริง…แต่ก็ยังไม่เก่งเท่าจักรพรรดิวายุทมิฬหรือผู้อาวุโสซุนไห่!

หวังเป่าเล่อไม่มีความคิดจะสังหารต้นไม้ยักษ์แม้แต่น้อย แต่ทว่า หากอีกฝ่ายแสดงอาการมุ่งร้าย หวังเป่าเล่อก็จะไม่เมตตา ชายหนุ่มจะไม่พยายามปกปิดอีกด้วย เขาจะประกาศอย่างเปิดเผยเพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าต้นไม้ยักษ์นั่นมาทำร้ายเขาก่อน!

หวังเป่าเล่อแน่ใจว่าต้นไม้ยักษ์ที่ทั้งเจ้าเล่ห์และฉลาดเฉลียวรู้ดีถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบในสถานการณ์ของเขา ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น ต้นไม้ยักษ์ยังคงประหม่าต่อไปหลังจากที่หวังเป่าเล่อพาเคลื่อนที่มายังตัวกระบี่แล้ว ท่าทีของเขาต่อหวังเป่าเล่อก็ยังคงนบนอบอยู่เช่นเดิม

“เจ้าเห็นสิ่งนั้นหรือไม่” ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็เดินออกมาจากตำหนักวังบูชา หวังเป่าเล่อรีบนำทางต้นไม้ยักษ์ไปตามทางที่คุ้นเคย พวกเขามาปรากฏอยู่ตรงขอบของพื้นที่ต้องสาปที่หลุมฝังศพตั้งอยู่ หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นชี้

ต้นไม้ยักษ์เริ่มระวังตัวเต็มที่ทันที เขารวบรวมสติก่อนจะมองออกไป ไม่มีทางเลยที่จะเผลอไผล ชายวัยกลางคนค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ทำร้านตน แต่สถานที่ใดก็ตามที่ทำให้หวังเป่าเล่อต้องระแวดระวังตัวเช่นนั้นต้องอันตรายเป็นอย่างมากแน่นอน

ต้นไม้ยักษ์สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะก้มลงมองพื้นอย่างระมัดระวัง เขาสำรวจคำสาปนั้น แล้วตามด้วยหลุมฝังศพ และมองไปเห็นเนินฝังศพรวมทั้งรอยแยกและหมอกสีเขียว

ประสาทสัมผัสของเขาตายด้านไปหมดเพราะคำสาป แต่ทว่า ทันทีที่ต้นไม้ยักษ์มองเห็นหมอกสีเขียว เขาก็รู้ถึงได้ถึงปราณกังวานของตนเองกับหมอกนั้น นัยน์ตาเขาเป็นประกาย จากนั้นจึงเหลือบไปเห็นกระบี่ไม้วางนอนอยู่บนพื้น!

ตอนนั้นเองต้นไม้ยักษ์จึงเข้าใจว่าทำหวังเป่าเล่อถึงได้เลือกพาตัวเขามาที่นี่ เขาเริ่มสงสัยว่าจะผ่านอุปสรรคตรงหน้าไปได้หรือไม่

หวังเป่าเล่อไม่ได้รบเร้าอีกฝ่าย ชายหนุ่มรอให้ต้นไม้ยักษ์ตัดสินใจเอง พลางถอนใจอย่างโล่งอก สิ่งนี้เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงชอบทำงานกับคนฉลาดเฉลียว ชายหนุ่มเพียงต้องพูดเรื่องเดียวเท่านั้นพวกเขาก็จะเข้าใจที่เหลือเองทุกอย่าง ไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายมากมาย

ครู่ใหญ่ต่อมา นัยน์ตาของต้นไม้ยักษ์ก็ส่องประกายอย่างตกลงปลงใจ เขายกมือขึ้นประสานคารวะหวังเป่าเล่อ

“ผู้อาวุโสหวัง โปรดปลดคำสาปออกด้วย ข้าจะเข้าไปสำรวจหลุมฝังศพนี้ให้ละเอียดก่อนจะกลับมาให้คำตอบกับท่าน”

หวังเป่าเล่อพยักหน้า และด้วยการสะบัดมือเพียงครั้งเดียว ประตูแห่งแสงก็ปรากฏขึ้นบริเวณขอบของพื้นที่ต้องสาป มันเหวี่ยงเปิดออก อากาศจากภายในพวยพุ่งออกมา พร้อมๆ กันนั้นก็มีเสียงหายใจที่แทบจะฟังไม่ได้ยินเล็ดลอดออกมาด้วย

หวังเป่าเล่อมองต้นไม้ยักษ์ที่ใช้ผนึกมือด้วยท่าทีขึงขังอย่างระแวดระวัง ต้นไม้ยักษ์หักนิ้วออกมาข้อหนึ่งก่อนจะขว้างออกไป นิ้วที่หักนั้นแปรสภาพเป็นคนตัวจิ๋วที่วิ่งตรงไปยังประตูส่องสว่างที่เปิดค้างอยู่นั้น

คนตั้วจิ๋ววิ่งผ่านเข้าไปได้และมุ่งตรงไปทางหมอกเขียวอย่างไม่ลังเล มันวิ่งไปรอบๆ หลุมฝังศพก่อนจะหยิบเอากระบี่ไม้ที่ตกอยู่บนพื้นและกลับมาอย่างรวดเร็ว

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยตลอดทั้งกระบวนการนั้น ไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับคนตัวน้อย มันย้อนกลับมาอย่างปลอดภัยและกลายสภาพกลับเป็นนิ้วของต้นไม้ยักษ์ตามเดิม เขาหันมายื่นกระบี่คืนให้หวังเป่าเล่ออย่างสุภาพก่อนจะกระซิบ

“หมอกสีเขียวแทบไม่มีผลกับข้าเลย ข้าคงจะอยู่ข้างในได้ราวๆ สามสิบนาที ผู้อาวุโสหวังต้องให้ข้าทำสิ่งใด”

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาไม่ได้รับกระบี่กลับมา แต่กลับถามว่า “เจ้าสัมผัสถึงมันได้ไหม”

ต้นไม้ยักษ์ไม่กล้าปกปิดความจริงจากหวังเป่าเล่อ แม้ว่าชายหนุ่มจะเด็กกว่าเขา แต่ต้นไม้ยักษ์ก็รู้นิสัยใจคอและวิธีการของหวังเป่าเล่อดี เขาเคยเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งเพียงใด ทั้งบนดวงจันทร์และบนดาวอังคาร ชายวัยกลางคนรู้จักกระบวนเวทอันแข็งแกร่งที่เด็กหนุ่มคนนี้มีเกือบหมด และวิธีการสังหารที่มีอยู่มากมายพอๆ กัน

เขาจึงพูดไปตามจริง

“ข้าสัมผัสได้…การมีอยู่ของอาวุธเทพ!” ต้นไม้ยักษ์ตัวสั่นทันทีที่เขาละล่ำละลักออก คุณค่าของอาวุธเทพต่อผู้ฝึกตนนั้นช่างยากยิ่งจะบรรยาย!

“ดีมาก เจ้าเอากระบี่เล่มนี้ไปเถิด แล้ว…ไปเอาอาวุธเทพนั้นมาให้ข้า!” หวังเป่าเล่อพยักหน้าก่อนจะพูดอย่างเยือกเย็ก มีแสงประหลาดฉายวาบอยู่ในแววตา เขาจ้องมองไปยังต้นไม้ยักษ์เหมือนจะรอให้อีกฝ่ายตัดสินใจ

ต้นไม้ยักษ์นิ่งเงียบ เขาคิดอยู่นานก่อนจะตัดสินใจกัดฟัน เขาไม่ได้ปฏิเสธ หรืออธิบายว่างานนี้จะยากลำบากเพียงใด นี่เป็นโอกาสของเขา ที่จะยุติความบาดหมางกับหวังเป่าเล่อและมีโอกาสได้บรรลุขั้น โอกาสนี้…หวังเป่าเล่อจะเป็นผู้มอบให้ ชายหนุ่มพูดเองว่า นี่เป็นโอกาสการบรรลุขั้นสู่ขั้นจุติวิญญาณ!

ต้นไม้ยักษ์เริ่มหนทางสู่การฝึกต้นเมื่อหลายปีก่อน เพราะเขาได้ดูดซับผลไม้ไปเพียงครึ่งผลเท่านั้นบนดวงจันทร์ ระดับปราณของเขาจึงยังคงอยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุด ไม่อาจจะบรรลุสู่ขั้นต่อไปได้ ต้นไม้ยักษ์ทำได้เพียงแต่เฝ้ามองขณะที่ต้วนมู่ฉี หลี่ซิงเหวิน และกระทั่งสวีหยุนคุนต่างก็บรรลุขั้นกันหมด เขาแทบอดรนทนไม่ไหว

ต้นไม้ยักษ์ไม่เชื่อหากใครจะบอกเขาว่าจะมอบโอกาสนี้ให้เขาได้ แต่ชายคนนี้คือหวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งไต่เต้ามาจนได้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาล เขาเชื่อหวังเป่าเล่อ!

แววตาแห่งความมุ่งมั่นปรากฏอยู่บนใบหน้าของต้นไม้ยักษ์ เขาพุ่งตัวผ่านประตูที่ส่องแสงสว่างจ้า มุ่งหน้าเข้าไปยังหมอกสีเขียวภายใต้กายมองอย่างกังวลแต่เปี่ยมความหวังของหวังเป่าเล่อ ร่างกายของต้นไม้ยักษ์หดลง ก่อนที่เขาจะไหลเข้าไปในรอยแตกหนึ่งบนหลุมฝังศพ!

หวังเป่าเล่อเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ตื่นเต้นใหญ่ ชายหนุ่มเตรียมการจะผละหนีทันทีหากแผนล้มเหลว เขายังเปิดใช้เกราะจักรพรรดิลักอัคคีอีกด้วย เขาไม่ใช่คนไม่รู้คุณคน หากต้นไม้ยักษ์ทำเต็มที่เพื่อจะทำหน้าที่ให้สำเร็จ หวังเป่าเล่อก็จะหาวิธีให้พวกทั้งคู่หนีไปพร้อมกันได้หากเกิดอันตราย

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ในไม่นานนานก็ผ่านไปสามสิบนาที มีรอยย่นปรากฏอยู่บนหน้าผากของหวังเป่าเล่อขณะที่ชายหนุ่มหรี่ตา ทันใดนั้นเองก็เกิดการระเบิดขึ้นมาจากในสุสาน!

รอยแยกบนสุสานนั้นใหญ่ขึ้นและขยายใหญ่ขึ้นขณะที่เสียงระเบิดดังสนั่นยังคงดังอยู่ต่อไป หมอกสีเขียวไหลบ่าออกมาจากรอยแตก เสียงหายใจเริ่มดังขึ้นทุกทีๆ หวังเป่าเล่อตัวสั่น ศีรษะเริ่มจะหมุนเวียน ทันใดนั้นเอง ต้นไม้ยักษ์ก็พุ่งตัวออกมาจากรอยแยก!

ใบหน้าเขาซีดขาว ผนวกกับความกลัวที่ฉายชัดบนแววตา ในมือเขา…ถือกระดูกของแขนที่หักออกอยู่!

แขนที่หักข้างนั้นเปล่งรัศมีอันรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับเวลาและความตาย พลังที่แผ่ออกมานั้นเป็นของอาวุธเทพชัดเจน!

บทที่ 623 อีกก้าวเดียวเท่านั้น!
ต้นไม้ยักษ์นั่งฟังประมุขสำนักสวีอย่างยิ่งเงียบ ชายผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยต่อสู้กับเขาเพื่อแย่งชิงโอกาสการบรรลุขั้นบนดวงจันทร์ สมองเขาเริ่มทำงานอย่างหนักขณะที่ต้นไม้ยักษ์เองไม่ได้แสดงสีหน้าออกมา มีเพียงความสุภาพและอ่อนน้อมเท่านั้น เขายกมือขึ้นประกบกันก่อนจะโค้งคำนับต่ำ

“ข้าน้อยขอบคุณประมุขสำนักสวีสำหรับคำแนะนำ!”

ประมุขสำนักสวี ผู้ที่เพิ่งจะบรรลุถึงขั้นจุติวิญญาณ จ้องมองต้นไม้ยักษ์ด้วยแววตาลุ่มลึกเปี่ยมความหมาย เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่เดินนำไปยังวังของหวังเป่าเล่อเท่านั้น

ต้นไม้ยักษ์เดินตามมาอย่างเร่งรีบ ขณะที่ผู้มาใหม่เริ่มจะกระจายตัวกันออกไป ต้นไม้ยักษ์ก็เริ่มเดินตามประมุกสวีไปที่วังแห่งที่สี่บนยอดเขา

วิญญาณปราณหนักข้นอยู่ในอากาศ เพราะวิญญาณจุตินับสิบดวง แถมยังพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณของเมี่ยเลี่ยจื่อและผู้อาวุโสสูงสุดอีกสองคน วงแหวนปราณที่ทอดยาวและสูงจนครอบคลุมทั้งสวรรค์และพื้นพิภพ ทุกๆ อย่างทำให้ต้นไม้ยักษ์อดอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ หัวใจของเขารู้สึกหนักหน่วงขึ้นทุกทีๆ

ซ้ำร้าย ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงวังแห่งที่สี่ ต้นไม้ยักษ์ก็มองเห็นรูปปั้นขนาดยักษ์ของหวังเป่าเล่อยืนตระหง่านอยู่ ช่างเป็นภาพที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ชายวัยกลางคนสัมผัสได้ถึงพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากวัง ลมหายใจเขาถี่เร็ว สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างน่ากลัวขึ้นไปอีกก็คือสีหน้าที่แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนและเคารพนับถือของประมุขสำนักสวีเมื่อเขาก้มศีรษะคำนับประตูที่ปิดอยู่ ชายผู้นี้อยู่ในขั้นจุติวิญญาณและสามารถจะเอาชนะต้นไม้ยักษ์ได้อย่างง่ายดาย

“สวีหยุนคุนคารวะผู้อาวุโสสูงสุด ข้าได้นำตัวสหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้มาแล้วตามคำสั่งของท่าน”

คลื่นอารมณ์ถาโถมจนต้นไม้ยักษ์แทบจะสิ้นสติจากฉากตรงหน้า แม้ว่าจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่เมื่อได้เห็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณประพฤติกับหวังเป่าเล่อด้วยความนอบน้อมเช่นนี้ก็ทำเอาเขาแถบคุมลมหายใจเอาไว้ไม่อยู่ หัวใจเขาเต้นโครมคราม พลางค้อมศีรษะลงตามสัญชาติญาณพร้อมยกมือประสานก่อนจะกล่าวอย่างขมขื่น

“ต้นหอมหมื่นลี้แห่งดวงจันทร์คารวะผู้อาวุโสสูงสุด”

ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมห้องโถงหลังจากการคารวะของทั้งคู่ ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงของหวังเป่าเล่อจึงดังขึ้นมา อย่างเนิบช้าและสงบ

“เข้ามาได้”

ประมุขสำนักสวีรู้ดีว่าเขาไม่ควรอยู่ร่วมการพบปะในครั้งนี้ เมื่อได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อ เขาจึงค้อมศีรษะลงคำนับอีกครั้ง ก่อนจะจากไปโดยไม่ได้จ้องมองมาทางต้นไม้ยักษ์อีก

ต้นไม้ยักษ์เริ่มตื่นตระหนกและถอนใจหนักในเวลาเดียวกัน เขาเดินวนเวียนอยู่นานก่อนจะกัดฟันและตัดสินใจเดินมุ่งตรงไปยังวัง เขาผลักประตูเปิดออก ร่างของหวังเป่าเล่อที่หันหลังอยู่ปรากฏขึ้นบนคลองจักษุทันทีที่เขาเดินเข้าไป

“ต้นหอมหมื่นลี้แห่งดวงจันทร์คารวะผู้อาวุโสสูงสุด!” ต้นไม้ยักษ์ค้อมศีรษะลงต่ำอย่างนอบน้อมพร้อมยกมือประสาน พลางถอนใจอยู่ภายใน

ห้องโถงใหญ่ของวังนั้นโออ่ายิ่งนัก นอกเหนือจากเก้าอี้ขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงปลายด้านหนึ่งแล้ว ทั้งสองข้างก็เรียงรายไปด้วยเก้าอี้เจ็ดถึงแปดตัว รูปปั้นเก้ารูปตั้งอยู่รอบๆ โถง พวกมันดูเหมือนกับยามและมีพลังของวงแหวนปราณไหลบ่าออกมา ต้นไม้ยักษ์หวั่นเกรงเป็นอย่างยิ่ง

หวังเป่าเล่อยืนหันหลังให้ต้นไม้ยักษ์อยู่ ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างๆ เก้าอี้ที่ปลายสุดของห้องโถง จ้องมองไปยังรูปปั้นที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินคำทักทายของต้นไม้ยักษ์แต่อย่างด ราวกับว่ารูปปั้นตรงหน้านั้นมีความลับที่เขาต้องใช้สมาธิอย่างสูงเพื่อถอดรหัสก็ไม่ปาน

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า และหวังเป่าเล่อก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับมา ชายหนุ่มยังคงเฝ้ามองรูปปั้นอยู่เช่นนั้น ความเงียบสงัดนั้นทรมานใจต้นไม้ยักษ์อย่างยิ่ง เขาวิตกกังวลจนเหนื่อยใจ รัศมีของวังเข้าโอบล้อมกายเขาไว้ ความกังวลก็เพิ่มสูงขึ้นทุกทีขณะที่ยืนรออย่างขมขื่น

ทุกสิ่งทุกอย่างแย่ลงอีกเมื่อ…ฉากที่คุ้นเคยเริ่มก่อตัวขึ้นตรงหน้าเขา…ครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อมาถึงดาวอังคาร ต้นไม้ยักษ์ก็เรียกตัวเขาเข้าไปในห้องทำงาน จากนั้นจึงได้ทำเช่นเดียวกันนี้กับหวังเป่าเล่อ เพื่อเป็นการสอนให้รู้จักที่ต่ำที่สูง

สิ่งนี้คือการแก้เผ็ดของหวังเป่าเล่อ ต้นไม้ยักษ์ไม่อาจจะหยุดเขาได้ ทำได้เพียงแค่รออย่างเงียบงัน ประตูวังค่อยๆ เลื่อนปิดลงช้าๆ ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ปราณวิญญาณที่หนักข้นในอากาศนั้นก่อตัวเป็นหมอกวิญญาณอยู่ในห้องโถง

ภายใต้หมอกนั้น ร่างของหวังเป่าเล่อแผ่รัศมีของความเป็นปริศนา ต้นไม้ยักษ์ยังคงไม่สบายใจมากขึ้นทุกขณะ สิบห้านาทีผ่านไป ขณะที่ความกลัวและวิตกกังวลของต้นไม้ยักษ์พุ่งขึ้นถึงขีดสุด เสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังกังวานไปทั่วทั้งโถง

“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้…” หวังเป่าเล่อค่อยๆ ลุกขึ้นยืนขณะที่พูด

“เราได้พบกันอีกแล้ว!”

คำพูดเหล่านั้นฟังดูคุ้นหู ต้นไม้ยักษ์เริ่มสำนึกเสียใจ ศีรษะเขายังคงก้มต่ำ เขาไม่รู้จะต้องพูดตอบว่าอย่างไร

“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าข้ากลายมาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ของสำนักวังเต๋าไพศาลได้อย่างไร” หวังเป่าเล่อดูเหมือนว่ากำลังฉีกยิ้มกว้างอยู่ สายตาของชายหนุ่มจับจ้องมาทางต้นไม้ยักษ์ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

ต้นไม้ยักษ์กลุ้มใจ ชายวัยกลางคนเข้าใจแล้วว่าหวังเป่าเล่อรู้สึกอย่างไรเมื่อพวกเขาพบกันครั้งแรกบนดาวอังคาร เขาเองก็ถามคำถามคล้ายๆ กันนี้ เขารู้ดีว่าหวังเป่าเล่อคงต้องการให้เขาเล่นด้วย ยังรู้อีกด้วยว่าตัวเขาเองไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะปฏิเสธหวังเป่าเล่อได้ ต้นไม้ยักษ์จึงทำใจและตอบออกไปว่า

“ทำไม…

“ทำไม เจ้าถามข้าหรือว่าทำไม” แสงประหลาดสะท้อนอยู่บนดวงตาของหวังเป่าเล่อ และสายฟ้าก็ปะทุขึ้นมาจากกายของชายหนุ่ม เขาจ้องมองที่ต้นไม้ยักษ์ก่อนจะพูดช้าๆ

“ก็เพราะว่าข้าอยู่ห่างจากขั้นกำเนิดแก่นในเพียงก้าวเดียว เพียงก้าวเดียว ก้าวเดียวเท่านั้น! ด้วยระดับปราณและความสามารถในการต่อสู้ของข้า หากข้าบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในในตอนนั้น ข้าก็คงจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณแล้วในตอนนี้ ข้าก็คงจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้อาวุโสสูงสุดเป็นแน่!”

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง คำพูดของเขาสะท้อนก้องไปทั่วห้องโถง วังทั้งหลังสั่นไหว มีแรงกดดันประหลาดรายล้อมรอบกายต้นไม้ยักษ์เอาไว้ ทำให้เอาเขาแทบทรุดตัวลงคุกเข่า

ต้นไม้ยักษ์ยิ้มแหยๆ ตัวเขาเองคุ้นชินกันถ้อยคำเหล่านั้นเป็นอย่างดี เขาใช้คำเหล่านี้ข่มขู่หวังเป่าเล่อมาก่อนในอดีต หากมีทางเลือก ต้นไม้ยักษ์คงจะขอออกจากวังนี้และกลับไปยังดาวอังคารทันที

กระบี่สำริดเขียวโบราณเป็นสถานที่ที่อันตรายเกินกว่าที่เขาจะมาอยู่ได้

สัมผัสอันตรายและไม่สงบนั้นไม่ได้จางหายไป หวังเป่าเล่อที่มีใบหน้าโกรธจัดเดินลงไปนั่งลงบนเก้าอี้อย่างช้าๆ ก่อนจะจับต้องมาที่ต้นไม้ยักษ์ด้วยสายเย็นชาก่อนจะพูด

“ข้ามาคิดดูแล้ว หากข้าลองกินผลไม้หายากในตอนนี้ ข้าจะบรรลุขั้นจุติวิญญาณหรือไม่นะ…เช่นครึ่งหนึ่งของผลไม้ที่เจ้ากลืนเข้าไปเมื่ออยู่บนดวงจันทร์”

ศีรษะของต้นไม้ยักษ์ส่งเสียงสนั่นอื้ออึงเมื่อได้ยินคำนั้น เขาเริ่มหอบหายใจก่อนจะซวนเซถอยหลังไปอย่างควบคุมไม่ได้ มีพลังมหาศาลปรากฏขึ้นรอบกายเขา พลางจับเขาไว้ให้ยืนนิ่งอยู่กับที่

ต้นไม้ยักษ์ตัวสั่นอย่างรุนแรงด้วยความกลัวที่พวยพุ่งขึ้นมาในจิตใจ หวังเป่าเล่อต้องการให้ส่งตัวเขาขึ้นมาบนสำนักวังเต๋าไพศาลเพราะเหตุนี้นั่นเอง!

ต้นไม้ยักษ์ไม่อาจจะยอมรับเรื่องนี้ได้ แต่ก็ไม่อาจขัดขืน หวังเป่าเล่อไม่ใช่อย่างเดียวที่กดดันเขาอย่างหนัก แต่สถานะของชายหนุ่ม ณ ที่นี้ทำให้ต้นไม้ยักษ์ไร้ทางต่อต้าน แต่ชายวัยกลางคนก็ยังไม่หมดเล่ห์กล แม้ว่าเขาจะกำลังตื่นตกใจ เขาก็รู้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้นที่นี่ และหากหวังเป่าเล่อต้องการจะกินเขาทั้งเป็น ก็คงจะไม่เสียเวลาพูดมากมายเท่านี้ ความจริงข้อนี้ทำให้ต้นไม้ยักษ์เริ่มมีความหวัง

“ผู้อาวุโสหวัง…ข้า…”

“ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้ารู้ด้วยว่าเจ้าเองก็เข้าใจดีว่าข้าไม่ได้ตั้งใจจะกินเจ้าเสียเดี๋ยวนี้ แต่สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้เอ๋ย จงหยุดวางแผนชั่วช้าและการคาดเดาเสีย และจงจำไว้อย่างหนึ่งว่า…เจ้าติดหนี้ผลไม้ข้าลูกหนึ่ง!” หวังเป่าเล่อขัดคอต้นไม้ยักษ์และพูดอย่างใจเย็น มีแววตาที่ยากจะหยั่งถึงปรากฏอยู่ในดวงตาของชายหนุ่มที่ทำเอาต้นไม้ยักษ์ตัวสั่น ชายวัยกลางคนเข้าใจในตอนนี้เองหลังจากความเงียบปกคลุมอยู่ยาวนาน

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้พูดออกมาชัดๆ แต่ต้นไม้ยักษ์ก็เข้าใจได้ว่าชายหนุ่มต้องการความช่วยเหลือของเขาในสำนักวังเต๋าไพศาล ด้วยเหตุนี้เองจึงเรียกตัวเขามาที่นี่ ต้นไม้ยักษ์สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะโค้งคำนับอีกครับ

ครั้งนี้ เขาตั้งใจเป็นพิเศษที่จะแสดงความเคารพออกมาอย่างชัดเจน

“ข้ารับใช้ที่ต่ำต้อยจะทำทุกทางเพื่อสนองปรารถนาของนายท่าน!”

หวังเป่าเล่อพยักหน้า ชายหนุ่มชอบพูดคุยกับคนฉลาด ต้นไม้ยักษ์มาอยู่ที่นี่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะเหตุนี้ เขาไม่ได้เรียกต้นไม้ยักษ์มาเพราะผลไม้แต่อย่างใด ชายหนุ่มเรียกอีกฝ่ายมาก็เพราะ…หลุมฝังศพที่เขาพบในพื้นที่ต้องสาปใกล้กับตำหนักวังบูชาต่างหาก!

จากการวิเคราะห์ของเจ้าเยี่ยเหมิง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายเป็นไม้จะสามารถเดินทางเข้าไปยังหลุมฝังศพนั้นได้ หวังเป่าเล่อเริ่มคิดหาคนที่เหมาะสมทันที ในความคิดของเขาแล้ว หากต้นไม้ยักษ์ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไป ก็คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะเข้าไปได้อีก

สิ่งนี้เองที่ทำให้หวังเป่าเล่อขอให้พาตัวต้นไม้ยักษ์มาพร้อมกับพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สาม

“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ ข้ามีบางอย่างจะเสนอ ท่านทำงานให้ข้าอย่างหนึ่งแล้วข้าจะไม่เพียงแต่ลืมเรื่องราวในอดีต แต่ยังจะให้โอกาสท่านได้บรรลุขั้นจุติวิญญาณอีกด้วย!”

หวังเป่าเล่อพูดอย่างนุ่มนวลด้วยเสียงต่ำ เสียงของชายหนุ่มกังวานไปตามระแหวนปราณในวัง เสียงสะท้อนก้องนั้นพอที่จะสั่นไหวหัวใจทุกผู้คนที่ได้ยิน

บทที่ 622 การกลับมาของใบหน้าที่คุ้นเคย
เมื่อมีการเชื่อมต่อกันแบบตามเวลาจริงระหว่างแผ่นหินรับภารกิจและเครือข่ายวิญญาณ ประกาศฉบับที่สองของหวังเป่าเล่อจึงเป็นการประกาศตำแหน่งงานใหม่ได้แก่ผู้ดูแลระบบภารกิจ!

งานของผู้ดูแลคือการช่วยเหลือผู้ฝึกตน ไม่ว่าจะที่ฝึกตนอยู่นอกสำนักวังเต๋าไพศาลหรือไม่สามารถจะกลับมายังสำนักได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม โดยการช่วยเก็บสิ่งของที่พวกเขาได้รับจากภารกิจและส่งไปยังสำนักให้ และโอนเงินรางวัลไปให้กับผู้ฝึกตนด้วย งานนี้จะช่วยประหยัดเวลาให้กับศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลเป็นอันมาก เพราะว่าการเดินทางไปและกลับก็เป็นระยะทางไกลอยู่ไม่น้อย

ความคิดนี้เป็นของประมุขสำนักสวี คล้ายกันกับบริการส่งของที่มีอยู่ในสหพันธรัฐ ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะมาเป็นผู้อาวุโสสูงสุด คงจะเป็นเรื่องยากหากจะขอตั้งตำแหน่งใหม่ จำเป็นต้องใช้ความเชื่อมั่นอย่างสูงทั้งยังมีความเสี่ยงมาก

สถานะของหวังเป่าเล่อในปัจจุบันนั้นแก้ปัญหาทั้งมวลได้สิ้น ยิ่งไปกว่านั้น กฏใหม่นี้กล่าวไว้ด้วยว่ามีเพียงศิษย์จากสหพันธรัฐเท่านั้นจึงจะมาทำหน้าที่นี้ได้

แน่นอนว่ายังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องเพิ่มเติม รวมไปถึงเรื่องของค่าชดเชยหากมีปัญหาเกิดขึ้น แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใจ เพราะประมุขสำนักสวีจะจัดการสะสางทุกอย่างให้หมด

ประกาศทั้งสองฉบับแรกพาให้หวังเป่าเล่อต้องคิดถึงฉบับที่สาม ได้แก่…การก่อตั้งตำหนักกู้ยืม…โดยใช้แต้มการรบของเขาและรัฐบาลสหพันธรัฐเป็นเงินทุนจัดตั้ง!

ตำหนักกู้ยืมจะเปิดให้กับศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคน จะมีการวัดระดับความน่าเชื่อถือรายบุคคลให้กับทุกๆ คน ยิ่งไปกว่านั้น วงเงินการกู้ยืมก็จะสูงขึ้นตามระดับปราณ เงินกู้แต่ละก้อนก็จะคิดดอกเบี้ยด้วย!

ความรุนแรงของประกาศฉบับที่สามนี้ใกล้เคียงกับการทิ้งระเบิดต้านทานวิญญาณหลายลูกลงไปบนสำนักวังเต๋าไพศาล ทำเอาศิษย์ทุกคนตื่นตะลึงและเป็นการแสดงความร่ำรวยมหาศาลของหวังเป่าเล่อและสหพันธรัฐไปพร้อมๆ กัน!

ตำหนักกู้ยืมนั้นมีหวังเป่าเล่อและรัฐบาลสหพันธรัฐหนุ่นหลัง แปลว่าเงินที่อยู่ในตำหนักนั้นปลอดภัยแน่นอน และเงินกู้ทุกก้อนก็จะถูกเก็บกลับมาพร้อมดอกเบี้ยเสมอ

ระดับการฝึกปราณของหวังเป่าเล่ออาจจะไม่ได้สูงพอจะเป็นหลักประกันได้ แต่สถานะของเขาก็พอจะยืนยันได้ว่าคงไม่มีใครกล้าบิดพลิ้ว ทุกๆ คนเรียนรู้อุปนิสัยของเขาเมื่อได้เห็นชายหนุ่มไต่เต้าขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ทุกคนรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อนั้นดุร้ายและไร้ปราณีได้มากเพียงใด…ซุนไห่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด!

การออกประกาศสามฉบับติดๆ กันนี้ทำให้สำนักวังเต๋าไพศาลรวมทั้งชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล แต่ความเปลี่ยนแปลงนี้ก็เป็นการแก้ปัญหาอย่างตรงจุด คงไม่มีใครอยากจะกลับไปอยู่ในสภาวะเดิมหลังจากเริ่มคุ้นชินกับความเปลี่ยนแปลงแล้ว เป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับคนส่วนมากที่จะยอมละทิ้งความสะดวกสบายที่เคยได้มาจนเคยชิน

มีคนจำนวนหนึ่งเช่นกันที่รู้ทันแผนการณ์ของหวังเป่าเล่อและออกมาประท้วงกฎกติกาใหม่ แต่หวังเป่าเล่อนั้นมีทั้งอำนาจและการสนับสนุนจากเฟิ่งชิวหรันอยู่ในมือ เสียงประท้วงก็ค่อยๆ จางหายไปเองตามเวลา ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจจะเปลี่ยนใจคนตำนวนน้อย เพราะสิ่งที่เขาต้องการก็คือการอำนวยความสะดวกให้กับคนส่วนใหญ่

“พวกเขาจะสาปแช่งข้าก็ได้ หากแช่งแล้วใช้บริการเหล่านั้นนะ!” ประโยคนี้เป็นคำตอบของหวังเป่าเล่อที่ให้กับประมุขสำนักสวีตอนเมื่อครั้งที่เริ่มปรึกษากันเรื่องการเปิดตำหนักกู้ยืม

คำพูดเหล่านั้นเองที่เกลี้ยกล่อมให้ประมุขสำนักยอมใจอ่อน เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ก้มศีรษะคำนับและรีบไปจัดการทำตามแผนของหวังเป่าเล่อทันที

แผนทั้งสามมาตรการถูกนำไปดำเนินการ ขณะที่สำนักวังเต๋าไพศาลเริ่มผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และขณะที่มีคนบางคนเริ่มต้องหล่นหายไปกับความเปลี่ยนแปลง เมี่ยเลี่ยจื่อเริ่มแตกตื่น

หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันร่วมมือกันในช่วงนี้ และหลายๆ อย่างก็เริ่มหลุดลอยออกจากมือของเมี่ยเลี่ยจื่อไป ชายชรานั้นไม่มีอำนาจใดๆ เลยต่อหน้าความร่วมมือของทั้งสอง และจู่ๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็กลับมาเป็นกลางอีกครั้ง เขาเลือกที่จะไม่ออกเสียงในเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เมี่ยเลี่ยจื่อยิ่งกระวนกระวายมากขึ้นขณะที่ความไม่พอใจที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันก็เพิ่มพูนขึ้น

เขาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เข้าปกคลุมสำนัก ทั้งความสะดวกสบายที่เครือข่ายวิญญาณมอบให้พวกเขา ทั้งความอันตรายที่มันนำมา อีกทั้งการที่มันกัดเซาะอำนาจของเขา หากเมี่ยเลี่ยจื่อปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปเช่นนี้ เขารู้สึกว่าในไม่ช้าสำนักวังเต๋าไพศาลจะต้องกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับสหพันธรัฐเป็นแน่ หากรอให้ถึงตอนนั้น การจะแยกทั้งคู่ออกจากกันคงจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

มีอีกสิ่งหนึ่งที่เมี่ยเลี่ยจื่อยอมรับไม่ได้ ในใจเขา สำนักวังเต๋าไพศาลต้องเป็นใหญ่ และคนนอกที่ไม่ได้รับการยอมรับจากสำนักไม่มีสิทธิกระทั่งเข้ามาหายใจภายใต้สำนักแห่งนี้!

การขึ้นสู่อำนาจของหวังเป่าเล่อและโครงการใหม่ๆ ของเขานั้น ทำให้สถานะของศิษย์จากสหพันธรัฐดีขึ้นอย่างมากในสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้ฝึกตนหลายคนของสำนักเริ่มจะชินเสียแล้ว พวกเขาต่างก็รู้สึกอยู่ข้างในลึกๆ ว่าทุกๆ คนนั้นเท่าเทียมกัน

ทุกๆ สิ่งก่อตัวกันเป็นความเครียดของเมี่ยเลี่ยจื่อ แต่ทว่า เขารู้ดีว่าเมื่อหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันยังคงร่วมมือกันอยู่เช่นนี้ เขาแทบไม่มีโอกาสจะโต้ตอบเลย

ชายชราจำเป็นต้องบอกตนเองว่าให้กัดฟันอดทนรอโอกาส!

เมื่อโอกาสมาถึง และเมื่อเขาตัดสินใจจะจู่โจม เขาจะสร้างพายุขนาดยักษ์ จะปลดปล่อยความโกลาหลและทำลายระเบียบกฎเกณฑ์ และถล่มทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในราบเป็นหน้ากลอง!

เมื่อคิดเช่นนั้น เมี่ยเลี่ยจื่อจึงตัดสินใจเข้าถือสันโดษ เขาตั้งใจจะเพิ่มพูนพลังปราณ และในเวลาเดียวกันก็จะใช้เวลาไปกับการอบรมศิษย์เอกอย่างตู้กูหลิน ผู้ซึ่งเขาฝากความหวังเอาไว้มาก ความต้องการของเขาคือเพื่อให้ตู้กูหลินบรรลุขั้นการฝึกปราณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

และเช่นนั้นเอง สิทธิขาดการควบคุมสำนักวังเต๋าไพศาลจึงตกไปอยู่ในมือของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันในช่วงนี้ เพราะฉะนั้นแล้วจึงไม่มีความขัดข้องเรื่องพันธุ์กล้ารุ่นที่สาม ข้อเสนอนั้นผ่านอย่างไร้ปัญหา พวกเขาจะมาถึงในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง

ด้วยอำนาจของเขา หวังเป่าเล่อใช้นามของเฟิ่งชิวหรันสั่งให้คนสองคนที่เขาต้องการเดินทางมาพร้อมกับพันธุ์กล้ารุ่นที่สามด้วย!

คนแรกก็คือรองเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร ต้นไม้ยักษ์!

คนที่สองก็คือ…หลี่อู๋เฉิน!

การคัดเลือกพันธุ์กล้ารุ่นใหม่นั้นเป็นเรื่องภายในของสหพันธรัฐ ยิ่งไปกว่านั้น เฟิ่งชิวหรันเองก็ไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่าหวังเป่าเล่อได้เข้าไปในความทรงจำของต้นไฮยาซินมา เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่ได้ใส่ใจว่าใครจะมาร่วมอยู่ในกลุ่มพันธุ์กล้ารุ่นที่สามบ้าง การประมาทเลินเล่อนี้ทำให้หลี่อู๋เฉินมาปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางพันธุ์กล้าทั้งหนึ่งร้อยคนในหนึ่งเดือนให้หลัง เฟิ่งชิวหรันมองเห็นแววตาที่งงงวยและวิตกกังวลของหลี่อู๋เฉินขณะที่เขายืนอยู่บนวงแหวนปรานขอสำนัก ลมหายใจของนางเริ่มถี่ขึ้น

หวังเป่าเล่อแสร้งทำเป็นไม่เห็น เฟิ่งชิวหรันก็เริ่มนึกสงสัยแต่ไม่มีโอกาสเหมาะๆ ที่จะพูด นางทำได้เพียงเก็บซ่อนความสงสัยไว้ในใจขณะที่จ้องมองผ่านฝูงชนไปยังหลี่อู๋เฉิน คลื่นอารมณ์อันหลายหลากประเดประดังกับมาในดวงตาของนาง

หลี่อู๋เฉินมองเห็นเฟิ่งชิวหรันแล้ว แต่ชายหนุ่มจำนางไม่ได้เลย แต่ทว่าเขาจำหวังเป่าเล่อ ผู้ที่ขณะนี้นั่งอยู่ข้างเฟิ่งชิวหรันและรายล้อมไปด้วยผู้ฝึกตนจำนวนมากได้ดี ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรุดหน้าไปได้ไกลในหน้าที่การงาน

ความรู้สึกอิจฉาปะทุขึ้นในใจของหลี่อู๋เฉินแทบจะในทันที สหพันธรัฐรู้ดีถึงสถานะใหม่ของหวังเป่าเล่อ พวกเขาเพิ่งได้รับข่าวไปเมื่อเร็วๆ นี้ และข่าวนั้นสร้างความปั่นป่วนอยู่ไม่ใช่น้อย

ชายหนุ่มเพิ่งจะรู้ข่าวนี้ก่อนจะออกเดินทางมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ข่าวนั้นน่าตื่นตกใจน้อยลง หลี่อู๋เฉินถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม เพราะตัวเขาเองก็เคยบาดหมางกับหวังเป่าเล่อมาก่อน และหวังเป่าเล่อเป็นคนที่เชื่อมั่นในหลักการตาต่อตา หลี่อู๋เฉินจึงเชื่อว่าเขาคงจะต้องพบเจอกันความยากลำบากเป็นแน่ แถมเขายังมีใจให้กับหนึ่งในอดีตศิษย์ของหวังเป่าเล่อขณะที่ศึกษาอยู่ ณ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ยิ่งทำให้เขากังวลมากขึ้นไปอีก ชายหนุ่มหลุบศีรษะลงก่อนจะเหลือบมองไปทางฝูงชน สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่หญิงสาวนางหนึ่งจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ มีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ภายใต้อารมณ์ความรู้สึกมากมายที่ฉายอยู่บนดวงตาของหลี่อู๋เฉิน

เหม่ยเอ๋อร์อาจจะเครียดเพราะว่าหวังเป่าเล่อ ข้าจะลำบากสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ขอให้เหม่ยเอ๋อร์ไม่เจอปัญหาก็พอ เท่านั้นก็คุ้มค่า! หลี่อู๋เฉินควบคุมลมหายใจให้คงที่และเตรียมใจ ชายหนุ่มก้าวออกจากวงแหวนปราณพร้อมๆ กับพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐคนอื่นๆ และยกมือประสานทักทายหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันพร้อมๆ กัน

สิ่งที่หลี่อู๋เฉินยังไม่รู้ก็คือเขาไม่ใช่คนที่วิตกกังวลที่สุดในหมู่พันธุ์กล้ารุ่นที่สาม คนที่ตัวสั่นเทาอยู่อย่างลับๆ และวิตกกังวลที่สุดก็คือชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ!

เขาก็คือ…ต้นไม้ยักษ์ หรือที่รู้จักกันในนามสหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้!

ความวิตกกังวลของเขาพุ่งสูงสุด ชายวัยกลางคนถามคนไปทั่วจนกระทั่งพบว่าเขาไม่ได้อยู่ในพันธุ์กล้ารุ่นที่สามมาตั้งแต่ต้น หวังเป่าเล่อออกคำสั่งเรียกตัวเขาไป

ความจริงข้อนี้ทำให้ต้นไม้ยักษ์ตื่นกลัวเป็นอย่างยิ่ง เขาคร่ำครวญอยู่ในอกและหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าเจ้าหวังเป่าเล่อผู้น่าสมเพช ผู้ที่เคยทำลายแผนของเขามาแล้วในอดีตนั้น จะก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่และเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาลในระยะเวลาแค่ไม่กี่ปี!

ไม่มีความยุติธรรมอยู่บนโลกจริงๆ! ต้นไม้ยักษ์และหลี่อู๋เฉินเดือดพล่านอยู่ในใจ จิตใจก็ขุ่นมัวไปด้วยความกังวล พวกเขาทักทายหวังเป่าเล่ออย่างนอบน้อมในขณะที่อีกฝ่ายฉีกยิ้มให้ สายตาก็จับจ้องมาที่ทั้งสองเป็นครั้งคราว

เฟิ่งชิวหรันเองก็ไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นกัน นางบังคับตัวเองให้พูดออกมาไม่กี่คำก่อนจะเดินจากไปอย่างเร่งรีบ พลางตั้งใจจะส่งข้อความเสียงถึงหลี่ซิงเหวินผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย นางอยากจะถามเขานักว่าทำไมจึงอนุญาตให้หลี่อู๋เฉินกลับมา

หวังเป่าเล่อเฝ้ามองดูเฟิ่งชิวหรันเดินจากไป ชายหนุ่มกล่าวต้อนรับไม่กี่คำก่อนจะเดินทางกลับไปยังวังของเขา พันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สามเริ่มแยกย้าย ขณะที่ผู้ฝึกจากสหพันธรัฐคนอื่นๆ มารับพวกเขาไปยังที่พัก ประมุขสำนักสวีก็ตะโกนออกมา

“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ โปรดรอก่อน ผู้อาวุโสสูงสุดขอให้ท่านไปพบที่วัง”

ต้นไม้ยักษ์ ผู้ซึ่งเพิ่งจะถอนหายใจอย่างโล่งอกและถูกหลอกให้ตายใจ ตัวสั่นทันทีที่ได้ยิน เขาหันหลังกลับช้าๆ ก่อนจะเริ่มกรีดร้องอยู่ในใจอย่างเงียบเชียบ แต่เขาไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย ทำได้เพียงแต่กัดฟันและพยักหน้า

“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ เราเคยรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน…มีบางอย่างที่ข้าไม่แน่ใจนักว่าควรบอกท่านหรือไม่” ประมุขสำนักสวีจ้องอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเศร้าใจ

“ได้โปรดบอกข้าเถิด!” ต้นไม้ยักษ์จอมเจ้าเล่ห์เงยศีรษะขึ้นทันทีที่ได้ยินก่อนจะค้อมศีรษะลงต่ำเพื่อคำนับประมุขสำนักสวี

“คนบางคนก็เกิดมาเพื่อจะเป็นใหญ่ หากท่านสามารถจะฉกฉวยโอกาสที่ได้รับมา ต่อให้ความบาดหมางในอดีตก็อาจจะเสื่อมคลายและแปรเปลี่ยนกลายเป็นโอกาสไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้ เรื่องเช่นนี้เป็นไปได้เสมอ!” ประมุขสำนักสวีจ้องมองต้นไม้ยักษ์อย่างเปี่ยมความหมายก่อนจะพูดออกมาเบาๆ

บทที่ 621 มังกรรูปหล่อเดียวดาย!
หวังเป่าเล่อคร่ำครวญกับความไม่ยุติธรรมของโชคชะตา ชายหนุ่มได้เพียงทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายและรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างประหลาด

“คิดดูเสีย ข้า หวังเป่าเล่อ ผู้นำแห่งสหพันธรัฐ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล ข้าทำงานเหนื่อยยากมาทั้งชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีขณะนี้ก็แลกมาด้วยโลหิต หงาดเหงื่อ และหยดน้ำตาสิ้น ข้าเดินลุยไฟ ทีละก้าวๆ โดยไม่มีใครคอยช่วยเหลือ ราวกับมังกรรูปหล่อผู้เดียวดาย ต่อสู้กับคมเขี้ยวของโชคชะตา กว่าจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้!” หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงทางเข้าของถ้ำที่พัก ยกมือไพล่หลังและแหงนหน้ามองฟ้า คร่ำครวญกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย

ภาพของทั้งชีวิตเขาฉายชัดขึ้นมาในดวงตา หวังเป่าเล่อจำได้ถึงความเหงาอันลุ่มลึกที่เขารู้สึก ทั้งทางกายและทางวิญญาณ ขณะที่ชายหนุ่มเดินทางมาบนหนทางแห่งความเดียวดายตามลำพัง

“หลี่อู๋เฉินเสียอีก เกิดมาก็ได้ตำแหน่งศิษย์แห่งเต๋าแล้ว และก็จะได้ความทรงจำกลับคืนมาเมื่อเขาบรรลุขั้น เขาก็จะกลายมาเป็นผู้กุมอำนาจหนึ่งเดียวแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล!

“โชคชะตาช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!

“ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ช่างไร้ความเป็นธรรม!”

กำปั้นขวาของหวังเป่าเล่อพุ่งไปกระแทกกำแพงข้างๆ กายเขา ถ้ำที่พักทั้งหลังสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมๆ กับภูเขาที่มันตั้งอยู่ ราวกับว่าหวังเป่าเล่อพยายามจะระบายความอัดอั้นตันใจออกมา

แต่เท่านั้นยังไม่พอ หวังเป่าเล่อกำลังจะร้องออกมาอีกครั้งให้กับความโกรธเกรี้ยวและเศร้าสร้อยที่เขารู้สึกและอยากจะร้องขอคำตอบจากสวรรค์เมื่อแม่นางน้อยกระแอมกระไอขึ้นมาในศีรษะเขา

“พอได้แล้ว! เจ้าเชื่อทุกอย่างตามที่เจ้าเพิ่งพูดมาจริงๆ อย่างนั้นหรือ เจ้าเป็นบ้าอะไรกัน…ข้าไม่ใช่มนุษย์หรืออย่างไร ศิษย์พี่ของเจ้าไม่ใช่มนุษย์หรือ แล้วหลี่ซิงเหวินเล่า เจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร ลองพูดอีกสิว่าไม่มีใครคอยช่วยเหลือเจ้าเลย!”

หวังเป่าเล่อเงียบงันไปเมื่อได้ยินถ้อยคำของแม่นางน้อย แต่ชายหนุ่มก็ไร้ยางอาย เขากระแอมและไม่ได้ตอบนาง แต่กลับเลือกที่จะจมอยู่กับอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาก่อนหน้านี้ แม้ว่าอาจจะเป็นการยากสำหรับใครคนอื่น ที่เพิ่งถูกต่อว่าไปว่าสิ่งที่คิดนั้นไม่เป็นความจริง แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วช่างง่ายดายยิ่ง

“ถึงเจ้าหัวโล้นเฉินจะเป็นศิษย์แห่งเต๋า แต่เขาก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา ส่วนข้านั้นขณะนี้เป็นศิษย์อุปถัมภ์อนาคตไกล เขาไม่เป็นปัญหาสำหรับข้าเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เขาได้ความทรงจำกลับมาก็แล้วจะทำไมกัน ถึงเขาจะเป็นศิษย์แห่งเต๋า แต่ข้าก็เป็นบุตรแห่งความมืด อีกอย่าง เราก็ไม่มีความบาดหมางร้ายแรงต่อกันสักหน่อย” เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ยกมือตบพุงอย่างและเลิกกังวลใจไปได้

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว การก่อสร้างวังของเขาก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นเพราะการทำงานหนักอย่างสม่ำเสมอของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล ขนาดและรูปแบบของมันเหมือนกับวังอีกสามแห่งของผู้อาวุโสสูงสุดอีกสามคนไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งใหญ่โตโอฬารและหรูหรา พวกเขายังสร้างรูปปั้นของชายหนุ่มเอาไว้หน้าวังอีกด้วย

รูปปั้นนั้นจะช่วยให้ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่เดินผ่านไปผ่านมามีความกลัวเกรงและเคารพหวังเป่าเล่อยิ่งๆ ขึ้นไป ยังมีการหลอมวงแหวนปราณจำนวนมากขึ้นห้อมล้อมส่วนหลักของวังเอาไว้อีกด้วย วงแหวนปราณเหล่านั้นเชื่อมต่อกับวงแหวนปราณแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลโดยตรง ตราบใดที่หวังเป่าเล่ออยู่ในวัง และตราบเท่าที่วงแหวนปราณนั้นเปิดอยู่ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณก็ไม่อาจสัมผัสเขาได้แม้แต่ปลายก้อย!

ทรัพยากรที่ต้องใช้ไปกับการหลอมวงแหวนปราณและสร้างวังนั้นแน่นอนว่ามหาศาลนัก หลังจากที่ได้รับกุญแจสำหรับวงแหวนปราณ หวังเป่าเล่อก็รีบรุดไปตรวจดูความเรียบร้อยของวัง ชายหนุ่มปลื้มใจกับผลงานไม่ใช่น้อย

ไม่นานนักเขาก็ย้ายออกจากเกาะเพลิงเขียวเข้าไปอยู่ในวัง ศิษย์จากสหพันธรัฐก็เริ่มมาเยี่ยมเยียนเขาที่นั่นแทน ในเวลาหนึ่งสัปดาห์ทุกอย่างก็กลับมาเรียบร้อย ศิษย์คนอื่นๆ ในสำนักวังเต๋าไพศาลก็เริ่มจะชินกับตำแหน่งใหม่ของชายหนุ่มแล้วเช่นกัน

หวังเป่าเล่อได้ประกาศระหว่างพิธีว่าตำหนักแก่นในและห้องจุติศาสตร์เวทนั้นจะเปิดรับผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่พลังปราณถึงเกณฑ์ ศิษย์จากสหพันธรัฐมากมายก็เริ่มมาใช้ห้องทั้งสองนี้เพื่อพยายามจะบรรลุขั้นให้ได้

จั่วอี้ฟานเป็นคนแรกที่มาและยังคงถือสันโดษอยู่ ประมุขสำนักสวีจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพก็เป็นคนแรกที่เข้าไปในห้องจุติศาสตร์เวทและพยายามจะบรรลุขั้น

หวังเป่าเล่อเองไม่ได้เข้าไปในห้องจุติศาสตร์เวทในทันที ชายหนุ่มเพิ่งจะบรรลุไปสู่ขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุด และพลังปราณของเขาตอนนี้ก็ยังไม่คงที่พอ สิ่งที่เขาต้องทำในขณะนี้ก็คือพยายามขัดเกลาพลังเทพของตนเองและฝึกพลังปราณให้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของขั้นปัจจุบัน

เวลาผ่านไป สิ่งต่างๆ ก็เริ่มจะลงตัว หวังเป่าเล่อจะได้รับรายงานเป็นครั้งคราวจากศิษย์ของสหพันธรัฐบางคน แต่เขาก็หมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนขั้นสุดท้ายของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงและขั้นที่สองของวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ

ความคืบหน้าของการฝึกวิชาทั้งสองดำเนินไปอย่างเชื่องช้า หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าเขาไม่ควรจะเร่งรีบเกินไปนัก ชายหนุ่มจึงค่อยๆ แกะไปทีละขั้นตอนอย่างไม่กดดันตัวเอง เหตุการดำเนินไปเช่นนี้อีกหนึ่งเดือน จั่วอี้ฟานออกมาจากการถือสันโดษ เขาบรรลุจากขั้นรากฐานตั้งมั่นสู่ขั้นกำเนิดแก่นในได้สำเร็จ!

ชายหนุ่มยังได้รับวิชาสืบทอดมาจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นอีกด้วย ทันทีที่จั่วอี้ฟานเลิกถือสันโดษ หวังเป่าเล่อก็ติดต่อเฟิ่งชิวหรันทันที เพราะจั่วอี้ฟานเองก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อาวุโสรักษาการเช่นเดียวกันกับกงเต๋า

จากนั้นหวังเป่าเล่อจึงส่งแต้มการรบให้จั่วอี้ฟานยืมไปจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยในการฝึกปราณ เหตุผลที่เขาให้ยืมแต่ไม่ให้ไปเปล่าเป็นเพราะว่า หวังเป่าเล่อเคยอ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมา เขารู้ว่าเพื่อนไม่ควรให้เงินเพื่อนไปเปล่าๆ แม้ว่าในครั้งแรกอาจดูเหมือนเป็นการช่วยเหลือที่ควรค่าแก่การรู้คุณ ในครั้งที่สองเพื่อนก็คงจะชอบพอไม่น้อย แต่เมื่อหลายครั้งเข้า เพื่อนก็จะเริ่มเสียคน

อันที่จริงแล้ว หากอยากจะทำให้ใครสักคนหมดค่า วิธีที่ดีที่สุดก็คือทำให้เขาคุ้นเคยกับการได้รับโดยไม่ต้องลงทุนลงแรง ใครคนนั้น…ก็จะกลายเป็นขยะไปโดยสมบูรณ์

ด้วยอายุเพียงเท่านี้ หวังเป่าเล่อยังไม่อาจจะเข้าใจได้หมด แต่ชายหนุ่มก็มีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง หากมีสิ่งใดก็ตามที่เขาไม่รู้ไม่เข้าใจ เขาก็จะทำตามสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้ในอัตชีวประวัติเหล่านี้ จากที่ทดลองมาหลายครั้ง หวังเป่าเล่อก็ยังไม่เคยผิดหวังสักที

ความสำเร็จของจั่วอี้ฟานไม่เรื่องดีเรื่องเดียวที่เกิดขึ้นกับสหพันธรัฐ ไม่นานนัก ประมุขสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพ หนึ่งในผู้นำพายุคกำเนิดวิญญาณเข้าสู่สหพันธรัฐในยุคแรก ในที่สุดก็บรรลุขั้นการฝึกปราณหลังจากที่ถือสันโดษในห้องจุติศาสตร์เวท อาจเป็นเพราะรากฐานที่เขาได้วางมาไว้อย่างดีแล้วก็เป็นได้ จึงทำให้เขาบรรลุขั้นจุติวิญญาณได้อย่างไร้ปัญหา!

การบรรลุขั้นของเขาแตกต่างจากการบรรขั้นของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณจากสำนักวังเต๋าไพศาลคนอื่นๆ รากฐานที่เข้มแข็งนั้นทำให้มีแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงยิ่งกว่าใครสะท้อนออกไปไกล แม้ว่าเขาจะเพิ่งอยู่ในขั้นจุติวิญญาณขั้นต้น แต่พลังที่เปล่งออกมาจากกายนั้นก็เทียบเท่าผู้ฝึกตนในขั้นจุติวิญญาณขั้นกลางเลยทีเดียว

หวังเป่าเล่อตกตะลึงเมื่อได้มองเห็นการบรรลุขั้นนั้น ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงช่วงการบรรลุขั้นของหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี ประสาทสัมผัสของเขาในตอนนั้นยังไม่ดีนัก จึงรับรู้ได้เพียงว่าทั้งคู่แข็งแกร่ง มาบัดนี้ เมื่อมีตัวเปรียบเทียบ หวังเป่าเล่อจึงเพิ่งจะได้รู้ว่าเขาอาจจะดูเบาทั้งต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินมากเกินไป

ทั้งคู่ต่างก็มีพรสวรรค์สูงกว่าประมุขสวีอย่างเห็นได้ชัด พลังของพวกเขานั้นแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทั่วๆ ไปอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีเวลาอีกสองปีในการควบคุมปราณให้เข้าที่ หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าเขาจะสามารถต่อสู้เอาชนะทั้งคู่ได้หรือไม่หากต้องพบกันอีกครั้งหนึ่ง

หวังเป่าเล่ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกถูกคุกคาม แต่ถึงกระนั้น การบรรลุขั้นของประมุขสำนักสวีก็เป็นข่าวดีสำหรับฝ่ายสหพันธรัฐในสำนักวังเต๋าไพศาล ชายหนุ่มมอบตำแหน่งผู้อาวุโสให้กับประมุขสำนักด้วยตนเอง บัดนี้ มีผู้อาวุโสภายใต้หวังเป่าเล่อแล้วถึงสองคน

เขายังได้มีรักษาการผู้อาวุโสอีกสองคนและศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังจะบรรลุขั้นกำเนิดแก่นใน แม้พวกเขาจะต้องการเวลาแต่ฝ่ายสหพันธรัฐก็เริ่มจะมีกำลังเข้มแข็งขึ้นทีละน้อย

หวังเป่าเล่อได้เสนอเรื่องการพาพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สามมาแล้ว การนี้จะช่วยเพิ่มพลังให้ฝ่ายเขาเป็นอย่างมาก การสนับสนุนจากเฟิ่งชิวหรันทำให้เมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้ซึ่งแม้จะไม่พอใจ ก็จำจะต้องเห็นด้วยกับข้อเสนอ หวังเป่าเล่อขณะนี้กลายมาเป็นเสี้ยนหนามที่คอยทิ่มตำเขาอยู่ไม่หยุดหย่อน

หลังจากที่ได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ หวังเป่าเล่อก็เริ่มคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับอนาคตของฝ่ายตนเอง ชายหนุ่มได้ปรึกษาเรื่องนี้กับประมุขสำนักสวี หลังจากที่แต่งตั้งประมุขขึ้นเป็นผู้อาวุโส หวังเป่าเล่อก็ออกประกาศสามฉบับในฐานะผู้อาวุโสสูงสุด

ประกาศสามฉบับนั้นก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งสำนัก!

ฉบับแรกเป็นการประกาศการขยายตัวของเครือข่ายวิญญาณ หวังเป่าเล่อหนุนให้คนเริ่มลงทุนทำธุรกิจ ลดความยากในการเข้าถึง และยังอนุญาตให้ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลเปิดร้านของตัวเองบนเครือข่ายวิญญาณได้อีกด้วย เป็นการกระตุ้นการแลกเปลี่ยนทรัพยากรแถมยังเป็นการเปิดโอกาสให้เหล่าศิษย์ได้ทำกำไรจากการค้าบนเครือข่ายวิญญาณอีกด้วย!

จินตั้วหมิงเคยลองทำเช่นนี้มาแล้วในอดีตแต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก สาเหตุหลักคงเป็นเพราะการขาดอำนาจบารมี ทำให้ดูเหมือนกับว่าชายหนุ่มเอาแต่ตะโกนโวยวายเกี่ยวกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผลกระทบนั้นย่อมจะไม่รุนแรงเท่าประกาศอย่างเป็นทางการจากหวังเป่าเล่อในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดแน่นอน

ขณะนี้ เมื่อมีการสนับสนุนจากหวังเป่าเล่อหนุนหลัง โอกาสเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนของเครือข่ายวิญญาณจึงดูใกล้ความเป็นจริงขึ้น ทันทีที่รากฐานและโครงสร้างของมันพร้อม เครือข่ายวิญญาณก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งที่สำนักวังเต๋าไพศาลจะขาดไปเสียไม่ได้อย่างแน่นอน!

บทที่ 620 เชื้อสายแห่งสหพันธรัฐ!
ภาพเหล่านั้นฉายชัดขึ้นมาในศีรษะของหวังเป่าเล่อ ราวกับว่าชายหนุ่มได้กลายเป็นต้นไฮยาซินไปในชั่วอึดใจและกำลังมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นด้วยตนเองอยู่กระนั้น!

คลื่นอารมณ์มากมายถาโถมอยู่ภายในใจหวังเป่าเล่อขณะที่เขาฟังถ้อยคำของเฟิ่งชิวหรัน ชายหนุ่มหายใจไปชั่วขณะ เขาจ้องมองไปยังเด็กทารกในอ้อมแขนของเฟิ่งชิวหรัน และมีเพียงชื่อเดียวอยู่ในใจ อู๋เฉิน!

ภาพนั้นเริ่มเลือนลางลง จากนั้นหวังเป่าเล่อมองเห็นผลไม้สุกลูกหนึ่งอยู่บนต้นไฮยาซิน มันร่วงหล่นลงมาตรงหน้าเฟิ่งชิวหรัน นางหยิบผลไม้นั้นขึ้นมาก่อนจะป้อนให้กับทารกกิน ผลไม้ละลายก่อนจะสลายหายไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่เด็กน้อยดูดกินมันอย่างหิวกระหาย

เฟิ่งชิวหรันโน้มตัวลงคำนับอีกครั้งก่อนจาก ภาพสุดท้ายคือภาพของเฟิ่งชิวหรันที่กำลังเดินถอยห่างออกมา และภาพนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป หวังเป่าเล่อตัวสั่นอีกครั้ง ราวกับว่าเขาเพิ่งจะตื่นขึ้นจากการท่องไปในถนนความทรงจำของต้นไฮยาซิน ดวงตาเขาเปิดชัดขึ้นอีกครั้ง เขากลับมาแล้ว มายืนอยู่บนยอดเขา ต่อหน้าศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลนับล้านที่จับจ้องมองอยู่

หวังเป่าเล่อเงียบงันอยู่นาน ชายหนุ่มต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะสร่างจากอาการตื่นตะลึง เขายืนตัวขึ้นตรง หันหลังกลับไป และจ้องมองไปยังผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสาม พวกเขาดูนิ่งราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หวังเป่าเล่อได้ข้อสรุปว่า บางที…เขาอาจจะเป็นคนเดียวที่เคยเข้าไปถึงความทรงจำของต้นไฮยาซินในระหว่างที่ปราณกังวานเชื่อมเขาเข้ากับต้นไม้ยักษ์ก็เป็นได้ ด้วยเหตุที่เขาเป็นศิษย์อุปถัมภ์ ในขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสามคนเป็นเพียงศิษย์สำนักในเท่านั้น พวกเขาจึงไม่อาจจะเข้าถึงปราณกังวานที่แข็งแรงระดับเดียวกันกับชายหนุ่มได้ โอกาสที่พวกเขาจะเคยได้เห็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อเพิ่งเห็นมานั้นมีต่ำมาก

แปลว่าเฟิ่งชิวหรันอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงและตำแหน่งที่อยู่ของทารกคนนั้น แต่ตอนนี้หวังเป่าเล่อก็รู้แล้วเช่นกัน

หวังเป่าเล่อไม่รู้เลยว่า ศิษย์แห่งเต๋าอู๋เฉินมาปรากฏอยู่ในอ้อมแขนของเฟิ่งชิวหรันได้อย่างไร และนางอธิบายเรื่องนี้อย่างไร สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือผู้นำแห่งสหพันธรัฐคนก่อนหลี่ซิงเหวินเดินทางออกจากกระบี่สำริดเขียวโบราณกลับสู่สหพันธรัฐพร้อมกับทารกน้อยอยู่ในอ้อมแขน

หวังเป่าเล่อตัดสินใจกับตนเองว่าจะวางเรื่องดังกล่าวเอาไว้ก่อน ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบรรดาผู้ฝึกตนแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลตรงหน้าเขา พวกเขาต่างเฝ้ามองดูขณะที่หวังเป่าเล่อเดินไปทางผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสาม ยกมือขึ้นประสานกัน ก่อนจะก้มโค้งคำนับต่ำ

“คารวะผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสาม”

เฟิ่งชิวหรันยิ้ม นางทักทายตอบ เมี่ยเลี่ยจื่อก็โค้งตอบอย่างไม่เต็มใจนัก ขณะที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยกมือประสานตอบการคำนับเช่นกัน

“คารวะผู้อาวุโสสูงสุดหวังเป่าเล่อ!”

พวกเขายืนอยู่ข้างเคียงกันบนยอดเขานั้น การทักมายกันครั้งนี้ติดตรึงอยู่ในชั่วขณะนั้นและฝังลึกเข้าไปในความทรงจำของสานุศิษย์ที่รายล้อมอยู่ พวกเขาต่างก็เริ่มทำการคารวะตามมาในชั่วอึดใจ!

“คารวะผู้อาวุโสสูงสุดหวังเป่าเล่อ!”

เสียงของพวกเขาดังสนั่นราวกับฟ้าผ่า สะท้อนเป็นคลื่นกระจายผ่านท้องฟ้าไปไกลแสนไกล ระฆังแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลเริ่มตีเป็นเสียงก้อง พิธีการแต่งตั้งมาถึงจุดสิ้นสุด

ต่อแต่นี้เป็นต้นไป สำนักวังเต๋าไพศาลก็ไม่ถูกแบ่งออกเป็นสามฝ่ายอีกต่อไป เพราะพวกเขาได้มีผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่!

ศิษย์จากสหพันธรัฐเป็นกลุ่มที่ทำการคารวะอย่างตื่นเต้นและเสียงดังที่สุด ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ส่งยิ้มและพยักหน้าให้กันอยู่ไปมา เฟิ่งชิวหรันเป็นตัวแทนสำนักและประกาศเรื่องความเปลี่ยนแปลงและการเลื่อนตำแหน่งต่างๆ!

เกาะเพลิงเขียวจะกลายเป็นเกาะส่วนตัวของหวังเป่าเล่อ เกาะใหญ่อีกนับสิบเกาะรอบๆ สำนักวังเต๋าไพศาลก็จะไปอยู่ใต้การปกครองของเขาอีกด้วย วังหลังที่สี่สำหรับผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ก็จะถูกก่อสร้างขึ้นบนเกาะหลัก

วังนั้นจะเป็นสถานที่สำหรับให้หวังเป่าเล่อฝึกปราณ ทั้งขนาดและรูปแบบการก่อสร้างก็จะยึดถือตามมาตรฐานสูงสุดของสำนัก สำนักวังเต๋าไพศาลจะเป็นผู้หาวัตถุดิบในการก่อสร้างเองทั้งหมด

ยังมีเรื่องบรรณาการอีก หวังเป่าเล่อจะได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นผู้อาวุโสสูงสุดคนอื่นๆ และจะได้รับสิทธิการลงคะแนนเสียงเรื่องทิศทางการพัฒนาสำนักอีกด้วย ชายหนุ่มจะได้รับมอบหมายหน้าที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระหว่างสหพันธรัฐกับสำนักวังเต๋าไพศาลเช่นกัน

หวังเป่าเล่อจะได้รับสิทธิการเข้าถึงข้อมูลอื่นๆ อีกด้วย ขณะนี้ อย่างน้อยๆ ก็ในนาม หวังเป่าเล่อได้กลายมาเป็นหนึ่งในสี่ผู้ปกครองสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลเรียบร้อยแล้ว!

ไม่มีใครคาดคิดเรื่องนี้มาก่อน ไม่มีใครเคยคิดเลยว่าในระยะเวลาเพียงสองปี หวังเป่าเล่อจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จากคนนอกกลายเป็นผู้ที่กุมอำนาจใหญ่หลวงในสำนักได้

อันที่จริงแล้ว หากหวังเป่าเล่อบรรลุขั้นปราณไปสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณ เขาอาจจะกลายมาเป็นผู้คุมอำนาจหนึ่งเดียวในสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้ก็เป็นได้!

เฟิ่งชิวหรันประกาศจบเรียบร้อย และพิธีการแต่งตั้งก็สิ้นสุดลง ทุกๆ คนเฝ้ามองขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ เฟิ่งชิวหรันยิ้มออกมาและส่งแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้หวังเป่าเล่อ

“ผู้อาวุโสหวัง ต่อไปคือการมอบตำแหน่งใหม่ ข้าให้ท่านประกาศก็แล้วกัน หากท่านต้องการจะเปลี่ยนอะไร ก็ขอให้หยุดการประกาศตรงนั้นเอาไว้ก่อน แล้วพวกเราค่อยคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงกันทีหลัง”

หวังเป่าเล่อมองไปทางเฟิ่งชิวหรัน แล้วความทรงจำของต้นไฮยาซินก็ซ้อนทับขึ้นมาในใจ ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ แล้วจึงรับแผ่นหยกมาจากนาง หลังจากที่อ่านเนื้อความด้านใน เขาก็ยกศีรษะขึ้นจ้องมองนางอย่างตกใจ

เฟิ่งชิวหรันยิ้มอย่างเงียบเชียบขณะที่เมี่ยเลี่ยจื่อยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเองก็มีท่าทีปกติธรรมดา แต่นัยน์ตาฉายแววให้กำลังใจ

สายตาของหวังเป่าเล่อกวาดผ่านผู้อาวุโสทั้งสามก่อนจะหันไปมองที่บรรดาศิษย์รอบกาย หลังจากที่เงียบอยู่ชั่วอึดใจ ชายหนุ่มก็เปิดปากขึ้น เสียงของเขาดังกังวานใสไปทั่ว

“กงเต๋า ก้าวออกมา!”

กงเต๋า ผู้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ นิ่งงันไป ก่อนจะรีบรุดพุ่งตัวออกมา แล้วประสานมือทักทายหวังเป่าเล่อ

“คารวะผู้อาวุโสสูงสุด”

“ข้าขอแต่งตั้งกงเต๋าเป็นผู้อาวุโสรักษาการ และจะขึ้นเป็นผู้อาวุโสทันทีที่บรรลุขั้นจุติวิญญาณ!”

กงเต๋าตัวสั่น ก่อนจะรีบเปล่งเสียงขอบคุณทันที เขารู้ดีว่าผู้ฝึกตนในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้นจึงจะได้เป็นผู้อาวุโสในสำนักวังเต๋าไพศาล ส่วนผู้ที่ไปถึงขั้นเชื่อมวิญญาณก็จะได้เป็นผู้อาวุโสสูงสุด…

สิทธิพิเศษต่างๆ ที่ผู้อาวุโสได้รับนั้นแตกต่างกับศิษย์ธรรมดาๆ อย่างเทียบไม่ติด แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ผู้อาวุโสรักษาการ แต่กงเต๋าเองก็สามารถจะได้รับสิทธิต่างๆ เทียบเท่ากับผู้อาวุโสคนอื่นๆ แม้จะไม่ใช่การรุดหน้าอย่างก้าวกระโดดแต่ก็ยังถือเป็นก้าวอันยิ่งใหญ่สำหรับตัวเขา

“เจ้าเยี่ยเหมิง ก้าวออกมา!” หวังเป่าเล่อยังประกาศไม่จบ เขาเรียกชื่อเพื่อนอีกคนหนึ่งหลังจากที่กงเต๋าถอยหลังไปแล้ว

เจ้าเยี่ยเหมิงเมื่อได้ยินชื่อตนเองก็สูดลมหายใจเข้าลึก นางกระโจนขึ้นไปบนอากาศก่อนจะยกมือประสาน

“ข้าขอแต่งตั้งเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล!”

ศิษย์ที่รายล้อมอยู่แสดงอาการประหลาดใจออกมาอย่างเงียบๆ เมื่อได้ยินเสียงประกาศของหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสของสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนต่างก็อยู่ในขั้นจุติวิญญาณ เจ้าเยี่ยเหมิงเพิ่งจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น แต่ทว่ามีหลายคนที่รู้แล้วว่าเจ้าเยี่ยเหมิงได้ตำแหน่งศิษย์สำนักในมาจากตำหนักวังบูชา จึงเข้าใจการตัดสินใจของสำนักในครั้งนี้

ระดับศิษย์สำนักในนั้นสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ใครสักคนที่อยู่ในระดับที่สูงขนาดนั้นควรจะได้รับตำแหน่ง ไม่ควรเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาๆ อยู่อีกต่อไป กระทั่งผู้อาวุโสรักษาการไม่ควรอย่างยิ่ง

ลมหายใจของเจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มรัวเร็ว นางยกศีรษะขึ้นมองหวังเป่าเล่อ จากนั้นจึงยกมือขึ้นประสานแสดงความขอบคุณพร้อมกับยิ้มออกมาบางๆ แล้วจากไป หวังเป่าเล่อเริ่มอ่านต่อไป

“จากวันนี้เป็นต้นไป ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐทุกคนที่บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นขั้นสูงสุดจะได้โอกาสสามครั้งในการเข้าไปยังตำหนักแก่นในและขอความช่วยเหลือจากด้านในเพื่อบรรลุสู่ขั้นกำเนิดแก่นในได้!”

“ประมุขสำนักสวี ก่อนหน้านี้ท่านได้ยื่นคำร้องขอเข้าไปยังห้องจุติศาสตร์เวทเพื่อบรรลุขั้นการฝึกปราณ คำร้องของท่านได้รับการอนุมัติแล้ว!”

การประกาศอย่างต่อเนื่องส่งให้สำนักวังเต๋าไพศาลทั้งหมดสะเทือนไปด้วยความตื่นตะลึง บรรดาผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐต่างก็ตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก ของขวัญที่เฟิ่งชิวหรันมอบให้หวังเป่าเล่อชิ้นนี้ช่างเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอย่างมาก นางให้โอกาสเขาได้อ่านประกาศ เพื่อเป็นโอกาสให้เขาแสดงถึงอำนาจและยืนยันสถานะของเขาไปในตัว!

พิธีการจบลงในที่สุด และผู้คนก็เริ่มจะสลายตัว หลังจากนั้นการก่อสร้างของโถงที่สี่ก็เริ่มต้นขึ้น หวังเป่าเล่อต้องกลับไปที่เกาะเพลิงเขียวก่อนเพื่อรอวังของเขาก่อสร้างเสร็จ ประมุขสำนักสวีก็จะเข้ามาจัดการเรื่องงานบริหารให้แทน

เมื่อกลับมาถึงเกาะเพลิงเขียว หวังเป่าเล่อก็กลับไปยังถ้ำที่พัก ก่อนจะเริ่มตัวสั่น ราวกับว่าเขาได้กักเก็บอารมณ์เอาไว้ภายในมานานเกินไป ทำให้มีอะไรบางอย่างระเบิดขึ้นภายในทำให้การหายใจเขาหนักหน่วง ความคิดมากมายไหลบ่าผ่านใจเขา

หลี่อู๋เฉิน…ต้องเป็นเขาแน่ๆ เขาจริงๆ หรือที่เป็น…ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่กลับชาติมาเกิด! ข้อมูลนี้สร้างความตื่นตระหนกให้หวังเป่าเล่อมากเกินไป ชายหนุ่มยังไม่อาจยอมรับได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าประสบการณ์ของเขาในตำหนักวังเต๋าไพศาล ชายหนุ่มรู้ดีว่าศิษย์แห่งเต๋าไพศาลนั้นมีอำนาจและพลังมากมายเพียงใด ศิษย์แห่งเต๋าไพศาลนั้นเรียกได้ว่าถือโลกทั้งใบเอาไว้ในกำมือ

ชายหนุ่มไม่อาจจะยอมรับได้ เขาคิดไปถึงความยากลำบาก สถานการณ์เฉียดตายที่เขาต้องผ่านมาเพื่อจะได้ระดับศิษย์อุปถัมภ์มาครอบครอง ฝ่ายหลี่อู๋เฉินนั้น เกิดมาก็เป็นศิษย์แห่งเต๋าไพศาลเลย…ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือความบาดหมางระหว่างทั้งคู่ หวังเป่าเล่อเริ่มจะปวดศีรษะ

ไม่ว่าใครที่มีตาก็บอกได้ว่าหลี่อู๋เฉินนั้นไม่หล่อ ไม่ได้ใจดี หรือใจกว้างเท่ากับข้า เขาทั้งใจแคบและเจ้าคิดเจ้าแค้น เขาจะต้องมาหาเรื่องข้าแน่ๆ เมื่อได้ความทรงจำกลับคืนมา…หวังเป่าเล่อหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง

บทที่ 619 ความทรงจำของต้นไฮยาซิน
ข่าวเรื่องผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ทำเอาสำนักวังเต๋าไพศาลวุ่นวายเป็นอันมาก และความโกลาหลยังคงแพร่กระจายต่อไป เฟิ่งชิวหรันประกาศว่าพิธีแต่งตั้งจะถูกจัดขึ้นในอีกสามวันให้หลัง บริเวณภายใต้ต้นไฮยาซินนั่นเอง!

ข่าวนี้ทำให้ศิษย์จากสหพันธรัฐในสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง หลี่อี้เงียบงันผิดปกติ นางถอนหายใจพลางพยายามควบคุมอารมณ์ แม้ว่านางจะเกลียดหวังเป่าเล่อเพียงใจ แต่นางก็ไม่อาจจะปฏิเสธช่องว่างระหว่างความสามารถที่ขวางกั้นทั้งสองอยู่ได้ เรียกได้ว่าสถานการณ์มาถึงจุดที่นางไม่อาจจะเกลียดเขาได้อีกต่อไป

นางเข้าใจสิ่งหนึ่งอย่างถ่องแท้ หลังจากพิธีการแต่งตั้ง หวังเป่าเล่อก็จะกลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ ชายหนุ่มจะกลายมาเป็นผู้นำของบรรดาศิษย์จากสหพันธรัฐไปโดยปริยาย!

บรรดาผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐทุกคน รวมไปถึงผู้ที่จะเข้ามาร่วมกับพวกเขาในอนาคต ก็จะล้วนตกอยู่ภายใต้การนำของหวังเป่าเล่อทั้งสิ้น พวกเขาจะกลายเป็นฝ่ายที่สี่ในสำนักวังเต๋าไพศาล ฝ่ายสหพันธรัฐ!

ในช่วงระยะเวลาสามวันต่อมา ประมุขสำนักสวีใช้เวลาส่วนใหญ่ไปที่เกาะเพลิงเขียวของหวังเป่าเล่อ เขาได้รับตำแหน่งผู้ดูแลหลักบนเกาะของหวังเป่าเล่อไปเรียบร้อย

ประมุขสวีทั้งยอมรับและรับรู้ว่าหวังเป่าเล่อมีตำแหน่งเหนือกว่า เมื่อเป็นทั้งศิษย์อุปถัมภ์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาลและผู้อาวุโสสูงสุดที่กระทั่งผู้นำแห่งสหพันธรัฐหรือผู้นำฝ่ายการเมืองใดๆ ต่างก็ต้องให้ความเคารพเป็นอย่างมาก

“หากต้วนมู่ฉีล่วงรู้เรื่องนี้ เขาจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน…” ประมุขสำนักสวีพึมพำกับตนเอง ชายวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงใจกับเรื่องนี้อยู่อย่างลับๆ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเคยทำลายแผนของเขาเมื่อครั้งอยู่บนดวงจันทร์โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่แท้จริงแล้ว การแทรกแซงของต้วนมู่ฉีต่างหากที่เป็นต้นเหตุที่แผนของเขาต้องล้มเหลวไป

เพราะเหตุนี้ ประมุขสำนักสวีจึงแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นต้วนมู่ฉีต้องประสบเคราะห์กรรม เขายังปรับท่าทีเมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่ออีกด้วย โดยการพยายามที่จะไม่ยกตำแหน่งหรืออาวุโสเข้าข่ม ประมุขสวีตอนนี้นั้นช่วยรับแขกเหรื่อที่เข้ามาเยี่ยมหวังเป่าเล่อกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งในช่วงสามวันนี้

หวังเป่าเล่อทั้งซาบซึ้งและสำนึกในความช่วยเหลือของประมุขสวีในครั้งนี้ การจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดทำให้ชายหนุ่มตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาสงสัยว่าสหพันธรัฐจะมีท่าทีเช่นไรหากเขาเดินทางกลับไปในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาล

ชายหนุ่มรู้สึกมีกำลังใจขึ้นเป็นอันมาก เขายังคงรับแขกต่อไปตลอดระยะเวลาสามวัน สามวันให้หลัง พิธีการแต่งตั้งก็มาถึง!

ประชากรทั้งหมดในสำนักวังเต๋าไพศาล ประกอบด้วยผู้ฝึกตนหนึ่งล้านคน มารวมตัวกัน เป็นไปไม่ได้เลยที่เกาะหลักจะสามารถรองรับแขกเหรื่อทั้งหมดได้พอ เพราะฉะนั้น ผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยจึงต้องลอยตัวอยู่กลางอากาศรอบๆ เกาะแทน สายตาทุกคู่จับต้องไปยังต้นไฮยาซินยักษ์เป็นตาเดียว!

ขณะนี้ ใต้ต้นไฮยาซินนั้นมีคนอยู่เพียงสามเท่านั้นคือเฟิ่งชิวหรัน ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน และเมี่ยเลี่ยจื่อ ทั้งสามยืนอยู่ใต้ต้นไม้ภายใต้สายตาประชาชนด้วยท่าทีขึงขัง เฟิ่งชิวหรันสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดออกมาช้า ด้วยน้ำเสียงดังสนั่นเปี่ยมด้วยอำนาจ

“ผู้อาวุโสสูงสุดหวัง โปรดก้าวออกมาข้างหน้า!”

เสียงของเฟิ่งชิวหรันดังกังวาลไปในอากาศ ไม่ว่าจะมีความรู้เช่นใดต่อเรื่องนี้ บรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่รายล้อมอยู่ก็พากันพูดตามนางเป็นเสียงเดียว

“ผู้อาวุโสสูงสุดหวัง โปรดก้าวออกมาข้างหน้า!”

สรรพสำเนียงจำนวนมหาศาลดังกึกก้องขึ้นและเงียบสงัดลง กำแพงเสียงน่าตื่นตะลึงสะท้อนก้องไปถึงสรวงสวรรค์ สายตาของทุกๆ คนหันไปยังยอดเขาหลักที่ปรากฏเงาร่างหนึ่งเดียวยืนอยู่

หวังเป่าเล่อสวมใส่ชุดสีขาวบริสุทธิ์ รูปของกระบี่สำริดเขียวโบราณที่เย็บติดอยู่กับอกส่องแสงสะท้อนไปมา ชุดคลุมของเขาดูคล้ายกับจะมีพลังประหลาดบางอย่างฉาบเคลือบอยู่ เมื่อหวังเป่าเล่อสวมใส่ชุดนี้ก็ดูราวกับว่ากายของเขาส่องแสงสว่างอันเจิดจ้าออกมาทำให้ไม่มีใครอาจจะมองไปทางเขาตรงๆ ได้

ชุดคลุมนี้เป็นสิ่งของที่สงวนเอาไว้เฉพาะผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้น ชุดคลุมเต๋าของผู้อาวุโสสูงสุด!

พิธีจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือหวังเป่าเล่อต้องเดินขึ้นภูเขาโดยมีทั้งสำนักเป็นสักขีพยาน เขาจะต้องไปถึงจุดในสุดของสำนักซึ่งก็คือบริเวณใต้ต้นไฮยาซิน ซึ่งเป็นจุดที่สงวนเอาไว้สำหรับผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้น!

จากนั้น ชายหนุ่มจะต้องเข้าคารวะต้นไฮยาซิน!

สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่หวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกและอารมณ์หลากหลายที่ส่งมากับสายตาเหล่านั้น ความอิจฉา ริษยา สับสน และอื่นๆ แล้วก้าวขึ้นไป ชายพุ่งตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า ไปถึงยอดเขาภายใต้สายตานับพันที่จ้องมอง และมาถึงหน้าผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสาม เขายืดตัวตรงและมองไปยังทั้งสาม

ผู้อาวุโสทั้งสามจ้องตอบ เมี่ยเลี่ยจื่อรู้สึกกระอักกระอ่วนและไร้พลัง เฟิ่งชิวหรันมียินดีอย่างจริงใจ ขณะที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั้นนิ่งสงบอย่างยิ่ง เขามีรอยยิ้มอ่อนโยนฉาบเคลือบอยู่บนใบหน้า และสายตาที่จ้องมองหวังเป่าเล่อนั้นก็เปี่ยมไปด้วยกำลังใจ

หวังเป่าเล่ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกตะหงิดๆ กับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ชายหนุ่มไม่อาจจะบอกได้ว่าความรู้สึกนี้มาจากไหน

“ผู้อาวุโสหวัง โปรดทำความเคารพต้นไฮยาซินเสีย ให้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นพยาน ว่าท่านจะกลายมาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่แห่งสำนักวังเต๋าไพศาลโดยสมบูรณ์!” เฟิ่งชิวหรันพูดอย่างเนิบช้าด้วยสีหน้าจริงจัง

หวังเป่าเล่อผงกศีรษะ ชายหนุ่มหันกลับไปมองบรรดาศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนของสำนักวังเต๋าไพศาลที่รายล้อมตัวเขาอยู่ เขามองเห็นดวงตาทุกคู่ที่จับจ้องมองมา จากนั้น จึงหันกลับมาจ้องมองต้นไฮยาซินขนาดยักษ์ที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า

ต้นไม้นี้นับเป็นต้นไม้ดึกดำบรรพ์ กาลเวลาได้ฝากร่องรอยแตกหักเอาไว้มากมายบนเปลือกไม้ที่ทั้งหนาและขรุขระ ราวกับว่าต้นไม้นี้เองก็เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักที่ดำรงอยู่มานานแสนนาน ที่เป็นทั้งผู้ปกปักรักษาและสักขีพยานแห่งความรุ่งโรจน์ของสำนักวังเต๋าไพศาลไปพร้อมๆ กัน

หวังเป่าเล่อจ้องมองต้นไฮยาซินก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ชายหนุ่มก้าวขาเข้าไปหาต้นไม้ยักษ์และยกมือขึ้นคารวะก่อนจะโค้งคำนับลงต่ำ ท่ามกลางสายตาของศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่รายล้อมอยู่

ทันทีที่ชายหนุ่มทำการคารวะนั้น ต้นไม้ก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรง ท้องฟ้าและพื้นพิภพสั่นสะเทือน อากาศกลับหยุดนิ่งรวมถึงหมู่เมฆที่หยุดการเคลื่อนไหวไปจนสิ้น วงแหวนปราณแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลปรากฏขึ้นและทะเลเพลิงที่รายล้อมอยู่โดยรอบก็โหมคลั่ง ราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง

ทุกๆ คนมีสีหน้าตื่นตะลึง ผู้ที่ชั่งใจว่าจะยอมรับหวังเป่าเล่อในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดคนใหม่ก็พากันนิ่งงันไปสิ้น ต่างพากันจับจ้องมองดูหวังเป่าเล่อด้วยความตื่นตะลึงราวกับไม่เชื่อสายตาตนเอง

“ปราณกังวานของเขาเข้าไปเชื่อมต่อกับต้นไฮยาซินได้!”

“เขาถึงกับควบคุมวงแหวนปราณของสำนักได้เชียวหรือ!”

“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นเป็นของจริง!”

สถานการณ์คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วเมื่อหวังเป่าเล่อนำตราประจำตัวของเขาออกมาแสดงเป็นครั้งแรก แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ได้เห็นฉากนั้น ทำให้ไม่มีการตื่นตกใจเกิดขึ้นมากนัก มาบัดนี้ เมื่อทุกคนได้เห็นเองกับตา พวกเขาก็เต็มตื้นขึ้นมาจนเหลือจะกล่าว

ปราณกังวาลที่หวังเป่าเล่อเข้าถึงร่วมกันกับต้นไฮยาซินนั้นยิ่งใหญ่กว่าครั้งที่ผ่านมา ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสามยืนอยู่ใกล้ต้นไม้ที่สุดและมีระดับพลังปราณสูงที่สุด พวกเขาทั้งสามสัมผัสถึงการเชื่อมต่อระหว่างทั้งคู่ได้ชัดเจน

ทั้งสามมีสีหน้าตกใจ หวังเป่าเล่อตัวสั่นอย่างรุนแรง ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงดวงจิตประหลาดที่แยกตัวออกมาจากต้นไม้ มันลื่นไหลเข้าไปยังกระเป๋าคลังเก็บของเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะเข้าไปในตราประจำตัวศิษย์อุปถัมภ์ที่อยู่ภายใน!

ราวกับว่าดวงจิตนั้นกำลังตรวจสอบอะไรบางอย่าง ไม่นานนัก มันก็จากมา ต้นไฮยาซินดูเหมือนว่าจะรู้ถึงสถานะของหวังเป่าเล่ออย่างแน่ชัด มันจึงเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงขึ้นไปอีก ก่อนที่ดวงจิตดวงเดิมนั้นจะพุ่งเข้าไปในใจของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะฉายภาพมากมายขึ้นในศีรษะของเขา

หวังเป่าเล่อมีสีหน้าตกใจ ชายหนุ่มมองเห็นภาพมากมาย…หรืออาจจะเรียกได้ว่าเขาได้เข้าไปอยู่ในความทรงจำของต้นไม้ยักษ์ หวังเป่าเล่อมองเห็นเฟิ่งชิวหรันยืนอยู่หน้าต้นไม้เช่นเดียวกับเขานี้ แต่ในอดีต!

นางดูสาวกว่าตอนนี้ แถมยังอุ้มทารกคนหนึ่งเอาไว้ในอ้อมแขน!

เฟิ่งชิวหรันทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าต้นไฮยาซิน ด้วยสีหน้าสับสน นางพึมพำอยู่เงียบๆ ต่อหน้าต้นไม้ใหญ่!

ลมหายใจของหวังเป่าเล่อเริ่มรัวเร็ว มีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล ชายหนุ่มเริ่มจับใจความของเสียงพึมพำจากเฟิ่งชิวหรันได้…

“ข้าแต่ต้นไฮยาซินโบราณ ตระกูลไม่รู้สิ้นลอบจู่โจมพวกเราระหว่างการเดินทาง บรรดาผู้อาวุโสเจ็บหนักและเร้นกายไปจำศีล กระบี่สำริดเขียวโบราณเองก็หลุดออกจากเส้นทาง เข้าสู่ดินแดนหนึ่งที่รู้จักกันในนามระบบสุริยะ ในระบบจักรวาลนี้มีอารยธรรมอยู่ชื่อว่าสหพันธรัฐ พวกเขาค้นพบเศษด้ามกระบี่และได้เข้าสู่ยุคแห่งการฝึกปราณ…ข้าอยากจะนำทางพวกเขาสู่เส้นทางแห่งการฝึกตน และเมื่อพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาก็จะมาช่วยเหลือตอบแทนวังเต๋าไพศาล…สำนักวังเต๋าไพศาลก็จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลนี้ได้อย่างสมบูรณ์และลงหลักปักฐานเสียใหม่ พวกเราจะได้อยู่รอดและเติบโต และเริ่มปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งอารยธรรมของเราขึ้นใหม่ ณ ที่แห่งนี้!

“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าสงสัยว่าอาจจะยังมีเศษซากของตระกูลไม่รู้สิ้นแอบแฝงอยู่ ณ วังเต๋าไพศาลแห่งนี้ ข้าจะหาพวกมันให้พบทั้งหมดเอง!

“เป็นเหตุว่าทำไม…ข้าจึงไม่กล้าเก็บเด็กคนนี้ไว้กับตัว ข้าอยากจะส่งเขาไปกับบรรดาผู้มาเยือนจากสหพันธรัฐ ข้าหวังจะให้เขาเติบโตขึ้นที่นั่น

“เด็กคนนี้สำคัญกับข้านัก ข้าเป็นคนเดียวในสำนักวังเต๋าไพศาลนี้ที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา เขาก็คือ…ผู้ที่กลับชาติมาเกิดจากศิษย์แห่งสำนักเต๋าคนก่อน อู๋เฉิน เขาจะได้ความทรงจำทั้งหมดของเขากลับมาเมื่อเขาบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณ ข้าไม่กล้าให้เขาใช้ชีวิตอยู่ต่อไป ณ สำนักวังเต๋าไพศาล โปรดอนุญาตให้ข้าส่งเขาไปจากที่นี่ด้วยเถิด!

“ได้โปรดออกผลหนึ่งลูกหากท่านอนุญาต…”

บทที่ 618 ผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่!
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข่าวการกลับมาของหวังเป่าเล่อในฐานะศิษย์อุปถัมภ์เริ่มแพร่กระจายออกไป สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกๆ คนในสำนักวังเต๋าไพศาล คนที่ไม่รู้มาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นก็เริ่มไปค้นหาดูในบันทึกเก่าๆ และพบว่าระดับศิษย์นี้ถือเป็นสถานะสูงส่งเท่าใดในอดีต

สถานะใหม่นี้แปลว่าหวังเป่าเล่อสามารถจะตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในสำนักวังเต๋าไพศาลได้อย่างง่ายดาย เพราะอย่างไรเสียผู้ที่มอบตำแหน่งนี้ให้เขาก็คือสำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริง เหลือเพียงระดับขั้นพลังปราณปัจจุบันของเขาเท่านั้นที่หยุดไม่ให้เขาเข้าควบคุมสำนักวังเต๋าไพศาลทั้งหมดเอาไว้

ตอนนี้ไม่สำคัญอีกแล้วว่าเขาไม่ได้มาจากสำนักวังเต๋าไพศาล

ไม่ใช่เพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกๆ คน เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็ด้วย ทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าต่างก็กลับมาถึงในฐานะศิษย์สำนักในและศิษย์สำนักนอก ระดับของกงเต๋านั้นไม่ค่อยน่าตื่นตกใจเท่าใดนัก แต่ของเจ้าเยี่ยเหมิงทำเอาทุกคนแทบไม่เชื่อสายตา หากไม่ใช่เพราะความสำเร็จอันใหญ่หลวงของหวังเป่าเล่อที่บดบังอยู่ เจ้าเยี่ยเหมิงก็จะต้องเป็นที่สนใจอย่างใหญ่หลวงอย่างแน่นอน

สหพันธรัฐ…ในที่สุดก็ควบรวมกับสำนักวังเต๋าไพสาลเป็นเนื้อเดียว แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะแยกทั้งสองออกจากกัน เพราะอย่างไรเสียก็มีหวังเป่าเล่ออยู่ บุรุษไร้เทียมทานผู้ที่ไม่อาจถูกแทนที่ได้

สิ่งที่สำนักวังเต๋าไพศาลต้องตัดสินใจขณะนี้ก็คือตำแหน่งและหน้าที่ที่จะมอบให้หวังเป่าเล่อ ผู้คนเสนอความคิดเห็นหลากหลายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้ที่ต้องปวดศีรษะกับเรื่องนี้อย่างใหญ่หลวงก็คือเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรัน รวมไปถึงศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ผู้ที่เพิ่งจะออกมาจากการถือสันโดษและนิ่งเงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด

ถ้าที่เมี่ยเลี่ยจื่อกำลังปฐมพยาบาลตนเองจากอาการปวดหัว เฟิ่งชิวหรันก็กำลังสับสันอย่างหนัก นางไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรกับหวังเป่าเล่อดี ผู้อาวุโสทั้งสามไม่ได้พูดเรื่องนี้กันแม้แต่น้อย เรื่องยุ่งยากทุกอย่างก็ยังคงอยู่ต่อไป

ทั้งสามรู้ดีว่าพวกเขาต้องทำอะไรสักอย่างไม่ช้าก็เร็ว มิเช่นนั้นจะเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน ศิษย์อุปถัมภ์มีอำนาจพอที่สั่งการต้นไฮยาซินและวงแหวนปราณของสำนักได้ หากที่นี่เป็นสำนักวังเต๋าไพศาลเช่นในอดีตแล้ว ก็ไม่มีใครเลยที่เหมาะสมจะได้เป็นผู้ติดตามของหวังเป่าเล่อเสียด้วยซ้ำ

ผู้อาวุโสทั้งสามพยายามจัดการกับเรื่องปวดหัวที่ดูจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ระหว่างที่บรรดาผู้ฝึกตนทั้งหลายในสำนักวังเต๋าไพศาลก็ยังคงถกเถียงกันต่อไปอย่างเผ็ดร้อน หวังเป่าเล่อกลับไปถึงเกาะเพลิงเขียวเพื่อจัดการธุระให้เรียบร้อย ชายหนุ่มกำชับเจ้าลาหนักแน่นว่าห้ามก่อปัญหา ก่อนจะติดต่อไปหากงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิง ทั้งสามไปรวมตัวกันที่เกาะหลักและเตรียมจะนำสิ่งของที่เก็บมาได้ไปแลกเป็นแต้มการรบ

รายรับของพวกเขามากมายมหาศาล ทุกคนต่างก็หลีกทางให้พร้อมกับส่งสายตาแปลกแปร่งมาเมื่อพวกเขาเดินไปยังแผ่นหินรับภารกิจ ทันทีที่การแลกเปลี่ยนเริ่มขึ้น ทั้งสามก็หยิบเอาของออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่า แผ่นหินเริ่มสั่นสะท้านก่อนจะส่องแสงสว่างจ้า

ไม่ใช่เพียงแสงสว่างวาบเดียว แต่เป็นแสงสว่างจ้าที่ส่องอยู่ไม่หยุดหย่อน เพื่อนทั้งสามหยิบเอาของออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่าต่อไป ราวกับว่ากระเป๋าคลังเก็บของพวกเขาทั้งสามไร้ก้นบึ้งกระนั้น

ศิษย์สำนักวังเต๋ารอบกายพวกเขาตอนแรกๆ ก็ตกใจ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปพวกเขาก็เริ่มตกตะลึงจนอ้าปากค้าง สามสิบนาทีผ่านไป หวังเป่าเล่อและเพื่อนในที่สุดก็เอาของออกมาหมด เกิดความโกลาหลยิ่งใหญ่ขึ้น ณ บริเวณลานแผ่นหินรับภารกิจนั้น

ความวุ่นวายนั้นเกิดขึ้นอยู่ยาวนาน เสียงร้องโวยวายดังก้องออกมาได้ยินไปไกล หวังเป่าเล่อและเพื่อนเอาก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน แต้มการรบที่พวกเขาได้รับมาอยู่ที่ราวๆ หนึ่งล้านแต้ม พวกเขาสร้างปาฏิหาริย์ได้สำเร็จแล้ว!

เพื่อนทั้งสามแยกทางกันในอีกไม่นานนัก หวังเป่าเล่อลงแรงไปเยอะที่สุดในการสำรวจ ทั้งกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงต่างก็ยืนยันว่าให้ชายหนุ่มรับแต้มการรบไปทั้งสิ้นห้าแสนแต้ม ส่วนกงเต๋ารับไปอีกร้อยละสี่สิบของที่เหลือ ทิ้งอีกร้อยละหกสิบเอาไว้ให้เจ้าเยี่ยเหมิง

การแบ่งเช่นนี้ก็ดูสมเหตุสมผลดี กงเต๋าเองก็คิดว่าเป็นจัดการที่ยุติธรรม ชายหนุ่มกล่าวคำอำลาเพื่อนทั้งสองก่อนจะจากไปเพื่อนำแต้มการรบไปแลกสมบัติเวท เขาตั้งใจจะไปแลกเสื้อคลุมผ้าคลุมออกรบที่มีพลังทำให้ผู้สวมใส่หายตัวได้

เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็มีสิ่งที่ต้องการจะซื้อเช่นกัน นางจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเปี่ยมความหมายและแก้มสีชมพูระเรื่อ ก่อนจะจากไป หวังเป่าเล่อเองก็รีบมุ่งหน้าไปยังหอตำรากระบวนเวทไพศาลพร้อมตราประจำตัวที่มีแต้มการรบอยู่เต็มเปี่ยม

ครั้งนี้ละ ข้าจะให้ต้วนมู่น้อยเรียกข้าว่าท่านบิดาให้จงได้! หวังเป่าเล่อคิดอย่างภาคภูมิใจ ตราบใดที่ชายหนุ่มยังแต้มการรบอยู่ เขาก็เสมือนมีพลังครองโลกได้ เขามาถึงหอตำรากระบวนเวทไพศาลจนได้ ด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียว ชายหนุ่มก็ซื้อตำรากระบวนเวทมาถึงสองร้อยชุดในพริบตา แม้ว่าในบรรดาตำรานั้นมีบางเล่มราคาสูงถึงหนึ่งพันแต้มการรบเลยก็ตาม!

หวังเป่าเล่อใช้แต้มการรบไปเกือบสามแสนแต้มไปกับตำรากระบวนเวท ชายหนุ่มไม่เดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีแต้มการรบอีกหนึ่งแสนห้าหมื่นแต้มที่ซุนไห่จะนำมาจ่ายในวันนี้ แถมการที่เขาไม่อยู่ชั่วระยะหนึ่งก็แปลว่ายังมีกำไรจากเกมให้เก็บอีกมาก แม้จะยังไม่ได้ถามเซี่ยไห่หยางว่าเท่าใด แต่หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่าจะต้องเป็นจำนวนไม่น้อยแน่นอน

ชายหนุ่มไม่ได้เครียดเรื่องการใช้จ่ายเงินแม้แต่น้อย เขาหยิบเอาตำรากระบวนเวททั้งสองร้อยเล่มไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายและส่งกลับไปสหพันธรัฐพร้อมกับในคราวเดียว หวังเป่าเล่อพอจะจินตนาการความตื่นตะลึงที่จะเกิดขึ้นในสหพันธรัฐหลังจากที่ได้รับตำรากระบวนเวทสองร้อยเล่มพร้อมๆ กันได้ ชายหนุ่มสงสัยว่าต้วนมู่ฉีจะอ้าปากกว้างเพียงใดเมื่อได้เห็น ความคิดนั้นทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นเป็นอย่างมาก

ต้วนมู่น้อย เจ้าหมดหนทางต่อต้านแล้ว เจ้าไม่ควรจะพยายามเล่นสกปรกเองตั้งแต่ต้น! หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นตบท้องอย่างภาคภูมิใจ ชายหนุ่มเชื่อมั่นในการไม่ยอมแพ้ เขาส่งตำรากระบวนเวททั้งสิ้นกว่าสามร้อยเล่มกลับไปยังสหพันธรัฐแล้ว หรือบางทีถ้านับแบบปัดเศษอาจจะบอกได้ว่าเขาส่งกลับไปห้าร้อยเล่นก็ย่อมได้!

ถ้าอย่างนั้นก็แน่นอนแล้ว!

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ปิดวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก่อนจะกลับเกาะเพลิงเขียวไปอย่างเปี่ยมสุข ตามที่ชายหนุ่มคาดการณ์ไว้ เกิดความโกลาหลขึ้นครั้งใหญ่ในสหพันธรัฐเพราะตำราสองร้อยเล่มที่เพิ่งถูกส่งกลับไป

ความวุ่นวายบนดาวพุธและการผกผันของระบบจัดอันดับผลงานพันธุ์กล้าทำให้การทุ่มเถียงอย่างรุนแรงแพร่กระจายไปทั่วสหพันธรัฐ สำนักข่าวทั้งหลายต่างพากันตีพิมพ์และเผยแพร่บทความออกไป ผู้คนในสหพันธรัฐก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องนี้เช่นกัน ต้วนมู่ฉีถึงกับใบ้เบื้อไป เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสถานะผู้นำแห่งสหพันธรัฐของเขา…คงจะอยู่อีกไม่นาน

สำนักข่าวหลายแห่งเริ่มพูดถึงคำสัญญาที่ต้วนมู่ฉีให้ไว้ แปลว่าใครก็ตามที่ติดตามข่าวอยู่เสมอก็จะรู้ว่า หวังเป่าเล่อจะได้รับการปูนยศอย่างใหญ่หลวงเมื่อเขากลับมา!

ผู้คนทั้งสหพันธรัฐก็พากันซุบซิบเรื่องนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งบรรดาผู้อาศัยในนครศักดิ์สิทธิ์ บิดามารดาของหวังเป่าเล่อเริ่มมีเพื่อนฝูงในเมืองบ้างและพวกเขาก็เริ่มติดตามข่าวเช่นกัน ชายหญิงชราทั้งคู่ต่างก็ดูข่าวด้วยหัวใจเต้นระทึก ไม่อาจจะวาดฝันไปถึงการที่บุตรชายคนเดียวจะได้ขึ้นเป็นผู้นำแห่งสหพันธรัฐได้เลย

แต่ทว่า สิ่งนั้นกำลังจะกลายเป็นความจริงแล้ว พวกเขารู้ดีว่าหากมันเกิดขึ้นจริงแล้ว ชีวิตของพวกเขาจะมั่นคงขึ้นเพียงใด ทั้งคู่ขณะนี้ก็ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา แถมเพื่อนใหม่ๆ ที่เพิ่งรู้จักก็ดีจะเป็นมิตรขึ้นอย่างบอกไม่ถูก…

ขณะที่แผ่นดินสหพันธรัฐเกิดความวุ่นวายใหญ่หลวง ชีวิตของหวังเป่าเล่อบนกระบี่สำริดโบราณก็ค่อยๆ สงบลงอีกครั้ง ชายหนุ่มเริ่มการฝึกปราณอีกครั้งหนึ่ง

ตอนนี้เขาสามารถควบคุมพลังปราณขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดได้แล้ว และเริ่มวางแผนการบรรลุขั้นไปยังขั้นจุติวิญญาณ ยังคงมีปัญหาเรื่องวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีขั้นที่สองอีกด้วย หวังเป่าเล่อยังวางแผนจะบรรลุขั้นสุดท้ายของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงด้วยเช่นกัน

ความคืบหน้าของเขาในวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคียังคงเชื่องช้า แต่กับกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงนั้นกลับรุดหน้าไปได้ดี อย่างไรก็ตามแต่ ความคืบหน้าในการฝึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงเองก็ชะลอตัวลงเช่นกัน แม้จะใกล้ถึงขั้นสุดท้ายแล้วก็ตามที พลังที่ชายหนุ่มจะได้รับมาเมื่อบรรลุขั้นสุดท้ายนั้นจะยิ่งใหญ่ยิ่งกว่ากระบวนเวทอื่นใดในตระกูลอัสนีนิรันดร์จำแลงด้วยกัน อันที่จริงแล้ว กระบวนเวทนี้ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดากระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงในขั้นกำเนิดแก่นในด้วยกัน

ชื่อของมันก็คือดัชนีอัสนีนิรันดร์!

สวรรค์และพื้นพิภพจะแปรเปลี่ยนไปเมื่อดัชนีอัสนีนิรันดร์ถูกปลดปล่อย! ขั้นที่สี่ของกระเบนเวทอันสีนิรันดร์จำแลงนี้มุ่งเน้นการรวมพลังไปของสายฟ้าเข้าสู่กายของผู้ใช้เพื่อสร้างดัชนีสายฟ้าที่ทรงพลัง ทำให้สามารถทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้ในพริบตา!

ความพยายามครั้งแรกๆ ของหวังเป่าเล่อทำให้เขาได้สัมผัสถึงพลังที่ถูกกักเก็บอยู่ภายในดัชนีอัสนีนิรันดร์นี้ ทำให้ชายหนุ่มมีกำลังใจในการฝึกฝนมากขึ้นไปอีก

ในที่สุดซุนไห่ก็รวบรวมแต้มการรบมาได้หนึ่งแสนห้าหมื่นแต้ม หลังจากที่ต้องทั้งร้องขอ ลักขโมย และประจบประแจง ในเวลาเดียวกันนั้น เซี่ยไห่หยางก็โอนแต้มการรบมาให้สองแสนแต้ม ที่ล้วนเป็นรายได้จากเกมทั้งสิ้น

ความร่ำรวยของหวังเป่าเล่อเพิ่มพูนขึ้นจนทะลุสี่แสนแต้มการรบไปแล้ว หากชายหนุ่มไม่ได้เป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ก็ต้องติดหนึ่งในสิบอย่างแน่นอน

หวังเป่าเล่อฝึกปราณต่อไป ในช่วงนี้ ปัญหาเรื่องสถานะของเขาก็ได้รับการแก้ไข เฟิ่งชิวหรันในที่สุดก็เสนอให้หวังเป่าเล่อรับตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุด เท่าเทียมกับอีกสามคนที่เหลือ ชายหนุ่มจะกลายมาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่แห่งสำนักวังเต๋าไพศาล เขาจะสามารถรวบรวมผู้คนมาเข้าฝ่ายของตนเองได้อีกด้วย!

หากเป็นเรื่องอื่น เมี่ยเลี่ยจื่อก็คงคัดค้านหัวชนฝา ตำแหน่งที่หวังเป่าเล่อได้รับนั้นเกินกว่าที่ชายชราจะยอมรับได้ แต่ทว่าขณะนี้นั้น…เพราะความกดดันจากสถานะของหวังเป่าเล่อที่เป็นถึงศิษย์อุปถัมภ์ เมี่ยเลี่ยจื่อทำได้เพียงต้องยอมรับข้อเสนออย่างขมขื่น เพราะในความเป็นจริงแล้ว หากสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในสำนักวังเต๋าไพศาลในอดีต เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ติดตามของศิษย์อุปถัมภ์ด้วยซ้ำ…

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันดูเหมือนว่าจะมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นของตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้พูดคุยแบ่งปันกับใคร ทั้งเฟิ่งชิวหรันและเมี่ยเลี่ยจื่อต่างก็เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ เพราะฉะนั้นก็คงไม่เป็นการควรหากโยวหรันจะแสดงความคิดเห็นอะไรอีกต่อไป เขาจึงนั่งเงียบอยู่ ขณะที่มีประกายเย็นเยียบสะท้อนอยู่ในแววตา

ผู้อาวุโสทั้งสามบรรลุฉันทามติซึ่งกันและกัน และเมื่อประกาศเรื่องนี้ออกไป ทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลก็วุ่นวายเอิกเกริกเป็นการใหญ่!

ไม่มีใครสักคนในสำนักที่ไม่ตกตะลึงกับข่าวนี้ ทุกๆ คนรู้ดีว่าอะไรๆ ในสำนักวังเต๋าไพศาลก็กำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล!

บทที่ 617 สถาปนาอำนาจ!
เมี่ยเลี่ยจื่อตัวสั่นเทา ตั้งแต่ขึ้นมาสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณ เขาก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้มานานมากแล้ว ชายชราไม่ได้คาดหวังว่าสถานการณ์จะออกมาเช่นนี้แม้แต่น้อย ว่าคนอย่างหวังเป่าเล่อจะได้ระดับศิษย์อุปถัมภ์มาไว้ในครอบครอง!

เขาคาดการณ์ไว้ว่า หวังเป่าเล่อคงต้องลำบากอย่างหนักเพียงเพื่อจะไปให้ถึงระดับศิษย์สืบทอดได้ แต่ทว่าขณะนี้นั้น หวังเป่าเล่ออยู่ในระดับศิษย์อุปถัมภ์ สูงกว่าระดับศิษย์สืบทอดถึงสองขั้น เป็นรอดเพียงแค่ศิษย์แห่งเต๋าไพศาลเท่านั้น!

เมี่ยเลี่ยจื่อยังไม่อาจจะเชื่อสายตาตนเองได้ ในฐานะศิษย์ที่เคยเห็นช่วงเวลาที่สำนักวังเต๋าไพศาลรุ่งเรืองถึงขีดสุด เขาเคยได้เห็นว่าศิษย์สืบทอดนั้นมีสถานะสูงส่งเพียงใด ศิษย์เอก ที่ถือว่าสูงกว่าศิษย์สืบทอด ยังได้รับการยอมรับมากยิ่งกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเคยมีศิษย์เอกอยู่พร้อมๆ กันเพียงสามถึงห้าคนเท่านั้น

ศิษย์สืบทอดนั้น…เป็นตำแหน่งในตำนานของสำนัก แต่ละคนก็มีพลังอำนาจและสถานะอันสูงยิ่ง และไม่ใช่คนที่จะพบเจอได้ง่ายๆ ชายชราจำได้ว่าตัวเขาเองเคยเป็นผู้ติดตามของศิษย์เอกคนหนึ่งและเห็นว่าศิษย์เอกเหล่านั้นทุ่มตัวลงคำนับศิษย์สืบทอดจนหน้าผากจรดพื้น ราวกับว่าเป็นคนธรรมดาๆ ที่มาอยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนอย่างใดอย่างนั้น!

ความทรงจำเหล่านี้เป็นเหตุให้เมี่ยเลี่ยจื่อตกตะลึงไปเช่นนั้น ราวกับว่าถูกฟ้าผ่าเข้ากลางใจ เขาได้ยืนนิ่งตะลึงไปเช่นนั้น

เฟิ่งชิวหรันเองก็มีปฏิกริยาคล้ายคลึงกัน แต่เทียบกับเมี่ยเลี่ยจื่อแล้ว นางก็เคยเห็นตราประจำตัวศิษย์สีม่วงมามากกว่าบ้าง เพราะว่าผู้อาวุโสคนหนึ่งในตระกูลของนางเคยไปถึงระดับศิษย์อุปถัมภ์มาก่อน!

แต่ความทรงจำนั้นก็ยังทำให้นางอดใจหายไม่ได้ อันที่จึงแล้วเฟิ่งชิวหรันตกตะลึงมากกว่าเมี่ยเลี่ยจื่อหลายเท่าตัว นางเกือบจะยกมือคำนับหวังเป่าเล่อตามสัญชาติญาณที่ต้องทำความเคารพผู้อาวุโสกว่า

กระทั่งหวังเป่าเล่อเองก็ยังตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มรู้ดีว่าระดับศิษย์อุปถัมภ์นั้นสูงยิ่ง แต่ก็ยังคงเศร้าเสียใจไม่หายกับการพลาดตำแหน่งศิษย์แห่งเต๋าไพศาลไป เขาดึงเอาตราประจำตัวนี้ออกมาเพื่อจะจบการถกเถียงเรื่องของซุนไห่เท่านั้น

หวังเป่าเล่อไม่ได้คาดคิดว่าตราประจำตัวสีม่วงจะทำให้ต้นไฮยาซินสั่นไหวและวงแหวนปราณเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับมันไปด้วย กระทั่งกระบี่สำริดเขียวโบราณก็ยังสั่นคลอนอยู่เบาๆ สีหน้าของเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรัน ดูราวกับว่าพร้อมจะทรุดตัวลงคุกเข่าก้มกราบหวังเป่าเล่ออยู่ทุกขณะ

หวังเป่าเล่อสูดเอาอากาศเย็นเยียบเข้าไปเฮือกใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ สงบใจลง จากนั้นเขากะพริบตาครั้งหนึ่งก่อนจะชูตราประจำตัวและกล่าวออกมาอย่างเนิบๆ ว่า “ผู้อาวุโสเมี่ยเลี่ยจื่อ ข้าอยากจะรู้ว่า ซุนไห่เป็นศิษย์สำนักในใช่หรือไม่ หรือเป็นศิษย์สืบทอด หรือเป็นศิษย์สำนักนอกกัน”

เสียงของหวังเป่าเล่อนิ่งสงบ ก่อนหน้านี้นั้น ชายหนุ่มไม่มีอำนาจเพียงพอ แต่มาบัดนี้ เมื่อเขามีสถานะศิษย์อุปถัมภ์ ทุกๆ คำที่เขาพูดก็มีความหมายและมีอำนาจขึ้นมาอย่างยิ่งยวด!

เมี่ยเลี่ยจื่ออ้าปากพยายามจะพูด แต่ก็สัมผัสได้เพียงรสขมปร่าอยู่ภายในปากเท่านั้น ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย เฟิ่งชิวหรันจึงชิงเอ่ยตอบชายหนุ่มเสียเอง

นางเองก็เพิ่งจะหายตกตะลึง นางยกมือประสานทำความเคารพหวังเป่าเล่อตามสัญชาติญาณก่อนจะตอบเบาๆ ว่า “ซุนไห่ไม่ใช่ศิษย์ที่แท้จริงของวังเต๋าไพศาลแต่อย่างใด เขาไม่มีสถานะตำแหน่งศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาล…”

“เขาไม่มีอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อพยักหน้า ประกายเย็บเยียบปรากฏขึ้นในแววตาของชายหนุ่ม

“หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็แปลว่าเขาเป็นเพียงข้ารับใช้ธรรมดาๆ เท่านั้น เมื่อมาคิดว่าคนรับใช้บังอาจมาล่วงเกินข้าและใช้อสูรประจำตัวของข้าเป็นวัตถุดิบหลอมโอสถ สิ่งนี้ต่างหากที่เหมาะจะเรียกว่าเป็นการกบฏ! เป็นการล่วงเกินผู้บังคับบัญชา ผู้อาวุโสเมี่ยคิดเห็นเช่นใดกับเรื่องนี้ เขาควรจะได้รับการลงโทษเช่นใดดี” หวังเป่าเล่อพูดอย่างวางโต ชายหนุ่มขณะนี้มีทั้งเหตุผลและอำนาจอยู่ข้างเขาสิ้น เขาพลิกสถานการณ์กลับได้โดยใช้เพียงวาจาเท่านั้น ทุกๆ คนเริ่มจะกังวล

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ ที่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลจึงได้รีบรุดพากันมา พวกเขามีสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่หวังเป่าเล่อกล่าว สายตาที่พวกเขาจ้องมองไปทางชายหนุ่มในครั้งนี้เปลี่ยนแปลงไป

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ…ความยิ่งใหญ่และสถานะอันสูงส่งของระดับศิษย์อุปถัมภ์นั่นเอง!

กระทั่งซุนไห่ ผู้ที่รอดมาได้เพราะเมี่ยเลี่ยจื่อ ก็เริ่มตัวสั่นเทาแม้จะอยู่ในขั้นจุติวิญญาณก็ตาม ความรู้สึกถึงอันตรายที่กำลังย่างกรายเข้ามาทำเอาเขากังวลจนแทบคลั่ง ชายชราไม่คิดเลยว่าความโลภเพียงชั่ววูบจะทำให้เขาเสียกายเนื้อ แถมยังเข้าข่ายว่าได้กระทำผิดอย่างมหันต์ไปเสียฉิบ

เจ้านี่มีตำแหน่งศิษย์อุปถัมภ์ได้อย่างไรกัน บัดซบ เป็นไปไม่ได้!

ซุนไห่ตัวสั่นก่อนจะร้องขอให้เมี่ยเลี่ยจื่อช่วย อีกฝ่ายก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนยิ่ง เขาทั้งตะลึงทั้งประหม่า ไม่กล้าตัดสินใจแต่อย่างใด สถานะใหม่ของหวังเป่าเล่อทำเอาชายชราหัวหมุนไปหมด

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น แต่ทว่าสำนักวังเต๋าไพศาลให้ความสำคัญกับสถานะและระดับมาเป็นอันดับแรก เมี่ยเลี่ยจื่อรู้ดีว่าในสถานการณ์นี้ผู้ที่กุมอำนาจเหนือกว่านั้นคือใคร วังเต๋าไพศาลนั้นย่อยยับไปแล้วก็จริง แต่ผู้อาวุโสที่แก่ชราก็ยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเขาอาจจะจำศีลอยู่ในดินแดนห่างไกลตรงปลายกระบี่แต่ทว่าวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องตื่นขึ้นอย่างแน่นอน

เมี่ยเลี่ยจื่อเงียบงันเพราะความสับสน

หวังเป่าเล่อไม่ได้เร่งเร้าอีกฝ่าย ชายหนุ่มกระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะเดินดุ่มๆ เข้าไปหาหม้อหลอมโอสถ ผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่ก็ไม่มีใครกล้าหยุดเขา ต่างพากันถอยกรูดเมื่อหวังเป่าเล่อเดินเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นโบก หม้อหลอมโอสถนั้นแตกออกเป็นสองซีกพร้อมเสียงดังสนั่นก่อนจะระเบิดเป็นเสี่ยง

ลาดำกระโจมออกมาจากหม้อหลอม มันดูทั้งอ่อนล้าและเศร้าสร้อย ขนจำนวนมากของมันก็ร่วงหายไป มันดูเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่า หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ว่ามันได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยและไม่ได้มีอันตรายใดๆ หนักหนา

เจ้าลาดีใจที่ได้เจอหวังเป่าเล่ออย่างเห็นได้ชัด มันกำลังจะส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้งแต่หวังเป่าเล่อจ้องมันถมึงทึง เจ้าลาจึงหลุบศีรษะลงต่ำพลางทำท่าทีเศร้าเสียใจ ก่อนจะเอาจมูกเข้ามาดุนขาหวังเป่าเล่อราวกับว่าจะขอความเมตตา

ข้าจะจัดการกับเจ้าตะกละนี่อย่างไรดี! หวังเป่าเล่อโกรธจัด ชายหนุ่มเป็นถึงศิษย์อุปถัมภ์ แถมยังเป็นบุรุษที่หล่อเหล่าที่สุดในสหพันธรัฐอีกต่างหาก เขายอมให้เจ้าตะกละนี่มาติดตามได้อย่างไรกัน ต้องเป็นการจับคู่ที่แปลกประหลาดในสายตาของผู้คนภายนอกอย่างแน่นอน ชายหนุ่มกำลังจะเตะสั่งสอนเจ้าลาสักทีแต่เมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้ซึ่งมองเห็นว่าเจ้าลาไม่ได้บาดเจ็บมากมาย ก็พูดขัดขึ้นมาก่อนด้วยเสียงแหบพร่า

“หวัง…” ชายชราตะกุกตะกักพูดออกมาได้คำเดียว เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าต้องเรียกหวังเป่าเล่อว่าอย่างไร จึงชะงักงันอยู่ จากนั้นจึงตัดสินใจไม่คิดมากจนเกินไปนักก่อนจะกล่าว

“หวังเป่าเล่อ ซุนไห่มีความผิดจริงในกรณีนี้ ข้าจะให้เขาออกมาขอโทษเจ้าเดี๋ยวนี้” เมื่อพูดจบ เมี่ยเลี่ยจื่อก็ยกมือขวาขึ้นโบก วิญญาณจุติของซุนไห่พุ่งออกมาลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะก้มลงคำนับหวังเป่าเล่ออย่างนอบน้อม สายตาน่าเวทนานั่นส่องประกายขณะที่ชายชราก้มศีรษะลงขอโทษอยู่ซ้ำๆ

“ผู้อาวุโสหวังโปรดเมตตาด้วย ศิษย์ไม่รู้ถึงสถานะของท่านจึงได้ล่วงเกิน ข้าขอขมากับความเลวทรามที่ข้าได้กระทำล่วงเกินท่านลงไปแล้ว…”

เมี่ยเลี่ยจื่อรู้สึกอึดอัดที่ต้องฟังซุนไห่กล่าวขอโทษอยู่ไปมา แต่ทว่าหวังเป่าเล่อนอกจากจะมีสถานะสูงกว่าแล้ว ยังมีเหตุผลรองรับการกระทำอีกด้วย การที่ให้ซุนไห่มาขอขมานั้นเป็นทางเดียวที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างสงบ

หลังจากที่เงียบกันไปชั่วอึดใจหนึ่ง เฟิ่งชิวหรันก็หันมามองหวังเป่าเล่อเช่นกัน นางและเมี่ยเลี่ยจื่ออาจจะอยู่คนละฝ่าย แต่ซุนไห่ก็ยังเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณของสำนักวังเต๋าไพศาล เฟิ่งชิวหรันเองก็มีสิทธิทัดทานหากหวังเป่าเล่อตัดสินใจจะลงโทษเขาเพิ่มเติม

หวังเป่าเล่อรู้ดีว่านางคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มยังรู้อีกด้วยว่าการจะสังหารซุนไห่นั้นทำได้ แต่ทว่าอาจจะต้องออกแรงกันสักหน่อย คงจะไม่ง่ายเท่ากับการหาโอกาสลอบสังหารเขาในคราวต่อๆ ไป

หวังเป่าเล่อจะไปยอมปล่อยซุนไห่ไปง่ายๆ เช่นนี้แน่นอน แต่ทว่า หลังจากที่นิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มก็กล่าวออกมาช้าๆ “อสูรประจำตัวของข้าประสบกับเคราะกรรมอันใหญ่หลวงและไม่เป็นธรรม สิ่งนี้จะทำให้เกิดความ…” ซุนไห่รู้ทันทีว่าหวังเป่าเล่อกำลังพยายามจะทำสิ่งใด แม้ว่าชายหนุ่มจะยังพูดไม่จบก็ตาม ชายชราจึงรีบตะโกนแทรก “ผู้อาวุโสหวัง ศิษย์ผู้นอบน้อมคนนี้ยินดีจะชดใช้ให้…ข้าจะจ่ายให้ท่านห้าหมื่นแต้มการรบ!” หัวใจของซุนไห่รวดร้าวขณะที่ได้ยินจำนวนที่ตนเองตะโกนออกไป แต่อย่างไรเสีย สถานการณ์ก็ดูเหมือนว่าเขาคงไม่อาจจะรอดไปได้โดยไม่ต้องชดใช้

หวังเป่าเล่อกลอกตาก่อนจะพูดต่อไป

“…ความเจ็บปวดทางใจ จากความหวาดกลัวที่มันต้องเผชิญ ซึ่งจะไปฉุดรั้งโอกาสการบรรลุขั้นการฝึกปราณของมันต่อไปในอนาคต!”

เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็หันไปบุ้ยใบ้ใส่เจ้าลาอยู่ลับๆ ลาดำกะพริบตา แล้วก็แหกปากร้องตะโกนก่อนจะล้มตัวลงกับพื้น น้ำลายเริ่มฟูมปาก ตีนทั้งสี่ก็กระตุกอยู่ไปมา เจ้าลานั้นดูเหมือนว่าพร้อมจะขาดใจได้ในทุกขณะ นับเป็นผลงานการแสดงชิ้นเยี่ยมของเจ้าลาเลยก็ว่าได้

เฟิ่งชิวหรันยิ้มอย่างอ่อนใจ ขณะที่เมี่ยเลี่ยจื่อต้องเบือนหน้าหนี เขาไม่อาจจะทนดูภาพนั้นได้ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณรอบๆ กายพวกเขามีสีหน้ากระอักกระอ่วนยิ่ง ซุนไห่ถึงกับใบ้เบื้อ หัวใจเขาจากที่ตอนแรกเจ็บปวดอยู่เฉยๆ ตอนนี้ราวกับถูกมีดกรีดจนเลือดอาบ ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่ซุนไห่จะกัดฟันพูด “หนึ่งแสน หนึ่งแสนแต้มการรบ ข้าจะจ่ายชดเชยให้ท่านด้วยหนึ่งแสนแต้มการรบ!”

เมื่อเขาพูดจบ เจ้าลาก็ส่งเสียงร้องลั่นก่อนจะกระอักเอาโลหิตออกมาเต็มปาก

“หนึ่งแสนห้าหมื่น…” เสียงของซุนไห่สั่นเครือราวกับจะร้องไห้ จำนวนนั้นคือเงินทั้งหมดที่เขามี

“หนึ่งแสนห้าหมื่นแต้มการรบที่จะต้องจ่ายให้ครบภายในสามวัน จงจำเอาไว้ว่า ซุนไห่ แม้ว่าข้าจะไม่ติดใจเอาความเรื่องนี้เพราะนี่เป็นความผิดครั้งแรกของเจ้า แต่หากเจ้าทำอีกครั้งแล้วละก็…” หวังเป่าเล่อไม่พูดต่อให้จบ ชายหนุ่มจ้องไปยังซุนไห่อย่างเปี่ยมความหมายด้วยสายตากระหายเลือด จากนั้นเขาจึงยกมือคารวะเฟิ่งชิวรัน เก็บตราประจำตัว และหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้กลุ่มผู้ฝึกตนจำนวนมากยืนมองหน้ากันไปมาด้วยสายตางุนงง

เจ้าลากระโจนวิ่งตามหวังเป่าเล่อไป มันไม่กระอักโลหิตอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้มันห้อตะบึงตามหวังเป่าเล่อจากไป เสียงร้องด้วยความยินดีของเจ้าลาดังก้องมาตามอากาศอยู่เป็นพักๆ บรรดาผู้ฝึกตนต่างก็เฝ้ามองหวังเป่าเล่อและฟังเสียงร้องของเจ้าลาจนพวกเขาลับสายตาไป ต่างก็คิดเหมือนกันเป็นหนึ่งเดียวว่า

ในอนาคตอันใกล้นี้ สำนักวังเต๋าไพศาล…อาจจะต้องเตรียมการต้อนรับผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ก็เป็นได้ แม้ว่าเขาจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้นก็ตามที!

บทที่ 616 คำตอบที่สั่นคลอนวังเต๋าไพศาล!
เสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยพลังปราณของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ กระทั่งผู้ที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดก็คงจะต้องสั่นสะท้านเมื่อได้ยิน เทียบได้กับการถูกฟ้าที่ต้องทุกข์ทรมานกับการรับคลื่นกระแทกซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้น

หากเมี่ยเลี่ยจื่อตั้งใจจะสังหารพวกเขาแล้ว เพียงเสียงตะโกนครั้งเดียวก็คงจะบดทับพวกเขาจนบี้แบน ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอาจจะไม่ถึงกับตายทันที แต่ทว่าก็การเคลื่อนไหวก็คงจะถูกจำกัด ราวกับว่าวิญญาณถูกผนึกเอาไว้ก็ว่าได้

การโจมตีวิญญาณเช่นนี้เองเป็นพลังที่จำแนกให้ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณนั้นแข็งแกร่งกว่าใคร การโจมตีประเภทนี้ช่างยากที่จะต้านทาน แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อเองก็ถึงกับหูดับ ศีรษะตื้อตัน วิญญาณของเขาแทบจะปลิดปลิวออกจากร่าง ชายหนุ่มอยากจะโจมตีต่อไปแต่ก็ไม่อาจจะทำได้ เมื่อเขาพยายามจะถอยหนีก็พบว่าขยับไม่ได้เช่นกัน

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังตัวสั่นและเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่อาจขยับได้นั่นเอง มีพลังงานอันยิ่งใหญ่สองแหล่งตื่นขึ้นในกายเขา แหล่งหนึ่งมาจากแม่นางน้อย อีกแหล่งหนึ่งนั้น…มาจากฝักกระบี่ของเขาเอง!

อาจเพราะว่าแม่นางน้อยสัมผัสได้ถึงพลังงานจากฝักกระบี่ นางจึงสงบลงทันที ในวินาทีนั้นเอง ฝักกระบี่ก็ปลดปล่อยเอาพลังที่ไม่ได้ออกมาจากกายหวังเป่าเล่อ แต่กลับหมุนวนอยู่ภายใน แรงกดดันจากผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณสลายไปในทันที!

จิตใจชายหนุ่มเริ่มมั่นคง ความคิดก็ปลอดโปร่งขึ้น ทุกๆ สิ่งเกิดขึ้นในพริบตา ขณะที่เสียงของเมี่ยเลี่ยจื่อยังสะท้อนก้องอยู่ในอากาศและศีรษะของหวังเป่าเล่อเริ่มจะกลับคืนสู่สภาวะปกตินั้น ชายหนุ่มก็ไม่รอช้า เขารีบสลับตำแหน่งกับร่างอวตารที่ปล่อยออกมาเมื่อครู่ทันที!

ร่างจริงและร่างอวตารอัสนีสลับตำแหน่งกับอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าทั้งคู่ถูกเคลื่อนย้ายไป ร่างอวตารอัสนีไม่รอช้ารีบเอื้อมมือไปจับศีรษะซุนไห่อีกครั้งทันที หวังเป่าเล่อ ผู้ที่เคลื่อนย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปแล้ว ก็ยังไม่รีรอรีบเรียกเอากระบี่เหาะเหินสามสีออกมาและซัดเข้าไปที่เป้าหมายเดิม…คือซุนไห่!

ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทั้งหวังเป่าเล่อและร่างอวตารจู่โจมใส่พร้อมๆ กัน เมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้ซึ่งกำลังรีบร้อนพุ่งเข้ามาใส่ ก็ส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดมาจากกลางอากาศ

เสียงคำรามนั้นสะท้อนก้องอยู่ในอากาศ มีหัตถ์มายาขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและพุ่งตรงลงมา ก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อสุดจะต้านทาน ก่อนจะมันจะได้ต่อยซุนไห่ ก็ถูกหัตถ์ขนาดยักษ์นั้นทับไปเสียก่อน!

เมี่ยเลี่ยจื่อก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง กระบี่เหาะเหินที่หวังเป่าเล่อซัดออกมานั้นปักทะลุอกซุนไห่ ขณะที่อีกเล่มก็สะบั้นคอเขาขาดกระเด็นไป!

โลหิตกระจายฟุ้งไปทั่ว เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซุนไห่ดังก้องไปทั่ว ผู้อาวุโสทอดทิ้งกายเนื้อของตนในวินาทีสุดท้ายและรอดไปได้ เมี่ยเลี่ยจื่อปรากฎตัวขึ้นบนท้องฟ้า แผ่นดินและสรวงสวรรค์เคลื่อนคล้อย มวลเมฆถอยกลับ ชายชราก้าวไปบนเกาะก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ วิญญาณจุติของซุนไห่ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นคว้าเอาวิญญาณของซุนไห่ไปเก็บเอาไว้ในแขนเสื้อ ด้วยสีหน้าหม่นหมอง เมี่ยเลี่ยจื่อก้มลงมองดูร่างไร้วิญญาณของซุนไห่ ที่หน้าอกมีกระบี่เหาะเหินสามเล่มปักทะลุ อวัยวะภายในถูกหั่นจนเละไม่มีชิ้นดี จากนั้น ชายชราจึงลุกขึ้นและหันไปมองหวังเป่าเล่อ

“หวังเป่าเล่อ เจ้าคิดจะก่อกบฏต่อต้านสำนักหรืออย่างไร”

หวังเป่าเล่อเริ่มหายใจเร็วขึ้นนิดหนึ่ง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้กลัดกลุ้มใจมากนัก เขากลับเงยหน้าขึ้นมองฟ้า มองไปยังในทิศทางของพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณที่กำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เมี่ยเลี่ยจื่อสัมผัสได้ถึงการมาถึงของเฟิ่งชิวหรัน หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนการทดสอบแล้ว ชายชราก็คงฉวยโอกาสนี้สังหารหวังเป่าเล่อได้เลย

แต่ทว่า เขาได้มองเห็นความสามารถของหวังเป่าเล่อในระหว่างการทดสอบด้วยตาตนเอง และรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อนั้นรับสืบทอดวิชามาจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น นับได้ว่าชายหนุ่มเองก็เป็นศิษย์ที่แท้จริงของสำนักวังเต๋าไพศาลในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้มาจากสำนักโดยตรงหากแต่มาจากสหพันธรัฐก็เท่านั้น เมี่ยเลี่ยจื่อจึงจำเป็นต้องยั้งมือไว้ก่อน

เฟิ่งชิวหรันมาถึง นางถึงกับนิ่งงันไปเมื่อมองเห็นศพของซุนไห่ ในที่สุด นางก็ตัดสินใจเข้าข้างหวังเป่าเล่อ ก่อนจะหันไปหาเมี่ยเลี่ยจื่อแล้วพูดช้าๆ “เมี่ยเลี่ยจื่อ เจ้าควรระมัดระวังกับการพูดคำว่า ‘กบฏ’ ให้มากกว่านี้!”

“ข้าหรือที่ต้องระมัดระวัง ข้าสั่งให้เขาหยุดแล้ว แต่เขาก็ยังทำตามอำเภอใจอยู่นั่นเอง แถมยังทำกริยาเหี้ยมโหดทารุณสังหารเพื่อนร่วมสำนักด้วยกันเอง หากนี่ไม่ใช่การกบฏ แล้วจะให้ข้าเรียกว่าอย่างไรเล่า” มีความเด็ดเดี่ยวอยู่ในสายตาเย็นเยียบที่เมี่ยเลี่ยจื่อส่งไปให้หวังเป่าเล่อ

เฟิ่งชิวหรันนิ่งงันไป นางมาถึงสถานที่ช้าเกินไปและไม่รู้เรื่องทั้งหมด นางหันไปมองประมุขสำนักสวี ประมุขสำนักกำลังจะเอ่ยปากพูดแต่หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน ชายหนุ่มฉีกยิ้มก่อนจะกล่าว

“ผู้อาวุโสเมี่ยเลี่ยจื่อ ท่านเห็นข้าสังหารซุนไห่เท่านั้น ท่านจะไม่ถามซุนไห่สักหน่อยหรือว่าเขาได้ทำสิ่งใดกับข้าไว้บ้าง” หวังเป่าเล่อพูด ก่อนจะยกมือชี้ไปทางหม้อหลอมโอสถ

“ขณะนี้แล้ว อสูรศักดิ์สิทธิ์เฉพาะตัวของข้ากำลังถูกต้มทั้งเป็นอยู่ในหม้อหลอม ข้ามาที่นี่เพื่อเจรจาอย่างสันติ ข้าได้เสนอจะจ่ายค่าชดเชยราวหนึ่งแสนแต้มการรบให้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ซุนไห่ก็ยังไม่ยอมประนีประนอม เขาโลภโมโทสันอยากจะได้แต้มการรบของข้า ก็ไม่เป็นไร เขายังเรียกข้าว่าอสูรอยู่ซ้ำไปซ้ำมา ข้าก็ไม่ปริปากบ่น เขายั่วยุจนข้าแทบจะหมดความอดทน แล้วสุดท้าย ก็ยังยืนยันจะหลอมอสูรของข้าเป็นโอสถโลหิตอยู่นั่นเอง!” น้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดของหวังเป่าเล่อก้องกังวาล เมี่ยเลี่ยจื่อเบะปาก

ชายชราเองก็ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นชัดเจนนัก แต่ทว่าเมื่อเห็นศีรษะที่หลุบต่ำของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในรอบๆ และรู้สึกถึงสัญญาณชีวิตที่อยู่ในหม้อหลอม ทุกๆ อย่างก็เริ่มจะชัดเจนขึ้น และแม้หากหวังเป่าเล่อจะแต่งเติมเรื่องเพิ่มไปบ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มกำลังพูดความจริง

แต่เมี่ยเลี่ยจื่อก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อเจรจาหรือตามหาความจริง เขาไม่ได้สนใจว่าหวังเป่าเล่อเพิ่งจะกลับมาจากตำหนักวังบูชา ชายชราเชื่อว่าหวังเป่าเล่อคงไปถึงได้เพียงระดับศิษย์สืบทอดเท่านั้น หรือต่อให้ระดับศิษย์ของเขาจะสูงกว่าของเมี่ยเลี่ยจื่อ แต่พลังปราณเขาก็ยังไม่อาจจะเทียบได้ อันที่จริงแล้ว เป็นไปได้ด้วยว่า หวังเป่าเล่อไม่ได้รับกระทั่งระดับศิษย์สืบทอด แต่ไปถึงแต่ระดับศิษย์สำนักในเท่านั้น

หากเขาไปไม่ถึงระดับศิษย์เอกแล้วละก็…เมื่อคิดได้เช่นนั้น เมี่ยเลี่ยจื่อก็ยิ้มเยาะออกมา ก่อนจะพูดอยากเยือกเย็น “ข้าสนใจเพียงแค่ผลลัพธ์เท่านั้น ไม่สนใจเหตุ หวังเป่าเล่อล่วงเกินผู้อาวุโส เฟิ่งชิวหรัน ท่านคุ้มครองเขาไม่ได้หรอก พวกเราต้องเลือกว่าจะยึดตามกฎของสำนักหรือไล่เขาออก ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็อยากฟังคำตอบของท่านก่อนสิ้นวันนี้!”

ลักษณะนิสัยชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ของเมี่ยเลี่ยจื่อแสดงออกมาชัดเจนเมื่อเขาพูดประโยคนั้น เฟิ่งชิวหรันขมวดคิ้ว นางเริ่มคิดหาทางคลี่คลายสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ข้างกายนางนั้น ประมุขสำนักสวีแอบลองมองหวังเป่าเล่ออย่างครุ่นคิด เขาไม่เหมือนกับเฟิ่งชิวหรัน เขาเชื่อว่าหวังเป่าเล่อไม่ใช่คนที่จะไม่รู้กาลเทศะ สำหรับใครสักคนที่ไต่เต้าผ่านระดับต่างของสหพันธรัฐมา ตั้งแต่เป็นศิษย์ธรรมดาๆ กระทั่งได้มาเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง ไม่มีทำผิดพลาดง่ายๆ เช่นนี้แน่

ความเป็นจริงนั้นไม่ไกลไปจากการคาดการณ์ของประมุขสำนักสวีสักเท่าใดนัก หวังเป่าเล่อมีเหตุผลสนับสนุนการกระทำชัดเจน หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเมี่ยเลี่ยจื่อ ชายหนุ่มก็หรี่ตาและเชิดคางขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ท่านสนใจเพียงแค่ผลลัพธ์ แต่ไม่สนใจเหตุผลงั้นหรือ ข้าไม่ขัดข้องกับหลักการนั้นเลย…” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็เปิดกำไลคลังเก็บขึ้น ก่อนจะหยิบเอาตราประจำตัวศิษย์สีม่วงเข้มออกมา และปล่อยพลังปราณให้หลั่งไหลเข้าในตราประจำตัวนั้น

ทันใดนั้นเอง ตราประจำตัวส่องสว่างขึ้นด้วยเป็นสีม่วงเข้ม แสงนั้นส่องสะท้อนขึ้นไปไกลถึงสรวงสวรรค์ แปรเปลี่ยนให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีม่วงเข้มในบัดดล ท้องฟ้าเปลี่ยนสี หมู่เมฆก็พลันเคลื่อนถอยหลัง ต้นไฮยาซินโบราณบนเกาะหลักก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง!

ทุกๆ คนตื่นตะลึงกับภาพที่ได้เห็น เมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันก็มีสีหน้าที่ยากจะบรรยาย ความเปลี่ยนแปลงที่ตราประจำตัวของหวังเป่าเล่อสร้างขึ้นไม่จบเพียงเท่านั้น วงแหวนปราณของสำนักวังเต๋าไพศาลปรากฏขึ้น เครือข่ายอันกว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมทั้งสวรรค์และปฐพีนั้นปรากฏชัดแก่สายตาก่อนจะเริ่มสั่นไหว ราวกับว่าจะสะท้อนปราณกังวาลจากตราประจำตัวของชายหนุ่มก็ไม่ปาน!

ทั้งต้นไฮยาซิน วงแหวนปราณของสำนัก และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเรียกความสนใจของทุกคนมารวมกันที่หวังเป่าเล่อในทันที ราวกับว่า…ชายหนุ่มสามารถจะยึดครองวงแหวนปราณของสำนักวังเต๋าไพศาลได้อย่างใจนึก อาจจะกล่าวได้ว่าหวังเป่าเล่อได้ยึดเอาสิทธิที่เคยเป็นของเฟิ่งชิวหรันและผู้อาวุโสอีกสองคนและกลายมาเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในสำนักวังเต๋าไพศาลไปเสียแล้ว!

กระทั่งกระบี่สำริดเขียวโบราณก็ยังได้รับผลจากการกระทำนี้ ทะเลเพลิงเดือดปะทุขึ้นรอบกายพวกเขา ส่งเสียงคำรามที่ทำให้ศิษย์ทุกคนพากันหวาดกลัว ท้องฟ้าเองก็ดูราวกับว่าจะถล่มลงมา ตัวตนที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขาทุกคนช่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง!

“สิ่งนี้มัน…”

“เกิดอะไรขึ้นแน่”

บนเกาะอากาศศักดิ์สิทธิ์และเกาะหลักแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล มีเสียงตะโกนร้องด้วยความตกตะลึงดังพร้อมกันทั่วไปหมด มีเงาร่างหลายร่างพุ่งออกมาจากเกาะหลัก บรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณมีสีหน้าไม่เชื่อสายตาตนเอง ก่อนจะมุ่งตรงไปยังจุดกำเนิดของแสงสีม่วงอย่างพร้อมเพรียงกัน ที่เกาะอากาศศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง

เมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันมีสีหน้าตื่นตะลึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คลื่นของอารมณ์หลากหลายถาโถมพลางลากเอาพวกเขาให้จมดิ่งลงไป สายตาของพวกเขาไม่อาจจะมองเห็นสิ่งอื่นใดนอกไปจาก…ตราประจำตัวศิษย์สีม่วง!

“ศิษย์อุป…อุปถัมภ์!” เมี่ยเลี่ยจื่อกล่าวออกมาอย่างยากเย็น ก่อนจะขยับปากพึมพำกับตนเองราวกับตกอยู่ในภวังค์

บทที่ 615 อ่อนแอ!
ซุนไห่คาดไม่ถึงว่าหวังเป่าเล่อจะกล้าโจมตีเขา เพราะเขาเป็นถึงผู้ถึงตนขั้นจุติวิญญาณ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะปลดปล่อยพลังที่เทียบเท่าขั้นจุติวิญญาณในระหว่างการทดสอบ แต่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน…ก็ยังคงเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอยู่นั่นเอง ไม่ว่าการฝึกปราณจะรุดหน้าไปเพียงใด เขาเองก็ยังไม่อาจจะเป็นคู่มือซุนไห่ได้หากยังไม่บรรลุขั้นจุติวิญญาณเสียก่อน

“หวังเป่าเล่อ เจ้ารนหาที่เสียแล้ว!” ซุนไห่หัวเราะอย่างบ้าครั้ง ชายชรายกมือขึ้นวาดเป็นผนึกก่อนจะส่งออกไปข้างหน้า ปลาหมึกสีดำทมิฬปรากฏขึ้น ก่อนจะพ่นหมึกสีดำสนิทใส่หน้าหวังเป่าเล่อก่อนจะส่งหนวดพุ่งตามเข้ามา

สิ่งนี้ไม่ใช่ปลาหมึกยักษ์ธรรมดา แม้ว่าจะเป็นภาพมายา แต่พลังที่มันแผ่ออกมานั้นก็เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเลยเชียว แม้ว่าจะไม่อาจจะเทียบได้กับผู้ฝึกตนจริงๆ แต่ก็ยังมีพลังมากกว่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดเสียอีก หากอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในธรรมดาๆ การโจมตีเพียงครั้งเดียวนี้ก็จะจบการต่อสู้ได้ทันที!

พลังปราณของซุนไห่ยังเข้าไปทำให้มิติในบริเวณนั้นบิดเบี้ยว ราวกับว่ามีพลังลึกลับได้ปรากฏตัวออกมาจากเบื้องบน ผู้ใดก็ตามที่พลังปราณไม่แข็งกล้าเท่าซุนไห่ก็จะต้องทรุดเพราะแรงกดดันจากพลังปราณจากของเขา!

ทุกๆ สิ่งเกิดขึ้นในพริบตา การโจมตีของซุนไห่พุ่งสวนมาทันทีที่หวังเป่าเล่อเข้ามาใกล้ แต่นั่นไม่ใช่จุดจบของการโจมตีจากซุนไห่ ชายชราตั้งใจจะทำให้หวังเป่าเล่อได้รู้ซึ้งถึงราคาของการเข้าโจมตีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ

หากข้าทำลายพลังปราณของเจ้าเสียคงจะเป็นการลงโทษที่สาสม! ประกายแห่งจิตสังหารสะท้อนอยู่ในดวงตาของซุนไห่ พลังปราณของเขาเริ่มหมุนวน และพลังของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณก็ครั่นครืนก็ก่อนจะระเบิดขึ้น ชายชราประสานมือเข้าด้วยกันก่อนเป็นผนึกมือ และวาดกวาดออกไปรอบกาย!

น้ำทะเลปริมาณมหาศาลไหลบ่าเข้ามารายล้อมพวกเขาเอาไว้ ราวกับว่าจะท่วมกลบทั้งสวรรค์และพื้นพิภพ ก่อตัวกลายเป็นคลื่นยักษ์ที่มุ่งตรงเข้าหาหวังเป่าเล่อ ราวกับจะกลืนชายหนุ่มเข้าไป!

“เป็นแค่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในกลับไม่เจียมตัว เห็นพลังนี้หรือไม่ นี่คือพลังของผู้ที่อยู่ในขั้นจุติวิญญาณอย่างไรเล่า!” เสียงของซุนไห่ดังก้องขึ้นมาปกคลุมความว่างเปล่า ราวกับว่าซุนไห่กลายเป็นเทพยดา ชายชราได้กลายเป็นมหาสมุทรคลั่งที่กำลังจะกลืนหวังเป่าเล่อลงไป

ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่รายล้อมอยู่เฝ้ามองอย่างตื่นเต้น พวกเขาจ้องฉากตรงหน้าตาไม่กะพริบ มีความเสียดายฉายวับอยู่บนแววตา สำหรับพวกเขาแล้ว หวังเป่าเล่อนั้น…ได้ตายไปแล้วอย่างแน่แท้

ประมุขสำนักสวีโมโหเป็นอย่างยิ่ง เขาต้องการจะช่วย แต่พลังปราณขั้นจุติวิญญาณก็กดเอาพลังปราณของเขาเอาไว้ คงเข้าไปช่วยได้ไม่ทันการเป็นแน่

ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งใดสามารถหยุนซุนไห่ได้อีก แต่ทว่า สีหน้าของชายชรากลับแสดงอาการตกใจ หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งถูกหนวดปลาหมึกจับแถมยังโดนคลื่นถาโถม กลับเปล่งรัศมีอันน่าตื่นตะลึงออกมา!

จุดตันเถียนสีโลหิตและเศษกระดูกสีขาวโพลนพวยพุ่งออกมาด้านนอก ในพริบตาเดียว เกราะจักรพรรดิก็ออกมาห่อหุ้มหวังเป่าเล่อเอาไว้ จุดตันเถียนสีโลหิตและกระดูกขาวโพลนทำให้ชายหนุ่มดูน่าสะพรึงกลัว ผู้ชมโดยรอบพากันตกตะลึง หวังเป่าเล่อไม่ใส่ใจการโจมตีของปลาหมึก ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นจับมันเอาไว้

หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจหนวดที่เหวี่ยงสะเปะสะปะอย่างสิ้นหวังนั้นไม่ เขากำหมัดแน่นขึ้น สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ปลาหมึกแห่งเฉาและถูกบีบจนสลายกลายเป็นหมอกแล้วก็จางหายไป

การต่อสู้ทั้งหมดดูง่ายดายยิ่ง ปลาหมึกยักษ์ดูราวกับว่าอ่อนแอ เหมือนดั่งกระดาษที่ชายหนุ่มจะขยี้ทิ้งเสียเมื่อใดก็ย่อมได้ หวังเป่าเล่อเงยศีรษะขึ้นจ้องมองซุนไห่ ขณะที่รัศมีที่แข็งแกร่งปะทุออกมาจากเกราะจักรพรรดิของเขา!

รัศมีนั้นเข้าปะทะกับแรงกดดันจากซุนไห่ เป็นการต่อสู้ที่มองไม่เห็น

แต่การต่อสู้นั้นก็ก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทดังต่อเนื่อง ราวกับว่ายักษ์ล่องหนสองตนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดกระนั้น ขณะที่หวังเป่าเล่อปล่อยพลังออกมา ลมหายใจของผู้อาวุโสซุนไห่ก็เริ่มขาดห้วง เขากำลังพยายามจะหายจากอาการตื่นตะลึง จิตสังหารฉาบเคลือบอยู่ในแววตา ก่อนจะใช้ผนึกมืออีกครั้ง น้ำทะเลที่รายล้อมอยู่ไหลมารวมตั้วกันก่อเป็นรูปปั้นขนาดยักษ์ที่สูงร่วมร้อยเมตร!

รูปปั้นยักษ์นั้นเป็นรูปซุนไห่ มันพยายามจะเข้ามาล้มหวังเป่าเล่อด้วยพละกำลัง

ชายหนุ่มโคลงศีรษะ สีหน้าของเกราะจักรพรรดินั้นดูจะผิดหวังอยู่เล็กน้อย ขณะที่รูปปั้นนั้นเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มก็ก้าวขาออกมาข้างหน้า ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นส่งออกไป

พลังของเขานั้นรุนแรงขึ้นเป็นสามเท่า และยิ่งรุนแรงขึ้นอีกด้วยพลังของเกราะจักรพรรดิ ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งที่เพิ่มพูนขึ้นมาการจากบรรลุขั้นการฝึกตนก็แปลว่าหมัดที่หวังเป่าเล่อเพิ่งจะส่งไปนั้นรุนแรงกว่าที่เขาได้แสดงให้เห็นในการทดสอบอีกมากมายนัก อากาศสะเทือนเลื่อนลั่นเมื่อกำปั้นของเขาพุ่งออกไป และเกิดเป็นเสียงกัมปนาทดังราวกับสายฟ้าฟาดเมื่อมันกระทบเป้าหมาย มีเสียงแตกดังสนั่นตามมา

รอยแตกเริ่มจะปรากฏขึ้นบนรูปปั้นของซุนไห่ เพียงสองลมหายใจ รูปปั้นนั้นก็แตกสลาย ใบหน้าของซุนไห่ซีดขาว ก่อนจะล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว สายตาเขาแสดงความไม่อยากจะเชื่อออกมา แต่ชายชราก็ยังไม่ยอมแพ้ ขณะที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ เขาก็ยกมือขวาขึ้นทุบหน้าผากตนเองอย่างแรง มีลำแสงพวยพุ่งออกมาจากหน้าผากสร้างขึ้นเป็นกระจกบานหนึ่งตรงหน้าเขา

กระจกนั้นหันหน้าไปทางหวังเป่าเล่อและเงาสะท้อนของเขาก็ปรากฏขึ้น ซุนไห่ตะโกนก่อนจะซัดฝ่ามือใส่กระจกอย่างจัง เมื่อกระจกแตกสลายไป หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่น มีประกายประหลาดสะท้อนอยู่ในแววตาก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าใส่ซุนไห่ทันที

ไม่ได้ผลงั้นหรือ เป็นไปไม่ได้! สีหน้าของซุนไห่แสดงความตกใจสุดขีด เขาถอยร่นไปพลางพยายามจะเรียกกระจกอีกบาน เขากำลังจะใช้การโจมตีจากกระจกอีกครั้งแต่หวังเป่าเล่อพุ่งออกมาก่อนที่กระจกจะได้ขโมยเงาของเขาไป ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นหยิบเอาหอกสีดำออกมา สายฟ้าแลบแปลบปลาบปกคลุมท้องฟ้า และสายฟ้าขนาดใหญ่ก็ฟาดลงมาพอดีกับที่เขาซัดหอกออกไป

เสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่ในอากาศ เป็นเสียงของหอกที่ผ่าท้องฟ้าออกเป็นซีก มันพุ่งเข้าไปใส่กระจกด้วยพลังที่รุนแรงจนสามารถทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้ ซุนไห่นัยน์ตาเบิกโพลง พยายามอย่างยิ่งที่จะดึงกระจกกลับมา แต่ก็สายไปเสียแล้ว หอกพุ่งทะลุกระจกก่อให้เกิดเสียงระเบิดรุนแรง ก่อนที่กระจกจะแตกเป็นเสียง ซุนไห่ลอยละลิ่วไป หลบแรงกระแทกได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่อีกด้านหนึ่งของจัตุรัสสาธารณะ ชายชราจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างไม่เชื่อสายตา

“ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ ทำได้เท่านี้เองน่ะหรือ” หวังเป่าเล่อหันไปจ้องมองซุนไห่ ชายหนุ่มโคลงศีรษะอีกครั้งราวกับหมดความอดทน เขาไม่ได้อยากจะสู้กับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่อ่อนแอ หวังเป่าเล่อย่างสามขุมเข้าไปที่หม้อหลอมโอสถ ที่เจ้าลาของเขาถูกกักขังอยู่ภายใน

ซุนไห่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ สีหน้าของเขาทั้งหม่นหมองและเปี่ยมไปด้วยโทสะเข้มข้น แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหวังเป่าเล่อนั้นแข็งแกร่งเกินไป

ความสามารถทางการยุทธและสมบัติเวทของเขานั้นเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณแล้ว ไม่แตกต่างกันเลย อันที่จริงแล้วความสามารถในการป้องกันของเขาน่าจะก้าวไปไกลกว่าขั้นจุติวิญญาณเสียอีก ชายหนุ่มสามารถจะป้องกันแรงกดดันของซุนไห่แถมยังโจมตีกลับได้รุนแรงยิ่งกว่า!

แต่ทว่า ถ้าหวังเป่าเล่อมาเอาลากลับไปได้ง่ายๆ ซุนไห่กลัวว่าหากเรื่องนี้แพร่งพราวออกไปในสำนัก เขาก็จะต้องอับอายเป็นยิ่งนัก เขาเสียใจที่ไม่ยอมยั้งมือไว้เมื่อยังมีโอกาส แต่ขณะที่ชายชรากำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง ตาเขาก็เป็นประกายขึ้นมา

ไม่ใช่สิ เจ้านี่ยังมีจุดอ่อนเหลืออยู่อีก…เขาเคลื่อนย้ายไม่ได้!

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ซุนไห่ก็หรี่ตาลง เขายกมือขวาขึ้นใช้ผนึกมือจำนวนมากอีกครั้ง น้ำทะเลมหาศาลปรากฏขึ้นทันตาและแปรสภาพกลายเป็นหอกพุ่งตรงเข้าใส่หวังเป่าเล่อ

ผู้อาวุโสหายตัวไปปรากฏอยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อ ใช้นิ้วมือทิ่มชายหนุ่มไปหนึ่งครั้งก่อนจะเคลื่อนย้ายหายไปโดยไม่รอดูผลจากการโจมตี

“น่ารำคาญเสียจริง” หวังเป่าเล่อไม่ต้องการจะสู้อีกต่อไป แต่ซุนไห่ที่ยังโจมตีไม่หยุดก็ทำให้ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้ว ก่อนจะหยิบเอาประคำออกมาหนึ่งกำมือ…พวกมันก็คือประคำปิดมิติที่สามารถจะสร้างผนึกมิติชั่วคราวได้!

เพียงประคำลูกเดียวก็สามารถสร้างผนึกมิติออกมาได้ หวังเป่าเล่อเป็นคนมีน้ำใจ เขาจึงใช้ประคำไปนับสิบ ผลปรากฏว่า…มิติเวลารอบกายเขาหยุดนิ่ง ซุนไห่ ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้เคลื่อนย้ายอยู่ไปมา ก็ถูกจับให้หยุดนิ่งอยู่กับที่!

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซุนไห่ไม่อาจจะตอบสนองได้ทัน มีความหวาดกลัวฉายขึ้นในแววตาเมื่อหวังเป่าเล่อเอื้อมมือขวาไปคว้าเอาศีรษะของซุนไห่ไว้

แต่ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะได้โจมตี ก็มีคลื่นรัศอีกสองอันมุ่งตรงมาจากทางเกาะหลักอย่างเร่งรีบ เป็นพลังที่แข็งแกร่งเกินกว่าขั้นจุติวิญญาณ ถึงกับอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณก็ว่าได้

เสียงของเมี่ยเลี่ยจื่อสะท้อนก้องไปบนท้องฟ้า ส่งผลให้เกิดคลื่นกระแทกระเบิดขึ้นระหว่างตัวชายหนุ่มกับซุนไห่

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

บทที่ 614 เลือกความอัปยศอดสูมากกว่าศักดิ์ศรี!
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง มีประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ภายใน ขณะที่เขามุ่งหน้าไปนั้น ชายหนุ่มก็คิดคำนวณถึงความเป็นไปได้ว่าจะมีแผนการเบื้องลึกซ้อนอยู่ในเรื่องนี้ไปด้วย

ระมัดระวังตัวเอาไว้ไม่เสียหาย หากว่าจ่ายเงินแล้วจบเรื่องได้ ข้าก็ยินดีจ่าย จากการเดินทางครั้งล่าสุดของหวังเป่าเล่อ เขาก็น่าจะได้แต้มการรบมาหลายแสน ชายหนุ่มยินดีจะจ่ายค่าชดเชยให้

หากนี่เป็นกับดักแล้ว พวกเขาจะมาโทษข้าไม่ได้ละที่ป้องกันตัว! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อสะท้อนแววเยือกเย็น ชายหนุ่มเปิดแหวนสื่อสารขึ้นและติดต่อเซี่ยไห่หยาง ครั้งนี้ เขาไม่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องเจ้าลา แต่ถามว่าหม้อหลอมโอสถของซุนไห่นั้นเสียหายมากน้อยเพียงใดแทน!

เซี่ยไห่หยางถามไปมาสักพักก็ได้รายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายมา

“หม้อหลอมโอสถนั้นราคาไม่ถูกเลยเป่าเล่อ มีราคาถึงห้าหมื่นแต้มการรบ!” เซี่ยไห่หยางพูด ไม่รู้เลยว่าหวังเป่าเล่อตอนนี้นั้นร่ำรวยเพียงใด เขาทอดถอนใจเมื่อได้ยินราคา

ห้าหมื่นแต้มงั้นหรือ… หวังเป่าเล่อพยักหน้าก่อนจะกล่าวขอบคุณ และวางสาย ห้าหมื่นแต้มการรบอาจจะไม่ใช่น้อยๆ สำหรับเขาแต่ทว่าก็ไม่ใหญ่เกินไป หวังเป่าเล่อผู้เตรียมใจไว้แล้วก็ยิ่งเพิ่มความเร็วมุ่งตรงไปข้างหน้า ข้ามทะยานผ่านสรวงสวรรค์ไป ในที่สุดก็มาถึงระยะที่จะถึงสำนักวังเต๋าไพศาลได้ในตอนเช้ามืดวันรุ่งขึ้น!

ชายหนุ่มส่งข้อความเสียงหาเซี่ยไห่หยางและประมุขสำนักสวีอยู่อีกพักใหญ่เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าเจ้าลาปลอดภัย ทุกๆ สิ่งเริ่มยืนยันให้เขาแน่ใจว่าเรื่องทั้งหมด…เป็นแผนที่หวังจะเล่นงานเขา!

น่าสนใจ รัศมีความรุนแรงแผ่ออกมาจากกายหวังเป่าเล่อแต่ก็ถูกกลบหายไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉยขณะที่เขาพุ่งผ่านท้องฟ้าและมาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล คนแรกที่หวังเป่าเล่อไปพบก็คือประมุขสำนักสวี ผู้ซึ่งมารออยู่ก่อนแล้ว

“ตามข้ามา!” ประมุขสำนักสวีกล่าวทันทีที่เห็นหน้าหวังเป่าเล่อ เขาเดินนำไป หวังเป่าเล่อพยักหน้าและเดินตามประมุขสำนักสวี มุ่งหน้าตรงไปยังเกาะชั้นนอกที่ไม่ห่างออกไปนัก

ในสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทุกคนมีเกาะเป็นของตนเอง เกาะของพวกเขานั้นโดยมากแล้วมีขนาดใหญ่และหนาแน่นไปด้วยปราณวิญญาณเข้มข้น เกาะเหล่านั้นเป็นสมบัติส่วนตัวของพวกเขา ศิษย์และผู้ติดตามมากมายของพวกเขาก็พากันมาอยู่อาศัยด้วยกันบนเกาะทั้งหมด

เกาะของซุนไห่ก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ใช่เกาะที่ดีเลิศ แต่ก็ดูดีกว่าเกาะเพลิงเขียวของหวังเป่าเล่อ ทั้งในด้านตำแหน่งที่ตั้ง ปราณวิญญาณ หรือราคาก็เทียบกันไม่ติด

“นั่นคือเกาะอากาศศักดิ์สิทธิ์ของซุนไห่ เป่าเล่อ ฟังข้าให้ดี อย่าหุนหัน ทำตามแผน หากสามารถจบเรื่องได้โดยการจ่ายค่าเสียหายก็ถือว่าดี ข้าไปรวบรวมแต้มการรบมาได้จำนวนหนึ่ง น่าจะเพียงพอ!” เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้เกาะ ประมุขสำนักสวีจึงต้องเตือนหวังเป่าเล่ออีกคราด้วยความกังวลฉายอยู่บนแววตา

พวกเขามองเห็นควันดำลอยละล่องขึ้นมาเป็นสายจากเกาะของซุนไห่ เสียงกัมปนาทดังสนั่นดังก้อนออกมาจากจัตุรัสสาธารณะบนเกาะ

หากแค่นั้นก็คงจะไม่เท่าใดนัก แต่ยิ่งพวกเข้าใกล้ขึ้นไปเท่าใด หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงร้องมาจากที่เดียวกับที่ควันดำกำลังพวยพุ่งออกมา

เสียงร้องนั้นมาจากลาของเขานั่นเอง!

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเย็นเยียบ ก่อนที่ชายหนุ่มจะพุ่งตัวนำไปข้างหน้า ประมุขสำนักสวีถอนใจก่อนจะรีบตามติดไป ทั้งครู่มาถึงเกาะอากาศศักดิ์สิทธิ์แล้ว!

เกาะนั้นสั่นสะเทือนทันทีที่พวกเขามาถึง กำแพงแสงปรากฏขึ้นรอบเกาะ สร้างเป็นวงแหวนปราณที่กันไม่ให้คนนอกเข้ามาได้ แต่ทว่า เมื่อวงแหวนปราณนั้นแตะโดนหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็เรียกใช้งานปราณของเขาและก้าวออกไปข้างหน้าอย่างดุดัน เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น และเขาก็แหวกเข้าไปอยู่ในวงแหวนปราณได้

การบุกรุกนั้นทำให้วงแหวนปราณสั่นคลอน แสงสว่างจ้าหลายดวงปรากฏขึ้นและล้อมพวกเขาเอาไว้ พร้อมกันดึงความสนใจของผู้ฝึกตนจากทั้งเกาะมารวมกัน พวกเขาเงยหน้ามองฟ้าและเห็นหวังเป่าเล่อลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศเหนือจัตุรัสสาธารณะนั่นเอง!

หวังเป่าเล่อหลุบศีรษะลง มีหม้อหลอมโอสถสูงร่วมสิบเมตรอยู่ตรงกลางจัตุรัส มีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในนับสิบคนนั่งล้อมอยู่ พวกเขาใช้พลังปราณในการจุดไฟให้หม้อหลอมนี้ เปลวไฟเริ่มทำให้หม้อหลอมร้อนขึ้นทุกที เช่นเดียวกับเสียงร้องไห้ของลาที่ดังขึ้นเรื่อยๆ มาจากในหม้อหลอมนั้นเอง

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพยายามใช้ลาเป็นวัตถุดิบการหลอม ผู้อาวุโสคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าบรรดาผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทั้งหมด เขาเป็นคนดูน่านับถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาของเขา ที่ลึกโหลเข้าไปและมีสีสวยงามมหัศจรรย์ มันส่องสว่างเป็นสีแดง ผู้อาวุโสเงยศีรษะขึ้นทันทีที่หวังเป่าเล่อมาถึง ก่อนจะมองชายหนุ่มด้วยสายตาเย็นชา

หวังเป่าเล่อเดือดดาลขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าลาของเขากำลังถูกหลอม ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าการหลอมนั้นต้องใช้เวลานานกว่าจะสมบูรณ์ หากว่าความช่วยเหลือมาถึงทันเวลา เจ้าลาก็จะเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นและจะไม่มีบาดแผลที่อยู่ยืนยาวแต่อย่างใด เป็นเหตุให้ชายหนุ่มต้องกลืนเอาก้อนความโกรธลงไปก่อนจะต้องมองผู้อาวุโสแล้วพูดว่า

“ข้าน้อยเป่าเล่อ คารวะผู้อาวุโสซุน”

“ชายชราผู้น่าเวทนาผู้นี้ไม่บังอาจกล้ารับคำทักทายจากศิษย์เอกผู้ทรงเกียรติจากสหพันธรัฐหรอก” ซุนไห่พูดอย่างเย็นชา ก่อนจะส่งยิ้มเสแสร้งมาให้ทีหนึ่ง

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย ชายหนุ่มแทบจะคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ ทันใดนั้นเอง ประมุขสำนักสวีก็ส่งยิ้มพลางเดินมาเคียงข้างเข้า ก่อนจะพาหวังเป่าเล่อขึ้นบกมาต่อหน้าซุนไห่ ประมุขสำนักยกมือขึ้นคารวะผู้อาวุโส พลางพยายามจะผ่อนคลายสถานการณ์ด้วยความช่างพูดช่างคุย

“ผู้อาวุโสซุน ทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิดกันเท่านั้น พวกเรานำสิ่งของเล็กน้อยมามอบให้แก่ท่านเป็นสัญลักษณ์ของความจริงใจจากเรา”

ซุนไห่นึกไปถึงของขวัญรายเดือนที่เขาเคยได้รับจากประมุขสำนักสวีแล้วก็เริ่มดูผ่อนคลายลงบ้าง ชายชราเหลือบมองดูหวังเป่าเล่ออย่างรังเกียจ เขาได้เห็นการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อตอนที่อยู่ในการทดสอบและรู้ดีว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเพียงใด แต่ทว่าเขาก็ยังแน่ใจว่าเขาจะกำราบชายหนุ่มได้อยู่หมัด

จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม ซุนไห่จึงไม่ได้ใส่ใจถึงความจริงที่ว่าหวังเป่าเล่อเพิ่งจะกลับมาจากตำหนักวังบูชา ที่นี่คือสำนักวังเต๋าไพศาล ไม่ใช่สหพันธรัฐ ซุนไห่ยิ้มเยาะก่อนจะถาม “สัญลักษณ์แห่งความจริงใจอย่างนั้นหรือ”

หวังเป่าเล่อเป็นคนอามรมณ์ร้อนอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ชายหนุ่มก็ยังคิดไปถึงคำพูดของประมุขสำนักสวีว่าอาจจะมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลที่นี่และเขากำลังช่วยอย่างสุดกำลัง คงไม่เหมาะควรนักหากชายหนุ่มจะทำลายความพยายามนั้นเสีย เขาจึงสุดลมหายใจลึก ก่อนจะกลืนเอาความรำคาญใจลงไป และเบนสายตาไปมองซุนไห่ก่อนจะกล่าวออกมาแช่มช้า “ข้ายินดีจะจ่ายหกหมื่นแต้มการรบเป็นค่าเสียหายให้กับท่าน ห้าหมื่นแต้มแรกเป็นค่าหม้อหลอมโอสถที่เสียหายไป และอีกหนึ่งหมื่นเพื่อชดเชยให้กับความไม่สะดวกที่ท่านได้รับ!”

“หกหมื่นอย่างนั้นหรือ” แม้ว่าซุนไห่จะเป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ จำนวนนั้นก็ทำเอาเขาตั้งตัวไม่ทัน หกหมื่นแต้มการรบไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ไม่ว่าจะสำหรับใครในสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้

แต่ทว่า ในบางครั้งนิสัยชั่วร้ายของคนบางคนก็เข้ามาจัดแจงการตัดสินใจของตัวเขาเอง เมื่อต้องมาพบเจอกับคนเช่นนี้ ไม่ว่าจะย่อมอ่อนข้อให้เท่าใดหรือยิ่งแสดงความอ่อนแอ ก็จะยิ่งมีโอกาสสูงที่นอกจากเรื่องจะไม่จบลงแล้ว ยังต้องถูกกลั่นแกล้งเพิ่มขึ้นไปอีก!

ซุนไห่เป็นคนเช่นนั้น เขาแทบเสียอาการ ความโลภเข้าครอบงำความคิด ประมุขสำนักสวีคิดเรื่องนี้มากเกินไป ความจริงแล้วไม่มีเจตนาแฝงใดๆ เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น แต่ทว่า ซุนไห่มองเห็นว่าศัตรูเปิดช่องว่าง เขาหรี่ตาลง จ้องมองหวังเป่าเล่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา

“ห้าหมื่นแต้มการรบนั้น เจ้าต้องจ่ายแน่นอน แต่ทว่า เจ้าอสูรนั้นช่างไร้ยางอาย ข้าจำเป็นจะต้องสอนบทเรียนให้กับมัน ให้มันรู้ว่าสำนักวังเต๋าไพศาลไม่ใช่ที่ๆ จะมาเที่ยวเพ่นพ่านได้ตามอำเภอใจ!” ซุนไห่พูดถึงอสูรอยู่ไปมา เหมือนกับว่าจะพูดถึงเจ้าลา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าที่จริงแล้วเขากำลังพูดถึงหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มแทบจะข่มโทสะเอาไว้ไม่อยู่ นัยน์ตาของเขาเริ่มจะลุกโชนด้วยประกายเย็นยะเยือก เขาจ้องมองซุนไห่ก่อนจะถามช้าๆ “อย่างนั้นหรือขอรับ ท่านตั้งใจว่าจะทำอะไรกันหรือ”

ข้างๆ หวังเป่าเล่อนั้น ประมุขสำนักสวีเองก็เริ่มกังวลใจ เพราะดูเหมือนว่า ซุนไห่คนนี้หากไม่ได้กำลังทำตามคำสั่งของใครสักคน ก็จะต้องเป็นผู้ขาดเขลาเหลือประมาณ

“ข้าจะหลอมเจ้าอสูรตนนี้ให้กลายเป็นโอสถโลหิต หากเจ้าต้องการโอสถนั้น ข้าก็จะยอมขายให้ในราคาห้าหมื่นแต้มการรบ” ซุนไห่หรี่ตาลงพลางพยายามซ่อนแววตาโลภโมโทสัน หวังเป่าเล่อคงจะยอมเพิ่มเงินให้และยืนกรานคำเดิมว่าจะขอลากลับไป บางทีประมุขสำนักสวีอาจจะช่วยพูดให้ทั้งคู่ใจเย็นลงและยอมเลิกรากันไปด้วยการชำระหนึ่งแสนห้าหมื่นแต้มการรบแทน

ซุนไห่นั้นวางแผนทุกอย่างเอาไว้ในใจแล้ว แต่ทว่า ความเป็นจริงนั้นไม่ได้ดำเนินไปตามแผน…หวังเป่าเล่อหัวเราะหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่ซุนไห่กล่าวออกมา

ช่างเป็นเสียงหัวเราะที่ไร้ซึ่งความอบอุ่น แต่กลับเย็นเยียบสุดประมาณ หวังเป่าเล่อหันไปส่งสายตาให้ประมุขสำนักสวี ผู้ที่ขณะนี้มีสีหน้าหม่นหมอง

“สหายร่วมสำนักเต๋าสวี ข้าลองพยายามวิธีของท่านแล้ว แต่มันไม่ได้ผล เมื่อเป็นเช่นนี้…ข้าคงไม่มีทางเลือกนอกจากจะทำตามวิธีของข้าเอง” หวังเป่าเล่อกล่าว พลังปราณของเขาปะทุขึ้นในบัดดล ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อยอยู่บนท้องฟ้า สายลมรุนแรงพัดผ่านเข้ามาในทันใด และรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวก็พวยพุ่งขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์!

หวังเป่าเล่อไม่ได้พูดอีกแม้แต่คำเดียว รัศมีในกายเขาปะทุขึ้น ชายหนุ่มทิ้งร่างอวตารเอาไว้ที่ตำแหน่งเดิมของตัวเขาเผื่อเป็นแผนสำรองก่อนจะพุ่งเข้าใส่ซุนไห่ผู้ตกตะลึงทันที!

บทที่ 613 ไสหัวไปเจอปัญหาใหญ่!
เสียงหายใจน่าสะพรึงที่ดูเหมือนมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์ในเวลาเดียวกัน ไหนจะรัศมีที่เหมือนจะเป็นรัศมีจากอาวุธเวทอีก…หลุมฝังศพแห่งนี้น่าสนใจเสียจริง! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาจ้องไปยังประตูที่ส่องสว่างที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเหล่าคำสาปแต่ตอนนี้หายไปอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับหลุมฝังศพที่ดูเหมือนจะกลับสู่สภาวะปกติ หลังจากที่เงียบอยู่นาน ชายหนุ่มก็ทอดถอนใจยาว

“มีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับหลุมฝังศพนี้ ด้วยระดับปราณของพวกเราในตอนนี้คงจะเป็นการยากที่จะหาความจริงได้ อาจจะต้องรอเมื่อพวกเราไปถึงขึ้นจุติวิญญาณ…พวกเราจึงค่อยกลับมาลองดูใหม่อีกครั้ง” เจ้าเยี่ยเหมิงจ้องมองไปยังหลุมฝังศพเบื้องหลังคำสาปเหล่านั้น นางนึกไปถึงลมหายใจจากสุสานและแรงกระแทกอันใหญ่หลวงที่นางเพิ่งประสบมาก่อนจะพูดอย่างหม่นหมอง

กงเต๋าเองก็คล้ายกัน ทั้งสามได้แต่จ้องมองกันอยู่ไปมาก่อนจะตัดสินใจยอมแพ้ พวกเขามุ่งหน้าตรงกลับตำหนักวังบูชาด้วยความตั้งใจจะเคลื่อนย้ายกลับบ้านจากที่นั่น แต่ด้วยเหตุผลบางประการ พวกเขาไม่อาจจะเคลื่อนย้ายตรงกลับสำนักวังเต๋าไพศาลได้ การเคลื่อนย้ายจะส่งพวกเขาออกไปถึงขอบของตัวกระบี่เท่านั้น จากนั้นพวกเขาจึงจะข้ามเขตพรมแดนออกไปยังด้ามกระบี่ได้

ถึงอย่างนั้น การเคลื่อนย้ายนี้ก็ยังช่วยประหยัดเวลาได้มาก พวกเขานิ่งเงียบขณะที่เดินทางกลับตำหนักวังบูชา สิ่งที่เกิดขึ้นที่สุสานนั้นยังชัดเจนอยู่ในใจ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าเขาอาจจะพลาดบางอย่างไป ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าคือสิ่งใดกระทั่งเดินทางกลับมาถึงตำหนักวังบูชา และเมื่อเริ่มใช้คาถาเคลื่อนย้าย เจ้าเยี่ยเหมิงก็พูดขึ้น

“อาจจะมีอีกวิธีที่จะช่วยเราไขความลับของหลุมฝังศพนั้นได้…วิธีนี้เกี่ยวกับไม้ หากเราสามารถพาผู้ฝึกตนที่มีรากฐานปราณเป็นไม้ พวกเราอาจจะสามารถต้านทานหมอกสีเขียวและเข้าไปในหลุมฝังศพนั้นได้…แต่ผู้ฝึกตนประเภทนี้มีน้อยนิด แถมยังมีความเสี่ยงสูง ผู้ฝึกตนคนนั้นต้องเป็นไม้ทั้งตัวเท่านั้นจึงจะมีโอกาสสำเร็จ” เจ้าเยี่ยเหมิงพูด แล้วก็ถอนใจ นางเพิ่งคิดเรื่องนี้ออกเมื่อมาถึงตำหนักนี่เอง

ไม้ทั้งตัวหรือ เมื่อได้ยินสิ่งที่เจ้าเยี่ยเหมิงพูด หวังเป่าเล่อก็ชูคอขึ้นมาทันที ในศีรษะโปร่งโล่งขึ้น ราวกับรอยแยกระหว่างหมู่เมฆฝน ความคิดของชายหนุ่มชัดเจน และเขารู้แล้วว่าสิ่งที่เขาพลาดไปเมื่อครู่นั้นคืออะไร มีแสงประหลาดส่องประกายอยู่ในดวงตา

สิ่งนั้นนั่นเองที่ข้ามองข้ามไป ผู้ฝึกตนรากฐานไม้…หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ขณะที่ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่นั้น คาถาเคลื่อนย้ายก็เปล่งแสงขึ้นห้อมล้อมกายพวกเขา ทั้งสามค่อยๆ จากหายไปจากภายในตำหนักวังบูชา

แสงจากคาถานั้นอ่อนจางลงเมื่อพวกเขาจาก ในไม่ช้าทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง มีเพียงแต่หลุมฝังศพ ที่ยังมีเสียงหายใจแผ่วจากดังมาให้ได้ยิน ท่ามกลางการเคลื่อนไหวขึ้นลงของหมอกสีเขียว

ในบริเวณเส้นเขตแดนของตัวกระบี่ ไม่ไกลจากอาณาเขตของด้ามกระบี่นัก คลื่นพลังของการเคลื่อนย้ายแหวกอากาศออกมา ตามมาด้วยการปรากฏตัวขึ้นของหวังเป่าเล่อและเพื่อน หลังจากที่มองดูว่าอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง พวกเขาก็เริ่มวิ่งทันที ไม่นานนักก็ออกมาพ้นเขตของตัวกระบี่และก้าวเข้าสู่ทะเลเพลิงในอาณาเขตของด้ามกระบี่

ความร้อนผะผ่าวพวยพุ่งเข้าใส่หน้าของทั้งสาม แต่ทว่าเพราะอุณหภูมิที่แตกต่างกันระหว่างตัวกระบี่และด้ามกระบี่ ลมร้อนนั้นก็รู้สึกเย็นสบายขึ้นอย่างประหลาด หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเอื้อมแตะกำไลคลังเก็บ ไม่เพียงแต่สมบัติจำนวนมหาศาลเท่านั้น ในนั้นยังมีตราประจำตัวสีม่วงอยู่อีกด้วย

เป็นสิ่งเลอค่าสูงสุดที่เขาได้มาในการเดินทางครั้งนี้!

ข้าเป็นศิษย์อุปถัมภ์แล้ว! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อแวววาวไปด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มจ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า ทั้งคู่ก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สำนักในหรือศิษย์สำนักนอก ทั้งคู่ก็เปรียบเสมือนดังที่สุดของที่สุดในสำนักวังเต๋าไพศาลยุคปัจจุบัน พวกเขาทั้งสามจะต้องได้รับการนับหน้าถือตาอย่างสูงในสำนักวังเต๋าไพศาลต่อจากนี้

แทบจะจินตนการถึงสถานะที่เปลี่ยนไปของพวกเขาทั้งสามเมื่อกลับไปถึงได้เลยทีเดียว

“กลับมาอีกครั้งกันเถอะ ครั้งหน้า ชวนจั่วอี้ฟานมาด้วย พวกเราจะได้มีกระเป๋าคลังเก็บเพิ่มอีกสักใบสองใบ แล้วไปล่าสมบัติกันอีก!” หวังเป่าเล่อวางความโลภที่เขามีต่อสิ่งที่อยู่ภายใต้หลุมฝังศพลงและพูดออกมา ชายหนุ่มดูเหมือนจะอยู่ในอารมณ์รื่นเริงถึงขีดสุด กงเต๋าเองก็ดูเหมือนจะปลดปล่อยตนเองออกจากอารมณ์หวาดกลัวที่เขามีต่อหลุมฝังศพได้สำเร็จ เขาคิดถึงสิ่งของที่เก็บมาได้และอนาคตอันสดใสเบื้องหน้าแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้

เจ้าเยี่ยเหมิงยิ้มบางๆ นางจับปอยผมปอยหนึ่งที่ถูกลมกวาดกระจายไปทัดไว้หลังหู นัยน์ตาของนางเปี่ยมไปด้วยความหวังต่ออนาคต ทั้งสามแปรสภาพเป็นสายรุ้งและพุ่งทะยานข้ามท้องฟ้ามุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล

ระยะทางที่พวกเขาต้องเดินทางนั้นต้องใช้การเคลื่อนย้ายหลายครั้งหลายครา และยังต้องใช้เวลาร่วมสองสัปดาห์ พวกเขาไม่ได้เร่งรีบแต่อย่างได้ ต่างพากันพูดคุยและหัวเราะระหว่างเดินทางกลับ ช่างผ่อนคลายยิ่ง พวกเขาเคลื่อนย้ายอีกหลายครั้งจนอีกสามวันจะถึงสำนักวังเต๋าไพศาล เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน!

พวกเขาไม่ได้พบเจออันตรายแต่อย่างใด แต่ว่า…หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดและหวาดกลัวอยู่ในศีรษะ!

เสียงร้องนั้นไม่ใช่ของมนุษย์ แต่เป็นของลา!

“ลูกข้า! ลูกข้า! ลูกข้า! ลูกข้า!”

เจ้าลาไม่มีแหวนสื่อสาร แต่ทว่ามันก็มีจิตเชื่อมโยงกับหวังเป่าเล่อ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่สามารถสัมผัสถึงเจ้าลาได้อย่างชัดเจนเพราะระยะทาง แต่ทว่าเมื่อใกล้เข้า เขาก็เริ่มได้ยินมันชัดขึ้น

ขณะนี้ เจ้าลากำลังพยายามใช้จิตเชื่อมโยงกับหวังเป่าเล่อในการขอความช่วยเหลือ!

ไม่มีใครอื่นจะได้ยินเสียงร้องไห้นี้ได้ หรือหากได้ยิน พวกเขาก็จะไม่เข้าใจสิ่งที่ลากำลังจะพูด คงจะสัมผัสได้เพียงแค่ความวิตกกังวลและความกลัวอันใหญ่หลวงในน้ำเสียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อสนิทกับเจ้าลาเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มรู้ทันทีว่าสิ่งที่เจ้าลาพยายามจะสื่อคือสิ่งใด เสียงร้องไห้ยาวนานนั้นแปลว่ามาเป็นภาษามนุษย์ได้คำเดียวว่า

“ช่วยด้วย!”

หวังเป่าเล่อชะงักทันที ชายหนุ่มเริ่มหายใจแรงและสีหน้าหมอง เขากำลังจะฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าลาแต่จิตเชื่อมต่อกลับถูกตัดไปเสียกอ่น!

เหมือนกับว่ามีพลังบางอย่างขวางระหว่างหวังเป่าเล่อและเจ้าลาอยู่เพื่อคอยขัดขวางการเชื่อมต่อนั้น!

หวังเป่าเล่อแอบตัวสั่นอยู่เงียบๆ ความวิตกกังวลก่อตัวในใจ ชายหนุ่มอาจจะเลี้ยงดูเจ้าลาอย่างโหดร้าย ด้วยทั้งการลงโทษและทุบตี แต่เขาก็ยังถือว่ามันเป็นลูกชาย เขาตีได้คนเดียวเท่านั้น ไม่ยอมให้ใครอื่นมารังแกมันได้

เสียงขอความช่วยเหลือจากเจ้าลานั้นช่างน่าสงสาร ราวกับมาดึงหัวใจของหวังเป่าเล่อก็ไม่ปาน ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเขร่งขรึม

แม้ว่าจิตเชื่อมต่อของพวกเขาจะถูกสะบั้นลง แต่หวังเป่าเล่อก็ยังสามารถหาตำแหน่งของลาได้จากที่เขาได้สัมผัสเอาไว้ก่อนหน้านี้ มันอยู่ที่…สำนักวังเต๋าไพศาล!

เกิดอะไรขึ้นนะกันนะ…หวังเป่าเล่อแทบไม่อาจจะควบคุมแววตาเย็นชาในดวงตาตนเองได้ ขณะที่เขาวิ่งจ้ำออกไปทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า ผู้ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็สัมผัสได้ถึงรีศมีเย็บเยียบจากการของหวังเป่าเล่อ ทั้งสองจึงขนลุกและรีบเร่งฝีเท้าตาม

“เป่าเล่อ เกิดอะไรขึ้นหรือ” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าเยี่ยเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะต้องถาม

“ไสหัวไปส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมา!” หวังเป่าเล่อพูดออกมาอย่างยากเย็น เจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋ารู้จักชื่อเจ้าลาดี ความตกใจพาดผ่านนัยน์ตาของทั้งครู่เมื่อได้ยิน หวังเป่าเล่อหยิบเอาแหวนสื่อสารออกมาและติดต่อประมุขสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพ ผู้ที่ขณะนี้อยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลทันที!

ประมุขสำนักสวีไม่ทราบเรื่อง เขาเองก็ตกใจเมื่อได้ยินข้อความเสียงของอีกฝ่าย ชายวัยกลางคนบอกหวังเป่าเล่อให้ไม่ต้องกังวล เขาจะช่วยตามเรื่องให้ หวังเป่าเล่อยังคงเคลื่อนที่ต่อไปด้วยความเร็วเท่าเก่า มุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล พลางส่งข้อความเสียงไปหาทุกๆ คน เพื่อหาข้อมูลเพิ่ม

ไม่นานนักทุกๆ คนก็รายงานเขาและชายหนุ่มก็ได้ล่วงรู้เหตุฉุกเฉินของเจ้าลา ลาดำไปกัดเอาหม้อหลอมโอสถของผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณไปคำใหญ่ ผู้อาวุโสท่านนั้นมีชื่อว่าซุนไห่ เป็นลูกน้องของเมี่ยเลี่ยจื่อ หม้อหลอมโอสถนั้นหลอมขึ้นมาจากวัตถุดิบหายากราคาแพงมากมาย แต่กลับถูกทำลายไปจนเกือบหมดเพราะถูกลากัดเพียงครั้งเดียว

ซุนไห่จับเจ้าลาได้ด้วยความโกรธเคือง และวางแผนจะสังหารมันเสีย!

“เป่าเล่อ ข้าไปหารายชื่อคนที่รู้จักเขามาแล้ว ไม่มีประโยชน์หรอก ซุนไห่บอกว่าเขาจะไม่ฟังใครทั้งนั้น เขาตั้งใจจะใช้เจ้าลาเป็นวัตถุดิบหลอมโอสถเลือดเนื้อ!

หวังเป่าเล่อเริ่มปวดหัวหนึบขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน ชายรู้จักลาของเขาดี มันทำอะไรแบบนี้อยู่เป็นประจำ ความตะกละทำให้มันตกที่นั่งลำบาก แต่มันก็ยังเป็นลูกชายเขา ชายหนุ่มหันหน้ามองกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงทันทีที่ได้ยิน

“ข้าต้องไปแล้ว!” เมื่อพูดจบ เขาก็ปล่อยความเร็วสูงสุดออกมา เร็วเกือบจะเทียบเท่าการเคลื่อนย้ายทีเดียว ชายหนุ่มแปรสภาพเป็นสายรุ้งและพุ่งทะยานข้ามท้องฟ้าไป ความเร็วของเขาทำให้การเดินนั้นเร็วขึ้นเกือบสามเท่า หวังเป่าเล่อจะสามารถไปถึงตำหนักวังบูชาได้ภายในวันเดียวเท่านั้น

“ประมุขสำนักสวี ไม่ว่าท่านต้องทำอย่างไรก็ตามแต่ โปรดช่วยซื้อเวลาให้ข้าสักวันหนึ่งเถิด!”

“เป่าเล่อ ข้าจะพยายาม อย่าทำอะไรหุนหันเล่า ข้าเชื่อว่าหากเจ้ายอมจ่ายค่าชดเชยให้ก็น่าจะสะสางปัญหาได้ อีกอย่างหนึ่ง เจ้าเองก็เพิ่งจะกลับมาจากตำหนักวังบูชา สถานะของเจ้าตอนนี้ก็ยังไม่มั่นคง เราไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่ว่าพวกตั้งใจจะให้เกิดเรื่องเช่นนี้ ระวังตัวด้วยเล่า!”

บทที่ 612 หลุมฝังศพแห่งหนึ่ง!
ทุกๆ คนมีสีหน้าตื่นตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง เพราะหวังเป่าเล่อเสนอว่าไหนๆ พวกเขาก็ได้เป็นศิษย์แห่งวังเต๋าแล้วก็ไม่ควรจะรีบกลับ

ไหนๆ ก็เป็นโอกาสอันหายากที่จะได้มาเข้าไปยังพื้นที่ต้องสาป ควรจะเข้าไปยังที่ๆ ไม่เคยมีใครเคยไป แล้วไปตามหาสมบัติกันจะเหมาะกว่า

ทั้งวัตถุดิบและตราประจำตัวก็สามารถนำไปแลกเป็นแต้มการรบได้ทั้งสิ้น

ทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าที่ตกตะลึงก็พากันตกปากรับคำหวังเป่าเล่อทั้งๆ ที่ยังงงงัน พวกเขาตามหวังเป่าเล่อไปบนถนนพร้อมทั้งความรู้สึกตื่นตะลึงเช่นนั้น

ในความเป็นจริงแล้ว…หลังจากที่พวกเขาออกมาจากตำหนักวังบูชา การที่พวกเขามาเดินอยู่ในบริเวณตัวกระบี่นั้นเป็นอันตรายอันใหญ่หลวง รอยฉีกขาดของอวกาศและพื้นที่ต้องสาปจำนวนมากกระจัดการจายไปจนสุดลูกหูลูกตา

มีสองเหตุผลที่พื้นที่ต้องสาปจำนวนมากนั้นไม่เคยมีผู้ฝึกตนที่ได้ตำแหน่งศิษย์ในอดีตย่างกรายเข้าไป เหตุแรกก็เพราะระดับศิษย์ของพวกเขาไม่สูงพอ อีกเหตุหนึ่งก็เพราะว่าผืนแผ่นดินในโลกนี้เคลื่อนตัวอยู่บ่อยๆ

ด้วยเหตุนี้ บรรดาศิษย์คนอื่นๆ จึงรู้สึกว่าพื้นที่ส่วนนี้นั้นยากแก่การสำรวจเป็นอย่างยิ่ง เรื่องยุกยากเช่นนั้นไม่อยู่ในสายตาของหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ชายหนุ่มย่างก้าวไปอย่างระมัดระวังในช่วงแรก แต่เมื่อเขาเข้าไปใกล้พื้นที่ต้องสาปแล้วคำสาปทั้งมวลในบริเวณก็จางสลายไป ทางเข้าที่ส่องแสงเรืองรางปรากฏขึ้นแทนที่…

ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปทันที

คำสาปหยุดทำงานเมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ แม้กระทั่งพายุหมุนที่พัดผ่านอยู่เป็นนิจก็ยังสลายหายไปเมื่อชายหนุ่มเข้าไปในระยะ ราวกับว่ากลัวที่จะเข้ามาสัมผัสกับเขากระนั้น

แต่สิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรอยฉีกขาดของอวกาศที่กงเต๋าเข้าพอดีเมื่อมันมาปรากฏอยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อ ดูราวกับปากอ้ากว้างที่พร้อมจะกลืนกินชายหนุ่มเข้าไปทั้งตัว แต่ทว่า ก่อนที่มันจะได้สัมผัสเขา ก็ดูเหมือนกับว่าจะมีพลังประหลาดมาหยุดรอยฉีกนั้นเอาไว้ ปากของมันหุบแน่น มันต่อสู้ขัดดิ้นรนพยายามขณะที่หวังเป่าเล่อเดินทอดน่องผ่านไปได้อย่างปลอดภัย

ความรู้สึกที่ยากจะบรรยายบังเกิดขึ้นในใจกงเต๋า ราวกับว่าเป็นความรู้สึกไม่ยุติธรรมที่ทำให้เขาเหนื่อยหน่ายและสัมผัสได้ถึงความแตกต่างกันอย่างรุนแรงระหว่างตัวเขาและหวังเป่าเล่อ

ทะเลเพลิงและอสูรเพลิงอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ราวกับว่าสถานที่นี้ทั้งหมดได้กลายมาเป็นบ้านของหวังเป่าเล่อไปแล้วก็ไม่ปาน กงเต๋ามีความรู้สึกว่า แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะหลับตาเดินตั้งแต่เหนือจรดใต้ เขาก็คงจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ

ทั้งสามก้าวย่างเข้าไปในพื้นที่ต้องสาปแห่งแล้วแห่งเล่าและค้นหาต่อไป…

หม้อหลอมโอสถที่ไฟลุกท่วม แผ่นหยกกองแล้วกองเล่า เจดีย์ที่มีโอสถเก็บรักษาอยู่ด้านใน สนามรบเก่าและพื้นที่อื่นๆ ต่างก็เผยให้เห็นสมบัตินานาที่พร้อมจะให้หยิบฉวยไป ส่วนมากแล้ว พวกเขาเพียงแต่ต้องเก็บขึ้นมาก็เท่านั้น

ทั้งสามเก็บตราประจำตัว สมุนไพรที่มีประกายของพลังชีวิต และวัตถุดิบสำหรับการหลอมวัตถุเวทมาไว้เป็นกองที่สูงขึ้นทุกทีๆ สมบัติเหล่านี้หล่นกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง…ยังมีสมบัติที่ดูแปลกประหลาดอยู่อีกมากมาย ทั้งประคำปิดมิติที่สามารถปิดสถานที่แห่งหนึ่งได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อขัดขวางไม่ให้คนที่โดนเข้าสามารถเคลื่อนย้ายไปได้ พวกเขาเจอประคำเหล่านี้นับสิบ ยิ่งพวกเขาเดินเก็บสมบัตินานไป ทั้งสามก็รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันมากขึ้นทุกที ทุกๆ สิ่งช่างดูเหนือจริง

แต่อย่างไรก็ดี ที่แห่งนี้ก็เป็นความจริง ทั้งสามออกเดินไปด้วยหัวใจที่เต้นแรงในตอนต้น แต่เมื่อใกล้จะจบการสำรวจ นัยน์ตาของพวกเขาก็เมื่อยล้าจากการความหาสมบัติที่มากขึ้นทุกทีๆ หนุ่มสาวทั้งสามลืมเรื่องการเดินทางกลับไปเสียสนิท

จนในที่สุดพวกเขาก็ต้องตัดสินใจ เมื่อกระเป๋าคลังเก็บของทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าต่างก็เต็มจนเกือบๆ จะล้นปรี่ สมบัติดารดาษอยู่รอบกาย แต่กลับไม่มีวิธีการขนกลับเอาไป

“ทั้งกองนี้น่าจะมีค่าร่วมหลายแสน อาจจะเป็นล้านๆ แต้มการรบก็เป็นได้! หากเราแบ่งกันสามคน ก็ยังได้ตั้งหนึ่งแสนถึงสองแสนแต้มต่อคนเชียวนะ ข้าจะเอาแต้มไปไปซื้อ เสื้อคลุมนักแฝงเงาซึ่งเป็นอาวุธเวทระดับเก้ามาใช้เสียเลย!” กงเต๋าพึมพำอยู่ในลำคอ ชายหนุ่มยกมือขึ้นตบหน้าตนเองอย่างแรงเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝัน จากนั้นจึงเริ่มหัวเราะราวกับเสียสติ

เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็มีสีหน้าแปลกประหลาดใจ นางก้มลงมองกระเป๋าคลังเก็บในมือ ตามด้วยหวังเป่าเล่อ นางยังคงดูสับสนอยู่ไม่หาย…

การล่าสมบัติของทั้งสามในครั้งนี้จบลงด้วยวัตถุเวทคลังเก็บของทุกคนที่เต็มแน่นเสียจนใส่อะไรเพิ่มไม่ได้อีก พวกเขาถึงกับต้องทิ้งสมบัติที่มีมูลค่ารองๆ ลงมาไปเสีย จนกระทั่งไม่อาจจะทิ้งอะไรได้อีกจึงต้องหยุด

“พวกเราเอาของทั้งหมดออกไปจากตรงนี้กันก่อนดีไหม แล้วค่อยเตรียมการกลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงแห่งความบ้าคลั่ง หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้ว ชายหนุ่มก็จ้องมองไปยังพื้นที่ต้องสาปแห่งสุดท้ายตรงหน้า ก่อนจะพูดประโยคนี้ออกมา และก้าวเดินดุ่มๆ เข้าไป

กงเต๋ารีบตามไปอย่างลิงโลด หัวใจของเจ้าเยี่ยเหมิงก็เต้นรวดเร็วไม่แพ้กับความเร็วในการก้าวเดินของกงเต๋า แต่ทว่านางก็ยังรักษาท่าทีเอาไว้ได้ นางก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าว และทันใดนั้นเอง เมื่อนางเหลือบตาขึ้นมองพื้นที่ต้องสาปที่พวกเขากำลังก้าวเข้าไป คิ้วของนางก็ขยับขึ้นเล็กน้อยก่อนที่นางจะพูดขึ้นว่า “เป่าเล่อ ช้าก่อน!”

หวังเป่าเล่อชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงนาง ความรู้สึกผ่อนคลายที่เขารู้สึกมาก่อนหน้านี้มลายหายไปในพริบตา เหลือแต่เพียงความระแวดระวังเท่านั้น กงเต๋าเองก็ปรับสภาพจิตใจอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปิดใช้พลังปราณและสำรวจบริเวณโดยรอบตามสัญชาติญาณ ทั้งสามจ้องมองกันอยู่ไปมา ก่อนจะหันมองไปด้านหน้า ยังพื้นที่ต้องสาปแห่งสุดท้ายของพวกเขา

พื้นที่นั้นดูไม่ต่างไปจากแห่งอื่นๆ คำสาปกระจัดกระจายอยู่ตามซากภูเขา ต่างก็แค่เพียงมีหลุมฝังศพอยู่ตรงหน้าภูเขาเท่านั้น!

บนหลุมฝังศพนั้นมีป้ายหลุมศพศิลาตั้งอยู่ แต่มีส่วนหนึ่งหลุดหายไปและคำพูดบนนั้นก็ไม่ชัดเจน รอยแตกร้าวเป็นทางปรากฏอยู่บนด้านข้าง รอยแยกที่เล็กที่สุดก็ยังขนาดเท่าฝ่ามือ และรอบที่ใหญ่ที่สุดนั้นใหญ่พอให้ผู้ชายตัวโตๆ ลอดผ่านไปได้

หมอกสีเขียวไหลออกมาจากรอยแยกนั้นเป็นสาย แต่ไม่ได้ไหลผ่านไปไกล กลับไหลวนรายล้อมหลุมฝังศพอยู่เช่นนั้น ออกมาด้านนอกแล้วก็ถูกดูดกลับเข้าไปในรอยแยกดังเดิม ราวกับว่ารอยแยกเหล่านั้นเป็นปากขนาดมหึมาที่กำลังหายใจเข้าออกก็ไม่ปาน!

คำสาปมากมายไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงรู้สึกถึงอันตราย…แต่หมอกสีเขียวที่พวยพุ่งออกมาจากหลุมฝังศพนั้นต่างหาก!

“ที่นี่มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะลองก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าว คำสาปจางหายไป และประตูก็มาปรากฏตรงหน้าเขา หวังเป่าเล่อยืนอยู่หน้าประตูและไม่ได้ขยับตัวเข้าไปแม้แต่น้อง สถานการณ์นี้แม้จะคล้ายคลึงกับพื้นที่ต้องคำสาปอื่นๆ แต่ในครั้งนี้ มีรัศมีแปลกประหลาดที่ไม่มีอยู่ในพื้นที่ต้องสาปอื่นๆ มันไหลบ่าเข้าไปรวมกับอากาศรอบกายหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน ความเชี่ยวชาญในด้านวัตถุเวทบอกเขาว่ารัศมีนี้แผ่ออกมาจากอาวุธเวทชิ้นหนึ่ง!

หวังเป่าเล่อเริ่มหายใจถี่ เขายกมือขวาขึ้นทันที และส่งเอากระบี่เหาะเหินระดับเจ็ดออกไปยังหลุมศพที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเขียวทันที

ความเร็วของกระบี่เหาะเหินลดลงทันทีที่มันเข้าไปใกล้หลุมฝังศพนั้นและช้าลงจนกระทั่งสุดท้ายหยุดลอยค้างอยู่กลางอากาศ มันเริ่มจะแปรสภาพไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา มันกลายเป็นสีเขียวไปในบัดดล ลายที่มองดูคล้ายกับวงปีต้นไม้ปรากฏขึ้นรอบๆ กระบี่ทันที ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไปไม่ถึงสิบลมหายใจเท่านั้นเอง สิ่งที่เคยเป็นกระบี่เหาะเหินที่ทำจากโลหะเมื่อครู่ตอนนี้ตกลงกระทบพื้นส่งเสียงทึบ

การเชื่อมต่อระหว่างหวังเป่าเล่อและกระบี่เหาะเหินถูกสะบั้นลงในพริบตา ราวกับว่าถูกลบหายไปจนสิ้น เทพเจ้าที่อยู่ภายในกระบี่ก็หายไปอีกด้วย พลังที่สถิตย์อยู่ภายในกระบี่เหาะเหินนั้นก็แปรสภาพจนกลายเป็นเสมือนกระบี่ธรรมดาไปเสียฉิบ

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเสียงตอนที่กระบี่ตกกระทบพื้น

“โครงสร้างของมันเปลี่ยนไป!” กงเต๋าหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดออกมา เจ้าเยี่ยเหมิงสังเกตเห็นสิ่งนั้นเช่นกัน เสียงของกระบี่เหาะเหินที่ตกกระทบพื้นไม่ใช่เสียงโลหะกระทบของแข็งแต่เป็นเสียงของไม้!

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อหม่นหมองลงทันที ชายหนุ่มรู้สึกถึงสิ่งนี้มากกว่าใครทั้งสิ้น เขาเริ่มลังเลเกี่ยวกับพื้นที่ตรงนี้ แต่ก็ยังไม่อยากจะถอดใจไปง่ายๆ เช่นกัน

ดูเหมือนว่าเสียงของกระบี่ไม้ที่ตกลงพื้นไปปลุกบางสิ่งให้ตื่นขึ้นมา เสียงหายใจหนักหน่วงดังขึ้นมาจากพื้นใต้หลุมฝังศพนั้น

“ฟู่ว…ฟู่ว…ฟู่ว…”

เสียงนั้นฟังดูไม่เหมือนเสียงหายใจของมนุษย์ แต่คล้ายกับเสียงของอสูรร้าย สามสหายสัมผัสได้ถึงอันตราย ไม่มีการรอช้า พวกเขารีบล่าถอยทันที

เสียงเห่าหอนจำนวนนับไม่ถ้วนดังก้องอยู่ในศีรษะของพวกเขาขณะที่พวกเขาถอยหนี เสียงนั้นฟังดูคล้ายกับเสียงร้องด้วยความโกรธขึ้งและเจ็บปวดของคนจำนวนมหาศาล ฟังดูสมจริงเป็นอย่างยิ่ง คลื่นกระแทกที่แผ่กระจายออกมาบีบให้ทั้งสามต้องถอยร่นออกมาไกลขึ้นอีก โลหิตกระเซ็นออกมาจากริมฝีปากของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวังเป่าเล่อที่อาเจียนเอาโลหิตออกมาถึงเจ็ดครั้ง พวกเขาถอยออกมาอย่างทุลักทุเล จนกระได้พักหายใจหลังจากที่หนีออกมาได้ไกลระยะหนึ่ง

“ยิ่งพลังปราณแข็งแกร่งเท่าใด แรงกระแทกนั้นยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น!” เจ้าเยี่ยเหมิงยกมือขึ้นปาดโลหิตออกจากปาก นางจ้องมองหลุมศพจากห่างๆ เขม็ง หลังจากที่หายจากอาการตื่นกลัวแล้ว นางจึงหันหน้าไปจ้องหวังเป่าเล่อ

บทที่ 611 ศิษย์อุปถัมภ์!
หวังเป่าเล่อกะประมาณพลังปราณของตนจนเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มวาดฝันถึงอนาคต ทำให้ค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้าง แม้ว่าชายหนุ่มจะยังคงงุนงงและชั่งใจว่าสิ่งที่ศิษย์พี่ของเขาพูดในตอนท้าย แต่ด้วยนิสัยของหวังเป่าเล่อแล้ว เขาก็ไม่ใช่คนที่จะมามัวกังวลกับสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ การสนุกกับปัจจุบันสำหรับเขาแล้วสำคัญกว่า

ชายหนุ่มเลียริมฝีปากและจ้องมองไปยังห้องโถงใหญ่ของวังลำดับเจ็ด พลางนึกสงสัยว่าเขาควรจะเดินต่อไปหรือไม่ คลื่นพลังงานของการเคลื่อนย้ายปะทุขึ้น ณ วังลำดับสามเบื้องหลังหวังเป่าเล่อ กงเต๋าปรากฏตัวขึ้น บ้วนโลหิตออกมากองใหญ่ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งหลับตาทำสมาธิ

เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มไม่ผ่านการคัดเลือกเข้าเป็นศิษย์สำนักใน ณ วังลำดับที่สามทำให้ต้องจบลงด้วยตำแหน่งศิษย์สำนักนอกเพียงเท่านั้น แย่กว่าเจ้าเยี่ยเหมิงเล็กน้อย หลังจากที่เห็นกริยาของกงเต๋า หวังเป่าเล่อก็หันกลับไปจ้องมองวังลำดับเจ็ด

หวังเป่าเล่ออยากจะลองเข้าไป แต่ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงถอนหายใจ เขารู้ดีว่าตัวเองมาไกลได้เพียงถึงวังบูชาลำดับที่หกเท่านั้น หากไร้ศิษย์พี่ข้างกาย แม้ว่าจะได้รับภารกิจอื่นใด โอกาสที่ตัวเขาจะเสียชีวิตก็สูงยิ่ง ชายหนุ่มแทบไม่มีหวังว่าจะทำภารกิจนี้ลุล่วงได้เลย

หากวังบูชาลำดับหกยังขนาดนี้แล้ว วังบูชาลำเด็บเจ็ดย่อมจะต้องเลวร้ายกว่าอย่างแน่นอน แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่อยากจะละทิ้งเรื่องนี้ไปง่ายๆ หลังจากเงียบงันไปนาน ชายหนุ่มก็ก้าวขาออกไปข้างหน้าและเริ่มก้าวเดินเข้าไปสู่โถงใหญ่

หวังเป่าเล่อเดินออกมาจากโถงใหญ่อีกครั้งภายในระยะเวลาห้าสิบลมหายใจด้วยสีหน้ายอมจำนน พลางโคลงศีรษะดิก

ข้าสู้ภารกิจในตำหนักวังบูชาระดับเจ็ดในตอนนี้ไม่ไหวแน่นอน ต่อให้ข้าสามารถรับมือกับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณขั้นต้นได้ในตอนนี้ แต่สำหรับภารกิจ…สั่งให้ข้าลอบสังหารผู้ฝึกตนในระดับดาวพระเคราะห์…

เรียกได้ว่าเกิดความบ้าคลั่งไปเสียอีก หวังเป่าเล่อไม่เชื่อว่าจะมีใครสามารถทำภารกิจนี้ได้ หากไม่ได้ใช้วิธีที่ตัวเขาเองคาดไม่ถึง การทำภารกิจอย่างตรงไปตรงมานั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย

“ข้าขอยอมแพ้กับการเป็นศิษย์แห่งเต๋าและขอเป็นแค่ศิษย์อุปถัมภ์ก็แล้วกัน!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ขณะที่เขาไปจบการทดสอบที่ตำหนักวังบูชา ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าตำหนักวังบูชารู้ความคิดของเขาได้อย่างไร แต่ทันทีที่เขานึกยอมแพ้ ร่างกายเขาก็หายวับไปในทัน

เมื่อปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็ยืนอยู่ตรงจุดเริ่มต้นของเส้นทางชัชวาล ทะเลเพลิงเดือดพล่านอยู่ข้างๆ ถนนทอดยาวไปจนถึงด้านหลังของตำหนักวังบูชา ไม่ว่าคลื่นร้อนระอุจะเหวี่ยงขึ้นลงมากเพียงไร ก็ไม่อาจจะขึ้นมาถึงตรงที่ชายหนุ่มยืนอยู่ได้

กงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงปรากฏกายขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสามจ้องมองกันอยู่ไปมา แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าต่างคนต่างไปเจอภารกิจแบบใดมา แต่ทุกคนก็สามารถเดาได้ว่าภารกิจเหล่านั้นยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด

ประกายตาของเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋ามีความสุขลึกล้ำสะท้อนอยู่ข้างใน พวกเขาได้พบสมบัติจำนวนไม่น้อยจากภารกิจนั้นแถมยังหยิบติดตัวออกมาได้อีกด้วย

“พวกเจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าเจอสิ่งใดในการทดสอบที่วังบูชาลำดับที่สอง” กงเต๋าผู้ที่ตื่นเต้นดีใจจนแทบจะสะกดเอาไว้ไม่อยู่เอ่ยถามออกมา พร้อมทั้งยกมือขวาขึ้นโบกไปมาอย่างภาคภูมิใจ รากของสมุนไพรวิญญาณที่อัดแน่นไปด้วยปราณวิญญาณปรากฏขึ้นในมือนั้น สะท้อนล้อกับแสงไฟอยู่ไปมา

“เป็นอย่างไรเล่า พวกเจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือไม่ บันทึกของสำนักวังเต๋าไพศาลเรียกสิ่งๆ นี้ว่าผลก่อเมฆา เพียงลูกเดียวก็จะช่วยเปิดหนึ่งในเจ็ดทวารของร่างกาย ทำให้การฝึกตนในอนาคตนั้นง่ายดายขึ้นไปอีก!” กงเต๋ายิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น แม้ว่าทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและหวังเป่าเล่อจะเข้าไปวังที่ลึกกว่ามาแล้วก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะได้พบเจอสมบัติที่ยอมเยี่ยมเช่นเดียวกัน เพราะอย่างไรเสีย กงเต๋าก็สูญเสียไปอย่างมากมายเพื่อจะได้เห็นผลไม้นี้ในระหว่างการทดสอบ

หวังเป่าเล่อกะพริบตาครั้งหนึ่ง ก่อนจะจ้องมองไปที่กงเต๋าผู้ลิงโลดใจ ชายหนุ่มกระแอมก่อนจะดึงเอาศิลาอัคคีชั้นสูงสุดออกมาจากกำไลคลังเก็บ

กงเต๋าไม่เคยเห็นศิาลาอัคคีชั้นสูงสุดมาก่อน แต่ทว่า ด้วยความร้อนระอุอันแรงกล้าที่แผ่ซ่านออกมาจากศิลาชิ้นนั้นทันทีที่มันถูกหยิบออกมา อุณหภูมิรอบๆ กายพวกเขาพุ่งสูงขึ้นทันที แม้ว่ากงเต๋าจะไม่รู้จักศิลานั้น แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่าต้องเป็นสมบัติชั้นยอดเป็นแน่!

“ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดงั้นหรือ” เจ้าเยี่ยเหมิงถามขึ้นมาปุบปับ น้ำเสียงของนางฟังเหมือนไม่เชื่อสายตาตนเอง

หวังเป่าเล่อยิ้มออกมาจางๆ ชายหนุ่มขยับศิลาในมืออยู่ไปมา ก่อนจะพยักหน้าอย่างตั้งใจ ก่อนจะหันไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยสายตายอมรับ เพราะหากไม่มีใครรู้จักสมบัติชิ้นนี้เลย เขาก็คงต้องอธิบายสรรพคุณของมันเอง อาจจะทำให้ดูเหมือนว่าชายหนุ่มต้องการจะโอ้อ้วด

“ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดคือสิ่งใดกัน” กงเต๋าละล่ำละลัก

“สิ่งนี้เป็นวัตถุดิบในตำนานที่ใช้เพื่อหลอมวัตถุเวท จะกำเนิดขึ้นได้เมื่อมีดวงดาวแตกดับเท่านั้น มูลค่าของมันนั้น…ชิ้นใหญ่เช่นนั้นคงมีราคาเท่าผลไม้ของเจ้าสิบลูก” เจ้าเยี่ยเหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อพยายามจะข่มจิตใจตนเองก่อนจะอธิบาย

กงเต๋าก็สูดลมหายใจเช่นกันขณะที่ฟังเจ้าเยี่ยเหมิงอธิบาย ชายหนุ่มไม่ได้เชื่อทั้งหมด เขากำลังจะดึงเอาสมบัติอีกชิ้นออกมาอวดแต่หวังเป่าเล่อก็กระแอมและหยิบเอาศิลาอัคคีชั้นสูงสุดออกมาอีกชิ้นหนึ่ง…

ไม่เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มหยิบศิลาออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่า ตอนแรก กงเต๋าทำได้เพียงกลืนอากาศเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่หลังจากที่หวังเป่าเล่อดึงเอาศิลาชิ้นที่สิบออกมา กงเต๋าก็หยุดหายไปโดยปริยาย จากนั้น หวังเป่าเล่อก็เปิดกำไลคลังเก็บและเทเอาสมบัติทั้งหมดออกมา ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดไหลบ่าออกมากองรวมกันสูงเป็นภูเขาเลากา กงเต๋าตกตะลึงนิ่งขึงไป

กระทั่งเจ้าเยี่ยเหมิงก็ยังตกใจอย่างรุนแรงจนอ้าปากค้าง ไม่มีคำพูดใดๆ ไหลออกมาผ่านริมฝีปากคู่นั้น

“ข้าไม่มีที่วางทั้งหมดให้พวกเจ้าดู แต่ว่า…ข้ายังมีศิลาเช่นเดียวกันนี้อยู่อีกราวเจ็ดถึงแปดกองด้วยกันในกำไลคลังเก็บ” หวังเป่าเล่อยกมือตบท้องเบาๆ พลางทำทีเป็นไม่ภาคภูมิใจ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกและนำเอาศิลากลับไปเก็บไว้เช่นเดิม

กงเต๋าทำได้เพียงจ้องมองผลไม้ในมือเป็นเวลานานก่อนจะค่อยๆ เก็บเข้ากระเป๋าไป ก่อนจะเงยหน้ามองฟ้าอยู่พักใหญ่ แล้วจึงทอดถอนใจออกมา

“เป่าเล่อ ถ้าเจ้ายังทำตนเช่นนี้ ระวังจะไม่มีเพื่อนเหลือเล่า…”

หวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ชายหนุ่มยกมือตบบ่ากงเต๋า ก่อนจะหยิบเอาศิลาอัคคีขั้นสูงสุดออกมาหลายสิบก้อนมายัดใส่มือเพื่อน กงเต๋าชะงักอยู่อึดใจหนึ่ง แต่ชายหนุ่มก็ตัดสินใจยอมลดราวาศอก เขาเก็บเอาศิลาไปอย่างรวดเร็วก่อนจะมองค้อนหวังเป่าเล่อใหญ่

หวังเป่าเล่อให้ศิลาอัคคีขั้นสูงสุดกับเจ้าเยี่ยเหมิงไปนับร้อยก้อน ชายหนุ่มบอกให้พวกเขาทั้งคู่มาบอกเขาได้หากต้องการเพิ่ม เมื่อหวังเป่าเล่อแสดงน้ำใจออกมาเช่นนั้น กงเต๋าจึงหยิบผลก่อเมฆาออกมาสองลูกพลางยื่นให้เพื่อนทั้งสองเช่นกัน

เจ้าเยี่ยเหมิงเอาก็แบ่งสิ่งของที่นางหามาได้ให้เพื่อนๆ เช่นกัน กำลังใจของทุกคนเพิ่มพูนขึ้นมาหลังจากการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงที่นิ่งสงบอยู่เป็นปรกติก็ยังไม่อาจจะคุมหัวใจไม่ให้เต้นแรงได้ นางกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างแต่เส้นทางชัชวาลและตำหนักวังบูชาเกิดเริ่มสั่นสะเทือนขึ้นเสียก่อน

พื้นดินใต้เท้าพวกเขาโยกคลอนอย่างรุนแรง แสงสว่างจ้าระเบิดขึ้นมาจากเบื้องบนวังลำดับสอง สาม และหก แสงนั้นส่องสว่างและพวยพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า ไปรวมตัวกันอยู่บนสรวงสวรรค์และก่อตัวขึ้นเป็นแผ่นหยกสามแผ่น!

อันหนึ่งสีเขียว อีกอันหนึ่งสีแดง และอันสุดท้ายมีสีม่วง!

สีเขียวแสดงถึงศิษย์สำนักนอก สีแดงแทนศิษย์สำนักใน ในขณะที่สีม่วง…แทนศิษย์อุปถัมภ์!

แผ่นหยกสุกสว่างทั้งสามพุ่งตรงเข้ามาหาสามสหายเบื้องล่างที่รับเอาไว้ได้พอดี ทันทีที่พวกเขาสัมผัสเข้ากับแผ่นหยกนั้น ความรู้สึกแปลกประมาณก็ไหลบ่าเข้าท่วมกายในบัดดล

กงเจ๋ารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในกระบี่สำริดเขียวโบราณ ราวกับว่าก่อนหน้านี้กระบี่เขียวโบราณเล่มนั้นปกคลุมไปด้วยเส้นด้ายนับไม่ถ้วน ที่ก่อตัวรวมกันเป็นแผ่นแน่นหนา แม้จะไม่ได้มีตัวตนที่หนาแน่นหรือขัดขวางการเคลื่อนไหวมากจนเกินไปนัก แต่ก็ยังมีการโอบรัดที่ทำให้ขยับได้ลำบากขึ้นระดับหนึ่ง

ขณะนี้ เมื่อแผ่นหยกสีเขียวมาอยู่ในมือ ราวกับว่าช่องว่างระหว่างเส้นด้ายเหล่านั้นขยายกว้างขึ้น ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายและเบากายขึ้นมาก

นัยน์ตาของกงเต๋าส่องประกาย ชายหนุ่มรู้สึกถึงความสำคัญของการได้รับสถานะศิษย์มา เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็สัมผัสได้เช่นเดียวกัน แต่รุนแรงเสียยิ่งกว่า ราวกับว่าช่องว่างระหว่างเส้นด้ายเหล่านั้นขยายกว้างขึ้นอีกสำหรับนาง เพียงขยับด้วยจิตเพียงเล็กน้อย นางก็สามารถจะหลบหลีกเส้นด้ายเหล่านั้นได้อย่างหมดจด

เพราะความเข้าใจในเรื่องวงแหวนปราณของนาง ทำให้นางรู้ดีว่าความรู้สึกนั้นหมายความว่าอย่างไร…ขณะนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงนั้นมีภูมิคุ้มกันกับคำสาปหลายหลากบนกระบี่สำริดเขียวโบราณไปแล้วเรียบร้อย!

“มันดีอย่างนี้เองสินะ…เมื่อได้สถานะศิษย์ที่แท้จริงมาและมีนามสลักเอาไว้ ณ บนแท่นสลักเต๋า!” นัยน์ตาของเจ้าเยี่ยเหมิงส่องประกายด้วยความยินดี ทั้งนางและกงเต๋าหันไปจ้องมองหวังเป่าเล่อ

แต่สีหน้าของหวังเป่าเล่อดูแปลกแปร่ง ชายหนุ่ยเงยศีรษะขึ้นจ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าอยู่นาน ดูราวกับว่าเขาอยากจะพูดอะไรสักอย่างสุดจะหาคำมาเอื้อนเอ่ย

“เป่าเล่อ เจ้าได้รับสถานะศิษย์อุปถัมภ์มาจากวังที่หก เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างเล่า” กงเต๋าถามอย่างสงสัย

“ข้าหรือ…ข้ารู้สึกราวกับว่าโลกทั้งโลกกำลังส่งเสียงให้กำลังใจข้า…” หวังเป่าเล่อคิด ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าแปลกแปร่งที่แสดงออกมา ชายหนุ่มไม่ได้โกหก ทันทีที่เขาสัมผัสถูกแผ่นหยกก็มีความรู้สึกต้อนรับอันทั่งท้นไหลซึมออกมาจากโลกรอบข้าง หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังบอกเขาว่าเหลือสถานที่เพียงหยิบมือเท่านั้นที่ชายไม่อาจจะเหยียบย่างเข้าไป

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงก้าวเท้าออกไปข้าวหน้า โดยไม่มุ่งไปยังตำหนักวังบูชาแต่เข้าไปบนทะเลเพลิง ชายหนุ่มเดินก้าวเข้าไปหาทะเลสีแดงฉานอย่างมั่นคง ก้าวออกจากอาณาเขตอันปลอดภัยของตำหนักวังบูชาไป ทันทีที่เท้าของเขากำลังจะจมลงไปในทะเลเพลิงนั่นเอง ศิลาชิ้นเขื่องก็พุ่งเข้ามารองเท้าของเขาเอาไว้ทันที…

“ข้ารู้สึกเช่นนี้ละ” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว ชายหนุ่มยืนอยู่บนศิลาพลางยักไหล่ ก่อนจะหันไปหากงเต๋า ที่ยืนมองอ้าปากค้างตาเบิกโพลง เช่นเดียวกับเจ้าเยี่ยเหมิงที่ยืนตาโตอยู่คล้ายกัน

บทที่ 610 บรรลุและเดินทางกลับ
น้ำเสียงของเฉินชิงไม่ได้ฟังดูวางอำนาจหรือทรงพลัง แต่ทั้งดวงดาวก็พลันเงียบไปเมื่อเสียงของเขาดังขึ้น…ราชันอสูรเขี้ยวดาราสั่นเทิ้ม ความกลัวยากเกินจะทำใจเชื่อได้ปรากฏขึ้นในตา เป็นความรู้สึกที่อสูรกล้าแกร่งไม่เคยได้สัมผัส ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดปากพูด

เหล่าอสูรเขี้ยวดาราที่เหลือก็ตื่นกลัวไม่ต่างกัน คำพูดธรรมดาสามัญของเฉินชิงได้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับสิ่งมีชีวิตทุกสิ่ง กดทับสติสัมปชัญญะสูญหายไป

หวังเป่าเล่อเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน ในหัวของเขาอื้ออึงไปด้วยอัสนีกัมปนาท เขาเคยเข้าไปในมิติมืดและโดนเตือนเรื่องเฉินชิงมาจากท่านอาจารย์ เคยถึงกับนึกสงสัยว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนและศิษย์พี่เฉินชิงแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร

ถึงกระนั้นก็ทำได้เพียงแค่คิด ไม่เคยเตรียมใจว่าจะต้องมาพบกัน เขาไม่คาดคิดว่าตนจะได้มาพบคนในฝันซึ่งๆ หน้ารวดเร็วถึงเพียงนี้!

ความทรงจำในมิติมืดพลันผสานกับความเป็นจริง ภาพศิษย์พี่ที่เคยยิ้มและบอกว่าได้พบเนื้อคู่แห่งเต๋าในชาติภพหน้าค่อยๆ ผสานเป็นหนึ่งกับภาพใบหน้าบนฟากฟ้าเบื้องหน้า ทุกสิ่งกระจ่างชัดในบัดดล ความรู้สึกมากมายคุกรุ่นอยู่ภายในใจหวังเป่าเล่อ เขาอยากจะเอ่ยพูดแต่ก็ไม่สามารถขย้อนคำใดออกมาได้ ความคุ้นเคยและความแปลกหน้าผสมปนเปทำให้นิ่งเงียบไป

การปรากฏกายของเฉินชิงทำให้การเคลื่อนย้ายเป็นไปได้อย่างราบรื่นอีกครั้ง คาถาที่รายล้อมรอบตัวชายหนุ่มที่นิ่งเงียบพุ่งสูงขึ้นก่อนจะค่อยๆ พาเขาหายวับไป

เหล่าอสูรเขี้ยวดารามองดูหวังเป่าเล่อจากไป ไม่มีใครกล้าเข้าไปขัด พวกมันสั่นเทิ้ม เหลือบมองราชันของตน แต่ราชันกลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาที่จับต้องมา ทำได้แต่สั่นกลัวและเฝ้าคอยการเสริมทัพจากเผ่าอสูรตนอื่นๆ อย่างเป็นกังวล

ร่างเงาของหวังเป่าเล่อเริ่มเลือนรางท่ามกลางความเงียบงัน เขาไม่ทันสังเกตว่าแม่นางน้อยเองก็เงียบไปหลังจากเฉินชิงมาปรากฏตัว เหมือนนางจะตื่นตะลึงไปเมื่อได้ยินอีกฝ่ายประกาศตน

การเคลื่อนย้ายเกือบจะเสร็จสิ้น เฉินชิงยิ้มบางขึ้น เหมือนว่าจะเข้าใจว่าหวังเป่าเล่อคิดอะไรอยู่จึงพูดขึ้นอย่างนิ่มนวล “ศิษย์น้องเป่าเล่อ ทางแห่งเต๋ารอเจ้าอยู่ เจ้าเหลือเวลาอีกไม่มาก รีบจัดการเรื่องต่างๆ หลังจากกลับไป…ข้าจัดการเรื่องของตัวเองเสร็จเมื่อไหร่จะตามไปที่จักรพิภพของเจ้าและพาเจ้ากลับ!”

หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระส่ำเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาอยากจะเอ่ยถามแต่การเคลื่อนย้ายก็เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน ร่างของชายหนุ่มหายวับไปจากดวงดาวพร้อมกับเสียงสั่นไหว ก่อนจะปรากฏกายขึ้นอีกครั้งบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ กลับมาหยุดยืนอยู่หน้าวังลำดับเจ็ดของตำหนักวังบูชา!

พลังจากคาถาเคลื่อนย้ายพัดกระจายไปรอบๆ ดั่งพายุ ชายหนุ่มตัวสั่นเทิ้ม หน้าซีดเผือดจากระยะทางที่เดินทางข้ามมา ลมหายใจถี่แรงขึ้นจนผิดสังเกต ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายหลังจากได้ยินประโยคสุดท้ายของเฉินชิง

“ทางแห่งเต๋ารอข้าอยู่ หมายความว่าอย่างไรกัน เขาบอกด้วยว่า…จะพาข้ากลับไป” หวังเป่าเล่อสับสน ทั้งสองพบและจากกันอย่างรวดเร็ว ในใจยังเหลือปริศนามากมาย

สิ่งเดียวที่รู้ก็คือเฉินชิงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังภารกิจครั้งนี้ และตัวตนของเขาที่เป็นถึงราชันสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มนิ่งเงียบไป

“ราชันสวรรค์ลำดับหนึ่ง…” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำ พลันนึกขึ้นได้ว่าแม่นางน้อยเคยเล่าถึงบุคคลปริศนาน่าสะพรึงกลัวของตระกูลไม่รู้สิ้นที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนของสำนักแห่งความมืด ตอนแรกเขาก็คิดว่านางโกหกไปเรื่อยเปื่อย แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง

ชายหนุ่มยังคงนึกเคลือบแคลงใจเพราะมีอะไรบางอย่างผิดแปลก แม่นางน้อยบอกว่านางเป็นศิษย์ของบุคคลนั่น แต่หลังจากวิเคราะห์ดูแล้ว หวังเป่าเล่อก็สรุปได้ว่าแม้นางจะพูดเกิดจริงไปบ้าง แต่นางก็รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นบางส่วนอยู่เหมือนกัน

“แม่นางน้อย เจ้า…รู้อยู่แล้วว่าราชันสวรรค์ลำดับแรกคือเฉินชิงใช่ไหม” เขาถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา

“…” แม่นางน้อยอ้าปากขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถหาคำที่ตรงใจได้ ตอนที่เฉินชิงปรากฏตัวขึ้นในดาวเคราะห์ของเหล่าอสูรเขี้ยวดารา นางได้สบถคำหยาบโบราณมากมายออกมา เทียบกับคำปัจจุบันที่ใช้กันในสหพันธรัฐแล้วคงเป็นคำว่า ‘ฉิบหาย’

แม่นางน้อยสับสนไปหมด ส่วนหนึ่งก็มาจากตัวตนของเฉินชิง อีกส่วนมาจากสิ่งที่นางเคยพูดกับหวังเป่าเล่อ วาจาของนางเหมือนจะแฝงไปด้วยพลังอะไรบางอย่าง อะไรก็ตามที่ออกจากปากมักจะกลายเป็นจริงอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

เหตุผลข้อหลังทำให้นางตื่นตกใจมากกว่าข้อแรก นางรู้สึกว่าตนน่าจะบรรลุขั้นการฝึกตนไปอีกขั้น เพราะไม่มีเหตุผลใดใช้อธิบายได้ว่าทำไมที่นางโกหกไปก่อนหน้าถึงกลายเป็นจริงได้โดยใช้เวลาไม่นาน นางเพิ่งจะตระหนักว่าตนมีพลังทรงอำนาจที่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่พูดให้กลายเป็นความจริงได้…

โชคดีที่แม่นางน้อยเองก็ได้ฝึกวิชาไร้ยางอายจนเชี่ยวชาญตลอดเวลาที่อยู่กับหวังเป่าเล่อ นางสูดหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่แฝงไปด้วยความเย่อหยิ่ง “ด้วยเหตุผลบางประการที่ไม่สามารถอธิบายให้เจ้าฟังได้ทำให้ข้าต้องปิดบังความจริงไว้ ถ้าเจ้าเข้าใจ…เจ้าก็รู้ได้เอง แต่ถ้าไม่ เจ้าก็จะไม่มีวันได้รู้เลยตลอดทั้งชีวิต” นางพูดด้วยน้ำเสียงโอ้อวดดั่งคนมากประสบการณ์ รู้สึกประทับใจในความหัวไวของตนเอง นางไม่ได้โกหกชายหนุ่ม นางมีเหตุผลส่วนตัวที่ไม่รู้จะอธิบายออกไปอย่างไร เหตุผลนั่นก็คือ…นางไม่รู้ว่าจะโกหกต่ออย่างไรให้ฟังขึ้น

หวังเป่าเล่อตะลึงงันไป คำพูดของแม่นางน้อยดูจะแฝงไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง เขาพยายามสงบใจตนเองจากการที่ได้พบกับศิษย์พี่เฉินชิงบนดาวของอสูรเขี้ยวดารา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองวังลำดับเจ็ดเบื้องหน้า หยุดคิดสักพักก็หยิบเอาแก่นในอสูรสองตนออกมาจากกำไลคลังเวท

ทันใดคลื่นปราณวิญญาณหนาแน่นก็พวยพุ่งออกมาจากแก่นใน กระจายล้นพื้นที่ หวังเป่าเล่อใจเต้นรัว การที่ตนได้มาหยุดยืนอยู่ตรงนี้หมายความว่าเขาได้ผ่านการทดสอบของวังลำดับหกแล้ว แต่กลับยังมีแก่นในอสูรอยู่กับตัว

ความคิดหนึ่งแล่นเข้าหัว ชายหนุ่มไม่มัวคิดมาก คนโง่ยังรู้ได้ว่าคงจะเป็นเพราะศิษย์พี่สุดแข็งแกร่งของตน เขาครุ่นคิดว่าจะใช้แก่นในอสูรอย่างไรดีให้เกิดประโยชน์สูงสุดแทน

“แม่นางน้อย สิ่งนี้กินได้ไหม” หวังเป่าเล่อถามหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“ได้สิ เสร็จแล้วเจ้าก็แค่ ‘ตู้ม’ ร่างระเบิด วิญญาณแหลกไม่มีชิ้นดี ถ้าเจ้าไม่อยากรีบตายก็ค่อยๆ ใช้เมล็ดดูดกลืนสูบเอาพลังหล่อเลี้ยง เจ้ากับข้าไม่เหมือนกัน ข้าได้กินผลกายาเทพตั้งแต่ยังเล็กเลยมีร่างกายอันไร้เทียมทาน ตอนอายุได้สามขวบ ข้ากินแก่นในอสูรระดับจิตวิญญาณอมตะเป็นขนมหวาน แก่นในพวกนี้เป็นขนมหวานชิ้นเล็กที่สุดที่ข้าเคยกินเลยนะ!” แม่นางน้อยพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่เน้นหนักตรงคำว่า ‘ตู้ม’

หวังเป่าเล่อกะพริบตา รีบโยนความคิดที่จะกินแก่นในอสูรทิ้งไปในทันใด เขานั่งลง วางแก่นในไว้เบื้องหน้า ครุ่นคิดสักพักก็ปลุกเมล็ดดูดกลืนในกาย พลันแรงสูบก็ปะทุออกมาห้อมล้อมรอบแก่นในอสูร

พริบตาเดียว ปราณวิญญาณมหาศาลก็พวยพุ่งออกมาจากแก่นใน เมล็ดดูดกลืนของชายหนุ่มเป็นดั่งหลุมดำที่ดูดกลืนปราณวิญญาณทั้งหมดเข้าร่างไม่มีเหลือ พลังปราณของหวังเป่าเล่อเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบรรลุจากขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายไปชั้นสมบูรณ์ในทันที

ยังไม่จบเพียงแค่นั้น ขณะเมล็ดดูดกลืนสูบเอาพลังปราณไม่หยุดหย่อน พลังปราณในกายหวังเป่าเล่อก็พุ่งสูงขึ้นเหมือนลูกโป่งพองลม เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรู้สึกว่าร่างต้นเอ่อล้นไปด้วยพลังจนแทบปริ เกินขีดจำกัดของตนเองไปอีกขั้น เขาลืมตาขึ้นพร้อมกับเริ่มตรวจระดับการฝึกตนของตนเองก่อนจะตื่นเต้นดีใจหนัก

“ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์!”

หวังเป่าเล่อได้บรรลุขั้นการฝึกตนในเวลาสั้นๆ แม่นางน้อยอดอิจฉาความโชคดีของชายหนุ่ม แก่นในอสูรทั้งสองยังเต็มไปด้วยพลังปราณ เป็นเหมือนดังศิลาวิญญาณที่มีพลังไม่จำกัด สามารถให้พลังปราณได้เรื่อยๆ

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นของขวัญส่วนหนึ่งที่ศิษย์พี่ของเขาให้มาหลังจากได้พบกันเป็นครั้งแรก!

อีกส่วนหนึ่งคือศพอสูรเขี้ยววิญญาณทั้งสอง ชายหนุ่มรู้ว่าร่างของอสูรระดับจิตวิญญาณอมตะถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าตั้งแต่ผิวหนังจนถึงกระดูก เขาวางแผนจะหาทางใช้ร่างทั้งสองหลอมเป็นหุ่นเชิด!

หากทำได้สำเร็จ ตนอาจจะเป็นใหญ่ในระบบสุริยจักรวาลก็เป็นได้

“คงจะใช้เวลาสักพัก ค่อยศึกษาหาวิธีตอนกลับสำนัก ถ้าหาวิธีไม่ได้จริงๆ ค่อยชำแหละเนื้อหนังไปจนถึงกระดูกแทน!” คิดดังนั้นหวังเป่าเล่อก็คึกขึ้นมา ช่างดีเสียจริงที่มีศิษย์พี่สุดเก่งกาจ

บทที่ 609 เรียกข้าว่าศิษย์พี่
ช่างเป็นการบริการที่แสนยอดเยี่ยมเกินบรรยาย…หวังเป่าเล่อปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก ทุกอย่างมากองอยู่ตรงหน้าโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ชายหนุ่มตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขาคิดเองเออเองว่าตนคงจะเป็นที่รักใคร่ของเทพีแห่งโชคลาภมาตลอดตั้งแต่อยู่บนโลก บนดาวอังคาร บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ หรือแม้แต่บนดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬ แต่ก็คิดไม่ถึงว่านางจะตามมาดูแลถึงดาวเคราะห์ของอสูรเขี้ยวดารา

แม่นางน้อยเองก็ตื่นตะลึงไม่ต่าง นางเฝ้าดูเหตุการณ์มาโดยตลอด ตั้งแต่ศิลามากมายมากองอยู่ตรงหน้า จนกระทั่งอสูรร้ายขั้นจิตวิญญาณอมตะมาพุ่งประสานงากันจนบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะตายยังควักเอาแก่นในออกมาให้อีก…

เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้นางตื่นตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่

ความไร้ยางอายของหวังเป่าเล่อนั้นมีประโยชน์ในสถานการณ์คับขันจริงๆ ไม่นานชายหนุ่มก็ได้สติ รีบข่มความตื่นกลัวในใจ ก่อนจะกระแอมไอพร้อมกับพูดขึ้น “เห็นไหม แม่นางน้อย การที่เจ้าได้มาเจอข้าถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตเจ้า” เขายกมือขวาขึ้นโบก เรียกแก่นในอสูรเข้ามาหา พลันสัมผัสได้ถึงพลังกล้าแกร่งเกินบรรยายจากปราณวิญญาณที่พวยพุ่งออกมา ร่างกายชายหนุ่มสั่นไหวขณะพยายามต้านทานพลังปราณวิญญาณไว้อย่างทุลักทุเล

เขาพยายามทำหน้านิ่งเพื่อรักษามาดไว้ขณะยัดแก่นในใส่กำไลคลังเวท จากนั้นก็หันไปมองศพอสูรเบื้องหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย

ศพของอสูรที่ได้บรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะถือเป็นสมบัติล้ำค่า ทั้งเลือดเนื้อหนัง หรือแม้แต่เครื่องในและกระดูกถือเป็นวัสดุระดับสูงที่ใช้ในการหลอมโอสถในสหพันธรัฐ

หากสหพันธรัฐได้ทราบเรื่องนี้ ทุกคนจะต้องตกใจ ทั้งโลกจะต้องสั่นสะเทือน

หวังเป่าเล่อครุ่นคิดว่าตนควรจะเก็บศพทั้งสองใส่กำไลคลังเวทที่เต็มจนแทบจะล้นทะลักออกมาดีไหม ทันใดนั้นคลื่นพลังรัศมีก็พลันปรากฏขึ้น!

อาจจะมีใครบางคนพบว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป หรือไม่ก็สัมผัสได้ว่าพลังรัศมีของอสูรเขี้ยวดาราขั้นจิตวิญญาณอมตะสองตนได้หายวับไป พลังกล้าแกร่งของราชันอสูรเขี้ยวดาราพลันปะทุขึ้น สามารถสัมผัสได้ถึงความสงสัยและความโกรธเกรี้ยวที่คุกรุ่นอยู่ทั่วดาวเคราะห์

มันพบหวังเป่าเล่อในทันใด คลื่นพลังรุนแรงแฝงไปด้วยอารมณ์มากล้นปะทุขึ้นทันใดที่เห็นศพ!

“ตายเสีย!” เสียงดังขึ้นจากลึกสุดของวิญญาณสั่นคลอนสัมผัสวิญญาณของหวังเป่าเล่อ สะเทือนถึงฟากฟ้า เขย่าผืนพสุธาทั่วบริเวณ ดาวเคราะห์ทั้งดวงสั่นไหว พลันเปลวเพลิงก็ปะทุขึ้นจากพื้น หวังเป่าเล่อถูกพลังขนาดถล่มดาวทั้งดวงเข้าข่ม ราวกับจะลบเขาให้หายไปจากดาวดวงนี้!

ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาได้เตรียมรับมือกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนรอบตัว เปลวไฟรวมตัวกันเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ พร้อมกวาดเขาในหายวับไปในครั้งเดียว

วิกฤตหายนะเข้าคุกคามชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อได้ยินแม่นางน้อยกรีดร้อง วิสัยทัศน์เบื้องหน้าพลันมืดดับ เขาเป็นดั่งแพเดียวดายที่ลอยอยู่ท่ามกลางทะเลคลั่ง โดนคลื่นซัดไปมาเกือบจะล่มจมหาย

เสียงแค่นจมูกไม่พอใจดังก้องมาจากที่ไหนสักแห่งบนดาวเคราะห์ ทันใดนั้นเพลิงที่รวมตัวเป็นมือยักษ์ก็พลันหยุดนิ่ง ก่อนจะสลายหายไปเงียบๆ พลังรัศมีกล้าแกร่งเมื่อก่อนน่าก็หายวับไปเช่นกัน

โลกเบื้องหน้ากลับคืนสู่สภาพปกติ หวังเป่าเล่อรีบถอยหนีด้วยใบหน้าซีดเผือด เขายกมือขวาเรียกศพสองตัวเข้ากำไลคลังเวทอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดที่ต้องโยนหุ่นเชิดและข้าวของมากมายทิ้งไปแทน

ชายหนุ่มยัดศพใส่กำไลคลังเวทอันแน่นขนัดได้สำเร็จ พอผ่านพ้นสถานการณ์เฉียดตายมาได้ แม่นางน้อยก็รีบร่ายคาถาเคลื่อนย้ายอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่มีการขัดขวางใดๆ นางร่ายได้สำเร็จในทันที!

คลื่นพลังจากคาถาเคลื่อนย้ายรายล้อมรอบตัวหวังเป่าเล่อ ทันใดที่การเคลื่อนย้ายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เสียงร้องคำรามเกรี้ยวกราดก็ดังขึ้นจากถ้ำที่พักของอสูรเขี้ยวดาราที่อยู่ห่างออกไป

“นี่คือพันธมิตรร้อยเผ่าพันธุ์แห่งป่ามี่หลัว ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร จงจำเอาไว้ว่าเจ้าจะต้องเสียใจที่บังอาจมาทำร้ายเผ่าอสูรเขี้ยวดารา!”

พลังรัศมีของเหล่าอสูรเขี้ยวดาราพวยพุ่งเต็มฟากฟ้าพร้อมเสียงร้องกราดเกรี้ยว สรวงสวรรค์สั่นคลอนเมื่อเงาหลายสิบปรากฏขึ้นบนฟ้า มองไกลๆ เห็นเป็นเหมือนก้อนเนื้อขนาดยักษ์ แต่ละก้อนแผ่พลังมากล้นขนาดบิดห้วงอากาศได้ ราชันอสูรเขี้ยวดาราเป็นดั่งตัวแทนของดวงดาว พลังกล้าแกร่งที่พวยพุ่งออกมาจากตัวราชันเข้าขัดขวางการเคลื่อนย้ายของหวังเป่าเล่อ ทำให้อาจล้มเหลวได้ทุกเมื่อ

กองทัพอสูรเขี้ยวดาราพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อทันทีที่ปรากฏตัว ผืนดินเบื้องล่างสั่นไหว เปลวเพลิงขึ้นสูงเฉียดฟ้า พลังแกร่งกล้าขนาดทำทุกสิ่งที่ขวางหน้าแผ่พุ่งออกมาจากกองทัพ!

หวังเป่าเล่อหน้าซีดเผือด พลังไร้เทียมทานตรงหน้าตรงเข้ามาบดขยี้ทั้งร่างกายและพลังปราณทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ แค่หายใจก็ยังยาก แม่นางน้อยลนลาน คาถาเคลื่อนย้ายของนางสั่นคลอนเหมือนดังเทียนที่โดนลมแรงพัดเปลวไฟไหวไปมา

ทุกสิ่งเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ความตายมาเยือนอยู่ตรงหน้า ทันใดนั้น หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงนิ่มนวลชวนฟังดังขึ้นในหัว เป็นเสียงของชายผู้หนึ่งที่ฟังดูคุ้นเคย

“เป่าเล่อ มา เรียกหาศิษย์พี่ของเจ้า ข้าจะช่วยเจ้าเอง”

เสียงที่ดังขึ้นไร้ซึ่งความเคร่งเครียด กลับแฝงไปด้วยความเย้าหยอก หวังเป่าเล่อแทบไม่กะพริบตา รีบร้องขึ้นทันใดที่ได้ยินเสียงก้องในหัว “ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย!”

สิ้นประโยค เสียงหัวเราะก็ดังก้องทั่วผืนฟ้า พลันฟ้าก็ถูกบดบังด้วยหัตถ์มายาขนาดใหญ่ไพศาล หัตถ์มายากวาดผืนฟ้าราวกับจะตะปบก้อนเหนือออกไปให้พ้นทาง ราชันอสูรเขี้ยวดาราและเหล่ากองทัพอันแสนองอาจเมื่อครู่ตัวสั่นเทิ้ม พลังของพวกมันไม่สามารถทัดเทียมกับหัตถ์มายาได้จึงโดยกวาดหายลับไป

หลายตนไม่สามารถทานทนพลังได้ ถูกบดขยี้ลงในพริบตา พวกที่ยังเหลือรอดก็บาดเจ็บหนัก ราชันอสูรถึงกับกระอักเลือดกองใหญ่ เงาของมันบิดเบี้ยวในอากาศ ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตกใจขณะจ้องมองฟากฟ้า ก่อนจะร้องคำรามขึ้นด้วยเสียงอันสั่นเครือ

“เจ้าเป็นใคร!”

หัตถ์บนฟ้าค่อยๆ จางหายไปเมื่อราชันอสูรร้องขึ้น แทนที่ด้วยใบหน้าขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ ใบหน้าดังกล่าวเป็นของชายหนุ่มผิวขาวซีด ตายาวตี่ มีกระขึ้นเต็ม มองดูแล้วสัมผัสได้ว่าเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาน่าจะเป็นคนสุภาพอ่อนโยน แต่พลังกล้าแกร่งที่แผ่พุ่งออกมากลับทำให้ทั้งดาวเคราะห์สั่นสะเทือน ราวกับว่าเพียงแค่คิดก็สามารถทลายดาวดวงนี้ลงได้!

อสูรเขี้ยวดาราไม่ได้ตัวสั่นเทิ้มเพียงผู้เดียว หวังเป่าเล่อก็เช่นกัน เขาไม่ได้สั่นเพราะกลัว แต่เพราะรู้จักเจ้าของใบหน้านั่น!

“เจ้า…เจ้า…” หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง คลื่นความรู้สึกถาโถมเข้าในใจ ชายหนุ่มตระหนักทันทีถึงต้นตอของเหตุประหลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนดาวเคราะห์แห่งนี้!

แม่นางน้อยเองก็หายใจถี่รัว นางแอบมองใบหน้าขนาดใหญ่บนท้องฟ้า ยิ่งจ้องก็ยิ่งรู้สึกหลงเสน่ห์…

“เมื่อครู่เจ้าเพิ่งร้องขอให้ข้าช่วย แต่พอช่วยเสร็จ เจ้ากลับจะบอกว่าจำข้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ” ใบหน้าบนฟากฟ้าจ้องหวังเป่าเล่อที่นิ่งอึ้งไปด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล เขายิ้มบาง ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ

“ไม่เป็นไร ข้าว่านี่น่าจะเป็นการพบกันต่อหน้าครั้งแรกของเรา ให้ศิษย์พี่ได้เอ่ยแนะนำตัว ข้า…เฉินชิง เป็นศิษย์พี่ของเจ้า!” ใบหน้าเอ่ยแนะนำตัว จากนั้นก็หันไปมองอสูรเขี้ยวดาราที่กำลังสั่นเทิ้ม ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติทั่วไป “…และเป็นราชันสวรรค์ลำดับแรกของตระกูลไม่รู้สิ้น!”

บทที่ 608 บริการสุดพิเศษเต็มรูปแบบ!
หวังเป่าเล่อกำลังคลานไปหาศิลาอัคคีชั้นสูงสุดที่อยู่ห่างออกไปประมาณสามสิบเมตร ศิลาเหล่านี้ถือเป็นของล้ำค่าสำหรับเขา แต่รอบกายก็มีอยู่เพียงไม่มาก ตามหาอยู่นานได้มาแค่สามก้อน นอกจากนี้ยังเป็นเพียงก้อนเล็กๆ

ศิลาพวกนี้เป็นสมบัติที่ล้ำค่ามาก ชายหนุ่มคลานไปเก็บเอาศิลาอัคคีชั้นสูงสุดมาตรวจดูด้วยความพึงพอใจ

แม่นางน้อยไม่ยอมให้ชายหนุ่มลุกยืนขึ้นแม้สภาพแวดล้อมรอบกายจะเลวร้ายมากก็ตาม เหมือนว่านางจะช่วยซ่อนตัวตนให้ได้หากทำตัวติดอยู่กับพื้น ถึงจะทุกข์ทรมานและโดนย่างทั้งเป็น แต่ก็คุ้มค่าที่ได้ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดมา

เห็นหน้าตาของหวังเป่าเล่อ แม่นางน้อยก็อดแค่นเสียงทางจมูกใส่ไม่ได้ นางหงุดหงิดใจ พยายามเคลื่อนย้ายพวกตนออกจากที่แห่งนี้อยู่หลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลว

“ได้ก้อนหินโง่ๆ มาก็ดีใจขนาดนี้เชียว ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อย!”

“เจ้าไม่เข้าใจ นี่คือศิลาอัคคีชั้นสูงสุด เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งนี้คืออะไร” หวังเป่าเล่อเริ่มไม่พอใจเมื่อได้ยินที่นางพูด ไหนจะมาดูถูกศิลาอัคคีชั้นสูงสุด ไหนจะมาเรียกเขาว่าเจ้าอ้วนอีก

“ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดเกิดขึ้นจากการทำลายล้างระบบดาวทิ้ง เป็นเงื่อนไขที่ยากยิ่ง แค่ก้อนเล็กๆ ก้อนเดียวก็มีมูลค่ามหาศาล ระบบดาวแห่งนี้น่าจะเคยผ่านหายนะร้ายแรงมา แล้วฟื้นฟูขึ้นใหม่ขึ้นอีกครั้งจึงมีศิลาจำนวนมากกระจายอยู่!” ชายหนุ่มอธิบายให้แม่นางน้อยฟัง

นางอาจจะแกล้งทำเป็นรู้ทุกสิ่ง แต่หวังเป่าเล่อก็รู้ไต๋นางมานานแล้ว ทุกอย่างก็เป็นแค่การแสดง ถึงจะทำเป็นว่ารู้ไปหมด แต่จริงๆ แล้วนางรู้เพียงแค่ผิวเผิน

แม่นางน้อยงุนงงไปเมื่อได้ฟังคำอธิบาย นางกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ชายหนุ่มก็ขัดขึ้นก่อน

“ข้าว่าดาวเคราะห์ดวงนี้ยังมีศิลาอัคคีชั้นสูงสุดกระจายอยู่ทั่ว เสียดายที่ไปตามเก็บทั้งหมดไม่ได้ แต่เก็บมาได้เท่านี้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว” หวังเป่าเล่อถอนใจขณะเก็บศิลาอัคคีชั้นสูงสุดใส่กระเป๋าคลังเวท เขาตรวจดูรอบๆ ก่อนจะเก็บเอาศิลาอัคคีชั้นสูงสุดก้อนสุดท้ายในบริเวณนั้นขึ้นมา แม้ใจจะนึกเสียดาย แต่ก็เข้าใจสถานการณ์ดี

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น กำลังจะบอกให้แม่นางน้อยเริ่มทำการเคลื่อนย้าย ทันใดนั้น เสียงของนางก็ดังขึ้นในหัว น้ำเสียงของนางดูแปลกไป

“เจ้าแน่ใจนะว่าหินโง่ๆ นี่เป็นของล้ำค่าจริง”

“แน่นอน มัน…” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วพร้อมกับเอ่ยตอบ ยังไม่ทันจะพูดจบ แม่นางน้อยก็กระแอมไอขึ้นขัด

“มองไปด้านขวา ถัดไปสามร้อยเมตรมีอยู่อีกก้อน”

ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อ รีบหันไปมอง ตรงนั้นมีศิลาอัคคีชั้นสูงสุดอยู่จริงๆ เขาอึ้งไป ตอนแรกที่ตรวจดูรอบๆ คิดว่าไม่เหลือแล้วแท้ๆ หวังเป่าเล่อคลานตรงไป ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาเบิกกว้างจนแทบจะหลุดออกจากเบ้าขณะจ้องตรงไปยังบริเวณที่แม่นางน้อยบอก

ตอนแรก…ตรงนั้นมีศิลาอัคคีชั้นสูงสุดเพียงแค่ก้อนเดียว แต่พริบตาเดียว ก้อนที่สอง สาม และสี่…ก็พลันปรากฏขึ้น ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ในชั่วไม่กี่ลมหายใจ ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดก็มุดดินโผล่มากองรวมกัน ครู่เดียว…ตรงหน้าก็กลายเป็นภูเขาศิลาขนาดย่อม!

ภูเขาตรงหน้ามีศิลามากองรวมอยู่หลายพันก้อน ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดยังผุดขึ้นมาไม่หยุด…พลันปรากฏเป็นภูเขาศิลากองที่สอง ตามมาด้วยกองที่สาม และสี่…ศิลามากมายยังไหลหลากมากองรวมกันไม่หยุดหย่อน

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง หวังเป่าเล่อก็นอนแผ่หลา ราวกับตนถูกสายฟ้าฟาดผ่าใส่ เขางุนงงจนแทบลืมหายใจ หันมองภูเขาศิลาขนาดย่อมแปดกองรอบตัวด้วยความตื่นตะลึง!

“นี่…นี่มัน…” ชายหนุ่มพูดตะกุกตะกัก ในหัวอื้ออึงไปหมดจากความกังขาที่ถาโถมอยู่ภายใน ขนลุกชัน เหงื่อแตกพลั่ก เย็นวาบไปถึงหนังศีรษะ

แม่นางน้อยเองก็พูดอะไรไม่ออก ยิ่งมองสิ่งรอบกายก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่น หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ นางก็สูดหายใจลึก พร้อมกับกระซิบถาม

“เป่าเล่อ ที่นี่…คือบ้านเจ้าหรือ พอเจ้าพูดถึงศิลาอัคคีชั้นสูงสุด ก้อนหินงี่เง่าพวกนี้ก็มากองรวมกันอยู่ตรงหน้า…ดูแล้วน่าจะมาจากสายแร่ แต่ละก้อนก็ตัดมาอย่างดี…ขนาดเท่าๆ กันทุกก้อนเลย”

หวังเป่าเล่อหันมองรอบตัวด้วยความตะลึงงัน คำพูดของแม่นางน้อยทำให้เขาสับสน หรือเขาจะไม่ได้เป็นเพียงบุตรแห่งโลก ดาวอังคาร และสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ยังเป็นบุตรแห่งป่ามี่หลัวด้วย

ชายหนุ่มส่ายหัวปฏิเสธความคิดในหัว แม่นางน้อยพาเขาคิดไปไกล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่างประหลาดและน่าขนลุก หวังเป่าเล่อพลันนึกถึงตอนที่ภารกิจเปลี่ยนไปมาเมื่อตอนอยู่ในวังลำดับหก

มีใครบางคนอยากให้เขามาที่นี่! ดวงตาของชายหนุ่มส่องแสงวาบ เริ่มหายใจถี่รัว เขาพยายามเก็บเอาศิลาอัคคีชั้นสูงสุดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอจับศิลายัดใส่กำไลคลังเวทจนล้น หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจลึก ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “ข้าอยากได้แก่นในอสูรเขี้ยวดารา!”

แม่นางน้อยตกใจสุดขีดเมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อตะโกนขึ้น ทันใดนั้น ชายหนุ่มผู้เมามายบนยอดภูเขาไฟห่างไกลออกไปก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

“ศิษย์น้องน้อย เจ้าไม่อายเลยนะเวลาเอ่ยปากขออะไรจากศิษย์พี่ เอาเลย อยากได้อะไรข้าจะหาให้!”

พูดจบ เขาก็ชี้มือขวาไปทางถ้ำที่พักเผ่าอสูรเขี้ยวดารา ภายในถ้ำที่พัก ขณะที่เหล่าอสูรส่งเสียงกู่ก้อง อสูรเขี้ยวดาราขนาดยักษ์ที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะสองตัวก็สั่นเทิ้ม มันก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนจะพุ่งหายวับไป

อสูรตนอื่นๆ ไม่ทันสังเกตเห็นการหายตัวไปของทั้งสอง เหมือนว่ามีพลังบางอย่างกำลังป้องกันไม่ให้เหล่าอสูรรวมถึงราชันอสูรตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น ด้านอสูรเขี้ยวดาราสองตัวนั้น แม้ว่ามันจะมาจากคนละทาง แต่พวกมันทั้งคู่ต่างมุ่งไปทางเดียวกัน

จุดหมายปลายทางของมันอยู่ห่างออกไปสามพันเมตร เป็น…จุดที่หวังเป่าเล่ออยู่!

อสูรทั้งสองบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้วจึงเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วมาก ทันใดที่หวังเป่าเล่อเอ่ยปากขอ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังรัศมีแกร่งกล้ากำลังพุ่งเข้ามาจากสองทิศ หัวใจของชายหนุ่มเต้นถี่รัว ร่างทรุดลงพื้นในทันใด จากนั้น…อสูรเขี้ยวดาราขนาดใหญ่ยักษ์สองตัวก็ปรากฏขึ้นจากด้านซ้ายและด้านขวา

พวกมันมีหน้าตาน่ากลัวและร่างกายเน่าเปื่อย คมมีดที่ปกคลุมอยู่ทั่วร่างส่งให้อสูรร้ายดูน่าเกรงกลัว ดวงตาของพวกมันแดงก่ำเหมือนว่ากำลังคลุ้มคลั่งขณะพุ่งตรงเขามายังจุดที่เขาอยู่!

“มาจริงๆ ด้วย…” หวังเป่าเล่อสั่นกลัว พลังรัศมีของอสูรทั้งสองแกร่งกล้าเกินไป เขาเรียกหาแม่นางน้อยเสียงตื่น ขอร้องให้นางพาเขาออกไปจากที่แห่งนี้โดยไว

“หวังเป่าเล่อ เจ้าตัวซวย! ข้าร่ายคาถาเคลื่อนย้ายไม่ได้ จะให้ข้าทำเช่นไรอีก” แม่นางน้อยตะคอกกลับ แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความอาลัย รู้ดีว่าไม่มีทางใดเลยที่จะหนีอสูรทั้งสองไปได้ เขากำลังจะเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็พลันบังเกิด!

อสูรเขี้ยวดาราทั้งสองพุ่งตรงมายังจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่ แต่กลับไม่เหลือบมองชายหนุ่มแม้แต่น้อย พวกมันจ้องตากันเขม็ง ก่อนจะพุ่งเข้าไปประสานงากันเอง!

เหมือนว่าทั้งคู่อยากให้ศึกครั้งนี้น่าสนใจขึ้นไปอีกจึงสกัดพลังปราณของตนเองเอาไว้ พลังปราณของพวกมันถูกผนึกไปแปลงให้ทั้งสองกลายเป็นอสูรธรรมดาทันทีที่เข้าประสานงา พวกมันพุ่งตรงไปปะทะกันอย่างจัง!

เกิดเสียงกัมปนาทดังขึ้น รอบพื้นที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เนื่องจากอสูรเขี้ยวดาราทั้งสองได้ผนึกพลังปราณไว้ พวกมันกระอักเลือดสดออกมากองใหญ่ ใบหน้าอาบไปด้วยโลหิต ก่อนจะล้มลงพื้นเพราะอาการบาดเจ็บที่ได้รับจากการเข้าปะทะ ร่างกลมของสองอสูรกลิ้งไปหยุดอยู่หน้าหวังเป่าเล่อที่กำลังตัวแข็งทื่อจากความกลัว

ชายหนุ่มสับสนไปหมด แม่นางน้อยเองก็ตะลึงงันไปเช่นกัน ก่อนเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวหนักกว่าเดิมจะบังเกิดขึ้น…สองอสูรเขี้ยวดาราที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงต่างควักเอาแก่นในของตนเองออกมาต่อหน้าต่อตา จากนั้นก็วางทิ้งไว้เบื้องหน้าชายหนุ่ม ร่างของพวกมันบิดเบี้ยว ก่อนจะสิ้นลมหายใจไป!

แม้จะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ แต่พลังที่แผ่พุ่งออกมาก็ยังน่าครั่นคร้ามไม่แปรเปลี่ยน ชายหนุ่มหยุดหายใจไป เหตุการณ์ที่เพิ่งจบลงไปช่างแปลกประหลาดเหนือจินตนาการ

ที่น่าขนลุกไม่ใช่การประสานงาฆ่าตัวตายของอสูรทั้งสอง…แต่เป็นการที่มันพยายามเก็บเรี่ยวแรงเอาไว้หลังประสานงากัน ราวกับเป็นกังวลว่าเขาอาจจะไม่สามารถกรีดหนังพวกมันเปิดออกได้ สองอสูรจึงจ้วงเอาแก่นในของตนเองออกมาให้แทน หวังเป่าเล่อเหงื่อแตกพลั่กเมื่อได้พบกับการบริการสุดพิเศษเต็มรูปแบบนี้

บทที่ 607 ที่นี่ไม่มีอะไร…
ป่ามี่หลัวนั้นไม่ใช่ชื่อจริงๆ ที่เรียกขานกันเช่นนั้นเป็นเพราะมีระบบดาวที่มีลักษณะเฉพาะตัว หากมองลงมาจากไกลๆ จะเห็นระบบดาวแห่งนี้เป็นรูปต้นไม้ขนาดมหึมา

ดาวแต่ละดวงก็ไม่ได้เป็นทรงกลม ระบบดาวแห่งนี้ทำให้ดาวแต่ละดวงพัฒนาจนมีรูปทรงคล้ายต้นไม้เล็กใหญ่ต่างกันไป นอกจากรูปลักษณ์จะเหมือนแล้ว ยังมีทั้งกิ่งและใบ หากลองใช้สัมผัสวิญญาณในการตรวจดูอย่างคร่าวๆ อาจหลงคิดไปว่ามีป่าอยู่กลางห้วงอวกาศก็เป็นได้

นี่คือที่มาของชื่อป่ามี่หลัว

มีสองเหตุผลที่ทำให้ที่แห่งนี้มีชื่อเสียงในจักรพิภพเต๋าของตระกูลไม่รู้สิ้น เหตุผลแรกคือมีอสูรหลายพันเผ่าอาศัยอยู่ในป่ามี่หลัว เกือบทุกเผ่าพันธุ์มีราชันอสูรอันกล้าแกร่ง มีอยู่ห้าสายพันธุ์ที่เก่งกาจกว่าทุกสายพันธุ์ ซึ่งก็คือเหล่าอสูรบรรพชน!

ด้วยเหตุนี้ ป่ามี่หลัวจึงมีชื่อเสียงในจักรพิภพเต๋าของตระกูลไม่รู้สิ้น ไม่มีใครกล้าบุกรุกอารยธรรมนี้ ตระกูลไม่รู้สิ้นเองก็เช่นกัน เหตุผลที่สองคือ…ป่ามี่หลัวเป็นหนึ่งในไม่กี่จักรพิภพที่ตระกูลไม่รู้สิ้นให้อำนาจปกครองตนเอง!

หวังเป่าเล่อที่กำลังเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวถูกเคลื่อนย้ายด้วยแสงจ้ามายังดาวเคราะห์รูปร่างเหมือนต้นไม้ดวงหนึ่งในป่ามี่หลัวที่มีแหล่งอาศัยของอสูรเขี้ยวดาราอยู่

อสูรเขี้ยวดาราเป็นหนึ่งในสายพันธุ์อสูรเรือนหมื่นของป่ามี่หลัว เป็นสายพันธุ์ที่ไม่ได้เก่งกาจขนาดติดห้าร้อยอันดับอสูร ความสามารถในการขยายพันธุ์และพละกำลังก็จัดอยู่ในระดับธรรมดาทั่วไป แต่พวกมันสามารถปรับแต่งดาวเคราะห์ได้ เป็นเหมือนช่างฝีมือที่สามารถปรับสภาพแวดล้อมของดาวเคราะห์ให้เหมาะกับสายพันธุ์ของตนเองได้

แต่การจะทำเช่นนั้น มีดาวเคราะห์อย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้เลือดเนื้อและวิญญาณของผู้ฝึกตนจำนวนมาก ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไร เพราะหลายๆ อารยธรรมก็เป็นเพียงแค่อาหารของพวกมัน

ด้วยความสามารถเฉพาะตัวนี้ทำให้อสูรเขี้ยวดาราเป็นที่ยอมรับในป่ามี่หลัวและได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพันธมิตรเผ่าพันธุ์อสูร ความสามารถเฉพาะตัวดังกล่าวช่วยให้มันอยู่รอดในจักรพิภพนี้

พวกมันช่วยกันปรับสภาพดาวเคราะห์ของตนเองให้มีอุณหภูมิสูงจัด ทั่วพื้นที่มีเปลวเพลิงปะทุคุกรุ่นส่งให้ดาวแห่งนี้เป็นเหมือนกับต้นไม้ที่ถูกไฟคลอก

หวังเป่าเล่อมาปรากฏตัวที่พื้นที่โล่งแห่งหนึ่งบนต้นไม้ไฟคลอกนี้ เขากรีดร้องลั่นทันทีที่ลงแตะพื้น อุณหภูมิรอบกายสูงจัด ผมเผ้าและขนคิ้วลุกเป็นไฟในทันใด ชายหนุ่มรีบปล่อยพลังปราณ ด้วยร่างกายอันแข็งแกร่งและความรู้ความเข้าใจในคาถาเกี่ยวกับอัคคีทำให้สามารถทนความร้อนได้อย่างทุลักทุเล

เขารู้ดีว่าน่าจะทนไปไม่ได้นาน หากไม่รีบกลับ ต้องโดนย่างเกรียมแน่

“สวรรค์ ข้าไปขัดใจใครเข้ากัน ทำไมพวกเขาต้องเปลี่ยนภารกิจไปมาแล้วจบที่ส่งข้ามายังที่แห่งนี้ แม่นางน้อย แม่นางน้อย ข้าไม่ได้ไปทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจเลยนะ!” หวังเป่าเล่อร้องลั่นด้วยความโกรธ เขารีบออกตามหาพื้นที่ที่ไม่ร้อนแผดเผา

“เงียบน่า!” แม่นางน้อยลั่นขึ้นด้วยเสียงไม่พอใจ ราวกับว่านางเองก็กำลังจะคลุ้มคลั่งไป

“ไม่ใช่ข้า ข้าก็ไม่รู้ว่ามันเป็นใคร วิญญาณวุธในตำหนักวังบูชาอาจจะเป็นบ้าไปก็ได้ เจ้าคิดว่าข้าอยากมาที่แบบนี้หรือ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าหาทางจัดการได้ ที่จริงเราเคลื่อนย้ายกลับ…” แม่นางน้อยแค่นเสียงไม่พอใจ ก่อนนางจะทันได้พูดจบ พลังรัศมีแกร่งกล้าจากสิบสองตัวตนก็ปรากฏขึ้นเหนือดาวเคราะห์ ไกลออกไปในอวกาศ!

เป็นพลังอันมากล้นขนาดทำให้ดาวสักดวงสั่นไหว พลังเข้าปกคลุมผืนฟ้า สั่นคลอนดาวเคราะห์ เปลวเพลิงปะทุขึ้นจากพื้นเปลี่ยนพื้นที่เป็นทะเลเพลิง ขณะที่เปลวเพลิงปะทุขึ้นฟ้า แม่นางน้อยก็เงียบเสียงไป หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม พลังรัศมีที่สัมผัสได้กล้าแกร่งเทียบเท่ากับหัตถ์ยักษ์ให้สำนักวังเต๋าไพศาล จริงๆ แล้วแข็งแกร่งกว่าหน่อยด้วยซ้ำ!

นี่มัน…สวรรค์โปรด นรกแห่งนี้คือที่ใดกัน หวังเป่าเล่อกลั้นน้ำตาไว้แทบไม่อยู่ พอคิดว่ามีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์อยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ถึงสิบสองคนก็ขนหัวลุกขึ้นมา หนักไปกว่านั้นคือยังมีพลังรัศมีขั้นเชื่อมวิญญาณ ขั้นจิตวิญญาณอมตะ และระดับดาวพระเคราะห์อีกมากมายอยู่บนดาวแห่งนี้

มหาสมุทรเพลิงเบื้องล่างปะทุคุกรุ่น ชายหนุ่มเห็นเงาอสูรมากมายเริงระบำอยู่ระหว่างฟากฟ้าและผืนดิน ภาพเบื้องหน้าทำให้หวังเป่าเล่อสั่นกลัว หายใจไม่ออก กำลังจะเอ่ยเรียกแม่นางน้อยให้เคลื่อนย้ายตนกลับไป ทันใดนั้น ฟากฟ้าก็ปรากฏสายอัสนีฟาดผ่า

มหาสมุทรด้านใต้ปะทุเพลิงเดือด ทั่วทั้งดาวเคราะห์สั่นไหว เหล่าอสูรกรีดร้องคึกคะนองขณะเปลวเพลิงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้าไกลออกไป!

เปลวเพลิงขนาดใหญ่หลายหมื่นเมตรกำลังเคลื่อนตัวลงมายังดาวเคราะห์ราวกับอุกกาบาต แม้จะยังอยู่ห่างออกไปไกล แต่หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นอสูรขนาดมหึมาภายในเพลิงนั่น!

อสูรตนนั้นรูปร่างเหมือนก้อนเนื้อขนาดใหญ่ มีสี่ตา รอบกายปกคลุมไปด้วยหนามแหลมดังกระบี่ ปากกว้างของมันดูน่าพรั่นพรึง คลื่นพลังที่พวยพุ่งออกมาเหนือชั้นกว่าพลังรัศมีสิบสองตนที่สัมผัสได้ก่อนหน้า ราวกับว่านี่คือการกลับมาของราชัน

หวังเป่าเล่อมองได้เพียงแวบเดียว เสียงสั่นกลัวของแม่นางน้อยก็ดังขึ้นในหัว

“ราชันอสูร! ก้มลงเร็วเจ้าอ้วน! ข้าจะร่ายคาถา ตำหนักวังบูชาเฮงซวยนี่ส่งพวกเรามายังนรกแบบนี้ได้อย่างไร กลับไปข้าจะถล่มทั้งตำหนักให้ราบคาบ!” ชายหนุ่มตัวสั่นเทิ้ม รีบทิ้งร่างลงพื้น ไม่สนใจว่าผืนดินเบื้องล่างจะร้อนแรงแผดเผาสักเพียงใด เขารีบคลานไปหลบหลังหินใหญ่ เสียงสั่นเครือของแม่นางดังก้องอยู่ในหัว

“ที่นี่ไม่มีอะไร ที่นี่ไม่มีอะไรทั้งนั้น…”

แม่นางน้อยอาจจะมีกลยุทธ์อะไรบางอย่างหรืออาจจะเป็นเพราะโชคช่วยล้วนๆ ก็ไม่ทราบ แต่ราชันอสูรเขี้ยวดารานั้นไม่สังเกตเห็นหวังเป่าเล่อตอนที่ลงสู่ดาวเคราะห์ เหล่าอสูรเขี้ยวดาราส่งเสียงกู่ก้องขณะเปลวเพลิงปะทุขึ้นจากผืนดินไม่หยุด

ผ่านไปพักใหญ่ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนกำลังจะโดนย่างจนสุกแล้ว ปากแห้งแตก ดวงตากำลังจะมืดดับ เขาเอ่ยขึ้นอย่างน่าเวทนา

“แม่นางร้อย รีบเคลื่อนย้ายเราหนีไปที!”

“คิดว่าข้าไม่อยากทำเช่นนั้นหรือ ข้าลองมาหลายครั้งแล้ว! ที่แห่งนี้ต้องสาป ข้าทำการเคลื่อนย้ายไม่ได้!” แม่นางน้อยตะคอกกลับ ไม่สมกับภาพลักษณ์ของนางเลยแม้แต่น้อย

นางไม่มีพลังในการรักษาร่างไว้ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ หากปรากฏกายออกมาได้ คงจะเห็นนางกำลังทึ้งหัวด้วยความหงุดหงิดและเป็นกังวล

หวังเป่าเล่อเริ่มตื่นตระหนก เขาถอนใจ ขณะกำลังสิ้นหวังก็หันไปเห็นบางสิ่งข้างหินที่หลบอยู่ เปลวเพลิงที่แผดเผาผืนพสุธาได้ทิ้งผลึกแก้วส่องสว่างไว้เบื้องหลัง

ชายหนุ่มกะพริบตา จากนั้นก็คลานไปขุดสิ่งนั้นขึ้นมา หลังจากตรวจดูอย่างละเอียด ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง หายใจถี่รัว เกือบจะตะโกนขึ้นด้วยความตื่นตะลึง

หรือว่าจะเป็นแร่อัคคีชั้นสูงสุด คลื่นความรู้สึกถาโถมเข้าสู่ร่างหวังเป่าเล่อ บนโลกไม่มีบันทึกเกี่ยวกับวัสดุชิ้นนี้ เขารู้จักวัสดุนี้เป็นครั้งแรกในรายชื่อวัสดุจำเป็นสำหรับซ่อมเรือสำปั้นสีดำ จากนั้นก็พบในบันทึกที่เจอในสำนักวังเต๋าไพศาลอีกครั้ง แร่ที่ว่าเป็นวัสดุหลอมสุดล้ำค่าที่หายากมาก หากใช้หลอมอาวุธเวทธรรมดาก็จะเสริมพลังให้ได้มหาศาล

อีกทั้งยังเป็นวัสดุจำเป็นในการหลอมอาวุธเทพและเป็นวัสดุสำคัญในการซ่อมวัตถุแห่งความมืด!

หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจหลังจากตรวจสอบจนมั่นใจ ดวงตาของเขาเป็นประกาย เลิกสนใจเรื่องการเคลื่อนย้ายของแม่นางน้อย รีบหันมองรอบๆ ก่อนจะเห็นผลึกอัคคีชั้นสูงสุดอีกก้อน ชายหนุ่มทนความเจ็บปวด รีบคลานไปเก็บ ก่อนจะมองรอบบริเวณอีกครั้ง

ขณะที่ชายหนุ่มกำลังตามเก็บแร่อัคคีชั้นสูงสุด แม่นางน้อยก็พยายามร่ายคาถาเคลื่อนย้ายไม่หยุดหย่อน บนยอดเขาไกลออกไปในดาวเคราะห์ดวงเดียวกัน ชายหนุ่มผู้เมามายจากสำนักวังเต๋าไพศาลก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เขานอนจิบไวน์อยู่บนหินก้อนใหญ่พร้อมกับกระบี่ไม้ที่วางอยู่ข้างกาย ชายหนุ่มยกยิ้มขณะจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อ ภายในดวงตาแฝงไปด้วยความโหยหา

ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็หัวเราะขึ้น

“เจ้าชอบศิลาอัคคีชั้นสูงสุดขนาดนั้นเลยเชียว” เขาเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะยกมือขึ้นโบกใส่ผืนดิน พลันดวงดาวก็สั่นไหว สายแร่ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดพังทลายลง ก่อนจะโดนพลังที่มองไม่เห็นนำทางดำดินไปหาหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว!

บทที่ 606 อะแฮ่ม
ตอนนี้ หวังเป่าเล่ออยู่ในตำหนักวังบูชาที่ตั้งอยู่บนตัวกระบี่สำริดเขียวโบราณ กำลังหมกมุ่นอยู่กับการตรวจสอบฝักกระบี่ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็ตัดสินใจถามแม่นางน้อยเกี่ยวกับฝักกระบี่ที่เปลี่ยนแปลงไป

“อย่ามามองข้า ไม่มีใครในจักรวาลนี้รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับฝักกระบี่ของเจ้า คิดเสียว่าเป็นแค่การเปลี่ยนรูปแล้วลองหาวิธีจัดการเองแล้วกัน” แม่นางน้อยตอบกลับอย่างรวดเร็ว

หวังเป่าเล่อส่ายหัวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ชายหนุ่มตรวจสอบฝักกระบี่อยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไรเลย จึงยอมแพ้ไป รู้เพียงแค่ว่าครั้งนี้ตนได้สมบัติล้ำค่ามา ในใจรู้สึกฮึกเหิม

อาจเป็นเพราะระดับการฝึกตนของข้ายังไม่ถึงขั้น ไม่แน่พอบรรลุขั้นจุติวิญญาณ แค่ชักฝักกระบี่ออกมาฟันเพียงครั้งเดียว จะเทพหรือมารก็ต้องร้องคร่ำครวญขอความเมตตา! หวังเป่าเล่อนึกภาพตนฟันกระบี่ในหัว ก่อนจะลุกยืนด้วยความตื่นเต้น จ้องเขม็งไปทางวังลำดับหกเบื้องหน้า

เขาตั้งใจจะลองเสี่ยงดู แต่ประสบการณ์ในวังลำดับห้าทำให้คิดว่าวังลำดับหกน่าจะอันตรายขึ้นไปอีก มีโอกาสสูงมากที่จะทำภารกิจไม่สำเร็จ แค่เอาชีวิตรอดในนั้นได้นานพอก็เป็นเรื่องยากแล้ว

หากไม่ได้เข้าไปในวังลำดับสี่และห้า หวังเป่าเล่อคงจะล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปในวังลำดับหก เพราะมีโอกาสผ่านภารกิจน้อยมากถึงน้อยที่สุด แต่…เขาก็ได้สมบัติมามากมายจากวังลำดับสี่ ในวังลำดับห้าก็ได้หลอมฝักกระบี่ แถมยังขุดเจอวัสดุหายากอีกจำนวนหนึ่ง

แม้ว่าหลายๆ อย่างจะใช้ไปกับการหลอมฝักกระบี่ แต่ข้าวของที่ได้มาครั้งนี้ก็มีมูลค่าสูงมากทีเดียว หวังเป่าเล่อคิดไม่ตก เขาอยากจะรับภารกิจในวังลำดับหกและเข้าไปตามล่าหาสมบัติเพิ่ม แต่อีกใจก็กลัวว่าตนจะเอาชีวิตรอดกลับมาไม่ได้

ยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็กระแอมไอ ก่อนจะเริ่มพูดเอาอกเอาใจแม่นางน้อย ป้อนคำยกยอไปเสียยกใหญ่ จากนั้นก็ใช้โอกาสนี้ถามนางขึ้น

“แม่นางน้อย มีทางใดไหมที่ข้าจะเคลื่อนย้ายออกมาตอนไหนก็ได้แม้จะทำภารกิจในวังลำดับหกไม่เสร็จ เหมือนอย่างตอนที่แล้ว”

“เจ้าตั้งใจจะเข้าไปหาสมบัติใช่ไหม…” แม่นางน้อยถามเสียงเย็น น้ำเสียงของนางบ่งบอกชัดเจนว่านางรู้ทันชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่ออย่างผู้เชี่ยวชาญ

“ก็ได้ เห็นว่าเจ้าทำงานเต็มที่ ข้าจะช่วยแล้วกัน แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ” แม่นางน้อยว่าอย่างองอาจ ราวกับตนเป็นองค์หญิง

หวังเป่าเล่อกะพริบตา รู้ว่าแม่นางน้อยหมายความว่าอย่างไร นางน่าจะทำได้เพียงช่วยเคลื่อนย้ายออกมาตอนจบจึงพูดขึ้นเช่นนั้น

“แค่นั้นก็พอแล้ว!” ชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจ เริ่มกล่าวยกยอตามนิสัยจนอีกฝ่ายพึงพอใจ จากนั้นจึงสูดหายใจลึกและเดินตรงไปยังโถงใหญ่ของวังลำดับหก

เขาหยุดยืนขณะที่กำลังจะเข้าไปในวังลำดับหก หันหลังกลับมาพบกงเต๋าที่เพิ่งถูกเคลื่อนย้ายออกมาจากวังลำดับสาม!

หมายความว่ากงเต๋าผ่านการทดสอบเป็นศิษย์สำนักนอกจากวังลำดับสองแล้ว ต่อไปเป็นการทดสอบเพื่อขึ้นเป็นศิษย์สำนักในของวังลำดับสาม!

หากผ่านการทดสอบครั้งต่อไป เขาก็จะมีสถานะเทียบเท่ากับเจ้าเยี่ยเหมิง กงเต๋าเงยหน้าขึ้น เห็นหวังเป่าเล่อกำลังยืนยิ้มให้อยู่หน้าวังลำดับหก ชายหนุ่มยกมือขึ้นโบกตอบ ก่อนจะนั่งลงและเริ่มฟื้นฟูร่างกาย

หวังเป่าเล่อมองกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงที่กำลังฝึกวิชาอยู่ในวังลำดับสี่ จากนั้นก็หันกลับมามองวังลำดับหกเบื้องหน้า ดวงตาของเขาส่องประกาย ก่อนจะถอนหายใจออกมา

ไม่มีทางผ่านแน่ ไม่น่าจะมีใครในสำนักวังเต๋าไพศาลที่สามารถผ่านวังลำดับหกได้ตอนอยู่ขั้นกำเนิดแก่นใน ดูความยากที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สิ วังลำดับสี่ยากระดับขั้นจุติวิญญาณ ส่วนวังลำดับห้า แม้จะพิเศษหน่อย แต่ก็น่าจะยากประมาณขั้นเชื่อมวิญญาณ ถ้าอิงตามลำดับนี่แล้วละก็ วังลำดับหกต้องมีความยากอย่างน้อยขั้นจิตวิญญาณอมตะ อาจจะไปถึงระดับดาวพระเคราะห์เลยก็เป็นได้ ชายหนุ่มคิด รู้สึกเสียดายในใจ แม้จะได้ตำแหน่งศิษย์เอกมาครองแล้ว แต่เขาก็มีโอกาสฝากชื่อไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ถ้าสามารถผ่านวังสุดท้ายไปได้

ชายหนุ่มสนใจตำแหน่งศิษย์ระดับสูงมาก โดยเฉพาะตำแหน่งศิษย์แห่งเต๋าไพศาล

ช่างเถอะ ค่อยว่ากันว่าจะเป็นอย่างไร ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ลองดูสักหน่อยก็ไม่เสียหาย หวังเป่าเล่อหรี่ตาเล็ก หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็ก้าวเข้าไปในโถงกว้างของวังลำดับหก

รอบกายปกคลุมไปด้วยความมืด ราวกับได้เหยียบย่างเข้ามาในขุมนรก ชายหนุ่มคุ้นชินกับสภาพเช่นนี้แล้วจากวังลำดับสี่และห้า เขายืนรออย่างสงบใจในความมืดมิด รอให้เสียงเย็นเยียบไร้อารมณ์อธิบายรายละเอียดภารกิจ

ไม่ต้องรอนาน เสียงหนึ่งก็ดังก้องวังลำดับหกตามที่คาดไว้

“การทดสอบศิษย์อุปถัมภ์ประจำวังลำดับหกจะเริ่มต้นขึ้นในอีกชั่วหนึ่งร้อยลมหายใจ

“โปรดเตรียมตัวให้พร้อม ท่านจะได้ไปยังอารยธรรมของพันธมิตรตระกูลไม่รู้สิ้น…ดาวเคราะห์ดวงที่ห้าในวงโคจรลำดับเก้าซึ่งเป็นของตระกูลกกสนธยา ท่านต้องทำลายหอเพลิงโทสะและรอดกลับมาจึงจะถือเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจ โปรดระมัดระวังตัวเนื่องจากภารกิจนี้ยากมาก!”

“หากไม่มีการบอกปฏิเสธภายในช่วงหนึ่งร้อยลมหายใจจะถือว่าท่านได้ยอมรับภารกิจ โปรดคำนึงว่า…” เสียงเย็นชาอธิบายอย่างเรียบเฉยไปเรื่อยๆ แต่ครั้งนี้พออธิบายไปได้พักหนึ่งก็หยุดชะงักไป ไม่ยอมพูดต่อให้จบ!

หวังเป่าเล่อคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงกระแอมไอ แต่ก็ไม่แน่ใจเพราะได้ยินไม่ชัด อาจจะหลอนหูไปเองก็เป็นได้ แต่ขณะนี้ ทั้งวังลำดับหกและตำหนักวังบูชากำลังสั่นไหวอยู่โดยที่ชายหนุ่มไม่รู้ตัว

ราวกับว่ามีพลังจากลึกสุดของจักรวาลเข้าปะทะตำหนักวังบูชา ขณะที่ตำหนักกำลังสั่นไหว เสียงไร้อารมณ์ในวังลำดับหกก็หยุดชะงักไป ก่อนจะเริ่มพูดนอกบท

“การทดสอบศิษย์อุปถัมภ์ประจำวังลำดับหกจะเริ่มต้นขึ้นในอีกชั่วหนึ่งร้อยลมหายใจ

“โปรดเตรียมตัวให้พร้อม ท่านจะได้ไปยังดาวเคราะห์เต๋าขันธ์เพื่อตามหาสัญลักษณ์เห็นธรรม ท่านสามารถใช้คาถาเคลื่อนย้ายได้หลังจากได้สัญลักษณ์เห็นธรรมหนึ่งชิ้น! ไม่สามารถระบุความยากของภารกิจนี้ได้เนื่องจากเป็นภารกิจให้รางวัล โปรดฝึก…”

หวังเป่าเล่อนิ่งงันไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น ความยากของภารกิจทั้งสองนั้นแตกต่างกันมากโข เขาตะลึงงันไป ยังไม่ทันที่เสียงนั่นจะอธิบายภารกิจจนจบก็มีเสียงกระแอมไอดังขึ้นข้างหูเหมือนครั้งก่อน!

ชายหนุ่มเบิกตากว้าง ไม่แน่ใจว่าได้ยินจริงๆ หรือเปล่า เขาหันมองรอบๆ ก่อนจะพูดขึ้นหน้าตื่น

“ใครกัน!”

ไม่มีเสียงตอบกลับ เสียงอธิบายภารกิจวังลำดับหกดังขึ้นอีกครั้งหลังผ่านไปชั่วสิบสองลมหายใจ ครั้งนี้น้ำเสียงดูจริงจังกว่าเดิม ไม่ได้เย็นชาเหมือนเก่า…

“โปรดเตรียมตัวให้พร้อม ท่านจะได้ไปยังดาวเคราะห์พญาด้วงเพื่อไปแต่งงานกับ…”

“อะแฮ่ม!”

“โปรดเตรียมตัวให้พร้อม ท่านจะได้ไปยังดาวเคราะห์ผืนนภาโดยร่างของท่านจะแปรเปลี่ยนเป็นนักรบผืนนภา…”

“อะแฮ่ม!”

หวังเป่าเล่อยืนกลัวเสียงไอที่ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน เริ่มคิดอยากล้มเลิก เหตุการณ์ที่พบเจออยู่ช่างแปลกประหลาดเกินไป เสียงอธิบายอย่างจริงจังขึ้นเรื่อยๆ ภารกิจต่างๆ ทำให้ชายหนุ่มหัวใจเต้นถี่ การล่อลวงครั้งนี้ช่างเกินจะต้านไหว

แม้ว่าภารกิจจะน่ารับเพียงใด หวังเป่าเล่อก็สามารถจัดการกับความละโมบของตนเองได้ เขารีบตะโกนออกไปตอนที่เสียงไอดังขัดขึ้น

“ไม่เอาแล้ว! ข้าคิดผิด ข้าขอล้มเลิก!”

ปกติแล้วชายหนุ่มจะถูกเคลื่อนย้ายออกจากวังลำดับหกทันทีที่ขอล้มเลิกภารกิจ แต่…เสียงนั่นกลับไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย จริงๆ แล้วก็อยากก็เพิกเฉยไปเลยแต่ก็ทำไม่ได้

หวังเป่าเล่อตื่นกลัว พยายามเรียกหาแม่นางน้อยแต่นางก็ไม่ตอบกลับ เสียงประกาศภารกิจต่อเนื่องไปสิบกว่าภารกิจ ก่อนภารกิจหนึ่งจะดังขึ้นโดยไร้เสียงไอขัด!

“ท่านผู้เข้ารับการทดสอบผู้ยิ่งใหญ่ โปรดเตรียมตัวให้พร้อม ท่านจะได้ไปยังป่ามี่หลัวเพื่อสังหารลูกอสูรเขี้ยวดาราและนำแก่นในของมันกลับมา ท่านผู้เข้ารับการทดสอบโปรดระมัดระวังตัวเป็นอย่างสูงเพื่อไม่ให้คนสำคัญของท่านได้รับอันตราย ลูกอสูรเขี้ยวดาราที่เพิ่งเกิดใหม่นั้นมีระดับเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ ส่วนร่างโตเต็มวัยนั้นมีระดับเทียบเท่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นสมบูรณ์ ราชันของพวกมันสามารถล้มผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ เทียบชั้นถึงระดับดารานิรันดร์

“ด้วยระดับอันสูงส่งของท่าน แม้ว่าท่านจะสังหารอสูรไม่สำเร็จก็จะถือว่าผ่านการทดสอบ ท่านสามารถเลือกกลับมาตอนไหนก็ได้หลังจากเข้ารับการทดสอบแล้ว!”

น้ำเสียงไม่ได้แฝงความจริงจังอีกต่อไป แต่เป็นน้ำเสียงเหมือนกับพยายามเอาอกเอาใจใครอยู่ หวังเป่าเล่อไม่ได้สบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย เขากลัวจนผมตั้ง เหงื่อแตกพลั่ก ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่ภายใน ชายหนุ่มกำลังจะบอกปฏิเสธภารกิจ ทันใดนั้นวิสัยทัศน์รอบข้างก็พร่ามัว การเคลื่อนย้ายได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

หวังเป่าเล่อหายไปจากวังลำดับหกที่กำลังสั่นไหว…

บทที่ 605 ศิษย์น้องที่รักของข้า!
ฝักกระบี่กลายสภาพจากวัตถุเวทระดับหก ไปเป็นวัตถุเวทระดับแปดอย่างสมบูรณ์!

ส่วนหน้าตาของมันก็เปลี่ยนไปเช่นกัน บัดนี้ฝักกระบี่ของหวังเป่าเล่อดูเหมือนสร้างมาจากผลึกแก้ว ที่ภายในมีเส้นด้ายสีทองเลื้อยเกี่ยวไปมา!

นอกจากตัวเขาเองแล้ว ใครก็ตามที่ได้มาสัมผัส ก็จะรู้ได้ว่าพลังที่ฝักกระบี่ปล่อยออกมานั้น แซงหน้าวัตถุเวทระดับเจ็ดแบบธรรมดาไปไกล จนเรียกได้ว่าเทียบเท่าอาวุธเทพได้เลยทีเดียว!

มีเพียงหวังเป่าเล่อในฐานะเจ้าของผู้สร้างเท่านั้น ที่รู้ว่าวัตถุเวทชิ้นนี้ยังคงอยู่ในระดับเจ็ด และเป็นขั้นที่ยังไม่ได้รวมกับเสี้ยวดวงจิตของเทพเจ้าเสียด้วย

แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ลืม ด้วยดวงจิตที่สะสมมาจากดาวอังคาร เขาสามารถทำขั้นตอนนี้ให้สำเร็จได้ทันทีที่ออกจากตำหนักวังบูชา แต่เขาเองก็ต้องคิดให้ดีว่าจะเอาดวงวิญญาณแบบใดมาหลอมรวมกับฝักกระบี่ ดวงจิตที่เขาหมายมั่นปั้นมือไว้ว่าจะเอามารวมเมื่อก่อนหน้า บัดนี้ดูด้อยไปเสียแล้ว ด้วยกระบวนการหลอมฝักกระบี่ที่แสนพิสดารนี้

ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายวาบเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขายกมือขวาขึ้นคว้าอากาศ ฝักกระบี่บินว่อนมาเข้ามือพร้อมเสียงดังหวีดหวิว!

ชายหนุ่มตัวสั่นเมื่อได้กำกระบี่ไว้ในมือ ราวกับว่าวัตถุเวทที่อยู่ในมือของเขานี้ มีแสนยานุภาพมากพอทำลายโลกได้ทั้งใบ ความรู้สึกรุนแรงนี้ทำให้เขากลัวเป็นอย่างมาก หวังเป่าเล่อกำลังจะนำฝักกระบี่มาพิจารณาดูใกล้ๆ ในตอนนั้นเอง… พลังหนึ่งที่แม้จะอ่อนแอกว่าฝักกระบี่และเทียบไม่ได้กับแผ่นศิลา แต่ก็ยังแข็งแกร่งมากพอที่จะทำให้เขาตัวสั่น ฟาดฟันลงมาจากท้องฟ้า!

แม่นางน้อยรีบพูดออกมาทันทีที่สัมผัสได้ถึงพลังนั้น

“มันเจอตัวพวกเราแล้ว!” นางเอ่ยพร้อมก้าวมาข้างหน้า ทิ้งเงาของตนให้ทับลงบนแผ่นศิลา แผ่นศิลาหลอมละลายรวมเข้ากับร่างของแม่นางน้อย นางกระโจนเข้าใส่หวังเป่าเล่อ ร่างหายไปในอากาศธาตุ ก่อนที่เสียงจะดังขึ้นในมโนจิตของเขา

“รีบหนีเร็ว!”

หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก ทันทีที่พลังนั้นฟาดลงมาจากท้องฟ้า หัวสมองของชายหนุ่มก็อื้ออึงไปหมด เขากระอักเลือดออกมา รู้สึกราวกับว่าร่างกายของตนเองจะระเบิดออกเมื่อใดก็ได้

ไม่มีเวลาให้คิด เขารีบเก็บฝักกระบี่เข้าไปในตัว และพยายามหลบหนีออกจากถ้ำลับ ในตอนนั้นเองที่เสียงเยาะเย้ยเยือกเย็นดังจากบนสวรรค์ ภายนอกหุบเขา และกระจายไปทั่วบริเวณ พายุหมุนขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือประตูทางเข้าสำนักวังเต๋าไพศาลในฉับพลัน

มือยักษ์ที่สร้างมาจากสิ่งใดไม่ทราบได้ ที่ไม่ใช่เลือดและเนื้อ ขนาดใหญ่กว่าเทือกเขาทั้งหมดนั้น ยื่นออกมาจากพายุหมุนยักษ์ และคว้าเอาประตูทางเข้าหุบเขาเข้าให้!

ภูเขาแหลกเหลวเป็นผุยผงเหมือนเต้าหู้ทันทีที่มือยักษ์บดขยี้ มือนั้นไม่แตะต้องเครื่องเจาะ แต่พุ่งตรงมายังถ้ำลับแทน มือนั้นฉีกเอาเพดานของถ้ำลับออกภายในเสี้ยววินาที ก่อนปรากฏอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อท่ามกลางเศษหินดินทรายที่ปลิวว่อน ท้องฟ้ามืดมนบดบัง!

ชายหนุ่มที่เป็นเป้าหมายตัวสั่นไปถึงตับไตไส้พุง พลังปราณภายในกายหยุดนิ่งเหมือนโดนแช่แข็ง ราวกับร่างทั้งร่างเหือดแห้งสิ้นซาก วิ่งหนีไปก็ไม่ได้ จึงทำได้เพียงมองมือยักษ์ฟากฝ่ามือลงใส่ตนเองเท่านั้น!

ในตอนนั้นเอง ฝักกระบี่ที่หวังเป่าเล่อยังไม่มีเวลาได้ตรวจดู ระเบิดแสงจ้าสว่างเรืองรองออกมา แสงนั้นพุ่งออกจากร่างของหวังเป่าเล่อเข้าใส่มือยักษ์ที่บดบังท้องฟ้า แรงปะทะส่งให้เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องหูดับ

หวังเป่าเล่อกระอักเลือดออกมา จิตใจปลอดโปร่งในทันที แต่ก็ไม่มีเวลาให้ตกใจ ชายหนุ่มล่าถอยอย่างรวดเร็ว เสียงเยาะดังอีกครั้งจากท้องฟ้า มือยักษ์เพิ่มความเร็วขึ้น บดขยี้ผนังหินอย่างง่ายดาย ก่อนจะคว้าเอาครึ่งหนึ่งของยอดเขามาไว้ในมือในคราวเดียว มือยักษ์ถอนรากถอนโคนเทือกเขาออกมา หวังเป่าเล่อเสียศูนย์และถูกดึงขึ้นบนอากาศ พร้อมยอดเขาที่เขาอยู่เมื่อก่อนหน้า!

เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แม่นางน้อยก็โยนความระวังทั้งหมดทิ้งไป นางปรากฏตัวขึ้นหลังหวังเป่าเล่อ มือสร้างผนึกเป็นระวิงจนเห็นเป็นภาพเลือน คลื่นพลังจากการเคลื่อนย้ายระเบิดออกจากร่างนาง เข้าครอบตัวของหวังเป่าเล่อเอาไว้ การหลบหนีแบบนี้นำมาซึ่งความเสี่ยงอันใหญ่หลวง โอกาสที่พวกเขาจะโดนรั้งเอาไว้นั้นมีมาก ถือเป็นการพนันครั้งใหญ่เลยทีเดียว

แม่นางน้อยกัดฟันกรอด นางปล่อยวิญญาณปราณแสนล้ำค่าออกมา พุ่งเป้าไปที่มือยักษ์นั้น สำนักวังเต๋าไพศาลทั้งหมดสั่นสะเทือน ลำแสงพุ่งออกจากพื้นดินทุกทิศทางด้วยอำนาจของนาง!

แสงแห่งดวงดาวนี้คืออำนาจของกฎแห่งเต๋าไพศาล เมื่อลำแสงนี้มารวมตัวกัน ก็แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่เล่นยักษ์ที่สร้างมาจากแสงดาว กระบี่นี้พุ่งเข้าฟาดฟันมือยักษ์ด้วยความเร็วสูง ราวกับเจตจำนงของดวงดาวได้แปรเปลี่ยนมาเป็นอาวุธชิ้นนี้อย่างไรอย่างนั้น คมกระบี่จรัสดาวตัดมือยักษ์ออกจากพายุหมุนในฉับพลัน!

ภูเขาในมือยักษ์ร่วงลงกลางอากาศ เศษภูเขาก้อนใหญ่พุ่งเข้าปะทะพื้นดิน กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ หวังเป่าเล่อกระอักเลือกออกมาชุดใหญ่ ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว แต่ตอนนี้กลับสภาพแย่ยิ่งกว่า ยังดีที่พลังเคลื่อนย้ายเริ่มทำงานแล้ว เสียงกู่ร้องด้วยความโกรธดังออกมาจากท้องฟ้าเบื้องบน ท่ามกลางเสียงสะเทือนของกระบวนเวท แขนแข็งแรงสามข้างพุ่งออกมาจากพายุ ทุบลงบนพื้นด้วยความตั้งใจทำลายทุกสิ่งอย่าง ร่างของหวังเป่าเล่อกำลังจะถูกขยี้จนแหลก

หนึ่งในสิ่งสุดท้ายที่เขาได้ยิน คือเสียงระเบิดดังกึกก้องราวกับดวงดาวดับสลายลง เสียงที่ไม่ได้เป็นของชายผู้มีสามมืดดังขึ้น เขาไม่มีเวลาจับมาผู้มาใหม่นั้นพูดว่าอะไร ทุกสิ่งหยุดนิ่งอยู่กับที่ ในวินาทีต่อมา… ภาพก็กลับมาชัดเจนอีกครั้ง เขากลับมาที่ตำหนักวังบูชา บนกระบี่สำริดเขียวโบราณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

ชายหนุ่มไม่ได้อยู่ที่หน้าวังที่ห้า แต่เป็นหน้าโถงใหญ่ของวังที่หก ทันทีที่เขากลับมาได้ หวังเป่าเล่อก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ร่างของเขาโซเซ ก่อนสลบลงกับพื้น

เวลาผ่านไปนานก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมานั่งได้อีก ใบหน้าของชายหนุ่มซีดเผือด เขาหายใจพะงาบเอาอากาศเข้าปอด อวัยวะภายในถูกทำลาย ความเจ็บปวดนี้รุนแรงมหาศาลนัก แม้ว่าร่างกายของเขาจะกำลังเยียวยาเชื่อมทุกสิ่งเข้าด้วยกันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่ความเจ็บปวดก็ไม่ได้น้อยลงเลย มีแต่จะทำให้มากขึ้นเท่านั้น

แต่หวังเป่าเล่อเป็นคนโหดเหี้ยมนัก แม้จะบาดเจ็บปางตาย แต่เขาก็ยังบังคับตนเองให้นั่งขัดสมาธิ หยิบเอาโอสถออกมา และเริ่มกระบวนการรักษาตนเองได้ การรักษากินเวลาทั้งหมดสามวันด้วยกัน ความเจ็บปวดค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ ในวันที่สี่ หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น พร้อมถอนหายใจยาว

หลังจากที่มั่นใจว่าตนเองปลอดภัยแล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นที่ดาวเคราะห์เต๋าไพศาล ทุกสิ่งดูเกินจริงจนไม่อยากเชื่อจนเขาเองก็คิดว่าฝันไป แต่ก็เป็นเรื่องจริงแน่นอน หวังเป่าเล่อยังไม่หายจากอาการตกใจ ภาพของมือยักษ์วาบเข้ามาในความคิด…

“หมอนั่นมีปราณระดับใดกันหรือ” หลังจากที่เงียบอยู่สักพัก เขาก็ถามแม่นางน้อย

“เป็นความผิดของเจ้าทั้งหมดทีเดียวเชียว เจ้าไม่น่าดูดพลังจากคำสาปไปทั้งหมดแบบนั้น เพียงเพื่อจะหลอมฝักกระบี่… หากไม่เช่นนั้นเราคงไม่ถูกเปิดโปงเร็วเช่นนี้… แต่ช่างมันเถิด ข้าเองก็มีส่วนผิดเช่นกัน พวกเขาโชคร้ายด้วยที่ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ผ่านมาในวินาทีนั้นพอดี… หากศัตรูเป็นผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ เราคงไม่หมดสภาพเช่นนี้ ยังดีที่ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์คนนี้ไม่ได้ทรงพลังขนาดนั้น เคล็ดเวทของข้าทรงพลังมากจนเบี่ยงเบนความสนใของเขาได้ ทำให้เขาเลิกติดตามพวกเราหลังจากที่เคลื่อนย้ายกลับมา…” แม่นางน้อยถอนหายใจ นางพูดพึมพำไปตลอดด้วยความหดหู่ จนถึงครึ่งหลังที่นางเริ่มใจชื้นขึ้น

ระดับดารานิรันดร์หรือ… หวังเป่าเล่อไม่สนใจคำของนางที่เขาคิดว่าเชื่อถือไม่ได้ เขาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะนึกถึงฝักกระบี่ของตนเองขึ้นมาได้ ชายหนุ่มตบมือขวาลงบนหน้าอกด้วยความตื่นเต้น เพื่อหยิบเอาฝักกระบี่ออกมาดู ก่อนจะตัวแข็งทื่อเมื่อพบว่าทำไม่ได้

หวังเป่าเล่อเริ่มกระวนกระวาย แต่เขาก็ยังจับได้ถึงสายสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับกระบี่อยู่ จึงคลายความกังวลลงไปได้บ้าง ชายหนุ่มคิดออกในที่สุด เขารวมจิตสัมผัสวิญญาณของตนเข้ากับฝักกระบี่ในร่างเพื่อสำรวจดู ยุงในฝักกระบี่หายไปหมดแล้ว เหลือเพียงยุงสีดำและสีม่วงเท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีแสงสีทองหลายร้อยเส้นอยู่ในฝักกระบี่ จำนวนเท่ากันกับลำแสงที่เขานำมาหลอมรวมเข้ากับวัตถุเวทนี้ ลำแสงเหล่านี้เต้นตุบๆ ทำให้เขาคิดบางสิ่งออก หวังเป่าเล่อสงสัยว่าลำแสงเหล่านี้จะกลายสภาพเป็นยุงสีทองหลายร้อยตัวหรือไม่…

ขณะที่กำลังตกอยู่ในห้วงคิดนั้น ณ ที่แห่งหนึ่งที่ไกลแสนไกลจากระบบสุริยะ ในจักรภพเต๋าไพศาล บนดาวเคราะห์เต๋าไพศาล ชายวัยกลางคนถูกตรึงเอาไว้กับพื้น เขาเสียแขนไปหนึ่งข้าง ส่วนแขนห้าข้างที่เหลือก็ถูกตอกเอาไว้กับพสุธาด้วยคมดาบใบไม้ห้าเล่ม ร่างของเขาสั่นเทิ้ม ดวงตาเจิดจ้าด้วยความหวาดกลัวและความเกลียดชัง ชายวัยกลางคนมองไปเบื้องหน้าของเขาที่มีศิลาก้อนใหญ่ตั้งอยู่ พร้อมด้วยชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนพิงศิลา กำลังดื่มน้ำจากผลน้ำเต้าในมือ ข้างกายของชายหนุ่มมีกระบี่ไม้สีเขียววางอยู่

ชายวัยกลางคนผู้นี้คือผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ผู้ทรงพลังจากตระกูลไม่รู้สิ้น ที่โจมตีหวังเป่าเล่อนั่นเอง!

เขาไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้เป็นใคร แต่ก็พอเดาได้ไม่ผิดไป คำตอบนี้ทำให้ความหวาดกลัวซัดโหมเหมือนคลื่นยักษ์ เขาอ้าปากพูดอย่างเร่งรีบ

“นายท่าน ข้าทำงานให้ท่านราชันสวรรค์ลำดับสอง…”

แต่ก่อนที่จะพูดจบ กระบี่ก็ทอแสงวาบพุ่งผ่านไป ศีรษะทั้งสามตกกระทบพื้น เปลวไฟเย็นสีดำลามจากรอยตัด ศีรษะทั้งสามลุกไหม้ในกองเพลิงเช่นเดียวกันกับร่างคอขาด ภายในพริบตา ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ก็ถูกทำลายทั้งร่างกายและวิญญาณ!

“กล้ามาทำร้ายศิษย์น้องของข้าหรือ ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะเป็นใคร อย่ามาลองดีกับข้า” ชายหนุ่มพูดพึมพำ เขายกน้ำเต้าขึ้นดื่มอีกอึก ก่อนเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าเบื้องบน ราวกับดวงตาทะลุผ่านจักรวาลจนมองเห็นระบบสุริยะได้ ริมฝีปากของชายหนุ่มคลี่ยิ้ม

ศิษย์น้องที่รักของข้า ในที่สุดข้าจะตามหาเจ้าจนเจอ

บทที่ 604 อาวุธเวทระดับเจ็ดที่แหกทุกกฎเกณฑ์ธรรมชาติ
หวังเป่าเล่ออดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้เมื่อได้ยินสิ่งที่แม่นางน้อยพูด กระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก เนื่องจากไม่ใช่เวลาที่จะมาเสาะหารายละเอียด ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงตัดสินใจได้ในทันที

ลองดูสักตั้งแล้วกัน! ประกายความมุ่งมั่นวาบขึ้นในแววตาของหวังเป่าเล่อ เขาตบฝ่ามือขวาลงบนอกอย่างไม่ลังเล ร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้านเป็นสัญญาณตอบรับ เขายกมือขวาขึ้นออกจากอก เผยให้เห็นฝักกระบี่สว่างเรืองรองที่ดึงออกมาจากภายใน

ฝักกระบี่สั่นไหวทันทีที่ปรากฏสู่โลกภายนอก ก่อนหน้านี้ ฝักกระบี่ของเขาต้านกระบวนเวทกำปั้นสี่อสูรของตู้กูหลินได้อย่างหนักแน่น ผลจากการปะทะนั้นทำให้ฝักกระบี่ได้รับผลกระทบ ราวกับรอยร้าวจะปรากฏขึ้นที่พื้นผิวได้ทุกเมื่อ หากโดยแรงมหาศาลจากลำแสงทำลายล้าง อาจแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ในทันที เสียงแตกหักดังก้องกลางอากาศ รอยร้าวเล็กๆ เริ่มปรากฏขึ้นที่ผิว!

ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าแม่นางน้อยทำได้อย่างไร แต่ในตอนนั้นเอง ภาพมายาที่ปิดบังตัวตนของหวังเป่าเล่อที่แม่นางน้อยสร้างจากกฎแห่งเต๋าไพศาล ระเบิดออกด้วยเสียงดังกึกก้อง คลื่นเสียงกระจายไปทั่วทุกทิศทาง พุ่งเข้าปะทะลำแสงมฤตยูนั้นอย่างรุนแรง แม่นางน้อยปรากฏตัวขึ้นพร้อมสร้างผนึกมือมากมาย ที่ทำให้กลุ่มลำแสงหยุดนิ่งในชั่วขณะนั้น

ราวกับทุกสิ่งนิ่งสนิทอยู่กลางอากาศ หวังเป่าเล่อถอยหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็ยังเห็นว่าแม่นางน้อยแทบจะต้านลำแสงเอาไว้ไม่ไหว ชายหนุ่มปรับลมหายใจตนเองให้คงที่ สร้างผนึกมือต่อเนื่องเพื่อเริ่มหลอมฝักกระบี่ในทันที!

เขาคิดเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะปรับปรุงฝักกระบี่ จากระดับหกให้เป็นระดับเจ็ดได้อย่างไร เนื่องจากลองนึกภาพในหัวซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายต่อหลายครั้ง นอกจากนี้ด้วยความที่เดินหน้าสะสมวัตถุดิบมาตลอด เขายังมีทรัพยากรเพียงพอต่อการหลอมอีกด้วย!

สิ่งเดียวที่ยังขาดไปคือความมั่นใจว่าจะทำให้สำเร็จลุล่วงได้นั่นเอง อีกสิ่งหนึ่งที่เขากังวลคือ หากทำพลาด ฝักกระบี่จะได้รับความเสียหาย วัตถุดิบในการหลอมฝักกระบี่นี้ทั้งหายากและมูลค่าสูง หากเขาทำไม่สำเร็จ ก็จะต้องเริ่มรวบรวมใหม่อีกครั้ง แม้จะไม่ได้ยากจนเป็นไปไม่ได้ แต่ก็คงลากเลือดอยู่พอตัว

ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงย้ำคิดย้ำทำอยู่กับการเพิ่มทักษะในการหลอมของตนเองให้มากขึ้นไปอีก ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าจะยังไม่ปรับปรุงฝักกระบี่ จนกว่าจะมั่นใจจริงๆ ว่าตนเองจะทำสำเร็จแน่นอน แต่โอกาสที่เข้ามาในตอนนี้นั้นเกิดขึ้นได้ยากเสียจนหากปล่อยทิ้งไปก็ไม่รู้ว่าชาตินี้จะหาได้อีกหรือไม่ และยังมีสิ่งสำคัญที่แม่นางน้อยพูดเมื่อก่อนหน้านั้นอีกด้วย…

ฝักกระบี่ของข้าจะดูดซับเอาเสี้ยวพลังจากดดาวเคราะห์นี้ เพื่อสร้างรากฐานในการพัฒนาไปเป็นวัตถุเวทชั้นยอด! ประกายความมุ่งมั่นโชติช่วงในแววตาหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มโบกมือเพื่อเรียกเอาวัตถุดิบจำนวนมากออกมา ก่อนจะสร้างผนึกมือเป็นชุดๆ เพื่อเริ่มต้นทำงาน ภายในเวลาไม่นาน วัตถุดิบเหล่านั้นก็เริ่มหลอมละลาย เอื้อให้หวังเป่าเล่อสกัดแก่นของมันออกมาได้

นอกจากนี้ยังมีเรื่องการหาหม้อหลอมมาเพื่อใช้ดำเนินการอีกด้วย หวังเป่าเล่อมีวิชากระบวนเวทเพลิงปะทุที่ทรงพลังพอในการหลอมวัตถุเวททั่วไป แต่ในกรณีนี้… ชายหนุ่มตาเป็นประกายก่อนเอ่ยขึ้นในฉับพลัน

“แม่นางน้อย เจ้าปล่อยลำแสงมาให้ข้าเส้นหนึ่งได้หรือไม่”

แม่นางน้อยหันขวับไปหาหวังเป่าเล่อ ดวงตาจ้องเขาเขม็ง นางจะเอ่ยบางสิ่ง แต่เมื่อเห็นความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในแววตาของชายตรงหน้า จึงล้มเลิกความพยายามพูดให้เขาเลิกคิด แต่กลับสร้างผนึกมือควบคุมกฎแห่งเต๋าไพศาล เพื่อปล่อยลำแสงออกมาเส้นหนึ่งแทน ลำแสงนั้นพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อด้วยความเร็วที่น้อยลงกว่าปกติมาก เนื่องจากถูกกฎแห่งเต๋าไพศาลชะลอไว้

ความช้านี้คือโอกาสงาม เมื่อลำแสงเข้ามาใกล้ หวังเป่าเล่อก็โยนวัตถุดิบใส่ เพื่อใช้ลำแสงตัดให้ขาดเป็นรูปร่างและขนาดที่ต้องการ!

ช่างเป็นกระบวนการที่ทั้งยากลำบากและอันตราย เขาทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจในการหลอม โดยไม่กล้าวอกแวกแม้แต่วินาทีเดียว เขาไม่สนใจอันตรายรอบตัว ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตนเองอยู่ที่ใด!

สิ่งเดียวที่เขาสนใจตอนนี้คือการหลอมฝักกระบี่ ราวกับเป็นสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ หวังเป่าเล่อไม่ยอมให้ตนเองพลาดเด็ดขาด ใจจดจ่ออยู่ทุกเสี้ยววินาที แม้แม่นางน้อยจะเคยบอกว่าถึงอย่างไรก็สำเร็จก็ตามที สมาธิที่เที่ยงตรงของหวังเป่าเล่อพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดในวินาทีนั้น!

เสียงกึกก้องยังคงดังอย่างไม่ขาดสายในห้องลับ วัตถุดิบจำนวนมากถูกตัดและหลอมละลาย ก่อนที่แม่นางน้อยจะดึงลำแสงกลับไป หวังเป่าเล่อสร้างผนึกมืออย่างต่อเนื่อง เพื่อหลอมวัตถุดิบเหล่านั้นรวมเข้ากับฝักกระบี่ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ครึ่งชั่วโมงต่อมาชายหนุ่มก็รวมวัตถุดิบเหล่านั้นเข้ากับฝักกระบี่ได้สำเร็จ เขาเงยหน้าขึ้นทันทีด้วยประกายแรงกล้าในแววตา

เขารู้แล้วว่าขั้นตอนการหลอมที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น!

หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึก หยิบเอาทรายอาวุธมาจากในกำไลคลังเวท และโยนเข้าไปในฝักกระบี่โดยไม่ลังเล ชายหนุ่มสร้างผนึกพร้อมโบกมือเพื่อปล่อยกระบวนเวทเพลิงปะทุ เพลิงร้อนเข้าโอบล้อมฝักกระบี่ ส่งให้มันปล่อยไอพลังรุนแรงสุดขีดออกมาในทันที!

ฝักกระบี่กำลังค่อยๆ คืบคลานจากวัตถุเวทระดับหกไประดับเจ็ด พลังที่ผล่อยออกมานั้นทวีความรุนแรงขึ้นทุกๆ ทีจนเริ่มน่ากลัว กระนั้น… ก็ยังห่างจากการเป็นวัตถุเวทระดับเจ็ดอยู่หนึ่งก้าว

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเขาพลาดอะไรไป จึงเริ่มกระวนกระวายทันที จากการคำนวณของเขา กระบวนการปรับปรุงฝักกระบี่ให้เป็นวัตถุเวทระดับเจ็ดควรจบสิ้นตรงนี้ สิ่งที่เหลืออยู่เป็นแค่การรวมจิตวิญญาณของเทพเจ้าเข้ากับฝักกระบี่เท่านั้น เพื่อทำให้กลายเป็นวัตถุเวทระดับเจ็ดที่แท้จริง

ข้าทำอะไรผิดไปกันนะ… หวังเป่าเล่อมองฝักกระบี่ที่แตะจุดสูงสุดของวัตถุเวทระดับเจ็ด จนปรับปรุงต่อไปไม่ได้อีก และเห็นว่าวัตถุเวทระดับเจ็ดแบบครึ่งๆ กลางๆ ของเขาอันนี้ เริ่มส่งสัญญาณว่ากำลังจะแตก!

ความรู้เรื่องวัตถุเวทของหวังเป่าเล่อบอกเขาว่า หากเขาไม่แก้ไขตั้งแต่ตอนนี้ โอกาสที่ฝักกระบี่จะแตกสลายในอนาคตนั้นมีมาก ฝักกระบี่จะเริ่มกลืนกินตัวเองราวกับโดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา เมื่อวัตถุดิบในฝักเผาไหม้จนหมดสิ้น ฝักกระบี่จะสลายไปอย่างสมบูรณ์

รอยแตกนี้… เกิดขึ้นเพราะข้าหลอมวัตถุดิบเข้าไปไม่สมบูรณ์หรือ ชายหนุ่มตัวสั่นในสถานการณ์คับขัน แม่นางน้อยเริ่มสร้างผนึกมือ แผ่นศิลาลอยขึ้นในอากาศพุ่งเข้าหาฝักกระบี่ในทันที แผ่นศิลาลอยอยู่เหนือฝักกระบี่ก่อนเคลื่อนที่ลงด้านล่าง!

ฝักกระบี่สั่นสะเทือนโดยฉับพลัน พลังรายรอบกดสัญญาณการแตกของฝักกระบี่เอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เสียหายไปมากกว่านี้!

“รีบซ่อมเดี๋ยวนี้ ข้าไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น ฝักกระบี่ของเจ้าอันนี้… ไม่ใช่อันเดิมจากสูตรการหลอมที่ข้าจำได้อีกต่อไปแล้ว… ข้าทำได้เพียงช่วยเจ้าซ่อมให้มันไม่สลายไปเท่านั้น…” แม่นางน้อยพูดอย่างยากลำบาก หวังเป่าเล่อรีบสร้างผนึกมือและหยิบเอาวัตถุดิบจำนวนมากออกมาทันที ชายหนุ่มเริ่มคิดถึงปัญหาเรื่องการรวมวัตถุดิบเข้ากับฝักกระบี่ที่ไม่สมบูรณ์ เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกผิดในน้ำเสียงของแม่นางน้อย แต่ก็ยังไม่ยอมรับล้มเหลวตรงหน้าอยู่ดี

หากการหลอมล้มเหลวในครั้งนี้ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองจะไม่มีโอกาสได้ปรับปรุงฝักกระบี่ของตนเอง ให้กลายเป็นวัตถุเวทระดับเจ็ดได้อีกต่อแล้ว

หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าก็ต้องพยายามใช้โอกาสครั้งสุดท้ายนี้ให้ถึงที่สุด แม้ว่าจะล้มเหลวก็ตามที หรือเป็นเพราะข้าตัดวัตถุดิบไม่ดีกันนะ ใช้ไปเกือบหมดแล้วเสียด้วยสิ แต่… เหมือนตรงนั้นจะมีอะไรที่พอใช้ได้อยู่นะ ดวงตาของหวังเป่าเล่อเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ขณะมองลำแสงที่แม่นางน้อยดึงกลับไปเมื่อก่อนหน้า!

“แม่นางน้อย ปล่อยลำแสงออกมาอีกครั้งเร็ว!” ชายหนุ่มตะโกน ความตกใจวาบเข้ามาในใบหน้าของแม่นางน้อย นางรู้แล้วว่าหวังเป่าเล่อกำลังจะทำสิ่งใด

“เจ้าคิดว่ามันคุ้มที่จะทำหรือ” นางอดถามไม่ได้

“ถึงอย่างไรเราก็มาถึงจุดนี้กันแล้ว ต้องลองให้ครบหมดทุกทางก่อน จึงจะพูดได้ว่าทำไม่สำเร็จจริงๆ !” หวังเป่าเล่อขบกรามแน่น ประกายวาวโรจน์ในดวงตา แม่นางน้อยมองเขาด้วยสีหน้าอ่านยากอยู่นาน ก่อนล้มเลิกความคิดที่จะห้ามปรามและสร้างผนึกมือทันที ลำแสงที่นางดึงไปเมื่อก่อนหน้าได้รับอิสรภาพในที่สุด และกำลังพุ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ

ทันทีที่ลำแสงเคลื่อนเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มก็ทุ่มเทกำลังกายและใจทั้งหมดที่มีเข้าไปกับภารกิจนี้ เขาตะโกนก้อง สร้างผนึกมือมากมายเพื่อบังคับให้ฝักกระบี่พุ่งเข้าหาลำแสง ไม่ใช่เพื่อเข้าปะทะ แต่เพื่อให้… ฝักกระบี่กลืนกินและหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งกับลำแสง!

หวังเป่าเล่อตั้งใจจะรวมลำแสงคำสาปเข้ากับฝักกระบี่!

ลำแสงหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับฝักกระบี่ในทันที กระนั้นลำแสงคำสาปก็ยังมีพลังในการตัดทุกสิ่งที่ขวางหน้า จนดูเหมือนฝักกระบี่จะต้านทานพลังรุนแรงของมันเอาไว้ไม่ไหว ราวกับเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่กำลังพยายามกลืนดาบคมเข้าท้อง ดาบแหลมนั้นแทงทะลุท้องเขาได้ทุกเมื่อ แต่พลังของแผ่นศิลาที่ห่อหุ้มฝักกระบี่อยู่ก็รุนแรงมากเช่นกัน เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่ว ลำแสงเบ้ออกจากฝักกระบี่ในทันที โดยที่ไม่ทำให้เกิดอันตรายใดๆ ต่อวัตถุเวท!

ดวงตาของหวังเป่าเล่อเจือด้วยความคุ้มคลั่ง เมื่อเห็นผลลัพธ์ดังนั้นเขาก็รีบตะโกนออกมาทันที

“เอามาอีกอัน!”

แม่นางน้อยตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เช่นกัน นางรีบสร้างผนึกมือเพื่อส่งลำแสงเส้นที่สองไปหาหวังเป่าเล่อทันที ลำแสงพุ่งแหวกอากาศไป และถูกฝักกระบี่กลืนกินเข้าไปเช่นกัน ตามมาด้วยเส้นที่สาม สี่ และห้า…

ภายในเวลาสามสิบลมหายใจ หวังเป่าเล่อก็รวมเอาลำแสงเข้าไปในฝักกระบี่แล้วกว่าร้อยเส้น ฝักกระบี่ของเขาเต็มไปด้วยรูพรุนมากมาย หากไม่ใช่เพราะอำนาจของแผ่นศิลาที่ประคับประคองเอาไว้ ก็คงแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และกลายเป็นฝุ่นธุลีไปนานแล้ว

แต่ว่าในตอนนี้… ฝักกระบี่ยังคงรูปทรงอยู่ได้ ก็แปลว่ายังมีความหวังอยู่ เขายังคงเดินหน้าสร้างผนึกมืออย่างต่อเนื่องเพื่อหลอมและซ่อมแซมวัตถุเวท เมื่อใช้วัตถุดิบไปหมดสิ้นแล้ว ชายหนุ่มก็หยิบเอาชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวออกมา โยนเข้าไปในฝักกระบี่เพื่อหลอมรวม

ชายหนุ่มไม่ได้คิดถึงสูตรการหลอมฝักกระบี่อีกต่อไปแล้ว สิ่งเดียวที่เขานึกคือการซ่อม!

เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจทราบได้ จิตใจของแม่นางน้อยปั่นป่วนไปหมด ลำแสงทั้งหมดในห้องลับถูกฝักกระบี่กลืนกินไปต้นหมดสิ้น ส่วนหวังเป่าเล่อก็ใช้ชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวไปเกือบหมดเช่นกัน ฝักกระบี่ยังคงต้องการการซ่อมแซมโดยไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จสิ้นเร็วๆ นี้ ในตอนนั้นเอง ที่ตัวฝัก… ระเบิดพลังรุนแรงออกมา!

บทที่ 603 แผ่นศิลาอารยธรรมจารึก!
ภารกิจที่เรียกผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นนับร้อยมารวมตัวกันนี้ ใช้เวลาไม่นานก็ปิดฉากลง โดยกินระยะเวลาเพียงหกชั่วโมงเท่านั้น หวังเป่าเล่อไม่ทราบตัวเลขผู้เสียชีวิตจากฝั่งสำนักวังเต๋าไพศาล แต่จากที่เขาเห็นด้วยตาตนเองก็มากกว่าสี่สิบคนอย่างแน่นอน

ท้ายที่สุด ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณก็ผนึกกำลังกันกวาดล้างเมืองนั้นให้หายไปจากแผนที่โดยสิ้นเชิง โดยไม่ทิ้งไว้แม้แต่ซากให้ได้ดูต่างหน้า

ส่วนผู้ฝึกตนที่ถูกเรียกตัวมาระหว่างทางนั้น ได้รับอนุญาตให้กลับไปได้เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ต่างคนต่างเดินออกจากที่แห่งนั้นไปตามทางของตนเอง หวังเป่าเล่อก็มุ่งหน้าไปยังประตูหุบเขาสำนักวังเต๋าไพศาลในทันที

เมื่อได้ร่วมทำภารกิจและเห็นการต่อสู้ของตระกูลไม่รู้สิ้นด้วยตาตนเองแล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่มีปัญหาเรื่องการทำตัวให้กลมกลืนกับพวกนี้อีกต่อไป เขาไม่ได้พยายามกลบเกลื่อนร่องรอยตนเองขณะเดินทางอีกแล้ว แต่พุ่งทะยานไปในอากาศอย่างโจ่งแจ้งแทน

ระหว่างทางชายหนุ่มเจอเข้ากับผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่บ้างประปราย หวังเป่าเล่อไม่ได้รอให้พวกนั้นหันมามองเขาก่อน แต่กลับมองพวกเขาแทนด้วยสายตาประเมิน เมื่อทั้งสองฝ่ายสบตากัน ธรรมเนียมการพยักหน้าแลกเปลี่ยนก่อนแยกย้ายดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสังคมนี้

ตลอดทางชายหนุ่มไม่เจออันตรายใดๆ เขากลับมาที่ประตูทางเข้าหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลอีกครั้ง เมื่อมาถึง ชายหนุ่มก็ยืนมองวัตถุเวทรูปเครื่องเจาะ พลางฟังเสียงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ที่วัตถุเวทนี้ปล่อยออกมา เสียงของแม่นางน้อยดังก้องในหัว

“เจ้าไปเรียนภาษา… ตระกูลไม่รู้สิ้นมาจากที่ใดกัน!”

“ภาษาของสำนักแห่งความมืดอย่างไรเล่า เจ้าไม่รู้หรือแม่นางน้อย” หวังเป่าเล่อตอบอย่างสงบนิ่ง

คำตอบนี้ส่งให้แม่นางน้อยจมสู่ความเงียบ นางย้อนนึกไปถึงตอนที่หวังเป่าเล่อหายไปชั่วคราว เมื่อครั้งที่ชายหนุ่มเข้าไปอยู่ในวัตถุเวทแห่งความมืด นางพอเดาได้เกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างนั้น แต่ก็กลับมารู้สึกอับจนหนทางอีกครั้งเช่นกัน ไม่ว่านางจะเสนอให้เขาทำสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญจนแทบเป็นไปไม่ได้เพียงใด เขาเพียงแต่ต้องใช้เวลาสักพักก็จะทำสำเร็จเสมอไป

แม่นางน้อยเริ่มปวดหัวตุบเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหวังเป่าเล่อรู้ว่านางยกเมฆเรื่องสำนักแห่งความมืด แต่ตัวนางก็เชื่อว่าสิ่งที่ตนเองพูดจะยังคงถือว่าจริงอยู่เสมอ ตราบใดที่นางไม่เปิดเผยว่าตนเองโกหก ด้วยเหตุนี้แม่นางน้อยจึงพ่นลมเยาะเย้ยตามนิสัยเดิม

“ข้ารู้อยู่แล้ว ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าจะรู้หรือไม่!”

“เป็นเช่นนั้นหรือ เหตุใดจึงต้องทดสอบข้ากันเล่า เจ้าไม่ได้ตั้งใจจะให้ข้าเล่นบทวีรบุรุษช่วยผู้คนหรือใช่ไหม เจ้าก็รู้นี่แม่นางน้อย ว่าข้าไม่ใช่คนแบบนั้น” หวังเป่าเล่อยืดเส้นยืดสายอย่างขี้เกียจ ชายหนุ่มโยนความรู้สึกกระอักกระอ่วนเรื่องการสังหารหมู่ผู้รอดชีวิตจากสำนักวังเต๋าไพศาลทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว ความคิดของเขาง่ายมาก เขาไม่ใช่พ่อพระนักบุญใดๆ ชีวิตของเขาทำเพื่อสหพันธรัฐเท่านั้น และหน้าที่ของเขาก็คือในฐานะพลเมืองของสหพันธรัฐเท่านั้นเช่นกัน

สหพันธรัฐ และสำนักแห่งความมืด

แม้หวังเป่าเล่อจะสงสารประชากรบนดาวเคราะห์เต๋าไพศาลแต่ก็ทำได้เพียงเห็นใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงถามแม่นางน้อยออกมาเช่นนั้น เพื่อให้นางหยุดคิดว่าจะให้เขากอบกู้สำนักวังเต๋าไพศาลที่เคยรุ่งเรืองเสีย

“ความจริงแล้ว แม้สำนักแห่งความมืดจะล่มสลายลง แต่รากฐานของสำนักนั้นยังคงอยู่ มีผู้หนึ่งที่ทั้งลึกลับและทรงอำนาจจากสำนักแห่งความมืด ที่คอยสอดแนมอยู่ในตระกูลไม่รู้สิ้น นี่เป็นข้อมูลลับที่สำคัญมาก ศาสตร์แห่งความมืดที่ข้าได้ร่ำเรียนมาก็จากท่านผู้นี้เช่นกัน จะเรียกว่าข้าเป็นหนึ่งในศิษย์ของเขาก็ได้!” ฟันเฟืองในหัวของแม่นางน้อยทำงานอย่างหนัก จนทำให้นางสามารถปั้นน้ำเป็นตัวได้ภายในไม่กี่วินาที เมื่อโม้เสร็จเรียบร้อย นางก็อดไม่ได้ที่จะภูมิใจกับไหวพริบที่แสนคมกริบของตนเอง

“ข้าทดสอบเจ้าเพราะข้าอยากรู้ว่าเจ้าได้รับการยอมรับจากท่านอาจารย์ของข้าหรือไม่ หากมีเขาคอยช่วยเหลือ อนาคตของเจ้าคงจะสดใส ไม่มีอะไรที่เจ้าทำไม่ได้เป็นแน่!”

แม่นางน้อยยังคงภาคภูมิใจในความสามารถของตนเองจนพูดต่อได้เป็นฉากๆ หากมีใครเห็นภาพนางในตอนนี้ได้ จะเห็นว่านางกำลังชูกำปั้นไปในอากาศด้วยท่าทีสดใส ราวกับกำลังให้กำลังใจเพื่อนร่วมโลกให้สู้ชีวิตต่อไปอย่างไรอย่างนั้น

สีหน้าของหวังเป่าเล่อยากจะอธิบาย เขาไม่เชื่อสิ่งที่แม่นางน้อยพูดเมื่อก่อนหน้า แต่สิ่งที่นางพูดเมื่อครู่นี้ดูมีเหตุมีผลจนทำให้แม้แต่เขายังเริ่มสงสัยในตนเอง สุดท้ายแล้วชายหนุ่มก็ตัดสินใจจะไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่อยู่ดี

แต่ด้วยความที่ตนเองยังทำภารกิจอยู่ เขาจึงไม่ได้ประกาศออกมาโต้งๆ ว่าไม่เชื่อนาง ชายหนุ่มเพียงแต่พยักหน้าและเออออตามแม่นางน้อยเท่านั้น อันทำให้นางพอใจขึ้นอีกและบอกทางลับให้กับเขาในที่สุด

เมื่อแม่นางน้อยอารมณ์ดีเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่านางน่ารักเหลือเกิน เพราะว่าสตรีนางใดที่เอาใจง่ายก็น่ารักกันทุกคน

เมื่อรู้ว่าทางเข้าลับอยู่ตรงไหน ชายหนุ่มก็แหย่แม่นางน้อยต่อไปขณะพุ่งไปตามทาง ลึกเข้าไปยังประตูเข้าหุบเขาสำนักวังเต๋าไพศาล

ทางลับนี้ถูกซ่อนไว้อย่างดีมาก เต็มไปด้วยฝุ่นและดินทราย รวมถึงชิ้นส่วนที่ผุพังยุบเข้ามาข้างใน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหวังเป่าเล่อแต่อย่างใด เขามุ่งไปข้างหน้าอย่างมั่นคง สองชั่วโมงต่อมา ชายหนุ่มก็มาปรากฏกายอยู่ภายในประตูหุบเขาด้านในของสำนัก!

หุบเขานี้ถูกผ่าออกเป็นสองซีกด้วยกัน วัตถุเวทเครื่องเจาะยักษ์เดินหน้าสกัดพลังจักรพิภพของมันออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง จนทำให้ภายในหุบเขามีรอยแยกมากมาย ทำให้เขาเดินทางลำบากขึ้น

กระนั้นก็ใช่ว่าจะผ่านไปไม่ได้เลยทีเดียว เพียงแต่ต้องใช้เวลาหน่อยเท่านั้น หลายชั่วโมงต่อมา ชายหนุ่มก็บุกตะลุยลึกเข้าไปในหุบเขาตามการนำทางของแม่นางน้อย จนมาถึงหน้าห้องลับในที่สุด!

กำแพงที่รายล้อมถ้ำเต็มไปด้วยรอยแตกมากมาย นอกจากนี้ในอากาศยังมีกลิ่นอายของคำสาป แม้รอยแยกในกำแพงจะทำให้คำสาปอ่อนกำลังลง แต่ก็ยังทรงพลังมากพอที่จะทำให้วิญญาณของหวังเป่าเล่อแทบขาดเป็นชิ้น วิญญาณของชายหนุ่มสั่น จิตใจว่างเปล่ากลวงโบ๋ ร่างของเขาโซเซไปมาจนแทบสลบ

โชคดีที่ในตอนนั้นเอง ประกายจรัสดาวที่ห่อหุ้มร่างของชายหนุ่มไว้ก็ปล่อยพลังอันแสนอ่อนโยนออกมา เพื่อปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มรีบล่าถอยในทันที พร้อมด้วยใบหน้าซีดเผือดและร่างกายสั่นเทิ้ม แม้จะมีกฎจักรวาลไพศาลปกป้องอยู่ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกได้ถึงอันตรายร้ายแรงเบื้องหน้าตน

“แม่นางน้อย เจ้าตั้งใจจะฆ่าข้าหรืออย่างไร…” ชายหนุ่มสีหน้าบูดบึ้ง อันตรายที่ร่ายกายเขาสัมผัสได้นั้น เข้มข้นรุนแรงเสียยิ่งกว่าพลังของผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณเสียอีก ประสบการณ์ในนิมิตมืดทำให้เขาพอเดาได้ว่า คำสาปนี้สร้างโดยผู้ที่ทรงพลังเทียบเท่าท่านอาจารย์ของเขาในสำนักแห่งความมืด

นอกจากนี้ด้วยความที่คำสาปถูกทำลายจนไม่สมบูรณ์ จึงทำให้เขายังมีชีวิตรอดอยู่ได้แบบครบสามสิบสอง มิเช่นนั้นแล้วละก็ เขาคงไม่มีโอกาสได้มาเหยียบที่แห่งนี้เลยด้วยซ้ำ วิญญาณของเขาคงแหลกสลายไปเสียตั้งแต่ตอนที่อยู่ไกลออกไปแล้ว

“หน้าที่หลักของคำสาปคือการซ่อนที่แห่งนี้ไว้ให้เจ้าหาไม่เจอ… ไม่ต้องกังวลไป หากคำสาปนี้ยังคงอยู่แปลว่าตระกูลไม่รู้สิ้นยังหาที่แห่งนี้ไม่เจอ รีบเข้าไปเร็ว ศิลาอารยธรรมจารึกที่ข้าต้องการอยู่ข้างในนี้!” แม่นางน้อยกระแอมเพื่อซ่อนความรู้สึกอับอายเอาไว้ ก่อนจะรีบออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว

หวังเป่าเล่อลังเลอยู่นานก่อนตัดสินใจว่าจะบุกเข้าไปอย่างระมัดระวัง แม่นางน้อยพยายามอย่างเต็มที่ในการปกป้องหวังเป่าเล่อด้วยกฎจักรวาลไพศาล เพื่อต่อสู้กับคำสาปร้าย ชายหนุ่มค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้า จนมาถึงหน้าประตูหินทางเข้าห้องลับในที่สุด เขาผลักประตูให้เปิดออกอย่างช้าๆ สูดหายใจเข้าลึก กัดฟัน และเดินเข้าไปในห้อง

ทันทีที่เหยียบเข้าไปภายใน คำสาปก็ส่องแสงจ้าออกมาทันที ลำแสงหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ ลำแสงนั้นทรงพลังมากเสียจนเพียงเส้นเดียวก็ทำให้ชายหนุ่มเสียชีวิตลงได้ในทันที แต่ยังโชคดีที่มีกฎจักรวาลไพศาลปกป้อง เขาจึงยังอยู่รอดปลอดภัย

ลำแสงแต่ละเส้นมาพร้อมเสียงเสียดแหลมเหมือนคมดาบที่ฟาดฟัน ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบเมื่อได้ยิน เขาเห็นจุดที่ลำแสงทุกเส้นเชื่อมต่อกัน จุดนั้นลอยอยู่เหนือสิ่งหนึ่งที่มีขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือ… ศิลาจารึก!

ศิลาจารึกนั้นดูเหมือนไม่มีอยู่จริง เนื่องจากโปร่งแสงและเต็มไปด้วยอักขระมากมายที่ตัวเขาอ่านไม่ออก นอกจากนี้ยังเต้นตุบๆ เป็นจังหวะตามแสงอีกด้วย ศิลาอารยธรรมจารึกมีกลิ่นอายของความเก่าแก่ที่บอกไม่ถูก ส่งออกมาอย่างเด่นชัด

ทันทีที่สายตาของเขาสบลงบนศิลาจารึก ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับว่าศิลาแผ่นนี้ได้เห็นความตายมามากมายนับไม่ถ้วน เห็นดวงดาวที่ดับสลาย ดวงอาทิตย์ที่สูญสิ้น และความเหี่ยวเฉาทุกสิ่งอย่างในจักรวาลนี้ แต่ในขณะเดียวกัน… ก็เห็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง ชีวิตใหม่ ดาวใหม่ ดวงอาทิตย์ใหม่ และจักรวาลใหม่เช่นกัน!

ราวกับว่าจักรวาลทั้งหมดอาศัยอยู่ภายในศิลาแผ่นนี้ กระนั้นศิลานี้ก็ยังไม่สมบูรณ์อยู่กึ่งหนึ่ง…

“นี่มัน… อะไรกัน…” หวังเป่าเล่อพึมพำ หยุดหายใจไปชั่วขณะ

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ครั้งที่ข้ายังเป็นเด็ก บิดาข้าบอกว่านี่คือพลังแห่งเต๋าที่ผู้ฝึกตนชั้นสูงสุดจากจักรพิภพแห่งเต๋าอื่น จะเข้าใจได้เมื่อถึงขั้นที่หกของการฝึกตน” แม่นางน้อยพึมพำตอบ ส่วนหวังเป่าเล่อก็ตกใจไปเรียบร้อย เวลาผ่านไปนานก่อนที่เขาจะกลับมาได้สติอีกครั้ง เพราะได้ยินเสียงบาดลึกแหลมสูงของลำแสงที่ดังมาเข้าโสตประสาท

“แล้วเราจะหยิบมาได้อย่างไร รีบกันหน่อยเถิด ข้ารู้สึกว่าเสื้อผ้าตัวเองจะกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเร็วๆ นี้!”

“อย่าตื่นตกใจไป ข้าไม่ได้จะให้เจ้าเอาชีวิตมาทิ้งหรอกนะ เอาละ ข้าจะทำให้เจ้านำพลังรอบกายมาใช้ได้ ทั้งพลังจากคำสาปและพลังจากศิลาอารยธรรมจารึก พลังนี้จะทำให้เจ้าหลอมฝักกระบี่สำเร็จ นอกจากนี้ฝักกระบี่ของเจ้าจะยังดูดซับเอาเสี้ยวพลังจากดินแดนแห่งนี้เข้ามาด้วย เพื่อสร้างรากฐานให้ฝักกระบี่ของเจ้าพัฒนาเป็นวัตถุเวทชั้นสูงสุดต่อไป!”

บทที่ 602 ประกายจรัสดาว!
“นามของข้าคือหนานโจว ผู้ฝึกตนระดับสามจากกองกำลังที่สาม ใต้บัญชาของราชันสวรรค์ลำดับสอง ข้าขอสั่งให้เจ้าเข้าร่วมกองกำลังของเราเพื่อสนับสนุนการกำราบศัตรู จงขึ้นยานมาเดี๋ยวนี้และแจ้งชื่อของเจ้ากับข้า!” ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้นปล่อยรังสีทรงพลังออกมา ก่อนพุ่งตรงมาข้างหน้า และประกาศด้วยเสียงดังลั่นเหมือนสายฟ้าพิโรธ

แม่นางน้อยกระวนกระวายในทันที นางพูดอย่างรวดเร็ว “หมอนั่นสั่งให้เจ้าขึ้นยาน เขาต้องการให้เจ้า…”

หวังเป่าเล่อไม่ได้รอให้แม่นางน้อยพูดจบ ชายหนุ่มดึงสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ในใจทราบดีว่าสถานการณ์ที่ตนเองเผชิญหน้าอยู่นี้อันตรายเพียงใด แต่ก็ไม่มีประโยชน์ให้ต้องกังวลจนไม่เป็นอันทำอะไร เขากระโจนขึ้นไปในอากาศโดยฉับพลัน มุ่งหน้าไปยังยานที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าจนกระทั่งเท้าเหยียบลงบนยาน ชายหนุ่มยืนอยู่ท่ามกลางสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นๆ ดวงตากวาดมองพวกเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนสังเกตเห็นว่าชุดเกราะที่พวกนี้สวมใส่ต่างจากผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณผู้นั้น

เขาจำได้ว่ายานรบที่ตนเองเห็นก่อนหน้านี้มีผู้โดยสารอยู่เพียงคนเดียว จึงมั่นใจว่าผู้คนรอบกายก็เพิ่งถูกเกณฑ์มาใหม่เช่นกัน ผู้ฝึกตนสองคนที่มาใหม่และผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณ ดูไม่ได้มีความเคารพกันและกันมากนัก ฟันเฟืองในสมองของหวังเป่าเล่อหมุนอย่างบ้าคลั่ง เมื่อแม่นางน้อยพูดจบ ชายหนุ่มก็ก้มหัวลงแทนที่จะทำมือคารวะหรือโค้งคำนับ และพูดในภาษาของสำนักแห่งความมืด

“เป่าเล่อ!”

แม่นางน้อยเงียบทันทีที่ได้ยิน

ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณดูไม่ได้สนใจที่หวังเป่าเล่อไม่ได้เคารพแม้แต่น้อย และทำเพียงพยักหน้าตอบเช่นกัน ยานรบแล่นตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง สู้จุดหมายปลายทางที่ไกลแสนไกล ชายหนุ่มสมาชิกใหม่บนยานลอบถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก

เขาไม่แน่ใจว่าตระกูลไม่รู้สิ้นทักทายกันอย่างไร เนื่องจากมีมืออยู่ถึงหกมือ หลังจากที่เห็นการวางตัวเท่ากันของผู้ฝึกตนสองคนบนยาน และผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณแล้ว เขาก็ตัดสินใจไม่ทำความเคารพใดๆ โดยเลือกเพียงค้อมหัวลงเท่านั้น

และเขาก็ทำถูกแล้วเสียด้วย ตระกูลไม่รู้สิ้นสร้างมาจากการผนึกกำลังฉันท์พันธมิตร สมาชิกแต่ละคนมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างกัน ส่วนการเมืองภายในก็ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ด้วยเหตุนี้แม้ในวัฒนธรรมของการฝึกตน ผู้ที่อ่อนแอกว่าจะต้องคารวะผู้ที่แข็งแกร่งกว่า แต่หวังเป่าเล่อก็เอาตัวรอดไปได้โดยเพียงก้มหัวลงเท่านั้น

ยานรบเคลื่อนที่ออกห่างปากทางเข้าภูเขาสำนักวังเต๋าไพศาล ชายหนุ่มในคราบตระกูลไม่รู้สิ้นเงียบไปตลอดทาง หลังจากที่เดินทางผ่านสนามรบเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ซากปรักหักพังของเมืองใหญ่ก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาพวกเขา

ซากนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ตึกรามบ้านช่องมากมายดูอยู่ในสภาพดีพอตัว พวกเขาไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวที่เพิ่งมาถึง แต่มียานรบแบบเดียวกันหลายสิบลำ กำลังพุ่งตัดท้องฟ้ามายังเมืองนี้เช่นกัน

“ภารกิจของพวกเจ้าคือการสังหารผู้รอดชีวิตทุกคนให้สิ้น!” ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณประกาศอย่างไร้อารมณ์ ก่อนก้าวออกจากยานลงไปยังสมรภูมิเบื้องล่างด้วยก้าวเดียว หวังเป่าเล่อและผู้ฝึกตนคนอื่นๆ บนยานก็ทำเช่นเดียวกัน

สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่มาจากบริเวณอื่นของดาวเดินหน้าทำตามคำสั่ง หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นว่าระดับปราณของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันมาก ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ที่ระดับเชื่อมวิญญาณ ส่วนผู้ที่อ่อนแอที่สุดอยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นใน นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณอยู่บ้างอีกด้วย

ชายหนุ่มถึงพื้นอย่างเงียบเชียบขณะสังเกตผู้คนรอบตัวไปด้วย ในใจก็คิดว่าตนเองจะจากกองทัพย่อมๆ เหล่านี้ไปได้อย่างไร เพื่อมุ่งหน้าไปที่ประตูทางเข้าตรงหุบเขาตามแผนการเดิม

เขาพุ่งไปข้างหน้าตามกระแสของกำลังพลตระกูลไม่รู้สิ้นเพื่อกำจัดศัตรู เสียงระเบิดดังออกจากเมืองร้างอย่างไม่ขาดสาย พร้อมด้วยเสียงตะโกนของผู้คนที่เข้ารบพุ่งกัน รวมถึงการระเบิดตัวเองของนักรบมากมายโดยไม่หยุดยั้ง

เมืองร้างนี้เป็นหนึ่งในที่สุมกำลังพลของผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่รอดชีวิต พวกเขายังไม่ยอมศิโรราบต่อตระกูลไม่รู้สิ้น แม้สำนักหลักจะจากไปแล้วพร้อมความหวังของการมีชีวิตรอดก็ตามที ผู้ฝึกตนเหล่านี้เลือกที่จะปักหลักอยู่เบื้องหลัง ฝากชะตาเอาไว้กับดาวเคราะห์เต๋าไพศาลบ้านเกิดของตน

เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ฝึกตนเหล่านี้ก็ให้กำเนิดชีวิตใหม่ แม้อนาคตจะดูมืดมนไร้ซึ่งความหวัง มีแม้กระทั่งผู้ทรยศในหมู่พวกเขา แต่ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ก็ยังเลือกสู้เพื่ออิสรภาพจนลมหายใจสุดท้าย

เสียงระเบิดจากการต่อสู้ยังดังต่อเนื่องไม่หยุด หวังเป่าเล่อรุดไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ รอบกายเขามีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นสองคนด้วยกัน ต่างคนต่างอยู่ห่างกันราวสามร้อยเมตร คนหนึ่งมีปราณระดับกำเนิดแก่นใน อีกคนอยู่ที่ระดับจุติวิญญาณ

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังคิดหาทางหนีทั้งสองคนเพื่อจากเมืองร้างนี้ไปนั้น พลังปราณระดับจุติวิญญาณก็ระเบิดออกจากตำหนักเบื้องหน้าโดยฉับพลัน พลังนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จนทำให้ตำหนักยุบเข้าไปตามแรงดูด สตรีนางหนึ่งกระโจนออกจากตำหนักนั้น… พุ่งตรงมาที่ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้น!

สตรีผู้นั้นมีอายุราวสี่สิบปี พลังปราณของนางดูไม่มั่นคง แม้จะอยู่ที่ระดับจุติวิญญาณแต่นางก็ได้รับบาดเจ็บอยู่พอตัว สตรีผู้นี้พุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้นทันทีที่หลุดออกจากตำหนักมาได้

แรงปะทะนั้นสะท้อนออกมาในรูปของเสียงระเบิด สตรีผู้นั้นกระอักเลือดออกมา หน้าซีดเผือดเหมือนกระดาษขาว นางขยับตัวพุ่งไปอีกทางหนึ่งเพื่อหนี ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่ถูกโจมตีได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ดวงตาของเขาวาววับด้วยความอำมหิต ก่อนพุ่งตัวตามนางไปเพื่อไล่ล่า

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดต่อหน้าต่อตาหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา เพียงแต่ปรายตามองและหันไปสำรวจตำหนักที่ยุบเข้าไปอย่างเงียบๆ เขาตั้งใจไม่เดินไปทางตำหนักนั้นแต่เลี่ยงไปอีกทางหนึ่งแทน

แต่นอกจากหวังเป่าเล่อแล้ว ในที่แห่งนั้นยังมีผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในอีกคนอยู่ หลังจากคิดอยู่สักพักเขาก็พุ่งไปที่ตำหนักเบื้องหน้า ทันทีที่ไปถึง รังสีพลังอีกชุดก็ระเบิดออกจากตำหนักนั้น

เสียงระเบิดกึกก้องดังตามมา เศษซากหินปูนปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ ร่างหนึ่งพุ่งออกจากตำหนักพร้อมด้วยรังสีที่รุนแรงน้อยกว่าคนแรก โดยมีพลังอยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นใน เจ้าของรังสีนั้นกระโจนเข้าใส่ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเช่นกัน!

เขามีอายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น การที่พัฒนาปราณได้จนถึงระดับกำเนิดแก่นในด้วยอายุเพียงเท่านี้ถือว่าเก่งกาจหาตัวจับยากเป็นอย่างยิ่ง แม้ชายผู้นี้จะดูบาดเจ็บอย่างชัดเจน แต่ก็ยังต่อสู้ด้วยความโหดเหี้ยมเด็ดขาด แต่ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน หากต่อสู้กันต่อไปคงยากที่จะคาดเดาผลแพ้ชนะ

ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นหันมาตะโกนใส่หวังเป่าเล่อเพื่อขอความช่วยเหลือ ชายหนุ่มคู่ต่อสู้ก็เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยเช่นกัน ประกายวาบเข้ามาในดวงตา เขากำลังจะหันไปที่ตำหนักเบื้องหลังเพื่อมองดู แต่ก็ชะงักกลางคัน

เนื่องจากเขาไม่จำเป็นต้องมองหาอีกต่อไป หวังเป่าเล่อเห็นแล้วว่าสิ่งใดที่ชายหนุ่มพยายามปกป้อง เด็กน้อยกำลังนั่งยองๆ อยู่ใต้ซากปรักหักพัง นางกอดเข่าของตนเองเอาไว้ ตัวสั่นงันงก

เสื้อผ้าของเด็กน้อยขาดวิ่นเต็มไปด้วยฝุ่นสกปรกเหมือนยาจกเข็ญใจ นางมองชายหนุ่มที่กำลังต่อสู้เบื้องหน้าด้วยน้ำตาอาบสองแก้ม เมื่อหันมาเห็นหวังเป่าเล่อ เด็กน้อยก็ตัวสั่นด้วยความหวาดหลัว

หวังเป่าเล่อสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ ก่อนจะหันไปสำรวจบริเวณโดยรอบ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นอยู่ เขาก็เดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ชายหนุ่มเพิ่มความเร็วขึ้น ภายในพริบตาก็ไปถึงตัวผู้ฝึกตนสองคนที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่

ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันทีที่กำลังเสริมมาถึง ส่วนชายหนุ่มจากสำนักวังเต๋าไพศาลตะโกนก้องด้วยความสิ้นหวัง ขณะที่เขากำลังจะระเบิดตัวเองเพื่อทำลายคู่ต่อสู้นั้น หวังเป่าเล่อก็เพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้ง ร่างของเขากลายเป็นเพียงภาพติดตาที่พุ่งผ่านผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นไป!

เร็วจนไม่มีเวลาได้ตั้งท่ารับมือ ศีรษะทั้งสามของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นหลุดออกจากบ่า เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ร่างไร้ศีรษะนั้นตกลงบนพื้นอย่างอ่อนปวกเปียก

ภาพนี้ทำให้ชายหนุ่มตกใจเป็นอันมาก เขารีบถอยหนีไปทันที มองหวังเป่าเล่อเขม็งด้วยความงุนงงและระวังตัว

หวังเป่าเล่อไม่ได้หันกลับไปมองชายหนุ่มและเด็กน้อย แต่หันหลังกลับเพื่อจากไปทันที ในตอนนั้นเองที่แม่นางน้อยซึ่งคงความเงียบเอาไว้ตั้งแต่เขาพูดภาษาตระกูลไม่รู้สิ้น ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่านางทำได้อย่างไร แต่นางส่งแสงจากประกายจรัสดาวให้หลั่งไหลเข้าห้อมล้อมทั้งสองเอาไว้ ทั้งชายหนุ่มที่กำลังมีสีหน้างุนงงแกมระวังตัวและเด็กหญิงตัวน้อย ร่างของพวกเขากลายสภาพไปเป็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นต่อหน้าต่อตาหวังเป่าเล่อ!

“ช่วยข้าบอกพวกเขาที ว่าภาพมายานี้จะคงอยู่เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ให้พวกเขา… รีบหนีไปจากที่นี่เสีย”

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย การกระทำของแม่นางน้อยดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย หากตัวตนที่แท้จริงของทั้งสองถูกเปิดโปงโดยตระกูลไม่รู้สิ้น ตัวเขาเองนั่นแลที่จะต้องไปพัวพันกับเรื่องอันตรายร้ายแรงนี้

แม่นางน้อยเองก็รู้ว่าตนเองตัดสินใจบุ่มบ่ามไร้ความรอบคอบเพียงใด ชั่วอึดใจหนึ่ง นางก็ก้มศีรษะลงและพูดสิ่งที่นางไม่เคยพูดมาก่อนเป็นครั้งแรก

“ข้าขอโทษ”

หวังเป่าเล่อถอนหายใจ เขาหันไปมองศิษย์หนุ่มจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่เริ่มหายตกใจอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มพอใจกับการปรับตัวของชายตรงหน้า เขารีบพูดด้วยเสียงเบาในภาษาของสำนักวังเต๋าไพศาล

“ภาพมายานี้จะคงอยู่เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น รีบหนีไปเสีย!”

ชายตรงหน้าเขาตัวสั่นเมื่อได้ยิน เขามองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาที่ยากเกินเข้าใจ ก่อนจะกอดเด็กหญิงตัวน้อยที่ตัวสั่นเทาเอาไว้ ทั้งสองกำลังจะจากไป ในตอนนั้นเองที่เด็กหญิงที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนตระกูลไม่รู้สิ้น หันกลับมาหาหวังเป่าเล่อ ก่อนถามขึ้นมาโดนพลัน “ศิษย์พี่ ท่านมีนามว่าอะไรหรือ”

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามองเด็กน้อยที่บัดนี้มีสามศีรษะหกมือ ดวงตากระจ่างสว่างไสว ก่อนจะคิดถึงอนาคตของสหพันธรัฐและพูดตอบด้วยเสียงแผ่ว

“เป่าเล่อ!”

เมื่อตอบคำถามเสร็จ ชายหนุ่มก็หันหน้าจากไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่หันกลับมามอง

บทที่ 601 ราชันสวรรค์ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!
คำพูดของหวังเป่าเล่อทำให้แม่นางน้อยใจสั่น อันแสดงออกมาผ่านลมหายใจของนางที่เร็วขึ้นในจิตของเขา

ชายหนุ่มรู้สึกพอใจในผลงานของตนเองทันที เขาเป็นถึงชายผู้ที่มีรูปโฉมงดงามที่สุดในสหพันธรัฐ เพียงแค่ดีดนิ้วก็มีสตรีมากมายหลายหมื่นแสนคนยอมศิโรราบลงแทบเท้า แค่ทำให้แม่นางน้อยประทับใจนี้ง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก ตั้งใจว่าจะประกาศความรักอันแสนร้อนแรงมั่นคงที่มีต่อแม่นางน้อย ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจกว่าเดิม และมองหาช่องว่างโน้มน้าวนางให้ยอมออกจากที่แห่งนี้เสีย

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้ ไอ้อ้วน เลิกแสดงละครแล้วไปทำงานได้แล้ว เร็วเข้า!”

หวังเป่าเล่อกระพริบตาปริบ ตกใจที่กลเม็ดเด็ดของตนเองใช้ไม่ได้ผลเสียแล้ว แต่ความหน้าด้านหน้าทนของชายหนุ่ม ก็ทำให้เขารีบกระเด้งตัวขึ้น แทนที่จะหงอด้วยความอับอายที่โดนจับได้ เขาค้อมตัวลงเล็กน้อย กระโจนไปข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนจะนึกได้ว่าตอนนี้ตนเองมีร่างกายเหมือนผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น ชายหนุ่มจึงรีบยืดตัวขึ้นทันที และเดินอย่างองอาจไปตามทางที่แม่นางน้อยบอก หวังเป่าเล่อในคราบชายจากตระกูลไม่รู้สิ้น เดินเข้าหาจุดหมายอย่างแน่วแน่มั่นคง

ไม่นานนัก ยานรบสามลำก็บินผ่านศีรษะเขาไป ยานทุกลำหยุดอยู่เหนือหวังเป่าเล่อ ผู้โดยสารก้มลงมามองเข้าแวบหนึ่ง ก่อนจะจากไปโดยไม่สนใจเขาอีก

ชายหนุ่มได้แต่มองและคิดในใจว่าตนเองก็อยากได้ยานพาหนะกับเขาบ้างเหมือนกัน แต่ก็รู้ดีว่าโอกาสที่จะได้มานั้นน้อยนิดนัก เขาถอนใจอยู่ภายในก่อนจะเดินย่ำต๊อกต่อไป หวังเป่าเล่อเดินผ่านซากปรักหักพังมากมาย ก่อนจะชะงักกึกอยู่กับที่

“แม่นางน้อย หากเจ้าไม่ได้รีบอะไร ข้าขอเก็บนู่นเก็บนี่ไประหว่างทางได้หรือไม่”

ในตอนแรกแม่นางน้อยคิดว่าจะปฏิเสธคำขอของหวังเป่าเล่อ แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้นางต้องพึ่งเขาเพื่อทำภารกิจของตนให้สำเร็จ นางจึงไม่พูดอะไร อันถือเป็นคำตกลง

ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายเมื่อไม่ได้ยินคำปฏิเสธ เขามองไปรอบๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาซากผุพังนั้น ตรวจตราบริเวณโดยรอบอย่างถี่ถ้วนครั้งหนึ่ง ก่อนจะค้นพบสมบัติเวทที่หักพังสองสามชิ้น และเก็บเข้ากระเป๋าไป

ซากสมบัติเวทนั้นเสื่อมสภาพมากเสียจนยากที่จะบอกว่าเคยเป็นสิ่งใดมาก่อน แต่หวังเป่าเล่อเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธเวท อันแปลว่าเขาบอกได้ในทันทีว่าสิ่งที่เก็บมาได้เหล่านี้ ล้วนทำมาจากวัสดุมีค่าอันแสนยอดเยี่ยม ชายหนุ่มหมายมั่นที่จะแยกชิ้นส่วนสมบัติเวทเหล่านี้ออก เพื่อนำมาใช้ในภายหลัง

หวังเป่าเล่อเดินหน้าบุกซากเมืองเพื่อเก็บสิ่งของต่อไป ท่ามกลางความเงียบจากแม่นางน้อย หากคิดว่าตนเองสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เขาก็จะหยิบสิ่งของเหล่านั้นเข้ากระเป๋าโดยไม่ลังเล

ชายหนุ่มเจอเข้ากับผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่บ้างตามทาง แต่ภาพมายาจำแลงที่แม่นางน้อยเสกให้เขา โดยใช้กฎจักรวาลไพศาลนั้น ทำให้การเผชิญหน้าเหล่านั้นไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น นอกจากทำให้เจ้าตัวสะดุ้งตกใจอยู่ภายใน คลังสมบัติของเขาขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนบริเวณที่ชายหนุ่มเข้าไปรื้อค้น

ไม่ว่าจะเป็นซากสมบัติเวท ชิ้นส่วนที่ดูประหลาดน่าขัน ต้นไม้เหี่ยวเฉา หรือเมล็ดที่แห้งกรัง หวังเป่าเล่อเก็บมาหมดทุกสิ่งอย่างไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียวให้ดูต่างหน้า เขามุ่งหน้าเข้าใกล้เทือกเขาทางเข้าสำนักวังเต๋าไพศาลเข้าไปทุกที ตามการนำทางของแม่นางน้อย

ชายหนุ่มได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังลั่น สะเทือนสะท้านออกมาจากประตูทางเข้าหุบเขาที่อยู่ไกลออกไป เมื่อเข้าไปใกล้ ก็เห็นวัตถุเวทเครื่องเจาะยักษ์ที่กำลังทะลวงยอดเขานั้นอยู่ วัตถุเวทยักษ์ปล่อยพลังรุนแรงออกมาขณะดูดพลังงานจากใต้ดิน กระบวนการดูดซับชีวิตของระบบจักรพิภพนี้ ส่งเสียงเครื่องยนต์ให้สะท้อนก้องไปในอากาศอย่างไม่หยุดยั้ง

เมื่อเทียบกับเครื่องเจาะยักษ์ หวังเป่าเล่อเปรียบเสมือนมดตัวจ้อยไร้ค่า ความเล็กกระจ้อยของเขาทำให้ชายหนุ่มตื่นตาตื่นใจกับวัตถุเวทชิ้นนี้มากขึ้นไปอีก

“ไอ้วัตถุเวทยักษ์นี่มันคืออะไรกัน มันกำลังทำอะไรอยู่หรือ” หวังเป่าเล่อสะอึก ขณะพูดพึมพำอยู่ในหัว

“นี่คือปลิงดูดพลังจักรวาล เป็นวัตถุเวทของราชันสวรรค์คนที่สองแห่งตระกูลไม่รู้สิ้น ใช้เพื่อดึงเอาพลังจักรวาลออกจากจักรพิภพ ราชันสวรรค์คนที่สองจะนำพลังนั้นไปใช้ในการฝึกปราณให้กับตนเอง ราชันสวรรค์คนที่สองมีจักรพิภพใต้อาณัติอยู่เก้าอาณาจักร และตั้งใจว่าจะใช้พลังจากระบบดวงดาวเหล่านี้ ในการก้าวข้ามระดับราชันไปเป็นจักรพรรดิ… ตระกูลไม่รู้สิ้นมีราชันสวรรค์อยู่ทั้งหมดสามสิบเจ็ดคน และเหนือไปกว่านั้นก็มีจักรพรรดิสวรรค์อยู่ห้าคนด้วยกัน!” แม่นางน้อยพูดอย่างไร้อารมณ์ หลังจากที่เงียบอยู่สักพัก

ราชันสวรรค์สามสิบเจ็ดคน จักรพรรดิสวรรค์ห้าคนเช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขารู้ว่าตระกูลไม่รู้สิ้นมีจักรพรรดิผู้ปกครองมาตั้งแต่สมัยเข้าไปอยู่ในนิมิตมืด แต่ในตอนนั้นมีจักรพรรดิสวรรค์อยู่เก้าคน ไม่ใช่ห้า จักรพรรดิสวรรค์ที่ปรากฏกายที่สำนักแห่งความมืด คือจักรพรรดิตั่วมู่ ผู้มีราชันสวรรค์อยู่ใต้ปกครองหกคน ถือว่าเป็นหนึ่งในจักรพรรดิสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดจากทั้งหมด อาจเรียกได้ว่าอยู่ในสามอันดับแรกเลยก็ว่าได้!

ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าทั้งราชันสวรรค์และจักรพรรดิสวรรค์มีจำนวนลดน้อยลง แค่เพียงจักรพรรดิสวรรค์ก็หายไปถึงสี่คนแล้ว!

ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่น เขาพอเดาออกว่าเกิดสิ่งใดขึ้น คงจะมีการรบพุ่งกันในช่วงเวลาที่ผ่านมาแน่นอน ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าคำของแม่นางน้อยมีความรู้สึกบางสิ่งซ่อนอยู่ ความรู้สึกนั้นช่างแสนซับซ้อนและเดียวดาย แต่เขาก็อดถามต่อไปไม่ได้

“ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้แต่กลับเป็นแค่ลำดับสอง ขั้นปราณของราชันลำดับสองนี้คือขั้นใดกันหรือ ใช่ระดับดาราจักรหรือไม่ แล้วการจะอยู่ในระดับราชันได้นี้ต้องมีปราณขั้นใด ราชันสวรรค์คนแรกแข็งแกร่งเพียงใดกัน”

หากทั้งสองไม่ได้มายืนอยู่ที่แห่งนี้ แม่นางน้อยอาจเลือกไม่ตอบคำถามเขา แต่เมื่อกลับมาอยู่ที่ดาวบ้านเกิดของนาง แม่นางน้อยก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ปั่นป่วนมากมายภายในใจ แม้ฉากหน้าจะยังดูสงบนิ่งก็ตามที หลังจากเงียบอยู่สักพัก นางก็เอ่ยตอบเสียงเบา

“ระดับราชันของตระกูลไม่รู้สิ้นนี้ เทียบเท่ากับปราณขั้นดาราจักร ราชันสวรรค์คนที่สองมีปราณขั้นดาราจักรแบบสมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังห่างจากระดับจักรพรรดิอยู่ถึงครึ่งทาง นั่นแข็งแกร่งพอสำหรับเจ้าหรือไม่…”

“ส่วนราชันสวรรค์คนแรกนั้น…” แม่นางน้อยดูจนด้วยคำพูด นางดูไม่แน่ใจอย่างประหลาดขณะครุ่นคิด และเลือกที่จะเอ่ยออกมา

“ราชันสวรรค์คนแรกคือบุคคลลึกลับในตระกูลไม่รู้สิ้น มีน้อยคนนักที่รู้จักนามของเขา แต่มีข่าวลืออยู่สองเรื่องด้วยกันที่ทำให้ทุกคนรู้ดีว่าเขาน่ากลัวเพียงใด ข่าวลือเรื่องแรกคือเขาท้าสู้กับจักรพรรดิสวรรค์คนที่ห้า เจ้าพอเดาได้หรือไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น” แม่นางน้อยโยนคำถามกลับไปให้หวังเป่าเล่อแทน

ชายหนุ่มตัวแข็ง ก่อนเอ่ยตอบหลังจากคิดอยู่สักพัก “เขาแพ้แต่ไม่ตายหรือ”

“เขาชนะ!” คำตอบของแม่นางน้อยเปรียบเสมือนสายฟ้าที่ฟาดเข้ากลางศีรษะของหวังเป่าเล่อ หากก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เข้าไปอยู่ในนิมิตมืด เขาคงไม่ตกใจมากเท่านี้ แต่ประสบการณ์ในนิมิตมืดทำให้เขารู้มากกว่าคนทั่วไป ว่าระดับพลังระหว่างผู้ฝึกตนในระดับดาราจักรและระดับจักรวาลนั้น แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเพียงใด ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงตอบคำถามของแม่นางน้อยกลับไปเช่นนั้นในตอนแรก ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ราชันสวรรค์คนแรกจะกรำชัยมาได้

เป็นไปได้ว่าหลายคนก็คิดเช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อ ทำให้แม่นางน้อยบอกว่าเรื่องนี้เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น

“แล้วข่าวลือเรื่องที่สองเล่า” แม้อำนาจของราชันสวรรค์คนแรกจะห่างจากเขาไปหลายขุม แต่หวังเป่าเล่อก็ยังอดถามต่อไม่ได้

“ข่าวลือเรื่องที่สองนี้ยิ่งมีคนเชื่อน้อยลงไปอีก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ข้าคนหนึ่งเล่า… ว่ากันว่าเมื่อก่อนนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นมีจักรพรรดิสวรรค์อยู่เก้าคนด้วยกัน แต่ราชันสวรรค์คนแรกสังหารไปเสียสี่ กระนั้นอีกห้าคนที่เหลือก็ไม่ได้คาดโทษเขาในเรื่องนี้แต่อย่างใด ซึ่งไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ด้วยเหตุนี้เรื่องนี้จึงเป็นได้เพียงข่าวลือเท่านั้น เจ้าก็ควรเชื่อแบบนั้นเช่นกัน”

หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง ความรู้สึกมากมายไหล่บ่าเข้ามาในจิตใจ แม่นางน้อยอาจไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่หวังเป่าเล่อรู้ดี ว่าเมื่อก่อนนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นเคยมีจักรพรรดิสวรรค์ถึงเก้าคนจริงๆ …

เป็นเพียงแค่ข่าวลือจริงๆ นะหรือ หากเป็นความจริงแล้วละก็ ต้องแปลว่าราชันสวรรค์คนแรกนั้นทรงพลังมากเสียจนไม่มีผู้ใดต้านทานได้เลยทีเดียว! ชายหนุ่มสองจิตสองใจว่าจะถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากแม่นางน้อยดีหรือไม่ แต่เมื่อเห็นว่านางเริ่มจมดิ่งสู่ความเศร้า เขาก็โยนความสงสัยใคร่รู้ของตน รวมถึงความตกใจเมื่อก่อนหน้าทิ้งไปเสีย และเก็บงำ คำถามเอาไว้เงียบๆ คนเดียว เมื่อเดินทางเข้าไปใกล้ประตูหุบเขาแม่นางน้อยก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง

“อย่าได้เดินเข้าประตูไปเชียว จงอ้อมไปด้านหลังของภูเขา ข้าจะชี้บอกทางลับให้เมื่อเจ้าไปถึง”

หวังเป่าเล่อไม่พูดตอบอันใด แต่เปลี่ยนทิศทางอย่างนุ่มนวลเพื่อมุ่งหน้าไปยังด้านหลังของหุบเขา เมื่อเข้าไปใกล้ขึ้น ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองวัตถุเวทขนาดยักษ์ที่ปักหลักอยู่กลางยอดเขานั้น ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเศร้าเล็กน้อย ตอนที่ยังอยู่ในนิมิตมืด สิ่งที่เค้ารู้เกี่ยวกับตระกูลไม่รู้สิ้น จำกัดอยู่เพียงตอนที่จักรพรรดิสวรรค์เดินทางมาที่สำนักของเขา เพื่อทวงหาดวงวิญญาณของบุตรสาวตนเอง รวมถึงสิ่งที่เขาอ่านเจอในบันทึกบางเล่มเท่านั้น

ตระกูลไม่รู้สิ้นไม่ใช่ชนเผ่าที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยเลือดเนื้อ หากแต่เป็นผนึกสายสัมพันธ์ขนาดใหญ่ โดยมีตระกูลไม่รู้สิ้นเป็นจุดศูนย์กลาง ตระกูลนี้ประกอบไปด้วยอารยธรรมมากมายหลากหลาย… ทุกอารยธรรมผนึกกำลังกันต่อสู้กับสำนักแห่งความมืด เพื่อให้ตนเองได้อยู่เหนือทั้งชีวิตและความตาย พวกเขาต้องการหยุดยั้งสำนักแห่งความมืด จากการทำหน้าที่ควบคุมวิญญาณของตนในนามของเต๋าสวรรค์…

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น… คือการล่มสลายของประมุขแห่งสำนักแห่งความมืดและเต๋าสวรรค์ที่ถูกทำลายลง อันทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้น… ก้าวขึ้นมามีอำนาจเหนือสิ่งใดทั้งปวง! จิตใจของหวังเป่าเล่อดำดิ่งสู่ความเศร้า ความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับตระกูลไม่รู้สิ้นนั้น แม้จะไม่สมบูรณ์แต่ก็มากพอตัว ชายหนุ่มถอนหายใจอยู่ภายในก่อนคิดถึงสหพันธรัฐ

ในจักรพิภพแห่งเต๋าและจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ตระกูลไม่รู้สิ้นมีอำนาจสูงสุด อนาคตของสหพันธรัฐที่ถูกเปลี่ยนจากอาณาจักรอันขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม มาเป็นการขับเคลื่อนโดยพลังปราณ ด้วยอำนาจแห่งกระบี่สำริดเขียวโบราณจากสำนักวังเต๋าไพศาลนั้น อาจไม่ได้รุ่งโรจน์และเต็มไปด้วยความหวังเหมือนที่เคยคิดไว้

หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไปที่เบื้องหลังของหุบเขาสำนักวังเต๋าไพศาลท่ามกลางความเงียบ จุดหมายปลายทางของเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในตอนนั้นเองที่เสียงลนของแม่นางน้อยดังกังวานขึ้นในหัว

“ระวัง มีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้!”

ทันทีที่พูดจบ ยานรบเจ็ดถึงแปดลำก็พุ่งตัดท้องฟ้ามาอย่างรวดเร็ว ยานสามลำที่นำหน้ามีผู้ฝึกตนประจำอยู่ยานละคน ส่วนยานรบที่เหลือนั้นมีผู้ฝึกตนอยู่ราวลำละสามถึงห้าคน ยานลำหนึ่งหยุดชะงักอยู่กลางอากาศขณะที่กำลังพุ่งผ่านด้วยความเร็วสูง หนึ่งในผู้ฝึกตนสามคนจากตระกูลไม่รู้สิ้นในยานลำนั้น ก้มลงมองหวังเป่าเล่อที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังเบื้องล่าง ก่อนจะเอ่ยปากพูดในภาษาที่ชายหนุ่มเข้าใจ!

บทที่ 600 กลเม็ดเดิม!
ความรุ่งโรจน์ของระบบจักรภพไพศาล อาณาจักรดั้งเดิมแห่งดาวเคราะห์เต๋าไพศาลเมื่อวันวาน กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าสืบทอดกันมา เมื่อตระกูลไม่รู้สิ้นมาเยือน ดวงดาวที่เคยเต็มไปด้วยชีวิต บัดนี้กลายเป็นเพียงดินแดนรกร้างเท่านั้น

หากมองจากระยะไกล ท้องฟ้านั้นไม่ได้สดใสอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นสีเทาหม่นด้วยเมฆหมอก หากมองด้วยสายตาของผู้ฝึกตนระดับสูงอย่างชัดๆ จะเห็นว่าหมอกสีเทานั้น แท้จริงคือแมลงปีกแข็งสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วน ที่ตัวเล็กมากเสียจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แมลงสีเทาเหล่านั้นกระจายไปทั่วท้องฟ้าของดาวเคราะห์เต๋าไพศาล กินบริเวณกว้างจนราวกับเป็นอนันต์

สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่พยายามเข้าหรือออกดาวดวงนี้โดยไม่มีตราประจำตัว จะถูกแมลงปีกแข็งเหล่านี้ชอนไชร่างจนถึงแก่ความตาย แม้จะมีปราณอยู่ที่ระดับดาวพระเคราะห์ ร่างของพวกเขาก็จะยังถูกรุมทิ้งกัดกิน จนไม่เหลือแม้แต่ซากให้ได้เชยชม

นี่เป็นเศษเสี้ยวของพลังที่หลงเหลืออยู่ ของหนึ่งในราชันสวรรค์แห่งตระกูลไม่รู้สิ้น แม้สำนักวังเต๋าไพศาลจะล่มสลายลง และราชันสวรรค์ได้จากไปเรียบร้อยแล้ว แต่พลังที่หลงเหลืออยู่ก็ยังทำหน้าที่เปรียบเสมือนเกราะป้องกันดาวเคราะห์แห่งนี้

พื้นผิวดาวเคราะห์ที่เคยเต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มและน้ำอันอุดมนั้น กลับกลายเป็นเพียงพื้นที่โล่งแจ้งแห้งเหือดไร้ซึ่งชีวิต ทั้งป่าและน้ำกลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า อสูรกลายพันธุ์มากมายที่ตระกูลไม่รู้สิ้นนำมาปล่อย ทำลายบริเวณทั้งหมดเสียสิ้น นอกจากนี้ยังมีวัตถุเวทลักษณะเหมือนเครื่องเจาะยักษ์คล้ายอาวุธเทพ ที่ปล่อยไอพลังรุนแรงเสียจนทำลายสวรรค์และผืนดินให้ราบเป็นหน้ากลองได้ ปลายของเครื่องเจาะนั้นพุ่งเสียบทางเข้าของสำนักวังเต๋าไพศาลเอาไว้!

เครื่องเจาะยักษ์ผ่าภูเขาให้กลายเป็นสองซีก ตัวด้ามที่วางอยู่ท่ามกลางเศษหินเศษดินและซากปรักหักพัง ปล่อยไอชั่วร้ายออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

บนดาวเคราะห์เต๋าไพศาลแห่งนี้ มีวัตถุเวทลักษณะนี้อยู่เก้าชิ้นด้วยกัน!

ทั้งหมดเจาะเข้าไปในผืนดิน ปลายชี้ไปที่ใจกลางของดาวเคราะห์ และเดินหน้าดูดเอาพลังชีวิตของทั้งระบบจักรภพไพศาลออกมา

ระบบจักรภพไพศาลเป็นวงแหวนปราณยักษ์ ทั้งระบบเปรียบเสมือนตาข่ายโครงสร้างขนาดใหญ่ อันมีดาวเอกเป็นจุดศูนย์กลางทำหน้าที่เหมือนดวงใจแห่งชีวิต เมื่อดูดพลังออกจากดาวเองอันเป็นหัวใจนี้ พลังชีวิตของทั้งระบบจักรวาลก็ย่อมได้รับผลกระทบไปด้วยทั้งหมด

ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นจำนวนมาก ล้อมวัตถุเวทรูปร่างเหมือนหัวเจาะนี้อยู่ หลายคนเดินตรวจตราพื้นที่ เป้าหมายก็คือ การทำลายสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่ยังหลงเหลืออยู่ให้สิ้นซากไป

บนท้องฟ้า ยานพาหนะสำหรับการรบหน้าตาโบราณ บินผ่านไปเป็นครั้งคราว ผู้ฝึกตนระดับสูงของตระกูลไม่รู้สิ้นยืนอยู่บนยานเหล่านั้น มองลงมายังผืนดินเบื้องล่างด้วยสายตาเย็นเฉียบ

ความโดดเดี่ยว การเมินเฉย และความโหดเหี้ยม คือหัวใจที่ขับเคลื่อนโลกใบนี้ให้เดินหน้าต่อไป แม้จะยังมีผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลหลงเหลืออยู่ ผู้ที่ยังคงพยายามต่อต้านชีวิตอันแสนโหดร้ายเช่นนี้ ความพยายามของพวกเขาก็ไร้ซึ่งความสำคัญใดๆ พวกเขาไร้ซึ่งอำนาจ ทำได้เพียงมองดวงดาวและจักรวาลบ้านเกิดของตน ค่อยๆ เหี่ยวเฉาและหมดสิ้นซึ่งรอยแห่งชีวิต จนท้ายที่สุดก็กลายสภาพไปเป็นเพียงตัวอย่างของเผ่าพันธุ์ที่สูญสิ้น ที่ราชันสวรรค์แห่งตระกูลไม่รู้สิ้น เก็บไว้ดูเล่นเพียงเท่านั้น

ความฝันเดียวที่เหลืออยู่ของผู้ต่อต้านบนดาวเอกแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล คือการใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อต่อสู้ แม้จะไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงความสิ้นหวังนี้เลยก็ตาม…

บัดนี้ บนดาวเอกของระบบจักรวาลไพศาล คลื่นสะเทือนจากการเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้นท่ามกลางซากปรักหักพัง ห่างจากทางเข้าหุบเขาของสำนักวังเต๋าไพศาลไปไกลพอตัว คลื่นนี้ปรากฏขึ้นและสลายหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้หวังเป่าเล่อเข้ามาได้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้

ทันทีที่ปรากฏกายและยังไม่ทันได้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม แม่นางน้อยก็พูดด้วยเสียงลน

“หมอบลงเร็ว!”

หวังเป่าเล่อตกใจและรีบหมอบลงทันทีตามสัญชาตญาณ ในตอนเดียวกันนั้น ร่างของแม่นางน้อยก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว นางสร้างผนึกมืออย่างต่อเนื่อง ร่างของทั้งสองปกคลุมด้วยหมอกหนาจนกลืนเข้ากับสภาพแวดล้อม

ทันทีที่สำเร็จ ยานรบลาดตระเวนก็ปรากฏขึ้นด้วยความเร็วสูงและหยุดค้างอยู่กลางอากาศ บนยานนั้นมีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นยืนอยู่ ผู้ฝึกตนผู้นั้นยังอายุน้อย พร้อมด้วยหกมือสามศีรษะตามแบบฉบับของตระกูลไม่รู้สิ้น เขาสวมชุดเกราะสีเทาที่มีจุดบกพร่องอยู่หลายจุด กระนั้นดวงตาของชายหนุ่มก็ยังไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

ชายหนุ่มผู้นี้คือผู้ฝึกตนของตระกูลไม่รู้สิ้น ที่พรั่งพร้อมไปด้วยประสบการณ์การต่อสู้อย่างโชกโชน ดวงตาทั้งหกของเขามองลงมายังผืนดินเบื้องล่าง สำรวจพื้นที่อย่างละเอียดเป็นเวลานาน ก่อนจะมองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าโดยรอบ และจากไปในที่สุด

หวังเป่าเล่อไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว จนกระทั่งยานลาดตระเวนนั้นจากไป แม้แม่นางน้อยจะจัดการกำบังกายพวกเขาทั้งสองด้วยหมอก แต่เขายังคงมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายนอกอย่างชัดเจน ชายหนุ่มเห็นทุกสิ่งบนท้องฟ้าอย่างแจ่มแจ้ง พลังที่ชายหนุ่มผู้นั้นปล่อยออกมา แซงหน้าเฟิ่งชิวหรันไปมาก โดยมีปราณอยู่ที่ระดับ… เชื่อมวิญญาณ!

หลังจากเวลาผ่านไปสิบห้านาที แม่นางน้อยกำลังจะขยับตัว ประกายวาบเข้ามาในดวงตาหวังเป่าเล่อพร้อมด้วยสัญญาณจิตที่ชายหนุ่มส่งไปให้นางรับรู้

“อย่าเพิ่งขยับ รอดูก่อนอีกครึ่งชั่วโมง!”

เมื่อได้ยินดังนั้น แม่นางน้อยก็เงียบลงอีกครั้ง เวลาเดินหน้าผ่านไปจนเกือบครบครึ่งชั่วโมง ยานรบที่หายไปเมื่อก่อนหน้ากลับมาอีกครั้ง หลังจากที่สำรวจบริเวณโดยรอบเรียบร้อย ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นก็สร้างผนึกมือ ทันใดนั้น แผนที่มายาก็ปรากฏขึ้น

แผนที่นั้นแสดงให้เห็นภาพของบริเวณนี้เมื่อก่อนหน้า หลังจากที่เทียบเคียงเรียบร้อยว่าภาพและความเป็นจริงเบื้องล่างเหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน ผู้ฝึกตนคนเดิมก็หันหลังจากไปจริงๆ ในที่สุด

หากหวังเป่าเล่อตัดสินใจขยับตัวเมื่อก่อนหน้า จนทำให้ภาพและความเป็นจริงไม่ตรงกันนั้น ทั้งสองจะต้องโดนจับได้เป็นแน่ ผลที่ตามมาก็คงไม่ต้องพูดถึง…

หลังจากที่รออยู่อีกสักพัก หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกในที่สุด เขาส่งสัญญาณให้แม่นางน้อยนำภาพมายากำบังออก ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใด แม่นางน้อยก็สร้างผนึกมือเพื่อทำให้บริเวณที่พวกเขาซ่อนอยู่ก่อนหน้า ดูเหมือนในภาพฉายอย่างไม่มีผิดเพี้ยน จากนั้นหวังเป่าเล่อก็หัวเราะฝืด

“แม่นางน้อย ข้าเกรงว่าที่นี่จะอันตรายเกินไป…”

“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะช่วยเจ้าทำภารกิจนี้ จะไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน เอาละ ข้าต้องการใช้เสี้ยวที่เหลือของกฎแห่งระบบจักรภพสำนักวังเต๋าไพศาล มาห่อหุ้มตัวเจ้าไว้ นี่จะทำให้เจ้าเปลี่ยนหน้าตาให้เหมือนคนจากตระกูลไม่รู้สิ้นได้ หากเจ้าไม่เจอเข้ากับผู้ที่มีปราณระดับดาวพระเคราะห์ ก็จะไม่มีใครจับได้อย่างแน่นอน!” แม่นางน้อยพูดอย่างรวดเร็ว นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้นางมั่นใจ ว่าจะช่วยหวังเป่าเล่อทำภารกิจได้สำเร็จ

หากเป็นดาวดวงอื่น นางคงไม่สามารถช่วยอะไรหวังเป่าเล่อได้ในสภาพนี้ แต่ด้วยสถานะของนางบนดาวเคราะห์เอกแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล พลังของนางจึงกลับมาใช้ได้อีกครั้ง แม้บริเวณนี้จะกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง แต่ตัวนางเองก็ยังคุ้นเคยกับบ้านเกิดเป็นอย่างดี

เมื่อพูดจบ แม่นางน้อยก็สร้างผนึกมืออีกครั้งโดยไม่ปล่อยให้หวังเป่าเล่อได้ออกความคิดเห็น นางตบฝ่ามือลงบนพื้นที่หาได้สั่นสะเทือนไม่ แต่กลับมีลำแสงสีเงินฉายขึ้นมาจากใต้ดินแทน จุดกำเนิดแสงนั้นไม่ได้ใหญ่มาก จึงทำให้ดึงมาได้เพียงเสี้ยวหนึ่งของแสงจากดวงดาวเท่านั้น ไม่นานนัก ก้อนแสงขนาดเท่ากำปั้นก็ถือกำเนิดขึ้น

ทันทีที่ดวงตาของหวังเป่าเล่อสบเข้ากับจุดกำเนิดแสง ชายหนุ่มก็ต้องตกใจ เขาเห็นผู้ฝึกตนมายมาย หลากหลายกระบวนเวท และเส้นด้ายนับไม่ถ้วนที่เรียงร้อยทุกคนและทุกวิชาเข้าด้วยกัน กระบวนเวทแต่ละวิชาสอดประสานกันด้วยด้ายเหล่านั้น

ส่วนสิ่งที่อยู่เบื้องลึกลงไปนั้น หวังเป่าเล่อหาได้ทราบไม่ ที่เขาเห็นเมื่อก่อนหน้าเป็นขีดสุดของความสามารถของเขาแล้ว แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วนไม่เป็นชิ้นดี แม่นางน้อยกดก้อนแสงนั้นเข้าไปตรงกลางหน้าผากของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นอย่างรุนแรง ก่อนบวมออกในฉับพลัน ภายในไม่กี่ลมหายใจ ร่างกายเขาก็แปรสภาพไปมากมายหลายครั้ง ชายหนุ่มสูงขึ้น ใบหน้าสองหน้างอกขึ้นมาข้างคอ แขนอีกสี่แขนแทงออกจากข้างลำตัว

หวังเป่าเล่อแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองเห็น ส่วนแม่นางน้อยก็หายตัวไปในหน้ากากทันทีที่ทำสำเร็จ แต่ก็ยังไม่วายกำชับหวังเป่าเล่ออยู่ในใจ

“ข้าทำได้เพียงเท่านี้ จงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้เร็วที่สุด และอย่าเผลอเปิดโปงตนเอง พวกตระกูลไม่รู้สิ้นนานๆ ทีจะมีปฏิสัมพันธ์กันเอง ข้าฟังภาษาของพวกนี้เข้าใจและจะแปลให้เจ้าฟัง ทีนี้จงตามเดิมตามทางที่ข้าบอก และทำภารกิจให้สำเร็จเสีย

“อย่ากังวลใจไป ข้ารู้ทางลับทีห่างจากที่นี่ไปไม่ไกล ทางลับนี้จะนำเจ้าไปสู่จุดต่ำสุดของซากทางเข้าสำนัก สิ่งที่เจ้าต้องตามหาอยู่ที่นั่น ที่ที่เจ้าหลอมฝักกระบี่ได้ก็อยู่ที่นั่นเช่นเดียวกัน!”

ดูเหมือนจะเป็นนางมากกว่าที่ต้องการแผ่นศิลา… หวังเป่าเล่อพึมพำในใจขณะหัวเราะฝืด หากเขาตามไม่ทัน ก็คงไม่สมควรได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสองชั้นรองแห่งสหพันธรัฐ ดูเหมือนว่าแม่นางน้อยจะมีอำนาจเปลี่ยนรายละเอียดบททดสอบได้ แผ่นศิลานั้นคงไม่ใช่เงื่อนไขในการผ่านบททดสอบที่ห้า แต่เป็นสิ่งที่แม่นางน้อยต้องการ

ด้วยเหตุนี้นางจึงแลกเปลี่ยนโดยการใช้โอกาสหลอมฝักกระบี่มาเป็นตัวล่อ แต่ในเมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็ทำได้เพียงสูดหายใจเข้าและกลอกตา ชายหนุ่มคิดว่าหากตนเองไม่ใช้โอกาสนี้ประจบเอาใจแม่นางน้อย ก็คงเสียชื่อเต็มทน ด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดกับแม่นางน้อยในใจด้วยน้ำเสียงอ่อนไหว

“แม่นางน้อย เป่าเล่อไม่ใช่คนซื่อบื้อไม่รู้ความ… แต่ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อเจ้า ต่อให้จะต้องบุกป่าฝ่าขุนเขาอันตราย เดินทางข้ามทะเลเพลิง หรือหักกระดูกตนเองก็ตาม”

บทที่ 599 ดาวเคราะห์เต๋าไพศาล!
ความกลัววาบผ่านดวงตาของนกน้อยสีดำ มันเพิ่มความเร็วขึ้นเต็มพิกัดเพื่อหนีตาย แต่เมื่อร่างหลักดับสลายไป บวกกับอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการปะทะเมื่อครู่ นกน้อยที่ไร้หลักนั้นก็เริ่มหมดพลัง ไม่ว่าจะเร็วเพียงใด ก็ยังคงสู้ความเร็วของมันในสภาวะปกติไม่ได้ หากคู่ต่อสู้ของมันเป็นคนอื่น ความเร็วที่ลดลงนี้คงไม่เป็นผลมากนัก แต่คู่ต่อสู้ของวิญญาณจุตินกน้อยคือบุตรแห่งความมืด หวังเป่าเล่อ

วิญญาณจุติเองก็ถือเป็นวิญญาณประเภทหนึ่ง ชายหนุ่มกระโจนไปข้างหน้า ยกมือขวาขึ้น พร้อมด้วยหัตถ์สื่อวิญญาณที่พุ่งออกจากร่างด้วยความเร็วสูง เปลวไฟสีดำกระจายไปทั่วบริเวณ จำกัดพื้นที่ของนกน้อยเอาไว้ จนไม่ว่าจะหนีหรือฟาดฟันด้วยกระบี่สีดำเพียงใดก็หนีไปไม่พ้น ทำได้เพียงสร้างความลำบากให้หวังเป่าเล่อเล็กน้อยเท่านั้น

ทันทีที่นกน้อยเริ่มอ่อนกำลังลง หลังจากที่ใช้กระบี่โจมตีหลายครั้ง หวังเป่าเล่อก็คว้าตัวมันเอาไว้ได้!

ไหนมาดูกันหน่อยว่าเจ้าจะยังก่อเรื่องได้หรือไม่! รอยเย็นวาบเข้าดวงตาชายหนุ่ม เขาปลุกกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิขึ้นโดยไม่ลังเล นกสีดำกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะถูกเส้นปราณลักอัคคีของหวังเป่าเล่อ ดูดเอาพลังเข้าไปเสริมความแข็งแกร่งให้กับเกราะจักรพรรดิ

เกราะจักรพรรดิของชายหนุ่มก็ทำทีราวกับได้รับสารบำรุงจำนวนมหาศาล ด้ายสีขาวกำเนิดขึ้น ก่อนเข้าพันเกี่ยวกันเป็นสาย แม้จะยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก ก่อนที่เกราะอัฐิจะถือกำเนิดขึ้นโดยสมบูรณ์ แต่ก็ดูใกล้ความจริงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังสนใจกระบี่สีดำเป็นอันมาก หลังจากที่สำรวจดู เขาก็พบว่ากระบี่นั้นไม่มีแก่นใน ซึ่งแตกต่างจากวิธีการหลอมวัตถุเวทในสหพันธรัฐโดยสิ้นเชิง ราวกับกระบี่เล่มนี้เกิดขึ้นได้ด้วยตนเองด้วยธรรมชาติสร้าง

นี่เป็นการค้นพบที่ทำให้ชายหนุ่มประหลาดเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ลองคิดวิเคราะห์ดูด้วยความรู้ในฐานะนักหลอมอาวุธเวท บวกเข้ากับการปลุกพลังกระบี่ของจักรพรรดิวายุทมิฬแล้ว ชายหนุ่มก็หรี่ตาลง

หรือว่า… นี่จะเป็นสมบัติเวทที่มีแต่วิญญาณจุติเท่านั้นที่ควบคุมได้ หวังเป่าเล่อสงสัยเป็นอันมาก เขาเก็บกระบี่สีดำเข้ากระเป๋าอย่างระมัดระวัง ในเวลาเดียวกันนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกตัวว่าแม้ตนเองจะสังหารจักรพรรดิวายุทมิฬได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ถูกเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่แต่อย่างใด

หวังเป่าเล่อเริ่มกระวนกระวายกลัวไม่ได้กลับ เขาถามแม่นางน้อยในใจ จนได้คำตอบว่าหลังจากครบหนึ่งเดือน การเคลื่อนย้ายจะเกิดขึ้นแน่นอน

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม้จะยังรู้สึกว่าทุกสิ่งช่างแสนแปลกประหลาดนัก แต่ก็มุ่งหน้ายึดทรัพย์ชนพื้นเมืองต่อไป ด้วยเข้าใจว่าตนเองเปลี่ยนอะไรไม่ได้

ข้าอาจจะคิดมากไปเอง อย่างไรข้าก็ต้องได้กลับแน่ ถ้าเช่นนั้นระหว่างรอก็มาเก็บวัตถุดิบให้ได้มากที่สุดก็แล้วกัน ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องจริง หากข้านำทุกอย่างบนดาวดวงนี้กลับไปได้ ข้าต้องรวยไม่รู้เรื่องแน่! ชายหนุ่มกลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง เขามุ่งหน้าดำเนินภารกิจต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

เจ็ดวันต่อมา หวังเป่าเล่อเก็บทุกอย่างที่ขวางหน้า แม้ว่าหากไปอีกไกลหน่อยจะเข้าเขตใหม่ที่ยังไม่เคยไปเยือน แต่เวลาก็หมดลงเสียแล้ว ชายหนุ่มกังวลเรื่องการเคลื่อนย้ายกลับ จึงตัดสินใจหยุดค้นหาและเดินทางกลับไปจุดตั้งต้นที่ตนเองมาถึงเป็นครั้งแรก เพื่อรอเวลากลับ

รออย่างกระวนกระวายอยู่ไม่นานนัก เสียงระเบิดกึกก้องก็ดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน พายุหมุนยักษ์ก่อตัวขึ้นด้วยความเร็วกรรโชก ชายหนุ่มที่รออยู่เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะรู้สึกได้ถึงพลังดูดมหาศาลที่ลดระดับลงมาจากฟากฟ้า เข้าโอบอุ้มร่างของเขาเอาไว้

ชายหนุ่มปลิวขึ้นไปในอากาศตามแรงดึงดูดของพายุ ก่อนอันตรธานหายไปในลมหมุนบ้าคลั่งนั้นอย่างไร้ร่องรอย พายุโกรธเกรี้ยวค่อยๆ สงบลงจนสลายหายไป ท้องฟ้ากลับมาปกติสุขอีกครั้ง ผืนดินยังคงเป็นสีดำสนิทเหมือนเดิม ราวกับไม่เคยถูกเหยียบย่ำ มีเพียงวิญญาณผีที่ยังไม่โดนล้างบางในหมู่บ้านที่เขาเดินทางไปไม่ถึงเท่านั้น ที่เริ่มตระหนักว่าจักรพรรดิวายุทมิฬหายตัวไปแล้ว

ตำนานการสังหารหมู่โหดร้ายโชกเลือดแพร่สะพัดไปทั่วดาว ตำนานนั้นกล่าวว่า ปีศาจร้ายที่กินวิญญาณเป็นอาหาร กลืนกินทั้งจักรพรรดิวายุทมิฬและเพื่อนร่วมเผ่าของพวกเขาเข้าไปเกือบหมด เหล่าผีที่เหลือรอดตกอยู่ภายใต้ความกลัวอยู่เป็นเวลานาน หลังจากที่ได้ยินตำนานนั้น

ส่วนปีศาจร้ายตามตำนานของดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬนั้น บัดนี้กำลังถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าภาพตรงหน้ากลับมาปกติ เขากลับมายืนอยู่หน้าวังบูชาที่ห้าของสำนักวังเต๋าไพศาลอีกครั้ง

พอกลับมาที่เดิมได้อย่างปลอดภัย หวังเป่าเล่อก็ก้มลงมองกระเป๋าตนเอง เมื่อเห็นรูปปั้นมากมายยังอยู่คงเดิม สีหน้าของชายหนุ่มก็เอ่อล้นด้วยความปีติ ร่างของเขาสั่นเทิ้ม เสียงหัวเราะด้วยความสำราญใจเจือความคลั่งดังไปทั่วบริเวณ

เอากลับมาได้จริงด้วย! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจเสียจนอธิบายไม่ถูก ความสุขนี้มากเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาได้รับประทานอาหารโปรดอย่างน่องไก่กับไข่ต้มซีอิ๊วเสียอีก

ชายหนุ่มรีบตรวจดูกระเป๋าอีกครั้งอย่างมีความสุข เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองตาไม่ได้ฝาดไป เขาตื่นเต้นที่จะได้เข้าวังต่อไปมากขึ้นกว่าเดิม ผลลัพธ์แสนวิเศษจากบททดสอบประหลาดนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อต้องสะกดความตื่นเต้นเอาไว้อย่างยากลำบาก เขายับยั้งชั่งใจให้ไม่พลาดก้าวเข้าไปในวังบูชาที่ห้า แต่หันหลังกลับไปมองเบื้องหลังแทน

เมื่อไม่เห็นทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า ความสุขเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความกังวลในทันที แต่ไม่นานนัก ร่างของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ปรากฏขึ้นนอกวังบูชาที่สี่ จุดเดียวกับที่นางจากไป

เจ้าเยี่ยเหมิงอยู่ในสภาพยับเยิน นางกระอักเลือดออกมาจำนวนมาก ก่อนนั่งลงด้วยใบหน้าซีดเผือด ร่างกายเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนมากมาย วังที่สี่เป็นด่านที่ยากเอาเรื่องสำหรับนาง และการที่นางปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าวังเดิมนั้น แปลว่าเจ้าเยี่ยเหมิงไม่ผ่านการทดสอบเป็นศิษย์สืบทอด

หวังเป่าเล่อทำได้เพียงเงียบ เขาเข้าใจว่าในบททดสอบที่สี่ คู่ต่อสู้ของเจ้าเยี่ยเหมิงคือผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณ อันทำให้นางมีโอกาสล้มเหลวมากกว่าปกติ

ยังดีที่ปลอดภัย หวังเป่าเล่อมองเจ้าเยี่ยเหมิงจากระยะไกล ก่อนกันไปมองทางวังที่หนึ่ง ชายหนุ่มนั่งลงทำสมาธิเพื่อรักษาพลังปราณของตนให้อยู่ในจุดสูงสุด

สองวันต่อมา เจ้าเยี่ยเหมิงก็กลับมาได้สติอีกครั้ง ส่วนกงเต๋าก็เดินออกจากวังที่หนึ่งเรียบร้อย ทั้งสามอยู่ไกลกันเกินไป ต่างทำได้เพียงมองหน้ากันเท่านั้น กงเต๋าตัดสินใจเดินเข้าวังที่สอง ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นขณะมองหวังเป่าเล่อ นางตัดสินใจล้มเลิกความพยายามและออกจากการทดสอบไป

แต่เจ้าเยี่ยเหมิงก็ไม่ได้ออกไปในทันที นางต้องการดูก่อนว่าหวังเป่าเล่อและกงเต๋าจะทำสำเร็จหรือไม่

หวังเป่าเล่อมองเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยสายตาให้กำลังใจ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกและออกจากการพักฟื้นร่างกาย เขาประเมินสภาพตนเองในปัจจุบัน และคิดไปว่าอยากขอกระเป๋าคลังเก็บจากเจ้าเยี่ยเหมิง แต่ด้วยความที่อยู่ห่างจากสหายไปหนึ่งวัง และด้วยกฎของตำหนักวังบูชา เขาจึงไม่สามารถถอยหลังกลับได้นอกเสียจากจะเลือกยุติการทดสอบ ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงล้มเลิกความคิดที่จะขอกระเป๋าเพิ่ม ชายหนุ่มยืนขึ้นและมุ่งหน้าไปยังวังที่ห้าทันที ปราศจากซึ่งความลังเล

ทันทีที่เข้าไปยังวังที่ห้า เสียงของแม่นางน้อยก็ดังก้องในจิตใจเขา

“นำฝักกระบี่ประจำกายของเจ้าออกมา!”

หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นกดลงบนร่างของตนโดยไม่ลังเล ชายหนุ่มดึงเอาฝักกระบี่ภายในกายที่ส่องแสงเรืองรองออกจากร่างตน

ทันทีที่ฝักกระบี่ปรากฏขึ้น วังที่ห้าก็สั่นสะเทือนก่อนความเงียบสงัดจะเข้าปกคลุม ชายหนุ่มที่ถือฝักกระบี่ไว้ในมือกระพริบตาปริบ ก่อนหันไปมองความว่างเปล่ารอบกาย พยายามเรียกหาแม่นางน้อย แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หลังจากที่รออยู่ราวสิบลมหายใจ เสียงเย็นไร้ซึ่งอารมณ์ก็ดังขึ้นข้างหูเขาอย่างช้าๆ

“บททดสอบแห่งศิษย์เอก ณ วังที่ห้า จะเริ่มขึ้นภายในหนึ่งร้อยลมหายใจ

“ผู้เข้ารับการทดสอบจงเตรียมตัวให้พร้อม เจ้าจะถูกส่งไปยังดาวเคราะห์เอกแห่งระบบจักรภพไพศาล ณ ดาวเคราะห์เต๋าไพศาล เจ้าต้องนำแผ่นศิลาอารยธรรมจารึกกลับมา เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ!

“ดาวเคราะห์เต๋าไพศาลนั้นถูกทิ้งร้าง แต่ยังมีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นหลงเหลืออยู่เพื่อตรวจตรา ผู้พิทักษ์เหล่านี้มีปราณอยู่ที่ระดับดาวพระเคราะห์ บททดสอบนี้มีความยากระดับสูงมาก ผู้เข้ารับการทดสอบจึงต้องระวังตัวอย่างถึงที่สุด!

“หากผู้เข้ารับบททดสอบไม่ทักท้วงอันใดภายในเวลาหนึ่งร้อยลมหายใจ จะถือว่าเจ้ายินดีเข้ารับการทดสอบนี้! นี่ไม่ใช่ภาพมายา หากแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หากผู้เข้ารับการทดสอบเสียชีวิต เจ้าจะถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ล่วงลับ หากเจ้ายอมแพ้ก่อนการทดสอบจบ เจ้าจะต้องพยายามเอาตัวรอดต่อไปอีกสิบวันจึงจะได้กลับมา!”

ขณะที่เสียงดังก้องอยู่ในหูของหวังเป่าเล่อเพื่อบอกเงื่อนไขการทดสอบ ดวงตาของชายหนุ่มก็เบิกกว้างขึ้น ลมหายใจหอบไม่เป็นจังหวะ โอกาสที่บททดสอบที่ห้านี้จะทำให้เขาถึงแก่ความตายมีสูงมาก!

ภารกิจนี้ต้องกลับไปยังระบบจักรภพที่สำนักวังเต๋าไพศาลดั้งเดิมเคยอยู่ ดินแดนรกร้างนั้นยังมีสมาชิกของตระกูลไม่รู้สิ้นหลงเหลือ และหวังเป่าเล่อจะต้องกลับไปเก็บกู้วัตถุกลับมา เพียงเท่านี้ก็ถือว่ายากลำบากสำหรับเขาแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงผู้พิทักษ์จากตระกูลไม่รู้สิ้น ที่มีพลังปราณระดับดาวพระเคราะห์

ความคิดนี้ทำให้ชายหนุ่มกระวนกระวายใจเป็นอันมาก ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธภารกิจนั้น เสียงสงบนิ่งของแม่นางน้อยก็ดังก้องอยู่ในศีรษะ

“ใจเย็นๆ คราวนี้ปล่อยให้ข้าใช้ฝักกระบี่ภายในกายเจ้าช่วยเจ้าทำภารกิจเถิด ทางนี้เป็นทางเดียวที่เจ้าจะได้วัตถุดิบที่ใช้ในการหลอมฝักกระบี่ ให้กลายเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดได้!

“พูดให้ถูกก็คือ เจ้าจะหลอมฝักกระบี่สำเร็จ ก็ต่อเมื่อเจ้าใช้พลังที่หลงเหลืออยู่บนดาวเอกของสำนักวังเต๋าไพศาล มิเช่นนั้นแล้วต่อให้มีวัตถุดิบครบ โอกาสที่เจ้าจะทำสำเร็จเมื่ออยู่นอกระบบจักรภพก็มีน้อยกว่าร้อยละสิบ เนื่องด้วยกฎแห่งจักรวาลที่แตกต่างกัน!”

หวังเป่าเล่อชะงักและเงียบอยู่สักพัก ก่อนที่ระยะเวลาร้อยลมหายใจจะหมดลง ชายหนุ่มก็กัดฟันพูดพร้อมด้วยความมุ่งมั่นในแววตา

“ข้าขอรับภารกิจ!”

บทที่ 598 สังหารผู้ฝึกตนจุติวิญญาณ
เมื่อได้ยินประกาศของหวังเป่าเล่อ จักรพรรดิวายุทมิฬก็จิตใจสั่นสะท้านด้วยความตกใจ ชื่อของ ‘สำนักวังเต๋าไพศาล’ และตำแหน่งศิษย์สำนัก ทำให้กายและใจของมันเอ่อล้นด้วยความกลัวโดยอัตโนมัติ

ขณะที่กำลังตกใจอยู่นั้น หมัดของหวังเป่าเล่อพุ่งเข้าใส่ในทันที!

หลังจากที่จบการแข่งขันเพื่อช่วงชิงใบต้นไฮยาซิน หวังเป่าเล่อก็มีโอกาสได้ถามเฟิ่งชิวหรันอย่างลับๆ ว่าพลังการต่อสู้ของตนเองนั้น เทียบกับผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณได้หรือไม่ หากผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในคนอื่นถามนางเรื่องนี้ เฟิ่งชิวหรันคงคิดว่าช่างแสนประหลาด แต่เมื่อเป็นหวังเป่าเล่อ นางจึงไม่รู้สึกว่าแปลกแต่อย่างใด

ประมุขสำนักวังเต๋าไพศาลคนปัจจุบันตอบหวังเป่าเล่อไปตามจริง ชายหนุ่มจึงได้รู้ว่าความสามารถของตนนั้นเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณขั้นต้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าบรรลุขั้นที่สามของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลง ทั้งยังควบคุมปราณของตนให้เสถียรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หวังเป่าเล่อก็มั่นใจในความสามารถในการต่อสู้ของตนเองยิ่งขึ้น

หากทุ่มสุดตัวข้าก็สู้ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณขั้นต้นได้! หวังเป่าเล่อปล่อยหมัดใส่คู่ต่อสู้ พร้อมหลับตาลง แม้ก่อนหน้านี้จะดูเหมือนเขาประกาศอะไรออกไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลังก่อน แต่ความจริงแล้วตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ได้เดินหน้าปล้นรูปปั้นและศึกษาดู รวมถึงยังสังหารวิญญาณไปมากมาย หวังเป่าเล่ออนุมานได้เรียบร้อยแล้วว่าพลังของจักรพรรดิวายุทมิฬนั้น เกี่ยวข้องกับวิญญาณแน่นอน!

แม้ชายหนุ่มจะยังไม่แน่ใจว่าวายุทมิฬสร้างสิ่งมีชีวิตครึ่งนกนี้ขึ้นมาได้อย่างไร แต่จิตสัมผัสวิญญาณของเขา ก็รู้สึกได้ทันทีที่สิ่งมีชีวิตจากต่างดาวปรากฏตัวขึ้น ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับวิญญาณแน่นอน ยิ่งเห็นจะๆ ต่อหน้า หวังเป่าเล่อยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีก

ชายหนุ่มสู้จักรพรรดิวายุทมิฬเรื่องความเร็วไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจหันกลับมาใช้กำลังต่อสู้แทน ความเหี้ยมและพลังที่สอดประสานของเขากำลังอยู่ในจุดสูงสุด ทำให้หมัดที่เกิดจากเกราะจักรพรรดินั้นรุนแรงกว่าปกติถึงสามเท่า เมล็ดแห่งการดูดกลืนในกายของชายหนุ่มระเบิดออก พลังปราณระดับกำเนิดแก่นในขั้นปลายสำแดงอำนาจพร้อมๆ กัน แก่นในแห่งความมืดสั่นอย่างรุนแรงอยู่ภายในเมล็ดแห่งการดูดกลืน ทำให้เปลวไฟสีดำก่อตัวขึ้นในร่าง เพิ่มพลังให้กับหมัดของเขาอีก หมัดนั้นทรงพลังมากเสียงจนทำให้เกิดพายุร้าย มองจากระยะไกลดูราวกับทะเลเพลิงได้อุบัติขึ้นกลางเวหา!

พายุของหวังเป่าเล่อปะทะเข้ากับพายุหมุนดำของจักรพรรดิวายุทมิฬ เสียงระเบิดกึกก้องจากแรงปะทะสะท้อนไปทั่วบริเวณ พายุสีดำเสียกระบวนท่าพัดล่าถอยไปด้านหลัง คืนสภาพกลับเป็นเจ้าของพลังอีกครั้ง คนครึ่งปักษาต่างดาวตกใจเป็นอันมาก ดวงตาอาบเคลือบด้วยความไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

พลังหมัดของหวังเป่าเล่อทำให้จักรพรรดิวายุทมิฬสั่นสะท้านด้วยความกลัวไปทั้งกายใจ พลังนั้นเลยหน้าขีดจำกัดของผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในไปไกล และเทียบได้กับระดับจุติวิญญาณทีเดียว แต่สิ่งที่ทำให้นางตกใจมากที่สุด คือเปลวไฟประหลาดสีดำที่สะกดพลังอำนาจของนางเอาไว้ได้อยู่หมัด!

หากจะพูดว่าสะกดพลังคงไม่ถูกต้องนัก ในความเป็นจริงแล้ว ลูกไฟเย็นสีดำนั้นทำให้จักรพรรดิวายุทมิฬกลัวจนแทบสิ้นสติ สัญชาตญาณเบื้องลึกบอกกับมันว่าไม่ควรเข้าใกล้เปลวไฟสีดำนี้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!

นี่ทำให้สิ่งที่หวังเป่าเล่อประกาศเมื่อก่อนหน้า ว่าตนเองเป็นศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลนั้น ดูมีมูลความจริงขึ้นมาอย่างเสียมิได้ กระนั้นก็ยังเป็นการยากที่จะปักใจเชื่อ

“สำนักวังเต๋าไพศาลล่มสลายไปแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะเป็นศิษย์แห่งสำนักนั้น!” จักรพรรดิวายุทมิฬเอ่ยด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง ในตอนนั้นเองที่นางฉุกคิดถึงปัญหาหนึ่งที่มองข้ามไปเมื่อก่อนหน้า แล้ว… หวังเป่าเล่อมาถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน

แต่นางก็ไม่มีเวลาคิดมากนัก หวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ชายหนุ่มถอยไปข้างหลัง หายใจอย่างรวดเร็ว ก่อนระเบิดพลังหมัดอีกครั้ง

นี่นะหรือคือพลังของระดับจุติวิญญาณ ดวงตาของชายหนุ่มวาววับ เขาไม่ได้รู้สึกว่าผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณนี้อ่อนแอแต่อย่างใด แต่กลับเป็นตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ สิ่งมีชีวิตต่างดาวนี้ต้านพลังหมัดของเขาได้ แม้จะมีแรงกดดันของเปลวไฟสีดำแฝงอยู่ด้วย แปลว่าหากเขาจะกำจัดผู้ฝึกตนวายุดำนี้โดยตรง ตัวเขาเองอาจตกอยู่ในอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงพลังที่แฝงอยู่ภายในกายเบื้องลึกของคู่ต่อสู้ตรงหน้า ที่ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นอยู่ภายใน

หากมันตัดสินใจโจมตีกลับ เขาไม่มั่นใจว่าตนเองจะหลบการโจนตีของมันได้พ้น ดังนั้นเพื่อให้ได้ชัยชนะมาครอบ หวังเป่าเล่อจึงต้องล่อมนุษย์ต่างดาวตนนี้ให้ปล่อยท่าไม้ตายของมันออกมาเสียก่อน… ประกายวาบเข้ามาในแววตาของชายหนุ่มอีกครั้ง เขาหยิบเอาแท่งทรงกระบอกออกมาจากกระเป๋า เสียงดังปังระเบิดพร้อมฝาของแท่งทรงกระบอกที่เปิดออก ดอกไม้ไฟพวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า!

กล่องดอกไม้ไฟนี้เป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ของหวังเป่าเล่อ สมัยที่เขายังเป็นศิษย์ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เมื่อหลายปีก่อน เขาปรับปรุงมันเป็นครั้งคราว จนทำให้มีดอกไม้ไฟมากมายอัดแน่นอยู่ภายใน อย่างที่เห็นแสดงเด่นอยู่บนท้องฟ้าในตอนนี้ ดอกไม้ไฟนี้ทำหน้าที่เสมือนพลุสัญญาณเตะตาที่มองเห็นได้จากระยะไกล

พลุนี้ทำให้จักรพรรดิวายุทมิฬประหลาดใจเป็นอันมาก ก่อนที่จะทันได้ทำอะไร หวังเป่าเล่อก็ระเบิดหัวเราะออกมาอีกครั้ง ร่างอวตารสายฟ้าแยกออกจากร่างจริง ฝ่ามือที่โบกสะบัดเรียกเอากระบี่เหาะเหินสามสีออกมาจากกำไลคลังเวท กระบี่นั้นอยู่ในความควบคุมของร่างอวตารของชายหนุ่ม ที่พุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้เบื้องหน้าด้วยความเร็วเต็มสูบ

ร่างจริงของเขาปล่อยเอาพลังของเกราะจักรพรรดิออกมา เส้นปราณสีเลือดพุ่งกระจายด้วยความเร็วสูง กระดูกจากวิชาขั้นที่สองก็กระจายออกด้วยเช่นกัน พลังของหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นอย่างมาก พร้อมด้วยความต้องการปะทะที่ชัดเจนในแววตา ชายหนุ่มกระโจนออกไปข้างหน้า เข้าประชิดตัวจักรพรรดิวายุทมิฬในทันที เขาไม่ได้เข้าโจมตีตัวคู่ต่อสู้โดยตรง หากแต่กักขังนางไว้!

เสียงระเบิดดังต่อกันเหมือนปะทัด หวังเป่าเล่อและจักรพรรดิวายุทมิฬปล่อยพลังใส่กันกลางอากาศ ร่างจำแลงของชายหนุ่มที่กำลังกวัดแกว่งกระบี่เหาะเหินสามสีนั้น ก็แข็งแกร่งไม่แพ้เจ้าของร่างตัวจริง ด้วยความที่คู่ต่อสู้ของเขามีปราณถึงขั้นจุติวิญญาณ พลังของชายหนุ่มก็ยังดูเทียบไม่ได้นัก แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่ได้ใช้เปลวไฟสีดำ หรือพลังการต่อสู้ทั้งหมดที่เขามี

ทั้งสองต่อสู้กันพัลวัน จักรพรรดิวายุทมิฬเริ่มตกที่นั่งลำบากขึ้นเรื่อยๆ คู่ต่อสู้คนนี้ทำให้นางรู้ได้ถึงภัยอันตรายใหญ่หลวง โดยเฉพาะหลังจากที่คำถามว่าหวังเป่าเล่อมาถึงที่นี่ได้อย่างไร ได้รับคำตอบเป็นพลุสัญญาณที่ส่งขึ้นไปในอากาศ

ในตอนแรกนางก็ไม่เชื่อเท่าใดนัก แต่เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อพยายามดึงเวลาออกไปให้ได้มากที่สุด นางก็เริ่มเชื่อสนิทใจ!

หมอนี่ไม่ได้มาคนเดียว! จักรพรรดิวายุทมิฬเริ่มกระวนกระวาย ความกลัวปรากฏขึ้นในดวงตา นางรู้ดีว่าจะปล่อยให้หวังเป่าเล่อซื้อเวลาไม่ได้อีกต่อไป และควรรีบจบเรื่องนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด นางตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล ดวงตาเบิกกว้าง เสียงกรีดร้องแหลมสูงน่าขนลุกที่ส่งออกมา รุนแรงเสียจนเหมือนจะทะลุได้ถึงวิญญาณ

เสียงแสบแก้วหูนั้นพุ่งตัดความว่างเปล่าลงเบื้องล่าง ทำให้พื้นแยกออก หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนศีรษะตนกำลังจะระเบิด ร่างกายสั่นเทิ้มรุนแรง พายุหมุนอุบัติขึ้นกลางหน้าผากจักรพรรดิวายุทมิฬ ก่อนที่นกตัวเล็กจะบินออกจากพายุนั้น

นกตัวนั้นคือวิญญาณจุติของนางนั่นเอง นกน้อยถือกระบี่สีดำเล่มเล็กขนาดเท่านิ้วมือเอาไว้ กระบี่นั้นปล่อยกลิ่นอายของความโบราณออกมา ทันทีที่ปรากฏขึ้นท้องฟ้าและพื้นดินก็แปรเปลี่ยนไป ลมพายุกรรโชกแรง เมฆสั่นสะท้านปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่ง!

ภายในพริบตา นกน้อยพร้อมกระบี่ดำที่กำแน่นก็พุ่งเข้าใส่กลางหน้าผากของหวังเป่าเล่อ นี่คือท่าไม้ตายของจักรพรรดิวายุทมิฬ พลังนั้นทั้งยิ่งใหญ่ รุนแรง และยากจะคาดเดา ทรงพลังมากเสียจนสังหารผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณด้วยกันได้!

แต่แม้จะแข็งแกร่ง พลังนี้ก็ยังมีจุดอ่อน เนื่องจากพลังนี้ขับเคลื่อนได้โดยเชื่อมต่อวิญญาณจุติกับร่างของเจ้าของพลังเท่านั้น

เมื่อนกน้อยพร้อมกระบี่เล่มเล็กเข้าใกล้หวังเป่าเล่อ เปลวไฟสีดำในกายของชายหนุ่มก็ระเบิดออก พัดไปทั่วบริเวณ ก่อนโอบล้อมร่างของจักรพรรดิวายุทมิฬเอาไว้ เจ้าของร่างตกใจเป็นล้นพ้น ภายในพริบตา ร่างจริงของหวังเป่าเล่อก็พร่าเลือนสลับที่กับร่างอวตารในทันที!

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน จนคู่ต่อสู้ทำตัวไม่ถูก ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อที่มีพลังการต่อสู้เทียบเท่าตัวจริง ถูกกระบี่สีดำเล่มเล็กเสียบทะลุ ในตอนเดียวกับที่นกน้อยตัวนั้นพุ่งผ่านเปลวไฟสีดำ

แรงระเบิดดังก้องพร้อมร่างอวตารของหวังเป่าเล่อที่ดับสูญลง ร่างจริงของชายหนุ่มกลับเข้ามาแทนที่ร่างจำลองในทันที ความต้องการสังหารวาบเข้าดวงตา นี่คือเสี้ยววินาทีที่เขารอคอย ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นหยิบเอาหอกอาวุธเวทสีดำระดับเก้ามาพุ่งหลาวไปในอากาศ!

เสียงดังลั่นเหมือนความว่างเปล่าที่ถูกฉีกขาด ดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วบริเวณ หอกสีดำเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ พุ่งเข้าใส่ร่างของจักรพรรดิวายุทมิฬในทันที!

เป้าหมายตกใจจนแทบสิ้นสติ การปล่อยวิญญาณจุติออกทำให้นางควบคุมกายหยาบได้ยาก แม้จะต้องการหลบการโจมตีนั้น แต่เปลวไฟสีดำที่ล้อมนางเอาไว้ ก็ปล่อยพลังกดดันออกมามากเสียจนหลบหนีไปไหนไม่พ้น จักรพรรดิวายุทมิฬชะงัดค้างกลางอากาศ ส่งให้หอกสีดำเสียบทะลุกลางหน้าอกนางด้วยความเร็วสูง!

เสียงกรีดร้องน่าอดสูด้วยความเจ็บปวดตามมาในทันที นกสีดำตัวน้อยบินถลาไปด้านหลัง หมายกลับคืนสู่ร่างที่จากมา นกตัวนั้นได้รับบาดเจ็บจากการโจมตี ทันใดนั้น มือใหญ่ก็พุ่งออกจากร่างของหวังเป่าเล่อ พร้อมด้วยไอเย็นในดวงตาชายหนุ่ม!

หัตถ์สื่อวิญญาณ!

แม้มือนั้นจะได้รับบาดเจ็บจากกระบี่ดำประจำกายนก ที่เข้าฟาดฟันทันทีที่มันโผล่ออกมา แต่ก็ยังช่วยให้ความเร็วที่นกกลับเข้าร่างจักรพรรดิวายุทมิฬชะลอลงไปได้ ความเร็วที่ลดลงนี้ทำให้เปลวไฟสีดำกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เปลวไฟเผาไหม้ร่างของสิ่งมีชีวิตครึ่งนกจากต่างดาวทันที ส่งให้ร่างนั้นกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านในพริบตา!

ร่างกายที่สลายหายไปต่อหน้าต่อตา ทำให้นกน้อยที่เป็นวิญญาณจุติประจำร่างหมดทางหนี ร่างกายของมันบอบช้ำจากอาการบาดเจ็บจนใกล้ดับสลาย ร่างสะบักสะบอมนั้นค่อยๆ พร่ามัวลง ดวงตาล้นด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ มันหันหลังเพื่อหนี

จะหนีเช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าไล่ล่านกสีดำด้วยความอำมหิตเย็นเยียบในดวงตา!

บทที่ 597 จักรพรรดิวายุทมิฬ
บนดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬแห่งนี้ แสงเรืองประหลาดที่ส่องออกมาจากวัตถุที่ทำหน้าที่เหมือนดวงอาทิตย์ ส่องทะเลทรายสีดำให้สว่างไสว พร้อมด้วยไอร้อนระอุที่ห่อหุ้มบรรยากาศเอาไว้ ทำให้ดาวทั้งดวงดูแห้งแล้งแร้นแค้น

ดาวดวงนี้ไม่มีพืชพันธุ์ ไม่มีสัตว์ป่า กระทั่งอารยธรรมที่อาศัยอยู่บนดาวดวงนี้ ก็เป็นอารยธรรมของผีที่ใช้ศพเป็นเสื้อผ่าห่อหุ้มกาย

แม้จะมีหมู่บ้าน ก็เป็นหมู่บ้านของวิญญาณที่ใช้ร่างศพเป็นกายหยาบ

ราวกับว่าความตายเป็นแก่นหลักของดาวดวงนี้อย่างไรอย่างนั้น ดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬเปรียบเสมือนน้ำนิ่งสงบเย็น ไร้ซึ่งรอยกระเพื่อม จนกระทั่ง… วินาทีที่หวังเป่าเล่อเดินทางมาถึง

หวังเป่าเล่อเปรียบเสมือนหินก้อนใหญ่ที่ถูกโยนลงไปในน้ำ ทำให้น้ำที่เคยนิ่งนั้นแตกกระเซ็น ก่อนกระเพื่อมออกเป็นวงกว้าง น้ำที่เคยนิ่งสงบปั่นป่วนด้วยคลื่นวงจากตัวตนของชายหนุ่ม…

ข้ารวยแล้ว! ชายหนุ่มที่มาเพื่อสร้างความโกลาหลหัวเราะอย่างมีความสุข ขณะเดินทางตัดอากาศด้วยท่าทีตื่นเต้น เขามาถึงดาวแห่งนี้เป็นวันที่เจ็ดแล้ว และยังคงเดินหน้าทำลายหมู่บ้านอย่างต่อเนื่องไปมากกว่าห้าสิบหมู่บ้าน ด้วยการนำของวิญญาณชราและอำนาจแห่งเปลวไฟสีดำ

ทุกหมู่บ้านมีรูปปั้นที่เขาต้องการ รูปปั้นเหล่านั้นสร้างมาชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวทั้งสิ้น อันเป็นวัตถุดิบที่เปรียบเสมือนเงินทองสำหรับหวังเป่าเล่อ!

นอกจากนี้เขายังเจอวัสดุล้ำค่าอื่นๆ อีกในหมู่บ้านบางแห่ง มีทั้งแร่หายากและวัตถุเวทที่แตกหัก เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีในสหพันธรัฐ และแทบไม่มีข้อมูลบันทึกเอาไว้เลย เขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้ำค่าหลังจากที่ได้ไปอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลมาเท่านั้น

นี่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจเป็นอันมาก เขาเข้าใจความรู้สึกของผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณต่างดาวสามคน ที่เขาสังหารไปเมื่อก่อนหน้าโดยใช้วัตถุเวทแห่งความมืดแล้ว ว่าการปล้นสะดมดาวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่นี้เยี่ยมยอดเพียงใด

นี่มันส้มหล่นชัดๆ … หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจ ลืมเรื่องจักรพรรดิวายุทมิฬไปเสียสนิท ตอนนี้เขาสนใจเพียงการเก็บสะสมรูปปั้นเท่านั้น ผีชายชราข้างกายก็เริ่มช่ำชองการนำทางมากขึ้น ความช่วยเหลือนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเดินหน้าชิงทรัพย์และล้างบางไปได้อย่างต่อเนื่อง

เวลาเดินหน้าผ่านไปจนครบครึ่งเดือน หวังเป่าเล่อปล้นสดมไปแล้วแทบทั้งดาว ตอนนี้เขามีรูปปั้นอยู่มากกว่าหนึ่งร้อยอัน เมื่อเห็นว่าเวลาหนึ่งเดือนกำลังเดินหน้าเข้ามาเรื่อยๆ และตนเองเพิ่งจัดการยึดทรัพย์ไปเพียงครึ่งดาวเท่านั้น เขาก็เริ่มกระวนกระวาย และแล้วชายชราที่โดนหวังเป่าเล่อทั้งขู่ทั้งบังคับ ก็พาเขาไปยังสถานที่ที่มีรูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดในดาว!

ที่แห่งนั้นมีคูลึก รายล้อมด้วยพื้นที่โล่งแจ้งกว้างใหญ่ ไร้ซึ่งวิญญาณผีโดยสิ้นเชิง มีเพียงรูปปั้นยักษ์สูงสามร้อยเมตรพร้อมด้วยแสงเรืองสีแดงเท่านั้น ที่ตั้งตระหง่านอยู่ ส่วนล่างของรูปปั้นนั้นถูกฝังลงใต้ดิน พลังลึกลับจากสวรรค์และผืนดินถูกส่งออกมาจากใต้ดินลึก ส่งผ่านรูปปั้นที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางออกมายังบรรยากาศภายนอก

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นรูปปั้นจากระยะไกล เขาก็หัวใจเต้นแรงอยู่ในอก ชายหนุ่มไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง รูปปั้นนั้นแทบจะสร้างมาจากชิ้นส่วนกำเนิดดวงดาวทั้งหมด ส่วนวัสดุที่เหลือนั้นก็ดูล้ำค่าเช่นกัน

นี่ทำให้เขาตื่นเต้นจนจิตใจปั่นป่วน เขากระโจนเข้าใส่รูปปั้นในบัดดล ก่อนเปลี่ยนร่างเป็นเกราะจักรพรรดิทันทีที่เข้าใกล้พอ พร้อมด้วยเสียงหัวเราะลั่น ร่างของชายหนุ่มใหญ่โตขึ้นจนสูงหนึ่งร้อยเมตร เขาพุ่งเข้ากอดรูปปั้นและหมุนมันเพื่อถอนรากถอนโคน ท่ามกลางเสียงคำรามก้องขณะออกแรง!

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังเขย่ารูปปั้นอยู่นั้น พื้นดินก็สั่นสะท้าน รูปปั้นค่อยๆ หลุดออกจากพื้นดินทีละน้อยตามแรงกระแทก ส่งคลื่นสะท้อนสะเทือนไปตามจุดต่างๆ ใต้ดินที่เชื่อมกับรูปปั้นใหญ่

ในตอนนั้นเอง ที่ถ้ำใต้ดินเบื้องล่างรูปปั้นยักษ์ มีรูปบูชาห่อหุ้มด้วยวายุทมิฬตั้งอยู่ ลมหมุนสีดำหมุนวนอย่างต่อเนื่อง ภายในลมหมุนมีจุดแสงมากกว่าสองร้อยจุดกำลังส่องสว่างโชติช่วง มีอยู่สามจุดที่ส่องสว่างกว่าใครเพื่อน ปรากฏเป็นกระจุกลำแสงที่รวมตัวกัน ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางให้แสงที่ริบหรี่กว่า ทุกครั้งที่กระจุกแสงสว่างวาบ ลมหมุนวายุทมิฬก็พัดเร็วกว่าปกติ

แต่ตอนนี้จุดแสงเล็กๆ นั้นมอดดับลงไปกว่าครึ่ง จึงทำให้ลมหมุนทมิฬลดความเร็วลงอย่างเห็นได้ชัด กระจุกแสงใหญ่หนึ่งในสามกำลังค่อยๆ ริบหรี่ลงเช่นกันจนมอดดับลงในที่สุด ดวงตาคู่หนึ่งเบิกกว้างขึ้นท่ามกลางลมบ้าคลั่งนั้น!

ดวงตาคู่นั้นฉายความไม่อยากเชื่อในตอนแรก ราวกับกำลังสงสัยว่าเหตุใดตนเองจึงถูกปลุกขึ้นก่อนเวลาอันควร แต่เมื่อเห็นจำนวนรูปปั้นที่ช่วยเสริมการฝึกปราณของมันหายไปมากกว่าร้อยอัน มันก็เข้าใจในที่สุดว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ ยิ่งไปกว่านั้น รูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดอันเป็นกระจุกแสงใหญ่ก็ดับลงเช่นกัน เสียงกรีดร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ดังทะลุลมหมุนออกมา

“ไอ้ฉิบหาย!”

เสียงกรีดร้องจากใต้ดินนั้นลอยขึ้นมาเข้าหูหวังเป่าเล่อที่อยู่เบื้องบน ชายหนุ่มที่กำลังกระชากรูปปั้นออกจากพื้นกระพริบตาปริบ แสงสีแดงที่เรืองออกจากรูปปั้นเข้มขึ้นอีก ราวกับรูปปั้นนั้นกำลังกลับมามีชีวิต ดวงตาที่ไร้แววของรูปปั้นเริ่มออกแววขยับ

“อ้าว มีชีวิตหรอกหรือ” ชายหนุ่มตกใจ เขายกมือขวาขึ้นเรียกเปลวไฟสีดำออกมา ก่อนตบมือนั้นเข้าไปที่ศีรษะของรูปปั้น

“เช่นนั้นก็ไม่มีทางเลือกแล้วนอกจากต้องขโมยมา!” หวังเป่าเล่อตบรูปปั้นเสียงดัง จนทำให้มันสั่นสะท้าน แสงสีแดงมอดดับลงอีกครั้ง เมื่อทุกสิ่งกลับสู่ภาวะปกติ หวังเป่าเล่อก็จัดการถอนรากถอนโคนรูปปั้นได้สำเร็จในที่สุด ชายหนุ่มตื่นเต้นขณะกำลังจะจัดการเก็บรูปปั้นเข้าไปในกำไลคลังเวท แต่ก็ต้องพบกับความจริงที่ว่ารูปปั้นนี้ใหญ่เกินไป และกำไลของตนกำลังจะเต็มแล้ว ทางเดียวที่จะเก็บเข้าไปได้คือเขาต้องจัดการทำลายให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเสียก่อน

หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียดายในทันทีที่ตนเองไม่ได้เอากระเป๋ามามากกว่านี้ แต่ด้วยความที่ไม่มีทางเลือก เขาจึงทำได้เพียงคว้ารูปปั้นเอาไว้และรีบหนีออกมา ในตอนเดียวกันนั้น เขาก็ตบตีรูปปั้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มันแตกเป็นชิ้นๆ ระหว่างนั้นก็หยิบเอาส่วนที่แตกออกเข้ากระเป๋าไปด้วยในคราวเดียวกัน

ขณะที่กำลังหนีพร้อมทำลายรูปปั้นไปด้วยนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นกว่าเดิมจากถ้ำใต้ดิน ลมหมุนแยกตัวออกจากรูปบูชาและหดตัวลงอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นภาพมายาของสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ที่มีร่างกายเหมือนปักษา

ร่างนั้นมีศีรษะของสตรี แต่หาใช่หญิงชราไม่ สตรีผู้นั้นอยู่ในวัยกลางคน และไม่ได้มีเสี้ยวของความงามอยู่บนใบหน้าแม้แต่น้อย ใบหน้าของนางน่าสะพรึงกลัวมากด้วยปานสีดำที่พาดผ่าน ปากอัดแน่นด้วยฟันแหลมคมกริบ ดวงตาอำมหิตเหี้ยม นางหมุนตัวเพื่อเปลี่ยนให้ตนเองกลายเป็นลมหมุนสีดำ ก่อนแหกออกจากอ่างน้ำ ทะลุถ้ำ พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน!

พายุสีดำพัดไปทั่วทุกสารทิศ พวยพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ มันเห็นหวังเป่าเล่อที่กำลังกอดรูปปั้นพร้อมเหาะหนีไปด้วยความเร็วสูงในทันที

“บังอาจมาขโมยรูปปั้นของข้า!” ผู้ฝึกตนต่างดาวกรีดร้อง ร่างปักษาที่มีศีรษะเป็นมนุษย์นั้น รีบรุดตามหวังเป่าเล่อไปด้วยความเร็วสูง

จักรพรรดิวายุทมิฬหรือ หวังเป่าเล่อที่กำลังทำลายรูปปั้นให้เป็นชิ้นๆ พร้อมเก็บเข้ากระเป๋านั้น หันกลับมามองทันทีที่ได้ยินเสียงคำราม เขาเห็นเจ้าของเสียงในทันที พร้อมด้วยพายุสีดำสมกับชื่อนาง

มีปราณระดับจุติวิญญาณจริงเสียด้วย… ประกายวาบเข้ามาในแววตาหวังเป่าเล่อขณะเขาเพิ่มความเร็วขึ้นอีก ชายหนุ่มเดินหน้าหลบหนีด้วยความเร็วสูง ทั้งยังโจมตีรูปปั้นอย่างเร่งรีบบ้าคลั่งมากขึ้น

เมื่อเห็นหัวขโมยที่กำลังหนีไป จักรพรรดิวายุทมิฬก็อารมณ์เสียขึ้นอีกทันที และมาดหมายว่าจะไม่ปล่อยหวังเป่าเล่อให้หนีไปได้อย่างแน่นอน ด้วยความที่ร่างของมันถือกำเนิดมาจากพายุทมิฬ มันจึงได้เปรียบด้านความเร็ว โดยเฉพาะกับหวังเป่าเล่อที่ยังมีปราณอยู่เพียงขั้นกำเนิดแก่นใน จักรพรรดิวายุทมิฬไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่าผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในปรากฏตัวขึ้นในอาณาเขตของมันได้อย่างไร มันเพิ่มความเร็วขึ้นไล่ล่าหมายกลืนกินผู้บุกรุกเข้าไปทั้งตัวให้สาสม!

แม้ว่าจักรพรรดิวายุทมิฬจะมีปราณระดับจุติวิญญาณ แต่ก็เป็นเพียงระดับต้นเท่านั้น นอกจากนี้มันยังไม่ได้ฝึกร่างกายของตนให้แข็งแกร่ง และยังไม่ได้มีปัญญาวิญญาณในระดับสูงมากนัก มันก้าวขึ้นมาปกครองดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬได้ เพราะสำนักวังเต๋าไพศาลล่มสลายลง จึงทำให้มีโอกาสยึดดาวเคราะห์นี้โดยไม่คาดคิด สิ่งมีชีวิตต่างดาวนี้จัดการเปลี่ยนดาวทั้งดวงให้กลายเป็นสวรรค์สำหรับการฝึกปราณของตนเองในทันที มันเปลี่ยนชิ้นส่วนต้นกำเนิดวิญญาณที่มีอยู่แล้วในบริเวณนี้ให้กลายเป็นรูปปั้นสักการะ โดยใช้เวลาสร้างรากฐานนี้อยู่นานหลายปี

แต่ความพยายามหลายปีนั้นกำลังถูกหวังเป่าเล่อทำลายลงภายในไม่กี่วัน จึงทำให้มันโกรธเป็นอันมาก ยิ่งเห็นหวังเป่าเล่อกำลังทำลายรูปปั้นแสนรัก โทสะก็ยิ่งทวีความบ้าคลั่งขึ้นไปอีก

“ไอ้โจรชั่ว ข้าจะกินเนื้อเจ้า รีดวิญญาณของเจ้าออกมา และทำให้เจ้ากลายเป็นผีไปเสีย ข้าจะเฆี่ยนทรมานเจ้าไปอีกพันปี ให้สาสมกับที่เจ้าบังอาจมาขโมยรูปปั้นของข้า!” จักรพรรดิวายุทมิฬที่เข้ามาใกล้กรีดร้องคำรามด้วยความแค้นใจ มันอยู่ห่างหวังเป่าเล่อไปเพียงสามร้อยเมตรเท่านั้น เสียงกรีดร้องแหลมสูงมาพร้อมผนึกมือชุด ร่างของมันหายไปทันที กลายเป็นพายุหมุนสีดำบ้าคลั่งที่เข้ามาแทนที่ พายุร้ายนั้นกำลังบดเข้าหาหวังเป่าเล่อด้วยความเร็ว

เมื่อเห็นว่าความเร็วของตนสู้จักรพรรดิวายุทมิฬไม่ได้ หวังเป่าเล่าก็อารมณ์เสียในทันที ใจเขาอยากเพิ่มความเร็วขึ้นอีก แต่เมื่อเห็นพายุสีดำตรงหน้า ชายหนุ่มก็หรี่ตาลง

แปลว่าเกี่ยวกับวิญญาณจริงเสียด้วยสินะ! ชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ก่อนโยนรูปปั้นที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งทิ้งไปอย่างไม่ใยดี เขาหันกลับไปเผชิญหน้าลมพายุ แววตาเหี้ยมเกรียม

“เจ้าโง่บ้าเซ่อหรืออะไร ข้าไม่ใช่หัวขโมย นี่มันอาณาเขตของสำนักวังเต๋าไพศาล ข้าในฐานะศิษย์ของสำนักมีสิทธิ์บนดินแดนนี้อย่างเต็มที่ ข้าแค่มาเอาของคืนเท่านั้น เป็นบุญหัวแค่ไหนแล้วที่ข้าไม่ไปยุ่งกับเจ้า ยังบังอาจมาขู่ข้าอีกหรือ” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงชอบธรรม เขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับศัตรู กำมือขวาแน่นเพื่อบีบอัดเกราะจักรพรรดิเข้าเป็นหมัด ที่พุ่งออกไปหมายโจมตี!

บทที่ 596 ดาวเคราะห์เมืองผีมืด
ประกายสว่างวาบในแววตาของหวังเป่าเล่อ ขณะมองชนพื้นเมืองที่กำลังหนีตายกันจ้าละหวั่นตัวสั่นงันงก กระนั้นในฉากหน้า สีหน้าของชายหนุ่มก็แสร้งเป็นทำตัวไม่ถูก เขาลอยลงไปยืนข้างรูปปั้น กวาดตามองฝูงชนที่กำลังหวาดกลัว

“มีผู้ใดในที่แห่งนี้พูดภาษาของอารยธรรมที่ไร้เทียมทานที่สุด อย่างสหพันธรัฐเป่าเล่อบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มกระแอม ก่อนพูดอย่างสงบนิ่งด้วยภาษาของสหพันธรัฐ

แต่มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นกลับมองหน้ากันไปมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงเลิ่กลั่ก ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดเลยแม้แต่คนเดียว นี่ทำให้ชายหนุ่มถอนใจ ก่อนจะพูดอีกครั้งด้วยภาษาของสำนักวังเต๋าไพศาลแทน

คราวนี้เหล่ามนุษย์ต่างดาวผิวดำหันขวับไปมองชายชราในหมู่พวกเขาทันที ชายผู้นั้นมีผิวเหี่ยวย่นไปทั้งตัว สีหน้าขมขื่นโดดเด่นออกมาจากฝูงชนและยังตัวสั่นไม่หยุด เขาทำมือคารวะหวังเป่าเล่อเพื่อแสดงความเคารพ มือของผู้เฒ่าผู้นี้เล็กกว่าเท้าของเขาอย่างเห็นได้ชัด

“สวัสดีขอรับท่าน ข้าคือผู้เดียวในหมู่บ้านนี้ที่เข้าใจภาษาของอารยธรรมยิ่งใหญ่โบราณ โปรดถามคำถามที่ท่านต้องการคำตอบมาเถิด” ชายชราต่างดาวพูดด้วยสำเนียงประหลาดโดยใช้ภาษาถิ่นแทบทุกคำ แต่ยังโชคดีที่หวังเป่าเล่อฟังเข้าใจ

“นี่คือดาวอะไร ทำไมพวกเจ้าต้องกราบไหว้รูปปั้นนี้ เป็นรูปปั้นของใครหรือ” ชายหนุ่มถามคำถาม ก่อนมองหน้าผู้เฒ่าประจำหมู่บ้านเพื่อรอคำตอบ

ผู้ถูกถามกระพริบตาปริบ สีหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง เขาประเมินหวังเป่าเล่อด้วยสายตา ก่อนจะพูดตอบเสียงแผ่ว

“ท่านขอรับ ขณะนี้พวกเราอยู่บนดาวเคราะห์วายุทมิฬ นี่คืออนุสาวรีย์ขององค์จักรพรรดิ อนุสาวรีย์นี้มีอยู่ในทุกหมู่บ้านของชาววายุทมิฬ เราต้องบูชาท่านทุกวันเป็นกิจวัตร หากไม่ทำแล้วละก็ อนุสาวรีย์นี้จะเริ่มอับแสงจนดับไปในที่สุด องค์จักรพรรดิวายุทมิฬจะคอยตรวจตราดูอยู่ประจำ หากอนุสาวรีย์ของหมู่บ้านใดไม่ส่องแสงเรืองรองอีกต่อไป ท่านจะตราหน้าว่าหมู่บ้านนั้นไม่เคารพท่าน และจะกินทุกคนในหมู่บ้านนั้นให้หมดสิ้นขอรับ”

เป็นเช่นนี้นี่เอง… หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ก่อนจะเลิกสนใจเหล่ามนุษย์ต่างดาวตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เขาหันไปศึกษาอนุเสาวรีย์ตรงหน้าอย่างละเอียดแทน ในตอนที่เขาหันไปสนใจรูปปั้นนั้นเอง ชายชราต่างดาวที่พูดคุยกับหวังเป่าเล่ออยู่เมื่อก่อนหน้า ก็ขยับนิ้วเท้าเล็กน้อยโดยฉับพลัน ทันใดนั้นแสงเรืองรองสีโลหิตก็สาดออกจากดวงตาทั้งสองของรูปปั้น

แสงนั้นปรากฏขึ้นในเสี้ยววินาที และเข้าห่อหุ้มตัวหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว ก่อนเปลี่ยนเป็นผนึกแช่แข็งร่างของชายหนุ่มเอาไว้อยู่กับที่ หวังเป่าเล่อชะงักค้างราวกับร่างกายและวิญญาณของเขาหยุดนิ่งลงในวินาทีนั้น!

ในตอนนั้นเอง ที่มนุษย์ต่างดาวที่ตื่นกลัวก่อนหน้า ทั้งชายหญิง เยาว์วัยและแก่ชรา เผยยิ้มน่าสยดสยองบนริมฝีปาก พวกเขาไม่ได้ตัวสั่นอีกต่อแล้ว แววตาเต็มไปด้วยประกายประหลาด ในตอนนั้นเองที่กลางหน้าผากของพวกเขาปริแยกออก หมอกสีดำที่พวยพุ่งออกจากรอยแตก เหมือนวิญญาณชนิดหนึ่งที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ วิญญาณหมอกทมิฬสีดำเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มผู้โชคร้ายในทันที!

“ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดมีเนื้อมาเหยียบที่นี่นานเป็นชาติแล้ว ช่างส้มหล่นเสียจริง!”

“ไอ้หมอนี่ชะตาขาดแล้ว มันโดนดวงตาของท่านจักรพรรดิแช่แข็งไว้เรียบร้อย!”

“ช่างกล้าดีนักที่มาเหยียบดาวเคราะห์วิญญาณของเรา พับผ่า ข้าชอบดวงตาของมันชะมัด ใครอย่าคิดจะชิงดวงตาของไอ้หมอนี่ไปจากข้าเชียว!” วิญญาณผีกรีดร้องด้วยเสียงแหลม ทุกตนต่างพากันกรูเข้ามาหาหวังเป่าเล่อด้วยความตื่นเต้น คนที่เร็วที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากชายชราที่พูดคุยกับหวังเป่าเล่อเมื่อก่อนหน้านี้ ดวงวิญญาณที่แหวกหน้าผากของเขาออกมามีขนาดใหญ่ที่สุด และมีไอพลังงานเข้มข้นที่สุด ดวงวิญญาณดวงใหญ่ของชายชรามาถึงข้างกายหวังเป่าเล่อในฉับพลัน ปากใหญ่กว้างของมันอ้าออก หมายกลืนศีรษะของชายหนุ่มเข้าไปในคำเดียว!

ปากกว้างนั้นดูเหมือนจะเปิดออกได้อย่างไร้ขีดจำกัดโดยไม่มีวันฉีกขาด ขยายกว้างมากเสียงจนขนาดเท่ากะโหลกของหวังเป่าเล่อ แต่ยังไม่ทันได้กลืนเข้าไปให้สมใจอยาก เสียงที่เจือความรำคาญก็ดังมาเข้าหูเสียก่อน

“พวกเจ้านี่น่ารำคาญเสียจริง” เสียงนั้นมาพร้อมกับมือขวาของหวังเป่าเล่อที่ค่อยๆ ง้างขึ้นมาจับคอของวิญญาณชายชรา ดวงวิญญาณทั้งหมดต่างพากันตกใจจนต่อต้านไม่ทัน มือนั้นบิดเข้าจับคอของชายชราเอาไว้จนหนีไปไหนไม่ได้ ดวงวิญญาณชราที่ถูกจับตาเบิกโพลง ดิ้นรนพยายามจะหนีแต่ก็ไม่เป็นผล อุ้งมือแข็งแรงเหมือนเหล็กของหวังเป่าเล่อ จองจำมันเอาไว้อยู่กับที่จนขยับไม่ได้

นี่ทำให้วิญญาณดวงอื่นๆ ที่รายล้อมหยุดชะงักทันทีด้วยความตกใจ ก่อนจะถอยร่นไปด้วยความเร็วสูง กระนั้นก็ยังหนีเปลวไฟสีดำที่ชายหนุ่มปล่อยออกมาไม่ทัน

ลูกไฟเย็นสีดำที่มีหวังเป่าเล่อเป็นจุดศูนย์กลาง แพร่กระจายออกเป็นวงกลมในทุกทิศทาง ดวงวิญญาณสีดำเหล่านั้นไม่มีเวลาแม้แต่จะกรีดร้อง เปลวไฟล้างผลาญทุกหย่อมหญ้าของหมู่บ้าน ราวกับกำลังจัดการขจัดมลทินครั้งใหญ่ วิญญาณทุกดวง เว้นแต่วิญญาณชายชราที่หวังเป่าเล่อจับเอาไว้ พากันตัวสั่น ก่อนหายวับไปกับตาทันทีที่เปลวไฟสีดำพุ่งผ่าน

วิญญาณทุกดวงอันตรธานหายไปจากจักรวาลโดยสิ้นซาก!

เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นกับตา วิญญาณชายชราที่ดิ้นพราดๆ อยู่ก่อนหน้าก็ตัวสั่นในทันที มันหันกลับมามองหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ ร่างสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้

ชายหนุ่มเจ้าของเปลวไฟสีดำไม่แม้แต่จะหันไปสนใจวิญญาณที่ล้างบางไปเมื่อก่อนหน้า และไม่หันไปมองวิญญาณชายชราที่ตนจับเอาไว้ในมือด้วยซ้ำ เขายืนอยู่ตรงนั้นท่ามกลางแสงเรืองรองสีแดงที่โอบล้อมตัวเอาไว้ พิจารณารูปปั้นตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน

ความจริงแล้วในตอนที่หวังเป่าเล่อเห็นหมู่บ้าน เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นคือวิญญาณผี ที่เร้นกายอาศัยอยู่ในร่างของชนพื้นเมือง!

ร่างของชนพื้นเมืองที่เสียชีวิตลงนานหลายปีดีดักนั้นไม่เน่าเปื่อยผุพัง หากแต่กลายสภาพเป็นเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มวิญญาณผีเอาไว้ แต่แม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณก็อาจจับสังเกตไม่ได้ จนเป็นไปได้ว่าจะตกอยู่ในอันตราย แม้จะหลบเลี่ยงการโจมตีของผีเหล่านี้ไปได้ก็ตาม

นี่ก็เพราะแสงสีแดงที่รูปปั้นปล่อยออกมานั้น มีหน้าที่สะกดวิญญาณของเป้าหมายให้หนีไปไหนไม่ได้นั่นเอง แต่แน่นอนว่าใช้ไม่ได้ผลกับบุตรแห่งความมืดอย่างหวังเป่าเล่อ ที่ไม่ได้มีความกลัววิญญาณผีเลยแม้แต่น้อย

ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงไม่ได้สนใจสิ่งใดเลยตั้งแต่แรก อย่างเดียวที่เขาละสายตาไปไม่ได้คือวัสดุของรูปปั้นจักรพรรดิ เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ๆ แล้ว หวังเป่าเล่อก็ก้าวเข้าไปจับและลองเคาะดู ดวงตาของเขาวาววับขึ้นในทันที

ใช่จริงๆ เสียด้วย นี่มัน… มีชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวผสมอยู่! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นขึ้นในทันที เขายังเคลือบแคลงอยู่เมื่อก่อนหน้า แต่เมื่อได้ยืนยันสมมติฐานของตนเองเรียบร้อยแล้วหลังจากได้ตรวจดู ชายหนุ่มก็ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่

เขารู้ดีว่าชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวนั้นมีมูลค่ามหาศาลเพียงใด และรู้ดีว่าเขาต้องการชิ้นส่วนนี้เป็นจำนวนมาก ในการซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคาร แต่การจะหามันมาได้นั้นก็ยากเลือดตาแทบกระเด็น นอกเสียจากว่าจะทำลายดวงดาวให้สิ้นซากเสีย

ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงทำการใดไม่ได้เลยในตอนที่ยังอยู่ที่สหพันธรัฐ แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าตนเองจะโชคหล่นทับขนาดนี้ ขณะทำบททดสอบบนดวงดาวอันแสนประหลาดน่าขัน

ชายหนุ่มยกมือซ้ายขึ้นหมายหยิบรูปปั้นเข้ากระเป๋า ทันใดนั้นแสงสีแดงก็ทวีความเข้มข้นขึ้น ราวกับกำลังต่อต้านการกระทำของเขา แต่ทันทีหวังเป่าเล่อเรียกเปลวไฟสีดำขึ้นมาในมือขวา แสงสีแดงนั้นก็สิ้นอิทธิฤทธิ์ ทำให้เขาเก็บรูปปั้นไปได้โดยไม่มีอุปสรรคอันใด

หลังจากนั้นเขาก็ก้มลงมองวิญญาณชายชราที่ตนเองจับเอาไว้ในมือ พร้อมเลียริมฝีปากและคลี่ยิ้ม

“เจ้ามีสองทางเลือก พาข้าไปที่หมู่บ้านอื่น หรือให้ข้าจับกินเป็นอาหาร”

วิญญาณชราตัวสั่นหงึก หากเป็นคนอื่นมาบอกว่าจะกินตนเข้าไปมันคงไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อจัดการล้างบางวิญญาณทุกตนในหมู่บ้านกับตาของตนเอง ประกอบกับสีหน้าของชายหนุ่มที่เลียฝีปากเมื่อครู่นี้ มันก็เข้าใจได้ในทันทีว่าปีศาจร้ายจากต่างดาวตนนี้จะกินมันเข้าไปจริงๆ

“ข้า… ข้ารู้จักหมู่บ้านมากมายอยู่!” วิญญาณชายชราตัวสั่น รีบพูดเสียงดังในทันที

“เช่นนั้นก็นำทางไปเสีย” หวังเป่าเล่อเอ่ยอย่างสงบนิ่ง ก่อนปล่อยมือขวาด้วยท่าทีไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าวิญญาณจะเผ่นหนีไป วิญญาณชราลังเลอยู่แว่บหนึ่ง แต่หลังจากนึกสีหน้าของหวังเป่าเล่อตอนเลียริมฝีปากได้ ก็ยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี มันเริ่มออกเดินทางนำหวังเป่าเล่อไปยังหมู่บ้านใกล้สุดที่มันรู้จัก

ด้วยเหตุนี้ หนึ่งมนุษย์หนึ่งผีจึงออกเดินทางไปด้วยกันในอากาศ เพื่อมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านอื่นๆ ต่อไป สามชั่วโมงต่อมา หวังเป่าเล่อก็ได้รูปปั้นมาอีกหนึ่ง และล้างบางหมู่บ้านไปอีกแห่งเป็นที่เรียบร้อย วิญญาณชายชรายังคงกลัวตัวสั่น ในขณะที่แววตาของหวังเป่าเล่อวาวโรจน์ขึ้นในทุกนาที

เขาไม่สนใจทำบททดสอบให้เสร็จอีกต่อไปแล้ว ดาวแห่งนี้เปรียบเสมือนหีบสมบัติที่เต็มไปด้วยขุมทรัพย์ล้ำค่า ดาวดวงนี้คือสถานที่จริง หาใช่ภาพมายาไม่ จึงเป็นโอกาสทองสำหรับเขาที่จะเพิ่มความมั่งคั่งให้ตนเอง

เมื่อเข้าใจดังนั้น หวังเป่าเล่อก็มองวิญญาณชราข้างกายด้วยสายตาตื่นเต้นเอ่อล้น

“เจ้าตีนโต ทำผลงานให้ดีๆ เล่า หากข้าพอใจ ข้าจะเมตตาไม่กินเจ้าเป็นอาหาร”

บทที่ 595 ดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬ
ตามข้อมูลที่ทั้งสามได้มาจากเฟิ่งชิวหรันก่อนที่จะเคลื่อนย้ายมา การทดสอบเจ็ดครั้งจะเกิดขึ้นในเจ็ดวังบูชา เมื่อผ่านการทดสอบแต่ละครั้ง จะถือว่าผู้เข้ารับการทดสอบพิชิตวังนั้นๆ ได้ และจะได้รับตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงของสำนักวังเต๋าไพศาล ลดหลั่นกันไปตามลำดับชั้นของวัง

ลำดับชั้นของศิษย์มีทั้งหมดเจ็ดลำดับด้วยกัน โดยเริ่มจากต่ำสุดไปสูงสุด ลำดับแรกคือศิษย์ในนาม ตามมาด้วยศิษย์สำนักนอก ศิษย์สำนักใน ศิษย์สืบทอด ศิษย์เอก และศิษย์อุปถัมภ์!

ส่วนลำดับสูงสุดนั้นคือลำดับที่เจ็ด อันถือเป็นลำดับสุดท้าย ตำแหน่งนี้มีชื่อเรียกว่าศิษย์แห่งเต๋าไพศาล!

แต่เฟิ่งชิวหรันเองก็ไม่ได้บอกพวกเขา ว่าแต่ละด่านต้องเจอกับอะไรบ้าง

เมื่อมายืนอยู่เบื้องหน้าวังแรก หวังเป่าเล่อก็เต็มไปด้วยพลังอันเปลี่ยมล้น เขาหันไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า ก่อนจะเห็นว่าสหายทั้งสองก็ตื่นเต้นกระตือรือร้นเช่นเดียวกัน ทั้งสามมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรมาก ก่อนจะเดินเข้าไปในวังแรกอย่างพร้อมเพรียงกัน!

พวกเขามาถึงประตูหลักของวังแรกในทันที เมื่อก้าวเข้าไป หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงก็ตัวสั่นงันงก ภาพต้นไม้ยักษ์ปรากฏขึ้นบนหน้าผากเจ้าเยี่ยเหมิง ต้นไม้ยักษ์นั้นคือตัวแทนของวิชาวงแหวนปราณนภาพินาศโบราณที่นางได้รับสืบทอดมา ตราประทับของเกราะจักรพรรดิบนหัวใจของหวังเป่าเล่อก็สว่างวาบขึ้นเช่นกัน รางกับกำลังถูกพลังที่มองไม่เห็นตรวจสอบโดยถี่ถ้วน!

ร่างของทั้งสองเริ่มเลือนราง ก่อนจะหายไปโดยสิ้นเชิงราวกับถูกเคลื่อนย้าย ทั้งสองไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นบนพื้นที่รับบททดสอบ แต่เป็นในวังบนยอดเขาลำดับที่สี่!

มีแต่กงเต๋าเท่านั้นที่เริ่มรับการทดสอบที่วังแรก เพื่อรับตำแหน่งศิษย์ในนาม!

ด้วยวิชาสืบทอดที่หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงได้รับจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น ตำหนักวังบูชาจึงส่งพวกเขาไปยังวังที่สี่ทันที โดยไม่ต้องเผชิญกับสามวังแรก ทั้งสองไม่ต้องชิงตำแหน่งศิษย์ในนาม แต่ตรงไปรับการทดสอบเป็นศิษย์สืบทอดได้ทันที!

หากทั้งสองสอบผ่าน ก็จะได้รับตำแหน่งศิษย์สืบทอดไปครอบครอง แต่แม้ไม่ผ่านก็จะยังถือว่าเป็นศิษย์สำนักใน!

นี่คือเอกสิทธิ์ของผู้ที่ได้รับการยอมรับจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นนั่นเอง!

หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงปรากฏตัวขึ้นหน้าโถงของวังที่สี่ แรงดึงดูดมวลมหาศาลดูดทั้งสองเข้าไปภายในทันที เมื่อสหายทั้งสองเข้ามาภายในวัง ภาพที่พวกเขาเห็นมีเพียงความพร่ามัว ทั้งสองไม่เห็นแม้กระทั่งกันและกันราวกับถูกจับแยก หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงรู้สึกเหมือนตนเองอยู่ตัวคนเดียวในความว่างเปล่าที่โอบล้อม

หวังเป่าเล่อระวังตัวขึ้นมาทันทีขณะตรวจสอบสภาพแวดล้อม เสียงเย็นไร้อารมณ์ดังขึ้นข้างหูเขา ท่ามกลางความว่างเปล่านั้น

“บททดสอบแห่งศิษย์สืบทอด ณ วังที่สี่ จะเริ่มขึ้นภายในหนึ่งร้อยลมหายใจ

“ผู้เข้ารับการทดสอบจงเตรียมตัวให้พร้อม เจ้าจะถูกส่งไปยังดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬ แห่งระบบดาวฤกษ์นัยน์ตาพิจิก เจ้าต้องสังหารผู้ฝึกตนต่างดาวที่ถือกำเนิดจากการรวมตัวกันของเมฆหมุนทมิฬ ที่เข้ายึดครองดาวเคราะห์แคระนี้ สังหารผู้ฝึกตนเหล่านี้ให้สิ้นซากเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ!

“ผู้ฝึกตนต่างดาวนี้มีปราณระดับจุติวิญญาณ หากผู้เข้ารับบททดสอบไม่ทักท้วงอันใดภายในเวลาหนึ่งร้อยลมหายใจ จะถือว่าเจ้ายินดีเข้ารับการทดสอบนี้! นี่ไม่ใช่ภาพมายา หากแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หากผู้เข้ารับการทดสอบเสียชีวิต เจ้าจะถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ล่วงลับ หากเจ้ายอมแพ้ก่อนการทดสอบจบ เจ้าจะต้องพยายามเอาตัวรอดต่อไปอีกหนึ่งเดือนจึงจะได้กลับมา!”

เมื่อเสียงเย็นนั้นหยุดประกาศ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกเหมือนตนเองตกอยู่ในมนต์สะกด เขาได้ยินทุกคำพูด และเข้าใจทุกสิ่งอย่างชัดเจน แต่ข้อความนั้นก็ยังทำให้เขารู้สึกกังขา

ระบบดาวฤกษ์นัยน์ตาพิจิก ดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬ ผู้ฝึกตนต่างดาวที่ถือกำเนิดจากการรวมตัวกันของเมฆหมุนทมิฬ บ้าอะไรกันนี่… หวังเป่าเล่อกระพริบตาอย่างไม่อยากเชื่อ แต่เขาก็ยังเตรียมตัวให้พร้อม แม้จะเต็มไปด้วยความกังขา เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองอยู่ในภาพพร้อมออกศึก เขานับถอยหลังรอหนึ่งร้อยลมหายใจในใจ เมื่อเวลานั้นจบลง ชายหนุ่มก็ถูกเคลื่อนย้ายด้วยแรงมหาศาลที่รุงแรงกว่าที่เคยเจอมา แรงนั้นระเบิดออกในความว่างเปล่าที่เขาอยู่เมื่อก่อนหน้า!

แรงระเบิดนั้นมาพร้อมกับพายุที่มองไม่เห็น ที่หมุนวนรอบกายด้วยความเร็วสูงและพัดพาเขาจากไป ดวงตาของหวังเป่าเล่อมืดสนิท เขารู้สึกราวกับเวลาหนึ่งศตวรรษเดินหน้าผ่านไป แต่ก็รวดเร็วเหมือนพริบตาเดียวเช่นกัน เมื่อเขากลับมามองเห็นอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ไม่ได้ยืนอยู่ในวังที่สี่อีกต่อไปแล้ว

ร่างกายของเขาถูกโอบด้วยกระแสความร้อน!

อากาศร้อนระอุแห้งผาก อบอวลไปด้วยกลิ่นประหลาดที่ทำให้ผู้ที่สูดเข้าไปรู้สึกไม่สบาย แม้หวังเป่าเล่อจะมีร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังรู้สึกคลื่นไส้ทันทีที่ได้กลิ่น ชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะอาเจียนขณะกอดพุงของตนเองไว้

แต่เขาก็โก่งคอเปล่าโดยไม่มีอะไรออกมา เมื่อชายหนุ่มก้มหน้าก็เห็นพื้นที่อยู่แทบเท้า พื้นนั้นเป็นทรายสีดำสนิท เวลาผ่านไปสักพักจนหวังเป่าเล่อเริ่มเคยชินกับสภาพแวดล้อมใหม่ เขาเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าซีดเซียว ก่อนจะสังเกตเห็นว่ารอบตัวเป็นทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา!

ทะเลทรายทั้งหมดนั้นเป็นเม็ดทรายสีดำสนิท ทำให้ผู้ที่ติดอยู่ข้างในรู้สึกเหมือนโดนจองจำอย่างบอกไม่ถูก ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีเขียว แตกต่างจากท้องฟ้าที่ชายหนุ่มคุ้นเคยโดยสิ้นเชิง

นอกจากนี้ยังไม่มีแท้กระทั่งดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ มีเพียงจุดกำเนิดแสงสว่างรูปร่างประหลาดไม่สม่ำเสมอ ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าสีเขียว ส่องแสงให้พื้นดินสว่าง แต่ก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกประหลาดน่าขนลุกไปในเวลาเดียวกัน

หวังเป่าเล่อมีสีหน้างุนงง เขาสำรวจดูพื้นที่รอบกายเรียบร้อยแล้วหลังจากที่ถูกเคลื่อนย้ายมา และเข้าใจว่าไม่มีอันตรายซ่อนอยู่ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังยืนตัวแข็งอยู่เป็นเวลานาน

“ที่นี่คืออารยธรรมนอกโลกเช่นนั้นหรือ” เขาพึมพำกับตนเอง พลางคิดสงสัยว่าเหตุใดตนเองจึงหายใจเอาอากาศรอบตัวเข้าไปได้ ทั้งยังอดคิดไม่ได้ว่าอารยธรรมนอกโลกที่ว่านั้นมีอยู่จริงหรือไม่

สำหรับประการแรกนั้นเขามีคำตอบให้ตนเอง นั่นก็เพราะว่าร่างกายของเขาเป็นร่างกายของผู้ฝึกตน หาใช่ปุถุชนคนธรรมดาไม่ เขาจึงเดินทางผ่านจักรวาล และทานทนสภาพอากาศแสนโหดร้ายทารุณบนดาวแปลกประหลาดได้

แต่คำถามที่สองนั้นหวังเป่าเล่อคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกเสียที ชายหนุ่มคงจะไม่หัวเสียมากนัก หากไม่ได้เป็นเพราะตนเองเคยเล่นเกมเทพจุติมาก่อน เมื่อมีประสบการณ์เรียบร้อย เขาจึงต้องมองไปรอบๆ และจับร่างกายตนเอง นอกจากนี้ยังเปิดกำไลคลังเวทของดูเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ ในที่สุดชายหนุ่มก็สรุปได้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในโลกมายาแต่อย่างใด

ทุกสิ่งที่นี่เป็นของจริง!

ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าที่นี่คือไอ้ระบบพิจิกวิญญาณทมิฬอะไรนั่น… หรือชื่ออะไรก็ไม่รู้ทำนองนี้ แต่หากมีไอ้ผู้ฝึกตนต่างดาวเมฆหมุนทมิฬอะไรนั่นจริง แล้วตำหนักวังบูชารู้ได้อย่างไรว่ามีผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณอยู่จริง ก็สำนักวังเต๋าไพศาลมันล่มสลายไปแล้วมิใช่หรือ…

แล้วไอ้การทดสอบนี่มันมีที่มาอย่างไร ข้ากับเจ้าเยี่ยเหมิงได้รับการทดสอบเดียวกันหรือไม่ ประกายส่องวาบในดวงตาของหวังเป่าเล่อ สมองของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย จนอดไม่ได้ที่จะถามแม่นางน้อย

นี่ก็เพราะว่าแม่นางน้อยเคยบอกเขาว่า เมื่อชื่อของเขาถูกจารึกอยู่บนแทนสลักเต๋า นางจะช่วยให้เขาบรรลุขั้นปราณ

ความสงสัยของหวังเป่าเล่อตอบได้ง่ายดายมาสำหรับแม่นางน้อย ดังนั้นนางจึงไม่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินในคราวนี้ เสียงของแม่นางน้อยที่ก้องอยู่ในหัวของหวังเป่าเล่อ เต็มไปด้วยความอวดดีไม่ยี่หระเหมือนผู้ที่รู้ทุกอย่างบนในจักรวาล

“คำถามนี้…”

“ข้ารู้ๆ แม่นางน้อยรู้คำตอบแน่นอนอยู่แล้วเพราะว่าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่สามขวบ…” หวังเป่าเล่อกระแอม ก่อนพูดตอบแม่นางน้อยในจิตตนเอง ขณะมองไปรอบๆ กาย

“ผิดแล้ว! ข้ารู้คำตอบมาตั้งแต่ขวบเดียวต่างหากเล่า!” นางทำเสียงไม่พอใจพร้อมพ่นลมเยาะเย้ย จากนั้นนางจึงพูดต่อเพื่อไขข้อสงสัย

“ตำหนักวังบูชาก็เหมือนกันกับดินแดนแห่งสัมผัสทั้งห้า แรกเริ่มเดิมทีตำหนักนี้ไม่ได้ถูกสร้างโดยสำนัก แต่เป็นวัตถุต่างดาวที่ทางสำนักค้นพบ จากนั้นตำหนักก็ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ให้กลายเป็นสถานที่สำหรับการทดสอบศิษย์ประจำสำนัก บริเวณที่จัดการทดสอบทั้งหมดเป็นอาณานิคมของสำนักวังเต๋าไพศาล ต่อให้สำนักของเราล่มสลายลง อาณานิคมเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ แม้จะเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาไปมาก แต่ก็ยังมีคนคอยตรวจความเรียบร้อยอยู่เสมอ”

“เอาละ เจ้าจงทำภารกิจให้สำเร็จเสีย หลังจากที่ได้สถานะศิษย์สืบทอดมาแล้ว ก็ไปทำบททดสอบต่อไปเพื่อเป็นศิษย์เอกที่วังต่อไป เมื่อได้รับภารกิจถัดไปเรียบร้อยแล้ว จงปลุกพลังของฝักกระบี่ในกายเจ้า หากทำเช่นนั้นก็มีโอกาสสูงมากที่เจ้าจะถูกส่งไปยังที่ๆ ข้าจะยื่นมือมาช่วยเจ้าได้ หากเจ้ามีข้าช่วยเหลือ การเป็นศิษย์เอกก็ง่ายนิดเดียว!” แม่นางน้อยประกาศอย่างภาคภูมิใจ หวังเป่าเล่อกระพริบตาปริบๆ ก่อนรีบพูดยกยอปอปั้นนางในทันที จากนั้นเขาก็หันตัวพุ่งไปข้างหน้า

ภารกิจคือให้ฆ่าไอ้ผู้ฝึกตนเมฆหมุนทมิฬ แต่ข้าจะไปหามันจากที่ไหนในดาวที่แสนกว้างใหญ่เช่นนี้ ข้ามีเวลาเพียงเดือนเดียวเท่านั้น หวังเป่าเล่อไม่มีแผนการใดๆ ทั้งสิ้น เขาเพิ่มความเร็วขึ้นท่ามกลางความเงียบ ความเร็วของเขามากเสียจนทำให้เกิดเสียงระเบิดดังปัง หลังจากที่พุ่งไปข้างหน้าอยู่ราวสิบห้านาทีด้วยความเร็วสูง ชายหนุ่มก็ชะงักงันกลางอากาศ

เขาหันหน้าไปมองทางขวาสองสามวินาที ราวกับรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองด้านซ้าย ในระยะไกล มีแหล่งชุมชนหน้าตาเหมือนหมู่บ้านปรากฏขึ้น!

แหล่งชุมชนนั้นไม่ได้ใหญ่ ตึกรามบ้านช่องดูเก่าโทรมและมีหน้าตาเหมือนกระท่อมดินเหนียว บ้านเหล่านั้นมีอยู่ราวร้อยหลังได้ ในตอนนั้นเองที่หวังเป่าเล่อเห็นชนพื้นเมืองแห่งดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬ!

ภาพที่เขาเห็นนั้นต่างจากสิ่งมีชีวิตบนสหพันธรัฐ สำนักวังเต๋าไพศาล และอารยธรรมวีรบุรุษโดยสิ้นเชิง ชนพื้นเมืองบนดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬนั้น มีรูปร่างผอมแห้งและมีศีรษะเล็ก แต่กลับมีขาที่แข็งแรงมาก เพียงแค่ความยาวขาก็ปาไปครึ่งหนึ่งของความสูงทั้งหมดแล้ว

หากมองเร็วๆ พวกเขาดูเหมือนเป็ดไม่มีผิด

นอกจากนี้ทุกคนยังมีผิวสีดำ ดวงตาสองคู่มีเพียงตาขาวไร้ซึ่งตาดำ ขณะนี้ทุกคนกำลังรวมตัวกันที่ใจกลางหมู่บ้าน และกำลังสวดมนต์บูชารูปปั้นอยู่

รูปปั้นนั้นดูแปลกประหลาดยิ่งกว่าคนบูชาเสียอีก กะโหลกของรูปปั้นดูเหมือนชายชราที่ใบหน้าเหี่ยวย่นทุกกระเบียดนิ้ว แต่ลำตัวกลับมีรูปร่างเหมือนนกสีดำที่เรืองแสงสีแดงออกมา

หวังเป่าเล่อประหลาดใจจนอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปใกล้อีกนิด ทันทีที่เขาก้าวขา เหล่าชนเผ่าในหมู่บ้านก็พากันหันขวับมามองเขาที่ลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อเห็นผู้มาเยือนจากต่างดาว สีหน้าทุกคนก็เปลี่ยน พวกเขากรีดร้องตะโกนภาษาที่หวังเป่าเล่อไม่รู้เรื่อง และดูเหมือนจะกลัวจนรีบหนีตายหัวซุกหัวซุน…

หากหวังเป่าเล่อเข้าใจภาษานั้น เขาคงประหลาดใจแน่นอน เนื่องจากทุกคนพากันตะโกนว่าปีศาจได้มาเยือนแล้ว ในสายตาของชนพื้นเมืองเหล่านั้น ชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาต่างจากพวกเขาโดยสิ้นเชิงคนนี้ เปรียบเสมือนปีศาจร้ายน่าสยองขวัญที่ต้องรีบหนีไปให้ไกลไม่มีผิด!

บทที่ 594 เส้นทางชัชวาล!
หลังจากที่ปรับตัวให้ชินกับอาการที่ตามมาหลังการเคลื่อนย้าย และสภาพแวดล้อมใหม่รอบตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กงเต๋าก็พูดขึ้นโดนฉับพลัน

“เป่าเล่อ เยี่ยเหมิง ข้าไปหาอี้ฟานเมื่อหลายวันก่อน เพื่อให้เขาไปแทนข้า แต่หมอนั่นกลับบอกว่าไม่ต้องการเช่นนั้น…”

“กงเต๋า เจ้าคิดมากเกินไป” หวังเป่าเล่อตบบ่าสหาย พลางส่ายหน้าและยิ้ม ตัวเขาเองก็ไปหาจั่วอี้ฟานเพื่อเสนอข้อเสนอนี้เช่นกัน แต่จั่วอี้ฟานก็ปฏิเสธเขากลับ เพราะว่าตัวจั่วอี้ฟานเองไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน และแม้ว่าหวังเป่าเล่อจะมีสิทธ์ตัดสินใจว่าใครจะเข้าร่วมได้ แต่โอกาสนี้ก็เหมาะที่จะเป็นของกงเต๋ามากกว่าอย่างแน่นอน

เมื่อได้ยินดังนั้น กงเต๋าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ภายใน เขาเชิดคางขึ้น มองไปยังเส้นทางที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้าพร้อมสหายทั้งสองข้างกาย

“นี่คงจะเป็นเส้นทางชัชวาลที่ผู้อาวุโสชิวหรันบอกไว้ ข้ารู้สึกได้ถึงไอของวงแหวนปราณที่แผ่ออกมาจากถนนเส้นนี้ ไอนี้เข้มข้นมาก แต่ก็ไม่ได้มีอันตรายแต่อย่างใด!” เจ้าเยี่ยเหมิงสังเกตถนนข้างหน้าอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัยของตนออกมา

“ข้าจะไปก่อนแล้วกัน!” ทันทีที่นางพูดจบ กงเต๋าก็ฉายแววความมุ่งมั่นขึ้นมาในแววตาทันที เขารู้สึกขอบใจหวังเป่าเล่อมากที่ให้โอกาสนี้กับเขา และอยากเป็นคนแรกที่ก้าวไปยังเส้นทางชัชวาลก่อน เพื่อตรวจสอบดูให้แน่ใจแทนเพื่อนทั้งสองว่าไม่มีอันตรายจริงๆ

ดังนั้นกงเต๋าจึงก้าวเท้าเข้าไปยังทางที่ทอดยาวตรงหน้า ก่อนที่หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงจะทันได้ห้าม เมื่อฝ่าเท้าของเขาเหยียบลงบนผืนดิน กงเต๋าก็ตัวสั่นไปทั้งร่าง

สหายทั้งสองรีบพุ่งมาหาเขาทันทีเพื่อสังเกตการณ์ หลังจากที่รออยู่สิบห้านาที ทั้งสองก็เริ่มกระวนกระวายและอยากดึงกงเต๋ากลับมา แต่ชายหนุ่มกลับถอนหายใจยาว

“ข้าเห็นภาพนิมิตเท่านั้น… ไม่มีอันตรายหรอก” ชายหนุ่มก้าวเท้าเดินต่อไปข้างหน้า หลังจากก้าวที่ร้อย เขาก็ตัวสั่นเทาอีกครั้งและนิ่งงันอยู่กับที่

หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงมองกงเต๋า ก่อนหันมามองหน้ากันและพยักหน้าโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขาก้าวเข้าไปบนเส้นทางชัชวาลพร้อมกันแล้วก็พาลตัวสั่นเทา หวังเป่าเล่อรู้แล้วว่ากงเต๋าเห็นสิ่งใด ภาพนิมิตของเขาเลือนรางพร่ามัว ราวกับการเปลี่นแปลกแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินกำลังอุบัติอยู่ตรงหน้าเขา

สายฟ้าสีดำเบื้องบนหายไปเรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนเป็นท้องฟ้าสีฟ้าสดใส พื้นที่ห้ามเข้าที่รายรอบเมื่อก่อนหน้าก็หายไปเช่นกัน แทนที่ด้วยพื้นที่ราบสงบนิ่ง บนท้องฟ้ามีหมู่นกบินว่อนอยู่ แม้กระทั่งยอดเขาสูงทั้งเจ็ดก็ดูน่าเกรงกลัวน้อยลง กลายสภาพเป็นเนินเตี้ยๆ เจ็ดลูกเท่านั้น

ความรู้สึกสงบสุขอบอวลอยู่ในอากาศ ทำให้ผู้ที่อยู่ในโลกแห่งนี้รู้สึกสบายกายสบายใจ หวังเป่าเล่อกระพริบตาปริบ ก่อนสังเกตเห็นลานบนยอดเนินที่เขายืนอยู่

บนลานนั้นมีบ่อน้ำและสุนัขตัวใหญ่นอนเล่นอย่างขี้เกียจอยู่ข้างๆ ชายวัยกลางคนที่ดูไม่ธรรมดา นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ลูบหัวสุนัขของตนไปพลาง เขายิ้มให้เด็กสองคนที่กำลังนำป้ายมาแขวนที่ประตูนอกลาน

เด็กทั้งสองเยาว์วัยและคล่องแคล่วมาก พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็แขวนป้ายเสร็จ หวังเป่าเล่อเห็นคำสองคำที่เขียนอยู่บนป้ายในทันที

“ลานไพศาล”

ภาพหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น ก่อนค่อยๆ สลายหายไป ทุกสิ่งกลับมาคงเดิมอีกครั้ง ทั้งสายฟ้าสีดำ พื้นที่ต้องห้ามโดยรอบ และยอดเขาตระหง่านน่าสะพรึงกลัวทั้งเจ็ด!

หวังเป่าเล่อเงียบอยู่สักพัก เมื่อหันไปมองข้างๆ เขาก็เห็นว่าเจ้าเยี่ยเหมิงลืมตาตื่นขึ้นแล้วเช่นกัน

“เส้นทางชัชวาลแสดงประวัติศาสตร์การก่อตั้งสำนักวังเต๋าไพศาลให้เราดูเช่นนั้นหรือ…” นางพึมพำแผ่วเบา หวังเป่าเล่อเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ทั้งสองก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป

จากระยะไกล จะมองเห็นหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงเรียงแถวกันอยู่ ส่วนกงเต๋าอยู่ห่างออกไปร้อยก้าว ทั้งสามกำลังเดินทางไปสู่ยอดเขา ท่ามกลางสายฟ้าสีดำและพื้นที่ต้องห้ามโดยรอบ

หนึ่งร้อยก้าวต่อมา ภาพนิมิตที่สองก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าหวังเป่าเล่อ ท้องฟ้าเป็นสีเทาด้วยเมฆหม่น เมืองถูกสร้างขึ้นบนลานกว้างนั้น เนินเตี้ยๆ กลายสภาพเป็นเทือกเขาสูงใหญ่ ลานกว้างเมื่อก่อนหน้าเปลี่ยนแปลงเป็นตึกนับร้อย พื้นที่สีเขียวปกคลุมทั้งยอดเขา ทำให้บริเวณทั้งหมดดูลึกลับอย่างบอกไม่ถูก

ศิษย์ของสำนักไม่ได้มีอยู่สองคนอีกต่อไป แต่เป็นศิษย์นับหมื่นนับแสนที่กำลังยุ่งวุ่นอยู่กับการทำกิจกรรมของตนเอง แสงอาทิตย์ส่องสว่างบนป้ายที่แขวนอยู่ตรงทางเข้าภูเขา

ป้ายนั้นไม่ได้เขียนว่า ‘ลานไพศาลอีกต่อไป’ หากแต่เป็นคำอื่น!

ตระกูลไพศาล!

ทุกหนึ่งร้อยก้าวที่ก้าวเดิน นิมิตใหม่จะอุบัติขึ้นให้พวกเขาเห็น ยิ่งทั้งสามเข้าไปลึกในหุบเขาเท่าไร แรงกดดันบนตัวพวกเขายิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ราวกับกำลังท้าทายขีดกำกัดของร่างกายทั้งสาม

ในตอนแรกกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงยังทนแรงกดดันนั้นได้ แต่เมื่อเข้าไปลึกขึ้น ก็เหลือหวังเป่าเล่ออยู่เพียงคนเดียวที่ยังเดินด้วยความเร็วปกติอยู่ เขาช่วยกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงไม่ได้เลย แต่ก็รู้ดีว่าบนเส้นทางชัชวาลนี้ ไม่ได้มีอันตรายซ่อนอยู่ ดังนั้นแรงกดดันที่พวกเขารู้สึกอยู่นี้ เป็นเหมือนการฝึกร่างกายมากกว่าภัยที่หมายทำร้าย

แน่นอนว่าการฝึกร่างกายไม่จำเป็นสำหรับหวังเป่าเล่อ แต่เป็นโอกาสทองของเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าที่จะทำให้ตนเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

หลังจากที่หันไปตรวจดูว่าเพื่อนทั้งสองปลอดภัยดี หวังเป่าเล่อก็ดูนิมิตที่สาม สี่ และห้าต่อไป ราวกับกำลังเล่นเกมอย่างไรอย่างนั้น

ภาพทั้งสามที่เขาดูต่อมานั้นเหมือนกัน โดยแสดงว่าหลายปีต่อมามีอยู่สองสามสำนักย่อยในตระกูลไพศาล ที่มีผลงานและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูล สำนักย่อยเหล่านั้นปกครองดาวเคราะห์ของตน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคจักรพิภพ ที่แผ่ขยายอาณาเขตจากดาวดวงเดียวไปเป็นทั้งระบบจักรพิภพ แม้ความยากลำบากในการขยายอำนาจจะไม่ได้อยู่ในนิมิต แต่หวังเป่าเล่อก็เดาได้ว่ากว่าจะมีวันนี้ได้ ต้องใช้ความพยายามของหลายต่อหลายชั่วอายุคน จึงทำให้ตระกูลไพศาลควบคุมจักรพิภพย่อยได้มากมาย จนปกครองได้ทั้งเขต และกลายเป็นตระกูลที่มีอำนาจสูงสุดในบริเวณนั้น!

ระหว่างทางนี้ สำนักได้เปลี่ยนชื่ออยู่สามครั้ง นิมิตที่สามแปรเปลี่ยนเป็นนิมิตที่สี่ที่ใช้ชื่อว่าสำนักศึกษา ก่อนในนิมิตที่ห้าจะเปลี่ยนเป็นวัง ในตอนนั้นเองที่ชื่อของสำนักเปลี่ยนไปเป็น ‘สำนักวังเต๋าไพศาล’!

แม้ภาพนิมิตที่แสดงให้เห็นจะเป็นเพียงเสี้ยวเดียวของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่ผู้รับสาสน์ก็รู้สึกได้ถึงความรุ่งโรจน์ชัชวาลของสำนักในอดีต จากลานเล็กๆ ค่อยๆ หลายเป็นสำนักที่ยึดครองเขตจักรพิภพทั้งหมด แม้จะไม่ได้มาจากสำนัก แต่หวังเป่าเล่อก็ลุ้นให้พวกเขาเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดได้ เขารู้สึกได้ว่าก่อนที่ภัยพิบัติจะเข้ามาทำลายสำนักวังเต๋าไพศาล บรรยากาศของทั้งสำนักคงเต็มไปด้วยความหวัง และความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่อนาคต

เมื่อเดินไปจนสุดถนนสายนี้ ข้าก็คงรู้ประวัติศาสตร์สำคัญทั้งหมดของสำนักวังเต๋าไพศาล อันจะทำให้ข้ารู้สึกภูมิใจในตัวสำนักแห่งนี้เป็นอันมาก… หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก รู้สึกได้ถึงความเคารพในสำนักที่เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจ หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าภาพความรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ในนิมิต ช่างแตกต่างจากภาพพื้นที่รกร้าง สายฟ้าสีดำ พื้นที่ต้องห้าม และทะเลเพลิง อันเป็นชีวิตจริงของสำนักวังเต๋าไพศาลในตอนนี้เหลือเกิน

เมื่ออดีตอันสวยงามถูแทนที่ด้วยความจริงอันแสนโหดร้าย หวังเป่าเล่อก็ได้แต่ส่ายศีรษะ เมื่อเข้าเดินถึงยอดเขา ชายหนุ่มก็วางก้าวสุดท้ายลงบนเส้นทางชัชวาล

เมื่อเท้าของเขาสัมผัสผืนดิน ภาพนิมิตที่หกก็ปรากฏขึ้น หวังเป่าเล่อคิดว่าตนเองจะเห็นการล่มสลายของสำนัก แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ากลับเป็นภาพที่เขาคุ้นเคย

ชายวัยกลางคนผมสีเงินขาวพาเด็กหญิงน้อยแก้มยุ้ยมายังสำนักวังเต๋าไพศาล สำนักต้อนรับการมาถึงของทั้งสองอย่างยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งปรมาจารย์สูงสุดยังมาคารวะเขาด้วยตนเอง ในนิมิตนั้น เด็กน้อยมองไปรอบๆ อย่างสนใจใครรู้ ภาพนั้นสลายหายไปกลายเป็นนิรันดร์

“แม่นางน้อย…” หวังเป่าเล่อชะงัก ก่อนพึมพำกับตนเองท่ามกลางความเงียบงัน ภายนั้นค่อยๆ สลายหายไปอย่างช้าๆ หวังเป่าเล่อก้าวออกจากเส้นทางชัชวาล เขายืนอยู่บนยอดเขา เบื้องหน้าเป็นวัง เบื้องหลังเป็นถนนสายที่เคยก้าวเดิน

เวลาเดินผ่านไปอย่างช้าๆ หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้น รอเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าให้มาถึง จิตใจของเขากลับมาสงบนิ่งอีกครั้งขณะยืนมองวังที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า วังนั้นยิ่งใหญ่อลังการด้วยเสาค้ำมโหฬาร ค้ำยันท้องฟ้าที่ทำหน้าที่เหมือนกำแพงไพศาล รูปปั้นหนึ่งตั้งอยู่หน้าวังพร้อมด้วยบรรยากาศของอำนาจอันเปี่ยมล้น วังนี้ดูเก่าแก่เอาการผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายชั่วอายุคน

หวังเป่าเล่อรู้จักคนในรูปปั้น เขาคือชายวัยกลางคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในนิมิตแรกนั่นเอง

ชายผู้นี้คงจำเป็นปรมาจารย์สูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาล!

แม้วังนี้จะตั้งอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของตัวดาบ แต่ก็ยังคงสภาพดีอยู่ได้ เขาที่ยืนอยู่หน้าวังนี้เปรียบเสมือนปุถุชนคนธรรมดา ที่ยืนอยู่แทบเท้ายักษ์ปักหลั่น หวังเป่าเล่อกำลังสังเกตสภาพตรงหน้า ก่อนได้ยินเสียงกระหืดกระหอบเบื้องหลัง กงเต๋ามาถึงแล้ว พร้อมด้วยแววตาโชติช่วง แม้ตัวจะยังสั่นเทาอยู่ ร่างกายของเขาผ่านการฝึกจากแรงกดดันบนเส้นทางชัชวาล อันทำให้เขาแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ห้านาทีต่อมาเจ้าเยี่ยเหมิงก็มาถึงเช่นกัน

นางมีร่างกายที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาสหายทั้งสาม จึงทำให้นางได้ประโยชน์มากที่สุดจากเส้นทางชัชวาล

“เราเข้าไปยังเจ็ดวังบูชากันเถิด!” หลังจากที่สหายทั้งสองพักจนหายเหนื่อยเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น ดวงตาสว่างจ้าด้วยความมุ่งมั่นคาดหวัง!

บทที่ 593 ตำหนักวังบูชา!
หวังเป่าเล่อมีมาดของผู้ยิ่งใหญ่มั่งคั่งที่ควรค่าแก่การเคารพ เมื่อเขาใช้แต้มการรบที่ได้มาจากธุรกิจเกม ซื้อกระบวนเวทจำนวนมากจากหอตำรากระบวนเวทไพศาล ผู้คนมากมายห้อมล้อมเขาเพื่อสังเกตการณ์ ขณะที่ชายหนุ่มส่งกระบวนเวทกลับไปสหพันธรัฐที่ละอันผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ส่วนด้านสหพันธรัฐนั้นกำลังตกใจเป็นล้นพ้น!

หลี่ซิงเหวินที่ยืนอยู่นอกวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายบนดาวพุธ ดวงตาแทบหลุดออกจากเบ้า เขามองไปที่กระบวนเวทที่ปรากฏขึ้นทีละอันกลางวงแหวนปราณที่ทอแสงเรืองรอง ด้วยสายตาเหมือนต้องมนต์สะกด

ส่วนต้วนมู่ฉือก็เริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย ตั้งแต่หวังเป่าเล่อส่งกระบวนเวทสิบแปดวิชากลับมาเมื่อก่อนหน้า เขาก็เริ่มจับตาสังเกตการณ์เรื่องนี้อยู่ทุกความเคลื่อนไหว ผ่านนวัตกรรมภาพฉายของสหพันธรัฐ

ภาพฉายของต้วนมู่ฉือหันหลับขวับมาในทันที เมื่อจับได้ว่าวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเริ่มเรืองแสง ตอนแรกเขาดีใจกับภาพที่เห็น แต่ความดีใจนั้นก็คงอยู่ได้แค่ยี่สิบลมหายใจเท่านั้น เมื่อเห็นว่าทุกวินาทีจะมีกระบวนเวทใหม่ปรากฏขึ้น ต้วนมู่ฉือก็เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง หัวใจสั่นระรัวไปหมด

“ยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสอง…”

“สามสิบเจ็ด สามสิบแปด…”

“สี่สิบสอง สี่สิบสาม…”

ผู้ที่ตกใจไม่แพ้กันคือผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่ยืนอารักขาอยู่ ทุกคนตาเบิกกว้างเมื่อเห็นแสงเรืองรองที่ใจกลางวงแหวนเคลื่อนย้าย และจำนวนกระบวนเวทที่ถูกส่งกลับมา แม้จะมีกระบวนเวทมากมายปรากฏขึ้นที่ใจกลางวงแหวนนี้ในปีที่ผ่านมา แต่ปรากฏการณ์ในครั้งนี้ถือว่ามาแรงแซงโค้งไปอย่างเทียบกันไม่ติด!

ทั่วทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบงัน ต้วนมู่ฉือสำลักความตกใจ แต่กระบวนการเคลื่อนย้ายยังไม่จบลงเพียงแค่นั้น จนกระทั่งเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบลมหายใจผ่านไป

จำนวนกระบวนเวทที่ถูกส่งกลับมาในครั้งนี้ คือหนึ่งร้อยสี่สิบกระบวนเวท!

กระบวนเวทยี่สิบวิชาสุดท้ายถูกโยนมาพร้อมกันในคราวเดียว ราวกับว่าคนที่ส่งกลับมาเริ่มหงุดหงิดกับความช้าของระบบ…

ภาพนี้ทำให้ทุกคนในสหพันธรัฐที่กำลังเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ตกใจเป็นล้นพ้น จนอดอุทานออกมาไม่ได้

“หนึ่งร้อย… สี่สิบวิชา!”

“นั่นกระบวนเวทจริงๆ นะหรือ ทำไมข้ารู้สึกเหมือนผักปลาที่เหมาเข่งซื้อมามากกว่า”

ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอื้ออึง หลี่ซิงเหวินควบคุมตนเองให้ยังใจเย็นอยู่ได้ ขณะรีบไปคว้าเอากระบวนเวททั้งหนึ่งร้อยสี่สิบวิชานั้นเอาไว้ หลังจากที่ลองอ่านดูทีละอัน สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดดูประหลาด แต่ก็ไม่ได้ดูเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด ท่านหันไปมองต้วนมู่ฉือที่กำลังตกใจ

“มู่ฉือ เจ้าต้องตระเตรียมอะไรบางอย่างแล้ว ดูเป็นไปได้มากว่าเจ้าจะต้องลงจากเก้าอี้ เมื่อหวังเป่าเล่อกลับมาจากดวงอาทิตย์…”

“ทั้งหมดนี้มาจากหวังเป่าเล่อหรือ” ต้วนมู่ฉือตัวสั่น เขาไม่เชื่อจึงรีบรุดเข้ามาดูกระบวนเวททั้งหมดด้วยตนเอง ยิ่งตรวจดูมากเท่าไหร่ สีหน้าของต้วนมู่ฉือก็ยิ่งกระอักกระอ่วนมากขึ้นเท่านั้น ในใจของประธานสหพันธรัฐเต็มไปด้วยความรู้สึกอับจนหนทางและความสุขไปในเวลาเดียวกัน สุดท้ายแล้วต้วนมู่ฉือก็ถอนหายใจยาวออกมา เขารู้สึกเหมือนว่าตนเองได้จัดการเลื่อยขาเก้าอี้ของตนเองเสียเสร็จสรรพ ถึงจะส่งจินตั้วหมิงไปสู้แล้ว แต่หวังเป่าเล่อก็ยังคงถือไพ่เหนือกว่าอยู่ดี

“ข้าว่าเรื่องนี้ต้องฉลอง ฮ่าๆ ข้ารอให้หวังเป่าเล่อกลับมารับตำแหน่งประธานสหพันธรัฐไม่ไหวแล้ว!” ต้วนมู่ฉือกระแอมกระไอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เขาดูมั่นใจเป็นอันมาก จนทำให้ใครก็อ่านไม่ออกว่าจริงๆ แล้ว ลึกๆ ในใจของเขาเป็นอื่นหรือไม่ หลี่ซิงเหวินกระแอมก่อนกล่าวเตือนความจำ

“เมื่อรวมกับกระบวนเวทที่หวังเป่าเล่อส่งมาเมื่อก่อนหน้า ก็เป็นหนึ่งร้อยห้าสิบแปดพอดี…”

เมื่อได้ยินดังนั้น ท่านประธานสหพันธรัฐก็ตัวสั่น

บัดซบเอ๊ย… ข้ายังเป็นประธานสหพันธรัฐมาไม่ถึงสิบปีเลย… หากข้าขอสละตำแหน่งเองหลังจากทิ้งผลงานเอาไว้ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นแบบนี้จะดูเหมือนโดนบังคับให้สละเก้าอี้มากกว่า นี่มันบ้าอะไรกัน แบบนี้ข้าก็เสียหน้าสิ! ต้วนมู่ฉือกระวนกระวายเป็นอันมาก เขาคิดว่าตนเองยังโชคดีอยู่ที่มีปราณระดับจุติวิญญาณ ต่อให้เขาไม่ยอมลงจากตำแหน่งเอง หวังเป่าเล่อก็ยังเอาชนะเขาไม่ได้ในการประลองอยู่ดี… แต่เมื่อนึกถึงข้อมูลล่าสุดที่ได้มาจากสำนักวังเต๋าไพศาล เกี่ยวกับความสามารถในการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อแล้ว เขาก็หมดความมั่นใจอย่างรวดเร็ว

หรือว่าข้าควรจะเปลี่ยนระบบโครงสร้างอำนาจในสหพันธรัฐมันเสียเลย ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะกลับมา เช่น เพิ่มจำนวนลำดับขั้นของขุนนางเหนือระดับสองชั้นรองขึ้นมาอีกสิบขั้น เขาถอนหายใจเพราะรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ก่อนอารมณ์จะเริ่มดิ่งสู่ความหัวเสียอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ต้วนมู่ฉือกำลังหงุดหงิดกระวนกระวายใจอยู่นั้น หวังเป่าเล่อที่อยู่ในลานสาธารณะของสำนักวังเต๋าไพศาล บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ กำลังยืนตบพุงตนเองอย่างพออกพอใจในผลงาน แม้จะไม่เห็นสีหน้าของต้วนมู่ฉือในตอนนี้ แต่ชายหนุ่มก็เดาได้ว่าประธานสหพันธรัฐ คงกำลังทรมานใจกับเมฆดำทะมึนที่ลอยต่ำอยู่เหนือศีรษะ

ริอาจจะมาแข่งกับข้าเช่นนั้นหรือ เจ้าต้วนมู่น้อย ถ้าคิดว่าการส่งกระบวนเวทกว่าร้อยวิชากลับไปเป็นจุดจบ ก็คิดใหม่เสียเถิด ข้าจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่านั้นอีก การต่อสู้แย่งเก้าอี้สูงสุดในอาณาจักรของเราสองคน ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้หรอกนะ! หวังเป่าเล่อกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก เขาเชิดคางขึ้นด้วยความทะนงตน ศิษย์จากสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลรอบกายต่างมองเขาด้วยความตกใจ ชายหนุ่มเดินออกจากลานสาธารณะ เพื่อมุ่งหน้าไปยังถ้ำที่พักของเฟิ่งชิวหรัน

หวังเป่าเล่อไม่ได้พาเจ้าลามาด้วย เนื่องจากเจ้าลาของเขากำลังใจจดใจจ่อกับการเล่นเกม จนไม่ทำอะไรนอกจากออกไปนอกบ้านเป็นบางครั้งเพื่อหาของกิน ซึ่งช่วยลดภาระการดูแลมันไปได้มาก

กว่าหวังเป่าเล่อจะไปถึงถ้ำที่พักของเฟิ่งชิวหรันก็เกือบเย็นแล้ว ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าก็รีบกระหืดกระหอบมา ทันทีที่ได้รับข้อความ

ทั้งสามเจอกันที่หน้าที่พักของเฟิ่งชิวหรัน ก่อนทักทายท่านผู้อาวุโสอย่างพร้อมเพรียงกัน เฟิ่งชิวหรันส่งใบต้นไฮยาซินสามใบให้หวังเป่าเล่อ ดวงตาเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

นางตกลงอนุญาตให้หวังเป่าเล่อแบ่งใบทั้งสามให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าด้วย เนื่องจากเฟิ่งชิวหรันทราบว่าเจ้าเยี่ยเหมิงก็ได้รับกระบวนเวทจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นมาด้วยเช่นกัน จึงทำให้นางได้รับตำแหน่งศิษย์สำนักในไปโดยปริยาย แม้จะตกรอบการแข่งขันก็ตามที

เฟิ่งชิวหรันเองให้ความสำคัญกับสถานะนั้นเป็นอันมาก ส่วนสำหรับกงเต๋า แม้เขาจะไม่ได้รับวิชาจากดินแดนแห่งการสืบทอดมาเหมือนจั่วอี้ฟาน แต่หากหวังเป่าเล่อเลือกส่งใบไม้ให้จั่วอี้ฟานที่ไม่ได้เข้าแข่งขันแทน คงจะไม่เหมาะสมเป็นอันมาก

ยังโชคดีที่จั่วอี้ฟานเองก็เข้าใจในเรื่องนี้ จึงไม่ได้ประท้วงอะไร เฟิ่งชิวหรันไม่ต้องการแทรกแซงการตัดสินใจระหว่างหวังเป่าเล่อและสหาย จึงเดินพาทั้งมายังภูเขาบนเกาะหลักของตำหนัก หลังจากที่มอบใบไม้ให้ผู้ชนะเรียบร้อยแล้ว

กระบวนการตระเตรียมวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายบนภูเขาเสร็จสมบูรณ์แล้ว เมี่ยเลี่ยจื่อและโยวหรันไม่ได้มาด้วย เนื่องจากเรื่องนี้จัดการฝ่ายของเฟิ่งชิวหรันเท่านั้น แต่ผู้ที่มาร่วมสังเกตการณ์ด้วยคือประมุขสวี หลังจากที่ตรวจดูว่าปลอดภัยดี ประมุขสวีก็ทักทายทั้งสามด้วยการทำมือคารวะ และรอยยิ้มบนใบหน้า

“ข้าขออวยพรให้พวกเจ้าทั้งสามเดินทางโดนปลอดภัย ไปสู่จุดสูงสุด และได้รับสถานะของศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาลมาครอบครอง!”

หวังเป่าเล่อมองประมุขสวีในมุมใหม่เรียบร้อย จึงทำมือคารวะตอบกลับไปเช่นกันเพื่อรับคำอวยพรนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าก็คารวะท่านกลับเช่นกัน หลังจากนั้นทั้งสามก็หันมามองหน้ากัน ก่อนก้าวขึ้นไปบนวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายอย่างพร้อมเพรียง

ผู้ฝึกตนจากฝ่ายของเฟิ่งชิวหรันสร้างผนึกมือ วงแหวนปราณเคลื่อนเริ่มเดินเครื่อง สีหน้าของเฟิ่งชิวหรันเคร่งขรึมจริงจัง นางมองสามสหายและกล่าวเตือนพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย

นางบอกให้พวกเขาตื่นตัวระวังตนอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังบอกวิธีการเข้าไปยังตำหนักวังบูชาอีกด้วย

“ตำหนักวังบูชานั้นมีสองส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือเส้นทางชัชวาล ส่วนที่สองคือเจ็ดวังบูชา เส้นทางชัชวาลนั้นไม่มีภัยอันตรายใดๆ เนื่องจากเป็นส่วนที่ใช้ทดสอบเพียงเท่านั้น ว่าพวกเจ้าควรค่าพอที่จะเข้าไปยังเจ็ดวังบูชาหรือไม่ ส่วนเจ็ดวังบูชานั้นเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างแน่นอน!

“พวกเจ้าทั้งสามต้องตื่นตัวอยู่เสมอ อย่าเอาชีวิตไปทิ้งเพียงเพื่อการทดสอบนี้ จากความเข้าใจของข้า หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงได้รับวิชาสืบทอดมาจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นมา ทันทีที่เข้าไปยังตำหนัก พวกเจ้าจะได้รับการยกเว้น ไม่ต้องทดสอบด่านแรกๆ และเข้าไปรับการทดสอบการเป็นศิษย์สืบทอดได้ในทันที!

“เมื่อทำสำเร็จ พวกเจ้าจะได้เป็นศิษย์สืบทอดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล!

“ท้ายที่สุดแล้ว ขอให้พวกเจ้าโชคดี!”

เฟิ่งชิวหรันสร้างผนึกมือและชี้ไปยังวงแหวนปราณ เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่ว หวังเป่าเล่อและสหายที่อยู่ในวงแหวนปราณสายตาพร่ามัวในบัดดล ทั้งสามรู้สึกถึงแรงบีบอัดที่กระทำต่อร่างของพวกเขา อันเป็นสัญญาณว่าทั้งสามกำลังเคลื่อนย้ายไปยังจุดหมายปลายทาง หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว วงแหวนปราณก็ใช้เวลานานพอตัวกว่าจะกลับมาอยู่ในสภาพปกติ

“หวังว่าทั้งสามจะเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย” หลังจากที่คณะของหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว ประมุขสวีจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพก็พึมพำกับตนเอง ก่อนหันมามองเฟิ่งชิวหรันพร้อมกระแอมกระไอ

“ท่านผู้อาวุโสชิวหรัน ท่านตัดสินใจแล้วหรือยัง ซิงเหวินพี่ข้านั้นรักเจ้าด้วยใจจริง”

เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชิวหรันก็เริ่มปวดหัวขึ้นมาทันที นางจ้องประมุขสวี

“ให้หลี่ซิงเหวินมาบอกข้าด้วยตนเองเถิด!” แล้วนางก็รีบรุดจากไป

ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จากฝ่ายของเฟิ่งชิวหรันมองหน้ากันก่อนจะจากไปเช่นกัน หลายคนเก็บความลับไว้ไม่ได้ จึงเริ่มเอาเรื่องนี้ไปพูดคุยกันในมุมข่าวและเรื่องซุบซิบบนเครือข่ายวิญญาณ เรื่องราวระหว่างหลี่ซิงเหวินและเฟิ่งชิวหรันแพร่กระจายไปในโลกเครือข่ายวิญญาณอย่างรวดเร็ว!

ในเวลาเดียวกันนั้น เทือกเขาหน้าตาประหลาดตั้งตระหง่านอยู่ในบริเวณต้องห้าม ในส่วนลึกของตัวดาบ!

เทือกเขานี้มีทางเดินทางเดียว แต่มีทั้งหมดเจ็ดยอดด้วยกัน แต่ละยอดลดหลั่นกันไปเหมือนขั้นบันได โดยยอดถัดไปสูงกว่ายอดก่อนหน้า!

รอบเทือกเขานั้นไม่มีทะเลเพลิงห้อมล้อม แต่ถูกโอบด้วยสายฟ้าสีดำนับไม่ถ้วน ที่ฟาดฟันอากาศอย่างไม่หยุดยั้ง ปรากฏการณ์นี้ทำให้ยอดเขาทั้งเจ็ดดูน่าพรั่นพรึงมาก!

บนยอดเขาแต่ละยอดมีวังใหญ่โตอลังการณ์ตั้งอยู่ เส้นทางเส้นเดียวที่ทอดผ่านเทือกเขาเรืองแสงขึ้น ก่อนที่หวังเป่าเล่อและสหายจะปรากฏกายขึ้น!

เสียงฟ้าคำรามดังต้อนรับทั้งสามในทันที สายฟ้าพิโรธทวีความรุนแรงขึ้นอีก จนส่องให้เห็นป้ายที่ระบุว่าเส้นทางขึ้นเขานี้กำลังปิดปรับปรุง ทั้งสามมองเห็นคำสามคำที่ระบุไว้ชัดเจนบนป้าย!

ตำหนักวังบูชา!

บทที่ 592 นักหลอมอาวุธเวทระดับแปด!
ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อหลอมอาวุธเวทระดับแปดแบบใช้ครั้งเดียวสำเร็จแล้ว และยังหลอมอาวุธเวทระดับแปดใช้ได้หลายครั้งสำเร็จเป็นครั้งคราว

อุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ทำให้หวังเป่าเล่อยังหลอมอาวุธเวทระดับแปดที่แท้จริงไม่สำเร็จนั้น คือจิตสัมผัสวิญญาณที่ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ แม้จิตสัมผัสนั้นจะพัฒนาขึ้นบ้างจากผลไม้ที่เขาถือครอง แต่พัฒนาการนั้นก็จัดว่าช้าเสียเหลือเกิน บัดนี้ทุกสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว หลังจากที่ชายหนุ่มบรรลุปราณระดับกำเนิดแก่นในขั้นปลายระหว่างลงแข่งขัน และเดินหน้าฝึกจนเข้าใกล้ขั้นสมบูรณ์แบบเข้าไปทุกที!

จิตสัมผัสวิญญาณของหวังเป่าเล่อพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดตามขั้นปราณของเขา จึงทำให้การหลอมอาวุธเวทระดับสูงง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก

เมื่อมีวัสดุพร้อม ชายหนุ่มก็ลองเริ่มกระบวนการดูเพื่อทดสอบ แล้วก็พบว่าประสบการณ์การหลอมของตนเองแตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจลองหลอมอาวุธเวทดูหลังจากที่พลังปราณในกายเสถียรเรียบร้อยแล้ว และบรรลุวิชาประจำตัวสำเร็จ

เจ็ดวันผ่านไป ชายหนุ่มพยายามหลอมอาวุธเวทระดับแปดอยู่หลายครั้ง ตั้งแต่แบบใช้ครั้งเดียว ไปจนถึงแบบที่ทรงพลังกว่า ในที่สุดเขาก็สร้างอาวุธเวทระดับแปดที่แท้จริงได้สำเร็จ ชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจเป็นอันมากกับผลลัพธ์นี้

ในที่สุด… ข้าก็หลอมอาวุธเวทระดับแปดสำเร็จ! จิตใจของชายหนุ่มปั่นป่วนด้วยความรู้สึกมากมาย เขามองกระดิ่งที่ตนเองเพิ่งหลอมเสร็จตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาลองสั่นดูสองสามครั้ง เสียงกระดิ่งสั่นไหวดังก้องไปทั่วบริเวณ เมื่อนึกถึงตอนที่ตนเองจะกักขังคนไว้ในนี้ในอนาคต เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขล้น

ข้ามีอาวุธเวทระดับแปดแบบใช้ครั้งเดียวอยู่เยอะแยะไปหมด ต่อไปนี้ข้าจะโยนพวกนี้ออกมาก่อนให้คู่ต่อสู้ทำลาย ก่อนใช้ของจริง! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจ เขาอยากจะฉลองความสำเร็จนี้และตบพุงตนเองตามนิสัยเดิม เมื่อมือของหวังเป่าเล่อสัมผัสกับพุง ก็พบว่าตนเองเริ่มมีไขมันวิญญาณสะสมมากขึ้นแล้ว กระนั้นเขาก็ยังคิดว่าตนเองผอมมาก จึงหยิบถุงขนมออกมาสองสามถุง และรีบเปิดกินอย่างสุขใจในทันที

นอกจากนี้ชายหนุ่มยังหยิบเอาน้ำเย็นหล่อวิญญาณออกมาห้าขวด และรีบดื่มเข้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่ออิ่มเอมพอใจเป็นที่เรียบร้อย เขาก็เดินหน้าหลอมอาวุธต่อ โดยสิ่งที่ดำเนินการปรับปรุงต่อไปคือโทรโข่งอาวุธเวทระดับเจ็ด

ชายหนุ่มไม่ได้ใช้โทรโข่งมานานมาก เพราะระดับพลังของโทรโข่งเมื่อก่อนหน้านี้ต่ำเกินไป กระนั้นเขาก็ยังชอบอาวุธเวทของเขาชิ้นนี้เหลือเกิน ด้วยองค์ความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้น หวังเป่าเล่อจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะหยิบของเล่นชิ้นโปรด ออกมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม

นอกจากโทรโข่งแล้ว ก็ยังมีเชือกประหลาดและผนึกยักษ์คู่ใจ ทั้งสองนี้มีนิสัยแปลกประหลาดเป็นของตนเอง จึงทำให้เป็นอาวุธเวทที่แตกต่างจากเพื่อนมาก หวังเป่าเล่อยังคงปรับปรุงทั้งสองอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา

สี่วันผ่านไป ชายหนุ่มเปลี่ยนอาวุธเวททั้งสามชิ้นให้ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับแปดเป็นที่เรียบร้อย เขาหยิบเอากระเป๋าคลังเก็บออกมา เมื่อคิดถึงแถบผ้าที่ระเบิดไปขณะต่อสู้กับตู้กูหลินนั้น หัวใจของเขาก็เจ็บแปลบ

น่าเสียดายเหลือเกิน… ชายหนุ่มถอนหายใจ เขานึกถึงคลังอาวุธของตนเองอันประกอบไปด้วย กระบี่เหาะเหินสามสี และอาวุธเวทระดับแปดอีกสองสามชิ้น แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่ามันออกจะน้อยไปสักหน่อย แต่ตัวเขาเองก็วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าตนเองขาดอาวุธเวทป้องกันจำนวนมาก แม้กระดิ่งที่เพิ่งหลอมเสร็จเมื่อก่อนหน้าจะถือว่าเป็นอาวุธเวทป้องกันชนิดหนึ่ง แต่ก็ยังเหมาะกับการกักขังคู่ต่อสู้มากกว่าปกป้องตัวเขา

ประกายความมุ่งมั่นวาวโรจน์ในแววตาของชายหนุ่ม เขาคิดว่าตนเองควรหลอมอาวุธเวทระดับแปดที่เอาไว้ใช้ป้องกันตนเอง ส่วนหน้าตาของอาวุธนั้น เขาคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตกลงปลงใจว่าสิ่งที่จะปกป้องชีวิตของเขาได้นั้น ควรจะเป็นชุดเกราะ!

ชุดเกราะนั้นไม่ควรหนาเกินไป และควรจะใส่ได้พอดีตัว แต่ก็ไม่ทำให้การใช้วิชาเกราะจักรพรรดิของเขาติดขัดเช่นกัน หากเขาต้องต่อสู้ในเหตุการณ์ที่คล้ายกับการเผชิญหน้ากับตู้กูหลินอีกครั้ง ต่อให้เกราะจักรพรรดิแตกสลายลง หวังเป่าเล่อก็จะยังมีชุดเกราะนี้ช่วยคุ้มกัน เมื่อเกราะนี้ประกอบกับร่างกายที่แข็งแกร่งของเขา จะทำให้ชายหนุ่มป้องกันตนเองจากการโจมตีที่เจอมาเมื่อก่อนหน้าได้แน่นอน

หากตอนนี้เขาอยู่บนโลกแทนที่จะเป็นดวงอาทิตย์ เขาอาจไม่มีวัตถุดิบเพียงพอที่จะใช้หลอมได้ แต่แน่นอนว่าสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้มีคำตอบ เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ในการฝึกปราณมีอยู่มากมาย หลังจากที่เลื่อนดูเครือข่ายวิญญาณอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นวัตถุดิบชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า เศษเสี้ยวแห่งความมืด

เศษเสี้ยวแห่งความมืดนี้มีคุณสมบัติการเก็บความทรงจำ และยังมีพลังการป้องกันที่หวังเป่าเล่อพึงพอใจ นอกจากนี้มันยังส่งพลังการโจมตีสะท้อนกลับได้อีกด้วย หลังจากที่เขาเลือกวัตถุดิบหลักได้เรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินหน้าหลอมอาวุธของตนเองต่อไป

คราวนี้เขาตั้งใจกับมันเป็นอย่างมาก จนใช้เวลาถึงครึ่งเดือนกว่าจะหลอมเกราะเศษเสี้ยวแห่งความมืดเสร็จ เมื่อเห็นว่ายังมีวัตถุดิบเหลืออยู่พอสมควร หวังเป่าเล่อก็คิดถึงการซ่อมหอกสีดำระดับเก้าขึ้นมา

เขาคิดเอาไว้เรียบร้อยโดยละเอียดแล้ว ว่าตนเองจะซ่อมหอกสีดำอย่างไร หลังจากที่คำนวณอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็เดินหน้าในทันที เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะซ่อมหอกที่เขาพบจากการผจญภัยในบริเวณตัวดาบให้ได้

แต่ด้วยความที่หวังเป่าเล่อยังหลอมอาวุธเวทระดับเก้าไม่ได้ กระบวนการการซ่อมก็ไม่สมบูรณ์แบบเช่นกัน กระนั้นชายหนุ่มก็ยังมีวัตถุดิบมากพอ และยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อทำให้การซ่อมแซมเรียบร้อยขึ้น สุดท้ายแล้วเขาก็ปรับปรุงหอกให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติได้เป็นส่วนมาก แม้จะยังมีบางช่วงที่ไม่เสร็จสมบูรณ์ หวังเป่าเล่อโบกมือ ก่อนที่หอกจะพุ่งหลาวไปข้างหน้าพร้อมไออำมหิต

ไอนั้นอบอวลด้วยควันสีดำ ภายในกลุ่มควันมีงูสีดำเลื่อมที่มีปีกหนา งูตัวนั้นหันกลับมามองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเย็นชา

ทันทีที่ทั้งสองประสานสายตากัน หัวใจของหวังเป่าเล่อก็เย็นวาบ เขาตัวสั่นก่อนจะตระหนักได้ว่า หอกนี้ไม่ต่างกับกระบี่เหาะเหินสามสีแม้แต่น้อย

แม้จะไม่แข็งแกร่งเท่าอาวุธเวทระดับเก้า แต่หวังเป่าเล่อก็ยังพึงพอใจในพลังของมัน เขายกมือขึ้นเพื่อจะเก็บหอกกลับเข้ากระเป๋า แต่ทันทีที่มือของเขาเข้าไปใกล้ งูร้ายก็พุ่งพรวดออกจากควัน หมายกัดมือของเขาให้จมเขี้ยว

ชายหนุ่มเจ้าของหอกนิ่งอยู่กับที่ เขาไม่ได้ชะงักมือ แต่ดีดนิ้วทันทีที่เจ้างูนั้นเข้ามาใกล้ เปลวไฟสีดำโชติช่วงขึ้นทันทีในฝ่ามือของชายหนุ่ม เสียงไฟปะทุดังท่ามกลางความเงียบงัน งูร้ายตัวสั่นอย่างรุนแรง ก่อนกรีดร้องเสียงแหลมสูงและรีบล่าถอยไปในทันที ร่างของมันอาบไปด้วยเปลวไฟสีดำสนิทมอดไหม้ ที่หายไปเพียงตอนที่มันกลับเข้ากลุ่มควันเท่านั้น เปลวไฟสีดำที่ทำร้ายเจ้างูอยู่เมื่อก่อนหน้า ลอยกลับเข้าฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ

“อย่าได้บังอาจลองดีกับข้าอีกเล่า!” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ ไม่แม้แต่จะหันไปมองงูตัวนั้น เขาหยิบเอาหอกกลับใส่กระเป๋า ก่อนหันไปมองกองวัตถุดิบขนาดย่อมในกระเป๋านั้น

ดูเหมือนข้าจะซื้อมาเยอะไป… หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าหากตนเองจะไม่ใช้ให้หมด ก็จะเป็นการเสียดายของ แม้กว่าครึ่งจะเตรียมไว้สำหรับการหลอมฝักกระบี่ แต่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือก็จัดได้ว่าคุณภาพต่ำนัก แม้จะพอกล้อมแกล้มไปได้หากใช้หลอมอาวุธเวทระดับแปด แต่ก็ยังถือว่าด้อยค่าเกินไปสำหรับฝักกระบี่ภายในกายเขา

หลังจากที่คิดสะระตะอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็เริ่มหลอมหุ่นเชิดในทันที นอกจากนี้ยังทดลองคุณสมบัติใหม่ๆ มากมายกับหุ่นเชิดอาวุธเวทชุดใหม่เหล่านี้ด้วย

ด้วยความที่มีวัตถุดิบเหลืออย่างไม่คาดคิด ชายหนุ่มจึงคิดว่าจะสร้างเกราะป้องกันให้กับกองทัพยุงของตน แม้จะยากเอาการ แต่เขาก็รู้สึกว่าความรู้ที่ตนเองมีในตอนนี้ จะทำให้ชุดเกราะจิ๋วกลายเป็นสมบัติเวทระดับหกได้ไม่ยาก หากตั้งใจมากพอ ถึงจะยังเปลี่ยนให้เป็นอาวุธเวทไม่ได้ในตอนนี้ก็ตามที

หวังเป่าเล่อก้าวเท้าออกจากการถือสันโดษ พร้อมด้วยหุ่นเชิดเจ็ดในแปดที่มีพลังใกล้เคียงความเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดเข้าไปทุกที ส่วนหุ่นเชิดตัวสุดท้ายนั้น ก็ทำให้ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายด้วยความพอใจ

หุ่นเชิดตัวนั้นคือจูกังเฉียง เพื่อนเก่าแก่ที่ติดตามเขามาหลายต่อหลายปี

จูกังเฉียงมีความพิเศษบางประการ ที่ทำให้หวังเป่าเล่อหลอมมันให้เป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดสำเร็จในที่สุด เมื่อหลอมรวมวิญญาณเข้ากับหุ่นเชิดจูกังเฉียงนี้แล้ว วิญญาณในร่างก็ทำให้รู้สึกราวกับว่าจูกังเฉียงเพื่อนยากมีความคิดจิตใจ

ส่วนพลังปราณของจูกังเฉียงก็อยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นในขั้นต้นเลยทีเดียว!

นอกจากนี้ชายหนุ่มยังปรับปรุงสมบัติเวทชิ้นอื่นๆ ให้ดีที่สุดเท่าที่ตนเองทำได้อีกด้วย แม้กระทั่งถังใส่ดอกไม้ไฟยังได้ยกเครื่องใหม่ ส่วนชุดเกราะที่เขาตั้งใจมอบให้ยุงของตนนั้นก็สำเร็จลุล่วงด้วยดี ด้วยความที่ยุงของเขาจะปรากฏตัวขึ้นก็ต่อเมื่อบินออกมาจากฝัก หวังเป่าเล่อจึงเก็บชุดเกราะเอาไว้ก่อน เพื่อจะลองทดสอบความแข็งแกร่งดู ชายหนุ่มโบกมือด้วยความปลื้มปริ่มเพื่อเก็บหุ่นเชิดของตนกลับเข้ากระเป๋า และมุ่งหน้าไปยังเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลในทันที!

เขาได้รับข่าวจากสำนัก ว่าจัดการเรื่องการเคลื่อนย้ายสำหรับการไปเยือนตำหนักวังบูชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลาออกเดินทางคือคืนนั้นเอง!

นอกจากนี้เฟิ่งชิวหรันยังบอกเขาด้วยว่าเหตุใดจึงต้องเป็นตอนกลางคืน นี่ก็เพราะการเคลื่อนย้ายไปในบริเวณตัวดาบ จะแม่นยำที่สุดในยามรัตติกาลนั่นเอง

หลังจากที่ส่งข่าวไปให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าทราบเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็รีบมุ่งหน้าไปยังตำหนักหลักในทันที เขามาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย เนื่องจากก่อนที่จะจากไปนั้น ชายหนุ่มต้องการทำบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เสียก่อน!

เห็นทีจะต้อง… ทำให้เจ้าต้วนมู่น้อยตกใจเล่นๆ เสียหน่อย!

เจ้าต้วนมู่น้อย คราวนี้ข้าจะประกาศให้เจ้ารู้เอง ว่าข้า หวังเป่าเล่อคนนี้ คือชายผู้ที่จะเป็นประธานสหพันธรัฐแทนที่เจ้า

บทที่ 591 ทำให้ถูกต้อง!
ขณะที่เกมกำลังเป็นที่โจษจันนั้น เครือข่ายวิญญาณก็เป็นที่นิยมขึ้นเช่นกัน จนอาจพูดได้ว่าภายในเวลาไม่กี่เดือน สหพันธรัฐได้เปลี่ยนสำนักวังเต๋าไพศาลไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เรียกได้ว่าเป็นการแทรกซึมเข้าไปในสำนักอย่างแท้จริง เป้าหมายที่ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพได้บอกไว้ในตอนที่เพิ่งมาถึงนั้น ได้กลายเป็นจริงแล้ว!

ท่านต้องการให้วัฒนธรรมและคนของสหพันธรัฐแทรกตัวอยู่ในทุกอณูของสำนักวังเต๋าไพศาล จนตัวสำนักเองกำจัดสหพันธรัฐออกไปไม่ได้!

แผนการของท่าน รวมถึงความสำเร็จของเครือข่ายวิญญาณ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ในคุณภาพชีวิตของศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเขาไม่ออกจากบ้านเพื่อรับข่าวสารหรือซุบซิบนินทาภายในสำนักอีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีความบันเทิง เครื่องมือสื่อสารพูดคุยกับสหาย และบริการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างศิษย์ของสำนัก ภายในเครือข่ายวิญญาณอีกด้วย นวัตกรรมใหม่เหล่านี้ทำให้ชีวิตของศิษย์ทุกคนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีผลอะไรกับผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐแม้แต่น้อย เพราะแม้ว่าพวกเขาจะมีความอยากเล่นเครือข่ายวิญญาณอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รุนแรงพอที่จะทำให้หมกตัวอยู่แต่ในบ้านเหมือนคนอื่น นี่ก็เพราะแม้ว่าสหพันธรัฐจะด้อยกว่าสำนักวังเต๋าไพศาลในแง่ของการฝึกปราณ แต่ชีวิตประจำวันของพวกเขาสนุกสนานและมีอะไรให้ทำเยอะกว่ามาก เนื่องจากสหพันธรัฐนั้นมีอารยธรรมและนวัตกรรมหลากหลายจากทั้งอาณาจักร แต่สำนักวังเต๋าไพศาลนั้นมีสมาชิกไม่มาก และวัฒนธรรมของพวกเขาก็ยังถือว่าตามหลังสหพันธรัฐอยู่ แน่นอนว่าก่อนหน้าที่สำนักดั้งเดิมยังคงอยู่นั้น สำนักวังเต๋าไพศาลถือว่าก้าวหน้ามากกว่าใครเพื่อน แต่การล่มสลายของสำนักก็ทำให้พวกเขาล้าหลังอยู่หลายสิบปีได้

ด้วยเหตุนี้ การปะทะกันของสองอารยธรรมจึงมีผลต่อศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลมาก นวัตกรรมของสหพันธรัฐทำให้ชีวิตของพวกเขาสบายขึ้น และยังทำให้สหพันธรัฐฝังรากลึกลงไปในสำนักอีกด้วย

ภารกิจถัดมาที่ประมุขสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพต้องทำให้ได้ คือการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายอย่างลับๆ นอกจากนี้ ท่านยังต้องทำหน้าที่ปกป้องความสัมพันธ์ระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลอีกด้วย ท่านประมุขสำนักต้องใช้เวลาสร้างไมตรีจิตกับผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักวังเต๋าไพศาล ทั้งยังต้องฝึกปราณของตนเองไปด้วย โดยบัดนี้ปราณของท่านเข้าใกล้การบรรลุขั้นจุติวิญญาณเข้าไปทุกที

เมื่อเกมของเขาเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อก็เริ่มกระเป๋าตุงขึ้นเป็นเงาตามตัว ชีวิตของชายหนุ่มสะดวกสบายขึ้นอย่างเสียไม่ได้ กระนั้นเขาเองก็เลือกที่จะยังไม่ส่งกระบวนเวทกลับไปในทันที แต่แลกแต้มการรบจำนวนมากเป็นวัตถุดิบการหลอมอาวุธเวทเสียก่อน

วัตถุดิบจำนวนมากเหล่านี้มีไว้เพื่อใช้ปรับปรุงฝักกระบี่ภายในกายเขา กระนั้นหวังเป่าเล่อกลับไม่กล้าเริ่มกระบวนการหลอม เนื่องจากยังไม่มั่นใจมากพอ เขาลองวิเคราะห์ดูแล้วก็พบว่า หากเขาทำพลาดฝักกระบี่จะเสียหายอย่างรุนแรง เมื่อก่อนหน้าชายหนุ่มไม่ทราบเรื่องนี้ จนได้ต่อสู้กับตู้กูหลินด้วยฝักกระบี่ภายในกาย พลังดุร้ายรุนแรงที่ฝักกระบี่แผ่ออกมาระหว่างการต่อสู้นั้น ทำให้ชายหนุ่มตระหนักแล้วว่าสมบัติเวทชิ้นนี้สำคัญถึงเพียงใด

ยิ่งเขารู้ว่าฝักกระบี่นี้ล้ำค่ามาก เขาก็ยิ่งไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจหลอมอาวุธเวทระดับแปดก่อน หากทำสำเร็จและมั่นใจมากพอ เขาจึงจะเริ่มปรับปรุงฝักกระบี่ต่อไป

ขณะที่ธุรกิจเกมของหวังเป่าเล่อกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากนั้น จินตั้วหมิงที่เห็นปริมาณกำไรที่หลั่งไหลเข้ากระเป๋าหวังเป่าเล่อ ก็นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้อีกต่อไป เขาไม่รู้จักเซี่ยไห่หยางมาก่อนหน้านี้ แต่เพิ่งมารู้จักชายหนุ่มผู้ทรงอำนาจคนนี้ผ่านเกมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จินตั้วหมิงจึงไม่ทราบว่าเซี่ยไห่หยางเคยศึกษาที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มาก่อน ความจริงข้อนี้มีแต่ศิษย์จากสำนักเท่านั้นที่จะทราบ นอกจากนี้ตัวเซี่ยไห่หยางเองยังเป็นคนลึกลับมาก จนมีแต่หวังเป่าเล่อเท่านั้นที่รู้จักเขาดีที่สุด จากบรรดาพันธุ์กล้าทั้งหมด

แม้แต่จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงเองยังทำได้เพียงเดาเท่านั้น แต่ก็ไม่กล้าพิสูจน์ความจริง เนื่องจากต้องระวังเอาไว้ก่อน

จินตั้วหมิงไม่ทราบข้อมูลอะไรมากเกี่ยวกับตัวเซี่ยไห่หยาง ต่อให้เขาพยายามหาข้อมูลก็ได้กลับมาไม่มากนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจถามหวังเป่าเล่อเองไปเลย

จินตั้วหมิงยังไม่กล้าพอ… ที่จะพุ่งเป้าไปที่กำไรที่หวังเป่าเล่อทำได้จากเกม แต่เขาก็ยังต้องการบางสิ่งจากเซี่ยไห่หยาง และต้องการบางอย่างจากชายหนุ่ม…

“เซี่ยไห่หยางนะหรือ” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองจินตั้วหมิงที่นั่งยิ้มอยู่เบื้องหน้าเขา ชายหนุ่มวางขวดน้ำเย็นหล่อวิญญาณในมือลง เขาไม่ได้มองจินตั้วหมิงในแง่ลบแม้แต่น้อย แม้ทั้งสองจะต้องแข่งขันกันและมีบางเรื่องที่ต้องปะทะกันบ้าง แต่ชายหนุ่มก็คิดว่านี่เป็นเพราะแผนการของต้วนมู่ฉือเท่านั้น นอกจากนี้ชายหนุ่มยังมั่นใจว่าตนเองจะชนะ เมื่อดูรายรับที่เกมกำลังสร้างให้เขา และขั้นปราณของตนที่สูงกว่าจนจินตั้วหมิงเทียบไม่ติด ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนเองสามารถเอาชนะจินตั้วหมิงเมื่อใดก็ที่ต้องการ

ส่วนตัวทายาทของกลุ่มไตรจันทราเองนั้น ก็รู้วิธีการจัดการกับความสัมพันธ์ฉันมิตรเป็นอย่างดี หวังเป่าเล่อยิ้มตอบจินตั้วหมิง อัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงที่เขาเพียรอ่านมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าโลกนี้ไม่ได้หมุนรอบตัวคนๆ เดียว เขาไม่ควรคิดว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

หวังเป่าเล่อผลักความคิดของตนไปเสีย ก่อนคิดถึงพื้นเพของเซี่ยไห่หยาง รวมถึงความสงสัยในตัวชายหนุ่มที่เขารู้สึก ก่อนจะยอมบอกจินตั้วหมิงไปแต่โดยดี

“หมิงน้อย เซี่ยไห่หยางเป็นชายที่ลึกลับซับซ้อนนัก ข้าเองก็ไม่เข้าใจเขาอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นกัน ข้ารู้เพียงแต่ว่าเขาได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแรงจากสำนักวังเต๋าไพศาล จึงขอแนะนำว่าเจ้าไม่ควรไปยุ่งกับเขา มิเช่นนั้นอาจเดือดร้อนได้” หวังเป่าเล่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่มตรงหน้า

สายตานั้นทำให้จิตใจของจินตั้วหมิงสั่นสะเทือน แม้จะอยากเป็นประธานสหพันธรัฐ แต่ตัวเขาเองก็ไม่ต้องการทำให้หวังเป่าเล่อไม่พอใจเช่นกัน สิ่งที่เขาคิดไว้คือ หากวันหนึ่งเขาได้เป็นประธานสหพันธรัฐขึ้นมาจริงๆ เขาจะสละสิทธิ์นั้นเสีย ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก และคิดถึงเพียงแต่ว่าหากตนเองสละตำแหน่งแล้ว หวังเป่าเล่อจะเป็นหนี้เขามากเพียงใด เท่านั้นก็คงเพียงพอแล้วที่จะทำให้ชีวิตในสหพันธรัฐของเขาสุขสบายตลอดไป

ด้วยเหตุนี้จินตั้วหมิงจึงเชื่อทุกสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูด ท่ามกลางความเงียบที่เข้าปกคลุม ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะไม่ขุดค้นเบื้องหลังของเซี่ยไห่หยางอีกต่อไป เพราะหากเจ้าตัวมาทราบเข้าก็อาจเข้าใจผิดกันได้ จินตั้วหมิงหายใจเข้าลึก ก่อนโค้งคำนับพร้อมทำมือคราวะหวังเป่าเล่อเพื่อแสดงคำขอบคุณ เขาพูดคุยกับหวังเป่าเล่อต่ออีกสั้นๆ ก่อนจะหยิบเอาวัตถุดิบการหลอมอาวุธเวทออกมาจากกระเป๋า และส่งให้ชายหนุ่ม

“เป่าเล่อ ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้เจ้าซื้อวัตถุดิบการหลอมไปเป็นจำนวนมาก ข้าก็มีอยู่บ้างเช่นกัน เจ้าเอาไปใช้ก่อนเถิด”

หวังเป่าเล่อมองวัตถุดิบตรงหน้าและรู้สึกตื้นตันใจเล็กน้อย นี่ก็เพราะวัตถุดิบเหล่านี้มาจากสหพันธรัฐ ไม่ใช่สำนักวังเต๋าไพศาล นอกจากนี้เป็นสิ่งที่แพงจับใจมาก และต้องใช้ในการหลอมอาวุธเวทระดับเก้าอีกด้วย

ชายหนุ่มจึงหัวเราะออกมา และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าตนเองต้องการของตรงหน้า เขารับของนั้นเอาไว้ ก่อนบอกลาจินตั้วหมิงเพื่อเริ่มถือสันโดษทันที อาทิตย์หนึ่งเดินหน้าผ่านไป ขณะที่พลังปราณในตัวชายหนุ่มกำลังเพิ่มขึ้นสูงนั้น เขาก็ลืมตาขึ้นจากการนั่งสมาธิ รู้สึกได้ถึงความอิ่มเอมใจอย่างบรรยายไม่ถูกที่แผ่ออกมาจากร่าง

ความรู้สึกนั้นทำให้หวังเป่าเล่อรู้ว่า ตนเองได้ทำให้พลังปราณที่พุ่งสูงขึ้นจากพลังของเมล็ดแห่งการดูดกลืน เสถียรได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในจุดสูงสุดของระดับกำเนิดแก่นในขั้นปลาย โดยห่างจากขั้นสมบูรณ์แบบอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น!

ในเวลาเดียวกันนั้น ตัวเขาเองก็เข้าใจกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงมากขึ้น ชายหนุ่มเดินหน้าฝึกวิชาต่อไปอีกสองสามวัน จนบรรลุขั้นที่สามของกระบวนเวทนี้ได้ในที่สุด!

หวังเป่าเล่อสร้างผนึกมือ ร่างที่ซ้อนทับกับตัวเขาก็แยกออกจากร่างที่แท้จริงในทันที ร่างอวตารสายฟ้าที่ก้าวออกมานั้น เหมือนกันหวังเป่าเล่อทุกกระเบียดนิ้ว แม้กระทั่งทุกอณูของเลือดและกระดูก จนแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร

ร่างอวตารสายฟ้านั้นก็มีพลังจากเมล็ดแห่งการดูดกลืนอยู่ด้วยเช่นกัน จนแทบจะเหมือนหวังเป่าเล่ออีกคนหนึ่งเลยทีเดียว

ชายหนุ่มมองร่างอวตารตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น เขาควบคุมร่างนั้นให้พุ่งทะยานออกจากถ้ำที่พัก และเหาะออกไปไกล เมื่อร่างนั้นห่างออกไปไกลหลายพันเมตรจนถึงขีดจำกัก ชายหนุ่มก็พึมพำออกคำสั่งในใจทันที

อัสนีตีจาก!

ทันทีที่เอ่ยจบ ร่างอวตารก็พลันพร่ามัว ภายในพริบตาเดียว ร่างจริงของหวังเป่าเล่อก็สลับกับร่างอวตารที่เขาสร้างขึ้น ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นเหนือทะเลเพลิงร้อนระอุแทบเท้า

หวังเป่าเล่อทดลองดูอีกหลายครั้งจนพอใจ เมื่อกลับมาถึงถ้ำที่พักเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มก็อดไม่ได้หัวเราะเบาๆ ด้วยใจเป็นสุข

ข้าสลับตัวกับร่างอวตารของตนเองได้ด้วยวิชาอัสนีตีจากเป็นที่เรียบร้อย แปลว่าพลังการต่อสู้ของข้าก็แข็งแกร่งขึ้นไปอีก! เมื่อนึกถึงกระบวนเวทเหนือความคาดหมายมากมายที่ตนเองครอบครอง ชายหนุ่มนั่งลงทำสมาธิด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเริ่มใช้วิชาขั้นที่สองของกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิลักอัคคี

แม้ขั้นที่สองของวิชานี้จะยากมาก แต่เขาก็เริ่มเข้าใจมันมากขึ้นเมื่อศึกษาไปสักพัก ในตอนนี้เส้นปราณสีเลือดที่พุ่งออกจากตัวเขาเริ่มมีด้ายสีขาวปกคลุมอยู่ ด้ายสีขาวนั้นมีไม่มาก แต่เขาก็รู้ว่าเป็นสัญญาณว่ากระดูกกำลังเริ่มก่อตัวขึ้น

ขาดก็แต่เพียงการเฝ้าเพียรฝึกอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อให้กระดูกที่สมบูรณ์ถือกำเนิดขึ้นเท่านั้น วิชาระดับที่สองของกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิจะสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อเขาทำขั้นตอนนี้สำเร็จเท่านั้น

ข้าต้องค่อยเป็นค่อยไป… นอกเสียจากว่าจะมีวิธีลัดเหมือนตอนที่ข้าใช้วิชาลักอัคคี ในการบรรลุขั้นแรกของวิชาเกราะจักรพรรดิ… หวังเป่าเล่อรีบตรวจดูเกราะจักรพรรดิของตนเองในทันที เขามีหลายวิธีที่คิดเอาไว้ในใจ แต่ก็ตัดทิ้งไปแทบหมดสิ้น

ช่างมันเถิด ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ข้าก็แข็งแกร่งกว่าตอนที่เข้าแข่งขันเมื่อก่อนหน้าอยู่มากแล้ว! ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนหยิบเอากลีบดอกไม้ออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บของตน กลีบดอกไม้นั้นคือสิ่งที่เขาหยิบมาจากบุปผาห้าสีของตู้กูหลิน หลังจากการประลอง ตู้กูหลินไม่ได้ขอคืน ส่วนหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้นำกลับไปให้

หลังจากที่สำรวจอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็หยิบเอาเหรียญทองแดงออกมาหนึ่งเหรียญ ประกายประหลาดแวบเข้ามาในดวงตาขณะมองเหรียญนั้น

“ข้าต้องเดินหน้าทำความเข้าใจเจ้าวัตถุประหลาดนี้ต่อไป แล้วก็ต้องซ่อมหอกสีดำด้วย…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก เริ่มเตรียมการหลอมอาวุธเวทของตนเองทันที ก่อนที่ประตูตำหนักวังบูชาจะเปิดออก

บทที่ 590 เที่ยวชมหมู่ดาว!
เกม ‘เทพจุติ’ เลวสิ้นดี… หวังเป่าเล่อหันกลับไปพบกับหญิงสาวผิวสวยที่อายุราวสิบเก้าหรือยี่สิบปีเท่านั้น นางตัวไม่สูง สวมใส่เสื้อผ้าบางเบา และมีแก้มสีแดง แถมนางยังจ้องมองหวังเป่าเล่อราวกับจะรอคอย

“ท่านผู้ฝึกตนวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ โปรดซื้อข้าเถิด…” สตรีนางนั้นกับริมฝีปากและจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเว้าวอน

“ข้าจะซื้อเจ้าไปทำไมกัน” หวังเป่าเล่อสับสนเล็กน้อย

“ท่านจะทำอะไรกับข้าก็ได้!” สาวน้อยกล่าวเสียงเบา

หวังเป่าเล่อกะพริบตาและก็พบกับบัตรที่ทำจากผลึกอยู่ในเสื้อ ชายหนุ่มหยิบออกมาแล้วก็ถึงกับงุนงง มีตัวเลขอยู่บนนั้น เขาใช้เวลาพักใหญ่กว่านับจำนวนเลข ‘9’ บนบัตรได้ครบหลัก

สาวน้อยตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมองเห็นบัตรผลึกของหวังเป่าเล่อ เมื่อนางจ้องมองเขา นัยน์ตาของนางนั้นฉาบเคลือบไปด้วยความกลัว

เมื่อมองเห็นสายตาของนางที่มองมา หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจซื้อนาง ชายหนุ่มเริ่มออกเดินทางสำรวจโลกที่ชื่อว่าอารยธรรมวีรบุรุษ ภายในเวลาหนึ่วัน เขาก็เริ่มคุ้นชินกับสถานะของเขาและเข้าใจอารยธรรมนี้มากขึ้น หวังเป่าเล่ออดตื่นตะลึงไม่ได้

ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี้สามารถซื้อได้โดยใช้สิ่งที่เรียกว่าแต้มผลึก ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งสูงที่สุดในสภาเสนาบดีโลกหรือกระทั่งตำแหน่งปุถุชนคนสามัญ ก็สามารถซื้อได้หากมีแต้มผลึกเพียงพอ ดูราวกับว่ากฎเดียวที่กำหนดทุกๆ สิ่งในอารยธรรมนี้คือแต้มผลึก ทำให้แต้มผลึกนั้นเทียบเท่ากับทุกสิ่ง!

พูดได้ว่าในอารยธรรมนี้ ใครอยากจะทำอะไรก็ทำได้ดังใจ แถมยังสามารถปลอมแปลงตัวตนได้อีกด้วย ไวเท่าความคิด ผู้เล่นสามารถจะกลับไปยังความว่างเปล่าและเลือกร่างใหม่ได้ แต่ก็ต้องใช้แต้มผลึกเช่นกัน

หากเป็นเพียงโลกเหมือนจริง แม้จะน่าสนใจเพียงใดแต่คนก็คงเบื่อในไม่ช้า แต่ทว่า หลังจากที่หวังเป่าเล่อได้สำรจวจตรวจสอบทุกอย่างในอารยธรรมนี้แล้ว ชายหนุ่มก็มองเห็นว่าทุกสิ่งเหมือนจริงเพียงใด!

กระทั่งเวลาในเกมก็ยังเดินไปช้ากว่าเวลาในสหพันธรัฐ บรรดาผู้ฝึกตนวิญญาณทั้งหมดก็มาจากระบบการฝึกปราณเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นคนละระบบกับของสหพันธรัฐ แต่บรรดาผู้ฝึกตนวิญญาณนั้นก็ดูแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย

แต่ทว่า ทุกอย่างทุกกล่าวมานี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจที่สุด สิ่งที่ทำเอาหัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงนั้นคือสิ่งที่ออกมาจากปากสาวน้อยที่เขาซื้อมาเมื่อครู่ เมื่อนางตอบคำถามของเขาเสียมากกว่า

“พันปีก่อน อารยธรรมวีรบุรุษไม่สามารถจะก้าวหน้าต่อไปได้และถูกลงทัณฑ์อย่างหนักโดยสวรรค์ ในตอนท้าย ก็ถูกซื้อไปโดยอารยธรรมค้าขายโบราณและแปรสภาพเป็นดวงดาวแหล่งท่องเที่ยว

“ดวงดาวแหล่งท่องเที่ยวนี้เป็นที่ให้อารยธรรมที่แข็งแกร่งกว่าได้เที่ยวเล่นและหาความสุข…ตามกฎแล้ว อารยธรรมวีรบุรุษจะสามารถปลดแอกได้ก็ต่อเมื่อสะสมแต้มผลึกได้มากพอ เมื่อนั้นเท่านั้นจึงสามารถกอบกู้ความหวังที่จะก้าวเข้าไปเป็นอารยธรรมที่แข็งแกร่งขึ้นได้”

“นายท่านเจ้าคะ เมื่อท่านถือครองบัตรผลึกก็แปลว่า ท่านจะต้องมาจากอารยธรรมที่เหนือกว่า ตามกฎแล้ว หากท่านมีแต้มผลึก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านต้องการท่านก็จะได้ ผู้มาจุติเช่นท่านไม่ได้ปรากฏตัวมา ณ ที่นี้เป็นเวลานานมากแล้วเจ้าค่ะ” สตรีสาวนางนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เมื่อนางจ้องมองหวังเป่าเล่อ ความปรารถนาก็ปรากฏแทนที่ความหวาดกลัวในแววตา

เมื่อกลับถึงถ้ำที่พักที่สำนักวังเต๋าไพศาล หวังเป่าเล่อก็หวนนึกไปถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเกม ชายหนุ่มรู้สึกว่าทุกอย่างดูเหมือนจริงเกินไป เกมนี้ควรจะเป็นเรื่องสมมติ แต่ทุกๆ สิ่งในเกมนั้น ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ไปจนถึงตรรกะที่ควบคุมมันอยู่ รู้สึกสมจริงเสียเหลือเกิน

อารยธรรมค้าขายโบราณ…ดวงดาวแหล่งท่องเที่ยว…เป็นความจริงหรือเปล่านะ คงไม่สำคัญเท่าใดนักหากไม่ใช่ความจริง แต่หากว่าจริงแล้วละก็… หวังเป่าเล่อไม่ได้สงสารอารยธรรมวีรบุรุษนั้นหรอก แต่ทว่า เขาคิดถึงสหพันธรัฐ

ในตอนท้าย หวังเป่าเล่อก็ส่ายศีรษะก่อนจะติดต่อเซี่ยไห่หยางโดยใช้แผ่นหยก หลังจากที่โทรติดสิ่งแรกที่หวังเป่าเล่อพูดถึงก็คือความกังวลนี้

“แน่นอนว่าอารยธรรมวีรบุรุษเป็นของปลอม…ฮะฮ่า จะเป็นจริงไปได้อย่างไรกัน นี่เป็นเพียงแค่เกมเท่านั้น แต่ทว่า เพื่อทำให้รู้สึกสมจริงสำหรับทุกคน เนื้อเรื่องและเส้นเรื่องของเกมนี้จึงถูกออกแบบมาให้เหมือนจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” เซี่ยไห่หยางหัวเราะชอบใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง เขาดูจะมีความสุขกับการที่เกมของเขาสามารถจะทำให้หวังเป่าเล่อสับสนได้

“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า เกมนี้จะประสบความสำเร็จในสำนักวังเต๋าไพศาลได้หรือไม่” เซี่ยไห่หยางถามอีกครั้งหลังจากที่คลายความสงสัยของชายหนุ่มเรียบร้อย

“หากผู้เล่นตายในเกมเล่าจะเป็นเช่นไร” หวังเป่าเล่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามอีก

“ไม่เป็นไรหรอก พวกเขาไม่ตายจริงๆ พวกเขาเข้าไปในตัวเกมผ่านตัวกลาง อย่างไรเสียมันก็เป็นเพียงแค่เกม” เซี่ยไห่หยางตอบด้วยรอยยิ้ม

“อย่างนั้นหรือ…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะรีบถามต่อ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกมนัก แต่ข้ารู้ว่า ตามหลักแล้ว ตัวเกมต้องการตัวกลางเพื่อจะเล่นได้ ฉะนั้น อาจจะมีวันที่ตัวกลางล่มก็เป็นได้ใช่หรือไม่ พวกเราต้องเตรียมการป้องกันสถานการณ์เช่นนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เล่นไม่พอใจ”

“จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า เป่าเล่อ วางใจได้เลย ว่านอกจากเจ้าจะฝันเอา เกมนี้ไม่มีทางล่มอย่างแน่นอน!” เซี่ยไห่หยางกระเซ้า ก่อนจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง

หวังเป่าเล่อดูจมอยู่ในความคิด เขาเฝ้าแต่ทวนคำว่า ‘ตัวกลาง’ อยู่ในใจ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็โคลงศีรษะ ก่อนจะมีประกายสะท้อนขึ้นในดวงตา

“ข้าอยากได้ร้อยละห้าสิบของกำไรทั้งหมด!”

“ไม่ได้เด็ดขาด!” เซี่ยไห่หยางปฏิเสธทันที หลังจากที่พวกเขาทุ่มเถียงกันอยู่พักใหญ่ก็ตกลงกันได้ว่าหวังเป่าเล่อจะได้ร้อยละสามสิบของกำไรแทน ทั้งคู่พูดคุยกันถึงวิธีการไปโฆษณาเกม หลังจากนั้นจึงจบการสนทนาไป

หลังจากที่วางแผ่นหยกลง หวังเป่าเล่อก็ก้าวออกไปจากถ้ำที่พักแล้วจ้องมองไปยังทะเลเพลิงและท้องฟ้า ชายหนุ่มปัดเอาความฉงนสงสัยจากในเกมออกไปจากใจ เขาไม่ใช่นักบุญแล้วก็ไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากมายไร้ขีดจำกัด เขาไม่อาจสนใจอารยธรรมอื่นๆ ทั้งหมดได้

“ผู้ที่ตายไม่ใช่ผู้มาจุติ แต่เป็นเพียงตัวกลางเท่านั้น คงต้องปฏิบัติกับเกมเหมือนว่ามันเป็นเกม…” หวังเป่าเล่อพึมพำเบาๆ ชายหนุ่มสนใจเพียงบ้านเกิดเมืองนอนและสหพันธรัฐเท่านั้น!

เซี่ยไห่หยาง ข้าหวังว่าการมาของเจ้าจะไม่ส่งผลร้ายต่อสหพันธรัฐหรอกนะ หาไม่แล้ว…หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง วัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคารคือสมบัติชิ้นงานที่สุดของเขา เขามั่นใจมากๆ ว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาบรรลุขั้นจุติวิญญาณแล้ว เขาก็จะสามารถเคลื่อนวัตถุเวทแห่งความมืดและสังหารเซี่ยไห่หยางได้ แม้ว่าชายผู้นี้จะทั้งลึกลับและเกินจะคาดเดา หวังเป่าเล่อก็ค่อนข้างมั่นใจ!

ทันทีที่ชายหนุ่มตัดสินใจได้ เขาก็ไม่ครุ่นคิดเรื่องเกมอีก กลับกัน หวังเป่าเล่อหันกลับมาโฆษณาเกมอย่างสุดความสามารถ ฉะนั้นแล้ว คนแรกเลยที่เขาติดต่อก็คือจินตั้วหมิง ด้วยสถานะและสิทธิถือครองกว่าร้อยละสิบของเครือข่ายวิญญาณ หวังเป่าเล่อก็จ่ายเงินเล็กเพื่อเปิดกระทู้ที่สื่อขึ้นบนเครือข่ายวิญญาณ

กระทู้เกมเทพจุติ!

หลังจากที่ใคร่ครวญดูดีแล้ว หวังเป่าเล่อก็ส่งข้อความเสียงไปหาศิษย์เอกทั้งห้า ตู้กูหลิน โจวชู่เต๋า สวีหมิง ลู่หยุน และหวงหยุนซาน พวกเขาถึงคนมีสถานะสูงส่งในสำนัก ก่อนหน้านี้ จินตั้วหมิงเองก็เสียเงินไปมากแต่ก็ชวนมาได้แต่เพียงหวงหยุนซานเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น จินตั้วหมิงกล่อมหวงหยุนซานให้ยอมตกลงได้เพราะว่านางต้องการแต้มการรบมาเพื่อช่วยโจวชู่เต๋าเตรียมการบรรลุขั้น แต่ทว่า…เรื่องนี้ที่ดูเหมือนว่าไม่ว่าใครก็ทำไม่ได้ ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหวังเป่าเล่อ เป็นสาเหตุหนึ่งที่เซี่ยไห่หยางเลือกจะร่วมงานกับหวังเป่าเล่อ

แม้ว่าโจวชู่เต๋าจะถูกหวังเป่าเล่อเอาชนะมาได้ แต่เขาก็ยังฟังหวังเป่าเล่ออยู่ เพราะฉะนั้น คู่รักทั้งสองจึงตกลงยอมช่วยเหลือตามคำขอของชายหนุ่ม ฝ่ายสวีหมิงและลู่หยุนเองก็อยากจะผูกมิตรกับหวังเป่าเล่อจึงไม่ได้ปฏิเสธ

การกล่อมตู้กูหลินก็เป็นไปอย่าง่ายดาย เขารู้ถึงความสามารถของหวังเป่าเล่อดี เพราะฉะนั้น แม้จะกำลังถือสันโดษ ตู้กูหลินก็จะหาเวลามาช่วยหวังเป่าเล่อโฆษณาเกม

หวังเป่าเล่อยังโฆษณาเกมด้วยตนเองอีกด้วย เมื่อศิษย์เอกทั้งห้าแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลและหวังเป่าเล่อเป็นฑูตของเกมนี้ ก็มีผลกับศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลเสียยิ่งกว่าระเบิดต้านทานวิญญาณ แรงกระเพื่อมกระจายไปทั่ว และทุกๆ คนก็รู้จักเกมนี้กันอย่างกว้างขวาง

ยิ่งไปกว่านั้น เกมนี้ยังมีเสน่ห์เฉพาะตัวอีกด้วย เช่นว่า ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน เทพจุติก็กลายมาเป็นที่นิยมอยากไปทั่วสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลกันมาเข้าเกม แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคนที่ประทับใจกับเกม แต่คนจำนวนไม่น้อยก็ชอบกันมาก

กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณบางก็คนก็ยังตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง

เพื่อจะเล่นเกมให้สนุก แต้มผลึกเป็นสิ่งจำเป็น เพราะฉะนั้น เมื่อระบบการแลกแต้มการรบกับแต้มผลึกเปิดให้บริการ ปริมาณของแต้มการรบที่ได้ในวันแรกก็ทำเอาหวังเป่าเล่อตกใจ

ฝ่ายจินตั้วหมิงก็มองๆ เกมนี้อยู่เช่นกัน ความตกใจที่เขาสัมผัสนั้นมาเป็นระลอกราวกับคลื่นที่ซัดสาด ในขณะเดียวกัน ในบรรดาผู้มาจุติหลายคน ไม่มีใครรู้ว่ามีลาตัวหนึ่งกำลังกอดแผ่นหยกเกมที่หวังเป่าเล่อซื้อมาให้ราวอย่างรักใคร่ราวกับเป็นของมีค่า

แม้ว่า หวังเป่าเล่อจะไม่ได้ติดเกม แต่ทว่าชายหนุ่มก็ยังเข้าไปดูเกมบ้างบางเวลา เขาอยากจะรู้เกี่ยวกับอารยธรรมวีรบุรุษให้มากกว่านี้ ระบบการฝึกปราณที่ใช้กันในหมู่ผู้ฝึกตนวิญญาณ เช่นเดียวกับเคล็ดลับการฝึกปราณและอื่นๆ

แต่ทว่า ไม่มีสิ่งใดในเกมที่สามารถนำออกมาสู่โลกความเป็นจริงได้ ดูเหมือนว่าระบบนั้นถูกปิดกั้นเอาไว้ ทำให้แม้ว่าหวังเป่าเล่อที่มีแต้มผลึกไม่จำกัด ก็ยังไม่อาจจะทำอะไรได้

บทที่ 589 เกมลึกลับ!
“แน่นอนว่าสิ่งนี้เป็นธุรกิจที่น่าจะทำเงินได้มากที่สุดในอารยธรรมยุคนี้…” เซี่ยไห่หยางกระแอมกระไอหลังจากที่ได้ยินคำถามของหวังเป่าเล่อ เขาหันรีหันขวางมองรอบตัวอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้ว เขาจึงพูดด้วยเสียงเบาที่แฝงไว้ด้วยความภูมิใจ

“สิ่งนี้คือ…เกม!”

“เกมงั้นหรือ” หวังเป่าเล่องุนงง ชายหนุ่มไม่เข้าใจสิ่งที่เซี่ยไห่หยางพูด เขากำลังจะอ้าปากถาม แต่เซี่ยไห่หยางยกมือขวาขึ้นปราม ก่อนจะดึงเอาแผ่นหยกออกมาออกมาแผ่นหนึ่ง ก่อนจะกดลงบนแผ่นหยกต่อหน้าหวังเป่าเล่อและทันใดนั้นมันก็ส่องแสงเรืองขึ้น มีภาษาโบราณเรืองแสงสองคำปรากฏขึ้นมาด้วย

หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นภาษาโบราณมาก่อน แต่เมื่อเขาจ้องมองมัน ก็มีเสียงก้องกังวาลดังออกมาในศีรษะของชายหนุ่ม

“เทพจุติ!”

คำนั้นสร้างคลื่นสะท้อนอยู่ในศีรษะของหวังเป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางหัวเราะก่อนจะเริ่มอธิบาย

“เจ้าได้ยินหรือเปล่า เกมนี้สร้างขึ้นโดยใช้กระบวนเวทพิเศษ มันจะก้าวข้ามปัญหาของภาษาและทุกคนก็สามารถจะเข้าใจมันได้อย่างไม่ยากเย็นนัก มันมีชื่อว่า ‘เทพจุติ’ และธุรกิจที่เราจะสร้างก็คือบริหารเกมๆ นี้!

“ข้าจะบอกเจ้าไว้ก่อนนะ…เกมนี้นะยอดเยี่มทีเดียว ข้าได้มันมาหลังจากที่ใช้เงินไปมหาศาลแถมยังต้องใช้เส้นสายมากมาย เกมจะให้ผู้เล่นเข้าไปอยู่ในมิติเสมือนจริงนั้น ภายในนั้นรู้สึกจริงมากทีเดียวเลย!

“เจ้าอยากจะรวยหรือ เริ่มเกมเสีย!

“เจ้าอยากจะมีสตรีห้อมล้อมหรือ เริ่มเกมเสีย!

“เจ้าอยากจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เริ่มเกมเสีย!

“ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดก็แล้วแต่ เมื่อเจ้าได้จ่ายเงินเข้าเกม เจ้าก็จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!” เซี่ยไห่หยางยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ ในตอนท้ายเขาถึงกับปรบมือและหัวเราะงอหายอย่างชื่นใจ

“เจ้าพวกผู้เล่นหน้าใหม่ในสำนักวังเต๋าไพศาลคงไม่เคยเจอเกมและระดับวิทยาการเช่นนี้มาก่อนเป็นหน้า เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเขาเข้าใจมันเมื่อใด พวกเขาก็จะติดมันงอมแงมและเมื่อถึงเวลานั้น…พวกเขาก็จะเริ่มเสียเงินให้กับมัน จากนั้นพวกเราพี่น้องก็จะรวย!” เซี่ยไห่หยางตื่นเต้นยินดี ขนาดนัยน์ตาทั้งคู่ของเขาฉายแววประกายกล้า

แต่ทว่า หวังเป่าเล่อก็ยังงุนงง เขาจ้องมองไปที่แผ่นหยก แล้วก็หันกลับไปมองเซี่ยไห่หยาง แต่ก็ยังไม่อาจเทียบเคียงเกมนี้กับยุคกำเนิดวิญญาณได้ เพราะฉะนั้นจึงอดไม่ได้ต้องถาม

“เซี่ยไห่หยาง เกมนี่มัน…ไว้ใจได้หรือ ใครจะมาเล่นกัน หากพวกเขามีเวลา พวกเขาจะไม่เลือกไปปฏิบัติภารกิจหรือฝึกปราณ…”

เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อเริ่มลังเลใจ เซี่ยไห่หยางจึงตกใจจนต้องรีบพูด

“ไว้ใจได้แน่นอน ชื่อเล่นของคือ ‘ไว้ใจได้’ เชียวนะ! เกมนี้จะต้องติดตลาดเป็นแน่ มันเป็นสมบัติที่ทำขึ้นมาโดยตระกูลของข้าโดยเฉพาะเพื่อครอบครองสำนักศึกษาเต๋าไม่รู้สิ้นเชียวนะ…เอ่อ…” เซี่ยไห่หยางหุบปากทันที เหมือนว่าเขาจะได้พูดบางอย่างที่ไม่ควรจะพูดออกไปเสียแล่ว เพราะฉะนั้น เขาจึงรีบตวัดสายตามาจ้องมองหวังเป่าเล่อ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเหมือนจะไม่ทันได้รู้เรื่อง เซี่ยไห่หยางจึงพูดต่อไปอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น

“ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ข้าได้มาอย่างลับๆ หากเจ้าช่วยข้าโฆษณามัน ถ้าจะแบ่งกำไรให้เจ้าร้อยละสิบ!”

หวังเป่าเล่อแม้จะดูนิ่งเฉย แต่ภายในนั้นกำลังตื่นตะลึง ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เซี่ยไห่หยางเพิ่งพูดเมื่อครู่นั้นบอกถึงต้นกำเนิดของเขาจนสิ้น ทำให้เขาต้องคิดหนั แต่ทว่า หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าเซี่ยไห่หยางน่าจะตั้งใจพูด อย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อ ในฐานะผู้ที่คุ้นเคยกับคำสอนของอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูง ก็เคยทำอะไรคล้ายๆ กับนี้กับเพื่อนร่วมชั้นมาก่อนเมื่อเขายังเด็ก ชายหนุ่มจะทำเป็นหลุดปากเกี่ยวกับภูมิหลังที่หลอกลวง เพื่อจะได้มาซึ่งสิ่งที่หวังตั้งใจ

สิ่งที่เซี่ยไห่หยางพูดเป็นความจริงหรือไม่กันนะ… หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อก็ยังไม่อาจจะตอบได้ เพราะฉะนั้น ชายหนุ่มจึงเงยหน้ามองเซี่ยไห่หยางพร้อมแผ่นหยกในมือ

“ข้าจะตัดสินใจหลังจากที่ได้ลองเล่นแล้ว”

“ได้เลย ข้าจะให้สิทธิพิเศษสุดกับเจ้า เพื่อเจ้าจะได้ทดสอบมันด้วยตนเอง” เซี่ยไห่หยางค่อยสงบใจลงได้ทันที พลางคิดอยู่เงียบๆ ในใจว่าเมื่อใดก็ตามที่ใครเริ่มเล่นเกม ก็เป็นไปได้ยากที่จะไม่ชอบมัน เพราะฉะนั้น ด้วยความตื้นเต้นยินดี เซี่ยไห่หยางจึงยกมือใช้ผนึกมือกับแผ่นหยกก่อนจะส่งไปให้หวังเป่าเล่อ หลังจากที่บอกวิธีเล่นให้แล้ว เซี่ยไห่หยางก็เอ่ยคำละและกลับไป

เมื่อเซี่ยไห่หยางจากไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็มองแผ่นหยกและโยนไปทางหนึ่ง ชายหนุ่มไม่ได้ตั้งใจจะลองเล่นเกมดูทันที เขาอยากจะฝึกสมาธิและฝึกปราณมากกว่า

หวังเป่าเล่อตอนนี้นั้นเข้าใจกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นที่สามได้แทบจะทั้งหมดแล้ว ชายหนุ่มประมาณว่าเขาจะสามารถบรรลุขั้นที่สามได้ภายในเวลาไม่เกินครึ่งเดือนเป็นอย่างมาก

แต่ทว่า ความคืบหน้าของวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีขั้นที่สองนั้นยังคงล้าหลังอยู่มาก แม้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าไม่ควรจะรีบร้อน ตราบใดที่เขาฝึกต่อไป เขาจะต้องประสบความสำเร็จไม่ช้าก็เร็ว

เช่นนั้นเอง หลังจากที่ฝึกปราณอยู่หลายวัน หวังเป่าเล่อจึงนึกถึงเกมของเซี่ยไห่หยางข้ึนมาได้ตอนที่ว่าง จึงหยิบเอาแผ่นหยกออกมาอีกครั้งหนึ่ง และหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าไม่น่าจะมีอันตรายร้ายแรงอะไร แต่ทว่า เขาก็ยังอยากจะระแวดระวังตัวจึงได้เรียกเจ้าลาออกมา ลาดำดูฉงนสงสัยขณะที่หวังเป่าเล่อจับมันที่กีบทั้งสี่ก่อนจะกดตัวมันลงบนแผ่นหยก

“ลูกข้า…” ลาดำงุนงงเป็นที่สุด ก่อนที่มันจะได้กรีดร้องเต็มเสียง เมื่อมันหันกลับไปมองหวังเป่าเล่อ ร่างของมันก็สั่นสะท้านก่อนจะหายไป!

ราวกับว่าเจ้าลาถูกดูดเข้าไปในแผ่นหยกนั้น รัศมีของตัวมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย หวังเป่าเล่อแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะยกแผ่นหยกขึ้นดู

หวังเป่าเล่อสัมผัสรัศมีของเจ้าลาไม่ได้เลย แต่ยังสามารถเชื่อมต่อกับมันได้อยู่ลางเพราะว่าแผ่นหยกยังอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มทอดถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อสัมผัสได้ว่าเจ้าลาไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย

เกมนี่ช่างประหลาดนัก…เจ้าลาหายไปที่ไหนกันนะ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็พยายามจะปิดเกมและเรียกลากลับมา แต่ทว่า ในวินาทีนั้นเอง ลาก็ดูเหมือนว่าจะส่งความรู้สึกตื่นเต้นดีใจกลับมาเพื่อบอกว่าไม่อยากกลับ

หวังเป่าเล่อจ้องมันเขม็งและไม่อยากจะให้เจ้าลาได้ทำตามอำเภอใจ ชายหนุ่มบิดแผ่นหยก ทำให้เจ้าลามาปรากฏอยู่ตรงหน้าราวกับถูกเคลื่อนย้ายกลับมา เมื่อมันกลับมา หวังเป่าเล่อก็ถึงกับผงะ

แม้ว่าจะไม่ความเปลี่ยนแปลงใดกับร่างกายของมัน แต่แววตาผิดหวังก็เห็นได้ชัดเจน มันยกกีบขึ้นแตะแผ่นหยกด้วยตนเอง ราวกับว่าอยากจะกลับไป

สิ่งนี้กระตุ้นความสงสัยของหวังเป่าเล่อเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มผลักลาไปข้างหนึ่ง ไม่สนใจว่ามันจะรู้สึกเศร้าเสียใจเพียงใด หวังเป่าเล่อถือแผ่นหยกไว้ในมือและกดลงไปเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทันใดนั้นเอง ทุกๆ สิ่งก็พร่าเลือนไปต่อหน้าต่อตา ราวกับว่ามีแรงดึงดูดมหาศาลลากเขาเข้าไปในวังน้ำวน ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ และภายในอึดใจเดียวนั้น เมื่อชายหนุ่มลืมตาขึ้น ตรงหน้าเขาก็มีความว่างเปล่าเท่านั้น!

ความว่างเปล่านั้นยิ่งใหญ่และกว้างขวางนัก ตรงหน้าเขามีกลุ่มก้อนแสงสีเทาอยู่หลายก้อน พวกมันดูเหมือนว่าถูกผนึกเอาไว้ มีอันเดียวเท่านั้นที่ส่องแสงเรืองรองกว่าใครเพื่อน

หวังเป่าเล่อจ้องมองทุกสิ่งตรงหน้าอย่างอย่างระแวดระวัง หลังจากที่คิดใคร่ครวญเสร็จ ชายหนุ่มก็จ้องมองไปที่กลุ่มแสงสว่างจ้านั้นเขม็ง ทันทีที่เขาจ้องมองไป กายมายาจำนวนมหาศาลก็ปรากฏออกมาจากกลุ่มแสงนั้น มีทั้งที่เป็นมนุษย์ อสูร กระทั่งพืชพรรณอยู่ในกลุ่มนั้น

ร่างมายาที่มีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์นั้นดูคล้ายกับผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐ แต่ทว่ามีความแตกต่างอยู่บ้างเช่น ใบหูที่เล็กกว่า จมูกที่ยาวกว่า และยังมีตาที่สามอยู่ตรงกลางหน้าผาก พวกเขายังเตี้ยกว่าเล็กน้อยอีกด้วย แต่ทว่าแม้จะดูแตกต่างกับผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐอยู่บ้าง แต่พวกเขาทุกคนก็หน้าตาหล่อเหลาสะสวยด้วยกันทั้งสิ้น

หวังเป่าเล่อตะลึงไปชั่วขณะ หลังจากที่จ้องมองอย่างละเอียดแล้ว ก็มีข้อความจำนวนมากปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

“ผู้ฝึกตนวิญญาณขั้นที่หก ผู้ค้นหาภาษาโบราณ จากอารยธรรมวีรบุรุษ…”

“ผู้ฝึกตนวิญญาณขั้นที่สาม โรดา จากอารยธรรมวีรบุรุษ…”

“ผู้ฝึกตนวิญญาณขั้นที่หนึ่ง ผู้ปกป้องพระราชวัง จากอารยธรรมวีรบุรุษ…”

ข้อความที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าหวังเป่าเล่อเป็นภาษาโบราณ แต่ชายหนุ่มก็สามารถเข้าใจมันได้อย่างชัดเจนเมื่อเขากวาดตาอ่าน ทำเอาหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ และยิ่งเขาอ่านมากขึ้นเท่าใด ข้อความก็มากขึ้นตามกัน หวังเป่าเล่อส่งเสียงอุทานเมื่อเข้าใจว่า ตัวละครจำนวนมหาศาลเหล่านี้…เมื่อเขากวาดตาไปมอง ก็จะเล่าถึงภูมิหลังความเป็นมาของตนเองให้ฟัง เขาสามารถจะเปลี่ยนตัวละครเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ

สิ่งนี้หรือ…คือ ‘เทพจุติ’ หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่ชั่วอึดใจ หวังเป่าเล่อก็หยิบเอาข้อความออกมาและอ่านโดยละเอียด เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ฝึกตนวิญญาณขั้นที่เก้าคนหนึ่งชื่อ อู่หยา ทันใดนั้น เมื่อภาพตรงหน้าหวังเป่าเล่อฉายชัดขึ้นมา ชายหนุ่มก็มาปรากฏตัวอยู่ที่จัตุรัสสาธารณะที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน มีผู้ฝึกตนวิญญาณเคลื่อนที่ไปมาอยู่บนท้องฟ้า เขามองเห็นรถหุ้มเกราะแล่นอย่างรวดเร็วผ่านไป สิ่งก่อสร้างที่รายล้อมอยู่โดยรอบนั้นแตกต่างจากที่พบในสหพันธรัฐโดยสิ้นเชิงและเหมือนจะมีรูปทรงคล้ายเห็ด

ไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะได้ทำความคุ้นเคยกับสิ่งรอบข้าง เสียงที่หวานใสแต่แฝงไว้ด้วยความน่ากลัวก็ดังขึ้นที่ข้างหู

“ผู้ฝึกตนวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ โปรดซื้อข้าเถิด ราคาเพียงหนึ่งผลึกวิญญาณเท่านั้น…”

บทที่ 588 เซี่ยไห่หยางผู้วิตกกังวล!

ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนจำนวนมากทั้งชายหญิง จากพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สองก็เข้าร่วมเป็นสมาชิกกระทู้หาคู่ หาเพื่อน และความบันเทิงด้วย รูปร่างหน้าตาที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาก่อให้เกิดกระแสความนิยมขึ้นในกระทู้นั้น

หลังจากนั้น จินตั้วหมิงก็เชิญศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนหนึ่งเข้ามาเป็นสมาชิกเช่นกัน ในทางนี้ ในเวลาเพียงครึ่งเดือน ร่วมกับกระแสของการผลักดันกิจกรรมในกระทู้ซุบซิบ ทำให้เครือข่ายวิญญาณได้รับความนิยมมหาศาล

ศิษย์รับรู้เกี่ยวกับเครือข่ายวิญญาณมากขึ้นเรื่อยๆ และจำนวนไม่น้อยก็เริ่มเข้าร่วมและอ่านเนื้อหาด้านใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจินตั้วหมิงได้จัดการนัดบอดครั้งใหญ่ขึ้นมา…

ในเวลาไม่ถึงสองเดือน ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงพยายามควบคุมพลังปราณของตน จินตั้วหมิงก็สร้างความโกลาหลให้กับศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลทั้งหลาย เขาเกิดมีชื่อเสียงขึ้นมา และในเวลาเดียวกับ เครือข่ายวิญญาณก็ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของบรรดาศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลเป็นที่เรียบร้อย!

แต่ทว่า ศิษย์จำนวนมากก็ใช้เพื่อความสนุกเท่านั้น ไม่ใช่ของที่จะขาดไม่ได้ จนกระทั่งประมุขสำนักสวีติดต่อไปหาเฟิ่งชิวหรัน หลังจากที่เฟิ่งชิวหรันให้การรับรอง จินตั้วหมิงก็เปิดกระทู้ที่สามที่สำคัญที่สุดในเครือข่ายวิญญาณ!

ได้แก่…กระทู้สำหรับการซื้อขายบริการและสินค้า!

สินค้าจากสหพันธรัฐและสมบัติเวทจำนวนมากปรากฏขึ้นบนกระทู้ในทันที ในเวลาเดียวกันก็ยังมีขนมจำนวนมากปรากฏขึ้นเป็นราบวัน จินตั้วหมิงมุ่งเน้นสินค้าอุปโภคบริโภครายวัน เขาได้ทำการศึกษามาเป็นอย่างดีและพบว่าการฝึกปราณของสหพันธรัฐไม่ได้เป็นที่นิยมกันนักในสำนักวังเต๋าไพศาล แม้ศิษย์จากสหพันธรัฐอาจจะไม่มีฝีมือในการหลอมวัตถุเวทสูงนัก แต่กลับเก่งเรื่องการทำสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นอย่างยิ่ง

ในเวลาเดียวกัน จินตั้วหมิงยังจับตามองแผ่นหินรับภารกิจอีกด้วย ด้วยความสนับสนุนจากประมุขสำนักสวีผนวกกับการสนับสนุนอย่างเงียบๆ ของเฟิ่งชิวหรัน จินตั้วหมิงก็คัดลอกแผ่นหินไปลงในเครือข่ายวิญญาณ ทำให้ศิษย์ทุกคนสามารถรับภารกิจผ่านเครือข่ายวิญญาณได้!

หากเพียงแค่นั้นก็คงไม่สำคัญเท่าใดนัก เพราะว่าในถ้ำที่พักทุกแห่งก็มีแผ่นหินรับภารกิจขนาดย่อมๆ อยู่แล้ว แม้ว่าจะใช้ทำภารกิจให้สำเร็จและบันทึกไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถใช้ตรวจสอบและรับภารกิจได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่จินตั้วหมิงทำก็คือการนำเอาความสะดวกสบายมาให้

แต่ทว่า สำหรับจินตั้วหมิงแล้ว เขารู้ดีว่าเป้าหมายหลักของเครือข่ายวิญญาณก็คือการนำเอาความสะดวกสบายมาให้ผู้คน แม้จะสบายขึ้นเพียเล็กน้อย แต่สำหรับจินตั้วหมิงก็ถือว่าประสบความสำเร็จ!

นั่นก็เพราะว่าสำหรับเขา อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลก็คือความสะดวกสบายนั่นเอง เมื่อใดก็ตามที่ทุกคนเคยชินกับมัน ก็จะเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนนิสัยไป กลายเป็นว่าความเปลี่ยนแปลงจะกลายเป็นเรื่องยากจะยอมรับ

สิ่งนี้ก็เป็นแผนของเขาเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เป้าหมายที่เขาได้รวมเอาข่าวและเรื่องซุบซิบเอาไว้ก็เพื่อให้ทุกคนรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องเดินออกจากบ้านหรือถามคนอื่นๆ นัดบอดและกระทู้หาเพื่อนก็บรรลุเป้าหมายนี้เช่นกัน มันไหลเข้าไปรวมกับชีวิตประจำวันของบรรดาศิษย์ จนกระทั่งมีเพียงชุมชนเท่านั้น ไม่เหลือผู้คนอยู่เดี่ยวๆ อีกต่อไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกระทู้สำหรับการซื้อขายบริการและสินค้า ซึ่งนำเอาความสะดวกสบายมาสู่ทุกผู้คนอย่างตรงไปตรงมาที่สุด เพราะฉะนั้น การเกิดขึ้นของเครือข่ายวิญญาณก็จึงมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสำนักวังเต๋าไพศาล ที่แม้จะเหนือกว่าในด้านการฝึกปราณแต่ไม่ใช่ในด้านคุณภาพชีวิต ผลกระทบนี้รุนแรงเสียจนรุนแรงกว่าระเบิดต้านทานวิญญาณเสียอีก!

และด้วยเหตุนี้เอง เครือข่ายวิญญาณก็กลายเป็นสิ่งยอดนิยมในสำนักวังเต๋าไพศาล กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณบางคนก็ยังเปิดเข้าไปดู และก็ต้องติดงอมแงมเช่นกัน

ในแง่หนึ่ง ความสะดวกสบายที่เครือข่ายวิญญาณนำมาให้ทุกคนนี้ทำให้การควบรวมสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลสำเร็จไปแล้วในขั้นแรก อาจจะพอจินตนาการได้ว่าหากศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลติดเริ่มติด เครือข่ายวิญญาณก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขาอย่างถาวร

เมื่อทุกๆ อย่างดำเนินการไปตามแผน ระบบการชำระเงินที่ใช้กับเครือข่ายวิญญาณ กระทู้ต่างๆ ก็มีค่าธรรมเนียมการใช้ที่แม้จะไม่แพงนัก จินตั้วหมิงก็ยังสามารถจะหาแต้มการรบปริมาณมหาศาลได้ในระยะเวลาอันสั้น

หวังเป่าเล่อมองเครือข่ายวิญญาณเติบโตจากความหว่างเปล่าไปสู่ความยิ่งใหญ่ ความรู้สึกคุกคามที่เขารู้สึกก่อนหน้านี้ยิ่งทวีคูณขึ้น เครือข่ายวิญญาณและจินตั้วหมิงกลายมาเป็นศัตรูที่น่าเกรงขาม แต่ทว่า จินตั้วหมิงนั้นเป็นคนที่สามารถจัดการกับเรื่องแบบนี้ได้ดีอยู่แล้ว ชายหนุ่มส่งมอบสิทธิถือครองเครือข่ายวิญญาณมาให้หวังเป่าเล่อจำนวนหนึ่งด้วย

ในขณะเดียวกัน ประมุขสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพเองก็มีส่วนสำคัญ เขาส่งสิทธิถือครองเครือข่ายวิญญาณมาให้เมี่ยเลี่ยจื่อและศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน และที่สำคัญคือผู้อยู่เบื้องหลังเช่นเฟิ่งชิวหรันด้วย

ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ ก็ได้รับสิทธิถือครองบางส่วนเช่นกัน สิทธิราวร้อยละเจ็ดสิบถูกกระจายออกไป ส่วนที่เหลืออีกร้อยละสามสิบเป็นของจินตั้วหมิง แต่ก็เพียชั่วคราวเท่านั้น ตามแผนของประมุขสำนักสวี หากมีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเกิดขึ้นมาใหม่ในอนาคต พวกเขาก็จะได้รับสิทธิถือครองและผลประโยชน์ด้วยทันที

แผนนี้จะไม่มีทางสำเร็จได้เลยหากคนอื่นรับไปทำ แต่ทว่า จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างประมุขสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพ กลับจัดการได้อย่างเรียบเนียน อย่างไรเสีย เขาก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งยุคกำเนิดวิญญาณของสหพันธรัฐ อีกทั้งยังเป็นผู้นำของสำนักอีกด้วย เขาจึงทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งสามารถยิ่ง

แม้ว่าเขาจะมีอคติอยู่บ้าง แต่สวีหยุนคุนก็ไม่ได้มีความตั้งใจจะต่อต้านสหพันธรัฐ เพราะฉะนั้นครั้งนี้ ณ สำนักวังเต๋าไพศาลเขาจึงจัดการงานทุกอย่างโดยมีผลประโยชน์ของสหพันธรัฐอยู่ในใจ แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อก็ยังต้องยอมรับกับวิธีการที่เขาจัดการปัญหาหลังจากที่ได้รับรู้ผ่านสายของเขา

คงจะน่ากลัวยิ่งหากคนเช่นเขากลายเป็นศัตรูกับข้า ข้าคงจะต้องหาทางสังหารเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่เช่นนั้นข้าคงจะต้องระแวดระวังไปตลอด แต่ทว่า ขณะนี้เราอยู่ฝ่ายเดียวกัน ข้าค่อยโล่งใจ…หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งถือสิทธิถือครองอยู่รู้ดีว่าแม้ดูเผินๆ เหมือนจินตั้วหมิงจะเป็นผู้ครองอำนาจ แต่บุคคลทรงอำนาจตัวจริงต้องเป็นประมุขสำนักสวีแน่นอน

เห็นได้ชัดว่าเครือข่ายวิญญาณนั้นเป็นอาวุธทรงพลังที่สหพันธรัฐเตรียมไว้ในคราวนี้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นอะไร หวังเป่าเล่อก็จะไม่ขัดขวาง แต่ทว่า ชายหนุ่มก็วิตกกังวลมากที่เห็นแต้มการรบของจินตั้วหมิงมีมากขึ้นทุกวันๆ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะมีสิทธิถือครองอยู่ถึงร้อยละสิบก็ไม่พอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจินตั้วหมิงเริ่มส่งเคล็ดวิชาฝึกปราณกลับไปยังสหพันธรัฐ

ภายในเวลาไม่กี่เดือน ชายคนนั้นก็ส่งเคล็ดวิชาฝึกปราณลงไปกว่ายี่สิบชิ้นด้วยกัน!

เจ้าผู้นี้อยากจะแย่งชิงตำแหน่งผู้นำของสหพันธรัฐกับข้าจริงงั้นหรือ ต้วนมู่น้อย นี่คือทางออกของเจ้างั้นหรือ เจ้าทำให้ข้ากังวลแล้ว! ข้าจะอัดเจ้าให้ยับทันที่ข้ากลับไปเลย หวังเป่าเล่อวิตกเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งเมื่อเขาได้คิดว่าเขาสามารถจะอัดต้วนมู่ฉีให้ยับได้ด้วยพลังการยุทธของเขาในตอนนี้ได้ เขาก็ยิ่งอยากจะทำยิ่งขึ้นไปอีก

แต่ว่าเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ข้าก็ควรจะเป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุดในสหพันธรัฐไม่ใช่หรือ หวังเป่าเล่อกะพริบตาและเริ่มรู้สึกตื่นเต้น

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังใคร่ครวญการกลับไปทำตามแผนการของเขา ณ สหพันธรัฐ ก็มีใครอีกคนในสำนักวังเต๋าไพศาลที่วิตกยิ่งไปเสียกว่าเขาอีก

คนๆ นั้นก็คือ…เซี่ยไห่หยางนั่นเอง!

การมาของเครือข่ายวิญญาณทำให้เซี่ยไห่หยางเสียหายหนักที่สุด ความลับที่เขาถือครองอยู่ก่อนหน้าถูกแทนที่ด้วยกระทู้ข่าวซุบซิบ ขณะที่กระแสธารของธุรกิจที่เขาถือครองอยู่ก็ถูกแทนที่ด้วยกระทู้การซื้อขายบริการและสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกระทู้การซื้อขายบริการและสินค้า มีศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลบางคนที่โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการซื้อขายบริการ เท่ากับทำลายรายได้หลักของเซี่ยไห่หยางไปโดยปริยาย

ทำลายรายได้ของข้าเช่นนี้เลวร้ายราวกับสังหารบุพการีก็ไม่ปาน! เซี่ยไห่หยางตาแดงก่ำ ในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและมีรายได้ผ่านเส้นสายของเขาเท่านั้น ไม่อาจจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอย่างที่เคยเป็นมาได้อีกแล้ว

เพราะฉะนั้น ในความเคร่งเครียดอย่างหนักนั้นเอง เขาจึงไปหาหวังเป่าเล่อ

“เป่าเล่อ เจ้าประมุขสำนักสวีจากสหพันธรัฐนี่เก่งเกินไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ธุรกิจข้าไปไม่รอดแน่นอน ตำแหน่งผู้นำแห่งสหพันธรัฐก็จะตกไปอยู่ในมือของจินตั้วหมิง พวกเราต้องร่วมมือกันแล้ว!” จากการตีความของเซี่ยไห่หยาง ไม่ว่าสหพันธรัฐกำลังทำสิ่งใดอยู่หวังเป่าเล่อก็จะต้องอยู่ฝ่ายนั้นเสมอ แต่หวังเป่าเล่อกลับตกลงเรื่องมือกับเซี่ยไห่หยางทันที แต่ทว่า ช่างน่าเสียดาย ที่อย่างไรเสียชายหนุ่มก็เป็นคนของสหพันธรัฐ ไม่อาจจะเคลื่อนไหวเพื่อทำลายเครือข่ายวิญญาณได้ เพราะจะทำให้เขาจนตรอกทันที

เซี่ยไห่หยางดูเหมือนว่าเตรียมตัวรับมือความรู้สึกสิ้นหวังของหวังเป่าเล่อมาเป็นอย่างดี และพูดขึ้นทันทีว่า

“เป่าเล่อ ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าทำลายธุรกิจเครือข่ายวิญญาณ เรามาร่วมมือกันเพื่อสร้างธุรกิจที่ดีกว่าเพื่อเราจะได้หาเงินไปพร้อมๆ กับสหพันธรัฐ ข้า เซี่ยไห่หยางผู้นี้ เป็นนักธุรกิจ ไม่เป็นศัตรูกับใครทั้งสิ้น เป้าหมายของข้าคือให้ทุกคนหาเงินไปพร้อมๆ กันได้!”

“ธุรกิจอะไรกันเล่า” หวังเป่าเล่อสนใจ ชายหนุ่มหันหน้าไปมองเซี่ยไห่หยาง

บทที่ 587 การนำเครือข่ายวิญญาณไปใช้ในชีวิตประจำวัน!
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ผู้ฝึกตนทั้งหมดในสำนักวังเต๋าไพศาลก็ตกตะลึงไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง สิ่งที่ตามมาก็คือการถกเถียงพูดคุยและความโกลาหลราวกับพายุเข้า

กระทั่งผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐทั้งสองรุ่นก็ยังแทบไม่อยากจะเชื่อ เมื่อได้ยินข่าว หวังเป่าเล่อเองก็อึ้งไปเช่นกัน เขาจินตนาการถึงหลี่ซิงเหวินและเฟิ่งชิวหรันยืนเคียงข้างกันอยู่ในใจ แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่าทั้งคู่ดูจะเข้ากันดีไม่ใช่น้อย

ผู้อาวุโสเฟิ่งสนับสนุนสหพันธรัฐเป็นอย่างดีตลอดมา…หรือจะเป็นเพราะหลี่ซิงเหวินกันนะ ชายหนุ่มกะพริบตา เขากลายมาเป็นคนชอบเรื่องซุบซิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดไปถึงหลี่อู๋เฉิน…

หวังเป่าเล่อรู้ความลับมามากมายก่อนที่เขาจะขึ้นมายังกระบี่สำริดเขียวโบราณในฐานะขุนนางระดับสองชั้นรอง ในบรรดาความลับเหล่านั้น มีเรื่องของหลี่อู๋เฉินอยู่ด้วย หวังเป่าเล่อรู้ว่าหลี่อู๋เฉินเป็นเด็กที่ผู้อาวุโสสูงสุดพาลงมาจากสำนักวังเต๋าไพศาลเมื่อหลายปีก่อน

เป็นไปได้ไหมว่า…หลี่อู๋เฉินไม่ได้เป็นแต่ศิษย์ของหลี่ซิงเหวินแต่เป็น…ลูกชาย เมื่อหวังเป่าเล่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ นัยน์ตาเขาก็เบิกกว้าง ชายหนุ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้มีมูลอยู่บ้าง

แต่ทว่า ตอนนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดและกลุ่มไม่ได้อยู่ที่นี่นานพอจะให้เด็กเกิดมานี่… หวังเป่าเล่อเกาศีรษะพลางคิดไปว่าอาจจะมีกระบวนเวทบางอย่างที่ช่วยร่นระยะเวลาการตั้งท้องได้ แต่ไม่ได้ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่าหลี่อู๋เฉินเป็นลูกชายของหลี่ซิงเหวินแน่นอน

“ใครจะไปคิดว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น…อยู่ในขั้นลมหายใจเที่ยงแท้หรือขั้นรากฐานตั้งมั่นเท่านั้นเอง แต่กลับมีลูกกับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณได้…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ความเคารพเกิดขึ้นในใจเขา ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็เปิดห้องพูดคุยรวมของสหพันธรัฐขึ้นดู มีการส่งข้อความกันไปมายุ่งเหยิง ทุกข้อความนั้นเกี่ยวข้องกับการแต่งงานนี้

หลังจากที่อ่านไปส่วนใหญ่ หวังเป่าเล่อก็พิมพ์ข้อความส่งไปในกลุ่มด้วยอารมณ์

“ท่านผู้อาวุโสสูงสุดยอดเยี่ยมไปเลย!”

คำพูดนั้นได้รับความสนับสนุนอย่างมาก ในไม่ช้า ทุกคนต่างก็เริ่มพูดเป็นทำนองเดียวกัน ต่างกันเพียงแค่ชื่อที่ใช้เรียกเท่านั้น เมื่อหวังเป่าเล่อวางแผ่นหยกเครือข่ายวิญญาณลง ชายหนุ่มก็กลับไปนั่งในถ้ำที่พักและคิดเรื่องนี้ต่อ ก่อนจะสรุปว่าอาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ตาเห็น

ประมุขสำนักสวีกล่าวก่อนหน้านี้ว่าภารกิจที่สองของเขาคือการควบรวมเข้ากับสำนักวังเต๋าไพศาลโดยสมบูรณ์…หรือว่านี่จะเป็นขั้นแรก ยิ่งหวังเป่าเล่อคิดเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจขึ้นเท่านั้น หากหลี่ซิงเหวินและเฟิ่งชิวหรันแต่งงานกัน เป้าหมายของประมุขสำนักสวีก็จะเสร็จสิ้นไปเปลาะหนึ่ง

โลกของผู้ใหญ่ช่างซับซ้อนเสียเหลือเกิน ชายหนุ่มรูปงามเช่นข้าเข้าใจได้ไม่หมด… หวังเป่าเล่อทอดถอนใจก่อนจะส่ายศีรษะ เขายกน้ำเย็นหล่อวิญญาณขึ้นจิบก่อนจะตบท้องเบาๆ

ในช่วงระยะเวลานี้ หวังเป่าเล่อก็เริ่มฝึกปราณต่อไป ประกอบกับการที่เขามีขนมกินอย่างเต็มที่ ไขมันวิญญาณก็เริ่มมาเกาะกุมที่หน้าท้องอีกครั้ง…

หวังเป่าเล่อไม่ใคร่จะกังวลกับไขมันวิญญาณเล็กน้อยเท่าใดนัก ชายหนุ่มรู้สึกว่าหากเขาสามารถจะลดน้ำหนักได้รวดเร็วเช่นก่อนหน้านี้ ไขมันวิญญาณเล็กน้อยก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เขาเพียงแต่ต้องออกแรงเล็กน้อยเพื่อเอามันออก

บางทีถ้าข้าลดน้ำหนักได้อีกครั้งหนึ่ง ข้าอาจจะบรรลุขั้นจุติวิญญาณเลยก็ได้ เมื่อคิดเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็จึงปล่อยตัวให้อ้วนกว่าเก่า เขาหยิบขนมออกมาเปิดอีกถุงและกินเข้าไปหลายคำโตๆ ยิ่งเขากินมากเท่าใด เขาก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น

น่าเสียดายที่ไม่มีน่องไก่ ไม่มีไข่ต้ม และไม่มีตีนหมู…เฮ้อ ทุกสิ่งทุกอย่างยอดเยี่ยมจริงๆ ในสำนักวังเต๋าไพศาล ขาดแต่เพียงของอร่อยก็เท่านั้น…หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะก่อนจะทำสมาธิและศึกษากระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นที่สามและวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีขั้นที่สองต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มยังเริ่มเบนความสนใจมากยังวิธีการหลอมฝักกระบี่ภายในกายให้กลายเป็นอาวุธเวท เขาใช้เวลาครุ่นคิดและค้นคว้าทุกๆ วัน

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเช่นนี้ ตามปรกติแล้ว การซุบซิบนินทาของผู้คนจะหายไปเองตามกาลเวลา แต่ทว่าไม่ใช่เรื่องการขอแต่งงานของหลี่ซิงเหวินกับเฟิ่งชิวหรัน ไม่เพียงแต่จะไม่จางไปเท่านั้น ยังมีผู้คนพูดคุยเรื่องนี้กันหนาหูขึ้นเสียอีก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัวละครหลักคือ เฟิ่งชิวหรัน ไม่ได้ออกมาอธิบายเรื่องนี้ด้วยตนเองหลังจากความแตกตื่นครั้งแรก แม้ว่านางจะไม่ได้ตอบตกลง แต่นางก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทำให้ทุกคนที่ตั้งตารอคำตอบนั้นยิ่งซุบซิบกันไปมากขึ้นอีก!

ในเวลาเดียวกัน ขณะที่การพูดคุยซุบซิบอย่างเร่าร้อนเรื่องของหลี่ซิงเหวินและเฟิ่งชิวหรันกำลังแพร่กระจายไปทั่วสำนักวังเต๋าไพศาล จินตั้วหมิงและประมุขสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพก็เริ่มมาสนิทสนทกัน ชายวัยกลางคนพาชายหนุ่มไปพบปะทำความรู้จักกับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณแทบทุกคน รวมถึงเมี่ยเลี่ยจื่อด้วย

ประมุขสำนักสวีไม่ลืมไปทักทายโยวหรันเช่นกัน ด้วยวิธีการใดก็ตามแต่ ดูเหมือนว่าประมุขสำนักสวีจะมีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับฝ่ายบริหารระดับสูงแทบทุกคนในสำนักวังเต๋าไพศาล มีผู้ฝึกตนสตรีขั้นจุติวิญญาณหลายคนที่ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์อันดีกับเขาด้วย

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าใจที่สุด หลังจากที่ความสัมพันธ์นั้นดำเนินไปเช่นนี้ราวครึ่งเดือน ข่าวที่ทำเอาสำนักวังเต๋าไพศาลสั่นคลอนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผู้ที่เริ่มปล่อยข่าวคราวนี้ไม่ใช่ประมุขสำนักสวีแต่เป็น…จินตั้วหมิง!

จินตั้วเปิดเครือข่ายวิญญาณบนสำนักวังเต๋าไพศาลขึ้น!

ร้อยละสามสิบของผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐรุ่นที่สองเชี่ยวชาญด้านนี้เป็นอย่างยิ่ง ด้วยความช่วยเหลือและความร่วมมือจากพวกเขา วิทยาการของสหพันธรัฐก็ถูกนำมาเผยแพร่ยังสำนักวังเต๋าไพศาลได้สำเร็จ และเครือข่ายวิญญาณก็ถือกำเนิดขึ้น!

จำเป็นต้องกล่าวก่อนว่า ในสหพันธรัฐนั้น เครือข่ายวิญญาณเป็นผลงานที่เกิดขึ้นและถูกทำให้แพร่หลายโดยกลุ่มไตรจันทรา และต่อมาจึงได้รับการยอมรับจากสหพันธรัฐ เพราะฉะนั้น สำหรับจินตั้วหมิงแล้ว เครือข่ายวิญญาณเป็นผลงานเฉพาะของตระกูลจิน

อุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการก่อตั้งเครือข่ายวิญญาณก็คือการขัดขวางของผู้บริหารระดับสูงในสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ด้วยเหตุผลบางประกอบ ด้วยการหว่านอ้อมของประมุขสำนักสวี สำนักวังเต๋าไพศาลกลับให้การยอมรับ!

ดูราวกับว่า การไปเยี่ยมเยียนและความสัมพันธ์ที่เขาสร้างขึ้นระหว่างเดือนที่ผ่านมาก็เพื่อเป็นการกรุยทางให้การเปิดตัวเครือข่ายวิญญาณ ในเวลาเดียวกัน ก็ดูคล้ายกับว่าจะมีการแลกเปลี่ยนบางอย่างเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามแต่ เครือข่ายวิญญาณของจินตั้วหมิงก็เปิดตัวได้สำเร็จ และแม้ว่าจะครอบคลุมระยะไม่ไกลนัก แต่ก็คลุมทั้งเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลและเกาะข้างเคียงอื่นๆ

อุปกรณ์การใช้เพื่อเข้าถึงเครือข่ายวิญญาณนั้น จินตั้วหมิงก็นำมาแจกให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ต้นทุนนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเท่าใดนัก เขาจึงแจกอุปกรณ์ให้กับศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลแทบทุกคน ตอนแรกเริ่ม พวกเขาส่วนใหญ่ก็ดูจะไม่เห็นค่ามันนัก ขณะที่บางคนก็ไม่ชอบเอาเสียเลย มีบางคนที่ได้รับมาแล้วก็ไม่ใช้ มีศิษย์จำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่สงสัยและเข้าร่วมลงสมัครเพื่อเข้าไปดูเครือข่ายวิญญาณ

ศิษย์เหล่านั้นติดเครือข่ายวิญญาณในทันทีที่เข้าไป พวกเขารู้สึกว่ามันช่างเป็นสิ่งน่าทึ่ง หน้าหลักของเครือข่ายวิญญาณนั้นเข้าใจง่ายและถูกแบ่งตามกระทู้ต่างๆ โดยจินตั้วหมิง

แม้ว่าจะมีเพียงกระทู้เดียวที่เปิดอยู่ แต่กระทู้นั้นก็ถูกใช้เพื่อกระจายข่าวและเรื่องซุบซิบ ในนั้นมีทั้งเรื่องใหญ่เรื่องเล็กที่นำมารวบรวมโดยผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ แม้จะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังถือว่าเป็นช่องการรู้เรื่องที่เกิดขึ้นนอกสำนักโดยไม่ต้องออกจากบ้านไป

ในขณะเดียวกัน จินตั้วหมิงผู้ที่กำลังคร่ำเคร่งกับการเก็บข้อมูลก็ไม่มีเวลาเก็บแต้มการรบ แต่เขามีวัตถุดิบการหลอมจำนวนมาก สิ่งนั้นเตะตาผู้คนจำนวนมาก ทำให้มีคนมาขอแลกข้อมูลกับวัตถุดิบการหลอม ทำให้ข้อมูลบนหน้าเครือข่ายวิญญาณนั้นยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นไปอีก

จินตั้วหมิงไม่ได้ทิ้งเรื่องซุบซิบเช่นกัน เขาตั้งมั่นอยู่กับสองสิ่งเท่านั้น สิ่งแรกคือความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างหลี่ซิงเหวินและเฟิ่งชิวหรัน และอีกสิ่งก็คือการกระจายข่าวเรื่องชีวิตของหวังเป่าเล่อเพื่อใช้ความโด่งดังของชายหนุ่มในการดึงความสนใจของบรรดาศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาล

หากเพียงเท่านั้น ผู้คนก็คงเลิกสนใจเครือข่ายวิญญาณไปในไม่ช้า แต่ทว่า ในฐานะผู้สืบทอดของกลุ่มไตรจันทรา จินตั้วหมิงรู้ดีว่าจะต้องดึงความสนใจของตลาดเอาไว้อย่างไร หลังจากที่เห็นจำนวนผู้ใช้เริ่มร่อยหรอลงทุกวัน ชายหนุ่มจึงเปิดกระทู้สนทนาใหม่ขึ้นมาทันที!

กระทู้นั้นมีชื่อว่า… ‘ช่องทางการหาคู่ หาเพื่อน และความบันเทิง’!

ทันทีที่กระทู้นั้นเปิดขึ้นมา ก็ทำให้บรรดาศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลตาลุก พวกเขาเข้าไปสำรวจกระทู้นั้นอย่างสนใจใคร่รู้และจากการใช้เงินก้อนใหญ่ทุ่มลงไป จินตั้วหมิงก็ชวนหวงหยุนซาน หนึ่งในศิษย์เอกแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลและเนื้อคู่แห่งเต๋าของโจวชู่เต๋ามาเข้าร่วมได้!

เขาเชิญนางมาในฐานะฑูตและนักโฆษณาของกระทู้สำหรับการหาคู่ หาเพื่อน หรือความบันเทิง ศิษย์ทุกคนที่เข้ามาในเครือข่ายวิญญาณก็จะได้เห็นรูปร่างอันเย้ายวนใจของหวงหยุนซาน

สิ่งนั้นดึงเอาความสนใจของผู้คนได้ในทันที เมื่อข่าวกระจายออกไป ผู้คนจำนวนมากก็เข้าร่วมทันที และจำนวนคนที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นผู้ใช้ใหม่ทั้งสิ้น!

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกถูกคุกคามเป็นอย่างยิ่ง!

บทที่ 586 คำขอแต่งงาน!
จินตั้วหมิงถึงกับผงะเมื่อได้ยินสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูด เขาเปิดปากเหมือนจะพูดตอบ แต่กลับหุบลงเสียงเมื่อมองเห็นสายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองมา

สายตานั้นดูราวกับข่มขู่ และทำให้จินตั้วหมิงเลือกจะหัวเราะแห้งๆ แทน ชายหนุ่มต้องกลืนเอาคำพูดโต้ตอบที่คิดไว้เมื่อครู่ลงไป แต่เขาก็ยังไม่อาจจะเชิดชูหวังเป่าเล่อได้ เพราะฉะนั้น เขากระแอมครั้งหนึ่งก่อนจะดึงเอาแผ่นหยกออกมาจากกำลังไลคลังเก็บก่อนจะยื่นให้หวังเป่าเล่อ

“นี่คือรายชื่อจัดอันดับผลงานพันธุ์กล้าที่ประกาศโดยสหพันธรัฐ ข้าเอามามันให้ท่านโดยเฉพาะ” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกวาวอย่างยินดีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขากุลีกุจอดูแผ่นหยกทันทีที่ได้รับมา

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นว่าชื่อของเขาอยู่ในอันดับหนึ่งของรายชื่อแถมผลงานยังนำหน้าหลี่อี้ไปนับสิบเคล็ดวิชาฝึกปราณก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองเป็นยิ่งนัก สำหรับเขาแล้ว เมื่อได้กลับสหพันธรัฐเมื่อใด ตัวเขาจะต้องได้ตำแหน่งผู้นำมาอย่างแน่นอน

เมื่อหวังเป่าเล่อฝันหวานไปว่าต้วนมู่น้อยจะต้องยอมลาออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้ตัวเขาเมื่อเขากลับไป เขาก็ปลื้มปริ่มเสียจนต้องยกมือตีท้องอยู่ไปมาอย่างสุขสม แม้ว่าการสัมผัสท้องในครั้งนี้จะไม่สนุกเหมือนเดิมเพราะมันเล็กลง แต่ก็ยังเป็นนิสัยที่หวังเป่าเล่อแก้ไม่หาย ตัวเขาเองก็ไม่ใคร่จะใส่ใจเรื่องนี้นัก ชายหนุ่มเชิดคางขึ้นก่อนจะกระแอม

“มิ่งน้อย มีเพียงรายชื่อจัดอันดับผลงานพันธุ์กล้าเท่านั้นหรือ มีสิ่งอื่นมาด้วยหรือไม่”

จินตั้วหมิง ในฐานะผู้สืบทอดของกลุ่มไตรจันทรา ก็ฉลาดเป็นกรด เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อเขาก็หัวเราะออกมาเสียงลั่น ก่อนจะโยนกระเป๋าคลังเก็บมาให้หนึ่งใบ หวังเป่าเล่อเปิดดู และตาเขาก็ลุกวาวทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองจินตั้วหมิงอย่างขอบคุณ

กระเป๋าคลังเก็บนั้นอัดแน่นไปด้วยขนมต่างรสมากมาย และยังมีน้ำเย็นหล่อวิญญาณนับร้อยกล่องอีกด้วย สำหรับหวังเป่าเล่อผู้ที่เลียขนมสามชิ้นสุดท้ายอยู่ไปมาเป็นเวลานานในระยะเวลาหนึ่งปีที่เขาอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลจนกระทั่งจืดหมดแล้ว สิ่งนี้เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ทีเดียว

หวังเป่าเล่อผู้เสียการควบคุมตนเองฉีกถุงขนมเปิดออก ชายหนุ่มยกขนมขึ้นกัดหนึ่งคำแล้วร่างกายก็สั่นเทิ้ม เขาหลับตาก่อนจะพึมพำกับตนเอง

“รสชาติของบ้านเกิด ข้า หวังเป่าเล่อ ไม่ใช่คนที่ตะกละตะกลาม ความรู้สึกนี้คือความคิดถึงบ้านต่างหาก…”

จินตั้วหมิงกะพริบตาอยู่หลายครั้ง เขาคิดว่าการที่เขานำเอารายชื่อจัดอันดับผลงานพันธุ์กล้าและขนมมาให้หวังเป่าเล่อ แถมยังไม่ต่อล้อต่อเถียงกับคำพูดหลงตัวเองของอีกฝ่าย น่าจะเพียงพอที่จะทำให้หวังเป่าเล่อพอใจในตอนนี้ เพราะฉะนั้น เขาจึงกระแอมก่อนจะเริ่มพูดด้วยหน้าตาเขินอาย

“เป่าเล่อ ข้ามีบางอย่างที่…ข้าอยากจะบอกเจ้า”

หวังเป่าเล่อหยิบเอาน้ำเย็นหล่อวิญญาณออกมาขวดหนึ่งก่อนจะยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ ความเย็นทำให้เขารู้สึกสบายและอารมณ์ดีขึ้นอีกมาก เขาหันมามองจินตั้วหมิงด้วยสายตาอิ่มเอม ก่อนจะยกมือขึ้นโบกและพูด

“พูดมาสิ! มีเรื่องอะไรกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ จินตั้วหมิงก็ทอดถอนใจก่อนจะพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

“เป่าเล่อ ชีวิตในปีที่ผ่านมาของข้ายากลำบากนัก…พวกเราเป็นเหมือนพี่น้อง ความเป็นจริงข้อนี้ทุกคนบนดาวอังคารรู้ดี กระทั่งในสหพันธรัฐก็เช่นกัน แต่ทว่า เรื่องนี้มันเกินความควบคุมของข้า ข้ามาที่นี่โดยมีภารกิจที่ต้องทำ…” จินตั้วหมิงจ้องมองสีหน้าของหวังเป่าเล่ออย่างระมัดระวัง หลังจากที่เห็นว่าหวังเป่าเล่อหยุดโบกมือที่ถือขนมอยู่ จินตั้วหมิงก็รีบพูดต่อ

“เพราะว่าเจ้าทั้งสามารถและเหนือกว่า ทำให้เจ้าผู้นำชั่วช้าอย่างต้วนมู่ฉีระแวงเจ้าเป็นอย่างมาก ถึงขนาดข่มขู่ให้ข้ามาตกระกำลำบากกับเจ้าด้วย!

“เป่าเล่อ นี่ไม่ใช่การปฏิวัติที่ข้าต้องการ ข้าไม่มีทางเลือก แม้กลุ่มไตรจันทราของข้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่พวกเราก็ยังอ่อนแอนักหากเทียบกับต้วนมู่ฉี เจ้าบ้านั่นทำเกินไปแล้วที่บังคับให้ข้าต้องมาแข่งขันกับพี่ชาย! เป่าเล่อ หลังจากที่ข้าใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างละเอียด ข้าคิดว่าทางออกที่ดีที่สุดก็คือให้ข้าเป็นผู้นำแห่งสหพันธรัฐ และเจ้าเป็นรองผู้นำของข้า เจ้าจะได้อำนาจตัดสินใจทุกอย่างไปเลย!”

จินตั้วหมิงมีสีหน้าลำบากใจยิ่ง ราวกับว่าสิ่งนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน แต่ทว่า ณ จุดๆ นี้ หวังเป่าเล่อจู่ๆ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนต้องวางขนมและน้ำลง ก่อนจะเงยศีรษะขึ้นมองหน้าจินตั้วหมิง

“มิ่งน้อย นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ข้า หวังเป่าเล่อ ไม่ใช่คนใจแคบ พวกเราจะแข่งขันกันอย่างยุติธรรมและผลประโยชน์ของสหพันธรัฐเป็นที่ตั้ง แต่ทว่า สำนักวังเต๋าไพศาลเป็นสถานที่ที่อันตรายยิ่ง และทุกๆ คนที่นี่ก็โหดร้าย จะว่าอย่างไรดี แต่หากมีวันใดใครเกิดเห็นเจ้าขวางหูขวางตาเข้าละก็…” หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ เขาไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ความโหดร้ายในดวงตาเขาก็แข็งกล้าเสียจนเกินจะซ่อนเร้น

หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะอยู่ในใจ เพราะสำหรับเขาแล้ว ใครก็ตามที่กล้ามาแข่งขันกับเขาก็คือศัตรู! ในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกว่าสิ่งที่จินตั้วหมิงพูดตอนจบนั้นฟังดูคุ้นหูพิกล เพราะเป็นวิธีการเดียวกับที่เขาใช้หลอกหลี่หว่านเอ๋อร์เมื่อครั้งก่อน

เมื่อมองเห็นความร้ายกาจในดวงตาของหวังเป่าเล่อ จินตั้วหมิงก็เริ่มกลัว เขาจึงเปิดปากพูดต่อทันที

“เป่าเล่อ ข้าเองก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่จินตั้วหมิงกดดันข้าด้วยอำนาจของเขา…”

“ข้าจำได้ว่าผู้นำแห่งสหพันธรัฐต้องเป็นศิษย์จากหนึ่งสี่ยอดสำนักเต๋าศึกษา แต่มาตรฐานข้อนี้รวมถึงกลุ่มไตรจันทราด้วยหรือเปล่า” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็จ้องมองจินตั้วหมิง

จินตั้วหมิงกะพริบตาถี่ การจะพูดว่าเขาไม่ต้องการเป็นผู้นำของสหพันธรัฐคงไม่ถูกนัก แต่หลังจากที่ชั่งน้ำหนักทุกอย่างแล้ว จินตั้วหมิงก็ยังตัดสินใจจะพูดความจริง

“ช่วงปลายปีที่แล้ว…ต้วนมู่ฉีส่งข้าเข้าเรียนที่สำนักศึกษาเต๋ากวางขาว…ข้าไม่ได้ไปด้วยความเต็มใจ แต่เป็นคำสั่งของเจ้าต้วนมู่ฉีผู้ชั่วช้า”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ยิ้มออกมาอย่างเสแสร้ง จากที่รู้จักจินตั้วหมิงมา การบีบบังคับของต้วนมู่ฉีเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น จินตั้วหมิงเองก็ต้องอยากจะรับโอกาสที่มีคนหยิบยื่นมาให้อยู่แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น แม้พวกเขาทั้งสองจะเคยร่วมงานกันมาบนดาวอังคารระยะหนึ่ง แต่จินตั้วหมิงก็ไม่ใช่กงเต๋า กงเต๋ายอมหวังเป่าเล่อ แต่จินตั้วหมิงนั้นหยิ่งผยองเกินกว่านั้นมาก

เพราะฉะนั้น อาจจะจริงที่ว่าจินตั้วหมิงไม่ได้เป็นผู้เริ่มเรื่องนี้ แต่ทว่าก็เป็นไปได้เช่นกันว่าเขาต้องการคว้าโอกาสเอาไว้ แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเวลาที่ต้วนมู่ฉีเริ่มหลงตัวเอง ขณะนี้เมื่อได้รู้ว่าผลงานของหวังเป่าเล่อดีเกินกว่าที่เขาคาดการเอาไว้มาก ก็เลยเกิดกลัวว่าหวังเป่าเล่อจะไปแทนที่เขาเมื่อถึงเวลากลับไปยังโลก

ต้วนมู่น้อย เจ้าล้ำเส้นเสียแล้ว หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะอยู่ในใจ ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก เพราะอย่างไรเสีย เขาก็กุมความได้เปรียบอยู่จากสิ่งที่เขาต้องประสบพบเจอในปีที่ผ่านมา แถมเขายังมีหน้ามีตาในสำนักวังเต๋าไพศาลอีกด้วย ตอนนี้การได้แต้มการรบสำหรับเขาเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง

ดูเหมือนว่าข้าจะต้องเรียกรู้เคล็ดวิชาการฝึกตนให้ได้หนึ่งร้อยอันเพื่อที่ต้วนมู่น้อยจะได้หมดสิ้นความหวังและลาออกจากตำแหน่งแต่โดยดีสินะ! เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว หวังเป่าเล่อก็รู้สึกภูมิใจในตนเองเล็กน้อย เพราะอย่างไรเสีย เขาก็เป็นคนเดียวในสหพันธรัฐที่ทำให้ผู้นำแห่งสหพันธรัฐกลัวเสียเก้าอี้ได้

หวังเป่าเล่อโบกมือเป็นเชิงว่าไม่ต้องการจะพูดเรื่องนี้อีกต่อไป เมื่อเห็นดังนั้น จินตั้วหมิงก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ แม้ว่าเขาจะมักใหญ่ใฝ่สูงเพียงใด แต่เขาก็ไม่อยากจะท้าทายหวังเป่าเล่อ สิ่งที่เขาพูดไปเมื่อครู่นั้นส่วนใหญ่ก็ออกมาจากใจจริง และเขายังพูดดักคอไว้ก่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องกลายเป็นศัตรูกับหวังเป่าเล่อในอนาคต

เพราะอย่างไรเสีย จินตั้วหมิงก็รู้ว่าหวังเป่าเล่อแม้ภายนอกจะดูเป็นมิตร แต่ถ้าต้องการแล้วเขาก็จะกลายเป็นคนโหดร้ายขึ้นมาเมื่อใดก็ได้ ขณะนี้ จินตั้วหมิงลำบากใจยิ่งจึงต้องเยินยอหวังเป่าเล่อออกมาตามสัญชาติญาณ ก่อนจะพูดคุยกันอีกยาวจนกระทั่งจินตั้วหมิงจากไปเมื่อเวลาใกล้ค่ำ

หวังเป่าเล่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดหลังจากที่จินตั้วหมิงจากไป ชายหนุ่มคิดว่าต่อให้มีการหนุนหลังจากต้วนมู่ฉี ก็ยังเป็นการยากนักที่จินตั้วหมิงจะก้าวข้ามตัวเขาได้ เพราะฉะนั้น หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้เก็บมาคิดมากนัก และเริ่มทำสมาธิและฝึกเคล็ดวิชาฝึกตนต่อไปหลังจากที่กลับไปยังถ้ำที่พัก

หลายวันผ่านไป นอกจากประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพและจินตั้วหมิง ก็ยังมีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งที่หวังเป่าเล่อรู้จักคุ้นเคยอยู่ในกลุ่มพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สองที่มาเยี่ยมเขา แต่ทว่า จั่วอี้เซียนไม่ได้โผล่หน้ามาเลย หวังเป่าเล่อไม่แปลกใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย ชายหนุ่มยังคงติดต่อกับหยุนเพียวจื่อ เพื่อให้อีกฝ่ายส่งคนไปตามดูจั่วอี้เซียน เขาอยากจะหาโอกาสให้จั่วอี้เซียนได้สะสางปัญหากับจั่วอี้ฟานเสียที

แต่ทว่า จั่วอี้เซียนหายตัวไปในวันที่ห้าหลังจากมาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน รวมถึงหยุนเพียวจื่อด้วย ทำเอาหวังเป่าเล่อตกตะลึงเมื่อเขาคิดไปถึงสิ่งที่ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพพูด ชายหนุ่มกำลังใคร่ครวญสถานการณ์อยู่นั่นเองเมื่อมีข่าวใหญ่แพร่ไปในสำนักวังเต๋าไพศาลที่มาดึงความสนใจของเขาไปก่อน

ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพเป็นคนเริ่มข่าวนี้ ความตื่นตะลึงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวระแหง ทุกๆ คนที่ได้ยินข่าวต้องสายตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ กระทั่งเมี่ยเลี่ยจื่อก็ยังแทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง

ข่าวนั่นก็คือ…ประมุขสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพส่งคำขอแต่งงานไปให้เฟิ่งชิวหรัน!

แต่ทว่า คำขอนั้นไม่ใช่สำหรับตัวเขาเอง แต่เขาขอเฟิ่งชิวหรันแต่งงานในฐานะฑูตจากหลี่ซิงเหวิน!

บทที่ 585 สายลมสลายความแค้นเคืองในอดีต
แต่ทว่า หลังจากที่ไม่ได้พบกันมาหลายปี ดูเหมือนว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นหลายประการ เมื่อพวกเขาพบหน้ากันในครั้งนี้ แรงกดดันของหวังเป่าเล่อทำเอาสวีหยุนคุนผู้ที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดถึงกับตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้วนมู่ฉีบอกกับเขาว่าเขาจะถูกปล่อยตัวและเอาข้อมูลที่เฟิ่งชิวหรันส่งมาบอกเรื่องการทดสอบมาให้ดู เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นทำให้สวีหยุนคุนต้องยอมรับว่าหัวกะทิแห่งสหพันธรัฐยุคใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว

เพราะเช่นนั้น สวีหยุนคุนจึงสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะยิ้มให้หวังเป่าเล่อ

“เจ้าเมืองหวัง ข้าขอคุยกับท่านในถ้ำที่พักจะได้หรือไม่”

“หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงและเริ่มวิเคราะห์ประมุขสำนักสวี สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนผุดขึ้นมาในใจ เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นครั้งที่ชายหนุ่มเข้าใกล้ความตายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ การขุดเอารากฐานวิญญาณของเขาออกไปและการเอาตัวรอดจากความยากลำบากอันใหญ่หลวงเป็นชนวนเหตุให้ชายหนุ่มก่อการสังหารหมู่บนดวงจันทร์ในครั้งนั้น

ความทรงจำไหลบ่าเข้าท่วมจิตใจ ขณะที่หวังเป่าเล่อคิดว่า ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ที่ตอนนั้นดูเหมือนเทพที่แข็งแกร่งไร้ก้นบึ้ง มาบัดนี้กลับกลายเป็นคนที่เขาจะเอาชนะได้ง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เกราะจักรพรรดิด้วยซ้ำทำเอาชายหนุ่มแอบหัวเราะอยู่ในใจ หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งมีสถานะสูงส่งในสหพันธรัฐและเข้าใจอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงเป็นอย่างดี จะไม่ยอมแสดงท่าทีหยิ่งยโสออกมาโดยง่าย แม้จะไม่พอใจประมุขสำนักสวีเพียงใด ชายหนุ่มก็ยิ้มและพยักหน้าอยู่ดี

ทั้งคู่กระโดดล่องลอยไปในอากาศออกจากเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลมา พวกเขาเงียบงันขณะที่เดินทางและไม่ได้มุ่งหน้าไปที่เกาะเพลิงเขียวแต่อย่างใด แต่กลับมาลงบนเกาะโดษเดี่ยวรกร้างเกาะหนึ่ง ทันใดนั้นเอง ประกายแห่งความชื่นชมก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของสวีหยุนคุน เมื่อเขาเห็นว่าหวังเป่าเล่อระแวดระวังกับการจัดการทุกสิ่งเพียงใด เห็นได้ชัดว่าหวังเป่าเล่อกังวลว่าจะมีกลไลใดซ่อนเร้นอยู่บนเกาะของเขาที่จะทำให้มีคนแอบฟังการสนทนาได้ เพราะเหตุนั้นชายหนุ่มจึงพาเขามายังสถานที่รกร้านห่างผู้คน

เมื่อลงแตะพื้น สวีหยุนคุนก็ใช้ผนึกมือและชี้ไปที่สิ่งรอบข้าง ในเวลาเดียวกัน เขาก็ถึงเอาเข็มทิศออกมาจากกำไลคลังเก็บและวางลงไปใต้เท้า เข็มทิศนั้นส่องแสงสว่างไสวก่อนจะกลายมาเป็นเกราะกำบังล้อมรอบทั้งคู่เอาไว้ หวังเป่าเล่อใช้ผนึกมือเช่นกัน ก่อนจะดึงเอาวัตถุเวทออกมาหลายชิ้น

จนกระทั่งเมื่อทั้งคู่ได้วางกลไกที่จะป้องกันคนมาแอบฟังเสร็จเรียบร้อยนั่นเองเมื่อสวีหยุนคุนสูดลมหายใจเข้าลึก

“เท่านี้ก็น่าจะพอแล้วละ เข็มทิศนี้สหพันธรัญหลอมขึ้นมาอย่างลับๆ หากว่ากันตามข้อมูล เราจะสามารถหลบจากผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณได้ราวห้านาที!”

หวังเป่าเล่อพยักหน้าก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่มุมหนึ่ง จ้องมองสวีหยุนคุนเหมือนจะเฝ้ารอให้อีกฝ่ายเริ่มพูด

“เจ้าเมืองหวัง เหตุการณ์ในครั้งก่อนนี้…ผู้อาวุโสที่โจมตีท่านยังคงถูกจองจำอยู่บนดาวศุกร์และข้าเองก็ได้รับโทษแล้ว ได้โปรดอย่าถือโทษโกรธพวกเราเลย ครั้งนี้ ข้าได้มาที่นี่เพราะว่าข้าทำความดีและข้าก็ไม่ได้มีอำนาจจะสั่งให้ท่านทำสิ่งใด กลับกัน ข้าเองยังอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากท่านในหลายๆ โอกาส” เมื่อสวีหยุนคุนพูดจบ เขาก็โค้งคำนับหวังเป่าเล่อต่ำ

เขารู้ทุกอย่างดีว่าขณะนี้ในสำนักวังเต๋าไพศาล หวังเป่าเล่อเป็นผู้นำของฝ่ายการเมืองฝั่งสหพันธรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการทดสอบ ทำให้สถานะของชายหนุ่มนั้นยิ่งใหญ่กว่าใครจากสหพันธรัฐที่อยู่ที่นี่

สวีหยุนคุนกลัวว่าการมาถึงของเขาจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด เพราะฉะนั้น จึงต้องคุยเรื่องนี้ก่อนเป็นเรื่องแรก

“ข้ามีหน้าที่สองอย่างที่ต้องทำที่นี่ อย่างแรกคือต้องสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดเล็กขึ้นมาหนึ่งอันอย่างลับๆ เพราะว่าเราต้องกระทำการโดยไม่ประมาท หากมีวันใดที่พวกเราต้องหนี จะได้แน่ใจว่ามีทางออกให้สำหรับทุกคน!”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น หวังเป่าเล่อก็สบายใจขึ้นและพยักเพยิดตาม

“ข้าช่วยท่านแน่ในเรื่องนี้ แต่ทว่าท่านต้องทำงานอย่างระวังและคอยจับตาดูศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเอาไว้ให้ดี!” หวังเป่าเล่อคิดก่อนจะพูดออกมาอย่างเนิบๆ

“ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันงั้นหรือ” ประกายอันหนึ่งสะท้อนอยู่ในตาสวีหยุนคุน

“แม้ข้าจะไม่มีหลักฐาน แต่ข้ารู้สึกได้ว่าชายผู้นี้นั้นอันตรายกว่าเมี่ยเลี่ยจื่อมากนัก” หวังเป่าเล่อพูดเสียงต่ำ

สวีหยุนคุนจมดิ่งลงไปในความคิด หากใครคนอื่นพูดเช่นนี้ เขาก็คงจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เพราะว่าหวังเป่าเล่อเป็นผู้พูด เขาจึงคิดเป็นจริงเป็นจังอย่างยิ่ง เมื่อปล่อยวางเรื่องนี้ลงได้ สวีหยุนคุนและหวังเป่าเล่อจึงเริ่มพูดคุยกันเรื่องที่ลึกซึ้งขึ้นอีก

พวกเขาพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับบรรดาพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐในทั้งปีที่ผ่านมา สวีหยุนคุนต้องการจะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดเพื่อจะได้ทำภารกิจที่สองให้ลุล่วง

เมื่อได้ยินเรื่องความตายที่ได้เกิดขึ้น ความยากลำบากที่บรรดาพันธุ์กล้าต้องเผชิญ เช่นเดียวกับความนุ่มนิ่มของเฟิ่งชิวหรัน สวีหยุนคุนก็หยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นก่อนจะจ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อ

“เจ้าเมืองหวัง มีเรื่องบางอย่างที่ข้าไม่แน่ใจนักว่าควรจะพูดหรือไม่ แต่ทว่า หากข้าพูดออกไปแล้ว ก็ได้แต่หวังว่าท่านจะไม่เข้าใจข้าผิด”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็จ้องมองสวีหยุนคุนอย่างมุ่งมั่นก่อนจะพยักหน้าและกล่าวว่า

“โปรดพูดออกมาเถิด!”

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็มีประกายลุ่มลึกสะท้อนผ่านนัยน์ตาของประมุขสำนักสวี เขายิ่งดูเหมือนจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เข้าไปใหญ่ก่อนจะเริ่มพูดอย่างเนิบๆ

“เจ้าเมืองหวัง ข้ารู้ว่าพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นแรกผ่านความยากลำบากและถูกหยามเหยียดในทุกๆ ที่ที่ไป แต่ทว่า ท่านรู้หรือเปล่าว่าพวกท่านสิ่งใดพลาดไป”

“บางที ระดับการฝึกตนของพวกท่านอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ทว่าเป็นความคิดของพวกท่านต่างหากเล่า!”

“ท่านไม่ได้มีความตั้งใจจะเข้าร่วมกับสำนักวังเต๋าไพศาลตั้งแต่ต้น แม้ว่าจะมีความคิดเช่นนั้นอยู่บ้างแต่ก็เป็นเพียงความคิดอ่อนแอ จิตใต้สำนึกนี้แบ่งแยกพวกท่านออกจากพวกสำนักวังเต๋าไพศาลราวกับเนื้อร้ายบนผิวหนัง แม้ว่าตัวอย่างของข้าอาจจะไม่ดีนัก แต่ความหมายของมันก็ไม่ได้ผิดเสียทีเดียว เนื้อร้ายนั้นสามารถถูกกำจัดโดยสำนักวังเต๋าไพศาลภายในพริบตาและไม่ได้ถือเป็นการสูญเสียแต่อย่างใด!” สวีหยุนคุนทอดถอนใจหลังจากที่พูดบทวิเคราะห์สถานการณ์ตามประสบการณ์ของตน

หวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินก็ถึงกับตกตะลึง ก่อนจะหลับตาลงนั่งนิ่งเงียบคิดอยู่นาน ชายหนุ่มคิดว่าสวีหยุนคุนมีเหตุผลมากทีเดียว หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนดื้อด้าน และเมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาก็ก้มศีรษะคำนับสวีหยุนคุนพร้อมยกมือประสาน

“ประมุขสำนักสวีโปรดชี้แนะข้าน้อยด้วย!”

“เจ้าเมืองหวังกรุณาข้าเกินไป เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนที่อยู่ใกล้เกินไปย่อมมองไม่เห็นปัญหาในภาพรวม สิ่งนี้เป็นจริงสำหรับตัวข้าเองเช่นกัน” สวีหยุนคุนยิ้มอย่างถ่อมตนก่อนจะคำนับตอบหวังเป่าเล่อ ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้ทำตนอยู่เหนือกว่าหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย กลับกัน เขากลับทำตัวเป็นผู้น้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มเสมอ

“สิ่งนี้คือภารกิจอย่างที่สองที่ข้าต้องทำที่นี่ แผนการสุดยอดที่จะทำให้ทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลต้องสั่นคลอน นั่นก็คือ…การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับสหพันธรัฐอย่างสมบูรณ์ หากสหพันธรัฐสามารถจะควบรวมกับสำนักวังเต๋าไพศาลได้เมื่อใด ก็จะไม่มีทางที่พวกเขาจะคิดกำจัดเราได้อีก ต่อให้พวกเขาพยายาม พวกเขาก็จะต้องได้รับผลกระทบใหญ่หลวงเช่นกัน เพราะฉะนั้น หากพวกเขาไม่ถูกกดดันจนถึงที่สุด ก็จะไม่มีการตัดสินใจอย่างหุนหันแน่นอน!” ขณะที่สวีหยุนคุนพูดไป สายตาเขาก็มีประกายแหลมคม มีรัศมีที่อธิบายไม่ถูกหลั่งไหลออกมาจากกาย

เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ปลาบปลื้มในความแยบยลของแผน เขาคิดอยู่เงียบๆ ในใจว่าตาเฒ่าคนนี้ช่างมากประสบการณ์เสียจริง การวิเคราะห์ของเขามีเหตุมีผลไปหมด เป็นความจริงที่ เมื่อหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ มาถึงสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นครั้งแรกนั้น พวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะมาเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับสำนักวังเต๋าไพศาลแม้แต่น้อย และเมื่อสำนักปฏิบัติกับพวกเขาเช่นเป็นคนนอก พวกเขาก็มองสำนักวังเต๋าไพศาลว่าเป็นคนอื่นเช่นกัน

“ข้าเห็นภาพอยู่บ้างว่าจะต้องเริ่มทำการเรื่องนี้เช่นใด เมื่อถึงเวลา ข้าจะต้องการความช่วยเหลือของท่าน เจ้าเมืองหวัง” สวีหยุนคุนพูดคุยกับหวังเป่าเล่อต่อไปเพื่อจะเห็นภาพรวมของสถานการณ์ ก่อนจะเอ่ยคำลาพร้อมยกมือคารวะ

ก่อนจะจากกัน สวีหยุนคุนหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนจะกล่าวขึ้นว่า

“เจ้าเมืองหวัง ข้าหวังท่านจะปล่อยสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วให้แล้วไปได้…”

“อดีตผ่านไปแล้วราวกับสายลมเชียวละ!” หวังเป่าเล่อจ้องมองสวีหยุนคุนด้วยความเคารพ ชายหนุ่มแน่ใจแล้วว่าหากเทียบกับกับจิ้งจอกเฒ่าแล้ว ตัวเขาเองก็ยังด้อยประสบการณ์นัก มีหลายสิ่งที่เขาสามารถเรียนรู้ได้จากประมุขสำนักสวี

เมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ชายวัยกลางคนก็จ้องมองหวังเป่าเล่อก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง เขาลาชายหนุ่มอีกครั้งก่อนจะจากไป

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นสวีหยุนคุนคล้อยหลังไป เขาก็หลับตาลงและคิดอยู่เงียบๆ

เจ้าจิ้งจอกเฒ่าไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป แต่ทว่า ผู้ที่ก่อตั้งสำนักขึ้นมาได้ในเวลานั้นจะต้องไม่ใช่คนเรียบง่ายตรงไปตรงมาแน่นอน…หวังเป่าเล่อไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองใคร แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครอยากจะถือโทษหวังเป่าเล่อเช่นกัน

หวังเป่าเล่อยอมปล่อยให้เหตุการณ์บนดวงจันทร์เป็นอดีตไป เพราะอย่างไรเสียสำนักวังเต๋าไพศาลก็ต้องเป็นฝ่ายหนักใจกับการมาถึงของจิ้งจอกเฒ่าเสียยิ่งกว่า สำหรับศิษย์แห่งสหพันธรัฐคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่ การที่มีคนอย่างสวีหยุนคุนอยู่ด้วยอาจจะทำให้พวกเขารู้สึกเบาใจลงได้มาก

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมาก่อนจะปลดมาตรการป้องกันทั้งหมดลง ชายหนุ่มพุ่งตัวกลับไปยังเกาะเพลิงเขียว ไม่นานนักหลังจากที่เขามาถึงถ้ำที่พัก จินตั้วหมิง ที่หาที่อยู่เขาเจอได้อย่างน่าทึ่ง ก็โผล่มา

ทันทีที่เขามาถึง จินตั้วหมิงก็ก้าวเข้ามาในถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าทึ่งและตื่นตะลึง ก่อนจะส่งเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจ

“บัดซบ! นี่เจ้าคือหวังเป่าเล่อจริงๆ หรือ เจ้า…เจ้า…ทำไมถึงผ่ายผอมถึงเพียงนี้ ข้ามองหาเจ้าอยู่ตั้งนานก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าใช่เจ้าหรือเปล่า เจ้าทำได้อย่างไรกัน”

หวังเป่าเล่อพึงใจอยู่เงียบๆ เมื่อได้เห็นสีหน้าตื่นตะลึงของอีกฝ่าย แต่ทว่าเขากลับเริ่มดุด่าจินตั้วหมิงเพื่อกลบเกลื่อน

“เจ้าหมิงน้อย เจ้าจะตัดสินผู้อื่นที่รูปลักษณ์ได้อย่างไรกัน เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าจึงปล่อยตัวให้อ้วน ก็เพราะว่าตอนที่ข้ายังเล็ก ข้าเหนื่อยหน่ายกับผู้คนเช่นเจ้าที่เข้ามาจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของข้า เพราะฉะนยั้ย ข้าก็เลยกินให้อ้วนขึ้นมา จะได้ใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องถูกรบกวน ช่างน่าเสียดายที่พอข้าบรรลุขั้นการฝึกปราณแล้วก็ได้ใบหน้าอันหล่อเหล่าของข้ากลับคืนมาด้วย เฮ้อ ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้”

บทที่ 584 มีใครบางคนจากสหพันธรัฐมาถึง!
ขณะที่ขบคิดปัญหาอยู่อย่างเครียดเครียด หวังเป่าเล่อก็แลกแต้มการรบของเขากับโอสถจำนวนมาก ชายหนุ่มยังคงไม่ได้คำตอบเกี่ยวกับปัญหาก่อนหน้าเมื่อเขาเตรียมตัวจะเดินทางกลับ

เพราะฉะนั้น หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าด้วยความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่เขามีต่อการกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลกับสหพันธรัฐ เขาจะยอมสละตนเอง

อย่างไรเสียข้าก็เป็นถึงผู้นำแห่งสหพันธรัฐในอนาคต หากข้าไม่เสียสละ แล้วใครเล่าจะทำ หวังเป่าเล่อทอดถอนใจยาวก่อนจะส่งที่อยู่ของเขาให้กับผู้ฝึกตนสตรีแก้มแดงหลายนางที่เข้ามาปรึกษาเขาเรื่องปัญหาที่พวกนางประสบในการฝึกปราณ…

“ปัญหาเรื่องการบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในขั้นเป็นเรื่องลึกซึ้งและซับซ้อนยิ่งนัก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกเจ้ามาหาข้าที่เกาะเพลิงเขียวคืนนี้ เดี๋ยวข้าจะช่วยบอกเคล็ดลับให้” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะพูดอย่างขึงขังก่อนที่จะเดินทางออกจากเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล ระหว่างทาง ชายหนุ่มก็รู้สึกเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกเพราะการที่ผู้คนปฏิบัติกับเขาไม่เหมือนเคย เขาเห็นกระทั่งบรรดาพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐที่พูดคุยกับผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างรื่นเริง

ในช่วงเวลานี้ หวังเป่าเล่อยังได้อ่านการข้อความโต้ตอบระหว่างพันธุ์กล้าด้วยกันในกลุ่มพูดคุยรวมประจำพื้นที่และได้รู้ว่าหลังจากผลการทดสอบออกมา ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลส่วนหนึ่งก็เริ่มมีท่าที่เปลี่ยนแปลงไปกับผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ พวกเขาถึงกับเริ่มเข้ามาพูดคุยทำความรู้จักและทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐเริ่มแน่นแฟ้นขึ้น

ไม่เพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่มองเห็นข้อนี้ เฟิ่งชิวหรันเอง ผู้ซึ่งเฝ้าดูอยู่ตลอด ก็มองเห็นเช่นกัน หลังจากที่ได้เห็นผลการทดสอบด้วยตานางเอง นางก็มีกำลังใจขึ้นมาก ในเวลาเดียวกัน นางก็เริ่มจะพูดเรื่องการมาถึงของพันธุ์กล้ารุ่นที่สองกับเมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้นั้นก็คัดค้านหัวชนฝามาโดยตลอด

แต่ครั้งนี้ ชายชรากลับนิ่งเฉย เพราะข้อตกลงที่มีมาก่อนหน้า ประกอบกับผลงานของหวังเป่าเล่อ ทำให้เขาไม่อาจจะพูดอะไรได้ ทำได้เพียงยอมตกลง

อาจจะกล่าวได้ว่านี่เป็นชัยชนะครั้งแรกของเฟิ่งชิวหรันในช่วงหลายปีหลัง นางทำได้โดยไม่ต้องสูญเสียอะไรแต่อย่างใด แม้กระทั่งศิษย์ที่อยู่ใต้การดูแลของนาง ผู้ที่ไม่ได้ชื่นชมสหพันธรัฐมาก่อนหน้านี้ ก็ยังมีท่าทีเปลี่ยนไป ในบรรดาศิษย์เหล่านั้นมีลู่หยุนและสวีหมิงรวมอยู่ด้วย ในฐานะศิษย์เอก ความตื่นตะลึงที่พวกเขาได้ประสบมาระหว่างการทดสอบนั้นมากมายนัก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ประมือกับหวังเป่าเล่อโดยตรงก็ตาม

เช่นนั้นเอง พวกเขาก็เคารพหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นมากมาย และเพราะเหตุนี้ ผู้ฝึกตนภายใต้การนำของเฟิ่งชิวหรันจำนวนมากที่เคยไม่ชอบสหพันธรัฐมาก่อนก็เริ่มมีท่าทีเปลี่ยนแปลงไป

อาจจะกล่าวได้ว่าสถานะที่เปลี่ยนแปลงไปของหวังเป่าเล่อนั้นให้ประโยชน์กับเฟิ่งชิวหรันมากมายนัก ทำให้อำนาจของนางในสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นกลับคืนมาเป็นที่หนึ่งอีกครั้ง เพราะฉะนั้น ครึ่งเดือนถัดมา การเคลื่อนย้ายพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สองมายังสำนักวังเต๋าไพศาลจึงเสร็จสมบูรณ์!

เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับสหพันธรัฐเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้ทำการคัดเลือกพันธุ์กล้าที่จะมาเอาไว้แล้ว ขาดแต่เพียงการตอบกลับจากสำนักวังเต๋าไพศาลก่อนหน้านี้ สหพันธรัฐเข้าใจไปเองว่าเกิดปัญหาขึ้นบางประการและได้เตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว มาบัดนี้ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี สหพันธรัฐก็โล่งใจไปได้

เพราะอย่างไรเสีย สหพันธรัฐก็ไม่ต้องการจะก่อสงครามหากไม่จำเป็นจริงๆ

เพราะเหตุนี้ด้วยเช่นที่ทำให้ผู้ที่ได้รับเลือกให้อยู่ในพันธุ์กล้ารุ่นที่สองนั้นถูกสลับสับเปลี่ยนหลังจากที่ต้วนมู่ฉี หลี่ซิงเหวิน และผู้บริหารระดับสูงของสหพันธรัฐให้พูดคุยกันเรียบร้อย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอีกเป้าหมายหนึ่ง เพราะพวกเขาไม่ต้องการเพียงแค่สนับสนุนเฟิ่งชิวหรันอีกต่อไป

หลังจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายได้ถูกเตรียมการเรียบร้อยอยู่ไม่กี่วัน หวังเป่าเล่อก็จบการถือสันโดษก่อนจะเดินทางไปสำนักวังเต๋าไพศาลตามประกาศของสำนักว่าพันธุ์กล้ารุ่นที่สองกำลังจะมาถึง

พันธุ์กล้ารุ่นหนึ่งทุกคนก็มารวมตัวกันตรงหน้าวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายของสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเขายืนเคียงข้างหวังเป่าเล่อ ราวกับว่าชายหนุ่มเป็นผู้นำ ศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนไม่น้อยก็มาร่วมยืนรอด้วย หลังจากเฟิ่งชิวหรัน เมี่ยเลี่ยจื่อ และโยวหรันมาถึงได้ไม่นาน วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็เริ่มทำงานอย่างช้าๆ

เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง วงแหวนปราณภายนอกกระบี่สำริดเขียวโบราณบนดาวพุธก็ถูกเปิดขึ้นพร้อมกับ เงาร่างพร่าเลือนหลายร่างปรากฏขึ้นภายในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายของสำนักวังเต๋าไพศาล!

คลื่นพลังงานสะท้อนสะเทือนไปไกล สายลมปั่นป่วนหมุนวนรุนแรง พัดพาเอาเส้นผมและเสื้อผ้าของทุกคนให้สะบัดอย่างแรง ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง เงาร่างจากภายในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อทำตาหยี เมื่อร่างแรกที่เขาเห็นเป็นผู้ฝึกตนวัยกบางคนที่ยืนนำหน้าบรรดาพันธุ์กล้ารุ่นที่สองแห่งสหพันธรัฐ!

คนผู้นั้นอายุราวสี่สิบปี มีหน้าตาหล่อเหลาคน แม้จะดูมีริ้วรอยบ้าง และมีบารมีเหมือนคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งแผ่ออกมาจากกาย ช่างดูน่าเกรงขาม และแม้ว่าจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดเท่านั้น แต่กลับทำให้รู้สึกว่าชายคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง!

เขาคนนั้นก็คือ…สวีหยุนคุน ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพผู้ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเพราะไปก่อนความวุ่นวายเอาไว้บนดาวอังคาร! ความล้มเหลวในการคว้าโอกาส บวกกับโทษทัณฑ์ที่ได้รับ ทำเอาประมุขสำนักผู้ยังหนุ่มอยู่เมื่อคราวนั้นมาตอนนี้ดูท่าทางละม้ายคล้ายชายในวัยกลางคน แม้ว่าภาพลักษณ์ภายนอกจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักก็ตามที

ชายผู้นี้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากสหพันธรัฐในยุคก่อน เป็นผู้ที่ความอาวุโสนั้นยิ่งใหญ่กว่าต้วนมู่ฉี ไปอยู่ในระดับเดียวกับหลี่ซิงเหวินและหัวหน้าเสนาบดี เขาเองยังเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนคนแรกที่มาถึงกระบี่สำริดเขียวโบราณพร้อมๆ กันกับหลี่ซิงเหวินเมื่อหลายปีก่อน ทันทีที่เขาปรากฏตัว หวังเป่าเล่อก็ตกตะลึง กระทั่งผู้ตนขั้นจุติวิญญาณหลายคนจากสำนักวังเต๋าไพศาลก็แปลกใจไปตามๆ กัน

มีเพียงเฟิ่งชิวหรันที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ดูเหมือนว่านางรู้อยู่แล้วว่าสวีหยุนคุนจะมาที่นี่ ในเวลาเดียวกัน เมื่อร่างในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อก็มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยจำนวนมาก จั่วอี้เซียนและจินตั้วหมิงเป็นหนึ่งในนั้น!

นอกเหนือจากนั้น หวังเป่าเล่อยังมองเห็นว่าในบรรดาผู้คนที่เหลือทั้งหมด มีคนแปลกหน้ามากกว่าคนที่เขารู้จัก กว่าครึ่งของพันธุ์กล้ารุ่นใหม่จากสหพันธรัฐเป็นคนที่ชายหนุ่มไม่คุ้นเคย แต่ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่คนกลุ่มนี้มีเหมือนกัน นั่นก็คือ…พวกเขาส่วนมากมีหน้าตางดงาม เรียกได้ว่าจนน่าตื่นตะลึงก็ว่าได้!

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงคิด ในเวลาเดียวกัน เมื่อจินตั้วหมิงทรงตัวได้อีกครั้งภายในวงแหวนปราณ เขาก็กวาดสายตาลงมาราวกับกำลังมองหาใครสักคน ชายหนุ่มมองผ่านหวังเป่าเล่อไปและมองหาต่อไป สายตาที่ยังชั่งใจของจินตั้วหมิงจับจ้องมาที่หวังเป่าเล่ออีกครั้ง หลังจากที่เพ่งมองอยู่เป็นนาน จินตั้วหมิงก็ถึงกับตาเบิกโพลงปากอ้าค้างด้วยความตื่นตะลึง

จั่วอี้เซียนเองก็จำหวังเป่าเล่อไม่ได้เช่นกัน แต่ทว่าเขามองเห็นจั่วอี้ฟาน ก่อนจะมีรอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นบนใบหน้าพร้อมสีหน้าเย็นชา

หวังเป่าเล่อไม่ใส่ใจความตื่นตะลึงที่จินตั้วหมิงแสดงออกมาบนใบหน้าเมื่อได้เห็นบุรุษที่หล่อที่สุดในจักรวาล ชายหนุ่มกระแอมกระไอก่อนจะเชิดคางขึ้นอย่างหยิ่งยโส แต่ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับความตั้งใจของสหพันธรัฐอยู่นั่นเอง การปรากฏตัวของประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพทำให้หวังเป่าเล่อสงสัยว่าสหพันธรัฐต้องส่งจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่มาดูท่าทีอีกฝ่ายอย่างแน่นอน

“ข้าจำได้ว่าเขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต…” หวังเป่าเล่อพึมพำแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา ชายหนุ่มคิดว่าไม่ว่าประมุขสำนักสวีจะออกมาได้เพราะทำดีหรือเพราะวิธีการอื่นใด เขาก็ยังเป็นบุคคลสุดอันตรายที่กลเม็ดเด็ดพรายเตรียมพร้อมอยู่ตลอด การมาถึงของเขาอาจจะเป็นผลดีทางการฑูตระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลในตอนนี้

เจ้าจิ้งจอกเฒ่าถูกตัดสินคดีไปนับไม่ถ้วนในสหพันธรัฐ และคงจะต้องเอาตัวรอดอยู่ที่นี่ได้ดีกว่าข้าเป็นแน่ ขณะที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่นั่นเอง การเคลื่อนย้ายก็เสร็จสมบูรณ์ ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพเดินหน้ามาก่อนใครเพื่อน พร้อมด้วยสีหน้าจริงใจและรอยยิ้มอบอุ่น เขาเข้าทักทานเฟิ่งชิวหรันและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ด้วยสองมือยกประสาน

“ข้าไม่ได้พบท่านผู้อาวุโสเฟิ่งก็หลายปี ท่านยังคงดูเยาว์วัยอยู่เช่นเคย กลับกัน ข้าเสียอีกที่ชราลงไปมาก…” ประมุขสำนักสวีกล่าวอย่างตื้นตัน ก่อนจะหันไปทักทายเมี่ยเลี่ยจื่อและโยวหรันอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะดูเคารพนบนอบ แต่เขาก็ไม่ได้ก้มศีรษะให้ใคร ยิ่งไปกว่านั้น เพราะว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้คนกลุ่มแรกที่ขึ้นมาที่กระบี่สำริดเขียวโบราณในครั้งนั้น ยังไม่ใช่ประมุขสำนักแห่งสหพันธรัฐอีกสิ่งอื่นใด ทำให้กระทั่งเมี่ยเลี่ยจื่อและโยวหรันยิ้มตอบเขา ก่อนจะเริ่มพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร

หลังจากที่พบปะพูดคุยกันเรียบร้อย พันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สองก็ได้รับเกาะของตนเองเช่นเดียวกับที่รุ่นแรกเคยได้ แต่ทว่า บัดนี้ เฟิ่งชิวหรันมีอำนาจตัดสินใจ และเลือกที่จะให้พันธุ์กล้ารุ่นที่สองจำนวนมากนั้นอยู่ร่วมกันกับรุ่นแรก

เช่นนี้ก็เพื่อให้พวกเขาคุ้นเคยกันให้เร็วและเพิ่มความเร็วในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ในเวลาเดียวกัน ก็ยังเป็นการเพิ่มพลังทางการเมืองที่สหพันธรัฐมีในสำนักวังเต๋าไพศาลอีกด้วย สวีหยุนคุนถูกทิ้งไว้เบื้องหลังบนเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลเพราะสถานะของเขาทำให้เขาได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าคนอื่นๆ แม้จะไม่เทียบเท่าหวังเป่าเล่อ แต่ก็ใกล้เคียง

ยิ่งไปกว่านั้น คำขอของประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพให้มีพันธุ์กล้าจากสหพันธรัฐจำนวนหนึ่งที่อยู่กับเขาบนเกาะหลักยังได้รับความยินยอมจากเฟิ่งชิวหรันอีกด้วย ขณะที่พันธุ์กล้ารุ่นแรกพาเพื่อนรุ่นใหม่ที่ยังปรับตัวไม่ทันเดินทางจากไปอย่างตื่นเต้น จินตั้วหมิงก็ก้าวเดินออกไปทางหวังเป่าเล่อ ด้วยสีหน้าไม่เชื่อสายตาตนเองและกำลังจะเอ่ยปากพูดกับอีกฝ่าย แต่สวีหยุนคุนจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพก้าวเข้ามาขวางก่อนจะพูดกับจินตั้วหมิงอย่างเนิบๆ

“จินตั้วหมิง เจ้าค่อยมาทักทายเจ้าเมืองหวังคราวหน้าก็แล้วกัน ข้าคงต้องขอคุยธุระกับเจ้าเมืองหวังสักหน่อยก่อน”

จินตั้วหมิงกะพริบตาทีหนึ่งก่อนจะพยักหน้าเข้าใจและเดินจากไป ก่อนจะจากไป เขาหันกลับมาส่งสายตาให้หวังเป่าเล่อครั้งหนึ่งด้วย จากที่หวังเป่าเล่อรู้จักจินตั้วหมิงมา ความหมายของสายตานั้นกำลังบอกเขาว่าเพื่อนเก่าคนนี้เป็นคนที่เขาเชื่อใจได้เช่นเคย

เมื่อจินตั้วหมิงจากไป หวังเป่าเล่อก็ทอดสายตาไปมองสวีหยุนคุนอย่างขี้เกียจ

“ประมุขสำนักสวีมีอะไรอยากจะพูดกับข้างั้นหรือ” หวังเป่าเล่อพูดนิ่งๆ

สวีหยุนคุนจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้ายากจะบรรยาย เขาไม่อาจจะหักห้ามตนเองให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์บนดวงจันทร์ได้ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นคนที่ทำลายโอกาสที่ของเขาที่จะได้ครอบครองทุกอย่างไปเมื่อครั้งนั้น!

บทที่ 583 ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน!
ระหว่างที่เซี่ยไห่หยางกำลังลิงโลดใจ และระหว่างที่ฝูงชนที่จับตาดูอยู่ถึงกับทึ่งในความสามารถของเขา เสียงระฆังก็ยังคงดังกังวาน และเมื่อเฟิ่งชิวหรันประกาศผลสรุป การทดสอบก็จบลงอย่างเป็นทางการ

ลำดับต่อไปก็จะเป็นการเดินทางไปสู่ตำหนักวังบูชา แต่ทว่า ตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักวังบูชานั้นอยู่ลึกเข้าไปในตัวกระบี่ที่ห่างไกลจากตำแหน่งปัจจุบันของพวกเขาอย่างยิ่ง แม้จะมีวงแหวนปราณในสำนักวังเต๋าไพศาลที่สามารถจะเคลื่อนย้ายพวกเขาไปที่นั่นได้ในชั่วพริบตา แต่ก็ยังต้องอาศัยการเตรียมการก่อนจะเปิดใช้ พวกเขายังคงต้องรอไปอีกระยะกว่าที่วงแหวนปราณจะพร้อมใช้การ

แต่ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อ ผู้ที่บัดนี้ถือครองใบไฮยาซินสามใบ ก็มีสถานะใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในสำนักวังเต๋าไพศาลหลังจบการทดสอบ!

แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่บนเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลนานนัก หลังจากที่เฟิ่งชิวหรันประกาศผลการทดสอบ เขาก็จากมาทันที การทดสอบนั้นอันตรายร้ายแรงแม้กับหวังเป่าเล่อก็ตาม หากเขาไม่สามารถที่จะปลดปล่อยพลังออกมาได้ในวินาทีสุดท้าย ก็คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะตู้กูหลินมาได้

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหวังเป่าเล่อเพิ่งจะบรรลุขั้นการฝึกปราณ เขาจึงยังต้องทำให้ปราณคงที่เสียก่อน เฟิ่งชิวหรันเข้าใจข้อนั้นเป็นอย่างดี จึงปล่อยให้ชายหนุ่มจากไป นางยังมอบโอสถที่จะช่วยเขาควบคุมพลังปราณมาให้อีกขวดหนึ่งอีกด้วย

โอสถเหล่านั้นราคาแพงระยับแถมยังใช้ได้ทั้งกับเพื่อฝึกปราณและรักษาการอาการบาดเจ็บ หวังเป่าเล่อกล่าวขอบคุณก่อนจะจากมาพร้อมจั่วอี้ฟาน เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋า บรรดาพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐอีกหลายคนเดิมตามพวกเขามาติดๆ

หลังจากที่ทักทายผู้คนหน้าประตูวังเต๋าไพศาลเรียบร้อย หวังเป่าเล่อหันหลังก่อนจะก้าวขึ้นไปบนอากาศ และเดินทางออกจากเกาะหลักของวังเต๋าไพศาลมุ่งหน้าไปยังเกาเพลิงเขียว พันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐทุกคนมาส่งเขาด้วย

เจ้าเยี่ยเหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็แยกย้ายกันกลับถ้ำที่พักของตนเองหลังจากที่หวังเป่าเล่อไป แม้จะจากกันมาแล้ว การทดสอบก็ยังคงเป็นที่พูดถึงกันในหมู่ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลไปอีกพักใหญ่

หวังเป่าเล่อไม่สนใจเรื่องเหล่านั้นอีกต่อไป ขณะนี้ ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเต็มที่เพื่อกลับไปยังเกาะเพลิงเขียว ก่อนจะเข้าไปยังถ้ำที่พักและมุ่งหน้าไปถือสันโดษทันที เขานั่งขัดสมาธิทำสมาธิเพื่อฝึกปราณและตรวจสอบเมล็ดดูดกลืนในกายไปพร้อมๆ กัน

ดอกบัวเขียวหายไปแล้ว แก่นในอัสนีและแก่นในแห่งความมืดก็ด้วย…หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกยุ่งยากใจเมื่อนึกไปถึงการแปรสภาพของเมล็ดดูดกลืนครั้งล่าสุด ในช่วงสุดท้ายของการทดสอบ แม้ชายหนุ่มจะสัมผัสได้ว่าการแปรสภาพนั้นเป็นผลดีกับตัวเขาเอง แต่ก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้เมื่อมาคิดใคร่ครวญดูดีๆ หลังจากนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจใช้จิตสัมผัสวิญญาณเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมล็ดดูดกลืนกันแน่

เมื่อสัมผัสวิญญาณของเขาเข้าไปถึงด้านในของเมล็ดดูดกลืน ชายหนุ่มก็มองเห็นความมืดดำอันเวิ้งว้างอยู่ตรงหน้า มันทั้งเงียบงันทั้งกว้างใหญ่ เขาไม่รู้เลยว่ามันกว้างไกลเพียงไหน มีเพียงดอกบัวเขียวหนึ่งเดียวที่สั่นระรัวอยู่ในความมืดดำสนิท…

เมื่อมองไปยังดอกบัวเขียว ที่มีทั้งแก่นในอัสนีและแก่นในแห่งความมืดวางอยู่ด้านบน หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ทว่า เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะพาพวกมันออกไปได้อย่างไร ชายหนุ่มสัมผัสได้อยู่ลางๆ ว่าทั้งสามได้หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเมล็ดดูดกลืนไปแล้ว ราวกับว่าทุกอย่างได้กลายสภาพมารวมกันจนเป็นหนึ่ง

หวังเป่าเล่อไม่อาจจะเข้าใจอะไรได้เลยแม้จะครุ่นคิดอย่างหนักแล้วก็ตาม ชายหนุ่มจึงยอมแพ้ในที่สุดก่อนจะดึงเอาจิตสัมผัสวิญญาณกลับมา เขาใช้ผนึกมือเรียกร่างอวตารอัสนีออก หลังจากที่เพ่งมองมันอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงนึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดแผกไปจากที่เคย

การแปรสภาพนั้นเปลี่ยนแปลง…พลังการดูดกลืนของมัน!

พลังนั้นปรากฏขึ้นพร้อมๆ กับที่ร่างอวตารถูกปล่อยออกมา ขณะนี้ ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อสามารถดูดกลืนปราณวิญญาณเพื่อนำมาฝึกปราณได้

หัวใจของชายหนุ่มเต้นระรัว นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงขณะที่จ้องมอง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ก็มีแสงประหลาดสะท้อนในตาชายหนุ่ม ขณะที่เขายกมือขวาขึ้นชี้ ทันใดนั้นเอง กระบี่เหาะเหินก็ปรากฏขึ้นมาจากในกำไลคลังเก็บ ก่อนจะพุ่งตรงไปยังร่างอวตารอัสนีของเขาเอง กระบี่นั้นไม่ได้พุ่งทะลุร่างอวตาร แต่กลับบาดไปถากๆ แล้วฝากรอยแผลไว้ให้แทน

รอยแผลนั้นหายไปเองในชั่วพริบตา ทำเอาหวังเป่าเล่อหยุดนิ่งครุ่นคิด นัยน์ตาของเขาลุกโชน

พลังในการฝึกปราณนี้เกี่ยวข้องกับเมล็ดดูดกลืนแน่นอน ในขณะเดียวกัน การที่ร่างอวตารของข้าทั้งแข็งแกร่งและมีพลังการฟื้นฟูที่สุดยอดเช่นนี้หมายความว่า…มันจะต้องเกี่ยวข้องกับดอกบัวเขียวอย่างแน่นอน! หวังเป่าเล่อหัวใจเต้นแรงขึ้นอีก ชายหนุ่มตั้งสมมติฐานว่าร่างอวตารนั้นได้รับพลังส่วนหนึ่งไปจากแก่นในแห่งความมืด แต่ไม่มีวิญญาณที่หวังเป่าเล่อจะนำมาใช้ทดสอบสมมติฐานนี้ได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ค่อนข้างมั่นใจทีเดียว

น่าสนใจนี่…ถ้าเป็นเช่นนี้ พลังการยุทธของร่างอวตารอัสนีของข้าจะต้องแข็งแกร่งไร้เทียมทานเป็นแน่…หวังเป่าเล่อจมอยู่ในความคิด จากนั้นจึงปล่อยพลังกายพร้อมๆ กันกับพลังของเปลวไฟสีดำ ชายหนุ่มคิดขึ้นได้ว่าต่อให้เมล็ดดูดกลืนนั้นจะกลืนกินทุกสิ่งเข้าไป ก็ยังไม่มีผลกระทบในแง่ลบกับตัวเขาแม้แต่น้อย กลับกัน ตัวเขากลับพัฒนาขึ้นไปอีก เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงวางใจและปล่อยวางเรื่องนี้ไปในที่สุด เขากลับหยิบเอาแผ่นหยกเคล็ดลับการฝึกปราณออกมาอ่านเรื่องกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นที่สาม

กระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นแรกทำให้หวังเป่าเล่อมีพลังสายฟ้าแทรกอยู่ในทุกๆ กระบวนท่าของเขา และยังมีผลกับพลังกายของชายหนุ่มอีกด้วย ขั้นที่สองทำให้สร้างร่างอวตารที่ช่วยเหลือเขาได้เป็นอย่างมาก แต่ทว่า ขั้นที่เขาอยากจะไปถึงที่สุดก็คือขั้นที่สามนี้!

เมื่อไปถึงขั้นที่สามของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงได้ หวังเป่าเล่อจะสามารถสลับตำแหน่งของอวตารอัสนีได้อย่างฉับพลัน แม้จะไม่ถึงขนาดไร้ที่ติ แต่ก็ใกล้เคียง ทำให้ชายหนุ่มสามารถจะใช้ทักษะการต่อสู้ได้ตามใจมากขึ้น และช่วยให้คาดเดารูปแบบการต่อสู้ของเขาได้ยาก ในแง่หนึ่ง อาจจะพูดได้ว่ามันจะช่วยพัฒนาให้สมรรถภาพทางการยุทธของเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากทีเดียว

ยกตัวอย่างเช่น ในการต่อสู้ระหว่างตัวเขากับตู้กูหลิน หากอวตารอัสนีของชายหนุ่มสามารถที่จะสลับตำแหน่งกับร่างต้นได้ ความยืดหยุ่นนั้นจะทำให้เขาสามารถโต้ตอบกับตู้กูหลินได้โดยยังไม่ต้องบรรลุขั้นแม้อีกฝ่ายจะใช้ผนึกขั้นที่สองก็ตาม

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เปลวไฟโชติช่วงก็ลุกไหม้อยู่ในใจของหวังเป่าเล่อ เขาพร้อมที่จะค้นคว้ากระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นที่สามและพยายามฝึกให้สำเร็จ แต่ทว่า ยิ่งกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นสูงขึ้นเท่าใด การฝึกก็ยิ่งท้าทายขึ้นมากเท่ากัน เป็นการยากอย่างยิ่งที่จะฝึกให้สำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้รีบร้อน เขาค่อยๆ ฝึกปราณไปอย่างช้าๆ ไปพร้อมๆ กับการพยายามทำให้ปราณขั้นใหม่ของเขาคงที่ไปในการถือสันโดษนั้น

ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็ไม่ได้ลืมวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคี หวังเป่าเล่อจัดเวลาทุกๆ วันเพื่อฝึกขั้นที่สองของวิชาสืบทอดนี้ ขั้นที่สองของเกราะจักรพรรดิลักอัคคี เกราะที่ออกจะแปรสภาพเป็นเกราะจักรพรรดิกระดูกที่ดูเหมือนกับโครงกระดูกมนุษย์

เมื่อฝึกฝนสำเร็จแล้ว พลังของมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากมาย แต่ทว่า เฉกเช่นเดียวกับขั้นที่สามของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลง ความคืบหน้าในการฝึกนั้นค่อนข้างช้า สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว วิชาหลังฝึกยากกว่าวิชาแรกเสียอีก

นอกเหนือไปจากความชาญฉลาดและความเข้าใจแล้ว ชายหนุ่มยังต้องการทรัพยากรปริมาณมาก แม้ว่าเฟิ่งชิวหรันจะเพิ่งให้ขวดโอสถราคาแพงมา ก็ยังไม่พอ

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงตั้งเป้าหมายว่าจะไปตำหนักวังบูชาก่อน ชายหนุ่มคิดว่าเขาไม่ได้ต้องเร่งรีบเพื่อจะกลับมา หลังจากไปสลักนามที่วังเต๋าแล้ว ก็จะอ้อยยิ่งอยู่ที่ตัวกระบี่สักหน่อยเพื่อหาเงิน

ยิ่งสถานะของข้าสูงขึ้นเท่าใด ข้าก็เข้าไปในสถานที่ได้หลากหลายขึ้นเท่านั้น แถมยังสามารถละเลยกฎเกณฑ์ได้มากขึ้นอีกด้วย…เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา ชายหนุ่มเริ่มสังเกตฝักกระบี่ภายในกายไปพร้อมๆ กัน

ขณะนี้นั้นเขาเชื่อเรื่องที่แม่นางน้อยเคยพูดไว้เกี่ยวกับพลังของฝักกระบี่แล้ว แต่ทว่าหากเขาจะต้องชักกระบี่ออกมาอีกครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกแล้ว คงจะทำได้อีกครั้งหลังจากพักไปอีกสักพักใหญ่

แต่ทว่า พลังอันยิ่งใหญ่ของกระบี่นั้น ไหนจะความสำคัญของอาวุธเวทระดับเจ็ดในกาย ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งมุ่งมั่นที่จะหลอมมันให้เป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดให้ได้โดยเร็วที่สุด

ข้าจะต้องเดินทางเข้าไปในตัวกระบี่! หวังเป่าเล่อมีสายตามุ่งมั่น แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าเขาจะรีบร้อนไม่ได้ เพราะฉะนั้น หลังจากที่ถือสันโดษอยู่ครึ่งเดือนและใช้โอสถจนหมด เขาจึงตัดสินใจเดินทางเข้าไปยังวังเต๋าไพศาลเพื่อใช้แต้มการรบซื้อโอสถอื่นๆ ที่ช่วยในการฝึกปราณเพิ่ม

ก่อนจะจากไป หวังเป่าเล่อหยิบเอากระจกในกำไลคลังเก็บออกมาส่องดูใบหน้าที่ได้รูปและไม่คุ้นตา ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอ่อนไหวขึ้นมา

“จู่ๆ ข้าก็หล่อขึ้นมามากเสียจนหลงตัวเองเสียแล้ว…” เขากระซิบ ก่อนจะยกมือขึ้นตบพุงอย่างเคยชิน แต่ทว่ากลับไม่พบพุงแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อก้มหน้าลงมองและเพิ่งรู้สึกตัวว่าท้องเล็กลงอย่างมาก

“หวังเป่าเล่อเอ๋ย ทั้งๆ ที่เจ้าก็หล่อเสียจนไม่ต้องทำอะไรแล้ว แต่เจ้าก็ยังคงเลือกเลิกจะสั่งสมเพิ่มพูนความสามารถและทำงานหนักไม่หยุดหย่อน!” หวังเป่าเล่อคุยโม้ ก่อนจะทอดถอนใจหนึ่งครั้ง ก่อนจะตั้งท่าแล้วถ่ายรูปตัวเองไว้หนึ่งรูป ก่อนจะส่งเข้าไปยังกลุ่มพูดคุยหลักของพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐในพื้นที่ ก่อนจะจากเกาะเพลิงเขียวมาด้วยใจรื่นเริง

เมื่อก้าวเข้ามาในวังเต๋าไพศาลในคราวนี้ หวังเป่าเล่อได้รับการปฏิบัติไม่เหมือนก่อน ผู้คนมองเห็นเขาทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นบนเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล และเข้ามาประชิดตัวทันทีเพื่อทักทาย

พวกเขาไม่เพียงแต่ทักทายเท่านั้น แต่ยังเดินตามเขาไปทั่ว ผู้ฝึกตนทุกคนที่มองเห็นเขาเป็นเช่นนี้กันไปหมด ความชื่นชมและเคารพที่พวกเขามีต่อหวังเป่าเล่อทำเอาชายหนุ่มประหม่า ราวกับว่าเขาได้กลับไปเยือนสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งกระนั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชายหนุ่มไปถึงบริเวณแผ่นหินรับภารกิจที่คลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกตนจำนวนมาก เกิดความโกลาหลขึ้นทันทีที่เขาปรากฏตัว บรรดาผู้ฝึกตนพากันทักทายและพากันหลบทางให้หวังเป่าเล่อเดิน ราวกับเขาเป็นศิษย์เอกคนหนึ่งกระนั้น

ปรากฏการณ์นี้ถูกใจหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่งและเขายิ่งภาคภูมิใจขึ้นไปอีกเมื่อระหว่างทางมีศิษย์สาวสวยของสำนักวังเต๋าไพศาลหลายคนที่มองเห็นเขาแล้วก็ส่งสายตายั่วยวนมาให้ มอบความรู้สึกอิ่มเอมใจยิ่งให้กับชายหนุ่ม

ข้าสงสัยนักว่าผู้ฝึกตนสตรีบนกระบี่สำริดเขียวโบราณนี้จะมีเรือนร่างเหมือนกันกับสตรีบนสหพันธรัฐหรือไม่…หวังเป่าเล่อกะพริบตาทีหนึ่งก่อนจะเริ่มครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง

บทที่ 582 ผู้อยู่บนจุดสูงสุด!
หลังจากที่คว้าเอากุญแจมา หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำ เขากลับยืนนิ่งอยู่บนก้อนหินข้างๆ กายตู้กูหลินก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีคลื่นสะท้านเป็นระลอกออกไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้แผนที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนเริ่มพร่าเลือน ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ กันนี้ขึ้น ครั้งก่อนหน้านี้เกิดขึ้นราวสิบสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ เป็นสัญญาณ…ว่าการเคลื่อนย้ายครั้งต่อไปกำลังจะมา

“จบกันเท่านี้ละนะ” หวังเป่าเล่อเอ่ยออกมาแผ่วเบาขณะที่ละสายตาจากท้องฟ้าสีดำก่อนจะก้มศีรษะลงมองตู้กูหลินอย่างใจเย็น หวังเป่าเล่อโคลงศีรษะขณะที่จ้องมองคู่ปรับของเขา ผู้ซึ่งยังคงมีเลือดไหลออกมาเป็นทางและพยายามจะลุกขึ้นยืนอย่างลำบากลำบน ชายหนุ่มโคลงศีรษะอีกครั้ง คราวนี้เขาตัดสินใจจากประสบการณ์ในชีวิต ไม่ใช่ตามคำสอนของอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูง หวังเป่าเล่อยื่นมือออกไปให้ตู้กูหลิน

ตู้กูหลินผู้ซึ่งไร้กำลังและพยายามดิ้นรนจะลุกขึ้นอยู่นั่นตกใจขึ้นมาชั่วขณะเมื่อมองเห็นมือของหวังเป่าเล่อที่ยื่นมา เขาเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะหัวเราะออกมาได้ และคว้าเอามือขวาของหวังเป่าเล่อไว้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เช็ดโลหิตจากมุมปากด้วยซ้ำ แม้ว่าร่างกายจะยังสั่นเทาแต่เมื่อหวังเป่าเล่ออกแรงดึง ตู้กูหลินก็ลุกขึ้นมานั่งได้

แรงดึงนั้นดูเหมือนจะสะเทือนไปถึงอาการบาดเจ็บของตู้กูหลินทำให้เขาถึงกับห่อปาก ก่อนจะจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อพร้อมกับหอบหายใจ พลางจ้องมองด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์และเลื่อมใส

“ในสหพันธรัฐ ยังมีใครแข็งแกร่งเช่นเจ้าอีกหรือไม่” ดู้กูหลินอดใจถามไม่ได้

“ถ้าเป็นเรื่องรูปร่างหน้าตา หากว่าข้า หวังเป่าเล่อผู้นี้บอกว่าเป็นอันดับสอง ก็คงไม่มีใครกล้าพูดได้ว่าเป็นอันดับหนึ่ง! แต่ถ้าหากในด้านการต่อสู้แล้ว ยังมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าข้าอยู่อีกมากมายนัก” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นก่อนจะพูดเนิบๆ หากว่าเป็นใครอื่นที่พูดแบบนั้นก็คงต้องรู้สึกอับอายเป็นอันมาก แต่ทว่า เพราะหวังเป่าเล่อสะกดจิตตนเองมานับครั้งไม่ถ้วน ชายหนุ่มจึงเชื่ออย่างสนิทใจในคำพูดเยินยอรูปลักษณ์ของตนเองเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนนี้ เขาน้ำหนักลดลงไปมากโข!

ตู้กูหลินไม่เคยพูดคุยกับหวังเป่าเล่อมาก่อน เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาถึงกับงุนงง ทันใดนั้นเอง เสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้นก่อนที่สนามทดสอบจะสั่นไหว พลังการเคลื่อนย้ายรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนยังคงตกตะลึงไม่หายจากผลการต่อสู้ที่เพิ่งจบลงไปนั้นเมื่อการเคลื่อนย้ายเริ่มขึ้น!

การเคลื่อนย้ายนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองในสนามทดสอบ ทุกๆ คนที่ไม่ได้ถือกุญแจอยู่จะต้องหลุดออกไป และในขณะนี้ มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่มีกุญแจอยู่กับตัว

เมื่อเห็นการเคลื่อนย้ายที่กำลังเริ่มขึ้นและสัมผัสได้ถึงพลังการเคลื่อนย้ายที่ดูดดึงกายเขาออกมาจากสนามทดสอบไป ตู้กูหลินก็สูดลมหายใจ สายตางุนงงของเขาจ้องมองหวังเป่าเล่อผู้ผ่ายผอมอย่างชื่นชม ก่อนจะผงกศีรษะเบาๆ ไปให้

“ความหมายของความงามในสหพันธรัฐของเจ้า อา…ข้าเข้าใจแล้ว จริงๆ เราควรจะเกลียดชังกันมากมายแท้ๆ” ตู้กูหลินพูดเบาๆ ก่อนจะโคลงศีรษะอยู่ไปมา เขาไม่ใช่คนที่จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แม้ว่าชายหนุ่มอาจจะต้องสูญเสียครั้งใหญ่จากการต่อสู้ครั้งนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็แก้ไขไม่ได้ ไม่นานนัก จิตวิญญาณการต่อสู้ก็ลุกโชนอยู่ในสายตาเขาอีกครา ตู้กูหลินจ้องมองหวังเป่าเล่อก่อนจะพูดว่า

“หวังเป่าเล่อ การต่อสู้ครั้งนี้ช่างยอดเยี่ยม ข้าจะกลับไปถือสันโดษอีกครั้ง เจ้าเองก็จงฝึกให้หนัก เพราะว่าเมื่อข้าออกมาจากถือสันโดษเมื่อใด ข้าจะท้าเจ้าสู้อีกครั้งหนึ่ง!” เมื่อพูดจบ นัยน์ตาเขาก็มีประกายร้อนแรงสะท้อนอยู่ กายของตู้กูหลินเริ่มพร่าเลือนเมื่อพลังการเคลื่อนย้ายสูบพาเอาสรรพสิ่งไป แต่จิตวิญญาณการต่อสู้ที่เผาไหม้ในกายนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่แม้กระทั่งพลังเคลื่อนย้ายก็ไม่อาจลบล้างได้

“ข้าจะเฝ้าคอยการต่อสู้ของเราครั้งต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ!” หวังเป่าเล่อตอบกลับอย่างผ่อนคลาย ตู้กูหลินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนที่ร่างกายของเขาจะสลายหายไปจนหมด ในขณะเดียวกัน ผู้ชมรอบข้างก็จางไปด้วย แต่ก่อนที่พวกเขาจะหายไปนั้น ต่างก็พากันประกบมือคำนับหวังเป่าเล่ออย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ดวงตาของพวกเขาทุกคนมีประกายแห่งความตื่นเต้นและชื่นชม เพราะพวกเขาเข้าใจอย่างลึกซึ่งว่า ต่อแต่นี้จะไม่มีใครกล้าดูหมิ่นนาม ‘หวังเป่าเล่อ’ อีกเป็นอันขาด แม้ว่าจะมีผู้ที่อยากจะแข็งข้ออยู่ไม่น้อย แต่อย่างน้อยๆ พวกเขาก็จะต้องมีปฏิกริยานบนอบต่อชายหนุ่ม แม้จะไม่เต็มใจก็ตาม เพราะอย่างไรเสีย กฎเพียงข้อเดียวของสำนักวังเต๋าไพศาลก็คือ ผู้แข็งแกร่งย่อมอยู่รอด!

ผู้คนพากันทยอยหายไปเรื่อยๆ ทั้งกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงก็ด้วย พวกเขาหายไปพร้อมกับความสุขสมและตื่นเต้นในแววตา กระทั่งหวังเป่าเล่อยืนตระหง่านอยู่แต่ผู้เดียวบทสนามทดสอบ!

เหลือไว้แต่เพียงความว่างเปล่าระหว่างสวรรค์และพื้นพสุธาในสนามทดสอบนั้น ความเงียบสงบทำให้จิตใจของหวังเป่าเล่อสงบลงไปด้วย ชายหนุ่มเงยศีรษะขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน พลางนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เข้ามาที่นี่ ประกายประหลาดฉาบเคลือบอยู่ในดวงตา ก่อนที่เขาจะนึกถามขึ้นมาในใจว่า

“แม่นางน้อย เป็นไปได้ไหมว่า เมื่อข้าแข็งแกร่งกว่านี้ ฝักกระบี่ในกายข้าจะสามารถเก็บเอากระบี่สำริดเขียวโบราณเอาไว้ได้ทั้งเล่ม”

แม่นางน้อยผู้ซึ่งไม่ได้พูดจากับเขาตั้งแต่ชายหนุ่มเข้ามาในสนามทดสอบแห่งนี้ก็เงียบอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ ในใจของหวังเป่าเล่อว่า

“ได้แน่นอน!”

หวังเป่าเล่อยิ้ม ชายหนุ่มก้าวออกไปข้างหน้าอย่างไม่รีรอ เพราะเขาเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในสนามทดสอบ ทำให้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายไม่สลายตัวไปเหมือนเช่นวันก่อน มันกลับเปิดคอยให้หวังเป่าเล่อก้าวเข้าไป

ขณะที่เขาก้าวเท้าออกไปนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกราวกับว่าได้ก้าวข้ามอากาศบางเบาระหว่างขุนเขา ร่างกายของชายหนุ่มพร่าเลือน เริ่มจากขา ไล่ขึ้นมาถึงแขน ก่อนที่ตัวเขาทั้งหมดจะหายวับไป ในที่สุด การทดสอบที่ทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลจับตามองก็มาถึงจุดสิ้นสุด!

หวังเป่าเล่อมองเห็นทุกอย่างพร่าเลือน เมื่อการเคลื่อนย้ายสิ้นสุดลง และทุกสิ่งตรงหน้ากลับมาชัดเจนอีกครา ชายหนุ่มก็เห็นท้องฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของวังเต๋าไพศาลตรงหน้าอีกครั้ง ทะเลเพลิงอยู่ห่างออกไปสุดสายตา โถงใหญ่ที่ยอดของภูเขา และสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาที่ตัวเขาที่ยืนอยู่บนจัตุรัสสาธารณะนั้น!

ในสายตาเหล่านั้นมีโจวซู่เต๋า ตู้กูหลิน และคนอื่นๆ ที่เขาเอาชนะมาได้ เช่นเดียวกับเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า และพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐคนอื่นๆ แต่ทว่า ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะรู้จักพวกเขาหรือไม่ ในวินาทีนั้น ทุกสายตาต่างก็จับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว เช่นเดียวกับบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทุกคน รวมไปถึงเมี่ยเลี่ยจื่อและพวก

ความเงียบงันปกคลุมจัตุรัสสาธารณะอยู่ครู่ใหญ่

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเป็นคนของสหพันธรัฐ ชายหนุ่มเองก็ได้แสดงพลังการยุทธที่ทำเอาศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลต้องตื่นตะลึง แม้ว่าพวกเขาส่วนมากจะเป็นศิษย์ระดับหัวกะทิก็ตาม แต่ทว่า มีบางคนที่รู้สึกอิจฉาหวังเป่าเล่ออยู่ไม่น้อยโดยที่ไม่แสดงออกมา แต่อย่างไรเสีย ขณะนี้ หวังเป่าเล่อก็ต่างไปจากเมื่อก่อนลิบลับ!

การจะเรียกเขาว่าผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด หลังจากที่กำราบโจวชู่เต๋าและตู้กูหลินก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลยแม้แต่น้อย!

กระทั่งเหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณต่างก็พากันจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาลึกล้ำยากจะคาดเดา แน่นอนว่า คลื่นพลังที่แผ่ออกมาระหว่างการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อกับตู้กูหลินนั้นก้าวผ่านระดับกำเนิดแก่นในไปแล้ว นับว่ารุนแรงเพียงพอจะอยู่ในขั้นจุติวิญญาณเลยก็ว่าได้!

พวกเขาย่อมต้องเคารพพลังระดับนั้นอย่างแน่นอน กระทั่งเมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้ซึ่งดูขังขังเป็นพิเศษ ก็ยังมีแววตาชื่นชมเมื่อมองจ้องมายังหวังเป่าเล่อ แต่ทว่า ชายชราก็อดเสียดายไม่ได้ที่คนที่เก่งกาจเช่นนี้ไม่ได้อยู่ในสายของเขา

ส่วนศิษย์สำนักเต๋าโยวหรันนั้นหลับตาพริ้มพร้อมกับมีรอยยิ้มบางๆ พาดผ่านใบหน้า ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ในใจ

ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น หวังเป่าเล่อค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างช้าๆ ก่อนจะยกมือคารวะพร้อมโค้งคำนับต่ำไปยังเฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่สูงขึ้นไป

การทำความเคารพของหวังเป่าเล่อทำเอาเฟิ่งชิวหรันเอ่อท้นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันหลากหลายประดังประเด นางผุดลุกขึ้นยืนทันที เมี่ยเลี่ยจื่อทอดถอนใจก่อนจะยืนขึ้นตาม โยวหรันยืนตามขึ้นเช่นกัน เมื่อทั้งสามลุกขึ้นยืน บรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ ก็ยืนบ้าง พร้อมๆ กับบรรดาศิษย์ที่รายล้อมอยู่โดยรอบ!

“ลั่นระฆังได้!” เฟิ่งชิวรันพูดโดยไม่รอเมี่ยเลี่ยจื่อ หากสถานการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนี้ เมี่ยเลี่ยจื่อคงจะรู้สึกขุ่นเคืองใจเป็นแน่ แต่ทว่า ขณะนี้นั้น เขาเงียบเฉยอยู่ เป็นเชิงว่าไม่ได้ติดใจอะไร

“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์ของข้า หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งได้อันดับหนึ่งในการทดสอบแย่งชิงใบต้นไฮยาซิน เจ้าจะได้รับใบต้นไฮยาซินสามใบและสามารถจะนำไปแจกจ่ายได้ตามใจปรารถนา!” เฟิ่งชิวหรันยิ้มอย่างอบอุ่นขณะที่เสียงระฆังดังก้องกังวาลไปทั่ววังเต๋าไพศาล

เสียงระฆังกังวาลสะท้อนก้องได้ยินชัดเจนทั่วกัน หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งขณะนี้ตกเป็นเป้าความสนใจของมวลชน หัวใจสั่นสะเทือนเพราะเสียงนั้น ชายหนุ่มก้มลงมองเจ้าเยี่ยเหมิงและพรรคพวกก่อนจะส่งยิ้มให้ ก่อนที่ยกมือคารวะเฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ อีกครั้ง

“คณะผู้อาวุโสเมตตาข้ายิ่งแล้ว!”

เมื่อสิ้นเสียงหวังเป่าเล่อพูด เสียงอื้ออึงดังสนั่นก็ดังขึ้นจากบรรดาพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐ เสียงสนับสนุนนั้นดังก้องไปไกล ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลเองก็เริ่มออกเสียงเช่นกัน พวกเขาต่างก็แสดงอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็หันกลับมาพูดคุยกับพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐอย่างออกรส ท่ามกลางความวุ่นวายกลางจัตุรัสสาธารณะนั้น เซี่ยไห่หยาง ผู้ซึ่งแฝงตัวอยู่ในฝูงชน ก็เริ่มเก็บดอกผลของการเสี่ยงโชคที่เขาหว่านเอาไว้ด้วยความรื่นรมย์ใจ

จู่ๆ ก็มีเสียงพูดถึงชามทั้งสามใบที่เซี่ยไห่หยางดึงออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อน เซี่ยไห่หยางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนพลิกชามแรกขึ้นมา ภายในมีแผ่นหยกอยู่ที่มีคำว่า ‘หวังเป่าเล่อ’ เขียนอยู่!

จากนั้น เมื่อพลิกชามที่สองและสามขึ้นมา เฉกเช่นเดียวกัน ชื่อ ‘หวังเป่าเล่อ’ เขียนอยู่ในชามทั้งสองเช่นกัน!

บทที่ 581 ชักกระบี่ออกมา!
หวังเป่าเล่อผู้ที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นนขั้นกลางขณะนี้เป็นผู้ที่สามารถจะบังคับให้ตู้กูหลินใช้ผนึกขั้นแรกและยังรับมือได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ แต่ทว่า ชายหนุ่มก็ยังไม่อาจจะบีบให้ตู้กูหลินปลดปล่อยผนึกขั้นที่สองได้

ถึงกระนั้น มาบัดนี้ ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อเมล็ดดูดกลืนได้กลืนกินและปล่อนเอาพลังออกมา หวังเป่าเล่อก็บรรลุขั้นไปสู่ขั้นกำเนิดแก่นในขั้นปลาย อีกเพียงก้าวเดียงก็จะเข้าสู่ขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุด!

การบรรลุขั้นเช่นนี้ส่งผลอย่างมากต่อระดับกำลังกายอีกด้วย ขณะนี้หวังเป่าเล่อไม่เพียงแต่หายจากอาการบาดเจ็บเป็นปลิดทิ้งเท่านั้น แต่ยังปล่อยคลื่นกระแทกจากพลังปราณในร่างออกไปทั่วทุกสารทิศอีกด้วย

แก่นในอัสนีและแก่นในแห่งความมืดไม่อยู่ในกายเขาอีกต่อไป เพราะตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง รวมไปถึงดอกบัวสีเขียวเอง ก็เข้าไปอยู่ภายในเมล็ดดูดกลืน หวังเป่าเล่อยังรู้สึกถึงการมีอยู่ของแก่นในทั้งสองและสัมผัสได้ว่าพวกมันกำลังผ่านกระบวนการแปรสภาพซึ่งแม้แต่ตัวชายหนุ่มเองก็ไม่อาจจะอธิบายได้ เขารู้เพียงว่าการแปรสภาพนี้จะไม่ทำให้เขาเสียเปรียบเป็นเด็ดขาด!

กลับกัน ชายหนุ่มกลับจะได้พลังมหาศาลมาเมื่อการแปรสภาพนั้นเสร็จสมบูรณ์!

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่หวังเป่าเล่อจะต้องใส่ใจในขณะนี้ ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้น มีแววตากระหายการต่อสู้ฉาบเคลือบอยู่ในดวงตา และร่างอวตารอัสนีก็ปรากฏขึ้นมาอีกครา ไหลเลื่อนซ้อนทับอยู่บนร่างของเขาและส่งเสริมให้พลังการต่อสู้ของชายหนุ่มนั้นเพิ่มพูนยิ่งขึ้นไปอีก!

ต่อจากนั้น เกราะจักรพรรดิลักอัคคีที่ตู้กูหลินถล่มไปเมื่อครู่ก็กลับมาในชั่วพริบตา จุดตันเถียนสีโลหิตก็ปรากฏขึ้น แพร่กระจายไปทั่วและขยายให้แสงรัศมีจากกายของหวังเป่าเล่อรุนแรงขึ้นถึงสามเท่า!

ความมุ่งมั่นของเขาหลอมรวมเข้ากับพลังปราณ ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นอีกเท่าทวีคูณ!

การเพิ่มพลังทั้งหมดนั้น ก่อให้เกิดรัศมีอันรุนแรงราวกับจะทำลายสรวงสวรรค์และพื้นพิภพขึ้น พลังงานอันรุนแรงนั้นเข้าไปรวมตัวกันในกำปั้นขวาของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพุ่งเข้าปะทะกับกำปั้นสี่อสูรของตู้กูหลินทันที!

“สลายไปเสีย!”

แผ่นดินสนั่นผืนฟ้าสะเทือน สายลมหมุนวน แรงสั่นสะเทือนสะท้อนกระจายไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่และที่อยู่ด้านนอก กำปั้นสี่อสูรที่ดูเหมือนจะไร้เทียมทานนั้นเริ่มแหลกสลาย ส่วนแรกที่ถูกทำลายก็คืออสูรทั้งสี่ที่อยู่ภายใน วานรยักษ์ วิหคเพลิง มังกรทั้งเก้า และปลานกคุนเผิงส่งเสียงคำรามอย่างน่าเวทนา พวกมันไม่อาจจะต้านทานแรงกระแทกจากสายลมที่รุนแรงได้อีกต่อจนถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เมื่อนั้นเอง ตู้กูหลินหน้าซีดเผือดลงด้วยความตื่นตกใจ ก่อนจะถลาล่าถอยขยะที่กระอักเอาโลหิตออกมาจากปาก

ชายหนุ่มทั้งตกตะลึงทั้งคับแค้นใจ แต่ความรู้สึกเหล่านี้กลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอ่อนแอแต่อย่างใด กลับทำให้ความต้องการต่อสู้ลุกโชน แม้ว่าตู้กูหลินปลดปล่อยผนึกขั้นสองได้ไม่นานนัก มิเช่นนั้นเขาอาจจะบาดเจ็บหนัก แต่ขณะนี้ ชายหนุ่มก็เลือกที่จะยอมเจ็บ!

“ผนึกขั้นที่สองจะถูกเปิดขึ้นเป็นเวลาสิบลมหายใจ!”

ขณะที่ตู้กูหลินใช้ผนึกมือและพึมพำอยู่นั่นเอง รัศมีจากกายเขาก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง เกิดเป็นพายุหมุนขนาดมหึหาที่ชายหนุ่มควบคุมได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกันก่อนหน้า พายุนั้นปลดปล่อยพลังอันรุนแรงทันทีที่ปรากฏขึ้นมาจากกายของตู้กูหลิน มีประกายเยือกเย็นสะท้อนอยู่ในดวงตา ก่อนที่เขาจะหันขวับมาอย่างรวดเร็วก่อนพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อทันที!

รัศมีอันรุนแรงราวกับจะบดบังท้องฟ้าทะลักออกมาอีกระลอก ทำให้ท้องฟ้าหมุนวนจนดูคล้ายกับลมหมุนขนาดมโหฬารที่มีตู้กูหลินที่กำลังพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อด้วยความเร็วสูงอยู่ตรงกลาง!

เมื่อเห็นว่าตู้กูหลินโจมตีอีกครั้ง ผู้ชมภายนอกสนามทดสอบต่างพากันจ้องมองนิ่งด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง หวังเป่าเล่อยังคงสงบนิ่งอยู่เช่นเคย ชายหนุ่มจ้องมองไปยังตู้กูหลินที่กำลังพุ่งเข้ามา ก่อนจะพึมพำออกมากับตนเอง

“ข้าอยากจะรู้จริงว่า ข้าจะสามารถชักเอา…กระบี่ที่ข้าสัมผัสได้อยู่ในฝักกระบี่ตอนนี้ออกมาได้หรือไม่!” หวังเป่าเล่อยิ้มและชูฝักกระบี่ในมือซ้ายขึ้นโดนไม่มองตู้กูหลินที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าลึก เขาก็หลับตาลงก่อนจะวางมือขวาบนฝักกระบี่ แม้จะดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะวางมือลงบนอากาศธาตุ แต่หากว่ามีกระบี่วางอยู่ตรงนั้นจริง บริเวณที่มือขวาของหวังเป่าเล่อวางอยู่ก็คือด้ามกระบี่นั่นเอง!

วินาทีที่หวังเป่าเล่อวางมือลงไปนั้น ทุกๆ สิ่งรอบกายเขาราวกับจะมลายหายไปจนสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตู้กูหลิน สนามทดสอบ ไม่มีสำนักวังเต๋าไพศาล ไม่มีกระทั่งดอกบัวเขียว มีเพียงกระบี่ล่องหนที่ชายหนุ่มสัมผัสได้ลางๆ จากในฝักกระบี่เท่านั้น!

กระบี่เอย จงตื่นขึ้น! ในมโนทัศน์ของหวังเป่าเล่อผู้หลับตาอยู่นั้นมีกระบี่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ชายหนุ่มจิตนาการว่าตนเองชักมันออกมา ความคิดเหล่านั้นประกอบรวมกับเป็นสัมผัสในมือขวา ก่อนที่เขาจะหมุนและดึงมือออกมา บัดนั้นเองก็มีความเปลี่ยนแปลงขึ้น!

สนามทดสอบสั่นสะเทือน กระทั่งสำนักวังเต๋าไพศาลเบื้องนอกก็ยังสั่นอย่างรุนแรง เมี่ยเลี่ยจื่อ เฟิ่งชิวหรัน และศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันผุดลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความตกตะลึง เพราะบัดนี้ กระทั่งกระบี่สำริดเขียวโบราณก็ยังสั่นไปด้วยแม้จะเพียงเล็กน้อย!

ราวกับมีแรงที่มองไม่เห็นกำลังดึงเอาตัวกระบี่สำริดเขียวโบราณออกจากดวงอาทิตย์ก็ไม่ปาน!

น่าเสียดายที่แรงนั้นไม่มีพลังมากพอที่จะดึงเอากระบี่ออกมาได้ ทำได้เพียงขยับมันเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถึงแม้ว่าหวังเป่าเล่อจะยังไม่อาจดึงกระบี่ล่องหนในฝักออกมาได้ กายเขาก็ยังอยู่ในท่าเดิมแถมยังทำให้ฝักกระบี่สั่นไหวอย่างแรง ก่อนจะปลดปล่อยเอาพลังที่แข็งแกร่งออกมา!

พลังนั้นไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาหรือสัมผัสได้ แต่ทันทีที่ปรากฏออกมา มันก็ก่อตัวเป็นเจตนารมย์แห่งกระบี่อันยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทุกคนตื่นตะลึง เจตนารมย์แห่งกระบี่นั้นพุ่งตรงเข้าใส่ตู้กูหลินทันที!

แม้ว่าผนึกขั้นที่สองจะถูกปลดปล่อยออกมาแล้วและตู้กูหลินจะทรงพลังเพียงใดในตอนนี้ ตัวเขาก็ยังสั่นสะท้านอย่างเกินควบคุม ความรู้สึกเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกมานานไหลบ่าท่วมจิตใจ ท่ามกลางความตื่นตะลึง ตู้กูหลินรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าหากมุ่งหน้าต่อไป เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน!

ด้วยความรักตัวกลัวตาย ตู้กูหลินจึงเลือกที่จะถอย แต่ก็สายเกินไป เมื่อหวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นมา ก็มีประกายของกระบี่ปรากฏอยู่ในแววตา!

ประกายของกระบี่ล่องหนนั้นเบี่ยงทิศไปหาตู้กูหลินอย่างดุร้ายเหลือประมาณ ตู้กูหลินจำต้องปลดปล่อยผนึกระดับที่สามอย่างขมขื่นใจ เขาตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นว่าจะไม่ใช่ผนึกนี้โดยเด็ดขาด!

เมื่อผนึกนั้นถูกปลดออก ผมของตู้กูหลินก็งอกยาว ประกายสีทองในดวงตาเขาถูกแทนที่ด้วยประการสีดำสนิท ราวกับว่าชายหนุ่มได้แปรสภาพกลายเป็นหลุมดำที่ปลดปล่อยรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวออกมา เขาใช้ผนึกมือและรวบรวมสมาธิไปที่การหยุดประกายกระบี่ที่พุ่งเข้ามาใส่!

ภาพของอสูรเทพปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา ก่อนจะส่งเสียงคำรามกึกก้องและพุ่งเข้าใส่ประกายกระบี่อย่างไม่กลัวเกรง!

ตู้กูหลินปลดผนึกขั้นที่หนึ่งแบบไม่หนักใจนัก แต่สำหรับผนึกขั้นที่สอง ชายหนุ่มปลดปล่อยได้เพียงสิบลมหายใจเท่านั้น หากนานกว่านั้น อาจจะเกิดผลร้ายใหญ่หลวงรุนแรงกับกายของเขาได้ แต่ทว่า ผนึกระดับที่สามนั้น…จะปลดปล่อยได้ก็ต่อเมื่อเคล็ดวิชาการฝึกปราณของเขาถูกผลักดันจนถึงขีดสุดเท่านั้น เพราะมีความเสี่ยงที่จะทำลายเอาพลังงานที่เขาสั่งสมมา จนอาจจะทำให้เขาไม่อาจฝึกปราณต่อไปได้ ตู้กูหลินทำได้เพียงบรรลุขั้นไปก่อนเมื่อถือสันโดษอยู่เท่านั้น!

ชายหนุ่มไม่อยากจะเปิดผนึกระดับที่สามออกเลยในตอนแรก เป้าหมายของเขาคือการก้าวข้ามระดับจุติวิญญาณเข้าสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่ทว่า ขณะนี้เมื่อความเป็นความตายเท่ากัน ตู้กูหลินจึงต้องยอมปลดผนึกขั้นที่สามออกด้วยความขมขื่นใจ!

แต่แม้ว่าผนึกขั้นที่สามจะถูกปลดออกมาแล้ว ตู้กูหลินก็ทำได้เพียงดิ้นรนชีวิตรอดจากประกายกระบี่เท่านั้น!

ประกายกระบี่พุ่งเข้าประชิดตัวตู้กูหลินอย่างฉับพลัน ก่อนจะทำลายภาพมายาของอสูรเทพราวกับสายลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดพาเอาใบไม้แห้งกรอบให้หลุดร่วงปลิดปลิวจากต้น แล้วปะทะเข้ากับกายของตู้กูหลินอย่างรุนแรง ชายหนุ่มกระอักโลหิตออกมากองใหญ่ ก่อนจะซวนเซและล้มหงายหลังไป ก่อนจะกลับไปยังผนึกขั้นที่สอง ประกายสีดำในดวงตากลับไปเป็นสีทอง ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เขากระอักเอาโลหิตออกมาอีกครั้งก่อนที่ผนึกระดับสองสูญสลายไป ดวงตาของเขากลายเป็นสีทองเจือจาง!

ผนึกขั้นที่หนึ่งก็สลายไปเช่นกัน รัศมีจากกายตู้กูหลินแผ่วจางไป ก่อนที่กายเนื้อของชายหนุ่มจะหล่นลงไปกระแทกกับยอดเขาโลหิต สัญลักษณ์ของตัวเขาเอง จนมันพังทลายลงไป ตู้กูหลินกระอักเอาโลหิตออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ขณะนี้อยู่ในสภาวะปางตาย เมื่อนั้นเองประกายกระบี่จึงได้อันตรธานหายไป!

ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณทั้งในและนอกสนามทดสอบ ทุกคนยืนนิ่งอึ้งปากอ้าค้าง หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ อยู่ในอก ในที่สุดแล้วเขาก็ยังชักกระบี่ออกมาไม่ได้ นอกจากตัวเขาเองแล้วไม่มีใครรู้ว่าประกายกระบี่เมื่อครู่นั้นเป็นผลผลิตครั้งแรกของฝักกระบี่ที่สั่งสมมาเนิ่นนาน!

หากชายหนุ่มต้องการจะใช้มันอีกครั้ง เขาคงต้องให้เวลามันอีกสักพักใหญ่

เมื่อทอดถอนใจเสร็จ หวังเป่าเล่อก็เชิดหน้าขึ้นแล้วก้าวออกไปปรากฏตัวอยู่ข้างกายตู้กูหลินที่นอนแผ่หราอยู่บนพื้น พลางก้มหน้ามองอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน

ตู้กูหลินหัวเราะออกมาอย่างระทมใจพลางยกมือขวาขึ้นมาอย่างยากเย็น ก่อนจะคว้าไปทางกุญแจและหินภูเขาที่อยู่ห่างออกไป กุญแจของเขาบินไปเข้ามือหวังเป่าเล่อทันที

“เจ้าชนะแล้ว!”

บทที่ 580 ผอมลง!
แม้จะผ่านไปครบชั่วสิบลมหายใจ กำปั้นบนฟ้าก็ยังมีพลังกล้าแกร่งดั่งทัณฑ์สวรรค์แฝงอยู่ ผืนดินสั่นไหวปรากฏรอยร้าว ภูผารอบๆ สั่นคลอน ผู้ชมรอบๆ รีบหนีไปด้วยความตื่นตกใจ เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าที่จับตาดูต่างเป็นกังวลใจหนัก

แต่พวกเขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ศึกระหว่างหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินได้มาถึงจุดที่เหนือกว่าขั้นกำเนิดแก่นใน เทียบเคียงได้กับขั้นจุติวิญญาณหากไม่นับเคล็ดวิชาที่ใช้

“แพ้แล้วหรือ…” ทุกคนที่จับตาดูการต่อสู้อยู่ตะลึงงันไป หวังเป่าเล่อนอนมองกำปั้นยักษ์ร่วงลงมาจากฟากฟ้าอยู่ท่ามกลางกองหิน เขาผุดยิ้มขมขื่นขึ้น แต่ในตายังแฝงไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้!

ยังเหลืออีกอย่างที่ข้ายังไม่ได้ใช้! หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว แม่นางน้อยยังไม่ได้ปริปากพูดอะไรตลอดการต่อสู้ แต่เขาก็รู้ว่านางไม่ได้หลับ แต่กำลังเฝ้าดูศึกครั้งนี้อยู่!

ไพ่ตายที่เหลืออยู่ไม่ใช่แม่นางน้อย แต่เป็นฝักกระบี่ที่อยู่ภายใน!

ฝักกระบี่เป็นสมบัติเวทชิ้นแรกที่หวังเป่าเล่อหลอมขึ้น แม่นางน้อยบอกว่ามันเป็นสมบัติเวทภายในกายที่สามารถจัดการได้ทุกสิ่ง จากการหล่อเลี้ยงมาตลอด นอกจากจะใช้ปล่อยยุงแล้วก็ดูจะไม่ได้มีประโยชน์อื่นอีก

หวังเป่าเล่อไม่เคยคิดจะใช้สมบัติชิ้นนี้มาก่อน แต่ตอนนี้…เสียงเย็นเยียบได้สว่างวาบขึ้นในตาของเขา ทันใดที่หมัดสี่อสูรพุ่งเข้ามาใกล้ ดอกบัวสีเขียวในกายหวังเป่าเล่อก็สั่นไหวรุนแรง พยายามฟื้นฟูร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บหนัก แม้พลังกดดันของตู้กูหลินจะส่งผลให้การฟื้นฟูเป็นไปได้ช้าและไม่สมบูรณ์ แต่ก็เพียงพอให้ชายหนุ่มสามสารถปลดปล่อยการโจมตีที่ไม่เคยใช้มาก่อนได้!

ทันใดนั้น จิตวิญญาณนักสู้ก็ลุกโชติช่วงขึ้นในดวงใจ เขาร้องตะโกน หน้าผากผุดเส้นเลือดปูดโปนขณะกระแทกมือซ้ายลงกับเศษหินส่งตัวเองลอยขึ้นไปกลางอากาศ ชายหนุ่มไม่คิดหนี แต่พุ่งทะยานไปประจันหน้ากับหมัดสี่อสูร!

ภาพเบื้องหน้าทำให้บรรดาผู้ชมตื่นตะลึง พวกเขามองดูหวังเป่าเล่อพุ่งไปหาหมัดสี่อสูรซึ่งๆ หน้า!

ขณะที่ทุกคนจับจ้องไปทางหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองหมัดสี่อสูรที่ห่างออกไปไม่ถึงสามสิบเมตร ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาจับตรงหน้าอก!

ทันใดนั้น หน้าอกของเขาก็ส่องแสงสว่างจ้า ก่อนจะเผยให้เห็นปลายฝักกระบี่ หวังเป่าเล่อกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขณะดึงเอาฝักกระบี่ออกมาจากร่าง!

ฝักกระบี่ดูเก่าแก่ มีลักษณะไม่เหมือนของในอารยธรรมนี้ ทันใดที่ฝักกระบี่โผล่พ้นร่าง ฟากฟ้าก็เปลี่ยนสี ลมพัดกระหน่ำพัดเมฆหมอกปั่นป่วน ผืนดินสนามทดสอบสั่นไหว วัตถุชิ้นนี้เป็นเพียงสมบัติเวทระดับหก ไม่ใช่อาวุธเวท แต่กลับสร้างผลกระทบกับทั้งกระบี่สำริดเขียวโบราณเมื่อปรากฏ พลังมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากฝักกระบี่ของหวังเป่าเล่อ แผ่กระจายไปทั่วสนามทดสอบ!

ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีคมกระบี่ที่มองไม่เห็นในฝักกระบี่ แม้จะอยากดึงออกมา แต่ก็ดูเหมือนจะขาดอะไรไป!

ขาดไปเพียงแค่นิดเดียว!

หวังเป่าเล่อไม่มีเวลามัวมานึกเสียใจและครุ่นคิดอะไรมาก เขาเลิกล้มความคิดที่จะดึงกระบี่ออกจากฝัก แต่ใช้ฝักกระบี่ต่างกระบี่ ฟาดฟันใส่หมัดสี่อสูรที่พุ่งตรงมา!

ทันใดนั้น ทุกสิ่งก็ดับแสงไปหมด ตอนแรกยังมีแสงส่องประกายบนฟากฟ้ายามราตรี แต่ตอนนี้แสงสว่าทั้งหมดดับหายไป ราวกับว่าการฟาดกระบี่ลงจะเป็นการดูดแสงทั้งหมด บนท้องฟ้าเหลือเพียงฝักกระบี่ที่ฟาดปะทะกับหมัดสี่อสูร!

เสียงระเบิดราวกับโลกาได้เปล่งเสียงคำรามด้วยความโกรธดังก้องไปทั่วสนามรบพร้อมกับคลื่นพลังรุนแรงที่แผ่วงกว้างไปทั่วทุกทิศ หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม กระอักเลือดสดออกจากปาก ร่างของเขาร่วงลงพื้นจากแรงกดดันของหมัดสี่อสูร แต่มือยังจับฝักกระบี่เอาไว้แน่น พยายามต้านทานแรงปะทะสุดกำลัง!

หมัดสี่อสูรอันทรงพลังไม่ได้ถูกทะลายทิ้งจากฝักกระบี่ที่ฟาดฟันมา แต่ก็พลันสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อไม่สามารถล้มหวังเป่าเล่อลงได้!

ฝักกระบี่ได้ต้านพลังหมัดไว้!

เหมือนว่าฝักกระบี่ได้เพิ่มพูนพลังให้หวังเป่าเล่อทำให้ชายหนุ่มสามารถต้านทานพลังหมัดสี่อสูรเอาไว้ได้ มองจากไกลๆ จะเห็นเป็นภาพอันน่าพรั่นพรึง กำปั้นยักษ์ห่างจากพื้นเพียงแค่เพียงนิดเดียว ใต้กำปั้นยักษ์เป็นหวังเป่าเล่อที่ถือฝักกระบี่ต้านกำปั้นไม่ให้พุ่งเข้าใส่ตนเอง!

ชายหนุ่มเป็นดั่งหินแข็งที่เข้าขัดวงล้อแห่งโชคชะตาไม่ให้หมุนทำลายทุกสิ่ง!

หวังเป่าเล่อได้ใช้พลังถึงขีดจำกัด แขนข้างที่ถือฝักกระบี่ไว้สั่นระริก ดอกบัวสีเขียวในการสั่นไหว พลังกายขนาดมากกว่าครั้งไหนๆ พวยพุ่งออกมาฟื้นฟูร่างกายหวังเป่าเล่อไม่หยุด หากหยุดเมื่อใด ร่างกายจะถูกบดขยี้ จึงไม่มีทางใดนอกจากต้านทานต่อไป

ทนได้ไม่นาน ร่างกายก็ไม่สามารถรับได้ไหว ผิวหนังและกระดูกเริ่มปริแตก พลังจากกำปั้นทำให้หวังเป่าเล่อไม่สามารถหายใจได้ ร่างกายที่ฉีกขาดถูกซ่อมแซมไม่หยุดหย่อน แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะทนต่อไปได้นาน

แก่นในแห่งอัสนีเริ่มปริแตก แก่นในแห่งความมืดก็เช่นกัน หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป แก่นในทั้งสองจะถูกทำลาย พลังปราณจะหายวับไปหมด ขั้นกำเนิดแก่นในจะพังลง!

สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนราง ชายหนุ่มได้ยินเสียงดังแว่วขึ้น มีทั้งเสียงที่คุ้นเคยและเสียงที่ไม่เคยได้ยิน แต่ทุกเสียงต่างกรีดร้องบอกให้เขายอมแพ้ไป!

ข้าจะยอมแพ้ได้อย่างไร เต๋าของข้าห้ามไม่ให้ยอมแพ้ ความทะเยอทะยานของข้าห้ามไม่ให้ยอมแพ้…หวังเป่าเล่อผู้นี้ไม่มีวันยอมแพ้! ขณะที่หวังเป่าเล่อกรีดร้องอยู่ในใจ รอยร้าวบนแก่นในแห่งความมืดและแก่นในสายฟ้าก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น ร่างของเขากำลังจะพังลง ดอกบัวสีเขียวไม่สามารถช่วยซ่อมแซมร่างกายได้ทัน

ขณะที่ร่างกายกำลังจะทลายลง จิตวิญญาณของชายหนุ่มก็ลุกโชติช่วงส่งให้ตนก้าวข้ามขีดจำกัด เกิดเสียงดังสนั่น เมล็ดดูดกลืนในกายพลันตื่นขึ้น!

ท่ามกลางสถานการณ์เสี่ยงตายเช่นนี้ มันไม่ได้ดูดกลืนพลังจากภายนอก แต่กลืนกินเอาดอกบัวสีเขียว รวมถึงแก่นในแห่งความมืดและแก่นในแห่งอัสนีเข้าไป ทุกสิ่งไม่ได้หายไปไหน หากแต่ผสานรวมกันกับเมล็ดดูดกลืนเป็นครั้งที่สอง!

ครั้งแรกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นตอนที่ดอกบัวสีเขียวฝังลงตรงเมล็ดดูดกลืนเป็นครั้งแรก หลังจากกลืนกินทุกสิ่งเข้าไป ก็เหมือนจะยังไม่เพียงพอ เมล็ดดูดกลืนจึงเริ่มดูดกลืนร่างกายของหวังเป่าเล่อ ร่างกลมอ้วนของเขาผอมลงอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา ภาพหวังเป่าเล่อเบื้องหน้าทุกคนก็…

ไม่ได้มีรูปร่างอ้วนกลมอีกต่อไป แต่เป็นร่างผอมเพรียว ชายหนุ่มผอมสูง คิ้วเป็นทรงสวย ดวงตาแหลมคม โครงหน้าได้รูปและชุดคลุมหลวมโพรกทำให้เขาดูหล่อเหลายิ่งนัก อาจเป็นเพราะแตกต่างจากภาพที่เคยเห็นก่อนหน้ามาก ทุกคนจึงตื่นตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ หวังเป่าเล่อในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันล้นเหลือ!

แม้แต่จั่วอี้ฟานที่ถือว่าเป็นคนรูปงามในสหพันธรัฐยังไม่สามารถทัดเทียมความหล่อของเขาได้เพราะยังขาดบางสิ่งที่หวังเป่าเล่อมี นั่นก็คือความกล้าหาญ ทัศนคติอันดีงาม และพลังที่สามารถทำลายได้ทุกสิ่ง!

ทุกสิ่งประกอบกันทำให้หวังเป่าเล่อดูหล่อเหลา แต่ก็แฝงไปด้วยกลิ่นไอแห่งความชั่วร้าย ชายหนุ่มทรงเสน่ห์เสียจนหลี่อี้ที่จับตาอยู่ด้านนอกต้องเบิกตากว้าง

ทันใดนั้น เมล็ดดูดกลืนก็เริ่มกระบวนการตีกลับ เริ่มปล่อยพลังเข้าหล่อเลี้ยงร่างกาย!

พลังปราณของหวังเป่าเล่อปะทุขึ้น พลังกายพวยพุ่งขึ้นจากร่างที่อ่อนแรงก่อนหน้า ก่อนจะบรรลุจากขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางไปขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายในชั่วพริบตา!

ยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้น หลังจากบรรลุสู่ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย เมล็ดดูดกลืนก็ยังคงส่งพลังไปหล่อเลี้ยงไม่หยุด พลังปราณในกายเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย เพียงครู่เดียว ระดับการฝึกตนของเขาก็พุ่งไปช่วงปลายสุดของชั้นปลาย ห่างจากชั้นสมบูรณ์แค่เพียงนิดเดียว!

ภาพเบื้องหน้าทำให้ตู้กูหลินรวมถึงผู้ชมทั้งในและนอกสนามรบตื่นตะลึงไป!

“บรรลุขั้นการฝึกตนระหว่างการต่อสู้!”

ขณะที่ผู้คนกำลังส่งเสียงฮือฮาด้วยความตกใจ พลังปราณของหวังเป่าเล่อก็พวยพุ่งออกมา อาการบาดเจ็บได้รับการฟื้นฟูในทันใด ชายหนุ่มได้พลังที่เสียไปกลับคืน อีกทั้งยังทวีคูณสูงขึ้นกว่าก่อน คลื่นพลังน่าพรั่นพรึงแผ่พุ่งออกมาจากร่าง ทรงพลังเสียจนสามารถทำลายสรวงสวรรค์ลงได้ มือเลิกสั่นไหว จับกระบี่ได้มั่นคงมากขึ้น ขณะที่ตู้กูหลินมองมาอย่างไม่เชื่อสายตา หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นมองผ่านกำปั้นสี่อสูรไปสบตากับตู้กูหลินที่อยู่ภายใน!

“ข้าไม่มีวันยอมแพ้!” หวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้น ดวงตาเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้!

บทที่ 579 ขีดจำกัด
ทั้งสองปล่อยการโจมตีสวนกันไปมา พลัดกันขึ้นนำ ก่อนพลังกดดันมหาศาลจะปรากฏขึ้นทีนใดพร้อมกับหวังเป่าเล่อที่พุ่งทะยานแหวกอากาศเข้าไปหาตู้กูหลินอีกครั้ง!

เขารวดเร็วจนเหมือนกับว่าได้หายวับไป เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ปลดปล่อยแก่นในแห่งความมืดในกาย เรียกเปลวไฟสีดำให้ตื่นขึ้นเพื่อรังสรรค์ทะเลเพลิงออกมาเบื้องหน้า

ทะเลเพลิงสีดำสนิท ไม่มีกลิ่นไอความร้อน มีเพียงความเย็นเยียบที่สามารถผนึกทุกสิ่งอย่างไว้ได้ เกิดเสียงปริแตกหลายครั้ง เหมือนว่าฟ้าดินและช่องว่างระหว่างทั้งสองถูกแช่แข็งไปในพริบตา!

เปลวไฟสีดำทำให้พลังปราณและสติสัมปชัญญะของตู้กูหลินปั่นป่วนหนักขึ้น เขากระอักเลือดสดกองใหญ่อีกครั้ง พยายามคุมร่างถอยห่างจากอีกฝ่าย แต่คู่ต่อสู้กลับตามมาไม่หยุด หวังเป่าเล่อยกมือขวา แววความดุดดันฉายขึ้นในตาขณะท่องคาถาในใจ!

หัตถ์สื่อวิญญาณ!

เคล็ดวิชาแห่งศาสตร์มืดหัตถ์สื่อวิญญาณ!

มือเลือนรางขนาดใหญ่โผล่ออกมาจากหน้าอกของหวังเป่าเล่อในทันใด ราวกับมันได้ผุดออกมาจากนรก เปลวไฟสีดำถูกดึงดูดเข้าหา ลมพัดโหมกระหน่ำ ไม่ได้จะดับไฟให้มอด แต่พัดให้ปะทุแกร่งกล้าขึ้น!

พริบตาต่อมา เปลวไฟสีดำก็ลุกโชติช่วง ลุกลามไปทั่วทุกทิศ หัตถ์สื่อวิญญาณดูดเปลวไฟสีดำเข้าไป ก่อนจะขยายขนาดใหญ่ขึ้นหลายพันเมตร!

แม้หัตถ์มหึมาจะดูเลือนราง แต่ก็แผ่พลังรัศมีกล้าแกร่งขนาดทำให้ตู้กูหลินสั่นเทิ้ม การโจมตีของหวังเป่าเล่อนั้นทั้งดุดันและยากเกินจะคาดเดา หัตถ์สื่อวิญญาณผสานรวมกับเปลวไฟสีดำกลายเป็นหัตถ์ขนาดมหึมาเสริมด้วยพลังแกร่งกล้าจากหวังเป่าเล่อพุ่งเข้าจับตู้กูหลินทันทีที่เคลื่อนเข้าไปใกล้!

ขณะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ตู้กูหลินไม่มีเวลาคิดหาวิธีรับมือมากนัก วิกฤตถึงตายตรงหน้าทำให้แสงสีทองในตาแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือด เขาร้องคำรามลั่นเมื่อหัตถ์สื่อวิญญาณเคลื่อนเข้าหา!

“ผนึกที่สองจงคลายออกเป็นเวลาชั่วสิบลมหายใจ!”

ทันใดที่พูดจบ พลังที่สะสมอยู่ในกายมาเนิ่นนานก็ปะทุออกมา เป็นพลังแกร่งกล้าที่มากกว่าครั้งก่อนถึงสิบเท่า ตู้กูหลินกลายเป็นดั่งทะเล พลังของเขาก่อตัวเป็นกระแสลมวนก่อให้เกิดพายุพัดกระจายไปทั่วทุกทิศ!

เกิดเสียงดังสนั่นก้องพื้นพิภพและสรวงสวรรค์ พายุสุมตัวใหญ่ขึ้นราวสามร้อยเมตรพร้อมด้วยพลังมากล้น!

หัตถ์สื่อวิญญาณของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม ไม่สามารถบีบมือจับได้ เริ่มจะทลายลง หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงสัญญาณอันตรายจึงถอยกลับไปทันที

ชายหนุ่มพบว่ามีอะไรแปลกไปขณะมองร่างตู้กูหลินที่ลอยขึ้นฟ้ากลางพายุหมุนขนาดใหญ่!

เส้นผมของเขาพัดปลิวไปตามสายลม สีตาไม่ได้เรืองแสงสีทองจางๆ อีกต่อไป แต่ถูกแทนที่ด้วยสีทองอร่ามที่กำลังกระจายแสงออก ส่งให้ทั้งตัวเปล่งแสงสีทอง พลังกดดันมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากตู้กูหลินที่ตอนนี้เป็นดั่งเทพแห่งสงคราม!

ภาพเบื้องหน้าไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจไป สิ่งที่ทำให้เขาตื่นตะลึงไปคือตู้กูหลินที่กำลังเปล่งแสงทองอร่ามได้ทำให้พลังกดดันมหาศาลและพายุขนาดใหญ่หายวับไปเพียงแค่ยกมือขวาขึ้น!

ทุกสิ่งหายวับไปหมด ราวกับว่าชายหนุ่มแค่รอยอยู่กลางอากาศ ไม่ได้ปล่อยพลังใดๆ ออกมา สัมผัสวิญญาณของหวังเป่าเล่อไม่สามารถรับรู้ได้ถึงร่องรอยพลัง!

หวังเป่าเล่อหยุดหายใจไป ในหัวส่งสัญญาณเตือนภัยอันตรายร้ายแรงกว่าที่เคยพบก่อนหน้า ร่างกายเต้นกระตุกราวกับจะบอกว่าให้หลบเลี่ยนชายเบื้องหน้าไป!

ผู้ชมรอบๆ และภายนอกต่างตื่นตะลึงไป ยังไม่ทันจะส่งเสียงร้องฮือฮา ตู้กูหลินก็เริ่มขยับตัว!

เขาไม่ได้อ้าปากพูด เพียงแค่ก้าวเท้าออกไปเงียบๆ หวังเป่าเล่ออยากจะหลบหนี แต่ตู้กูหลินก็มาปรากฏตัวเบื้องหน้าในพริบตา!

จากนั้นก็ยกมือขึ้นต่อย!

ภาพหมัดเมื่อครู่เทียบกับภาพหมัดมังกรเก้าเศียรไม่ได้เลยแม้ตาน้อย แต่กลับสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายที่มากกว่าเดิมถึงสิบเท่า หวังเป่าเล่อไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ ตัวของเขาแข็งทื่อ ราวกับว่าถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องรับหมัดนี้!

ทั้งหมดเป็นเพราะตู้กูหลินได้ปลดผนึกที่สองทำให้พลังทุกอย่างของเขาแข็งแกร่งเกินหวังเป่าเล่อไปมาก!

หวังเป่าเล่อทำได้เพียงยกมือขวาของเกราะจักรพรรดิลักอัคคีขึ้นมาทานการโจมตี พลังทั้งหมดเสริมด้วยพลังจากเกราะจักรพรรดิปะทุขึ้น เมื่อหมัดของตู้กูหลินเข้าปะทะ หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงเหมือนกับว่าโดนเรือบินพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วเต็มพิกัด เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น มือขวาของเกราะจักรพรรดิถูกทำลายป่นปี้!

หวังเป่าเล่อกระอักเลือดสด ล่าถอยหลังไปไกลจากแรงปะทะ ยังไม่ทันจะถอยไปได้ไกล ตู้กูหลินก็เข้าประชิดอย่างเงียบเชียบและยกมือขึ้นต่อยหมัดที่สอง!

ครั้งนี้เล็งไปที่ช่วงอกของเกราะจักรพรรดิ เสียงปริแตกดังก้องไปทั่วถูกทิศขณะเกราะจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อแตกเป็นชิ้นๆ หมัดที่สามของตู้กูหลินพุ่งทะลวงทรวงอกของคู่ต่อสู้ที่เผยให้เห็นจากเกราะที่แตกออกอย่างไม่ลังเลใจ!

แรงปะทะรุนแรงจนวิสัยทัศน์ของหวังเป่าเล่อมืดดับ เขากระอักเลือดสด ร่างกายไร้เรี่ยวแรงถูกซัดถอยหลังไป ชายหนุ่มเป็นดั่งว่าวที่ถูกตัดออกจากสาย ร่วงหล่นลงบนยอดเขาที่เป็นตัวแทนของตนเอง!

เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ภูผาร้าวแตก ส่งหินร่วงกราว หวังเป่าเล่อนอนกองเกือบไร้สติไปอยู่บนยอดเขา เลือดสดไหลออกจากปากไม่หยุด แต่ตู้กูหลินก็ไม่ได้หยุดมือเพียงแค่นั้น!

ตู้กูหลินพุ่งเข้าไปต่อยอีกครั้ง!

หมัดนี้ไม่ได้เล็งไปที่หวังเป่าเล่อ แต่เป็นผืนดินข้างๆ ก้อนหินถูกบดขยี้เป็นฝุ่นผง พื้นพสุธาสั่นสะเทือนส่งร่างไร้เรี่ยวแรงกระเด็นขึ้นฟ้า!

ตู้กูหลินทะยานตามขึ้นไปเหนือร่างของชายหนุ่ม เขาก้มมองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาของเขาฉายแววเย็นเยียบขณะต่อยหมัดที่ห้าไป!

หมัดครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งไหนๆ อีกทั้งยังเสริมแรงด้วยความเร็วเกิดพิกัดเมื่อครู่จนเกิดเป็นพลังสั่นสะท้านฟ้าดิน เกราะจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อโดนทำลายย่อยยับ ร่างพุ่งกระแทกพื้นจนเกิดเป็นหลุมลึก!

เลือดสดไม่ได้ไหลออกจากปากแต่เป็นทั่วร่าง ชายหนุ่มแทบจะสิ้นสติไป ตู้กูหลินที่ปลดผนึกที่สองแข็งแกร่งเกินจินตนาการ แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณยังนึกสะพรึงกลัว

แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ยอมแพ้ ดอกบัวในกายพยายามซ่อมแซมร่างกายอย่างบ้าคลั่ง ชายหนุ่มหอบหายใจพร้อมกับลืมตามองตู้กูหลินที่ลอยอยู่บนฟ้า

“หวังเป่าเล่อ!” ตู้กูหลินก้มมองด้วยแววตาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เขาจ้องหวังเป่าเล่อที่กำลังหยัดยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล

“ต่อไปเป็นหมัดที่หกซึ่งเป็นขีดสุดของพลังข้า ข้าแนะนำให้เจ้ายอมแพ้เสีย ถ้ายังดื้อด้านต่อไป เจ้าจะต้องได้พบกับความตาย แต่ก็ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะปล่อยพลังเต็มขั้นออกมาได้เมื่อต้องพบกับสถานการณ์เป็นตาย!”

“ข้าเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับชะตากรรมของเจ้า!” พูดจบ ตู้กูหลินก็ยกมือขวาขึ้นกำหมัด ทันใดนั้นเสียงร้องคำรามก็ดังก้องขึ้นจากด้านหลัง ภาพวานรยักษ์ปรากฏขึ้น ตามด้วยมังกรเก้าเศียรสีนิล หงษ์ไฟ และปลาคุนนกเผิง ภาพอสูรทั้งสีบดบังทั่วทั้งผืนฟ้า ห้อมล้อมตู้กูหลิน พลันเคลื่อนทับซ้อนกันกลายเป็นกำปั้นมายาใหญ่ยักษ์ส่งเสียงกรีดร้องดังสนั่น!

กำปั้นเบื้องหน้าเป็นดั่งทัณฑ์สวรรค์ที่พุ่งตรงใส่หวังเป่าเล่อ!

ผ่านไปครบชั่วสิบลมหายใจแล้ว!

บทที่ 578 คลายผนึก!
สถานการณ์พลิกผัน!

ผู้ชมรอบๆ และผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลด้านนอกอ้าปากค้าง ศึกระหว่างตู้กูหลินและหวังเป่าเล่อพลิกผันกลับไปกลับมา ตอนแรกตู้กูหลินเหมือนจะขึ้นนำอยู่ กดดันหวังเป่าเล่อได้มากทีเดียว

เหล่าผู้ฝึกตนจากนอกโลกรู้จักเกราะเส้นปราณสีโลหิตที่ใช้จัดการโจวชู่เต๋าของหวังเป่าเล่อดี พวกเขาเห็นว่าชายหนุ่มไม่ยอมปลดปล่อยออกมาสักทีแม้จะเข้าตาจน บางคนคิดไปว่าอาจจะมีข้อด้อยจึงไม่ใช้ เพราะขนาดโดนดอกไม้ห้าสีสูบเลือดหักกระดูกไปจนจะแพ้ก็ไม่ยอมใช้!

แต่สถานการณ์ก็กลับตาลปัตรจนทุกคนตื่นตะลึงไป ไม่รู้ทำไมกลีบสีดำจึงเปลี่ยนพวกเสียอย่างนั้น!

การทรยศครั้งนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์แปรเปลี่ยน หวังเป่าเล่อใช้โอกาสนี้ปล่อยพลังทั้งหมดเพื่อทำลายล้างทุกสิ่ง เกราะสีโลหิตนี่ไม่ได้เห็นเสียทีก็พลันปรากฏ ระหว่างเข้าโจมตีก็ชิงกลีบดอกไม้ที่เหลืออยู่กลีบสุดท้ายไป แถมยังสร้างความเสียหายรุนแรงจากหมัดทั้งสองได้อีก!

หมัดที่ปล่อยไปทำให้ตู้กูหลินกระอักเลือดกองใหญ่ ทรวงอกถูกทะลวง ร่างหล่นกระแทกพื้น หวังเป่าเล่อพุ่งตามไปราวกับหอกแหลม เตรียมเข้าโจมตีต่ออีกครั้ง!

เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้ทุกคนที่จับตาดูอยู่หายใจถี่รัว แต่ไม่ทันจะได้ส่งเสียงฮือฮา ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็หรี่เล็กเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่แผ่พุ่งออกมาจากตู้กูหลินที่ร่วงอัดภูผาตรงหน้า

แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่หยุดรอ แสงเย็นเยียบสว่างวาบขึ้นในตาขณะพุ่งเข้าไปใกล้ตู้กูหลิน ส่งกำปั้นพุ่งไปตรงทรวงอกที่ถูกทะลวงไว้ก่อนหน้า

ทันใดนั้น ตู้กูหลินก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีทองจางๆ แสงที่ส่องประกายออกมาแฝงไปด้วยความแกร่งกล้าและความคึกคะนอง!

“ผนึกที่หนึ่ง จงคลายออก!”

สิ้นคำ พลังทรงอำนาจก็แผ่พุ่งออกมาจากร่างของตู้กูหลินในทันใด ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ยกมือขวาที่ส่องแสงสีทองแบบเดียวกันขึ้นต่อยหวังเป่าเล่อที่กำลังพุ่งเข้ามา!

เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น หวังเป่าเล่อแค่นเสียงทางจมูกขณะถูกส่งถอยหลังไปไกล เกราะจักรพรรดิลักอัคคีส่องแสงสีเลือดขณะที่ชายหนุ่มพุ่งตรงกลับไปหาตู้กูหลินที่กำลังพุ่งมาโจมตีอีกครั้ง!

หมัดทั้งสองเข้าปะทะกันกลางอากาศส่งร่างของทั้งคู่หล่นกระแทกยอดเขา ก่อนจะลุกขึ้นกระโจนเข้าใส่กันอีกครั้งภายใต้แผนที่บนฟากฟ้ายามราตรี ผ่านไปพักหนึ่ง ผืนพสุธาเบื้องล่างถูกทลายย่อยยับ ภูผารอบข้างสั่นไหว มีเพียงยอดเขาแฝดที่ยังตั้งตระง่านเพราะชายทั้งสองพยายามหลบเลี่ยง

ในช่วงห้านาทีที่ผ่านไปนั้น หวังเป่าเล่อและตู้กูหลินลืมไปและว่าได้ปล่อยหมัดไปมากเท่าใดแล้ว ทั้งสองสู้กันสุดความสามารถ แม้จะหายใจถี่รัว แต่ไฟนักสู้ก็ยังลุกโชนโชติช่วงไม่แปรเปลี่ยน

และจะไม่ดับแสงจนกว่าจะหาผู้ชนะได้!

“เอาอีก!” หวังเป่าเล่อหัวเราะขึ้นขัดเสียงระเบิดดังสนั่นพร้อมกับแลบลิ้นเลียเลือดสดตรงมุมปาก เขาพุ่งเข้าไปหาตู้กูหลินที่กำลังขมวดคิ้วอยู่อีกครั้ง แม้จะเพลิดเพลินกับศึกครั้งนี้มาโดยตลอด แต่ก็ต้องตื่นตะลึงอยู่หลายครั้ง

ความสามารถของเขาเพิ่มขึ้นมากหลังจากคลายผนึกแรก แต่หลังจากโจมตีอย่างต่อเนื่องตลอดห้านาทีก็รู้สึกว่าร่างกายเริ่มตามการต่อสู้ไม่ทัน!

พูดให้ชัดเจนคือร่างกายของเขาฟื้นฟูสภาพได้ไม่เร็วเท่าหวังเป่าเล่อ!

หวังเป่าเล่อสามารถโจมตีได้เรื่อยๆ เพราะร่างกายของเขาฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว แม้ตู้กูหลินจะสามารถทานทนได้ แต่ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ตนก็จะหมดแรงในที่สุด!

ข้าสู้พลังกายเขาไม่ได้! ตู้กูหลินหรี่ตาพร้อมกับยกมือขวาต่อยไปเต็มแรง ใช้แรงสะท้อนในการถอยไปตั้งหลัก ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังพุ่งตามกลับมาอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มก็หยุดชะงัก พลันแสงดุดันก็สว่างวาบขึ้นในตา เขาตั้งผนึกมือพร้อมกับร้องคำรามขึ้น

“แดงชาด!”

ทะเลเพลิงสีม่วงไหลหลากออกมาจากร่างของเขาทันใดที่พูดจบ เปลวเพลิงสีม่วงลุกโชติช่วง ทั่วพื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ ผืนดินหลอมละลาย หินภูผากลายเป็นลาวา ทุกสิ่งถูกไอร้อนเข้าห้อมล้อม!

ห้วงอากาศบิดเบี้ยว ก่อนจะปรากฏให้เห็นเค้าร่างของหงส์ไฟ คลื่นพลังที่เกิดจากการบิดเบี้ยวสร้างเค้าโครงไร้สี โปร่งใสขึ้น!

เปลวเพลิงพวยพุ่งไปแต้มสีให้หงส์ไฟตัวใหญ่ราวสามร้อยเมตร กลายเป็นสีม่วง มันห้อมล้อมตู้กูหลินไว้ภายใน ก่อนจะร้องคำรามและพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ!

มองจากไกลๆ เห็นเพียงสีม่วงของหงส์ไฟ ไม่สามารถเห็นตู้กูหลินที่อยู่ภายใน มันสยายปีกพุ่งเข้าใส่เกราะจักรพรรด์พร้อมกับทะเลเพลิงเดือดปะทุ!

ผู้ชมด้านนอกตะลึงงันไป เหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณตื่นตกใจเมื่อตระหนักว่าตู้กูหลินได้ปลดปล่อยพลังเทียบเท่ากับขั้นจุติวิญญาณออกมา!

หากเป็นพวกตนก็คงต้องใช้พลังทั้งหมดในการต้านการโจมตีนี้ไว้ บางคนจึงคาดว่าหวังเป่าเล่อจะต้องพ่ายแพ้เป็นแน่!

ขณะที่ทุกคนกำลังจับจ้องหงษ์ไฟ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแสงที่มองไม่เห็น เขารู้ดีว่าไม่มีทางหลบพ้นได้ จึงร้องคำรามเสียงดังพร้อมกับกำหมัดต่อยออกไป!

หมัดที่ปล่อยออกไปเสริมพลังขึ้นสองเท่าบวกด้วยพลังจากเกราะจักรพรรดิซ้อนขึ้นไปอีกสามเท่า เกราะจักรพรรดิลักอัคคีหดเล็กลงไปถึงร้อยละเจ็ดสิบ!

ก่อนหน้านี้เกราะจักรพรรดิมีขนาดสูงหลายร้อยเมตรแต่ตอนนี้หดเล็กเหลือยี่สิบเมตร พลังจากเกราะจักรพรรดิมารวมอยู่ที่หมัดของเขา!

เบื้องหน้าหงษ์ไฟปรากฏเป็นภาพหมัดมายาขนาดใหญ่ราวสามสิบเมตรพุ่งตรงเข้าใส่ ทันใดที่ทั้งสองสิ่งเจ้าปะทะกัน หวังเป่าเล่อก็กระอักเลือดสดออกมา เกราะจักรพรรดิส่งเสียงปริแตกขณะร่างของเขากระเด็นถอยหลังไป

หงษ์ไฟได้รับความเสียหายหนัก แต่ก็ยังไม่สลายหายไป ตรงอกปรากฏรูกว้าง มันหันมองตู้กูหลินด้วยความตื่นตกใจ

ยังไม่จบแค่นี้หรอก! ตู้กูหลินสูดหายใจลึก สำหรับตนแล้ว หวังเป่าเล่อเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เคยเจอมา สำหรับคู่ต่อสู่ที่แข็งแกร่งเพียงนี้ เขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายโจมตีอีกไม่ได้ จึงพุ่งตรงไปหาหวังเป่าเล่อพร้อมกับหงษ์ไฟที่บาดเจ็บสาหัส!

ทันใดที่เขาเข้าไปใกล้ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแสงวาบ เขาท่องคาถาขึ้นในหัว

จงเบิกตาตื่น นักโทษแห่งสรวงสวรรค์เต๋า ผู้เป็นปรปักษ์ต้องพบกับความพินาศ…

เคล็ดวิชาแห่งเต๋า!

แม้ชายหนุ่มจะได้รับบาดเจ็บหนัก แต่นี่ก็เป็นรูปแบบการโต้กลับที่เขาคิดเอาไว้ พลังเกินบรรยายตื่นขึ้นจากลึกสุดของจักรวาลขณะหวังเป่าเล่อท่องเคล็ดวิชาในหัว ก่อนจะพวยพุ่งผ่านระบบสุริยะ ตรงมายังกระบี่สำริดเขียวโบราณ เข้ามาในสำนักวังเต๋าไพศาล และลงมายัง…วงแหวนปราณคาถาไร้ขอบเขต!

ตูม!

ฝูงชนด้านนอกหัวตื้อไปหมด พวกเขาล้วนตื่นตกใจ ยิ่งมีระดับการฝึกตนสูง ยิ่งตื่นตกใจหนักขึ้นไปอีก เมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันลุกขึ้นยืนพร้อมกับลั่นวาจาขึ้น

“นี่มันพลังอะไรกัน!”

ทุกคนต่างตื่นตกใจจนไม่ทันสังเกตเห็นว่าสหายแห่งเต๋าโยวหรันกระอักเลือดสดออกมาจากปาก แม้จะพยายามต้านทานก็ไม่สามารถทานทนแรงปะทะจนเผยอปากขึ้นเล็กน้อย พลันปากของเขาก็กลายเป็นทรงสี่เหลี่ยม!

เลือดสดหายวับไปในทันใด!

ร่างของตู้กูหลินสั่นเทิ้ม ในหัวอื้ออึงไปหมด พลังปราณปั่นป่วน หงษ์ไฟสลายไปเพราะไม่สามารถทานทนพลังได้ไหว นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงเย็นเยียบ เขาพุ่งตรงไปหาตู้กูหลินอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นลำแสง!

บทที่ 577 วิญญาณจงมา!
“ที่เจ้าพูดทำให้คนเข้าใจผิดได้นะรู้ไหม” ขณะที่ตู้กูหลินกำลังพุ่งเข้ามา หวังเป่าเล่อก็หัวเราะขึ้น เลือดที่ไหลอยู่มุมปากทำให้รอยยิ้มของเขาดูชั่วร้ายยิ่งนัก ชายหนุ่มยกมือขวาชี้ไปทางเหรียญทองแดงที่ถูกด้ายตรึงเอาไว้!

ขณะที่เขาชี้นิ้วไป เหรียญทองแดงก็สั่นไหว อักขระเวทมากมายพวยพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ พลังมหาศาลปะทุออกมาทลายด้ายที่ตรึงอยู่และพุ่งตรงไปทางตู้กูหลิน!

พลังขั้นจุติวิญญาณแผ่พุ่งออกมาจากอักขระเวทมากมายที่ทะลักออกมาจากเหรียญทองแดง เกิดเป็นพลังกดดันถาโถมเข้าใส่ตู้กูหลิน!

มองไกลๆ จะเห็นว่าอักขระมากมายได้ทับซ้อนกันเป็นรูปเหรียญทองแดงขนาดมหึมากลางอากาศ ทุกคนตื่นตะลึงไปเมื่อได้เห็น ผู้ชมด้านนอกอึ้งไป เมี่ยเลี่ยจื่อถึงกับเบิกตากว้าง

“ขุนพลอักขระเวทโบราณ!”

ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตกใจ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแสงวาบก่อนเขาจะร้องคำรามขึ้น!

“วิญญาณแห่งขุนเขา เทพเจ้าแห่งสายฟ้า จงสังหารผีสางวิญญาณเหล่านี้ให้คุกเข่ายอมจำนน ทำลายปีศาจร้ายและปัดเป่าทมิฬมารให้สิ้นซาก ปกป้องเทพไท้อันศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีชีวิตนิรันดร์!”

สิ้นคำ เหรียญทองแดงขนาดมหึมาที่เกิดจากอักขระเวทประกอบรวมกันก็ปล่อยสายฟ้าฟาดออกมาใส่ตู้กูหลิน ชายหนุ่มตื่นตะลึงไป แต่ก็ยกมือขึ้นกวาดพร้อมกับต่อยสายฟ้าฟาดมากมายที่กระหน่ำเข้าใส่ เหรียญทองแดงอักขระเวทเริ่มเคลื่อนตัวลงมาขังตู้กูหลินไว้ภายใน!

ยังไม่จบแค่นั้น หวังเป่าเล่อตั้งผนึกมือชี้ไปทางเหรียญทองแดงก่อนจะร้องคำรามขึ้นอีกครั้ง

“สายอัสนีเบื้องหน้า ผังแปดทิศเบื้องหลัง จงผนึก!”

ทันใดที่พูดจบ แผนผังแปดทิศก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเหรียญทองแดง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวตามมาทันใดที่มันร่วงทับตู้กูหลิน พลังกดดันทวีคูณแรงขึ้น เส้นสายฟ้ามากมายฟาดฝ่าใส่ไม่หยุดยั้ง ตู้กูหลินเกือบจะพ่ายให้พลังดังกล่าว!

ทันใดนั้น ดวงตาของตู้กูหลินก็ฉายแสงวาบ เขามองลึกเข้าไปในตาหวังเป่าเล่อก่อนจะยกมือขึ้น เผยให้เห็นดอกไม้ดอกหนึ่ง!

เป็นดอกไม้ห้ากลีบห้าสี!

ทันใดที่ดอกไม้ปรากฏ พลังเทียบเท่าอาวุธเวทระดับเก้าก็พวยพุ่งออกมา หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไปเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของดอกไม้ ก่อนเสียงตู้กูหลินจะดังก้องขึ้น

“เจ้าทำให้ข้าต้องใช้สมบัติชิ้นนี้ หวังเป่าเล่อ ถ้าเจ้าไม่มีการโจมตีรูปแบบอื่นแล้ว ก็จงแพ้ลงตรงนี้!” ตู้กูหลินฉีกกลีบสีน้ำเงินของดอกไม้ห้าสีโดยไม่ได้สนใจผังแปดทิศที่ล้อมรอบ เหรียญทองแดงด้านบนหัว หรือแสงสายฟ้ารอบกายเลยแม้แต่น้อย กลีบดอกไม้สีฟ้าปลิวไสวไปตามลมเมื่อเขาปล่อยมือ

ทุกอย่างหยุดนิ่งไปขณะกลีบดอกไม้ปลิวตามลม ก่อนฟองอากาศสีฟ้ามากมายจะปรากฏขึ้นบนผังแปดทิศ เหรียญทองแดงอักขระเวทขนาดมหึมาบนฟ้าเองก็โดนฟองอากาศสีฟ้าเข้าห้อมล้อม

สายฟ้ารอบๆ เองก็กลายเป็นฟองอากาศไป ขณะที่ทุกสิ่งรอบตัวตู้กูหลินแปรสภาพเป็นฟองอากาศ ชายหนุ่มก็กระแอมไอ ฟองอากาศพลันระเบิดออกพร้อมกัน ทำลายทุกสิ่ง ทิ้งเหรียญทองแดงที่เหมือนโดนกัดกร่อนร่วงลงพื้น

หวังเป่าเล่อจ้องดอกไม้ที่เหลือเพียงสี่กลีบในมือตู้กูหลิน เขาสนใจกลีบสีดำเป็นพิเศษ แม้จะรู้สึกได้ถึงภัยอันตรายร้ายแรงจากดอกไม้ แต่ก็ยังยับยั้งใจไว้ไม่ปล่อยเกราะจักรพรรดิออกมา ชายหนุ่มกำลังจะเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ ทันใดแสงเย็นชาก็ปรากฏในดวงตาตู้กูหลิน เขาฉีกกลีบดอกไม้สีแดงข้นราวกับเลือดออก

“ดูดเลือด!” ตู้กูหลินเอ่ยขึ้น หวังเป่าเล่อผงะไป ดวงใจสั่นเทิ้มเมื่อเห็นกลีบดอกไม้หลุดออกจากมือ เขารู้สึกว่ากลีบดอกไม้ได้สร้างความเชื่อมโยงบางอย่างกับตนเอง

การเชื่อมโยงนี้เกิดขึ้นทันทีที่กลีบดอกไม้ถูกฉีกออก ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ตู้กูหลินเปิดปาก พลันกลีบดอกไม้ก็กลายเป็นมือโลหิตเข้าจับอีกฝ่าย ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม ใบหน้าเริ่มซีดเผือด หมอกโลหิตผุดออกมาจากรูขุมขนของเขา!

หมอกโลหิตพวยพุ่งออกมาจากหู จมูก ปาก ชายหนุ่มไม่สามารถควบคุมเลือดที่โดนดึงออกไปด้วยพลังประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้!

หวังเป่าเล่อได้สัมผัสพลังประหลาดจากสมบัติเวท เขาหายใจถี่รัว ตู้กูหลินผู้มากประสบการณ์ไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่า เขาฉีกกลีบที่สามออกในทันที!

กลีบที่สามมีสีขาว!

“หักกระดูก!”

ทันใดที่กลีบร่วงหล่น แสงสีขาวก็สว่างวาบขึ้นก่อนจะกลายเป็นโครงกระดูกสีขาวฉีกยิ้มให้หวังเป่าเล่อ เลือดในกายชายหนุ่มโดนดูดออกไปเป็นจำนวนมาก กระดูกโดนพลังไม่ทราบแหล่งที่มาเข้าโจมตี เกิดรอยแตกมากมายขึ้นบนกระดูกราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!

หากเป็นผู้อื่นคงจะสิ้นลมไปแล้วเมื่อโดนการโจมตีเหล่านี้ แต่หวังเป่าเล่อมีแก่นในหัวใจในครอบครองจึงมีร่างกายอันแข็งแกร่ง ดอกบัวสีเขียวในกายสั่นไหว ปล่อยพลังชีวิตเพื่อฟื้นฟูเลือดที่เสียไปและกระดูกที่แตกร้าว!

แต่ก็ทำได้แค่เพียงให้ร่างกายสมดุลอีกครั้ง หากการโจมตีของตู้กูหลินจบเพียงแค่นี้ก็คงจะไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาลงมือต่อ ร่างของเขาจะเสียสมดุลทำให้ตัวสั่นเทิ้ม เลือดเหือดหาย กระดูกป่นปี้เป็นผุยผง!

แม้จะพบกับสถานการณ์เช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ไม่ยอมปล่อยเกราะจักรพรรคิ เขาร้องคำรามพร้อมกับพุ่งเขาหาตู้กูหลินที่กำลังรู้สึกเหนื่อยหน่าย

“เจ้าคิดว่าจะเข้ามาหาซึ่งๆ หน้าทั้งที่ข้าถือดอกแทนสวรรค์ไว้อย่างนั้นหรือ” เขาส่ายหน้าพร้อมกับฉีกกลีบสีดำที่สี่!

“วิญญาณจงมา!”

สิ้นคำ กลีบดอกไม้สีดำก็สลายหายไป ก่อนหมอกสีดำจะกระจายไปทั่ว ลูกไฟสีดำน่าพรั่นพรึงปะทุขึ้น ด้านในมีเรือเดียวดายขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏอยู่ บนเรือมีชายชุดคลุมดำถือไม้พายตะเกียง ชายผู้นั้นยกมือขึ้นชี้หวังเป่าเล่อแต่ก็ต้องตัวสั่นเทิ้มไป!

หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นเมื่อเรือสีดำและชายชุดคลุมดำขนาดจิ๋วปรากฏ ดวงตาฉายแสงวายเมื่อเวลาที่เฝ้าคอยมาถึง!

แก่นในแห่งความมืดในร่างตื่นขึ้นทันใด เปลวไฟสีดำปะทุออกมาจากร่าง เรือสีดำและชายบนเรือจากกลีบสีดำกลับหลังหันไปร้องคำรามใส่ตู้กูหลินในทันใด ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อด้วยความตื่นตะลึงขณะชายตัวจิ๋วชี้ไม้พายตะเกียงใส่!

ตู้กูหลินตัวสั่นเทิ้ม ในหัวอื้ออึวไปหมด เขาตื่นตกใจ อยากจะถอยหนีแต่ก็ช้าเกินไป หวังเป่าเล่อร้องคำรามลั่นพร้อมกับพุ่งตัวออกไป ร่างของเขาเป็นดั่งดาวตกที่มีอนุภาพทำลายจักรวาล ชายหนุ่มยมือขวาขึ้นกำหมัด ทันใดนั้น เส้นปราณสีโลหิตก็กระจายปกคลุมรอบตัว ไอชั่วร้ายแผ่กระจายออกมา เกราะจักรพรรดิลักอัคคีพลันปรากฏ!

ทันใดที่เกราะจักรพรรดิลักอัคคีปรากฏขึ้น พลังในกายหวังเป่าเล่อก็สูบฉีดเต็มกำลัง เพิ่มพลังทวีคูณขึ้นหลายเท่าจากก่อนหน้า เสริมพลังจากเกราะจักรพรรดิไปอีกสามเท่า!

พลังทั้งหมดสอดประสาน สร้างเป็นพลังทำลายล้ายน่าสะพรึงกลัวตรงเข้าใส่ตู้กูหลิน!

ทุกแห่งที่ผ่านถูกทำลายย่อยยับ ฟ้าดินสั่นไหวรุนแรง!

ตู้กูหลินตื่นตกใจเกินบรรยาย อยากจะปัดป้อง แต่วิญญาณของตนกำลังสั่นไหวเกือบจะหลุดลอยออกไป ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อโผล่มาแย่งดอกไม้ที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งกลีบไป ก่อนร่างจริงของหวังเป่าเล่อจะปล่อยหมัดผ่านเกราะจักรพรรดิลักอัคคี กลุ่มศิษย์ที่จับตาดูอยู่รอบๆ และเหล่าผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลด้านนอกตื่นตะลึงไป!

ชายหนุ่มรวดเร็วและทรงพลังมากราวกับได้หยิบยืบพลังฟ้าดินมา ตู้กูหลินกระอักเลือดกองใหญ่ กระเด็นถอยหลังไป หวังเป่าเล่อพุ่งตามไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับต่อยเข้าอีกครั้ง!

หมัดเมื่อครู่สร้างรอยโหว่ตรงทรวงอกของตู้กูหลิน เผยให้เห็นกระดูกด้านใน แรงปะทะรุนแรงส่งร่างชายหนุ่มกระเด็นไปอีกยอดเขา ร่วงกระแทกพื้นจนเป็นหลุม หวังเป่าเล่อพุ่งตามไปพร้อมกับพลังมากล้น!

บทที่ 576 แสงเงาทับซ้อน!
ช่างน่าตื่นตะลึงจนลืมหายใจ!

ผู้เข้าร่วมทดสอบที่ยืนอยู่รอบๆ ยอดเขาแฝดต่างคิดเช่นนั้น ยอดเขาเบื้องหน้าที่แปรเปลี่ยนไปเพราะพลังของหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินทำให้ในหัวของพวกเขามีแต่ความตื่นตะลึง!

พลันเสียงดังสนั่นก็ดังขึ้นเมื่อหวังเป่าเล่อกับตู้กูหลินพุ่งเข้าปะทะ ปล่อยหมัดมังกรทั้งเก้าและระเบิดกำเนิดดาราใส่กันและกัน!

มังกรเก้าเศียรแหลกสลาย ระเบิดกำเนิดดวงดาราทลายไป การปลดปล่อยพลังทั้งหมดของชายทั้งสองได้สร้างสิ่งที่คล้ายกับหลุมดำระเบิดออกทั่วทิศ ส่งพลังรุนแรงแผ่พุ่งออกไปรอบๆ!

คลื่นพลังที่แผ่ออกมากล้าแกร่งเหลือหลาย หากผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอยู่ใกล้แถวนั้นอาจจะตายทันที!

แม้คลื่นพลังจะน่าพรั่นพรึงเพียงใดก็ไม่สามารถโค่นหวังเป่าเล่อที่มีแก่นในหัวใจลงได้ ตู้กูหลินเองก็เช่นกัน แม้เขาจะไม่ได้มีแก่นในหัวใจ แต่กายาละอองจักรวาลก็ช่วยป้องกันแทนได้ ขณะเสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่ว ชายทั้งสองกลับไม่ไหวติงเลยแม้แต่น้อย แตกต่างกับที่คิดไว้!

ผู้ที่ล่าถอยจะสูญเสียการควบคุมการต่อสู้ไปซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นมาก โดยเฉพาะกับศึกระหว่างคู่ต่อสู้ที่มีความสามารถเทียบเท่ากัน!

ทั้งสองนั้นเปิดฉากโจมตีอย่างหนักหน่วงตั้งแต่เริ่ม ไม่เปิดช่องว่างให้อีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย!

ตู้กูหลินหัวเราะขึ้นเสียงดังด้วยความตื่นเต้น รู้สึกมุ่งมั่นกับการต่อสู้มากกว่าตอนประมือกับสวีหมิงและลู่หยุน เขาหันมาเอ่ยเสียงดัง

“หวังเป่าเล่อ เจ้ามีคุณสมบัติเหมาะสม!” พูดจบ ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นพร้อมกับพุ่งทะยานไปหาหวังเป่าเล่อ ทันใดนั้นทะเลโลหิตก็ปั่นป่วน ก่อนปลาคุนนกเผิงจะคลายผนึกออกมา!

ทันใดที่สิ่งมีชีวิตตนนั้นปรากฏกายออกมา ทั้งคนที่อยู่รอบๆ และฝูงชนด้านนอกต่างตื่นตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกที่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในสามารถสร้างอะไรกล้าแกร่งเช่นนี้ขึ้นมาได้ หลายๆ คน คิดว่ามีเพียงผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเท่านั้นที่จะสามารถทำอะไรเช่นนี้ได้!

แต่ผู้สรรค์สร้างสิ่งกล้าแกร่งนี้ขึ้นมากลับเป็นตู้กูหลิน เพียงแค่ร่างยาวหลายหมื่นเมตรของมันก็น่าตื่นตะลึงแล้ว มันร้องคำรามทันใดที่ปรากฏ มันไม่ได้พุ่งไปหาหวังเป่าเล่อ แต่หันหลังยกหางขึ้นเหวี่ยงใส่แทน!

เหมือนดังมีพัดขนาดใหญ่สร้างลมปั่นป่วนขยี้ทุกสิ่งที่ขวางทาง ปลาคุนนกเผิงเคลื่อนตัวแหวกอากาศ ทะเลโลหิตสาดกระเซ็นไปทั่ว แต้มพื้นที่เป็นสีแดง!

อสูรร้ายรวดเร็วกว่าตู้กูหลินเสียอีก พริบตาเดียว หางของมันก็ไปปรากฏเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ!

ชายหนุ่มพลันสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายที่ไม่ได้มาจากเบื้องหน้า แต่เป็นด้านหลัง!

ขณะที่หางปลาคุนนกเผิงเหวี่ยงเข้าใส่เต็มกำลัง ขวางทางเบื้องหน้าไว้หมด ตู้กูหลินก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง!

เขาปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังหวังเป่าเล่อได้เช่นไรก็ไม่รู้ รู้เพียงว่ารูปลักษณ์ดูแปลกประหลาดไป รอบกายชายหนุ่มมีขนขึ้นปกคลุม ก่อนจะพลันแปลงกายเป็นวานรบ้าคลั่งสูงหลายร้อยเมตร!

ดวงตาของวานรแดงก่ำ สัมผัสได้ถึงความกระหายอยากต่อสู้อันมากล้น มันเหวี่ยงแขนขึ้นด้วยความคึกคะนอง กำปั้นทั้งสองเป็นดั่งถังน้ำขนาดมหึมาทุ่มเข้าใส่หวังเป่าเล่อพร้อมกับเสียงหัวเราะ!

ปลาคุนนกเผิงอยู่ด้านหน้า วานรยักษ์อยู่เบื้องหลัง เป็นสถานการณ์สุดคับขันที่ไม่เปิดโอกาสให้หวังเป่าเล่อได้ตอบโต้อะไร หากเป็นผู้อื่นคงจะสับสนไม่รู้จะทำเช่นไร ตู้กูหลินนั้นมากล้นไปด้วยประสบการณ์ การโจมตีทุกครั้งไม่เคยเสียเปล่า!

แต่หวังเป่าเล่อก็เคยผ่านสถานการณ์เสี่ยงตายเช่นนี้มามากมาย ขณะที่วิกฤตอันตรายกำลังพุ่งเข้ามา ชายหนุ่มกลับสงบนิ่ง พยายามข่มใจไม่ให้ใช้กระบวนเวทเกราะจักรพรรดิ ไม่ใช่ว่าไม่ควรใช้ แต่เขาคิดว่าหากเก็บไว้ใช้เป็นไพ่ตายลับคงจะรู้สึกยอดเยี่ยมยิ่งกว่า!

แสงสว่างฉายวาบในดวงตาชายหนุ่มขณะตั้งผนึกมือขึ้นโดยไม่ลังเลใจ ทันใดแถบผ้าก็ปรากฏ หมุนวนพันรอบพื้นที่ กระบี่บินสามสีส่องแสงเป็นประกายขณะพุ่งตรงไปหาปลาคุนนกเผิง หวังเป่าเล่อหันหลังกลับไปมอบกำปั้นให้วานรยักษ์ที่ตู้กูหลินจำแลงกายมาเป็นการต้อนรับ!

ทุกสิ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ตั้งแต่อันตรายบังเกิดจนถึงโจมตีสวนกลับ เสียงดังสนั่นระเบิดก้องกังวาล แถบผ้าที่มีอิทธิฤทธิ์เทียบเท่ากับอาวุธเวทระดับแปดมีพลังป้องกันเฉพาะตัว กระบินสามสีที่เป็นอาวุธเวทระดับเก้าก็แกร่งกล้าไม่แพ้กัน อาวุธเวททั้งสองชิ้นเสริมพลังให้แก่กัน ช่วยต้านหางของปลาคุนนกเผิงที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วจนเด้งถอยกลับไป

หมัดของหวังเป่าเล่อทะยานตรงออกไปโดยปราศจากความลังเลใดๆ พุ่งเข้าปะทะวานรยักษ์เข้าอย่างจังด้วยแรงประสานจากพลังกายและพลังปราณ

เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง ปราณเลือดในกายหวังเป่าเล่อปั่นป่วน เขารู้ดีว่าตนเสียเปรียบอยู่เล็กน้อยในศึกครั้งนี้ จึงตั้งใจจะใช้แรงปะทะถอยหนีไปตั้งหลักก่อนจะเข้าโจมตีใหม่อีกครั้ง แต่ตู้กูหลินก็หัวเราะขึ้นเสียงดัง ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ทำตามที่หวัง

“เหมือนว่าทั้งหมดจะยังไม่พอให้เจ้าดึงไพ่ตายออกมาใช้อย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะเพิ่มความกดดันขึ้นไปอีก!” ตู้กูหลินอ้าปากพ่นลูกประคำออกมาสามลูก!

ลูกประคำสีเขียวทั้งสามมีร่างเรือนรางผนึกไว้ด้านใน เป็นตัวตนที่แปลกประหลาด สร้างแรงกดดันมหาศาลจนใจหวังเป่าเล่อสั่นไหว ยังไม่ทันจะมองได้ทันว่ามีอะไรอยู่ด้านใน ตู้กูหลินก็ตะโกนขึ้น

“แตกออก!”

ทันใดนั้น ลูกปัดทั้งสามก็แตกออกพร้อมเสียงระเบิด ตัวตนรูปลักษณ์เหมือนตู้กูหลินสามตนพลันปรากฏกาย แต่ละตนแผ่พลังกล้าแกร่ง ทั้งสี่และปลาคุนนกเผิงพุ่งเข้าล้อมหวังเป่าเล่อจากห้าด้านพร้อมกับปล่อยพลังทรงอำนาจ!

สัญญาณอันตรายกว่าครั้งก่อนดังขึ้นในหัว การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ประจักษ์แล้วว่าตู้กูหลินนั้นแข็งแกร่งเพียงใด แม้หวังเป่าเล่อจะเตรียมใจไว้พร้อม แต่ลึกๆ ก็ยังสั่นกลัว หากเปลี่ยนเอาโจวชู่เต๋ามาแทนที่ คงจะพลาดท่าไปนานแล้ว!

ช่างเป็นคนที่ควรค่าแก่การต่อสู้! ชายหนุ่มหรี่ตา สังเกตว่าถ้าลูกปัดไม่ได้แตกออก คงจะสามารถนำมาใช้หใม่ได้หลายครั้ง แต่พลังคงไม่มากล้นเท่ากับตอนนี้ เขาตระหนักว่าตู้กูหลินนั้นแน่วแน่เด็ดเดี่ยว สนเพียงแค่เอาชนะให้ได้โดยไม่สนใจว่าจะเสียอะไรไป!

ดวงตาของหวังเป่าเล่อพลันฉายแววดุดัน เขาไม่มัวคิดเล็กคิดน้อย รีบตั้งผนึกมือชี้ไปทางแถบผ้าพร้อมกับร้องตะโกนขึ้น

“จงระเบิด!”

ทันใดนั้น แถบผ้าก็พลันระเบิด วัตถุชิ้นนี้ไม่ใช่อาวุธเวทระดับแปดแบบใช้ได้ครั้งเดียว แต่เป็นสมบัติของอารยธรรมต่างดาว แถบผ้าระเบิดเป็นพายุหมุนรอบหวังเป่าเล่อ กระบี่บินสามสี่พุ่งแหวกอากาศจนเกิดเสียงตรงไปทางร่างอวตารทั้งสามของตู้กูหลิน

ยังไม่จบเพียงแค่นั้น หวังเป่าเล่อรีบหยิบเอาอาวุธเวทระดับแปดแบบใช้ได้ครั้งเดียวห้าชิ้นออกมาระเบิดเพิ่ม พายุที่หมุนรอบตัวขยายขนาดพุ่งสูงเฉียดฟ้า ปล่อยพลังแกร่งกล้าพัดไปรอบทิศ!

วานรยักษ์สั่นกลัวเมื่อเห็นพายุทรงอำนาจ ตู้กูหลินนึกแปลกใจที่ได้เห็นความแน่วแน่ของหวังเป่าเล่อ เขาสัมผัสได้ว่าแถบผ้าเป็นวัตถุระดับใด หากระเบิดแค่ชิ้นเดียวคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่อีกฝ่ายกลับระเบิดเพิ่มอีกห้าชิ้น ความเด็ดเดี่ยวนี้ทำให้ตู้กูหลินต้องตะลึงงันเป็นนครั้งแรก ชายหนุ่มไม่กล้าเข้าไปปะทะกำพลังระเบิดจากอาวุธเวท ได้แต่ล่าถอยกลับไป

ร่างอวตารทั้งสามถอยหนีไปเมื่อเห็นพายุก่อตัวขึ้นและกระบี่บินสามสีที่พุ่งเป้ามา ช่องโหว่จากการโจมตีของตู้กูหลินพลันปรากฏ นั่นก็คือระยะห่างของตู้กูหลินและร่างอวตารทั้งสาม แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้เล็งที่จุดนั้น เขาถอยหลังไปปะทะกับหางของปลาคุนนกเผิงจนกระอักเลือดสดออกมา ทิ้งระยะห่างจากตู้กูหลินและร่างอวตารที่เว้นช่องว่างห่างจากกัน!

จากนั้น เขาก็โยนเหรียญไปทางช่องว่างนั่น!

ตู้กูหลินหรี่ตาเล็ก แววตาแฝงไปด้วยความตื่นเต้น เขายกมือขึ้นโบก พลันด้ายที่เกือบจะมองไม่เห็นก็ปรากฏก็ขึ้นตรงช่องว่างระหว่างชายหนุ่มกับร่างอวตาร ก่อนจะเข้าล้อมรอบเหรียญทองแดงไว้อย่างแน่นหนา!

“หวังเป่าเล่อ ข้าชักจะสนใจในตัวเจ้า!” ตู้กูหลินหัวเราะก่อนจะกระโจนเข้าใส่หวังเป่าเล่อ!

บทที่ 575 ศึกตัดสิน!
ทั้งคู่ร้องตะโกน ปลดปล่อยพลังเต็มขั้น ทะเลสีเลือดที่มีปลาไนเก้าตัวว่ายวนอยู่พลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าตู้กูหลิน คลื่นสีโลหิตพัดสาดกระเซ็นทุกครั้งที่ปลาไนกระโจนพ้นน้ำ

ภาพมายาเบื้องหน้าส่งกลิ่นโลหิตคลุ้งไปทั่วพื้นที่ ยอดเขาใต้เท้าตู้กูหลินเปรอะเปื้อนไปด้วยสีเลือด!

ด้านหวังเป่าเล่อก็ไม่แพ้กัน รอบกายชายหนุ่มมีสายฟ้าฟาดผ่ารอบทิศ เกิดเป็นเขตอัสนีขนาดใหญ่ ฟ้าปิดมืดสนิทขณะนำพาคลื่นสายฟ้าปกคลุมไปทั่วยอดเขา!

มองไกลๆ เห็นเป็นยอดเขาโลหิตและยอดเขาอัสนี มีพลังขนาดสั่นคลอนผืนดินและสรวงสวรรค์ไม่ต่างกัน!

เหล่าผู้ชมต่างตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า ขณะเดียวกัน ผู้เข้าร่วมทดสอบคนอื่นๆ ก็มาถึงบริเวณยอดเขาคู่ พวกเขาไม่กล้าเข้าไปใกล้ ได้แต่เฝ้าดูอยู่ไกลๆ ร่างกายของผู้ฝึกตนนั้นแตกต่างจากคนทั่วไป แม้จะมองจากไกลห่างก็สามารถเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน

แต่ก็ทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงความกดดันจนสั่นคลอนในใจ เริ่มหายใจถี่รัวขึ้นขณะหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินปลดปล่อยพลังออกมาบนยอดเขาสีเลือดและยอดเขาอัสนี!

“การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!”

“นี่เป็นการต่อสู้ของยอดฝีมือระดับต้นๆ รองจากขั้นจุติวิญญาณในสำนักวังเต๋าไพศาล!”

“ผู้ชนะในศึกครั้งนี้จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากขั้นจุติวิญญาณ!”

เหล่าศิษย์ทั้งในและนอกสนามรบต่างคอยจับตาดูศึกครั้งนี้ พวกที่เอาใจช่วยตู้กูหลินต่างรู้สึงกังวลใจ

สานุศิษย์จากสหพันธรัฐเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ขณะที่ทุกคนกำลังจับจ้องไปที่ยอดเขาแฝด หวังเป่าเล่อก็หัวเราะขึ้น เสียงหัวเราะของเขาดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกไปมา

ชายหนุ่มไม่ได้ลงมือโจมตี แต่กลับโยนกุญแจทั้งหมดที่มีลงหุบเขาที่กั้นระหว่างทั้งสอง กุญแจมากมายสองแสงเป็นประกาย ร่วงหล่นไปก้นหุบเขาราวกับดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ!

ภาพเบื้องหน้าทำให้เหล่าผู้ชมแปลกใจ พวกเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะโยนกุญแจทิ้งไป แต่หลังจากหยุดคิดสักพัก ก็ตระหนักได้ว่าเป็นการกระทำที่มีเหตุผลทีเดียว!

กฏของการทดสอบนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว พูดให้ถูกก็คือ หวังเป่าเล่อและตู้กูหลินไม่จำเป็นต้องสนใจกฏ เพราะทั้งสองมีกฏเป็นของตนเอง!

นั่นก็คือ…มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะเหลือรอดไปได้!

ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าโยนกุญแจทิ้งไปง่ายๆ เหมือนหวังเป่าเล่อ การกระทำเช่นนั้นส่งผลให้เข้าดูองอาจมากขึ้นไปอีก เพราะเป็นการบอกชัดเจนว่าจะไม่มีการถอยหลังกลับ!

บรรดาผู้ชมที่รายล้อมอยู่หยุดหายใจไป เหล่าศิษย์ที่อยู่นอกสนามรบก็มีสภาพไม่ต่าง แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ แต่ก็ได้รับความเคารพจากใครหลายคนเลยทีเดียว!

“ใจกล้าจริงๆ…ข้าได้ประเมินหวังเป่าเล่อต่ำไป!”

“ถ้ามีโอกาส ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะชนะหรือแพ้ ข้าก็อยากเป็นเพื่อนกับเขา!”

ทัศนคติของผู้คนมากมายที่มีต่อหวังเป่าเล่อพลันเปลี่ยนไป ตู้กูหลินเองก็รู้สึกยกย่องการกระทำของชายหนุ่ม

เขาหัวเราะเสียงดังก่อนจะยกมือขึ้นโบก ส่งกุญแจทั้งหมดที่ได้มาลงหุบเหวไปราวกับเป็นของไร้ค่า ไม่แม้จะเหลียวตามองตาม เหลือกุญแจอยู่บนยอดเขาแค่เพียงหนึ่งดอก ชายหนุ่มชี้มือขวาไปที่กุญแจดอกนั้น ส่งมันลอยไปหยุดส่องสว่างอยู่บนก้อนหินระหว่างสองยอดเขา!

ผู้ชนะจะได้ครอบครองกุญแจดอกนี้ไป!

พลังที่แผ่ออกจากร่างตู้กูหลินทวีคูณขึ้นหลังโยนกุญแจไป เหล่าศิษย์ผู้ไร้กุญแจรอบๆ ต่างตื่นตะลึงกับการกระทำของทั้งคู่จนหยุดหายใจไปชั่วขณะ พวกเขารู้สึกว่าตนเองช่างไร้ค่าเมื่อได้มาอยู่ต่อนหน้าชายทั้งสอง

“พวกเขาเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง!” ใครคนหนึ่งพูดพึมพำขึ้น กลุ่มคนรอบๆ ต่างเห็นพ้องกับประโยคดังกล่าว

พวกเขาสัมผัสได้ถึงความแกร่งกล้าจากชายทั้งสองและเข้าใจได้ว่าทำไมทั้งคู่จึงทำเช่นนั้น

ศึกครั้งนี้จะจบลงด้วยการเคลื่อนย้ายรอบต่อไป จะต้องตัดสินผู้แพ้ผู้ชนะก่อนการเคลื่อนย้าย มิเช่นนั้นทั้งคู่จะถูกกำจัดออกจากการทดสอบ!

ไม่มีใครกล้าไปหยิบเอากุญแจใต้หุบเขาเพราะถือเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ แม้จะมีกฏว่าไว้ แต่คนทั้งสำนักต่างจับตาดูทุกสิ่งอยู่ หากมีใครใช้โอกาสนี้ถีบตัวเองขึ้นไปเป็นสามอันดับต้น อนาคตเบื้องหน้าคงจะเป็นไปอย่างลำบากแน่นอน!

เหล่าผู้ฝึกตนที่เข้ารับการทดสอบคุ้นหน้าคุ้นตากันดี จึงไม่ค่อยมีใครกล้าเสีย ส่วนพวกที่เหลือรอดอยู่ล้วนฉลาดกันแทบทั้งนั้น

ทุกคนต่างพยายามหักห้ามความโลภและจัดการกับความคิดของตนเองแม้จะรู้สึกเสียดาย!

ผู้ชนะการทดสอบจะต้องเป็นหวังเป่าเล่อหรือตู้กูหลิน ผู้ที่ชนะในศึกครั้งนี้จะได้มีสิทธิ์หยิบเอากุญแจที่ส่องประกายเหนือก้อนหินไป คนผู้นั้นจะได้เฝ้าดูอีกคนถูกเคลื่อนย้ายออกไปและกลายเป็นที่หนึ่งในทันที!

“หวังเป่าเล่อ อย่าทำให้ข้าผิดหวัง!” ตู้กูหลินแผดเสียงขึ้นหลังจากโยนกุญแจทิ้งไป แววตาส่องประกายความกระหายพร้อมต่อสู้ เขาก้าวเหยียบอากาศ พุ่งทะยานไปทางหวังเป่าเล่อ ก่อนจะยกมือขึ้นคว้า ปลาในทั้งเก้าในทะเลโลหิตเบื้องหลังกระโจนพ้นน้ำในทันใด!

ปลาในเก้าตัวในทะเลโลหิตกลายร่างเป็นมังกรเก้าเศียรพันรอบแขนขวาเสริมพลังให้ตู้กูหลิน!

เขาพุ่งตัวไปหาหวังเป่าเล่อเหมือนตอนที่ประมือกับสวีหมิงและลู่หยุน!

จวบจนปัจจุบัน ในสำนักวังเต๋าไพศาล ชายหนุ่มยังไม่เคยเจอใครที่ทำให้ตนต้องปล่อยคาถาที่สองเลยสักคน ความคาดหวังที่เก็บงำมาตลอดจึงส่งผ่านมาถึงหวังเป่าเล่อ ตอนนี้ตู้กูหลินแทบไม่ได้สนใจเรื่องใบต้นไฮยาซิน เขาสนแค่เพียงร่วมศึกนี้อย่างเต็มที่และใช้ชัยชนะครั้งนี้ในการประกาศศักดาของตนเอง!

ความคิดในหัว ความปราถนาอยากสู้รบ และความตั้งมั่น ส่งให้ตู้กูหลินปลดปล่อยพลังแกร่งกล้าจนทะเลโลหิตเบื้องหลังสั่นไหว ก่อนจะกระโจนเข้าไปต่อยหวังเป่าเล่อ!

หมัดที่ปล่อยออกไปทำให้ฟ้าดินสั่นคลอนจนเกิดหลุมดำ สั่นสะเทือนขึ้นไปถึงสรวงสวรรค์ มังกรเก้าเศียรร้องคำรามขณะแผ่พลังปราณกังวาลออกมาจากภายใน!

มันพุ่งทะยานตรงไปข้างหน้าราวกับหอกที่ไม่มีวันแตกพัง!

“เข้ามาเลย!” ความปราถนาอยากต่อสู้ฉายวาบขึ้นในสายตาของหวังเป่าเล่อ เส้นสายฟ้ามากมายร่ายรำไปมาในเขตอัสนี น้ำเสียงของหวังเป่าเล่อเปี่ยมไปด้วยพลังมากล้นและเด็ดขาดกว่าครั้งไหนๆ ชายหนุ่มก้าวออกไปทันทีที่พูดจบ!

พลังจากช่วงเอวพวยพุ่งขึ้นมารวมอยู่ที่มือขวา พลังปราณปะทุเต็มขั้น แก่นในอัสนี แก่นในแห่งความมืด และแก่นในแห่งหัวใจตื่นขึ้นพร้อมกัน เสริมพลังให้กับกำปั้นของชายหนุ่ม!

ระเบิดกำเนิดดวงดารา!

เสริมพลังจากปราณกังวาลสองเท่า!

ฟ้าดินสั่นไหว ลมพัดปั่นป่วน เมฆหมอกฉีกขาด หลุมดำถูกบดขยี้ หวังเป่าเล่อในตอนนี้เป็นดั่งหอกอันไร้เทียมทาน หมัดของเขาเปรียบเหมือนกับปลายหอกแหลมคมที่กำลังพุ่งไปทางตู้กูหลิน!

ทั้งสองที่อยู่บนยอดเขาอยู่ห่างกันไม่ถึงสามร้อยเมตร เมื่อออกพุ่งทะยานปรากฏภาพเป็นเหมืองดังหอกแหลมเข้าปะทะกัน!

ฟ้าดินสั่นไหว ส่งรอบบริเวณสั่นสะเทือนตาม!

นี่คือการเข้าสู้กันของทะเลโลหิตและเขตอัสนี!

นี่คือการเข้าปะทะกันของยอดเขาโลหิตและยอดเขาอัสนี!

นี่คือ…ศึกตัดสินหาผู้เป็นหนึ่งในบรรดาศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาล!

บทที่ 574 สองยอดเขา หนึ่งภูผา!
หวังเป่าเล่อมองตู้กูหลินจัดการคนอื่นๆ บนแผนที่ ก่อนจะหัวเราะขึ้นหลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง

“ดีเหมือนกันที่จัดการคนที่เหลือให้!” ผลลัพธ์จากการต่อสู้ครั้งนี้ส่งผลให้เกิดศึกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ระหว่างตู้กูหลินและหวังเป่าเล่อ ที่ตู้กูหลินจัดการเก็บกวาดคนอื่นๆ ให้พ้นทางก็เพราะไม่ต้องการให้ใครมายุ่งวุ่นวาย หวังเป่าเล่อเองก็คิดว่าเป็นเรื่องดีเลยทีเดียวและลุกยืนขึ้น

“พวกเราก็มาจัดการเก็บกวาดพวกที่เหลือด้วยดีกว่า เล็งคนจากฝ่ายเขาเป็นหลัก!” พูดจบ ชายหนุ่มก็ทะยานขึ้นฟ้า เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าตามหลังไปไม่ห่าง ทั้งสามมุ่งหน้าไปทุกจุดบนแผนที่ที่มีกุญแจ

แผนที่เริ่มโล่งขึ้นเรื่อยๆ จากการเคลื่อนไหวของหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินที่อยู่คนละทิศ!

กลายเป็นประสบการณ์อันขมขื่นของเหล่าศิษย์ของเฟิ่งชิวหรันและเมี่ยเลี่ยจื่อ ก่อนหน้านี้ หวังเป่าเล่อเป็นเพียงแค่คนไม่สำคัญในสายตาของพวกเขา แต่ในการทดสอบนี้ ชายหนุ่มกลับกลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง สามารถล้มโจวชู่เต๋าลงได้และก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในสองยอดฝีมือของสนามทดสอบแห่งนี้

ผู้ฝึกตนฝ่ายเมี่ยเลี่ยจื่อต่างตื่นตกใจเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ แม้พวกเขาจะพยายามดิ้นรน แต่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าจากความสามารถของตนเองคงเป็นไปไม่ได้ที่จะผ่านการทดสอบนี้ แต่ลึกๆ ก็ยังหวังว่าอาจจะบังเอิญโชคช่วยพาขึ้นไปติดสามอันดับบน

ยิ่งถ้าเกิดหวังเป่าเล่อหรือตู้กูหลินเกิดพลาดท่า ก็อาจจะมีโอกาสขึ้นไปถึงที่สอง แต่ตอนนี้ก็ได้รู้แล้วว่าทั้งคู่คงไม่เปิดโอกาสให้เป็นเช่นนั้น!

การ ‘เก็บกวาด’ ที่ว่านี้จึงเป็นเพียงแค่การรวมรวบกุญแจ ไม่ว่าจะเป็นคนจากฝั่งเมี่ยเลี่ยจื่อหรือฝั่งเฟิ่งชิวหรันต่างไม่มีใครโง่ขนาดจะคิดขัดขืน เมื่อหวังเป่าเล่อหรือตู้กูหลินตามมาเจอเข้า พวกเขาก็จะมอบกุญแจให้อย่างง่ายดาย

แต่ในหมู่ศิษย์เหล่านี้ก็ยังมีคนที่ไม่ได้ฉลาดเท่าไหร่อยู่ เมื่อเจอกับคนจำพวกนี้ ตู้กูหลินกับหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ฆ่าทิ้งแต่อย่างใด เพียงแค่หักขาให้พิการไป

เมื่อมองแผนที่บนฟากฟ้ายามราตรีจะเห็นดาวที่แสดงจุดของชายหนุ่มทั้งสองกำลังเก็บกวาดพื้นที่บริเวณของตนอยู่ห่างกันออกไป สามชั่วโมงต่อมา ศิษย์ฝ่ายเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันก็ค่อยๆ เสียกุญแจที่มีไปจนหมด

ศิษย์ฝั่งโยวหรันเองก็ยอมจำนนไม่ต่างกัน แม้พวกเขาจะเป็นกลาง แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้รู้ว่าเป็นการประโยชน์ที่จะดิ้นรนในการทดสอบนี้ต่อไป ทุกคนเป็นเพียงแค่มือใหม่ การช่วยยอดฝีมือทั้งสองถือเป็นการแสดงคุณค่าของตนเองอย่างหนึ่ง!

ดังนั้น เมื่อพวกเขาเห็นหวังเป่าเล่อหรือตู้กูหลินก็จะไม่ขัดขืน และเอากุญแจออกมายื่นให้อย่างอ่อนน้อม เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้เรื่อยๆ จนเหลืออีกเพียงหนึ่งชั่วโมงจะถึงการเคลื่อนย้ายครั้งต่อไป กุญแจที่กระจัดกระจายบนแผนที่ก็หายวับไปหมด

เหลือเพียงดาวสองดวงที่ส่องประกายจากกุญแจมากมายมารวมตัวกัน และเหล่าผู้ไร้กุญแจที่รอคอยการเคลื่อนย้ายมาถึง

ตอนนี้พวกเขาต่างเงยหน้ามองแผนที่บนฟากฟ้ายามราตรีและรอคอยอย่างเงียบเชียบ

หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองฟ้า ก่อนจะหันมามองเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า

เจ้าเยี่ยเหมิงหยิบกุญแจทั้งหมดที่มีออกมาให้อย่างไม่ลังเลใจ กงเต๋าสูดหายใจลึกก่อนจะหยิบเอากุญแจออกมาให้เช่นกัน

“เป่าเล่อ เจ้าต้องชนะให้ได้!” กงเต๋าเอ่ยเสียงทุ้ม

เจ้าเยี่ยเหมิงผุดยิ้มขึ้น สายตาของนางเต็มไปด้วยความคาดหวัง หวังเป่าเล่อหันมองทั้งสองและเก็บเอากุญแจทั้งหมดมา ก่อนจะพูดขึ้นอย่างใจเย็น

“เดี๋ยวกลับไปเจอกันข้างนอก!” พูดจบ เขาก็หันหลังกลับและเหาะขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นก็ปลดปล่อยความเร็ว ออกตัวทะยานเหมือนดังดาวหาง มุ่นหน้าไปทางทิศเหนือที่ตู้กูหลินอยู่!

ตู้กูหลินที่นั่งสมาธิอยู่บนก้อนหินพลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความปราถนาอยากสู้รบ ชายหนุ่มพูดพึมพำกับตัวเอง

“เจ้าผู้ที่ล้มโจวชู่เต๋าลงได้…ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะมีความสามารถพอที่จะทำให้ข้าต้องปล่อยพลังเทพที่สองหรือไม่!” ตู้กูหลินยิ้มและลุกยืนขึ้น ก่อนจะพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า มุ่งหน้าตรงไปหาหวังเป่าเล่อ

ผู้หนึ่งมาจากทางทิศเหนือ ผู้หนึ่งมาจากทางทิศใต้ ทั้งสองทะยานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่อยู่ในสนามรบต่างตื่นตกใจ แม้จะไม่ผ่านการทดสอบ แต่แค่ได้เป็นสักขีพยานร่วมชมการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือทั้งสองก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว

เพราะศึกครั้งนี้เป็นการแย่งชิงกันเป็นอันดับหนึ่งของศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลและผู้ฝึกตนจากทางสหพันธรัฐ!

พวกเขาต่างหวังให้ตู้กูหลินเป็นผู้ชนะ แต่ก็ตระหนักถึงความเก่งกาจของหวังเป่าเล่อด้วยเช่นกัน จึงบอกได้ยากว่าท้ายที่สุดแล้วใครจะเป็นผู้ชนะ!

หวังเป่าเล่อและตู้กูหลินเข้าใกล้กันขึ้นเรื่อยๆ ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ต่างมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ทั้งสองจะเผชิญหน้ากัน จากความเร็วของทั้งคู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะประเมินหาว่าทั้งสองจะไปพบกันที่ใด

ขณะที่ศึกระหว่างหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินกำลังจะเริ่มขึ้น และคนมากมายได้ไปรวมตัวกัน ในลานกว้างก็เต็มไปด้วยเสียงถกเถียงวุ่นวาย ทุกคนต่างจับตาดูร่างของหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินที่กำลังทะยานแหวกท้องนภาผ่านหน้าจอขนาดใหญ่!

ทั้งสองพุ่งเข้าหากันอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง ผืนฟ้าแทบจะแหวกออกเพราะทานทนความเร็วไว้ไม่ไหว

พลังแกร่งกล้าทวีคูณพุ่งขึ้นขณะทั้งคู่พุ่งทะยานตรงไป!

“พวกเขาพร้อมสู้เต็มที่!”

“ศึกทั้งสองครั้งที่ผ่านมา ตู้กูหลินใช้เพียงแค่กระบวนเวทเดียว ช่างไร้เทียมทานเสียจริง ส่วนเกราะสีโลหิตที่หวังเป่าเล่อใช้จัดการโจวชู่เต๋าก็น่าเกรงกลัวไม่แพ้กัน!”

“ถ้าเกราะสีโลหิตของหวังเป่าเล่อสามารถทนได้นาน ผลก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ แต่ถ้าทนไม่ได้ ตู้กูหลินก็จะกลายเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน!”

เหล่าศิษย์ในลานกว้างต่างถกเถียงกันอย่างดุเดือด กลุ่มพันธุ์กล้าใจเต้นระส่ำ ความรู้สึกมากมายผสมปนเปจนกลายเป็นความวิตกกังวล

ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณจากสำนักวังเต๋าไพศาลก็ตื่นตกใจไปเพราะทั้งหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินต่างได้แสดงฝีมือเทียบเท่ากับขั้นจุติวิญญาณให้ได้ประจักษ์

ประสบการณ์ของพวกเขาเหนือชั้นกว่าเหล่าศิษย์ขั้นกำเนิดแก่นในอยู่มาก พอได้เห็นฝีมือการต่อสู้ของทั้งสองก็ได้ข้อสรุปอยู่ในใจ

“หวังเป่าเล่อจะเป็นฝ่ายแพ้”

“เขายังอยู่ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลาง ส่วนตู้กูหลินอยู่ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์!”

“ศึกระหว่างคนสองคน ความสามารถเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายมีฝีมือทัดเทียมกัน ก็ต้องวัดกันว่าใครจะอึดกว่ากัน!” กลุ่มผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณร่วมประเมินสถานการณ์ เฟิ่งชิวหรันสูดหายใจลึกขณะหันมองเมี่ยเลี่ยจื่อ

“เมี่ยเลี่ยจื่อ ถึงขั้นนี้ต้องยุติการต่อสู้แล้ว”

“ถึงจะทำตามกฏ เราก็ต้องรอให้จบการเคลื่อนย้ายครั้งต่อไป ยังเหลืออีกหนึ่งชั่วโมง ผู้อาวุโสชิวหรัน เจ้าดูกังวลเกินไปแล้ว” เมี่ยเลี่ยจื่อเอ่ยปฏิเสธเสียงเรียบ

เฟิ่งชิวหรันเห็นความคาดหวังในสายตาศิษย์รอบกาย พอหันมองหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินผ่านทางจอ ก็พบกับความปราถนาอยากสู้รบอันแรงกล้า จึงนิ่งเงียบไป

บรรดาผู้ชมต่างจับจ้องสนามทดสอบไม่วางตา ห้านาทีต่อมา แผนที่บนฟากฟ้ายามราตรีก็ปรากฏภาพดาวสองดวงจากทิศเหนือและทิศใต้เข้าปะทะกันในที่สุด!

อาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ หรือชะตาได้กำหนดไว้ก็ไม่ทราบเมื่อทั้งสองได้มาเผชิญหน้ากัน ณ ภูเขาสองยอด!

ภูผาสองยอดเขาตั้งสูงเฉียดฟ้าอย่างองอาจ!

หวังเป่าเล่อปรากฏตัวบนยอดเขาด้านขวาพร้อมกับเสียงดังสนั่น ขณะที่ตู้กูหลินลงเหยียบบนยอดเขาด้านซ้าย เป็นดังเทพลงมาจุติ ห่างจากอีกฝ่ายไม่ถึงสามร้อยเมตร!

“หวังเป่าเล่อ!”

หวังเป่าเล่อจ้องกลับ ประสานสายตา พลันรอบกายทั้งสองก็เกิดเสียงดังสนั่นสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ

“ตู้กูหลิน!”

บทที่ 573 เก็บกวาดพื้นที่!
หวังเป่าเล่อกำลังจะเอ่ยปากตอบ ทันใดนั้น ดวงดาวบนแผนที่ที่แสดงจุดที่ตู้กูหลินอยู่ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว!

เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เร็วกว่าตอนที่มุ่งห้นาไปหาสวีหมิงเสียอีก เป้าหมายของชายหนุ่มคือศิษย์เอกที่เหลืออยู่คนสุดท้ายของเฟิ่งชิวหรัน ลู่หยุน!

ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ห่างกันมาก ฝูงชนที่จับตาดูอยู่ต่างตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มออกเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กลุ่มคนที่ตู้กูหลินทะยานผ่านต่างตกใจไม่ต่างกัน พวกเขาได้ยินเสียงกัมปนาทสะท้อนขึ้นในหูพร้อมกับร่างของชายหนุ่มที่พุ่งผ่านไป!

“ตู้กูหลินเปิดฉากต่อสู้อีกแล้ว!”

หวังเป่าเล่อหันมองเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า ก่อนทั้งสามจะหันไปมองแผนที่บนฟากฟ้ายามราตรี เห็นดาวดวงที่ระบุตำแหน่งของลู่หยุนหยุดนิ่งทั้งที่ก่อนหน้านี้กำลังเคลื่อนตัวไปช้าๆ ราวกับว่าตัดสินใจได้แล้ว จากนั้นก็เปลี่ยนทิศมุ่งหน้าไปทางตู้กูหลิน!

เขาไม่ได้พยายามหลบหนีไม่เข้าปะทะ แต่กำลังมุ่งหน้าไปประจันหน้ากับตู้กูหลิน!

ผู้เข้าร่วมการทดสอบทราบสถานการณ์ได้จากแผนที่บนฟากฟ้ายามราตรีเพียงเท่านั้น แต่ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่อยู่ด้านนอกต่างตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมด

พวกเขาเห็นตู้กูหลินพุ่งทะยานมาจากด้านหนึ่ง ขณะที่ลู่หยุนเองก็พุ่งมาประจันหน้าจากอีกฝั่งหนึ่งพร้อมกับแววตาพร้อมสู้รบ ระยะห่างระหว่างทั้งคู่ลดน้อยลงเรื่อยๆ!

ทั้งสองเป็นดังอุกกาบาตที่กำลังจะพุ่งเข้าชนกันและกัน!

“ที่หวงหยุนซานยกกุญแจให้เมื่อครู่คงจะเป็นจุดไฟให้ตู้กูหลินเริ่มลงมือตามแผนเร็วขึ้น!”

“ลู่หยุนดูพร้อมประจันหน้า!”

“สถานการณ์ตอนนี้บอกได้เลยว่าโชคเข้าข้างหวังเป่าเล่อ ที่เขาต้องทำก็เพียงแค่รอก็จะได้ขึ้นไปอยู่ในสองอันดับต้น!”

ขณะที่เหล่าศิษย์นอกสนามทดสอบกำลังพูดคุยกันอย่างดุเดือด เมี่ยเลี่ยจื่อดูสงบนิ่ง แต่ในใจจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ไม่น้อย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง แม้หวังเป่าเล่อจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในการทดสอบไปหมด แต่เขาก็เชื่อว่าตู้กูหลิน ศิษย์ของตนเองจะต้องได้อันดับหนึ่งมาครอง!

ด้านเฟิ่งชิวหรันนั้นกำลังถอนหายใจ เหล่าศิษย์ยังคงตกอยู่ในความโกลาหลแม้สวีหมิงจะถูกส่งกลับมายังลานกว้างแล้ว เขารีบกลับออกไปทันที เหมือนว่าจะอับอายขายหน้าอยู่ไม่น้อย

ตอนนี้เหลือศิษย์เอกของเฟิ่งชิวหรันเพียงคนเดียวในสนามทดสอบ การตัดสินใจของหวงหยุนซานทำให้เริ่มเห็นผลการทดสอบชัดขึ้น มีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากนี้

หากทุกอย่างเป็นไปตามนี้ สามอันดับแรกจะตกเป็นของ ตู้กูหลิน หวังเป่าเล่อ และลู่หยุน!

แต่การที่ตู้กูหลินพุ่งตัวออกไปพร้อมจิตสังหารบ่งบอกแน่ชัดแล้วว่าเขาไม่ได้ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสามอันดับแรก แต่ต้องการให้เหลือเพียงแค่อันดับเดียว ตัดอันดับอื่นทิ้งไปให้หมด!

ตู้กูหลิน! เฟิ่งชิวหรันเหลือบมองโยวหรันด้วยสีหน้าไม่สู้ดี นางเห็นว่าอีกคนยังคงปิดตาสนิท ตอนที่ศิษย์เอกตนพ่ายแพ้ก็แค่เพียงถอนหายใจ ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อย

ท่ามกลางความเงียบ เฟิ่งชิวหรันต้องเผชิญหน้ากับอารมณ์มากมายในจิตใจ นางตั้งความหวังกับศิษย์เอกทั้งสองไว้ แต่สวีหมิงก็โดนคัดออกไปแล้ว ส่วนลู่หยุนนั้น ถึงจะเก่งกาจแต่ก็ไม่อาจเทียบฝีมือกับตู้กูหลินที่ล้มสวีหมิงลงได้ เฟิ่งชิวหรันเองก็รู้ว่าตอนนั้นตู้กูหลินยังออมมืออยู่

ลู่หยุนต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

แต่หวังเป่าเล่อที่นางไม่ได้สนใจเท่าไหร่ในตอนแรกกลับหยัดยืนขึ้นมาอย่างองงอาจ หมัดเกราะจักรพรรดิที่ใช้จัดการโจวชู่เต๋าทำให้นางคิดว่าการทดสอบนี้น่าจะสร้างมาเพื่อตู้กูหลินกับหวังเป่าเล่อ หากตู้กูหลินชนะ เขาก็จะได้เป็นผู้นำเหล่าศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาล เรืองอำนาจขึ้นมาเคียงข้างกับเมี่ยเลี่ยจื่อ

หากหวังเป่าเล่อชนะ ตำแหน่งและตัวตนในสำนักวังเต๋าไพศาลของเขาก็จะเปลี่ยนไป ศิษย์จากสหพันธรัฐจะได้ลืมตาอ้าปาก ไม่มีใครในสำนักวังเต๋ากล้าไปกลั่นแกล้งอีกต่อไป ทางสหพันธรัฐจะมีศิษย์เอกที่เหนือชั้นกว่าเหล่าศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาล เป็นรองเพียงแค่ขั้นจุติวิญญาณ!

ขณะที่ทุกคนกำลังเผชิญหน้ากับอารมณ์มากมาย ตู้กูหลินและลู่หยุนก็ทะยานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ครึ่งชั่วโมงถัดมา ทั้งคู่ก็มาเผชิญหน้ากันที่เขตกึ่งกลางสนามทดสอบ ก่อนจะเปิดฉากต่อสู้ส่งเสียงดังสนั่น!

ลู่หยุนเตรียมพร้อมสู้ ต่างจากตอนที่เข้าปะทะกับสวีหมิง ทำให้ตู้กูหลินลงมืออย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยว เขาตั้งผนึกมือ ความดุร้ายที่แผ่ออกมาทวีคูณเพิ่มขึ้น มังกรสีดำเก้าเศียรตัวปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง ก่อนจะพุ่งทะยานเข้าใส่ลู่หยุนพร้อมกับร้องคำราม

ในสนามทดสอบมีคนไม่มากที่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด คนที่อยู่แถวนั้นก็พอจะเห็นได้จากไกลๆ มีเพียงศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่อยู่ด้านนอกสนามทดสอบเท่านั้นที่เห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน

แต่ยิ่งได้เห็นชัดก็ยิ่งต้องตื่นตกใจ ลู่หยุน ศิษย์เอกของลู่หยุนนั้นมีฝีมือเก่งกาจ สามารถล้มผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในได้ แต่พอมาอยู่ต่อหน้าตู้กูหลินกลับห่างชั้นอยู่มาก!

ตั้งแต่เริ่มจนจบ ตู้กูหลินเพียงแค่ต่อยหมัดใส่ลู่หยุนที่โดนมังกรสีดำล้อมรอบ เหมือนเช่นตอนที่สู้กับสวีหมิง เขาไม่ได้ใช้กระบวนเวทใดๆ ใช้แค่มือต่อยก็เพียงพอที่จะทำให้ลู่หยุนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แม้จะโดนต่อยจนล้มไปกองกับพื้นอยู่หลายครั้ง ชายหนุ่มก็ยังไม่ย่อท้อ กระโจนกลับเข้าใส่

ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นว่า ไกลออกไป สวีหมิงในสภาพเจ็บหนักได้กลับมาปรากฏตัวพร้อมกับเหล่าลูกน้อง เขามองการต่อสู้ของสองคนตรงหน้าอยู่เงียบๆ ราวกับว่าเห็นภาพตนเองอยู่ ณ จุดนั้น

เมื่อลู่หยุนโดนส่งล้มไปกองจนมีสภาพไม่ต่างจะสวีหมิง ตู้กูหลินที่ลอยอยู่กลางอากาศเอ่ยถามคำถามที่เคยใช้กับสวีหมิงขึ้น ลู่หยุนหัวเราะด้วยความขมขื่น แต่ก็ไม่หนีจากการสู้ เขากระโจนเข้าหาอย่างบ้าคลั่ง!

สวีหมิงตัวสั่นเทิ้มเมื่อได้เห็นลู่หยุนไม่คิดหนีเพราะเกรงกลัวต่อความตายเหมือนตนเอง

ชายหนุ่มหลับตาลงเงียบๆ พร้อมกับความขมขื่นในใจ

การต่อสู้ระหว่างลู่หยุนและตู้กูหลินจบลง อาจเป็นเพราะยอมรับในตัวอีกฝ่าย ตู้กูหลินไม่ได้ปล่อยหมัดปิดฉาก ทำแค่เพียงตบลู่หยุนลงพื้นจนหมดสติ

เมื่อศึกครั้งนี้จบลง ทั้งลานกว้างก็เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเสียงเฮของเหล่าศิษย์ฝั่งเมี่ยเลี่ยจื่อจะดังขึ้น ส่วนศิษย์ฝั่งเฟิ่งชิวหรันและโยวหรันต่างนิ่งเงียบ ในใจเต็มไปด้วยคลื่นความรู้สึกที่ถาโถมเข้าใส่ไม่หยุดหย่อน

ตู้กูหลินเป็นผู้กล้าเกร่งเกินจินตนาการ เขาไม่ได้ใช้กระบวนเวทอื่นกับสวีหมิงและลู่หยุนเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แค่หมัดและมังกรล้อมรอบก็เพียงพอที่จะมอบความพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่าย

ทุกคนเห็นว่าตู้กูหลินยังไม่ได้ใช้ความสามารถเต็มที่ แต่ก็ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าชายหนุ่มใช้พลังไปประมาณเท่าใดในศึกทั้งสองครั้งที่ผ่านมา

“ร้อยละสามสิบมากสุด!” สวีหมิงพึมพำขึ้นก่อนจะกลับออกไป

ขณะทุกคนกำลังนิ่งอึ้ง เหล่าศิษย์ในสนามทดสอบต่างตกอยู่ในความเงียบงัน พวกหวังเป่าเล่อที่พักอยู่บนยอดเขาต่างเคร่งเครียดขึ้นมา

“เจ้าตู้กูหลินเก่ง เก่งมาก!” กงเต๋าสูดหายใจลึกก่อนจะพูดขึ้น

“เป่าเล่อ เจ้ามั่นใจไหม” เจ้าเยี่ยเหมิงหันมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาเป็นกังวล

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไป ไฟแห่งความมุ่งมั่นพลันลุกโชนขึ้นในตา ริมฝีปากค่อยๆ เหยียดยิ้มก่อนจะเอ่ยขึ้น

“เดี๋ยวก็ได้รู้หลังสู้เสร็จ” หวังเป่าเล่อหลับตาทำสมาธิ เขาอยากจะอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด หากตู้กูหลินไม่มาหา ชายหนุ่มก็จะออกไปตามหาเอง

การต่อสู้ระหว่างทั้งสองไม่ได้เป็นเพียงจุดสิ้นสุดการทดสอบ แต่ยังเป็นช่วงที่สำคัญมากที่สุดของการทดสอบ!

ตู้กูหลินต้องการให้มีเพียงแค่อันดับหนึ่ง หวังเป่าเล่อเองก็คิดเช่นนั้น!

เวลาล่วงผ่าน เหลืออีกไม่ถึงห้าชั่วโมงจะถึงการเคลื่อนย้ายครั้งต่อไป ทั่วทั้งสนามรบตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้ง!

ต้นตอของความวุ่นวายนี้ก็ยังเป็นตู้กูหลิน หลังจากล้มลู่หยุนลง เขาก็ออกล่ากุญแจมาได้กว่าร้อยดอก ถึงกระนั้นก็ยังเดินหน้ากวาดล้างต่อไปไม่หยุด!

เป้าหมายของชายหนุ่มคือจัดการศิษย์ของเฟิ่งชิวหรัน!

ศิษย์ของเฟิ่งชิวหรันที่เหลือรอดในการทดสอบต่างต้องจำใจยื่นกุญแจให้ กลายเป็นกลุ่มคนไร้กุญแจไป พวกเขาได้แต่มองจำนวนกุญแจของตู้กูหลินที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บนแผนที่ กุญแจที่กระจายตัวอยู่เริ่มลดน้อยลง

เหล่าผู้ฝึกตนด้านนอกเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะตื่นตกใจแต่ก็รู้ดีว่ามีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเหลือรอด!

บทที่ 572 เป่าเล่อ เจ้าเข้าใจไหม
ขณะที่พวกหวังเป่าเล่อกลับออกจากจุดที่ได้ประมือกับโจวชู่เต๋า ที่ลานกว้างของสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นตกอยู่ในความเงียบงัน ได้ยินเพียงแต่เสียงลมหายใจ แม้จะมีเสียงพูดคุยกันอยู่บ้าง แต่ศิษย์ส่วนใหญ่ล้วนนิ่งเงียบกันหมด

พวกเขาเห็นการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อและโจวชู่เต๋าในช่วงต้นเป็นไปอย่างสูสีคู่คี่ ก่อนจะมีชุดเกราะที่สร้างจากเส้นปราณสีเลือดปรากฏขึ้นบนร่างกายหวังเป่าเล่อ สิ่งนี้เองที่เป็นตัวทำให้สถานการณ์ทั้งหมดพลิกผันไปหมด!

จะถือว่าชุดเกราะนี้เป็นต้นกำเนิดของพลังรบทั้งหมดก็ไม่ได้ แต่ผลลัพธ์ที่ปรากฏในสายตานั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนยากจะทำใจเชื่อได้

เหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐนิ่งเงียบ คลื่นความรู้สึกถาโถมเข้าภายใน พวกเขาต่างคิดว่าพลังของหวังเป่าเล่อนั้นเป็นเรื่องเกินจริง

เฟิ่งชิวหรันแปลกใจอยู่ลึกๆ เช่นกัน ความรู้สึกมากมายกรูเข้าสู่จิตใจ นางจ้องหวังเป่าเล่อผ่านจอภาพพลางครุ่นคิดเกี่ยวกับพลังของกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิ ลึกๆ ก็ยังแปลกใจที่หวังเป่าเล่อสามารถเอาชนะคนอื่นได้!

นางไม่ได้ตั้งความหวังกับพวกหวังเป่าเล่อเท่าไหร่ในตอนแรก กลับคิดว่าถ้าไม่มีปาฏิหาริย์อะไรเกิดขึ้น เด็กทั้งสามคงไม่สามารถขึ้นไปเป็นสามอันดับแรกได้โดยพึ่งแค่พลังของตนเอง

แต่ตอนนี้ เฟิ่งชิวหรันก็ต้องยอมรับว่าตนนั้นคิดผิดไป นางได้ประเมินความสามารถของสหพันธรัฐที่เป็นพันธมิตรของตนเองต่ำไป!

พวกเขาส่งยอดฝีมือเช่นนี้มายังสำนักวังเต๋าไพศาล ตัวข้าช่างน่าละอายเสียจริงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความใจกว้างของสหพันธรัฐ! เฟิ่งชิวหรันคิดว่าหากเป็นตนคงไม่คิดส่งคนมากความสามารถเช่นหวังเป่าเล่อออกไปแน่ เพราะหากมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นจะกลายเป็นการสูญเสียที่ยากเกินรับมือได้ไหว

แต่นางก็มองว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสหพันธรัฐเช่นกัน!

เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็คิดคล้ายๆ กันขณะมองหวังเป่าเล่อผ่านหน้าจอเงียบๆ สหายแห่งเต๋าโยวหรันเองก็เช่นกัน แตกต่างกันที่ลึงลงไปในตาของเขามีแสงเย็นเยียบแฝงไปด้วยจิตสังหารซ่อนอยู่!

มีคนเหลืออยู่บนสนามทดสอบประมาณร้อยต้นๆ หลังการเคลื่อนย้ายครั้งแรกจบลง การทดสอบวันแรกเป็นไปอย่างดุเดือดทำให้มีการเก็บสะสมกุญแจไปได้มากมาย

กลุ่มคนที่เหลือรอดกระจัดกระจายกันไปตามแต่ละที่ พวกเขาต่างเฝ้าระวังการโจมตีจากพวกไร้กุญแจ เนื่องจากวันแรกเป็นไปอย่างดุเดือด วันที่สองจึงค่อนข้างสงบเงียบตามการคาดการณ์ของเจ้าเยี่ยเหมิง

แม้จะมีการต่อสู้และเข้าปะทะกันบ้างเป็นช่วงๆ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าในสนามทดสอบแห่งนี้มีอยู่สี่คนที่ไม่ควรไปยุ่งด้วย สามในสี่เป็นศิษย์เอกที่เหลืออยู่ ส่วนอีกคนคือหวังเป่าเล่อ ศิษย์เอกจากสหพันธรัฐ!

‘ศิษย์เอกของสหพันธรัฐ’ เป็นคำยกย่องที่ผู้คนในสนามทดสอบใช้เรียกหวังเป่าเล่อ สำหรับพวกเขาแล้ว คำว่า ‘ศิษย์เอก’ นั้นดูเหมาะสมกับตัวตนของชายหนุ่มดี

ดังนั้น จุดที่หวังเป่าเล่อและศิษย์เอกอีกสามคนอยู่จึงกลายเป็นเขตต้องห้ามสำหรับศิษย์คนอื่นๆ พวกเขาไม่กล้าย่างกรายเข้าไปใกล้ แค่เห็นเงาหนึ่งในสี่คนนั้นอยู่ลิบๆ ก็รีบวิ่งแจ้นหนีไปแล้ว

หลังจากท่องนภาอยู่สักพักและสังเกตเห็นเหล่ากุญแจที่กระจัดกระจายอยู่บนแผนที่บนฟากฟ้ายามราตรีรีบหนีห่างออกไป หวังเป่าเล่อก็บอกให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าลงไปพักบนยอดเขาลูกหนึ่ง

สำหรับคนอื่น การหากุญแจเพิ่มถือเป็นสิ่งสำคัญ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย นอกจากนี้ยังไม่มีใครกล้ามาชิงเอากุญแจไปจากเขาอีกด้วย ชายหนุ่มรู้ว่าในตอนนี้เหลือศัตรูเพียงแค่สามคน!

ซึ่งก็คือ ตู้กูหลิน ลู่หยุน และเนื้อคู่แห่งเต๋าของโจวชู่เต๋า หวงหยุนซาน!

หวังเป่าเล่อไม่ได้ดูถูกทั้งสามคนนี้เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะตู้กูหลิน ชายหนุ่มมองว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจที่สุด!

“ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น สามอันดับแรกคงจะมาจากพวกเจ้าสี่คน” ขณะหวังเป่าเล่อกำลังมองแผนที่บนฟากฟ้ายามราตรี เจ้าเยี่ยเหมิงก็เอ่ยขึ้นเสียงนิ่มนวล

“เป่าเล่อ แล้วเจ้าอยากจะขึ้นไปอยู่ในสามอันดับแรก หรือจะเลือกเดินทางสายโดดเดี่ยว” ดวงตาของเจ้าเยี่ยเหมิงสว่างวาบขณะจ้องมองหวังเป่าเล่อ

กงเต๋าก็หันมองชายหนุ่มเช่นเดียวกัน หากหวังเป่าเล่อเลือกทำอย่างหลังจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองมากทีเดียว…

หวังเป่าเล่อหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หัวเราะขึ้น

“ข้าอยากจะเดินทางสายโดดเดี่ยวเพื่อกำจัดทุกคนทิ้ง จะได้มีต้องมีอันดับสองหรือสาม มีแค่อันดับหนึ่งเพียงเท่านั้น! พอการทดสอบสิ้นสุด พวกเราแต่ละคนจะได้ใบต้นไฮยาซินมาครอบครอง!”

“ลงมือเลย!” กงเต๋าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เจ้าเยี่ยเหมิงลูบหน้าผาก เหมือนนางจะคาดไว้อยู่แล้วว่าชายหนุ่มต้องเลือกทำเช่นนี้ พอได้ยินคำตอบของหวังเป่าเล่อ นางก็สบายใจขึ้น ไม่มันคิดเรื่องกฎเกณฑ์อะไรให้มากมายอีกต่อไป

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเลิกวิเคราะห์สถานการณ์ เจ้าจัดการด้วยตนเองได้เลย แต่ขอเตือนไว้ว่าคู่ต่อสู้คนต่อไปอาจจะมาปรากฏตัวก่อนการเคลื่อนย้ายครั้งที่สอง ถ้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นหวงหยุนชาง เนื้อคู่แห่งเต๋าของโจวชู่เต๋า!”

“มาตามแก้แค้นหรือ” กงเต๋าเลิกคิ้วสูง

“มาให้กุญแจเรามั้ง! กงเต๋า พักหลังมาเจ้าฉลาดน้อยลงเยอะนะ” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดน้ำเสียงราบเรียบ

กงเต๋าเบ้ปากแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับ ในใจก็แอบคิดไปว่าไม่ว่าใครก็คงต้องยอมก้มหัวให้กับสองคนนี้ คนหนึ่งไร้เทียมทานด้านการสู้รบ ส่วนอีกคนก็มีสติปัญญาเหนือชั้นกว่าผู้ใด แล้วตัวเขาจะไปเถียงอะไรกลับได้ หากเป็นคนอื่นคงจะลืมไปแล้วว่าตนยังมีตัวตนอยู่บนโลก

พอเห็นท่าทีแปลกๆ ของกงเต๋า หวังเป่าเล่อก็กระแอมไอ เกือบจะเอื้อมไปหยิบเอาขนมออกมากินตามสัญชาตญาณ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเหลือขนมอยู่นิดเดียว แถมสถานการณ์ก็ยังไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ จึงได้แต่หักห้ามใจตนเอง เขาเชิดหน้าขึ้น พยายามรักษาท่าทีทะนงตนดังเดิม

แล้วก็เป็นจริงตามที่เจ้าเยี่ยเหมิงคาดการณ์เอาไว้ หลังจากพักผ่อนกันได้ครึ่งวันก็เห็นดาวดวงหนึ่งที่มีกุญแจรวมกันอยู่มากกว่าสามสิบดอกบนแผนที่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

ฝูงชนทั้งในและนอกสนามทดสอบต่างให้ความสนใจเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น พวกหวังเป่าเล่อเห็นดังนั้นก็นั่งรอไม่หนีไปไหน

หนึ่งชั่วโมงต่อมาก ดาวดวงนั้นก็เข้ามาใกล้ทั้งสามก่อนจะเผยให้เห็นร่างของหวงหยุนซานที่พุ่งมาดั่งเปลวเพลิง

นางรวดเร็วยิ่งนัก เมื่อครู่ยังอยู่ไกลออกไป แต่เพียงพริบตาเดียวก็เข้าใกล้ทั้งสาม ก่อนจะลงเหยียบลงบนยอดเขา นางหันมองเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นผู้แรก แทนที่จะเป็นหวังเป่าเล่อ

เจ้าเยี่ยเหมิงยิ้มให้ หวงหยุนซานเองก็ยิ้มตอบ จากนั้นก็หันไปมองหวังเป่าเล่อหัวจรดเท้า ส่วนหวังเป่าเล่อก็กำลังมองนางอยู่เช่นกัน

ทันใดที่สายตาทั้งคู่ประสานกัน หวงหยุนซานก็หัวเราะขึ้น

“ถ้าคนรักของข้าพ่ายแพ้ให้กับเจ้า ข้าเองก็คงสู้เจ้าไม่ได้เช่นกัน เช่นนั้นข้าขอมอบกุญแจของข้าให้ เจ้าชนะคนรักของข้าได้ ฉะนั้นจงสู้ต่อไปและคว้าอันดับหนึ่งมาให้ได้!” หวงหยุนซานยกมือขวาขึ้นโบกส่งกุญแจหลายสิบชิ้นไปให้หวังเป่าเล่อ

นางมองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ก่อนจะยิ้มให้และหันกลับออกไป

ตั้งแต่มาถึงจนกลับออกไป นางพูดเพียงแค่นั้น กงเต๋ามองหวังเป่าเล่อสลับกับเจ้าเยี่ยเหมิงพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หวังเป่าเล่อเองก็เหมือนจะกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนเสียงของกงเต๋าจะดังขึ้น

“เป่าเล่อ นางต้องตกหลุมรักเจ้าแน่…มิเช่นนั้น ทำไมนางต้องลำบากเดินทางมาตั้งไกลเพิ่มมายกกุญแจให้เจ้า…”

หวังเป่าเล่อกะพริบตา กำลังจะอ้าปากพูด แต่เจ้าเยี่ยเหมิงก็ส่งเสียงแค่นจมูกขัดขึ้นก่อน

“กงเต๋า เจ้าฉลาดน้อยลงจริงๆ ด้วย”

“พูดแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร เจ้าเยี่ยเหมิง!” กงเต๋าแสร้งทำเป็นโกรธ เขาพูดไปอย่างนั้นเพื่อแกล้งเจ้าเยี่ยเหมิง

“ก็ไม่ได้หมายความว่าอะไร แต่ถ้าคนรักของข้าพ่ายแพ้ให้กับคนอื่น ข้าก็คงคิดว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในการทดสอบ ซึ่งก็หมายความว่าคนรักของข้าพ่ายแพ้ให้กับยอดฝีมือ ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ข้าก็จะเสียชื่อเสียงไปไม่มาก คนรักของข้าเองก็จะไม่เสียกำลังใจไป ในอนาคตจะต้องกลับมาแก้มือได้สำเร็จ!” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดเสียงเรียบ กงเต๋าไม่รู้จะเถียงอะไรกลับจึงได้แต่พูดพึมพำ

“เจ้าก็บ้าไม่แพ้กัน…”

“เพราะเจ้าไม่เข้าใจต่างหาก!” เจ้าเยี่ยเหมิงหัวเราะ นางหันมองหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาเป็นประกายก่อนจะถามขึ้น “เป่าเล่อ เจ้าเข้าใจใช่ไหม”

หวังเป่าเล่อใจเต้นแรงเมื่อเห็นสายตาที่มองมา ขณะที่ตนเองก็แอบเหลือบมองเจ้าเยี่ยเหมิงที่กำลังนั่งลง…

บทที่ 571 ไม่มีใครสนใจ!
ณ สนามทดสอบ ขณะหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินประสานสายตาจากไกลห่าง มีคนมากมายรอบตัวได้พ่ายแพ้ไป โจวชู่เต๋าเดินจากไปอย่างไร้ความกังวล ส่วนสวีหมิงยังนอนแผ่อยู่กับพื้น หัวเราะให้กับความขลาดที่ถอยหนีจากการต่อสู้อย่างขมขื่น

บัดนี้ การเคลื่อนย้ายได้เริ่มต้นขึ้น!

มีเสียงระเบิดดังขึ้นจากทั่วทุกทิศของสนามทดสอบ เริ่มต้นจากเสียงเบาๆ จากนั้นก็กลายเป็นเสียงกัมปนาทอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามียักษามหึมากรีดร้องอยู่ในสนามทดสอบ

แผนที่บนฟากฟ้ายามค่ำคืนพลันบิดเบี้ยวเป็นครั้งแรก ผืนพสุธาและภูผาสั่นไหว!

เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าฟ้าดินกำลังพลิกผัน พลังเคลื่อนย้ายบังเกิดขึ้นจากความว่างเปล่า ก่อนจะขยายพลังเต็มขั้นไปทั่วสนามรบในไม่กี่อึดใจ!

การเคลื่อนย้ายครั้งแรกจะชิงกุญแจหนึ่งดอกไปจากทุกคน หากใครไม่มีจ่ายก็จะโดนคัดออก!

สนามทดสอบที่เงียบสงบพลันตกอยู่ในความโกลาหล ผู้เข้าร่วมทดสอบที่ไม่มีกุญแจหลายคนรีบพุ่งไปหาคนมีกุญแจในครอบครองที่ใกล้ตัวที่สุดในทันที!

มีบ้างที่ช่วงชิงมาได้สำเร็จ แต่ส่วนมากก็ล้มเหลว แสงจากการเคลื่อนย้ายส่องระยิบระยับระหว่างฟากฟ้าและผืนดิน กุญแจหายไปดอกแล้วดอกเล่า ก่อนการคัดออกจะเปิดฉากขึ้น

พายุที่มีเพียงกลุ่มคนมีกุญแจเท่านั้นที่จะยืนหยัดต้านทานได้พลันบังเกิด พัดเหล่าคนไม่มีกุญแจหายไปจากสนามทดสอบ

สวีหมิงและโจวชู่เต๋าก็เป็นหนึ่งในนั้น หวังเป่าเล่อเห็นกุญแจของตนถูกพายุการเคลื่อนย้ายช่วงชิงไป โจวชู่เต๋าที่ยืนหันหลังให้ไกลออกไปพลันเลือนรางราวกับกำลังจมหายไปในความว่างเปล่า ขณะที่กำลังจะหายวับไป ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นราวกับตั้งใจจะโบกมือลาหวังเป่าเล่อที่อยู่ด้านหลัง

โบกได้สามครั้งเขาก็หายวับไป

การเคลื่อนย้ายเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วลมหายใจ ผืนดินและท้องฟ้ากลับสู่สภาพปกติเมื่อการเคลื่อนย้ายจบลง แผนที่บนฟากฟ้ายามค่ำคืนชัดแจ้งเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง แต่กุญแจที่ฉายอยู่บนนั้นหายไปมากเลยทีเดียว!

หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกขณะมองดูแผนที่บนฟากฟ้ายามค่ำคืน ทันใดนั้นเสียงของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ดังขึ้น

“คนที่ไม่มีกุญแจจะถูกกำจัดทิ้งทุกๆ การเคลื่อนย้าย จากนั้นก็จะมีผู้ฝึกตนไม่มีกุญแจกลุ่มใหม่เกิดขึ้น มีแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่จะรู้ว่าเหล่าคนไม่มีกุญแจซ่อนตัวอยู่ตรงไหน!”

“เพราะทุกจุดบนแผนที่ที่มีกุญแจจะมีคนไม่มีกุญแจไปอยู่ตรงนั้น!” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดขึ้นพร้อมกับยกมือขวาขึ้นโบก เรียกเข็มทิศส่องแสงรางๆ ก่อนจะปรากฏแผนที่ขึ้น!

“ข้าตรวจดูทุกจุดที่กุญแจหายไปก่อนหน้า แต่ละจุดบนแผนที่คือจุดที่มีผู้เข้าร่วมการทดสอบที่ไม่มีกุญแจ เราสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของพวกเขาได้!” เจ้าเยี่ยเหมิงอธิบายพร้อมกับชี้มือซ้ายไปทางเข็มทิศ ทันใดนั้นจุดแสงมากมายก็ปรากฏขึ้นบนแผนที่

จุดแสงแต่ละจุดคือพิกัดของเหล่าผู้เข้าร่วมการทดสอบที่ไม่มีกุญแจตามการคาดการณ์ของเจ้าเยี่ยเหมิง มีจุดแสงสามจุดอยู่รอบตัวพวกเขาตอนนี้!

“จะจัดการอย่างไรดี” เจ้าเยี่ยเหมิงหันมองหวังเป่าเล่อพร้อมกับถามขึ้นว่าจะทำอย่างไรกับกลุ่มคนไม่มีกุญแจสามจุดใกล้ตัว

“ไม่ต้องสนใจก็ได้นี่…” หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างขณะพูด เขามองไปยังจุดหนึ่งจากอีกสามจุดพร้อมกับยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นกระบี่บินสามสีก็ปรากฏขึ้น ก่อนจะพุ่งไปยังอีกสองจุดที่เหลือ

มีผู้ฝึกตนพุ่งออกมาจากแต่ละจุดทันทีที่กระบี่บินสามสีพุ่งแหวกอากาศตรงไป ผู้ฝึกตนสองคนรีบวิ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมามอง แต่ความเร็วของพวกเขาก็ด้อยกว่ากระบี่บิน เสียงกรีดร้องโหยหวยดังขึ้นตามมา ก่อนทั้งสองจะร่วงลงพื้น

ชายหนุ่มไม่ได้ฆ่าพวกเขา เพียงแค่จัดการให้ไม่สามารถหนีไปได้ไกลจากพื้นที่นี้ในวันต่อไป

กระบี่บินสามสีพุ่งกลับมาหลังจากนั้น หวังเป่าเล่อเดินไปยังตำแหน่งจุดแสงที่สาม เมื่อเข้าไปใกล้ก็เห็นคนผู้หนึ่งนั่งหัวเราะอย่างขมขื่นอยู่ตรงนั้น ไม่ได้หนีไปไหน คนผู้นั้นหันมองชายหนุ่มอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง

“เป่าเล่อ…เจ้า…”

เมื่อเห็นใบหน้าแสนคุ้นเคย อ้วนกลมไม่ต่างกัน หวังเป่าเล่อก็ผุดยิ้มขึ้น

“ศิษย์พี่หยุนเพียวจื่อ…”

คนผู้นั้นคือหยุนเพียวจื่อ เขาตื่นตะลึงหนักเมื่อได้เห็นการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อและโจวชู่เต๋า ไม่สามารถเชื่อมโยงภาพหวังเป่าเล่อในหัวและชายที่อยู่เบื้องหน้าได้

ผู้อยู่เบื้องหน้าแกร่งกล้าเกินกว่าที่คิดไว้ไปมากโข ส่งให้ตนรู้สึกห่างเหินกับชายเบื้องหน้าไปไกล

“ข้าจัดการกับพวกไม่มีกุญแจแถวนี้หมดแล้ว ออกจากตรงนี้ไปโปรดระวังตัวด้วย” หวังเป่าเล่อรู้ว่าหยุนเพียวจื่อกำลังคิดเช่นไรอยู่ อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงความห่างเหินในแววตาอีกฝ่าย จึงพูดขึ้นหลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองเจ้าเยี่ยเหมิง

เจ้าเยี่ยเหมิงเข้าใจเจตนารมณ์ของหวังเป่าเล่อ นางหยิบเอากุญแจดอกหนึ่งออกมาวางตรงหน้าหยุนเพียวจื่อ

“หยุนเพียวจื่อ ไว้เจอกันที่สำนัก ข้าขอตัวก่อน” หวังเป่าเล่อกุมหมัดให้หยุนเพียวจื่อก่อนจะยิ้มและกลับออกไปพร้อมเจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋า กงเต๋าหันมองหยุนเพียวจื่อด้วยแววตาสงสัยก่อนจะหันเดินกลับออกไป

เขารู้ว่าตอนแรกหวังเป่าเล่อตั้งใจจะปล่อยสองคนที่ไม่มีกุญแจไป แต่ก็ลงมือจัดการให้เพราะหยุนเพียวจื่อ

อาจบอกได้ว่าชายหนุ่มทำเช่นนั้นก็เพราะต้องการจะให้กุญแจกับหยุนเพียวจื่ออย่างปลอดภัย กงเต๋านึกสงสัยขึ้นมาเนื่องจากพวกตนเป็นคนจากสหพันธรัฐจึงเป็นการยากที่จะเชื่อมไมตรีจิตรกับศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลได้ เว้นเสียแต่จะมีอะไรบางอย่างตรงกัน

ที่หยุนเพียวจื่อสนิทกับหวังเป่าเล่อได้ก็เป็นเพราะความใจกว้างและรายได้จากเรือวิญญาณของหวังเป่าเล่อ เป็นความสัมพันธ์แบบด้านเดียว ไม่สามารถผ่านพ้นการทดสอบนี้ไปได้

หยุนเพียวจื่อเงียบไปขณะมองกุญแจในมือ ผ่านไปสักพัก เขาก็ก็เงยหน้ามองแผ่นหลังของพวกหวังเป่าเล่อ ก่อนจะยืนขึ้นพร้อมกับตะโกนออกไป “เป่าเล่อ!”

หวังเป่าเล่อหยุดอยู่กลางอากาศพร้อมกับหันมามองหยุนเพียวจื่อ

“เมื่อครู่ ตู้กูหลินได้สู้กับสวีหมิง เจ้าก็…ระวังตัวด้วย”

ได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็หยุดคิดสักพักก่อนจะยกมือขึนโบกพร้อมกับยิ้มให้ จากนั้นก็กลับออกไป หยุนเพียวจื่อมองกลุ่มคนเบื้องหน้าทะยานออกไปไกลห่าง ก่อนจะก้มมองกุญแจในมือด้วยแววตาเคารพยกย่อง

ความรู้นี้ไม่ได้มาจากที่หวังเป่าเล่อหยิบยื่นกุญใจมาให้ แต่เป็นการที่อีกฝ่ายจัดการกับผู้ไร้กุญแจอีกสองคนเพื่อตนเองโดยเฉพาะ

ขณะเดียวกันก็ตระหนักขึ้นว่าความแตกต่างระหว่างตนและอีกฝ่ายไม่ได้มีเพียงแค่ความสามารถ แต่ยังแตกต่างในด้านทัศนคติ!

เขาไม่ได้สนใจเรื่องกุญแจหรือกฏกติกาอะไร ทั้งสองสิ่งไม่ได้สำคัญเลยสำหรับเขาและศิษย์คนอื่นๆ พวกเขาไม่ต้องทำตามกฏเพราะกฏของพวกเขามีเพียงหนึ่ง!

นั่นคือ…กำจัดคู่ต่อสู้คนอื่นๆ ทิ้งและเหลือรอดเป็นคนสุดท้าย หยุนเพียวจื่อมองกุญแจพร้อมกับตรึกตรองสิ่งต่างๆ เขาเงยหน้าขึ้นถอนหายใจยาวก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น

เสียงหัวเราะขมขื่นถูกแทนที่ด้วยท่าทีไร้กังวล ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินออกไปอีกทาง ทิ้งกุญแจไว้เบื้องหลัง เขารู้ว่าเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ที่ตนจะดิ้นรนต่อไปในการทดสอบนี้ ที่ต้องทำคือหาสถานที่ทำสมาธิรอกลับออกไปในการเคลื่อนย้ายครั้งต่อไป

ไม่ใช่การทดสอบสำหรับคนธรรมดาเช่นข้าอีกต่อไป หยุนเพียวจื่อส่ายหัวพร้อมกับเดินหายลับไป กุญแจส่องแสงเป็นประกายอยู่ตรงพื้นแต่กลับไร้ซึ่งคนสนใจ

ห่างออกไปไกล เจ้าเยี่ยเหมิงเป็นผู้แรกที่รู้ว่าได้เกิดอะไรขึ้น นางมองแผนที่บนฟากฟ้ายามราตรีเห็นกุญแจหยุดนิ่งไม่ไหวติง แม้จะไม่ได้เห็นกับตา แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก นางก็หันมายิ้มให้กับหวังเป่าเล่อ

“เป่าเล่อ เพื่อนเจ้ารู้จักคิดตัดสินใจ ไม่ธรรมดาเลย”

บทที่ 570 มองผ่านฟากฟ้า!
การต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและโจวชู่เต๋าทำให้เกิดคลื่นปะทะกระจายทั่วทิศ ผู้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์ต่างตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นโจวชู่เต๋าคาดการณ์การโจมตีของอีกฝ่ายและหวังเป่าเล่อที่คอยใช้กลลวงล่อ

ยิ่งได้เห็นการตายอันน่าเวทนาของผู้ฝึกตนทั้งสามที่แอบซุ่มโจมตี ทั้งวิธีการและความเร็วที่ใช้ในการสังหารบ่งบอกได้ว่าหวังเป่าเล่อมีความสามารถเทียบเท่ากับเหล่ายอดฝีมือขั้นกำเนิดแก่นใน สามารถกำจัดผู้ที่มีระดับเทียบเท่ากันได้อย่างง่ายดาย!

ที่สำคัญคือชายหนุ่มยังอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางเพียงเท่านั้น!

สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนจนไม่กล้าคิดย่างกรายเข้ามาใกล้ ไม่มีใครคิดอยากจะหาจังหวะเข้าโจมตีอีก ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่จับตาดูการต่อสู้ครั้งนี้อยู่ต่างเหลือบมองเหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ

หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้คงไม่มีใครกล้าพูดว่าไม่มีผู้กล้าแกร่งในสหพันธรัฐได้อีก!

พันธุ์กล้าในสหพันธรัฐรู้สึกฮึกเหิม ตั้งแต่มายังสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ พวกตนต้องใช้ชีวิตอยู่ราวกับเป็นเพียงชนชั้นล่าง

ทั้งถูกศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลดูถูกเหยียดหยาม ไหนจะท่าทีแข็งกร้าวเย็นชาที่ต้องพบเจอตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาได้สร้างความแค้นเคืองทับถมขึ้นในใจ พวกเขาต่างคอยระมัดระวังการกระทำของตัวเอง บางคนถึงกับคิดจะประจบเอาอกเอาใจเหล่าศิษย์สำนักวังเต๋า

แต่ในตอนนี้ ความคิดเหล่านั้นก็พลันเลือนหาย กลายเป็นความภาคภูมิใจและทะนงตนเข้ามาแทนที่ การกระทำของหวังเป่าเล่อพิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าของเหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ!

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเป็นผู้กล้าแกร่งเพียงคนเดียว แต่อย่างน้อยตัวตนของพวกเขาก็เป็นที่ประจักษ์ในสายตาคนอื่นเสียที!

หลายคนเข้าใจเรื่องนี้ เหล่าศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่พบกับความรู้สึกมากมายอัดแน่นอยู่เต็มอกจึงเริ่มผ่อนปรนท่าทีและสายตาอันแข็งกร้าวที่มีต่อเหล่าพันธุ์กล้า พวกเขาเฝ้าจับตาดูการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อผ่านจออย่างเคร่งขรึม ดวงตาปรากฏความเคารพยกย่องต่อชายหนุ่มในจอ

แต่ในใจนั้นกลับทำใจยอมรับไม่ได้ว่าหวังเป่าเล่อและสหพันธรัฐจะแข็งแกร่งกว่าที่พวกตนคิด โชคดีที่ก่อนการเคลื่อนย้ายในครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่หวังเป่าเล่อที่ได้แสดงฝีมืออันเก่งกาจ แต่ยังมีตู้กูหลินด้วยเช่นกัน!

การต่อสู้ระหว่างตู้กูหลินและสวีหมิงสร้างแรงสั่นสะเทือนเขย่าฟ้าดินไม่ต่างกัน ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลในลานกว้างต่างคึกกันยกใหญ่เพราะทั้งคู่เป็นศิษย์สำนักวังเต๋าเช่นกัน ความร่าเริงลำพองยิ่งทวีคูณหนักขึ้นทำให้เกือบจะกลบความอึดอัดในใจที่เกิดขึ้นเพราะหวังเป่าเล่อไปหมด!

ตู้กูหลินเก่งกาจสมชื่อ แม้สวีหมิงจะเป็นศิษย์เอกคนหนึ่ง สามารถล้มผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในมากหน้าหลายตาได้ แต่ก็ยังห่างชั้นกับตู้กูหลินอยู่มาก!

สวีหมิงและตู้กูหลินสู้กันอยู่บนที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง บนพื้นปรากฏรอยแตกมากมาย ทั้งพื้นที่ได้ยินแต่เสียงกรีดร้องของสวีหมิง ร่างของชายหนุ่มถูกส่งทะยานขึ้นฟ้าก่อนจะร่วงหล่นกระแทกพื้นซ้ำไปมา พอหยัดยืนขึ้นมาได้ใหม่ก็โดนส่งขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง!

ตู้กูหลินยืนหน้านิ่งอยู่กลางอากาศ ไม่ได้ปริปากพูดอะไรตั้งแต่เริ่มสู้ ถือเป็นชะตากรรมอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ของสวีหมิง ไม่ว่าชายหนุ่มจะพยายามเช่นไร จะระเบิดสมบัติเวท ใช้ไพ่ตายที่มี หรือเสริมพลังด้วยกระบวนเวทอย่างไรก็ล้วนไร้ประโยชน์!

ความพยายามทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบถูกสยบได้ด้วยหมัดเดียวของตู้กูหลิน!

สวีหมิงแพ้อย่างราบคาบ ตั้งแต่เริ่มต้นจวบจนปัจจุบัน ชายหนุ่มเลือดไหลไม่หยุด ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ความโกรธแค้นและสิ้นหวังในใจกลายเป็นเครื่องทรมานทำให้ตนคลุ้มคลั่ง

“ตู้กูหลิน! คู่ต่อสู้ของเจ้า…คือข้า!” สวีหมิงกระอักเลือดออกมาหลังจากโดนเสยร่วงลงพื้นอีกครั้ง เขายืนขึ้นอย่างทุลักทุเล เลือดไหลอาบจากหน้าผากผ่านดวงตาเปลี่ยนสีโลกกว้างในสายตาเป็นสีเลือด ดวงตาของชายหนุ่มดูน่าพรั่นพรึง แต่น้ำเสียงที่พูดออกมากลับไม่มีความดุร้ายแฝงอยู่ สัมผัสได้เพียงความขมขื่นเพียงเท่านั้น

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ…ตั้งแต่ปล่อยหมัดที่สอง ตู้กูหลินผู้เงียบขรึมก็เลิกสนใจสวีหมิงไป เอาแต่เงยหน้ามองแผนที่บนฟ้าตรงจุดที่หวังเป่าเล่อเข้าปะทะกับโจวชู่เต๋า

แม้ชายหนุ่มจะไม่สามารถเห็นการต่อสู้ได้ แต่ดวงตาก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง ส่วนสวีหมิงนั้นเป็นเพียงแค่…

คนไร้ค่า!

การถูกอีกฝ่ายเมินเป็นสิ่งที่ทำให้สวีหมิงเจ็บปวดใจมากที่สุด เขาเองก็เป็นศิษย์เอก ก่อนหน้านี้มีความมั่นใจอยู่เต็มอก แต่การต่อสู้ครั้งนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มได้ตระหนักว่าตนเป็นเพียงคนไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าตู้กูหลิน

สวีหมิงรู้สึกขมขื่นที่ตนทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ยังขุ่นเคืองอยู่ในใจ เขาหายใจถี่รัว จิตวิญญาณนักสู้ลุกไหม้ขึ้นในแววตา ชายหนุ่มเตรียมโจมตีอีกครั้งแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าจะล้มเหลว!

ทันใดนั้น ตู้กูหลินก็พูดขึ้น

“อ่อนแอ…เกินไป”

“เจ้าจะต้องตายในหมัดต่อไป ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะฆ่าเจ้า ดังนั้น…ส่งกุญแจมาเสียดีกว่า” ตู้กูหลินละสายตาจากแผนที่บนฟ้าลงมามองสวีหมิงพร้อมกับพูดขึ้นอย่างใจเย็น สีหน้าของชายหนุ่มยังดูเย็นชาไม่แปรเปลี่ยน

สายตาที่มองมาและน้ำเสียงที่ดังขึ้นทำให้สวีหมิงตัวสั่นเทิ้ม สัญชาตญาณบอกตนเองว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นเรื่องจริง!

ถ้าตนโจมตีต่อ ทันใดที่ถูกส่งลอยขึ้นบนอากาศคงจะสิ้นลมไป…

จะสู้หรือจะถอยดี

ท่ามกลางความเงียบ สวีหมิงรู้สึกขมขื่นและหมดหนทางทำอะไร จิตวิญญาณนักสู้ในตาค่อยๆ เลือนหาย เขารู้ว่าถ้าพุ่งเข้าไปแล้วรอดกลับมาได้ก็คงพิการ แต่ใจจริงลึกๆ ก็ยังไม่อยากตาย

สวีหมิงโยนกุญแจยี่สิบดอกไปให้พร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นร่างกายก็หมดเรี่ยวแรงร่วงหล่นลงกับพื้น เขาเงยหน้าขึ้น ไม่หันมองตู้กูหลินแต่เป็นสนามรบอีกแห่งบนแผนที่

“นั่นหวังเป่าเล่อหรือเปล่า…” ชายหนุ่มพูดพึมพำ ตู้กูหลินละสายตาจากแผนที่และหันไปมองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นจุดที่หวังเป่าเล่อและโจวชู่เต๋ากำลังปะทะกันอยู่

ฝั่งทิศตะวันตกเฉียงใต้ หลังจากสวีหมิงพ่ายแพ้และสูญเสียกำลังใจในการต่อสู้ไป การต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและโจวชู่เต๋าเองก็กำลังเดินทางมาถึงช่วงสุดท้าย โจวชู่เต๋าตื่นตะลึงไปแต่ก็ยังสามารถคุมเกาะเหล็กหมาดเข้าป้องกันได้อย่างรวดเร็ว เขาสังเกตเห็นเส้นปราณสีเลือดที่ปรากฏขึ้นบนมือขวาของอีกฝ่าย

เส้นปราณสีเลือดแผ่ขยายไปทั่วร่าง ปรากฏบนส่วนต่างๆ บนร่างกายของหวังเป่าเล่อ โครงร่างมนุษย์พลันปรากฏขึ้นรอบตัวชายหนุ่มในพริบตา!

พลังรัศมีดูชั่วร้ายและแกร่งกล้า มาในรูปลักษณ์แสนไร้เทียมทาน พลังรัศมีที่ชายหนุ่มปลดปล่อยออกมาเสริมด้วยปราณกังวานภายในกายทำให้เขาเป็นดั่งเทพ!

“จบตรงนี้!” หวังเป่าเล่อพูดขึ้นอย่างใจเย็น อารมณ์ความรู้สึกพลอยได้รับอิทธิพลไปด้วย น้ำเสียงเย็นชาของเขาฟังดูเหี้ยมโหด ชายหนุ่มขยับร่าง พุ่งตรงเข้าไปปล่อยหมัด!

หมัดทรงพลังเกินขีดจำกัดขั้นกำเนิดแก่นในพุ่งทะยานไปในอากาศ คลื่นพลังปั่นป่วนฟ้าดิน ฝากรอยแตกไว้บนพื้นพสุธาปรากฏขึ้น!

มองจากไกลๆ จะเห็นเหมือนชายหนุ่มเป็นดั่งพายุสีโลหิต อัสนีกัมปนาทฟาดผ่ารอบๆ ราวกับว่าหมู่มารกำลังระบำผ่านฟากฟ้าพุ่งตรงไปยังโจวชู่เต๋า!

หมัดที่ห้าของจริง!

เสริมพลังจากปราณกังวานสองเท่าตัว!

เกราะจักรพรรดิลักเพลิงขั้นแรกเสริมพลังไปอีกสามเท่า!

เสียงดังสนั่นสั่นสะเทือนทั่วบริเวณ พายุสีโลหิตพุ่งตรงเข้าไปปะทะเกราะเหล็กหมาดที่โจวชู่เต๋าควบคุมอยู่ ทันใดที่พายุพุ่งเข้าใส่ เกราะเหล็กหมาดก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เริ่มปริแตกจนเกิดเสียงดัง ก่อนจะถูกทลายลงในพริบตาจากพายุทรงอำนาจ!

พายุสีโลหิตพุ่งตรงไปไม่หยุด ส่งคลื่นปะทะกระจายไปรอบทิศ ก่อนจะเคลื่อนตัวไปอยู่เบื้องหน้าโจวชู่เต๋าอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรีบหยิบเอาสมบัติเวทป้องกันตนมากมายออกมาขณะกระอักเลือดสดออกจากปาก พยายามใช้พลังทั้งหมดที่มีในการต้านพลัง

แต่สมบัติเวทล้วนไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพายุสีโลหิต ทุกชิ้นถูกบดขยี้เป็นผุยผงเมื่อพายุเคลื่อนผ่าน โจวชู่เต๋าลนลานเมื่อเห็นพายุเคลื่อนเข้ามาใกล้ รีบกวาดมือร่ายรำพยายามป้องกันครั้งสุดท้าย เขาคุมร่างมายาพุ่งผ่านตนเองเข้าไปต้านพายุไว้!

แต่ก็ไร้ประโยชน์!

เกิดเสียงดังก้องทั่วบริเวณ พายุสีโลหิตบดขยี้ร่างมายาจนราบคาบในพริบตา ก่อนจะเคลื่อนตัวไปประชิดโจวชู่เต๋าที่กำลังสิ้นหวัง

พายุพลันเลือนหายก่อนจะกลายเป็นกำปั้นเกราะจักรพรรดิ!

เส้นผมของโจวชู่เต๋าพัดปลิวไปด้านหลัง เขามองกำปั้นทรงพลังเบื้องหน้าที่เต็มไปสัมผัสโหดเหี้ยม พลันรู้สึกขมขื่นขึ้นมาในใจทันใดที่เสียงเย็นชาของหวังเป่าเล่อดังขึ้น

“เจ้าแพ้แล้ว”

ชายหนุ่มหลับตา ความขมขื่นในใจทวีคูณมากขึ้น เขาถอนหายใจ ก่อนจะลืมตาขึ้นมามองด้วยความเกรี้ยวกราด จากนั้นก็โยนกุญแจให้พร้อมกับเรียกชาติภพเก้าสมัยกลับคืน โจวชู่เต๋ายืนตัวสั่นเทิ้มขณะถอนหายใจขึ้นอีกครั้ง

“ข้าไม่น่าปล่อยเหล่าหญิงชราไป…ทำไมข้าต้องสร้างปัญหา…”

หวังเป่าเล่อยืนนิ่ง ไม่ได้หันไปมองกุญแจที่อีกฝ่ายโยนให้ เขาสัมผัสอะไรบางอย่างได้จึงเงยหน้ามองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็น…จุดที่ตู้กูหลินปรากฏอยู่บนแผนที่!

ขณะหวังเป่าเล่อมองตรงไปยังทิศทางเบื้องหน้า ตู้กูหลินก็มองตรงกลับมาไม่ต่าง ทั้งสองไม่สามารถเห็นกันและกันได้เนื่องจากอยู่ห่างกันไกล แต่ก็ไม่ได้หยุดยั้งความกระหายอยากต่อสู้และห้ามไม่ให้ทั้งสองมองไปทางทิศทางอีกฝ่ายได้!

ศิษย์ในลานกว้างเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ภาพหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินประสานสายตาจากสองหน้าจอสร้างภาพจำตราตรึงใจฝูงชนตรงนั้น

ทั่วทั้งลานกว้างตกอยู่ในความเงียบงัน ก่อนเสียงพึมพำของใครคนหนึ่งจะดังขึ้น

“สมกับเป็นยอดฝีมือ!”

บทที่ 569 อำนาจเหนือ!
การจุติของชาติภพทั้งเก้าสมัยมีต้นกำเนิดเดียวกันกับกระบวนเวทของตระกูลนภาห้าสมัยในสหพันธรัฐ!

แตกต่างกันตรงที่ตระกูลนภาห้าสมัยสามารถเรียกชาติภพก่อนมาจุติได้แค่ห้าสมัย ส่วนโจวชู่เต๋าสามารถเรียกออกมาได้เก้าสมัย เหล็กหมาดเก้าเล่มปรากฏขึ้นระหว่างชายหนุ่มพร้อมกับร่างมายาเบื้องหลังและหวังเป่าเล่อ!

ขณะเดียวกัน ภาพมายาเบื้องหลังก็ตั้งผนึกมือ ส่งเหล็กหมาดเก้าเล่มขึ้นมาเพิ่มเป็นเก้าสิบเอ็ดเล่ม!

ทันทีที่เหล็กหมาดเก้าสิบเอ็ดเล่มปรากฏ ก็เกิดคลื่นพลังสั่นสะเทือนทั่วพื้นที่จนแผนที่บนฟากฟ้ายามราตรีบิดเบี้ยว ลมแรงปั่นป่วนพลันบังเกิด ยอดเขาใต้เท้าสั่นไหวรุนแรง เศษหินมากมายร่วงลงไปยังพื้นเบื้องล่างราวกับว่าภูผาแห่งนี้กำลังจะถล่ม

พื้นพสุธาไม่อาจต้านทานพลังได้เช่นกัน เริ่มปริร้าวพังทลายลงจากภูผาที่สั่นคลอน!

โจวชู่เต๋าตาแดงก่ำ เขาร้องคำรามพร้อมกับยกสองมือขึ้น ร่างมายาเบื้องหลังทำตามทันที ส่งเหล็กหมาดแปดสิบเอ็ดเล่มพุ่งตรงไปยังหวังเป่าเล่อ!

“ขังเจ้านั่นไว้!” ชายหนุ่มประกาศก้อง ร่างมายาด้านหลังเผยสีหน้าดุร้ายในทันใด พวกเขาเปิดปากร้องคำรามขึ้นพร้อมกันจนเกิดระเบิดเป็นคลื่นเสียง พลังรัศมีน่าพรั่นพรึงปะทุออกจากเหล็กหมาดแปดสิบเอ็ดเล่ม แต่ละเล่มทับไขว้กันสร้างเป็นกรงขังขนาดใหญ่พุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อพร้อมกับพลังกดดัน!

รังสีสังหารจากเหล็กหมาดแปดสิบเอ็ดเล่มและภัยอันตรายที่คืบคลานเข้ามาทำให้ชายหนุ่มสามารถปล่อยหมัดที่ห้าได้!

ไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถปล่อยหมัดที่ห้าได้ หากแต่กำลังตื่นกลัวเหล็กหมาดเบื้องหน้าจนสูญเสียความมั่นใจในหมัดที่จะนำตนไปสู่ชัยชนะได้ไป!

กรงเหล็กหมาดพุ่งเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อ พลังกดต้านมหาศาลราวกับคลื่นยักษ์พลันปะทุพุ่งกดดันราวกับจะทำลายเขาให้ย่อยยับ!

นัยน์ตาหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบขณะตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เขาไม่คิดจะหลบหรือเรียกเกราะจักรพรรดิขึ้นมาเร็วเกินไป ชายหนุ่มหรี่ตาพร้อมกับยกมือขวาเรียกอาวุธเทพระดับแปดแบบใช้ได้ครั้งเดียวสามชิ้นออกมาห้อมล้อมตนไว้!

อาวุธเวททั้งสามชิ้นมีลักษณะคล้ายนาฬิกา แต่ละเรือนขยายขนาดใหญ่ไม่เท่ากันทันใดที่ปรากฏ ก่อนจะทับซ้อนคุ้มกันหวังเป่าเล่อไว้เป็นดั่งหินภูผาที่แม้แต่คลื่นยักษ์ก็ทลายไม่ได้ พลังกดดันจากอาวุธเวทพุ่งเข้าปะทะกับเหล็กหมาดแปดสิบเอ็ดเล่ม!

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเหล็กหมาดแปดสิบเอ็ดเล่มก็พุ่งปะทะกับอาวุธเวทระดับแปดแบบใช้แล้วทิ้งของหวังเป่าเล่อ!

“กันไม่ได้หรอก!” โจวชู่เต๋าร้องคำรามพร้อมกับก้าวไปด้านหน้า ทันใดที่เท้าลงแตะพื้น เสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังขึ้น

“การป้องกันไม่ใช่วิถีแห่งเต๋าของข้า!” จิตวิญญาณนักสู้ปรากฏขึ้นในแววตาชายหนุ่มใต้การคุ้มกันของนาฬิกา เขาผลักมือออกไปสองด้านพร้อมกับร้องคำรามเสียงทุ้ม

“จงระเบิด!”

ทันใดที่เสียงดังขึ้น นาฬิกาด้านนอกสุดก็สั่นไหวและระเบิดออก พลังกล้าแกร่งพัดกระจายไปทั่วทุกทิศก่อนจะบังเกิดเป็นมือที่มองไม่เห็นพุ่งเข้าใส่เหล็กหมาดที่ทะยานเข้ามาดั่งคลื่นยักษ์!

ยังไม่จบเพียงแค่นั้น!

จิตวิญญาณนักสู้ในตาของหวังเป่าเล่อลุกโชติช่วง เสียงของชายหนุ่มดั่งขึ้นอีกครั้งเมื่อสั่งให้เกิดการระเบิดตามมาอีกสองครั้ง นาฬิกาอีกสองเรือนระเบิดขึ้นพร้อมกันเสริมแรงปะทะให้กับการระเบิดครั้งแรกส่งมือที่มองไม่เห็นตะปบลงใส่เหล็กหมาดลงอย่างรุนแรง!

ราวกับว่าเขาต้องการเบิกทางจากกรงขังเหล็กหมาด!

การต่อสู้ในครั้งนี้ ทั้งสองได้ใช้คาถาและกลยุทธ์ในระดับยอดฝีมือของขั้นกำเนิดแก่นใน สามารถใช้เป็นกรณีศึกษาได้ หากคู่ต่อสู้ของทั้งสองเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนทั่วไปคงจะโดนกำราบไปนานแล้ว

แต่นั่นก็เป็นแค่เรื่องสมมติ จิตวิญญาณนักสู้ในตัวหวังเป่าเล่อลุกโชน โจวชู่เต๋าเองก็เช่นกัน เหมือนว่าเขาจะอ่านกลยุทธ์ของหวังเป่าเล่อออก ชายหนุ่มตั้งผนึกมือชี้ไปทางนาฬิกาทันทีที่มันระเบิดออกส่งมือที่มองไม่เห็นตะปบลง!

ทันใดนั้น เหล็กหมาดก็แปรเปลี่ยนจากกรงขังไปเป็นเกราะกำบัง!

เกราะกำบังรับแรงปะทะจากระเบิดพลีชีพของนาฬิกาทั้งสาม เกิดพลังกล้าแกร่งสั่นสะเทือนทั่วบริเวณทันทีที่ทั้งสองพลังเข้าปะทะกัน โจวชู่เต๋าหายใจระส่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เลือดสดกระอักออกขณะร้องคำรามลั่น

“หวังเป่าเล่อ เจ้าติดกับแล้ว…เก้าสมัย…ต้านพลัง!” เสียงของโจวชู่เต๋าดังขึ้นพร้อมกับพลังต้านทรงอำนาจที่พลันพวยพุ่งออกมาจากเกราะเหล็กหมาด พลังกล้าแกร่งจากการเหล็กหมาดที่พังทลายไปกว่าครึ่งผสานเข้ากับแรงระเบิดจากนาฬิกาพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อหมายจะกำจัดทิ้ง!

เหตุการณ์พลิกผันในทันใด หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม กระอักเลือดสดออกจากปาก ร่างเซถอยหลังอยู่กลางอากาศ มือขวาสูญเสียพลังจนกำหมัดไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มดูอ่อนแรงลงขณะที่กำลังกระอักเลือดออกมาไม่หยุด

ขณะเดียวกันก็เกิดคลื่นปะทะรุนแรงพัดกระจายไปทั่วทุกทิศส่งผลให้ภูผาสั่นไหว ผืนดินแตกออก วงแหวนปราณของเจ้าเยี่ยเหมิงถูกทำลายลงในพริบตา เป็นเหมือนดั่งลมแรงที่พัดกองใบไม้ปลิวหายไปหมด

เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าตื่นตกใจสุดขีด ทั้งสองโดนแรงปะทะพัดปลิวไปด้านหลังจนเสียการควบคุม กลุ่มผู้ฝึกตนที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ กระอักเลือดสดออกมาขณะหลบหนีออกจากพื้นที่ คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่สูญเสียกุญแจไปและไม่ปรากฏในแผนที่ พวกเขารีบหนีไปด้วยความหวาดกลัว มีสามคนในนั้นที่แม้จะทำท่าตื่นกลัวแต่ในสายตากลับเต็มไปด้วยความหิวกระหาย

หากเป็นเวลาอื่น พวกเขาคงไม่คิดชั่วร้ายเช่นนี้ แต่ตอนนี้หวังเป่าเล่อกำลังบาดเจ็บหนัก ผู้ฝึกตนไร้กุญแจทั้งสามคนพุ่งขึ้นฟ้าอย่างไม่ลังเลใจพร้อมกับปลดปล่อยพลังปราณ หนึ่งในนั้นอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย ส่วนอีกสองคนอยู่บนจุดสูงสุดของขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลาง ทั้งสามทะยานตรงไปหาหวังเป่าเล่อที่กำลังกระอักเลือดอยู่เต็มปาก!

พวกเขาหมายจะฆ่าหวังเป่าเล่อทิ้งและชิงกุญแจมา!

โจวชู่เต๋าขมวดคิ้ว แสงสว่างวาบขึ้นในสายตา เขาไม่คิดจะไล่ตามผู้ฝึกตนไร้กุญแจทั้งสามคนไป หากผู้แกร่งกล้าจากสหพันธรัฐตายลงด้วยน้ำมือของตนเองจะเป็นผลเสียต่อตนเองในอนาคต

หากไม่มีทั้งสามรอซุ่มโจมตีอยู่ ชายหนุ่มก็จะเป็นผู้โจมตีปิดฉาก แต่ไม่รุนแรงขนาดปลิดชีพได้ แค่เพียงจะแย่งกุญแจมาเท่านั้น

ขณะที่โจวชู่เต๋าตัดสินใจเลิกไล่ตามและสามศิษย์ผู้ละโมบจากสำนักวังเต๋าไพศาลเข้าโจมตี เสียงเย็นชาระคนความเสียดายของหวังเป่าเล่อที่เหมือนจะได้รับบาดเจ็บหนักจนไม่สามารถสู้ได้ก็ดังขึ้น

“ระยำจริง พวกเจ้าทั้งสามสมควรตาย!”

สิ้นคำ แววความอ่อนล้าจากร่างกายหวังเป่าเล่อก็พลันเลือนหาย ปราณกังวานจากหมัดที่ห้าแผ่ซ่านไปทั่วทั้งกำปั้น โจวชู่เต๋าตะลึงงันไป หัวใจเต้นระส่ำ!

ชายหนุ่มเพิ่งจะตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงเท่าที่คิด ร่างกายของหวังเป่าเล่อนั้นแปลกประหลาด สามารถฟื้นฟูสภาพได้อย่างรวดเร็ว หากไม่มีพวกบ้าสามคน โจวชู่เต๋าอาจจะต้องพบกับหมัดที่ห้าที่หวังเป่าเล่อเตรียมเอาไว้รอ!

ซึ่งจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่!

หวังเป่าเล่อเดือดดาลจากโอกาสที่เสียไป คลื่นปราณกังวานในมือจางหาย ขณะที่สามศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลกำลังถอยหนีด้วยความตื่นตกใจ ไฟเย็นยะเยือกก็ปรากฏขึ้นในแววตาขณะที่ชายหนุ่มชี้นิ้วไปทางหน้าผากของศิษย์ทั้งสาม!

ลักอัคคี!

ทั้งสามส่งเสียงกรีดร้องครวญครางผิดมนุษย์ ร่างกายพลันแห้งเหี่ยว พลังชีวิตถูกดึงออกมาในชั่วพริบตา พวกเขากลายเป็นศพเหี่ยวแห้งขณะร่วงหล่นลงพื้น ก่อนหวังเป่าเล่อจะหันไปมองโจวชู่เต๋าที่กำลังตื่นตกใจอยู่

“แม้ว่าข้าจะไม่ได้ปล่อยหมัดที่ห้าไป แต่เจ้าได้ตายไปด้วยหมัดนั่นในหัวของข้าแล้ว!”

“ใกล้จะถึงช่วงการเคลื่อนย้ายแล้ว…การต่อสู้…จะต้องจบลง ณ บัดนี้!” โจวชู่เต๋าสัมผัสได้ถึงภัยวิกฤติเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เขารีบตั้งผนึกมือคุมเกราะเหล็กหมาดพุ่งไปทางคู่ต่อสู้ ทันใดนั้นหวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้น!

เส้นปราณสีเลือดผุดขึ้นจากใต้ผิวหนังบนมือขวาก่อนจะแผ่ขยายออกไปทั่วร่างกาย!

ดูชั่วร้ายและไร้เทียมทาน!

สิ่งนั้นคือ…เกราะจักรพรรดิลักอัคคี!

บทที่ 568 ลับฝีมือ
เสริมพลังจากปราณกังวานอีกร้อยละเจ็ดสิบ!

หวังเป่าเล่อเอ่ยพูดขึ้นขณะที่ทั้งสองพุ่งเข้าหากัน กำปั้นและนิ้วมือเข้าปะทะกัน พลังปราณของทั้งคู่พวยพุ่งออกมาในทันใด สองพลังประสานรวมกันเป็นอานุภาพกล้าแกร่งที่สามารถทำลายล้างได้ทุกสิ่ง!

ท่ามกลางเสียงปะทะดังสนั่น เลือดสดไหลออกจากมุมปากของโจวชู่เต๋าที่กำลังล่าถอยไป ด้านหวังเป่าเล่อเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องสว่าง เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกับหัวเราะชอบใจ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปโจมตีโจวชู่เต๋าอีกครั้ง!

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเมื่อทั้งคู่เข้าปะทะกัน โจวชู่เต๋าถอยหลังไปจากแรงปะทะ หวังเป่าเล่อไม่ยั้งมือ พลังรัศมีของหวังเป่าเล่อผู้มาท้าสู้ทรงอำนาจมากยิ่งขึ้นขณะกำลังปลดปล่อยพลังปราณแกร่งกล้าพุ่งเข้าไปหาโจวชู่เต๋าอีกรอบ

“หมัดที่สี่!” เสียงแกร่งกล้าราวอัสนีสวรรค์ดังลั่นผสานเขากับพลังรัศมีที่แผ่พุ่งส่งให้ชายหนุ่มดูไร้เทียมทาน โจวชู่เต๋าหายใจถี่รัว สังหรณ์ใจว่าหากอีกฝ่ายยังสามารถเพิ่มพูนพลังขึ้นไปได้เรื่อยๆ เช่นนี้ หมัดที่ห้าซึ่งเป็นหมัดสุดท้ายคงจะทรงพลังขนาดสั่นสะเทือนฟ้าดินได้!

ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้! จิตวิญญาณนักสู้ในตาโจวชู่เต๋ายังไม่เลือนหายไป กลับลุกโชนโชติช่วงยิ่งกว่าเดิม เขาถอยหลังไปยกมือขวาตั้งขณะมือขณะอีกฝ่ายกำลังพุ่งเข้ามาใกล้ ทันใดนั้นแสงจันทราก็ส่องสว่างออกมาจากทรวงอก แสงจันทร์ส่องจ้า ชายหนุ่มตั้งผนึกมืออย่างต่อเนื่อง พลันแสงจันทราก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพดวงจันทร์มาปรากฏเบื้องหน้า!

แม้ดวงจันทร์จะส่องแสงสุกสว่าง แต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงความบริสุทธิ์ ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก เสียงแช่งสั่นคลอนประสาทดังออกมาจากภายใน

แสงแช่งฟังดูราวกับเป็นคำสาปอำมหิต!

“จันทราต้องสาป!” โจวชู่เต๋าร้องคำรามพร้อมกับหันผนึกมือชี้ไปทางหวังเป่าเล่อ ทันใดที่นิ้วชี้มา หวังเป่าเล่อก็ตื่นตะลึงไปเมื่อสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายที่ระเบิดออกภายในจิตใจ แต่ก็ไม่มีเวลาให้ชายหนุ่มได้ไตร่ตรองอะไรมาก เขาปรับสรีระจนอยู่ในท่วงท่าแปลกๆ ขณะกำลังทะยานพุ่งด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

ศิษย์เอกแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลที่ได้รับการยอมรับจากตู้กูหลินอย่างโจวชู่เต๋านั้นแกร่งกล้ากว่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทั่วไป แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณก็ยังไม่แน่ว่าจะล้มเขาลงได้หรือไม่

เสียงของโจวชู่เต๋าดังก้องพร้อมกับส่งนิ้วมือพุ่งทะยานไป หวังเป่าเล่อไม่สามารถหลบการโจมตีครั้งนี้ได้ทัน พลันแสงจันทราก็เข้าห้อมล้อม ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงที่มองไม่เห็น ภาพทับซ้อนของตนเองปรากฏขึ้น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่จันทรากำลังรวมแสงอย่างรวดเร็ว ภาพดวงจันทร์ที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าโจวชู่เต๋าก็โอบล้อมรอบศัตรู หวังเป่าเล่อในตอนนี้เหมือนได้กลายร่างเป็นจันทราไป!

หวังเป่าเล่อรู้สึกอ่อนแรงเมื่อโดนดวงจันทราห้อมล้อม ชายหนุ่มหายใจถี่รัว ตัวสั่นเทา หนังตาเริ่มหนักอึ้ง เกือบจะปิดตาหลับไป ความอ่อนเพลียกระจายไปทั่วร่างราวกับคลื่นยักษ์ ความรู้สึกอ่อนแรงที่สัมผัสถึงได้แปรเปลี่ยนตนไปเป็นคนธรรมดา!

อารมณ์ความรู้สึกปั่นป่วนไปหมด ความเศร้า ความสิ้นหวัง ความคิดอยากฆ่าตัวตาย ความรู้สึกด้านลบต่างๆ ผุดขึ้นในใจ!

พลังปราณของเขาก็ได้รับผลกระทบไปด้วย พูดให้ชัดเจนคือพลังในการควบคุมต่างหากที่ได้รับผลกระทบ ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มสามารถคุมพลังปราณของตนเองได้ดั่งใจนึก แต่พอได้รับความคิดด้านลบต่างๆ พลังในการควบคุมก็ลดทอนลงไปถึงครึ่ง!

นี่คือหนึ่งในไพ่ตายของโจวชู่เต๋า วิชาจันทราต้องสาป!

หากเป็นผู้อื่น ชายหนุ่มคงจะพุ่งเข้าไปสังหารในทันทีเพื่อไม่ให้เปลืองพลังปราณหรือสมบัติเวท แต่คู่ต่อสู้ของเขาคือหวังเป่าเล่อ แม้จะไม่เข้าใจในตัวอีกฝ่ายมากนัก แต่หลังจากประมือกันไม่นาน เขาก็ประเมินความสามารถของหวังเป่าเล่อได้ว่ามีฝีมือเทียบเท่ากับตู้กูหลิน!

โจวชู่เต๋าจะประมาทไม่ได้เมื่อพบกับคู่ต่อสู้เก่งกาจเช่นนี้ ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงเย็นยะเยือก แม้ว่าอีกฝ่ายจะได้รับผลกระทบจากจันทราต้องสาปอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปใกล้ เลือกที่จะหยิบเอารูปไม้แกะสลักออกมาจากกระเป๋าคลังเวท!

รูปแกะสลักสีดำปล่อยรัศมีเย็นยะเยือกทันทีที่หยิบออกมา เป็นรูปสลักของหมาล่าเนื้อที่มีแสงดุร้ายแฝงอยู่ในแววตา หมาล่าเนื้อกัดลิ้นของตนเองและบ้วนเลือดสดออกมากองหนึ่ง ทันใดนั้นพลังปราณมืดจำนวนมากก็แผ่พุ่งออกมา

เสียงคำรามดุร้ายดังสนั่นสั่นสะเทือนฟ้าดิน รูปสลักไม้พลันตื่นชีวิต กลายร่างเป็นหมาล่าเนื้อสีดำสูงสามสิบเมตร!

มันมีฟันแหลมคม นัยน์ตาเต็มไปด้วยความกระหายเลือด หมาล่าเนื้อร้องคำรามลั่นพร้อมกับพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ หมายจะกลืนกินคนตรงหน้า!

ภาพเบื้องหน้าเหมือนดัง…จันทรุปราคาที่มีหมาล่าเนื้อกำลังจะกลืนกินดวงจันทร์!

“จบแค่นี้แหละ เสียดายที่เจ้าไม่สามารถประกาศศักดาให้ผู้อื่นรู้ได้!” โจวชู่เต๋าหรี่ตาเล็กพร้อมกับเอ่ยขึ้นช้าๆ หมาล่าเนื้อพุ่งเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อ มันอ้าปากเตรียมจะกัดกินภาพจันทราและชายหนุ่มที่อยู่ภายใน!

คนที่เฝ้าดูอยู่รอบๆ รวมถึงกลุ่มผู้ฝึกตนนอกสนามทดสอบต่างตื่นกลัวจนตัวสั่น เหล่าพันธุ์กล้าเป็นกังวลใจหนัก!

ทันใดนั้น…เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้น!

หวังเป่าเล่อที่ถูกจันทราห้อมล้อมพูดขึ้นอย่างเสียดาย

“เสียดายจริงๆ ที่เจ้าไม่ยอมเข้ามาใกล้…”

ทันใดที่เสียงดังขึ้น มือที่สร้างขึ้นจากอัสนีก็ขยายใหญ่ออกมาจากด้านในจันทราต้องสาป รวดเร็วเสียจนพุ่งเข้าไปรับคมเขี้ยวของหมาล่าเนื้อแสนดุร้ายเบื้องหน้าในพริบตา!

อัสนีพลันบังเกิด คลื่นระเบิดกระจายไปทั่วทุกทิศส่งเสียงดังกึกก้อง พลังแกร่งกล้าพวยพุ่งออกมาจากจันทราต้องสาปในทันใด ก่อนจะทลายจันทราทิ้งพร้อมกับพุ่งตรงไปอัดอสูรร้ายตรงหน้า หมาล่าเนื้อล่าถอยไปพร้อมกับกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด จันทราต้องสาปถูกทำลายทิ้งลงในพริบตา โจวชู่เต๋าตื่นตกใจไป ในตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็พุ่งออกมาจากจันทราที่ทลายลงด้วยความเร็วเหนือชั้นกว่าครั้งก่อน เขาพุ่งเข้าไปใกล้ชายเบื้องหน้าด้วยความเร็วดุจดั่งสายฟ้าพร้อมกับต่อยหมัดตรงไป!

หมัดที่สี่!

เสริมพลังจากปราณกังวานอีกหนึ่งเท่าตัว!

หมัดที่ปล่อยออกไปแฝงด้วยพลังเสริมจากปราณกังวานที่มากกว่าเดิม เป็นดั่งคลื่นมรสุมทรงพลังกว่าครั้งก่อน หมัดของหวังเป่าเล่อในครั้งนี้นั้นแข็งแกร่งเป็นสองเท่าจากพลังกาย!

เป็นผลมาจากปราณกังวานที่ช่วยดันให้พลังปราณและพลังวิญญาณพุ่งทะลุเกินขีดจำกัด หมัดพุ่งตรงไปอัดเข้าอย่างจัง โจวชู่เต๋าหลบไม่พ้น ทำได้แค่ต้านทานสุดพลังที่มี เกิดเสียงดังสนั่น คนโดนต่อยกระอักเลือดออกมากองใหญ่ วัตถุเวทป้องกันกายพังทลายไม่มีชิ้นดี ทรวงอกถูกทะลวง มีเลือดพุ่งออกมาไม่หยุด เขาถอยหลังไปพร้อมกับความเดือดดาลที่ปะทุขึ้นในแววตา!

“อัสนีอวตาร!”

“ถูกต้อง!” หวังเป่าเล่อสร้างร่างอวตารขึ้นมาตอนตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน จันทราต้องสาปและหมาล่าเนื้อต่างพุ่งเข้าใส่ร่างอวตารของเขากันหมด ก่อนร่างอวตารจะระเบิดออก เผยร่างจริงของหวังเป่าเล่อที่ทะยานออกมาปล่อยหมัดที่สี่

หากโจวชู่เต๋าพลาดท่าเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อ การต่อสู้ในครั้งนี้คงจะจบไปแล้ว!

หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าใส่โจวชู่เต๋าระหว่างการสนทนา ชายหนุ่มแสนดุดันและไร้เทียมทาน มองเห็นได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังจะโดนกำราบสิ้น!

“ต่อไปเป็นหมัดสุดท้าย!” ความกระหายอยากต่อสู้พุ่งขึ้นสูง โจวชู่เต๋าร้องคำรามขึ้นขณะหวังเป่าเล่อพุ่งเข้าไปใกล้ ร่างที่กำลังถอยหนีพลันหยุดเคลื่อนไหว ดวงตาเริ่มแดงก่ำ สัมผัสปราณกังวานปะทุออกมาจากโจวชู่เต๋า!

“เจ้าจะไม่ได้ปล่อยหมัดสุดท้าย!” เขายกมือขวาขึ้นตั้งผนึกมือ เส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนใบหน้า พลังปราณสั่นไหวรุนแรง!

“เก้าสมัย…”

“ลวงสังหาร!”

ทันทีที่พูดจบ ร่างมายามากมายก็ปรากฏขึ้นจากกายาของโจวชู่เต๋า แต่ละร่างเป็นภาพของตนเอง ราวกับว่าชาติภพทั้งเก้าพลันปรากฏขึ้น เขาตั้งผนึกขึ้นพร้อมกับเหล่าร่างมายา พลังรัศมีที่ทำให้คนรอบข้างตัวแข็งทื่อด้วยความกลัวพลันปะทุขึ้น!

บทที่ 567 ล้มเจ้าด้วยห้าหมัด!
โจวชู่เต๋านึกสงสัยดาวดวงที่หกที่ปรากฏบนแผนที่ไม่ต่างกับตู้กูหลิน แม้จะไม่สามารถส่งข้อความเสียงในสนามทดสอบได้ แต่เนื่องจากตนเป็นศิษย์เอกของโยวหรันที่เป็นกลางระหว่างการสู้กันของเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรัน อีกทั้งยังนิสัยดี จึงทำให้มีเพื่อนฝูงมากมาย

ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงรู้ตัวตนของดาวดวงที่หกจากคนที่เสียกุญแจไป ถึงจะทราบมาเช่นนั้นก็ยังทำใจเชื่อไม่ได้ลง พอได้มาเห็นกับตาจึงเริ่มจะเชื่อตามนั้นขึ้นมาได้ ความเคร่งขรึมฉายชัดขึ้นในแววตา

โจวชู่เต๋ามองไปทางผู้ที่เพิ่งมาถึง หวังเป่าเล่อหยุดกลางอากาศพร้อมกับกุมกำปั้นขึ้นทักทายอีกฝ่าย

“สหายแห่งเต๋าโจว!”

“สหายแห่งเต๋าหวัง จำเป็นต้องสู้กันจริงๆ หรือ ฝีมือของเจ้า…อาจจะเทียบไม่เท่าข้า” ชายหนุ่มอยากจะโน้มน้าวให้หวังเป่าเล่อเลิกล้มความตั้งใจไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

หลังจากหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็พยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้น

“การต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพื่อตัวของข้า โปรดเข้าใจข้าด้วย สหายแห่งเต๋าโจว เชิญ….ลงมือได้”

“ทำไมเราต้องทำแบบนี้ด้วย…” โจวชู่เต๋าส่ายหัวพร้อมกับลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน พลังรัศมีรุนแรงขนาดสั่นสะท้านฟ้าดินแผ่ออกมาจากร่าง!

เกิดเสียงดังสนั่น พายุพลันปรากฏขึ้นรอบตัวโจวชู่เต๋า พายุหมุนกระจายวงกว้างออกไป สร้างลมปั่นป่วนทั่วบริเวณ มองดูไกลๆ เห็นเหมือนพายุหมุนจะก่อตัวกลายเป็นกระแสลมวนที่มีชายหนุ่มเป็นจุดศูนย์กลาง

พลังที่แผ่พุ่งออกจากร่างกายโจวชู่เต๋าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ขณะกระแสลมวนพัดกระหน่ำ ในชั่วพริบตาพลังนั่นก็แผ่พุ่งไปทั่วทิศทาง ผู้ฝึกตนหลายคนที่ยืนอยู่ใกล้รีบถอยหนีไปด้วยความตื่นตกใจ ทันใดนั้นเสียงของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ ณ จุดศูนย์กลางกระแสลมวงบนยอดเขาก็ดังขึ้น

“ศิษย์น้อง อย่าเข้ามาใกล้เกินกว่าสามเมตร ถ้าอยากดู ก็จงดูอยู่ไกลๆ!”

ขณะเดียวกัน เจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋าก็มาถึง พวกเขาได้ยินเสียงแข็งกร้าวของหวังเป่าเล่อ

“เยี่ยเหมิง ตั้งวงแหวนปราณ กงเต๋า กันบริเวณนี้ไว้ อย่าให้ใครเข้ามาขัดขวางการต่อสู้ของข้ากับโจวชู่เต๋า!”

เจ้าเยี่ยเหมิงพยักหน้าพร้อมกับหยิบเอาเข็มทิศขึ้นมากางวงแหวนปราณรอบยอดเขา วงแหวนปราณที่สร้างขึ้นมีกลไกใช้ป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาใกล้เพียงอย่างเดียว หวังเป่าเล่อรู้ว่ายังมีหลายคนแอบอยู่ภายในวงแหวนปราณแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เจ้าเยี่ยเหมิงเพียงแค่เหลือบตามอง ไม่ได้ยุ่งอะไรอีก

หลังจากกางวงแหวนปราณเสร็จและให้กงเต๋าคอยคุ้มกันรอบๆ หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้รีบรุดโจมตีในทันที แต่รอให้พลังรัศมีรอบตัวโจวชู่เต๋าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระแสลมวนกลายเป็นไต้ฝุ่นพร้อมจะฉีกกระชากทุกอย่าง เห็นดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงพูดขึ้น

“สหายแห่งเต๋าโจว จะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว มา…เริ่มกันเถอะ!” หวังเป่าเล่อมองโจวชู่เต๋า สายตาของทั้งคู่กลายเป็นกระบี่คมประกาศจิตวิญญาณพร้อมรบ!

พริบตาต่อมา โจวชู่เต๋าก็พาสายลมที่พัดกระจายไปรอบทิศทางพุ่งทะยานออกจากยอดเขา ชายหนุ่มเป็นดั่งเทพศักดิ์สิทธิ์ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงรังสีรุนแรงตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ทันจะเข้าใกล้ รัศมีแผ่พุ่งออกจากร่างเสียงดังส่งพลังรุนแรงทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า!

“หวังเป่าเล่อ เจ้าไม่คู่ควรเป็นศัตรูข้า!” เสียงกัมปนาทของโจวชู่เต๋าดังก้องกังวาน เป็นดังมือที่มองไม่เห็นและคลื่นปะทะเข้ากดดันหวังเป่าเล่อ

ภาพที่เห็นทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าตื่นตกใจไป คนที่แอบดูอยู่ภายในวงแหวนปราณหายใจถี่รัว แม้แต่เหล่าผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่กำลังจับตามองการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินอยู่ในลานกว้างก็ตื่นตะลึงไม่แพ้กันเมื่อได้เห็นพลังกล้าแกร่งที่แผ่ออกจากโจวชู่เต๋า

ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตกใจกัน หวังเป่าเล่อก็หัวเราะขึ้นพร้อมกับก้าวออกมาประจันหน้า เขาเป็นผู้ท้ารบ มิใช่ผู้ถูกท้า จึงไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับพลังรัศมีของอีกฝ่ายเป็นได้ ทันใดที่เท้าลงเหยียบพื้น ความกระหายอยากสู้รบอันแรงกล้าก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของชายหนุ่ม!

หวังเป่าเล่อกำมือขวาแน่น พลังกายตื่นขึ้นพร้อมๆ กับแก่นในสายฟ้าและแก่นในแห่งความมืด ผสานรวมกับความกระหายอยากสู้รบส่งพลังปราณและดวงจิตอันมุ่งมั่นสะท้อนก้องกังวาน!

ปราณกังวานที่ก้องออกมาบ่งบอกว่าหวังเป่าเล่อสามารถปลดปล่อยพลังเหนือความสามารถของตนได้ตามระดับของปราณกังวาน!

หากพลังที่แผ่พุ่งออกมาจากโจวชู่เต๋าเป็นดั่งคลื่นมรสุม หวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็เป็นเหมือนกับหน้าผาไร้เทียมทานที่คลื่นแกร่งกล้าไม่สามารถทำอะไรได้!

จะเปรียบเปรยชายหนุ่มเป็นหน้าผาก็คงจะไม่เหมาะ เพราะว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อได้แผ่พลังรัศมีทันทีที่เท้าลงเหยียบ ก่อนจะยกมือขวาต่อยโจวชู่เต๋าที่กำลังพุ่งเข้ามาหาในอากาศ!

ระเบิดกำเนิดดวงดารา!

เสริมพลังจากปราณกังวานอีกร้อยละสิบ!

ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกัน เป็นการสู้กันระหว่างพลังรัศมีและจิตอันแกร่งกล้า คลื่นปะทะพลันระเบิดออกส่งพลังพัดกระจายและเสียงกึกก้องดังไปทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อหัวเราะขึ้นเมื่อเห็นดังนั้น

“โจวชู่เต๋า ข้าจะล้มเจ้าด้วยห้าหมัด เมื่อครู่เป็นหมัดแรก ต่อไป…เป็นหมัดที่สอง!” ความกระหายการต่อสู้ในดวงตาชายหนุ่มลุกโชนขึ้นกว่าเดิม ผมยาวปลิวไสวกับความดุดันในแววตา ประกอบกับพลังรัศมีแกร่งอำนาจและความกล้าในการท้าสู้กับโจวชู่เต๋าอย่างเท่าเทียมทำให้ผู้อื่นต้องหวาดกลัว!

พูดจบ เขาก็ทะยานออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนดังดาวตกเปล่งแสงรัศมีแกร่งกล้าพุ่งเข้าใส่โจวชู่เต๋า ความเร็วของชายหนุ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แหวกอากาศว่างเปล่าส่งคลื่นเสียงดังก้อง เมื่อเข้าประชิด หมัดขวาก็พุ่งทะยานไปด้านหน้าเกิดแรงปะทะขนาดเขย่าฟ้าดิน!

เสริมพลังจากปราณกังวานอีกร้อยละสามสิบ!

“ประกาศออกมาเองหรือว่าจะสู้อย่างไร น่าสนใจดี! ถ้าเจ้าทำได้ตามที่พูดก็จะเป็นการแสดงให้ทุกเห็นถึงความยอดเยี่ยมของเจ้าโดยใช้ข้าเป็นตัวอย่าง มาดูกันว่าเจ้าจะใช้ข้าประกาศศักดาได้จริง หรือว่า…จะล้มเหลวไม่เป็นท่าไป!”

ดวงตาของโจวชู่เต๋าฉายแสงวาบ ปราศจากความดูหมิ่นในแววตา พลังรัศมีปะทุออกจากกาย สัมผัสได้ถึงความเฉียบคม ตู้กูหลินยกย่องชายหนุ่มในเรื่องนี้

โจวชู่เต๋ายกมือขวาขึ้นตั้งผนึกมือและชี้นิ้วขึ้นขณะพูด ทันใดนั้นลูกไฟสีม่วงก็ปรากฏขึ้นบนนิ้วก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงและกลายเป็นทะเลเพลิงล้อมรอบกายในทันใด ทันทีที่หมัดของหวังเป่าเล่อพุ่งตรงเข้ามา ทะเลเพลิงที่ห้อมล้อมชายหนุ่มอยู่ก็กลายสภาพเป็นกะโหลกอสูรเพลิงขนาดใหญ่!

อสูรเพลิงมีลักษณะเหมือนกิเลนที่บรรยายไว้ในตำนานของสหพันธรัฐ หัวกิเลนพุ่งไปปะทะกับหมัดที่สองของหวังเป่าเล่อจนเกิดเสียงดังสนั่น

เสียงปะทะดังไปทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม ปราณโลหิตในกายปั่นป่วน หัวกิเลนที่สร้างขึ้นจากทะเลเพลิงแตกออก เผยให้เห็นโจวชู่เต๋าที่แววตาเต็มไปด้วยความกระหายการต่อสู้แบบเดียวกัน เขาตั้งผนึกมือ ปราณโลหิตในกายปั่นป่วน

“เหล็กหมาดสุญ!” โจวชู่เต๋ายกมือขวาขึ้นโบก ดวงตาฉายแสงวาบ รอบตัวหวังเป่าเล่อพลันปรากฏรอยแตกเก้าแห่ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเหล็กหมาดสีม่วงเก้าเล่มพุ่งตรงเข้าใส่!

เหล็กหมาดแต่ละเล่มปล่อยพลังระดับเดียวกันกับผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย พลังรวมกันของทั้งเก้าเล่มแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ยังต้องตื่นตกใจ!

โจวชู่เต๋าไม่ได้หยุดนิ่งหลังจากปล่อยเหล็กหมาดสุญ เขาพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับชี้นิ้วเปล่งแสงเปลวเพลิงไปที่หน้าผากของหวังเป่าเล่อ!

หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังที่แผ่พุ่งออกมาแต่ก็ไม่ได้ถอยหนี ไม่ได้ใช้กระบวนเวทเกราะจักรพรรดิมาป้องกันตนเสียด้วยซ้ำ ก็เหมือนกับที่โจวชู่เต๋าพูด ชายหนุ่มจะแค่ล้มอีกฝ่ายลงไม่ได้ แต่ต้องใช้ศึกครั้งนี้ในการประกาศศักดาของตนเอง!

เขาโบกมือขวาส่งแถบผ้าจากกระเป๋าคลังเวทออกมาพันล้อมรอบตัวเพื่อกันเหล็กหมาดทั้งเก้าเล่ม เสียงกัมปนาทของชายหนุ่มดังขึ้นขณะกำหมัดขวาพุ่งทะยานไปด้านหน้า!

“สหายแห่งเต๋าโจว นี่…คือหมัดที่สาม!”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท