หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1069

ตอนที่ 1069

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1068 โชคใหญ่
เมื่อสมองมู่เฉินปลอดโปร่งขึ้นใหม่อีกครั้ง

ภาพแรกที่อยู่ในครรลองสายตาก็คือสุสานสักการะเทพที่วินาศสันตะโร โดยมีหุบเหวลึกกระจายบนพื้นดิน ทำให้มู่เฉินรู้สึกหวาดผวานัก

หากไม่ได้รับการปกป้องจากแท่นบูชาพวกเขาทุกคนคงสลายกลายเป็นอากาศธาตุจากการสู้รบที่น่ากลัวนี้แล้ว

“ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงดังสะท้อนออกมา มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงก็เห็นราชีนีวิหคอมตะมองเขาด้วยรอยยิ้มบางจาง

มู่เฉินลูบหัวตัวเองปอยๆ ซึ่งยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดอยู่ก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ที่แท้ความรู้สึกในการควบคุมกองทัพที่ทรงพลังเกินไปสำหรับกำลังตัวเองเป็นแบบนี้นี่เอง”

มู่เฉินรู้สึกสยองเพียงแค่นึกถึงรัศมีจั้นยี่ เมื่อเขายืมกำลังบัญชาการรัศมีจั้นยี่ของกองทัพอสูรสวรรค์ เขาก็สัมผัสได้ว่าหากรัศมีจั้นยี่นั้นกระเพื่อมไหวแม้เพียงน้อยนิด ก็จะสามารถทำลายล้างเขาได้อย่างสมบูรณ์

“ในฐานะจั้นเจิ้นซือ การสัมผัสถึงรัศมีจั้นยี่ทรงพลังของกองทัพล่วงหน้าจะเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าในการทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับรัศมีจั้นยีในอนาคต” ราชันปักษาวิญญาณยิ้มเล็กน้อย เมื่อมองมู่เฉินดวงตาของเขาก็มีแววชื่นชม เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกประหลาดใจที่เห็นมู่เฉินสามารถปล่อยการโจมตีรุนแรงได้

มู่เฉินพยักหน้าเพราะนี่เป็นเรื่องจริง แม้ว่าจะอันตรายมากสำหรับเขาในการสั่งการรัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลัง แต่ก็เป็นโอกาสเช่นกัน หากเขาพบสถานการณ์ที่คล้ายกันในอนาคตหรือครอบครองกองทัพทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ เขาก็จะไม่มีสภาพน่าสมเพชเหมือนวันนี้เนื่องจากผ่านประสบการณ์มาแล้ว

“มู่เฉิน เจ้าเป็นอะไรไหม?” จิ่วโยวพลิ้วเข้ามาหยุดลงข้างๆ มู่เฉิน ดวงตาอัดแน่นด้วยความกังวล

มู่เฉินส่ายหัวกวาดสายตาไปรอบๆ ก็พบว่ายามนี้กลุ่มอื่นๆ ออกไปแล้ว มีเพียงจิ่วโยวที่ยังคงรออยู่ที่นี่

“ทุกคนออกกันไปหมดแล้ว พวกมั่วเฟิงข้าก็ให้พวกเขาออกไปก่อน” จิ่วโยวบอก ในเมื่อสุสานสักการะเทพเสียหายจนถึงจุดนี้ กลุ่มอื่นๆ ก็พุ่งความสนใจไปที่พื้นที่โดยรอบและดูว่าจะสามารถหาสมบัติล้ำค่าได้อีกหรือไม่ ขณะที่นางกังวลเกี่ยวกับมู่เฉิน นางจึงเลือกอยู่ที่นี่ต่อ

มู่เฉินพยักหน้าแล้วกำมือก็ต้องอึ้งไปเมื่อพบว่าตราประทับหินกองทัพอสูรสวรรค์แตกเป็นผุยผงแล้วปลิวไปในสายลม

“นี่…” มู่เฉินรู้สึกปวดร้าวใจกับภาพนี้ นี่คือป้ายบัญชาการกองทัพอสูรสวรรค์นะ!

“กองทัพอสูรสวรรค์ตายไปตั้งแต่ต้นแล้ว ก่อนหน้าได้สูญเสียพลังทุกหยด ป้ายนี้ก็เสียการปกป้องจากรัศมีจั้นยี่ จึงไม่ต่างจากของไร้ประโยชน์น่ะ” ราชินีวิหคอมตะถอนหายใจเบาๆ

มู่เฉินเจ็บแปลบในหัวใจตาพร่าไปหมด แม้จะเป็นขุมกำลังสูงสุดในมหาพันภพ วัตถุเช่นนี้ก็ถือได้ว่าเป็นสมบัติยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถประเมินค่าได้

ทว่าสมบัติล้ำค่าเช่นนี้กลับกลายเป็นขี้เถ้าในมือเขา ทำให้เขารู้สึกยากที่จะยอมรับ

แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไร้ประโยชน์ไม่ว่าเขาจะรู้สึกเสียดายมากแค่ไหนก็ตาม มู่เฉินถอนหายใจแล้วจ้องมองราชินีวิหคอมตะ ท่าทางเขาดูเหมือนว่าจะพูดอะไร แต่ก็อมพะนำไว้

เมื่อราชินีวิหคอมตะเห็นก็ส่ายหัวอย่างนึกสนุกและโมโหในเวลาเดียวกัน “วางใจเถอะ ในเมื่อข้าสัญญาไปแล้ว ข้าก็จะไม่คืนคำพูด”

พอมู่เฉินได้ยินคำพูดของนางก็รู้สึกโล่งใจมาก แม้ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ดีที่เขาสามารถอยู่รอดได้ในการต่อสู้ใหญ่ แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าโชคก้อนใหญ่ที่มอบให้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะมากเกินไป

เมื่อจบคำพูด ราชินีวิหคอมตะก็มองไปที่ราชันปักษาวิญญาณและราชันอสูรไร้พิรุณ ทั้งสองต่างผงกหัวจากนั้นก็สร้างตราประทับขึ้นในมือเวลาเดียวกัน ริ้วแสงแวววาวเปล่งออกมาจากร่างของพวกเขาค่อยๆ ห่อหุ้มมู่เฉินเอาไว้

“โชคลาภไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ้าต้องไปกับพวกข้า” ราชินีวิหคอมตะเอ่ยขึ้น

มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะชี้ไปที่จิ่วโยวอย่างรวดเร็ว “ผู้อาวุโสช่วยพานางไปด้วยได้ไหม?”

เขาจะรู้สึกยินดีถ้าจิ่วโยวได้รับโชคด้วยกัน เนื่องจากพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน

เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดของมู่เฉินก็อึ้งไปก่อนจะรู้สึกขอบคุณจากหัวใจ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมแบ่งปันโชคลาภที่พวกเขาได้รับหลังจากเสี่ยงชีวิตมาหรอก

ราชินีวิหคอมตะก็ประหลาดใจไป นางมองไปที่จิ่วโยว ในดวงตาก็ปรากฏแววอ่อนโยน ชัดว่ารู้สึกถึงสายเลือดที่มาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน

“ในเมื่อเจ้ามาจากเผ่าวิหคโลกันตร์ นั่นก็หมายความว่าเจ้าเป็นลูกหลานของข้า ดังนั้นไม่ว่าจะยังไงโชคชะตาเลือกให้เจ้าอยู่ที่นี่ สมบัติแห่งดินแดนเสินโซ่นี้จะมอบให้กับเจ้าสองคน” ราชินีวิหคอมตะพยักหน้าเบาๆ

มู่เฉินและจิ่วโยวดีใจมาก รีบประสานมือคารวะอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณผู้อาวุโส”

ตราประทับของราชันทั้งสามเปลี่ยนแปลงวูบไหว ริ้วแสงค่อยๆ ห่อหุ้มมู่เฉินและจิ่วโยว หลังจากนั้นแสงก็รุนแรงมากขึ้น ทำให้เกิดมิติเหลื่อมซ้อนก่อนที่จะพาทั้งสองหายไป

เมื่อแสงจางหาย แท่นบูชาก็ว่างเปล่าเหลือเพียงรัศมีโบราณที่ยังไหลวนไปทั่วบริเวณ

แสงเข้มข้นคงอยู่ไม่กี่อึดใจ

ก่อนที่มู่เฉินจะเปิดตาขึ้น จากนั้นภาพที่เบื้องหน้าก็ทำให้สีหน้าของเขาแข็งค้าง

ภาพที่ปรากฏคือมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลที่มีสีแดงสดราวกับห้วงน้ำโลหิต แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดคือไม่มีกลิ่นคาวเลือดเล็ดลอดออกมาสักนิด

ในมหาสมุทรสีแดง ร่างสัตว์อสูรจำนวนมากโจนตัวขึ้นมาเป็นครั้งคราว ภาพนี้ทำให้มู่เฉินและจิ่วโยวตะลึงงัน เนื่องจากพวกเขาค้นพบว่ารูปร่างของสัตว์อสูรเหล่านั้นคือเทพอสูรที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณ…

นอกจากนี้มู่เฉินและจิ่วโยวยังสามารถสัมผัสได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัวสุดจะพรรณนาในมหาสมุทรสีแดงเข้ม ซึ่งทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังรู้สึกว่าหนังหัวชาดิกไปหมด

“มหาสมุทรแห่งนี้บรรจุไปด้วยแก่นโลหิตเทพอสูรมากมาย!” จิ่วโยวอุทาน ตัวนางเป็นเทพอสูรด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงรู้สึกถึงความลึกซึ้งของมหาสมุทรสีแดงสดได้

มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่ม่านตาจะหดเกร็ง เนื่องจากเขานึกถึงสุสานอสูรโบราณโภคะ หลุมดำลึกลับที่นำไปสู่สถานที่ที่ไม่รู้จัก เป็นไปได้ไหม…ที่แก่นโลหิตของอสูรโบราณโภคะจะถูกรวบรวมมาอยู่ที่นี่?

แก่นโลหิตเทพอสูรที่ละสังขารในสุสานหมื่นอสูรทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่ใช่หรือไม่?

เมื่อคิดถึงจุดนี้ มู่เฉินก็สูดหายใจเอาอากาศเย็นเข้าลึก เพียงแค่แก่นโลหิตของเทพอสูรชั้นยอดตัวเดียวก็สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างร่างคนคนหนึ่งได้เลยทีเดียว นี่จะน่ากลัวขนาดไหนสำหรับการรวบรวมแก่นโลหิตจำนวนมากไว้ที่นี่?

“ย้อนกลับไปตอนที่เผ่าปีศาจต่างมิติรุกรานเข้ามายังดินแดนเสินโซ่ สงครามทำให้จอมยุทธ์ส่วนใหญ่ของดินแดนนี้ล้มหายตายจาก”

“แต่พวกปีศาจก็จ่ายราคาแพงระยับสำหรับสงครามครั้งนั้นด้วยจอมพลทั้งห้าและนักรบอื่นๆ อีกมากมาย แต่ว่าพวกปีศาจเหล่านั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่งโดยเฉพาะพวกจอมพล แม้ว่าพวกมันจะสิ้นใจตายอยู่ในสุสานหมื่นอสูร แต่ก็ได้สามารถสร้างค่ายกลปีศาจก่อนที่จะตาย สกัดแก่นโลหิตของจอมยุทธ์เทพอสูรที่ละสังขารทั้งหมดมารวมกันเพื่อพยายามที่จะชุบชีวิตด้วยแก่นโลหิต” ราชินีวิหคอมตะมองดูมหาสมุทรสีแดงสดขณะที่ค่อยๆ อธิบาย

ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป ที่แท้มหาสมุทรแห่งนี้ก็เป็นผลงานของเผ่าปีศาจต่างมิติ…

“แต่เราค้นพบแผนการซะก่อน ดังนั้นจึงยอมเล่นตามน้ำกับพวกมัน พวกเราใช้ปณิธานที่หลงเหลืออยู่ในเลือดของเหล่าเทพอสูรมาระงับโครงกระดูกของห้าจอมพลปีศาจ ทำให้พวกมันไม่มีโอกาสพลิกตัวได้” ราชันปักษาวิญญาณเอ่ยต่อ

“พวกเราเรียกมหาสมุทรแห่งนี้ว่า ‘มหาสมุทรเทพสร้าง’ ซึ่งสร้างขึ้นจากจอมยุทธ์จำนวนมากมายของดินแดนเสินโซ่ พลังที่บรรจุอยู่ภายในนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังต้องปฏิบัติด้วยความเคร่งครัด”

มู่เฉินและจิ่วโยวพยักหน้าหงึกหงัก แม้แต่วิญญาณยังสั่นสะท้านเมื่อมองมหาสมุทรแห่งนี้ ขนาดและพลังเกินกว่าสิ่งใดๆ ที่พวกเขาเคยพบ

พลังแก่นโลหิตเทพอสูรมีผลในการชำระไขกระดูก เปลี่ยนกระดูก ปรับคลื่นพลังงาน เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายและส่งผลอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นแก่นโลหิตเทพอสูรจึงถือว่าเป็นยาชูกำลังที่หาได้ยากยิ่งทั้งสำหรับมนุษย์และสัตว์อสูร

ดังนั้นหากพวกเขาสามารถฝึกฝนได้ที่นี่ มู่เฉินก็ไม่สามารถจินตนาการได้ว่าตนเองจะได้รับผลมากเพียงใด

“นี่ยังไม่ได้เป็นส่วนที่น่าดึงดูดที่สุดนะ…” ขณะที่มู่เฉินและจิ่วโยวตกตะลึงกับมหาสมุทรเบื้องหน้า ราชินีวิหคอมตะก็ยิ้มบาง

ม่านตาของมู่เฉินและจิ่วโยวหดแคบลง มหาสมุทรเทพที่สามารถสร้างยอดยุทธ์นับไม่ถ้วนยังไม่ใช่จุดที่น่าดึงดูดที่สุดเหรอ?

ราชินีวิหคอมตะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพูดต่อ “ลองสัมผัสดูสิ”

มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันก็ต่างเห็นแววสับสนของกันละกัน แต่ทั้งสองก็ยังหลับตาเพื่อพยายามรู้สึกถึงบางสิ่ง หลังจากนั้นไม่นานก็เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ

“เวลาที่นี่…ไหลช้ามาก!”

ทั้งสองคนฉายความตกตะลึงในสายตา พวกเขารู้สึกได้ว่าเวลาที่นี่ช้ากว่าโลกภายนอกมาก นั่นก็หมายความว่ากฎของที่นี่เปลี่ยนแปลงไป

การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งที่เกินความเข้าใจทั้งสอง อาจมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้

“เวลาที่นี่ช้ากว่าโลกภายนอกประมาณสี่เท่า นั่นก็หมายความว่าการเพาะบ่มที่นี่ครึ่งปีเท่ากับภายนอกสองปีน่ะ…” ราชินีวิหคอมตะกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

ดวงตาของมู่เฉินและจิ่วโยวเป็นประกายวูบวาบ พวกเขารู้ว่าหากความลับของสถานที่นี้รั่วไหลออกไป แม้แต่ขั้วอำนาจในมหาพันภพก็ต้องเข่นฆ่าเพื่อแย่งชิงสถานที่แห่งนี้

นั่นเป็นเพราะดินแดนนี้เทียบเท่ากับสถานที่เพาะบ่มจอมยุทธ์

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปาก เขากวาดมองมหาสมุทรด้วยดวงตาโชนแสง เขารู้ว่าโชคลาภนี้ก้อนใหญ่จริงๆ

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1099 ขุดหลุมพราง
ตู้ม!

หมัดมังกรทองกวาดข้ามขอบฟ้าพุ่งชนกับกรงเล็บดำของเซี่ยหง เวลานั้นทั่วทั้งผืนดินก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น คลื่นกระแทกที่มองเห็นด้วยตาเปล่าแผ่ระลอกออกมาโดยมีเซี่ยหงอยู่ตรงกลาง เมฆฝุ่นยกตัวขึ้น

ผืนดินพังทลาย

แสงสีทองและสีดำเขมือบกันอย่างไม่มีใครยอมใคร คลื่นลูกแล้วลูกเล่าระเบิดออกทั่วพื้นที่ ในที่สุดภายใต้สายตาของฝูงชนคลื่นหลิงก็สลายลง ขณะเดียวกันทุกสายตาก็พุ่งตรงไป

ลมพายุกวาดข้ามขอบฟ้าทำเกิดเมฆฝุ่นขึ้น เมื่อทิวทัศน์บนลานประลองชัดเจนขึ้น ทุกคนก็เห็นเซี่ยหงยืนในท่าเดิม ไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้าแต่ดวงตากะพริบด้วยไอโหดเหี้ยม

ทุกคนพุ่งความสนใจมาที่เซี่ยหงที่ยืนนิ่ง ราวกับว่าผลกระทบยิ่งใหญ่จากการปะทะไม่สามารถทำให้เขาสั่นไหวได้ แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่ได้เผยิบผยาบจากคลื่นกระแทก

ทว่ามีคนที่มีสายตาแหลมคมมองไปที่บัลลังก์สีทองด้านหลัง

เมื่อลมพัดวูบหนึ่ง บัลลังก์มั่นคงก็กลายเป็นเถ้าถ่านปลิวออกไปในสายลม

ผู้ชมดวงตาหดเกร็ง แม้ว่าหมัดของมู่เฉินไม่ได้สร้างภัยคุกคามกับเซี่ยหงมากนัก แต่ก็สามารถทะลวงแนวป้องกันและทำลายบัลลังก์ที่อยู่ข้างหลังสลายเป็นอากาศธาตุ

มู่เฉินกำลังแสดงอำนาจด้วยหมัดลุ่นๆ หมัดนี้

นอกจากนี้วิธีการขู่ของเขาดูเหมือนว่าจะได้ผลดีเลยทีเดียว อย่างน้อยหลายคนแววตาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเมื่อมองไปที่มู่เฉิน ทุกคนบอกได้ว่าแม้ขุมพลังของเขาจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น แต่พลังที่มีก็เกินกว่าที่มองเห็นภายนอกไปไกล

“เจ้านี่มีความสามารถมากนะเนี่ย” มู่ซันยิ้มขณะที่ดวงตาหรี่ลง เขากับเซี่ยหงขุ่นเคืองกันหลายเรื่อง ดังนั้นเขารู้สึกเพลิดเพลินที่เซี่ยหงโดยกดขี่โดยธรรมชาติ

“ช่างเป็นเรื่องไม่คาดคิด…แต่เซี่ยหงคงจะระวังมากขึ้น การที่เขาจริงจังก็ไม่ง่ายที่จะรับมือ” ชิ้งหย่าตอบด้วยรอยยิ้ม

มู่ซันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของชิ้งหย่า เขาและเซี่ยหงต่อสู้กันมาหลายปี แต่เขาก็ยังไม่เคยได้เปรียบ มากจนแม้แต่อยู่ต่ำกว่าในทำเนียบอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเซี่ยหงที่จริงจังรับมือยากลำบากเพียงใด แม้ว่ามู่เฉินจะดูไม่เคี้ยวง่าย แต่ก็เร็วไปที่จะบอกถึงผู้ชนะคนสุดท้าย

ภายใต้เสียงกระซิบทั้งหมด เซี่ยหงเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ มองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาเย็นชาราวกับใบมีด ก่อนที่จะถอนฝ่ามือออกพูดไม่แยแสว่า “ไม่เลว”

เขาต้องยอมรับความจริงว่ามู่เฉินสามารถผ่าแนวป้องกันของเขามาได้

“ตอนแรกข้าคิดว่าการต่อสู้วันนี้คงน่าเบื่อ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่แย่เหมือนอย่างที่คิดไว้” เซี่ยหงเดินขึ้นหน้า ขณะที่ความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวเพิ่มขึ้นไปในระดับใหม่ เดินไม่กี่ก้าวทั้งลานประลองก็ถูกห่อหุ้มด้วยแรงกดดัน ซึ่งทำให้สีหน้าของผู้เฒ่าไป๋ ถานชิวและผู้บัญชาการสือซีดขาวลง คลื่นพลังในร่างก็เหมือนหมุนเวียนช้าลง

นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าของแท้!

สายตาแหลมคมของเซี่ยหงมองตรงไปที่มู่เฉิน เสียงน่าขนลุกเอ่ยว่า “แต่ถ้าแกมีความสามารถเท่านี้ก็อย่าหวังว่าจะออกจากที่นี่ไปได้”

ทันทีที่เซี่ยหงพูดจบ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตอีกสายก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้แรงกดดันคลื่นพลังที่ก่อตัวไว้โดยเซี่ยหงกระจัดกระจายหายไป

ดวงตาของเซี่ยหงหดลง จากนั้นก็หันกลับไปมองอย่างช้าๆ จ้องมองที่จิ่วโยวที่ปลดปล่อยพายุคลื่นหลิงแผ่ไปรอบตัว

จิ่วโยวมองเซี่ยหงกลับด้วยสายตาเย็นชา เพลิงโปร่งใสลุกโชนอยู่ในมือ พร้อมกับอารมณ์เย็นเยือก ทันใดนั้นนางก็ชี้นิ้วออกมา เพลิงโปร่งใสกลายเป็นลำแสงซัดใส่เซี่ยหง

ฟิ้ว!

ทว่าเมื่อลำแสงพุ่งออกมา เกลียวสีเทาก็แล่นแปลบปลาบที่เบื้องหน้าเซี่ยหง ชายชราชุดเทาเผยตัวขึ้น ฝ่ามือแห้งเหี่ยวกำลำแสงเอาไว้ คลื่นหลิงทรงพลังพล่านออกมาจากฝ่ามือดับลำแสงเพลิงลง

“ฮ่าๆ ในเมื่อองค์ชายเลือกเหยื่อแล้ว ก็อย่าเข้ามาขวางหูขวางตาดีกว่านะ” หวังกงยิ้มตาหยีขณะปัดลำแสงเพลิงออกไป

เมื่อมองไปที่หวังกง สายตาของจิ่วโยวก็มืดครึ้มลง นางรู้สึกได้ถึงพลังหยินเยือกเย็นรอบตัวตาเฒ่าคนนี้ที่ทรงพลังมาก ดูเหมือนว่าชายคนนี้อีกก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ความแข็งแกร่งของเขาไปไกลเกินกว่าขั้นเก้าทั่วไป

วาบ!

เสียงลมกรูกันออกมาด้านหลังลานประลอง ร่างคนสิบกว่าคนพุ่งออกจากล้อมกรอบลานประลอง ปิดล้อมกลุ่มของจิ่วโยวจากระยะไกลและตัดเส้นทางการถอยหนีทุกช่อง

ผู้บัญชาการทั้งสามเมื่อเห็นร่างเงาเหล่านั้น สีหน้าก็อดเปลี่ยนแปลงโดยควบคุมไปไม่ได้ เนื่องจากพบว่าในกลุ่มคนนั้นมีจอมยุทธ์สี่คนอยู่ในขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ที่เหลือก็อยู่ในขั้นเจ็ดขั้นแปดแล้ว

การรวมตัวของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าพวกเขามากนัก

ขณะนี้ทั้งพื้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนักรบแคว้นเซี่ย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะล่าถอยไปอย่างราบรื่น

“ในเมื่อมาแล้ว ก็สายเกินไปที่จะหนีนะ”

เซี่ยหงคลี่รอยยิ้มบางจาง ก่อนจะสำรวจเรือนร่างเพรียวบางของจิ่วโยว จากนั้นก็ยกสายตาไปที่หลินจิ้งด้วยความปรารถนาพล่านในดวงตา จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ “แต่การต่อสู้แบบนี้น่าเบื่อเสียจริง เรามาวางเดิมพันกันไหมล่ะ?”

มู่เฉินมีสีหน้าสงบนิ่งเมื่อได้ยิน เห็นชัดว่าเขาไม่สนใจ

แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกไป ดวงตาของหลินจิ้งก็สว่างวาบ นางถามด้วยความสนใจ “เดิมพันอะไร?”

“พนันว่าใครจะชนะระหว่างเขากับข้า?” เซี่ยหงชี้ไปที่มู่เฉินจากนั้นก็พูดต่อด้วยรอยยิ้มตาหยี “ถ้าข้าแพ้ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าไปพร้อมกับมอบอาวุธเสมือนมหสวรรค์สามชิ้นเป็นของกำนัล”

เมื่อผู้ชมโดยรอบได้ยินน้ำเสียงของเซี่ยหงก็อดอุทานไม่ได้ อาวุธเสมือมหสวรรค์สามชิ้น เซี่ยหงช่างฟุ่มเฟือยจริงๆ…

“ถ้าเจ้าชนะล่ะ?” หลินจิ้งถามพลางกะพริบตาวิบวับ

“งั้นก็ขอให้สาวงามทั้งสองมาแนบกายไง” เซี่ยหงยิ้ม

หลินจิ้งจือปากหัวเราะเบาๆ “พวกข้าสองคนมีค่าเพียงอาวุธเสมือนมหสวรรค์สามชิ้นเองหรือ? องค์ชายแห่งราชวงศ์เซี่ยขี้เหนียวจริง”

เซี่ยหงอึ้งไปก่อนจะเลิกคิ้ว “งั้นเจ้ามีข้อเสนออะไรล่ะคนสวย?”

หลังจากคิดครู่หนึ่งหลินจิ้งตอบแบบสบายๆ “เขียนใบรับรองลูกหนี้แล้วก็ประทับตราไว้ ถ้าเจ้าแพ้จะเป็นหนี้ของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดกับข้า”

โอ้!

ผู้ชมขากรรไกรอ้าค้างเมื่อนางพูดจบ แม้แต่เซี่ยหงก็อดใบหน้ากระตุกไม่ได้ ของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดอาจทำให้คลังของแคว้นเซี่ยว่างเปล่าเลยนะ

ของเหลวร้อยล้านหยดนี้สามารถซื้ออาวุธมหสวรรค์ของจริงได้เลยทีเดียว!

เซี่ยหงใบหน้าแข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแห้ง “แม่นางน้อยคำพูดนี่เกินจริงไปหน่อยนะ นอกจากนี้พูดอย่างไม่เกรงใจ ต่อให้ข้าเขียนใบรับรองลูกหนี้ให้เจ้า ข้าเกรงว่าเจ้าก็ไม่สามารถได้รับของเหลวจื้อจุนจากแคว้นเซี่ยแม้แต่หยดเดียว”

คำพูดของเขาเป็นความจริง หากใครก็ตามที่ถือใบรับรองลูกหนี้ไปอ้างสิทธิ์กับแคว้นเซี่ย บิดาของเขาอาจจะบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่างูที่พยายามจะกลืนช้างเป็นอย่างไร รนหาที่ตาย…

แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ไม่สามารถนำของเหลวจื้อจุนปริมาณเท่านั้นออกจากแคว้นเซี่ยไปได้

เมื่อหลินจิ้งได้ยินคำพูดนั่นก็เบ้ปากออก “ถ้าใจไม่ถึงก็อย่าพนันตั้งแต่ต้นสิ สู้กันตามปกติ ให้เสียเวลาไปเล่นๆ”

ครั้นได้ยินน้ำเสียงของหลินจิ้งที่อัดแน่นด้วยอาการดูถูก เซี่ยหงก็ขมวดคิ้วก่อนจะยิ้มกว้าง “ก็ได้ ในเมื่อแม่นางน้อยสนใจเรื่องนี้มาก งั้นข้าว่าตามเจ้าแล้วกันนะ!”

พูดจบเขาก็หยิบม้วนกระดาษทองคำออกมา นิ้วตวัดไปมาสลักลงไปด้วยคลื่นหลิง จากนั้นก็หยดเลือดสร้างรอยประทับเป็นอันเสร็จขั้นตอน

พอเรียบร้อยแล้วเซี่ยหงก็ยิงม้วนกระดาษทองคำเข้าในสิงโตหินในลานประลอง

“ถ้าข้าแพ้ พวกเจ้าก็เอามันไปเลย แต่ข้าขอเตือนถ้าเจ้าคิดจะนำไปที่แคว้นเซี่ยจริงๆ ก็รนหาที่ตายแล้ว” เซี่ยหงยิ้มบาง

เขาถือว่านี่เป็นเรื่องเด็กเล่นของหลินจิ้งเท่านั้น จึงไม่ได้คิดมากอะไรกับเรื่องนี้ นอกจากนี้เขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะแพ้ ก้าวถอยหลังหนึ่งหมื่นก้าวแม้ว่าเขาจะแพ้ แต่ก็เป็นเรื่องโง่ที่จะไปที่แคว้นเซี่ยด้วยเรื่องใบแจ้งหนี้นี้

“ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะไปทวงหนี้อย่างไร” หลินจิ้งหัวเราะคิกคักราวกับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์

“มู่เฉิน ข้าฝากความหวังไว้ที่เจ้านะ ถ้าเจ้าชนะข้าจะแบ่งของเหลวจื้อจุนให้ครึ่งหนึ่ง!” หลินจิ้งมองไปที่มู่เฉินโบกมือหยอยๆ ให้กำลังใจเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นการกระทำของนางก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี แต่สุดท้ายก็พยักหน้าพลางมองเซี่ยหงด้วยความเห็นอกเห็นใจ

ถ้าเซี่ยหงรู้ว่านางเป็นธิดาของเทพจักรพรรดิสงครามแห่งแคว้นหวูที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรในมหาพันภพ สีหน้าท่าทางจะตลกขนาดไหน?

แม้ว่าแคว้นเซี่ยจะทรงพลัง แต่ถ้าพวกเขากล้าเบี้ยวหนี้กับองค์หญิงน้อย ก็คงไม่ใช่แค่จอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนสองสามคนจะมาเคาะประตูบ้าน…

หากนางโกรธขึ้นมาจริงๆ จนถึงขั้นเรียกบิดามาช่วยละก็ ฮ่องเต้เซี่ยก็ได้แต่กลืนความคับข้องใจลงไปในท้อง

เซี่ยหงกระโดดลงไปในหลุมพรางที่หลินจิ้งขุด…

มู่เฉินกับจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนจะส่ายหัวเงียบๆ

“ไอ้หนุ่มโชคร้ายนั่น… ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1098 แสดงอำนาจให้ประจักษ์
บนลานประลองขนาดใหญ่

เสียงหัวเราะสงบเย็นของมู่เฉินดังก้องไปทั่ว ขณะเดียวกันก็ส่งเข้าโสตประสาทของเหล่าผู้ชมนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า ซึ่งเมื่อได้ยินพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะด้วย

ชายหนุ่มจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์กล้าจริง…

ทว่าด้วยขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเขามีคุณสมบัตินี้จริงหรือ? ไม่ต้องสนใจผู้ใต้บังคับบัญชาทรงพลังที่ด้านหลังเซี่ยหงนั่น กระทั่งตัวเซี่ยหงเองก็มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า มิหนำซ้ำยังอยู่อันดับที่ยี่สิบในทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว

ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเซี่ยหงจะอยู่ในระยะต้นของขั้นเก้า แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่แท้จริงของเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นภายนอก ตัวเขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดและล่าถอยออกมาได้อย่างปลอดภัย

ซึ่งนี้เป็นความสำเร็จที่น่าตกใจมากแล้ว

ในทางตรงกันข้ามแม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าตกใจที่มู่เฉินเกือบจะเข้าถึงระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ตอนนี้มีอัจฉริยะนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน ณ ที่นี้ ซึ่งแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา ดังนั้นขุมพลังเกือบบรรลุขั้นเก้าจึงไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกอัศจรรย์ใจมากนัก

ชิ้งหย่า มู่ซันและเจียงหลินยืนอยู่บนท้องฟ้าเหนือลานประลอง พลางมองไปด้วยความสนใจเข้มข้น เห็นได้ชัดว่าความอหังการที่ไม่เกรงกลัวของมู่เฉินทำให้พวกเขารู้สึกสนใจมาก

แต่แค่ไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีความมั่นใจแท้จริงหรือแค่แกล้งทำออกมา…

“ยืมหัวข้ารึ?”

ขณะทุกคนชื่นชมในความกล้าหาญของมู่เฉิน เซี่ยหงก็หรี่ตามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาเยาะเย้ย “ไม่คิดว่าจะมีวันที่ข้าเซี่ยหงถูกมองว่าเป็นหินรองเท้า”

เขาได้เห็นความตั้งใจของมู่เฉินเพียงปราดมอง เห็นชัดว่าอีกฝ่ายคิดจะใช้เขาเป็นหินเพื่อก้าวเดินขึ้นไป ตราบใดที่มู่เฉินสามารถเอาชนะเซี่ยหงได้ ชื่อของมู่เฉินก็จะกระจายไปทั่วทวีปเทียนหลัว ในเวลานั้นแม้ว่าต้องการไป คนอื่น ๆ ก็ต้องคิดสองตลบว่าควรจะขัดขวางเส้นทางดีหรือไม่

“ในเมื่อแกมากำนัลถึงหน้าประตูบ้านข้า ทำไมข้าจะไม่รับ?” มู่เฉินแสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นสายตาอันตรายของเซี่ยหงและตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ด้วยแกเนี่ยนะ?”

เซี่ยหงยิ้มอ่อน รอยยิ้มโค้งเป็นมุมที่น่าขนลุก ก่อนที่จะยกมือขึ้นเบาๆ “หวังหวู่จัดการมันสิ”

ปัง!

เมื่อเซี่ยหงพูดจบ ร่างร่างหนึ่งที่อยู่ข้างหลังก็ทะยานออกมาพร้อมส่งคลื่นหลิงมหาศาลกวาดออกราวกับพายุ

พิจารณาจากความผันผวนของคลื่นพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาก็อยู่ในระดับเกือบจื้อจุนขั้นเก้าเช่นกัน!

พร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขต ร่างเงานั้นก็พุ่งมาหามู่เฉินพร้อมดาบยาวสีแดงเข้มที่อัดแน่นด้วยรัศมีสังหาร ท่าทางเด็ดขาดนั้นชัดว่าเขาเป็นคนที่มีประสบการณ์ในสนามรบ

ผู้ชมต่างร้องอุทานในใจ แคว้นเซี่ยสมเป็นผู้ปกครองเผด็จการในภูมิภาคทางตะวันตก ด้วยรากฐานที่หยั่งลึก พวกเขาสามารถส่งนักรบที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าออกมา จอมยุทธ์เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นคนที่มีพลังการต่อสู้สูงยิ่งแม้ในหมู่ขั้วอำนาจระดับต้น

ร่างแสงพุ่งมาอย่างรวดเร็วมาปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉินในพริบตา พร้อมกับสายตาเย็นเยือกหวังหวู่ก็เฉือนดาบสีแดงเข้มลงมา ราวกับจันทร์เสี้ยวแสงสีแดงเข้มซัดลงบนศีรษะมู่เฉิน

นี่เป็นเพลงดาบเด็ดขาดของหวังหวู่ที่ผลักดันพลังของตัวเองไปสู่ขีดสุด แม้แต่จอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเหมือนกันก็ถูกสังหารได้ด้วยความประมาทเล็กน้อย

ภาพดาบสีแดงเลือดสะท้อนในม่านตาของมู่เฉิน แต่ที่ทำให้ผู้ชมประหลาดใจคือเขายังคงท่าทางสงบไม่สะทกสะท้านราวกับไม่เห็นดาบที่พุ่งมาเบื้อบงหน้า

พรรคพวกที่ข้างหลังก็ต่างยืนนิ่ง ทุกคนฉายแววเย้ยหยันในดวงตา

หลินจิ้งเบิกตาโตมองฉากนี้ด้วยความตื่นเต้น นางต้องการเห็นพัฒนาการของมู่เฉินเติบโตขึ้นมากแค่ไหนหลังจากไม่เจอกันมาหลายปี

ท่ามกลางความสนใจของทุกคน แสงก็ห่อหุ้มร่างมู่เฉิน แต่ที่ทำให้เกิดความตกตะลึงคือมู่เฉินก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ กลับหลับตาช้าๆ ราวกับยอมรับความพ่ายแพ้

“รนหาที่ตาย!”

เมื่อหวังหวู่เห็นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเค้นเสียงเย็น

ใบดาบแสงพุ่งเข้าใกล้มู่เฉิน ทว่าทันทีที่จะสัมผัสร่าง แสงสีทองก็กระจายออกมาจากร่างกาย ขณะเดียวกันเสียงคำรามของมังกรก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด

แสงสีทองระเบิดออก ทันใดนั้นมังกรยักษ์สีม่วงทองก็ทะยานออกมาจากในร่างมู่เฉินพร้อมกับแรงกดดันที่ไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งทำให้ใบดาบที่พุ่งเข้ามาหยุดชะงักลง

โฮก!

มังกรยักษ์สีม่วงทองพันรอบร่างมู่เฉิน กรงเล็บงองุ้มแน่นกลายเป็นหมัดปะทะกับดาบแสงจังใหญ่

ปัง!

ระลอกคลื่นป่าเถื่อนไร้เทียมทานกวาดออกมา มิติถึงกับแปรปรวน เมื่อแสงสีทองพวยพุ่งออกมา สีหน้าหวังหวู่ก็เปลี่ยนไปรุนแรง เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานน่ากลัวที่พล่านมาจากใบดาบ ซึ่งเป็นพลังทำลายล้างที่ต่อให้เขาเร้าคลื่นพลังออกมาทั้งหมดก็ต้องแตกสลาย

แคร็ก!

ใบดาบยาวสีแดงเข้มแตกออก หวังหวู่ก็ราวกับได้รับผลกระทบสาหัส ร่างกระเด็นออกไป เลือดสดสาดกระจายจากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้นทิ้งรอยยาวพันจั้งเอาไว้

โห่!

ใบหน้าทุกคนเปลี่ยนไป ความโกลาหลตีกวน ไม่มีใครคิดว่าจอมยุทธ์อีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าจะถูกทำให้ตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้ในพริบตา

ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินไม่แม้แต่จะเคลื่อนไหว อีกฝ่ายก็พ่ายแพ้ไปแล้ว!

วาบ!

ทุกคนมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกตะลึงในดวงตา จากนั้นก็มองมังกรสีม่วงทองที่ขดรอบร่างที่ส่งเสียงคำรามอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มิติผันผวน บรรยากาศที่หายใจไม่ออกก็เล็ดลอดออกมาจากมังกร

ส่วนมู่เฉินยังคงทิ้งแขนแนบลำตัวไม่มีระลอกคลื่นบนใบหน้า

“นั่นคือรัศมีมังกร…ที่หายากแม้แต่ในเผ่ามังกร!” ความปั่นป่วนดังขึ้นบนท้องฟ้า ชัดว่าบอกได้ถึงความพิเศษของมังกรตัวนี้

“หรือว่ามู่เฉินเป็นสมาชิกเผ่ามังกร?”

“เขาเป็นมนุษย์แน่นอน แต่น่าจะฝึกฝนทักษะที่เกี่ยวข้องกับเผ่ามังกร!” บางคนเอ่ยออกมาด้วยสายตาแหลมคม

“แม้ว่ามังกรตัวนี้จะดูเหมือนของจริงแต่ก็ยังมีร่องรอยภาพลวงตา ทว่าพลังที่ระเบิดออกมาจากภายใน ก็เกินกว่าจอมยุทธ์ระยะอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าส่วนมากแล้ว”

“เขาสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเดียวกันได้โดยมังกรที่ควบแน่นออกมาเนี่ยนะ?” ผู้คนหรี่ตาลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้ วิชาทรงพลังนั่นคืออะไร? มู่เฉินไม่ธรรมดาจริงๆ มิน่าล่ะถึงไม่กลัวแม้จะเผชิญหน้ากับเซี่ยหง ที่แท้ไพ่ตายที่เขามีก็ทรงพลังเช่นกัน

เมื่อบวกรากฐานของมังกรกับพลังของมู่เฉิน เขาสามารถจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้อย่างแท้จริง

หลินจิ้งกะพริบตาวิบวับมองมังกรสีม่วงทองซึ่งยังคงขดตัวรอบร่างมู่เฉินด้วยความอยากรู้อยากเห็น พลางพึมพำกับตัวเอง “นี่คือรัศมีมังกรแท้จริง…”

จากประสบการณ์นางสามารถบอกที่มาของมังกรได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือความจริงที่รัศมีที่เปล่งออกมาจากมังกรแท้จริงนั้นเป็นของดั้งเดิม

มังกรแท้จริงเผ่ามังกรเคยมาเยี่ยมบิดานางที่แคว้นหวูครั้งหนึ่ง รัศมีมังกรแท้จริงยิ่งใหญ่มากกระทั่งครองเหนือสวรรค์ได้

แต่ตอนนี้รัศมีมังกรรอบตัวมู่เฉินก็ให้ความรู้สึกเหมือนผู้อาวุโสคนนั้นเช่นกัน

ภายใต้ความโกลาหลเซี่ยหงมองไปที่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่พ่ายแพ้ รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป เขามองไปที่มู่เฉินโดยไม่มีสีหน้าใดๆ สายตาเย็นชาราวกับใบมีดที่ทำให้คนอื่นกลัว

แต่มู่เฉินไม่ได้รับผลกระทบอะไรกับสายตานั่น เขามองไปที่วิญญาณมังกรแท้จริงที่ขดรอบตัวแล้วหันไปหาเซี่ยหงพูดอย่างใจเย็น “ได้ของมาไม่ให้กลับเป็นเรื่องไม่มีมารยาท”

พูดจบฝ่าเท้าก็ก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าว สีหน้าสงบนิ่ง หมัดกำแน่นก่อนที่แสงสีทองพร่างพราวจะพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้าขณะที่เขาเหวี่ยงหมัดออกไป

โฮก!

ขณะที่มู่เฉินเหวี่ยงหมัด มังกรก็แผดเสียงคำรามเปลี่ยนเป็นลำแสงสีม่วงทองพุ่งลงมารวมเข้ากับฝ่ามือของมู่เฉิน

ตู้ม!

ภาพหมัดขนาดพันจั้งพุ่งออกไปราวกับมังกร ขณะที่กรงเล็บมังกรกวัดแกว่งไปมา ความผันผวนที่น่ากลัวสร้างความหายนะ ทำให้เกิดรอยแตกบนพื้น

เมื่อเทียบกับดาบแล้วหมัดของเขามีพลังมากกว่าไม่รู้กี่เท่า!

เผชิญหน้ากับหมัดนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีหน้าพร้อมกับความหวาดเกรงในสายตา

ตู้ม!

หมัดมังกรพุ่งลงเร็วปานสายฟ้า พริบตาก็ไปอยู่ตรงหน้าเซี่ยหงห่อหุ้มตัวเขาไว้

สีหน้าของเซี่ยหงมืดครึ้มลง แสงเย็นกะพริบในดวงตา เมื่อเผชิญหน้ากับพลังหมัดของมู่เฉิน เขาไม่ได้หลีกเลี่ยงการโจมตีกลับเค้นเสียงเย็นชาออกมาแทน “ให้ข้าคนนี้ทดสอบถึงพลังที่แกมี มาดูสิว่าแกมีคุณสมบัติที่จะโอ้อวดต่อหน้าข้าหรือไม่!”

พูดจบเขาก็งอนิ้วเป็นกรงเล็บพลางซัดออกไป ปลายนิ้ววูบไหวด้วยแสงสีดำทิ้งรอยลึกไว้ในมิติ

แสงหลิงพริบพราวในกรงเล็บเหมือนจะก่อตัวเป็นรูปมังกรดำและขยายปากอำมหิต

“ร่างเก้าเทพอสูร กรงเล็บมังกรปีศาจกลืนฟ้า!”

ตู้ม!

หมัดมังกรทองพุ่งเข้าใส่ พริบตาถัดมาก็เข้าปะทะกับกรงเล็บมังกรดำของเซี่ยหง!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1097 ยืมหัว
ป้ายทองคำโบราณลอยเงียบที่เบื้องหน้ามู่เฉิน

โดยไม่มีอะไรสะท้อนออกมาราวกับว่าเป็นหลุมดำที่ดูลึกลับ

มู่เฉินจ้องเขม็งที่ป้ายทองคำพลางเหยียดแขนออกไปปล่อยให้ป้ายตกลงบนฝ่ามือ นิ้วมือลูบไล้ไปตามพื้นผิว แม้คำว่า ‘สอง’ ที่เขียนไว้บนนั้นจะเลือนราง แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้

มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งเครียดขณะคลื่นหลิงไหลเวียนพยายามเทลงไปในป้ายโบราณ แต่ก็ไม่มีผลสะท้อนใดๆ ป้ายโบราณยังคงเงียบสงบดูราวกับว่าเป็นแค่วัตถุธรรมดา

“มาดูกันว่าข้าจะชำระได้ไหม…”

เมื่อเห็นว่าการตรวจสอบไม่ได้ผล มู่เฉินก็หยดเลือดสองสามหยดลงไปหลังจากลังเลชั่วครู่ ทำให้คลื่นหลิงกลายเป็นเปลวไฟห่อหุ้มพยายามชำระให้จงได้

แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากป้าย มีเพียงหยดเลือดกลิ้งไปมาบนพื้นผิวเท่านั้น ไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้

ดูเหมือนจะมีการปกป้องที่ทรงพลังที่ไม่สามารถตรวจจับได้ปิดกั้นไม่ให้สิ่งใดเข้ามา

หลังจากใช้เพลิงอมตะแผดเผาอยู่นานแล้วไม่ได้ผล มู่เฉินได้แต่ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ป้ายนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแงะความลับออกมา แต่มู่เฉินก็ไม่ได้รู้สึกปวดใจมากกับราคาที่จ่ายไปมากมายมหาศาล เนื่องจากยิ่งแงะความลับยากก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความลึกซึ้งและนัยสำคัญ

เมื่อไรที่เขาสามารถวิเคราะห์ความลึกลับออกมาได้ละก็ มูลค่าก็คุ้มยิ่งกว่าราคาที่จ่ายไปแน่นอน

เมื่อเพลิงอมตะจางหายไป ป้ายทองคำก็ตกลงบนมืออีกครั้ง มู่เฉินกำมือจับเอาไว้ สัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งที่ละเอียดอ่อน แต่การรับรู้นั้นอ่อนแอเกินไปจึงไม่สามารถติดตามไปยังแหล่งที่มาได้

แต่ด้วยเหตุนี้มู่เฉินก็มั่นใจว่าวัตถุชิ้นนี้จะต้องเป็นของจอมพลสองแห่งวังสวรรค์บรรพกาล นั่นเป็นเพราะมีแรงกดดันโบราณทรงพลังเล็ดลอดออกมา ซึ่งแม้จะเป็นเศษเสี้ยวที่หลงเหลือไว้จากหลายหมื่นปี ก็ทำให้มู่เฉินตกตะลึงในใจ

คนที่สามารถทำสิ่งนี้ได้จะต้องอยู่ในระดับจอมพลผู้นำหอเท่านั้น

“ดูเหมือนข้าต้องค่อยๆ วิเคราะห์ไป…” มู่เฉินตัดสินใจหยุดลงก่อนนี่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน บางทีนี่อาจใช้ได้หลังจากเข้าสู่ซากโบราณของวังสวรรค์บรรพกาล เมื่อถึงเวลานั้นคงไม่ทำให้เขาผิดหวัง

“ตอนนี้มุ่งเน้นที่การฝึกค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก่อนเถอะ”

มู่เฉินเก็บป้ายทองคำไปแล้วนำม้วนภาพค่ายกลออกมาโดยหวังว่าจะได้ข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยให้ตนเองสร้างค่ายกลสุดยอดนี้ได้สำเร็จ

ในเวลาหนึ่งวันต่อมา

มู่เฉินก็ยังอยู่ในสวนโดยมุ่งไปที่การฝึกฝนฝนค่ายกล เขาไม่ได้พาพรรคพวกแอบรีบออกจากเมืองซี เนื่องจากรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบสายตาจากการเฝ้ามองจำนวนมากไป นอกจากนี้คนอย่างมู่เฉินก็ไม่ต้องการทำเช่นนั้น

นอกจากผู้เฒ่าไป๋และหลินจิ้งก็ไม่มีคนอื่นออกไป ผู้เฒ่าไป๋ได้รับคำสั่งจากมู่เฉินจัดหากระดูกมังกรทั่วเมือง ส่วนหลินจิ้งไม่ชอบอยู่เฉย นางเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าตนเองเป็นหีบทองคำเคลื่อนที่ได้ในสายตาของผู้อื่น ดังนั้นนางยังคงเที่ยวเล่นไปเรื่อยๆ แต่น่าประหลาดใจแม้ว่าจอมยุทธ์ทรงพลังจำนวนมากแอบซุ่มมองนาง แต่ก็ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวชัดเจนว่าพวกเขาระแวงภูมิหลังลึกลับของนาง

ความสงบสุขดำเนินไปจนถึงวันที่สอง

เมื่อพลบค่ำวันที่สอง มู่เฉินนั่งอยู่ในเก๋งจีนนั่งประจันหน้าประลองหมากรุกกับจิ่วโยว

“ตอนนี้พวกเรากลายเป็นจุดสนใจของทั่วเมืองแล้ว” จิ่วโยวกวาดสายตาออกไปนอกสวน แม้สองวันที่ผ่านมาจะเงียบสงบ แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นใต้น้ำที่ซ่อนอยู่และสายตาจับจ้องเหยื่อที่เพิ่มขึ้น

มู่เฉินพยักหน้าพลางยิ้ม “ถ้าพวกเขาเต็มใจที่จะชะลอก็ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ข้าจะได้มีเวลาศึกษาค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารมากขึ้น ขณะเดียวกันก็รอกำลังสบันสนุนอาณาเขตกงเวทสวรรค์มาถึงด้วย!”

จิ่วโยวพยักหน้าตอบรับ

“ลูกน้องของเจ้าคนนั้นเหมือนจะยังไม่กลับมานะ” หลินจิ้งนั่งเล่นกับกระต่ายน้อยที่มาจากไหนไม่รู้ จากนั้นก็โพล่งขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม

จิ่วโยวอึ้งไป จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปนางเพิ่งนึกได้ว่าปกติเวลานี้ผู้เฒ่าไป๋ควรจะกลับมานานแล้ว เขาไม่ได้เป็นคนชักช้า

นางมองไปที่มู่เฉินก็เห็นสีหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตาหรี่ลงพร้อมกับแววอันตรายวูบวาบไปมา

“ดูเหมือนจะมีคนไม่สามารถระงับใจได้อีกต่อไป” เขาพึมพำกับตัวเองว่า

จังหวะนั้นเสียงหัวเราะที่ห่อหุ่มด้วยคลื่นหลิงทรงพลังก็เจาะผ่านมิติดังขึ้นกะทันหัน สะท้อนไปทั่วเมือง และดังเข้าในสวนที่ถูกปิดกั้นด้วยค่ายกล

“ฮ่าๆ ท่านจอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ ลูกน้องเจ้ามาเป็นแขกขององค์ชายคนนี้ ไม่รู้ว่าเรามาพบปะสังสรรค์กันหน่อยได้ไหม?” เสียงอวดตัวนี้ชัดว่าเป็นเสียงของเซี่ยหงแห่งแคว้นเซี่ยนั่นเอง

เสียงเขาไม่ได้ทำการปิดบังอะไร คนทั้งเมืองจึงได้ยินชัดเจน ทันใดนั้นหัวใจผู้คนก็สั่นสะท้าน ในที่สุดเซี่ยหงก็หมดความอดทนและคิดจัดการอาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้วรึ?

“ไอ้บ้านั่นน่ารังเกียจจริงๆ!” ใบหน้าจิ่วโยวบูดบึ้ง

“ระวังตัวมากจริง” มู่เฉินพูดเสียงเบา ตอนแรกเขาคิดว่าเซี่ยหงจะมาพบกันตรงๆ ที่นี่ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใช้กลอุบายเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเซี่ยหงจะกังวลว่าเขาจะวางค่ายกลไว้รอบๆ เพื่อชิงความได้เปรียบสินะ

“นายท่าน…เราควรทำอย่างไร?” ถานชิวมองไปที่มู่เฉินรอความคิดเห็นของเขา

มู่เฉินลุกขึ้นยืน ร่างสูงโปร่งตั้งตรงราวกับหอก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นกำเนิดเสียงพร้อมกับรอยยิ้มคลี่ออก “ไก่ที่ข้ารอมาสองวันในที่สุดก็มา ถ้าไม่ได้ไก่ตัวนี้เราจะทำให้คนอื่นกลัวได้ยังไง?”

“ให้ชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เริ่มต้นจากเจ้านี่ที่จะเป็นหินรองเท้าเถอะ…”

เมื่อพูดจบร่างเขาก็เปลี่ยนเป็นร่างแสงพุ่งไปที่ท้องฟ้า จิ่วโยว และคนอื่นๆ ติดตามไปอย่างใกล้ชิดพร้อมกับรังสีสังหารเดือดพล่าน

“ว้าว น่าสนใจ! มาดูกันว่าขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าจะสู้กับขั้นเก้าได้ยังไง!” หลินจิ้งยิ้มกริ่มกับภาพตรงหน้า แววความคาดหวังเปล่งประกายในดวงตา ก่อนจะกลายเป็นร่างแสงติดตามไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อกลุ่มมู่เฉินออกไปจากสวน

ร่างแสงนับไม่ถ้วนก็พุ่งขึ้นจากเมืองซีเช่นกัน ทุกคนมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเซี่ยหง

ใครๆ ก็มองออกว่าคลื่นใต้น้ำที่ไหลอยู่มาสองวันกำลังปะทุขึ้นในวันนี้

เพียงแต่ไม่รู้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะสามารถรักษาป้ายลึกลับไว้ได้หลังจากวันนี้หรือไม่?

ในสถานที่อีกสามแห่งในเมือง ชิ้งหย่า มู่ซันและเจียงหลิงก็มอง ร่างแสงนับที่ทะยานที่แสดงถึงกลุ่มมู่เฉิน แสงเปล่งประกายในดวงตาพวกเขา

“มู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์บ้าบิ่นแท้จริง กล้าไปหาเซี่ยหงด้วยตัวเอง ถึงแม้เซี่ยหงจะน่ารังเกียจแต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ ศึกวันนี้น่าสนใจมากเลยทีเดียว”

ทั้งสามยิ้มพลางสะบัดแขนเสื้อทะยานขึ้นไปในท้องฟ้าพร้อมกับร่างแสงติดตามมา ร่างแสงเหล่านี้ล้วนทรงพลังอัน ไม่มีใครอ่อนแอเลย

ทั่วทั้งเมืองซีระเบิดขึ้นแล้วในตอนนี้

ที่ใจกลางเมืองซี

มีลานประลองขนาดใหญ่บนลานกว้าง เซี่ยหงนั่งอยู่บนบัลลังก์โดยมีสาวงามสองคนคอยรับใช้ที่ด้านข้าง

ส่วนด้านหลังมีคนสิบกว่าคนพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตผันผวนกำจายไปรอบตัว ทำให้ชั้นบรรยากาศสะเทือนเบาๆ

ที่สะดุดตาที่สุดเป็นร่างชายสูงวัยสวมชุดสีเทา ทั่วร่างเอิบอาบด้วยไอเย็นชาย้อมคลื่นหลิงจนหนาวเหน็บสุดขั้ว

บนเสามีร่างเงาถูกโซ่โยงไว้ นี่ก็คือผู้เฒ่าไป๋ ลวดลายคลื่นหลิงที่ปรากฏรอบตัว ประทับลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายเขาเอาไว้จนหมด

“หวังกง เจ้าคิดว่าไอ้นั่นจะมาไหม?” เซี่ยหงคลึงจอกสุราเล่นไปมา

ที่ด้านหลังชายสูงวัยชุดเทาก็ยิ้มน่าขนลุก “ไม่ว่าจะมาหรือไม่ ตอนจบถูกตัดสินไปแล้ว ป้ายนั่นไม่ใช่สิ่งที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์สามารถเก็บไว้ได้”

เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว เซี่ยหงก็คลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจก่อนจะยกจอกดื่มรวดเดียว จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่คึกคักขึ้น ตอนนี้มีคนมากมายมาที่นี่รอคอยการแสดงที่กำลังจะเปิดโรง

“พวกเขามาที่นี่จริง… กล้าหาญกันมาก” เซี่ยหงเงยหน้าขึ้นพลางยกมือ

สิ้นเสียงเขา ท้องฟ้าในลานประลองก็สั่นไหว ร่างแสงหลายร่างปรากฏขึ้น โดยมีมู่เฉินเป็นผู้นำ

มู่เฉินมองไปที่เซี่ยหงก่อนจะสะบัดนิ้ว แสงหลิงพุ่งออกไปหาผู้เฒ่าไป๋ตัดโซ่ช่วยให้เป็นอิสระคว้าตัวเขากลับมา

เมื่อเห็นอย่างนี้เซี่ยหงก็ไม่ได้ขัดขวาง เขาพูดด้วยดวงตายิ้มหยีไปทางมู่เฉินที่ช่วยผู้เฒ่าไป๋ไปได้ “ทิ้งป้ายโบราณและสาวงามทั้งสองไว้ที่นี่ซะ ข้ารับรองว่าเจ้าจะออกจากเมืองซีไปอย่างปลอดภัย”

พอได้ยินอย่างนี้มู่เฉินก็หัวเราะเบาๆ พลางมองเซี่ยหง

“ขอยืมหัวไก่แกหน่อยได้ไหม?”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1096 ศึกษาค่ายกล
การประมูลในเมืองซีปิดฉากลง

หลังจากนั้นก็ทำให้ทั้งเมืองถึงกับแผ่นดินไหว ทุกคนต่างตกใจกับราคาสุดท้ายที่พุ่งไปสูงถึงสี่สิบหน้าล้านหยดของเหลวจื้อจุน ขณะเดียวกันก็คาดเดาตัวตนของหลินจิ้งไปต่างๆ นานา

แม้ว่าการประมูลจะสิ้นสุดลง แต่ผู้ที่มีไหวพริบก็รู้ดีว่าเรื่องเกี่ยวกับป้ายนี้ยังไม่สิ้นสุด ด้วยความสนอกสนใจกันมากทำให้เหล่าจอมยุทธ์มารวมตัวกันในเมืองแม้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะสามารถชนะการประมูล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นเจ้าของป้ายที่แท้จริง…

อาณาเขตกงเวทสวรรค์อาจถูกกล่าวขวัญในภูมิภาคทางเหนือ แต่ในทวีปเทียนหลัวไม่ได้เป็นแบบนั้น ชื่อเสียงของพวกเขาไม่มากนัก มิหนำซ้ำตอนนี้ยังมีขั้วอำนาจอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงไม่ต่างกันอยู่ในเมืองซีมากมาย ซึ่งเซี่ยหงและคนอื่นก็ล้วนเป็นจอมยุทธ์หัวกะทิในหมู่คนรุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว ตราบใดที่ผู้นำอัจฉริยะของขั้วอำนาจชั้นสูงต่างๆ ไม่เผยตัว พวกเขาก็นับว่าไม่มีใครสู้ได้

แม้ว่ามู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะไม่ใช่ธรรมดา แต่ก็มีขุมพลังระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ดังนั้นหากต้องปะทะกับคนอย่างเซี่ยหงก็ยังมีช่องว่างอยู่ดี

ดังนั้นเมื่อขั้วอำนาจต่างๆ รู้ว่าป้ายตกอยู่ในมืออาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่เพียงแต่จะไม่ผิดหวังพวกเขากลับวางแผนร้ายกันในใจ นั่นเป็นเพราะพวกเขาตระหนักได้ว่าต้องมีขั้วออำนาจอื่นๆ คอยจับตาดูกลุ่มของมู่เฉินเช่นกัน เมื่อไรที่การต่อสู้ระเบิดออก พวกเขาก็อาจมีโอกาสขโมยป้ายมาได้…

สำหรับผลลัพธ์ของกลุ่มมู่เฉินไม่มีใครสนใจ ในมุมมองของคนอื่นคนธรรมดาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่คนที่มีสมบัติเป็นอาชญากร คราวนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์คงจะต้องเสียหายอย่างหนักแล้ว

ดังนั้นคลื่นใต้น้ำและพายุคลั่งจึงเริ่มก่อตัวขึ้นในเมืองซี

ที่สวนกว้างแห่งหนึ่งในเมืองซี

ประตูสวนถูกปิดอย่างแน่นหนาพร้อมกับค่ายกลบนท้องฟ้าป้องกันการสอดรู้สอดเห็นจากภายนอก

มู่เฉินยืนอยู่ในสวนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางคลี่ยิ้ม “ข้าว่าเราคงกลายเป็นเป้าของทุกคนในเมืองซีตอนนี้แล้วแหละ”

จิ่วโยวที่ด้านหลังก็พยักหน้าพูดเสียงเรียบ “ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายที่จะเอาป้ายออกไปจากที่นี่นะ”

“สุดท้ายก็เพราะเราอ่อนแอเกินไป” มู่เฉินส่ายหัว อาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่เป็นที่รู้จักในทวีปเทียนหลัวเท่าที่ควร ยิ่งไปกว่านั้นในกลุ่มของเขามีเพียงจิ่วโยวเท่านั้นที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า แม้แต่มู่เฉินก็ยังถูกมองอยู่นอกสายตา

“ดูเหมือนว่าข้าซื้อของสร้างปัญหาให้พวกเจ้าซะแล้ว…”

ที่ด้านหลังหลินจิ้งกำลังเอื้อมมือเล่นกับนกตัวเล็กๆ ในสวน นางเงยหน้าขึ้นยิ้มน่ารัก “ถ้าต้องการความช่วยเหลือบอกมาเลยนะ”

มู่เฉินหันมามองนางพลางหรี่ตาแคบลง หลินจิ้งแทบไม่มีการรั่วไหลของคลื่นหลิง เห็นได้ชัดว่านางต้องมีสมบัติบางอย่างที่ปกปิดคลื่นพลังงานเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นตรวจจับพลังได้

แต่เมื่อตอนที่พบกับครั้งแรก หลินจิ้งอยู่ในขุมพลังเดียวกับเขา ทั้งคู่กำลังตามหาวัตถุดิบในการชำระร่างเทห์สวรรค์เหมือนกัน หลายปีผ่านไปด้วยตัวตนของธิดาเทพจักรพรรดิสงคราม พร้อมกับการชี้แนะของบิดาที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน พลังของนางคงไม่อ่อนไปกว่าเขา

บวกกับรากฐานที่ลึกซึ้งของแคว้นหวู หลินจิ้งคงมีสมบัติมากมายที่ใช้ปกป้องตนเอง ตามการคาดเดาของมู่เฉิน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่สามารถฆ่านางได้

ทว่าเผชิญกับผู้ช่วยอย่างนางที่สามารถสนับสนุนได้ดีเช่นนี้ มู่เฉินกลับยิ้มพร้อมส่ายหัว “ถ้าข้าไม่สามารถแม้แต่จะปกป้องป้ายนี้ได้ ก็ควรมอบให้คนอื่นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซะจะดีกว่า”

เขาฉายสีหน้าสงบ ไม่มีความตื่นตระหนกกับสถานการณ์ปัจจุบัน ความสงบของเขายิ่งทำให้หลินจิ้งชอบใจยิ่งขึ้นไปอีก

มิน่าล่ะมารดาของนางถึงประเมินมู่เฉินไว้สูง ในตอนนั้นหลินจิ้งยังไม่เห็นด้วยเลย แต่หลังจากหลายปีผ่านมา มู่เฉินก็แสดงศักยภาพเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเขาต่างจากคนทั่วไป

“งั้นเจ้าวางแผนจะทำอย่างไร? ดูจากสถานการณ์ตอนนี้เราจะถูกล้อมทันทีที่ออกจากเมือง” จิ่วโยวถาม

เปลือกตาของของมู่เฉินหลุบลงก่อนจะตอบเสียงเบา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็รอเถอะ…ในเมื่อคนอื่นๆ ดูถูกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราก็ให้พวกเขามาลองดู”

“ตอนนี้เราต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูอยู่พอดี!”

ทิวทัศน์ราตรีโอบล้อมผืนดิน

มู่เฉินนั่งสมาธิเงียบๆ อยู่ในห้องพร้อมกับคลื่นหลิงที่ผันผวนรอบตัว เวลานี้คลื่นหลิงในฟ้าดินหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยการสะบัดมือ วัตถุสองชิ้นก็ปรากฏที่เบื้องหน้า

หนึ่งภาพค่ายกล หนึ่งป้าย

นี่คือภาพค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่ไม่สมบูรณ์และป้ายทองคำลึกลับซึ่งเขาได้รับจากการประมูล

เมื่อมองไปที่วัตถุทั้งสองมู่เฉินก็ครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนที่จะหยิบภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ ถ้าภาพค่ายกลนี้สมบูรณ์แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนตัวจริงก็ยังมีปัญญาในการตั้งรับ

หลิงเจิ้นจงซือเป็นความใฝ่ฝันของผู้ฝึกศาสตร์ค่ายกลทุกคน ตราบใดที่ผู้ฝึกก้าวเข้าสู่ระดับนั้นก็นับว่าประสบความสำเร็จมากแล้ว

แน่นอนว่าระดับสูงสุดแท้จริงในเส้นทางการฝึกศาสตร์ค่ายกลก็คือการบรรลุหลิงเจิ้นต้าจงซือ

ระดับนั้นเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว ซึ่งหลิงเจิ้นต้าจงซือหาได้ยากแม้แต่ในมหาพันภพ แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินรู้สึกภาคภูมิใจก็คือมารดาของเขาคือหนึ่งในนั้น

“ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง… รวมทั้งพี่หลิงซีด้วย นับตั้งแต่ออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางก็ไม่มีข่าวอีกเลย นางบอกว่าจะไปหาท่านแม่ ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

มู่เฉินลูบภาพค่ายกลโบราณความคิดล่องลอยไป แต่สุดท้ายเขาก็หายใจลึกระงับอารมณ์ของตนเอง แม้ว่าตอนนี้เขาจะเกือบบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแล้ว นั่นก็ยังไม่เพียงพอ เพราะด้วยพัฒนาการที่มีทุกครั้ง เขาก็เริ่มสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงเผ่าทรงพลังที่อยู่เบื้องหลังมารดา ซึ่งเผ่านี้แม้แต่มารดาของเขาซึ่งเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือในตำนานก็ยังครั่นคร้าม แม้ว่าจะส่วนเพื่อปกป้องเขาและบิดาให้ปลอดภัย แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าเผ่านั้นมีอำนาจมากเพียงใด

มู่เฉินเม้มริมฝีปากจดจ่ออยู่กับภาพค่ายกล เมื่อหลับตาลงคลื่นหลิงก็พวยพุ่งขึ้นในมือไหลเข้าไปในภาพค่ายกลรุ่งริ่ง

ตู้ม!

คลื่นหลิงแทรกซึม การรับรู้ก็ระเบิดดังก้องในห้วงแห่งจิตของมู่เฉิน แสงงดงามพลุ่งพล่านเปลี่ยนวิวทิวทัศน์ไปทันที

ภาพชายชราคนหนึ่งยืนมือไพล่หลังอยู่บนยอดเขา ขณะที่แขนเสื้อโบกสะบัด สัญลักษณ์หลิงยิ่งก็ท่วมท้นขึ้นมาราวกับคลื่นยักษ์ในทุกทิศทางผสานเข้ากับความว่างเปล่า ก่อร่างเป็นลวดลายที่ซับซ้อนมากมาย เมื่อลวดลายเหล่านั้นไขว้พันกัน ก็ทำให้พลังงานระหว่างสวรรค์และโลกแปรปรวน

ค่ายกลค่อยๆ ถักทอขึ้น ชายชราก็พลิกนิ้วแสงเก้าสายครางกระหึ่มออกมาพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรลึกลับ

เกลียวแสงทั้งเก้าสายวิ่งเข้าไปในค่ายกล เมื่อแสงจางลงก็เผยให้เห็นกระดูกมังกรโบราณถึงเก้าชิ้น!

กระดูกมังกรทั้งเก้าก่อตัวเป็นศูนย์กลางของค่ายกล เมื่อหลอมรวมเข้าด้วยกันก็ดูเหมือนฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น คลื่นหลิงเชี่ยวกรากครอบงำ พลังไร้ขอบเขตรวมตัวกันรอบกระดูกมังกร สร้างเนื้อเลือดขึ้นจากกระดูกทั้งเก้าให้กลายเป็นมังกรจริงเก้าตัว!

ทว่ามังกรเหล่านี้ไม่ใช่ร่างเนื้อแท้จริง แต่ถูกสร้างขึ้นด้วยคลื่นหลิง

ถึงกระนั้นมังกรทั้งเก้าก็ปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลังและน่ากลัวออกมา

ฟิ้ว!

เมื่อค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก่อร่างขึ้น แสงก็ส่องสว่าง ภาพเงาทะยานออกมาพร้อมกับรัศมีที่น่ากลัว ซึ่งนั่นก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน!

ชายชราสร้างค่ายกลอย่างนิ่งสงบจากนั้นก็สะบัดนิ้วอีกครั้ง มังกรเก้าตัวเริ่มแผดเสียงพร้อมกับลมหายใจมังกรเก้าสายพุ่งทะลุผ่านมิติกระแทกลงบนร่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน

ปัง!

การโจมตีครั้งเดียวก็ทำเอาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนกระเด็นออกไปในสภาพน่าสมเพช เลือดไหลออกมาจากทั่วทุกรูขุมขน คลื่นหลิงรอบตัวก็ลดลงอย่างกะทันหัน เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก

ภาพเบื้องหน้าจบลง ตามด้วยข้อมูลจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่สมองของมู่เฉิน

ฮา

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงและพึมพำกับตัวเอง “ช่างเป็นค่ายกลที่ซับซ้อนและทรงพลังอะไรอย่างนี้…”

เขาส่ายหัวพลางถอนหายใจ พิจารณาจากข้อมูลที่ไหลเข้ามาในห้วงแห่งจิตแม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์ แต่เขาสามารถสรุปได้ว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารไม่เพียงแต่จะยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้องมีของสำคัญอย่างกระดูกมังกรเป็นศูนย์กลางอีกด้วย

นอกจากนี้กระดูกมังกรยังเชื่อมต่อกันโดยผ่านรัศมีที่เหลืออยู่เพื่อสร้างมังกรและโดยการรวบรวมของของสองสิ่งนี้เท่านั้น ค่ายกลถึงจะปลดปล่อยพลังอำนาจที่เทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุน

“ทว่าเนื่องจากม้วนภาพไม่สมบูรณ์ ต่อให้ทำการศึกษาค้นคว้า สุดท้ายก็น่าจะสามารถสร้างมังกรได้สี่ตัวเท่านั้น ซึ่งห่างไกลจากมังกรเก้าตัวมากเลยทีเดียว”

มู่เฉินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่จากนั้นก็โล่งใจ ถ้าภาพค่ายกลอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจัดเรียงค่ายกล ด้วยความสามารถที่บรรลุในปัจจุบันของเขา

ในทางตรงกันข้ามภาพค่ายกลไม่สมบูรณ์นี้ อาจเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จหากศึกษาให้ดี

“ดูเหมือนว่าข้าต้องรวบรวมกระดูกมังกรเตรียมไว้ก่อน…” มู่เฉินพูดกับตัวเอง จากที่ค่ายกลเผยในห้วงแห่งจิต ยิ่งกระดูกมังกรแข็งแกร่งก็จะยิ่งมีพลังของค่ายกลเพิ่มมากขึ้น

แต่ตัวเขาตอนนี้ยังไม่ต้องการกระดูกมังกรที่มีคุณภาพสูงมาก ดังนั้นคงไม่ยากเกินไปที่จะจัดหามา

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้มู่เฉินก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็เลื่อนสายตามาที่ป้ายทองคำโบราณ…

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1095 พบหลินจิ้งอีกครั้ง
ภายใต้สายตาไม่อยากจะเชื่อของทุกคน

แม้แต่ใบหน้าของมู่เฉินก็ฉายแววตกใจเมื่อมองหญิงสาว นางคลี่รอยยิ้มทรงเสน่ห์เผยให้เห็นฟันขาวมุกเรียงเป็นระเบียบ ดวงตาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่ไม่มีใครสามารถลืมได้เมื่อเห็นนาง

“จะ…เจ้า หลินจิ้ง?!” หัวใจของมู่เฉินตกตะลึงก่อนที่จะฟื้นคืนสติ เขามองไปที่หญิงสาวที่คุ้นเคยตรงหน้าอุทานเรียกชื่อ

ย้อนกลับไปตอนที่มู่เฉินออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางมายังทวีปเทียนหลัว เขาได้พบกับหลินจิ้งระหว่างทางและตัวตนของนางก็คือองค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวู

เทพจักรพรรดิสงครามที่มีชื่อโด่งดังทั่วมหาพันภพก็คือบิดาของนาง

มู่เฉินไม่คิดเลยว่าหลังจากผ่านไปหลายปีเขาจะพบนางที่นี่อีกครั้ง นี่ทำเอาเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะอดยิ้มให้กับความทรงจำเก่าไม่ได้ ก่อนหน้านั้นเขาเป็นจอมยุทธ์ที่ยังไม่เคยชำระร่างเทห์สวรรค์ แต่ตอนนี้เขากลับก้าวเข้าสู่ระดับเกือบจื้อจุนขั้นเก้าได้แล้ว

“ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเกิดความประหลาดใจ

หลินจิ้งยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าวังสวรรค์บรรพกาลปรากฏในทวีปเทียนหลัว นอกจากนี้ข้ายังจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าจะมุ่งหน้ามาที่ทวีปนี้ ข้าอึดอัดจากการถูกประกบตัวแจที่บ้าน ดังนั้นก็เลยออกมาเที่ยวข้างนอกสักหน่อย”

ขณะที่พูดนางก็มองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้ “แต่โชคชะตาเราต้องกันจริงๆ เราพบกันในงานประมูลทุกครั้งเลยเนอะ…”

เมื่อนางพูดถึงการประมูล มู่เฉินก็นึกขึ้นได้ สายตาตกตะลึงของทุกคนจ้องอยู่ที่หลินจิ้ง พวกเขายังตกใจกับราคาสูงลิ่วที่นางเสนอออกมา

“หึ สาวน้อยจากไหนกัน กล้ามาสร้างปัญหาที่นี่!” เซี่ยหงที่หายจากอาการตื่นตะลึงก็มองไปที่หลินจิ้ง เมื่อเขาเห็นรูปลักษณ์ของหลินจิ้งราวกับเทพธิดา ความตกใจก็วูบไหวในดวงตาแวบหนึ่งก่อนที่จะกลายเป็นแววแห่งกามารมณ์

ในมุมมองของเขาทั้งหลินจิ้งและจิ่วโยวเป็นสาวงามล่มเมือง คนหนึ่งมีไหวพริบฉับพลัน คนหนึ่งเรียบเย็นและภาคภูมิ ระดับดังกล่าวเป็นอันตรายต่อชีวิตสำหรับคนที่ชอบความสวยงามอย่างเขา

“อะแฮ่ม เจ้ายกเลิกการเสนอราคาเมื่อครู่ก่อน” มู่เฉินเตือนหลินจิ้งอย่างรวดเร็ว ของเหลวจื้อจุนสี่สิบห้าล้านหยด คงต้องคั้นมาทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นอกจากนี้ยังไม่คุ้มค่ากับป้ายที่ยังไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไร

“เฮ้ เจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ไหน? ที่ที่เจ้าสามารถเสนอราคาและยกเลิกได้ตามที่ต้องการรึ?”

ทว่าเมื่อมู่เฉินพูดจบ เซี่ยหงก็เอ่ยเย้ยหยันทันควันก่อนที่จะมองหลินจิ้งตาหวาน “ทำไมเจ้าไม่มานั่งกับข้าแล้วประมูลด้วยกันล่ะแม่นางน้อย? ข้ารับประกันได้ว่าจะไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำกับเรื่องเมื่อสักครู่”

หลินจิ้งกะพริบตา “เจ้าจะช่วยข้าจ่ายราคาของเหลวจื้อจุนสี่สิบหน้าล้านหยดเหรอ”

เซี่ยหงยิ้มค้างก่อนที่จะพูดว่า “ราคาของป้ายนี้ไม่คุ้มกับของเหลวจื้อจุนสี่สิบห้าล้านหยดหรอก… ข้าจะถือว่าไม่เคยได้ยินที่เจ้าพูดเล่น”

หลินจิ้งเบ้ปากพูดว่า “ใครจะเล่นกับเจ้า ข้าเสนอราคาสี่สิบห้าล้าน หากเจ้าไม่สามารถจ่ายได้ก็หยุดพล่ามเรื่องไร้สาระซะ”

ทุกคนตกตะลึงไปก่อนที่จะมองหลินจิ้งตาถลน หญิงสาวเสนอราคาของเหลวจื้อจุนสี่สิบห้าล้านหยดจริงเหรอ? นางมีปัญญาจ่ายจริงเรอะ?

ชิ้งหย่าและมู่ซันก็มีสีหน้าปกคลุมด้วยความตกใจ นี่เกินความคาดหมายของทุกคนไปไกลสำหรับสถานการณ์ที่ดำเนินอยู่ในที่แห่งนี้

หลินจิ้งที่เอ่ยประโยคตอกหน้าซึ่งสร้างความอับอายให้กับเซี่ยหง สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม “แม่นางน้อย อย่ากินอะไรเกินกว่าที่เคี้ยวได้ ของเหลวจื้อจุนสี่สิบห้าล้านหยด เจ้าจ่าย…”

ประโยคของเซี่ยหงถูกขัดจังหวะทันที สายตามองไปที่ข้างหน้าอย่างว่างเปล่าก็เห็นหลินจิ้งเหยียดมือขาวออกมาพร้อมกับขวดหยกบินออกไป จากนั้นปากขวดก็เอียงได้ยินเสียงดังก้อง สายธารหลายสายหลั่งไหลออกมา คลื่นหลิงยิ่งใหญ่เติมเต็มไปทั่วทุกมุมของโรงประมูลทันที

ทุกคนตกตะลึงจ้องมองไปที่สายธารเบื้องบน ด้วยสายตาพวกเขาบอกได้ว่าแม่น้ำนี้เกิดขึ้นจากของเหลวจื้อจุนซึ่งมีคุณภาพค่อนข้างสูงเลยทีเดียว…

มองไปที่สายธารไม่มีที่สิ้นสุดไหลออกมาจากขวดหยก ทีนี้ก็ไม่มีใครสงสัยว่านางสามารถจ่ายของเหลวจื้อจุนได้ถึงสี่สิบห้าล้านหยดแล้ว…

สายตาของชิ้งหย่าและคนอื่นๆ เคร่งขรึมลง พวกเขามองหญิงสาวตัวเล็กด้วยแววตาลึกซึ้ง คนที่สามารถพกของเหลวจื้อจุนจำนวนมหาศาลติดตัว นางจะต้องมาจากขั้วอำนาจพิเศษมากอย่างแท้จริง

เพราะไม่ใช่ขั้วอำนาจใดก็ได้ที่มีความสามารถทางการเงินในการใช้ของเหลวจื้อจุนสี่สิบห้าล้านหยดได้อย่างง่ายดายแบบนี้

ครืน…

สายธารของเหลวเริงระบำ หลินจิ้งก็โบกมือเรียกเก็บทั้งหมดกลับเข้าไปในขวด ก่อนจะมองไปที่เซี่ยหงที่ดวงตาถลนถามว่า “เจ้ายังมีปัญหากับการเสนอราคาของข้าหรือไม่?”

หลินจิ้งจ้องมองสีหน้าน่าเกลียดของเซี่ยหงพูดต่อว่า “แต่เจ้าสามารถเรียกราคาประมูลเพิ่มได้นะ ใครจะรู้? ข้าอาจยอมถอยหากเจ้าเพิ่มราคาอีกก็ได้”

ใบหน้าของเซี่ยหงมืดครึ้มลง แม้ว่าหลินจิงจะพูดในลักษณะนี้ แต่ดวงตากลับพริบพราวแจ่มชัดด้วยความตื่นเต้น นางไม่มีท่าทางที่จะถอยและยึดจากท่าทางที่ทำไปก่อนหน้า นางไม่ลังเลที่จะเพิ่มราคาตามเซี่ยหงแน่นอน

นอกจากนี้ด้วยการเสนอราคาสูงถึงสี่สิบห้าล้าน ใครจะกล้าเกทับนางอีก? แม้ว่าพี่ใหญ่จะอยู่ที่นี่ด้วยก็ต้องไตร่ตรองการตัดสินใจอีกครั้ง ทรัพยากรและภูมิหลังทางการเงินของแคว้นเซี่ยแข็งแกร่งก็จริง แต่ก็ไม่สามารถใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยขนาดนี้

ทุกคนมองเซี่ยหงสายตาบางส่วนฉายแววขบขันในที เซี่ยหงเคยเบ่งทับคนอื่นด้วยศักยภาพทางการเงิน แต่ตอนนี้มีใครบางคนใจถึงกว่าปรากฏตัวขึ้น ข่มเขาด้วยความร่ำรวยจนถึงจุดที่เขาไม่กล้าเพิ่มราคา…

ในใจของเซี่ยหงเดือดดาล เขากำลังคิดจะผลักการเสนอราคาออกไป แต่เมื่อนึกถึงผลที่ตามมาของราคาที่น่าสะพรึงกลัว เขาก็กระแทกตัวนั่งลง มือกำแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นเปรียะ

หลินจิ้งมองเซี่ยหงที่นั่งลงก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่มู่เฉิน “ครั้งนี้ข้าพกเงินมาเยอะเลย”

ดูเหมือนว่านางยังจำได้ว่ามู่เฉินเคยให้ความช่วยเหลือ ตอนที่หนีออกจากบ้านมาแบบถังแตกเมื่อหลายปีก่อน

มู่เฉินและจิ่วโยวมองหน้ากันแล้วส่ายหัวเผยรอยยิ้มขมขื่น การจ่ายของเหลวจื้อจุนสี่สิบห้าล้านหยดในครั้งเดียว… นางเป็นคนใจถึงจริงๆ แต่เมื่อนึกถึงตัวตนของนางพวกเขาก็เข้าใจเหตุผลว่าทำไม

แคว้นหวูเป็นขั้วอำนาจที่มีชื่อเสียงสูงสุดในมหาพันภพแม้แต่ขั้วอำนาจโหดหินทั้งหลายในทวีปเทียนหลัวก็สู้ไม่ได้กระทั่งรวมพลังกัน เพราะประมุขแคว้นหวูมีขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริง นอกจากนี้…ก็ยังเป็นหนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพตัวจริง พลังของเทพจักรพรรดิสงครามผู้นี้ไม่อาจคาดเดาและไม่สามารถวัดได้

การมีบิดาที่ทรงพลังเช่นนี้ก็สมเหตุสมผลที่หลินจิ้งจะไม่เกรงกลัวอะไร

ขณะที่มู่เฉินกับหลินจิ้งกำลังพูดคุยกัน หานเฟยที่อยู่บนแท่นประมูลก็ออกจากภวังค์ เขาจ้องมองหลินจิ้งราวกับว่าได้เห็นเทพธิดามาโปรด ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนโปรยเงินเล่นแบบไม่แยแส…

“อืม… แม่นางน้อยผู้นี้เสนอราคาสี่สิบห้าล้าน มีใครให้ราคาสูงกว่านี้ไหม?” หานเฟยถามเสียงดังพลางมองไปรอบๆ

ทว่าคำถามของเขาดึงดูดสายตาผู้คนให้มองมาราวกับเห็นคนโง่ สี่สิบห้าล้านหยดกระทั่งเซี่ยหงยังเลือกที่จะถอย แล้วใครจะกล้าเกทับอีกล่ะ?

เมื่อเห็นสายตาเหล่านั้น หานเฟยก็รู้สึกอายเล็กน้อย เขารีบประกาศว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ป้ายล้ำค่าก็เป็นของแม่นางน้อยผู้นี้!”

ทันทีที่พูดเสร็จก็โบกมือเพื่อส่งป้ายให้กับหลินจิ้งโดยมีผู้คุ้มกันหลายสิบคนเดินล้อมไปด้วย

ทว่าการทำธุรกรรมเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากที่ตรวจสอบจำนวนของเหลวจื้อจุนเสร็จแล้ว หานเฟยก็ส่งมอบป้ายให้กับหลินจิ้งด้วยมารยาทพร้อมกับมือที่สั่นเทา

หลินจิ้งหยิบป้ายขึ้นมาโยนขึ้นลงโดยไม่ได้สนใจ ทำให้เปลือกตาทุกคนกระตุกไม่หยุด นั่นคือของที่มีมูลค่าถึงสี่สิบห้าล้านหยดของเหลวจื้อจุนเชียวนะ ถ้าหล่นแตกขึ้นมาจะทำยังไง…

แต่ขณะที่เปลือกตากระตุก การกระทำต่อมาของหลินจิ้งก็เล่นเอาขากรรไกรพวกเขาอ้ากว้าง นางโยนเล่นป้ายไปครู่หนึ่งจากนั้นก็โยนไปให้มู่เฉิน

“เอ้า ครั้งก่อนเจ้าซื้อโมราไฟสวรรค์ให้ข้า ครั้งนี้ข้าซื้อของให้เจ้าคืน… ห้ามปฏิเสธนะ ไม่งั้นข้าโยนทิ้งแน่!”

ใบหน้าทุกคนกระตุก โมราไฟสวรรค์? นั่นมีราคาเพียงหมื่นหยดของเหลวจื้อจุนเท่านั้นจะเทียบกับป้ายลึกลับที่มีมูลค่าถึงสี่สิบห้าล้านหยดได้ยังไง?

หนึ่งแลกหนึ่ง?

ผู้คนนับไม่ถ้วนมองหน้ากันหายใจเข้าลึก พวกเขาอยากมีเพื่อนร่ำรวยแบบไม่สนใจจำนวนเงินแบบนี้เช่นกัน…

ภายใต้สายตาไม่อยากจะเชื่อ มู่เฉินก็มองการกระทำของหลินจิงด้วยความตกตะลึง เขาอยากจะปฏิเสธในตอนแรก แต่หลังจากได้ยินประโยคถัดไปก็อดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขารับมาด้วยความจริงจัง

“ขอบใจมาก ข้าจะระลึกถึงสิ่งนี้ไว้นะ”

เมื่อเห็นมู่เฉินตรงไปตรงมา หลินจิ้งก็ยิ้มชื่นชมฉายในม่านตาสดใส ถ้าคนอื่นรู้จักตัวตนของนาง พวกเขาจะพยายามเข้ามาตี้ซี้นางยกเว้นมู่เฉินที่ไม่เคยมีเจตนาแบบนั้น นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขาปฏิบัติต่อนางในฐานะหลินจิ้งเท่านั้น ไม่ใช่องค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวู

ดังนั้นเมื่อนางได้ยินมู่เฉินบอกว่าจะระลึกไว้ในใจ นางก็ไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องตลก แม้ว่าด้วยตัวตนของนาง หนี้บุญคุณทุกอย่างไม่ได้มีความหมายมากนัก

“เอาล่ะ ตอนนี้ข้าไม่มีที่จะไป เจ้าก็พาข้าไปด้วยละกัน” หลินจิ้งหัวเราะเบาๆ

มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม หลังจากจัดการจ่ายค่าม้วนค่ายกลโบราณที่ประมูลได้แล้ว เขาก็นำหลินจิ้ง จิ่วโยวและคนอื่นๆ ออกจากโรงประมูลไปแบบสบายใจ ท่ามกลางสายตาของฝูงชน

สายตาของเซี่ยหงมืดครึ้มขณะมองการจากไปของกลุ่มมู่เฉิน จากนั้นก็เอียงศีรษะพูดแบบไม่มีอารมณ์ใด “ไปสืบเรื่องผู้หญิงคนนั้น…”

“อีกอย่างจับตาดูพวกมันไว้”

“คิดจะแย่งของจากมือข้ารึ…พวกมันรนหาที่ตายแล้ว!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1094 หญิงลึกลับ
ป้ายทองคำโบราณวางบนถาดเงิน

มีรอยด่างบ่งบอกถึงอายุ ในเวลาเดียวกันป้ายนี้ก็ดูธรรมดามาก แต่มีความเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

ผู้คนจ้องมองที่ป้ายด้วยสายตาร้อนแรง คนส่วนใหญ่ที่นี่มาจากขั้วอำนาจต่างๆ และแรงจูงใจที่มาที่นี่ก็คือป้ายทองคำลึกลับนี้

มั่นถัวหลัวไม่ใช่คนเดียวที่รู้เกี่ยวกับเรื่องจอมพลสอง ขั้วอำนาจระดับต้นอื่นๆ ในทวีปเทียนหลัวก็ได้ทำการสืบเสาะข้อมูลวังสวรรค์บรรพกาลมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สถานะของจอมพลสอง นี่ยิ่งดึงดูดความสนใจเมื่อป้ายเผยออกมา

ทรัพยากรและโอกาสในวังสวรรค์บรรพกาลยิ่งใหญ่เหลือล้น หากขั้วอำนาจใดสามารถรับไปได้ ก็อาจจะสามารถทะยานขึ้นกลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของทวีปเทียนหลัว ในเวลาเดียวกันสำนักของพวกเขาก็จะได้เลื่อนขึ้นเป็นหนึ่งในมหาอำนาจแห่งมหาพันภพ!

ดังนั้นอะไรก็ตามที่สามารถเพิ่มโอกาสได้ ล้วนมีค่ามาก พวกเขาต้องรับสิ่งนี้มาให้ได้!

บนเก๋งชั้นสาม ไม่เพียงแต่ดวงตาของเซี่ยหงเปลี่ยนเป็นคมกริบ แม้แต่คนอื่นๆ ก็ท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน

ชัดว่าวัตถุที่พวกเขารอคอยปรากฏขึ้นแล้ว

หานเฟยจ้องมองท่าทางน้ำลายไหลย้อยจากบนแท่นประมูลก็หัวเราะแล้วยกถาดสีเงินขึ้น “ราคาเริ่มต้นประมูลอยู่ที่ของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยด ให้เพิ่มราคาทุกครั้งไม่น้อยกว่าหนึ่งล้าน”

ราคาเริ่มต้นของวัตถุชิ้นนี้ต่ำมาก เทียบกับสามชิ้นแรกไม่ได้เลย แต่กลับไม่มีใครรู้สึกสบายใจในราคานี้ นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าราคาของชิ้นนี้จะสูงเกินกว่าสามชิ้นที่ออกไปก่อนหน้าแน่นอน

“สองล้าน!”

ตามที่ทุกคนคาด ทันทีที่หานเฟยพูดจบเสียงก็ดังกึกก้อง

“สามล้าน!” ก่อนเสียงแรกจบสิ้นสุด การเสนอราคาก็ดังก้อง

“สี่ล้าน”

“…”

เสียงดังกึกก้องอยู่ในโรงประมูล ยกระดับบรรยากาศถึงสุดขีดทันที ดวงตาทุกคนเปลี่ยนเป็นสีแดง

ในเวลาไม่กี่อึดใจราคาก็เพิ่มเป็นสิบล้านแล้ว

หลังจากราคาเพิ่มขึ้นเป็นสิบล้าน ความถี่ในการเสนอราคาก็ลดลง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเสียงโหวกเหวกเป็นระยะ ชัดว่าพวกเขาจะต้องมีขั้วอำนาจแข็งแกร่งยืนเบื้องหลังแน่

เวลาผ่านไปหลายนาที ราคาเพิ่มขึ้นเป็นสิบหกล้าน

“มาถึงสิบหกล้านแล้ว”

เมื่อมู่เฉินเห็นฉากการประมูลนี้ เขาก็อดเดาะลิ้นอย่างช่วยไม่ได้ สำนักชั้นยอดยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย แต่ราคาก็ทะยานอย่างน่ากลัวแล้ว

“สิบแปดล้าน!”

ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจ จู่ๆ เสียงหัวเราะก็ดังกึกก้องขึ้น ทำให้บรรยากาศที่ร้อนแรงหยุดลงชั่วคราว สายตานับไม่ถ้วนจ้องมองประมุขน้อยสำนักมังกรซ่อนที่มองทุกคนด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าในที่สุดเขาก็ขยับหลังจากดูการเสนอราคามาพักหนึ่ง

เขาเพิ่มราคาประมูลจากสิบหกล้านเป็นสิบแปดล้าน การเพิ่มราคาทีเดียวสองล้าน ทำให้สีหน้าของจอมยุทธ์คนอื่นๆ น่าเกลียด จนสุดท้ายพวกเขาก็ลังเลก่อนจะนั่งลงอย่างไม่เต็มใจ

“ฮ่าๆ ในเมื่อประมุขน้อยมู่ใจดีเริ่ม งั้นแคว้นเซี่ยของข้าก็ไม่น้อยหน้าขอเสนอราคายี่สิบล้าน” เมื่อมู่ซันเสนอราคา เสียงเกียจคร้านก็ดังก้อง ในที่สุดเซี่ยหงก็เสนอราคาแล้ว

เมื่อมองภาพนี้ ขั้วอำนาจอื่นๆ ที่ตอนแรกยังรู้สึกมีหวังก็ส่ายหัวด้วยความเสียใจเนื่องจากต่อไปพวกเขาได้แต่เฝ้ามอง เฉพาะพวกร่ำรวยเท่านั้นถึงจะสามารถแข่งขันเพื่อประมูลป้ายทองคำนี้

“ยี่สิบเอ็ดล้าน”

เสียงหัวเราะนุ่มนวลดังสะท้อนจากริมฝีปากของชิ้งหย่า “ในเมื่อเจ้าสองคนลงชิงชัย ข้าชิ้งหย่าก็ขอมีส่วนร่วมด้วย”

“ยี่สิบสองล้าน” เจียงหลิงพูดราคาโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้า

เมื่อขั้วอำนาจชั้นยอดทั้งสี่เสนอราคา ทำให้ราคาสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ตัดความคิดของกลุ่มอื่นออกไปอย่างสมบูรณ์

เซี่ยหงกะพริบตาจ้องมองทั้งสามคนพูดด้วยเสียงเย็นชา “ยี่สิบห้าล้าน”

เขาจะต้องได้ป้ายทองคำนี้ แต่ทั้งสามเป็นอุปสรรคต่อเขา พวกเขาอาจทำให้เขาจ่ายในราคาแพง แต่เขาไม่กลัวที่จะไม่ได้รับ เพราะในแง่ของรากฐานสำนักมังกรซ่อน ตึกฟ้าเหวและสำนักกระบี่แดนสรวงล้วนสู้แคว้นเซี่ยไม่ได้

มู่ซัน ชิ้งหย่าและเจียงหลิงขมวดคิ้ว เนื่องจากรู้สึกถึงความมุ่งมั่นของเซี่ยหงที่จะเอาชนะ ของเหลวจื้อจุนยี่สิบห้าล้านหยด ไม่ได้เป็นจำนวนน้อยสำหรับสำนักของพวกเขาแล้ว

ดังนั้นในช่วงจังหวะหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มไตร่ตรองและพิจารณาส่วนได้ส่วนเสีย

เซี่ยหงเย้ยหยันในหัวใจ ขั้วอำนาจที่มีฐานรากตื้นเขินต้องการที่จะแข่งขันกับแคว้นเซี่ยของข้าเรอะ? ฝันไปเถอะ!

“ยี่สิบแปดล้าน”

ทว่าขณะที่เซี่ยหงกำลังรู้สึกยินดี จู่ๆ เสียงสงบนิ่งก็ดังขึ้น ซึ่งทำลายความเงียบลง

ควับ!

ทุกคนส่งสายตาจ้องมองไปที่แหล่งกำเนิดของเสียง ก็เห็นมู่เฉินซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ไปยืนขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

“เขาเสนอราคาสูงขนาดนี้จริงเหรอ!” มีบางคนที่รู้สึกไม่เชื่อเพราะของเหลวจื้อจุนยี่สิบแปดล้านหยด ไม่ใช่สิ่งที่ขั้วอำนาจใดๆ เอามาโปรยเล่นได้

ชิ้งหย่า มู่ซันและคนอื่นๆ ก็มองไปที่มู่เฉินด้วยแววตาตกใจเช่นกัน

เซี่ยหงอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนที่จะจ้องมองมู่เฉินด้วยสีหน้ามืดครึ้มแล้วพูดด้วยเสียงน่าขนลุก “ไอ้เวร นี่ไม่ใช่สถานที่ที่แกจะมาทำตลก ถ้าแกประมูลแบบบ้าบิ่น แกก็ต้องจ่ายราคาสำหรับสิ่งนั้นด้วย”

มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นตอบแผ่วเบา “องค์ชายสี่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าสามารถจ่ายของเหลวจื้อจุนยี่สิบแปดล้านหยดได้สบาย”

พรรคพวกที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างก็อึ้งไปกับการเสนอราคานี้ พวกเขาเหลือของเหลวจื้อจุนอยู่สามสิบล้านหยด หลังจากการประมูลเมื่อครู่

ทว่าแม้จะตกใจพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะพวกเขาเข้าใจถึงขีดจำกัดความมั่งคั่ง ดังนั้นหากพวกเขาต้องการที่จะชนะการประมูล พวกเขาต้องทำตัวรวยเพื่อข่มผู้อื่น

แต่แค่ไม่รู้ว่าจะข่มขู่เซี่ยหงด้วยจำนวนของเหลวจื้อจุนยี่สิบแปดล้านหยดได้จริงหรือไม่

สีหน้าของเซี่ยหงมืดครึ้มอีกหลายส่วน เขาจ้องมองมู่เฉินแสงเย็นไหลในดวงตา แม้ว่าแคว้นเซี่ยของพวกเขาจะร่ำรวย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในสิ่งที่เขาสามารถใช้ได้

ของเหลวจื้อจุนสามสิบล้านหยดสามารถรองรับการเติบโตของขั้วอำนาจระดับสูงได้และเพียงพอที่จะทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนมาสวามิภักดิ์แล้ว

ดวงตาของเซี่ยหงกะพริบก่อนที่จะหายใจลึกพูดเสียงเยือกเย็นว่า “สามสิบล้าน!”

ฮือฮา!

โรงประมูลกลายเป็นจลาจลทุกคนตะลึงไปก่อนจะส่ายหัว พวกนี้บ้าจริงๆ ราคานี้สามารถซื้ออาวุธเสมือนมหสวรรค์หลายชิ้นได้เลยทีเดียว แม้จะอยู่ในองค์กรนักฆ่าในมหาพันภพยังสามารถใช้จำนวนเงินนี้เพื่อเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนมาได้

ไม่เพียงแต่ผู้ชมจะตกตะลึงกับราคานี้ แม้แต่ชิ้งหย่าและคนอื่นๆ ก็เผยท่าทางเคร่งเครียด ก่อนที่จะพากันส่ายหัว

จากนั้นทุกคนก็หันไปมองมู่เฉิน สงสัยว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร

ภายใต้สายตาเหล่านั้น มู่เฉินเสนอราคาอีกครั้งโดยไม่ลังเล “สามสิบเอ็ดล้าน”

การแสดงออกนิ่งสงบ ไม่มีใครสามารถเห็นขีดจำกัดของเขาได้ มีเพียงพรรคพวกเท่านั้นที่รู้ว่าราคานี้ถึงขีดจำกัดของพวกเขาแล้ว ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถจ่ายได้สักหยดแล้ว

วาบ!

เซี่ยหงยืนขึ้นพร้อมกับสีหน้าบูดเบี้ยว เขากัดฟันกรอดจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย ทิ้งรอยฝ่ามือลึกลงบนที่เท้าแขน เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะกล้าเล่นกับเขาแบบนี้!

“สามสิบห้าล้าน!” เซี่ยหงคำรามเสียงต่ำลึกทำให้หนังหัวของทุกคนชาหนึบ นี่เป็นราคาขีดจำกัดของแคว้นเซี่ยแล้วเช่นกัน

เมื่อเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของเซี่ยหง มือเรียวของมู่เฉินก็ลูบที่เท้าแขนเบาๆ สีหน้านิ่งสงบ แต่ก็ต้องถอนหายใจในใจ แคว้นเซี่ยร่ำรวยจริงๆ ราคานี้เขาสู้ไม่ไหวแล้วเช่นกัน

แม้แต่รายได้ต่อปีของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ตอนนี้ ก็ไม่สามารถเข้าถึงจำนวนนั้นได้

ดังนั้นเขาจึงส่ายหัวเบาๆ และเลือกที่จะยอมแพ้

“ลองคิดวิธีอื่นดูนะ” จิ่วโยวพูดเสียงเบาๆ แม้ว่าเซี่ยหงจะได้รับป้ายไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะนำออกไปได้

มู่เฉินพยักหน้านี่เป็นทางเลือกเดียวสำหรับตอนนี้

“ทำไมถึงไม่ประมูลต่ออีกล่ะ?”

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินยอมแพ้ ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเซียวหงก็เปลี่ยนเป็นเย้ยหยัน “อาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่อ่อนแอต้องการแข่งขันกับแคว้นเซี่ยของข้าเรอะ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”

สีหน้าจิ่วโยวเย็นชาถึงขั้นสุด นางกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่ก็ถูกมู่เฉินห้ามไว้ ไม่จำเป็นที่จะลงมือในสถานที่แห่งนี้

เซี่ยหงเค้นเสียงเย็นก่อนจะหันกลับไปหาหานเฟยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ประกาศผู้ชนะได้รึยัง?”

ด้วยราคาของเหลวจื้อจุนสามสิบห้าล้านหยด ใครจะสามารถแข่งขันกับเขาได้อีก?

หานเฟยพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ขณะที่กำลังจะยุติการประมูล เสียงไพเราะก็ดังกึกก้องราวกับฟ้าร้องทำเอาทุกคนตกตะลึงทันที

“โอ้ เดี๋ยวก่อน ข้าขอเสนอราคาสี่สิบห้าล้าน”

เงียบกริบ

โรงประมูลทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบงัน เซี่ยหงตาพร่าไปกับราคานั้น แม้แต่มู่เฉินก็ตกตะลึง ใครคือคนที่เพิ่มราคาครั้งเดียวถึงสิบล้าน?

นางโปรยของเหลวจื้อจุนเล่นเหมือนถั่วเลยเรอะ?

ใครเป็นคนเสนอราคา?

ทุกคนค้นหาแหล่งกำเนิดของเสียงอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นสายตาก็จ้องไปที่มู่เฉิน

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตา มู่เฉินก็อึ้งไปก่อนที่จะหันมองด้านหลังอย่างรวดเร็ว หญิงสาวคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ นางถือผลไม้วิเศษขณะที่อ้าปากกินลงไป ดวงตาของนางแผ่ด้วยเสน่ห์อันน่าทึ่ง

ขณะที่เคี้ยวผลไม้ นางก็มองไปที่มู่เฉิน จากนั้นก็โบกมือไปมากลืนผลไม้อย่างรวดเร็วแล้วหัวเราะเบาๆ “โอ้ เราเจอกันอีกแล้วนะมู่เฉิน…”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1093 แย่งชิง
“หกล้าน”

เสียงสงบนิ่งสะท้อนในโรงประมูลดึงดูดสายตาประหลาดใจมากมาย ก่อนที่จะพุ่งตรงไปมองชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในชั้นสาม

“ใครกัน? หรือว่าจะเป็นหลิงเจิ้นซือ เขาถึงได้เสนอราคาสำหรับแผนภาพค่ายกลนี้?”

“ไม่รู้สิ ตอนนี้จอมยุทธ์ชั้นนำรุ่นใหม่ในทวีปเทียนหลัวมารวมกันที่นี่มากมาย จะไปรู้จักทุกคนได้ยังไง แต่เขาคนนี้ไม่คุ้นหน้าเลย น่าจะไม่ติดอันดับในทำเนียบนะ”

“แต่ดูจากความผันผวนของพลังงานรอบตัว เขาอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้านะ ซึ่งไม่ธรรมดาในหมู่คนรุ่นใหม่แล้ว”

เสียงกระซิบทุกประเภทดังก้อง

ด้วยความกังขากับตัวตนของมู่เฉิน

บนชั้นสามก็มีสายตาจับจ้องมาที่มู่เฉินเช่นกัน เซี่ยหงก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ดวงตาของเขาหรี่ลงราวกับสุนัขจิ้งจอก ก่อนที่จะกะพริบตาแล้วกวาดมองไปที่มู่เฉินแบบไม่แยแส

“ฮ่าๆ มีใครเสนอราคาสูงกว่านี้ไหม?” หานเฟยจ้องมองมู่เฉิน ก่อนที่จะถอนสายตาถามพร้อมกับรอยยิ้มแย้มในโรงประมูล

ความเงียบกินเวลาในการประมูลไปชั่วครู่ แต่ที่นี่ก็มีหลิงเจิ้นซือคนอื่นด้วยเช่นกัน พวกเขายังให้ความสนใจในภาพค่ายกลนี้ ดังนั้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งในที่สุดก็มีคนพูดออกมา

“หกล้านห้า” ชายคนหนึ่งยืนขึ้นสัญลักษณ์หลิงยิ่งปกคลุมบนแขนเสื้อ แสงไหลเวียนอยู่บนนั้น

“นั่นคือมู่ไป๋ ศิษย์เอกสำนักค่ายกลอมตา ลือกันว่าเป็นหลิงต้าเจิ้นซือสามารถสร้างค่ายกลระดับเทียนขั้นกลางได้แล้ว” มีคนตาแหลมคมในการประมูล ดังนั้นอัตลักษณ์ของผู้เสนอราคาจึงถูกจดจำได้ทันที

มู่ไป๋ประสานมือด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรให้มู่เฉิน

มู่เฉินก็ตอบรับในทำนองเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่าต่อให้อีกฝ่ายมีท่าทางเป็นมิตรเขาก็ไม่คิดจะละทิ้งภาพไม่สมบูรณ์นี้ จึงยื่นราคาต่อ “เจ็ดล้าน”

เมื่อได้ยินการเสนอราคา มู่ไป๋ก็อึ้งไปก่อนที่จะพูดพร้อมกับยิ้ม “แปดล้าน”

พวกเขาทั้งสองให้ความสนใจอย่างชัดเจนกับภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์นี้ แม้จะไร้ประโยชน์ต่อผู้อื่น แต่ก็ถือว่าเป็นสมบัติสำหรับหลิงเจิ้นซืออย่างพวกเขา ต่อให้สุดท้ายจะไม่สามารถสร้างค่ายกลได้ แต่พวกเขาก็จะได้รับการพัฒนาจากการทำความเข้าใจในค่ายกลนี้

การประกวดราคาของทั้งสองร้อนแรงขึ้น ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคน แต่พวกเขารู้สึกได้ว่าแม้ทั้งสองจะใส่ราคากันอย่างต่อเนื่องก็ยังคงเป็นมิตร ไม่ได้มีประกายไฟบินว่อน

ทั้งสองไม่ยอมแพ้กัน ดังนั้นจึงดึงดูดหลิงเจิ้นซืออีกหลายคนให้เข้าร่วมในการเสนอราคา ทำให้ราคาของค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ก็เพิ่มเป็นสิบเอ็ดล้าน ซึ่งเข้าใกล้ราคาของไข่มุกทะเลเดือดเข้าไปทุกที ดังนั้นจำนวนคู่แข่งจึงค่อยๆ ลดลง เหลือเพียงมู่เฉินและมู่ไป๋อีกครั้ง

“สิบสองล้าน”

มู่เฉินเสนอราคาอย่างสงบนิ่ง ราคานี้ไม่ต่ำเลย ช่างน่าเจ็บปวดรวดร้าวสำหรับหอวิหคโลกันตร์นัก หากมั่นถัวหลัวไม่ได้มอบของเหลวจื้อจุนให้กับเขาในการเดินทางครั้งนี้ เขาคงต้องม้วนเสื่อกลับบ้านแล้ว

เมื่อราคาแตะที่สิบสองล้านก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนในการประมูล ทุกคนรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ถูกยกระดับราคาเช่นนี้

สายตาของมู่ไป๋เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดผสมความลังเล ราคานี้เท่ากับรายได้ทั้งปีของเขาเลย

หลังจากความลังเลเบาบาง มู่ไป๋ก็ถอนหายใจจากนั้นก็ส่ายหัวแล้วนั่งลง

เมื่อเห็นว่ามู่ไป๋ยอมแพ้ มู่เฉินก็โล่งใจ ถ้ามู่ไป๋ดื้อรั้นเสนอราคาต่อ อาจเป็นตัวเขาเองจะต้องยอมแพ้ถ้าราคาขึ้นอีกไม่กี่รอบ

“สิบสี่ล้าน!”

ทว่าขณะที่มู่เฉินกำลังรู้สึกโล่งใจในใจจากการยกธงขาวของมู่ไป๋ เสียงไม่แยแสก็ดังกึกก้องซึ่งดึงดูดความปั่นป่วนอีกครั้ง

ทันใดนั้นสายตานับไม่ถ้วนก็มองขึ้นไปตรงที่มาของเสียง จากนั้นประกายแสงก็วูบไหวบนใบหน้าของพวกเขา

นั่นเป็นเพราะบนเก๋งจีนชั้นสามเซี่ยหงกำลังเล่นกับไข่มุกดำด้วยท่าทางไม่แยแส นั่นคือไข่มุกทะเลเดือดที่เขาเพิ่งประมูลได้ หลังจากเสนอราคาออกมา เขาก็ไม่ได้มองหน้าใคร ทำเพียงมองไปที่ไข่มุกในมือโดยไม่สนใจสายตาที่จ้องมองมาทั้งหมด

สำหรับมู่เฉินซึ่งถูกขัดจังหวะ เซี่ยหงก็ไม่สนใจที่จะมองราวกับว่าสิ่งที่เพิ่งทำไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึง

พฤติกรรมของเขาดึงดูดความประหลาดใจจากทุกคน เมื่อพิจารณาจากท่าทางแล้ว ดูเหมือนเซี่ยหงจะมีเรื่องบาดหมางกับมู่เฉิน…

“ไอ้เวรนั่น!”

สายตาของจิ่วโยวสาดไอเกรี้ยวกราดและเย็นเยือก เซี่ยหงจงใจเล็งหาเรื่องมู่เฉิน ชัดว่าไม่ต้องการเห็นมู่เฉินได้ของไปครอบครองอย่างง่ายดาย

ตรงข้ามกับจิ่วโยวที่โกรธเคือง สีหน้ามู่เฉินกลับไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปมาก เขาคงคิดถึงสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงเพียงแค่จ้องมองอย่างเงียบๆ ไปที่เซี่ยหงก่อนที่จะยิ้ม “สิบห้าล้าน”

เซี่ยหงลูบไข่มุกเบาๆ พูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง “สิบหกล้าน”

บรรยากาศในงานประมูลเริ่มเดือดขึ้นอีกครั้ง หากมู่เฉินและมู่ไป๋ทำไปแบบมิตรภาพ การแข่งขันราคาระหว่างมู่เฉินกับเซี่ยหงก็เท่ากับล้างบางกันแล้ว

จิ่วโยวสาดสีเย็นชาลงหลายส่วน นางกำกำปั้นความผันผวนของพลังงานที่น่าสะพรึงก็กระเพื่อมออกมาจากหมัด แม้แต่ผู้เฒ่าไป๋ ผู้บัญชาการสือและถานชิวที่นั่งอยู่ข้างหลังก็แสดงสีหน้าไม่ดีเช่นกัน

“สิบเจ็ดล้าน”

มู่เฉินรักษาเสียงราบเรียบไร้อารมณ์

เมื่อราคานี้เอ่ยขึ้นก็ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในโรงประมูล นี่มากเกินไป แม้แต่เซี่ยหงยังหยุดเล่นไข่มุกแล้วเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉินด้วยท่าทางหยอกล้อ “สหายใจกว้างจริงๆ งั้นข้าถอยให้แล้วกัน”

หลายคนถึงกับแอบเดาะลิ้น เซี่ยหงใจร้ายจริงๆ ดูจากท่าทางก็เห็นชัดว่าเขาไม่ได้สนใจภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์สักนิด แต่เหตุผลที่เขาเสนอราคาเพียงเพื่อให้มู่เฉินต้องจ่ายราคาสูงขึ้นอีกนิด ซึ่งเขาพอใจกับผลลัพธ์ที่ทำไป เนื่องจากทำให้มู่เฉินต้องจ่ายของเหลวจื้อจุนเพิ่มไปอีกห้าล้านหยด

“งั้นข้าก็ขอขอบคุณองค์ชายสี่”

ภายใต้การจ้องมองอย่างน่าสงสารของทุกคน มู่เฉินกลับไม่ได้ใส่ใจและยังยิ้มให้เซี่ยหง “แต่ข้าหวังว่าองค์ชายสี่จะไม่เสียใจที่ทำให้ข้าได้สิ่งนี้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าคิดว่าราคาที่เจ้าจะต้องจ่ายจะยิ่งกว่าของเหลวจื้อจุนสิบเจ็ดล้านหยดนี้”

คำพูดของมู่เฉินทำให้คนอื่นประหลาดใจ ต่างคิดว่าชายหนุ่มคนนี้โอหังไม่น้อย…

ทว่าม่านตาของเซี่ยหงกลับหดลงเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เขารู้สึกไม่สบายใจคลุมเครือ แต่จากนั้นก็ระงับความรู้สึกลงไปได้ จอมยุทธ์ระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าจะทำอะไรได้แม้จะมีภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ เมื่อกองทัพของแคว้นเซี่ยมาถึง ชายคนนี้ก็ถูกบดขยี้จนไม่เหลือซากได้ง่าย

ดังนั้นจึงเขายิ้มบาง ก่อนที่ริ้วเหยียดหยามจะเผยขึ้นที่มุมปาก “ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าจะรอ หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ”

มู่เฉินยิ้มไม่พูดอะไรต่ออีก

“ไอ้ตัวน่ารังเกียจ!” จิ่วโยวพูดด้วยเสียงเย็นชา แม้ของเหลวจื้อจุนห้าล้านหยดไม่ได้เป็นจำนวนเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำให้นางโมโหที่สุดคือวิธีของเซี่ยหง

“เขาคิดจริงๆ หรือว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์แหย่ได้ง่ายๆ?” ถานชิวโกรธจนหัวร้อนฉ่า สำนักของพวกเขาไม่เหมือนกับเมื่อก่อน แม้ภูมิหลังยังเทียบแคว้นเซี่ยไม่ได้ แต่ถ้าสู้กันจริงๆ แคว้นเซี่ยก็ไม่สามารถได้รับผลประโยชน์ใดๆ อย่างแน่นอน

ทว่าเผชิญหน้ากับความโกรธของพรรคพวก มู่เฉินก็โบกมือแล้วยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ข้าบอกแล้วไงองค์ชายสี่จะต้องเสียใจแน่นอนที่ให้ข้าได้ภาพพค่ายกลมาครอบครอง”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ เนื่องจากเขารู้สึกได้เบาบางว่าพลังของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง หากเขาสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ของที่สามารถซื้อได้ด้วยของเหลวจื้อจุนสิบเจ็ดล้านหยด

จิ่วโยวและพรรคพวกรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับศักยภาพของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร แต่ก็ต้องไม่ธรรมดาแน่นอนในเมื่อมู่เฉินกล่าวออกมาเช่นนั้น

ขณะที่พวกเขาสนทนากัน หานเฟยก็ปิดการประมูลสำหรับภาพค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ให้ผู้ดูแลส่งม้วนภาพนี้ไปให้มู่เฉิน แล้วเริ่มการประมูลของชิ้นที่สาม

นี่คือวิทยายุทธระดับเสินทงฉบับไม่สมบูรณ์ซึ่งทั้งโบราณและไม่ธรรมดา ทว่ามู่เฉินไม่สนใจจะประมูลอีกต่อไปเนื่องจากกินเยอะเคี้ยวไม่หมดเอา ตอนนี้เขาไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะรวบรวมสิ่งที่ไม่สมบูรณ์จำนวนมากเพื่อทำความเข้าใจ

ดังนั้นวิทยายุทธระดับเสินทงฉบับไม่สมบูรณ์จึงถูกประมูลโดยชิ้งหย่าในราคาสิบแปดล้าน…

เมื่อสิ้นสุดการประมูลของชิ้นที่สาม บรรยากาศในโรงประมูลก็ตึงเครียดถึงขีดสุด สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่ถาดเงินถาดที่สี่

คนส่วนมากมาที่นี่ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่วัตถุสามชิ้นแรก แต่เป็นวัตถุที่ได้สร้างคลื่นปั่นป่วนในเมืองในช่วงสองวันที่ผ่านมา…

บนแท่นประมูลหานเฟยกวาดมองสายตาร้อนแรงที่จ้องมองมา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขารับถาดเงินมาถือด้วยตนเอง ม่านแสงก็จางลงเผยสิ่งที่อยู่ในนั้น

นี่เป็นป้ายทองคำกระดำกระด่างวางบนถาด คำโบราณพร่ามัวสลักด้านบนที่ดูเหมือนคำว่า ‘สอง’…

สายตาของมู่เฉินเป็นประกาย นี่เป็นตราประจำตัวของจอมพลสองแน่แล้ว!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1092 ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร
โรงประมูลแห่งนี้มีผู้คนมากมาย

แต่แม้จะมีจำนวนมากมาย ทั้งโถงก็เงียบลงสายตาแต่ละคู่จ้องมองบนแท่นประมูล…

พูดให้ตรงก็คือพวกเขาจ้องมองไปที่ถาดเงินที่ถือโดยหญิงสาวสี่คนที่มีอักขระพลังหลิงปรากฏอยู่บนถาดที่ก่อตัวม่านแสงขัดขวางความผันผวนของพลังงานเพื่อไม่ให้ใครสัมผัสได้

หานเฟยกวาดมองสายตาร้อนแรงที่จ้องมองโดยรอบก็ยิ้ม “ขนาดของการประมูลครั้งนี้ไม่ใหญ่นัก แต่สิ่งของทั้งสี่ชิ้นนี้มีต้นกำเนิดจากวังสวรรค์บรรพกาล ผ่านกระบวนการคัดเลือกที่เข้มงวด…”

“งั้นขอเริ่มจากชิ้นแรกเลย”

หานเฟยโบกมือ หญิงสาวคนหนึ่งก็เยื้องย่างประคองถาดเงินออกมา ริ้วแสงบนถาดค่อยๆ จางหายเผยให้เห็นวัตุภายใน

ทุกคนมองไปก็เห็นหินอ่อนสีดำวางบนถาดที่ปกคลุมด้วยรอยด่างดำ รัศมีโบราณและลึกซึ้งเบาบางไหลพล่านออกมา

มู่เฉินหรี่ตาลงเมื่อจ้องมองหินอ่อนนั่น จากนั้นรอยแยกก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากเขา เมื่อแสงสีดำพวยพุ่งเขาก็มองทะลุผ่านหินอ่อนด่างดำเห็นพลังงานมหึมาบรรจุอยู่ภายใน

“นั่นคืออะไร?” จิ่วโยวถามด้วยความสงสัย หินอ่อนสีดำชิ้นนี้ดูธรรมดามากจากพื้นผิว

“น่าจะเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ ทรงพลังมากเลยทีเดียว” รอยแยกเล็กๆ บนหน้าผากปิดลง มู่เฉินพูดออกมาช้าๆ ด้วยพลังของเนตรดับชีวิตเขาสามารถมองเห็นพลังทรงประสิทธิภาพที่บรรจุอยู่ในหินอ่อนสีดำ ซึ่งพลังนี้ถือว่ายอดเยี่ยมมาก ไม่ด้อยไปกว่าเนตรดับชีวิตของเขาเลย

ความจริงนี้ทำให้มู่เฉินถอนหายใจด้วยความชื่นชม วังสวรรค์บรรพกาลพิเศษอย่างแท้จริง เพียงหินอ่อนชิ้นเดียวก็ทรงพลังได้ถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย เผชิญหน้ากับวัตถุแบบนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ถูกล่อลวงเอาได้

ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจด้วยความชื่นชม ทั้งโถงก็เกิดจลาจลย่อมๆ แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่นี่ไม่สามารถบอกได้ว่าหินอ่อนสีดำคืออะไร แต่ก็ยังมีคนที่มีความสามารถพิเศษในการสอดแนมได้ ดังนั้นไม่นานเสียงกระซิบก็ค่อยๆ ดังกึกก้องทำให้เกิดความปั่นป่วนไปหมด

“ฮ่าๆ ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายอาวุธชิ้นนี้เรียกว่าไข่มุกทะเลเดือดมีเพียงสมาชิกที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ในวังสวรรค์บรรพกาลเท่านั้นที่จะได้รับเป็นรางวัล นี่เป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่มีพลังในการแยกทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ไม่กล้าดูถูกเลยทีเดียว” หานเฟยยิ้มตาหยี

ความปั่นป่วนในโถงถูกต้มจนเดือดจากการอธิบายของหานเฟย ผู้คนนับไม่ถ้วนมองไปที่อาวุธเสมือนมหสวรรค์ด้วยสายตาลุกโชน กระทั่งในขั้วอำนาจระดับต้น อาวุธระดับนี้ก็หายากมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไข่มุกทะเลเดือดที่ทรงพลังกว่าอาวุธเสมือนสวรรค์ทั่วไปเลย

“ขอเสนอราคาเริ่มต้นที่ของเหลวจื้อจุนสิบล้านหยด เคาะครั้งหนึ่งต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งล้าน หากใครสนใจก็สามารถเรียกราคาประมูลได้เลย” หานเฟยยิ้ม

เมื่อราคาพูดออกมาก็ทำเอาความโกลาหลหยุดลงทันใด นี่เป็นจำนวนเงินมากพอดู หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากขั้วอำนาจชั้นสูงแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหยิบเงินจำนวนมากออกมาได้ด้วยตัวคนเดียว

นอกจากนี้แม้ว่าพวกเขาจะมี แต่ส่วนใหญ่ก็เก็บไว้ใช้เพื่อการเพาะบ่มขุมพลัง เพราะของเหลวจื้อจุนเป็นสิ่งจำเป็นในการฝึกยุทธ์ หากปราศจากสิ่งนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อความเร็วของการฝึกเช่นกัน

แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะชะงักไปด้วยราคาที่สูง แต่ก็มีจอมยุทธ์ชั้นสูงมารวมตัวกันอยู่ในเมืองซีขณะนี้และพวกเขาทั้งหมดก็เตรียมตัวมาอย่างดี ดังนั้นแม้จะเป็นเรื่องที่น่าปวดใจสำหรับราคานี้ แต่เมื่อคิดถึงพลังที่แข็งแกร่งเพียงนั้น พวกเขาก็กัดฟันเสนอราคา

“ของเหลวจื้อจุนสิบเอ็ดล้านหยด!” ที่ชั้นสองชายชุดขาวคนหนึ่งตะเบ็งเสียงออกมา ดึงดูดสายตาและเสียงกระซิบนับไม่ถ้วน

“นั่นประมุขน้อยสำนักหยกทองคำ ว่ากันว่าปัจจุบันเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด”

“ไม่แปลกใจเลยที่เขาใจกว้างแบบนี้ ของเหลวจื้อจุนสิบล้านกว่าหยด อาจทำให้ข้าบรรลุขั้นเจ็ดหรือขั้นแปดได้เลย”

ชายชุดสีขาวโบกพัดหยกในมือพลางยิ้มบาง เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่จ้องมองมาที่ตนเองแบบอิจฉา

แต่ก่อนที่เขาจะรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้นานก็ถูกเสียงหนึ่งรบกวนขึ้น “สิบสองล้านหยด!”

ใบหน้าชายชุดสีขาวแข็งทื่อแล้วก็หันขวับกลับมามอง ก็เห็นชายวัยกลางคนที่มีแผลเป็นนูนบนใบหน้า สายตาดุร้ายประหนึ่งหมาป่า ชัดว่าเป็นคนโหดเช่นกัน

“เฮ นั่นไม่ใช่ประมุขสำนักหมาป่าสวรรค์ตะวันตกเฉียงเหนือรึ? ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาที่นี่…”

มู่เฉินมองฉากตรงหน้าด้วยความสนุก แม้จะถูกล่อลวงโดยไข่มุกทะเลเดือด แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมการประมูลของชิ้นนี้ เนื่องจากเนตรดับชีวิตไม่ด้อยกว่าไข่มุกดำด่างนั่นเลย ดังนั้นไม่จำเป็นที่เขาจะต้องใช้เงินเพื่อซื้อหา ไม่งั้นต่อให้หอวิหคโลกันตร์จะไม่เหมือนในอดีต แต่ถังปิงคงมีใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำด้วยความโกรธ ถ้านางรู้ว่าเขาโปรยเงินออกไปอย่างสุรุ่ยสุร่ายแค่ไหน

ภายใต้การจ้องมองของคนนับไม่ถ้วนราคาของไข่มุกทะเลเดือดก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสูงจนถึงสิบสี่ล้าน ณ จุดนี้กระทั่งประมุขน้อยสำนักทองคำและประมุขหมาป่าสวรรค์ก็เริ่มหยุด ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปมาด้วยความลังเล

“สิบหกล้าน”

เสียงขี้เกียจดังก้องขึ้นขณะที่ทั้งสองมีท่าทางลังเล สิ่งนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของพวกเขา ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นเซี่ยหงกำลังทำท่าเกียจคร้านอยู่

พอเห็นว่าเซี่ยหงเป็นคนเสนอราคาประมูล ทั้งสองก็เปลี่ยนสีหน้ากระแทกตัวนั่งลง เห็นได้ชัดว่าพวกเขายอมแพ้อย่างไม่เต็มใจ

เพราะพวกเขาไม่สามารถรุกรานแคว้นเซี่ยได้และในแง่ของความมั่งคั่งก็ด้อยกว่าหลายเท่า

เซี่ยหงเหลือบมองทั้งสองคน ก่อนที่จะกวาดสายตาพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “มีใครเสนอราคาที่สูงกว่าข้าไหม?”

ในเสียงของเขาแฝงอาการเยาะเย้ย แม้จะทำให้เกิดความไม่พอใจกับหลายคน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร ของเหลวจื้อจุนสิบหกล้านหยดเทียบเท่ากับผลกำไรทั้งปีของบางขั้วอำนาจเลยทีเดียว

หานเฟยมองทุกคนที่นิ่งเงียบก็คลี่ยิ้ม “ในเมื่อไม่มีใครเสนอราคาที่ดีกว่านี้ ไข่มุกทะเลเดือดชิ้นนี้เป็นขององค์ชายสี่”

เขาปรบมือเบาๆ หญิงสาวก็ถอยหลังลงไปจากแทนประมูล ขณะเดียวกันหญิงสาวคนที่สองก็เดินออกมา

ทุกคนมองไปที่ไข่มุกทะเลเดือดที่จากไปก็ถอนหายใจก่อนที่จะให้ความสนใจกับถาดเงินที่สองต่อ

ผ่านการอุ่นเครื่อง บรรยากาศในการประมูลก็ยกระดับขึ้นอย่างชัดเจน หลายคนถึงกับถูมือเข้าด้วยกัน พวกเขาตื่นเต้นที่จะเห็นว่าถาดเงินลำดับต่อไปคืออะไร

เมื่อเห็นบรรยากาศนี้หานเฟยก็ไม่ชักช้ารีบโบกมือ ม่านพลังบนถาดที่สองหายไป เผยให้เห็นวัตถุภายใน

สายตาของมู่เฉินพุ่งไปที่แท่นประมูลกวาดมองวัตถุชิ้นที่สอง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสนใจขึ้น

เนื่องจากนั่นมีม้วนทองสำริดโบราณวางอยู่บนถาดเงิน ถึงแม้ว่าม้วนทองสำริดนี้จะดูขาดๆ หายๆ แต่ความผันผวนพิเศษก็ทำให้มู่เฉินเข้าใจว่านี่เป็นแผนภาพค่ายกล ซึ่งอย่างน้อยก็น่าจะอยู่ระดับเทียน

ขณะที่ความสนใจเพิ่มขึ้นในใจมู่เฉิน เสียงผิดหวังกลับดังก้องขึ้นในโถง คิดว่าคนส่วนใหญ่ในที่นี้รู้ว่านี่เป็นภาพค่ายกล ซึ่งจะมีประโยชน์ในมือของหลิงเจิ้นซือเท่านั้น ทว่าจำนวนของหลิงเจิ้นซือก็มีน้อยนัก

“ทุกท่าน ม้วนภาพนี้คือค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร… ล่ำลือกับว่าอยู่ในระดับจงซือ” หานเฟยอธิบายอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นความสนใจของผู้คนลดลง

“ระดับจงซือ?” ความโกลาหลระเบิดตามคำพูดดังกล่าว แม้แต่คนที่ไม่ได้เป็นหลิงเจิ้นซือยังมีแววตื่นตะลึงเขียนบนใบหน้า ค่ายกลระดับจงซือ? นั่นไม่ได้เทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุนหรอกหรือ?

ทุกคนรู้ว่าหลิงเจิ้นจงซือเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ดังนั้นค่ายกลระดับจงซือจึงมีพลังระดับตี้จื้อจุนเลยทีเดียว

นี่คือภาพค่ายกลที่แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดในทวีปเทียนหลัวก็คงไม่มีในครอบครอง แต่ขณะนี้กลับมาปรากฏขึ้นที่นี่รึ?

มู่เฉินก็ตกใจไปก่อนจะขมวดคิ้ว ตามการประเมินของเขา แม้ว่าม้วนภาพจะมีความผันผวนพิเศษปล่อยออกมา แต่ก็ไม่น่าอยู่ในระดับจงซือนะ

“เจ้าบอกว่าภาพค่ายกลนี้อยู่ในระดับจงซือรึ?” มีคนที่มีสายตาเฉียบแหลม ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงถามด้วยความสงสัยหลังจากตรวจสอบไปครู่หนึ่ง

หานเฟยหน้าม้านไปวูบหนึ่งเมื่อได้ยินจากนั้นก็ตอบว่า “แน่นอน ถ้านี่เป็นฉบับเต็มของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็จะเป็นภาพระดับจงซือแท้จริง”

“เจ้ากำลังบอกว่านี่ไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์เรอะ?” ทุกคนที่นี่ไม่โง่ พวกเขาเข้าใจความหมายในคำพูดของหานเฟยทันที

หานเฟยยิ้มแห้ง “ภาพค่ายกลนี้ยังไม่สมบูรณ์ก็จริง แต่ถึงกระนั้นกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดก็มีปัญหาในการเผชิญกับค่ายกลนี้”

เฮ้อ

เสียงผิดหวังดังทั่วโรงประมูล หลายคนถึงกับส่ายหัว พวกเขาไม่ใช่หลิงเจิ้นซือดังนั้นจึงไม่สนใจที่ใช้เงินเพื่อซื้อภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์หรอก

หานเฟยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้จากนั้นก็เอ่ยว่า “งั้นเริ่มการเสนอราคาวัตถุชิ้นที่สอง การเสนอราคาเริ่มต้นของภาพค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็คือของเหลวจื้อจุนห้าล้านหยด”

ห้าล้านหยดนับว่าถูกกว่าไข่มุกทะเลเดือดครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว แต่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครเสนอราคา แม้แต่พวกหลิงเจิ้นซือก็ยังนั่งไตร่ตรองกันอยู่ เนื่องจากพวกเขาไม่มั่นใจในการทำความเข้าใจค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ หากพวกเขาล้มเหลวนี่ก็จะเป็นขยะในมือ

การทิ้งของเหลวจื้อจุนห้าล้านหยดนี้ไปก็ถือเป็นความเจ็บปวดกับกระเป๋าเงิน

ด้วยความคิดเช่นนี้ทั้งโรงประมูลจึงเงียบเสียงลง

เมื่อหานเฟยเห็นสถานการณ์นี้ก็ส่ายหัวช่วยไม่ได้ ทว่าเขารู้ในวัตถุทั้งสี่ชิ้น ภาพค่ายกลเป็นของที่ปล่อยประมูลยากที่สุด

ดังนั้นหลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เตรียมพูดอีกครั้งเพื่อพยายามปลุกเร้าความสนใจของเหล่าหลิงเจิ้นซือ

แต่ขณะที่เขากำลังจะพูด เสียงอ่อนเยาว์ก็ดังก้องอยู่ในโถง

“หกล้าน”

หานเฟยอึ้งไปก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น ก็เห็นชายหนุ่มหล่อเหลามองมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1091 ประมูล
เช้าวันถัดมา

ในเมืองซีกำลังเดือดพล่านจากการรวมตัวของจอมยุทธ์ชั้นนำรุ่นใหม่ที่มาเมื่อวานนี้และข่าวเกี่ยวกับป้ายวังสวรรค์บรรพกาลที่ขยายออกไปไกล ซึ่งดึงดูดความสนใจผู้คนเป็นจำนวนมาก

จอมยุทธ์ทุกคนที่มารวมตัวกันในเมืองซีก็เพื่อวังสวรรค์บรรพกาล ตอนนี้มิติในดินแดนสุดขอบตะวันตกปั่นป่วน คนทั่วไปไม่กล้าเข้าไปบุ่มบ่าม ดังนั้นจึงต่างรอโอกาส ทว่าจู่ๆ ก็มีข่าวป้ายหลุดออกมา ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะดึงดูความสนใจผู้คน

แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่าป้ายลึกลับนั้นเป็นที่จับตามองของเหล่าขั้วอำนาจทรงพลังแล้ว ตามปกติไม่มีทางที่พวกเขาจะลงสู้ราคาแย่งชิงไหว แต่ใครๆ ก็ต่างมุ่งหวังที่จะให้มันตกอยู่ในมือจากโชคชะตา ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสที่ดีและในอนาคตพวกเขาอาจจะสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อก้าวขึ้นเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในทวีปเทียนหลัว จนเรียกลมสั่งฟ้าได้

ดังนั้นเมื่อเช้าวันที่สองมาถึง เสียงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปกคลุมทั่วท้องฟ้า ร่างแสงจำนวนมากมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ส่วนกลาง

มีโรงประมูลขนาดใหญ่อยู่ใจกลางเมือง ทว่าที่นั่นก็ร้างมาเป็นเวลาหลายปี แต่วันนี้กลับถูกเปิดใช้ใหม่ ความคึกคักนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าโรงประมูลใหญ่ๆ ในทวีปเทียนหลัวเลย

พื้นที่การประมูลส่วนใหญ่เป็นเก๋งจีน ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสามชั้น ชั้นล่างสุดเป็นที่นั่งระดับธรรมดา ขณะที่คุณภาพจะเพิ่มขึ้นในชั้นที่สูงขึ้นไป การตกแต่งหรูหราสามารถมองการประมูลทั้งหมดได้

ตอนนี้กลุ่มของมู่เฉินเข้ามานั่งในพื้นที่ชั้นสามของโรงประมูลแล้ว เขาปัดเบาะที่ทำจากขนของเสือดาวไฟน้ำแข็งเบาๆ เมื่อนั่งบนนั้นก็ราวกับจะจมลงไป ให้ความรู้สึกสบายอย่างยิ่ง

พวกนี้เป็นสิ่งที่ถานชิวเตรียมมา ซึ่งทำให้มู่เฉินอดถอนหายใจในใจไม่ได้ มีผู้ติดตามอยู่ใกล้ชิดนี่ดีจริงๆ ถ้าเขามาคนเดียวจะคิดได้รอบคอบเช่นนี้ได้อย่างไร

“ใครเป็นผู้จัดประมูล? กลุ่มเมื่อวานนี้เหรอ?” มู่เฉินถามอย่างสนใจ หากการประมูลครั้งนี้จัดขึ้นโดยคนที่กล่าวอ้างเมื่อวาน พวกเขาจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น

เมื่อได้ยินคำถามผู้เฒ่าไป๋ก็ตอบทันที “การประมูลจะจัดขึ้นโดยกลุ่มท้องถิ่น แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติใคร ฮ่าๆ ไม่มีใครยอมให้คู่ต่อสู้เป็นเจ้าภาพประมูลเพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกหลอกลวง ดังนั้นพวกเขาจึงแนะนำให้กลุ่มท้องถิ่นจัดการประมูลแทน”

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ

ขณะที่มู่เฉินกำลังพูดคุยกับผู้เฒ่าไป๋ บรรยากาศในโรงประมูลก็ถูกยกระดับขึ้นทันที มู่เฉินเบนสายตาก็มองเห็นคนหลายกลุ่มเดินเข้ามา

กลุ่มคนพวกนี้ไม่ธรรมดา ด้านหน้าสุดร่างสี่คนเดินนำช้าๆ ซึ่งพวกเขาก็คือเซี่ยหง มู่ซัน เจียงหลิงและชิ้งหย่า…

พวกเขาล้วนถูกจัดอยู่ในทำเนียบจอมยุทธ์ชั้นนำรุ่นใหม่ ดังนั้นการปรากฏตัวของพวกเขาจึงทำให้เกิดเสียงอุทานดังก้อง

“ฮ่าๆ แคว้นเซี่ยต้องการป้ายนี้ หากพวกเจ้ายอมถอยเพื่อประโยชน์แคว้นเซี่ยของข้า ข้าจะจดจำพระคุณนี้ไม่ลืม” เซี่ยหงจ้องมองฝูงชนในโรงประมูล จากนั้นก็หันหลังกลับมายิ้มให้อีกสามคน

ทว่ามู่ซันกลับยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดนั่น “ข้าให้ของเหลวจื้อจุนแก่เจ้าห้าล้านหยดเป็นการส่วนตัว แล้วเจ้าก็อย่ามาแย่งกับพวกเราเลย สำนักมังกรซ่อนของข้าไม่ลืมบุญคุณอย่างแน่นอน”

เขาไม่ได้ปกปิดคำเยาะเย้ยในคำพูด แม้ว่าแคว้นเซี่ยจะเป็นเจ้าเขตตะวันออก แต่ก็อยู่ห่างจากสำนักมังกรซ่อนของเขาไปหลายสิบล้านลี้ ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

ชิ้งหย่าป้องปากหัวเราะเบาๆ นางมองทั้งสองข่มใส่กัน ขณะที่พวกเขาสู้กันในศึกน้ำลาย เจียงหลิงก็ไม่ได้แสดงออกใดๆ เขายืนกอดกระบี่ยาวไว้ ท่าทางราวกับว่าเขาไม่ได้ยินเสียงกระทบกระเทียบของเซี่ยหงกับมู่ซัน

เซี่ยหงยิ้มด้วยดวงตาหรี่แคบลงขณะมองมู่ซัน “ในเมื่อเป็นแบบนั้นข้าก็หวังว่าประมุขน้อยมู่ซันจะนำของเหลวจื้อจุนมาเพียงพอนะ”

พูดจบเขาก็ขี้เกียจสนใจมู่ซันอีก เบนสายตาไปยังชิ้งหย่าที่งดงาม ยิ้มเอ่ยขึ้น “แม่นางชิ้งหย่า สนใจไปนั่งชมการประมูลครั้งนี้กับข้าไหม?”

“คิกๆ พวกเราต่างเป็นคู่ต่อสู้กัน คงจะทำให้อึดอัดใจกันซะเปล่าถ้านั่งด้วยกันนะ” ชิ้งหย่าหัวเราะเบาๆ ปฏิเสธคำเชิญของเซี่ยหงก่อนที่จะเดินขึ้นชั้นบนอย่างสง่างาม

เซี่ยหงไม่ได้ใส่ใจเรื่องการปฏิเสธ เขาเงยหน้าขึ้นมองร่างสะคราญโฉมของชิ้งหย่าด้วยดวงตาร้อนแรง ก่อนจะฉายทำท่าทางปกติเดินตามหลังนางไป

เมื่อเดินไปได้สักครึ่งทางเซี่ยหงก็รู้สึกว่าชิ้งหย่าหยุดฝีเท้าลง นางเงยหน้าขึ้นมองไปที่มุมหนึ่งแววประหลาดใจก็วาบผ่านนัยน์ตา

กวาดตามองตามนาง ดวงตาเขาก็หรี่ลงเพราะเขาเห็นมู่เฉินและจิ่วโยวที่ได้พบกันเมื่อวานนี้

“ทำไม? แม่นางชิ้งหย่ารู้จักพวกเขาหรือ?” เซี่ยหงถามเสียงต่ำ ด้วยข้อมูลมหาศาลของตึกฟ้าเหว นางน่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับคนแปลกหน้าเหล่านั้นดี

ชิ้งหย่าหยุดชั่วครู่ก่อนที่จะยิ้ม “ถ้าข้าเดาไม่ผิดพวกเขาน่าจะมาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ว่ากันว่าช่วงนี้มีสองคนขึ้นดำรงตำแหน่งจอมพลใหม่ จอมพลมู่และจอมพลจิ่วโยว ข้าว่าน่าจะเป็นทั้งสองนี่แหละ”

“ภูมิภาคทางเหนือ? อาณาเขตกงเวทสวรรค์? พวกเขาประเมินความสามารถของตนเองมากเกินไปแล้ว” เซี่ยหงอึ้งไปจากนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันก็ผุดที่มุมปาก ภูมิภาคทางเหนือถูกมองว่าเป็นสถานที่ห่างไกลของทวีปเทียนหลัว มิหนำซ้ำที่นั่นยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งโดยไม่มีเจ้าเขตแท้จริงแบบแคว้นเซี่ย สำหรับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ชื่อเสียงก็ไม่สลักสำคัญอะไรเลย

ตอนแรกเขาคิดว่าไอ้บ้านั่นต้องมีภูมิหลังที่ทรงพลังโดยดูจากท่าทางไม่แสดงความเคารพใดๆ ต่อเขา แต่ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่าแค่มาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์เล็กๆ เท่านั้น

ชิ้งหย่าเหลือบเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากของเซี่ยหง สายตานางกะพริบวูบหนึ่ง ดูเหมือนว่าเซี่ยหงจะมีปัญหากับจอมพลคนใหม่ทั้งสองเสียแล้ว

แต่ชัดว่าเซี่ยหงยังไม่รู้ว่าแม้จะยังไม่มีเจ้าเขตเหนือ แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็มีความโดดเด่นมากกว่าจากขั้วอำนาจชั้นสุงสุดอื่นๆ ที่นั่น แม้ว่ารากฐานของอาณาเขตกงเวทสวรรค์อาจยังอ่อนแอกว่าแคว้นเซี่ย แต่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้ว ไม่ได้ด้อยกว่าฮ่องเต้แคว้นเซี่ยเลย

ถ้าเซี่ยหงทำอะไรกับจอมพลทั้งสอง ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์คงไม่ยอมให้เรื่องนี้จบง่ายอย่างแน่นอน ในเวลานั้นแม้แต่ฮ่องเต้เซี่ยก็คงต้องปวดหัวหนักน่าดูเลยมั้ง?

แบบนี้ก็ดี…ให้แคว้นเซี่ยมีศัตรูเพิ่มขึ้นอีก

ความคิดนี้วาบผ่านในใจ ชิ้งหย่าก็เดินไปยังเก๋งจีนอีกมุมหนึ่ง เซี่ยหง มู่ซันและคนอื่นๆ ก็นั่งลงบนที่ที่จัดให้โดยมีคนมาคอยบริการ

มู่เฉินให้ความสนใจกับคนกลุ่มนี้ตลอด ดังนั้นจึงเห็นการสนทนาระหว่างเซี่ยหงและชิ้งหย่าและเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากของเซี่ยหง เมื่อคิดไตร่ตรองก็เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง

“ดูเหมือนว่าเราจะถูกประเมินต่ำไปนะ” มู่เฉินยิ้ม เอ่ยขึ้น

“ที่นี่ไม่ใช่ภูมิภาคทางเหนือ ไม่มีใครรู้จักเจ้าหรอก” จิ่วโยวล้อเลียน

“ข้าจะมีชื่อเสียงอะไรได้…” มู่เฉินส่ายหัวอย่างไม่ช่วยไม่ได้ เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “แต่ถ้าใครคิดว่าข้าเป็นคนยอมคน กลัวว่ามือจะโดนหักแทนน่ะสิ”

แม้จะเป็นการพูดสบายๆ แต่ก็มีความภาคภูมิใจแฝงอยู่ เขาเดินมาทีละก้าว…ละก้าวตลอดหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่เขาออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางเพิ่งเริ่มชำระร่างเทพสุริยะ จนกระทั่งบรรลุขุมพลังระดับนี้ เขาพบคู่ต่อสู้มากมาย แต่ท้ายที่สุดเขาก็เป็นคนสุดท้ายที่ยังยืนอยู่

ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าตนเองสามารถเผชิญหน้ากับคนรุ่นเดียวกันได้

ถ้าเซี่ยหงประพฤติตัวดีๆ ก็ช่างไป แต่ถ้าเขามีความคิดพิเรนทร์ มู่เฉินก็ไม่ใส่ใจที่จะให้เซี่ยหงรู้ว่าราคาจากความอหังการของตัวเองต้องจ่ายมากเท่าไร

พูดจบมู่เฉินก็หันหน้ากลับเห็นว่าจิ่วโยวจ้องมองเขาเงียบๆ จึงยกมือแตะหน้าตัวเองด้วยความสงสัย “มีอะไรเหรอ?”

จิ่วโยวอึ้งไปกับร่องรอยความคมชัดที่มู่เฉินปล่อยออกมา ก่อนที่นางจะถอนหายใจ มู่เฉินไม่ได้เป็นน้องชายที่ยังไม่โตอีกแล้ว ความมั่นใจของเขาก้าวข้ามอดีตมาไกล

หลายปีผ่านมาเขาเติบโตอย่างแท้จริง

“ตึ้ง!”

ขณะที่จิ่วโยวยังอยู่ในภวังค์ เสียงระฆังก็ดังขึ้นในโถงซึ่งปกคลุมไปด้วยความโกลาหลที่มาจากด้านล่าง ทุกคนค่อยๆ เงียบเสียงลง ความร้อนแรงเพิ่มในดวงตาเมื่อจ้องมองไปยังแท่นยกสูง ซึ่งมีชายวัยกลางคนเดินขึ้นไปบนแท่น

“ข้าชื่อหานเฟยจากสำนักตะวันตกเย็นเยือกและเป็นพิธีกรของการประมูลครั้งนี้…”

เมื่อเสร็จสิ้นคำพูดเขาก็โบกมือ หญิงสาวหลายคนก็เดินออกมาพร้อมกับถาดเงินในมือ

ถาดเงินถูกห่อหุ้มด้วยม่านพลังขัดขวางความผันผวนของพลังงานภายใน

สายตานับไม่ถ้วนจ้องไปบนถาดเงิน ไอร้อนแรงวูบไหวในดวงตา

หานเฟยยิ้มเมื่อเห็นภาพนี้

“ในเมื่อทุกคนไม่คิดรออีกต่อไป ข้าขอประกาศเริ่มการประมูล ณ บัดนี้”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1090 ป้าย
ในเมืองที่พลุกพล่าน

สายตาของมู่เฉินและเซี่ยหงปะทะกันพร้อมกับไอหนาวเหน็บ ความผันผวนของคลื่นหลิงกระเพื่อมรอบตัว แต่สุดท้ายพวกเขาก็ดึงพลังงานกลับคืนมา

ความคมชัดในสายตาของเซี่ยหงค่อยๆ หดกลับ ก่อนที่จะส่งรอยยิ้มบางจางให้มู่เฉิน ทว่ารอยยิ้มนั้นไม่มีความอบอุ่นสักนิด

มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้ม สีหน้านิ่งสงบ

“เฮ้ ดูเหมือนวังสวรรค์บรรพกาลจะดึงดูดผู้คนทุกประเภท” เมื่อเซี่ยหงเห็นทาทางที่สงบนิ่งของมู่เฉิน ดวงตาเขาก็หรี่แคบลงพลางพึมพำกับตัวเอง เขารู้สึกได้ถึงพลังของมู่เฉินที่อยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ทว่าชายคนนี้กลับไม่แสดงความนับถือต่อเขา ซึ่งทำให้เขาไม่พอใจมาก

ทว่าแม้จะไม่พอใจ แต่เซี่ยหงก็เป็นคนที่มีไหวพริบ ดังนั้นจึงไม่แสดงท่าทีอะไร เพราะจากพลังของมู่เฉินและจิ่วโยวน่าจะมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง หากเขาเคลื่อนไหวโดยประมาทไม่ตรวจสอบ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะดึงดูดปัญหาให้กับตนเอง

ด้วยเหตุนี้สายตาของเขาจึงกะพริบเบาๆ ก่อนที่จะถอนออกมา วางแผนจะให้คนไปตรวจสอบภูมิหลังของทั้งสอง หากพวกเขาไม่มีพื้นหลังใดๆ บางทีเขาอาจจะลงมือได้ หญิงสาวชุดดำทรงพลังและมีบุคลิกที่ยอดเยี่ยมซึ่งเหนือกว่าหญิงสาวทั้งหมดของเขา หากเขาสามารถมีหญิงสาวแบบนี้ในตำหนักสักคนเพื่อพาขึ้นเตียง เขาจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีกแน่นอน

พอแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ รอยยิ้มก็เผยบนมุมปาก ก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉินและจิ่วโยวจากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ สิงโตสายฟ้าปลดปล่อยเสียงคำรามกลายเป็นประกายสายฟ้ามุ่งไปยังทิศทางหนึ่งของเมือง

“สายตาของเจ้านั่นน่าเกลียดเกินทน” เมื่อเห็นว่าเซี่ยหงไปแล้ว จิ่วโยวก็พูดขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้ว แม้ว่าเซี่ยหงจะปกปิดความคิดเอาไว้ลึกซึ้ง แต่นางก็สามารถสัมผัสความคิดสกปรกด้วยประสาทสัมผัสเฉียบแหลมของตนเอง

ถ้าไม่ใช่เพราะเซี่ยหงมีภูมิหลังทรงพลังละก็ นางคงไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ “ระวังเขาให้มากเถอะ แต่หากเขาวางแผนบางอย่างจริงๆ ต่อให้เป็นองค์ชายแคว้นเซี่ยก็ต้องจ่ายราคาโหดหิน”

แม้ว่ารากฐานของแคว้นเซี่ยจะหยั่งลึกและทรงพลัง แต่ถ้าเซี่ยหงคิดร้ายกับจิ่วโยวจริงๆ มู่เฉินก็ไม่สนใจรายละเอียดพวกนี้เท่าไร หลายปีที่ผ่านมาคนที่ไม่พอใจเขาเคยมีน้อยด้วยเหรอ? เพิ่มแคว้นเซี่ยเข้าไปอีกสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร

มู่เฉินและจิ่วโยวหันไปพูดคุยกันเรื่องอื่น แต่ไม่นานความผันผวนของคลื่นหลิงที่รุนแรงก็ดังกระหึ่มมาจากขอบฟ้าที่ห่างไกลอีกครั้ง ผู้คนจำนวนมากก็เห็นร่างแสงหลายร่างพุ่งเข้ามา

ร่างเงาเหล่านั้นเปล่งคลื่นหลิงที่ทรงพลังและไร้ขีดจำกัด การมาถึงของพวกเขาทำให้เกิดความโกลาหลในเมือง

“นั่นคือประมุขน้อยแห่งสำนักมังกรซ่อน—มู่ซัน ว่ากันว่าเขาถูกจัดอยู่ในอันดับยี่สิบกว่าของทำเนียบด้วย”

เมื่อได้ยินเสียงเหล่านั้น มู่เฉินก็เบนสายตาไป มองเห็นมังกรขนาดใหญ่ขดตัวพันรอบพร้อมกับคำราม มังกรตัวนี้แปลกตา ถึงแม้จะมีสายเลือดของเผ่ามังกรก็ไม่ถือว่าบริสุทธิ์ ทว่าหากมีโอกาสมากพอก็อาจจะวิวัฒนาการกลายเป็นเทพอสูรของแท้ได้

ชายคนหนึ่งยืนอยู่บนหัวของมังกร เสื้อผ้าโบกสะบัดไปตามสายลม คลื่นหลิงที่ส่งออกไปทำให้มิติรอบตัวสั่นไหว

ชายคนนั้นขี่มังกรโดยไม่หยุดเข้าไปในเมืองซี

“ยังมีเจียงหลิงสำนักกระบี่แดนสรวง ว่ากันว่าเขาปิดตัวฝึกฝนในสุสานกระบี่ของสำนักและประสบความสำเร็จในก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้า”

หลังจากมู่ซันผ่านไป กระบี่เล่มหนึ่งก็ทะยานมาพร้อมกับชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนนั้น เขาพุ่งทะลุท้องฟ้าด้วยรัศมีคมกริบเข้าไปในเมืองซี

“จุ๊ๆ แม้แต่แม่นางชิ้งหย่าแห่งตึกฟ้าเหวก็มาด้วย ตึกฟ้าเหวเป็นแหล่งซื้อขายข้อมูล ซึ่งข้อมูลที่พวกเขามีคงดีที่สุด กระทั่งนางยังมา ดูท่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในเมืองซีแห่งนี้แล้ว”

จอมยุทธ์ที่เข้ามาตอนนี้เป็นหญิงสาวชุดสีแดง นางมีรูปลักษณ์ที่สูงส่งและร้อนแรง ทุกการแสดงออกดูทรงเสน่ห์นัก

นอกจากนี้คลื่นหลิงของนางยังถูกดึงกลับเข้าไปในร่างกาย ชัดเจนว่านางมีสมบัติซ่อนความผันผวนของพลังงานเอาไว้ เพื่อไม่ให้คนอื่นสามารถตรวจจับขุมพลังของนางได้ ซึ่งทำให้นางดูไม่อาจหยั่งรู้ยิ่งนัก

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

เสียงบินหวือดังกึกก้องอยู่บนท้องฟ้า ผู้คนจำนวนมากมาถึงโดยไม่ขาดบุคคลที่โด่งดังในทวีปเทียนหลัว ทำเอาเมืองซีเดือดพล่านไปเลย

ทิวทัศน์นี้กินเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะสงบลง แต่ลับหลังกลับเกิดการเคลื่อนไหวมากขึ้น เนื่องจากมีจอมยุทธ์มากมายมารวมตัวกันในเมืองซี ดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

ในโรงเตี๊ยมมู่เฉินและจิ่วโยวมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ สงบลงพลางฟังเสียงอุทานที่ดังขึ้นรอบๆ ท่าทางก็ตึงเกร็งขึ้น จอมยุทธ์รุ่นใหม่จำนวนมากรวมกันที่เมืองซีมากขนาดนี้ ดูท่าจะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่แล้ว

เพราะตอนนี้ทุกขั้วอำนาจในทวีปเทียนหลัวก็เล็งมาที่ดินแดนนี้ เนื่องจากความไม่มีเสถียรภาพของมิติจึงทำให้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังไม่กล้าเข้าไป ดังนั้นพวกเขาจึงส่งจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นนำเข้ามาเพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวังสวรรค์บรรพกาล

“ดูเหมือนเรามาถูกที่แล้ว…” จิ่วโยวมองไปที่มู่เฉินแล้วยิ้ม แม้ว่านางจะไม่ทราบเหตุผลที่แน่ชัดที่คนเหล่านี้มารวมตัวกัน แต่ต้องเกี่ยวข้องกับวังสวรรค์บรรพกาลแน่

“มารอข้อมูลของผู้เฒ่าไป๋กันเถอะ” มู่เฉินพยักหน้าขณะนี้โรงเตี๊ยมคึกคักไปด้วยเสียงคน พวกเขาต่างรู้สึกงงงวย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้

การรอของพวกเขากินเวลาไม่นาน ประมาณสองชั่วโมงผู้เฒ่าไป๋และถานชิวก็กลับมา

“ฮ่าๆ นายท่านสังเกตเห็นพวกหนุ่มสาวที่รวมตัวกันในเมืองซีแล้วใช่ไหม?” ผู้เฒ่าไป๋หัวเราะเบาๆ

มู่เฉินพยักหน้าถามว่า “ทั้งสองคนได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาไหม?”

ถานชิวยิ้ม “เราพบอะไรบางอย่าง ลือกันว่ามีกลุ่มเสี่ยงเข้าไปในมิติแตกสลาย หลังจากต้องจ่ายด้วยจำนวนสมาชิกครึ่งหนึ่ง พวกเขาก็ตะเกียกตะกายกลับมาที่นี่ได้ในวันนี้”

“พวกเขาเก็บเกี่ยวอะไรได้เหรอ?” สายตาของมู่เฉินขยับ ไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับการบาดเจ็บล้มตายหรอก แต่ถ้ากลุ่มนั้นไม่ได้มีการเก็บเกี่ยวที่ดีละก็ คงไม่มีใครเดินทางมาที่นี่เลย

ถานชิวพยักหน้า “พวกเขาได้รับบางสิ่งที่แปลกประหลาดมา ว่ากันว่าเมื่อพวกเขารับของชิ้นนั้น ทำให้เกิดลมพายุพลังหลิงขึ้นในวังสวรรค์บรรพกาล สมาชิกสิบกว่าคนกลายเป็นกองเลือดทันที ดังนั้นของนั่นน่าจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวังสวรรค์บรรพกาล”

“มันคืออะไร?” มู่เฉินเอ่ยถาม

“ดูเหมือนว่าจะเป็นป้ายชิ้นหนึ่ง” ผู่เฒ่าไป๋ตอบ

“ป้าย?” มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากัน สายตาเคร่งเครียดลงหลายส่วน ในซากโบราณ วัตถุประเภทป้ายเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุด เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นกุญแจไขอะไรได้ บางทีอาจทำให้ได้รับโอกาสยิ่งใหญ่จนแซงหน้าผู้อื่นไปได้

“นอกจากนี้ป้ายนั้นดูเหมือนจะถูกสลักด้วยคำโบราณว่า ‘สอง’…” ถานชิวเอ่ยเพิ่ม

“สอง?” หัวใจของมู่เฉินเต้นไม่เป็นส่ำ มั่นถัวหลัวเคยบอกเขาว่ามีจอมพลห้าคนในวังสวรรค์บรรพกาลและคนที่พวกเขาพบในสงครามล่าก็คือจอมพลสี่ หรือว่าป้ายนั่นจะเกี่ยวข้องกับจอมพลสองกัน?

มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยว นางก็พยักหน้ากลับมา ทั้งคู่ต่างคิดในสิ่งเดียวกัน

“จอมยุทธ์พวกนั้นมาที่นี่เพื่อสิ่งนั้นแน่” มู่เฉินเอ่ยอย่างช้าๆ

“ป้ายชิ้นนั้นจะแย่งชิงกันยังไง?” จิ่วโยวถาม แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทราบว่าจะใช้ป้ายได้อย่างไร แต่ก็เป็นการดีที่สุดที่จะได้รับ หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาจะได้รับประโยชน์เมื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล

“ฮ่าๆ จะยังไงอีกล่ะ? ตอนนี้มีจอมยุทธ์รุ่นใหม่มากมายมารวมตัวกันที่นี่ซึ่งต่างมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง จะให้ต่อสู้แย่งกันก็ไม่ได้หรอกมั้ง? หากเป็นเช่นนั้นอาจทำให้เป็นประโยชน์กับคนนอกซะอีก พวกเขาไม่ใช่คนโง่”

ผู้เฒ่าไป๋ยิ้ม “ดังนั้นจึงใช้วิธีที่สามัญที่สุด…การประมูล ผู้เสนอราคาสูงสุดจะได้รับไป”

มู่เฉินพยักหน้า ในสถานการณ์เช่นนี้ที่ทุกคนระแวงซึ่งกันและกัน ก็คงต้องใช้วิธียุติธรรมทางเดียว แต่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งถ้ามีการต่อสู้แอบแฝงเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของป้ายนั่น

“นายท่านคิดว่าเราควรทำอย่างไร?” ถานชิวถามเบาๆ

มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันพลางยิ้ม “จะมีอะไรอีก? ในเมื่อพบของดีเราก็ไม่ควรเพิกเฉย พรุ่งนี้เราจะเข้าร่วมการประมูลด้วย ถ้าได้รับมาจะเป็นการดีสุด”

ไม่เช่นนั้นหากป้ายวังสวรรค์บรรพกาลตกอยู่ในมือของคนอื่น อาจจะมีใครบางคนไม่พอใจและวางแผนแย่งมา ตอนนั้นพวกเขาก็ดูว่ามีโอกาสคว้าหรือไม่

ผู้เฒ่าไป๋ ถานชิวและผู้บัญชาการสือพยักหน้าแสดงให้เห็นว่าไม่คัดค้านอะไร

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ก่อนลุกขึ้นพร้อมกับจิ่วโยวเดินออกจากโรงเตี๊ยม เขาเงยหน้าขึ้นมองที่ใจกลางเมืองซี บริเวณนั้นเมฆพายุกำลังก่อตัว ดูราวกับว่าไม่นานจะมีพายุมา

มู่เฉินมองไปที่ทิศนั้น จากนั้นก็ก้าวออกไปด้วยรอยยิ้ม

พรุ่งนี้ให้ข้าได้สัมผัสกับพลังอันยิ่งใหญ่ของเหล่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่หน่อยนะ…หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังล่ะ

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1089 เซี่ยหง
เมืองซี

เป็นเมืองใหญ่ตั้งอยู่ที่ชายแดนตะวันตก แต่ในอดีตเมืองนี้เงียบเหงามาก ประชากรก็เหลือน้อยจนเมืองเกือบจะกลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว

ทว่าการปรากฏขึ้นฉับพลันของวังสวรรค์บรรพกาล ทำให้เมืองนี้ได้รับการฟื้นฟูให้รุ่งเรืองขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน

เมื่อกลุ่มของมู่เฉินปรากฏตัวบนยอดเขานอกเมืองซี พวกเขาก็เห็นร่างแสงเป็นริ้วปกคลุมท้องฟ้า เสียงที่ทำเอาแก้วหูแทบแตกดังกึกก้องไม่สิ้นสุด

ความผันผวนของคลื่นนับไม่ถ้วน ทำให้พลังงานในฟ้าดินเกิดปฏิกิริยาขึ้นบนท้องฟ้า สามารถรับรู้ได้แม้แต่ในระยะไกล

“การล่อลวงของวังสวรรค์บรรพกาลเป็นสิ่งไม่ธรรมดาแท้จริง สามารถทำให้เมืองแสนธรรมดากลายเป็นคึกคักขนาดนี้…” มู่เฉินถอนหายใจเมื่อเห็นภาพนี้ เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงประสิทธิภาพหลากหลาย เจ้าของคลื่นพลังเหล่านี้ทรงพลังมาก จนถึงจุดที่เขาต้องเผชิญหน้าด้วยความจริงจัง

ตามการประเมินของเขา ขนาดของจอมยุทธ์ในเมืองนี้เกินกว่าการรวมตัวของจอมยุทธ์ชั้นยอดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ซะอีก

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบพื้นผิว ไม่อย่างนั้นหากมั่นถัวหลัวเคลื่อนไหวละก็ ทั้งเมืองอาจราบเรียบเป็นหน้ากองได้เลย แต่ชัดว่าในเมืองนี้ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย

“ไปกันเถอะ”

มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็วแล้วทะยานออกไปโดยมีผู้บัญชาการทั้งสามตามหลังมา ร่างแสงห้าร่างเข้าร่วมกับการไหลของแสงบนท้องฟ้าพุ่งเข้าไปในเมือง

เมื่อเข้ามาพวกมู่เฉินก็มองหาโรงเตี๊ยมเพื่อปักหลัก ผู้เฒ่าไป๋และถานชิวออกไปหาข่าว ขณะที่ผู้บัญชาการสือติดตามมู่เฉินและจิ่วโยวประหนึ่งผู้พิทักษ์ที่ซื่อสัตย์

เมื่อมู่เฉินเห็นทั้งสามคนแยกกันทำงานเสร็จสรรพ ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในใจว่าเป็นการฉลาดที่พาพวกเขาทั้งสามร่วมเดินทางมาด้วย มิฉะนั้นเขาจะต้องวิ่งขวั่กหาข้อมูลรอบตัว

ยิ่งเมื่อผู้เฒ่าไป๋ที่มากประสบการณ์ออกโรง เขาและจิ่วโยวก็เพียงแค่รอข้อมูลที่รวบรวมมาเท่านั้น

โรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยเสียงคึกคัก ซึ่งก็ถูกส่งเข้ามาในโสตประสาทของมู่เฉินและจิ่วโยวอยู่ไม่น้อย ในสถานที่แบบนี้จะปะปนไปด้วยคนทุกประเภท ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการค้นหาข้อมูลไปรอบๆ

“ข้าได้ยินมาว่าฝั่งทิศเหนือของเมืองซีมีคนเคลื่อนไหวอีกแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นชายหนุ่มสวมชุดสีฟ้าอมเขียวถือหอกทองคำ พลังของเขานับว่าดีทีเดียว อย่างน้อยก็อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นแปดระยะปลายสุด”

“จุ๊ๆ นั่นคือหอกเทพทองคำ-หลิ่วหมิง เขามาจากภูมิภาคทางตะวันตก บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดระยะปลายสุดได้ตั้งแต่เยาว์วัย ช่วงนี้เขาท้าประลองจอมยุทธ์จำนวนมาก โดยมีหลายคนหมดท่าแพ้ไปแล้ว”

“เขามีความสามารถจริงๆ แต่ข้าว่าเขายังด้อยกว่าจอมยุทธ์กระบี่บัวหยกที่แสดงฝีมือเมื่อสองสามวันก่อน ตัดสินจากระดับพลัง ข้าคิดว่าเขาน่าจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ตอนที่ประลองกันเขาตัดแขนจอมยุทธ์ขั้นแปดสี่คนโดยการออกกระบวนท่าครั้งเดียว ช่างน่าเกรงขามอย่างแท้จริง”

“ยังมีอีกนะ ครึ่งเดือนก่อน…”

“…”

ข่าวทุกประเภทลอยเข้ามาในโสตประสาทของมู่เฉิน ทำให้เขาอึ้งไปเล็กน้อย ดินแดนสุดขอบตะวันตกแห่งนี้กำลังเป็นที่รวบรวมจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนของทวีปเทียนหลัว คนพวกนั้นจะต้องเป็นจอมยุทธ์ชั้นนำของคนรุ่นใหม่ถ้าอยู่ที่อื่น แต่ตอนนี้พวกเขากลับเผยตัวขึ้นทีละคน…ละคน

ครืน!

ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจกับจำนวนจอมยุทธ์มากพรสวรรค์ในเมืองซีแห่งนี้ ทันใดนั้นเสียงสายฟ้าก็ดังกึกก้องมาจากขอบฟ้า ปรากฏขึ้นในเมืองพริบตา

ในเมืองสายตานับไม่ถ้วนจ้องมองไปทางทิศนั้น จากนั้นก็เกิดเสียงอุทานไม่สิ้นสุด

มู่เฉินจ้องมองไปบนท้องฟ้าก็ต้องอึ้งไป จากนั้นก็ต้องเบะปาก นั่นเป็นเพราะตอนนี้สังเกตเห็นยานพาหนะที่หรูหราที่สุดในสายฟ้า รถม้าถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายมังกรสีทอง ความผันผวนอันทรงพลังได้ถูกปล่อยออกมาบ่งบอกว่านี่คืออาวุธเทพ

แน่นอนว่าที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่รถม้า แต่เป็นสิงโตสีเงินสี่ตัวที่กำลังลากรถโดยมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบที่ใต้ฝ่าเท้า ราวกับว่าพวกมันกำลังขี่สายฟ้าอยู่

นี่คือ…สิงโตสายฟ้าซึ่งมีสายเลือดของเทพอสูร เมื่อพวกมันโตเต็มวัยก็จะสามารถพัฒนาการเป็นเทพอสูรแท้จริงได้ ไม่คิดว่าจะถูกใช้เป็นยานพาหนะเช่นนี้

“ใครกันทำตัวดูเด่นจริงๆ?” จิ่วโยวขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่านางไม่ค่อยชอบใจกับคนที่ใช้เทพอสูรเป็นสัตว์เลี้ยง

มู่เฉินส่ายหัว ก่อนที่เสียงตื่นเต้นปนอิจฉาจะดังก้องออกมาจากโรงเตี๊ยม

“อลังการแบบนี้ ลวดลายบนรถแบบนี้ ท่าทางจะมาจากแคว้นเซี่ย…”

“จุ๊ๆ สมเป็นเจ้าเขตตะวันออกอย่างแท้จริง ไม่คิดว่าพวกเขาก็มาเช่นกัน ในรถม้านั่นจะต้องมีองค์ชายแคว้นเซี่ยแน่นอน”

“เฮ้ มีเสียงหัวเราะพะเน้าพะนอของหญิงสาวมาจากในรถม้า ดูท่าคนนี้จะชื่นชอบเรื่องดังกล่าว ในแคว้นเซี่ยนอกจากองค์ชายสี่เซี่ยหงแล้วก็คงไม่มีใครอื่น”

“โอ้? องค์ชายสี่เซี่ยหง? คนที่อยู่อันดับที่ยี่สิบของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัวเหรอ?”

“ก็เขาคนนี้แหละ มีข่าวลือว่าเขามีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแล้ว ทว่าเส้นทางการเพาะบ่มกลับมุ่งไปทางกามารมณ์ ซึ่งส่งผลให้เขาพัฒนาอย่างรวดเร็ว”

เมื่อมู่เฉินและจิ่วโยวได้ยินก็หรี่ตาลง ที่แท้ก็องค์ชายสี่แห่งแคว้นเซี่ย มิน่าล่ะถึงฟุ่มเฟือยแบบนี้ แคว้นเซี่ยทรงพลังและมีรากฐานหยั่งลึกในภูมิภาคทางตะวันออก

“แคว้นเซี่ยทรงพลังจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจ เทียบกับภูมิภาคทางเหนือที่มีความขัดแย้งไม่หยุด ภูมิภาคตะวันออกดูสงบกว่าเยอะ ซึ่งสาเหตุหลักก็เพราะมีแคว้นเซี่ยเป็นเจ้าเขตปกครองเอาไว้

จิ่วโยวพยักหน้ากำลังจะพูด แต่ความสนใจก็ถูกดึงดูดโดยเสียงในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง

“แม้ว่าเซี่ยหงจะใช้ได้ แต่เขาก็ยังจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับรัชทายาทเซี่ย”

“ฮ่าๆ แน่นอน ชื่อเสียงของรัชทายาทคนนี้กระจายไปทั่วทวีปเทียนหลัว ในฐานะอันดับสี่ของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเซี่ยหง” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความนับถือและเคารพต่อองค์ชายใหญ่แคว้นเซี่ย

เมื่อได้ยินคำพูดนั้นหัวใจของมู่เฉินและจิ่วโยวก็สั่นสะท้าน ท่าทางเคร่งเครียดลง รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยทรงพลังขนาดนั้นเชียว ถูกจัดอยู่ในอันดับสี่ของทำเนียบ ซึ่งแทบไม่ด้อยไปกว่าจาโหลหลัวเลย

แคว้นเซี่ยไม่สามารถมองข้ามได้อย่างแท้จริง ทวีปเทียนหลัวเป็นมหาทวีปที่มีจอมยุทธ์ชั้นสูงนับไม่ถ้วน

ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกับพลังของแคว้นเซี่ย ชายคนหนึ่งก็เดินออกจากรถม้าพร้อมกับหญิงงามขนาบทั้งสองข้าง

เมื่อเขาเดินออกมาก็ดึงดูดสายตาจ้องมองนับไม่ถ้วน เขาสวมเสื้อคลุมสีทอง ความสูงศักดิ์ปลดปล่อยออกมาจากร่าง ใบหน้าค่อนข้างขาวและมีรอยยิ้มที่อยู่ข้างริมฝีปากซึ่งดูร้ายไม่น้อย แต่ในเวลาเดียวกันก็มีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร

เขาคนนี้คือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเซี่ย…เซี่ยหง

เซี่ยหงจ้องมองจากด้านบน กวาดสายตาอย่างไม่แยแสราวกับจักรพรรดิเดินทางเยี่ยมเยือนในดินแดนทุรกันดาร ก่อนที่จะมองไปที่จิ่วโยวที่นั่งอยู่กับมู่เฉิน ด้วยสายตาอ่อนไหวต่อความงาม

วันนี้จิ่วโยวสวมชุดสีดำด้วยรูปร่างเพรียวบางและมีเสน่ห์จึงเน้นย้ำความประณีตหยดย้อย นางมีใบหน้าที่งดงามและนิสัยที่นิ่งสงบก็ทำให้ดูมีรัศมีเย็นชา นอกจากนี้หลังจากที่สายเลือดวิหคอมตะตื่นขึ้น รัศมีสูงส่งที่เปล่งออกมาจากสายเลือดก็ทำให้นางยิ่งพิเศษยิ่งกว่าเดิม

ดังนั้นเมื่อเซี่ยหงเห็นจิ่วโยวประกายแสงก็วูบวาบในดวงตาส่วนลึก

แต่ก่อนที่เขาจะมองได้นานอีกหน่อย จิ่วโยวที่รู้สึกถึง ใบหน้าสาดไอเย็นชาลง สายตาเยือกเย็นของนางกวาดออก ซึ่งทำให้สีหน้าของเซี่ยหงเปลี่ยนไป ชัดว่ารู้สึกถูกคุกคาม

“น่าสนใจ…”

เซี่ยหงยิ้มสบายๆ ไม่คิดว่าหญิงสาวไม่คุ้นหน้าคนนี้จะมีพลังที่น่าทึ่งซึ่งไม่อ่อนแอกว่าตนเอง

สายตาเซี่ยหงกะพริบวูบไหวทว่าก็ไม่ได้พลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า เขาพยักหน้ายิ้มให้จิ่วโยวจากระยะไกลช่างเป็นบุรุษเหลือเกิน โดยไม่สนใจมู่เฉินที่อยู่ด้านข้างสักนิด

ทว่าตอบสนองต่อท่าทางนั่น จิ่วโยวยังคงแสดงความเย็นชา แสงเย็นเยือกกลั่นตัวในดวงตา เตรียมจะขยับเข้าซัดจอมอวดตัว

แต่ขณะที่นางกำลังจะออกตัวแรง มู่เฉินก็ยื่นมือออกมาตบเบาๆ บนมือนางแล้วยิ้ม “ดูเหมือนว่าเสน่ห์ของเจ้าจะไม่น้อย ดึงดูดคนได้เยอะเลย”

เมื่อได้ยินการหยอกล้อ จิ่วโยวก็อดกลอกตาไม่ได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการแสดงออกที่เย็นชานี่อ่อนโยนกว่าหลายเท่า ซึ่งเผยให้เห็นถึงเสน่ห์ที่หายาก

เซี่ยหงก็สังเกตเห็นการกระทำของมู่เฉินและท่าทางของจิ่วโยว ทันใดนั้นดวงตาก็หรี่แคบลง ก่อนจ้องมองชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขามาก…

สัมผัสสายตาของเซี่ยหง มู่เฉินก็ยิ้มบางเงยหน้าขึ้นโดยไม่กลัวอีกฝ่าย

ในเมืองที่คึกคัก สายตาสองสายก็ฟาดฟันกันอย่างเยือกเย็นเงียบๆ

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1088 เมืองซี
ครึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา

ในครึ่งเดือนที่เตรียมการ มั่นถัวหลัวก็ตัดสินรายชื่อจอมยุทธ์ที่จะติดตามนางไปด้วย แม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่ทุกคนได้รับการคัดสรรอย่างดี แทบจะเลือกจอมยุทธ์ทรงพลังทุกคนของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไปหมด

ครั้งนี้ไม่เพียงแต่มั่นถัวหลัวจะมุ่งหน้าไปยังวังสวรรค์บรรพกาลเอง จอมพลทั้งห้าก็ออกโรงกันหมด กระทั่งเจ้าเมืองที่มีพลังโดดเด่นก็ถูกอนุญาติให้ติดตามไปด้วย จำนวนจอมยุทธ์ทั้งหมดมีประมาณห้าสิบคนเท่านั้น แต่คนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็มีขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า

การเดินทางไปยังวังสวรรค์บรรพกาลเต็มไปด้วยอันตราย ไม่มีใครรู้ว่าอันตรายแบบไหนที่รออยู่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่เป็นเรื่องฉลาดแน่ที่จะใช้กองทัพใหญ่ ดังนั้นการเลือกจึงมุ่งเน้นไปที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ

ทว่าครั้งนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ได้ไปสำนักเดียว พวกเขาจะรวมกับขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือจัดตั้งกองทัพพันธมิตร เนื่องจากการไปรวมตัวอาจจะล่าช้าไป มั่นถัวหลัวจึงสั่งการให้จิ่วโยวและมู่เฉินนำเหล่าผู้บัญชาการบางคนมุ่งหน้าไปยังวังสวรรค์บรรพกาลก่อนเพื่อรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ก่อนที่จะกองทัพใหญ่จะไปถึง

มู่เฉินเต็มใจที่จะนำคนไปก่อน เนื่องจากในหัวใจของเขาพลุ่งพล่านไปด้วยเรื่องวังสวรรค์บรรพกาลจนไม่อาจสงบลงได้จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะฝึกฝน ดังนั้นเขาจึงอยากออกเดินทางไปยังหน้างานเพื่อค้นหาข่าวสาร สถานที่แห่งนั้นอยู่ไกลจากภูมิภาคทางเหนือมาก แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแบบมั่นถัวหลัวก็ไม่สามารถทราบถึงข่าวสารข้อมูลที่นั่นได้ทุกอย่าง…

นอกรัศมีค่ายกลเคลื่อนย้ายเขตต้าหลัวเทียน

จิ่วโยวยืนอยู่ข้างๆ มู่เฉิน โดยมีคนสามคนยืนอยู่ข้างหลังด้วยความเคารพนับถือ ซึ่งประกอบไปด้วยชายชราชุดขาว ชายวัยกลางคนและหญิงสาว ชายชราชุดขาวปลดปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังออกมารอบตัวด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด เขาเป็นหนึ่งในคนที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการ รู้จักกันในนามผู้เฒ่าไป๋

แม้กระทั่งในบรรดาผู้บัญชาการ ความแข็งแกร่งของเขาก็ถูกจัดในอันดับต้นๆ นอกจากนี้เขายังมีประสบการณ์ยอดเยี่ยม เนื่องจากเขาเคยออกท่องยุทธภพไปทั่วทวีปเทียนหลัว ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ให้เขาติดตามไปด้วย

สำหรับชายวัยกลางคนและหญิงสาวพลังก็ไม่ได้เลวร้ายนัก เนื่องจากทั้งคู่อยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ช่วงนี้พวกเขาสองคนเข้ามาสานสัมพันธ์ที่หอวิหคโลกันตร์บ่อยมาก ในอดีตพวกเขาฝึกยุทธ์เป็นการส่วนตัว พึ่งพาตัวเองและโอกาสมาไกลถึงเพียงนี้ ดังนั้นจึงต้องการการคุ้มครองที่แข็งแกร่งที่สุดและแสวงหาทรัพยากรที่ดีกว่าในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นหอวิหคโลกันตร์ที่มีจอมพลสองคนจึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะสวามิภักดิ์

มู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจที่พวกเขาเข้าร่วม แต่พวกเขาทั้งหมดได้รับการทดสอบจากถังปิง ก่อนที่นางจะรายงานมู่เฉินและจิ่วโยว คนคู่นี้ใช้ความสามารถของตัวเองในการฝึกฝนและมีนิสัยอดทน ถือว่ามีศักยภาพและปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือพวกเขามีความภักดีไม่ใช่ประเภทที่จะแทงข้างหลัง

ถังปิงดูแลจัดการหอวิหคโลกันตร์มานานหลายปี ดังนั้นจึงมีสายตาเฉียบแหลม ทั้งมู่เฉินและจิ่วโยวก็ไว้วางใจนาง ซึ่งทำให้ทั้งสองคนได้เข้าร่วมกับหอวิหคโลกันตร์และได้ร่วมการเดินทางมายังวังสวรรค์บรรพกาลครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

“นายท่านมู่ ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้จะนำไปสู่เมืองที่อยู่นอกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จากนั้นพวกเราก็ต้องเปลี่ยนอีกสองสามครั้งเพื่อจะออกจากภูมิภาคทางเหนือได้อย่างรวดเร็ว” คนที่พูดขึ้นเป็นหญิงสาวสวมชุดยาวสีแดงที่เน้นรูปร่างยั่วยวน นางชื่อถานชิวเป็นผู้บัญชาการหญิงที่กำลังโดนรุมจีบจากพวกผู้บัญชาการชายหลายคน

“อืม”

มู่เฉินพยักหน้าก่อนที่จะแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยวพูดว่า “ไปกันเถอะ”

จิ่วโยวไม่มีข้อคัดค้าน ดังนั้นทั้งสองจึงก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย ประกายแสงกะพริบวูบไหวก่อนที่เงาจะหายไป

หลังจากที่พวกเขาไปแล้ว ชายชราก็มองไปที่หญิงสาวและชายวัยกลางคนพูดอย่างไม่รีบร้อน “ท่านประมุขส่งข้อความมา แม้ว่าจอมพลทั้งสองจะโดดเด่นแต่ก็ยังเด็กมาก พวกเราสามคนท่องยุทธภพมาหลายปีมีประสบการณ์ต่อโลกภายนอกช่ำชอง ดังนั้นจงระวังหากมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา เราจะไม่มีจุดจบที่ดีในอาณาเขตกงเวทสวรรค์แน่”

“ผู้เฒ่าไป๋พูดเรื่องอะไรกัน…ในเมื่อเจ้านายทั้งสองยินดีที่จะรับข้าไว้ ข้าก็จะตอบแทนพวกเขาด้วยชีวิตนี้” ถานชิวยิ้ม

“หากใครต้องการทำร้ายพวกเขา ก็ต้องข้ามศพของข้าไปก่อน” ชายวัยกลางคนร่างกำยำตบแผ่นอกผาง แม้จะดูไม่ค่อยฉลาด แต่ท่าทางแน่วแน่จริงจังมาก

การกระทำของชายคนนี้ราวกับก้อนหิน แข็งกร้าวยิ่ง ดังนั้นในอาณาเขตกงเวทสวรรค์จึงรู้จักกันในชื่อผู้บัญชาการสือ

ผู้เฒ่าไป๋พยักหน้าจากนั้นทั้งสามคนก็ก้าวเข้าไปในค่ายกลหายตัวไปในแสงที่วาบขึ้น มีเพียงความผันผวนเชิงมิติที่กระเพื่อมออก

สุดขอบทางตะวันตกของทวีปเทียนหลัว

ที่นี่เป็นดินแดนแห้งแล้งซึ่งมีภัยพิบัตินานัปการ ผืนดินเต็มไปด้วยสายลมดวงดาวที่สามารถแยกภูเขาออกจากกัน พายุหิมะเย็นสุดขั้วกวาดรัศมีนับแสนลี้ มีสัตว์อสูรประหลาดปรากฏตัว แม้จะมีสติปัญญาต่ำแต่ก็ยากที่จะรับมือ…

ภัยคุกคามหลากหลายที่นี่ ทำให้น้อยคนที่จะก้าวเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ นอกเหนือจากผู้ที่ตั้งใจมาล่าสัตว์อสูรและนักล่าขุมทรัพย์ โดยทั่วไปแล้วไม่มีจอมยุทธ์คนไหนอยากแหย่เท้าเข้าไปที่นี่หรอก

แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปตั้งแต่ครึ่งปีก่อน เนื่องจากในส่วนลึกของดินแดนนี้ มิติแตกร้าวสามารถมองเห็นภาพวังโบราณได้อย่างเลือนราง…

นั่นคือวังสวรรค์บรรพกาล!

ข่าวนี้ระเบิดตูมตามทั่วทั้งทวีปเทียนหลัว ในเวลาเดียวกันดินแดนแห้งแล้งนี้ก็กลับกลายเป็นที่นิยม มีเหล่าจอมยุทธ์จับกลุ่มมาที่นี่ราวกับฝูงตั๊กแตนบุก ทำให้สถานที่แห่งนี้คึกคักจนเทียบได้กับเมืองเฟื่องฟูที่สุดในศูนย์กลางของทวีปเทียนหลัว

กระทั่งจำนวนและประสิทธิภาพของจอมยุทธ์ยังยอดเยี่ยมกว่าเสียอีก

อาจกล่าวได้ว่าดินแดนสุดขอบตะวันตกได้กลายเป็นแกนกลางทวีปเทียนหลัวไปแล้ว ทั้งหมดนี้ก็เนื่องมาจากการปรากฏตัวของเจ้าทวีปอย่างวังสวรรค์บรรพกาล…

ขณะเดียวกันนี่ก็เป็นเป้าหมายของกลุ่มมู่เฉิน…

ระยะทางของดินแดนสุดขอบตะวันตกกับภูมิภาคทางเหนือห่างกันครึ่งทวีป

ระยะทางที่ไกลเช่นนี้ ถ้ามู่เฉินเดินทางโดยการเหาะเหินมาเอง เขาอาจจะใช้เวลามากกว่าครึ่งปี

โชคดีที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายเอาไว้ใช้ แต่ถึงกระนั้นครึ่งเดือนก็ผ่านไปเมื่อพวกเขาเริ่มเข้าใกล้ดินแดนสุดขอบตะวันตก

ในเมืองที่อยู่ใกล้กับดินแดนสุดขอบตะวันตก กลุ่มของมู่เฉินนั่งอยู่ในโรงน้ำชา ตอนแรกเมืองนี้อยู่ห่างไกลผู้คนมาก แต่เนื่องจากอยู่ใกล้ดินแดนสุดขอบตะวันตก ทำให้ตอนนี้ทั้งเมืองคลาคล่ำไปด้วยผู้คน มากเสียจนมีร่างแสงมากบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา ซึ่งชัดว่ามุ่งหน้าไปยังดินแดนสุดขอบตะวันตก

โรงน้ำชาเต็มไปด้วยผู้คน ทุกคนกำจายคลื่นหลิงรอบตัว ซึ่งบอกให้เห็นถึงพลังของพวกเขา

“นายท่านมู่ นายหญิงจิ่วโยว เรามาถึงเมืองที่ใกล้ที่สุดกับดินแดนสุดขอบตะวันตกแล้ว ซึ่งสิ้นสุดระยะค่ายกลเคลื่อนย้าย ต่อจากนี้ก็คงต้องเดินทางกันเองแล้ว” ถานชิวนั่งข้างมู่เฉินพูดด้วยเสียงนุ่มนวล

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ดินแดนสุดขอบตะวันตกทุรกันดารมาก ดังนั้นจึงไม่มีขั้วอำนาจใดมาโปรยเงินเพื่อตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นี่ แต่ก็ถือว่าโชคดีที่สถานที่นี้ใกล้มากแล้ว ด้วยความเร็วของพวกเขาน่าจะสามารถไปถึงได้ในเวลาไม่กี่วัน

“จากข้อมูลที่เรารวบรวมมาที่ชายแดนตะวันตกมีเมืองใหญ่ที่เรียกว่าเมืองซี นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดที่ใกล้ของดินแดนสุดขอบตะวันตก ขั้วอำนาจต่างๆ ก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น มิหนำซ้ำยังมีผู้ออกสำรวจโดยรอบแล้ว ดังนั้นเราน่าจะได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาลได้ที่นั่น” ผู้เฒ่าไป๋ตอบด้วยเสียงให้เกียรติ

“มีแม้แต่คนที่กล้าเสี่ยงจะเข้าไปในมิติแตกสลายรอบวังสวรรค์บรรพกาลจนได้รับสมบัติมาแล้วเปิดประมูลขายต่อในเมืองซี ทำให้ดึงดูดคนกันมาก”

“โอ้?” การแสดงออกของมู่เฉินเปลี่ยนไปเมื่อได้ยิน คนเหล่านั้นช่างไม่รักตัวกลัวตาย รอยร้าวมิติที่ปั่นป่วนรอบวังสวรรค์บรรพกาลนั้นความประมาทเพียงเล็กน้อยก็จะถูกดูดเข้าไปในมิติ ซึ่งเป็นการไม่ฉลาดเลยที่จะเข้าไปในตอนนี้

แต่ถ้าพวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้าง ก็อาจได้รับเบาะแสบางอย่างเพื่อให้ก้าวไปข้างหน้าได้ทันทีหลังจากเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล โอกาสยอดเยี่ยมนี้ ใครมาก่อนก็ได้ก่อน

“ดูเหมือนว่าเราต้องเดินทางไปที่เมืองซีสินะ” จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ

มู่เฉินพยักหน้าตอบ นอกเหนือจากนั้นยังมีจอมยุทธ์จากทวีปเทียนหลัวมารวมกันที่นั่น ไม่รู้ว่าเหล่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่จะมารวมอยู่ที่นั่นด้วยหรือไม่ เขาชักจะอยากรู้จักซะแล้ว

“ไปที่เมืองซีกันเถอะ”

เมื่อระงับความว้าวุ่นในใจลง มู่เฉินก็ลุกขึ้นยืนออกจากโรงน้ำชาไป เขาทะยานตัวขึ้นไปบนท้องฟ้ากลายเป็นร่างแสง ตามด้วยจิ่วโยวและคนที่เหลือที่ด้านข้างพุ่งหายไปในเส้นขอบฟ้า

ขณะที่กลุ่มของของมู่เฉินกำลังเดินทางไปเมืองซี ในเมืองที่ไกลออกไป หญิงสาวสวมชุดขาวก็เดินออกมาจากโรงเตี๊ยม ความงามของนางปานล่มเมือง ดวงตายิ่งเป็นที่ดึงดูดใจทำให้นางดูเหมือนกับภาพวาดเทพธิดา

ทว่านางเหมือนไม่ได้สนใจรัศมีราวเทพธิดาของตน กลับหยิบผลไม้หายากออกมาซึ่งเปล่งไปด้วยคลื่นหลิงที่น่าอัศจรรย์จากนั้นก็กลืนลงคอภายใต้สายตาร้อนแรงนับไม่ถ้วนที่จ้องมองมา ก่อนที่จะปัดมือพร้อมกับบ่นกับตัวเอง “เจ้านั่นก็อยู่ในทวีปเทียนหลัวนี่ ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ข้ายังติดหนี้บุญคุณเขาอยู่เลย…”

นางเอียงศีรษะเบาๆ อดไม่ได้ที่จะจือปากแล้วก้าวเดินออกไปอย่างสบาย ละทิ้งเมืองไว้ที่เบื้องหลัง

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1087 จาโหลหลัว
“จาโหลหลัว…”

ในสวนเงียบสงบ ดวงตาของมู่เฉินวูบไหวพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียดฉายขึ้น ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ยิ่งใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมั่นถัวหลัวถามว่า “เขาคือใคร?”

ภูมิภาคทางเหนือมีความขัดแย้งตลอด ซึ่งไม่ได้มีความสำคัญมากในทวีปเทียนหลัว ในขณะเดียวกันทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้รับข่าวสารเกี่ยวกับภูมิภาคอื่นๆ มากนัก ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินเคยได้ยินชื่อนี้

“เขาเป็นคนเก่งฟ้าประทานของตำหนักเทพปีศาจในภูมิภาคทางใต้ เฮ้ ชื่อเสียงของจาโหลหลัวยิ่งใหญ่กว่าเจ้าในทวีปเทียนหลัวมากเลยนะ”

มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินด้วยอาการหยอกล้อก่อนที่จะพูดต่อ “ภูมิภาคทางใต้มีขนาดใหญ่กว่าภูมิภาคทางเหนือ จาโหลหลัวคนนี้ก็มีส่วนช่วยอย่างมากในการรวบรวมเขตแดน สำนักและกองทัพนับไม่ถ้วนตายตกตามกันด้วยน้ำมือของเขา ไม่เพียงแต่ขั้วอำนาจนับไม่ถ้วนในภูมิภาคทางใต้จะสั่นไหวเมื่อได้ยินชื่อ แม้แต่ขั้วอำนาจในภูมิภาครอบข้างก็หวาดกลัวต่อเขาอย่างยิ่ง”

“ตอนนี้เขามีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ว่ากันว่าเมื่อเขาบรรลุขั้นนี้ เขาก็ไม่กลัวจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดแล้ว ความแข็งแกร่งน่าทึ่งมาก”

“ในทวีปเทียนหลัวเขายังได้รับการจัดอันดับสามบนทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ด้วย”

ริ้วความประหลาดใจวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน ถือเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจที่ได้ครอบครองอันดับสาม เพราะยังไงทวีปเทียนหลัวก็เป็นมหาทวีปในมหาพันภพซึ่งเต็มไปด้วยจอมยุทธ์มากมาย ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนคนหนึ่งจะโดดเด่นท่ามกลางเหล่าอัจฉริยะ

“มู่เฉินอยู่อันดับเท่าไร?” จิ่วโยวกลั้วหัวเราะจากด้านข้าง

มั่นถัวหลัวเหลือบมองมู่เฉินก่อนจะตอบว่า “ไม่มีใครจัดอันดับให้เขาเลย”

ความอับอายฉาบบนใบหน้าของมู่เฉิน ภูมิภาคทางเหนือไม่มีนัยสำคัญในทวีปเทียนหลัวเนื่องจากมีความขัดแย้งตลอดเวลาทำให้ไม่มีผู้ปกครองแท้จริง ดังนั้นมีคนไม่มากที่ให้ความสนใจกับภูมิภาคนี้ มิหนำซ้ำเขาก็หายตัวบ่อยครั้ง ดังนั้นจึงไม่เพียงพอที่เขาจะดึงดูดความสนใจของผู้อื่นและได้รับการจัดอันดับ

ทว่าจิ่วโยวกับมั่นถัวหลัวรู้เรื่องนี้ดี แต่ที่พวกนางส่งมุกกันก็ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะแซวเขา มู่เฉินจึงทำได้เพียงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เท่านั้น

ทว่าขนาดจาโหลหลัวที่ทรงพลังเช่นนี้ยังอยู่อันดับสามในทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัวเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัวแข็งแกร่งเพียงใด เมื่อเทียบกันแล้วก็บอกได้ว่าจอมยุทธ์ที่พบในดินแดนเสินโซ่ไม่มีอะไรเลย

แน่นอนมู่เฉินก็รู้ว่าแม้พวกที่เจอในดินแดนเสินโซ่จะเป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นสูงในเผ่าเทพอสูร แต่ก็ยังไม่ใช่จอมยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดอย่างไป๋หมิง เขาไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ชั้นนำในเผ่าหงส์ฟ้าด้วยซ้ำ

“แล้วที่มาตำหนักเทพปีศาจคืออะไรล่ะ?” มู่เฉินส่ายหัวไม่คิดมากต่อไปเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา

รอยยิ้มบนใบหน้าของมั่นถัวหลัวค่อยๆ จางหายไป ประกายเย็นยะเยือกฉายในม่านตาสีทองคำ น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยว่า “ตำหนักเทพปีศาจเป็นผู้ปกครองของภูมิภาคทางใต้ เจ้าตำหนักชื่อลู่หยวน ทุกคนตั้งฉายาเขาว่าจักรพรรดิปีศาจ เขาบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายมาหลายปีแล้ว”

“จักรพรรดิปีศาจลู่หยวน? เจ้ามีความขุ่นเคืองอะไรกับเขาหรือเปล่า?” มู่เฉินอึ้งไป ช่างเป็นฉายาที่ครอบงำจริงๆ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในคำพูดของมั่นถัวหลัว ซึ่งปลุกเร้าคำถามนี้ในตัวเขา

ภูมิภาคทางใต้และทางเหนือห่างกันเป็นพันล้านลี้ โดยมีดินแดนคั่นระหว่างนั้นอีกมากมาย แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังต้องใช้เวลานานในการเดินทางไกล แล้วทั้งสองเกิดความไม่พอใจต่อกันได้ยังไง?

“คนรู้จัก…” มั่นถัวหลัวตอบอย่างไม่แยแสแล้วพูดต่อ “คำสาปในร่างข้า โดนฝังเพราะมันนี่แหละ”

สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป เนื่องจากเขารู้คำสาปในร่างมั่นถัวหลัว ครั้งหนึ่งสิ่งนี้สร้างความทรมานให้นางไม่จบสิ้น ทำให้นางต้องอยู่ในห้วงนิทราเป็นเวลานาน หากนางไม่ได้พบกับมู่เฉิน นางอาจยังติดอยู่ในห้วงนิทราอยู่

ทว่ามู่เฉินไม่คิดเลยว่าการสาปแช่งนั้นเกี่ยวข้องกับลู่หยวนคนนี้

“ดูเหมือนว่าเราจะมีโชคชะตากันจริงๆ คนเก่งฟ้าประทานของตำหนักเทพปีศาจเป็นศัตรูของข้า ขณะที่เจ้าและจักรพรรดิปีศาจก็เป็นศัตรูคู่แค้นกัน” เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาของมั่นถัวหลัว มู่เฉินก็พูดอย่างช่วยไม่ได้

“ดังนั้นเจ้าจะต้องได้รับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ อย่าให้ตกอยู่ในมือของจาโหลหลัว!” มั่นถัวหลัวกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ดวงตาสีดำฉายแววแน่วแน่ เขาเข้าใจถึงความสำคัญของวิธีวิวัฒนาการสำหรับตนเอง เขาวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดก็ได้เห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ ดังนั้นเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ว่าชื่อเสียงจาโหลหลัวในทวีปเทียนหลัวจะโด่งดังแค่ไหน คนอย่างมู่เฉินก็จะสู้จนถึงที่สุดแน่

“จาโหลหลัวอาจรู้เกี่ยวกับหอคัมภีร์เทพซ่อนและทะเลสาบสวรรค์จากลู่หยวนเช่นกัน ดังนั้นเจ้าต้องระวังตัว”

มู่เฉินพยักหน้าอีกครั้งก่อนที่ส่งเสียงสงสัย “วังสวรรค์บรรพกาลหายไปนานหลายพันปี ข่าวคราวเรื่องนี้น่าจะถูกปกปิด ทำไมเจ้ากับลู่หยวนถึงรู้ล่ะ?”

สีหน้าของมั่นถัวหลัวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เพราะมันกับข้ามาจากวังสวรรค์บรรพกาล”

“อะไรนะ?” ม่านตาของมู่เฉินและจิ่วโยวเบิกกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อขณะมองมั่นถัวหลัว นางมาจากวังสวรรค์บรรพกาลรึ? วังสวรรค์บรรพกาลไม่ได้พินาศพร้อมกับการตายของจักรพรรดิฟ้าหลังสงครามใหญ่รึ? มั่นถัวหลัวกับลู่หยวนออกมาจากที่นั่นได้ยังไง?

ข้อมูลนี้ถือเป็นความลับสุดยอด กระทั่งในทวีปเทียนหลัวก็ไม่น่าจะมีใครรู้เรื่องนี้ มิฉะนั้นมั่นถัวหลัวและลู่หยวนคงไม่ได้รับความสงบสุขเช่นนี้

“สถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน ข้าไม่สามารถอธิบายได้ ความทรงจำของข้าช่วงนั้นคลุมเครือมาก ข้าได้ข้อมูลมาจากชิ้นส่วนความทรงจำที่เหลืออยู่น่ะ” มั่นถั่วหลัวโบกมือ ไม่ได้ชี้แจงอะไรเพิ่มเติม

เมื่อเห็นว่ามั่นถัวหลัวไม่ต้องการจะพูดต่อ มู่เฉินและจิ่วโยวก็ระงับความอยากรู้ไว้ในใจ ยามนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมั่นถัวหลัวถึงรู้เรื่องวังสวรรค์บรรพกาลละเอียดขนาดนี้ นั่นเพราะนางมาจากที่นั่น

“มีขั้วอำนาจทรงพลังไหนอีกมั่งที่ละโมบอยากได้วังสวรรค์บรรพกาล?” มู่เฉินเปลี่ยนหัวข้อ

“ขั้วอำนาจที่อยากได้วังสวรรค์บรรพกาลจะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไร?” มั่นถัวหลัวเบะปากขณะพูดต่อ “จากข้อมูลปัจจุบันที่ข้าได้รับผู้เข้าร่วมอย่างแน่นอนก็มีตำหนักเทพปีศาจจากภูมิภาคใต้ แคว้นเซี่ยจากภูมิภาคตะวันออก สำนักหงหวางจากภูมิภาคตะวันตก ราชาหมื่นอสูรจากภูเขาไป่วั้น และเจ้าวิญญาณแห่งเวิ้งโลกันตร์”

“ประมุขขั้วอำนาจเหล่านี้ล้วนมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายโดยมีรากฐานที่แข็งแกร่ง นอกเหนือจากพวกเขาก็มีจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงนอกทวีปที่เข้ามาเพราะข่าวนี้ด้วย”

มู่เฉินผงะไปเมื่อได้ยินคำพูดของนาง การรวมตัวที่ทรงพลังเช่นนี้อาจเป็นสุดยอดจอมยุทธ์เกือบทั้งหมดในทวีปเทียนหลัว ถ้าเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ ก็จะเป็นการทำลายอย่างแท้จริง

“พวกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะเข้ามาแทรกแซงด้วยหรือไม่?” มู่เฉินถามเสียงเบา แม้ว่าจะยากที่จอมยุทธ์ระดับนั้นจะถูกดึงดูดโดยซากโบราณธรรมดา แต่วังสวรรค์บรรพกาลแตกต่างออกไป ที่นั่นคือสุสานของจักรพรรดิฟ้า ซึ่งในสมัยโบราณจักรพรรดิฟ้าผู้นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดยุทธ์แม้กระทั่งในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน วิชาสามพิสุทธิ์ที่เขาฝึกฝนก็เป็นหนึ่งวิทยายุทธระดับเสินทางขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า ซึ่งแม้แต่จอมยุทธขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยังถูกดึงดูดเข้ามาด้วยสิ่งล่อลวงนี้

“ว่ากันว่าวังสวรรค์บรรพกาลอยู่ในมิติแตกสลาย ส่งผลทำให้พื้นที่มิติไหลเคลื่อนอย่างวุ่นวาย นอกจากนี้วังสวรรค์บรรพกาลยังเป็นดินแดนไร้เมตตา เนื่องจากที่นั่นเป็นสมรภูมิรบของจักรพรรดิฟ้าและจอมพลปีศาจซึ่งมีกับดักนับไม่ถ้วนซ่อนอยู่เบื้องหลัง กับดักเหล่านั้นคุกคามจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยิ่งนัก ดังนั้นข้าคิดว่าแม้จะถูกล่อลวงพวกเขาก็จะไม่มาเสี่ยง” มั่นถัวหลัวคิดสักพักแล้วเอ่ยออกมา

มู่เฉินรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่งเมื่อได้ยิน หากแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็มามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ พวกเขาคงไม่ได้รับอะไรเลย แม้จะมีการรวมตัวที่ทรงพลังพวกเขาก็ยังอ่อนแอเหมือนมดแมลงต่อหน้าจอมยุทธ์ระดับนี้

กระนั้นการแข่งขันเพื่อวังสวรรค์บรรพกาลก็ต้องดุเดือดที่สุดในรอบหลายหมื่นปีของทวีปเทียนหลัวแน่นอน

“แม้แต่ข้าก็จะถูกยับยั้งโดยวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นหากต้องแย่งชิงวิธีวิวัฒนาการร่างเทพ เจ้าก็ต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น ข้าไม่สามารถช่วยอะไรได้” มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินขณะเอ่ยเตือน

“สิ่งเดียวที่ข้าทำได้ก็คือกันลู่หยวนไม่ให้เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้”

“นั่นก็เพียงพอแล้ว!”

มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนหน้านั้นเหตุผลที่เขาเข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์และทำงานอย่างหนักเพิ่มสถานะของตัวเองก็เพื่อคำพูดเหล่านี้จากมั่นถัวหลัว นั่นเป็นเพราะถ้าเขาไม่มีภูมิหลัง ต่อให้เขาได้รับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะมา เขาก็ไม่สามารถนำออกมาได้อย่างราบรื่นหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย

มั่นถัวหลัวพยักหน้าแล้วสะบัดนิ้ว แสงสีทองบินไปทางมู่เฉิน

มู่เฉินคว้าแสงเอาไว้ในมือ ก่อนจะกลายเป็นม้วนคัมภีร์ทองคำโบราณ เมื่อมองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหดเกร็งดวงตา เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคยที่เกิดขึ้น นี่คือค่ายกล

“นี่เป็นค่ายกลระดับเทียนขั้นสูงรึ?” มู่เฉินหันไปมองมั่นถัวหลัวด้วยความประหลาดใจ

“ความสามารถของเจ้าเกี่ยวกับศาสตร์ค่ายกลเพิ่มขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ภาพค่ายกลชั้นสูงก็ยิ่งหายากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ช่วงนี้ข้าตามหามานานก็ได้รับมาแค่ม้วนเดียว” มั่นถัวหลัวตอบ

“ถึงเจ้าจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่ฝ่ายตรงข้ามที่เจ้าจะเผชิญคือจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นนำของทวีปเทียนหลัว ไม่ใช่คนที่มาจากภูมิภาคทางเหนือจะเทียบได้ ดังนั้นเจ้าต้องเตรียมตัวให้มากขึ้น”

มู่เฉินกำคัมภีร์สีทองอย่างช้าๆ จากนั้นก็มองดูมั่นถัวหลัวพยักหน้าหนักแน่น “ขอบคุณ”

เขารู้สึกได้ถึงความตั้งใจของมั่นถัวหลัว เพื่อช่วยเขา นางพยายามค้นหาภาพค่ายกล หากไม่ใช่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ตั้งมั่นแบบในปัจจุบัน คงยากสำหรับนางที่จะได้รับสิ่งนี้

มั่นถัวหลัวโบกมือแบบไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ก่อนจะเยื้องย่างนุ่มนวลจากไป เสียงของนางพลิ้วมาตามสายลม

“เตรียมตัวให้ดี เราจะเดินทางไปยังวังสวรรค์บรรพกาลหลังจากนี้อีกครึ่งเดือน!”

มู่เฉินมองไปที่ร่างเงาของมั่นถัวหลัวก็กำมือแน่นพร้อมกับดวงตาสีดำสนิทลุกโชติช่วงด้วยไฟการต่อสู้ แม้ว่าครั้งนี้เขาจะต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์รุ่นใหม่หัวกะทิของทวีปเทียนหลัว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างมู่เฉินจะยอมรับความพ่ายแพ้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มาสู้กันสักตั้งแล้วดูว่าใครจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย

มู่เฉินเลียริมฝีปากเกิดความคาดหวังในศึกวังสวรรค์บรรพกาลที่กำลังจะมาถึงแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1086 ความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาล
การประชุมราชันปิดม่านลง

ทว่าทั่วทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังคงอยู่ในบรรยากาศตื่นเต้น บางส่วนมาจากการเพิ่มจอมพลใหม่ แต่เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะการปรากฏของวังสวรรค์บรรพกาล

ทุกคนรู้ดีถึงความแข็งแกร่งในอดีตของวังสวรรค์บรรพกาล นั่นเป็นยักษ์ใหญ่แท้จริงและไม่มีขั้วอำนาจใดในทวีปเทียนหลัวปัจจุบันสามารถเทียบเคียงได้

ดังนั้นจึงไม่มีใครหน้าไหนในทวีปเทียนหลัวสามารถเผชิญหน้ากับซากโบราณที่เหลืออยู่ของสุดยอดสำนักเช่นนี้ด้วยจิตใจที่สงบได้ หากพวกเขาได้รับโอกาสในสถานที่แห่งนั้น พวกเขาจะก้าวกระโดดเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์กลายเป็นดาวจรัสแสง

ฉะนั้นการแข่งขันเพื่อวังสวรรค์บรรพกาลจะต้องเข้มข้นถึงขีดสุดตลอดหลายหมื่นปีของทวีปเทียนหลัว ทุกขั้วอำนาจที่พอมีฐานกำลังจะต้องเดินทางมาในครั้งนี้อย่างแน่นอน เพราะวังสวรรค์บรรพกาลดึงดูดใจล้นเหลือ

ขณะที่ทั่วทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์กำลังสนทนาในหัวข้อวังสวรรค์บรรพกาล หอวิหคโลกันตร์ก็ไม่ได้เงียบสงบเช่นกัน ตั้งแต่มู่เฉินและจิ่วโยวได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป้นจอมพล หอวิหคโลกันตร์ก็ก้าวไปสู่การเป็นหอที่ทรงพลังที่สุดและมีเสียงมากที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์

เนื่องจากนับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ไม่เคยมีตำแหน่งจอมพลสองคนอยู่ในหอเดียวกัน

ดังนั้นเมื่อการประชุมราชันได้ข้อสรุป หอวิหคโลกันตร์ก็กระจายความชีวิตชีวาต้อนรับแขกเรื่อที่มาเยือนไม่ขาดสาย ในเวลาเดียวกันแต่ละคนยังแสดงความตั้งใจหาที่คุ้มภัย เพราะแม้จะอยู่ในสำนักเดียวกันก็ยังคงมีการแข่งขันภายในเพื่อผลประโยชน์ หากพวกเขาสามารถได้รับการสนับสนุนจากจอมพลทั้งสอง ต่อจากนี้พวกเขาก็จะมีชีวิตสะดวกสบายมากขึ้นในสำนักแห่งนี้

ทว่าถึงหอวิหคโลกันตร์จะคึกคักอย่างยิ่ง แต่มู่เฉินกับจิ่วโยวรู้สึกหงุดหงิดมากที่ต้องเผชิญกับจอมยุทธ์ที่เข้ามาเยี่ยมเยือนไม่หยุด พวกเขาไม่ถนัดในการจัดการเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นสุดท้ายพวกเขาจึงผลักหน้าที่นี้ให้ผู้ดูแลหออย่างถังปิงและประกาศว่าจะเก็บตัวฝึกยุทธ์ ถึงได้รับความเงียบสงบลงบ้าง

ในสวนลึกของหอวิหคโลกันตร์

ที่นี่เป็นสวนเงียบสงบและงดงาม มีศาลาหินและลำธารไหลเอื่อย

จิ่วโยวนั่งอยู่บนก้อนหินในลำธารซึ่งสะท้อนภาพเงาเพรียวบางที่ถูกห่อหุ้มด้วยชุดที่ขับเน้นส่วนโค้งเว้าโดดเด่น ดวงตาของนางปิดอยู่ ความผันผวนของพลังงานแผ่ออกมา เปลวเพลิงอ่อนใสละเอียดหมุนวนรอบร่าง แม้ว่าเปลวเพลิงจะไม่ให้อุณหภูมิสูง แต่ก็ทำให้มิติโดยรอบบิดเบี้ยวจากแรงกดดัน

หลังจากนั่งสมาธิอย่างเงียบๆ มาสักระยะ นางก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นก็เหยียดแขนบิดตัวขี้เกียจ เผยโค้งเว้าอันน่าทึ่งซึ่งดึงดูดสายตาจากศาลาหิน

เมื่อรู้สึกถึงสายตาจ้องมอง จิ่วโยวก็กวาดสายตาดุกลับมา มู่เฉินไอแห้งตอบดึงสายตากลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นพลางมองไปที่ม้วนภาพค่ายกลในมือ

“หอวิหคโลกันตร์กำลังคึกคักแต่เจ้าสองคนกลับมาขลุกกันอยู่ที่นี่เรอะ” เสียงหยอกล้อดังก้องในสวน มิติบนลำธารบิดเบือนก่อนที่มั่นถัวหลัวจะเดินออกมา นางสวมชุดสีดำ ไม่มีความเฉยเมยหรือศักดิ์ศรีใดๆ บนใบหน้าเหมือนตอนเผชิญกับคนอื่น กลับยิ้มแย้มแทน

“คารวะท่านประมุข” จิ่วโยวคำนับทันทีที่เห็นการมาถึงของมั่นถัวหลัว

มู่เฉินวางม้วนภาพลงแล้วยิ้ม “เจ้าเตรียมพร้อมเรื่องพันธมิตรแล้วหรือ? หายากนักที่เจ้าจะมีเวลาว่างมาหาแบบนี้”

“ไม่มีอะไรที่จะต้องเตรียม คนเหล่านั้นไม่โง่และรู้ดีว่าการดึงดูดของวังโบราณเป็นอย่างไร ด้วยกองทัพพวกเขาอย่างเดียว ไม่สามารถผ่านเข้าไปแข่งขันกับขั้วอำนาจระดับสูงอื่นๆ ในทวีปได้ ดังนั้นพวกเขากระตือรือร้นในเรื่องพันธมิตรมากกว่าข้าซะอีก” มั่นถัวหลัวนั่งลงบนก้อนหิน แช่เท้าในลำธารเย็นฉ่ำ

พูดถึงตรงนี้ นางก็เหลือบมองมู่เฉินแล้วพูดต่อ “เจ้าเป็นคนที่ตั้งตารอให้วังโบราณปรากฏมากที่สุด แต่ยามนี้กลับยังคงนิ่งเหมือนภูเขาไท่ซันทั้งที่วังเผยตัวออกมาแล้วนะ?”

มู่เฉินยิ้มพูดว่า “แกล้งทำเป็นนิ่งเฉยๆ ด้วยความปั่นป่วนที่เกิดจากวังสวรรค์บรรพกาล ใครจะรู้ว่าที่นั่นดึงดูดขั้วอำนาจระดับสูงอื่นๆ แค่ไหน? ระยะเกือบจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าของข้าคงได้แต่มองดูเท่านั้น”

เมื่อข่าวของวังโบราณที่แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง มู่เฉินก็สงบความตื่นเต้นลง แม้เขาจะรอวันนี้มาตลอดนับตั้งแต่เขาได้รับร่างเทพสุริยะ แต่เขาก็รู้ว่าการแข่งขันที่นั่นจะเข้มข้นแค่ไหน จากสถานการณ์ในปัจจุบันแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอย่างมั่นถัวหลัวก็ไม่มั่นใจ ไม่ต้องพูดถึงพลังของเขาเลย พอฟังเหตุผลของเขา มั่นถัวหลัวก็ยิ้มบาง “ไม่มีประโยชน์กับคนทั่วไปที่จะรับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ เฉพาะผู้ฝึกที่ประสบความสำเร็จในการชำระร่างนี้เท่านั้นที่จะได้รับ ดังนั้นเจ้าอาจไม่มีคู่แข่งมากนัก”

พูดถึงจุดนี้ น้ำเสียงของนางก็เปลี่ยนไป “แต่ถึงแม้จะมีคู่แข่งน้อย ข้าก็กลัวว่าจะรุนแรงมาก”

มู่เฉินพยักหน้า จอมยุทธ์ที่เข้ามาช่วงชิงวิธีวิวัฒนาการโดยธรรมชาติจะต้องเป็นผู้ฝึกร่างเทห์สวรรค์นี้เช่นกัน ซึ่งในเวลาเดียวกันก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถและโอกาสที่ดีของคู่ต่อสู้ของเขา มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะเพาะบ่มร่างเทพสุริยะได้ภายใต้เงื่อนไขรุนแรงเช่นนี้

การต่อสู้กับจอมยุทธ์ชั้นสูงที่โดดเด่นเหล่านี้ ความรุนแรงของการต่อสู้จะต้องเหนือกว่าศึกอื่นๆ ที่มู่เฉินเคยผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นมู่เฉินก็ไม่กลัว

“วังสวรรค์บรรพกาลทรงพลังขนาดไหนตอนยังดำรงอยู่?” มู่เฉินไตร่ตรอง เขาคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาล เพื่อตัดสินใจว่าเขาจะวางแผนใช้กลยุทธ์ใดในสถานที่นั่นดี

“วังสวรรค์บรรพกาลแบ่งออกเป็นสิบตำหนักเจ็ดหอ ที่เราพบก่อนหน้าในสงครามล่าก็คือเจ้าหอสี่…ท่านจอมพลสี่ เหล่าจอมพลทั้งหมดเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม”

“ส่วนผู้บัญชาการตำหนักทั้งหมดแม้จะอ่อนแอกว่าแต่ก็บรรลุระดับตี้จื้อจุนทั้งสิ้น คนที่อยู่อันดับต้นๆ ได้เข้าสู่ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้วด้วย” มั่นถัวหลัวอธิบายอย่างช้าๆ

เมื่อได้ยินสีหน้ามู่เฉินและจิ่วโยวก็เปลี่ยนไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ แววตกตะลึงพาดผ่าน แค่พลังที่แสดงออกมาก็น่าสะพรึงเพียงนี้ วังสวรรค์บรรพกาลสมกับเป็นผู้ปกครองของทวีปเทียนหลัวจริงๆ

“นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด เนื่องจากวังสวรรค์บรรพกาลยังมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน” ขณะที่พูดสีหน้าของมั่นถัวหลัวก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน

ซื้ด

มู่เฉินและจิ่วโยวสูดลมหายใจเย็นเข้าสุดปอด ข้อมูลนี้เกินจากที่คาดหมายไว้ หรือว่านอกเหนือจากจักรพรรดิฟ้ายังมียอดยุทธ์อีกสองคนเรอะ?

มั่นถัวหลัวรู้ว่าทั้งคู่กำลังคิดอะไรก็ส่ายหัว “จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอีกสองคนถูกสร้างโดยจักรพรรดิฟ้า…”

“สร้างโดยจักรพรรดิฟ้า?” ทั้งคู่ต่างตะลึงงัน ชัดว่าไม่สามารถเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของมั่นถัวหลัวได้

เมื่อมองทั้งสองที่ตะลึงงัน มั่นถัวหลัวก็พูดต่อว่า “พวกเจ้ารู้เกี่ยวกับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าไหม? จักรพรรดิฟ้าครอบครองของหนึ่งในวิชานั้น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อวิชาสามพิสุทธิ์ สามารถแยกตัวเองออกเป็นสามคน สองร่างจะเป็นร่างรอง แต่เหมือนมีตัวตนเป็นของตัวเอง ซึ่งน่าอัศจรรย์มาก ร่างรองทั้งสองมีความแข็งแกร่งเท่าร่างหลัก ดังนั้นจักรพรรดิฟ้าจึงเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน”

“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า…” มู่เฉินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความรู้ที่ผ่านมาของเขาเกี่ยวกับคัมภีร์เทพเหล่านี้ เขารู้คร่าวๆ ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงแบ่งออกเป็นสามขั้นคือเล็ก-เต็ม-ยอดเยี่ยม ซึ่งมีช่องว่างระหว่างกันมาก ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า

แต่เมื่อคิดเกี่ยวกับวิชาหมัดปีศาจพลีชีพ วิทยายุทธระดับเสินทงที่เขาได้รับมา ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นขั้นเต็มอย่างสมบูรณ์ แต่พลังของวิชานี้ก็น่าทึ่งมากแล้ว ถ้าสูงกว่านี้ไปอีกสองขั้น มู่เฉินก็เริ่มเข้าใจแล้วว่ามันน่ากลัวอย่างไร

เพราะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแบบมั่นถัวหลัวก็ยังถูกล่อลวงด้วยวิทยายุทธเสินทงขั้นเต็ม สำหรับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยม นางก็คงไม่เคยได้รับ ส่วนขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน…คงเป็นคัมภีร์ที่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่จะไล่ล่าได้ ซึ่งอยู่ไกลเกินกว่าที่มู่เฉินจะเอื้อมถึง

“วังสวรรค์บรรพกาลเคยปกครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมด ดังนั้นภายในจึงมีแหล่งขุมทรัพย์ไม่มีใครเทียบได้อยู่มากมาย หากเจ้าเข้าไปข้างในจะต้องค้นหาแหล่งขุมทรัพย์สองแห่งให้ได้” มั่นถัวหลัวกล่าวขณะที่มองไปทางมู่เฉิน

“สองแห่งไหน?” มู่เฉินอึ้งไป

“หอคัมภีร์เทพซ่อนและทะเลสาบสวรรค์” มั่นถัวหลัวพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “หอคัมภีร์เทพซ่อนเป็นสถานที่เก็บคัมภีร์ของวังสวรรค์บรรพกาลหลากหลายหมวดหมู่ เจ้าสามารถค้นหาวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะที่นั่นได้”

“สำหรับทะเลสาบสวรรค์มีความสำคัญมาก เป็นดินแดนขุมทรัพย์ที่แม้แต่สมาชิกวังสวรรค์บรรพกาลยังปรารถนา นั่นเป็นเพราะทะเลสาบสวรรค์ประกอบด้วยพลังงานทรงประสิทธิภาพที่สามารถสร้างความมั่นคงให้กับรากฐานทางจิตวิญญาณและปลดห่วงตรวนเพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในภัยพิบัติ ในอดีตมีเพียงจอมยุทธ์ที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะได้รับโอกาสนี้”

ตอนแรกที่ได้ยินคำพูดของมั่นถัวหลัว ทั้งคู่ก็ยังคงสงบนิ่ง แต่เมื่อได้ยินว่าสามารถเจาะตรวนและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในภัยพิบัติ ทั้งสองก็ไม่สามารถระงับไฟที่ลุกโชติช่วงในดวงตาได้เลย

ทุกคนรู้ว่ามีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้มีอำนาจในมหาพันภพและสามารถปกครองภูมิภาคได้ แม้แต่ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ยังห่างไกลเป็นโยชน์

ทว่าแม้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจะทรงพลัง แต่ก็เพียงหนึ่งส่วนของระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้นที่สามารถบุกเข้าสู่ขุมพลังนี้ เหตุผลหลักใหญ่ที่สุดก็คือความน่ากลัวในภัยพิบัติซึ่งอาจส่งผลทำให้พวกเขาพังพินาศ

ดังนั้นโอกาสต่ำยิ่งในการผ่านภัยพิบัติจึงเป็นเหตุทำให้จอมยุทธ์จื้อจุนขั้นเก้าจำนวนมากไม่กล้าที่จะก้าวออกไปเพื่อเจาะตรวนบรรลุระดับตี้จื้อจุน กลัวว่าถ้าล้มเหลวจะถูกทำลายจนสิ้นซาก

ณ สถานะปัจจุบันของพวกเขาระดับตี้จื้อจุนไม่ได้อยู่ไกลเกินกว่าจะเข้าถึงอีกต่อไป ดังนั้นจึงพอข้อมูลในเรื่องนี้

“นอกจากนี้เจ้ายังต้องระวังจอมยุทธ์คนหนึ่ง ชื่อของเขาคือจาโหลหลัว เขาอาจจะเป็นศัตรูตัวกาจของเจ้าในการเดินทางไปยังวังสวรรค์บรรพกาลครั้งนี้” มั่นถัวหลัวหรี่ตาลงพลางกล่าวช้าๆ

“ศัตรูตัวฉกาจ?” มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะเรียกคืนสติอย่างรวดเร็ว ม่านตาถึงกับหดเกร็งทันที

คนที่สามารถให้มั่นถัวหลัวเอ่ยเตือนเขาอย่างจริงจัง เหตุผลเบื้องหลังชัดเจนมาก จาโหลหลัวผู้นี้… อาจจะเป็นหนึ่งในผู้ฝึกร่างเทพสุริยะ!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1085 ซากโบราณ
ในจัตุรัส

เมื่อได้ยินคำพูดของหลงปี้ ความโกลาหลก็กวาดไปทั่ว แต่ไม่มีความไม่อยากเชื่อเหมือนเมื่อครู่กลับเต็มไปด้วยอาการทอดถอนหายใจแทน

เนื่องจากมู่เฉินพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งพร้อมกับพลังการต่อสู้ทรงประสิทธภาพของจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าที่สู้กับขั้นเก้าระยะต้นตัวจริงได้!

เขามีคุณสมบัติแท้จริงที่จะก้าวขึ้นตำแหน่งจอมพล

“น่าเกรงขามมาก” ซิวหลัวมองร่างอ่อนอาวุโสในจัตุรัส ใบหน้าที่มักไม่มีอารมณ์ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่จะถอนหายใจ

เมื่อนึกย้อนกลับไปตอนที่มู่เฉินเพิ่งจะมาถึงอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาเป็นเพียงแม่ทัพตัวจ้อยเท่านั้น แต่หลังจากผ่านไปหลายปี เขาก็ก้าวข้ามทุกคนขึ้นดำรงตำแหน่งจอมพล

เหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิมคนอื่นก็ถอนหายใจ เนื่องจากพวกเขาถือได้ว่าเห็นการทะยานขึ้นสวรรค์ของมู่เฉินจากพื้นล่างจนถึงสูงสุดที่น่าอัศจรรย์ในในปัจจุบัน

“เสี่ยยิง พวกเจ้าสองคนมีเรื่องบาดหมางกันในอดีตมากมายนี่” เลี่ยซันจ้องมองไปที่เสี่ยยิงแล้วเอ่ยหยอก ย้อนกลับไปตอนที่จิ่วโยวเพิ่งกลับมาก็เกิดความขัดแย้งหลายเรื่องระหว่างนางกับเสี่ยยิง ทำเอาทั้งสำนักปั่นป่วนไปหมด

เสี่ยยิงมีสีหน้าอึกอักหลังจากได้ยินเรื่องนี้ หากเขารู้ว่ามู่เฉินและจิ่วโยวจะมาไกลขนาดนี้ ในอดีตเขาก็ไม่กล้าทำผิดกับอีกฝ่าย แต่โชคดีที่แม้จะมีความขัดแย้ง แต่ก็ไม่ได้ล้ำเส้น ไม่อย่างนั้นเขาคงตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวในขณะนี้

ผู้บัญชาการคนใหม่อื่นๆ ก็แอบกระซิบกระซาบกัน สถานการณ์ปัจจุบันเกินความคาดหมายของทุกคน ไม่มีใครคิดว่าหลงปี้และผู้เฒ่าคูจะแพ้ในการพิธีมอบยศราชันครั้งนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้มู่เฉินกับจิ่วโยวก็จะขึ้นเป็นจอมพลอันดับสี่และห้า

เมื่อมีการเพิ่มสองตำแหน่งจอมพลก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงในสำนักแน่นอน เนื่องจากอำนาจของจอมพลในเขตปกครองยิ่งใหญ่มาก มากจนสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับทรัพยากรที่จะจัดสรรให้กับเหล่าผู้บัญชาการ

ผู้บัญชาการที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่บางคนถึงกับครุ่นคิดว่าควรแสดงความตั้งใจจะพินอบพิเทาเพื่อรับการสนับสนุนจากจอมพลทั้งสองหรือไม่

จัตุรัสร้อนระอุด้วยความปั่นป่วนและความคิดที่แตกต่าง แต่เหล่าจอมพลทั้งสามกลับมีรอยยิ้มบนใบหน้า เนื่องจากจิ่วโยวและมู่เฉินถือได้ว่าสมาชิกเก่าของสำนัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความกินแหนงแคลงใจมากเเกี่ยวกับทั้งคู่ที่รับตำแหน่งใหม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ดีกว่าหลงปี้และผู้เฒ่าคู

มั่นถัวหลัวยืนขึ้นเบื้องหน้าบัลลังก์ แม้ว่าตัวนางจะดูเล็กกระทัดรัด แต่เมื่อยืนขึ้นจัตุรัสที่มีแต่เสียงอึกทึกก็นิ่งเงียบ ทั้งสมาชิกเก่าและใหม่ของสำนักต่างมองมาทางนางด้วยสายตาเคารพนับถือ

ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย จอมยุทธ์อันดับหนึ่งของภูมิภาคทางเหนือ ล้วนเป็นฉายาที่ทำให้มั่นถัวหลัวกลายเป็นจอมยุทธ์ที่โด่งดังที่สุดในเวลานี้

“จากบทสรุปของการประลอง จากนี้เป็นต้นไปอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมีจอมพลเพิ่มอีกสองคน จอมพลมู่และจอมพลจิ่วโยว” เสียงนุ่มนวลของมั่นถัวหลัวครอบคลุมไปทั่วเขตแดน

“ขอแสดงความยินดีกับท่านจอมพลทั้งสองสำหรับตำแหน่งใหม่!

น้ำเสียงแสดงความเคารพดังสะท้อนก้องพร้อมกับสายตาอิจฉาพุ่งไปที่ทั้งสอง นี่ถือเป็นครั้งแรกของอาณากงเวทสวรรค์ที่มีจอมพลอายุน้อยเพียงนี้

ทว่าขณะที่ผู้ชมอิจฉาความเยาว์วัยของทั้งสอง ก็ตกใจไปกับพรสวรรค์และพลังของทั้งคู่เช่นกัน พวกเขาสามารถประลองกับหลงปี้และผู้เฒ่าคูซึ่งเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในภูมิภาคทางเหนือได้ตั้งแต่อายุเท่านี้ พรสวรรค์นี้ทำให้ทุกคนรู้สึกอิจฉาอย่างแท้จริง

มั่นถัวหลัวกวาดมองไปที่หลงปี้และผู้เฒ่าคูกล่าวปลอบว่า “ไม่จำเป็นต้องเสียใจกับความล้มเหลวนี้ พวกเจ้าทั้งสองมีพลังพอที่จะได้รับตำแหน่งจอมพล เพียงแค่ขาดระยะเวลาในสำนักเท่านั้น”

ทั้งคู่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าและพลังของพวกเขาก็มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นมั่นถัวหลัวจึงต้องเอ่ยปลอบใจเพื่อไม่ให้พวกเขาเกิดความไม่พอใจ

แน่นอนว่าจอมยุท์ทั้งสองคนนี้มีจิตใจที่หยิ่งยโส ถ้าได้รับตำแหน่งจอมพลตั้งแต่แรกอาจทำให้เย่อหยิ่งในอนาคต ซึ่งนั่นไม่เป็นเรื่องดีสำหรับสำนัก ดังนั้นมั่นถัวหลัวจึงดีใจที่เห็นทั้งมู่เฉินและจิ่วโยวเอาชนะพวกเขาและได้รับตำแหน่งจอมพลแทน

เมื่อได้ยินคำพูดประโลมใจของมั่นถัวหลัว สีหน้าของหลงปี้และผู้เฒ่าคูก็ดีขึ้นเล็กน้อย หลังจากประสบกับเหตุการณ์นี้ ความเย่อหยิ่งในใจก็ลดลงไปหลายส่วน

ย้อนกลับไปตอนที่พวกเขาเข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเขาจ้องตาเป็นมันที่ตำแหน่งระดับสูง เพราะนอกเหนือจากมั่นถัวหลัว ก็มีเพียงซุยนอนเท่านั้นที่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว กระทั่งเทียนจิ้วและหลิงถงพวกเขายังไม่วางไว้ในสายตา เนื่องจากตอนที่พวกเขาบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าและกลายเป็นจอมยุทธ์ชั้นนำของภูมิภาคทางเหนือ จอมพลทั้งสองยังอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นแปดเท่านั้น

ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกอย่างเป็นธรรมชาติว่าหลังจากเข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะได้รับตำแหน่งจอมพลซึ่งถัดจากมั่นถัวหลัวเท่านั้น ในแง่ของสถานะไม่มีใครที่มีคุณสมบัติสามารถแข่งขันกับพวกเขาได้

แต่ใครจะไปคิดว่ามู่เฉินและจิ่วโยวจะปรากฏตัวในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ทำลายความมั่นใจในตัวเองของพวกเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ

เมื่อมองดูแบบนี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ลึกเกินหยั่งและไม่สามารถมองข้ามได้ ดังนั้นพวกเขาต้องปรับทัศนคติใหม่

คิดถึงจุดนี้ หลงปี้และผู้เฒ่าคูก็แอบพยักหน้า ประสานมือโค้งคำนับให้มั่นถัวหลัว เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนท่าทางพวกเขาเต็มใจมากขึ้น

ความวุ่นวายในจัตุรัสยังไม่ได้หยุดลง เมื่อชื่อจอมพลทั้งสองเผยออก วัตถุประสงค์ของการประชุมราชันครั้งนี้ก็ถึงฉากจบแล้ว มั่นถัวหลัวกวาดสายตาไปโดยรอบก่อนจะพูดว่า “ทุกคนน่าจะรู้กันว่าซากโบราณของวังสวรรค์บรรพกาลได้ปรากฏขึ้นแล้วในทวีปเทียนหลัว”

ทั่วบริเวณเงียบกริบฉับพลันจากคำพูดของนาง ดวงตาลุกเป็นไฟ ข่าวเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาลกระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้าของทวีปเทียนหลัว แม้แต่ภูมิภาคทางเหนือก็ยังพูดถึงเรื่องนี้อย่างร้อนแรง

วังสวรรค์บรรพกาลเป็นขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่และเป็นขั้วอำนาจหนึ่งเดียวที่เคยปกครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมด เจิดจรัสแม้แต่ในสมัยโบราณซึ่งเต็มไปจอมยุทธ์ทรงพลังมากมาย

นั่นเป็นเพราะผู้ก่อตั้งเป็นหนึ่งในเก้าจักรพรรดิในสมัยโบราณ—จักรพรรดิฟ้า!

ทว่าวังโบราณได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อเผ่าปีศาจต่างมิติบุกเข้ามา แม้ว่าจะมีข่าวออกมาเป็นครั้งคราว แต่เมื่อตรวจสอบทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นข่าวโคมลอย

ทว่าคราวนี้ทุกคนรู้ว่าข่าวนี่เป็นของจริง!

นั่นเป็นเพราะขั้วอำนาจทรงพลังทั้งหมดที่มีความละโมบอยากครอบครอบขุมทรัพย์โบราณนี้ ต่างได้ให้ความสนใจต่อซากอารยธรรมโบราณแห่งนี้

“วังโบราณระดับนี้เต็มไปด้วยโอกาสมากมายกระทั่งคนอย่างข้ายังอดใจสั่นไม่ได้ ข้าได้ทำการตกลงกับขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ของภูมิภาคทางเหนือ เราจะเข้าร่วมศึกนี้ในฐานะพันธมิตรกัน!” เสียงของมั่นถัวหลัวดังก้อง ทำให้ไฟที่ลุกโชนในดวงตาของทุกคนแกร่งกร้าวขึ้น

พวกเขาไม่สงสัยในคำพูดของมั่นถัวหลัวเลย วังสวรรค์บรรพกาลที่ทิ้งไว้โดยจักรพรรดิฟ้า โอกาสในนั้น ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเลย ต่อให้เป็นขั้นเต็มหรือแม้กระทั่งคนที่มีคุณสมบัติก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนก็ยังถูกล่อลวงมาด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่าสิ่งนี้ช่างดึงดูดใจนัก วังสวรรค์บรรพกาลเคยอยู่ยงคงกระพันในทวีปเทียนหลัว หากพวกเขาสามารถได้รับโอกาสบางอย่างในนั้น พลังจะต้องทะยานขึ้นอย่างแน่นอน บางทีอาจมีการพัฒนาเหมือนมู่เฉินและจิ่วโยวเลยก็ได้

สำหรับพันธมิตรก็ไม่เป็นเรื่องที่สมควรทำ ภูมิภาคทางเหนือไม่โดดเด่นในทวีปเทียนหลัวเนื่องจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงไม่มีขั้วอำนาจที่สามารถปกครองทั้งภูมิภาคได้ ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่ความจริงที่ว่าประมุขของพวกเขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายละก็ การตั้งพันธมิตรเช่นนี้ยังยากที่จะทำได้

ถ้าพวกเขาต้องการเผชิญหน้ากับขั้วอำนาจทรงพลังอื่นๆ ในทวีปเทียนหลัวเพื่อแย่งชิงสมบัติ ก็จำเป็นต้องรวมขั้วอำนาจสูงสุดทั้งหมดในภูมิภาคทางเหนือเข้าด้วยกัน ไม่เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ถ้ามีเพียงอาณาเขตกงเวทสวรรค์สำนักเดียว

หลงปี้และผู้เฒ่าคูแลกเปลี่ยนสายตากันก็เห็นอารมณ์พลุ่งพล่านในดวงตากันและกัน พวกเขาติดแหง็กที่ระดับจื้อจุนขั้นเก้ามาหลายปีแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังมีจอมยุทธ์หลายคนที่ติดแหง็กอยู่ในขุมพลังนี้ไปตลอดชีวิตที่เหลือ พวกเขาไม่มั่นใจเกี่ยวกับการบรรลุระดับตี้จื้อจุน แต่ถ้าได้เข้าไปในซากวังโบราณ ก็จะได้รับโอกาสมากขึ้น

ดังนั้นทั้งสองจึงรีบประสานมือเสียงดังก้องออกมา “พวกเราพร้อมสนับสนุนการตัดสินใจของท่านประมุขและจะพยายามเต็มความสามารถเพื่อช่วยเหลือ!”

เมื่อเสียงสะท้อนของพวกเขาดังกังวาน ทันใดนั้นจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนในจัตุรัสก็เอ่ยตาม ช่างเป็นฉากงดงามนัก

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ แม้ว่าท่าทางยังสงบนิ่ง แต่นิ้วมือที่สั่นระริกก็แสดงให้เห็นถึงคลื่นที่แล่นพล่านในหัวใจ

หลังจากที่เขาออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางพร้อมกับจิ่วโยวเดินทางมาที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาก็มีพัฒนาการและฝึกฝนมาตลอด ทุกอย่างที่ทำมาก็เพื่อวันนี้ไม่ใช่เหรอ…

ทักษะในการพัฒนาร่างเทพสุริยะที่ต้องการอยู่ในวังโบราณนี้ มีเพียงการได้รับมาเท่านั้นถึงจะทำให้เขาสามารถพัฒนาร่างเทห์สวรรค์ได้ แม้ว่าร่างเทพสุริยะจะไม่ธรรมดา แต่มู่เฉินก็พบว่าร่างนี้ยังขาดไปเมื่อพลังของเขาเพิ่มขึ้น เขารู้ดีว่าเมื่อตนเองบรรลุระดับตี้จื้อจุนความช่วยเหลือจากร่างเทพสุริยะก็จะเหลืออยู่เพียงน้อยนิด

เพราะไม่ว่าจะลึกซึ้งเพียงใด ร่างนี้ก็เป็นเพียงร่างต้นในสุดยอดทำเนียบร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง

ดังนั้นเขาจึงต้องพัฒนาร่างเทพสุริยะ เพราะด้วยวิธีนี้เท่านั้น เขาถึงจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อไล่ล่าสุดยอดร่างเทห์สววรค์ในตำนาน—ร่างมหาเทพนิรันดร์ได้

ซึ่งนั่นเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยังถูกดึงดูด นี่เป็นความใฝ่ฝันที่ซ่อนไว้ในใจมู่เฉินอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเขาประสบความสำเร็จก็จะเดินทางไปทุกหนแห่งในมหาพันภพตามที่ปรารถนา ไม่มีใครสามารถขัดขวางได้ ในเวลานั้นเขาจะไม่ต้องกลัวพวกลึกลับที่ขังมารดาของเขาไว้

ดังนั้นมู่เฉินคงเป็นคนที่คาดหวังมากที่สุดกับวังโบราณแห่งนี้

มองดูจัตุรัสที่เดือดพล่านพร้อมกับสายตาร้อนแรง มั่นถัวหลัวก็มองไปที่มู่เฉิน แม้ว่ามู่เฉินจะยังคงแสดงออกอย่างสงบ นางก็สามารถสัมผัสถึงความตื่นเต้นในส่วนลึกของดวงตาเขา นางแย้มยิ้มดูเหมือนทุกคนมีความสนใจเรื่องนี้อย่างมาก

จากนั้นนางก็หันศีรษะมองไกลออกไป ราวกับทะลุผ่านมิติ จับจ้องไปที่ซากโบราณ

ในเมื่อวังโบราณปรากฏขึ้น คนผู้นั้นก็คงจะปรากฏด้วยเช่นกัน นางรู้ดีในใจว่าเขาให้ความสำคัญกับวังโบราณเพียงใด

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มั่นถัวหลัวก็แตะที่ข้อมือตัวเองรู้สึกถึงคำสาปที่ทำให้เจ็บปวดแสนสาหัส ขณะที่ไอเย็นสะท้านวาบผ่านนัยน์ตาไป

ถึงเวลาที่ความแค้นจะได้รับการชำระเสียที…

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1084 หนึ่งหมัดชิงราชัน
เสียงคำรามของมังกรก้องกังวาน

มังกรตัวมหึมาก็ขนดอยู่ด้านหลังมู่เฉิน กำจายแรงกดดันน่าอัศจรรย์ที่ทำให้ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตกตะลึง

“นั่นคือมังกรแท้จริงเหรอ?” แม้แต่เทียนจิ้วกับหลิงถงยังต้องร้องอุทาน มังกรแท้จริงเป็นจักรพรรดิเผ่ามังกรซึ่งมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับระดับเทียนจื้อจุน

“นั่นไม่ใช่มังกรของแท้แต่มีรัศมีของมังกรแท้จริง” ซุยนอนเปิดตาขึ้นจ้องมองมังกรตัวเขื่องพลางพูดขึ้นช้าๆ

“ถ้าการเดาของข้าถูกต้อง นี่น่าจะมาจากวิชากายามังกรหงส์ของมู่เฉิน ไม่คิดว่าผ่านไปแค่หนึ่งปี เขาจะสามารถฝึกฝนให้สูงขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์”

จอมพลทั้งสองหดเกร็งดวงตา พวกเขาตระหนักดีถึงวิชากายามังกรหงส์ของมู่เฉิน แต่เห็นได้ชัดว่าเมื่อปีก่อนมู่เฉินยังไม่ครอบครองแรงกดดันยิ่งใหญ่ของมังกรแท้จริง

“พิจารณาจากรัศมีเงามังกรแท้จริงตัวนี้ ข้าคิดว่านี่เปรียบได้กับระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าทั่วไปเลยทีเดียว”

ทั้งสองถอนหายใจในใจ ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าทำไมมู่เฉินจึงไม่กลัวหลงปี้ ที่แท้เขาก็มีไพ่ตายอยู่จริงๆ ด้วยเงามังกรแท้จริง เขาอาจสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นได้จริง

มั่นถัวหลัวนั่งบนบัลลังก์โดยไม่เปลี่ยนท่าทาง แต่เมื่อเห็นเงามังกรแท้จริง ริ้วความประหลาดใจก็วูบวาบในรูม่านตา

มั่นถัวหลัวทราบดีเกี่ยวกับรายละเอียดเชิงลึกของคัมภีร์หลงเฟิ่งที่มู่เฉินฝึกฝน การฉายภาพเงามังกรแท้จริงน่าจะทำขึ้นมากจากลวดลายมังกรแท้จริงบนร่างกายเขา ในอดีตแม้ว่าลวดลายมังกรแท้จริงจะสามารถให้ความแข็งแกร่งแก่มูเฉินได้ แต่ก็มีข้อจำกัดอย่างมาก แต่ตอนนี้กลับเรียกขึ้นมาเป็นจิตวิญญาณและยังมีความแข็งแกร่งอย่างมาก

“เจ้านั่นผ่านประสบการณ์อะไรในปีที่ผ่านมาจนเติบโตขึ้นขนาดนี้?” มั่นถัวหลัวรู้สึกฉงนในใจ คัมภีร์หลงเฟิ่งยากทั้งการฝึกฝนและพัฒนา จากการประเมินถ้ามู่เฉินต้องการสร้างภาพเหมือนที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้ เขาจะต้องดูดซับแก่นโลหิตเทพอสูรจำนวนมหาศาล

หรือว่าเขาไปขุดซากเทพอสูรทั้งหมดของดินแดนเสินโซ่มา?

ขณะที่มั่นถัวหลัวครุ่นคิดอยู่ในใจ หลงปี้ก็มองการฉายภาพเงามังกรแท้จริงด้วยสายตาเคร่งขรึม ความกลัวอัดแน่นในส่วนลึกของดวงตา

เนื่องจากเขารู้ว่าภาพนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่มีรัศมีของมังกรแท้จริงผสมอยู่ด้วย

รัศมีนี้ทำให้พลังมังกรในร่างกายของเขาช้าลง ซึ่งเป็นการปราบปรามจากจักรพรรดิเผ่ามังกร ที่มีสายเลือดทรงพลังและทรงเกียรติ แขนมังกรของเขารับมาจากมังกรไฟ ถึงแม้จะมีสายเลือดที่ทรงพลังก็ยังด้อยกว่ามังกรแท้จริง

เขารู้สึกยากที่จะเชื่อว่ามนุษย์อย่างมู่เฉินจะสามารถครอบครองรัศมีของมังกรแท้จริงได้

ก่อนหน้านี้เขายังมองเหยียดต่อคำพูดของมู่เฉิน แต่ในเวลานี้เขาต้องเผชิญหน้าอย่างจริงจัง หากเขาประเมินพลังของอีกฝ่ายต่ำเกินไป เขาอาจพ่ายแพ้ในวันนี้ได้

ฮา

หลงปี้หายใจลึกระงับความกลัวในใจพร้อมกับท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน เขากำกำปั้นอย่างช้าๆ แสงสีแดงเปล่งประกายบนแขนเพิ่มขึ้นทวีคูณพลางเกิดการขยายตัว

นิ้วขยายตัวเป็นกรงเล็บปกคลุมด้วยเกล็ดหนาแน่นสูง เมื่อมองจากระยะไกลก็ดูไม่เหมือนมนุษย์อีกต่อไป พวกมันกลายเป็นกรงเล็บดุร้ายของมังกรไฟไปแล้ว

ขณะที่หลงปี้เร้าพลังไปยังจุดสูงสุด มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ภาพมังกรแท้จริงก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนเป็นคมกริบทันที

ฮึ่ม!

แสงสีทองพร่างพรายระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน ทำให้ดูประหนึ่งเป็นเทพสงครามสีทอง เขากำมือแล้วเหวี่ยงหมัดออกไป

หมัดนี้ช้าและหนักราวกับว่าแบกน้ำหนักของภูเขาสูงตระหง่านไว้

นอกจากนี้เมื่อมู่เฉินเหวี่ยงหมัดออกไป เกลียวแสงสีทองบนร่างก็เคลื่อนไปบนกำปั้น

แสงสีทองควบแน่นทำให้กำปั้นดูราวกับว่าถูกสร้างขึ้นด้วยทองคำ มวลลมกระเพื่อมปลดปล่อยออกมาจากหมัด มิติถึงกับแตกเป็นเสี่ยง

“หมัดมังกรแท้จริง!”

เสียงคำรามดังกึกก้องออกมาจากหัวใจของมู่เฉิน ขณะที่พายุผันผวนบนกำปั้น แสงสีทองแวววาวพุ่งพรวดออกมาก่อตัวเป็นภาพหมัดทองคำ

โฮก!

ภาพเงามังกรแท้จริงแผดเสียงคำราม จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในภาพหมัด ทันใดนั้นเกล็ดสีทองเข้มก็ปรากฏขึ้น ซึ่งขยายพลังของหมัดให้มากขึ้น มิติแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย รอยแตกกระจายออกไปคล้ายกับลายบนกระดองเต่า

ผู้ชมมีสีหน้าตกตะลึงเมื่อเห็นภาพนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าอย่างจอมพลเทียนจิ้วก็ยังมีความหวาดกลัวหนาแน่นในสายตา

พวกเขาสามารถสัมผัสถึงรัศมีคุกคามหนาแน่นสูงที่มาจากหมัดเรียบง่ายของมู่เฉิน

ครืน! ครืน!

กำปั้นประหนึ่งทองคำพุ่งไปปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลงปี้ แสงสีทองเบ่งบาน ปิดกั้นเส้นทางล่าถอยทั้งหมด

เมื่อพายุจากหมัดโอบล้อม ความมันวาวสีทองก็อัดแน่นเต็มม่านตาของหลงปี้ ดูราวกับพลังอำนาจล้นเหลือระหว่างสวรรค์และโลก พลังที่น่าสะพรึงทำให้เส้นขนของเขาลุกชันไปหมดแล้ว

“ไม่ง่ายหรอกที่คิดจะเอาชนะข้า!”

เมื่อถูกห่อหุ้มด้วยพลังที่น่ากลัว หลงปี้ก็คำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธพวยพุ่งในดวงตาพลางซัดฝ่ามือออกไปโดยไม่ลังเล

ตู้ม!

แสงสีแดงระเบิดลั่น มังกรไฟตัวมหึมาก็ส่งเสียงครางกระหึ่มจากหมัดพร้อมกับเปลวไฟโหมกระหน่ำเผาไหม้สวรรค์

ครืน!

พลังงานสองสายปะทะกันเกิดเสียงสนั่นหวั่นไหว ภายใต้สายตาที่สั่นสะท้านนับไม่ถ้วน สร้างดวงอาทิตย์เจิดจ้าด้วยประกายแสงสีทองและสีแดง ในเวลาเดียวกันมิติในระยะหลายหมื่นจั้งก็บิดเบี้ยวจากผลกระทบอันน่ากลัว

ปัง! ปัง!

ลานประลองบนจัตุรัสเหลือเพียงขี้เถ้าจากผลกระทบที่เกิดขึ้น

ผู้ชมต้องถอยกันออกไปจ้าละหวั่น

เมื่อเห็นคลื่นกระแทกอันน่าสะพรึงกลัว มั่นถัวหลัวก็สะบัดนิ้ว แสงหลิงก่อตัวเป็นม่านขนาดมหึมาล้อมรอบใจกลางจัตุรัสปิดกั้นคลื่นที่พุ่งมา

ด้วยการเคลื่อนไหวของมั่นถัวหลัว จอมยุทธ์รอบข้างก็หายใจโล่งอก ก่อนที่จะจ้องมองไปที่จัตุรัส ช่วงเวลาเดียวกันแสงสีทองรุนแรงก็ห่อหุ้มแสงสีแดงเอาไว้

ใบหน้าของหลงปี้เปลี่ยนไปอย่างมาก เขาประเมินความน่ากลัวหมัดมู่เฉินต่ำไป

ตู้ม!

ทว่าก่อนที่เขาจะตอบสนอง ระลอกคลื่นสีทองก็พรั่งพรู ทำให้เขารับแรงกระแทกเต็มอัด ร่างลอยกลับไปอย่างน่าสมเพช

ฟิ้ว!

ทุกคนมองด้วยสีหน้าหวั่นไหว ตรงนั้นร่างของหลงปี้ถูกซัดออกไปพร้อมกับการระเบิดของอากาศที่ด้านหลังดังกึกก้องอยู่เรื่อย แม้แต่มิติก็พังทลาย

ตึง!

หลงปี้ถอยออกไปหลายหมื่นจั้ง ก่อนที่ตบฝ่ามือไปที่ด้านหลังทำลายมิติจนทรงตัวได้ เขาไม่แม้แต่เช็ดรอยเลือดที่มุมปาก กลับมองบนลานประลองที่อยู่ไกลออกไปด้วยใบหน้ามืดครึ้มลง

เขาถูกซัดออกมาด้วยหมัดเดียวของมู่เฉิน

สีหน้าหลงปี้ไม่น่าดูเลย เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะซัดเขาจนถลาออกมาด้วยหมัดเดียวจริงๆ

ขณะที่หลงปี้ยืนนิ่งอยู่บนท้องฟ้าด้วยสีหน้าดูไม่จืด จัตุรัสเบื้องล่างก็ร้อนระอุ ผู้ชมต่างตะลึงเมื่อมองหลงปี้ที่อยู่ไกลออกไป

ผู้ชมมองหน้ากันและกันก่อนจะหายใจเข้าลึก หมัดของมู่เฉินส่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นออกไปไกลหลายหมื่นจั้ง

หากเป็นคนอื่น พวกเขาอาจจะกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว

ทันใดนั้นสายตาของพวกเขาก็พุ่งเข้าหาใจกลางจัตุรัส เมื่อเมฆฝุ่นตกลงมาเงาร่างหนึ่งก็ฉายชัดเจนในครรลองสายตา

มู่เฉินยังรักษาท่าทางการชก เลือดหยดลงมาจากกำปั้น ซึ่งเป็นผลสะท้อนมาจากการโจมตีรุนแรงที่ปล่อยออกมาเมื่อสักครู่

ภาพเงามังกรแท้จริงที่สง่างามเลือนหายไป แม้แต่ความผันผวนของจิตวิญญาณทรงพลังรอบร่างมู่เฉินก็หดกลับไป เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์

เขายิ้มมองไปที่หลงปี้บนท้องฟ้าไกล “ท่านจอมยุทธ์รู้สึกยังไงกับหมัดนี้?”

หมัดนี้ได้รวบรวมพลังทั้งหมดในร่างกายของเขาซึ่งได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นไปอีกด้วยภาพเงามังกรแท้จริง พลังที่อยู่เบื้องหลังหมัดเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าตัวจริงยังต้องขยาด

หลงปี้ยืนอยู่จ้องมองไปที่ชายหนุ่มที่ยิ้มแย้ม คิดจะโจมตีอีกสักตั้ง แต่สุดท้ายก็ระงับความตั้งใจนั้นลง เพราะเขารู้ว่าตนเองไม่มีความมั่นใจในการเอาชนะมู่เฉินอีกต่อไป

แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ใช้ไพ่ตาย แต่เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้เช่นกัน ถ้าพวกเขาถูกบีบไปจนถึงขั้นตอนนั้น ก็จะกลายเป็นศึกมรณะทันที ในเวลานั้นแม้แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเดินออกมาจากการประลองได้อย่างมีชีวิตสมบูรณ์

หลังจากครุ่นคิดสั้นๆ เขาก็ประสานมือพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ตำแหน่งจอมพลเป็นของเจ้าแล้ว”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1083 ปะทะขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า
โฮก!

แขนทั้งสองของหลงปี้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำพร้อมกับเกล็ดแข็งตั้งชันบนผิวหนัง ขณะที่ยืนจังก้าอยู่กลางลานประลองอย่างภาคภูมิใจ เสียงคำรามของมังกรแผ่วเบาดังก้องอยู่ในท่อนแขนของเขา

สายตานับไม่ถ้วนมองแขนมังกรคู่นั้นด้วยความเคารพ นี่คือไพ่ตายที่สร้างชื่อเสียงและเกียรติภูมิให้หลงปี้ โดยที่มีจอมยุทธ์ชั้นแนวหน้ามากมายของภูมิภาคทางเหนือพ่ายแพ้ให้กับแขนคู่นี้

มู่เฉินยืนนิ่งเบื้องหน้าหลงปี้ ดวงตาทั้งสองปิดลง รอบร่างหมุนเวียนด้วยคลื่นหลิง ขณะที่มิติเกิดความผันผวนก็แสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดา

ตู้ม!

ทว่าหลงปี้จ้องมองมู่เฉินอย่างไม่แยแส ก่อนที่แสงจะพุ่งออกมาจากดวงตา เขากระทืบฝ่าเท้าลงไปรุนแรง

ตึง!

เมื่อหลงปี้กระทืบเท้าลง พื้นดินก็สั่นสะเทือนแล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับรอยแตกกระจายออกไป เศษหินน้อยใหญ่ดันตัวขึ้น ซึ่งอัดแน่นด้วยคลื่นกระแทกทรงพลังที่สามารถฉีกสิ่งที่กีดขวางออกจากกันได้

หลงปี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพโดดเด่นเพียงแค่ขยับตัว ทุกคนรู้ว่าขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดนับสิบคนยังถูกเป่าเป็นฝุ่น หากพวกเขาเข้าขัดขวางพลังสายนี้

รอยแยกพล่านเข้ามา มู่เฉินลืมตาขึ้นช้าๆ ส่วนลึกของดวงตาวูบไหวด้วยแสง จากนั้นก็ก้าวออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตหลั่งไหลออกมา รอยแตกกระจายออกจากฝ่าเท้าในเวลาเดียวกัน ก่อให้เกิดริ้วคลื่นขนาดมหึมาและทรงพลัง

เขาเลือกเผชิญกับการโจมตีดุเดือดของหลงปี้ด้วยวิธีเดียวกัน!

รอยแตกสองฝั่งกระจายออกมา ก่อนจะปะทะกันอย่างดุเดือดบนลานประลอง

ครืน!

ช่วงเวลาที่ปะทะกัน เศษหินก็ปลิวว่อนไปทั่ว ลานประลองขนาดใหญ่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตก ก่อนที่จะแยกออกเป็นสองฝั่ง

แรงกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกมา มู่เฉินและหลงปี้ได้รับผลกระทบเป็นคนแรก ร่างทั้งสองกระตุกพลางถูกผลักกลับไป

ตึง! ตึง!

มู่เฉินถูกผลักถอยหลังไปหลายก้าวทิ้งร่องลึกๆ ไว้บนพื้นในทุกย่างก้าว แม้แต่เท้ายังฝังลงไปในแผ่นหิน

สำหรับหลงปี้ถอยไปก้าวเดียวก็ทรงตัวได้

เห็นได้ชัดว่าหลงปี้ทรงพลังกว่าในการปะทะกันกระบวนท่าแรก ทว่าทุกคนรวมถึงหลงปี้ก็ต้องหดดวงตากับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้

แม้ว่าพลังที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเหล่านั้น ไม่ใช่พลังทั้งหมดของหลงปี้ แต่แรงทำลายล้างก็ยังคงไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าจะสามารถต้านทานได้ มู่เฉินไม่เพียงแต่ต่อต้านพลังทำลายล้างเท่านั้น เขายังเสียเปรียบแค่ก้าวถอยไปหลายก้าว

ดังนั้นตำแหน่งได้เปรียบของหลงปี้สามารถมองข้ามในทางปฏิบัติเลย

เทียนจิ้วและหลิงถงแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่แววตาจะหนักหน่วงขึ้น พวกเขารู้ว่าคงไม่สามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้สักเท่าไร ถ้าพวกเขาอยู่ในจุดเดียวกับมู่เฉิน

แต่ว่ามู่เฉินประสบความสำเร็จด้วยขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า นี่ก็พิสูจน์ว่าพลังการต่อสู้ที่แท้จริงของเขาสูงกว่าการเพาะบ่มภายนอก

“น่าสนใจ”

หลงปี้จับจ้องไปที่มู่เฉินขณะยิ้ม แต่ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าจะกระจายกว้าง ร่างเงาก็พุ่งออกมาทันที

อากาศถูกบีบอัดระเบิดฉับพลัน ตัวเขาก็ราวกับเกลียวสายฟ้า มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของเขาได้คลุมเครือ

“เร็วมาก!” เสียงอุทานดังก้อง

สายตาของมู่เฉินหดเกร็งทันทีเมื่อเสียงสะท้อนใกล้เข้ามา จากนั้นก็ยกแขนไขว้เป็นกากบาทต้านรับไว้

ตู้ม!

มิติฉีกขาดเบื้องหน้า กำปั้นที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกรสีแดงพุ่งออกมาด้วยพลังเข้มข้นที่สามารถทำลายเนินเขาให้กลายเป็นเศษหิน กระแทกลงบนแขนของเขา

ปัง!

อากาศระเบิดออก ร่างมู่เฉินราวกับได้รับการโจมตีหนักหน่วง ถลาไปเบื้องหลังแล้วปลิวออกไปพร้อมอากาศรอบตัวระเบิดเป็นลูกโซ่

หลงปี้หัวเราะเบาๆ เมื่อส่งมู่เฉินหงายหลังออกไป เขาไม่คิดจะให้มู่เฉินมีเวลาออกกระบวนท่า เสียงฟ้าคำรนดังขึ้นอีกครั้ง ร่างเขาก็หายไป

ครืน!

หมัดคำรามแหวกอากาศพุ่งตรงไปที่หน้าอกของมู่เฉิน แม้แต่อากาศก็ยังถูกบีบอัดเป็นลอนโค้งที่เบื้องหน้ากำปั้นของเขา

เมื่อหมัดกำลังจะโจมตีโดนร่าง แขนเรียวก็ยื่นออกคว้ากำปั้นมังกรไว้

ฮึ่ม!

อากาศรอบด้านระเบิดเสียงต่ำอื้ออึงไปหมด ทว่าใบหน้าของจอมยุทธ์ทุกคนรอบด้านก็กระตุกในเวลานี้

นั่นเป็นเพราะบนท้องฟ้า ทั้งสองปะทะเข้าด้วยกัน หลงปี้ยังคงท่วงท่าวาดเพลงหมัดชกออกไป ขณะที่อุ้งมือของมู่เฉินต้านหมัดเอาไว้ นิ้วทั้งห้านั่นราวกับเหวลึก ไม่ว่ากำปั้นมังกรจะทรงพลังแค่ไหนก็ไม่สามารถเคลื่อนไปด้านหน้าได้อีกแม้แต่น้อย

หลงปี้มีสีหน้าเปลี่ยนไปเบาบาง สายตาจับจ้องมาที่มือของมู่เฉิน ในระยะใกล้เช่นนี้เขาสามารถมองเห็นลวดลายสีทองเข้มของกรงเล็บมังกรสวมทับบนท่อนแขนของมู่เฉิน แผ่ออกมาตามนิ้วมือ

เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่มาจากลวดลายสีทองเข้ม ทำให้แขนมังกรสีแดงเข้มของเขาจางลงเล็กน้อยจากแรงกดดันนี้

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่หลงปี้ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่มีพลังมังกร”

“จริงรึ?!”

หลงปี้ขบฟัน พลังมังกรคือความแข็งแกร่งที่เขาภาคภูมิใจที่สุด แม้เขาจะไม่รู้ว่ามู่เฉินได้พลังมังกรมาอย่างไร แต่เขาก็ไม่เชื่อว่าชายหนุ่มจะเหนือกว่าเขาในเรื่องนี้

“ไอ้หนูอย่างเจ้ารู้ถึงพลังมังกรแท้จริงรึ! น่าขำ!”

สายตาหลงปี้เปลี่ยนเป็นดุร้าย เกล็ดมังกรบนแขนก็แดงเถือกขึ้น ราวกับว่ากลายเป็นหินหนืดที่แผดความร้อนแรงออกมา เสียงคำรามมังกรดังก้อง ประหนึ่งพลังทำลายล้างถูกปลุกขึ้นในแขนนี้

ฉ่า! ฉ่า!

แขนมังกรดูเหมือนลาวาไหลทะลักเมื่อมองจากระยะไกล เปล่งความทรงพลังพร้อมกับความผันผวนที่ทำให้แม้แต่เปลือกตาของจอมยุทธ์อย่างเทียนจิ้วยังกระตุกเล็กน้อย

“ไสหัวไป!”

หลงปี้คำรามพร้อมกับพลังทรงประสิทธิภาพระเบิดออกมาจากแขนจนสั่นคลอนไปหมด มือของมู่เฉินที่จับไว้ก็สั่นสะท้านสะบัดออกไป

หลุดจากพันธนาการของมู่เฉินไปได้ ดวงตาของหลงปี้ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ฝ่าเท้าก้าวออกมา กำปั้นราวกับมังกรสีแดงเริงระบำซัดไปทั่วร่างมู่เฉินพร้อมพลังทำลายล้าง

ทุกกำปั้นทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ

หลงปี้ที่บ้าคลั่งในตอนนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นเหมือนกันยังไม่กล้าเผชิญหน้า

ปัง! ปัง!

พลังงานฉับพลันที่ระเบิดจากหลงปี้ปราบปรามมู่เฉินได้ทันท่วงทีอีกครั้ง เพลงหมัดนี้ทำเอามู่เฉินต้องล่าถอยด้วยสภาพทุลักทุเล การปะทะกันทุกครั้งเรียกเสียงครางจากเขา

จอมยุทธ์ทั้งสองโรมรันพันตูกันบนท้องฟ้าพร้อมกับความผันผวนของคลื่นพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ทำให้มิติแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ชมที่เฝ้าดูการประลองนี้

ตึง!

การปะทะกันดุเดือดซัดใส่กันอีกครั้ง มู่เฉินไม่สามารถยึดจุดยืนได้อีกต่อไป เขาถูกกระแทกกลับทิ้งร่องลึกสองรอยไว้บนพื้นเมื่อร่อนลงมา

มู่เฉินทรงตัวได้มั่นคง ตอนนี้เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นไปหมด เลือดเปรอะเปื้อนเต็มแขน แต่ท่าทางเขาไม่ปรากฏความท้อแท้ กลับมีวิญญาณแห่งการต่อสู้พลุ่งพล่านอยู่ในม่านตาสีดำสนิทราวกับไฟในเตาหลอม

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า

แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้โหดหิน แต่มู่เฉินก็ปลื้มปีติที่ได้เห็นพัฒนาการของตัวเองภายใต้การต่อสู้ครั้งนี้

ระดับจื้อจุนขั้นเก้าที่ไกลเกินเอื้อมเมื่อในอดีต แต่ในเวลานี้หลงปี้ก็ได้เปรียบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้จะนำพลังมังกรออกมาใช้เต็มกำลัง

ในที่สุดมู่เฉินก็รับรู้อย่างชัดเจนว่าการฝึกฝนอันขมขื่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้ไร้ประโยชน์เมื่อลงประลองกับหลงปี้วันนี้

เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มอ่อนแอเหมือนในอดีตอีกแล้ว

ฮา

อารมณ์พลุ่งพล่านเต็มหัวใจ มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ส่วนโค้งเพิ่มขึ้นที่มุมปาก

“เจ้ายังยิ้มได้อีกเรอะ?” หลงปี้เค้นเสียงเย็นชา ขณะที่ยืนอยู่บนท้องฟ้ามองลงมาที่มู่เฉิน

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองหลงปี้ ดวงตางก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นยากเกินหยั่ง ก่อนที่จะยิ้มบาง กำหมัดเข้าหากัน “ต่อไปข้าจะส่งเจ้าถลาออกไปด้วยหมัดเดียว หากข้าไม่สามารถทำได้ตามพูด ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้เอง”

“โอหังนัก!” ม่านตาหลงปี้หดลงขณะเอ่ยเยาะเย้ย

โฮก!

แต่ขณะที่พูดจบ เสียงคำรามอันพิสุทธิ์ของมังกรก็ดังก้องออกมาจากร่างมู่เฉิน ปกคลุมเส้นขอบฟ้าด้วยประกายสีทองเข้มที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างมู่เฉิน ก่อตัวเป็นมังกรขนาดร้อยจั้งที่เบื้องหลัง

เมื่อรูปลักษณ์เทพอสูรก่อตัวขึ้น แรงกดดันมังกรที่น่าอัศจรรย์ก็ระเบิดออกมาราวกับพายุ

แรงกดดันล้อมรอบทั่วบริเวณ ทำเอาเส้นขนทั่วสรรพางค์กายของหลงปี้ลุกชัน รูม่านตาหดลงเหลือเท่ารูเข็ม ก่อนที่เสียงอุทานแหลมเต็มไปด้วยความหวาดกลัวระเบิดออก

“นี่คือมังกรแท้จริง?!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1082 อำนาจแขนมังกร
บนลานประลอง

หลงปี้ยืนสองมือไพล่หลังราวกับภูเขาสูงตระหง่าน ทำให้แม้แต่แผ่นดินยังสั่นสะเทือนอยู่ใต้ฝ่าเท้าเขา

ในฐานะจอมยุทธ์ชั้นแนวหน้าของภูมิภาคทางเหนือที่ยืนแถวเดียวกับผู้เฒ่าคู ความสำเร็จของหลงปี้รุ่งโรจน์กว่ามาก ในอดีตแม้กระทั่งหมู่ตึกเทวะยังพยายามติดต่อเขาแต่ก็ล้มเหลว เหตุผลก็คือพวกเจ้าภูเขาหมู่ตึกเทวะพ่ายแพ้เขา ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าชื่อเสียงและพลังของเขาเลื่องลือในภูมิภาคทางเหนืออย่างไร

แม้ว่ามู่เฉินจะมีชื่อเสียงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็คนส่วนใหญ่ก็มองแค่ว่าเป็นคลื่นลูกใหม่ เพราะต่อให้จอมยุทธ์รุ่นใหม่จะมีศักยภาพมาก แต่ในตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาสามารถเทียบกับผู้เชี่ยวชาญอย่างหลงปี้ได้

ดังนั้นสายตาทุกคนจึงเลื่อนไปที่มู่เฉิน เมื่อหลงปี้ก้าวขึ้นไปบนลานประลอง ทว่าหลังจากการพลิกสถานการณ์ของจิ่วโยว ครั้งนี้ก็ไม่มีการเยาะเย้ยถากถางอีก เนื่องจากมู่เฉินน่าจะมีไพ่ตายเพิ่มขึ้น ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางแหย่หลงปี้ด้วยนิสัยที่มีอย่างแน่อน

แต่ที่ทุกคนสนใจคือไพ่ตายของมู่เฉินสามารถก่อภัยคุกคามต่อหลงปี้ได้มากเท่าไร?

มู่เฉินยังคงมีท่าทีสงบ แม้จะมีสายตาอยากรู้อยากเห็นทั่วไปหมด เขามองไปที่หลงปี้ที่ปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลังบนลานประลองก็ยิ้มบาง วูบเดียวก็ไปปรากฏตัวบนลานประลอง

“ผู้บัญชาการมู่ก็ปกปิดคลื่นหลิงไว้ด้วยหรือไม่? หรือว่าเจ้าบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแล้วเหมือนกัน? ถ้าเป็นแบบนั้นข้าขอสดุดีด้วยใจจริง!” เสียงเย้ยเบาๆ พุ่งมาจากหลงปี้ขณะจับจ้องไปที่มู่เฉิน แม้ว่าจะมีตัวอย่างจากจิ่วโยว เขาก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะบุกเข้าสู่ขั้นตอนดังกล่าวในช่วงเวลาสั้นๆ ถึงจะสามารถทำได้ แต่ก็จะทำให้รากฐานไม่มั่นคง ความก้าวหน้าในอนาคตจะจำกัดมาก

มู่เฉินรับรู้ถึงเจตนาที่อยู่เบื้องหลังคำพูดก็ไม่ได้โมโหกลับยิ้มออกมา “ระดับจื้อจุนขั้นเก้า? ข้ายังไปไม่ถึงหรอก…”

ร่างกายตึงเครียดของหลงปี้คลายลงจากคำพูดนี้ ตราบใดที่มู่เฉินไม่ได้อยู่ในขั้นนั้น ก็ไม่มีอะไรให้เขาต้องกลัวในวันนี้

เสียงถอนหายใจโล่งใจดังกึกก้องโดยรอบ ผู้บัญชาการบางคนก็รู้สึกโล่งอก หากแม้แต่มู่เฉินก็มาถึงขั้นดังกล่าว แล้วพวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

“เป็นเรื่องยากที่จะไปถึงระดับจื้อจุนขั้นเก้า ดังนั้นแม้จะมีโอกาส…” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองหลงปี้พูดต่อช้าๆ

“ข้าก็ยังขาดอีกครึ่งก้าว”

ตู้ม!

มหาสมุทรคลื่นพลังไร้ขอบเขตระเบิดออกมาจากร่างมู่เฉินเมื่อพูดจบ ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็แผ่ขยายออกไปทั่วพื้นที่ ก่อให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ม้วนตัว เสียงก้องกังวานไปทั่วทั้งฟ้าดิน สร้างพายุลูกใหญ่ขึ้น

เสื้อผ้าของมู่เฉินโบกสะบัดไปตามแรงลม รอยยิ้มแขวนอยู่บนใบหน้า ทว่ากลับมีแรงกดดันทรงพลังกำจายออกมาจากร่าง

ท่าทางเหล่าจอมยุทธ์ที่รู้สึกโล่งอกเมื่อครู่ก็แข็งทื่อ พวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันทรงพลัง หนังหัวก็ระเบิด

อันที่จริงมู่เฉินยังไม่บรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเมื่อตัดสินความผันผวนของพลังงาน ทว่าเขามาไกลเกินกว่าขั้นแปดและอยู่ห่างออกไปเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุขั้นสุดท้ายของระดับจื้อจุนแล้ว!

มู่เฉินอยู่ในขุมพลังจื้อจุนอีกครึ่งเก้าจะบรรลุขั้นเก้า!

ห่างจากระดับจื้อจุนขั้นเก้าแท้จริงเพียงครึ่งก้าว!

แววตกตะลึงครอบคลุมเหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิม ตอนที่มู่เฉินไปเยือนเผ่าวิหคโลกันตร์ เขาเพิ่งจะบรรลุขั้นหกเท่านั้น เวลาไม่ถึงหนึ่งปีความแข็งแกร่งของเขาก็อยู่ที่เสมือนขั้นเก้าแล้ว!

พื้นฐานของเทพอสูรกับมนุษย์แตกต่างกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจจิ่วโยวได้ แต่มู่เฉินมาถึงขั้นดังกล่าวได้อย่างไรกัน?

ผู้ชมรอบด้านจุกจนพูดไม่ออก แม้แต่จอมพลทั้งสามยังมีท่าทางเคร่งขรึม โดยเฉพาะเทียนจิ้วที่มองดูมู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน ตอนที่จิ่วโยวพามู่เฉินเข้ามาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ครั้งแรก เขาเพิ่งจะเริ่มชำระร่างเทห์สวรรค์เท่านั้น ทว่าเพียงไม่กี่ปีก็มาถึงขั้นเก้าไล่ตามอยู่ข้างหลังตาแก่คนนี้แล้ว

“ตอนนั้นข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าหนูนี่พิเศษ แต่ไม่คิดว่าเขาจะมีพัฒนาการรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่ปี” เทียนจิ้วถอนหายใจ ด้วยความเร็วนี้อีกไม่นานมู่เฉินก็จะแซงหน้าไปแล้ว

อนาคตของมู่เฉินไม่สามารถวัดได้ หากเขามีเวลามากพอ ไม่ต้องพูดถึงขั้นเก้าเลย ถึงตอนนั้นแม้แต่ประมุขก็อาจต้องมองเขาในฐานะจอมยุทธ์ระดับเดียวกัน

ในเวลานี้เทียนจิ้วเข้าใจแล้วว่าทำไมประมุขถึงได้ให้การดูแลเป็นพิเศษสำหรับมู่เฉิน บางทีอาจมีเหตุผลอื่นๆ แต่ก็ต้องมีส่วนที่นางรู้ถึงศักยภาพของมู่เฉิน ดังนั้นนางจึงไม่นับว่ามู่เฉินเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาตั้งแต่แรก แต่ถือว่าเป็นสหายกัน ต่อให้สถานะตอนนี้ยังดูห่างไกลกันมาก

ในทำนองเดียวกันใครจะคิดว่ามู่เฉินจะมาไกลขนาดนี้ในเวลาเพียงไม่กี่ปีตอนพบกันครั้งแรก?

“อีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า”

ใบหน้าของหลงปี้ถึงกับการกระตุกเมื่อมองไปที่ร่างเยาว์วัย แม้ว่าเขาจะประเมินความแข็งแกร่งของมู่เฉินไว้แล้ว แต่ความจริงที่รับรู้ก็ยังทำให้เขารู้สึกตกตะลึงในใจ

การเข้าถึงอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าตั้งแต่อายุเท่านี้ พรสวรรค์ของมู่เฉินน่าเหลือเชื่อจริงๆ

นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้หลงปี้รู้สึกว่าไม่อยากเชื่อมากที่สุดก็คือคลื่นหลิงที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างมู่เฉิน ทั้งหนาแน่นและไม่มีที่สิ้นสุดราวกับว่าไม่มีขีดจำกัด โดยไม่มีความรู้สึกผิวเผิน ซึ่งหมายความว่ารากฐานของมู่เฉินแข็งแกร่งมาก

นี่เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าในเวลาเพียงหนึ่งปีการเพาะบ่มพลังของมู่เฉินกระโดดขึ้นมาเกือบสามขั้น แม้ว่าใช้สมบัติภายนอกเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง แต่ก็มีสถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญกับความยากลำบากในการควบคุมคลื่นหลิงที่เพิ่มขึ้น แต่ขณะนี้คลื่นหลิงของมู่เฉินอยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเองสมบูรณ์แบบโดยไม่มีความผิดปกติใดๆ

“เจ้าหนูคนนี้…” ความหวาดกลัวกวนตัวขึ้นในส่วนลึกของดวงตาหลงปี้ขณะขมวดคิ้วอย่างแน่นหนา เขาเก็บแววเหยียดหยามในสายตาลงทั้งหมด เนื่องจากมู่เฉินมีคุณสมบัติที่เขาจะให้ความสำคัญด้วยอย่างแท้จริง

“ดูเหมือนผู้บัญชาการมู่จะเตรียมการมาดีจริงๆ”

หลงปี้หายใจเข้าลึก ระงับอารมณ์ในใจ สีหน้าสงบลงหลายส่วน นี่ไม่ใช่เวลาที่จะคิดเกี่ยวกับสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังของพัฒนาการมู่เฉินและรากฐานที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เพื่อที่จะได้รับทรัพยากรและสิทธิอำนาจเต็มที่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยตำแหน่งจอมพลให้หลุดมือไปได้

โชคดีที่แม้คลื่นหลิงของมู่เฉินจะมั่นคงแข็งแกร่ง แต่ก็อยู่ในขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ซึ่งยังมีช่องว่างระหว่างขั้นเก้ากับอีกครึ่งก้าวจะขั้นเก้าอยู่ไม่น้อย

ตราบใดที่เขาไม่ประมาทก็น่าจะสามารถเอาชนะมู่เฉินได้โดยอาศัยความแข็งแกร่งของตัวเขาเอง

หลงปี้จ้องมองมู่เฉินโดยไม่มีริ้วอารมณ์ใด “หายากนักสำหรับคนอย่างผู้บัญชาการมู่ที่จะประสบความสำเร็จในขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าปล่อยมือจากตำแหน่งจอมพล ต้องมาดูกันว่าความสามารถของเจ้าจะเพียงพอหรือไม่!”

ฮึ่ม!

ดวงตาของเขาคุกรุ่นด้วยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตกวาดข้ามเส้นขอบฟ้าราวกับพายุรวมตัวกัน ทันใดนั้นทั่วบริเวณก็มืดลง โลกใต้เท้าของเขาเกิดเสียงดังคร่ำครวญราวกับกำลังไว้ทุกข์

ร่างหลงปี้ที่แข็งแกร่งก็ขยายขึ้นและสร้างแรงกดดันที่ทำให้หายใจไม่ออก

แรงกดดันคลื่นหลิงที่เกิดขึ้นจากมู่เฉินถูกกำจัดออกไปโดยรัศมีที่ครอบงำของหลงปี้ ขณะนี้เขาดูประหนึ่งเทพแห่งสงคราม

ทันทีที่หลงปี้เคลื่อนไหวก็เปิดเผยความแข็งแกร่ง แรงกดดันครอบงำเกินขอบเขตผู้เฒ่าคูไปอีก

ภายใต้ความสนใจของทุกคน หลงปี้ก็กำหมัดอย่างช้าๆ ริ้วแสงแวววาวไร้ขอบเขตระเบิดออกมากลั่นตัวเป็นลวดลายโบราณลึกล้ำนับไม่ถ้วนบนพื้นผิวร่างกาย แสงสีแดงเจิดจ้าเปล่งประกายออกมาจากแขนของเขาพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรที่ก้องกังวานสั่นสะเทือนสวรรค์และโลก

“ปัง!”

เสื้อช่วงแขนสลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อหลงปี้กระตุกแขน ความหนาของแขนมีขนาดเท่ากับลำตัวเด็กและถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดงเข้ม เล็บมือยาวคมกริบราวกับกรงเล็บมังกร

แม้แต่เทียนจิ้วและหลิงถงยังมีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อเห็นแขนสองข้างของหลงปี้ ความหวาดเกรงพล่านในสายตา ลือกันว่าแขนของหลงปี้ครอบครองพลังมังกร ครั้งหนึ่งเขาเคยทำลายร่างเทห์สวรรค์ของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าด้วยพลังแขนอย่างเดียวเท่านั้น

ดังนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้ายังหวาดเกรง เมื่อปะทะกับแขนมังกรที่ครอบงำจนไม่อาจอธิบายได้

หลงปี้ให้ความสำคัญกับมู่เฉินมาก ดังนั้นเขาจึงเปิดเผยแขนมังกรโดยไม่ลังเล เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที่จะยุติการต่อสู้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ทีนี้เจ้านั่นก็ระวังตัวเข้าแล้ว ซึ่งเป็นอันตรายต่อมู่เฉิน”

จอมพลทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตาที่กลายเป็นเคร่งเครียดรุนแรง ด้วยพลังของมู่เฉินตอนนี้ อาจจะไม่ได้เปรียบใดๆ ในการเผชิญหน้ากับแขนมังกร

มู่เฉินสูดหายใจลึก ภายใต้ความสนใจจากฝูงชน ไฟการต่อสู้มารวมกันที่ส่วนลึกของดวงตา

“พลังแขนมังกรเรอะ”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเองก่อนจะกำหมัดแน่น จิตวิญญาณเทพอสูรทั้งสองที่สถิตบนท่อนแขนของเขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นในเวลานี้

ให้ข้ามาทดสอบดูว่าระหว่างแขนมังกรของเจ้ากับมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงของข้า ใครจะแน่กว่ากัน

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1081 ครอบเพลิงอมตะ
“ระดับจื้อจุนขั้นเก้า…”

สายตาทั่วจัตุรัสตื่นตะลึงจ้องมองไปที่จิ่วโยวด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ตามที่ได้ยินมาพลังของผู้บัญชาการจิ่วโยวอยู่ที่ขั้นหกหรือขั้นเจ็ดเท่านั้นไม่ใช่เหรอ? ทำไมขุมพลังของนางถึงทรงพลังมากในตอนนี้?

เหล่าผู้บัญชาการเก่าก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน เพราะพวกเขาเข้าใจในตัวจิ่วโยวดีกว่าใคร ก่อนที่นางจะกลับเผ่า แม้ขุมพลังของนางจะถือว่าดี แต่ก็อยู่ในอันดับสามหรือสี่เท่านั้น ทว่าตอนนี้ระดับจื้อจุนขั้นเก้าที่แม้แต่ซิวหลัวก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ทำไมนางถึงแซงหน้าไปได้ก่อน?

“นางใช้ทักษะลับบางอย่างเพื่อเพิ่มขุมพลังชั่วคราวหรือเปล่า?” มีคนเอ่ยอย่างประหลาดใจ

“เป็นไปไม่ได้! ถ้าใช้ทักษะลับจะทำให้คลื่นหลิงของนางยากต่อการควบคุม แต่ดูจากระลอกคลื่นที่ถูกปล่อยออกมา ไม่มีสัญญาณของความยุ่งเหยิงใดๆ ดังนั้นคลื่นหลิงของนางจะต้องสร้างขึ้นจากตัวเอง!”

“แต่นี่ยังไม่ถึงปีเลยนะ ทำไมนางถึงพัฒนาได้มากขนาดนี้?!”

ความโกลาหลระเบิดขึ้น กระทั่งเหล่าผู้บัญชาการก็ยังมีอาการตกใจเขียนบนใบหน้า แต่สุดท้ายพวกเขาก็ได้แต่ส่ายหัวเท่านั้น เนื่องจากพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจิ่วโยวไปประสบอะไรมาในช่วงหนึ่งปีทำให้มีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว

ผู้เฒ่าคูก็มองจิ่วโยวด้วยความไม่เชื่อบนลานประลอง แต่ดีที่เขาเป็นมือเก๋ามากประสบการณ์ ดังนั้นความตกใจจึงลดลงอย่างรวดเร็ว ทว่ายามนี้ใบหน้าไม่มีริ้วความดูถูกใดๆ กลับถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึมหนาแน่น

เพราะจากรัศมีพลังที่เกิดจากจิ่วโยว แม้แต่เขายังรู้สึกว่าถูกคุกคาม

จิ่วโยวเป็นเทพอสูรจาก0เผ่าวิหคโลกันตร์ ดังนั้นแม้ว่าทั้งคู่จะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นเหมือนกัน เขาก็ไม่มั่นใจในการต่อสู้ครั้งนี้

ตอนนี้เขาเข้าใจถึงความมั่นใจที่มาจากมู่เฉินแล้ว ที่แท้จิ่วโยวได้ก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าเรียบร้อย ซึ่งมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะลงชิงชัยตำแหน่งจอมพล

“ตาแก่คนนี้มองเจ้าผิดไป ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าก็ขอลองทักษะของเจ้าสักหน่อย” ผู้เฒ่าคูมองไปที่จิ่วโยว ดวงตาขุ่นมัวเปล่งประกาย ขณะที่กำหมัดขึ้นช้าๆ

ตู้ม!

คลื่นหลิงพุ่งพรวดออกมาจากร่างโดยมีสีอมเทา แม้แต่พื้นดินก็ค่อยๆ เหี่ยวแห้งลงจากลักษณะเฉพาะตัวของคลื่นพลังเขา

ชัดว่าไม่มีจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเก้าคนใดที่สามารถชื่อเสียงโด่งดังได้ในภูมิภาคทางเหนือจะต่อกรได้ง่าย

ก่อนที่จะเริ่มประลองกัน แรงกดดันมหาศาลที่มาจากการปะทะกันของคลื่นพลังงานก็ทำให้ทุกคนที่นี่รู้สึกหนังหัวชาหนึบไปหมดแล้ว

ริ้วแสงในดวงตาของผู้เฒ่าคูวูบวาบขณะที่ย่างสามขุมออกไป ลำแสงสีเทาพลุ่งพล่านกวาดไปทางจิ่วโยวในทุกทิศทาง

ลำแสงนั้นกระจายรัศมีเหี่ยวเฉาออกมา ทุกที่ที่อยู่ในวิถีทาง แม้แต่มิติก็เสื่อมถอยลง

“ถ้าสัมผัสโดนคลื่นหลิงกัดกร่อนของผู้เฒ่าคูก็จะทำให้ร่างกายเหี่ยวแห้งทันที มากจนแม้แต่พลังงานในร่างกายจะปนเปื้อน ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพ” เมื่อมองไปที่ลำแสงสีเทา ความกลัวก็กระจายบนใบหน้าของผู้คน ถ้าพวกเขาโดนสัมผัสเข้า ก็คงต้องได้รับบาดเจ็บหนักแน่

ถ้าผู้เฒ่าคูมีเจตนาที่จะโจมตีมาทางพวกเขา ไม่กี่อึดใจก็ทำให้เกิดร่างกายเหี่ยวแห้งนับไม่ถ้วนแล้ว

ภายใต้สายตาหวาดกลัว จิ่วโยวกลับเผชิญกับการโจมตีที่ยิ่งใหญ่อย่างใจเย็น จากนั้นก็กดมือเรียวลงไป

ครืน!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตครางกระหึ่มราวกับคลื่นสึนามิในมหาสมุทร อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากลัว ทำให้อากาศยังลุกเป็นไฟ

ชี่! ชี่!

คลื่นพลังงานขนาดมหึมาสองสายปะทะกัน แต่กลับไม่มีเสียงดังสนั่นที่ทุกคนคาดไว้ นั่นเป็นเพราะขณะที่ชนกัน พวกมันก็พยายามกัดกร่อนซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดรอยดำในมิติ

ลำแสงสีเทาตกลงมาเหมือนดาวหาง แต่ไม่ว่ารัศมีเหี่ยวเฉาจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้จิ่วโยวได้ในระยะหนึ่งพันจั้งได้

คลื่นหลิงของผู้เฒ่าคูไม่ธรรมดาและน่าสะพรึงกลัว ทว่าคลื่นหลิงของจิ่วโยวก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ภายใต้การแนะนำวิธีฝึกฝนของราชินีวิหคอมตะ นางสามารถกลั่นเพลิงอมตะที่แท้จริงได้ ซึ่งทำให้นางได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในคลื่นพลังงานของตนเอง

เพลิงอมตะมีพลังแห่งชีวิตและความตายอยู่แล้ว ในบางแง่มุมก็ครอบงำเหนือกว่าคลื่นพลังเหี่ยวแห้งของผู้เฒ่าคู ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่พลังงานของอีกฝ่ายจะเข้ามาปนเปื้อนคลื่นพลังของจิ่วโยว

ไม่ว่าผู้เฒ่าคูจะพยายามโจมตีอย่างไร การโจมตีของเขาก็ไม่สามารถเข้าถึงรัศมีหนึ่งพันจั้งรอบตัวจิ่วโยวได้ ซึ่งทำให้ใบหน้าของทุกคนเคร่งเครียดลงหลายส่วน

“ผู้เฒ่าคู ถ้านี่คือทั้งหมดที่มีแล้ว ข้าว่าท่านไม่มีความสามารถรับตำแหน่งจอมพลในวันนี้ได้หรอก” จิ่วโยวยิ้มบาง การโจมตีของผู้เฒ่าคูอาจดูเหมือนไร้ขอบเขต แต่กลับพยายามทดสอบกำลังของนาง

แววตาผู้เฒ่าคูดุดันลงหลายส่วนก่อนที่จะพยักหน้า ทันใดนั้นมือเหี่ยวย่นก็ประสานกัน คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็พุ่งพรวดออกมาราวกับพายุทอร์นาโด ก่อร่างคลื่นหลิงที่เบื้องหลังเขา

ร่างเงานั้นมีลักษณะเฉพาะตัว เป็นรูปแบบคล้ายมนุษย์ แต่กลับปกคลุมด้วยกิ่งก้านต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา ราวกับต้นไม้ดึกดำบรรพ์สูงตระหง่าน ทว่าต้นไม้เก่าแก่นี้ปลดปล่อยพลังงานเหี่ยวแห้ง ทำให้คลื่นหลิงในฟ้าดินอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว

“นั่นคือร่างเทห์สวรรค์ของผู้เฒ่าคู—ร่างเทพร่วงโรย!” เมื่อมองไปที่ร่างบนท้องฟ้า เปลือกตาของทุกคนก็กระตุกพร้อมเสียงอุทานต่ำ

ร่างเทพร่วงโรยที่ผู้เฒ่าคูฝึกฝนมหัศจรรย์มากซึ่งอยู่ในอันดับที่หกสิบเอ็ดของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง การฝึกฝนร่างนี้จะต้องดูดซับพลังงานกัดกร่อนต่างๆ ในสวรรค์และโลก ชายชราใช้เวลาหลายปีในดินแดนรกร้างเพื่อเพาะบ่มร่างกาย ก่อนที่จะสามารถสร้างร่างเทห์สวรรค์ที่เหี่ยวแห้งนี้ได้

นี่เป็นร่างเทห์สวรรค์ที่ครอบงำซึ่งเต็มไปด้วยพลังเหี่ยวแห้ง ถ้าเคลื่อนไหวเข้ามาในร่างกายก็จะสร้างความหายนะให้

โดยปกติแล้วนี่เป็นไพ่ตายของผู้เฒ่าคู แต่ไม่มีใครคิดว่าผู้เฒ่าคูจะใช้ตั้งแต่ที่เริ่มสู้กับจิ่วโยว เห็นได้ชัดว่าจากการหยั่งเชิงเมื่อครู่ เขารู้ว่าไร้ประโยชน์ที่จะใช้วิธีการทั่วไปกับคู่ต่อสู้คนนี้

ร่างของผู้เฒ่าคูลอยขึ้นไปยืนอยู่บนต้นไม้ดึกดำบรรพ์ สายตาจ้องมองมาที่จิ่วโยว เสียงแหบห้าวดังก้อง “ถ้าผู้บัญชาการจิ่วโยวสามารถต้านรับพลังการเหี่ยวแห้งนี้ได้ ตาแก่คนนี้จะยอมรับความพ่ายแพ้”

จิ่วโยวเงยหน้าขึ้นมองไปที่ต้นไม้ดึกดำบรรพ์ นางไม่ได้ดูตกใจกับพลังนั่น กลับยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าผู้เฒ่าคูสามารถทำลายครอบเพลิงอมตะของข้าได้ ข้าก็จะยอมรับความพ่ายแพ้เช่นกัน”

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตเหนือร่างเริ่มควบแน่น ก่อตัวเป็นนกยักษ์สีดำที่ปกคลุมท้องฟ้าด้วยปีกที่กางออก

นกยักษ์กรีดร้องเสียงแหลมคม เปิดปากพ่นเปลวไฟที่ดูราวกับโปร่งใส ช่างน่ามหัศจรรย์นัก

“ครอบเพลิงอมตะ!”

เสียงนุ่มของจิ่วโยวเปล่งออกมาจากในหัวใจ ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็พวยพุ่งออกมา มิติบิดเบือนสุดท้ายกลายเป็นที่ครอบห่อหุ้มร่างเทพร่วงโรยไว้

ฉ่า! ฉ่า!

เมื่อที่ครอบโปร่งใสครอบลงมา ใบหน้าของผู้เฒ่าคูก็สั่นสะท้าน “เจ้าไม่มั่นใจเกินไปรึ? คิดว่าที่ครอบเพลิงแค่เนี่ยจะขัดขวางข้าได้รึไง?”

ผู้เฒ่าคูเค้นเสียงเยาะอยู่ในหัวใจ แต่สายตาก็ดุดันรุนแรง ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงไปมา ต้นไม้ดึกดำบรรพ์ใต้เท้าก็เริ่มแกว่งไกวด้วยลำแสงสีเทานับหมื่นกวาดตามออกมา

“ฝ่ามืออ่อนร่วงโรย!”

ลำแสงสีเทาควบแน่นรวมเป็นมือใหญ่สีเทา ซึ่งฉายความแห้งเหี่ยว ปลดปล่อยพลังเหี่ยวแห้งแรงกล้าจนทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดมนลง

ทุกคนรู้สึกว่าหนังหัวลุกชันไปหมด เมื่อพวกเขาจดจำได้ว่านี่เป็นท่าไม้ตายโด่งดังของผู้เฒ่าคูที่สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดแบบตายคาที่

ชัดว่าแม้คำพูดผู้เฒ่าคูจะฟังดูไม่ยอมแพ้ แต่เผชิญหน้ากับจิ่วโยว ก็ยังค่อนข้างหวาดเกรง นั่นก็เพราะเขากลัวว่าวันนี้อาจจะล้มเหลวอย่างน่าสังเวช

ตู้ม!

มือปัดป่ายข้ามขอบฟ้าดูเหมือนไร้น้ำหนัก แต่พลังที่บรรจุอยู่ภายในทำให้ทุกคนที่นี่รู้สึกหวาดกลัว

ที่ครอบปลิวไสวทันทีที่มือใหญ่พุ่งเข้ามา เพลิงไหลเวียนก่อนที่จะกวาดเพลิงโปร่งใสออกมาปะทะกับมือแห้งเหี่ยว

ตู้ม! ตู้ม!

อุณหภูมิน่าสะพรึงกลัวสร้างหายนะไปทั่ว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรงบนใบหน้าผู้เฒ่าคู นั่นเป็นเพราะมือสีเทาเหี่ยวแห้งนั้นเหมือนพบศัตรูตัวฉกาจ ลุกไหม้ราวกับต้นไม้แห้งที่ถูกไฟแผดเผา

“ช่างเป็นเพลิงครอบงำอะไรแบบนี้!”

จ้องมองฉากตรงหน้าผู้คนในจัตุรัสก็ใบหน้ากระตุกพลางอุทานเสียงลั่นออกมา

ดวงตาของเทียนจิ้วและหลิงถงหดลง กระทั่งพวกเขายังรู้สึกว่าถูกคุกคามรุนแรงจากเปลวเพลิงโปร่งใส

“นั่น…นั่นคือเพลิงอมตะแท้จริง?!”

ผู้เฒ่าคูร้องเสียงแหลมออกมาด้วยความหวาดผวาในดวงตา ร่างเทพร่วงโรยที่เขาฝึกฝนถูกสร้างจากพลังงานที่มีฤทธิ์ทำให้หมดแรง คลื่นพลังหยินนี้เย็นเยือก แต่เกรงกลัวต่อคลื่นหยางร้อนแรงมาก ส่วนเพลิงอมตะนี้เป็นตัวปัญหาในปัญหา เพราะไม่ว่าพลังงานของเขาจะพยายามแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายพลังชีวิตในเพลิงอมตะได้อย่างสมบูรณ์

จิ่วโยวยิ้มขณะที่จ้องมองสีหน้าเปลี่ยนแปลงรุนแรงของผู้เฒ่าคู ครอบเพลิงอมตะได้รับการถ่ายทอดโดยราชินีวิหคอมตะ แม้จะไม่สามารถทำร้ายผู้เฒ่าคูได้ แต่ดักจับเท่านี้ก็มากเกินพอแล้ว

“ท่านผู้เฒ่าสามารถลองต่อไปได้นะ” จิ่วโยวกล่าว

ใบหน้าของผู้เฒ่าคูมีสีเขียวสลับสีขาว ก่อนที่จะยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัว “ผู้บัญชาการจิ่วโยวมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ในการประลองครั้งนี้”

ฮือฮา

ความโกลาหลระเบิดออก ไม่มีใครคาดว่าผู้เฒ่าคูจะยอมแพ้แบบนี้ แต่มีเพียงเขาที่รู้ว่าครอบเพลิงอมตะนี้ได้เปรียบมาก ถ้าทุ่มสุดแรงก็จะสามารถทำลายได้ แต่แบบนั้นไม่เพียงแต่ต้องใช้เวลานานมาก ยังให้โอกาสจิ่วโยวที่ไม่ต้องเสียแรงอะไร ดังนั้นแม้ว่าเขาจะสามารถหลุดพ้นได้ ก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะคว้าชัยชนะ

ในเมื่อเป็นแบบนี้ เขาก็ก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้และไม่พยายามอย่างไร้ประโยชน์จะดีกว่า

“ขอบคุณสำหรับชัยชนะ” จิ่วโยวยิ้มบางก่อนจะสะบัดมือดึงเพลิงโปร่งใสหดกลับมาแล้วดูดซับพวกมันผ่านปาก อุณหภูมิระหว่างชั้นฟ้าและชั้นดินกลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว

ร่างผู้เฒ่าคูพลิ้วตัวออกจากลานประลองหยุดอยู่ที่ข้างหลงปี้ขณะเหลือบมองอีกฝ่ายก็พูดเสียงเบา “ผู้บัญชาการจิ่วโยวไม่ง่ายต่อกรเลย ข้าเชื่อว่าผู้บัญชาการมู่ก็ไม่ง่ายที่จะจัดการเช่นกัน”

“ก็แค่ปลอมตัวเป็นเทพเพื่อแกล้งผี”

ดวงของหลงปี้วูบไหวขณะมองมู่เฉินอย่างเย็นชา ก่อนที่จะหันมามองหน้าผู้เฒ่าคู “จิ่วโยวเป็นเทพอสูรที่ครอบครองเพลิงอมตะ ดังนั้นนางจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ง่ายต่อการจัดการ แต่ข้าไม่เชื่อว่าในฐานะมนุษย์ มู่เฉินจะสามารถเพิ่มพลังจนเทียบเท่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าในเวลาเพียงปีเดียว!”

เขาเค้นเสียงอย่างเย็นชาจากนั้นก็ส่งแรงไปที่ฝ่าเท้าทะยานขึ้นไปบนลานประลองขนาดใหญ่ มองไปที่มู่เฉินด้วยแววตาดุร้ายและพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส

“ผู้บัญชาการมู่ ถ้าเจ้าต้องการตำแหน่งจอมพลที่ข้าหมายตา ก็ขอดูหน่อยว่าเจ้าทำเช่นนั้นได้หรือไม่!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1080 กลับมาด้วยความแข็งแกร่ง
“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

เสียงประเมินไม่แยแสของหลงปี้ดังก้องในท้องฟ้า ปกคลุมบทสนทนาทั้งหมดไว้ เวลาเดียวกันทั่วทั้งจัตุรัสก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

ผู้คนมีสายตาแปลกประหลาด โดยเฉพาะเหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิมของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ใบหน้าน่าเกลียดลงทันที หลงปี้ทรงพลังและมีชื่อเสียงโด่งดังก็จริง ทว่ามู่เฉินมีคุณูปการมากมาย หากไม่มีมู่เฉิน ไม่เพียงแต่ท่านประมุขจะไม่สามารถบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ สุดท้ายอาจจะทำให้หมู่ตึกเทวะได้รับชัยจนพวกเขาไม่สามารถดำรงอยู่ต่อในภูมิภาคทางเหนือได้อีกเลย

ผลงานของเขาเป็นบุญกับทุกคนในสำนัก แม้แต่จอมพลทั้งสามยังเกรงใจมู่เฉิน ไม่ได้ดูถูกอีกฝ่ายเพราะความอ่อนเยาว์

ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกไม่พอใจที่หลงปี้ทำเช่นนี้ต่อหน้ามู่เฉิน

“หลงปี้ แม้เจ้าจะมีชื่อเสียงในภูมิภาคทางเหนือ แต่สำหรับสำนักเจ้าก็เป็นเพียงคนใหม่ เจ้าเข้าร่วมกับเราเพราะสำนักที่ทรงพลังขึ้น แต่อย่าลืมว่าที่เรามีวันนี้ได้เป็นเพราะการช่วยเหลือของมู่เฉิน” ซิวหลัวพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจคนใหม่ทั้งสอง

“ฮ่าๆ ใครมาก่อนก็มีสิทธิ์ก่อน อย่าเอาความแก่มาเบ่งที่นี่” เลี่ยซันเผยรอยยิ้มเยาะ

ผู้บัญชาการดั้งเดิมคนอื่นๆ ก็ส่งเสียงดังแสดงความคิดเห็น ส่วนผู้บัญชาการใหม่ได้แต่แลกเปลี่ยนสายตากัน ไม่ได้เข้าร่วมศึกแลกน้ำลายที่เกิดขึ้น กลัวว่าจะไปมีปัญหากับหลงปี้และผู้เฒ่าคู เพราะหากทั้งสองได้ขึ้นครองตำแหน่งจอมพลก็จะถือเป็นเสาหลักของสำนักหลังจากนี้

เมื่อหลงปี้และผู้เฒ่าคูเห็นเหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิมฟาดใส่ไม่ยั้ง พวกเขาก็อึ้งไป ก่อนที่ใบหน้าจะกลายเป็นไม่น่าดู

ในฐานะจอมยุทธ์ชั้นสูงของภูมิภาคทางเหนือที่สร้างชื่อเสียงมานาน พวกเขามีความภูมิใจและไว้ตัว พวกเขาไม่เคยให้ความสำคัญกับมู่เฉินมากนัก จึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องสุภาพ ถึงยังไงมู่เฉินก็ยังเด็กเหลือเกิน แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโชคดีไปสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่อะไรในสงครามล่าจนทำให้ท่านประมุขดูแลเป็นอย่างมาก แต่การดูแลที่ได้มาจากความสัมพันธ์เช่นนี้ ยิ่งทำให้พวกเขาดูถูกเข้าไปใหญ่

ดังนั้นหลงปี้จึงอดเยาะเย้ยไม่ได้ เมื่อเขาเห็นมู่เฉินปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับความตั้งใจที่จะลงประลองเพื่อชิงตำแหน่งจอมพลกับพวกเขา แต่ชัดว่าเขาประเมินชื่อเสียงของมู่เฉินต่ำเกินไป เมื่อเขาพูดเยาะเย้ยออกมาก็คล้ายกับแหย่เข้าไปในรังแตน

แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ตอบโต้อะไร เทียนจิ้วและหลิงถงก็พูดย้ำเสียงดังก้องว่า “ผู้บัญชาการมู่และผู้บัญชาการจิ่วโยวมีบุญยิ่งใหญ่ต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตอนนี้พวกเจ้าก็ยังไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง จึงมีสถานะเดียวกัน ดังนั้นอย่าได้ไร้มารยาทเกินไป”

ทั้งสองจอมพลมีความเห็นเกี่ยวกับหลงปี้และผู้เฒ่าคูไม่ดีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น ดังนั้นเมื่อสบโอกาสที่เห็นว่าทั้งสองถูกโจมตีจากเหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิม พวกเขาก็โยนหินใส่ลงไปโดยไม่ลังเล

กระทั่งซุยนอนก็ยังระบายยิ้มเบาบาง ขณะที่พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้

สีหน้าหลงปี้และผู้เฒ่าคูสลับไปมาระหว่างเขียวกับขาว พวกเขาไม่คิดเลยว่าประโยคเดียวสั้นๆ จะทำให้ผู้คนเกิดความโกรธแค้นขนาดนี้

ทีแรกเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะวิจารณ์คนที่อายุน้อยกว่าจากพลังและชื่อเสียงที่มี แต่ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้

พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันแบบกระอักกระอ่วนก่อนจะมองมั่นถัวหลัวบนบัลลังก์ พยายามจะให้นางพูดอะไรบางอย่าง ทว่านางก็ยังคงทำราวพักสายตา โดยไม่มีท่าทีจะเอื้อนเอ่ยคำใดและยิ่งไม่สนจะหยุดคนอื่นๆ ไม่ให้พูด

เมื่อหลงปี้และผู้เฒ่าคูเห็นท่าทางของมั่นถัวหลัวหัวใจก็ดิ่งลง พวกเขาประเมินมู่เฉินต่ำไป เห็นได้ชัดว่าในหัวใจของประมุขพวกเขามีน้ำหนักน้อยกว่ามู่เฉิน เนื่องจากนางไม่ได้มีท่าทีการสนับสนุนพวกเขา แม้จะตกเป็นเป้านิ่งของทุกคนก็ตาม

คิดถึงจุดนี้ สีหน้าทั้งสองก็เขียวสลับขาว แม้จะรู้สึกไม่พอใจในใจ แต่สุดท้ายสิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือระงับอารมณ์ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉินและจิ่วโยวบนท้องฟ้าพลางยิ้มลุแก่โทษและฝืนยิ้ม “เป็นความผิดของข้าเอง หวังว่าผู้บัญชาการมู่จะไม่ถือโทษโกรธกัน”

ไม่ว่าตอนนี้จะรู้สึกยังไง พวกเขาก็ต้องเลือกกลืนลงไปเพราะกลัวว่าจะเพิ่มคำตำหนิมากขึ้น ซึ่งเท่ากับสร้างความอับอายให้แก่ตนเอง

บนท้องฟ้า มู่เฉินอึ้งไปเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก่อนที่จะส่ายหัวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า อาณาเขตกงเวทสวรรค์ในปัจจุบันน่าสนใจมากและในเวลาเดียวกันก็วุ่นวายมาก แม้หลงปี้และผู้เฒ่าคูจะล้ำเส้นเขาไปบ้าง แต่ชัดว่าได้สร้างความไม่พอใจไว้มากแล้วก่อนหน้า ทำให้เรื่องนี้เป็นเพียงชนวนที่จุดระเบิด

“ตาแก่สองคนนี้ซวยจริงๆ”

มู่เฉินพึมพำในใจ จากนั้นก็ส่ายหัวยิ้มบางพูดว่า “ในเมื่อท่านประมุขบอกว่าทุกคนสามารถประลองเพื่อตำแหน่งจอมพลทั้งสองได้ งั้นพวกข้าสองคนก็น่าจะเข้าร่วมได้ใช่ไหม?”

บนบัลลังก์มั่นถัวหลัวเปิดเปลือกตามองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มไม่เชิงยิ้มกระจายบนใบหน้างาม

แม้ทั้งสองจะปกปิดความผันผวนของคลื่นหลิงไว้ แต่จอมยุทธ์ในระดับนางก็สามารถรับรู้ถึงพลังได้

“ได้” ดังนั้นนางจึงพยักหน้าเอ่ยตอบ

เมื่อคำประกาศหลุดออกมา ความโกลาหลก็เกิดขึ้น แต่ครั้งนี้แม้แต่เหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิมก็ยังขมวดคิ้ว พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินและจิ่วโยวจะลงชิงตำแหน่งจอมพลจริงๆ

หลงปี้และผู้เฒ่าคูมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นซึ่งทรงพลังมาก แม้กระทั่งเทียนจิ้วและหลิงถงก็ยังอยู่ในระดับนี้เช่นกัน

พวกเขารู้ว่าพลังของมู่เฉินและจิ่วโยวจะต้องเพิ่มขึ้นหลังจากการเดินทางออกจากสำนักเกือบหนึ่งปี แต่ตอนที่จากไปจิ่วโยวอยู่ในขั้นเจ็ดส่วนมู่เฉินอยู่ในขั้นหกเท่านั้น เวลาหนึ่งปีอย่างมากที่สุดการบรรลุขึ้นไปอีกขั้นก็เป็นขีดจำกัดแล้ว

แต่กระนั้นโอกาสก็เท่ากับศูนย์เมื่อเทียบกับหลงปี้และผู้เฒ่าคู

ประกายแสงวูบไหวในดวงตาของหลงปี้และผู้เฒ่าคู จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มเย้ยหยันเพิ่มขึ้น

ด้วยชื่อเสียงของมู่เฉินและจิ่วโยวในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก็คงไม่มีทางที่จะเอาคืนด้วยวิธีปกติ แต่ในเมื่อทั้งสองยืนกรานที่จะลงประลอง พวกเขาก็จะช่วยส่งเสริมให้ได้อับอายบ้าง

พวกเขาจะมาดูสิว่าหลังจากที่ไอ้เด็กอ่อนเยาว์สองคนพ่ายแพ้ในมือพวกเขา ชื่อเสียงนั้นจะทนต่อความอับอายได้กี่ครั้ง?

“ผู้บัญชาการมู่ ผู้บัญชาการจิ่วโยว การชิงตำแหน่งจอมพลไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าสองคนต้องระวังนะ” เทียนจิ้วเตือนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แม้จะสัมผัสได้ว่าความผันผวนของคลื่นพลังรอบตัวมู่เฉินและจิ่วโยวดูคลุมเครือ แต่พิจารณาจากสภาพทั่วไป พวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าพลังของทั้งสองจะทะยานขึ้นแบบฉุดไม่อยู่

“ขอบคุณสำหรับการเตือนขอรับท่านจอมพลเทียนจิ้ว” มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้มแต่ไม่ได้แสดงเจตนาในการถอนตัว

แววสงสัยวูบไหวในดวงตาเทียนจิ้วเมื่อได้ยินคำพูดมั่นใจของมู่เฉิน เขามีความเข้าใจในพื้นนิสัยของมู่เฉินดี ชายหนุ่มคนนี้มีนิสัยแน่วแน่แม้จะอายุน้อย ดังนั้นจะไม่ยอมเอาชีวิตมาเสี่ยงถ้าไม่ได้มีความมั่นใจ หรือว่ามู่เฉินมีวิธีทรงพลังที่สามารถเผชิญหน้ากับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นได้?

เมื่อนึกถึงไพ่ตายทรงพลังของมู่เฉินในฐานะหลิงเจิ้นซือและจั้นเจิ้นซือ ก็ทำให้ความกังวลของเขาคลายลงเล็กน้อย เขาหวังว่ามู่เฉินจะทำได้สำเร็จ มิเช่นนั้นจะต้องอับอายขายหน้าทั้งตัวเองและหอวิหคโลกันตร์

“ฮ่าๆ ในเมื่อเจ้าสองคนยืนกราน ข้าคงต้องถูกตราหน้าว่าแกล้งเด็กสักครั้ง” ผู้เฒ่าคูหัวเราะเสียงแหบห้าว ก่อนที่จะหายตัวไปปรากฏบนลานหินในจัตุรัส จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินและจิ่วโยวด้วยสายตาเย้ยหยัน

“ไม่รู้ว่าใครที่จะท้าทายข้า? ถ้าข้าแพ้ ข้าจะไม่แย่งตำแหน่งจอมพลนี้อีก”

ดวงตาทุกคู่จ้องมองมาที่มู่เฉินและจิ่วโยว บางคนคาดหวัง บางคนงุนงง ขณะเดียวกันก็มีคนยินดีในความโชคร้ายของทั้งคู่

“ข้าได้ยินชื่อเสียงของผู้เฒ่าคูมานานแล้ว วันนี้จะมาขอคำแนะนำสักหน่อยเจ้าค่ะ”

จิ่วโยวยิ้มหวานเคลื่อนตัวไปปรากฏตรงหน้าผู้เฒ่าคู ไฟแห่งการต่อสู้ร้อนแรงลุกฮือในดวงตา

นั่นคือรัศมีการสู้ที่เร่าร้อน

ฝึกฝนในมิติสองปี ด้วยคำแนะนำของราชินีวิหคอมตะและความช่วยเหลือของแก่นมรดกโลหิต พลังของนางได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตอนนี้นางต้องการคู่ต่อสู้ที่สูสีเพื่อทดสอบพัฒนาการของตนเอง ซึ่งผู้เฒ่าคูชัดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ผู่เฒ่าคูปรายตามองไปที่จิ่วโยวก่อนที่จะขมวดคิ้ว เมื่อเข้าใกล้เขาก็รู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงของจิ่วโยวเก็บกลับสู่ร่างกายทั้งหมดโดยไม่มีการรั่วไหลแม้แต่น้อย

“เจ้าซ่อนพลังไว้หรือ?” ผู้เฒ่าคูถามด้วยอาการตกตะลึง

จิ่วโยวยิ้มไม่ตอบ เพียงแค่เยื้องย่างออกมา คลื่นหลิงที่น่ากลัวที่ถูกบีบอัดในร่างกายถูกปลดปล่อยออกมาอย่างสมบูรณ์ราวกับภูเขาไฟปะทุ ทำให้ผืนฟ้าและผืนดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อพลังงานกวาดออกก็พวยพุ่งปกคลุมดวงอาทิตย์ แรงกดดันน่าขนพองสยองเกล้าระเบิดออกมาจากร่างของจิ่วโยว

สายตาตะลึงพรึดเพริดจ้องมองร่างเพรียวบาง โดยเฉพาะเหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิม ดวงตาเบิกโตเท่าไข่ห่าน

เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่บนใบหน้าของเทียนจิ้วและหลิงถงเช่นกัน สายตาจ้องมองไปที่จิ่วโยวด้วยความตกตะลึง สุดท้ายก็สูดหายใจลึกพึมพำด้วยความไม่เชื่อ “นาง…นางบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแล้วรึ?!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1079 ประลองชิงตำแหน่งราชัน
บรรยากาศการประชุมปะทุขึ้นด้วยคำพูดของมั่นถัวหลัว

ดวงตาของผู้คนเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ โดยเฉพาะคนที่มีความตั้งใจที่จะลงชิงตำแหน่ง ดูราวกับวัวกระทิงที่อยากพุ่งชนโดยไม่สนใจอะไร ลมหายใจแต่ละคนหอบถี่

การชิงตำแหน่งผู้บัญชาการแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับในอดีต ไม่เพียงแต่ต้องผ่านการประลอง มิหนำซ้ำยังต้องถูกเสนอชื่อโดยผู้บัญชาการอย่างน้อยห้าคน แน่นอนว่าอีกปัจจัยสำคัญก็คือจำนวนตำแหน่งที่มั่นถัวหลัวจะเปิดให้

มีจอมยุทธ์จำนวนมากในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นอุปทานจึงไม่ตรงกับความต้องการ หากมั่นถัวหลัวเปิดตำแหน่งมากเกินไปก็จะมีข้อพิพาทเกิดขึ้นในสำนัก ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นก็จะนำมาซึ่งความปั่นป่วนภายใน ดังนั้นมั่นถัวหลัวจึงเปิดครั้งละน้อยนิด เช่นในการประชุมครั้งนี้ก็เปิดเพียงห้าตำแหน่งเท่านั้น

แล้วจำนวนของผู้เข้าแข่งขันที่หมายจะชิงห้าตำแหน่งนี้ก็มีหลายสิบคน ซึ่งสร้างอัตราการกำจัดที่โหดร้ายยิ่ง

ดังนั้นเมื่อมั่นถัวหลัวโบกมือส่งสัญญาณ คลื่นหลิงก็พุ่งออกมาทุกทิศทาง ร่างหลายสิบคนลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่จะร่อนลงบนลานประลอง

โห่! โห่!

เสียงอื้ออึงสนับสนุนดังก้องกังวานจากทุกที่ หากคนที่พวกเขาสนับสนุนชนะและได้รับตำแหน่ง พวกเขาก็จะได้รับรางวัลสำหรับการสนับสนุนเช่นกัน ในอนาคตเมื่อผู้บัญชาการคนใหม่ต้องการจัดตั้งกองทัพของตนเอง ในฐานะผู้สนับสนุนพวกเขาก็จะมีส่วนร่วมในทรัพยากร ทำให้ช่วยเร่งการฝึกฝนได้มาก

มั่นถัวหลัวกวาดม่านตาไปรอบลานประลองก่อนที่จะหลับตาลง เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ในระดับนี้ต่ำกว่ามาตรฐานในสายตาของนางไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะการขยายตัวของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้น นางคงมอบหน้าที่ในการประชุมราชันให้สามจอมพลไปจัดการเองนานแล้ว

นอกจากนี้เหตุผลที่นางมาที่นี่ก็ไม่ใช่มาเพื่อดูการประลองสำหรับตำแหน่งผู้บัญชาการ

มั่นถัวหลัวมองไปที่หลงปี้และผู้เฒ่าคูจากปรายหางตา พวกเขาทั้งคู่ดูเป็นอิสระและสบายใจ ราวกับชื่อของจอมพลตกอยู่ในมือแล้ว ในสายตาของพวกเขาไม่มีผู้บัญชาการคนใดที่สมควรได้รับความสนใจ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าไม่มีคู่แข่งในหมู่คนเหล่านี้

มุมปากของมั่นถัวหลัวโค้งขึ้นเมื่อเห็น หลงปี้และผู้เฒ่าคูมีพลังพอตัว แต่พวกเขาเย่อหยิ่งจองหองเกินไป ซึ่งนั่นไม่เป็นประโยชน์ต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์ หากพวกเขาได้รับตำแหน่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

การประลองตำแหน่งผู้บัญชาการเข้มข้นมาก แต่ไม่นานก็จบลงด้วยช่องว่างระหว่างผู้แข่งขันค่อนข้างชัดเจน ดังนั้นการต่อสู้ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก่อนจะเหลือจอมยุทธ์ห้าคนอยู่บนเวที

ทั้งห้าคนปลดปล่อยความผันผวนของพลังงานที่ไม่ธรรมดา พวกเขาทั้งหมดอยู่ในระยะต้นของระดับจื้อจุนขั้นแปดซึ่งเทียบเท่ากับไป๋หมิงที่มู่เฉินปะทะในดินแดนเสินโซ่

นี่เป็นห้าคนสุดท้ายที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อตำแหน่งผู้บัญชาการ

มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบาๆ ให้จอมยุทธ์ทั้งห้า พร้อมกับการเติบโตของสำนักแล้ว คุณภาพของจอมยุทธ์ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากตอนนี้ความดึงดูดใจของอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีมากกว่าในอดีตสิ้นเชิง

ดังนั้นขุมพลังของเหล่าผู้บัญชาการคนใหม่ล้วนทรงพลังมาก นอกเหนือจากซิวหลัวและเลี่ยซัน ผู้บัญชาการดั้งเดิมคนอื่นๆ อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น ซึ่งเป็นสาเหตุข้อพิพาทระหว่างคนใหม่กับคนเก่าอยู่เนืองๆ

ผู้บัญชาการเก่าเชื่อในประสบการณ์และความอาวุโส ขณะที่ผู้บัญชาการใหม่เชื่อในพลังของตนเอง ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุของความไม่ลงรอยกัน ทว่ามั่นถัวหลัวก็ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ที่จะหยุดยั้ง เนื่องจากเรื่องนี้ไม่ได้เป็นข้อเสียต่อสำนักสักเท่าไร

เมื่อปรากฏผู้บัญชาการใหม่ทั้งห้า ก็ทำให้ทั่วจัตุรัสส่งเสียงโห่ร้องยินดี

เหล่าจอมพลยืนขึ้นประกาศการรับผู้บัญชาการใหม่รวมทั้งผู้สนับสนุน ก่อนที่จะเชิญทั้งห้าลงจากลานประลอง แต่แม้จะให้ทั้งห้าลงไปแล้ว ทว่าบรรยากาศกลับยิ่งร้อนแรงเดือดพล่านมากขึ้น

สายตาทั้งหมดจ้องมองไปที่ชายสองคนที่นั่งเงียบๆ ที่ใจกลาง

เพราะทุกคนรู้ว่าพิธีมอบยศราชันช่วงต้นเป็นเพียงอาหารว่าง ช่วงหลังต่างหากที่เป็นอาหารหลักในวันนี้!

จำนวนของผู้บัญชาการในปัจจุบันมีเกินยี่สิบตำแหน่งแล้ว แต่จอมพลยังคงมีอยู่แค่สามตำแหน่งเท่านั้น ปกติเมื่อท่านประมุขเข้าสมาธิฝึกฝน กิจวัตรต่างๆ ก็จะได้รับการจัดการโดยจอมพลทั้งสาม ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดถึงอำนาจหน้าที่ของจอมพลมีมากเพียงใด

แต่เวลาเดียวกันการประลองเพื่อชิงตำแหน่งจอมพลก็ยกระดับขึ้น มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติชิงตำแหน่ง

ซึ่งในปัจจุบันมีเพียงหลงปี้และผู้เฒ่าคูเท่านั้นที่มีคุณสมบัติ

ดังนั้นหากทั้งสองคนสามารถขึ้นดำรงตำแหน่ง จำนวนจอมพลก็จะเพิ่มขึ้นจากสามเป็นห้าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ในบรรดาผู้บัญชาการมีหลายคนตั้งใจจะเชื่อมสายสัมพันธ์ เพื่อที่จะได้รับการดูแลเมื่อทั้งสองได้ตำแหน่งไป

ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวเปิดออก เสียงดังก้องกังวาน “ข้าขอประกาศว่าวันนี้จะมีการเพิ่มตำแหน่งจอมพลสองตำแหน่งสำหรับผู้พร้อมจะลงชิงชัย”

ฮือฮา!

บรรยากาศลุกฮือด้วยคำพูดของนาง สายตาร้อนแรงจ้องมองหลงปี้และผู้เฒ่าคูที่นั่งสงบนิ่ง ราวกับว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง ตราบใดที่ตำแหน่งจอมพลเพิ่มสองตำแหน่ง พวกเขาก็สามารถก้าวเข้าไปอยู่ในนั้นได้แน่นอน

ซิวหลัวและเลี่ยซันถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาเคยเป็นผู้ที่มีแนวโน้มได้ตำแหน่งจอมพลมากที่สุด แต่ก็ถูกผลักกลับไปพร้อมกับการขยายตัวของสำนัก

แม้จะรู้สึกอึดอัดใจ แต่ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาพูดได้ เพราะด้วยพลังของทั้งสองคนนี้ นอกจากในฐานะคนเก่าของสำนักก็ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาจะสู้ได้

เทียนจิ้วและหลิงถงแลกเปลี่ยนสายตาโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ ในอนาคตสำนักคงจะเฮฮาน่าดู เมื่อมีทั้งสองคนเข้าร่วม สิ่งต่างๆ ก็คงจะไม่ราบรื่นนัก

มั่นถัวหลัวมองมาที่ทุกคน เสียงเรียบเฉยยังคงดังก้อง “ทุกคนสามารถลงชิงชัยตำแหน่งจอมพลได้”

หลงปี้และผู้เฒ่าคูยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ ด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล “ไม่ทราบว่ามีใครต้องการท้าพวกข้าหรือไม่? ถ้าพวกข้าแพ้ก็จะปล่อยตำแหน่งจอมพลให้ด้วยมือตัวเอง”

ความกดดันครอบงำอยู่ในน้ำเสียงราบเรียบ เนื่องจากทั้งสองไม่ได้มีความกังวลเกี่ยวกับการประลองเลย

เหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิมมีสีหน้าบิดเบี้ยว ก่อนที่จะแลกสายตาพลางส่ายหัว ด้วยพลังที่มีแม้ว่าพวกเขาจะขึ้นไปก็รังแต่จะทำให้ตนเองอับอาย

ทั่วทั้งจัตุรัสเงียบกริบ เวลาผ่านไปแต่ก็ไม่มีใครกล้าเปล่งเสียง เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ว่าจอมยุทธ์สองคนนี่ไม่ใช่คนที่พวกเขาสามารถเผชิญหน้าได้

เมื่อหลงปี้เห็นฉากนี้ รอยยิ้มพึงพอใจก็ปรากฏบนใบหน้าหยาบกระด้าง ดวงตาก็หรี่ลง “ในเมื่อไม่มีใครอยากประลอง งั้นพวกข้าก็…”

ทว่าก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค เสียงหัวเราะสดใสก็กระจายมาจากที่ไกลเขย่าทั้งสวรรค์และโลก

“ฮ่าๆ อย่าใจร้อนสิท่านจอมยุทธ์ พวกข้าสองคนสนใจตำแหน่งจอมพลเช่นกัน”

เสียงดังขึ้นกะทันหันทำให้ทั่วจัตุรัสเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ แม้แต่ผู้บัญชาการเก่าก็อึ้งไปก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเห็นแสงหลิงจำนวนมากเคลื่อนตัวเข้ามา

คนที่ยืนอยู่หน้าสุดเป็นชายหนุ่มอ่อนเยาว์และหญิงสาวสะคราญโฉม

ผู้บัญชาการเก่าทั้งเจ็ดคนต่างตกตะลึงเมื่อเห็นร่างเงาทั้งสองก็อุทานออกมา “ผู้บัญชาการมู่?! ผู้บัญชาการจิ่วโยว?!”

เสียงอุทานดังก้องระเบิดความโกลาหลขึ้น สายตาพุ่งไปยังทั้งสองด้วยความตกใจ จากนั้นเสียงพูดคุยก็ดังไปทั่ว

“นั่นผู้นำหอวิหคโลกันตร์ ผู้บัญชาการมู่กับผู้บัญชาการจิ่วโยวรึ?”

“พวกเขาหายหน้าไปเกือบปี ไม่คิดว่าจะกลับมาอีก”

“ผู้บัญชาการมู่มีตำแหน่งสำคัญในสำนัก มีข่าวลือว่าท่านประมุขสามารถบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ก็เพราะเขา”

“เรื่องนี้รู้ๆ กันอยู่แล้ว ไม่งั้นหอวิหคโลกันตร์จะมีสถานะเช่นนี้ในวันนี้ได้รึ?” เสียงที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาดังก้องท่ามกลางการโต้เถียง

“จุ๊ๆ แต่เมื่อกี้ผู้บัญชาการมู่พูดอะไรนะ? เขาและผู้บัญชาการจิ่วโยวต้องการลงชิงชัยตำแหน่งจอมพลเรอะ? เฮ้ ข้าว่าพวกเขานี่เป็นวัวน้อยไม่กลัวเสือ แม้ว่าท่านประมุขจะให้ความสำคัญกับเขา แต่ตำแหน่งจอมพลไม่ใช่สิ่งที่เด็กน้อยอย่างเขามีคุณสมบัติเหมาะสม!”

“ใช่ๆ ผู้บัญชาการมู่คิดจะประลองกับหลงปี้และผู้เฒ่าคู ดูเพ้อเจ้อไปจริงๆ”

“…”

บทสนทนาทุกประเภทดังก้อง แต่เห็นได้ชัดว่าทุกคนดูถูกคำพูดของมู่เฉิน แม้แต่คนที่รู้จักเขา

หลงปี้และผู้เฒ่าคูเงยหน้าขึ้นคิ้วขมวดหากันภายใต้บทสนทนาหลากหลาย ก่อนที่พวกเขาจะมองไปที่มู่เฉินและจิ่วโยวที่เก็บคลื่นหลิงเข้าสู่ร่างกาย หลงปี้ก็ยิ้มกว้าง เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังกึกก้อง

“ก็ว่าใคร ที่แท้ก็คือผู้บัญชาการมู่และผู้บัญชาจิ่วโยวงั้นสินะ ข้าได้ยินมานานเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเจ้ามีส่วนช่วยอย่างมากกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ชื่อของเจ้าช่างเลื่องลือ แต่ถ้าวันนี้พวกเจ้าคิดอยากแย่งตำแหน่งจอมพล ข้าก็มีคำบอกพวกเจ้าทั้งสอง …”

“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ…”

**สุภาษิต วัวน้อยไม่กลัวเสือเปรียบคนที่อ่อนประสบการณ์ย่อมไม่กลัวอะไร

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1078 เหล่าราชันใหม่
ลึกลงไปในเขตต้าหลัวเทียน

ร่างแสงพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทางก่อนที่จะพลิ้วตัวลง ช่างเป็นฉากที่น่าตื่นตา เติมเต็มจัตุรัสจนถึงจุดที่ไม่มีที่ว่างโดยรอบ

เทียบกับปีที่แล้ว ในปัจจุบันอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยจำนวนจอมยุทธ์มารวมตัวกันเหมือนเมฆบนท้องฟ้า ด้วยมาตรวัดนี้อาจได้รับการจัดอันดับว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคทางเหนือแล้ว

ขณะนี้จัตุรัสในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ดึงดูดความสนใจไว้มากที่สุด

นั่นเป็นเพราะการประชุมราชันทุกครั้งจะมีตำแหน่งใหม่เกิดขึ้น ณ สำนักแห่งนี้เพียงได้รับตำแหน่งถึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะสั่งสมพลังอำนาจ ในเวลาเดียวกันก็จะได้รับทรัพยากรมากมายอีกด้วย ดังนั้นในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่รู้มีจอมยุทธ์เท่าไรที่หมายตาชิงตำแหน่งอยู่

ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการชิงตำแหน่งดุเดือดกว่าหนึ่งปีก่อนมาก

ในอดีตจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าก็มีคุณสมบัติที่จะแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่ง แต่ในวันนี้ถ้าไม่ถึงขั้นเจ็ดก็ไม่กล้าจะลงชิงตำแหน่งหรอก

ด้วยสิ่งนี้ก็สามารถบอกได้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีการเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว…

ในจัตุรัสใหญ่คึกคักไปด้วยเสียงอื้ออึง บางครั้งจะมีร่างแสงกลุ่มใหญ่ส่งเสียงกระหึ่มบนท้องฟ้าด้วยการเคลื่อนไหวที่ไม่ธรรมดาที่สามารถดึงดูดสายตาอิจฉาโดยรอบ นั่นเป็นเพราะในเขตต้าหลัวเทียนตำแหน่งผู้บัญชาการถึงจะเริ่มสร้างกองทัพของตัวเองได้

ภายใต้สายตาอิจฉานับไม่ถ้วน ร่างแสงก็ร่อนลงไปที่ศูนย์กลางจัตุรัส ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของอาณาเขตกงเวทสวรรค์

สายตานับไม่ถ้วนพุ่งไปที่ศูนย์กลางนั่น

มีบัลลังก์ทองคำที่สุดปลายบันไดซึ่งโดดเด่นเป็นสง่า ราวกับว่าบัลลังก์มีแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้ ต่อให้แค่ตั้งตรงอย่างเงียบๆ เหล่าจอมยุทธ์ก็ยังให้ความเคารพในสายตาขณะมองดู นั่นเป็นเพราะบัลลังก์นี้เป็นของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนือในขณะนี้

ใต้บัลลังก์ทองคำมีบัลลังก์เงินสามบัลลังก์ ภายใต้แสงตะวันสีเงินก็ส่องแสงระยิบระยับพร่างตา ขณะนี้มีชายสามคนนั่งอยู่บนบัลลังก์ ดวงตาแต่ละคู่ปิดอยู่ รับความเคารพนับถือและความอิจฉานับไม่ถ้วนที่จ้องมองมาอย่างเฉยเมย

ในเขตอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ผู้ที่ครอบครองตำแหน่งนี้ก็คือจอมพลซุยนอน จอมพลเทียนจิ้วและจอมพลหลิงถง ทั้งสามเป็นผู้จงรักภักดีที่ติดตามมั่นถัวหลัวมาตั้งแต่แรกเริ่มต้น

ลดลั่นลงมาจากสามจอมพลเป็นบัลลังก์หินกลุ่มหนึ่ง บนนั้นมีร่างที่นั่งอยู่อัดแน่นด้วยความครอบงำที่ไม่ธรรมดา ทุกคนล้วนเปล่งคลื่นหลิงไร้ขอบเขต พวกเขาก็คือเหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์

ในบรรดาผู้บัญชาการที่ดึงดูดความสนใจตอนนี้ไม่ใช่ซิวหลัวและเลี่ยซันที่อยู่ในอันดับต้นๆ ในอดีต แต่เป็นคนสองคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุด

ทั้งสองเป็นผู้นำท่ามกลางเหล่าผู้บัญชาการ คนด้านซ้ายมีลักษณะสูงวัย มีรอยย่นบนผิวหนัง เมื่อมองจากระยะไกลดูเหมือนต้นไม้แก่ใกล้ตาย ดวงตาหลุบต่ำมองดูอ่อนแอ แต่กระนั้นเขากลับเปล่งแรงกดดันที่น่ากลัวออกมา

นั่นเป็นเพราะชายคนนี้เป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ชั้นยอดของภูมิภาคทางเหนือที่เข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์—ผู้เฒ่าคู

ทางด้านขวาเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำ เงาของเขาใหญ่โตพอที่จะห่อหุ้มร่างผู้เฒ่าคูได้ ท่อนแขนของเขามีเอกลักษณ์พิเศษมาก เหมือนจะหนากว่าคนทั่วไป มือกางออกกว้างถูกวางไว้ข้างลำตัว เมื่อมองให้ละเอียดก็จะพบว่าเมื่อเขาขยับนิ้ว ก็จะเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องราวกับว่านิ้วมีพลังทำลายล้างที่สามารถทำลายภูเขาด้วยมือข้างเดียว

เขาก็คือหลงปี้จอมยุทธ์ชั้นยอดของภูมิภาคทางเหนือ ว่ากันว่าวิทยายุทธที่เขาฝึกฝนมีความพิเศษมาก ทำให้เขาสามารถรวมแขนมังกรเข้ากับแขนตัวเองได้ ปรับแต่งจนเป็นของตนเองอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเผ่ามังกร

พวกเขาก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าซึ่งเป็นขุมพลังที่เหนือกว่าผู้บัญชาการคนอื่น มากจนแม้แต่ผู้บัญชาการที่แข็งแกร่งที่สุดที่ผ่านมาอย่างซิวหลัวยังถูกวางไว้ข้างหลังทั้งสอง

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เห็นตำแหน่งผู้บัญชาการอยู่ในสายตา พวกเขายิ้มสนทนากัน เพียงแต่บางครั้งจะจ้องมองไปที่ร่างเงาทั้งสามบนบัลลังก์เงินด้วยความท้าทายและถือดีในส่วนลึกของดวงตา

นั่นเป็นเพราะในสายตาของทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขุมพลังหรือชื่อเสียง พวกเขาก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าจอมพลทั้งสามแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ในบรรดาจอมพลนอกเหนือจากซุยนอนที่มักจะหลับตานอนอยู่ตลอดเวลาที่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย พวกเขาเชื่อว่าตนเองไม่ได้อ่อนแอกว่าเทียนจิ้วและหลิงถงเลย

ก็เป็นปกติที่พวกเขาต้องการตำแหน่งที่เหมาะสมกับพลังของตนเอง ซึ่งก็คือตำแหน่งจอมพลนั่นเอง

ที่บัลลังก์เงินเมื่อเทียนจิ้วและหลิงถงสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา ก็ไม่มีระลอกคลื่นใดในสายตาของพวกเขา แต่เสียงเย้ยหยันเย็นชากลับดังขึ้นในหัวใจ

ในฐานะสมาชิกดังเดิมของสำนัก พวกเขารู้สึกถึงการแข่งขันรุนแรงในหนึ่งปีที่ผ่านมา มากจนกระทั่งตำแหน่งของพวกเขาก็ถูกเล็งเอาไว้

แต่พวกเขาไม่สามารถกล่าวหาว่าทั้งสองไม่มีสิทธิ์ นั่นเป็นเพราะชื่อเสียงของผู้เฒ่าคูและหลงปี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพวกเขา

มากจนกระทั่งถ้าไม่ใช่เพราะทรัพยากรที่ท่านประมุขมอบให้ในปีที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาเจาะผ่านคอขวดบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแท้จริง พวกเขาอาจถูกแซงโดยผู้มาใหม่ที่ทะเยอทะยานเหล่านี้ไปแล้ว

ความขัดแย้งระหว่างคนใหม่และคนเก่าเริ่มส่งผลกระทบมาถึงระดับพวกเขาแล้ว

“ครั้งนี้ไอ้สองนั่นดูมั่นใจในการได้รับตำแหน่งจอมพล” หลิงถงมองไปที่ทั้งสอง ริมฝีปากขยับส่งคลื่นเสียงไปยังเทียนจิ้ว

ในอดีตมักจะเกิดการแข่งระหว่างหลิงถงและเทียนจิ้วเสมอ ดังนั้นจึงไม่มีความสัมพันธ์ที่กลมกลืนนัก แต่การแข่งขันเข้มข้นของจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทำให้การแข่งขันระหว่างพวกเขาหายไป นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังมีความตั้งใจที่จะรวมพลังกันต่อต้านกลับด้วย

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงถง เทียนจิ้วก็พยักหน้าเบาๆ พูดว่า “พลังของสองคนนั่นเพียงพอแล้ว ตอนนี้ยังสร้างรากฐานให้ตัวเองได้ดี กลัวว่าครั้งนี้พวกเขาจะประสบความสำเร็จแล้ว”

ขณะที่พูดเทียนจิ้วก็เบ้ปากอย่างไม่พอใจ ด้วยอุปนิสัยของหลงปี้และผู้เฒ่าคู หากพวกเขาได้รับตำแหน่งจอมพล การแข่งขันก็จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในอนาคต

“ฮ่าๆ พี่เหมิงคิดยังไง?” ดวงตาของหลิงถงเป็นประกาย ขณะที่มองไปที่ซุยนอนที่ดวงตาหลุบลงอย่างเฉื่อยเนือย เขาไม่ได้พูดข้ามหัวซุยนอนเมื่อพูดคุยกับเทียนจิ้ว ชัดว่าเขาไม่ได้สนใจว่าซุยนอนจะได้ยินการสนทนาของพวกเขาหรือไม่

แม้จะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่หลิงถงก็ยังแสดงทัศนคติสุภาพต่ออีกฝ่าย นั่นเพราะเขารู้ว่าซุยนอนติดตามท่านประมุขมานานหลายปีและเป็นคนที่ภักดีมากที่สุด ดังนั้นซุยนอนน่าจะรู้ความคิดบางอย่างของท่านประมุข

เมื่อซุยนอนที่ราวกับกำลังงีบได้ยินคำพูดของหลงถิง เขาก็เปิดเปลือกตาเล็กน้อยและยิ้มบาง “ความคิดเห็นของท่านประมุขก็คือถึงเวลาที่ตำแหน่งจอมพลจะเพิ่มขึ้นอีกสองตำแหน่งแล้ว”

ทั้งสองตกตะลึงก่อนที่จะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “สองคนนั่นโชคดีซะจริง”

ในอดีตหลงปี้และผู้เฒ่าคูพยายามที่จะขอตำแหน่งจอมพลตลอด แต่ก็ถูกมั่นถัวหลัวปฏิเสธ เพราะตำแหน่งนี้สำคัญมากและทั้งสองคนก็ยังไม่มีคุณสมบัติและความภักดีพออีกด้วย

แต่ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน มั่นถัวหลัวคงจะเริ่มเห็นด้วยแล้ว หากเป็นเช่นนั้นเรื่องการมอบตำแหน่งจอมพลก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น

ทั้งสองถอนหายใจยาวเหยียด พวกเขารบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับท่านประมุขหลายปีเพื่อรับตำแหน่งในปัจจุบัน แต่คนใหม่ที่เพิ่งมาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังไม่ทันครบปี มิหนำซ้ำยังไม่ได้สร้างคุณูปการ ทว่ากลับกำลังจะอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ดังนั้นทั้งสองจึงรู้สึกไม่สบาย

ทว่าถ้ามองด้วยเหตุผล พวกเขาก็รู้ว่าพลังของหลงปี้และผู้เฒ่าคูมีคุณสมบัติที่จะอยู่ในตำแหน่งนี้

นัยน์ตาของซุยนอนเปิดขึ้นอีกเล็กน้อย สายตาจ้องมองไปที่หลงปี้และผู้เฒ่าคูก่อนจะกดยิ้มลึก “ท่านประมุขบอกเพียงว่าจะมีตำแหน่งจอมพลเพิ่มอีกสองตำแหน่ง แต่นางไม่ได้บอกว่าจะมอบให้พวกเขานะ”

หลิงถงและเทียนจิ้วอึ้งไปทันทีจากนั้นก็รู้สึกงุนงง ในสำนักยามนี้มีเพียงหลงปี้และผู้เฒ่าคูเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งจอมพล หรือว่าท่านประมุขตั้งใจจะยกให้ซิวหลัวดำรงตำแหน่งนี้? หากเป็นเช่นนั้นจะทำให้ทั้งสองคนไม่พอใจอย่างแน่นอน เพราะพลังของซิวหลัวที่อยู่ระดับจื้อจุนขั้นแปดยังไม่อาจโน้มน้าวใจคนได้

ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็คิดจะถามต่อ แต่ซุยนอนกลับหลับตาลง ท่าทางจะพักผ่อนนั้น ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

ตึง!

เสียงระฆังโบราณดังก้องขึ้นทั่วบริเวณ จัตุรัสที่คึกคักเงียบสงบลง ผู้คนนับไม่ถ้วนฉายแววเคารพในสายตา แม้แต่หลงปี้และผู้เฒ่าคูยังก้มหน้าเล็กน้อยอย่างนบนอบ

เกลียวแสงทะลุผ่านมิติก่อนที่จะรวมตัวกันบนบัลลังก์ทองมลังเมลือง ภาพเงาเล็กบางสวมชุดสีดำปรากฏขึ้น สายตาไม่แยแสกวาดไปรอบๆ ความกดดันน่าสะพรึงกระจายออกไปตามการจดจ้อง แม้แต่จอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างพวกหลงปี้ยังรู้สึกถึงคลื่นหลิงในร่างกายถูกแช่แข็งพร้อมกับหัวใจเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นี่คือพลังของระดับตี้จื้อจุน เพียงแค่จ้องมองก็สามารถทำให้พวกเขาไม่มีแรงต่อต้านได้

หลังจากกวาดสายตาแล้ว มั่นถัวหลัวก็โบกมือ น้ำเสียงสงบอ่อนโยนดังก้องไปบนท้องฟ้า ทำให้บรรยากาศปะทุขึ้นทันที

“การประชุมราชันเริ่มขึ้นได้ ณ บัดนี้”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1077 กำจัดของเสีย
“พี่ใหญ่จิ่วโยว? มู่เฉิน?”

เมื่อชื่อทั้งสองดังสะท้อนในโสตประสาทของจอมยุทธ์ทั้งหมดที่นี่ หัวใจของพวกเขาก็สั่นไหว สายตามองไปที่ร่างเงาทั้งสองด้วยความตื่นตะลึง ทั้งสองก็คือผู้บัญชาการแห่งหอวิหคโลกันตร์…จิ่วโยวและมู่เฉินรึ?

พวกเขาดูเยาว์วัยจริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนฉงนก็คือความจริงที่พวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันที่มาจากทั้งสองคนได้คลุมเครือ

สูคุนหยุดฝีเท้ามองไปที่ทั้งสองด้วยความตื่นตะลึงถามว่า “พวกเจ้าคือผู้บัญชาการจิ่วโยวกับผู้บัญชาการมู่รึ?”

น้ำเสียงของเขามีข้อกังขามากกว่าเคารพ เนื่องจากความเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดและมีความโดดเด่นแม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ระดับเดียวกันในภูมิภาคทางเหนือ ว่ากันว่าอดีตมู่เฉินและจิ่วโยวเป็นจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นหกและขั้นเจ็ดเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติที่จะเย่อหยิ่งใส่ได้

มู่เฉินมองดูอีกฝ่ายอย่างสงบถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”

สูคุนจ้องมองท่าทางสงบนิ่งของมู่เฉิน ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกกลัวในใจ จึงอดตอบออกไปไม่ได้ “ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ชื่อสูคุนได้รับมอบหมายจากท่านประมุขเพื่อเข้ามาปกป้องหอวิหคโลกันตร์”

มู่เฉินพยักหน้าจากนั้นก็มองไปรอบๆ คนที่ถูกมองก็ลุกขึ้นยืนโค้งคำนับด้วยมารยาท ก่อนจะรายงานชื่อของตนเอง

เมื่อคนสุดท้ายแนะนำตัวเรียบร้อย มู่เฉินก็ถอนสายตา ความกดดันที่ห่อหุ้มสลายหายไป ทำให้จิตใจของทุกคนคลายตัวลง ทว่าพวกเขาก็ต้องตกตะลึงและงุนงง เพราะพวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมมู่เฉินถึงมีแรงกดดันเช่นนี้ทั้งที่ยังเยาว์วัยมาก

ไหนบอกว่าทั้งสองคนอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกกับขั้นเจ็ดเท่านั้น?

“จินไถหลิวหลีทักทายผู้บัญชาการทั้งสอง” จินไถหลิวหลีจ้องมองมู่เฉินจากนั้นก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ

“อ้าว แม่นางจินไถ…” เมื่อมู่เฉินเห็นว่าจินไถหลิวหลีอยู่ในหอวิหคโลกันตร์ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าให้ด้วยท่าทางอ่อนโยน

เมื่อจบคำพูด เขาก็ยกสายตามองไปที่เหล่าคนมาใหม่ที่ฉายความเย่อหยิ่ง ก่อนที่จะพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่สนชื่อเสียงของพวกเจ้าในอดีตว่าเป็นอย่างไร แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในหอวิหคโลกันตร์แล้วก็ต้องปฏิบัติตามกฎของหอ”

“ถังปิงเป็นผู้ดูแลที่ข้าและผู้บัญชาการจิ่วโยวแต่งตั้ง สิทธิอำนาจของนางอยู่ภายใต้เราเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าต้องอยู่ภายใต้การดูแลของนาง”

ระดับปัจจุบันของหอวิหคโลกันตร์ไปไกลเกินความคาดหมายของมู่เฉินและจิ่วโยวแล้ว แต่เนื่องจากทั้งคู่ไม่มีเวลามากพอในการจัดการ พวกเขาจึงได้ฝากฝังเรื่องต่างๆ ไว้ที่ถังปิง นอกจากนี้พวกเขายังมีความไว้วางใจแนบแน่นต่ออีกฝ่ายด้วย

ถึงแม้ว่าระหว่างสูคุนและจอมยุทธ์คนอื่นๆ จะแข็งแกร่งกว่าถังปิง แต่เขากับจิ่วโยวก็ยังคงเลือกถังปิงโดยไม่ลังเล

เมื่อสูคุนและคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ พวกเขาไม่คิดว่าเมื่อจิ่วโยวและมู่เฉินกลับมา ก็มอบสิทธิ์ขาดให้ถังปิง มิหนำซ้ำพวกเขายังจะต้องฟังคำสั่งของถังปิงอีกด้วย

ในอดีตตอนที่จิ่วโยวและมู่เฉินไม่ได้อยู่ที่นี่ แม้ว่าถังปิงจะเป็นผู้ดูแล แต่พวกเขาก็ไม่ได้ให้ความเคารพกับนางมากนัก เพราะในสายตาของพวกเขาพลังของนางเล็กจิ๋วมาก ดังนั้นช่วงเวลาที่ผ่านมาสูคุนก็พยายามแบ่งอำนาจของถังปิงเพื่อเขย่าตำแหน่งของนาง

ทว่าคำพูดของมู่เฉินทำลายความทะเยอทะยานของเขาอย่างสมบูรณ์

สายตาของสูคุนเปลี่ยนไปพลางกัดฟันกรอด “ผู้บัญชาการมู่ แม้ว่าผู้ดูแลถังจะเป็นคนเก่าของหอวิหคโลกันตร์ แต่พลังของนางอ่อนแอมาก ด้วยขนาดของหอที่ขยายขึ้นมากในตอนนี้ ถ้าให้นางดูแลควบคุมทั้งหมด พวกข้าคงจะไม่เต็มใจ!”

เมื่อพูดจบสูคุนก็เงยหน้าขึ้นมองมู่เฉิน ตัวเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ขุมพลังนี้มีคุณสมบัติที่จะลงชิงชัยในตำแหน่งผู้บัญชาการ เมื่อเขาประสบความสำเร็จก็จะอยู่ในระดับเดียวกับมู่เฉินและจิ่วโยว ดังนั้นในมุมมองของเขาถ้าทั้งสองมีไหวพริบ พวกเขาก็ควรจะรู้ว่าคุณค่าของเขาสูงกว่าถังปิงอย่างมาก

เมื่อสูคุนพูดจบ เสียงเห็นด้วยหลายเสียงก็สะท้อนมาจากจอมยุทธ์ที่ถูกสูคุนลากเข้าพวก

ยิ่งเมื่อได้ยินเสียงสนับสนุน ความมั่นใจของสูคุนก็เพิ่มขึ้นอีก ร่างที่โน้มตัวก็ค่อยๆ ยืดตรงขึ้น

แต่เมื่อมองไปที่มู่เฉิน เขาก็สังเกตเห็นว่าไม่มีริ้วคลื่นกระเพื่อมบนใบหน้าของอีกฝ่าย ม่านตาสีดำเฝ้ามองคำคัดค้านของทุกคนด้วยความเฉยเมย ทำให้สูคุนรู้สึกไม่สบายใจ

ขณะเดียวกับที่เขาไม่สบายใจ ทุกคนในห้องก็เห็นมู่เฉินยืนขึ้นอย่างช้าๆ สายตาไม่แยแสกวาดออก “ข้าบอกเหรอว่านี่เป็นการอภิปรายน่ะ?”

แม้ว่าจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ความเป็นเผด็จการที่แฝงอยู่นั้น ทำให้คนทั้งโถงปิดปากฉับพลัน เขย่าหัวใจทุกดวง

สูคุนอึ้งไปกับความเผด็จการของมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้ว “มู่…”

ตู้ม!

ทว่าทันทีที่เขาเพิ่งจะออกเสียง ดวงตาสีดำสนิทของมู่เฉินก็หันขวับมา คลื่นหลิงทั่วบริเวณปะทุขึ้นฉับพลัน

ปัง!

แรงกดดันที่น่ากลัวบีบเค้นมาจากทุกทิศทาง ก่อนที่สูคุนจะตอบสนอง ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าไม่สามารถควบคุมร่างกายตนเองได้ เข่าทั้งสองอ่อนนิ่ม ร่างกายทรุดลงไปบนพื้น คลื่นหลิงล้อมรอบตัวประหนึ่งภูเขาหนักพันชังกดร่างของเขาเอาไว้ ราวกับว่าถ้าอีกฝ่ายเกิดเจตนาสังหารเพียงเล็กน้อย เขาก็จะถูกสับเป็นเนื้อบดด้วยคลื่นพลังที่ไร้ขอบเขต

ทุกคนสามารถสัมผัสกับความผันผวนของคลื่นพลังที่ปะทุเหมือนภูเขาไฟระเบิดพุ่งออกมาจากร่างมู่เฉิน เหมือนกับพายุถั่งโถมล้อมไปทั่วทั้งโถง

เมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิง จอมยุทธ์ทุกคนในโถงก็สีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง ความไม่อยากจะเชื่อพล่านในสายตา

คลื่นหลิงนี้เหมือนเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแล้ว!

สูคุนคุกเข่าบนพื้นเหงื่อเปียกชุ่ม ขุมพลังของมู่เฉินไม่ใช่ระดับจื้อจุนขั้นหกหรอกรึ? แต่ตอนนี้อำนาจของคลื่นพลังไม่แพ้หลงปี้และผู้เฒ่าคูเลย

กึก! กึก!

จอมยุทธ์คนอื่นๆ รีบคุกเข่าลง ความเย่อหยิ่งก่อนหน้าถูกเช็ดออกไปโดยสิ้นเชิง

เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ที่เทียบเคียงระดับจื้อจุนขั้นเก้า พวกเขาอาจถูกฆ่าตายได้ทันที หากพวกเขากล้าที่จะเบ่งกล้ามอีก

มู่เฉินมองคนที่คุกเข่าอยู่ในห้องโดยไม่แยแส พูดด้วยเสียงบางจางว่า “มีใครอยากคัดค้านอีกไหม?”

พบกับผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ มู่เฉินไม่ได้ใช้วิธีปลอบประโลม ปะทะกับพวกหยิ่งยโส เขารู้ว่าวิธีการกดข่มและเผด็จการเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาเชื่องอย่างสมบูรณ์

ขณะนี้แม้แต่สูคุนยังร่างสั่นระริกเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เขาไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว

ที่เบื้องหน้าถังปิงอ้าปากกว้างเมื่อมองมู่เฉินที่ฉายท่าทางเผด็จการ จากนั้นก็แอบจู๋ปาก มู่เฉินในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าทรงพลังกว่าเมื่อก่อนมากหลายเท่า

ทั้งโถงเงียบไป จอมยุทธ์หลายคนได้แต่เหลือบมองมู่เฉินและจิ่วโยวที่อยู่เหนือ ในสายตาของพวกเขาไม่มีข้อกังขาอีกต่อไป แต่ถูกแทนที่ด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกข่มด้วยพลังที่มู่เฉินเปิดเผยออกมา

“เราไม่ได้คาดหวังว่าหอวิหคโลกันตร์จะเติบโตในระดับนี้ แต่ในเมื่อพวกเจ้าเป็นสมาชิกของหอแล้ว ถ้าอนาคตเป็นพวกสองหัวก็ไม่ต้องอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ต่ออีก” น้ำเสียงไม่แยแสของมู่เฉินดังก้อง ทำให้ทุกคนใจสั่นสะท้าน พวกเขาได้ยินอย่างชัดเจนว่ามู่เฉินกล่าวว่าไม่ต้องอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่ใช่หอวิหคโลกันตร์

ภูมิภาคทางเหนือในปัจจุบัน ถ้าพวกเขาถูกเตะโด่งออกจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก็คงไม่มีทางอยู่ในภูมิภาคทางเหนือได้แล้วเช่นกัน

ถ้านี่เป็นอดีต บางทีทุกคนอาจจะหัวเราะกับคำพูดเหล่านั้น แต่หลังจากได้เห็นพลังอันแข็งแกร่งของมู่เฉิน พวกเขารู้ว่าด้วยความแข็งแกร่งและตำแหน่งของเขาในสำนัก เขามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น

“เราไม่มีความคิดอื่นใด!”

ทุกคนเหงื่อเย็นชุ่มโชก รีบแสดงถึงความภักดีต่อทั้งสองทันที แม้กระทั่งสูคุนก็ไม่กล้าที่จะแสดงความเย่อหยิ่งอีกต่อไป เพราะเขาถูกปราบลงราบคาบแล้ว

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศลบล้างไปได้หมดอย่างสมบูรณ์ มู่เฉินและจิ่วโยวก็แลกเปลี่ยนสายตากัน หญิงสาวยิ้มบาง เห็นได้ชัดว่านางพึงพอใจกับวิธีการของมู่เฉินในการข่มขู่พวกหน้าใหม่

“วันนี้เป็นการประชุมราชันรึ?” หลังจากจัดการกับเรื่องภายในหอเรียบร้อย มู่เฉินก็เอ่ยถามขึ้น

ถังปิงรีบก้าวออกมาอธิบายรายละเอียด

“หลงปี้? ผู้เฒ่าคู?” เมื่อได้ยินชื่อทั้งสองสีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป พวกเขาเป็นจอมยุทธ์อหังการในอดีตของภูมิภาคทางเหนือ ไม่คิดว่าพวกเขาจะมาเข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นอกจากนี้ดูจากท่าทางคงมีความคิดในตำแหน่งจอมพลด้วย

“ตอนนี้ชื่อเสียงของพวกเขาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยิ่งใหญ่มาก มิหนำซ้ำขุมพลังก็ถึงระดับที่มีคุณสมบัติที่จะชิงชัยเพื่อตำแหน่งจอมพล ด้วยสถานะปัจจุบันโอกาสของความสำเร็จก็ค่อนข้างสูง”

พูดถึงตรงนี้ริมฝีปากแดงเรื่อของถังปิงก็เบะลงด้วยความไม่พอใจ “แต่พวกเขาหยิ่งเหลือเกิน ดูเหมือนจะดูถูกหอวิหคโลกันตร์เอาไว้มาก”

คำพูดของถังปิงอ้อมค้อมอยู่บ้าง เนื่องจากในมุมมองของนาง พวกเขาไม่ใช่แค่ดูถูกหอวิหคโลกันตร์ ที่ดูถูกยิ่งกว่าคือผู้บัญชาการทั้งสอง

เพราะในมุมมองของพวกเขา เหตุผลที่ทำให้หอวิหคโลกันตร์เติบโตอย่างแข็งแกร่งเกิดจากแรงสนับสนุนของท่านประมุข คนแบบนี้ไม่สมควรได้รับความสนใจใดๆ

แต่เมื่อพิจารณาถึงภาพรวมแล้ว ถังปิงก็ไม่ได้พูดออกมาดังๆ

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของถังปิงก็มองไปที่จิ่วโยว นางยิ้มบางดูเหมือนจะเข้าใจบางสิ่งในคำพูดแฝง “พวกผีเฒ่าน่ารังเกียจเสียจริง”

มู่เฉินยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ”

ถังปิงอึ้งไปถามว่า “ไปที่ไหน?”

“ในเมื่อเป็นการประชุมราชันก็ขาดพวกเราไม่ได้สิ” มู่เฉินสะบัดแขนพลางยิ้มอ่อน ประโยคต่อไปของเขาก็กระตุกหัวใจของทุกคนด้วยความไม่เชื่อกระจายในสายตา

“ตัวข้าเองและจิ่วโยวก็สนใจตำแหน่งจอมพลเช่นกัน”

การเดินทางไปวังสวรรค์บรรพกาลใกล้เข้ามาแล้ว เขาก็ต้องยกสถานะตนเองในสำนักให้มากที่สุด เพราะถึงตอนนั้นเขาอาจต้องพึ่งพาพลังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ด้วย

ดังนั้นมู่เฉินจึงสนใจในตำแหน่งจอมพลมาก

**สำนวนพวกผีเฒ่าแปลว่าพวกชอบเอาข้ออ้างเรื่องอายุมากมากดขี่คนอื่น

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1076 สถานการณ์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์
ภูมิภาคทางเหนือ

นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามล่า อดีตขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนืออย่างหมู่ตึกเทวะก็ถูกทำลาย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นราวกับพายุพุ่งมารวมกัน เนื่องจากรากฐานของหมู่ตึกเทวะทรงพลังอย่างยิ่ง ขั้วอำนาจสูงสุดต่างต้องการที่จะตัดแบ่งกันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่ถึงปีก็กลายเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนือ

สำหรับพันธมิตรที่มั่นถัวหลัวก่อตั้งขึ้นพร้อมกับขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็เริ่มมีความหมายบางอย่างภายใต้การควบคุมของนาง ด้วยพลังที่แข็งแกร่งในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย มั่นถัวหลัวก็มีแววจะก้าวเป็นผู้นำของพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือ ซึ่งผู้นำขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็ไม่ได้โต้แย้งปฏิเสธอะไร เพราะมั่นถัวหลัวและอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในปัจจุบันเป็นขั้วอำนาจทรงพลังที่สุดจริงๆ

ด้วยชื่อเสียงและสถานะของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทำให้ที่นี่กลายเป็นขั้วอำนาจที่จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนต้องการสวามิภักดิ์ ดังนั้นในช่วงหนึ่งปีนี้จอมยุทธ์มากมายมุ่งหน้ามาที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เพื่อขอเข้าร่วมด้วยวิธีต่างๆ นานา

ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้พลังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์พุ่งทะยานขึ้น

ทว่าการขยายตัวนี้ก็ทำให้เกิดปัญหาบางอย่าง พวกจอมยุทธ์เลือดเก่าก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความขัดแย้งกับพวกจอมยุทธ์เลือดใหม่ที่เพิ่งมาเข้าร่วม แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ไม่มีทางออกที่ดีสำหรับเรื่องนี้ เนื่องจากนี่คือสิ่งที่ต้องปรากฏในการขยายตัวของขั้วอำนาจอยู่แล้ว ตอนนี้ได้แต่พึ่งพาเวลาที่จะละลายสิ่งต่างๆ ให้เข้ากัน

เขตต้าหลัวเทียนคึกคักมากในเวลานี้ ร่างแสงปกคลุมขอบฟ้าพลิ้วตัวลงทั่ว ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความเร่าร้อน

วันนี้เป็นการประชุมราชัน

ขนาดของการประชุมราชันเปรียบเทียบไม่ได้กับในอดีต นั่นเป็นเพราะพร้อมกับการขยายอย่างรวดเร็วของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทำให้มีผู้บัญชาการเพิ่มขึ้นเป็นสิบแปดคนแล้ว

นอกจากนี้นี่ยังเป็นผลหลังการเลือกอย่างระมัดระวังโดยมั่นถัวหลัว ถ้าใช้มาตรฐานพลังเหมือนในอดีต จำนวนรวมของผู้บัญชาการคงจะเกินกว่าจำนวนที่มีอยู่ในปัจจุบันไปมาก

แต่ต่อให้เป็นผลหลังการคัดเลือกจากมั่นถัวหลัวก็ยังมีผู้บัญชาการใหม่จำนวนมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าก่อให้เกิดผลกระทบต่อสถานการณ์ในปัจจุบันของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แม้แต่ซิวหลัว เสี่ยยิง เลี่ยซันและคนดั่งเดิมล้วนแต่ถูกคุกคาม

ทุกครั้งที่ประชุมก็จะมีโอกาสการเสนอชื่อจอมพลหรือผู้บัญชาการคนใหม่ตลอด ดังนั้นการประชุมราชันจึงกลายเป็นวาระสำคัญที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทันทีที่มีการดำเนินการแม้กระทั่งเจ้าเมืองต่างๆ ก็จะเร่งรีบมา ส่งผลทำให้เกิดบรรยากาศเช่นในวันนี้

ทว่าขณะที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ระเบิดไปด้วยความสับสนวุ่นวาย หอวิหคโลกันตร์ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของสำนักกลับเงียบสงบ ทว่าภายใต้ความเงียบสงบ กลับแฝงด้วยรัศมีไร้ขอบเขต

ในโถงกว้างใหญ่หน่วยรบจำนวนหนึ่งสวมชุดเกราะสีดำยืนเฝ้าระวัง มีคลื่นหลิงทรงพลังผันผวนในท้องฟ้า มองเห็นเส้นสายโครงข่ายหลิงปรากฏขึ้นเลือนราง นั่นเป็นค่ายกลป้องกันทรงพลัง

ปัจจุบันนี้หอวิหคโลกันตร์ไม่เหมือนเดิม ในช่วงเวลาที่มู่เฉินและจิ่วโยวไม่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นเมืองหรือจอมยุทธ์ภายใต้การปกครองของพวกเขาก็มีการเติบโตที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีที่ผ่านมา

เพราะทุกคนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ทราบว่ามู่เฉินแห่งหอวิหคโลกันตร์มีความสัมพันธ์แนบแฟ้นกับประมุขมั่นถัวหลัว ด้วยชั้นความสัมพันธ์นี้ กระทั่งจอมพลทั้งสามก็ยังให้หน้ากับหอวิหคโลกันตร์ ดังนั้นหอวิหคโลกันตร์จึงไม่ขาดแคลนทรัพยากรใดๆ

ผู้คนที่ผ่านหน้าหอวิหคโลกันตร์และเห็นบรรยากาศภายในก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาตาร้อน ทุกคนรู้ถึงสถานะของหอวิหคโลกันตร์ปัจจุบันในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ดี ด้วยทรัพยากรและจอมยุทธ์จำนวนมากถูกจัดสรรให้กับที่นี่ ซึ่งส่งผลให้ที่นี่จะเป็นหน่วยรบที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้อาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้ว

การดูแลของมั่นถัวหลัวที่มีต่อหอวิหคโลกันตร์ทำให้ทุกคนอิจฉา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่มีผู้ในเรื่องนี้ เนื่องจากด้วยข้อมูลที่พวกเขาทราบมาผู้บัญชาการทั้งสองก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น

แม้ว่าพลังดังกล่าวอาจถือได้ว่ามีความโดดเด่นในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่ก็ยังห่างไกลจากการพิจารณาว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ดังนั้นพลังของพวกเขาจึงไม่ผ่านเกณฑ์ในการเป็นผู้นำหอวิหคโลกันตร์ขนาดใหญ่ ซึ่งครอบครองทรัพยากรจำนวนมาก

ดังนั้นในสายตาของผู้คนที่เพิ่งเข้าร่วมอาณาเขตกงเวทสวรรค์ มู่เฉินได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากมั่นถัวหลัวเพียงเพราะได้มอบสมบัติล้ำค่าให้ แต่เป็นไปไม่ได้คนอื่นจะให้ความเคารพมากพอจากความสัมพันธ์แบบนั้น ในอนาคตก็คงยากจะคุมจอมยุทธ์ทรงพลังในหอวิหคโลกันตร์ได้จนส่งผลให้เกิดการแตกแยก

ในเวลานั้นก็จะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง แม้จะได้รับการสนับสนุนจากมั่นถัวหลัว เพราะเมื่อหัวใจไม่อยู่ ต่อให้บังคับก็ไร้ประโยชน์

ในโถงของหอวิหคโลกันตร์

ขณะที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์กำลังเดือดพล่าน หอวิหคโลกันตร์กลับเงียบสงบอย่างที่สุด ราวกับว่าการประชุมราชันในตำหนักใหญ่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา

แน่นอนว่าจากบางมุมมอง พวกเขาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการประชุมนี้อย่างแท้จริง

นั่นเป็นเพราะสองผู้บัญชาการไม่ได้อยู่ที่นี่ ถังปิงในฐานะผู้ดูแลหอก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นตัวแทน ดังนั้นหอวิหคโลกันตร์จึงไม่ได้มีส่วนร่วมในการประชุมของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ถังปิงมีพรรสวรรค์ในการจัดการดูแลภายใน แต่นางรู้ว่าเมื่อไม่มีจิ่วโยวและมู่เฉิน นางก็ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นอะไรพร่ำเพรื่อ กลัวว่าจะทำให้เกิดข้อพิพาท

เนื่องจากตอนนี้มั่นถัวหลัวสนับสนุนหอวิหคโลกันตร์เป็นอันมาก จึงก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นมาแล้ว

มีคนไม่น้อยในโถงใหญ่นี้ สองที่นั่งบนตำแหน่งประธานว่างอยู่ โดยที่ถังปิงและถังโหยวนั่งอยู่ลำดับถัดลงมา

ลำดับถัดไปเป็นหญิงสาวชุดสีขาวนั่งในรถเข็น นางมีรูปลักษณ์ที่งดงาม แต่ใบหน้าค่อนข้างซีดขาว มิหนำซ้ำคลื่นหลิงรอบกายก็ไม่แข็งแกร่ง ทว่าสถานะของนางเป็นรองพี่น้องถังเท่านั้น

นี่คือจินไถหลิวหลี ซึ่งมู่เฉินได้พบในสงครามล่า

หลังจากที่หมู่ตึกเทวะล้มสลาย เนื่องจากมู่เฉินได้ให้การช่วยเหลือ จินไถหลิวหลีและครอบครัวจึงย้ายมาอยู่ที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ ในฐานะจั้นเจินซือนางจึงเป็นที่ต้องการมากอยู่แล้ว

นั่นเป็นเพราะในอดีตมู่เฉินเป็นเพียงจั้นเจิ้นซือคนเดียวของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตอนนี้เมื่อนางเข้าร่วม ตราบใดที่นางเต็มใจแม้แต่มั่นถัวหลัวก็จะปล่อยให้นางก้าวขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพอาณาเขตสวรรค์

แต่คาดไม่ถึงว่านางไม่เลือกที่จะสร้างขุมกำลังของตัวเอง กลับเลือกเข้าร่วมหอวิหคโลกันตร์เพื่อควบคุมหน่วยรบวิหคโลกันตร์เท่านั้น

ดังนั้นแม้ขุมพลังหลิงของนางจะไม่แข็งแกร่ง แต่ด้วยความแข็งแกร่งในฐานะจั้นเจิ้นซือ กระทั่งจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปก็ยากที่จะต่อกรกับนางได้

ที่เบื้องหลังจินไถหลิวหลี ร่างเงาหลายสิบร่างมาพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสี่คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตัดสินจากความผันผวนของพลังงาน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว!

ด้วยพลังที่มี พวกเขามีคุณสมบัติที่จะได้รับตำแหน่งราชันในอาณาเขตกงเวทสวรรค์เลยทีเดียว

จอมยุทธ์เหล่านี้ถูกมั่นถัวหลัวสั่งการมาให้ช่วยเหลือถังปิงเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับหอวิหคโลกันตร์

“ตามปกติหอวิหคโลกันตร์จะยังไม่เข้าร่วมการประชุมราชัน เราจะพักอยู่เงียบๆ หนึ่งวัน” ถังปิงมองไปที่การรวมตัวที่แข็งแกร่งเบื้องหน้า ก็ถอนหายใจในใจพลางพูดขึ้นมา

แม้ว่าทุกคนจะคาดไว้กับคำพูดของถังปิง แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ น่าเสียดายที่หอวิหคโลกันตร์ต้องหายหน้าไปจากการประชุมอีกครั้ง

“ลือกันว่าการประชุมราชันครั้งนี้ หลงปี้และผู้เฒ่าคูอาจจะขึ้นเป็นจอมพล นี่เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญ หอวิหคโลกันตร์จะไม่ออกหน้าบ้างเลยหรือ?” ในโถงชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงกลางท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็พูดออกมา

หลงปี้และผู้เฒ่าคูเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงที่เข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งสองมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ตอนนี้ก็มีอำนาจสูงในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเขาหมายตาตำแหน่งจอมพลมานานแล้ว แต่ก่อนหน้าเนื่องจากฐานยังไม่มั่นคง ดังนั้นจึงไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไร ตอนนี้เมื่อได้เตรียมตัวพร้อมก็คงจะลงมือแย่งชิงตำแหน่งแล้ว

ถ้าพวกเขาชิงตำแหน่งได้สำเร็จ จอมพลก็จะเพิ่มจากสามเป็นห้า สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไป ดังนั้นชายวัยกลางคนจึงต้องการให้หอวิหคโลกันตร์และจอมพลใหม่ทั้งสองคนได้รู้จักมักจี่กันมากยิ่งขึ้น

ชายวัยกลางคนมีชื่อว่าสูคุนซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้ว่าเขาเพิ่งจะเข้าร่วมกับหอวิหคโลกันตร์ไม่นาน แต่เนื่องจากภายนอกดูเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในหอวิหคโลกันตร์ ดังนั้นจึงมีอำนาจไม่น้อย ทันทีที่เขาพูดก็มีหลายคนที่ออกเสียงเห็นด้วย เพราะในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จอมพลมีสถานะต่ำกว่าประมุขเท่านั้น

ถังปิงมุ่นคิ้ว นางรู้อย่างถ่องแท้เกี่ยวกับหลงปี้และผู้เฒ่าคู ในอดีตก็มีความคิดที่จะเยี่ยมเยือนในนามของหอวิหคโลกันตร์ แต่ทั้งสองคนหัวสูงมาก ไม่ต้องพูดถึงนาง พวกเขาไม่สนใจกระทั่งมู่เฉินกับจิ่วโยว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ปฏิบัติโดยมารยาทต่อหอวิหคโลกันตร์ ในมุมมองของถังปิง หากไม่ใช่ท่านประมุขทั้งสองที่มีนิสัยเย่อหยิ่งจองหองคงจะไม่สนใจเกี่ยวกับหอวิหคโลกันตร์เลย

เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าคือคนที่แม้แต่ท่านประมุขยังต้องลดทัศนคติลงให้ เนื่องจากพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังที่ถัดจากประมุขเท่านั้น

ในเมื่อทั้งสองเย็นชาเย่อหยิ่งเช่นนี้ ถังปิงก็ไม่อยากให้หอวิหคโลกันตร์ลดตัวลงไปสร้างความสัมพันธ์ บวกกับมู่เฉินและจิ่วโยวไม่อยู่ ทำให้นางก็ไม่มั่นใจ จึงได้แต่พยายามคุมภายในหอไว้เท่านั้น

เมื่อถังปิงได้ยินเสียงถกเถียงกันในโถง นางก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ในหัวใจ พร้อมกับการขยายตัวของหอวิหคโลกันตร์ เกียรติของนางก็ลดลงเช่นกัน แม้ว่าผู้มาใหม่จะทรงพลัง แต่พวกเขาเย่อหยิ่งและไม่ยอมฟังคำสั่ง แต่เนื่องจากนางไม่แข็งแกร่งพอ ก็ไม่สามารถทำให้พวกเขาเคารพนางเต็มที่ ปกติก็แค่รักษามารยาทภายนอกไว้เท่านั้น

นางรู้เรื่องเกี่ยวกับสูคุน มีข่าวลือว่าเขามีความสัมพันธ์กับหลงปี้และผู้เฒ่าคู อิงจากสิ่งนี้ก็ชัดว่าเขาต้องการใกล้ชิดกับอีกฝ่าย

เพราะเมื่อทั้งสองก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งจอมพล สถานการณ์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ต้องเปลี่ยนไปแน่นอน ด้วยการสนับสนุนของจอมพลใหม่ทั้งสอง ก็ดีกว่าการอยู่ในหอวิหคโลกันตร์ที่ไม่มีผู้บัญชาการคุ้มหัว

เห็นได้ชัดว่าสูคุนไม่ใช่คนเดียวที่มีความคิดเช่นนี้ ดังนั้นทันทีที่มีผู้นำการหยั่งเสียงก็เพิ่มขึ้น ทำให้ความเงียบงันในห้องหมดลง เวลานี้แม้แต่ถังปิงก็ไม่สามารถระงับความวุ่นวายได้

“ผู้ดูแลถังถ้าเจ้าไม่เต็มใจก็อนุญาตให้ข้าเข้าร่วมการประชุมราชันด้วยตัวเอง…” เมื่อสูคุนเห็นว่ามีแรงสนับสนุนเพิ่มขึ้น เขาก็ยักยิ้มเล็กน้อยแล้วผุดลุกขึ้นยืนทันที

หลงปี้และผู้เฒ่าคูต้องการคนสนับสนุน ถ้าเขาสามารถไปและให้การสนับสนุนพวกเขาก็ถือเป็นการลงทุนชั้นเยี่ยม

เมื่อเขายืนขึ้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งลุกตาม จอมยุทธ์หลายคนก็เริ่มโอนเอนด้วยความลังเลใจ เมื่อถังปิงเห็นภาพนี้ใบหน้าก็เขียวคล้ำลง

สูคุนยิ้มบางเมื่อเห็นใบหน้าของถังปิงและไม่ให้ความสนใจ แม้ว่าถังปิงจะเป็นคนของผู้บัญชาการทั้งสอง แต่พลังของเขาแข็งแกร่งกว่าถังปิงมาก ต่อให้ผู้บัญชาการจะกลับมาก็ต้องพึ่งพาเขามาเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวที่จะสร้างความขุ่นเคืองใจกับถังปิง

เมื่อคิดถึงตกแล้ว เขาก็สะบัดแขนเสื้อพร้อมกับเดินออกไป

เมื่อเห็นสูคุนหันหลัง ทันใดนั้นถังปิงก็ลุกขึ้นยืนพูดคำว่า “หยุด!”

สูคุนชะงักฝีเท้าพลางขมวดคิ้ว ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเอก “ผู้ดูแลถัง ข้าไม่ได้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้า!”

ทั้งสองประจันหน้ากัน บรรยากาศในโถงก็ขมวดเกร็ง ทุกคนแลกสายตาเพราะพวกเขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ดังนั้นสถานการณ์จึงตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ แต่ขณะนั้นเสียงหัวเราะบางจางก็ดังก้องไปในโถง

“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าไม่เจอกันครึ่งปี หอวิหคโลกันตร์จะครื้นเครงขนาดนี้…”

เสียงที่ดังขึ้นฉับพลันทำลายบรรยากาศตึงเครียดจนหมด ทุกคนอึ้งไป อึดใจพวกเขาก็รู้สึกถึงบางอย่างจนต้องเงยหัวขึ้นมองไปบนที่นั่งประธานทั้งสอง

ไม่รู้ว่าเมื่อไรชายหญิงคู่นี้ปรากฏตัวขึ้น ชายหนุ่มทั้งดูดีและหล่อเหลาจ้องมองทุกคนด้วยรอยยิ้มระบายบนใบหน้า

แม้ว่ารอยยิ้มจะดูอ่อนโยน แต่ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้ที่กำซ่านออกมาจากเขา

ถังปิงตกตะลึงไปเมื่อมองร่างเงาของทั้งสองคน จากนั้นความสุขก็โชนขึ้นในดวงตา ก่อนที่เสียงจะดังไปทั่วโถง

“พี่ใหญ่จิ่วโยว? มู่เฉิน? พวกเจ้ากลับมาแล้วเหรอ?!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1075 หวนกลับ
บนมหาสมุทรกว้างใหญ่

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเป็นสาย ก่อร่างเป็นสายเมฆยาวแต้มไล่สี มู่เฉินยืนอยู่กลางอากาศ เนื่องจากเพิ่งบรรลุขุมพลังทำให้มีปัญหาในการควบคุมคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตในร่างกาย เวลานี้เสื้อผ้าถึงกับสั่นกระพือ เสียงพายุดังกึกก้อง เกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นโดยรอบจนถึงจุดที่ระเบิดเสียงครางกระหึ่มออกมาเลยทีเดียว

ดวงตาที่ปิดอยู่ก็เปิดขึ้นช้าๆ แสงหลิงมืดดำส่องประกายในนัยน์ตา รอยปริแตกเลือดบนผิวหนังก็หายไปอย่างสมบูรณ์แล้วในขณะนี้

“ระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า”

มู่เฉินก้มหน้าลงมองมือตัวเองแล้วก็อึ้งไป รู้สึกถึงคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตในร่างกาย ยามนี้กระทั่งคนแบบเขายังอดไม่ได้ที่จะหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ

ตอนที่เขาจากสำนักศึกษาเป่ยชางไม่ได้ฝึกกระทั่งร่างเทห์สวรรค์ ตอนที่เข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์เขาก็เพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นหนึ่งเท่านั้น ทว่าเวลาผ่านมาหลายปีในที่สุดเขาก็ได้สัมผัสกับขั้นสูงสุดของระดับจื้อจุนเสียที

ตราบใดที่เขาสามารถปลดตรวนระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้ เขาก็จะผงาดขึ้นเป็นจอมยุทธ์ชั้นยอด!

ระดับตี้จื้อจุน!

เมื่อใดที่เขาสามารถก้าวเข้าสู่ระดับนั้น เขาก็จะมีคุณสมบัติอันน่ายกย่องในมหาพันภพ ถึงเวลานั้นเขาจะถูกจัดอันดับให้อยู่ในทำเนียบจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่

ในเวลานั้นเขาก็จะมีความสามารถและความมั่นใจในการเดินทางไปยังตระกูลลั่วเสิน

หนทางที่เคยเหมือนยาวไกล กลับลอยมาอยู่เหนืออุ้งมือของเขาแล้วในวันนี้ ซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกปลาบปลื้มใจ การฝึกฝนที่ขมขื่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้สูญเปล่า

มู่เฉินยิ้มบางขณะที่ดำดิ่งสำรวจร่างกายก่อนที่จะสังเกตเห็นจุดจื้อจุนไห่ ขนาดของจุดจื้อจุนไห่กว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า คลื่นหลิงก็แข็งแกร่งเกินกว่าที่เคยเป็นมานับไม่ถ้วน

มิหนำซ้ำคลื่นหลิงก็ถูกขัดเกลาอย่างมาก หากมองลงไปอย่างละเอียดก็จะพบว่ามีเปลวเพลิงโปร่งใสลอยฟุ้งอยู่ในสายคลื่นพลัง อัดแน่นด้วยพลังที่มีชีวิตชีวา

“นี่คือเพลิงอมตะที่ข้าเคยดูดซับมาก่อน…”

เมื่อมองภาพนี้ มู่เฉินก็ดีใจในหัวใจ ดูเหมือนว่าการฝึกฝนตลอดสองปีที่ผ่านมาทำให้เพลิงอมตะที่อยู่ในจุดจื้อจุนไห่ผสานเข้ากับคลื่นหลิงของเขาแล้ว ซึ่งนี่ถือเป็นการเก็บเกี่ยวที่ยอดเยี่ยมนัก

เพลิงอมตะเหล่านั้นอาจดูไม่น่าทึ่ง แต่มู่เฉินทราบดีว่าหลังจากที่เพลิงอมตะหลอมรวมเข้ากับคลื่นหลิงของเขาสมบูรณ์ พวกมันจะมอบพลังชีวิตให้คลื่นของเขาไม่หยุด ดังนั้นแม้ความจริงมู่เฉินจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่ในแง่ของพลังแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแท้จริงก็ไม่สามารถได้เปรียบในมือเขา

มู่เฉินยิ้มพุ่งออกจากจุดจื้อจุนไห่แล้วมองไปที่ท่อนแขน เห็นจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงสถิตอยู่ที่นี่ แม้ว่าจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงขนาด แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเกี่ยวกับสี สีเหลืองทองที่ส่องประกายกลายเป็นสีทองเข้มอย่างสมบูรณ์ มิหนำซ้ำยังมีจุดแสงสีม่วงอยู่เล็กน้อย

เหมือนสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉิน มังกรและหงส์ฟ้าจึงเบิกตา เวลานี่เองพลังกดดันของเทพอสูรแท้จริงก็ล้อมรอบไปทั่ว ทำให้ระดับคลื่นโดยรอบชั้นทะเลพลังลดลง

รับรู้ถึงแรงกดทรงพลัง ดวงตาของมู่เฉินก็เปล่งประกาย แรงกดดันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดยังถูกยับยั้งจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ โจมตีกลับไม่ได้เลย

ชัดว่าช่วงสองปีในการฝึกฝน มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงได้รับประโยชน์จากสถานที่แห่งนี้มหาศาล ซึ่งทำให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์

ตอนนี้ถ้ามู่เฉินปะทะกับไป๋หมิงอีกครั้ง บางทีเขาอาจไม่ต้องลงมือเอง แค่การรั่วไหลของแรงกดดันของเทพอสูรแท้จริง ชายคนนั้นก็หมอบราบคาบแก้วลงกับพื้นแล้ว

“ผลการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ยิ่งใหญ่แท้จริง”

มู่เฉินออกจากห้วงจิต สัมผัสถึงพัฒนาการ ความพึงพอใจก็ผุดขึ้นในดวงตา ตามกฎเวลาของที่นี่เขาน่าจะฝึกฝนเป็นเวลาสองปี แต่ภายนอกก็ผ่านไปเพียงครึ่งปีเท่านั้น

ในเวลาเพียงครึ่งปี พัฒนาการเช่นนี้ของเขาเป็นสิ่งที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึง

เขายิ้มบาง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ เงาร่างไปปรากฏบนเกาะอย่างน่าพิศวง

“ฮ่าๆ ขอแสดงความยินดีกับพัฒนาการของเจ้า”

เมื่อร่างของเขาเพิ่งปรากฏขึ้น เสียงหัวเราะร่าของจิ่วโยวก็สะท้อนเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นร่างเพรียวบางฉายในดวงตาของเขา อาการตกตะลึงวูบไหวบนใบหน้าหล่อเหลา

“เจ้าบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแล้วเรอะ?” มู่เฉินถามด้วยความตื่นตะลึง เขาสามารถสัมผัสได้ถึงการคุกคามแผ่วเบาที่เกิดจากจิ่วโยว ซึ่งเป็นบางสิ่งที่เกิดจากระดับจื้อจุนขั้นเก้าที่แท้จริง

“ต้องขอบคุณแก่นมรดกโลหิตของผู้อาวุโส” จิ่วโยวพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกระจายเต็มใบหน้า เห็นได้ชัดว่านางพึงพอใจกับการเก็บเกี่ยวในการเดินทางครั้งนี้มาก ซึ่งจะทำให้นางสามารถช่วยมู่เฉินได้ ไม่ใช่เป็นตัวถ่วงให้เขาต้องคอยพยุงต่อไป

มู่เฉินเบ้ปาก เขาฝึกฝนอย่างขมขื่นสองปี ถึงได้ก้าวไปถึงระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ปรากฏว่าโชคของจิ่วโยวกลับแซงหน้าไปอีก นางทะยานตรงไปยังขั้นเก้าได้เลย ช่างน่าอิจฉาจริงๆ

“หลักการของการฝึกฝนระหว่างเทพอสูรกับมนุษย์แตกต่างกัน แต่ละคนมีข้อดีและข้อเสียในตัวเอง” ราชินีวิหคอมตะแย้มยิ้มบางจากด้านข้าง

มู่เฉินพยักหน้ามองดูร่างสะคราญโฉมที่เกือบจะโปร่งใส ดวงตาก็มืดมัวลง เขารู้ว่าอีกไม่ช้าราชินีวิหคอมตะจะหายตัวไปจากโลกชั่วนิรันดร์

ผู้อาวุโสท่านนี้ให้โอกาสเขาเข้าสู่มิตินี้ มิฉะนั้นถ้าเขาต้องการจะไปให้ถึงขุมพลังในปัจจุบัน เขาอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกเป็นปี นอกจากนี้รากฐานก็จะไม่มั่นคงเท่านี้

เมื่อราชินีวิหคอมตะมองเห็นสายตาของเขาก็ยิ้มบางเอ่ยว่า “ข้าตายไปนานแล้ว ที่เหลือร่างดวงจิตไว้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจเข้ามาปนเปื้อนในดินแดนเสินโซ่เท่านั้น ตอนนี้ได้พบผู้สืบทอดด้วย ทุกอย่างเป็นที่พอใจแล้ว”

“ในอนาคตถ้าข้ามีความแข็งแกร่งในการสืบทอดสถานที่นี้ ข้าจะปกป้องมหาพันภพสุดกำลัง” มู่เฉินประสานมือโค้งคำนับด้วยคำสัตย์สาบาน

ราชินีวิหคอมตะรู้สึกพึงใจพลางพยักหน้าให้ ก่อนที่ร่างจะโปร่งใสมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังจะจางหายไป นางชี้นิ้ว มิติเบื้องหน้าก็ผันผวนก่อตัวเป็นกระแสคลื่นวน

“ประตูเคลื่อนย้ายมิตินี้จะนำพวกเจ้ากลับไปยังเผ่าวิหคโลกันตร์ เมื่อข้าจากไป เจ้าสองคนก็กลับไปเถอะ”

ทั้งมู่เฉินและจิ่วโยวคำนับด้วยมารยาทสูงสุดให้แก่ราชินีวิหคอมตะอีกครั้ง

ราชินีวิหคอมตะกวาดมองดินแดนแห่งนี้โดยไม่มีความอาลัยหลงเหลือ จากนั้นนางก็ค่อยๆ หลับตา ร่างกายโปร่งใสยิ่งขึ้น ก่อนที่จะกลายเป็นประกายไฟจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วจางหายไป

ตู้ม! ตู้ม!

มหาสมุทรขนาดใหญ่กลิ้งตัว ส่งเสียงร้องครวญครางดังก้องราวกับว่ากำลังเอ่ยร่ำลาผู้เป็นใหญ่ที่สุดซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกครองดินแดนเสินโซ่

มู่เฉินและจิ่วโยวมองไปยังจุดที่ราชินีวิหคอมตะหายไปเป็นเวลานาน ก่อนที่จะถอนหายใจแล้วแลกเปลี่ยนสายตากัน ทั้งสองไม่มีความลังเลก้าวเข้าไปในประตูมิติ

ระลอกแปรปรวนจากกระแสคลื่นมิติกลืนกินพวกเขา สุดท้ายความผันผวนระเบิดออก จากนั้นกระแสคลื่นก็ค่อยๆ หายไป

พร้อมกับการจากไปของพวกเขา มิติที่เต็มไปด้วยมีพลังแห่งจิตวิญญาณที่ไม่มีที่สิ้นสุดก็เงียบสงบอีกครั้ง รอเวลาที่จะเผยโฉมใหม่ในอนาคต บางทีเมื่อถึงเวลานั้นมู่เฉินก็ได้กลายเป็นยอดยุทธ์ที่แท้จริงแล้ว

ความผันผวนของมิติโกลาหลไปหมด รบกวนประสาทสัมผัสของมู่เฉินและจิ่วโยว แต่การขนส่งข้ามมิตินี้ก็ไม่ได้อยู่นาน ลำแสงกระจายที่เบื้องหน้า ทั้งสองก้าวออกมาทิวทัศน์โดยรอบก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

ทิวทัศน์คุ้นตาฉายในดวงตาของทั้งคู่ ร่างแสงนับไม่ถ้วยทะยานมาจากระยะไกล ชัดว่ารู้สึกถึงความผันผวนมิติของที่นี่

มู่เฉินและจิ่วโยวมองไปที่ทิวทัศน์คุ้นเคยในเผ่าวิหคโลกันตร์ก็รู้สึกราวกับว่าได้รับชีวิตใหม่ การฝึกฝนเป็นเวลาสองปีในมิตินั้นช่างโดดเดี่ยวและเงียบเหงามาก

ขณะที่มู่เฉินและจิ่วโยวกำลังอึ้งไป ร่างแสงเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้น เมื่อพวกเขาเห็นจิ่วโยว ความหวาดระแวงในดวงตาก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึง

“พาเราไปพบท่านประมุขและเหล่าผู้อาวุโส” จิ่วโยวยกมือพูดขึ้นเบาๆ

ร่างแสงเหล่านี้ก็คือผู้คุมกฎของเผ่าวิหหคโลกันตร์ที่ทรงพลัง สถานะของพวกเขายิ่งใหญ่มาก ในอดีตพวกเขาแข็งแกร่งกว่าจิ่วโยว แต่วันนี้เมื่อพวกเขาพบจิ่วโยวอีกครั้ง พวกเขาก็อึ้งไปกับความกดดันที่ถูกปล่อยออกมาจากนาง แต่ละคนได้แต่ตื่นตะลึงในใจ เนื่องจากพวกเขาเคยสัมผัสแรงกดดันแบบนี้จากผู้อาวุโสของเผ่าเท่านั้น

ในเวลาเพียงครึ่งปีความแข็งแกร่งของจิ่วโยวทำไมถึงเติบโตได้มากเช่นนี้?

พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตาด้วยความสงสัยอัดแน่นใจหัวใจ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าถาม พวกเขาหันหลังกลับนำทางทันที

สภาผู้อาวุโส

เมื่อเทียนฮวงและผู้อาวุโสของเผ่าเห็นจิ่วโยวและมู่เฉินมาถึง แววตกตะลึงก็วูบไหวในดวงตา

“จิ่วโยว เจ้าสองคน…” เทียนฮวงอดที่จะถามไม่ได้ ในเวลาเพียงครึ่งปีจิ่วโยวที่อยู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดก็บรรลุขั้นเก้า?

แม้แต่มู่เฉินก็ยังก้าวเข้าระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าจากขั้นหก

การพัฒนาครั้งใหญ่นี้ ทำให้แม้แต่เทียนฮวงที่มีประสบการณ์มากมายยังรู้สึกตกใจ

จิ่วโยวยิ้มบาง “ข้าได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ นอกจากนี้เรายังได้รับคำแนะนำจากราชินีวิหคอมตะด้วย ดังนั้นพลังถึงได้พัฒนาไปมาก”

นางไม่ได้พูดถึงมหาสมุทรเทพสร้างเพราะเป็นสิ่งล่อใจยิ่งใหญ่เกินไป แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังต้องตาแดงก่ำ ยิ่งกว่านั้นยังมีเงื่อนไขในมือมู่เฉินเพียงข้อเดียว ถ้าถูกเปิดเผยจะทำให้เขาเดือดร้อนอย่างแน่นอน

“ราชินีวิหคอมตะจริงสินะ…”

เทียนฮวงและคนอื่นก็เข้าใจได้ในทันที พวกเขาได้แต่ถอนหายใจ พวกเขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่พูด แต่ในเมื่อจิ่วโยวไม่ต้องการเปิดเผย พวกเขาก็ไม่สามารถถามอะไรได้มาก ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์

เทียนฮวงและผู้อาวุโสแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็หันไปมองมู่เฉิน สายตาดูอ่อนโยนยิ่งขึ้น ครั้งนี้มู่เฉินไม่เพียงแต่ช่วยให้จิ่วโยวได้รับแก่นมรดกโลหิตเท่านั้น เขายังช่วยให้นางเพิ่มพูนพละกำลัง ซึ่งนับเป็นบุญคุณใหญ่หลวง

“มู่เฉินตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะไม่พูดถึงพันธะโลหิตของเจ้ากับจิ่วโยว ข้าหวังว่าในอนาคตเจ้าสองคนจะต้องระวังตัวให้มากขึ้น” เทียนฮวงกล่าวอย่างช้าๆ

“ขอบคุณท่านประมุขและผู้อาวุโส” มู่เฉินประสานมือ หัวใจคลายการบีบรัดลง ในที่สุดเขาก็แก้ไขปัญหานี้ได้เนื่องจากเขาไม่ต้องการที่จะให้ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับเผ่าวิหคโลกันตร์น่าอึดอัดใจ โดยที่จิ่วโยวจะต้องยืนอยู่ตรงกลาง

“นอกจากนี้…”

เทียนฮวงหยุดพูดไปจังหวะหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “จากการประชุม ทางเผ่าได้ตัดสินใจจะแต่งตั้งเจ้าให้ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสแห่งเผ่าวิหคโลกันตร์ ไม่รู้ว่าเจ้าคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้?”

มู่เฉินและจิ่วโยวอึ้งไป การจะดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสของเผ่าวิหคโลกันตร์อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าซึ่งจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังที่สุดในเผ่า ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินในอดีต กระทั่งตอนนี้เขาก็อยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ชัดว่าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ นอกจากนี้ที่สำคัญเขาไม่ใช่สมาชิกของเผ่าวิหคโลกันตร์

ตำแหน่งของผู้อาวุโสในเผ่านั้นสำคัญมาก หากจัดการได้ดี เผ่าวิหคโลกันตร์ก็จะเป็นพื้นหลังให้เขาในอนาคต

นี่คือขุมกำลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เสียอีก!

นอกจากนี้มู่เฉินก็ต้องการพลังดังกล่าว ดังนั้นเขาจึงลังเลชั่วครู่เมื่อได้ยินข้อเสนอจากเทียนฮวง จากนั้นก็ประสานมือด้วยรอยยิ้ม

“ข้าไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้”

เมื่อได้ยินการตอบสนองของมู่เฉิน เทียนฮวงและเหล่าผู้อาวุโสก็รู้สึกโล่งใจ สายตาของพวกเขาเป็นมิตรมากขึ้นเมื่อมองไปที่มู่เฉิน

“อีกเรื่องเมื่อไม่นานประมุขมั่นถัวหลัวแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ฝากข้อความมาถึงเจ้า” เทียนฮวงยกมือขึ้น แผ่นหยกก็บินไปหามู่เฉิน

มู่เฉินรับมาแล้วบีบแผ่นหยกให้แตก ก่อนที่ม่านตาจะหดเกร็ง

มีเพียงประโยคเดียวที่อยู่ในแผ่นหยกนี้ แต่ก็ทำให้หัวใจของมู่เฉินกระเพื่อมเป็นลอนคลื่นเลยทีเดียว

“วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏแล้ว กลับมาให้เร็วที่สุด!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1074 เกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า
ครืน!

บนมหาสมุทรที่ทอดยาวสุดสายตา คลื่นพายุยกตัวขึ้นสูงหมื่นจั้ง คลื่นที่ถูกยกขึ้นมาก็กวาดออกกระแทกลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดเสียงดังก้อง ราวกับเสียงของการทำลายล้างที่ทำให้หัวใจของผู้คนสั่นสะท้าน

ภายใต้ชั้นคลื่นที่หนักหน่วง ร่างเงาของมู่เฉินก็ยังมั่นคงราวกับหินผา แม้ว่าลูกคลื่นมากมายนับร้อยพันจะซัดสาดทั่วร่างก็ยังไม่สามารถสั่นคลอนเขาได้

คลื่นหลิงรอบตัวเขาย้อนกลับเข้าไปโดยไม่มีการรั่วไหลใดๆ มีเพียงแสงสีทองไหลเวียนอยู่บนพื้นผิวของร่างกาย แสงสีทองไม่เพียงแต่ไม่สว่างกว่าเมื่อก่อน กลับยังมืดมนลงหลายส่วน ประหนึ่งทองแท้ที่ถูกฝังกลบอยู่ใต้ดินนานหลายปี

ขณะที่คลื่นกวาดออกมาอย่างต่อเนื่อง ดวงตาของมู่เฉินที่ปิดมานานกว่าหนึ่งปีก็เปิดออกอย่างช้าๆ

ตู้ม!

ม่านตาสีดำสนิทฉาบประกายทองคำในเวลานี้ ราวกับว่าเป็นแสงทองจริงๆ ซึ่งแฝงด้วยคลื่นหลิงทรงพลังสุดจะพรรณนาพวยพุ่งออกมาจากดวงตาของมู่เฉิน

เหวกว้างหนึ่งร้อยจั้งถูกฉีกออกด้วยแสงสีทองสองสายปรากฏขึ้นในมหาสมุทรฉับพลัน เป็นเวลานานกว่ากระแสน้ำจะกลับมาเป็นปกติ

ดวงตาของมู่เฉินพรั่งพรูด้วยแสงสีทอง ถ้ามองอย่างละเอียดจะเห็นว่าร่างกายของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด มือกำเข้าหากันแน่น เส้นเลือดบิดตัวไปมาบนท่อนแขนของเขา ทุกครั้งที่เกิดการดิ้นทุรนทุรายพลังน่าสะพรึงกลัวที่ถูกระงับไว้จะถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้บรรยากาศโดยรอบวูบวาบไปหมด

มู่เฉินหัวใจเต้นระรัวในยามนี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ว่าคลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ใหญ่โตและไร้ขอบเขตเพียงใด มากจนกระทั่งถึงจุดที่เขาสงสัยว่าถ้าตนเองยังคงฝึกฝนต่อไปแม้กระทั่งจุดจื้อจุนไห่ก็อาจไม่สามารถรับไหวจนระเบิดออก

ทุกเส้นสายภายในและกล้ามเนื้อในร่างกายอัดแน่นด้วยคลื่นหลิงจนถึงขีดสุด

หากมีใครโจมตีเขาในตอนนี้ เพียงการเคลื่อนไหวของพลังงานขนาดเล็กก็สามารถทำลายการควบคุมคลื่นหลิงของมู่เฉินในร่างกาย ทำให้พลังงานในร่างกายเขากวาดออกไป ในเวลานั้นถึงแม้จะมีกายามังกรหงส์ ตัวเขาก็อาจจะสลายลงเป็นเถ้าถ่านภายใต้การระเบิดของคลื่นพลังที่รุนแรง

ขณะนี้เขาหมือนภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุ

ทว่าหากเขาทนรับพลังงานระเบิดได้ การเก็บเกี่ยวของเขาก็จะทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนดวงตาแดงก่ำด้วยความอิจฉา

“ประมาณนี้แหละ”

เมื่อสัมผัสถึงคลื่นหลิงรุนแรงแผดเสียงในร่างกาย มู่เฉินก็พึมพำก่อนที่จะไม่ลังเล ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือทั้งสองข้าง

ตู้ม!

ทันทีที่ตราประทับก่อร่างขึ้น ร่างของมู่เฉินก็กระตุกอย่างรุนแรง ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดงทันใด มากจนหยดเลือดไหลออกมาจากรูขุมขนทั่วสรรพางค์กาย

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจ เนื่องจากตอนนี้ในร่างกายของเขาอยู่ในสภาพที่น่ากลัวอย่างยิ่ง คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตในจุดจื้อจุนไห่ระเบิดออกรอบทิศทาง ราวมังกรเกรี้ยวกราดพุ่งทะลุร่างของเขา ในเส้นทางที่พาดผ่าน เส้นลมปราณบิดตัว เลือดเนื้อเจ็บปวดรุนแรง แม้กระทั่งเลือดก็ถูกบีบอัดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

พลังงานที่น่ากลัวเหมือนต้องการทำลายร่างกายของมู่เฉินอย่างสมบูรณ์

ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายได้พล่านไปทั่ว แต่สายตาของเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหว เพราะนับตั้งแต่เขาตัดสินใจระงับคลื่นพลังงานเพื่อไปสู่ความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ เขาก็เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว

นั่นเป็นเพราะตามการประเมิน เขาจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นแปดเท่านั้นถ้าฝึกฝนตามปกติ เพราะเขาไม่ได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณเหมือนกับจิ่วโยว ดังนั้นเขาไม่สามารถก้าวกระโดดสองขั้นได้อย่างนางแบบง่ายดาย

ท้ายที่สุดเขาเป็นเพียงมนุษย์ซึ่งแตกต่างจากเทพอสูร การฝึกฝนของมนุษย์เชื่องช้า ในกรณีส่วนใหญ่การฝึกฝนของเทพอสูรเป็นแบบไม่มีการพัฒนานาน แต่ถ้ามีการพัฒนาเมื่อไรก็จะก้าวกระโดดขึ้นไปมากเลยทีเดียว

ในอดีตพลังของจิ่วโยวอยู่เหนือมู่เฉินไปมาก แต่ก็ถูกเขาตามทัน ทว่าในตอนนี้ชัดว่าเป็นเวลาที่พลังของจิ่วโยวจะเพิ่มสูงขึ้นแล้ว

ดังนั้นหากมู่เฉินต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อเพิ่มพลังให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาจะต้องใช้วิธีการอื่นเช่นการดูดซับคลื่นพลังให้มาก ระงับไว้แล้วค่อยระเบิดทีเดียว

ทว่าก็มีความเสี่ยงในการใช้วิธีนี้ นั่นเป็นเพราะหากคลื่นหลิงถูกระงับมากเกินไป ก็มีโอกาสสูงที่ผู้ฝึกจะไม่สามารถทนได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการทำลายล้าง

แต่ความเสี่ยงดังกล่าวไม่น่ากลัวสำหรับมู่เฉินที่วนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นตายมาหลายปี ดังนั้นเขาเลือกเส้นทางนี้โดยไม่ลังเล

ตู้ม! ตู้ม!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตมหาศาลพวยพุ่งไปทั่วร่างของมู่เฉิน ทำให้ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ จนในท้ายสุดมีเลือดไหลหยดลงมาจากมุมหางตา ราวกับว่าเป็นน้ำตาเลือด

ร่างถูกปกคลุมไปด้วยรอยเลือดปริแตก ราวกับว่ากำลังจะระเบิด

บนเกาะหิน จิ่วโยวรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่งเมื่อมองฉากนี้ นางรู้ว่ามู่เฉินมาถึงช่วงเวลาวิฤกตแล้ว ถ้าเขาล้มเหลวไม่เพียงแค่การฝึกสองปีจะต้องสูญเปล่า เขายังจะได้รับบาดเจ็บหนักอีกด้วย

โฮก!

ขณะที่ดวงตาของจิ่วโยวจับจ้องอยู่ที่มู่เฉิน การโจมตีก็กระหน่ำยิงจากคลื่นลูกใหญ่ที่อยู่เบื้องล่าง เสียงคำรามใหญ่โตราวกับมังกรดังก้อง มู่เฉินลุกขึ้นยืนจุดชนวนคลื่นหลิงในร่างกายโดยตรง โดยไม่ได้สนใจรอยแตกร้าวที่เกิดขึ้น!

คลื่นกระแทกที่ไม่สามารถอธิบายได้ของพลังงานระเบิดออก มหาสมุทรในรัศมีหมื่นจั้งถูกกดลงใต้ก้น ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่

รอบกระแสน้ำวน คลื่นขนาดหมื่นจั้งถูกผลักออกไป ก่อนที่จะไปถึงเกาะหินก็หายไปอย่างเงียบๆ

ดวงตาของจิ่วโยวจับจ้องอยู่ที่เบื้องบนกระแสน้ำวนในมหาสมุทร

แสงหลิงคลี่กระจายออกมาจากร่างของมู่เฉินที่ลอยตัวบนอากาศ ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกแล้วลุกโชนด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์

ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด!

ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด!

ระดับจื้อจุนขั้นแปด!

ในเวลาไม่กี่อึดใจความผันผวนของคลื่นหลิงที่พวยพุ่งจากมู่เฉินก็บุกผ่านขั้นเจ็ดและได้ก้าวเข้าสู่ขั้นแปด

“เขาบรรลุระดับจื้อจุนขั้นแปดได้แล้ว!” จิ่วโยวร้องด้วยความยินดี

ที่ด้านข้างร่างราชินีวิหคอมตะที่โปร่งแสงก็ยิ้มบางก่อนพูดว่า “ยังไม่ถึงที่สุด ความทะเยอทะยานของเจ้าหนูนั่นไม่เล็กเลย”

“แล้วเขาจะบรรลุถึงขั้นเก้าไหมเจ้าคะ?” จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะถาม แต่เมื่อถามออกไปท่าทางของนางก็กลับกลายเป็นเคร่งเครียด ไม่มีแววดีใจอะไรมาก นั่นเป็นเพราะนางรู้ว่ารากฐานการฝึกฝนของมู่เฉินมั่นคงมาตลอด หากเขาฝืนอย่างรวดเร็วเกินไป ต่อให้ผ่านการฝึกฝนยาวนานมาสองปีก็จะส่งผลกระทบอย่างแน่นอน

“ถ้าเขาเทหมดหน้าตัก ก็เป็นไปได้ที่จะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะต้องแบกรับผลกระทบบางอย่าง” ราชินีวิหคอมตะพูดเบา ๆ

สายตาคมชัดของยอดยุทธ์ทำให้นางสามารถเห็นศักยภาพของมู่เฉินที่ทะลวงเข้าสู่ขั้นเก้าได้ แต่ก็เป็นตามที่จิ่วโยวกังวล ถ้าเขาพัฒนาเร็วเกินไปก็จะไม่เป็นเรื่องดีสำหรับเขา

จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็มองไปที่ร่างเหนือมหาสมุทร มืออดกำแน่นไม่ได้

ภายใต้สายตาจดจ่อของทั้งสอง คลื่นหลิงผันผวนที่ระเบิดออกมาจากร่างมู่เฉิน ยังคงแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาสิบกว่าลมหายใจความแปรปรวนที่ปะทุออกมาก็เหนือชั้นกว่าระดับจื้อจุนขั้นแปดสามัญไปแล้ว พุ่งเข้าสู่ขั้นแปดระยะปลายสุดอย่างรวดเร็ว

อีกหลายสิบลมหายใจผ่านไป คลื่นหลิงผันผวนที่กระจายจากร่างมู่เฉินราวกับเมฆสายฟ้าปกคลุมทั่วท้องฟ้า ช่างทรงพลังมาก

หัวใจของจิ่วโยวโลดมาถึงคอหอย ดูจากสถานะปัจจุบันตราบใดที่มู่เฉินต้องการก็สามารถก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้

เมื่อบรรลุระดับนั้น ระดับตี้จื้อจุนก็อยู่ในอุ้งมือเขาแล้ว

เขาเข้าใกล้การเป็นยอดยุทธ์เข้าไปทุกที

ตู้ม!

ตามคาดความผันผวนของคลื่นหลิงที่ปะทุออกมาจากร่างของมู่เฉินเพิ่มขึ้นอีกรอบ ในเวลาสิบกว่าลมหายใจคลื่นพลังก็มาถึงขีดสุดของระดับจื้อจุนขั้นแปดก่อนจะระเบิดลั่น จิ่วโยวรับรู้ได้ถึงความผันผวนพลังงานของมู่เฉินผ่านขอบเขตขั้นแปดเริ่มบรรลุขั้นเก้าแล้ว

เฮ้อ

จิ่วโยวถอนหายใจในใจ ราชินีวิหคอมตะก็ส่ายหน้าเช่นกัน หากมู่เฉินไม่สามารถควบคุมตัวเอง เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานในอนาคต เมื่อต้องการบรรลุระดับตี้จื้อจุน

ในฐานะที่เป็นมหาเทพอสูรและจอมยุทธ์ชั้นนำในระดับเทียนจื้อจุน นางรู้อยู่แล้วว่ามีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้านับไม่ถ้วนในโลก แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถผ่านไปถึงระดับตี้จื้อจุน นั่นเป็นเพราะหากมีความผิดพลาดในการฝึกฝนก่อนหน้าเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้พวกเขาหยุดชะงักอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าและไม่สามารถก้าวขึ้นไปสูงกว่านี้ได้

แม้ว่ากรณีของมู่เฉินจะไม่ร้ายแรง แต่อนาคตก็จะต้องเสียพลังงานและเวลามากขึ้นสำหรับในการพัฒนา

“หืม?”

ทว่าขณะที่ความคิดเหล่านี้ไหลเวียนในหัวใจ การแสดงออกของพวกนางก็เปลี่ยนไป พวกนางมองที่พื้นผิวมหาสมุทรด้วยความประหลาดใจ นั่นเป็นเพราะพวกนางรู้สึกได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงได้ถูกระงับไว้เมื่อเข้าใกล้ระดับจื้อจุนขั้นเก้า!

ในท้องฟ้าอันห่างไกลคลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกไปราวกับคลื่นยักษ์ ร่างอ่อนเยาว์ยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับพื้นผิวของร่างกายเปล่งแสงสีทองจางๆ ความกดดันที่คลุมเครือถูกปล่อยออกมาเงียบๆ

ในที่สุดจิ่วโยวที่กำหมัดแน่นก็คลายออก ความสุขที่ไม่สามารถปกปิดได้ปรากฏบนใบหน้า

ราชินีวิหคอมตะก็พยักหน้าด้วยสีหน้าชื่นชม มู่เฉินไม่ได้ทำให้นางผิดหวัง ดูเหมือนว่าในอนาคตบางทีเขาอาจมีความสามารถและพลังในการสืบทอดสถานที่แห่งนี้จริงๆ

นั่นเป็นเพราะขณะนี้มู่เฉินสามารถควบคุมความล่อลวงใจที่จะบุกทะลวงสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าไว้ได้แล้ว

แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำลายตรวนขั้นแปด

นั่นคือระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1073 พัฒนาพลัง
ขณะที่ข่าววังสวรรค์บรรพกาลปรากฏ

แล้วค่อยๆ แพร่กระจายออกไปในทวีปเทียนหลัว ลุกลามไปอย่างรวดเร็วในมหาพันภพ ส่วนในมิติที่แยกตัวออกมาเวลายังคงไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า

ในดินแดนที่ไม่มีดวงอาทิตย์ขึ้นลง กาลเวลาเป็นสิ่งที่ถูกหลงลืม

บนมหาสมุทรสีแดงเข้ม ร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเกาะหินเงียบๆ ตอนนั้นเองเสียงร้องคมชัดก็ดังก้องขึ้น จากนั้นเปลวเพลิงก็ครอบงำไปทั่วเกาะหิน ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจครอบคลุมไปทั่วทั้งเกาะนี้แล้ว

สีของเปลวเพลิงนั้นเบาบางแต่กลับอัดแน่นด้วยพลังครอบงำ ขณะที่เพลิงพวยพุ่งแม้แต่มหาสมุทรรอบๆ ก็พลุ่งพล่านไปหมด มากจนแม้แต่มิติยังบิดเบือน

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตในบริเวณนี้ดูเหมือนว่ากำลังจะถูกเผาผลาญ

สิ่งที่ทำให้ตกตะลึงที่สุดคือพลังชีวิตไร้ขอบเขตที่บรรจุอยู่ในเปลวไฟ เปลวไฟดูเหมือนจะครอบงำและทำลายล้าง แต่ในส่วนลึกก็มีพลังภายในทำให้ลึกลับอย่างยิ่ง

เปลวไฟน่าพิศวงนี้ก็คือเพลิงอมตะที่เป็นเอกลักษณ์ของวิหคอมตะนั่นเอง!

แต่เพลิงอมตะนี้ไม่ได้เป็นของราชินีวิหคอมตะ เมื่อสายตามองไปก็จะเห็นร่างเงาเพรียวบางที่นั่งอยู่บนเกาะซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเปลวไฟ

ร่างนั้นก็คือจิ่วโยว ตอนนี้นางได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ผมของนางยาวมากขึ้นและเส้นผมทุกเส้นก็แล่นพล่านด้วยริ้วไฟกระพือขึ้นลงอยู่ด้านหลังคล้ายกับหางของเปลวไฟอันงดงาม

นอกจากนี้เส้นผมทุกเส้นยังบรรจุด้วยพลังแข็งแกร่ง ด้วยความคิดเดียวนางก็สามารถที่จะฟาดออกมาราวกับแส้เพลิง ซึ่งสามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเมื่อต่อกรกับเพลิงนี้

เห็นได้ชัดว่าการฝึกฝนครั้งนี้ ทำให้จิ่วโยวเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

นางนั่งอยู่เงียบๆ ทันใดนั้นดวงตาที่ถูกปิดมาเกือบครึ่งปีก็เปิดอย่างช้าๆ

ฟู่! ฟู่!

จังหวะที่ดวงตาเปิดขึ้นทั่วบริเวณก็ราวกับกำลังลุกโชติช่วง ทำให้เกิดช่องว่างบิดเบือนจากความร้อนในเส้นทางที่นางกวาดมอง ห้วงมิติถึงกับแตกสลาย

มีลวดลายเปลวเพลิงแปลกประหลาดปรากฏอยู่ตรงหว่างคิ้วนาง ลวดลายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นประกายไฟ ทำให้เปลวไฟบนร่างของนางแข็งแรงขึ้นในเวลาเดียวกัน

ฮา

ลมหายใจสีขาวขุ่นพรูออกมาจากริมฝีปากของจิ่วโยว หมอกนั้นก่อตัวเป็นเปลวไฟในทันที ทำให้ต้นไม้เล็กๆ เบื้องหน้านางกลายเป็นเถ้าถ่าน

แต่หลังจากเผาต้นไม้เล็กๆ เป็นเถ้าถ่านแล้ว เปลวไฟสีขาวก็ไม่หายไปยังคงเผาไหม้ต่อไปด้วยพลังงานแปลกประหลาดที่ถูกปล่อยออกมาจากพวกมัน

สีเขียวมรกตอ่อนงอกขึ้นมาจากเถ้าถ่านของต้นไม้ เมื่อปรากฏออกมาจากเถ้าถ่านก็เปล่งชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง

จิ่วโยวมองดูต้นอ่อนในกองขี้เถ้าพร้อมกับความเบิกบานใจพล่านในดวงตา

“ไม่เลว เจ้าสามารถเข้าใจแก่นของเพลิงอมตะได้ ทำให้ตายกลายเป็นมีชีวิต ในอนาคตไม่ว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บใดๆ ตราบใดที่เพลิงอมตะยังไหลวนในสายเลือด เจ้าก็จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว” ที่ด้านหลังจิ่วโยว เสียงหัวเราะใสก็ดังผะแผ่ว เพียงแต่ฟังเหมือนทรุดโทรมและเหนื่อยล้าเต็มกำลัง

จิ่วโยวหันกลับมาอย่างรวดเร็วก็เห็นเงาสลัวรางของราชินีวิหคอมตะ ซึ่งกำลังจะสลายหายไปได้ทุกเมื่อ ความอ่อนล้ากระจายบนใบหน้างดงาม แต่กลับดูปลื้มปริ่มเมื่อมองไปที่จิ่วโยว

เมื่อจิ่วโยวเห็นสภาพนี้ก็รู้ว่าราชินีวิหคอมตะกำลังถึงขีดจำกัดแล้ว ในช่วงเวลาที่นางอยู่ในการเพาะบ่มที่เงียบสงบ ราชันปักษาวิญญาณและราชันอสูรไร้พิรุณก็หมดสิ้นพลังอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ครึ่งปีก่อน เหลือเพียงราชินีวิหคอมตะเท่านั้นที่ยังคงอยู่จนถึงตอนนี้ โดยอาศัยความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ของเพลิงอมตะ

จิ่วโยวมองไปที่ราชินีวิหคอมตะก็รู้สึกเปรี้ยวขึ้นในจมูก ทันใดนั้นนางก็คุกเข่าลงกับพื้น ก้มคารวะด้วยความเคารพสูงสุด

ถ้าไม่ใช่คำแนะนำของราชินีวิหคอมตะ นางไม่มีทางชำระแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้และไม่สามารถพัฒนาเพลิงอมตะของนางได้ถึงขั้นนี้แน่นอน

เมื่อเห็นจิ่วโยวคำนับให้ ราชินีวิหคอมตะก็มองไปด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุด ในสายตาของนางพรสวรรค์ของจิ่วโยวโดดเด่นเป็นพิเศษ หากไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นในอนาคตก็มีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นวิหคอมตะแท้จริง ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากระดับหนึ่ง นางมองจิ่วโยวในฐานะผู้สืบทอด

“จากนี้เจ้าจะต้องพึ่งพาตัวเองกับเส้นทางในอนาคต นอกจากนี้เผ่าวิหคอมตะก็มีสมาชิกจำนวนน้อยตั้งแต่ต้น ดังนั้นแม้จะถูกจัดสรรเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าหงส์ฟ้า แต่จักรพรรดิของเผ่าหงส์ฟ้าก็มีเพียงหงส์ฟ้าแท้จริง พวกเขาค่อนข้างหวาดกลัวและหวาดระแวงพวกเรา” ราชินีวิหคอมตะพูดด้วยเสียงอ่อนระโหย

ในเผ่าหงส์ฟ้า เฉพาะหงส์ฟ้าแท้จริงเท่านั้นที่อยู่เหนือผู้ใด ส่วนวิหคอมตะแยกออกมาโดดเดี่ยว ดังนั้นแม้ว่าเผ่าหงส์ฟ้าจะให้ความเคารพนับถือกับเผ่าวิหคอมตะ แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ที่พวกเขาจะตั้งระวังภัยไว้สูง

จิ่วโยวพยักหน้า นางถือกำเนิดจากเผ่าวิหคโลกันตร์ ต่อให้นางจะสามารถพัฒนาเป็นวิหคอมตะได้ในอนาคต นางก็จะอยู่ต่อในเผ่าวิหคโลกันตร์ นางไม่สนใจที่จะไปแย่งชิงอำนาจในเผ่าหงส์ฟ้า

เพลิงอมตะไร้ขอบเขตรอบตัวจิ่วโยวเริ่มถอยกลับเข้าไปสถิตในร่างกาย เมื่อเกลียวเพลิงหายไปผมของนางก็กลับมาเป็นดังเดิม ยกเว้นอย่างเดียวก็คือดวงตาที่เปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม

จิ่วโยวลดศีรษะลง ค่อยๆ กำหมัดสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่ไม่มีที่สิ้นสุดในร่างกาย รอยยิ้มถูกยกขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้บนใบหน้า

นับจากเวลา นางอยู่ในมิตินี้ไปแล้วสองปีเต็ม แต่โลกภายนอกผ่านไปแค่ครึ่งปี

สองปีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อจิ่วโยว ไม่เพียงแต่นางจะสามารถชำระสายเลือดสมบูรณ์แบบ แต่ยังพัฒนาขุมพลังผ่านทางแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะ ทำให้พลังของนางพุ่งจากระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเป็นขั้นเก้าแล้ว!

สองปีพัฒนาไปสองขุมพลัง!

ตอนนี้จิ่วโยวเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าอย่างแท้จริงแล้ว!

นี่ถ้านางกลับไปที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ นางจะต้องได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นจอมพลคนที่สี่ด้วยขุมพลังในปัจจุบันทันที!

หากคนอื่นรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของนาง ดวงตาของพวกเขาคงแทบถลนออกมานอกเบ้า นั่นเป็นเพราะโดยทั่วไปแค่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดบรรลุขั้นแปด ก็ต้องใช้เวลาหลายปีในการเพาะบ่มอย่างขมขื่นรวมถึงทรัพยากรจำนวนมากและโชคชะตาที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นด้วย

แน่นอนว่าพัฒนาการของจิ่วโยวเป็นสิ่งที่ถือได้ว่าโชคหล่นทับโดยไม่ต้องขวนขวย ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ การเพาะบ่มพลังในมิติพิเศษและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเป็นผู้ชี้แนะ…ขาดหนึ่งในสามเงื่อนไขนี้ไปก็คงเป็นเรื่องยากที่นางจะได้รับความก้าวหน้าถึงขนาดนี้

“ด้วยพลังในปัจจุบัน ข้าคงไม่ไร้ประโยชน์เหมือนเมื่อก่อนแล้วใช่ไหม?” จิ่วโยวคลี่ยิ้มบนริมฝีปากพลางมองออกไปในระยะไกล เมื่อก่อนนางสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของมู่เฉินที่พุ่งทะยาน ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เขาเพิ่งเข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นางยังให้ความช่วยเหลือแก่น้องชายคนนี้ได้บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปพลังของเขาก็ก้าวล้ำผ่านนางไป

ตั้งแต่นั้นมาจิ่วโยวก็พบว่านางไม่สามารถช่วยเหลือมู่เฉินได้อีก มากจนนางต้องพึ่งพาเขาในการเดินทางมาที่ดินแดนเสินโซ่ นางเป็นเพียงผู้ชมตลอดการเดินทาง

สถานการณ์แบบนี้ทำให้จิ่วโยวอึดอัดใจมาก ตัวนางเคยดูแลมู่เฉินมาตลอด แต่เมื่อไร้ประโยชน์ก็ทำให้นางรู้สึกไม่คุ้นชิน

ดังนั้นนางจึงรู้สึกโล่งใจมากเมื่อรับรู้ได้ถึงความก้าวหน้าที่มี

นางรู้ว่าเหตุผลที่มู่เฉินมาที่ทวีปเทียนหลัวก็เพราะวังสวรรค์บรรพกาล เพื่อที่เขาจะได้รับทักษะวิวัฒนาการสำหรับร่างเทพสุริยะ ทุกสิ่งที่เขาทำมาจนถึงตอนนี้ก็คือการเตรียมการสำหรับเรื่องนี้

หลังจากจัดการเรื่องราวที่เผ่าวิหคโลกันตร์เรียบร้อยแล้ว ชัดว่ามู่เฉินจะเตรียมการเรื่องวังสวรรค์บรรพกาลอย่างเต็มที่ ด้วยพัฒนาการพลังที่เกิดขึ้นนางจะสามารถช่วยเหลือมู่เฉินได้อย่างแน่นอน

“แต่พูดถึงมู่เฉิน…เหมือนเขาจะไม่ได้เผยตัวนานแล้วนะ”

จิ่วโยวเบนสายตาไปยังมหาสมุทรกว้างใหญ่ ไม่มีใครที่นั่นเลย ร่างมู่เฉินเหมือนจะจมลงไปใต้น้ำตั้งแต่หนึ่งปีก่อน เนื่องจากคลื่นหลิงบริเวณนั้นหนาแน่นและทรงพลังยิ่งกว่า

หืม?

ขณะที่ความคิดวูบไหวในใจนาง มหาสมุทรที่ไกลออกไปก็ยกตัวขึ้นด้วยคลื่นเชี่ยวกราก ลอนคลื่นสูงหมื่นจั้งกวาดออกมาจากก้นมหาสมุทร ภาพเงาสูงโปร่งนั่งอยู่บนคลื่นอย่างเงียบๆ

“เอ๊ะ?”

จิ่วโยวมองร่างที่ปรากฏบนคลื่น ก็อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานอย่างตกใจ นั่นเป็นเพราะนางรู้สึกได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวมู่เฉินไม่ได้เติบโตขึ้นมาก เขายังดูอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเหมือนเดิม

เขาไม่พัฒนาในช่วงสองปีที่ฝึกฝนเลยเหรอ?

ใบหน้าจิ่วโยวฉายความตื่นตะลึง ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ต่ำเตี้ยก็คงต้องมีการพัฒนามั้งนะ? ไม่ต้องพูดถึงพรสวรรค์ของมู่เฉินที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้วเลย

“เจ้าหนูนั่นฉลาด…”

ขณะที่จิ่วโยวกำลังงุนงง ราชินีวิหคอมตะก็แย้มยิ้มขณะที่พูด “นี่เป็นการสะสมและรอการระเบิดออกมา”

จิ่วโยวเป็นคนหลักแหลมจึงเข้าใจความหมายทันทีและถามว่า “เขาตั้งใจระงับไว้เหรอ?”

ราชินีวิหคอมตะพยักหน้าเบาๆ “ยิ่งเขาระงับตัวเองมากเท่าไร ก็จะระเบิดพลังมากขึ้นเท่านั้น แต่เขาถึงขีดจำกัดในการระงับแล้ว ตอนนี้เรามาดูว่าเขาจะระเบิดออกไปได้ไกลแค่ไหน”

ตามการประเมินในตอนแรกของนาง มู่เฉินน่าจะสามารถไปถึงระดับจื้อจุนขั้นแปดได้ในการเข้าสมาธิลึกครั้งนี้ แต่ไม่ได้คิดว่าความทะเยอทะยานของเขาจะมากเพียงนี้ ถึงขนาดระงับคลื่นหลิงในร่างกายได้ถึงสองปี ตอนนี้ถ้าเขาปลดปล่อยการระเบิดจะต้องน่ากลัวอย่างยิ่ง

เมื่อมองแบบนี้ระดับจื้อจุนขั้นแปดก็คงไม่พอให้เขาหยุดลงได้

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1072 วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏ
เมื่อดินแดนเสินโซ่ปิดตัวลง

ความปั่นป่วนก็กวนตัวในเผ่าเทพอสูร แม้ว่าความสำเร็จของมู่เฉินจะน่าตกตะลึง แต่ก็ยังก่อให้เกิดการถกเถียงมากมายในเผ่าเทพอสูรของมหาพันภพ

แม้ว่าจะมีเผ่าเทพอสูรมากมายเข้าร่วมการเข้าไปในดินแดนเสินโซ่ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เช่นเผ่ามังกรซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะเจ้าเหนือหัวของเผ่าเทพอสูรทั้งปวง พวกเขาไม่ได้ส่งจอมยุทธ์เข้าร่วม ขณะที่ไป๋หมิงก็เป็นเพียงจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นนำของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งซึ่งเป็นเผ่าย่อยของเผ่าหงส์ฟ้าเท่านั้น แม้ว่าเขาจะค่อนข้างโด่งดัง แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวแทนสายเลือดสูงส่งของเผ่าหงส์ฟ้า สำหรับจอมยุทธ์ที่เป็นเสาหลักของเผ่าหงส์ฟ้า การล่อลวงของดินแดนเสินโซ่ไม่มากพอสำหรับพวกเขาเช่นเดียวกับไป๋หมิง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องการลดระดับตนเองลงมาร่วมในงานเช่นนี้

ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงคิดแค่ว่าคุณภาพของจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมในดินแดนเสินโซ่ครั้งนี้ต่ำลง ส่งผลให้มนุษย์อย่างมู่เฉินโดดเด่นขึ้นมาถ้าเขาพบกับจอมยุทธ์ชั้นสูงแท้จริงของเผ่าเทพอสูร มู่เฉินก็คงไม่สามารถได้รับความสำเร็จที่โดดเด่นเช่นนี้ได้

ทว่าการโต้เถียงก็เป็นเพียงลมปาก ทุกคนรู้ว่าถ้าพวกเขาต้องการรู้มาตรฐานของมู่เฉินจริง สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือท้าประลองในสักวันหนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้นก็จะพบเองว่ามู่เฉินทรงพลังมากเกินไปหรือไป๋หมิงอ่อนแอเกินไป

ในบางแง่มุม ดินแดนเสินโซ่ก็เป็นเพียงประสบการณ์สำหรับเผ่าเทพอสูร ดังนั้นนอกเหนือจากเผ่าเทพอสูรก็ไม่ได้ทำให้เกิดระลอกคลื่นในมหาพันภพ แม้แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

ดังนั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์จึงสงบสุขเช่นเคย

หลังจากสงครามล่าหมู่ตึกเทวะก็ถูกตัดแบ่งอย่างสมบูรณ์ ภายใต้พันธมิตรภูมิภาคทางเหนือที่ได้รับการแนะนำจากมั่นถัวหลัวจำนวนความขัดแย้งก็ลดลง ขั้วอำนาจสูงสุดต่างกำลังย่อยส่วนที่ได้จากหมู่ตึกเทวะ ไม่มีความเป็นศัตรูกันเหมือนเมื่อก่อน

ภายใต้ความกลมกลืนดังกล่าวชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคทางเหนือ ซึ่งมีแววจะแซงหน้าหมู่ตึกเทวะในอดีตไปแล้ว

จอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือไม่ได้โง่ ทุกคนสามารถบอกได้ว่าแม้ภูมิภาคทางเหนือจะตั้งพันธมิตร แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ยังมีเสียงในคำพูดมากกว่า

ผู้นำขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็ยังสุภาพเมื่อพบปะกับมั่นถัวหลัว เพราะตอนนี้นางเป็นจอมยุทธ์เพียงคนเดียวในภูมิภาคทางเหนือที่บรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้ว

ความแข็งแกร่งของนางเหนือกว่าประมุขแถวหน้าคนอื่นๆ

ดังนั้นถึงแม้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะไม่แสดงสัญญาณในการครอบครองทั้งภูมิภาค แต่ก็ไม่มีใครสงสัยศักยภาพของพวกเขา ดังนั้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาอิทธิพลของสำนักจึงขยายตัวอย่างรวดเร็วด้วยการหลั่งไหลของจอมยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วน ส่งผลให้สำนักขึ้นกุมอำนาจสูงสุด แม้แต่ภูมิภาคอื่นๆ ของทวีปเทียนหลัวก็ยังรู้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์เติบโตขึ้นในภูมิภาคทางเหนือ

ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ อาณาเขตกงเวทสวรรค์

บนยอดเขาสีฟ้าใสในจุดลึกของสำนักปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆ ร่างเงาเล็กนั่งอยู่บนยอดเขาพร้อมกับเมฆเคลื่อนคล้อยตามลมหายใจของนาง มิติบิดเบี้ยวอยู่รอบตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพเงาของนางช่างคลุมเครือ ราวกับว่าจะจางหายไปกับเวลา

ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้นานแค่ไหน ทันใดนั้นนางก็เปิดตากวาดม่านตาสีทองคำออกไป ทำให้ยอดเขาสั่นไหว พลังงานหลิงโดยรอบพวยพุ่งขึ้นราวกับคลื่นมหาสมุทร กลายเป็นคลื่นพลังงานหลายหมื่นจั้ง จากนั้นนางก็อ้าปากกลืนกินทั้งหมด

หลังจากดูดซับคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตแล้ว ม่านตาสีทองคำก็เปล่งประกายก่อนจะค่อยๆ สงบลง มือเล็กสร้างตราประทับ ทำให้มิติด้านหลังแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนที่พีระมิดสีทองขนาดใหญ่โตจะปรากฏขึ้นในมิติที่แตกเป็นเสี่ยงๆ นั่น

พีระมิดสีทองปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณที่ดูเหมือนสร้างมาจากดวงดาว การกะพริบทุกครั้งทำให้เกิดคลื่นพลังงานทางที่น่ากลัว

หมันถั่วหลัวมองลวดลายบนพีระมิดสีทอง แสงสีทองพลุ่งพล่านราวกับกำลังคำนวณอะไรบางอย่าง ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้กินเวลาไปตลอดหนึ่งเดือน

ในอีกหนึ่งเดือนถัดมา ร่างเล็กของมั่นถัวหลัวก็สั่นสะท้าน ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น ม่านตาสีทองคำมองพีระมิด ภาพดวงดาวบนนั้นก็พร่างพราวค่อยๆ แยกออกมา ก่อนที่จะรวมตัวกันในท้องฟ้า แสงดาวแผ่กระจายก่อตัวเป็นแผนภาพหมู่ดาว

มั่นถัวหลัวมองดูแผนภาพหมู่ดาวลึกลับ ความสุขก็ปรากฏบนใบหน้าเงียบสงบ สายตาของนางพุ่งตรงไปที่ระยะไกลราวกับว่ากำลังมองทะลุผ่านมิติที่ไม่มีที่สิ้นสุด

“ในที่สุดวังสวรรค์บรรพกาลก็จะปรากฏแล้วรึ?”

ขณะที่มั่นถัวหลัวรู้สึกถึงบางสิ่งผ่านพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ สถานที่แห่งหนึ่งในทิศตะวันออกของทวีปเทียนหลัว ที่นี่คือที่ราบขั้วโลกที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนธรรมดาก็ไม่สามารถต้านทานได้ ลมพายุแข็งแกร่งที่พัดผ่านสามารถฉีกใครก็ตามที่อยู่ภายใต้ระดับจื้อจุนขั้นห้าให้แหลกเป็นชิ้นๆ

ทันใดนั้นดวงดาวบนท้องฟ้าของดินแดนน้ำแข็งรกร้างก็สว่างไสวขึ้น แสงดาวส่องลงมาพร้อมรอยแตกปรากฏในเส้นทางของแสงดาว…

รัศมีรกร้าง โบราณและไร้ขอบเขตที่อยู่ในรอยแตกก็ราวกับเคลื่อนผ่านกาลเวลากวาดออกมา

มิติบิดเบือนเป็นครั้งคราว เมื่อมองผ่านรอยแตกเข้าไปก็เหมือนจะเห็นภาพตำหนักโบราณที่ปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆ ซึ่งสามารถก่อกวนจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้ทุกผู้ทุกนาม

ขณะที่รอยแตกปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เหล่าประมุขจากขั้วอำนาจสูงในทวีปเทียนหลัวรวมถึงจอมยุทธ์ที่บรรลุระดับตี้จื้อจุนก็สามารถสัมผัสได้ ทันใดนั้นสายตาของพวกเขาก็มองไปยังทิศทางดินแดนน้ำแข็งด้วยความตื่นตระหนกตกใจ

ขณะนี้แม้แต่ยอดยุทธ์เหล่านี้ที่มักสงบนิ่งก็ผุดลุกขึ้นความสุขกระจายบนใบหน้า

“รัศมีนี้…วังสวรรค์บรรพกาล! ในที่สุดก็จะปรากฏขึ้นแล้ว!”

ทางเหนือของมหาพันภพ

ที่นี่เป็นดินแดนที่ถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิง ย้อมทุกอย่างเป็นสีแดงฉาน พื้นที่แห่งนี้ด้อยกว่าทวีปเทียนหลัวมาก แต่ในมหาพันภพชื่อเสียงของที่นี่กลับไปไกลเกินกว่าทวีปเทียนหลัวไม่รู้กี่เท่า

นั่นเป็นเพราะมีอีกชื่อที่เรียกขานสำหรับที่นี่

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว

เจ้าเหนือหัวของดินแดนนี้เป็นที่รู้จักกันในฉายาเทพจักรพรรดิอัคคี

ชายที่มาจากพิภพเขตล่างและก่อตั้งแคว้นนี้ขึ้นในเวลาเพียงร้อยปี ชื่อเสียงของเขาดังก้องไปทั่วมหาพันภพ โดยเป็นใหญ่ในทิศหนึ่งของมหาพันภพเลยทีเดียว ตัวเขาก็ก้าวขึ้นสู่การเป็นยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ

สำหรับจอมยุทธ์ในมหาพันภพ เขาเป็นตำนานมีชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย กระทั่งเวลานี้ที่ซึ่งมีจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนมากมาย เขาก็คือการดำรงอยู่ที่ดึงดูดสายตาทุกคน

ที่ใจกลางดินแดนเป็นเมืองคู่บารมีที่เต็มไปด้วยมหาสมุทรเปลวเพลิงบนท้องฟ้า ช่างดูตระการตาอย่างยิ่ง

ในศาลาหินที่เงียบสงบในเมือง ชายชราและชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่นั่นพร้อมกับกระดานหมากล้อมบนโต๊ะ

ชายชราฉายแววตาเมตตาด้วยสติปัญญาเติมเต็มม่านตา ขณะที่รัศมีมากประสบการณ์ไม่สามารถปกปิดได้

ที่นั่งตรงหน้าก็คือชายสวมชุดสีดำ ดวงตาลึกซึ้งราวกับท้องฟ้าพร่างด้วยหมู่ดาว รอยยิ้มอ่อนโยนแขวนอยู่บนใบหน้า รูปร่างเพรียวสูง รัศมีของเขาลึกเกินหยั่งถึงประหนึ่งมหาสมุทร

ขณะนี้เขากำลังจ้องมองกระดานหมากล้อมด้วยความลำบากใจปรากฏบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาตกอยู่ในสภาวะอับจน ถือหมากเก้ๆ กังๆ ไม่สามารถตัดสินใจได้

เขาไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนที่จะวางหมากลง แต่ทันทีที่วางหมากลงไป เปลวไฟก็วูบไหวในดวงตา จังหวะนั้นเปลวไฟก็พุ่งออกมาจากตัวหมาก

“หืม?”

เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว มองเข้าไปในมิติที่ห่างไกล

“เกิดอะไรขึ้น?” ชายชราถามอย่างสงสัย

“วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏขึ้น ข้ารู้สึกได้” ชายชุดดำยิ้มบาง

“เจ้าวังสวรรค์บรรพกาล?” ชายชราเอ่ยอย่างประหลาดใจ

ชายชุดสีดำพยักหน้า แววตาสนใจวูบไหวขึ้น “ฮ่าๆ ก็คือหนึ่งในเก้าจักรพรรดิโบราณ เจ้าวังสวรรค์บรรพกาล”

ใบหน้าของชายชราเคร่งเครียดลงหลายส่วน เจ้าวังสวรรค์บรรพกาลมีชื่อเสียงที่น่าเกรงขาม ซึ่งถือได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดแม้ในหมู่ระดับเทียนจื้อจุน ว่ากันว่าในสงครามสมัยโบราณจำนวนจอมพลปีศาจที่ตายอยู่ในมือของจักรพรรดิผู้นี้ไม่สามารถนับได้ด้วยนิ้วมือทั้งสองข้าง ดังนั้นชื่อเสียงในความกล้าหาญของการต่อสู้จึงยากที่จะจินตนาการ

“คนแบบนี้ถือได้ว่าเป็นวีรบุรุษ ถ้าข้าเกิดในสมัยโบราณ ข้าจะขอเป็นเพื่อนกับเขาอย่างแน่นอน”

ชายชุดดำหัวเราะร่วนขณะที่เพ่งมองไปที่ห้วงมิติ “วังสวรรค์บรรพกาลเต็มไปด้วยความลึกลับ ข้าคิดว่าคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันได้เมื่อปรากฏขึ้น แต่ตามที่ข้ารู้วังสวรรค์บรรพกาลล่มสลายในมือของจอมปีศาจและร่องรอยของจักรพรรดิผู้นั้นก็หายไปหลังจากนั้น”

“จอมปีศาจ?” สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไป ในเผ่าปีศาจต่างมิตินักรบที่โดดเด่นที่สุดเท่านั้นที่สามารถเป็นที่รู้จักในฐานะจอมปีศาจ

ชายชุดสีดำพยักหน้ายิ้มบาง “ในอดีตผู้อาวุโสคนนั้นปกป้องมหาพันภพอย่างสุดความสามารถ ในฐานะที่เป็นคนรุ่นหลังก็ถือได้ว่าเราได้รับการปกป้องจากเขา ดังนั้นข้าจะต้องรักษาความสงบหลังเขาตายเอาไว้”

แม้ว่าเขาจะพูดด้วยเสียงเบาแต่น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวมาก ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถพูดออกมาว่าจะปกป้องความสงบเบื้องหลังจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในอดีต

“เจ้าหมายความว่า” ใบหน้าของชายชราเปลี่ยนเครียดจัด

ชายชุดดำส่ายหัวตอบว่า “หวังว่าข้าจะคิดมากเกินไป”

เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะมองออกไปนอกศาลาหิน ภายใต้แสงแดดร่างงดงามในชุดสีฟ้าอมเขียวดูสง่างามและทรงเสน่ห์ นางช่างงดงามจนแม้แต่เวลาก็หยุดเคลื่อนคล้อยอยู่ใต้ความงามของนาง

“ซุนเอ๋อ เรียกเซียวเซียวมาหน่อยสิ นางอยากไปที่ทวีปเทียนหลัวไม่ใช่เรอะ? ครั้งนี้ปล่อยให้นางไปเถอะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา นางก็ยิ้มบางเผยให้เห็นถึงความงามสังหาร ก่อนที่จะพยักหน้ารับทราบ

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จชายชุดสีดำก็หันกลับมา ยิ้มด้วยดวงตายิบหยีต่อชายชรา “อาจารย์เรามาเริ่มต้นใหม่ไหม?”

ชายชราอึ้งไปก่อนที่จะก้มศีรษะลงมองก็เห็นว่าหมากบนกระดานไหม้เป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว ทำให้เขาได้แต่ส่ายหัวยิ้มอย่างช่วยไม่ได้

แม้จะผ่านมาหลายปีเจ้าตัวอันธพาลคนนี้ก็ยังชอบขี้โกงเหมือนเดิม ถ้าคนอื่นเห็นท่าทางแบบนี้ของเขา คงจะยากที่จะเชื่อล่ะมั้ง?

นั่นเป็นเพราะบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็ประมุขแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว

เทพจักรพรรดิอัคคี—เซียวเหยียน

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1071 เผ่าวิหคโลกันตร์ที่ตื่นตระหนก
โถงสภาอาวุโสแห่งเผ่าวิหคโลกันตร์

สถานที่แห่งนี้เป็นที่กุมอำนาจสูงสุดของเผ่าวิหคโลกันตร์ ยามนี้บรรยากาศในห้องโถงเต็มไปด้วยความบีบคั้นและรุนแรง แม้ว่าร่างที่นั่งส่วนใหญ่อายุจะดูมาก แต่แรงกดดันมหาศาลที่ปล่อยออกมาก็ยังคงทำให้มั่วเฟิงและมั่วหลิงรู้สึกอึดอัด แม้แต่มั่วหลิงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาก็ยังเงียบไป

เทียนฮวงนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน เขาขมวดคิ้วแน่นในขณะนี้ เมื่อมองไปที่มั่วเฟิงและมั่วหลิง ก่อนที่จะพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “ทำไมจิ่วโยวกับมู่เฉินถึงไม่กลับมากับพวกเจ้า?”

ทันทีที่ตั้งคำถาม ผู้อาวุโสสวมชุดสีฟ้าอมเขียวซึ่งมีอคติกับมู่เฉินก็ยิ้มเย็นชา “ไอ้หนูนั่นคงรู้สึกว่าจะต้องล้มเหลวในการทำงาน จึงพาจิ่วโยวหนีตายไปแล้วมั้ง ฮึ่ม ช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน”

เมื่อผู้อาวุโสคนอื่นได้ยินก็ขมวดเช่นกัน ถ้านั่นเป็นความจริง มู่เฉินที่ไม่รับผิดชอบก็น่าผิดหวังมากเกินไปแล้ว

แต่เมื่อผู้อาวุโสสวมชุดสีฟ้าอมเขียวพูดจบ มั่วหลิงที่ยืนอยู่ในห้องโถงก็ยกริมฝีปากด้วยความไม่พอใจเถียงขึ้นมาว่า “ใครบอกว่าพี่ใหญ่มู่เฉินหนีไป? ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่มู่เฉิน พี่ใหญ่จิ่วโยวจะได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณซะที่ไหน?”

“หืม?!”

เมื่อได้ยินคำพูดของมั่วหลิง ร่างผู้อาวุโสแต่ละคนในโถงก็สั่นสะท้าน ประกายแสงวูบไหวในดวงตา แม้แต่เทียนฮวงก็ดวงตาหดลงไม่สามารถปิดบังความตกใจในคำพูดได้ “เจ้าว่าอะไรนะ? จิ่วโยวได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณเรอะ?”

สีหน้าภูมิใจปรากฏบนใบหน้าของมั่วหลิงขณะที่เล่า “พี่ใหญ่มู่เฉินทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากราชินีวิหคอมตะจนลุล่วง เหตุผลที่เขาไม่ได้กลับมากับพี่ใหญ่จิ่วโยว แน่นอนว่าเพราะพวกเขาได้รับรางวัลจากผู้อาวุโส ไม่รู้ว่ากำลังรับประโยชน์มากแค่ไหนอยู่ตอนนี้?

“ราชินีวิหคอมตะ?!”

ผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวร้องคราง เขาไม่ได้แปลกหูสำหรับชื่อนี้ ในสมัยโบราณนี่เป็นหนึ่งในสามราชันแห่งดินแดนเสินโซ่ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่แท้จริง

“เป็นไปไม่ได้! ราชินีวิหคอมตะสิ้นชีพไปนานแล้ว พวกเจ้าจะไปเจอได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสสวมชุดสีฟ้าอมเขียวมีข้อกังขาอยู่เต็มใบหน้า ถามด้วยความสงสัย

เทียนฮวงไม่ได้แสดงข้อกังขา เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะพูดว่า “มั่วเฟิงเล่ารายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นในดินแดนเสินโซ่มา ห้ามพลาดแม้แต่เรื่องเดียว!”

เขาจะมาฟังดูสิว่าตอนอยู่ในดินแดนเสินโซ่มู่เฉินทำอะไรไปบ้าง!

มั่วเฟิงพยักหน้ารับ ความรู้สึกของเขาที่มีต่อมู่เฉินเปลี่ยนไปอย่างมากตลอดการเดินทางไปยังดินแดนเสินโซ่ ยิ่งกว่านั้นยังแอบรู้สึกนับถืออยู่ด้วย ดังนั้นเขาจึงยินดีมากที่จะบอกเล่าเรื่องราวให้ผู้อาวุโสในเผ่าฟังเพื่อจะเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นเขาจึงจัดเรียงความคิดในใจสั้นๆ ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องราวของการเดินทางไปยังดินแดนเสินโซ่

เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ สุสานหมื่นอสูร สุสานอสูรโบราณโภคะและการต่อสู้กับไป๋หมิงจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นสูงของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งจนได้รับชัยชนะในที่สุด

ทั้งโถงเงียบกริบเหลือเพียงมั่วเฟิงที่ยังเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโส แต่กระทั่งเทียนฮวงก็ยังค่อยๆ เบิกตาจากคำอธิบายของมั่วเฟิงด้วยความตะลึงใจ

จอมยุทธ์รุ่นใหม่เผ่าวิหคโลกันตร์ก็เคยเข้าไปในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ แต่จำนวนของคนที่สามารถไปถึงชั้นสุดท้ายสามารถนับได้ด้วยนิ้วมือ ทว่ามู่เฉินกลับทำสำเร็จ

ส่วนสุสานหมื่นอสูร พวกเขาตระหนักดีถึงอันตรายที่อยู่ในนั้น ไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะมีความกล้าหาญเช่นนี้ สุสานอสูรโบราณโภคะเป็นสิ่งที่เย้ายวนใจ ไม่เพียงแต่เขาจะประสบความสำเร็จในการคว้ามาได้ เขายังนำพาทุกคนที่ไปกับเขารับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ด้วย

กระนั้นพวกเขาก็ยังรักษาความสงบเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ได้ แต่เมื่อพวกเขาได้ยินเกี่ยวกับการปะทะของมู่เฉินกับไป๋หมิงเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง สายตาของพวกเขาก็ค่อยๆ เคร่งขรึมลง

นั่นเป็นเพราะพวกเขาตระหนักดีว่าจอมยุทธ์ชั้นสูงที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งทรงประสิทธิภาพเพียงใด แม้ว่าสายเลือดของไป๋หมิงจะไม่ใช่พวกสูงศักดิ์ในเผ่าหงส์ฟ้า แต่เทียนฮวงและคนอื่นๆ ก็ต้องยอมรับว่าแม้แต่จอมยุทธ์ชั้นสูงรุ่นใหม่ในเผ่าของพวกเขาก็เอาชนะไป๋หมิงได้ยาก

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาถูกเยาะเย้ยจากเผ่าหงส์ฟ้า ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินว่ามู่เฉินต่อสู้กับไป๋หมิงและชนะ พวกเขาก็พูดอะไรไม่ออกเลยในตอนนี้

“เยี่ยม! พวกเราประเมินเจ้าหนูนั่นต่ำไปจริงๆ!” ผู้อาวุโสบางคนตบลงที่พนักเก้าอี้ด้วยความตื่นเต้น พวกเขารู้สึกโล่งใจจากอาการไม่พอใจในใจ พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง มีแต่คำล้อเลียนเยาะเย้ยที่ส่งมาให้หลายต่อหลายครั้ง แต่ตอนนี้จอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่อีกฝ่ายเลี้ยงดูไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินซึ่งมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ ในอนาคตก็มาดูกันสิว่าเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งจะยังกล้าอวดดีกับเผ่าวิหคโลกันตร์ยังไง

แม้ว่ามู่เฉินจะไม่ใช่สมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่เขามีสายเลือดของเผ่าวิหคโลกันตร์ผ่านพันธะโลหิตของเขากับจิ่วโยว เมื่อมองจากอีกมุม มู่เฉินก็ถือได้ว่าเป็นสมาชิกครึ่งคนของเผ่าวิหคโลกันตร์

ผู้อาวุโสบางคนก็พยักหน้าเห็นด้วย โดยลืมไปว่าเคยคัดค้านพันธะโลหิตระหว่างมู่เฉินกับจิ่วโยวจนหัวชนฝา

“เจ้าหนูนั่นมีความสามารถแท้จริง”

แม้แต่เทียนฮวงก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเบาๆ ขณะที่ใบหน้าคลายความตึงเครียดลง เขาไม่ต้องการเห็นว่ามนุษย์ที่จิ่วโยวสร้างพันธะโลหิตด้วยจะธรรมดา หากเป็นเช่นนั้นแม้ว่าจิ่วโยวจะค้าน เขาก็จะไม่อนุญาตให้พันธะโลหิตระหว่างพวกเขาดำรงอยู่

แต่เมื่อมองสถานการณ์ในตอนนี้สายตาของบุตรสาวไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง

“งั้นก็น่าจะได้รับแก่นมรดกโลหิตของวิหคอมตะโบราณหลังจากเอาชนะไป๋หมิงใช่ไหม?” เทียนฮวงถาม ตอนนี้เขาไม่สงสัยสิ่งที่มั่วหลิงพูดมาก่อนหน้าแล้ว

เมื่อคิดได้ว่าจิ่วโยวได้รับแก่นโลหิตวิหคอมตะโบราณและทำให้สายเลือดของนางสมบูรณ์แบบแล้ว กระทั่งเขายังอดยิ้มไม่ได้ นั่นหมายความว่าจิ่วโยวอาจเป็นเพียงหนึ่งเดียวในรอบหมื่นปีที่ผ่านมาที่มีพัฒนาการสู่การเป็นวิหคอมตะ ในเวลานั้นสถานะของเผ่าวิหคโลกันตร์ก็จะยกสูงขึ้น แม้แต่เผ่าหงส์ฟ้าก็ต้องมองพวกเขาในฐานะที่เท่าเทียมกัน

มั่วเฟิงพยักหน้าขณะที่พูดต่อ “แต่หลังจากได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณก็เกิดบางอย่างขึ้น ปีศาจที่ก่อร่างขึ้นจากแรงปรารถนาที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยจอมพลปีศาจที่ตายไปแล้วในสมัยโบราณออกอาละวาด โชคดีที่ราชันทั้งสามทิ้งไพ่ตายไว้เบื้องหลัง พวกเขาปรากฏขึ้นในรูปแบบร่างดวงจิตเพื่อเผชิญหน้ากับมัน ท้ายที่สุดก็เป็นมู่เฉินที่ใช้ความสามารถศาสตร์อื่นในฐานะจั้นเจิ้นซือเพื่อควบคุมรัศมีจั้นยี่ของกองทัพอสูรสวรรค์เพื่อช่วยเหลือสามราชันฆ่าสิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยงนั่นลงอย่างสมบูรณ์”

เมื่อมั่วเฟิงพูดจบก็รู้สึกถึงบรรยากาศหยุดนิ่งทันควัน เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นท่าทางของผู้อาวุโสแต่ละคนอึ้งทึ่งไป แม้แต่เทียนฮวงก็ผงะขณะที่จ้องมองมาที่เขา

ขณะนี้คำพูดของเขาดังสะท้อนอยู่ในใจของเทียนฮวงและเหล่าผู้อาวุโส จอมพลปีศาจ… สามราชัน… กองทัพอสูรสวรรค์…

เมื่อคำพูดเหล่านี้ปรากฏขึ้น ก็ทำให้สมองของพวกเขากระเพื่อมด้วยระลอกคลื่น นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ซึ้งถึงความหมายเบื้องหลังคำเหล่านั้นดีกว่ามั่วเฟิงและคนอื่นๆ

จอมพลปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่เทียบเคียงได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว

ส่วนสามราชันดินแดนเสินโซ่เป็นจอมยุทธ์ชั้นนำที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณ

สำหรับกองทัพอสูรสวรรค์ก็เป็นสุดยอดกองกำลังที่โด่งดังและทรงพลังในสมัยโบราณ ขณะที่รัศมีจั้นยี่ของกองทัพนี้กวาดอาละวาด ก็ไม่รู้สังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนไปแล้วเท่าไร

ดังนั้นเมื่อได้ยินคำเหล่านั้นจากมั่วเฟิง พวกเขาก็อยากถามว่าพวกเจ้าย้อนเวลากลับไปในสมัยโบราณหรือเนี่ย

“แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจั้นเจิ้นซือก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสั่งการกองทัพอสูรสวรรค์หรอกมั้ง?” เทียนฮวงฟื้นจากอาการตกใจคนแรกก็ถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ

ผู้อาวุโสคนอื่นก็พยักหน้าเช่นกัน ถ้ามู่เฉินสามารถสั่งการกองทัพอสูรสวรรค์ได้ เขาก็สามารถไปได้ตามที่ใจปรารถนาทั่วมหาภพันภพแล้ว ในระดับนั้นไม่ว่าขุมพลังหลิงของเขาจะอ่อนแอเพียงใด แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ยังหวาดกลัวต่อเขา

“กองทัพอสูรสวรรค์ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด แค่ได้รับการเก็บรักษาไว้ส่วนหนี่งด้วยวิธีพิเศษโดยสามราชัน ยิ่งกว่านั้นราชินีวิหคอมตะก็ให้การป้องกันแก่มู่เฉิน แต่ถึงอย่างนั้นมู่เฉินก็ยังบาดเจ็บหนักมาก” มั่วเฟิงเล่าแบบถึงลูกถึงคน เขาไม่ได้คุยโม้ให้กับมู่เฉิน นั่นเป็นเพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจะฟังดูไม่สมจริง

ทว่าคำสัตย์จริงของเขาก็ทำให้เทียนฮวงและคนอื่นๆ เงียบงันไปอีกครั้ง ด้วยประสบการณ์ของพวกเขากว้างใหญ่จึงสามารถอนุมานเบาะแสอื่นๆ จากคำพูดของมั่วเฟิงได้

กองทัพอสูรสวรรค์มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นกองทัพที่หลงเหลืออยู่ก็อาจเทียบได้กับระดับตี้จื้อจุน ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่ามู่เฉินจะมีการป้องกันจากวัตถุที่ราชินีวิหคอมตะมอบให้ ซ้ำยังได้รับบาดเจ็บหนักในตอนท้าย แต่ก็พิสูจน์พรสวรรค์และความเข้าใจในเส้นทางแห่งศาสตร์จั้นเจิ้นซือได้ เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นจั้นเจิ้นซือคนใดที่สามารถสั่งการกองทัพอสูรสวรรค์ได้ด้วยวัยเท่านั้น นี่จึงอธิบายสิ่งต่างๆ ได้มากมาย

บางทีในอนาคตอาจมีสักวันที่มู่เฉินจะสามารถบัญชาการกองทัพที่มีพลังเฉกเช่นกองทัพอสูรสวรรค์ได้จริงๆ

ช่วงเวลาที่เขาประสบความสำเร็จก็จะก้าวขึ้นเป็นยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพนี้

ดังนั้นคนทั้งหมดจึงนิ่งเงียบหลังจากขบคิดเรื่องนี้ แม้แต่ผู้อาวุโสที่มีอคติต่อมู่เฉินก็ยังปิดปากสนิท

หลังจากมีชีวิตมายาวนานสายตาก็เฉียบคมใช้ได้ บางทีมู่เฉินตอนนี้อาจจะไม่สามารถทำให้พวกเขารู้สึกกลัวได้ แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในระดับใดในอนาคต?

บางทีในอนาคตแม้แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ก็ยังต้องพึ่งพาเขา เมื่อพิจารณาจากศักยภาพที่เขาได้แสดงไว้ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้

“ราชินีวิหคอมตะบอกว่านางจะมอบโชคยิ่งใหญ่ให้กับมู่เฉิน จิ่วโยวก็รอคอยไม่ยอมกลับมา อาจเป็นไปได้อย่างมากว่านางจะถูกผู้อาวุโสคนนั้นเก็บตัวไว้เพราะมู่เฉิน” มั่วเฟิงได้ข้อสรุปสุดท้าย

ทั้งโถงเงียบกริบ ผู้อาวุโสหลายคนอิจฉาในโชคชะตาของทั้งสอง การได้รับคำแนะนำจากราชินีวิหคอมตะ โชคชะตาเช่นนี้ทำให้ดวงตาของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง

เทียนฮวงตบพนักเก้าอี้เบาๆ จากนั้นก็หลับตาครู่หนึ่งก่อนที่จะเปิดตาอีกครั้ง สายตาที่เข้มงวดกวาดออกไป เขามองไปที่เหล่าผู้อาวุโส เสียงเคร่งขรึมดังก้องไปทั่วห้องโถง

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปห้ามไม่ให้ใครพูดประชดประชันมู่เฉินเกี่ยวกับพันธะโลหิตอีก”

เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดเสียงเฉียบขาดว่า “เมื่อทั้งสองกลับมา เราจะยกตำแหน่งผู้อาวุโสเผ่าวิหคโลกันตร์ให้แก่มู่เฉิน”

ทันทีที่พูดคำเหล่านั้น หัวใจของทุกคนก็สั่นสะท้านพลางจ้องมองกันและกัน พวกเขาต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็นิ่งเงียบไป บางทีมู่เฉินยังไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้อาวุโสในขณะนี้ แต่ศักยภาพของเขามีนั้น

มากเกินพอแล้ว…

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1070 ปิดฉาก
ครืน!

มหาสมุทรสีแดงฉานปกคลุมมิติทั้งหมด พลังงานหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งไม่หยุดกลั่นตัวเป็นหมอก บางครั้งกลุ่มหมอกจะควบแน่นกันกลายเป็นเมฆที่มีสายฝนหลิงร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ยกระลอกคลื่นบนพื้นผิวของมหาสมุทรขึ้นลง

แม้ว่ามหาสมุทรนี้จะสร้างจากแก่นเลือดเทพอสูรระดับต้นนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีกลิ่นคาวเลือดเลยสักนิด ความบริสุทธิ์ของพลังงานนั้นเกินทุกสถานที่ที่มู่เฉินเคยเจอมา

จากการคาดการณ์ของเขาแม้ว่าค่ายกลบรรจบจิตทรงพลังหลากหลายค่ายกลรวมตัวกัน ก็คงไม่สามารถปรับแต่งพลังงานหลิงจำนวนมหาศาลเช่นนี้…

พื้นที่บริเวณนี้ถูกปกคลุมไปด้วยสายฝนหลิง มู่เฉินนั่งอยู่บนพื้นมหาสมุทรปล่อยให้ฝนหลิงเย็นยะเยือกตกลงบนร่างกาย ขณะที่แสงสีทองไหลเวียนอยู่บนผิวกายดูดซับสายฝนหลิงอย่างตะกละตะกลาม นำพาคลื่นพลังเข้ามารวมในจุดจื้อจุนไห่หลังจากการปรับแต่ง ซึ่งทำให้คลื่นหลิงของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ครืน!

มหาสมุทรที่อยู่เบื้องหลังกระเพื่อมเป็นลอนคลื่น เทพอสูรขนาดใหญ่ดูราวกับวาฬทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่จะดำดิ่งลงทะลุผ่านร่างของมู่เฉินกลับไปที่มหาสมุทร

ร่างของมู่เฉินไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ปล่อยให้เงาเทพอสูรเหล่านี้ผ่านร่างกายไปตามสบาย ดวงตาปิดสนิท ไม่มีคลื่นรบกวนใดบนใบหน้า

โดยไม่รู้ตัวเขาใช้เวลาหนึ่งเดือนไปกับมหาสมุทรนี้ แต่เขาก็ไม่เร่งรีบกลืนกินคลื่นหลิงที่นี่เพื่อพยายามบรรลุ

นั่นเป็นเพราะเมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งได้ใช้ดอกบัวมรกตเก้าโคจรเพื่อบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด ดังนั้นถ้าเขาต้องการบรรลุอีกครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ บางทีอาจเป็นไปได้ในสถานที่แห่งนี้ แต่นั่นจะไปเขย่ารากฐานที่มั่นคงของเขาจนผิดเพี้ยนไปและส่งผลเสียต่อการฝึกในอนาคต

มู่เฉินไม่ได้เป็นคนโง่ที่ตาบอดเพื่อจะเสริมพลังตรงหน้าเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเขาจึงมีสติในการระงับความอยากที่จะบรรลุและเลือกที่จะฝึกฝนอย่างเงียบๆ ปล่อยให้คลื่นหลิงในร่างกายไหลเวียนและดูดซับคลื่นหลิงจากโลกภายนอก

เขาต้องการพัฒนาการที่สมบูรณ์แบบ

แม้ว่าพัฒนาการเช่นนี้จะช้าที่สุด แต่ก็ทนทานที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้ในเมื่อกฎเวลาในมิตินี้แตกต่าง มู่เฉินก็ไม่ขาดแคลนเวลา

ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รีบเร่งและเลือกใช้วิธีที่ช้าที่สุด

แม้แต่ราชันทั้งสามก็พยักหน้าเห็นด้วยเกี่ยวกับการเลือกของเขาในใจ หากมีคนอื่นสามารถเข้ามาที่พื้นที่เพาะบ่มที่มีค่าเช่นนี้ พวกเขาอาจจะตาบอดจากชิ้นปลามันนี้และเลือกกลืนพลังงานให้มากที่สุด

แต่สุดท้ายวิธีนั้นก็เป็นได้แค่ดื่มเหล้าพิษแก้ขาดน้ำ ถือว่าเป็นเรื่องโง่ในระยะยาว

แม้ว่าประสิทธิภาพของวิธีมู่เฉินจะช้า แต่ก็รับประกันความมั่นคงในแต่ละก้าวของเขา ทำให้อนาคตต่อไปในเส้นทางของการเพาะบ่มเขาสามารถไปได้ไกลยิ่งกว่า

ทว่าแม้มู่เฉินจะไม่ได้ยึดติดกับการฝึกฝนขุมพลังหลิงในเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็มีผลการเก็บเกี่ยวเช่นกัน อย่างน้อยเขาก็ได้รับการพัฒนาที่น่าทึ่งในเส้นทางการฝึกฝนอีกทางหนึ่ง

มู่เฉินนั่งเงียบๆ บนมหาสมุทรก่อนที่จะลืมตาจากนั้นก็ยกมือ มหาสมุทรที่เบื้องหน้าเขากระเพื่อมไหวรุนแรง อึดใจต่อมาพื้นผิวมหาสมุทรก็แยกออกจากกัน แสงสองดวงพวยพุ่งออกมา

แสงทั้งสองคลอเคลียรอบร่างมู่เฉินพร้อมกับกำจายแสงสีทอง นี่คือจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง

แต่ในเวลานี้พวกมันได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ภาพพร่ามัวควบแน่นมากขึ้นหลังจากกลืนกินเลือดเทพอสูรมากมายในเวลาหนึ่งเดือน แม้ว่าจะยังห่างไกลจากรูปลักษณ์เดิม แต่ก็ดูสมจริงกว่าเมื่อเทียบกับความรู้สึกลวงตาที่มีมาก่อนหน้า

ยิ่งกว่านั้นร่างสีทองของพวกมันก็เปลี่ยนเป็นสีทองที่เข้มข้นกว่า ซึ่งดูแข็งแกร่งและทรงพลังอย่างยิ่ง

จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าที่แท้จริงพัวพันอยู่รอบมู่เฉิน ความแปรปรวนคลื่นหลิงที่ทรงพลังถูกปล่อยออกมาจากพวกมันตลอดเวลา

มู่เฉินมองจิตวิญญาณทั้งสองด้วยความประหลาดใจในดวงตา นั่นเป็นเพราะในช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือนการเติบโตของมังกรและหงส์ฟ้าแข็งแกร่งขึ้นมากหลายขุม

ตอนนี้เนื่องจากคลื่นหลิงควบแน่นในร่างจิตวิญญาณของมังกรและหงส์ฟ้าเพียงพอแล้ว ดังนั้นพวกมันจึงสามารถออกจากร่างมู่เฉินและต่อสู้ในระยะหนึ่งได้

จากการประเมินของมู่เฉิน เขาไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวกระบวนท่า จิตวิญญาณทั้งสองก็สามารถเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดด้วยตัวเองได้

นั่นจะเทียบเท่ากับการมีผู้ช่วยที่ทรงพลังเคียงข้างเขา นอกจากนี้ผู้ช่วยทั้งสองก็ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างทรงพลัง มู่เฉินไม่สงสัยเลยว่าเมื่อพวกมันเติบโตอย่างเต็มที่ ความแข็งแกร่งที่มีจะทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังหวาดกลัว

ดังนั้นเมื่อมองจากแง่มุมหนึ่ง จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงถึงเป็นส่วนที่น่ากลัวที่สุดของคัมภีร์หลงเฟิ่ง

แน่นอนว่าขั้นตอนนั้นยังห่างไกล มู่เฉินก็ไม่เคยคิดจะบรรลุเป็นเซียนได้ในวันเดียว ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือเลี้ยงดูมังกรและหงส์ฟ้าอย่างดี เพื่อวันหนึ่งในอนาคตพวกมันจะกลายเป็นองครักษ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา

สำหรับตอนนี้…

มู่เฉินจ้องมองจิตวิญญาณทั้งสองก็ยิ้มบาง ตอนนี้ก็พยายามดูแลการเติบโตของพวกมันให้ดีเถอะ…

เมื่อความคิดตกผลึก มู่เฉินก็ไม่ได้ฟุ้งซ่านอีกต่อไป เขามองไปที่เกาะเล็กที่ลอยอยู่บนมหาสมุทรโลหิต จิ่วโยวนั่งอยู่ที่นั่นโดยที่ทั่วร่างกำจายไปด้วยเปลวเพลิง

นั่นคือเพลิงอมตะ ในอดีตเพลิงอมตะของจิ่วโยวมีสีม่วงเข้ม แต่ในตอนนี้สีนั้นได้ค่อยๆ จางลงมีแนวโน้มไปสู่วิวัฒนาการของผลึกเพลิงอมตะ

มู่เฉินรู้ดีว่านี่เป็นเพราะคำแนะนำของราชินีวิหคอมตะ ในฐานะที่เป็นวิหคอมตะ นางรู้วิธีที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นวิหคอมตะแท้จริง ดังนั้นคำแนะนำของนางสำหรับจิ่วโยวจึงมีค่าอย่างยิ่งทำให้ลดการเดินออกนอกเส้นทางไปมาก วิวัฒนาการก็จะสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

มู่เฉินมองเห็นอนาคตแล้วว่าเมื่อมีคำแนะนำจากราชินีวิหคอมตะ หลังจากสิ้นสุดการฝึกยุทธ์ครั้งนี้ พลังของจิ่วโยวจะต้องพัฒนาไปไกลยิ่งอย่างแน่นอน

ถึงเวลานั้นนางอาจจะแซงหน้าเขาไปไกลอีกครั้งก็ได้ หลังจากที่เขากระดึบตามนางมาอย่างขมขื่น

“สามปีแล้วที่ข้าออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง…”

ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพรูลมหายใจ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเด็กหนุ่มที่ไม่มีประสบการณ์จนขึ้นตำแหน่งหนึ่งในสิบผู้บัญชาการของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ยิ่งกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าหลังจากที่กลับไปในครั้งนี้อาจจะมีตำแหน่งเพิ่มเติมในหมู่จอมพลก็เป็นได้

หลายปีในการฝึกฝน ทำให้ความไร้ประสบการณ์ของชายหนุ่มหายไปหมดสิ้น การทำงานหนักนี้ทั้งหมดก็เพื่อช่วยมารดาและสัญญาที่เขาให้ไว้กับหญิงคนรัก

คำมั่นสัญญาที่เขาจะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในใต้หล้านี้ให้ได้

“ลั่วหลี…เจ้าสบายดีไหม?”

มู่เฉินมองสายหมอกที่พรั่งพรูบนท้องฟ้า ภาพเรือนผมยาวสลวยสีเงินยวงและใบหน้างดงามที่มีม่านตาคล้ายกับผลึกแก้วปรากฏขึ้น กระตุ้นความรู้สึกคิดถึงในหัวใจเขา

มู่เฉินเม้มปากใบหน้าฉายความแน่วแน่ แม้ว่าเขาจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่เขาก็รู้ว่าลั่วหลีซึ่งกลับไปที่ตระกูลลั่วเสินก็ไม่ได้สบายเช่นกัน ภายใต้ท่าทางละมุนละไมนั้นนางดื้อดึงกว่าเขาไม่รู้กี่เท่า

นางต้องแบกภาระทั้งหมดของตระกูลลั่วเสินที่นับวันก็เสื่อมถอย ซึ่งที่นั่นยิ่งใหญ่กว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ บางทีในเวลานี้นางก็กำลังใช้ไหล่บอบบางรับภาระเอาไว้

“ลั่วหลี…รอข้าเถอะ…รอวันที่ข้าไปหาเจ้าอีกครั้ง ตอนนั้นข้าจะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้า…”

มู่เฉินกำมือแน่นและไม่ลังเลอีกต่อไป เขาระงับความคิดฟุ้งซ่านในหัวใจค่อยๆ หลับตาลง พลังงานหลิงรอบตัวก็ผันผวนก่อตัวเป็นกระแสน้ำวน กลืนกินคลื่นพลังงานที่ไม่มีขอบเขตในบริเวณนี้เข้าไปไม่สิ้นสุด

ในช่วงเวลาต่อไป เขาจะอยู่ในสมาธิลึก

เวลาเงียบงันผ่านไปรวดเร็ว

ขณะที่มู่เฉินและจิ่วโยวเริ่มฝึกฝนอยู่ในสมาธิลึก

การท่องยุทธในดินแดนเสินโซ่ได้สิ้นสุดหลังจากผ่านไปครึ่งเดือนตั้งแต่ทั้งสองเข้าไปในมหาสมุทรเทพสร้าง กลุ่มต่างๆ ก็ค่อยๆ ทยอยออกไปเมื่อได้รับโอกาสยิ่งใหญ่กลับไปยังเผ่าของตัวเอง

ทว่าเมื่อดินแดนเสินโซ่ปิดลง ทุกคนก็ได้รับรู้เรื่องการต่อสู้ในสุสานสักการะเทพ ชื่อของมู่เฉินก็ขจรขจายไปในเวลาเดียวกัน

เมื่อจงเถิงพบกับจงชิงเฟิง ก่อนที่เขาจะได้สอบถามเกี่ยวกับมู่เฉิน จงชิงเฟิงก็ใช้น้ำเสียงลึกซึ้งเตือนสติไม่ให้เขายั่วยุมู่เฉินต่อไปในอนาคต ไม่เช่นนั้นก็ต้องยอมรับการกระทำของตัวเองที่จะเกิดขึ้น

คำพูดของจงชิงเฟิงทำให้จงเถิงเหงื่อเย็นแตกพลั่ก โดยเฉพาะเมื่อที่รู้ว่ามู่เฉินเอาชนะไป๋หมิงเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งไปได้ เขาถึงกับพูดไม่ออก สุดท้ายก็บ่ายหน้าออกจากดินแดนเสินโซ่ด้วยสภาพคอตก เขาไม่กล้าคิดบัญชีกับมู่เฉินอีกต่อไป คนประเภทนี้ต้องไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาในอนาคตแน่นอน หากเขายังสร้างเรื่องขุ่นเคืองให้กับคนเช่นนี้ เขาก็จะสูญเสียมากกว่าที่จะได้รับ

กลุ่มที่เคยปะทะกับมู่เฉินก็ต่างรู้สึกหวาดกลัว รีบถอยกลับไปที่เผ่าอย่างเงียบๆ

ภายใต้สถานการณ์นี้มั่วเฟิงและมั่วหลิงก็ออกจากดินแดนเสินโซ่มุ่งหน้ากลับไปยังเผ่าวิหคโลกันตร์ ทันทีที่กลับมาถึงพวกเขาก็ถูกเรียกเข้าพบโดยท่านประมุขและสภาผู้อาวุโสเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวในดินแดนเสินโซ่ครั้งนี้…

**สำนวนดื่มเหล้าพิษแก้ขาดน้ำแปลว่าได้แค่ประโยชน์ตรงหน้า อนาคตจบ

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1066 กองทัพอสูรสวรรค์
เมื่อเห็นมู่เฉินพยักหน้า

รอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของราชินีวิหคอมตะ มือเรียวยกขึ้น ลำแสงสายหนึ่งก็บินไปหามู่เฉิน เมื่อแสงนั้นจางลงก็กลายเป็นป้ายหินขนาดเท่าฝ่ามือสลักด้วยรูปสัตว์อสูรมากมาย เหมือนมีเสียงคำรามที่น่าตกใจนับไม่ถ้วนเปล่งออกมาอย่างเลือนราง

“นี่คือป้ายบัญชาการของกองทัพอสูรสวรรค์ เจ้าสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อเชื่อมต่อกับรัศมีจั้นยี่ของพวกเขาและควบคุมได้”

เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของนาง ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขณะที่กวาดมองป้ายหินในมือของมู่เฉิน ด้วยวัตถุนี้ก็เทียบเท่ากับการควบคุมกองทัพน่าสะพรึงกลัวที่สามารถเทียบเคียงได้กับระดับตี้จื้อจุน กระทั่งในเผ่าของพวกเขาวัตถุชิ้นนี้ก็ต้องถูกจัดอันดับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะอยากได้แค่ไหนก็ไม่กล้าคิดอะไรอื่น มากจนพวกเขาหวังว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมได้ มิฉะนั้นคงไม่มีใครสักคนที่สามารถหนีรอดออกจากที่นี่ได้

แววตาของมู่เฉินก็ลุกโชนขณะรับป้ายบัญชาการมาอย่างระมัดระวัง เขาจ้องมองป้ายหินที่มีรูปลักษณ์เรียบง่ายแต่บรรจุด้วยพลังงานที่น่ากลัว หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยไอคุกรุ่น

เมื่อมีวัตถุนี้ในมือก็หมายความว่าเขามีอำนาจในการเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน หากเขาสามารถนำสิ่งนี้กลับไปยังภูมิภาคทางเหนือ เขาอาจจะสามารถสู้กับขั้วอำนาจสูงสุดด้วยตัวคนเดียวเลย

แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็ได้แต่คิด ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาสามารถนำติดตัวกลับไปได้หรือไม่ ถึงแม้ว่าเขาจะทำได้ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสั่งการกองทัพอสูรสวรรค์โดยไม่ได้รับการปกป้องจากราชินีวิหคอมตะ

ขณะที่มู่เฉินกำลังน้ำลายสออยู่ในหัวใจ ราชินีวิหคอมตะก็จ้องมองปีศาจที่กำลังเผชิญหน้ากับราชันปักษาวิญญาณและราชันอสูรไร้พิรุณด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

การประจัญบานนี้สั่นสะเทือนโลกา การปะทะกันทุกครั้งทำให้ท้องฟ้าแยกออก มิติพังทลาย หากไม่ได้รับการปกป้องจากแท่นบูชา ผลกระทบเพียงอย่างเดียวก็สามารถฆ่าทุกคนนอกเหนือจากร่างดวงจิตทั้งสาม

นอกจากนี้ทุกคนบอกได้ว่าพลังของปีศาจนั่นค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากกดทับลงมายังทิศทางของแท่นบูชาอย่างต่อเนื่อง

“ผิดคาดจริงๆ ที่ให้ไอ้ปีศาจเตรียมการอย่างสมบูรณ์เช่นนี้ ตอนนี้ถ้าต้องการปราบมันอีกก็เป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว” ราชินีวิหคอมตะถอนหายใจเบาๆ แต่นางรู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำได้ พวกนางทั้งสามสิ้นชีพไปแล้วโดยเหลือเพียงร่างดวงจิต นอกจากนี้แม้จะมีกองทัพอสูรสวรรค์เป็นไพ่ตาย แต่หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาก็ไม่พบกับจั้นเจิ้นซือที่ทรงพลังแท้จริง ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้สิ่งนี้เพื่อฆ่าปีศาจได้

ตอนนี้แม้ว่าพวกนางจะโชคดีพอที่ได้พบจั้นเจิ้นซือ แต่เขาก็อ่อนเยาว์เกินไป ไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะสามารถควบคุมพลังของกองทัพอสูรสวรรค์ได้หรือไม่ หากเขาล้มเหลวทำให้ปีศาจเป็นอิสระ ทั่วทั้งดินแดนเสินโซ่ก็จะแปดเปื้อนไปอย่างสิ้นเชิง มากจนอาจเล็ดลอดออกไปยังมหาพันภพได้

ดังนั้นตอนนี้พวกเขาได้แต่ทำสิ่งที่สามารถทำได้เท่านั้น

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ราชินีวิหคอมตะก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เงาร่างของนางค่อยๆ ลอยขึ้นไปยังจุดสูงสุดของแท่นบูชา จากนั้นก็จ้องมองไปที่สหายทั้งสองก่อนที่จะพยักหน้า

ทั้งสามวาดตราประทับพร้อมกัน ทันใดนั้นกระแสน้ำไม่สิ้นสุดก็ดันตัวขึ้นทั่วมิติ สภาพที่รุนแรงนี้ประหนึ่งธารสวรรค์เทลงอัดแน่นทั่วฟ้าดิน

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตสามสายพุ่งลงมาบนรูปปั้นหินทั้งสามที่แท่นบูชา

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

เกลียวแสงไร้ขอบเขตปะทุออกมาก่อนที่รูปปั้นหินจะระเบิด ร่างเงาทั้งสามทะยานขึ้น ขยายขนาดกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาสามร่างบนท้องฟ้า

เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ก็สูดลมหายใจเย็นเข้าลึกสุดปอด ร่างมหึมาทั้งสามก็คือร่างเดิมของราชันเทพอสูรทั้งสามนั่นเอง นอกจากนี้ก็ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่นี่เป็นโครงกระดูกแท้จริงที่เหลือไว้เบื้องหลังเมื่อพวกเขาสิ้นชีพไป

แต่ภายใต้การควบคุมของร่างดวงจิต โครงกระดูกทั้งสามก็ฟื้นฟูพลังเปล่งประกายอำนาจของระดับเทียนจื้อจุนออกมาอีกครั้ง

บนพื้นดินใบหน้าปีศาจที่น่ากลัวแข็งค้างชั่วครู่ ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่มาจากสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาทั้งสาม

โฮก!

ใบหน้าปีศาจบิดเบี้ยว ขณะที่รัศมีปีศาจเพิ่มขึ้นก่อร่างเป็นลวดลายปีศาจน่าสะพรึงบนใบหน้า ขณะนั้นใบหน้าปีศาจก็ขยายขนาดเป็นร้อยเท่า เมื่อมองจากระยะไกลครอบคลุมพื้นโลกหลายหมื่นลี้ ซึ่งดูน่าขนพองสยองเกล้าอย่างยิ่ง

ใบหน้าปีศาจหลุดเป็นอิสระ ลอยขึ้นบนท้องฟ้า ภาพร่างปีศาจนับไม่ถ้วนบิดตัวไปมาบนใบหน้า เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องอยู่ตลอดเวลา

เมื่อทุกคนเห็นสิ่งนี้ใบหน้าก็ซีดเผือด ชัดว่าถูกข่มขู่โดยรัศมีปีศาจ

ตู้ม!

บนท้องฟ้าร่างมหึมาทั้งสามพุ่งออกไป เพลิงอมตะ เกลียวแสงห้าสีและหมัดไร้พิรุณ กวาดไปหาใบหน้าปีศาจไม่ยั้ง

ใบหน้าปีศาจปลดปล่อยเสียงคำราม รัศมีปีศาจเพิ่มขึ้นก่อเป็นภาพปีศาจนับไม่ถ้วนส่งเสียงร้อง พลางปะทะกับกระบวนท่าโจมตีน่าสะพรึงกลัว

ทั้งสองฝ่ายเลือกวิธีที่ป่าเถื่อนที่สุดในการปะทะกัน ทุกครั้งที่ปะทะกันก็เผาฟ้าผลาญดิน ทำให้เกิดความกลัวในหัวใจของผู้ที่กำลังมองดู

ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมลงขณะที่เฝ้ามองการล้างผลาญ จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึกๆ โดยไม่ลังเลร่างเงาก็เคลื่อนไหวไปปรากฏตัวเหนือกองทัพอสูรสวรรค์

เขายื่นมือออกป้ายหินลอยอยู่กลางฝ่ามือ เมื่อเร้าคลื่นหลิง ทันใดนั้นป้ายหินก็เปล่งแสงสีขาวพร่างพราว ภาพสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนที่สลักอยู่บนป้ายเหมือนฟื้นชีวิตขึ้นมาใหม่

ตู้ม!

บนแท่นบูชาเงาร่างจำนวนหลายหมื่นก็ลืมตาโพลง จิตสังหารทรงพลังพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที

ทุกคนถอยหนีกันจ้าละหวั่นด้วยความตกใจจากแรงผลักดัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ด้วยกองทัพที่ทรงพลังนี้ เพียงแค่คิดทุกคนที่นี่ก็จะถูกฆ่าล้างอย่างสมบูรณ์

“ไม่รู้ว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมกองทัพทรงพลังเช่นนี้ได้หรือไม่” จิ่วโยวพูดด้วยความกังวล ขณะที่มองดูร่างมู่เฉินบนท้องฟ้า กองทัพอสูรสวรรค์ทรงประสิทธิภาพมากเกินไป ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็เป็นไปได้ที่จะได้รับการตีโต้จากรัศมีจั้นยี่ เวลานั้นมู่เฉินตายคาที่แน่นอน

ท่ามกลางสายตากระวนกระวายใจมากมาย มู่เฉินก็นั่งลงบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าหลังจากใช้ป้ายบัญชาการก็มีรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตที่เต็มไปด้วยความดุร้ายและความภาคภูมิใจกวาดเข้ามาหาเขาอย่างรุนแรง

ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ มหาสมุทรขนาดใหญ่ที่สร้างจากรัศมีจั้นยี่ก็ปกคลุมท้องฟ้า มู่เฉินดูตัวเล็กเท่ามดเมื่อเทียบกับมหาสมุทรรัศมีที่น่ากลัว

ภายใต้รัศมีจั้นยี่นี้ แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น กองทัพที่เขาสั่งการในอดีตไม่มีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกองทัพอสูรสวรรค์ตรงหน้านี้เลย

แต่ในเวลานี้เขารู้ว่าไม่มีทางถอยอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงโยนความขี้ขลาดทั้งปวงทิ้ง หัวใจยึดมั่นขึ้น จากนั้นเขาก็ไม่ลังเล คลื่นจิตกวาดออกไปพุ่งเข้าสู่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต

ตู้ม!

เมื่อคลื่นจิตของเขาสัมผัสกับรัศมีจั้นยี่ขนาดมหึมา สมองของเขาก็ระเบิดทันที รัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงหลั่งไหลเข้ามาพร้อมกับเสียงคำรามฆ่าฟันนับไม่ถ้วนครอบงำสติของเขา

แต่โชคดีที่มู่เฉินเตรียมพร้อม เขารีบปกป้องจิดใจของตนปล่อยให้รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดไปทั่ว ยามนี้เขาเหมือนเรือลำเล็กในมหาสมุทรบ้าคลั่ง เสี่ยงต่อการถูกพลิกคว่ำตลอดเวลา

ร่างกายของเขาสั่นไหวภายใต้รัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตซึ่งค่อยๆ ปกคลุมร่างเขาจนมิด

ตู้ม!

คลื่นกระแทกทำลายล้างกระจายออกไปทั่วทั้งสุสานสักการะเทพ รัศมีความตายที่อยู่ในฟ้าดินก็สลายไปอย่างต่อเนื่อง ภายใต้คลื่นกระแทกอันน่าสะพรึงกลัว

อสูรวิญญาณที่โชคร้ายก็ตายด้วยอัตราเป็นหมื่น แม้แต่อสูรวิญญาณระดับจื้อจุนขั้นเก้าก็ตายไม่เห็นซาก เมื่อสัมผัสกับคลื่นกระแทกนี้

ทุกคนตกตะลึงเมื่อเฝ้าดูการเผชิญหน้าของการทำลายล้าง แม้ว่าราชันทั้งสามจะเป็นเพียงร่างดวงจิตที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ส่วนปีศาจก็ถูกสร้างขึ้นด้วยความปรารถนาของจอมพลปีศาจเท่านั้น แต่การปะทะกันนี้ก็เกินจินตนาการของพวกเขาไปมาก

ปัง!

คลื่นกระแทกน่าสยดสยองกวาดออกมาขณะที่วิหคอมตะกระพือปีก นางมองไปที่ร่างเทพอสูรทั้งสองก่อนจะตะโกนด้วยเสียงคมชัด “สร้างค่ายกล ตราประทับทำลายล้างปีศาจ!”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทั้งราชันปักษาวิญญาณและราชันอสูรไร้พิรุณก็คำรามตอบ ลวดลายพร่างพราวปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของพวกเขา ก่อนที่ร่างจะกลายเป็นแม่น้ำโชติช่วง

แม่น้ำแสงยาวหลายแสนจั้งดูเหมือนจะผ่านทะลุฟ้าดิน ซึ่งภายในเต็มด้วยลวดลายโบราณนับไม่ถ้วน และทุกลวดลายบรรจุด้วยพลังงานอันน่ากลัว

แม่น้ำแสงสามสายที่ก่อตัวขึ้นจากราชันเทพอสูทั้งสามกวาดออกพร้อมเสียงหวีดหวิว จากนั้นก็ม้วนเข้าหากันทะลุผ่านมิติ พวกมันราวกับโซ่ตรวนขนาดใหญ่พันรอบใบหน้าปีศาจไว้

โซ่ตรวนเชื่อมต่อกันราวกับตราประทับวิญญาณ จากนั้นก็กดทับลงมาพยายามที่จะผนึกปีศาจร้ายไว้

โฮก!

ปีศาจคำรามอย่างบ้าคลั่ง รัศมีปีศาจพวยพุ่งอย่างรุนแรง ทำให้โซ่ตรวนแม่น้ำแสงสั่นสะเทือนจากอานุภาพนี้

“สั่งการกองทัพอสูรสวรรค์!” ราชินีวิหคอมตะโกนร้องบอก

บนแท่นทุกคนจ้องมองอย่างกังวลไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต ร่างของมู่เฉินจมหายไปแล้ว ราวกับว่าเขาถูกระเหยให้กลายเป็นเถ้าถ่านโดยรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขต

บางคนรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเย็นวาบ ถ้ามู่เฉินไม่สามารถสั่งการกองทัพอสูรสวรรค์ได้ก็ไม่สามารถทำการโจมตีสุดท้ายต่อปีศาจนั้นได้ ถ้าเวลาถูกลากออกไปสามราชันก็จะหมดแรงในไม่ช้า

ขณะที่เม็ดเหงื่อตกลงภายใต้ความกังวล พายุคลั่งก็พัดออกมาจากรัศมีจั้นยี่ คลื่นพลังผันผวนก่อนที่ร่างเงานั่งนิ่งจะปรากฏขึ้น

ยามนี้เส้นเลือดบนร่างของมู่เฉินเต้นยุบยับไปหมด ใบหน้าก็บิดเบี้ยว ราวกับกำลังอดทนกับอาการเจ็บปวดที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็ฝืนทนไว้ได้ เกลียวแสงกะพริบที่กลางหว่างคิ้วของเขา ขนนกที่ลุกโชติช่วงด้วยผลึกเพลิงก็แตกออก กลายเป็นจุดแสงหลอมรวมเข้าในหัวสมองของเขา

สติของเขาซึ่งกำลังถูกทำลายก็กระจ่างชัดขึ้นทันที

มู่เฉินคว้าจับความชัดเจนในเสี้ยววินาทีนั้น ร่างของเขายืนขึ้น ป้ายหินในมือยกขึ้น รัศมีจั้นยี่ป่าเถื่อนก็ล้นทะลักออกมาพร้อมกับเสียงคำรามดังกึกก้องที่สั่นสะเทือนสวรรค์และโลก

“กองทัพอสูรสวรรค์ จงฟังคำสั่ง!”

ทันใดนั้นรัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดในดวงตาของกองทัพบนแท่นบูชาเบื้องล่าง…

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1065 สามราชันเทพอสูร
ราชินีวิหคอมตะมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ

แต่มู่เฉินไม่รู้สึกว่าเป็นเกียรติอะไรเลย ตรงกันข้ามเขารู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด ท่าทางของอีกฝ่าย ชัดว่าค้นพบตัวตนของเขาในฐานะจั้นเจิ้นซือแล้ว

แม้เขาจะไม่เคยเผยออกมา แต่ก็ถูกค้นพบ ซึ่งนี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึงในหัวใจ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนน่ากลัวปานนี้เชียวรึ? เพียงมองแวบเดียวนางก็เห็นความลับทั้งหมดของเขาได้

บนแท่นบูชาผู้คนอื่นๆ ก็ส้มผัสได้ถึงสายตาของราชินีวิหคอมตะจึงกวาดสายตาตามไปรวมตัวกันที่มู่เฉินด้วยอาการตกตะลึง

“เขาเป็นจั้นเจิ้นซือด้วยเหรอ?” มีคนอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าความจริงนี้ทำให้พวกเขาค่อนข้างตื่นตะลึง หากเป็นเช่นนั้นหมายความว่าเขายังไม่ได้เผยไพ่ทั้งหมดเมื่อประจันหน้ากับไป๋หมิงงั้นเหรอ?

หลายคนมองหน้ากันแล้วส่ายหัวพลางถอนหายใจ ยิ่งรู้สึกว่ามู่เฉินคนนี้ลึกเกินหยั่งถึงมากขึ้น

“สหายน้อย เจ้ายอมช่วยเราไหม?” ร่างสะคราญโฉมมองหน้ามู่เฉินด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะพูดต่อ “ถ้าเราไม่กำจัดปัญหานี้ กลัวว่าจะไม่มีใครในพวกเจ้าที่สามารถหนีออกจากที่นี่ได้”

ขวับ!

สายตารอบด้านต่างมุ่งไปที่มู่เฉินด้วยไฟแผดเผาในดวงตา ซึ่งทำให้หัวใจของมู่เฉินรัดแน่น ถ้าเขาปฏิเสธตอนนี้ ไม่ต้องให้ราชันทั้งสามลงมือทำอะไร พวกเขาก็จะรุมสกรัมเขาแน่

จิ่วโยวยิ้มขมขื่นเมื่อเห็นภาพนี้ สายตาของราชินีวิหคอมตะเฉียบคมจนสามารถมองเห็นความลับของมู่เฉินได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เขาไม่อาจซ่อนไว้ได้เลย

ขณะนี้มู่เฉินเข้าใจว่าไม่สามารถถอยไปได้อีก เขาจึงได้แต่ฝืนพูดออกไปว่า “ผู้อาวุโสประเมินข้าสูงเกินไป พลังของข้าอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น ข้าจะควบคุมสถานการณ์ปัจจุบันนี้ได้ยังไง?”

“ได้ไม่ได้ ก็ต้องลองดูก่อน” ราชันอสูรไร้พิรุณเอ่ย “หายนะนี้เกิดเพราะพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าต้องร่วมด้วยช่วยกัน”

พอได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของเฉินก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ แม้ว่าเขาจะยอมรับว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักแน่นอน ราชันอสูรไร้พิรุณผลักความผิดเก่งไปแล้ว

ทว่าก็เป็นเรื่องโง่ที่จะให้เหตุผลกับร่างดวงจิตซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุน ดังนั้นมู่เฉินจึงได้แต่ยิ้มแห้ง ไม่กล้าพูดอะไรอีก

คึ คึ!

ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุย ใบหน้าโลกปีศาจก็ยิ่งน่ากลัวยิ่งขึ้น เสียงหัวเราะแปร่งปร่าแปลกประหลาดระเบิดออก ทันใดนั้นมันก็เปิดปาก หมอกปีศาจฟุ้งกระจายออกมาราวกับมังกรปีศาจคำรามข้ามเส้นขอบฟ้ากวาดไปที่แท่นบูชา

“หึ!”

ราชันปักษาวิญญาณเค้นเสียงเย็นพลางโบกแขนเสื้อ แสงห้าสีระเบิดออกมา ซึ่งดูน่าทึ่งอย่างยิ่งและบรรจุด้วยพลังงานลึกลับ เมื่อกวาดออกไปก็บดบังหมอกปีศาจที่ไร้ขอบเขตก่อนที่จะเริ่มกัดเซาะกันและกัน ภายใต้การกัดกร่อนมิติภายในรัศมีหลายหมื่นจั้งก็พังทลายลงมาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ เห็นพลังทำลายล้างนี้ หนังหัวก็ลุกชัน ถ้าพวกเขาสัมผัสกับริ้วพลังงานนี้เพียงเล็กน้อย ก็คงสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน

แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็บอกได้ว่าริ้วแสงห้าสีพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หมอกปีศาจดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุดพุ่งออกมาจากปากปีศาจ ราวกับว่าจะไม่หยุดจนกว่าจะทำลายแท่นบูชาได้

ทุกคนเฝ้าดูด้วยหัวใจสั่นสะท้านจากความหวาดกลัว หากราชันทั้งสามไม่สามารถหยุดปีศาจเหล่านี้ได้ ทุกคนในที่นี้ก็จะตกเป็นอาหารของมัน

“ไอ้ปีศาจขยะนี้รับมือยากขึ้นจริงๆ” ราชันอสูรไร้พิรุณมีสีหน้าเคร่งขรึมมากกว่าเดิม อึดใจก็ซัดฝ่ามือออกไป ฝ่ามือแจ่มชัดขนาดหลายหมื่นจั้งปรากฏขึ้น ซึ่งถูกสลักไว้ด้วยลวดลายโบราณนับไม่ถ้วน แม้แต่สวรรค์และโลกก็เหมือนไม่สามารถรับฝ่ามือนี้ได้

ด้วยความช่วยเหลือจากราชันอสูรไร้พิรุณ หมอกปีศาจเชี่ยวกรากก็ไม่สามารถเข้าใกล้แท่นบูชาได้ พลังจากสองฝั่งตึงกันเอาไว้ ปะทะกันอย่างต่อเนื่องบนท้องฟ้า

คึ! คึ!

แต่ภาวะหยุดชะงักก็อยู่ไม่นาน ใบหน้าปีศาจแผดเสียงอีกครั้ง ทำให้โลกปีศาจสั่นสะเทือนแยกช่องเปิดออกมานับไม่ถ้วน พร้อมกับเงาเหล่าปีศาจพุ่งออกมาจากช่องเปิดเหล่านั้น รัศมีปีศาจรุนแรงปกคลุมดวงอาทิตย์

เพื่อวันนี้ชัดว่าใบหน้าปีศาจเตรียมตัวมานาน ดังนั้นทันทีที่เปิดการโจมตีแม้แต่สามราชันก็ถูกผลักกลับ

เพราะตอนนี้พวกเขาก็เป็นเพียงร่างดวงจิต ไม่มีร่างกายแท้จริง

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ สีหน้าก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน ก่อนหน้าที่เขาเห็นราชันทั้งสาม เขายังคงมีความคิดที่จะพึ่งพาอีกฝ่าย แต่ในเวลานี้พวกเขาไม่น่าไว้วางใจอย่างที่เขาคิดเสียแล้ว เมื่อไรที่ร่างดวงจิตหายไปก็ไม่มีใครสามารถหลบหนีได้

ทว่าปีศาจเหล่านี้ทรงพลังเกินไปแล้วมั้ง?

“ปีศาจนี้ถูกสร้างขึ้นจากความปรารถนาชั่วร้ายของนักรบระดับจอมพลห้าคน ซึ่งยังกลืนกินซากศพนักรบเผ่าปีศาจนับไม่ถ้วน ทว่าตอนพบเจอ พวกเราทั้งสามได้ละสังขารไปแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่ทิ้งร่างดวงจิตเอาไว้เพื่อระงับมัน” ราชินีวิหคอมตะมองไปที่มู่เฉิน น้ำเสียงยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น

เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ได้ยินก็หายใจลึกสุดปอด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมปีศาจตนนี้ถึงน่ากลัวขนาดนี้ ที่แท้มันถูกสร้างขึ้นจากความคิดโสมมที่หลงเหลืออยู่ของจอมพลปีศาจทั้งห้า ซึ่งเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนห้าคนเลยทีเดียว

มิน่าล่ะร่างดวงจิตของสามราชันเทพอสูรถึงไม่สามารถจัดการได้ ปีศาจตัวนี้มีต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดานี่เอง

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสต้องการให้ข้าทำอะไร?” มู่เฉินประสานมือแล้วถาม

“ช่วยเราฆ่ามันให้สิ้นซาก!” ราชินีวิหคอมตะพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมพร้อมกับจิตสังหารพลุ่งพล่านในน้ำเสียง

มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะยิ้มอย่างขมขื่น “ด้วยพลังของข้า กลัวว่าจะไม่สามารถสร้างความเสียหายได้ ถึงแม้ว่าจะโจมตีเต็มแรงก็ตาม”

ราชินีวิหคอมตะยิ้มบางก่อนที่จะโบกมือ ทันใดนั้นแสงไร้ขอบเขตเบ่งบานบนแท่นบูชา ทุกคนเห็นระลอกคลื่นแปรปรวนบนพื้น ร่างเงานับไม่ถ้วนค่อยๆ ปรากฏขึ้นแล้วยืนอย่างเงียบๆ บนแท่นบูชา

ทุกคนจับจ้องไปก็เห็นร่างจำนวนมากสวมชุดเกราะสัตว์อสูรหลับตาสนิท พวกเขามีร่างที่แข็งแกร่งและความตั้งใจในการฆ่าที่ทรงพลังห่อหุ้มพวกเขาด้วยรัศมีที่ร้ายกาจ ราวกับเป็นเทพความตายกลับชาติมาเกิด

ทุกร่างเงาเหล่านั้นมีพละกำลังที่ไม่อ่อนแอไปกว่ามู่เฉินและคนอื่นๆ นอกจากนี้รัศมีของพวกเขาก็ทรงพลังจนพวกมู่เฉินไม่สามารถเทียบได้

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือจำนวนของร่างเงามีหลายหมื่นเลยทีเดียว

นักรบที่ทรงพลังหลายหมื่นเห็นได้ชัดว่าเป็นกองทัพที่น่ากลัวเกินกว่ากองทัพใดๆ ที่มู่เฉินเคยเห็นมาก่อน

หากเขาสามารถสั่งการกองทัพที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา

“นั่นกองทัพอสูรสวรรค์ในตำนานรึ?!”

ขณะที่มู่เฉินกำลังตกตะลึงกับกองทัพเบื้องหน้า เสียงอุทานก็ดังกึกก้องไปทั่วแท่นบูชา จอมยุทธ์มากมายมีท่าทางตะลึงงัน

“กองทัพอสูรสวรรค์?” มู่เฉินรู้สึกงุนงง เนื่องจากตัวเขาไม่ได้เป็นสัตว์อสูร ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ทราบเรื่องความลับดังกล่าว

“เล่าลือว่าในสมัยโบราณราชันทั้งสามแห่งดินแดนเสินโซ่มีกองทัพที่ทรงพลังที่สามารถฆ่าสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้ กองทัพนี้เป็นที่รู้จักกันในนามกองทัพอสูรสวรรค์ หากข้าเดาได้ถูกต้องก็น่าจะเป็นกองทัพที่อยู่ตรงหน้านี่แหละ” จิ่วโยวบอกออกมา

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำอธิบายของจิ่วโยวก็ตกตะลึงอยู่ในใจ กองทัพที่สามารถสังหารจอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้จะน่าสะพรึงขนาดไหน? กองทัพชั้นยอดเช่นนี้เป็นสุดยอดปรารถนาของจั้นเจิ้นซือทุกคน ตราบใดที่สามารถควบคุมได้ มีสถานที่ใดบ้างที่จะไม่กล้าไปเยือนในมหาพันภพนี้?

“กองทัพอสูรสวรรค์แท้จริงสูญสิ้นไปตั้งแต่สงครามครั้งนั้น นี่เป็นเพียงซากจากโครงกระดูกของนักรบ ซึ่งรักษาส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเอาไว้ได้และเป็นวิธีสุดท้ายของพวกข้าในการทำลายล้างปีศาจนี้” ราชินีวิหคอมตะถอนหายใจเบา ยังไงตอนนี้พวกนางก็เป็นเพียงร่างดวงจิต ไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่สามารถทำลายสวรรค์และโลกได้เหมือนในเวลานั้น ดังนั้นพวกนางจึงต้องขอยืมมือจากภายนอก เนื่องจากพวกนางไม่ใช่จั้นเจิ้นซือ ในอดีตกองทัพอสูรสวรรค์ถูกบัญชาการโดยสหายนสนิทของพวกนางซึ่งเป็นจั้นเจิ้นซือ แต่ตอนนี้พวกนางไม่มีทางเลือกนอกจากขอยืมความช่วยเหลือจากภายนอก

“ท่านต้องการให้ข้าสั่งการกองทัพนี้เพื่อฆ่าปีศาจหรือ?” มู่เฉินถาม

ราชินีวิหคอมตะพยักหน้า

มู่เฉินฉายสีหน้าลำบากใจ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นจั้นเจิ้นซือ แต่ก็เป็นเพียงวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือที่มีระยะห่างจากสือวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือ จำนวนนักรบเบื้องหน้าเขามีอยู่หลายหมื่นคน แต่ละคนก็เป็นกำลังหนึ่งต่อร้อย เมื่อนับด้วยวิธีนี้ก็เทียบเท่ากับกองทัพทหารธรรมดาหลายล้านหรือสิบล้านคน แล้วเขาจะประสบความสำเร็จในการสั่งการด้วยฐานะวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือได้อย่างไร?

หากเขาฝืนบังคับออกคำสั่ง อาจต้องทนทุกข์จากการตีโต้กลับจนถึงวิญญาณก็ได้

ราชินีวิหคอมตะที่เห็นการแสดงออกของมู่เฉินก็รู้ว่าเขากังวลเรื่องอะไร ทันใดนั้นนางก็ยิ้มชี้นิ้วออกไป ขนนกบางเบาพลิ้วออกมาพุ่งเข้าไปที่กลางหว่างคิ้วของมู่เฉิน “วัตถุนี้สามารถปกป้องเจ้าได้ แต่ข้าต้องบอกตามตรงว่ารัศมีจั้นยี่ของกองทัพอสูรสวรรค์นี้ทรงพลังมาก ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าที่จะควบคุม ดังนั้นแม้จะมีการป้องกันแต่ก็ยังเป็นอันตรายอยู่”

“ดังนั้นเจ้าสามารถเลือกได้ว่าจะลงมือหรือไม่” ราชินีวิหคอมตะมองไปที่เฉินและพูดช้าๆ

ขวับ!

สายตาโดยรอบมุ่งตรงไปที่มู่เฉิน ร่างกายทุกคนเกร็งเครียดเมื่อมองมู่เฉินอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขากลัวว่าเขาจะปฏิเสธ หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็จะถูกฝังที่นี่ตลอดกาล

จงชิงเฟิง ข่งหลิง ลู่โหวและคนอื่นๆ ก็มองมู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนหน้าใครจะจินตนาการว่าจะมีเวลาที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากมู่เฉินเพื่อช่วยให้ตนเองอยู่รอด

สายตาวิตกกังวลนับไม่ถ้วนมองมาที่มู่เฉิน เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ มาถึงจุดนี้แล้วเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร? ต่อให้เพื่อความปลอดภัยตัวเอง เขาก็ต้องลองเสี่ยง มิฉะนั้นเมื่อร่างดวงจิตของราชันทั้งสามหายไป พวกเขาก็ต้องตายแน่นอน

นอกจากนี้เขายังรู้ว่าด้วยสถานะของราชินีวิหคอมตะ หากเขาสามารถทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ นางจะต้องมอบรางวัลก้อนใหญ่ให้เขา ดังนั้นเขาจะไม่ถูกล่อลวงได้อย่างไร?

ด้วยเหตุนี้เขาจึงหายใจเข้าลึก โดยไม่ลังเลก็มองไปที่ราชินีวิหคอมตะก่อนที่จะพยักหน้าแข็งขัน

“ผู้อาวุโสโปรดบอกมา ข้ายินดีที่จะลองเสี่ยงดู!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1064 ปีศาจ
ช่างเป็นสัมผัสที่อบอุ่น

เมื่ออัญมณีสีแดงเข้มตกอยู่ในมือของมู่เฉินก็ราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในนั้นพร้อมกับวิหคอมตะงดงามโปรยบินอยู่ในอัญมณีดูลึกลับอย่างยิ่ง

มู่เฉินจ้องมองแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณในมือ แม้แต่เขาที่มักสงบอารมณ์ได้ดี ยังอดไม่ได้ที่จะฉายความสุขบนใบหน้า พวกเขาไม่ได้พยายามหนักในดินแดนเสิ่นโซ่เพื่อแก่นมรดกโลหิตนี้รึ?

เมื่อได้สิ่งนี้ภารกิจของเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ผู้อาวุโสของเผ่าวิหคโลกันตร์จะไม่แสดงท่าทางกระด้างเกี่ยวกับพันธะโลหิตของเขากับจิ่วโยวอีกต่อไป

“จิ่วโยวเอานี่”

มู่เฉินโยนแก่นมรดกโลหิตของวิหคอมตะโบราณเล่นในมือ จากนั้นนิ้วก็สะบัดออกแก่นโลหิตกลายเป็นลำแสงพุ่งไปหาจิ่วโยว

จิ่วโยวคว้ามือออกไปรับแก่นโลหิตด้วยใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับนาง ตราบใดที่นางสามารถดูดซับได้ สายเลือดวิหคอมตะที่ไหลเวียนในร่างกายนางก็จะยกระดับสูงขึ้น หากมีโอกาสมากพอในอนาคตนางอาจจะสามารถพัฒนาเป็นวิหคอมตะที่แท้จริงได้

ในเวลานั้นนางก็จะเป็นจอมยุทธ์หญิงที่ทั้งมหาพันภพต้องให้ความสนใจ

เนื่องจากวิหคอมตะทุกตัวมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัวซึ่งเทียบเท่ากับระดับเทียนจื้อจุน

เมื่อจอมยุทธ์เผ่าอื่นๆ บนแท่นบูชาเห็นมู่เฉินยกแก่นมรดกโลหิตที่เขาต่อสู้มาอย่างสาหัสากรรจ์ให้จิ่วโยว พวกเขาก็อึ้งไปเป็นเวลานาน ก่อนที่พวกเขาจะเบ้ริมฝีปาก สายตาที่มองไปยังมู่เฉินก็เปลี่ยนไปจากเดิม

ความกว้างใจกว้างนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถมีได้…

มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับสายตาตกตะลึงเหล่านั้น เหตุผลที่เขามาดินแดนเสินโซ่ก็เพื่อช่วยจิ่วโยวให้ได้รับแก่นโลหิตวิหคอมตะโบราณ นอกจากนี้จิ่วโยวก็เป็นพี่สาวที่ดูแลเขาเป็นอย่างดีมานาน ดังนั้นแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณนี้ยังไม่เพียงพอกับความช่วยเหลือที่มีในสายตาของเขาเลย

หลังจากที่มู่เฉินส่งแก่นมรดกโลหิตให้จิ่วโยว จงชิงเฟิงและลู่โหวที่อยู่เบื้องหน้ารูปปั้นอีกสองแห่งก็ได้รับแก่นมรดกโลหิตเรียบร้อยเช่นกัน

จงชิงเฟิงและลู่โหวจ้องมองสมบัติเบื้องหน้าก็ฉายความสุขบนใบหน้า พวกเขาเก็บแก่นโลหิตไป การเก็บเกี่ยวของพวกเขาในการเดินทางมายังดินแดนเสินโซ่ถือว่าสมบูรณ์แบบแล้ว

ทว่าขณะที่พวกเขากำลังชื่นชมยินดี มู่เฉินก็รู้สึกว่าสีของรูปปั้นหินทั้งสามมืดลงและแสงหลิงที่ครอบครองก่อนหน้าก็เริ่มหายไป

ฮึ่ม!

เมื่อรูปปั้นหินทั้งสามหม่นหมองลง จู่ๆ ผืนดินก็โยกคลอนเล็กน้อย แม้ว่าการโยกนี้จะไม่ชัดเจน แต่มู่เฉินก็ยังรับรู้ได้จากประสาทสัมผัสที่ว่องไว

มู่เฉินขมวดคิ้วขณะที่กวาดสายตามอง ครู่เดียวสายตาของเขาก็จ้องไปที่มุมมุมหนึ่งซึ่งเป็นบริเวณที่ไป๋หมิงนอนบาดเจ็บอยู่ก่อนหน้า ทะเลสาบเลือดถูกดูดซึมลงไปในดินตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ทำให้ดินแดนมืดมนในตอนแรกมีร่องรอยสีแดงสดเพิ่มขึ้น ซึ่งให้ความรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง

มู่เฉินจ้องมองผืนดิน ไม่รู้ว่าทำไมภาพหลุมดำลึกลับใต้ทะเลสาบตัวเป่าผุดขึ้นในหัวอีกครั้ง ความไม่สบายใจกวนตัวขึ้นในใจ จากนั้นสายตาของเขาก็ส่องประกายตะโกนขึ้นอย่างรวดเร็วบอกจิ่วโยวและพรรคพวก “ไป รีบออกจากที่นี่!”

ทว่าทันทีที่เสียงของเขาสะท้อนก้อง กระทั่งตัวเขายังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ทันท่วงที ความสั่นสะเทือนที่มาจากพื้นดินก็รุนแรงยิ่งขึ้น แม้แต่แท่นบูชาก็สั่นไหว

ครั้งนี้ทุกคนสัมผัสได้ สายตางุนงงจ้องมองไปยังผืนดินมืดครึ้มเหนือแท่นบูชาก็เห็นว่าพื้นดินสั่นระรัวราวกับคลื่นในทะเลสาบ

รัศมีความชั่วร้ายพุ่งสูงจากพื้นดิน เปลี่ยนทั่วฟ้าดินให้มืดมิดลงทันที

“ไม่ดีล่ะ สถานที่นี้แปลกนัก รีบไป!”

เมื่อเห็นฉากนี้ ใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปรุนแรง ตอนนี้แม้แต่คนโง่ยังเข้าใจได้ว่าสุสานสักการะเทพไม่ใช่ธรรมดา

ฟิ้ว!

มีกลุ่มหนึ่งที่อยู่รอบนอกของแท่นบูชาและปฏิกิริยาของพวกเขาก็รวดเร็วมาก ทันใดนั้นพวกเขาก็กลายเป็นร่างแสงพยายามพุ่งออกจากบริเวณที่แปลกประหลาดนี้

ปัง!

แต่ทันทีที่พวกเขาพุ่งออกไป พื้นผิวสีดำมืดก็กระเพื่อมบนพื้นดิน ใบหน้าที่ดูใหญ่โตน่ากลัวปรากฏขึ้น มันเปิดปากหมอกสีดำเชี่ยวกรากโหมกระหน่ำออกมาห่อหุ้มร่างแสงเหล่านั้นเอาไว้ เสียงกรีดร้องดังขึ้น ร่างกายของพวกเขาระเบิดเป็นหมอกเลือดทันที ก่อนที่จะถูกกลืนโดยใบหน้าที่น่ากลัว

คึ! คึ!

หลังจากกลืนหมอกเลือด ใบหน้าบนพื้นก็ยิ่งแปลกประหลาด มันเปล่งเสียงหัวเราะเสียดแก้วหู ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายของผู้คนสั่นสะท้าน

รัศมีชั่วร้ายเชี่ยวกรากทะลักออกมา ทำให้ทั่วบริเวณดูราวกับรังปีศาจ

“เลือด—ข้า-ต้องการ-เลือด-สด!”

ใบหน้าบนพื้นจ้องมองไปที่ทุกคนบนแท่นบูชา ส่งเสียงหัวเราะบาดหู อ้าปากปล่อยหมอกสีดำซัดสาดเข้าหาทุกคนบนแท่น

เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดขาว ความกลัวพล่านในสายตา พวกเขาจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าพลังของใบหน้าปีศาจนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถรับมือได้เลย

“ให้ตายเถอะ นี่จะต้องถูกทิ้งไว้โดยพวกปีศาจต่างมิติแน่!” มีคนอุทานด้วยความสยองขวัญ พวกเขาคิดได้จากฉากเบื้องหน้า เพราะมหันตภัยร้ายของมหาพันภพก็คือเผ่าปีศาจต่างมิติ นอกจากพวกมันไม่มีใครที่จะมีรัศมีชั่วร้ายแบบนี้ได้อีก

นอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ก็เป็นสมรภูมิรบที่ดุเดือดที่สุดในดินแดนเสินโซ่ตอนที่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามา มีนักรบนับไม่ถ้วนจากเผ่าปีศาจถูกสังหารที่นี่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีตัวที่หลุดรอดไป

ฮึ่ม!

หมอกสีดำเชี่ยวกรากกวาดเข้ามา แต่เมื่อไอหมอกกำลังจะไปถึงแท่นบูชา ริ้วแสงยาวเหยียดหมื่นจั้งก็เบ่งบานขึ้นมาบนแท่นบูชา ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นจากลวดลายลึกซึ้งนับไม่ถ้วน ลวดลายเหล่านี้ฉีกทึ้งหมอกสีดำอย่างรวดเร็ว

บนแท่นทุกคนยินดีกับภาพดังกล่าว สายตายกขึ้นไปยังสามทิศทางทันที รูปปั้นหินทั้งสามดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา ริ้วแสงควบแน่นบนรูปปั้นก่อตัวเป็นภาพเงาลวงตาสามร่าง

บนร่างวิหคอมตะโบราณ หญิงสาวสะคราญโฉมสวมชุดสูงศักดิ์ฉายอารมณ์สูงส่ง นางมีความงามที่น่าทึ่งพร้อมกับรูปร่างงดงาม กำจายรัศมีทรงเกียรติออกมาจากทั่วร่าง

บนร่างปักษาวิญญาณโบราณ ชายคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าห้าแถบสีดูหล่อเหลาด้วยท่วงท่าสง่างามราวกับเขาไม่แยแสแม้ว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมา

บนร่างอสูรไร้พิรุณโบราณ ชายร่างกำยำไม่ได้สวมเสื้อท่อนบน ผิวของเขาคล้ายกับโลหะดำ รูปร่างที่แข็งแกร่งดูเหมือนภูเขาสูงตระหง่าน ทุกสิ่งรอบตัวเขามั่นคงแข็งแรง

เมื่อทั้งสามปรากฏขึ้นก็กวาดพายุโบราณไปทั่วระหว่างสวรรค์และโลก แรงกดดันเกินพรรณนาปกคลุมทั่วพื้นที่ ทำให้เกิดแสงในบริเวณนี้ซึ่งดูเหมือนรังของปีศาจ

“นั่นราชันเทพอสูรทั้งสามแห่งดินแดนเสิ่นโซ!” จิ่วโยวอุทานเมื่อเห็น แม้แต่คนโง่ก็รู้ได้ว่าสามร่างนี้เป็นร่างจิตที่หลงเหลืออยู่ของราชันทั้งสาม

“คึ คึ…” ใบหน้าปีศาจบนพื้นเปล่งเสียงแหลมแสบแก้วหูออกมาเมื่อเห็นทั้งสามปรากฏขึ้น น้ำเสียงราวกับว่ามีภูตผีนับไม่ถ้วนส่งเสียงร้องพร้อมกัน “พวกแกผนึกพวกข้ามานานนับหมื่นปี โดยคิดว่าสามารถฆ่าพวกข้าได้ แต่พวกแกคงไม่คิดว่าพวกข้าจะฉลาดกว่า คึ คึ!”

บนรูปปั้นหินราชินีวิหคอมตะจ้องมองใบหน้าปีศาจบนพื้นดินก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ปีศาจพวกนี้ ตายยากตายเย็นนัก”

ราชันปักษาวิญญาณมองทุกคนบนแท่นแล้วพูดว่า “น่าเสียดาย ตอนแรกคิดว่าจะทนได้อีกสักร้อยปี ไม่คิดว่าแก่นมรดกโลหิตจะถูกรับไปเร็วเช่นนี้ ทำให้ผนึกต้องคลายลงก่อน”

“ฮึ่ม ผืนดินปีศาจถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยโลหิตทรงประสิทธิภาพ ใครเป็นคนทำ?!” ราชันอสูรไร้พิรุณเค้นเสียงดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง สะท้อนอยู่ในโสตประสาทของทุกคน ทำให้เลือดลมปราณในร่างกลิ้งตัวไปมา

ทุกคนบนแท่นแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่จะเบนสายตามายังมู่เฉินและไป๋หมิง เห็นได้ชัดว่าเลือดของไป๋หมิงซึ่งเต็มไปด้วยพลังยิ่งใหญ่ของเผ่าหงส์ฟ้าเป็นสาเหตุของเรื่องนี้

ดังนั้นสายตาคมกล้าของราชันอสูรไร้พิรุณจึงจ้องไปที่มู่เฉินและไป๋หมิง

มู่เฉินรู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด ส่วนไป๋หมิงที่เพิ่งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจากอาการหมดสติก็ร่างกายสั่นเทา แม้ว่าราชันอสูรไร้พิรุณจะเป็นเพียงร่างดวงจิต แต่ก็เป็นเรื่องง่ายดายนักที่จะฆ่าพวกเขา

แต่ขณะที่พวกเขากำลังหวาดกลัวในหัวใจ ราชินีวิหคอมตะก็ส่ายหัว “เรื่องนี้โทษพวกเขาไม่ได้ ปีศาจพวกนี้เตรียมการตั้งแต่ต้น เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไรก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา วันนี้เราต้องหาวิธีกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก”

“เราสามคนเป็นเพียงร่างดวงจิตที่เหลืออยู่ แค่รักษาค่ายกลไว้ก็สุดพลังแล้ว กลัวว่าจะไม่สามารถกำจัดปีศาจนี้ได้” ราชันอสูรไร้พิรุณพูดเสียงเหี้ยม เขากวาดมองทุกคนก็เค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก “นอกจากนี้พวกเด็กรุ่นใหม่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีแม้แต่ระดับจื้อจุนขั้นเก้า น่าละอายนัก พลังแค่นี้ยังกล้ามารับมรดกของเรารึ?”

ทุกคนรู้สึกว่าใบหน้าเห่อแดงจากคำพูดนั่น แต่ก็ไม่กล้าจะเถียงอะไร เผชิญกับจอมยุทธ์เช่นนี้ จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดขั้นแปดก็ราวกับมดปลวก

ราชินีวิหคอมตะยิ้มบางก่อนที่จะมองทุกคน “ไม่รู้ว่ามีใครที่นี่มีความสามารถทางด้านค่ายกลสงครามหรือไม่ ข้าจะมอบโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้กับเขา”

เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของนางก็ได้แต่ส่ายหัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีความเชี่ยวชาญในค่ายกลสงคราม

ในหมู่คนมู่เฉินหดดวงตาแต่ไม่คิดจะก้าวออกไป ต่อให้จะโง่แค่ไหนก็รู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถรับมือได้ หากก้าวออกไปโดยไม่ยั้งคิด คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตายด้วยท่าไหน

สำหรับโอกาสส้มหล่นแบบนั้น…ลืมไปเถอะ

ดังนั้นเขาจึงส่ายหัวให้จิ่วโยวลับๆ ไม่เพียงแต่ไม่ก้าวออกไป เขายังเตรียมก้าวถอยไปหาฝูงชนอีกด้วย

ทว่าทันทีที่เขายกเท้า ท่าทางก็แข็งทื่อไป เนื่องจากเขาตกใจเมื่อพบว่าตนเองสูญเสียการควบคุมร่างกาย ราวกับว่าถูกตรึงอยู่กับที่

สายตาของเขาเลื่อนขึ้นไปข้างบน ก็เห็นร่างสะคราญโฉมมองเขาด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ…

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1063 แก่นมรดกโลหิต
วาบ!

เมื่อมู่เฉินทะยานขึ้นไปที่รูปปั้นหินวิหคอมตะ จงชิงเฟิงและลู่โหวก็พุ่งไปที่รูปปั้นอีกสองรูป

พวกเขาผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบากมากมายเพื่อมาที่นี่ ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้เพลิดเพลินกับผลงานของตนเอง

บนแท่นบูชาทุกคนจ้องมองไปที่ร่างเงาทั้งสามที่เคลื่อนไปยังรูปปั้นหิน ดวงตาของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ นั่นคือแก่นมรดกโลหิตของมหาเทพอสูร หากพวกเขาสามารถได้รับมาก็จะเกิดการพัฒนาสายเลือด ทำให้เส้นทางการเพาะบ่มขุมพลังราบรื่นขึ้น

มากจนพวกเขาอาจช่วยให้ก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนในอนาคตได้

แต่น่าเสียดายที่แก่นโลหิตทั้งสามมีเจ้าของแล้ว เผชิญหน้ากับคู่แข่งทรงพลังเหล่านี้ กระทั่งพวกเขายังทำได้เพียงแต่มองผู้อื่นเก็บเกี่ยวไป

ภายใต้สายตาร้อนระอุ มู่เฉินปรากฏขึ้นที่บันไดหินขั้นบนสุด เขาพลิ้วตัวที่เบื้องหน้ารูปปั้น จ้องมองรูปปั้นที่มีขนาดประมาณพันจั้ง ซึ่งมีร่องรอยที่ทิ้งไว้โดยกาลเวลาทำให้ดูเก่าแก่มาก ปีกคู่มหึมาที่กางออกปกคลุมท้องฟ้าซึ่งราวกับลุกโชนด้วยเพลิงอมตะ ถึงแม้ว่าจะละร่างไปหลายหมื่นปี แต่ก็เหมือนยังคงมีพลังชีวิตเหลืออยู่

มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งเครียด แม้จะเป็นเพียงรูปปั้นหินเบื้องหน้า แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้ แรงกดดันที่ส่งออกมาทะลวงลงสู่หัวใจอย่างรวดเร็ว ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีก้อนหินถ่วงอยู่ในใจ หากเป็นคนที่มีจิตใจไม่มั่นคง คนคนนั้นคงล้มพับกับพื้นไปนานแล้ว

นี่เป็นแรงกดดันของมหาเทพ

พลังอำนาจระดับเทียนจื้อจุน

“หืม?”

ขณะที่มู่เฉินสัมผัสได้ถึงพลังแผ่วเบาจากรูปปั้น ดวงตาก็หดเกร็งลง เขาเห็นเพลิงบางจางที่ตอนแรกเหมือนไม่มีอยู่จริงบนรูปปั้นของวิหคอมตะโบราณเริ่มลุกโชน

เพลิงนี้แปลกมากดูคล้ายกับอัญมณี เหมือนไม่มีอยู่จริง แต่ขณะที่เผาไหม้ก็มีพลังไร้ขอบเขตแผ่ขยายออกมาราวกับเป็นนิจนิรันดร์

“ระดับสูงสุดของเพลิงอมตะ!”

มู่เฉินจำแนกเปลวไฟที่ใสราวกับอัญมณีได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากได้สร้างพันธะโลหิต ตัวเขาจึงได้รับเพลิงอมตะจากจิ่วโยวหลังจากที่นางก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนเพื่อชำระคลื่นหลิงของเขา

ดังนั้นคลื่นหลิงของเขาจึงมีพลังเพลิงอมตะบรรจุอยู่ ความคุ้นเคยก็มาจากสิ่งนั้น

แต่เพลิงอมตะที่เบื้องหน้าเขาเป็นระดับสูงสุด ซึ่งมีความแข็งแกร่งกว่าเพลิงอมตะสีม่วงของจิ่วโยวหลายขุม

เมื่อผลึกเพลิงปรากฏขึ้น จู่ๆ มู่เฉินก็รู้สึกว่ารูปปั้นสั่นไหว เขาอึ้งไปก่อนที่จะเห็นว่าดวงตาของรูปปั้นหินวิหคอมตะเปิดขึ้นกะทันหันในเวลานี้

ดวงตาของมันอัดแน่นไปด้วยแสงระยิบระยับไม่มีม่านตาให้เห็น แต่เมื่อเปิดตาขึ้น เพลิงอมตะไร้ขอบเขตก็กวาดออกราวกับเสาเพลิงครอบคลุมร่างมู่เฉินเอาไว้

อ้าก!

ช่วงเวลานั้นผลึกเพลิงอมตะก็พุ่งลงมาบนร่าง ใบหน้าของมู่เฉินบิดเบี้ยวทันที ความเจ็บปวดจากการแผดเผาที่ไม่สามารถอธิบายได้กระจายไปทั่วสรรพางค์กาย ทำเอาเขาเกือบหมดสติ

แต่ดีที่เขามีจิตใจตั้งมั่น ทำให้จิตใจไม่ได้ถูกความเจ็บปวดกลืนกิน เขาเร้ากายามังกรหงส์ขึ้นมา ทันใดนั้นเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก็ก้องดังออกมาจากร่างกาย สั่นสะเทือนเลือดเนื้อต่อต้านการแผดเผาของเพลิงอมตะ

ริ้วแสงสีทองพวยพุ่งบนผิวหนัง จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็เริ่มเคลื่อนไหวดูดซับเพลิงอมตะอย่างต่อเนื่อง พยายามที่จะช่วยมู่เฉินต่อต้านความเสียหายจากการเผาไหม้

แต่ถึงแม้จะมีการป้องกัน บนผิวหนังก็ยังถูกเผาอย่างรวดเร็วจนถึงจุดที่เนื้อของเขาเริ่มพุพอง ราวกับว่าเขากำลังถูกครอบงำโดยเพลิงอมตะเมื่อมองจากที่ไกล

ฉากที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้ผู้คนบนแท่นเปลี่ยนสีหน้าพร้อมกับแววตาหวาดผวา ชัดว่าพวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเพลิงอมตะเช่นกัน

แต่สถานการณ์นี้ไม่ได้มีเพียงมู่เฉินเท่านั้น ฉากที่คล้ายกันปรากฏขึ้นพร้อมกันที่เบื้องหน้าปักษาวิญญาณโบราณและอสูรไร้พิรุณโบราณ

รูปปั้นปักษาวิญญาณโบราณเปล่งริ้วแสงแวววาวนับไม่ถ้วนพร้อมกับเสียงร้องคลุมเครือซึ่งห่อหุ้มร่างจงชิงเฟิงเอาไว้ทันที กดดันให้เขาต้องคุกเข่าลงกับพื้น เสียงแตกดังออกมาจากกระดูก

ส่วนรูปปั้นหินอสูรไร้พิรุณโบราณยิ่งเผด็จการมากกว่า มันเหยียดเท้าออกมากระทืบลงไปที่ร่างลู่โหว…

เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็เข้าใจทันทีว่านี่คือการทดสอบขั้นสุดท้ายที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยราชันทั้งสาม หากพวกเขาสามารถผ่านการทดสอบก็จะได้รับแก่นมรดกโลหิตไป

ทว่าจากการทดสอบทั้งสาม จงชิงเฟิงและลู่โหวดูเหมือนจะง่ายกว่ามู่เฉิน แต่เมื่อคิดดูแล้วก็เข้าใจได้ เพราะเผ่าพวกเขามีความสัมพันธ์กับมหาเทพอสูรทั้งสอง ดังนั้นการทดสอบสำหรับพวกเขาจึงไม่ยากเกินไป แต่สำหรับมู่เฉินแล้วโชคร้ายมาก

ผลึกเพลิงเผด็จการอย่างยิ่งยวด แผดเผามู่เฉินอย่างไร้ความปราณีจนถึงจุดที่ผิวหนังปริแยกออกจากกัน ฉากนี้ไม่เหมือนการทดสอบ ในทางกลับกันดูเหมือนว่ากำลังเผาไหม้คนที่มาจากเผ่าพันธุ์อื่น

“หึ เขากำลังรนหาที่ตาย มนุษย์ยังกล้าที่จะสัมผัสเผ่าพันธุ์เทพอสูรเรอะ?” เมื่อไป๋ปิงเห็นภาพนี้ เขาก็รู้สึกโล่งใจ แววเยาะเย้ยวูบไหวในดวงตา ก่อนหน้าเขาถูกปราบโดยมู่เฉินให้ตกอยู่ในสภาวะน่าสมเพช ตอนนี้ในที่สุดเขาก็สามารถระบายความโกรธได้บ้าง

เมื่อจิ่วโยวเห็นมู่เฉินเจ็บปวดแสนสาหัสจากเพลิงอมตะ ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไป เนื่องจากนางรู้ว่าการทดสอบต้องการให้เขาพิสูจน์ตัวเอง วิหคอมตะโบราณคงไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องในสายเลือดได้รับมรดกไป

“พี่ใหญ่จิ่วโยวทำยังไงดี?” มั่วหลิงถามอย่างร้อนรน เพลิงอมตะที่ห่อหุ้มมู่เฉินเริ่มแกร่งกร้าวขึ้นราวกับว่าต้องการแผดเผามู่เฉินให้กลายเป็นเถ้าถ่านก่อนที่จะหยุด

สีหน้าของจิ่วโยวเปลี่ยนไป อึดใจนางก็ขบฟัน กรีดข้อมือด้วยปลายนิ้ว ทันใดนั้นเลือดสดก็พรูออกมาเหมือนกับเสาโลหิตจากบาดแผล

นิ้วของนางเบนออก ทำให้เลือดสดแผ่กระจายประพรมลงบนร่างที่กำลังไหม้ของมู่เฉิน

สายเลือดของนางมาจากวิหคอมตะ ดังนั้นเลือดของนางน่าจะสามารถช่วยมู่เฉินได้

ตามที่นางคาดไว้เมื่อเลือดของนางตกลงไป แม้ว่ามู่เฉินจะชุ่มโชกไปด้วยเลือด แต่ผลึกเพลิงบนร่างของเขาก็เริ่มอ่อนลง

อาการปวดแสบปวดร้อนรุนแรงค่อยๆ จางหาย ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของมู่เฉินก็ฟื้นคืนดังเดิมอย่างช้าๆ ดวงตาเขาส่องประกายเมื่อเห็นเพลิงอมตะแผ่วเบาลง

ผลึกเพลิงอมตะเหล่านี้มีระดับสูงสุดทั้งครอบงำและบริสุทธิ์ด้วยพลังไร้ขอบเขต หากเขาสามารถชำระและดูดซับไว้ได้แล้วรวมเข้ากับคลื่นหลิงของเขา ก็จะทำให้พลังงานของเขาเติบโตทบทวีคูณอย่างเอนกอนันต์ แม้แต่คุณภาพก็จะถูกยกขึ้นสู่ระดับใหม่

ในเมื่อมันก่อความเจ็บปวดใหญ่หลวงให้เขา ก็ต้องตอบแทนบางอย่างแก่เขา ถ้าเขาปล่อยให้มันเหือดหายไปเช่นนี้ ก็สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์

เมื่อความคิดนี้วาบขึ้น มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป แรงดูดพุ่งออกมาจากร่างดูดซับผลึกเพลิงอมตะที่ใสราวกับอัญมณีเข้ามาในร่าง รวมเข้ากับจุดจื้อจุนไห่ของเขา

ผลึกเพลิงอมตะเคลื่อนลงสู่จุดจื้อจุนไห่ คลื่นหลิงในร่างก็ถูกต้มจนเดือดพล่านจากเปลวเพลิง ทว่ามู่เฉินก็ไม่กลัว เพียงแค่คิดเขาก็หมุนเวียนคลื่นหลิงก่อให้เกิดสายธารกวาดผลึกเพลิงลงไปในจุดจื้อจุนไห่ของเขา ค่อยๆ กลั่นผ่านการเผาไหม้

เมื่อถึงเวลาที่เพลิงหมดลง เขาเชื่อว่าคุณภาพของคลื่นหลิงที่อยู่ในจุดจื้อจุนไห่ก็จะเพิ่มพูนอย่างมีนัยเช่นกัน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นการเพิ่มพลังการต่อสู้ของเขาแค่ไหน

เบื้องหน้ารูปปั้นหิน ผลึกเพลิงที่ลุกโชติช่วงบนร่างของมู่เฉินค่อยๆ หดกลับก่อนจะหายไป เมื่อเปลวไฟหายไป พื้นผิวร่างกายของมู่เฉินก็เปล่งประกายด้วยแสงสีทอง ผิวหนังและเนื้อที่ไหม้เกรียมก็ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วภายใต้กายามังกรหงส์ ยิ่งกว่านั้นความแวววาวก็ยิ่งใหญ่ขึ้นและมีพลังระเบิดบรรจุอยู่ใต้ผิวหนังของเขาด้วย

มู่เฉินค่อยๆ คลายกำปั้นเหลือบมองไปที่จิ่วโยวที่มีใบหน้าขาวซีด หากนางไม่ได้ใช้เลือดเพื่อช่วยเขาละก็ เขาอาจจะบินไปมาระหว่างชีวิตและความตายจากการเผาไหม้นี้

“นังสารเลว!”

ใบหน้าของไป๋ปิงเขียวคล้ำ เขาหวังว่าจะได้เห็นมู่เฉินถูกเผาไหม้จนตาย เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะสามารถเคลื่อนไหวแย่งชิงแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณได้ แต่ไม่คิดว่าจิ่วโยวจะยื่นมือเข้ามาช่วยกะทันหัน ช่วยให้มู่เฉินต่อต้านการแผดเผาของผลึกเพลิงอมตะ ซึ่งนี่ทำลายแผนการของเขาอย่างสมบูรณ์

แต่เนื่องจากสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่กล้ำกลืนความโกรธลงไป มากจนถึงขนาดเขาไม่กล้าแม้แต่จะมองมู่เฉิน กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกได้

เมื่อผลึกเพลิงอมตะริ้วสุดท้ายหายไปจากผิวของมู่เฉิน แสงก็เบ่งบานจากรูปปั้นหินวิหคอมตะโบราณอีกครั้ง มู่เฉินที่ได้รับความทนทุกข์อย่างมากเมื่อครู่ไม่กล้ามีปฏิกิริยาตอบสนองชักช้า เขารีบถอยกลับออกมาก้าวหนึ่ง ใบหน้าฉาบแววเคร่งเครียด เพราะกลัวว่าตนเองจะถูกทรมานจากรูปปั้นหินใจโฉดอีก

แต่โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงรัศมีทรงกลดเพิ่มขึ้นในดวงตาของรูปปั้นหินวิหคอมตะโบราณ ไม่มีความลึกกลวงเหมือนเมื่อก่อน

วิหคอมตะโบราณลดดวงตาลงจ้องมองมู่เฉิน ก่อนที่จะเปิดกระหม่อมขึ้น ความแวววาวไร้ขอบเขตพุ่งออกมา ริ้วแสงนี้มีสีแดงเข้มมากควบแน่นเป็นอัญมณีสีแดงเข้มขนาดเท่าฝ่ามือ ดูเหมือนมีวิหคอมตะบินฉวัดเฉวียนอยู่ในก้อนอัญมณี

เมื่อมู่เฉินเห็นอัญมณีสีแดงเข้ม แม้แต่เขาที่สงบอารมณ์ได้ดียังอดใจสั่นหวั่นไหวไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าสิ่งนี้จะต้องแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณแน่นอน

ตราบใดที่ได้รับสิ่งนี้ก็จะช่วยจิ่วโยวให้มีสายเลือดสมบูรณ์แบบ หากมีโอกาสเพียงพอในอนาคตนางอาจจะสามารถพัฒนาเป็นวิหคอมตะโบราณที่เปรียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว!

มู่เฉินเอื้อมมือทั้งสองออกอย่างระมัดระวังรับอัญมณีสีแดงเข้มไว้ สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ในที่สุดเขาก็ได้รับแก่นมรดกโลหิตมาแล้ว!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1062 ใกล้แค่เอื้อม
แท่นบูชาขนาดใหญ่เงียบงัน

ทุกคนตกตะลึงเมื่อมองไปที่ร่างชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนลานประลอง แม้ว่าคลื่นหลิงที่อยู่รอบตัวเขาจะลดน้อยลง แต่เขาก็ยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง ม่านตาสีดำสนิทประหนึ่งเหวลึกที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สามารถหยั่งรู้ได้

ในขณะนี้ทุกคนที่นี่ต่างรู้สึกนับถือมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนนี้

ความนับถือนี้มาจากความแข็งแกร่งที่ทรงพลังของเขา

นั่นเพราะตั้งแต่เริ่มต้นไม่มีใครมองในแง่ดีเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับไป๋หมิง ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นว่ามู่เฉินท้าทายไป๋หมิง พวกเขาจึงมองดูเขาด้วยสายตาเวทนา

แต่ตอนนี้ความเป็นจริงบอกพวกเขาว่ามู่เฉินไม่ได้หยิ่งยโสและโง่เขลา เขามีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้น แค่ในตอนเริ่มต้นพวกเขาตาบอดไม่สามารถมองเห็นได้เอง

“ชายคนนี้ยากหยั่งถึงอย่างแท้จริง”

ความเงียบดำเนินไปเป็นเวลานานก่อนที่ใครบางคนจะถอนหายใจด้วยเสียงต่ำอย่างอดไม่ได้ ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด เขาสามารถเอาชนะไป๋หมิงที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดและครอบครองอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดคือมู่เฉินครอบครองวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

ไพ่ตายต่างๆ ของเขาทำให้พวกเขาเข้าใจว่าทำไมมู่เฉินถึงไม่กลัวเมื่อเผชิญหน้ากับไป๋หมิง

เทียบกับทุกคนที่อุทานด้วยความตกใจ จอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้าก็อ้าปากตาค้างไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งไป๋ปิง เขามองหงส์ฟ้าตัวใหญ่ที่น่าสมเพชที่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือดอย่างตะลึงงัน ท่าทางราวกับไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง

อัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งพ่ายแพ้อย่างนี้เหรอ?

ยิ่งกว่านั้นแม้จะงัดกลยุทธ์ทุกประเภทก็พ่ายแพ้ในมือมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเนี่ยนะ?

ที่ด้านข้างฉื่อหงหวู่ก็อ้าปากค้างด้วยความไม่เชื่อเต็มใบหน้า พักใหญ่นางก็ขยี้ตา สุดท้ายถอนหายใจพูดพึมพำว่า “ไป๋หมิงแพ้”

นางรู้ว่าไป๋หมิงถึงที่แล้ว มีหลายกลุ่มที่ร่วมเป็นสักขีพยานในการต่อสู้ หากเรื่องนี้ส่งกลับไปที่เผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง ชื่อเสียงของไป๋หมิงจะต้องถูกกระทบครั้งใหญ่ ผู้อาวุโสทุกคนในเผ่าหงส์ฟ้าต่างมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง หากพวกเขารู้ว่าไป๋หมิงพ่ายแพ้ในมือของมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด พวกเขาจะต้องผิดหวังอย่างมาก แม้แต่ทรัพยากรในการเพาะบ่มพลังที่มอบให้ก็จะถูกลดทอน

เส้นทางในอนาคตของไป๋หมิงน่าเป็นห่วงแท้จริง

ขณะที่ทุกคนต่างตกตะลึงกับฉากเบื้องหน้า จิ่วโยวเป็นคนแรกที่ฟื้นสติจ้องมองไปที่มู่เฉินที่คลื่นหลิงลดลง ก่อนจะส่งสัญญาณทางสายตาให้กับมั่วเฟิงและพรรคพวก ทั้งหมดทะยานออกเข้าไปในลานประลองเพื่อปกป้องมู่เฉินเอาไว้

ยามนี้ชัดว่ามู่เฉินเสียพลังไปมาก ดังนั้นหากมีคนเคลื่อนไหวจัดการก็อาจทำให้เกิดปัญหา พวกเขาจึงต้องป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องขึ้น

ทว่าความกังวลของจิ่วโยวและพรรคพวกค่อนข้างเกินเลยไปหน่อย ขณะนี้ทุกคนมองมู่เฉินด้วยความเคารพนับถือและความเคร่งขรึมในสายตา แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามู่เฉินเสียพลังไปมาก อาจเหลือไม่ถึงสามส่วน แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะคิดอะไรหลังจากได้เห็นชุดหมัดบ้าคลั่งนั่น พวกเขากลัวว่าจะทำให้มู่เฉินโกรธ เมื่อไรที่เขาปล่อยหมัดอีกครั้งก็จะผลักพวกเขาไปสู่ความตาย ซึ่งพวกเขาคงได้แต่เสียใจอย่างมาก

มู่เฉินมองพรรคพวกก่อนที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้วนั่งลงปรับคลื่นพลังงานในร่างกายให้มีเสถียรภาพ อันที่จริงเขาก็ค่อนข้างตกใจที่ว่าตนเองสามารถใช้หมัดปีศาจพลีชีพของแท้ได้

แม้ว่าช่วงนี้เขาจะพยายามทำความเข้าใจถึงเจตนาการฆ่าที่โหดร้ายของหมัดปีศาจ แต่เขาก็ไม่สามารถใช้พลังนี้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อครู่เขารู้สึกถึงการคุกคามรุนแรงจากการโจมตีที่ทรงพลังของไป๋หมิง ภายใต้การคุกคามนั้นได้ปลุกเร้าปัจจัยที่ไม่ยอมแพ้ ดังนั้นเขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะหลีกเลี่ยง เลือกที่จะเผชิญหน้าโดยตรง ทว่าการค้นหาความตายในลักษณะนี้ กลับทำให้เชื่อมโยงกับรัศมีหมัดปีศาจ ซึ่งทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ในท้ายสุด

“ไม่แสวงหาชีวิตแต่แสวงหาความตาย เพื่อชีวิตหลังจากนั้นเรอะ” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง เขาเกิดความสุขในใจบางเบา นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหลังจากเหตุการณ์วันนี้ เขาก็ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหมัดปีศาจพลีชีพ ในอนาคตเพียงแค่ทำให้คุ้นชิน ต่อไปเมื่อเขาต้องการที่จะใช้เพลงหมัดนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องถูกบังคับให้สิ้นหวังเช่นนี้อีกแล้ว

วิทยายุทธระดับเสินทงเกินขอบเขตจากระดับเสินซู่แท้จริง เพียงแค่รัศมีเพียงอย่างเดียวก็สามารถข่มศัตรูได้

ขณะที่มู่เฉินกำลังรักษาระดับพลังงานให้มั่นคง ไป๋ปิงและคนอื่นๆ ก็หายจากอาการตกตะลึง พวกเขามองไปที่มู่เฉินด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่จะกระโจนลงจากแท่นบูชาเข้าสู่ทะเลสาบเลือด ยามนี้ไป๋หมิงกลับสู่ร่างมนุษย์ นอนพังพาบด้วยดวงตาปิดสนิทภายในแอ่งเลือดดูน่าสมเพชอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส

พวกไป๋ปิงรีบประคองไป๋หมิงขึ้น ก่อนจะพากลับไปที่แท่นบูชา แต่ในเวลานี้พวกเขาไม่มีความกล้าพอที่จะเฉียดไปใกล้มู่เฉิน แม้พวกเขาจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้าและมีความภาคภูมิใจอย่างมาก แต่ความภาคภูมิใจทุกอย่างก็สู้หมัดแข็งแกร่งนั้นไม่ได้หรอก ถ้าพวกเขาไม่อยากทำให้ตัวเองขายหน้า เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ไปยั่วแหย่มู่เฉินอีก

สำหรับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ พวกเขาคงไม่มีโชควาสนาแล้ว

แม้ว่าพวกเขาจะมีคนจำนวนมากกว่า หากพวกเขากลุ้มรุมเข้าไปพร้อมกัน บางทีนั่นอาจเป็นภัยคุกคามต่อกลุ่มมู่เฉิน แต่เมื่อไป๋ปิงเหลือบมองพรรคพวกที่มีใบหน้าซีดเผือด เขาก็รู้ว่าทุกคนหวาดกลัวในใจ ต่อให้ออกไปสู้ก็ไร้ประโยชน์

ครั้งนี้พวกเขาถูกปราบปรามโดยมู่เฉินอย่างสมบูรณ์

หลังจากพาไป๋หมิงซึ่งได้รับบาดเจ็บหนักไปแล้ว ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าทะเลสาบเลือดหงส์ฟ้าซึ่งถูกทิ้งไว้โดยไป๋หมิงที่อยู่ด้านนอกแท่นบูชาค่อยๆ ซึมลงบนพื้นสีดำอย่างเงียบๆ หลังจากดูดซับเลือดสดความมืดบนพื้นดินก็มืดมิดผิดแผกไปมากขึ้น

มู่เฉินปรับเสถียรภาพร่างกายซึ่งใช้เวลาไปสิบกว่านาที ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้น ความผันผวนของพลังงานที่ลดน้อยลงรอบตัวได้รับการฟื้นฟูไม่น้อย ความแวววาวควบแน่นในรูม่านตาสีดำสนิทอีกครั้ง

จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อยืนขึ้น เมื่อร่างตั้งมั่นก็มีสายตามากมายมองมาด้วยความเคารพ

มู่เฉินมองไปรอบๆ เข้าใจว่าจะไม่มีใครกล้ายั่วยุเขาหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ หากไม่มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เขาก็เป็นผู้ได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะไป

ทันใดนั้นสายตาของเขาก็พุ่งเข้าหาเผ่าหงส์ฟ้า เมื่อทั้งกลุ่มเห็นว่ามู่เฉินเพ่งสายตามา พวกเขาก็ตื่นระวังขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่มีความกลัวพลุ่งพล่านในสายตามาก

ถึงอย่างไรพวกเขาก็มาจากเผ่าหงส์ฟ้า แม้ว่าจะเป็นสายย่อย พวกเขาก็ยังคงภาคภูมิใจ พวกเขารู้ว่าตอนนี้มู่เฉินมีพลังเพียงใด แต่ก็ไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะฆ่าล้างบางพวกเขาทั้งกลุ่ม

เผ่าหงส์ฟ้าไม่มีความขุ่นข้องใจต่อมู่เฉินในการเอาชนะไป๋หมิง แต่ถ้ามู่เฉินสังหารพวกเขาทั้งหมดที่นี่ ก็เป็นเขาเองที่จะสร้างความหมองใจให้กับเผ่าหงส์ฟ้า ผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่เขาหรือเผ่าวิหคโลกันตร์รับได้

มู่เฉินก็รู้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บีบคั้นอีกต่อไป เพียงแค่จ้องมองอย่างเฉยเมยไปที่กลุ่มไป๋ปิงพร้อมกับเตือนด้วยสายตา

เผ่าหงส์ฟ้าได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและกลืนความไม่พอใจลงไปในท้อง ไม่กล้าที่จะโต้เถียงกับมู่เฉิน

เมื่อมู่เฉินเห็นการตอบสนองของพวกเขาก็ไม่อยากจะเสียเวลาไปอีก สายตาเขาเบนไปยังอีกสองลานประลอง การต่อสู้ดุเดือดสิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน

อีกสองลานประลอง ทั้งสี่คนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด ดังนั้นความรุนแรงของการต่อสู้ก็ทำให้คนอื่นๆ ต้องเพ่งสายตาไปมองด้วยเช่นกัน

แต่การต่อสู้ของพวกเขาไม่เลือดเดือดเหมือนการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและไป๋หมิง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาควบคุมตนเองไม่ต้องการเสี่ยงชีวิตเหมือนที่มู่เฉินทำ

ดังนั้นผู้ชนะทั้งสองก็คือจงชิงเฟิงเผ่าคุนเผิงและลู่โหวเผ่าวานรทะลุฟ้า พวกเขาเอาชนะได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด

แต่ในสายตาของมู่เฉิน ข่งหลิงเผ่านกยูงเก้าสีไม่ได้อ่อนแอกว่าจงชิงเฟิง เหตุผลที่จงชิงเฟิงคว้าชัยได้ต้องมีข้อตกลงระหว่างพวกเขาแน่นอน มิฉะนั้นจงชิงเฟิงไม่ใช่คนหัวเราะคนสุดท้ายแน่

แต่เขาก็ไม่สนใจ เขาไม่ได้โลภและเป้าหมายของเขามีเพียงแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ ดังนั้นสำหรับแก่นมรดกอีกสองชิ้น เขาไม่สนใจว่าใครเป็นคนได้ไป

เมื่อการต่อสู้ได้ข้อสรุป สายตาของพวกเขาก็จ้องมองมาที่มู่เฉิน แต่ละคนมีแววแปลกประหลาดอยู่ในดวงตา พวกเขาเห็นฉากที่มู่เฉินเอาชนะไป๋หมิงเช่นกัน ดังนั้นจึงตกตะลึงอยู่ในใจ

พลังของพวกเขาไม่ด้อยไปกว่าไป๋หมิง หากพวกเขาเป็นมู่เฉินก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะไป๋หมิง เว้นแต่พวกเขาจะประลองด้วยเดิมพันชีวิต

แต่มู่เฉินสามารถเอาชนะไป๋หมิงได้ ซ้ำยังทำให้บาดเจ็บหนัก นั่นหมายความว่าถ้ามู่เฉินเผชิญหน้ากับพวกเขาก็มีสิทธิ์ลงเอยด้วยผลลัพธ์เดียวกันกับไป๋หมิง

แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ใบหน้าของข่งหลิง จงชิงเฟิงและคนอื่นๆ ก็เคร่งเครียดลงหลายส่วนขณะที่มองมู่เฉินโดยไม่มีแววดูถูกเหยียดหยามเหมือนที่เคยมีมา เพราะถูกแทนที่ด้วยความหวาดระแวงของคนในระดับเดียวกัน

“มู่เฉินไม่ธรรมดา ตอนนั้นที่จงเถิงส่งข้อความมา เขาบอกแค่ว่ามู่เฉินสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด แต่ตอนนี้ขั้นแปดยังพ่ายแพ้ต่อเขา การพัฒนาของเขาน่าทึ่งมาก” จงชิงเฟิงมองไปที่มู่เฉิน เขาพับเก็บเรื่องของจงเถิงลงอย่างสมบูรณ์

ดีที่สุดที่เขาจะหลีกเลี่ยงการสร้างศัตรูเช่นนี้

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับความคิดของพวกเขา เมื่อเขาเห็นว่าตัดสินใจผู้ชนะเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันหลังกลับมาจ้องมองวิหคอมตะโบราณที่ปลายบันไดหิน

ยามนี้รูปปั้นหินวิหคอมตะโบราณกำลังเปล่งประกายราวกับเรียกผู้ชนะ

มู่เฉินสูดหายใจลึกพยักหน้าเบาๆ ไปให้จิ่วโยว จากนั้นร่างก็เคลื่อนออกไปประหนึ่งสายฟ้าพุ่งไปในทิศทางของรูปปั้นหิน

แก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณอยู่แค่เอื้อมแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1061 อำนาจหมัดปีศาจ
ครืน!

พายุทอร์นาโดสีแดงเลือดกดลงมา ดวงตาของมู่เฉินก็เปิดออก ไม่มีความกลัวใดๆ ในม่านตาสีดำ ตรงกันข้ามกลับมีประกายแสงลุกโชนให้เห็นได้ชัดจนใจสั่น

แววตาลุกโชนนั้นราวกับปรารถนาในการเดิมพันชีวิตและความตาย

การแสวงหาชีวิตท่ามกลางความตายต้องใช้ความกล้าหาญที่จะเสียสละตัวเอง หากไม่มีความกล้าหาญที่จะเสียสละตัวเองและขี้ขลาด เขาจะแสวงหาชีวิตท่ามกลางความตายได้อย่างไรเล่า?

มู่เฉินลุกขึ้นยืนช้าๆ ในหลุมลึก คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรอบตัวค่อยๆ จางหายถูกแทนที่ด้วยรัศมีโลหิตที่ควบแน่นอยู่รอบตัว

รัศมีนี้เต็มไปด้วยจิตสังหารที่น่ากลัวและโหดร้ายอย่างยิ่ง ราวกับว่าเขาต้องการเสี่ยงทุกอย่าง ใช้ชีวิตในการแก้สถานการณ์สิ้นหวังตรงหน้า!

จิตสังหารที่น่าอัศจรรย์พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อตัวเป็นพายุทอร์นาโดรอบๆ ร่างมู่เฉิน กระทั่งก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่โดยรอบก็แตกเป็นฝุ่นล่องลอยไปตามกระแสลม

“เกิดอะไรขึ้น?!”

คนอื่นที่ยืนอยู่ด้านนอกลานประลองเมื่อเห็นฉากนี้ใบหน้าก็เปลี่ยนไป ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ พวกเขาจ้องมองจิตสังหารซึ่งห่อหุ้มร่างมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่ดวงตาจะหดลง

นั่นเป็นเพราะจิตสังหารโหดร้ายนั่นทำให้หนังหัวของพวกเขาลุกชัน

รัศมีที่ถูกปล่อยออกมาจากมู่เฉิน ทำให้พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนั้นตั้งใจจะเสี่ยงชีวิต แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการตกอยู่ในนรก เขาก็จะลากคู่ต่อสู้ลงไปด้วย

นั่นเป็นการกระทำของคนบ้าชัดๆ!

หลายคนใบหน้าซีดขาวกับรัศมีของมู่เฉิน พวกเขาใช่ว่าไม่เคยเห็นคนโหด แต่น้อยมากที่จะเห็นใครมีรัศมีโหดเหี้ยมเหมือนมู่เฉินในตอนนี้

“นั่นคือรัศมีหมัดอย่างหนึ่ง! ต้องไม่ใช่เพลงหมัดของวิทยายุทธระดับเสินซู่แน่นอน!” หลายคนมีสายตาเฉียบคม พวกเขาไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนร้องอุทานด้วยความตกใจ

ไม่ใช่เพลงหมัดของวิทยายุทธระดับเสินซู่? นั่นหมายความว่าวิชานี้เกินขอบเขตของระดับเสินซู่ไปแล้ว และอะไรคือวิทยายุทธที่เหนือกว่า? นั่นคือขอบเขตของวิทยายุทธระดับเสินทง!

พลังที่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นที่จะครอบครองได้!

นั่นก็หมายความว่ามู่เฉินกำลังใช้เพลงหมัดระดับเสินทงรึ?!

ดวงตาทุกคนวาวโรจน์เมื่อจ้องมองที่มู่เฉิน นั่นคือวิทยายุทธระดับเสินทงแม้กระทั่งในเผ่าของพวกเขาก็เป็นสมบัติที่หายากยิ่ง หากไม่ใช่จอมยุทธ์ที่มีคุณูปการต่อเผ่า แม้แต่ผู้อาวุโสเผ่ายังไม่สามารถเข้าถึงได้

แต่ตอนนี้มู่เฉินกลับครอบครองวิชาดังกล่าวแล้วพวกเขาจะไม่อิจฉาได้อย่างไร?

“หมัดระดับเสินทง?”

เวลาเดียวกันไป๋หมิงที่อยู่บนท้องฟ้าก็จ้องมองมู่เฉินด้วยหัวใจสั่นเทิ้ม ความไม่เชื่อปรากฏบนใบหน้าดุร้ายเป็นครั้งแรก

เผ่าหงส์ฟ้าก็มีวิทยายุทธระดับเสินทงเหมือนกัน แต่มีเพียงผู้อาวุโสบางส่วนเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนได้ แม้เขาจะน้ำลายสอมานาน แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึง

แต่ตอนนี้…วิทยายุทธระดับเสินทงกลับอยู่กับมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น!

“แกทำให้ข้าตกใจจริงๆ ฮึ่ม วิชาหมัดระดับเสินทงรึ? ดี เมื่อไรที่ข้าจัดการแกได้ สมบัติทั้งหมดของแกจะเป็นของข้า!” แต่ตอนนี้เป็นไปไม่ได้ที่ไป๋หมิงจะถูกมู่เฉินกำราบ นอกจากนี้แม้ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงจะทรงพลัง แต่ก็ยากมากที่จะฝึกฝน ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถรับการถ่ายทอดวิทยายุทธระดับเสินทงของเผ่าได้

ดังนั้นเขาก็ไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะสามารถฝึกฝนได้ด้วยขุมพลังจื้อจุนเจ็ด!

“ตาย!” ไป๋หมิงคำรามขณะที่กางกรงเล็บออก พายุทอร์นาโดสีแดงเลือดที่โอบล้อมมู่เฉินส่งเสียงครามกระหึ่ม แรงผลักดันราวกับต้องการทำลายล้างโลก

ตู้ม! ตู้ม!

พายุทอร์นาโดเย็นเยือกกวาดลงมาพร้อมกับรัศมีที่น่าตกใจ ขยายตัวอย่างรวดเร็วในม่านตามู่เฉิน เขาเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะกำหมัดแน่น พายุที่ปกคลุมเขาไว้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นโดยมีจิตสังหารโหดร้ายพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า

ดวงตาของมู่เฉินค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นหมัดที่กำแน่นก็ชกออกไป

หมัดนี้เรียบง่ายมากราวกับว่าชกออกไปโดยไม่ตั้งใจ แต่เมื่อมู่เฉินชกหมัดออกไป ฟ้าดินก็สั่นคลอน ทุกคนสามารถเห็นรัศมีโลหิตรอบๆ มู่เฉินรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งบนกำปั้น ก่อนที่จะพุ่งออกไป

วิทยายุทธระดับเสินทง หมัดปีศาจพลีชีพ!

ฮึ่ม!

ริ้วแสงโลหิตพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า หมัดสีแดงเข้มขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น ประหนึ่งว่าหมัดสร้างขึ้นจากความกล้าหาญและความแข็งแกร่งของมู่เฉินโดยมีเจตจำนงว่า…ไม่รอดก็ตาย!

หากใครคิดขัดขวางก็ต้องตายไปพร้อมมู่เฉิน!

รัศมีโหดร้ายพุ่งออกมาจากหมัด ทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากรู้สึกว่าหนังหัวชาวาบไปหมด ประจันหน้ากับหมัดที่เดิมพันด้วยชีวิตคนคนหนึ่ง ไม่มีใครกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งนี้ได้

หากมีคนที่ไม่แน่วแน่ในปณิธาน พลังการต่อสู้ก็จะหายไปเมื่อเผชิญหน้ากับหมัดนี้

หมัดสีแดงเข้มพุ่งขึ้นไปห่อหุ่มร่างไป๋หมิง รัศมีการเดิมพันนี้ทะลุทะลวงหัวใจของไป๋หมิง ทำให้เขารู้สึกว่าหัวใจเย็นเยือกลง วินาทีนั้นเขามีความคิดที่จะหลบหนีทันที

ทว่าตัวเขาเป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นนำของเผ่าหงส์ฟ้าและมีประสบการณ์ในสงครามนองเลือดมามากมาย ดังนั้นในช่วงเวลาวิกฤตนี้เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ระงับการเต้นของหัวใจ

เขารู้ว่าเมื่อการต่อสู้มาถึงขั้นนี้ ใครก็ตามที่ถอยออกไปก่อนจะเป็นผู้แพ้

“คิดจะข่มขวัญข้าด้วยการวางก้ามนี่เรอะ? ตลกล่ะ!” แสงเย็นวาบขึ้นในดวงตาของไป๋หมิงขณะสาดรอยยิ้มน่าขนลุก มือฟาดลงไปอย่างไร้ปรานี พายุทอร์นาโดสีแดงเลือดที่อัดแน่นไปด้วยพละกำลังพุ่งเข้าปะทะหมัดที่ส่งเสียงครางกระหึ่ม

ครืน!

ทันทีที่ปะทะ ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นกระแทกน่าสะพรึงกลัวที่สำแดงฤทธิ์บนท้องฟ้ายามนี้ พลังนั้นแม้จะมีแท่นบูชาคอยสกัดกั้นไว้ แต่ก็ทำให้กระแสเลือดและรัศมีที่อยู่ในร่างกายกวนตัว พวกเขาแทบจะกระอักโลหิตออกมาจากปาก

ทว่าหลายคนก็ไม่สนใจสภาพของตน สายตาของพวกเขาจ้องเขม็งไปที่จุดระเบิดสีแดงเข้มข้นบนท้องฟ้า กระทั่งมิติก็บิดเบี้ยวจากคลื่นกระแทกที่น่ากลัว

แสงโลหิตไร้ขอบเขตกวาดออกไปบนเส้นขอบฟ้า ทำให้พวกเขาไม่สามารถมองผ่านไปได้

สายตาของไป๋หมิงจับจ้องไปที่การระเบิด ครู่เดียวสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปรุนแรง เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองกำลังสลายไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจ

บนลานประลองมู่เฉินที่ยืนนิ่งไม่แสดงสีหน้าใดก็ปรากฏแววกระหายเลือดที่มุมปาก แสงสีแดงวูบวาบในดวงตาขณะที่เขากำมือจากระยะไกลตะโกนว่า “แตก!”

ปัง!

ลูกไฟสีแดงเข้มระเบิดขึ้นบนท้องฟ้า พายุทอร์นาโดสีแดงเลือดขนาดใหญ่ก็ระเบิดออก กระแสคลื่นเย็นเยือกกวาดออกมา ขณะที่หมัดสีแดงเข้มฉีกขาดพายุทอร์นาโดออกเป็นชิ้นๆ ในลักษณะที่ทำลายไม่ได้ ก่อนที่จะพุ่งไปทางไป๋หมิงที่อยู่บนท้องฟ้า

ทุกคนสูดอากาศเย็นเข้าปอด การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของไป๋หมิงถูกทำลายโดยมู่เฉิน!

“เป็นไปได้ยังไง?!” ใบหน้าของไป๋หมิงซีดลงขณะที่คำรามด้วยความเคียดแค้น เพื่อเอาชนะมู่เฉิน เขาไม่ลังเลที่จะทำลายอาวุธเสมือนมหสวรรค์ของตนเอง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถหยุดมู่เฉินได้เรอะ?

มนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนนี้ยากที่ต่อกรอะไรขนาดนี้!

แต่ไป๋หมิงก็ไม่ได้แผดเสียงคำรามต่อ เนื่องจากเขาหวาดผวาไปเมื่อเห็นหมัดสีแดงเข้มพุ่งเข้าหา ทันใดนั้นเขาก็ตกใจกลัวจนขาดสติ ปีกที่อยู่ข้างหลังสะบัด ถอยหนีออกมาอย่างน่าสมเพช

แต่ถึงกระนั้นหมัดสีแดงเข้มก็ไล่ตามเขาเหมือนหนอนไชกระดูก ไม่สามารถสะบัดหลุดไปได้

เมื่อไป๋หมิงเห็นฉากนี้ก็เปล่งเสียงคำราม แสงหลิงที่ไร้ขอบเขตระเบิดออกมาก่อตัวเป็นหงส์ฟ้าน้ำแข็งขนาดหลายพันจั้ง

“ศูนย์สัมบูรณ์!”

เขาคำราม แสงหลิงไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งก่อร่างเป็นชั้นน้ำแข็งหนาปกคลุมเขาทันท่วงที

เขาสามารถสัมผัสได้ว่าหมัดของมู่เฉินทรงพลังแค่ไหน เขาจึงยอมแพ้ในการตอบโต้และใช้พลังทั้งหมดในการป้องกัน

ตู้ม!

หมัดสีแดงเข้มที่โหดเหี้ยมกระแทกลงบนหงส์ฟ้าตัวมหึมาที่ปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งภายใต้สายตาตกตะลึงจำนวนมาก

ท้องฟ้าสั่นไหวในขณะนี้ อึดใจเสียงแตกก็ดังทอดยาว ในปราการน้ำแข็ง หงส์ฟ้าตัวมหึมาฉายความกลัวในสายตาขณะมองรอยแตกกระจายไปอย่างรวดเร็ว ไป๋หมิงไม่คิดเลยว่าการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาจะถูกทำลายอย่างง่ายดายขนาดนี้

หมัดของมู่เฉินน่ากลัวปานใดกันแน่?!

ปัง!

รอยแตกกระจายออกไปแล้วระเบิดเป็นเกล็ดหิมะก่อนที่หงส์ฟ้าจะส่งเสียงโศกเศร้าก้องกังวาน ไป๋หมิงถลาออกมา เลือดสดไหลออกมาจากร่างอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาสั้นๆ ร่างกายของเขาก็ถูกย้อมเป็นสีแดง มองจากที่ไกลดูราวกับไก่เพลิงตัวใหญ่เลยทีเดียว

บนแท่นบูชาทุกคนตะลึงเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ หงส์ฟ้าตัวมหึมาย้อมด้วยเลือดดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้า ราวกับผีพุ่งไต้กระแทกกับพื้นดินที่มืดดำด้านนอกแท่นบูชา เลือดสดพุ่งออกมาเป็นทะเลสาบเลือด

ทั้งแท่นบูชาเงียบกริบไม่มีคำพูดสักคำ

รอยยิ้มบนใบหน้าไป๋ปิงและคนที่เหลือชะงักไปนานแล้ว ในตอนนี้ความไม่เชื่ออัดแน่นในดวงตา ท่าทางของพวกเขาดูตลกอย่างยิ่ง

คนอื่นก็มีสีหน้าตกตะลึง พักใหญ่กว่าจะฟื้นจากอาการ ทันใดนั้นพวกเขาก็สูดอากาศเย็นเยือกเข้าไปสุดปอด มองดูร่างเงาสูงโปร่งที่ยังยืนไว้สง่าบนลานประลองด้วยความอึ้งทึ่ง ระลอกคลื่นดันตัวขึ้นในหัวใจพวกเขา

ใครจะไปคิดได้ว่าจอมยุทธ์ชั้นนำของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดแท้จริงอย่างไป๋หมิงจะพ่ายแพ้ในน้ำมือของมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้ว่าจะงัดทักษะต่างๆ นานามาใช้แล้วก็ตาม

มนุษย์คนนี้เป็นสัตว์ประหลาดแท้จริง!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1060 พัดโลหิตสำแดงอำนาจ
ฮึ่ม! ฮึ่ม!

พัดน้ำแข็งสีแดงสั่นเทิ้มเบาๆ บนท้องฟ้า เสียงน่ากลัวของลมถูกฉีกขาดกระจายออกมา มิหนำซ้ำยังผสมผสานด้วยกลิ่นคาวเลือดหนาแน่น

ทันใดนั้นอุณหภูมิในฟ้าดินก็เย็นลงฉับพลัน ร่องรอยของความเย็นดูราวกับสามารถเจาะเข้าไปในกระดูก ทำให้ร่างกายถูกรุกรานด้วยไอเย็นเยือก

บนแท่นบูชาเมื่อผู้คนเห็นภาพที่น่าตกใจนี้ใบหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ยิ่งไป๋ปิง ฉื่อหงหวู่และจอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้ายังฉายสีหน้าตลกมาก

“บ้าจริง! ไป๋หมิงสติแตกแล้ว!” ใบหน้าของฉื่อหงหวู่เขียวคล้ำขณะกัดฟันกรอด “เขาใช้กระบวนท่านั้นจริงๆ เขาไม่รู้หรือไงว่านี่จะทำให้อาวุธเสมือนมหสวรรค์เสียหายแค่ไหน?!”

ที่เรียกว่าสังเวยโลหิตหงส์ฟ้าก็คือกระบวนท่าที่ต้องบาดเจ็บทั้งคู่ แม้ว่าจะสามารถยกระดับพลังของอาวุธเสมือนมหสวรรค์ให้อยู่ในระดับที่น่าอัศจรรย์ แต่ก็เป็นทักษะที่จะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อตัวอาวุธ

แต่ตอนนี้ไป๋หมิงคิดใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อคว้าชัยชนะ

ที่ข้างนาง ไป๋ปิงก็ตัวแข็งทื่อเมื่อมองไปที่พัดสีแดง เขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะบีบให้ไป๋หมิงมาถึงจุดนี้

“ถึงแม้ว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์จะมีค่า แต่ตราบใดที่พี่ใหญ่ไป๋หมิงได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ ทุกอย่างก็คุ้มค่า!” ไป๋ปิงหาข้ออ้างให้ไป๋หมิงขณะที่เอ่ยต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นพี่ใหญ่ไป๋หมิงจะแพ้การต่อสู้นี้ไม่ได้ เขาเป็นอัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้า ถ้าเขาแพ้ต่อมู่เฉินก็จะเป็นความเสียหายต่อชื่อเสียงของเผ่าพันธุ์เรา”

“เจ้า!”

ฉื่อหงหวู่เดือดดาล แต่สุดท้ายก็ระงับความโกรธลง เรื่องมาไกลถึงขนาดนี้ ไร้ประโยชน์ที่จะพูดอะไรต่อไป ไป๋หมิงถลำลึกกับชัยชนะและความภาคภูมิใจมากเกินไป เขาไม่อาจรับความจริงที่ว่าเขาไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้วิธีนี้เพื่อชนะ

หากเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นอันตรายต่อมู่เฉิน หลังจากใช้ทักษะนี้พลังของพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งจะเพิ่มขึ้นทบทวี แม้ว่าจะไม่สามารถไปถึงระดับของอาวุธมหสวรรค์ได้ แต่ก็แข็งแกร่งกว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์อื่นๆ แน่นอน

เผชิญหน้ากับไป๋หมิงที่มีพละกำลังเพิ่มสูงขึ้น ก็ไม่มีโอกาสชนะสำหรับมู่เฉิน แม้ว่าเขาจะมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์ก็ตาม…

“เฮ้ย ไป๋หมิงถูกบีบให้ถึงขนาดนี้เชียว…” ฉื่อหงหวู่และพรรคพวกไม่ได้ตกใจแค่กลุ่มเดียว แม้แต่อีกสี่คนที่อยู่ในลานประลองอีกสองแห่งก็มีท่าทางเปลี่ยนไป ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้

พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ระดับเดียวกันกับไป๋หมิง ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจไพ่ตายใบนี้ดี ถึงจะเป็นพวกเขาที่ต้องเผชิญกับกระบวนท่าครั้งนี้จากไป่หมิง พวกเขาก็ต้องล่าถอย หากถอยไม่ทันก็อาจจะต้องจ่ายในราคาที่แพงระยับ

แต่ตอนนี้วิธีที่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวกลับถูกนำมาใช้เพื่อจัดการกับมนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น

ถ้าเป็นเมื่อก่อนพวกเขาคงจะหัวเราะจนฟันร่วง แต่เมื่อเห็นการประลองครั้งนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถกระทั่งยิ้มอีกต่อไปได้ ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เพราะรู้ดีว่าแม้กระทั่งพวกเขาเองก็ยากในการเอาชนะมู่เฉิน

มนุษย์คนนี้เคี้ยวไม่ได้ง่ายเหมือนที่พวกเขาคิดไว้

ขึ้นไปบนท้องฟ้ามู่เฉินยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะมองไปที่พัดสีแดงฉานที่ลอยอยู่เหนือไป๋หมิง เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีคุกคามซึ่งทำเอาหนังหัวชาวาบ

สายตาของมู่เฉินกะพริบวูบไหวแต่ก็ไม่ได้หันหลังเพื่อถอยกลับ นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าไม่มีทางที่ตนเองเลือกจะหนี จังหวะที่เขาก้าวถอยออกไปก็เท่ากับการละทิ้งแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ

ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะโจมตี

เนตรดับชีวิตเปิดขึ้นอีกครั้งบนหน้าผากของมู่เฉิน แสงสีดำกะพริบวูบวาบ ลำแสงสีดำพุ่งออกมาฉีกขาดเส้นขอบฟ้ายิงใส่หัวของไป๋หมิง

“หึ…”

ภายใต้พัดสีแดงเข้ม ใบหน้าซีดเซียวของไป๋หมิงก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นจ้องมองลำแสงสีดำที่พุ่งเข้ามา

ฮึ่ม!

เมื่อลำแสงอยู่ห่างจากเขาไปสิบจั้ง กระแสเย็นเยือกสีแดงเข้มก็กวาดออกมาแช่แข็งลำแสงสีดำเอาไว้ทันที ทำให้กลายเป็นเสาน้ำแข็งก่อนที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ม่านตามู่เฉินหดเกร็ง พลังของพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งเพิ่มขึ้นขนาดนี้เชียว

“ครั้งนี้ข้าไป๋หมิงตาบอดไปจริงๆ ถึงถูกเจ้าบีบมาจนจุดนี้…” เมื่อใบหน้ายกขึ้นก็ไม่มีอารมณ์ใดๆ ในดวงตาของไป๋หมิงขณะจ้องมองมู่เฉินก่อนที่เสียงจะดังสะท้อนช้าๆ

“แต่ในเมื่อสถานการณ์ไปไกลขนาดนี้แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเสียใจ เพื่อแสดงความขอบคุณที่บีบให้ข้ามาถึงจุดนี้ ข้าจะแช่แข็งแกให้เป็นรูปปั้นเก็บไว้เป็นของที่ระลึกเพื่อเตือนความทรงจำ”

ดวงตาของไป๋หมิงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเมื่อมองมู่เฉินพร้อมกับมุมปากโค้งขึ้น ใบหน้าซีดเซียวดูโหดร้ายยิ่ง

เมื่อจบคำพูด เขาก็ยื่นมือออกมา พัดสีแดงเข้มพลิ้วลงมาช้าๆ ก่อนที่เขาจะจับไว้ในมือ

เขาจับด้ามพัดไว้แล้วโบกไปในทิศทางของมู่เฉินด้วยสีหน้าที่ไม่แยแส

ฮึ่ม!

สายธารเย็นเยือกสีแดงเข้มกวาดออกมาราวกับพายุ ความเร็วเกินขอบเขตคำบรรยาย สายธารกลั่นตัวตัวเป็นใบมีดนับไม่ถ้วน ใบมีดเหล่านี้มีสีแดงเลือด แต่ละเล่มสามารถฉีกร่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดได้

การโจมตีกระบวนท่านี้น่ากลัวจริงๆ

เมื่อพายุสีแดงเข้มขยายอย่างรวดเร็วในม่านตาของมู่เฉิน ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่กล้าที่จะประวิงเวลา แค่คิดร่างเทพสุริยะก็ระเบิดด้วยแสงสีทองตระการตาราวกับเป็นปราการทองคำ

ปัง! ปัง!

ดงดาบสีแดงเข้มพร้อมกับสายธารกระแทกอย่างแรงกับร่างเทพสุริยะ เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีรุนแรงเช่นนี้แสงสีทองพร่างพราวของร่างเทพสุริยะก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะระเบิดออก

“ฟันลงซะ!”

ไป๋หมิงยิ้มเหี้ยมแล้วกำมือ ทันใดนั้นสายธารเย็นเยือกสีแดงเข้มบนท้องฟ้าก็ควบแน่นเป็นใบมีดยาวสีแดงขนาดหมื่นจั้ง เมื่อใบมีดเฉือนลง มิติก็ฉีกขาดขณะที่พุ่งลงมาใส่ร่างเทพสุริยะ

ก่อนที่ใบดาบจะตกลงมา มู่เฉินก็รู้สึกถึงอันตรายที่รุนแรง ดวงตากะพริบวาบ ตราประทับถูกวาดด้วยมือข้างเดียว จิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงก่อตัวขึ้นเป็นปีกคู่หนึ่งผุดขึ้นทันท่วงที ความเร็วของเขาเพิ่มสูงขึ้น ร่างกลายเป็นแนวแสงถอยออกมาจากหัวของร่างเทพสุริยะ

ชี่!

เมื่อใบมีดน้ำแข็งฟันลงมาก็แยกร่างเทพสุริยะออกเป็นสองส่วน ความคมชัดที่น่ากลัวทำให้เปลือกตาของมู่เฉินกระตุก

“ลื่นเป็นปลาไหลเลย” เมื่อเห็นว่ามู่เฉินถอยไปได้ทันท่วงที ไป๋หมิงก็ยิ้มก่อนจะมองไปที่ปีกหงส์ฟ้าที่อยู่บนหลังมู่เฉิน เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีหงส์ฟ้าแท้จริงที่มาจากมัน ซึ่งนี่ทำให้ดวงตาของเขาแดงฉานขึ้นทันที

“แกมีสมบัติของตระกูลข้าที่อัดแน่นด้วยรัศมีหงส์ฟ้าจริงด้วย ดูเหมือนข้าได้อีกเหตุผลที่จะฆ่าแกแล้ว”

ไป๋หมิงหัวเราะ จากนั้นก็กระทืบเท้า ปีกสีฟ้าน้ำแข็งคู่หนึ่งกางออกที่ข้างหลัง ด้วยการเคลื่อนไหวเขาก็ไปปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉินทันที เส้นโป่งพองบนพัดโลหิตนั้นราวกับเส้นเลือดขณะที่เขาสะบัดลงมา

ตู้ม!

สายธารโลหิตร้องคำรามราวกับมังกรตัวมหึมากวาดเข้าใส่มู่เฉิน

หลังจากได้เห็นพลังพัดโลหิต มู่เฉินก็ไม่กล้าที่จะประมาทอีกต่อไป แสงสีทองระเบิดในเวลาเดียวกับที่เขาถอย กายามังกรหงส์ถูกเร้าจนถึงขีดสุด ป้องกันรอบตัวเอาไว้

ปัง!

สายธารโลหิตแดงฉานครางกระหึ่มเข้ามากระแทกร่างมู่เฉิน คลื่นเย็นเยือกที่น่าสะพรึงกลัวทำให้แสงสีทองรอบร่างมู่เฉินลดลงทันที นอกจากนี้ร่างของเขายังถูกกระแทกกลับราวกับว่าได้รับผลกระทบหนักหน่วง เขาดิ่งพสุธาลงมาบนพื้น หลุมขนาดร้อยจั้งก็ปรากฏขึ้นบนลานประลองอันแข็งแรง

จอมยุทธ์ที่อยู่บนแท่นบูชาเปลือกตากระตุกเมื่อเห็นภาพนี้ ตอนนี้มู่เฉินเห็นได้ชัดว่าถูกผลักกลับโดยไม่สามารถขัดขวางไป๋หมิงได้

จิ่วโยว มั่วหลิงและคนอื่นก็มีใบหน้าซีดเซียว การต่อสู้นี้ดุเดือดมาก ไม่คิดว่ามู่เฉินที่ได้เปรียบเมื่อครู่จะพลิกกลับไปในตำแหน่งเสียเปรียบ

จิ่วโยวกัดฟันขณะที่กำมือแน่นด้วยความกังวลอัดแน่นในดวงตา มากจนนางอยากให้มู่เฉินหยุดที่จะต่อสู้กับไป๋หมิงด้วยซ้ำ นางสามารถยอมแพ้ต่อแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะนางรู้ว่าด้วยตัวนิสัยของมู่เฉินเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมแพ้

มู่เฉินไม่ใช่เด็กน้อยที่มณฑลเป่ยหลิงอีกต่อไป ประสบการณ์ความเป็นตายหลายปีได้ขัดเกลาให้เขาอดทนและ…ทรงพลังมาก

ในปากหลุมขนาดใหญ่บนลานประลอง มู่เฉินนอนพังพาบอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช ร่างถูกปกคลุมไปด้วยเลือดซึ่งเกิดจากคลื่นใบมีดเย็นเยือก ทำให้เขาดูราวกับมนุษย์เลือด

บนแท่นบูชาคนอื่นๆ ก็ส่ายหัวด้วยความเสียใจ ตัดสินจากสถานการณ์ปัจจุบันผลลัพธ์เห็นชัดเจนว่ามู่เฉินแพ้การต่อสู้

แต่แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ก็ต้องภูมิใจที่สามารถบังคับให้ไป๋หมิงมาถึงขั้นนี้

บนท้องฟ้าไป๋หมิงกระพือปีกน้ำแข็งสีฟ้าขณะที่ยืนก้มมองมู่เฉินที่อยู่ในหลุม ก่อนที่จะโบกพัดน้ำแข็งสีแดงเข้มในมือเบาๆ ปล่อยความผันผวนที่น่ากลัวออกมา

แววดุร้ายและเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากของเขาขณะยิ้ม “ก่อนหน้านี้แกเคยคิดว่าจะอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้รึเปล่า? ราวกับหมาจรจัด”

ในปากหลุมขนาดใหญ่มู่เฉินไม่ขยับตัว ดวงตาปิดลงราวกับว่าเขายอมรับสภาพ

เมื่อไป๋หมิงเห็นภาพนี้ก็ส่ายหัวโดยไม่สนใจพูดอย่างเฉยเมยว่า “ในเมื่อยอมแพ้ก็ตายซะ”

จบคำพูดพัดสีแดงเข้มก็พุ่งออกมาจากมือแล้วโบกสะบัดรุนแรง สายธารโลหิตเย็นเยือกนับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมารวมตัวกับพายุทอร์นาโดสีแดงเลือดแดงขนาดมหึมา พายุทอร์นาโดนี้ราวกับมังกรยักษ์ที่ฉีกผ่านฟ้าดิน พุ่งหวือไปหามู่เฉินพร้อมกับพลังทำลายล้าง

เห็นได้ชัดว่าไป๋หมิงตั้งใจจะยุติการประลองครั้งนี้แล้ว!

หลายคนส่ายหัวอย่างน่าเสียดาย

บนแท่นบูชา คลื่นหลิงระเบิดออกมาจากร่างของจิ่วโยวพร้อมกับไอเย็นเยือกในดวงตา เห็นได้ชัดว่านางทนไม่ไหวอีกต่อไปและคิดจะออกไปจัดการ

ทว่าขณะที่พายุทอร์นาโดสีแดงเลือดกวาดลงมา มู่เฉินที่หลับตาแน่นก็เบิกตาโพลง

จังหวะที่เขาลืมตา รัศมีก็เหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

นั่นคือรัศมีแห่งการเสียสละตนกลายเป็นปีศาจ

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1059 สังเวยโลหิตหงส์ฟ้า
เมื่อแสงสีดำและหงส์ฟ้าน้ำแข็งปะทะกัน

ฟ้าดินก็มืดมนลง ราวกับว่าสวรรค์และโลกกำลังหวาดกลัวกับผลกระทบที่น่ากลัว

ผลกระทบนี้ไม่ได้สร้างเสียงขนาดใหญ่เมื่อระเบิดออก แต่เป็นความเงียบที่ทำให้หัวใจสั่นสะท้าน แต่ความเงียบก็คงอยู่ไม่นาน ก่อนที่ทุกคนจะเห็นคลื่นกระแทกเย็นยะเยือกระเบิดออกมา

แคร็ก!

ท้องฟ้าถูกแช่แข็งทันทีที่กระแสเย็นเยือกเคลื่อนผ่านจนกลายเป็นโลกน้ำแข็ง แต่น้ำแข็งนั่นไม่ได้เป็นสีฟ้าเหมือนแต่ก่อน กลับเป็นสีดำมืด บรรจุด้วยพลังงานที่น่ากลัวสองสาย

กระแสน้ำแข็งป่าเถื่อนพัดผ่าน แท่นบูชาขนาดใหญ่ก็ถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็ง บนแท่นบูชาทั้งหมดมีเพียงลานประลองสองแห่งที่ปลดปล่อยคลื่นหลิงที่สร้างหายนะต่อต้านการครอบงำของกระแสไอเย็นได้

เมื่อรับรู้ถึงความผันผวนแปลกประหลาด คู่ประลองที่เหลือที่กำลังโรมรันพันตูก็ชะลอตัวลง ทั้งหมดเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ มองไปยังต้นกำเนิดของคลื่นกระแทกที่น่ากลัว

“มู่เฉินสามารถยืนหยัดกับการเผชิญหน้ากับไป๋หมิงได้เรอะ?” เมื่อพวกเขาทั้งสี่เห็นฉากนี้ จิตใจก็สั่นไหว จากนั้นใบหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียดลง เมื่อก่อนบางทีพวกเขาไม่ได้มองว่ามู่เฉินเป็นคู่ต่อสู้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้มองในแง่ดีเกี่ยวกับผลลัพธ์ของเขาเมื่อเผชิญหน้ากับไป๋หมิง แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่ามองพลาดไป

ดวงตาของข่งหลิงกะพริบเบาๆ ก่อนที่จะส่ายหัว มู่เฉินอยู่เหนือความคาดหมายก็จริง แต่โชคดีที่พวกนางไม่เคยขัดแข้งขัดขากันมาก่อน ไม่เช่นนั้นคงจะลำบากที่มีศัตรูเช่นนี้

“เฮ้ ดูเหมือนความช่วยเหลือจากข้าเป็นหมันซะแล้ว เจ้านั่นรักษาชีวิตเอาไว้เองได้” ลู่โหวเผ่าวานรทะลุฟ้ายิ้มเยาะตนเอง เมื่อครู่เขายังบอกด้วยว่าถ้ามู่เฉินแพ้ เขาจะช่วยปกป้องชีวิตให้ แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ปัจจุบันชัดว่ามู่เฉินไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรเลย

จงชิงเฟิงเผ่าคุนเผิงจ้องมองที่มู่เฉินอย่างลึกล้ำเช่นกัน อันที่จริงเขาเคยได้ยินชื่ออีกฝ่ายมานานแล้ว จงเถิงและมู่เฉินเหมือนมีความขัดแย้งกัน ก่อนหน้านี้ยังส่งสารมาขอให้เขาช่วยจัดการ ตอนแรกเขาคิดว่าถ้ามีโอกาสก็จะช่วยซะหน่อย แต่ตัดสินจากสถานการณ์ปัจจุบันจะเป็นการดีกว่าที่เขาจะสลายความคิดบ้าบอและเตือนจงเถิงว่าอย่ายั่วยุคนที่เหี้ยมหาญเช่นนี้

“ด้วยพลังการต่อสู้ที่มู่เฉินแสดงออกมา เขาน่าจะสามารถสู้รับมือไป๋หมิงได้อีกสักพัก อืม…ก็ดี ต่อให้จะไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ราบรื่นนักที่จะได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะ”

“บ้าเอ๊ย!”

ขณะที่ทุกคนมีความคิดไหลเวียนอยู่ในใจ ใบหน้าของไป๋หมิงก็มืดครึ้มลง เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดสนิท ลำแสงสีดำและหงส์ฟ้าน้ำแข็งต่างก็ครอบครองท้องฟ้าอย่างละครึ่ง แต่ละฝ่ายออกฤทธิ์อย่างบ้าคลั่งพยายามสลายฝ่ายตรงข้าม แต่สุดท้ายทั้งสองก็ไม่สามารถบรรลุผล ซึ่งส่งผลทำให้สถานการณ์หยุดชะงักลง

ทว่าสถานการณ์ชะงักงันไม่ได้เป็นสิ่งที่ไป๋หมิงต้องการเห็น

เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดบวกกับอาวุธเสมือนมหสวรรค์จะไม่สามารถแม้แต่จะฆ่าสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้

“ฝันไปเถอะที่คิดจะเอาชนะข้าวันนี้!” สายตาของไป๋หมิงกะพริบพร้อมกับความเย็นชา จากนั้นตราประทับก็เปลี่ยนแปลง พัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งพุ่งออกมาพร้อมกับกระแสเย็นเยือกขยายตัวออกมา คลื่นพลังหลั่งไหลลงไปไม่หยุดยั้งพยายามที่จะทำลายลำแสงสีดำ

มู่เฉินยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะ สัมผัสได้ว่าแรงกดดันที่มาจากหงส์ฟ้าน้ำแข็งกำลังเพิ่มสูงขึ้น เห็นได้ชัดว่าไป๋หมิงกำลังเพิ่มพลังงานให้กับหงส์ฟ้าน้ำแข็งเพื่อเอาชนะเขา

“เจ้าประเมินการโจมตีของข้าที่ใช้ของเหลวจื้อจุนล้านหยดน้อยไป”

ทว่าเมื่อเผชิญกับสิ่งนี้ รอยยิ้มเยาะเย้ยก็ยกขึ้นที่มุมปากของมู่เฉิน เนื่องจากจำเป็นต้องใช้ปริมาณของเหลวจื้อจุนจำนวนมากในการใช้งานเนตรดับชีวิตทุกครั้ง ราคานั้นเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจของมู่เฉินเจ็บปวด แต่สิ่งเดียวที่เขารู้สึกสบายใจก็คือหลังจากที่กลืนกินของเหลวจื้อจุนจำนวนมากการโจมตีของเนตรดับชีวิตก็คุ้มค่ายิ่งนัก

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลต่อไป ด้วยการเคลื่อนไหวเนตรดับชีวิตบนหน้าผากก็เปิดออกพร้อมกับเปล่งรัศมีทรงกลดสีดำ

ราวกับว่ามีสัญลักษณ์สีดำรวมตัวกันอย่างลึกซึ้ง

ฟิ้ว!

แสงสีดำละเอียดถูกยิงออกมาจากเนตรดับชีวิต พุ่งบิดเกลียวราวกับฟ้าฟาดรวมเข้ากับแสงสีดำที่กำลังเผชิญหน้ากับหงส์ฟ้าน้ำแข็ง ทันใดนั้นลำแสงสีดำก็ขยายตัว คลื่นกระแทกสีดำที่น่าหวาดกลัวกวาดออก ทำให้เกิดรอยแตกบนมิติโดยรอบเลยทีเดียว

“แตก”

เสียงแผ่วเบาเปล่งออกจากปากมู่เฉินในขณะนี้

ตู้ม!

เมื่อถ้อยคำหลุดออกมาจากปาก ลำแสงสีดำที่น่ากลัวก็ตอบสนองราวกับว่าได้รับคำสั่งจากเทพทำลายล้างพุ่งลงมาบนโลกมนุษย์ แสงสีดำสั่นเทิ้มทะลุผ่านหงส์ฟ้าน้ำแข็งขนาดใหญ่ไป

หลุมดำขนาดใหญ่ปรากฏบนร่างหงส์ฟ้าน้ำแข็ง กัดกร่อนร่างนั้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ

ทันทีที่หงส์ฟ้าน้ำแข็งถูกเจาะผ่าน สีหน้าของไป๋หมิงก็เปลี่ยนไปรุนแรง ความไม่อยากเชื่ออัดแน่นในดวงตา การโจมตีจากพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งเต็มกำลัง ไม่เพียงจะถูกต่อต้านโดยมู่เฉิน แต่ยังถูกทำลายลงอีกด้วยเรอะ?

“เป็นไปได้ยังไง?!” สีหน้าอำมหิตปกคลุมใบหน้าของไป๋หมิงพลางคำรามด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว

ฟิ้ว!

แต่มู่เฉินไม่ใส่ใจกับความรู้สึกของไป๋หมิงในขณะนี้ ลำแสงสีดำที่ควบแน่นด้วยราคาของเหลวจื้อจุนล้านหยดอ่อนล้าลงอย่างมากหลังจากการทะลุผ่านร่างหงส์ฟ้าน้ำแข็ง แต่ก็ยังไม่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเพียงแค่คิด ลำแสงสีดำก็พลิกกลับฉับพลันกวาดไปทางไป๋หมิง

เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที่จะกำจัดอีกฝ่าย

“แกคิดฆ่าข้าเรอะ? เพ้อเจ้อแล้ว!”

เมื่อไป๋หมิงเห็นฉากนี้ ม่านตาก็หดลงก่อนที่จะคำรามลั่น ฝ่าเท้ากระแทกลง พายุทอร์นาโดก็พวยพุ่งออกมาก่อร่างเป็นหงส์ฟ้าน้ำแข็งขนาดใหญ่อยู่เบื้องหลัง หงส์ฟ้าน้ำแข็งตัวนี้เปล่งประกายแวววาวประหนึ่งอัญมณี แรงกดดันทรงพลังกำจายออกมา

ไป๋หมิงถูกบีบให้ต้องนำร่างเทพอสูรออกมาแล้ว

ร่างของไป๋หมิงเคลื่อนไหวไปปรากฏบนหงส์ฟ้าน้ำแข็ง จากนั้นมือก็คว้าจับพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งที่ลอยบนท้องฟ้า กระแสเย็นเยือกไหลออกมา แสงน้ำแข็งสีฟ้าวูบไหว

“หงส์ฟ้าน้ำแข็งป้องกัน!

ทันใดนั้นพัดน้ำแข็งในมือของไป๋หมิงสั่นสะท้าน กระแสเย็นเยือกหลั่งไหลออกมา หงส์ฟ้าน้ำแข็งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็พ่นคลื่นพลังรุนแรง เมื่อหมุนคว้างไปก็กลายเป็นม่านพลังขนาดหนึ่งพันจั้งบนท้องฟ้าปกป้องเขาไว้

ตู้ม!

ลำแสงทำลายล้างปะทะม่านพลังก่อนที่เสียงกัมปนาทจะดังออกมา รอยแตกกระจายอย่างรวดเร็วครอบคลุมม่านพลังทั้งหมด

ปัง!

เมื่อม่านพลังมาถึงขีดจำกัดก็ระเบิดออก ไป๋หมิงที่ยืนอยู่บนหงส์ฟ้าน้ำแข็งได้รับผลกระทบจากการระเบิด เลือดกระอักเต็มปาก ใบหน้าของเขามืดครึ้มลง

ฮือฮา

เมื่อคนอื่นมองเห็นภาพนี้ก็อดสูดปากดูดอากาศไม่ได้ เพราะไม่มีใครคิดว่าไป๋หมิงจะเป็นคนแรกที่ได้รับบาดเจ็บจากการเผชิญหน้ากับมู่เฉิน

“ปะ… เป็นไปได้ยังไง?!” เมื่อไป๋ปิงเห็นภาพนี้ใบหน้าก็ซีดเผือดลง

ที่ด้านข้างฉื่อหงหวู่ก็แสดงออกอย่างเคร่งขรึม มาถึงจุดนี้ถ้าใครยังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนจอมยุทธ์ขุมพลังจือจุนขั้นเจ็ดทั่วไปก็โง่เต็มทีแล้ว

ครั้งนี้ไป๋หมิงเตะแผ่นเหล็กเข้าให้แล้ว

มู่เฉินยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะมองไปที่ไป๋หมิงที่กระอักเลือดออกมา ใบหน้าไม่มีริ้วอารมณ์ใด ในทางตรงกันข้ามเขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย ปฏิกิริยาของไป๋หมิงรวดเร็วไปหน่อย เขาเพิ่มการป้องกันออกมาทันทีที่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เลือดเต็มปากเป็นเพียงสัญญาณบ่งบอกว่าได้รับผลกระทบบางอย่าง ส่วนแสงเนตรดับชีวิตก็ถูกใช้ไปจนหมดแล้ว

ของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยดที่ใช้ลงไป สามารถจัดการไป๋หมิงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ชายคนนี้จัดการยากแท้จริง

ไป๋หมิงยืนอยู่บนหงส์ฟ้าน้ำแข็งค่อยๆ เช็ดรอยเลือดออกจากมุมปาก สายตาจ้องมองมู่เฉินด้วยแววมืดมน เสียงของเขาค่อนข้างแหบห้าวพูดว่า “กระบวนท่าเมื่อครู่แกยังสามารถโจมตีได้อีกกี่ครั้ง?”

การโจมตีกระบวนท่าเมื่อครู่ของมู่เฉินน่าสะพรึงกลัวก็จริง แต่เขารู้ว่ามีขีดจำกัดในการโจมตีประเภทนี้แน่นอน มิฉะนั้นไม่มีใครทนรับได้ถ้ามู่เฉินเปิดตัวการโจมตีอีก

“อยากลองไหม?” เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็ยิ้ม

“มาเลย!”

ไป๋หมิงยิ้มเย็นจากนั้นก็กระทืบเท้า หงส์ฟ้าน้ำแข็งที่อยู่เบื้องล่างกางปีกบินออกไป ขณะที่ปีกกระพือกระแสเย็นเยือกนับพันจั้งก็พุ่งเข้าหาร่างเทพสุริยะ

ตู้ม!

ร่างเทพสุริยะก็ทะยานเข้ามาในเวลาเดียวกัน แสงสีทองพุ่งออกไปในทุกทิศทุกทางต่อต้านกระแสเย็นเยือกอันน่ากลัว ก่อนที่จะรัวการโจมตีเป็นชุด

บนท้องฟ้าแสงสีทองและกระแสเย็นเยือกครางกระหึ่ม ร่างใหญ่ทั้งสองปะทะกันไม่หยุด แรงกระแทกนั้นทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน เบื้องบนร่างมหึมามีคนสองคนแลกกระบวนท่า พวกเขาหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างจนถึงขีดสุด แต่ละคนวูบไหวราวกับสายฟ้า สร้างภาพมายากระจายเต็มท้องฟ้า

ในเวลาไม่กี่นาทีทั้งสองก็แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันหลายร้อยกระบวนท่า ทุกการปะทะราวกับจะฉีกขาดท้องฟ้า

บนแท่นบูชาทุกคนได้แต่ตะลึงกับการบู๊ล้างผลาญครั้งนี้ จิตสังหารและคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตซึ่งปล่อยออกมาจากทั้งสอง ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว

ขณะนี้ทั้งสองโรมรันพันตูกันจนกระทั่งดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

ตู้ม!

บนท้องฟ้ากำปั้นใหญ่โตของร่างเทพสุริยะและปีกของหงส์ฟ้าน้ำแข็งปะทะกัน มู่เฉินเหวี่ยงฝ่ามือออกปะทะกับหมัดไป๋หมิง

คลื่นกระแทกที่ครอบงำสร้างหายนะ ขณะที่ทั้งสองฝ่ายถูกผลักกลับไปพร้อมกับคลื่นหลิงที่ผันผวนรอบตัวยุ่งเหยิงไปหมด พวกเขาได้รับความเดือดร้อนจากคลื่นกระแทกอย่างชัดเจน

การต่อสู้ดุเดือดจบลงที่เสมอกัน

“บ้า! บ้าเอ๊ย!”

แต่การตึงมือกันนี้กลับทำให้ดวงตาของไป๋หมิงแดงฉาน คนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองเช่นเขาไม่สามารถยอมรับได้ว่าจะถูกมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสร้างความปั่นป่วนให้ขนาดนี้

“ไม่ว่าจะต้องจ่ายราคาเท่าไร ข้าก็จะฝังแกไว้ที่นี่!” ไป๋หมิงคำรามลั่นด้วยจิตสังหารรุนแรง

เมื่อเห็นไป๋ปิงเห็นสีหน้าโหดเหี้ยมเพียงนี้ สีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แววตื่นระวังลุกโชนในดวงตา

เขารู้ว่าด้วยพลังและสถานะของไป๋หมิงจะต้องมีไพ่ตายอยู่แน่ เหตุผลที่อีกฝ่ายไม่ใช้ก่อนหน้าก็เพราะเสียดายในการใช้ แต่หลังจากถูกบังคับให้มาถึงจุดนี้ก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป

ดวงตาของไป๋หมิงเป็นสีแดงฉาน จิตสังหารรุนแรงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาจ้องเขม็งที่มู่เฉิน จากนั้นก็กระทืบเท้า หงส์ฟ้าน้ำแข็งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าส่งเสียงร้องครางก่อนที่จะพ่นแก่นเลือดออกมา

แก่นโลหิตนั้นบรรจุด้วยคลื่นหลิงไร้ขอบเขต

ไป๋หมิงแตะนิ้วลงไป พัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งในมือก็บินออกไป ราวกับว่าเปิดปากกลืนกินเลือดเข้าไป

ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีซีดทันที

พัดน้ำแข็งสีฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง โดยมีเส้นเลือดสีแดงเต้นยุบยับขึ้นบนตัวพัด กลิ่นคาวเลือดรุนแรง มองดูอำมหิตมาก

ไป๋หมิงมองดูการเปลี่ยนแปลงของอาวุธคู่กาย ก็ปล่อยเสียงคำรามลึกดังก้องไปทั่วขอบฟ้า

“สังเวยโลหิตหงส์ฟ้า!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1058 เนตรดับชีวิตปะทะพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็ง
เมื่อพัดขนนกน้ำแข็งปรากฏขึ้นในมือของไป๋หมิง

อุณหภูมิระหว่างสวรรค์กับโลกก็ลดฮวบลง มากจนกระทั่งเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมา แรงกดดันที่อธิบายไม่ได้ค่อยๆ เล็ดลอดออกมา

“ไอ้มนุษย์นั่นบีบให้พี่ใหญ่ไป๋หมิงต้องใช้พัดหงส์ฟ้าน้ำแข็ง” เมื่อไป๋ปิงเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็มืดครึ้มลง พัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งเป็นของขวัญที่ผู้อาวุโสในเผ่ามอบให้แก่ไป๋หมิงเนื่องจากความเป็นอัจฉริยภาพของเขา ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูธรรมดาไป๋หมิงไม่เคยคิดใช้ เขาจะใช้อาวุธนี้เฉพาะกับคู่ต่อสู้ในระดับที่เท่าเทียมกันเช่น ข่งหลิงเผ่านกยูงเก้าสีหรือจงชิงเฟิงเผ่าคุนเผิง

แต่ตอนนี้ไป๋หมิงถูกบีบให้ต้องนำออกมาเมื่อเผชิญหน้ากับมนุษย์ที่เพิ่งบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด ความหมายเบื้องหลังการกระทำนี้ชัดเจนมาก

มู่เฉินซึ่งพวกเขาดูถูกเหยียดหยามในตอนแรก มีพลังที่ไป๋หมิงไม่สามารถประมาทได้

“ไม่ว่ามันจะทรงพลังเพียงใด ก็ต้องจบลงตอนนี้แหละ!” ไป๋ปิงกัดฟันกรอดสายตาสาดไอชั่วร้าย พรสวรรค์และพลังที่มู่เฉินแสดงออกมาทำให้เขารู้สึกอิจฉา คนแบบนี้ในเมื่อเป็นศัตรูแล้ว พวกเขาก็ต้องกำจัดให้สิ้นซาก อัจฉริยะแบบนี้ต้องตายก่อนที่จะเติบใหญ่มากกว่านี้!

ด้วยพลังของไป๋หมิงที่อยู่ระดับจื้อจุนขั้นแปดบวกกับพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็ง แม้แต่อสูรวิญญาณขั้นแปดก็จะถูกฆ่าทันที ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินเลย

อีกมุมหนึ่งจิ่วโยว หานซันและคนอื่นๆ ก็มองการต่อสู้ด้วยแววกังวลในดวงตา ตอนแรกพวกเขาคิดว่าไป๋หมิงจะใช้อาวุธในอีกสักพัก แบบนั้นมู่เฉินจะได้มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้นอีกหน่อย แต่ใครจะคิดว่าไป๋หมิงจะชี้ขาดแบบนี้ เมื่อพบว่ามู่เฉินไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ธรรมดา เขาก็ตัดสินใจนำอาวุธเสมือนมหสวรรค์ออกมาทันที

ด้วยอาวุธเสมือนมหสวรรค์ พลังในการต่อสู้ของไป๋หมิงจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ไป๋หมิงยืนอยู่บนท้องฟ้าในขณะที่โบกพัดขนนกในมือเบาๆ สายตาอัดแน่นด้วยความเย็นเยือกเสียดแทงถึงแก่นกระดูก หลังจากพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งออกมาเขาก็ไม่ได้คิดจะพูดอะไรให้เปลืองน้ำลาย เทคลื่นหลิงลงไปภายในอย่างต่อเนื่อง

ครืน!

เมื่อสะบัดพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็ง กระแสธารน้ำแข็งสีฟ้าก็กวาดออกอย่างยิ่งใหญ่เปลี่ยนท้องฟ้าให้กลายเป็นโลกน้ำแข็ง

พายุทอร์นาโดเย็นจัดส่งเสียงกระหึ่มขณะที่พุ่งเข้าใส่มู่เฉิน ในทางผ่านแม้แต่อากาศยังกลายเป็นน้ำแข็ง

กระแสธารเย็นยะเยือกบรรจุด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงน่ากลัวอย่างยิ่ง ความเย็นนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดยังไม่กล้าดูถูก นอกจากนี้กระแสธารยังไหลเร็วมาก เพียงลมหายใจเดียวก็พัดไปถึงร่างเทพสุริยะแล้ว

แคร็ก!

ชั้นน้ำแข็งหนากระจายออกไปอย่างรวดเร็วบนร่างเทพสุริยะ ไม่กี่อึดใจร่างใหญ่โตก็กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งเสียแล้ว

ปัง!

แต่ชั้นน้ำแข็งหนาก็ปกคลุมได้เพียงชั่วครู่ ก่อนที่แสงสีทองรุนแรงจะระเบิดออกมาจากร่างเทพสุริยะ แตกสลายชั้นน้ำแข็งหนาจนแหลกลาญ

ร่างเทพสุริยะยืนตระหง่านบนท้องฟ้าขณะที่แสงสีทองมันวาวเปล่งประกายขึ้น แต่มู่เฉินที่ยืนอยู่ด้านบนใบหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เพราะเขารู้ชัดว่าตนเองใช้พลังงานจำนวนมหาศาลเพียงใดเพื่อทำลายชั้นน้ำแข็งเมื่อครู่

หลังจากใช้พัดหงส์ฟ้าน้ำแข็ง คลื่นหลิงเย็นเยือกของไป๋หมิงก็ยกระดับขึ้นหลายส่วน ในเวลาเดียวกันก็ยากที่จะรับมือมากขึ้น

สายตาของมู่เฉินวูบไหวก่อนที่จะประสานมือเข้าด้วยกันฉับพลัน แสงสีทองระเบิดออกก่อตัวเป็นคทาขวางฟ้าสองเล่มเบื้องหน้าร่างเทพสุริยะอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ซัดใส่ไป๋หมิงเต็มเหนี่ยว

ทว่าเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในสภาพน่าอนาถก่อนหน้า ไป๋หมิงก็ไม่แม้แต่ยกคิ้วขึ้น เขาโบกพัดขนนกในมือ กระแสธารเย็นเยือกกวาดผ่าน คทาสีทองที่พุ่งเข้ามาก็ถูกเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งทันทีก่อนที่จะระเบิด

“เขาแข็งแกร่งขึ้นมากจริงๆ พัดขนนกในมือเจ้านั่นไม่ธรรมดา” มู่เฉินหรี่ตาลง คลื่นหลิงที่ไป๋หมิงฝึกฝนหนาวเย็นสุดขั้วบวกกับพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งในมือก็ราวกับพยัคฆ์ติดปีก ตอนนี้แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด ไป๋หมิงก็ถือว่าต่อกรด้วยยากแล้ว

“ถ้านี่คือทั้งหมดที่แกมี ก็รอความตายมาถึงได้เลย”

ไป๋หมิงโบกพัดเบาๆ จ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาไม่แยแสพลางพูดขึ้น เขาไม่รอมู่เฉินจะได้ตอบโต้อะไร พัดขนนกก็ยกขึ้นอย่างช้าๆ ลอยอยู่ที่เบื้องหน้า

ไป๋หมิงวาดตราประทับด้วยมือทั้งสอง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพรั่งพรูออกมาจากร่างกายทันทีเทลงบนพัดขนนกอย่างต่อเนื่อง

เมื่อคลื่นพลังงานหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด พัดก็ขยายตัว ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็ขยายขนาดไปเป็นร้อยจั้ง ตัวพัดค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็งที่ดูงดงามมาก

มองพัดขนนกที่ราวกับอัญมณี มู่เฉินก็รู้สึกเจ็บปวดรุนแรงไปทั่วร่างกาย สีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกถึงภัยคุกคามรุนแรง

รัศมีเย็นเยือกเชี่ยวกรากกวาดออกมาจากพัดขนนก สีฟ้าเย็นยะเยือกก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มลึกซึ่งเต็มไปด้วยพลังการทำลายล้าง

สายตาเย็นเยือกของไป๋หมิงจับจ้องไปที่มู่เฉิน รอยยิ้มอัดแน่นด้วยจิตสังหารยกขึ้นที่มุมปาก

“พัดหงส์ฟ้าน้ำแข็ง หงส์ฟ้าน้ำแข็งสังหาร!”

ตราประทับในมือไป๋หมิงเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ พัดขนนกเอียงลงช้าๆ ก่อนที่จะพัดลมใส่มู่เฉินที่อยู่ไกลออกไป

ตู้ม!

ฟ้าดินกลายเป็นหนาวเย็นและดำมืดทันที กระแสธารเย็นเยือกสีน้ำเงินเข้มที่ไม่มีที่สิ้นสุดกวาดออกมาจากพัด นอกจากนี้เมื่อไอเย็นส่งเสียงครางกระหึ่มก็กลายเป็นหงส์ฟ้าน้ำแข็งสีน้ำเงินเข้มที่มีขนาดประมาณหนึ่งพันจั้ง ไอเย็นเยือกที่ปกคลุมบนหงส์ฟ้าน้ำแข็งสามารถเปลี่ยนจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดให้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งได้เลยทีเดียว

นอกลานประลอง ทุกคนตัวสั่นเทิ้มพร้อมกับความหวาดผวาฉายบนใบหน้า นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกได้ว่าคลื่นหลิงในร่างกายกำลังแสดงสัญญาณค่อยๆ แข็งตัวลง

พวกเขาเพียงแค่ได้รับผลกระทบจากกระแสไอเย็นสุดขั้ว หากพวกเขาเผชิญหน้ากับมัน บางทีพวกเขาอาจจะกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งโดยไม่มีพลังใดๆ หลงเหลือ ก่อนที่หงส์ฟ้าน้ำแข็งสีน้ำเงินเข้มจะร่อนลงมาเสียอีก

“ช่างเป็นไอเย็นที่น่าสะพรึงกลัว!”

ใบหน้าของทุกคนซีดไปหมด ไป๋หมิงไม่ไว้หน้าจริงๆ เขานำพลังของพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งออกมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์ การโจมตีนี้ ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉิน แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดอย่างข่งหลิงก็ต้องเผชิญหน้าอย่างเต็มกำลัง

“มันตายแน่!” ไป๋ปิงยิ้มกริ่ม แม้ว่ามู่เฉินจะค่อนข้างมีความสามารถ แต่ก็เป็นทุกขลาภในเวลาเดียวกันที่บีบให้ไป๋หมิงใช้กระบวนท่านี้

หงส์ฟ้าน้ำแข็งกวาดออกไป ใบหน้าของไป๋หมิงก็มืดดำลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าการโจมตีที่น่ากลัวทำให้เขาอ่อนเพลียมาก แต่ก็ถึงเวลาที่จะจบการต่อสู้นี้แล้ว

หวือ! หวือ!

หงส์ฟ้าน้ำแข็งกวาดเข้ามา พื้นผิวบนร่างกายของมู่เฉินก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ไอเย็นเยือกที่เจ็บปวดเจาะกระดูกกัดกร่อนเข้ามาในร่าง แม้ว่าจะมีพลังกายทรงประสิทธิภาพก็ยังรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวสำหรับเขา

ถ้าปล่อยให้หงส์ฟ้าน้ำแข็งปะทะเข้ามาละก็ เขาได้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งแน่ แม้ว่าจะฝึกฝนกายามังกรหงส์ขั้นสองแล้วก็ตาม

ฮา

มู่เฉินพ่นลมหายใจออกมากลายเป็นน้ำแข็งที่เบื้องหน้าพร้อมกับตัวเขาค่อยๆ หลับตาลง

“ไม่คิดต่อต้านแล้วเรอะ?” พอเห็นท่าทางนั่น ไป๋หมิงก็หัวเราะเยาะ แต่รอยยิ้มก็อยู่เพียงชั่วครู่ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้ว เขาเห็นเส้นแนวตั้งค่อยๆ เปิดเป็นม่านตาสีดำบนหน้าผากของมู่เฉิน

“นั่นคืออะไร?” คนอื่นๆ ที่ตกใจกับการโจมตีของไป๋หมิง เมื่อเห็นฉากนี้ก็ต้องร้องอุทาน

จิ่วโยวและพรรคพวกรู้สึกโล่งใจ ในที่สุดมู่เฉินก็นำเนตรดับชีวิตออกมาใช้ นี่เป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์เช่นกัน ด้วยสิ่งนี้เขาอาจจะสามารถป้องกันการโจมตีของไป๋หมิงได้

เมื่อเนตรดับชีวิตเปิดออกก็ครอบคลุมไปด้วยแสงสีดำลึกลับ มู่เฉินสะบัดนิ้ว กระแสคลื่นกวาดออกมาส่งเสียงฮึมฮัมซึ่งบรรจุด้วยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตและบริสุทธิ์ เมื่อคนอื่นเห็นฉากนี้ ดวงตาก็แทบจะถลนออกจากเบ้า เนื่องจากพวกเขาพบว่ากระแสคลื่นนี้เกิดจากของเหลวจื้อจุน

ตัดสินจากขนาดของเหลวจื้อจุนนี้ต้องมีอย่างน้อยล้านหยด

ตราประทับของมู่เฉินเปลี่ยนแปลงเร็วจี๋ แรงดูดทรงพลังระเบิดออกจากเนตรดับชีวิตราวกับวาฬสูบน้ำ กลืนกินของเหลวจื้อจุนเข้าไปทั้งหมด

เมื่อของเหลวจื้อจุนล้านหยดซึมซาบลงไปในเนตรดับชีวิต แรงกระเพื่อมสีดำที่ผันผวนก็ราวกับหลุมดำเมื่อมองจากระยะไกล

“ก็แค่มายากล!”

เมื่อไป๋หมิงเห็นภาพนี้ ดวงตาก็หดลงแวบหนึ่ง แต่จากนั้นก็ยิ้มเย็นเยือก ไม่ว่ามู่เฉินจะทำแบบไหน เขาก็สามารถเอาชนะได้ด้วยกระบวนท่านี้แน่

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

รัศมีทรงกลดสีดำเปล่งออกมาจากเนตรดับชีวิต ก่อนที่มู่เฉินจะเปิดดวงตาขึ้นในขณะนี้ เมื่อเขาลืมตามือทั้งสองก็วาดกระบวนท่า “เนตรดับชีวิต แสงเทพดับชีวิต!”

ม่านตาสีดำเปิดกว้าง ทันใดนั้นโดยรอบก็มืดฟ้ามัวดิน แสงทั้งหมดเหมือนจะถูกกลืนกินโดยดวงตาแนวตั้งนั่น

ลำแสงสีดำขนาดใหญ่ยิงออกมาจากรูม่านตา

ลำแสงสีดำมืดมนน่าสะพรึงกลัว ไม่มีคลื่นหลิงรุนแรงผันผวนออกมา แต่เมื่อแสงยิงออกไป ทุกคนในบริเวณนี้ก็รู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาเย็นเยือกและหนังหัวลุกชันไปหมด

พวกจิ่วโยวก็มีสีหน้าเคร่งเครียด ลำแสงที่ออกมาจากเนตรดับชีวิตครั้งนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนที่สังหารอสูรวิญญาณขั้นแปดเสียอีก!

เพียงแต่ไม่รู้ว่าการโจมตีนี้จะสามารถต้านทานการโจมตีที่น่ากลัวของไป๋หมิงได้หรือไม่?

อาวุธเสมือนมหสวรรค์ชิ้นไหนจะทรงพลัง คงสามารถบอกได้หลังจากที่ปะทะกันในกระบวนท่านี้

ภายใต้สายตากระวนกระวายใจ ลำแสงสีดำก็ทะลุผ่านเส้นขอบฟ้าก่อนที่จะปะทะกับหงส์ฟ้าน้ำแข็งที่ทะยานเข้ามา

พริบตานั้นทั้งสวรรค์และโลกก็เงียบสนิท

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1057 มังกรพยัคฆ์สู้กัน
ครืน!

ภูเขาน้ำแข็งที่ดูราวกับหงส์ฟ้าสยายปีกพุ่งลงมาด้วยความเย็นไม่มีขีดจำกัด เมื่อความหนาวเย็นพัดผ่านกระทั่งมิติก็ยังถูกแช่แข็ง ช่างเป็นภาพงดงามตระการตาเมื่อมองจากระยะไกล

ทว่าภายใต้ความงดงามกลับเป็นอันตรายที่ทำให้หัวใจของผู้คนหวาดกลัว

เมื่อภูเขาน้ำแข็งขยายตัวอย่างรวดเร็วในม่านตาของมู่เฉิน เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าเคร่งขรึมลงหลายส่วน ก่อนที่จะเริ่มวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว

ฮึ่ม!

คลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกจากภายในร่างของมู่เฉินราวกับน้ำท่วม เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้าคลื่นพลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นมากหลายเท่า

“ที่แท้ก็บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้วนี่เอง!” เมื่อรับรู้ถึงคลื่นพลังงานรอบตัวมู่เฉิน สายตาทุกคนก็วูบไหว ตอนที่พวกเขาพบกับมู่เฉินที่นอกสุสานสักการะเทพ เขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุดเท่านั้น ไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถก้าวขึ้นไปอีกขั้นในเวลาอันสั้นได้

แต่ถึงแม้จะบรรลุได้ เขาก็อยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น ขณะที่ไป๋หมิงอยู่ในขั้นแปดของแท้!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตหมุนวนรอบตัวขณะที่สายตามู่เฉินกะพริบวูบไหว ตราประทับเปลี่ยนไปอีกครั้ง แสงสีทองเบ่งบานออกมาจากร่างกาย เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องกังวาน มีแรงกดดันทรงพลังกระจายออกมาเบาบาง

มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตอยู่ในแขนของมู่เฉินส่งเสียงคำรามลั่นชั้นฟ้า แสงสีทองเอิบอาบไปทั่วเนื้อหนังของมู่เฉิน เกล็ดมังกรสีทองและปีกหงส์ฟ้าสีทองผุดขึ้นบนแขนของเขา ราวกับว่ากำลังก่อร่างเป็นชุดเกราะแขน ครอบคลุมแขนเขาเอาไว้เป็นชั้นๆ

พลังหลิงและพลังกายระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ในขณะนี้

ตู้ม!

แสงหลิงที่มองเห็นด้วยตาเปล่าผันผวนบนร่างของมู่เฉิน แรงกระเพื่อมทำให้จอมยุทธ์หลายคนมีสีหน้าเปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามที่รุนแรงที่เกิดขึ้นจากมู่เฉิน

แม้แต่จอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดยังรู้สึกว่าหนังหัวลุกชันเมื่อเผชิญหน้ากับมู่เฉินในตอนนี้

“เจ้านั่นมีความสามารถใช้ได้ มิน่าล่ะถึงกล้าท้าทายไป๋หมิง!” ใบหน้าของจอมยุทธ์เหล่านั้นค่อยๆ เปลี่ยนเคร่งเครียด อาการเยาะเย้ยก่อนหน้าหายไปมาก นั่นเป็นเพราะภาพเบื้องหน้าพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาจะมีได้

ปัง!

เมื่อความคิดวนเวียนอยู่ในใจ พวกเขาก็เห็นมู่เฉินถอยกลับไปครึ่งก้าวหลังจากรวมพลังกายและพลังหลิงเข้าด้วยกัน ร่างของเขาราวกับคันธนู ศอกง้างกลับไปด้านหลังจากนั้นก็ซัดออกมา

หมัดดูเชื่องช้าราวกับเคลื่อนที่ผ่านโคลน ทว่าทุกคนสามารถมองเห็นมิติบิดเบี้ยวในวิถีหมัด ระลอกคลื่นกระจายออกไปจากกำปั้นของเขาอย่างต่อเนื่อง

ตู้ม!

หมัดเหวี่ยงออกไป แสงหลิงที่รุนแรงก็ถูกกวาดออกปะทะกับภูเขาน้ำแข็งที่เคลื่อนลงมาภายใต้สายตาเคร่งเครียดที่จับจ้องมากมาย

ความผันผวนที่มองเห็นได้ปะทุเปรี้ยงปร้าง รอยร้าวกระจายออกไปอย่างรวดเร็วบนลานประลอง ร่างของมู่เฉินถูกภูเขาน้ำแข็งกดลงไปหนึ่งชุ่น เท้าจมลงในแผ่นพื้นที่แข็งแรง

เมื่อมองจากที่ไกล มู่เฉินดูราวกับพยัคฆ์ร้ายที่อยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง พยายามดิ้นรนอย่างขมขื่น

เมื่อไป๋หมิงเห็นภาพนี้จากบนท้องฟ้าก็ยิ้มเย็นพร้อมกับขยับไปปรากฏตัวบนภูเขาน้ำแข็ง ตั้งใจที่จะกระทืบฝ่าเท้าลงไปเพื่อให้มู่เฉินฝังตัวอยู่ในลานประลอง

แต่ขณะที่เท้าของเขากำลังจะเหยียบลงไป ภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็สั่นสะเทือน!

โฮก!

เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องออกมาจากใต้ภูเขาน้ำแข็ง เสาแสงมังกรหงส์ขนาดหนึ่งร้อยจั้งก็พวยพุ่งขึ้นแยกภูเขาน้ำแข็งทะลุไปถึงยอด แสงสีทองที่ครอบงำนาบลงที่ใต้ฝ่าเท้าของไป๋หมิง

ใบหน้าของไป๋หมิงมืดครึ้ม ก่อนที่ร่างจะสว่างวาบหายไป ทิ้งภาพมายาไว้เบื้องหลังซึ่งถูกแสงสีทองแทงทะลุผ่านมา

ปัง!

แสงสีทองพุ่งขึ้นสู่ชั้นฟ้าดูราวกับเสาสูงตระหง่านที่เชื่อมโยงสวรรค์และโลก ภายใต้แสงสีทองอำไพ ภูเขาน้ำแข็งก็โยกคลอนก่อนที่จะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างรวดเร็วแล้วอันตรธานหายไป

เมื่อกลุ่มอื่นๆ บนแท่นบูชาเห็นภาพนี้ก็ตกใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าการประลองซึ่งควรจะเป็นการต่อสู้ด้านเดียวจะเหนือความคาดหมายเช่นนี้

รัศมีเย็นเยือกค่อยๆ จางหายไป ทุกคนจ้องมองไป ก็เห็นมู่เฉินกำลังดึงขาขึ้นจากพื้นโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสายตาจับจ้องที่ท้องฟ้า

จุดนั้นไป๋หมิงปรากฏตัวขึ้นในพริบตา แม้เขายังแสดงสีหน้าไม่แยแส แต่ในดวงตามีแววอัศจรรย์ใจปรากฏอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางเขาจะตกใจไปกับพลังที่มู่เฉินแสดงออกมาก่อนหน้า

ด้วยการรวมกันของพลังหลิงและพลังกาย แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่เขาครอบครองมีมากเกินขอบเขตไปไกลมาก

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมู่เฉินถึงกล้าท้าทายเขา ที่แท้ก็มีความสามารถบางอย่างนี่เอง

ตู้ม!

ขณะที่ดวงตาของไป๋หมิงกะพริบ มู่เฉินที่อยู่เบื้องล่างก็กระทืบเท้าลงบนพื้นส่งแรงพุ่งเป็นสายแสงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพุ่งเข้าหาไป๋หมิง

ความปั่นป่วนสะท้อนไปทั่วบริเวณ มู่เฉินยังกล้าเป็นฝ่ายเริ่มตีโต้กลับรึ?

ฟิ้ว!

มู่เฉินปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับเหนือไป๋หมิง มือวาดตราประทับอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกมา มิติบิดเบี้ยวที่ด้านหลัง จุดจื้อจุนไห่เผยขึ้นอย่างเลือนราง แสงสีทองพุ่งออกมารวมตัวกันเป็นร่างขนาดใหญ่ที่สูงตระหง่านประหนึ่งเทพเซียน

มู่เฉินซัดใส่อย่างโหดร้ายทันทีที่เริ่มการโจมตี เขาเร้าร่างเทพสุริยะตั้งแต่เริ่มต้น เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าไป๋หมิงเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากต่อกร ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะลากการต่อสู้ให้ยาวเลือกดึงพลังเต็มที่ออกมาอย่างรวดเร็ว

ร่างเทพสุริยะยืนอยู่บนท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีทองและดูลึกลับมาก มู่เฉินปรากฏบนหัวร่างใหญ่พร้อมกับตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงวูบไหว ดวงตะวันห้าดวงลุกโชติช่วงขึ้นจากร่างเทพสุริยะ สุดท้ายก็ระเบิดออกมา

“เปิดห้าตะวัน หอกสุริยะ!”

สายธารสีทองควบแน่นอยู่บนฝ่ามือของร่างเทพสุริยะกลั่นเป็นหอกทองคำขนาดใหญ่ที่มีดวงตะวันห้าดวงโคจรโดยรอบ เปล่งพลังทรงประสิทธิภาพออกมา

ด้วยขุมพลังปัจจุบันของมู่เฉิน เพียงแค่พลิกมือก็ใช้กระบวนท่าระดับนี้ออกมาได้

ฟิ้ว!

หอกทองคำพุ่งออกไป ทำให้อากาศระเบิดออก จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งไปทางไป๋หมิง ความผันผวนที่น่าสะพรึงกลัวราวกับอุกกาบาตดิ่งลงมานำมาซึ่งการทำลายล้าง

“หึ!”

หอกทองคำกวาดลงมา ไป๋หมิงสัมผัสได้ถึงการโจมตีไร้ขอบเขตใบหน้าก็มืดครึ้มลง เขาเค้นเสียงเย็นชา ทันใดนั้นมือทั้งสองข้างก็ประสานเข้ากันสร้างตราประทับ สัญลักษณ์ลึกซึ้งกระจายออกมาจากฝ่ามือ ก่อนที่เขาจะกดลงไปที่อากาศตรงหน้า

“ขนหงส์ฟ้าน้ำแข็ง!”

ฮึ่ม!

แสงหลิงไร้ขอบเขตควบแน่นกลายเป็นขนนกสีฟ้าน้ำแข็งร้อยจั้งแผ่ซ่านด้วยไอเย็นสะท้านปะทะกับหอกทองคำ

ปัง!

คลื่นกระแทกรุนแรงพัดออกมา หอกทองคำและขนนกน้ำแข็งก็ระเบิดพร้อมกัน

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ขณะที่คลื่นกระแทกกวาดอาละวาด เสียงมวลลมพัดกระหึ่มก็ดังกึกก้องอยู่เบื้องหน้า ไป๋หมิงเงยหน้าขึ้นทันทีก่อนที่ม่านตาจะหดลง

สายธารสีทองสิบกว่าสายปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า สายธารแต่ละสายล้วนก่อจากหอกทองคำที่มีพลังพอจะจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดให้บาดเจ็บหนักได้

เมื่อพลังของมู่เฉินเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด เขาก็สามารถใช้พลังหอกสุริยะได้อย่างง่ายดาย ซึ่งในอดีตเขาต้องเค้นความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะสามารถใช้การโจมตีกระบวนท่านี้ได้

ขนาดของกระบวนท่านี้เพียงพอที่จะทำให้เหล่าจอมยุทธ์รู้สึกหนังหัวชาดิกไปหมด

“ทักษะปัญญาอ่อน!”

พร้อมกับใบหน้าเย็นชา นิ้วของไป๋หมิงก็พวยพุ่งด้วยแสงเย็นเยือก เขาวาดตราประทับบนมิติตรงหน้า อึดใจต่อมานิ้วก็หยุดลง สายธารเย็นเยือกถั่งโถมออกมาก่อตัวเป็นโล่หนาขนาดพันจั้งที่มีภาพหงส์ฟ้าสยายปีกสลักอยู่ด้านบน ช่างงดงามและแข็งแกร่งมาก แม้แต่การโจมตีของจอมยุทธุ์มพลังจื้อจุนขั้นแปดก็ไม่สามารถเจาะทะลุผ่านได้

ปัง! ปัง!

หอกทองคำครางกระหึ่มกระแทกกับโล่หงส์ฟ้าน้ำแข็งอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการโจมตีจะดุร้ายก็ทำได้เพียงให้เกิดรอยแตกบนโล่ ไม่สามารถทะลุผ่านได้

“ไม่มีพลังระดับจื้อจุนขั้นแปด ก็ฝันไปเถอะที่จะทำลายโล่วิญญาณหงส์ฟ้าน้ำแข็งของข้า” ยืนอยู่ข้างหลังโล่ไป๋หมิงสาดยิ้มเย็นชา

ฮึ่ม!

ทันทีที่เขาพูดจบ แสงสีทองก็ระเบิดออกมาที่เบื้องหน้า ลำแสงสีทองสองสายยิงออกมาราวกับดาวหาง ซึ่งภายในก็คือคทาสีทองขนาดใหญ่สองเล่ม

นี่คือกระบวนท่าย่อยเปิดเจ็ดตะวัน—คทาขวางฟ้า!

ในอดีตมู่เฉินสามารถควบแน่นได้เพียงหนึ่งเล่มด้วยพลังกาย แต่เมื่อรวมกับการพัฒนาขุมพลังตอนนี้ เขาสามารถควบแน่นคทาสองเล่มได้เพื่อใช้โจมตีพร้อมกัน

พลังคทาสองเล่มเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดของแท้ก็ไม่กล้าประมาท

ตู้ม!

คทาสีทองทะลุขอบฟ้า อึดใจต่อมาก็กระแทกกับโล่วิจิตรบรรจง อาวุธทั้งสองชะงักลงชั่วคราว จากนั้นคลื่นกระแทกที่น่าสะพรึงกลัวก็กวาดออกมา โล่น้ำแข็งที่สามารถต้านการโจมตีของระดับจื้อจุนขั้นแปดก็ระเบิดออก

สะเก็ดน้ำแข็งและแสงสีทองสร้างหายนะไปทั่ว ไป๋หมิงก็ถอยร่นออกไปในสภาพที่น่าสมเพช ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด เห็นได้ชัดว่าการโจมตีรุนแรงกะทันหันของมู่เฉินทำให้เขาเสียเปรียบ

บริเวณใกล้เคียงเหล่าจอมยุทธ์ฉายแววตาตกตะลึง เพราะไม่มีใครคาดว่ามู่เฉินจะบีบให้ไป๋หมิงเข้าสู่สภาวะน่าอนาถได้

บนแท่นบูชาใบหน้าของไป๋ปิงก็เปลี่ยนเป็นความไม่เชื่อเช่นกัน ที่ด้านข้างใบหน้าของฉื่อหงหวู่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ทั้งสองไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะมีความแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับไป๋หมิงได้

บนแท่นบูชาภายใต้สายตาตะลึงพรึงเพริดนับไม่ถ้วน ไป๋หมิงก็ทรงตัวได้มั่นคงบนลานประลอง สายตาราวกับใบมีดขณะที่จ้องมองมู่เฉินด้วยสีหน้าโกรธแค้น

เขาไม่คิดว่าการจัดการกับมนุษย์คนนี้จะทำให้เขาลำบากเช่นนี้

ทว่าไป๋หมิงไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นความโกรธในใจจึงถูกระงับลงอย่างรวดเร็ว เขามองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชาก่อนที่จะเหยียดมือออกช้าๆ แสงเย็นเยือกวูบไหว พัดขนนกน้ำแข็งสีฟ้าก็ปรากฏขึ้น

เมื่อไป๋หมิงจับพัด แม้แต่มู่เฉินก็ต้องหดตาลง เนื่องจากภัยคุกคามจากอีกฝ่ายในตอนนี้ถูกยกขึ้นไปอีกขั้น

“ในที่สุดก็จะใช้อาวุธเสมือนมหสวรรค์แล้วเรอะ”

**สำนวน มังกรพยัคฆ์สู้กัน แปลได้ว่า การต่อสู้ดุเดือดหรือหฤโหดมาก

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1056 สู้กับไป๋หมิง
บนบันได

มู่เฉินก้าวขึ้นไปบนลานประลองภายใต้สายตาไม่แยแสของไป๋หมิง เขาไม่ได้ให้ความใส่ใจกับสายตาตกตะลึงที่พุ่งมา ทำเพียงคลี่ยิ้มให้ไป๋หมิง “พวกข้าก็สนใจแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะน่ะ”

ไป๋หมิงโบกพัดขนนกสีฟ้าน้ำแข็งในมือ ไอเย็นเยือกพัดออกมาก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉินแล้วก็พยักหน้า “ละครอย่างเดียวไม่มีอะไรน่าดูก็จริง ในเมื่อมีตัวตลกอยากเพิ่มความสนุก ข้าก็ยินดีที่จะเล่นด้วยสักหน่อย”

มุมปากของเขายกขึ้นด้วยความดูถูก คำพูดรุนแรงใส่ลงไปไม่ไว้หน้าให้กับมู่เฉิน

เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่เริ่มเขาก็ไม่เห็นมู่เฉินเป็นคนที่อยู่ในระดับเดียวกับเขา

เมื่อได้ยินคำพูดดูถูกเหยียดหยาม แววเกรี้ยวกราดก็วูบไหวในดวงตาของจิ่วโยว ขณะที่มั่วหลิงเดือดดาล ทว่าแม้พวกนางจะโกรธ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เพราะพวกนางกังวลเต็มหัวใจ ถึงมู่เฉินจะประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด แต่ถ้าเขาต่อสู้กับไป๋หมิง ใครจะชนะก็ยังไม่แน่นอน

ตรงกันข้ามกับความโกรธของพวกนาง มู่เฉินไม่ได้มีริ้วอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า “ข้าว่ายังเร็วไปที่จะตัดสินว่าใครเป็นตัวตลก”

รอยเยาะเย้ยที่มุมปากของไป๋หมิงลึกขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่ใส่ใจที่จะลับฝีปากกับมู่เฉิน เขาเพียงคิดว่ามู่เฉินกำลังดิ้นรนก่อนตาย เขาจึงโบกพัดขนนกเบาๆ ขณะที่หลับตาลง

ทว่าเมื่อเขาหลับตา ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเย็นเยือกรวมตัวบนร่างไป๋หมิง

จินตนาการได้ว่าเมื่อเขาเริ่มโจมตี กระบวนท่าจะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นขนาดไหน เขาจะต้องใช้ความเร็วเกินพิกัด เพื่อเหยียบอีกฝ่ายไว้ใต้ฝ่าเท้าราวกับสุนัขตายซากให้เร็วที่สุด ในเวลานั้นเขาจะดูว่ามู่เฉินจะยังคงหน้านิ่งได้อยู่หรือไม่

“แกรนหาที่ตาย!”

เมื่อไป๋หมิงหลับตาลง ไป๋ปิงก็แสยะยิ้มขณะมองไปที่มู่เฉินอย่างอาฆาตมาดร้าย เขาไม่คิดเลยว่าไอ้โง่นี้ยังกล้าไปท้าทายไป๋หมิงในขณะนี้

ถ้าไอ้บ้านี่คุกเข่าลงขอร้องและส่งมอบสมบัติที่เกี่ยวข้องกับรัศมีหงส์ฟ้าแท้จริงให้ บางทีไป๋หมิงอาจจะให้หน้ากับเผ่าวิหคโลกันตร์และปล่อยพวกเขาไป แต่ตอนนี้ทุกอย่างสายเกินแก้ ไอ้โง่นั่นทำให้ไป๋หมิงโกรธอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นไป๋ปิงทำนายได้ว่า ณ แท่นบูชาแห่งนี้จะเป็นสถานที่ฝังศพของมนุษย์ที่ชื่อมู่เฉิน

ที่ด้านหลังฉื่อหงหวู่ก็มุ่นคิ้วก่อนที่จะส่ายหัว การกระทำของมู่เฉินในการยั่วยุไป๋หมิงช่างเป็นเรื่องโง่เขลานักในมุมมองของนาง แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วคำพูดใดก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้นางทำได้เพียงคิดว่าไป๋หมิงจะปล่อยมู่เฉินไปหลังจากได้รับสิ่งที่ต้องการ

กลุ่มอื่นก็ไม่ได้มองในแง่ดี พวกเขาจ้องมองมู่เฉินราวกับว่ามองคนตาย

“เฮ้ เจ้ามนุษย์กล้าหาญจริงๆ ถ้าเจ้าสามารถเอาชีวิตรอดจากน้ำมือของไป๋หมิงได้ ข้ายินดีที่จะปกป้องชีวิตเจ้าให้” ผู้นำร่างผอมบางของเผ่าวานรทะลุฟ้าหัวเราะด้วยดวงตายิบหยี

เขาเองก็ไม่ชอบใจนิสัยหยิ่งผยองของไป๋หมิง ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าไม่มีใครกล้าท้าทายไป๋หมิงก่อนหน้า เขาก็รู้สึกไม่พอใจ แต่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะหักหน้าของไป๋หมิง ซึ่งทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจ ดังนั้นจึงพูดประโยคดังกล่าวขึ้นมา แม้ว่าไป๋หมิงจะทรงพลัง แต่เขาก็ไม่กลัว

แต่จากคำพูด เขาก็ไม่ได้มองในแง่ดีเกี่ยวกับการท้าทายของมู่เฉินที่มีต่อไป๋หมิง

หลังจากที่หัวเราะออกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ร่างขยับวูบไหวก่อนที่จะปรากฏขึ้นอีกมุมหนึ่งบนลานที่จะนำไปสู่รูปปั้นอสูรไร้พิรุณโบราณ ไม้พลองกระแทกไปบนพื้นทำเอาสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด

“ไอ้ไรนกเผ่ากระเรียนเทพสวรรค์ อยากได้แก่นมรดกโลหิตนี้ก็มาผ่านข้าไปให้ได้ก่อนสิ!” เขายิ้มพร้อมกับคำพูดจองหองที่ไม่เข้ากับเงาร่างผอมบางสักนิด

“ข้าอยากชิมพลังของเผ่าวานรทะลุฟ้ามานานแล้ว!”

ผู้นำกลุ่มกระเรียนเทพสวรรค์หัวเราะเบาๆ ปลายเท้าแตะลงบนพื้นก่อนที่ร่างจะทะยานไปเบื้องหน้าลู่โหว กำปั้นกำเข้าหากันแน่นกระบี่ยาวสีแดงก็ปรากฏในพริบตา กระบี่ยาวมีรูปร่างคล้ายจงอยปากกระเรียน กลิ่นไหลเอื่อยออกมาซึ่งบรรจุไว้ด้วยพิษร้ายแรง

เมื่อเผ่าวานรทะลุฟ้าเผชิญหน้ากับเผ่ากระเรียนเทพสวรรค์ จงชิงเฟิงก็ยิ้มจ้องมองไปที่ข่งหลิง “เทพธิดาข่งหลิง ผู้ชนะระหว่างเราจะได้รับแก่นมรดกโลหิตปักษาวิญญาณโบราณ เจ้าว่ายังไง?”

“นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ” ข่งหลิงพูดเบาๆ

เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน ประกายไฟก็แล่นแปลบปลาบออกมาจากดวงตาพวกเขา ทั้งคู่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่าพันธุ์ ในเมื่อมาพบกันที่นี่ พวกเขาก็ต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อดูว่าใครจะแน่กว่ากัน

วาบ!

ทั้งสองคนก้าวออกไปปรากฏตัวที่ลานประลองอีกแห่งหนึ่ง เมื่อยืนเผชิญหน้ากันคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งออกมาจากร่างกาย

ตอนนี้จอมยุทธ์ทั้งหกยืนเผชิญหน้ากันบนลานประลองทั้งสามแห่ง รัศมีเหมือนสามารถกลืนกินฟ้าดินเลยทีเดียว ขณะที่คลื่นพลังไร้ขอบเขตกวาดไปทั่ว ทุกคนรู้ว่าการต่อสู้ดุเดือดกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

แน่นอนว่าการต่อสู้ดุเดือดที่ว่าไม่รวมคู่มู่เฉินกับไป๋หมิง เพราะในมุมมองหลายคนไม่มีความสงสัยในผลลัพธ์เลย

บนลานประลองที่นำไปสู่รูปปั้นหินวิหคอมตะโบราณ ไป๋หมิงค่อยๆ ลืมตามองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส เขาไม่ได้พูดอะไรแต่ทุกคนก็สามารถสัมผัสถึงกระแสน้ำแข็งสีฟ้าขนาดใหญ่กลิ้งออกมา ก่อร่างเป็นพายุทอร์นาโดเย็นเยือกโอบล้อมร่างเขาไว้

มองไปที่ไป๋หมิงที่มีรัศมีน่าตกใจ สายตามู่เฉินก็เคร่งเครียดลง แม้ว่าไป๋หมิงจะน่ารังเกียจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายน่าเกรงขามมาก ในฐานะอัจฉริยะเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งเขามีคุณสมบัติที่จะหยิ่งจริงๆ

“ข้าจะแช่แข็งเจ้าเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง ให้เจ้ายืนอยู่ในสุสานสักการะเทพตลอดกาล”

เสียงไม่แยแสของไป๋หมิงดังก้อง อึดใจเขาก็กระทืบเท้าลงไป ลอนคลื่นเย็นเยือกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากวาดออก ทันใดนั้นอุณหภูมิระหว่างฟ้าดินก็ลดฮวบลง ชั้นน้ำแข็งหนากระจายออกไปทั่วลานประลอง ราวกับมวลไอเย็นเยือกพุ่งเข้ากลืนกินมู่เฉิน

ฮึ่ม!

แสงสีทองพร่างพราวระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนพื้นผิวก็บินฉวัดเฉวียนไปทั่ว ทั้งสองเคลื่อนไปที่แขนขวาจากนั้นเขาก็เหวี่ยงหมัดออกไป

ตู้ม!

หมัดนี้ทำให้มิติเบื้องหน้ายุบตัวลง พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่สามารถอธิบายกวาดออกปะทะกับชั้นน้ำแข็ง

ตึง!

พลังงานสองสายปะทะกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ทำให้ทั้งลานประลองโยกคลอน มู่เฉินถอยห่างออกไปหลายก้าวทิ้งรอยลึกยาวไว้บนพื้น

เมื่อก้าวถอยไปแปดก้าว แสงเย็นเยือกก็วูบไหวในม่านตาสีดำของมู่เฉิน เขากำหมัดชกออกไปบนชั้นน้ำแข็งอีกครั้ง

แคร็ก!

รอยแตกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไปจากกำปั้นของมู่เฉิน ในเวลาไม่กี่อึดใจชั้นน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็ระเบิดออก มวลไอเย็นสุดขั้วที่สามารถกลืนร่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดได้ก็
แตกกระจายเป็นเกล็ดน้ำแข็งบนท้องฟ้า

เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ ดวงตาก็หดลงพลางแอบเดาะลิ้น พวกเขาบอกได้ว่ากระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็รับหมัดของมู่เฉินไม่ได้

เกล็ดน้ำแข็งกระจายไปทั่ว ร่างมู่เฉินพลุ่งพล่านด้วยแสงสีทอง ชัดว่าเร้ากายามังกรหงส์ถึงขีดสุดแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวก็เหมือนมีพลังราวภูเขาไฟมารวมกัน

“เหอะ บ้าพลังจริงๆ”

ร่างของไป๋หมิงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าขณะที่จ้องมองเกล็ดน้ำแข็งที่แตกสลายก็ยิ้มอย่างเย็นชา “น้ำแข็งของข้าทำลายไม่ได้ง่ายๆ หรอก”

พูดจบก็โบกมือ เกล็ดน้ำแข็งที่กระจายไปทั่วตกลงมาราวกับลูกธนูนับหมื่นยิงไปทางมู่เฉิน

มือของมู่เฉินประสานเข้าด้วยกัน จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงพุ่งออกมาจากร่างเขา ก่อตัวเป็นปราการมังกรหงส์ล้อมรอบร่างเขาไว้ ไม่ว่าน้ำแข็งจะกระหน่ำมาทางใด ก็ไม่สามารถผ่าแนวป้องกันได้

เมื่อไป๋หมิงเห็นภาพนี้บนท้องฟ้า แววตาก็เย็นเยือกลง ความแข็งแกร่งของพลังกายมู่เฉินค่อนข้างเกินความคาดหมายของเขา การโจมตีของเขาก่อนหน้าเป็นสิ่งที่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดได้ แต่มู่เฉินกลับต้านรับไว้ได้

ชายคนนี้มีความสามารถพอที่จะท้าทายเขาแท้จริง แต่มู่เฉินคิดว่าแค่นี้เพียงพอหรือ?

ไป๋หมิงยิ้มเยาะเย้ยขณะที่วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ไอเย็นค่อยๆ กลั่นตัวในดวงตาของเขา

ในเมื่อเป็นแบบนี้ เจ้าก็ทำให้ข้าได้สนุกซะหน่อยแล้ว

ตู้ม!

ราวกับการปะทุของภูเขาไฟ คลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ท้องฟ้าเย็นยะเยือกลง เกล็ดน้ำแข็งนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่เบื้องบน

ไป๋หมิงยืนอยู่บนท้องฟ้ามองลงไปที่มู่เฉินพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยันแขวนที่มุมปาก แรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลังที่เขาซัดออกมา ทำให้จอมยุทธ์หลายคนที่นี่มีสีหน้าเปลี่ยนไป

นั่นเป็นเพราะคลื่นหลิงนี้เกินขอบเขตของระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดไปไกลแล้ว

นี่เป็นระดับจื้อจุนขั้นแปดแท้จริง!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดหายนะไปทั่วขอบฟ้าราวกับพายุ ไป๋หมิงกำหมัดแน่น พลังงานเยือกเย็นไหลผ่าน ไม่กี่อึดใจก็ก่อร่างเป็นภูเขาน้ำแข็งหมื่นจั้ง ที่มีรูปร่างเหมือนหงส์ฟ้าน้ำแข็งสยายปีกซึ่งปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกซึ้ง ลวดลายเหล่านี้เปล่งประกายแวววาว กลืนกินคลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินอย่างตะกละตะกลาม

เมื่อทุกคนเห็นภูเขาหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็รู้สึกว่าหนังหัวลุกชันไปหมด พวกเขารู้สึกชัดเจนว่าการโจมตีของไป๋หมิงทรงพลังเพียงใด เขาไม่คิดจะมอบเส้นทางรอดให้มู่เฉิน เขาดึงพลังระดับจื้อจุนขั้นแปดทันทีที่เริ่มออกกระบวนท่า

ทีนี้มู่เฉินคงจะถูกกระทืบจนถึงจุดที่ไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้แล้ว

ไป๋หมิงสาดสายตาไม่แยแสราวกับเทพเซียน จากนั้นก็พลิกฝ่ามือ ทำให้ภูเขาหงส์ฟ้าน้ำแข็งพุ่งลงมาราวกับอุกกาบาตซัดใส่มู่เฉินทันที

“คัมภีร์หานหวง ภูเขาหงส์ฟ้าสยบหมื่นอสูร!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1055 แก่นมรดกโลหิตทั้งสาม
บนแท่นหินขนาดใหญ่

เมื่อสายตาเยาะเย้ยและไม่แยแสของไป๋หมิงสาดใส่ มู่เฉินก็ยังคงสีหน้าสงบ เขากวาดมองกลับไปก็เห็นว่าพวกไป๋หมิงยืนอยู่บนลานหินหนึ่ง ซึ่งตามคาดเผ่าคุนเผิงและเผ่านกยูงเก้าสีก็มาถึงแล้วด้วย

นอกจากกลุ่มชั้นยอดแล้ว มู่เฉินก็ต้องประหลาดใจเนื่องจากมีกลุ่มอื่นๆ มาที่นี่เช่นกัน กลุ่มเหล่านั้นมาจากเผ่าเทพอสูรที่มีรากฐานแข็งแกร่ง แต่สถานการณ์สำหรับพวกเขาดูไม่ดีนัก มีกระทั่งการบาดเจ็บล้มตาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจ่ายราคาแพงลิ่วตอนเผชิญหน้ากับอสูรวิญญาณขั้นแปด

ขณะที่มู่เฉินกวาดสายตาไป กลุ่มคนที่อยู่บนแท่นหินก็มองมาที่มู่เฉินอย่างประหลาดใจ นั่นเป็นเพราะพวกเขาตระหนักได้ว่าไม่มีการบาดเจ็บล้มตายในกลุ่มมู่เฉินเลย

นั่นหมายความว่ากลุ่มมู่เฉินไม่ได้จ่ายราคาใดๆ ที่ต้องจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปด

ทว่าไม่เพียงแต่กลุ่มเหล่านี้ไม่ได้ชื่นชม กลับยังมีร่องรอยแห่งความสงสารในสายตา นั่นเป็นเพราะตอนที่มู่เฉินใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้าก่อนหน้า พวกเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่น่ากลัว ดังนั้นจึงคิดว่ามู่เฉินใช้วัตถุนั้นไปกับอสูรวิญญาณขั้นแปดเรียบร้อย

วัตถุนั้นเป็นสิ่งที่มู่เฉินพึ่งพาได้มากที่สุด ก่อนหน้าที่กลุ่มไป๋หมิงไม่กล้าลงมือ ก็เพราะการมีอยู่ของหัวใจพาฬกินสายฟ้า แต่หลังจากสูญเสียวัตถุน่ากลัวนี้ไป เขาจะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ดุร้ายอย่างไป๋หมิงได้อย่างไร?

ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มมู่เฉินไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ พวกเขาก็รู้สึกสงสารขึ้นจับใจ บางกลุ่มถึงกับส่ายหัว มู่เฉินประเมินตัวเองสูงเกินไป เขาคิดว่าไป๋หมิงเป็นคู่ต่อสู้ที่ง่ายจัดการเรอะ?

หากไป๋หมิงมีความตั้งใจที่จะสังหาร ทั้งกลุ่มมู่เฉินคงจะถูกฝังกลบอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ต่อให้เผ่าวิหคโลกันตร์จะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลัง ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำกับไป๋หมิงได้ คงได้แต่กล้ำกลืนลงไปเท่านั้น

ชายหนุ่มผมขาวที่เป็นผู้นำเผ่าคุนเผิงมองไปที่มู่เฉินด้วยความสนใจ ราวกับอยากรู้ว่ามู่เฉินโง่จริงๆ หรือไม่กลัวไป๋หมิง

ข่งหลิงเผ่านกยูงเก้าสีไม่ได้หันมามองมู่เฉินเลยสักนิด ตอนที่อยู่นอกสุสานสักการะเทพ เหตุผลที่นางเคลื่อนไหวเข้าไปขัดขวางไป๋หมิงก็แค่ไม่ต้องการให้มู่เฉินและไป๋หมิงปะทะกัน เพราะจะรบกวนการเข้าสู่ส่วนใน แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเขาเข้ามาส่วนในได้แล้ว มิหนำซ้ำมู่เฉินดูเหมือนยังรนหาความตายเอง งั้นนางก็ไม่ต้องสนใจเรื่องชีวิตหรือความตายของอีกฝ่ายแล้ว

ท่ามกลางสายตาที่มีอารมณ์แตกต่างมากมาย การแสดงออกของมู่เฉินก็ไม่เปลี่ยนแปลง เขานำพรรคพวกพลิ้วลงบนแท่นหิน

“มู่เฉินดูสิ!”

เมื่อมู่เฉินพลิ้วตัวลง ทันใดนั้นจิ่วโยวก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นจากด้านหลัง

ทันใดนั้นมู่เฉินก็กวาดตาตามจิ่วโยวไป ดวงตาเขาหดเกร็งลงทันที นั่นเป็นเพราะเขาเห็นรูปปั้นหินบนเจดีย์หินซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแท่นบูชา

รูปปั้นนั้นกางปีกออกปกคลุมดวงอาทิตย์ ดูราวกับหงส์ฟ้าแต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เปลวไฟพวยพุ่งบนร่างประหนึ่งเป็นนิรันดร์ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่รูปปั้นหิน แต่แรงกดดันโบราณที่เปล่งออกมา ก็ทำให้กระแสเลือดในร่างกายของเขาเฉื่อยช้าลง

มู่เฉินรู้สึกถึงจิตวิญญาณหงส์ฟ้าในร่างที่สั่นไหว เสียงร้องดังกึกก้องเต็มไปด้วยความอยากใกล้ชิดและเคารพที่ไม่อาจมองผ่านได้

ฮา

มู่เฉินปล่อยลมหายใจยาว ขณะที่ความเบิกบานใจฉายในดวงตา แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นวิหคอมตะโบราณมาก่อน แต่จากปฏิกิริยาของจิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงเขาก็มั่นใจว่ารูปปั้นที่อยู่เบื้องหน้าเป็นวิหคอมตะโบราณแน่แท้!

ดูเหมือนว่าเขาจะเดาไม่ผิด มีวิหคอมตะโบราณอยู่ในสุสานสักการะเทพจริงด้วย!

นั่นก็หมายความว่าจะต้องมีแก่นมรดกโลหิตของวิหคอมตะโบราณอยู่ที่นี่ด้วย!

ความตื่นเต้นในใจปะทุขึ้นแต่ก็ถูกระงับไว้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่ามีรูปปั้นหินทั้งหมดสามรูป ไม่ใช่เพียงรูปเดียว

หนึ่งในสองเป็นนกขนาดใหญ่ที่ดูงดงามมาก ราวกับว่ามีจิตวิญญาณที่น่าอัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาขณะที่กระพือปีก

“นั่นมัน?” มู่เฉินมองดูรูปปั้นนกที่ไม่คุ้นเคยก็รู้สึกสงสัย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้จักสิ่งมีชีวิตนี้

“นั่นคือปักษาวิญญาณโบราณเป็นหนึ่งในมหาเทพอสูรที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว” คำพูดของจิ่วโยวเต็มไปด้วยการเคารพขณะทอดถอนหายใจ “ในสมัยโบราณมหาพันภพได้รับเดือดร้อนอย่างมากจากการรุกรานของเผ่าปีศาจต่างมิติ เทพอสูรที่ทรงพลังและหายากส่วนใหญ่สูญพันธุ์เนื่องจากมรดกสูญหาย สุดท้ายค่อยๆกลายเป็นเผ่าสัตว์อสูรธรรมดาสามัญไป”

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ หากเป็นเช่นนั้นเผ่าปีศาจต่างมิติก็เป็นศัตรูตัวฉกาจของมหาพันโลก แค่การบุกโจมตีครั้งเดียวก็สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่ต่อมวลมนุษยชาติ มากจนแม้แต่เผ่าพันธุ์ยังสูญพันธุ์

“แล้วอีกรูปปั้นล่ะ?” มู่เฉินมองที่รูปปั้นหินสุดท้าย นี่เป็นสัตว์อสูรขนาดมหึมาที่เงยหน้าคำรามก้องฟ้าราวกับว่าร่างสามารถรองรับสวรรค์ทั้งผืนได้ มันมีสีดำสนิท ฝ่ามือขนาดใหญ่เท่ากับภูเขาสามารถทำลายผืนดินได้หมื่นลี้ด้วยตบครั้งเดียว

“นั่นคืออสูรไร้พิรุณโบราณ ซึ่งเป็นเทพอสูรอันดับต้นในสมัยโบราณที่มีพละกำลังมหาศาลและความสามารถที่บ้าบิ่น ช่วงเวลาที่บ้าดีเดือดพลังการต่อสู้จะทะยานขึ้น เผ่าวานรทะลุฟ้าที่ว่าบ้าดีเดือดว่ากันว่าความสามารถนั้นมาจากเทพอสูรพันธุ์นี้” จิ่วโยวอธิบาย

“ดูเหมือนว่าข้อความโบราณไม่ผิด ในสมัยโบราณดินแดนเสินโซ่มีราชันเทพอสูรทั้งสาม ว่ากันว่าขณะที่ดินแดนเสินโซ่กำลังถูกทำลาย พวกเขาก็ได้เปิดการโจมตีขุดรากถอนโคนระดับจอมพลของเผ่าปีศาจต่างมิติมากมายให้ตายตกกันไปแล้วผนึกไว้” จิ่วโยวจ้องมองแท่นบูชาขนาดใหญ่ขณะที่พูดด้วยความเคารพสูงสุด

“สามราชันเทพอสูรเรอะ”

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของรูปปั้นทั้งสามก็สมควรกับขนานนามนี้ แต่หลังจากที่เขากวาดมองไปยังพื้นที่รอบแท่นบูชาซึ่งถูกย้อมด้วยเลือดก็ต้องขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสถานที่ที่อสูรโบราณโภคะละสังขาร หลุมดำที่ไม่รู้เชื่อมกับที่ใดดูดแก่นโลหิตเข้าไปทั้งหมด

ไม่รู้ว่าจะมีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อน

“ดูเหมือนว่ากลุ่มที่ควรมาที่นี่ก็มาถึงกันหมดแล้ว” ขณะที่มู่เฉินกับจิ่วโยวพูดคุยกัน ข่งหลิงเผ่านกยูงเก้าสีก็เงยหน้าขึ้นพูดเบาๆ “ในเมื่อทุกคนมาถึงที่นี่ได้ก็ถือว่ามีความแข็งแกร่งเช่นกัน ส่วนในของสุสานเป็นสถานที่ที่ราชันทั้งสามละสังขารไว้ ก็เป็นตามที่พวกเจ้าจินตนาการนั่นแหละ เจ้าสามารถเลือกรับแก่นมรดกโลหิตได้ที่นี่”

เมื่อนางพูดออกมา นอกเหนือจากกลุ่มอันดับต้นที่รู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว กลุ่มอื่นๆ รวมทั้งกลุ่มจิ่วโยวก็มีดวงตาเปล่งประกาย

“แต่…”

ข่งหลิงหยุดไปอึดใจจากนั้นก็เอ่ยต่อ “มีแก่นมรดกโลหิตสามชิ้นเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่ามีเพียงสามคนที่จะได้รับไป คนที่เหลือต้องกลับไปมือเปล่า”

ผู้คนที่กำลังตื่นเต้นก็รู้สึกราวกับว่ามีน้ำเย็นราดลงบนหัวทันที แก่นมรดกโลหิตมีเพียงสามชิ้นเท่านั้น นั่นหมายความว่าขนาดสองในห้าของกลุ่มอันดับต้นยังต้องกลับไปมือเปล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลุ่มของพวกเขาเลย

มู่เฉินยังคงความสงบไว้ แม้ว่าจะยังไม่ทราบข้อมูลแน่นอน แต่ก็สามารถเดาได้ว่าไม่ง่ายเลยที่จะได้รับแก่นมรดกโลหิตไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มองโลกในแง่ดีตั้งแต่ต้น ไม่ได้ผิดหวังอะไรมากมาย

เมื่อข่งหลิงพูดจบทั่วบริเวณก็เงียบลง กลุ่มที่สามารถเข้ามาส่วนในได้ล้วนมีความแข็งแกร่งไม่ธรรมดา แต่ทุกคนก็รู้ว่ามีเพียงห้ากลุ่มอันดับต้นเท่านั้นที่สามารถแข่งขันเพื่อรับแก่นมรดกโลหิตนี้ไปได้

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงการรวมตัวของกลุ่มอันดับต้นทั้งห้า เพียงแค่หัวหน้ากลุ่มคนเดียวก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดแล้ว เมื่อเปรียบเทียบคนอื่นๆ ก็อยู่ในระดับที่สูงกว่า พูดตามจริงเพียงแค่หนึ่งในนั้นก็สามารถทำลายกลุ่มของพวกเขาได้

ขณะที่กลุ่มอื่นๆ จมลงในความเงียบ ไป๋หมิงเป็นคนแรกที่คลี่ยิ้ม “ในเมื่อกฎก็ชัดเจนอยู่แล้ว งั้นข้าขอเลือกแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณก่อนนะ”

เมื่อเขาพูดจบก็ไปปรากฏตัวที่ด้านบนสุดของบันไดหิน ก้าวเข้าสู่ลานกว้างซึ่งนำไปยังรูปปั้น นี่เป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่จะไปหาวิหคอมตะโบราณได้

เมื่อจิ่วโยวเห็นว่าไป๋หมิงเลือกแก่นมรดกวิหคอมตะโบราณ หัวใจนางก็ดิ่งลง ถ้าต้องการรับแก่นมรดกก็ต้องสู้กับไป๋หมิงด้วยจริงเรอะ?

“วิหคอมตะโบราณเป็นสายพันธุ์เดียวกับเผ่าของข้า หวังว่าทุกคนจะให้หน้ากับข้านะ…” ไป๋หมิงมองทุกคนบนแท่นหินยิ้มพลางประสานมือ

ชายผมสีขาวเผ่าคุนเผิงยิ้มบาง เขาไม่ได้เลือกที่จะแข่งกับไป๋หมิงเพราะแรงจูงใจของเขาไม่ได้อยู่ที่แก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ

เผ่านกยูงเก้าสีก็ไม่ได้สนใจ เพราะนางจะปะทะกับจงชิงเฟิง สำหรับแก่นมรดกปักษาวิญญาณโบราณ

สำหรับเผ่าวานรทะลุฟ้าและเผ่ากระเรียนเทพสวรรค์ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวเช่นกัน เนื่องจากเป้าหมายของพวกเขาคือแก่นมรดกโลหิตอสูรไร้พิรุณโบราณ เผ่าวานรทะลุฟ้าต้องการเพราะสายเลือดเดียวกันกับเทพอสูรนี้ ส่วนเผ่ากระเรียนฟ้าต้องการความสามารถบ้าดีเดือดที่อยู่ในนั้น…

แม้แต่กลุ่มอันดับต้นทั้งสี่ก็ไม่ได้เลือกที่จะแข่งกับไป๋หมิง ดังนั้นกลุ่มที่เหลือก็ไม่คิดกระโจนออกไป เพราะยังไงไป๋หมิงก็เป็นสมาชิกเผ่าหงส์ฟ้า แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือความแข็งแกร่งของตัวเขา

ดังนั้นเมื่อไป๋หมิงพูดออกมา ทั่วบริเวณก็สงบนิ่งไม่มีใครกล้าขึ้นไปท้าทายเขา

เมื่อไป๋ปิงเห็นภาพนี้ก็แอบรู้สึกยินดี ก่อนที่สายตามืดครึ้มจะเหลือบมองมู่เฉิน รอให้พี่ใหญ่ไป๋หมิงได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวก็จะได้จัดการกับพวกแกเป็นลำดับแรก

ทว่าขณะที่ความคิดนี้กำลังฟุ้งกระจาย ม่านตาก็ต้องหดเกร็งลง เมื่อเห็นเหตุการณ์ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น

แน่นอนว่าไม่เพียงแต่เขา กระทั่งกลุ่มอื่นๆ ก็ฉายความตกตะลึงบนใบหน้าในเวลานี้

นั่นเป็นเพราะเวลาเดียวกับที่ไป๋หมิงพูดจบ มู่เฉินซึ่งยืนหน้ากลุ่มตัวเองก็ย่างเท้าขึ้นไปบนบันไดอย่างช้าๆ

เสียงอืออึงดังก้องจากฝูงคน ชัดว่าไม่มีใครคิดว่ามนุษย์คนนี้ที่เคยท้าทายไป๋หมิงจะวิ่งเข้าชนโดยไม่คิดหันหนี

บนลานประลองรอยยิ้มบางบนใบหน้าของไป๋หมิงก็หายไปทีละน้อย เขามองมู่เฉินที่กำลังเดินขึ้นบันไดอย่างไม่แยแส มุมปากยกโค้งขึ้นทีละนิด

“แกรนหาที่ตายจริงๆ”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1054 ส่วนในสุสาน
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกจากถ้ำราวกับคลื่นยักษ์

ขณะที่ร่างสูงโปร่งค่อยๆ ก้าวย่างออกมาภายใต้สายตาจดจ่อของจิ่วโยว หานซันและคนอื่น

เมื่อพวกเขาเห็นเงาร่างนั่นก็อดไม่ได้ที่จะหดเกร็งดวงตา เพราะยามนี้พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ทรงพลังจากอีกฝ่าย

แรงกดดันทำให้พวกเขาต้องทอดถอนหายใจ ในความจริงพวกเขาก็เป็นจอม์ยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดมานานมาก ทว่าแรงกดดันที่มู่เฉินผู้ซึ่งเพิ่งบุกเข้าสู่ขั้นเดียวกันกลับก้าวข้ามพวกเขาไปไกล

แต่พวกเขาก็เศร้าเสียใจเพียงชั่วครู่ เพราะสำหรับสัตว์ประหลาดที่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ตั้งแต่เขาอยู่ในขั้นหก พวกเขาก็ไม่แปลกใจที่เขามีพลังการต่อสู้ไม่ธรรมดา

ขณะที่ทุกคนกำลังรำพึงรำพัน มู่เฉินก็ยืนอยู่นอกถ้ำ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรอบตัวค่อยๆ ย้อนกลับเข้าไปก่อนจะถูกเก็บไว้ในร่างกาย เขาค่อยๆ กำหมัดรู้สึกถึงพลังงานที่ไร้ขอบเขตที่ไหลเวียนทั่วเส้นสายพร้อมกับรอยยิ้มพึงพอใจปรากฏที่มุมปาก

เขาค้นพบว่าคลื่นหลิงในร่างกายมีพลังมากกว่าก่อนหน้าหลายเท่า ความหนาแน่นก็เกินกว่าที่เคยเป็นมามาก

ตามการประเมินหากเขาต้องต่อสู้กับอสูรวิญญาณขั้นแปดอีกครั้ง เขาก็ไม่ต้องลำบากในการสร้างค่ายกลมากมาย ด้วยพลังในปัจจุบันการฆ่าอสูรวิญญาณขั้นนั้นไม่ยากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

ด้วยขุมพลังหลิงระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดบวกกับความแข็งแกร่งของพลังกาย พลังโดยรวมของเขาเกินกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไป

มากจนกระทั่งเขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดได้เลยทีเดียว

นอกจากนี้การเก็บเกี่ยวความก้าวหน้าของเขาไม่ได้มีเพียงแค่นี้…

มู่เฉินหรี่ตาลง มิติผันแปรที่เบื้องหลัง จุดจื้อจุนไห่ของเขาปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือพร้อมกับคลื่นซัดสาดและพลังงานหลิงพลุ่งพล่านเชี่ยวกราก มีแท่นสีขาวลอยเงียบสงบอยู่ที่เบื้องล่างทะเลพลังปลดปล่อยพลังชีวิตไร้ขอบเขตออกมา ทำให้คลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ควบแน่นและมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น

ตอนนี้มู่เฉินยังไม่สามารถชำระเม็ดบัวมรกตเก้าโคจรได้ ดังนั้นเขาจึงวางเม็ดบัวลงไปในจุดจื้อจุนไห่และปราบปรามเอาไว้

ด้วยวิธีนี้พลังชีวิตของเม็ดบัวขาวจะสามารถหล่อเลี้ยงคลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ของเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าและพยายามที่ปลดห่วงตรวนเพื่อเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน เม็ดบัวขาวนี้ก็จะช่วยเขาให้บรรลุเป้าหมาย

ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินก็สัมผัสได้ว่าวันเวลาที่ว่าไม่ได้ไกลจากนี้แล้ว เนื่องจากตอนนี้เขาอยู่ในขั้นเจ็ดแล้ว อีกเพียงสองขั้นก็จะไปถึงระดับจื้อจุนขั้นเก้า

ความคิดของมู่เฉินวูบไหวก่อนที่จะถูกระงับ ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือเข้าไปส่วนในของสุสานสักการะเทพ ช่วยจิ่วโยวให้ได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ

จุดจื้อจุนไห่ที่ด้านหลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการเคลื่อนไหวเขาก็มาปรากฏตัวต่อหน้าพรรคพวกด้วยรอยยิ้มสดใส “ไปกันเถอะ เราควรไปยังส่วนในแล้ว”

จิ่วโยวและคนอื่นๆ จ้องมองมู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความมั่นใจในตนเองของเขา แม้ว่าเขาจะสูญเสียหัวใจพาฬกินสายฟ้าที่เป็นไพ่ตายไป แต่การเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ในตอนนี้เกิดจากพลังของตัวเขาเอง

เมื่อบรรลุขุมพลังได้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวที่จะปะทะกับไป๋หมิงอีกต่อไป

เมื่อเห็นมู่เฉินมีความมั่นใจเช่นนี้ แม้แต่จิ่วโยวและคนอื่นๆ ก็รู้สึกมั่นใจตามขึ้นมา แต่ละคนพยักหน้า หลังจากนั้นก็ไม่เสียเวลาอีกต่อไป กลายเป็นร่างแสงทะยานออกไป

ในการเดินทางต่อไป มู่เฉินไม่ได้หยุดพักอีก ด้วยความสามารถในการรับรู้ของเนตรดับชีวิต ทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีฝูงอสูรวิญญาณขนาดใหญ่ไปได้อย่างง่ายดาย มุ่งหน้าไปยังส่วนในโดยไม่มีการขัดขวางใดๆ

พวกเขาเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด ครึ่งวันก็รู้สึกว่าทิวทัศน์โดยรอบเริ่มเปลี่ยนไป มิติเบื้องล่างเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีแดงเข้ม สีเข้มข้นนี้ทำให้หัวใจผู้คนเต้นรัว มีรัศมีลางร้ายถูกปล่อยออกมาเลือนราง ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายพลุ่งพล่านไม่หยุด

ความเร็วในการเดินทางของกลุ่มมู่เฉินเริ่มช้าลง พวกเขามองไประยะไกล ก็เห็นฟ้าดินบริเวณนั้นเหมือนมีม่านแสงสีทองเข้มปกคลุมลงมา แบ่งฟ้าดินออกเป็นส่วนนอกและส่วนใน

“เราจะเข้าสู่สุสานสักการะเทพหลังจากผ่านม่านแสงนี้” มู่เฉินจ้องมองม่านแสงมหึมาด้วยท่าทางเคร่งเครียด เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่ไม่อาจบรรยายได้มาจากม่านแสงขวางกั้น นี่จะต้องเป็นค่ายกล นอกจากนี้พลังของค่ายกลนี้ก็มีเพียงหลิงเจิ้นต้าซือตัวจริงที่สามารถจัดตั้งขึ้นได้

คนอื่นๆ พยักหน้าด้วยท่าทางเคร่งขรึมและระมัดระวัง

“ไป”

มู่เฉินทะยานนำออกไปเข้าใกล้ม่านแสง เห็นสัญลักษณ์ลึกล้ำนับไม่ถ้วนไหลเวียนอยู่บนม่านแสง ทุกสัญลักษณ์เปล่งพลังน่าสะพรึงกลัวออกมา

การกีดขวางที่เกิดขึ้นจากม่านแสงเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นยังไม่สามารถบุกทะลวงได้ ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มมู่เฉินเลย

ดังนั้นมู่เฉินจึงครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะกำมือ หัวใจอสูรวิญญาณขั้นแปดปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็โยนออกไป ค่อยๆ เข้าใกล้ปราการม่านแสง

สัญลักษณ์โบราณไหลเวียน เส้นใยรัศมีก็พล่านลงมาปกคลุมหัวใจอสูรวิญญาณขั้นแปด ภายใต้แสงสว่าง หัวใจสีดำก็กำจายไอหมอกสีดำออกมาซึ่งเป็นรัศมีความตายอันทรงพลัง แต่เมื่อรัศมีความตายเข้าไปสัมผัสกับรัศมีกระจ่างก็ระเหยหายไปหมด

ดังนั้นหัวใจที่เต็มไปด้วยรัศมีความตายจึงกลายเป็นหัวใจธรรมดาในเวลาไม่กี่อึดใจ รัศมีความตายในนั้นถูกลบล้างอย่างสมบูรณ์

นอกจากนี้หัวใจอสูรวิญญาณยังคงมีร่องรอยของพลังชีวิตและชีพจรเบาบาง

มู่เฉินอึ้งไปเมื่อเห็นภาพนี้ ไม่คิดว่าค่ายกลจะทรงพลังปานนี้ ไม่เพียงแต่ชำระรัศมีความตายได้ แต่ยังสามารถมอบพลังให้หัวใจที่ตายไปแล้วนับหมื่นปีให้มีร่องรอยแห่งชีวิตชีวา

แต่…มู่เฉินรู้ว่าถึงกระนั้นหัวใจดวงนี้ก็ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้อีก…

หัวใจที่ถูกชำระจนสะอาดค่อยๆ เคลื่อนไปทางปราการช้าๆ ก่อนที่จะหลอมรวมเข้าไป ราวกับว่ากลายเป็นแสงรวมอยู่ในค่ายกลขนาดใหญ่

เมื่อหัวใจรวมกับม่านแสง รอยแตกเล็กๆ ก็ค่อยๆ เปิดขึ้นมาตรงหน้าพวกเขา

มู่เฉินมองรอยแตกแล้วสูดหายใจเข้าลึก เขาหันไปแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยวและคนอื่นๆ ก่อนที่จะพยักหน้าก้าวนำเข้าไป

ด้านหลังพรรคพวกก็ก้าวตามเข้ามา

หลังจากก้าวเข้าไปในรอยแตก ภาพแรกที่เข้ามากระแทกในดวงตาของทุกคนก็คือดินแดนสีแดงเข้ม แผ่กระจายไปไกลไม่มีที่สิ้นสุดราวกับมหาสมุทรโลหิตสีแดงก่ำ

มีรัศมีแปลกประหลาดในดินแดนสีแดงเข้ม สีเหล่านั้นไม่ได้มาจากธรรมชาติ แต่เป็นเลือดบริสุทธิ์ที่แท้จริง ซึ่งเลือดนี้ต้องทรงพลังมาก มิฉะนั้นไม่มีทางชัดเจนปานนี้แม้ว่าจะผ่านไปหมื่นปีก็ตาม จ้องมองชั่วครู่ก็ทำให้มู่เฉินและพรรคพวกรู้สึกถึงความเย็นเยือกในร่างกาย

ดินแดนนี้ประหนึ่งปีศาจ

กลุ่มมู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า ไม่กล้าลงไปยังดินแดนแห่งนี้ พวกเขายืนอยู่กลางอากาศพลางมองไปบนท้องฟ้าก็พบว่าท้องฟ้าที่นี่แตกต่างจากโลกภายนอก

นั่นเป็นเพราะท้องฟ้าเต็มไปด้วยรัศมีทรงพลังที่ก่อกำเนิดจากสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง แม้ว่าพวกเขาจะตายไปแล้ว ปณิธานของพวกเขาก็ยังคงอยู่ราวกับว่ากำลังระงับบางสิ่ง

ผืนฟ้าและผืนดินมองดูแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

และกลุ่มของมู่เฉินก็ดูตัวเล็กมาก ยามนี้ราวกับว่าพวกเขาเป็นมดอยู่ในฝ่ามือของยักษ์สองตัว

“การต่อสู้ที่นี่คงรุนแรงที่สุดในดินแดนเสินโซ่” มู่เฉินถอนหายใจ แม้ผ่านมาหมื่นปี ภาพที่ปรากฏก็ยังโหดเหี้ยม ยากที่จะจินตนาการว่าสงครามแบบไหนที่เกิดขึ้นที่นี่

เผ่าปีศาจต่างมิติมาพร้อมกับคลื่นความโหดร้าย จอมยุทธ์ที่ปกป้องดินแดนเสินโซ่ใช้ทุกอย่างที่มี เพื่อปะทะกับเผ่าต่างมิติที่น่ากลัว

แค่คิดเกี่ยวกับการสงครามครั้งนั้นอย่างเดียวก็ทำให้พวกเขาหวั่นไหว

ใบหน้าของจิ่วโยวและคนที่เหลือเคร่งขรึมลงด้วยความตื่นระวัง ในดินแดนแห่งนี้อันตรายเล็กน้อยก็สามารถฝังกลบพวกเขาทั้งเป็นได้

“ไปกันเถอะ พยายามอย่าลงไปบนพื้นดิน” มู่เฉินมองไปที่ระยะไกลแล้วโบกมือ ในเมื่อพวกเขาเข้ามาส่วนในแล้วก็ไม่ควรยอมแพ้ง่ายๆ

จบคำพูดเขาก็ทะยานออกไป แต่คราวนี้ความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นขณะที่เดินทาง ไม่กล้าที่จะตะลุยไปข้างหน้าแบบเช่นเคย นอกจากนี้เขายังไม่กล้าที่จะใช้เนตรดับชีวิต เพราะถ้าเขาพบวัตถุโบราณจนถูกโต้กลับ จะเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถทนได้

โชคดีที่ส่วนในไม่ใหญ่เท่าที่คิด หลังจากเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงมู่เฉินก็ชะลอความเร็วลง นั่นเป็นเพราะมีบางสิ่งปรากฏในดินแดนที่ย้อมด้วยสีเลือดนี้

นั่นคือแท่นบูชาโบราณมหึมาที่มีขนาดหนึ่งหมื่นจั้งยืนตระหง่านบนพื้นราวกับว่าเชื่อมโยงสวรรค์และโลก

โซ่หินนับไม่ถ้วนแผ่ออกมาจากแท่นบูชา โซ่เหล่านั้นเชื่อมต่อกับผืนดินราวกับว่ากำลังพันธนาการบางอย่าง

มู่เฉินมองดูแท่นบูชาก็เกิดความคาดเดาในใจ สิ่งที่พวกเขาต้องการในครั้งนี้น่าจะอยู่ที่นี่แหละ

ขณะที่ความคิดนี้วาบวับ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีสายตาผสมการเยาะเย้ยสาดมาจากอีกทิศทางหนึ่งของแท่นบูชา

มู่เฉินเบนสายตาไป ตามคาดก็เห็นไป๋หมิงที่ถือพัดขนนกสีฟ้าน้ำแข็งและสมาชิกเผ่าหงส์ฟ้าคนอื่นๆ

ไป๋หมิงโบกพัด ฉายรอยยิ้มเยาะเย้ยให้มู่เฉินจากระยะไกล

“ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าปรากฏตัวที่นี่จริงๆ ข้าควรจะพูดว่าเจ้ากล้าหาญหรือโง่สุดๆ ดี?”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1053 ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด
บ่อน้ำยังคงใสกระจ่างอยู่ใจกลางบึง

เมื่อมู่เฉินเห็นก็รู้สึกโล่งใจมาก โชคดีที่สมบัติยังอยู่ดี มิฉะนั้นเขาคงกระอักเลือดออกมาแน่

เมื่อเห็นว่าดอกบัวมรกตเก้าโคจรยังคงสภาพดี มู่เฉินก็ไม่กล้าหน่วงเวลา เนื่องจากความปั่นป่วนในพื้นที่นี้ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งจะต้องถูกหลายกลุ่มรับรู้ได้แน่นอน ดังนั้นเขาต้องรีบเอาสมบัติแล้วจากไปให้เร็วที่สุด

คิดถึงตรงนี้ มู่เฉินก็ปรากฏตัวเหนือบ่อน้ำลงมือฉับพลัน คลื่นหลิงระเบิดออกมาจากฝ่ามือ สายตาจับจ้องไปที่ดอกบัวสีเขียวมรกตด้านล่าง ก่อนจะระเบิดแรงดูดลงไป

มวลน้ำกระจ่างใสยกตัวขึ้นพร้อมกับดอกบัวสีเขียวที่ห่อหุ่มด้วยดินโคลนลอยคว้างอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน

กลิ่นหอมแปลกประหลาดตลบอบอวลซึ่งเต็มไปด้วยพลังชีวิตไร้ขอบเขต บรรเทาความเจ็บปวดในร่างกายมู่เฉินทันที ราวกับว่ากระดูกที่แตกหักของเขาได้รับการฟื้นฟู นำมาซึ่งความรู้สึกที่ซาบซ่านและชาวาบไปหมด

มู่เฉินสะบัดนิ้ว โคลนหลุดร่อนออกไปเผยให้เห็นดอกบัวมรกตชัดเจนยิ่งขึ้น ดอกบัวนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ดูชดช้อยราวกับว่าถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง โดยเฉพาะเม็ดบัวที่เปล่งพลังงานชีวิตที่น่าตกใจ พื้นผิวของเม็ดสลักด้วยอักขระลึกซึ้งมากมาย อักขระเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติซึ่งทำให้ยิ่งลึกซึ้งและลึกลับ

“นี่หรือดอกบัวมรกตเก้าโครจร…” มู่เฉินรู้สึกเคลิบเคลิ้มเล็กน้อยจากความงาม อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ หากสมุนไพรวิเศษชิ้นนี้ถูกวางไว้ในโรงประมูลของมหาพันภพจะต้องดึงดูดการแข่งขันที่ดุเดือดของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแน่นอน นั่นเป็นเพราะตราบใดที่ผู้ฝึกมีสิ่งนี้ โอกาสในการปลดตรวนของระดับจื้อจุนก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนได้อย่างแท้จริง

และเมื่อก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนทุกสิ่งก็จะเปลี่ยนไป เทียบได้กับการพุ่งทะยาน หากระดับจื้อจุนเป็นจอมยุทธ์ทรงพลัง ระดับตี้จื้อจุนก็เป็นเจ้าของขุมกำลังได้เลย

ในภูมิภาคทางเหนือระดับจื้อจุนขั้นเก้าอาจมีตำแหน่งสูงสุดในขั้วอำนาจ แต่พวกเขาไม่สามารถสร้างขุมกำลังของตนเองได้ นั่นเป็นเพราะมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นที่สามารถปกป้องขั้วอำนาจได้

ตราบใดที่พวกเขามีสถานะแบบนั้นก็จะสามารถเข้าถึงทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนในปริมาณที่มากขึ้น แล้วเดินหน้าต่อไปในการเส้นทางยอดยุทธ์

หลังจากมู่เฉินรำพึงอยู่ในใจ เขาก็เก็บดอกบัวสีเขียวไว้อย่างระมัดระวัง เมื่อเขาหันหลังจากไปก็โบกมือคลื่นหลิงพุ่งออกมาทำลายบ่อน้ำจนไม่เหลือซาก

เขาไม่ต้องการให้คนอื่นมาที่นี่และพบเบาะแสของดอกบัวมรกตเก้าโคจร ยิ่งเมื่อรวมกับความวินาศสันตะโรของสถานที่แห่งนี้ บางคนอาจจะคาดเดาอะไรได้ หากเป็นเช่นนั้นก็จะสร้างปัญหาให้กับตัวเขา

มู่เฉินวางใจลงเมื่อทำลายบ่อน้ำทิ้ง ร่างเขาขยับเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งออกไปจากที่นี่

ไม่นานหลังจากที่มู่เฉินจากไป เสียงลมแหวกอากาศดังขึ้น หลายกลุ่มปรากฏตัวในเวลาเดียวกัน ก่อนที่จะเข้าใกล้ดินแดนล่มสลายนี้อย่างระมัดระวัง

แต่ละกลุ่มสำรวจพื้นที่ด้วยความอยากรู้ สุดท้ายก็มองไปที่ซากบ่อน้ำที่ถูกทำลาย แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะถูกทำลายไปแล้ว แต่พลังชีวิตในดินแดนนี้ซึ่งถูกปกคลุมด้วยรัศมีความตายก็ยังคงสะดุดตา

แม้ว่าจะพบสถานที่แห่งนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเนื่องจากการทำลายล้างจนเฮี้ยนเตียน ดังนั้นจึงได้แต่ส่ายหัวด้วยความเสียใจ

พวกเขาเดาได้ว่ามีสมบัติอยู่ที่นี่ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าคืออะไร ดังนั้นแต่ละกลุ่มจึงจากไปหลังจากตรวจสอบเพิ่มอีกไม่นาน

ตอนนี้มู่เฉินออกไปไกลจากที่เกิดเหตุแล้ว พริบตาเขาก็มาปรากฏตัวบนเนินเขาที่พรรคพวกกำลังรออยู่

เมื่อจิ่วโยวและคนอื่นๆ เห็นว่ามู่เฉินกลับมาโดยไม่เป็นอันตราย ใบหน้าก็ฉายความยินดีและรู้สึกโล่งใจมาก หากพวกเขาไม่มีมู่เฉินไปต่อด้วย การเดินทางของพวกเขาคงจะสิ้นหวังแน่

“สำเร็จใช่ไหม?” จิ่วโยวยิ้มเมื่อเห็นความสุขกำจายในดวงตาของมู่เฉิน ดูท่าครั้งนี้เขาเก็บเกี่ยวได้ดีทีเดียว

มู่เฉินยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า การได้ดอกบัวมรกตเก้าโคจรมาครอบครอง ทำให้เขามีความสุขอย่างยิ่ง

เมื่อจิ่วโยวเห็นปฏิกิริยานี้ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก นางรู้ว่าสิ่งที่ทำให้มู่เฉินยอมเสี่ยงชีวิตและใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้าไม่ใช่วัตถุธรรมดาแน่ แต่นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินหามาได้ด้วยตัวเอง โดยที่พวกนางไม่ได้ให้ความช่วยเหลือใดๆ ดังนั้นวัตถุนี้จึงเป็นของมู่เฉินผู้เดียวเท่านั้น

ไม่เพียงแต่จิ่วโยวที่ใกล้ชิดกับมู่เฉินที่มีความคิดนี้ แม้แต่หานซัน มั่วเฟิงและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ถามอะไรมากความ เพราะพวกเขาเข้าใจดีในเรื่องนี้

“เราหาสถานที่พักผ่อนเตรียมความพร้อมกันก่อนเถอะ แล้วค่อยมุ่งหน้าไปยังส่วนในของสุสานสักการะเทพกัน” มู่เฉินมองทุกคน ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมรบ นอกจากนี้ในเมื่อได้รับดอกบัวมรกตมาแล้ว เขาก็ต้องใช้มันเพื่อช่วยบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างแท้จริง

ตราบใดที่ขุมพลังหลิงของเขาไปถึงระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด บวกกับความจริงที่พลังกายของเขาเปรียบได้กับจอมยุทธ์ระดับนี้ มู่เฉินก็มั่นใจเต็มร้อยว่าไม่มีจอมยุทธ์หน้าไหนที่อยู่ใต้ระดับจื้อจุนขั้นแปดต่อกรกับเขาได้

แม้แต่ไป๋หมิงที่มีอาวุธเสมือนมหสวรรค์ในมือเขาก็ไม่กลัว

กลุ่มที่สามารถเข้าสู่ส่วนในได้ล้วนเป็นพวกหัวกะทิ ผู้นำเหล่านั้นทรงพลัง พวกเขาแข็งแกร่งกว่าจิงชิงเทียนอย่างแน่นอน ดังนั้นมู่เฉินจะต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง

คนอื่นก็รับรู้ถึงเจตนาของมู่เฉินจึงพยักหน้าให้กัน

ทั้งกลุ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง ด้วยเนตรดับชีวิตของมู่เฉิน พวกเขาก็หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีฝูงอสูรวิญญาณและรัศมีความตายเชี่ยวกราก สถานที่เหล่านี้ไม่ได้กระจอกกว่าหุบเขาที่เคยเจอก่อนหน้า จากประสบการณ์ของมู่เฉินจะต้องมีสมบัติในดินแดนอันตรายเหล่านั้นแน่

แต่เขาไม่มีความคิดเกี่ยวกับดินแดนสมบัติเหล่านี้อีกต่อไป เมื่อปราศจากหัวใจพาฬกินสายฟ้า หากเขายังเข้าสู่ดินแดนอันตรายอีกก็เป็นการรนหาความตายแล้วจริงๆ

ดังนั้นเฉินมู่จึงตัดสินใจเด็ดขาดระงับความปรารถนาในใจ ก่อนที่จะค้นหาสถานที่ที่มีรัศมีความตายเบาบาง จากนั้นก็ระเบิดถ้ำบนยอดเขาโดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง

พรรคพวกที่เหลือกระจายตัวรอบยอดเขาเพื่อปกป้องเขา

ในถ้ำมู่เฉินนั่งลงพร้อมกับดอกบัวมรกตเก้าโคจรลอยคว้างตรงหน้า แสงส่องประกายระยิบระยับพร้อมกับพลังชีวิตไร้ขอบเขตอัดแน่นไปทั้งถ้ำ ทำให้ถ้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ขนาดพืชที่เหี่ยวแห้งยังแตกยอดออกมาอีกครั้ง

สายตาของมู่เฉินจับจ้องอยู่กับเม็ดสีขาวที่เกสรดอกบัว นี่คือแก่นของดอกบัวมรกตเก้าโคจร เขาต้องดูดซับมันถึงจะสามารถยืมพลังพิเศษของมันตัดตรวนระดับจื้อจุนและเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนในอนาคตได้…

ทว่าพลังชีวิตน่ากลัวที่บรรจุอยู่ภายในเม็ดสีขาวไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถทนได้ในขณะนี้ แต่โชคดีที่ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องชำระล้างอะไร เขาแค่ต้องการดูดซับมันเข้าไปในร่างกาย เพื่อใช้พลังงานตอนบุกทะลวงขั้นในอนาคต

ฮา!

มู่เฉินสูดหายใจลึกแล้วงอนิ้วทั้งสอง เม็ดสีขาวที่อยู่ในเกสรดอกบัวลอยขึ้นช้าๆ ก่อนที่เขาจะโยนคลื่นหลิงไปยังดอกบัวสีเขียว

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

เมื่อแสงหลิงเบ่งบานออกมาดอกบัวมรกตที่มีขนาดเท่าฝ่ามือก็เริ่มขยายอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็มีขนาดประมาณครึ่งจั้งคล้ายกับแท่นดอกบัว

ร่างมู่เฉินพลิ้วลงมาช้าๆ บนแท่นดอกบัว แท่นนี้ไม่สามารถใช้ในการชำระ แต่มีองค์ประกอบทำให้จิตใจสงบและคลื่นหลิงคงที่ ตัวดอกบัวเป็นสมบัติที่สนับสนุนการเพาะบ่มพลัง ดังนั้นในเมื่อมีประโยชน์มู่เฉินก็ไม่คิดละทิ้งไป

เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมมู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขามองไปที่เม็ดบัวสีขาวที่ลอยอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็เปิดปากทันที แรงดูดระเบิดออกมาดึงเม็ดบัวเข้าสู่ร่างกาย

ทันทีที่เขากลืนเม็ดบัว พลังชีวิตที่น่ากลัวก็ระเบิดออกจากร่างของมู่เฉิน เส้นผมของเขางอกยาวอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่กี่อึดใจเส้นผมก็คลุมทั้งถ้ำราวกับวัชพืช

พลังชีวิตที่ระเบิดออกมาอย่างฉับพลันจากร่างกายทำให้มู่เฉินตกตะลึงภายในใจ นี่เป็นเพียงแค่พลังงานที่รั่วไหลออกมาจากเม็ด ถ้าทั้งหมดถูกปลดปล่อยออกมา เขาคงตายคาที่ได้

แต่โชคดีที่เขาต้องการเพียงพลังงานที่รั่วไหลออกมาจากเม็ดเท่านั้น เมื่อชำระพลังส่วนนั้นก็น่าจะช่วยให้เขาบรรลุ ผลักดันการพัฒนาขุมพลังหลิงไปสู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดได้

และด้วยพลังในปัจจุบัน เขาน่าจะสามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ดังนั้นเวลาจึงผ่านไปเงียบๆ ในการฝึกฝนของเขา พลังชีวิตในถ้ำก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

ขณะที่มู่เฉินกำลังเพาะบ่มขุมพลัง จิ่วโยวและคนอื่นๆ ก็กระจายตัวนั่งรอบยอดเขาเพื่อปกป้องสถานที่ สายตาของพวกเขาจ้องมองไปที่ถ้ำที่มู่เฉินอยู่ด้วยความตกตะลึงเป็นครั้งคราว เนื่องจากพวกเขาสามารถสัมผัสถึงพลังชีวิตที่แรงกล้า ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกดีใจที่มู่เฉินหาสถานที่ที่มีรัศมีความตายเบาบางและมีอสูรวิญญาณเพียงไม่กี่ตัว มิฉะนั้นแค่พลังชีวิตอย่างเดียวก็ดึงดูดอสูรวิญญาณเข้ามานับไม่ถ้วนแล้ว

จิ่วโยวมองไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนสายตา นางไม่กังวลเกี่ยวกับพัฒนาการของมู่เฉิน เนื่องจากความแข็งแกร่งของเขาเกินขอบเขตของระดับจื้อจุนขั้นหกไปนานแล้ว บวกกับการสั่งสมประสบการณ์การต่อสู้ที่มีทั้งหมดก็เป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับเขาที่จะพัฒนาความก้าวหน้าได้

และเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการพัฒนา เขาก็จะมีพลังในการเผชิญหน้ากับไป๋หมิงอย่างแท้จริง

ในเวลานั้นมู่เฉินจะไม่กลัวแม้ว่าจะเผชิญกับจอมยุทธุ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดก็ตาม

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ในใจ จิ่วโยวก็รู้สึกพอใจ โดยไม่รู้ตัวเด็กหนุ่มที่ต้องการการปกป้องจากนางก็แซงนางไปแล้ว

หลังจากเรื่องดินแดนเสินโซ่จบลง เหล่าผู้อาวุโสในเผ่าคงไม่กล้าที่จะดูถูกเขาอีกต่อไป

นอกจากนี้นางยังรู้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ในอนาคตมู่เฉินจะต้องแข็งแกร่งขึ้น บางทีคงไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะกลายเป็นยอดยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต แต่ตัวนางไม่เคยสงสัยเลยแม้แต่น้อย

นางรำพึงในใจก่อนที่จะหลับตาลงเพื่อฝึกฝน หนึ่งวันผ่านไป ทันใดนั้นนางก็ลืมตาขึ้นมองพลังงานหลิงไร้ขอบเขตที่ระเบิดออกมาจากถ้ำ ร่างเงาสูงโปร่งค่อยๆ ก้าวย่างออกจากคลื่นพลังนั้น

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1052 ทำลายล้าง
แสงสีเงินพุ่งผ่านขอบฟ้า

ยิงไปยังเหล่าอสูรวิญญาณที่ไล่กวดตามมา รัศมีแห่งการทำลายล้างอัดแน่นอยู่ในแสงสีเงินนั้น

แสงสีเงินพุ่งผ่าน ถึงแม้จะดูไม่โดดเด่น แต่ก็ทำให้ร่างอสูรวิญญาณขั้นเก้าหยุดชะงักลงตามสัญชาตญาณ ดวงตากลวงโบ๋จ้องมองไปที่แสงสีเงิน แม้ว่ามันจะไม่มีสติปัญญา แต่สัญชาตญาณของมันก็รับรู้ถึงรัศมีแห่งการทำลายล้างจากแสงที่ไม่โดดเด่น

แม้ว่ามันจะตายไปแล้ว แต่ถ้าถูกแสงสีเงินนี้เข้าละก็ได้กลายเป็นเถ้าธุลีหายไปตลอดกาลแน่…

ดังนั้นอสูรวิญญาณขั้นเก้าจึงถอยกลับทันท่วงทีตามสัญชาตญาณที่บอกว่าให้หนี มิฉะนั้นวันนี้คงจะถูกทำลายสิ้นซากอย่างแท้จริง

ปัง!

ทว่าถึงสัญชาตญาณของอสูรวิญญาณขั้นเก้าเฉียบคม แต่อสูรวิญญาณขั้นแปดที่อยู่ด้านหลังกลับด้อยกว่าหลายส่วน ดังนั้นพวกมันยังคงมุ่งมั่นพุ่งเข้ามาแบบไม่คิดชีวิต เมื่ออสูรวิญญาณขั้นเก้าถอยหลังกลับก็ชนเข้ากับกลุ่มอสูรวิญญาณขั้นแปด ทุกอย่างสับสนอลหม่านไปหมด

ในขณะนั้นเองที่ร่างอสูรวิญญาณขั้นเก้าที่ถอยกลับก็หยุดลง

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ในช่วงเวลาสั้นๆ แสงสีเงินก็ปรากฏตรงหน้า มันสั่นเบาๆ อึดใจเสียงระเบิดน่าสะพรึงก็ปะทุจากแสงสีเงิน

ครืน!

ราวกับว่าเทพสายฟ้าแห่งการทำลายล้างยาตราลงมาเองพร้อมกับเสียงกึกก้องน่ากลัวดันพื้นดินเบื้องล่างขึ้น คลื่นเสียงพุ่งผ่านไปหมื่นจั้ง ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเสียงดังก้องก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจนในทุกที่รัศมีหมื่นลี้

ประกายสายฟ้าบนท้องฟ้าเหมือนของเหลวสายฟ้าที่ควบแน่นตกลงมาจากท้องฟ้า ทันใดนั้นทั่วบริเวณเปลี่ยนเป็นเงิน มากจนกระทั่งเมฆรัศมีความตายหนาทึบก็ถูกสายฟ้าเจาะทะลวงแล้วเหือดหายไป

ความผันผวนที่น่ากลัวพวยพุ่งและระเบิดออกมา

สายฟ้าสะท้อนให้เห็นในม่านตาของมู่เฉิน เขามองการสั่นสะเทือนโลก แววหวาดผวาก็ปรากฏในดวงตา เห็นได้ชัดว่าพลังหัวใจพาฬกินสายฟ้าเกินความคาดหมายของเขาไปมาก

พลังช่างทำลายล้างแบบสุดยอด

ไม่มีจอมยุทธ์ที่อยู่ใต้ระดับตี้จื้อจุนสามารถต้านทานการโจมตีที่น่ากลัวนี้ได้

ดังนั้นมู่เฉินจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ปีกหงส์ฟ้ากระพือส่งเขาไปในทางตรงกันข้ามกับหัวใจพาฬกินสายฟ้า หากเขาอยู่ใกล้กับผลกระทบมากเกินไป ก็จะถูกลากเข้าไปในวังวนหายนะแน่

เมื่อถอยออกมา ตราประทับก็เปลี่ยนไป ร่างกายของเขาถูกห่อหุ้มด้วยริ้วแสงแวววาวสีทอง เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้อง เทพอสูรทั้งสองพุ่งออกจากร่างเขากลายเป็นภาพมายาขดอยู่รอบตัวเขา ก่อร่างเป็นปราการป้องกันทรงประสิทธิภาพ

แต่หลังจากเร้ากายามังกรหงส์ออกมาแล้ว มู่เฉินก็ยังไม่ไว้ใจ เขาเร้าร่างเทพสุริยะห่อหุ้มตัวเองไว้อีกชั้น

ตู้ม!

เมื่อมู่เฉินใช้การป้องกันเต็มรูปแบบแล้ว หัวใจพาฬกินสายฟ้าที่อยู่ไกลก็ระเบิด ภายใต้การกระตุ้นของเขา

นี่เป็นพลังงานสายฟ้าจากพาฬกินสายฟ้าโบราณที่สะสมมาเป็นเวลายาวนาน

เสียงฟ้าคำรนกวาดออกราวกับลอนคลื่นนับไม่ถ้วนพัดกระจายไปในระยะไกล ในเส้นทางที่พาดผ่าน มิติแตกสลาย รอยแตกแผ่ซ่านบนพื้นดิน ล้อมรอบหุบเขาขนาดใหญ่ทั้งหมด

ในเส้นทางที่สายฟ้ากวาดผ่านทุกสรรพสิ่งกลายเป็นเถ้าถ่าน

กลุ่มอสูรวิญญาณขั้นแปดโดนเป็นกลุ่มแรก ร่างตายซากของพวกเขาช่างไร้ประโยชน์ที่เบื้องหน้าคลื่นกระแทก เมื่อสายฟ้าแลบแปลบปลาบร่างพวกมันก็สั่นเทิ้มก่อนที่จะสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน

ร่างสุดท้ายที่ยังคงอยู่คืออสูรวิญญาณขั้นเก้า รัศมีความตายมหึมาพวยพุ่งออกมาจากร่างมัน แต่ก็สามารถขัดขวางคลื่นสายฟ้าได้แค่พริบตา จากนั้นสายฟ้าก็โหมกระหน่ำทำลายรัศมีความตายปกคลุมร่างมันเอาไว้

ยามนี้ทั่วบริเวณราวกับโลกสายฟ้า

ขณะที่กลุ่มอสูรวิญญาณถูกกลืนกิน มู่เฉินก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ดีเช่นกัน แม้ว่าเขาจะถอยกลับออกไป แต่เขาก็ยังประเมินพลังของพาฬกินสายฟ้าน้อยไป

ดังนั้นถึงเขาจะใช้ความเร็วเต็มที่ในการถอยก็ยังสามารถเห็นคลื่นกระแทกสายฟ้าไร้ขอบเขตพุ่งใกล้เข้ามาหาจากระยะไกล สุดท้ายก็กระแทกกับร่างเทพสุริยะจังใหญ่

ปัง!

วินาทีนั้นฟ้าดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น รอยร้าวเริ่มแผ่กระจายไปทั่วร่างเทพสุริยะก่อนที่จะระเบิดและจางหายไป

อ็อก!

ต่อให้มีร่างเทพสุริยะคุ้มครอง มู่เฉินก็ยังกระอักเลือดเต็มปาก ร่างกายราวกับจะแตกสลาย สุดท้ายก็ดิ่งพสุธาตกลงสู่พื้น กระดูกเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง

สายฟ้ายังคงครอบงำชำระล้างหุบเขาใหญ่ทั้งหมดจนสะอาด…

พื้นที่ไกลจากหุบเขา เมื่อจิ่วโยวและคนอื่นๆ ที่กำลังถอยห่างเห็นคลื่นกระแทกที่น่าสะพรึงกลัวร่างกายก็หยุดชะงักลงพลางจ้องมองไปด้วยสายตาเคร่งเครียด

“น่ากลัวอะไรแบบนี้” หานซันอึ้งไป แม้จากตรงนี้เขายังรู้สึกว่าคลื่นกระแทกน่ากลัวเพียงใด ถ้าเขาอยู่ใกล้คงตายคาที่แน่นอน

จิ่วโยวกัดริมฝีปากเบาๆ แววกังวลพลุ่งพล่านในดวงตา แต่จากนั้นนางก็หายใจลึก “ระวังรอบๆ อย่าปล่อยให้ใครมาใกล้”

มั่วเฟิงและคนอื่นๆ พยักหน้ารับรู้ ตอนนี้พวกเขาได้แต่หวังว่ามู่เฉินจะไม่เป็นไร

ขณะที่จิ่วโยวหยุดอยู่บริเวณนี้เพื่อเฝ้าระวัง ชายชุดสีฟ้าบนยอดเขาทางเหนือก็มองไปที่ทิศทางนั้นแล้วขมวดคิ้ว นั่นเป็นเพราะเมื่อสักครู่เขารู้สึกถึงคลื่นกระแทกของพลังงานหลิงรุนแรง

ชายคนนี้ก็คือไป๋หมิงแห่งเผ่าหงส์ฟ้า

“พี่ใหญ่ไป๋หมิง นั่นมันพลังงาน?” ที่ด้านข้าง ไป๋ปิงก็ปรากฏขึ้นด้วยอาการหวาดกลัว เขาสามารถรู้สึกได้ถึงความรุนแรงของพลังงานในฟ้าดิน

“พลังงานรุนแรงนี้น่าจะเป็นของสายฟ้า กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็คงไม่สามารถต้านทานพลังนั้นได้” ไป๋หมิงหรี่ตาลง ก่อนที่แววตาจะวูบไหวด้วยความเข้าใจ เขายิ้มอ่อน “ดูเหมือนว่าข้าประเมินค่าไอ้บ้านั่นมากเกินไป ถูกอสูรวิญญาณขั้นแปดบีบจนถึงขั้นนี้เชียว”

ในมุมมองของเขา การรวมกลุ่มของพวกมู่เฉินไม่ง่ายนักที่จะฆ่าอสูรวิญญาณขั้นแปด หากพวกเขาต้องการที่จะฆ่ามันโดยไม่บาดเจ็บล้มตายก็จะต้องใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้าอย่างเดียว

ไป๋ปิงอึ้งไปจากนั้นก็เอ่ยอย่างดีใจ “มันใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้าแล้วรึ?”

“พลังงานดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่มีกลุ่มใดที่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่มี นอกเหนือจากหัวใจพาฬกินสายฟ้าในมือมันแล้ว ก็น่าจะไม่มีคนอื่นอีก”

ไป๋หมิงผงกหัวขณะที่ความเคร่งเครียดวูบไหวในดวงตาก่อนที่จะพูดต่อ “แต่พลังของมันช่างน่ากลัวจริงๆ หากไอ้เหลือขอนั่นใช้กับข้า ข้าก็คงไม่รอด”

“หึ แต่จากนี้ไปไอ้บ้านั่นจะทำอะไรได้ในมือของพี่ใหญ่ไป๋หมิงอีก?” ไป๋ปิงแสยะยิ้ม

ไป๋หมิงยิ้มบาง เมื่อไม่มีหัวใจพาฬกินสายฟ้า มู่เฉินก็เปรียบเสมือนมดตัวหนึ่งในสายตาของเขา หากพบกันอีกครั้ง เขาจะบอกอีกฝ่ายว่าโง่เง่าแค่ไหนที่ทำให้เขาขุ่นเคือง

“จัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปดตรงหน้าเราก่อน” ไป๋หมิงส่ายหัว เลิกสนใจเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมด เขาเงยหน้ามองออกไป ฝูงอสูรวิญญาณถูกกำจัดโดยจอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้าหมดแล้ว มีเพียงอสูรวิญญาณขั้นแปดที่ยังคงอยู่พยายามหลบหนีอยู่

เขากำมือ พัดน้ำแข็งสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นในพริบตา จากนั้นร่างของเขาหายไป เมื่อเผยตัวขึ้นอีกครั้งก็ยืนค้ำอยู่เหนือร่างอสูรวิญญาณขั้นแปดแล้ว

ฟิ้ว!

รัศมีสีฟ้าน้ำแข็งเย็นเยือกกวาดออกมาราวกับหงส์ฟ้าสยายปีก เปลี่ยนเป็นกระแสคลื่นกลืนกินอสูรวิญญาณขั้นแปด รัศมีเย็นเยือกกวาดผ่าน ก็เหลือเพียงรูปปั้นน้ำแข็งถูกทิ้งไว้

ไป๋หมิงพลิ้วลงมาบนหัวของรูปปั้นเบาๆ ด้วยสีหน้าไม่แยแส จากนั้นก็ใช้ปลายเท้าเตะเบาๆ รูปปั้นน้ำแข็งแตกเป็นเสี่ยง ก่อนจะสลายกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง

หัวใจที่เต็มไปด้วยรัศมีความตายลอยขึ้นมาแล้วถูกไป๋หมิงคว้าไป เขาเคล้าคลึงหัวใจไปมา สายตากลับจ้องมองไปยังระยะไกล รอยยิ้มเย้ยหยันผุดขึ้นที่มุมปาก

หวังว่ามู่เฉินจะยังกล้ามุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนใน เขาอยากบอกให้มันรู้ว่ามดที่กล้าแหย่สัตว์ใหญ่โตน่าเศร้าแค่ไหน

ในหุบเขาที่วินาศสันตะโรผาหินและยอดเขาโดยรอบถูกปรับให้ราบเตียนเหมือนพื้นเรียบ มีรอยแตกยาวนับไม่ถ้วนแผ่กระจายไปทั่วพื้นดินราวกับเหว

หุบเขาขนาดใหญ่แห่งนี้ถูกทำลายล้างไปอย่างสิ้นเชิง

ปัง!

บนดินแดนวิปโยค ก้อนหินก้อนใหญ่กระเด็นออกไป ร่างเงาหนึ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นก็พลิ้วตัวลงมาบนพื้นดิน เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นร่างเต็มไปด้วยบาดแผล มีรอยเลือดที่มุมปาก รูปร่างหน้าตาดูสะบักสะบอมอย่างยิ่ง

นี่ก็คือมู่เฉินนั่นเอง

เขาเช็ดรอยเลือดพลางก้มศีรษะลงมองหุบเขาที่พังทลายด้วยความหวาดผวาฉายในดวงตา พลังสายฟ้าของพาฬกินสายฟ้าทรงพลังเกินไป

มู่เฉินกวาดสายตาออกไป ไม่มีร่องรอยอสูรวิญญาณอีก ชัดว่าพวกมันถูกทำลายล้างอย่างสมบูรณ์

“ไม่รู้ว่าดอกบัวมรกตเก้าโคจรเป็นยังไงบ้างแล้ว?”

เมื่อนึกถึงสิ่งล้ำค่านี้ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป เขาทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว เขามาที่นี่เพื่อดอกบัวมรกตเก้าโคจรและยังใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้า หากผลกระทบจากคลื่นกระแทกของหัวใจพาฬทำลายมันไป ตับไตไส้พุงของเขาคงกลายเป็นสีเขียวคล้ำจากการตรอมตรม

ฟิ้ว!

มู่เฉินทะยานข้ามพื้นที่วิปโยค จากนั้นก็ไปปรากฏตัวอยู่ในบึงรัศมีความตาย แต่ในเวลานี้บึงถูกทำลายลงอย่างมากพร้อมกับรัศมีความตาย

เมื่อเห็นภาพนี้หัวใจของมู่เฉินก็ดิ่งลง เขาเพิ่มความเร็วยิ่งขึ้นไปอีก พุ่งไปที่ใจกลางบึงพลางกวาดสายตาไปทั่ว จากนั้นเขาก็เห็นบ่อน้ำใสยังคงเงียบสงบอยู่ในบึง โดยรอบมีมวลน้ำสีดำซึ่งแบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจน

ที่ส่วนลึกของบึงดอกบัวสีเขียวมรกตกระเพื่อมเบาๆ เปล่งประกายแสงสีเขียวที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตไร้ขอบเขต

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1051 บุกเข้าหุบเขา
“เป็นยังไงบ้าง?”

บนยอดเขาจิ่วโยวมองมู่เฉินที่ลืมตาขึ้นมาก็รีบถาม พื้นที่ตรงหน้านั้นอันตรายยิ่ง คิดว่าคงไม่ธรรมดาแน่นอน

เมื่อมู่เฉินเห็นทุกคนจ้องมองมาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ในหุบเขามีอสูรวิญญาณขั้นแปดสิบแปดตัว… และอสูรวิญญาณขั้นเก้าหนึ่งตัว”

“ซี้ด!”

พอได้ยินคำพูดของมู่เฉินแม้ว่าทุกคนจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นเข้าลึกสุดปอด พวกเขาคาดว่าคงจะมีอสูรวิญญาณขั้นแปดอยู่ แต่ไม่นึกว่าจะมีอสูรวิญญาณขั้นเก้าด้วย

นั่นเป็นสิ่งที่สามารถเทียบเคียงได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าเลยนะ! ต่อให้อยู่ในเผ่าต่างๆ ก็สามารถได้รับตำแหน่งสูงส่ง กลายเป็นสมาชิกชั้นสูงในเผ่าได้

สายตาจิ่วโยวฉายแววเคร่งเครียด จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ในอาณาเขตกงเวทสววรค์มีเพียงสามจอมพลเท่านั้นที่ไปถึงระดับนั้นได้…

“ข้าตั้งใจจะเข้าไป”

ทว่าขณะที่พรรคพวกกำลังตกตะลึง ประโยคต่อไปของมู่เฉินก็ทำให้พวกเขาสติหลุดไปเลย มากจนกระทั่งจิ่วโยวยังเบิกตากว้างมองมู่เฉินด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินต้องการที่เข้าไปเสี่ยงตายเช่นนี้ อย่าว่าแต่กลุ่มของพวกเขาเลย ต่อให้กลุ่มระดับต้นอื่นๆ ทั้งหมดมารวมตัวกัน ก็เละไม่เป็นท่าแน่

มู่เฉินมองทุกคนที่อยู่ในอาการตกตะลึงก็กล่าวต่อ “พวกเจ้าไม่ต้องไปกับข้า ข้าจะเข้าไปคนเดียว”

เผชิญหน้ากับการรวมตัวที่ดุร้ายนี้ พวกเขาเข้าไปก็เป็นภาระ

คนอื่นๆ มองหน้ากัน สุดท้ายจิ่วโยวก็ขมวดคิ้วพูดว่า “เจ้าคิดจะใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้าเหรอ?”

นางเข้าใจมู่เฉินดี แม้ว่าพลังของเขาจะไม่สามารถใช้เกณฑ์ปกติตัดสินได้ แต่ตอนนี้นอกจากว่าเขามีกองทัพทรงพลังและสามารถใช้พลังของจั้นเจินซือ ถึงมีความเป็นไปได้ที่เขาจะประจัญบานกับการรวมตัวน่าหวาดกลัวในหุบเขา แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มีวิธีการอย่างว่าในเวลานี้ หากเป็นเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว มู่เฉินตั้งใจจะใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้า

“แต่เมื่อไรที่เจ้าไม่มีหัวใจพาฬกินสายฟ้า ไป๋หมิงเผ่าหงส์ฟ้าก็จะไม่กลัวเจ้าอีกต่อไป” หานซันอดไม่ได้ที่จะชี้ให้เห็นเรื่องนี้ ไป๋หมิงไม่ได้เป็นคนใจดี ก่อนหน้ามู่เฉินสามารถข่มขู่อีกฝ่ายด้วยหัวใจนี้ แต่ทันทีที่ใช้ไป ด้วยนิสัยของไป๋หมิงไม่มีทางปล่อยมู่เฉินไปได้แน่

มู่เฉินยิ้มจ้องมองไปที่หุบเขาที่เต็มไปด้วยรัศมีความตายตอบว่า “ข้านำหัวใจพาฬกินสายฟ้าออกมาเพื่อข่มขู่คนอื่นเท่านั้น ไป๋หมิงยังไม่คู่ควรที่ต้องใช้สิ่งนี้เพื่อปราบปราม”

คำพูดสงบเงียบแต่ความมั่นใจในตัวเองล้นปรี่ ไป๋หมิงเป็นจอมยุทธ์ที่น่าเกรงขามแท้จริงและจากการคาดการณ์ก็น่าจะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด นอกจากนี้ยังเป็นจอมยุทธ์ที่มีเล่ห์เหลี่ยมและครอบครองอาวุธเสมือนมหสวรรค์ พลังการต่อสู้มีมากกว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดที่พวกเขาปะทะมาก่อนหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่าแม้ไป๋หมิงจะทรงพลัง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินทำอะไรไม่ได้ ถ้าพวกเขาต่อสู้กันจริง มู่เฉินก็มั่นใจว่าไป๋หมิงไม่ได้ตามที่หวังแน่

นอกจากนี้ตัวเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด อีกก้าวเดียวก็จะก้าวเข้าสู่ขั้นเจ็ด หากเป็นเวลาปกติเขาคงต้องการเวลาฝึกฝนหนึ่งเดือนถึงจะลองบรรลุได้

แต่ตอนนี้เขากลับมีโอกาส นั่นก็คือดอกบัวมรกตเก้าโคจร แม้ว่าผลประโยชน์หลักจะแสดงให้เห็นตอนบรรลุขั้นตี้จื้อจุน แต่ยังไงมันก็บรรจุด้วยพลังงานที่บริสุทธิ์และมหาศาล หลังจากกลืนกินเข้าไปมู่เฉินก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เพื่อบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด

ทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่ขั้นเจ็ด พลังอำนาจในการต่อสู้ก็จะยกสูงขึ้น ถึงเวลานั้นแม้จะไม่มีหัวใจพาฬกินสายฟ้า เขาก็ไม่กลัวไป๋หมิง

เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่ามู่เฉินตัดสินใจแล้ว พวกเขาก็ไม่พยายามโน้มน้าวอีก นอกจากนี้พวกเขาก็รู้ถึงพลังของหัวใจพาฬกินสายฟ้า แม้ว่าการรวมตัวของอสูรวิญญาณในหุบเขาจะทรงพลัง แต่ก็ไม่อาจทนต่อการโจมตีของหัวใจพาฬได้

“งั้นก็ระวังตัว พวกเราจะถอยออกไปก่อน” จิ่วโยวพยักหน้าเชิงรับรู้ เนื่องจากพวกนางไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใดๆ แก่มู่เฉินหากรออยู่ที่นี่ ถ้ามีสิ่งใดเกิดขึ้นพวกเขาอาจทำให้มู่เฉินพะว้าพะวงด้วยซ้ำ

“ฝากดูรอบๆ ให้ข้าด้วย” มู่เฉินกล่าว เขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์หลังจากที่เขาจัดการอสูรวิญญาณทั้งหมดที่นี่ด้วยความยากลำบาก

จิ่วโยวพยักหน้า จากนั้นก็ไม่รอช้าหันหลังกลับทะยานออกไป แม้ว่าพวกหานซันจะอยากรู้เป้าหมายของมู่เฉิน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถามอะไร ตามจิ่วโยวไปอย่างรวดเร็ว

มู่เฉินมองส่งร่างเงาพรรคพวกที่แยกย้ายไปจนลับสายตา จากนั้นก็เลื่อนสายตามองไปที่หุบเขาเบื้องหน้าพลางสูดหายใจลึก หัวใจสีเงินที่แล่นแปลบปลาบด้วยสายฟ้าก็ปรากฏขึ้นในมือ

“ต้องพึ่งเจ้าแล้วนะ คู่หู…” มู่เฉินพึมพำขณะกลายเป็นร่างแสงพุ่งเข้าไปยังหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยรัศมีความตาย

ยิ่งเข้าใกล้รัศมีความตายก็ยิ่งหนาทึบมากขึ้น ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆรัศมีความตายสีดำ สายฝนสีดำตกลงมา ทำให้บริเวณนี้ถูกปกคลุมด้วยไอเย็นเยือก

ภายใต้ความเย็นเยือกนี้ คลื่นหลิงในร่างกายของมู่เฉินก็เริ่มเฉื่อยชาลง ผิวหนังถูกปกคลุมด้วยไอเย็น ราวกับว่ากำลังกัดกร่อนร่างกายของเขา

เมื่อสัมผัสได้ถึงสถานการณ์นี้ มู่เฉินก็ไม่กล้าชักช้าเร้ากายามังกรหงส์อย่างรวดเร็ว แสงสีทองกำจายอยู่บนร่าง เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องออกมาขับไล่รัศมีความตายที่บุกเข้ามาในร่างกายของเขาทั้งหมด

ฟิ้ว!

ด้วยการปกป้องร่างของกายามังกรหงส์ มู่เฉินก็พุ่งเข้าไปในหุบเขาที่ปกคลุมด้วยรัศมีความตายอย่างรวดเร็ว จังหวะที่เขาก้าวเข้าไปในหุบเขา เงาสีดำที่อยู่ในหุบเขาก็เบิกตาโพลง เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากปากของพวกมัน

วาบ!

เงาดำจำนวนมากพุ่งออกมาเปลี่ยนเป็นแสงสีดำซัดใส่มู่เฉิน พยายามล้อมฆ่าเขา

มู่เฉินมองเงาดำเหล่านั้นที่พุ่งเข้ามาก็ไม่กล้าเข้าโรมรันพันตู เพราะเขารู้ว่าถ้าถูกสกัดเอาไว้ วันนี้เขาคงไม่สามารถหนีจากหุบเขาไปได้แล้ว

ฮา!

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึก ตราประทับเปลี่ยนไป วิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตอยู่บนแขนของเขาก็ขยับไปที่ด้านหลัง แสงหลิงพวยพุ่ง ปีกหงส์ฟ้าขนาดใหญ่คู่หนึ่งก็กางออก

ตู้ม!

ปีกหงส์ฟ้ากระพือวูบวาบ ความเร็วของมู่เฉินก็เพิ่มสูงขึ้น เขาทะยานผ่านแนวกีดขวางของอสูรวิญญาณขั้นแปดไปอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าไปในส่วนลึก

โฮก!

เมื่ออสูรวิญญาณเหล่านั้นเห็นว่าการสกัดกั้นล้มเหลวก็ส่งเสียงคำรามอย่างโกรธแค้น พวกมันกระโจนขึ้นก่อนที่จะทะยานล้อมรอบร่างมู่เฉิน

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ด้วยความช่วยเหลือของปีกหงส์ฟ้า ความเร็วของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ เขาผ่านการสกัดกั้นของอสูรวิญญาณอย่างคล่องแคล่ว โดยใช้ข้อบกพร่องจากการขาดสติปัญญาของพวกมัน ค้นหาช่องโหว่ พุ่งลึกเข้าไปในหุบเขาลึก

หลังจากเสียเวลาไปไม่กี่นาทีจากการตามล่าและการล้อมกรอบ ในที่สุดมู่เฉินก็เข้าสู่บึงน้ำ

ขณะที่เขาก้าวเข้ามายังบึงรัศมีความตาย อสูรวิญญาณขั้นเก้าที่นั่งอยู่บนต้นไม้ความตายในส่วนลึกก็เปิดตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ว่างเปล่า เหมือนมีแสงไฟกะพริบเลือนราง เมื่อเปรียบเทียบกับอสูรวิญญาณขั้นแปด เห็นได้ชัดว่ามันมีร่องรอยของจิตวิญญาณ

โฮก!

อสูรวิญญาณขั้นเก้ามองไปในทิศทางของมู่เฉินก็ปล่อยเสียงคำรามลึกพลางชกหมัดออกมาจากระยะไกล

ตู้ม!

กำปั้นเหวี่ยงออก ฉีกรอยร้าวบนมิติราวกับเป็นกระจกร้าว รัศมีความตายไร้ขอบเขตเจาะทะลุมิติอย่างรวดเร็วแล้วมาปรากฏต่อหน้ามู่เฉิน ก่อนที่จะกระโจนเข้ามาอย่างดุร้าย

รัศมีความตายอันน่าสะพรึงกลัวครอบงำแผ่ซ่าน ตราประทับในมือมู่เฉินก็เปลี่ยนไป ร่างที่กำลังพุ่งก็แข็งทื่อ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงมาจากท้องฟ้าราวกับก้อนหินหนักพันชั่งถ่วงไว้ เมื่อเหยียบย่ำลงไปบนพื้นดิน รัศมีความตายก็ลอยหวือเหนือร่างไป ทำลายผาหินขนาดใหญ่

แต่ถึงแม้ว่าจะสามารถหลบหลีกรัศมีความตายได้ มู่เฉินก็ยังรู้สึกถึงเลือดและรัศมีที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย เขาแอบตกตะลึงและหวาดผวาในใจ อสูรวิญญาณขั้นเก้าน่ากลัวเสียจริง…

หากเขาเผชิญหน้ากับมันตรงๆ ด้วยพลังในปัจจุบัน ต่อให้เขาใช้ทุกวิถีทางก็ไม่สามารถหลบอสูรวิญญาณขั้นเก้าไปได้…

เมื่ออสูรวิญญาณเห็นว่ามู่เฉินหลีกเลี่ยงการโจมตีไปได้ มันก็ไม่ได้ไล่ตามเพราะไม่ต้องการออกห่างจากดอกบัวมรกตเก้าโคจร เนื่องจากกลัวมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

แต่มู่เฉินต้องการดึงมันออกมาให้ได้ถ้าเขาต้องการใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้า ความคิดสายหนึ่งวูบไหว จากนั้นเขาก็หันไปอีกทางหนึ่ง ชัดว่าคิดจะเข้าไปส่วนลึกบ่อจากขอบบ่อ

ด้านหลังแม้ว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดเหล่านั้นจะไล่ตามมาไม่หยุด แต่พวกมันก็ไม่สามารถตามทันได้

โฮก!

อสูรวิญญาณขั้นเก้าก็รับรู้ถึงความตั้งใจของมู่เฉิน มันสัมผัสมู่เฉินที่เคลื่อนไหวลึกเข้าไปในบึงเรื่อยๆ ในที่สุดก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป ทันใดนั้นมันก็ปลดปล่อยเสียงคำราม รัศมีความตายครอบงำราวกับพายุทอร์นาโด

มันกระทืบเท้า ร่างหายไปทันที เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็อยู่ที่ขอบฟ้าแล้ว

ขณะที่อสูรวิญญาณขั้นเก้าเข้ามาอยู่ในสายตาของมู่เฉิน เขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันของบริเวณนี้พุ่งขึ้นฉับพลัน ความเจ็บปวดบนผิวหนังพล่านไป เนื่องจากสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามใหญ่หลวง

ดังนั้นมู่เฉินจึงหยุดชะงักทันที ปีกของหงส์ฟ้ากระพือ เขาหันไปทางอื่นแล้วหลบหนี

ที่เบื้องหลังอสูรวิญญาณขั้นเก้าไล่ตามมาพร้อมกับอสูรวิญญาณขั้นแปดตามติดมาอย่างกระชั้นชิด แม้ว่าพวกมันจะทรงพลังแต่สติปัญญาก็ขาดหาย

แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตกใจก็คือความเร็วของอสูรวิญญาณขั้นเก้า กระทั่งหลังจากการใช้จิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริง มันก็ยังสามารถปิดช่องว่างระหว่างพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว

ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันทรงพลังห่อหุ้มจากด้านหลัง เขาสามารถรับรู้ถึงกลิ่นความตายที่มาจากอสูรวิญญาณขั้นเก้าได้แล้ว

ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อสูรวิญญาณขั้นเก้าจะไล่ตามเขาทันในอีกไม่นาน

ดวงตาของมู่เฉินวูบไหว จากนั้นก็หายใจเข้าลึก ร่างเคลื่อนไหวไปปรากฏบนเนินเขาก่อนจะหันกลับมามองรัศมีความตายที่พล่านออกรุนแรง

มือของเขาเหยียดออกจากแขนเสื้อ หัวใจสีเงินเต้นตุบตับเปล่งเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง

“ได้โอกาสแล้ว…”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง จากนั้นสายตาก็ดุร้ายลงหลายส่วน ฝ่ามือสั่นไหว หัวใจสีเงินก็กลายเป็นแสงสีเงินพุ่งเข้าหารัศมีความตายเชี่ยวกราก

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1050 ดอกบัวมรกตเก้าโคจร
บนยอดเขา

เมื่อมู่เฉินพลิ้วตัวลงมาก็เพ่งมองไปข้างหน้า เขาเห็นหุบเขาสีดำขนาดใหญ่ที่มีรัศมีความตายจำนวนมากชวนแตกตื่นอยู่ภายใน รัศมีความตายหนาแน่นมากจนก่อตัวเป็นก้อนเมฆเหนือหุบเขา ฝนสีดำโปรยปรายลงมา ซึ่งสายฝนก็เกิดจากรัศมีความตาย

รัศมีความตายที่นั่นเกินกว่าที่มู่เฉินเคยได้เห็น

นอกจากนี้มู่เฉินยังสามารถมองเห็นเงาร่างสีดำสิบกว่าร่างในหุบเขา ร่างเหล่านั้นนั่งนิ่งเงียบพร้อมกับรัศมีความตายรุนแรงรอบตัว ความหนาแน่นของรัศมีแข็งแกร่งกว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดที่พวกเขาเจอมาก่อนหน้าเสียอีก

เห็นได้ชัดว่าร่างดำเหล่านั้นล้วนเป็นอสูรวิญญาณขั้นแปด มิหนำซ้ำยังเป็นชั้นสูงด้วย

“ที่นั่นคือที่ไหนกัน?” คนอื่นๆ ก็พลิ้วตัวลงมาหยุดที่ด้านข้างมู่เฉิน พวกเขามองไปที่หุบเขา สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงรุนแรง ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว

มู่เฉินส่ายหัว “อสูรวิญญาณที่เราฆ่าก่อนหน้าคงพยายามเข้าไปในหุบเขาแห่งนี้ แต่สุดท้ายก็ถูกไล่ออกไป…”

จากบาดแผลที่เห็น อสูรวิญญาณตัวนั้นจะต้องต่อสู้กับพวกที่อยู่ในหุบเขา แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวจึงต้องถอยออกมา

จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ เมื่อได้ยิน รัศมีความตายเทียบเท่ากับคลื่นหลิงในการฝึกฝนสำหรับอสูรวิญญาณ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงเป็นดินแดนขุมทรัพย์สำหรับอสูรวิญญาณ แม้ว่าพวกมันจะไม่มีสติปัญญา แต่ก็ยังคงมองหาสถานที่เพาะบ่มพลังตามสัญชาตญาณ

แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจุบันหุบเขาแห่งนี้ถูกครอบครองโดยอสูรวิญญาณกลุ่มหนึ่งจึงไม่อนุญาตให้อสูรวิญญาณตัวอื่นๆ เข้ามาได้

“มีอสูรวิญญาณขั้นแปดอย่างน้อยสิบตัวในนั้น” หานซันพูดด้วยสีหน้าซีดเซียว นั่นเทียบเท่ากับการรวมตัวของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดถึงสิบคนเชียวนะ หากพวกมันพุ่งออกมาคงไม่มีใครสามารถหลบหนีไปได้

ม่านตาสีดำของมู่เฉินจับจ้องไปที่หุบเขา จากนั้นแสงสีดำก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผาก เนตรดับชีวิตเปิดปรือเล็กน้อย แสงสีดำทะลุผ่านมิติกวาดมองหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายหนาแน่น

ภูมิทัศน์ภายในของหุบเขากว้างใหญ่มาก นอกจากนี้ยังไม่มีร่องรอยของพลังชีวิต ไม่ได้มีอสูรวิญญาณมากมาย แต่ทุกตัวล้วนมีรัศมีความตายที่น่าอัศจรรย์ห่อหุ้มร่างไว้ เห็นได้ชัดว่าเป็นอสูรวิญญาณขั้นแปดทั้งหมด

นอกจากนี้มู่เฉินยังพบว่าแม้แต่อสูรวิญญาณขั้นแปดยังนั่งอยู่ชั้นนอกของหุบเขาเท่านั้น ในส่วนลึกของหุบเขาถูกปกคลุมด้วยแสงสีดำที่ดูลึกลับมาก ต่อให้รัศมีความตายในนั้นมีความหนาแน่นสูง อสูรวิญญาณขั้นแปดเหล่านั้นก็ไม่กล้าย่างเท้าเข้าไปในบริเวณนั้น

“ส่วนลึกของหุบเขามีอะไรกันแน่?”

สายตาของมู่เฉินวูบไหวด้วยความประหลาดใจ เขาครุ่นคิดคร่าวๆ ก่อนที่เนตรดับชีวิตบนหน้าผากจะเปิดออกอย่างสมบูรณ์ แสงสีดำกะพริบก็ทะลุผ่านมิติมองลึกเข้าไปในหุบเขา

รัศมีความตายถูกมองผ่านโดยเนตรดับชีวิต ทิวทัศน์ภายในถูกเปิดเผยในมุมมองของมู่เฉิน

ในความลึกนั้นดูเหมือนจะเป็นบึงสีดำขนาดใหญ่ ถ้ามองโคลนเหล่านั้นดีๆ ก็จะพบว่าก่อตัวมาจากรัศมีความตายที่หนาแน่น

ความหนาวเย็นที่น่ากลัวปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้คลื่นหลิงถึงกับไม่บริสุทธิ์

มู่เฉินมองไปที่บึงครู่หนึ่ง จากนั้นจิตใจก็เคลื่อนไหว สายตาถูกดึงดูดจนเพ่งเข้าที่ส่วนลึกของบึงใหญ่ มีต้นไม้แห้งต้นหนึ่งอยู่ตรงนั้น มีเงาดำนั่งเงียบๆ อยู่บนต้นไม้นั่น

ไม่มีพลังงานชีวิตใดมาจากเงานั่น แต่ก็ไม่มีรัศมีความตายรอบตัวเช่นกัน มองดูราวกับคนที่เพิ่งตายเลยทีเดียว

แต่เมื่อมู่เฉินเห็น ม่านตาก็หดเกร็ง นั่นเป็นเพราะยามนี้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามรุนแรงที่มาจากร่างนั้น

ภัยคุกคามเกินกว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดทุกตัวที่เขาเคยเห็น!

ร่างนั้นปิดตาสนิทแต่ดูเหมือนว่าจะสัมผัสถึงสายตาของมู่เฉินได้ ดวงตาขยับขึ้นเล็กน้อยราวกับว่ากำลังจะเปิดออก

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็รีบดึงสายตากลับและไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว แม้ว่าร่างนั้นจะไม่ดูแข็งทื่อหรือปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายเหมือนร่างอสูรวิญญาณอื่นๆ แต่มู่เฉินก็รู้ดีว่ามันต้องเป็นอสูรวิญญาณแน่นอน…

ทว่าร่างนั้นเหนือกว่าร่างอื่นทั้งหมด ซึ่งอาจจะเป็น…อสูรวิญญาณขั้นเก้า!

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้หัวใจของมู่เฉินก็สั่นสะท้าน การดำรงอยู่นี้เทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า จุดสูงสุดของระดับจื้อจุน… เพียงอีกก้าวเดียวก็จะมีคุณสมบัติเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนแล้ว…

หากอสูรวิญญาณขั้นเก้าพุ่งออกมาก็สามารถทำให้พวกเขาทั้งกลุ่มเลือดเจิ่งนองไปทั่วได้

แต่ทำไมมันถึงมาอยู่ในบึงตามลำพัง? นอกจากนี้ดูจากตำแหน่งแล้วก็ไม่เหมือนเพาะบ่มพลังอะไร กลับเหมือนกำลังปกป้องบางอย่างอยู่…

ความคิดไหลเวียนอยู่ในใจ จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง แสงสีดำกะพริบที่หน้าผากสายตายิงเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาค้นหารอบๆ ใจกลางบึง

เขารู้สึกถึงความผันผวนที่แปลกประหลาดในใจกลางของบึงซึ่งปกคลุมไปด้วยรัศมีความตาย

มู่เฉินไม่ได้ค้นหานานนักเนื่องจากความผันผวนแปลกประหลาดโดดเด่นเกินไป ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจ สายตาของมู่เฉินก็รวบอยู่ที่ส่วนลึกของบึง อาการไม่เชื่อรุนแรงเผยในสายตา

สิ่งที่ปรากฏในสายตาของมู่เฉินคือบ่อน้ำขนาดหลายสิบจั้ง น้ำใสสะอาดเปล่งพลังงานหลิงที่หนาแน่น นอกจากนี้ยังมีดอกบัวสีฟ้าอมเขียวอยู่ในบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต

มู่เฉินมองไปที่บ่อด้วยความตกตะลึง หากบ่อน้ำนี้อยู่ด้านนอกสุสาน เขาจะไม่ให้ความสนใจมากนัก แต่สถานที่นี้ไม่เหมือนกันเนื่องจากไม่มีพลังงานชีวิตที่นี่ แต่มีบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตทำให้แปลกตามาก…

นอกจากนี้พลังชีวิตในบ่อน้ำก็ทรงพลังเกินไป

พลังนั่นจำกัดวงอยู่ที่บ่อเท่านั้น ไม่ได้กระฉอกออกจากบ่อเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นรอบๆ บ่อจึงยังคงเต็มไปด้วยรัศมีความตาย ดอกบัวสีฟ้าอมเขียวในบ่อกลายเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตเพียงอย่างเดียว

โดยทั่วไปแล้วไม่ควรมีการดำรงอยู่ของพลังชีวิตในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความตาย เว้นแต่จะมีอะไรที่เทียบเท่ากับอสูรโบราณโภคะละสังขารไว้ภายใน รัศมีที่เหลืออยู่จึงปกป้องสถานที่นี้ แต่เมื่อครู่มู่เฉินได้สำรวจอย่างละเอียดแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกถึงรัศมีทรงพลังใดๆ ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ดังนั้นบ่อน้ำที่ล้นเอ่อด้วยพลังชีวิตต้องเกิดมาจากฟ้าดิน

ความคิดของมู่เฉินหมุนเร็วจี๋ แม้ว่ารัศมีความตายในดินแดนนี้จะหนาแน่นมาก แต่ด้วยวิถีของโลกนี้เกี่ยวกับความสมดุลระหว่างฟ้าดิน จึงทำให้เมื่อรัศมีความตายทรงพลังจนถึงระดับหนึ่ง ชีวิตก็จะปรากฏขึ้น

ดังนั้นสิ่งที่กำเนิดขึ้นที่นั่นจะต้องเป็นสมบัติวิเศษแน่นอน

“ต้องมีสมบัติอยู่ในบ่อน้ำ!”

สายตาของมู่เฉินวูบไหว แสงควบแน่นบนเนตรดับชีวิตบนหน้าผาก เขาไม่สนใจความอ่อนเพลียหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายออกมา แสงสีดำพุ่งเข้าไปในบ่ออย่างรวดเร็ว ทันใดภาพบ่อน้ำก็กระจ่างใสในดวงตา ขณะที่เขาเบิกตากว้าง

มีดอกบัวสีฟ้าอมเขียวขนาดเท่ากำปั้นคล้ายกับหยก แม้ว่าจะอยู่ในบึงความตาย แต่ก็เปล่งประกายสุกสว่างโดยไม่มีการปนเปื้อนใดๆ ความผันผวนของพลังชีวิตที่น่าตกใจแผ่ซ่านออกมา ทำให้น้ำในบ่อบริสุทธิ์

ดอกบัวหยกค่อยๆ เปิดออก เม็ดบัวสีขาวอยู่ที่ใจกลางเกสรดอกปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกซึ้ง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างแต่เกิดจากฟ้าดิน ราวกับว่าได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังชีวิตที่ยิ่งใหญ่และพลังหลิงที่บริสุทธิ์ระหว่างสวรรค์และโลก

“นี่มัน…”

มู่เฉินตกตะลึงเมื่อมองไปที่ดอกบัวขนาดเท่ากำปั้น ครู่ต่อมาเขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเย็นพึมพำว่า “ดอกบัวมรกตเก้าโคจร?”

สิ่งที่เรียกว่าดอกบัวมรกตเก้าโคจรเป็นสมบัติหายากในธรรมชาติที่เกิดจากการดูดซับพลังชีวิตในฟ้าดินทำให้มีความลึกซึ้งอย่างมาก ว่ากันว่าสิ่งนี้สามารถย้อนคืนจากความตาย นอกจากนี้ยังบอกต่อกันอีกว่าการกินดอกบัวนี้เข้าไปจะสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จของการพัฒนาระดับจื้อจุนได้

ทุกคนในมหาพันภพรู้ดีเกี่ยวกับความยากลำบากในการบุกทะลวงระดับตี้จื้อจุน จอมยุทธ์อัจฉริยะนับไม่ถ้วนหมดแรงขับเคลื่อนและความสามารถไปมากมายแต่ก็ยังย่ำอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้า ไม่สามารถก้าวออกไปซึ่งเป็นการเปลี่ยนชีวิตได้

นอกจากนี้ยังเป็นเพราะเรื่องสมบัติที่สามารถช่วยจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนในการทำลายห่วงขุมพลังมีค่ามหาศาลอย่างยิ่ง ราคาเป็นอะไรที่จินตนาการไม่ได้เลยและดอกบัวมรกตเก้าโคจรที่เบื้องหน้าก็เป็นหนึ่งในวัตถุนั้น

เผชิญหน้ากับสมบัติที่หายากเช่นนี้ แม้แต่หัวใจของมู่เฉินก็ยังโลดขึ้น ระดับตี้จื้อจุน…เป็นความใฝ่ฝันของเขาเช่นกัน ตราบใดที่เขาสามารถก้าวเข้าสู่ระดับดังกล่าวก็ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะสบประมาทเขาได้

ฮา

มู่เฉินสูดหายใจลึก ดึงสายตากลับมาด้วยความยากลำบาก เขาลืมตาขึ้นแต่ในส่วนลึกของนัยน์ตายังคงลุกโชน ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมถึงมีอสูรวิญญาณมากมายมารวมตัวกันที่นี่ จนถึงจุดที่แม้แต่อสูรวิญญาณขั้นเก้ายังถูกดึงดูดเข้ามา

ทั้งหมดมาที่นี่เพื่อดอกบัวมรกตเก้าโคจร

ตราบใดที่สามารถกลืนกินสิ่งนี้ได้ แม้จะมีร่างกายที่ตายแล้วก็สามารถครอบครองพลังชีวิตได้เช่นกัน อยู่ระหว่างความเป็นและความตายกลายเป็นอมตะ ในเวลาเดียวกันก็จะเปิดเส้นทางใหม่ในการฝึกฝนกลายเป็นสิ่งพิเศษของโลก

นี่เป็นสิ่งล่อใจที่อสูรวิญญาณโง่งมเหล่านี้ไม่สามารถต้านทานได้ สัญชาตญาณจะควบคุมให้พวกมันทำทุกอย่างเพื่อสิ่งนั้น

ดังนั้นหากมู่เฉินต้องการแย่งชิงดอกบัวมรกตเก้าโคจร เขาก็จะดึงดูดการโจมตีบ้าคลั่งของอสูรวิญญาณ ทุกตัวที่นี่อย่างแน่นอน ในเวลานั้นเขาจะต้องเผชิญกับไล่ล่าของอสูรวิญญาณขั้นแปดและขั้นเก้า…

แม้ว่าจะเป็นกลุ่มเทพอสูรระดับต้น พวกเขาก็ต้องถูกล้างบางจากการไล่ล่านี้

ดังนั้นการยอมแพ้ในสิ่งนี้จึงเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมที่สุด

แต่…

มู่เฉินเลียริมฝีปาก ประกายไฟลุกโชนในนัยน์ตา เขาไม่ต้องการยอมแพ้… ในเมื่อเป็นเช่นนี้งั้นเขาขอลองวางเดิมพันสักตั้ง

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1049 อำนาจแห่งเนตรดับชีวิต
ดวงตาสีดำแนวตั้งเปิดขึ้นช้าๆ บนหน้าผากของมู่เฉิน

พร้อมกับแสงสีดำไหลเวียนอยู่ภายใน ประหนึ่งแสงแห่งการทำลายล้างกลั่นตัว เมื่อแสงสีดำกะพริบกระทั่งมิติไร้ขอบเขตก็สามารถทะลุทะลวงไปได้อย่างง่ายดาย

ไกลออกไป เมื่อพวกจิ่วโยวเห็นดวงตาที่หว่างคิ้วของมู่เฉินเปิดขึ้น ดวงตาก็หดเกร็ง แม้ว่าหลังจากที่มู่เฉินได้สิ่งนี้มาจะใช้สำรวจเส้นทางเท่านั้น แต่พวกเขาก็รู้ชัดว่าการสำรวจโดยทะลุมิติเป็นเพียงความสามารถเสริมเท่านั้น

ด้วยความสัมพันธ์ของจิ่วโยวกับมู่เฉิน นางได้ยินเขาพูดถึงเนตรดับชีวิตว่าอาวุธชิ้นนี้ได้รับการชำระโดยอสูรโบราณโภคะที่ใช้ดวงตาของมันเป็นวัสดุพื้นฐาน ซึ่งมีศักยภาพพอที่จะกลายเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ในแง่ของราคากระทั่งอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งหมดในมือของพวกนางรวมกันก็ด้อยกว่าเนตรชิ้นนี้

ช่องว่างระหว่างของเสมือนกับของแท้กว้างใหญ่อย่างกับปากอ่าว

ขณะที่เนตรดับชีวิตปรากฏขึ้นบนหน้าผากของมู่เฉิน รัศมีความตายรอบร่างอสูรวิญญาณก็กวนตัวรุนแรง ร่างที่กำลังจะพุ่งไปข้างหน้าก็หยุดลง ร่างกายที่ตึงแน่นขึ้นแสดงความตั้งระวังขีดสุด

เห็นได้ชัดว่ามันรู้สึกถึงอันตรายใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นจากเนตรดับชีวิตบนหน้าผากของมู่เฉิน

ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมรบ หลังจากการโจมตีของชั้นค่ายกลอันหนักหน่วง มันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เกิดช่องโหว่ใหญ่ในรัศมีป้องกันของมัน

ถ้ามันถูกโจมตีโดยเนตรดับชีวิตอีกครั้ง มันตายคาที่จริงๆ แน่ แม้ว่ามันจะไม่ได้มีชีวิตแล้ว แต่สัญชาตญาณก็ยังทำให้มันพยายามแสวงหาชีวิตและหลีกเลี่ยงความตาย

ดังนั้นแววหวาดกลัวจึงวาบวับในดวงตาของมันซึ่งเต็มไปด้วยรัศมีความตาย

แต่ในตอนนี้เห็นชัดว่ามู่เฉินไม่คิดปล่อยให้มันหนีไปอย่างง่ายดายจากอาการบาดเจ็บหนักแบบนี้ ทันใดนั้นเขาก็พยักหน้าไปหาพรรคพวกที่เข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังท่าทางนี้ คลื่นไร้ขอบเขตถูกกวาดออกไปทันที อาวุธเสมือนมหสวรรค์ปิดกั้นเส้นทางด้านหลังของร่างอสูรวิญญาณ ไม่เหลือทางให้มันหลบหนีไปได้

ขณะที่คนอื่นๆ สร้างปราการกีดขวาง มู่เฉินก็สะบัดนิ้ว ขวดหยกพุ่งออกมาก่อนที่จะระเบิด กระแสธารหลั่งไหลออกมาทันที

กระแสธารม้วนตัวอยู่บนท้องฟ้า ทำเอาพลังงานหลิงในพื้นที่นี้หนาแน่นขึ้นพร้อมกับหมอกหลิงหลั่งไหลออกมา

จิ่วโยวจ้องมองไปที่สายธารก็พบว่ามันถูกสร้างขึ้นจากของเหลวจื้อจุน มองดูคร่าวๆ อาจมีเกือบล้านหยดเลยทีเดียว…

“หรือว่ามู่เฉินต้องการของเหลวจื้อจุนจำนวนมากนี้เพื่อใช้กับเนตรดับวิญญาณ?” จิ่วโยวผงะไป จากนั้นก็แอบรู้สึกผวา อาวุธเสมือนมหสวรรค์ในมือพวกนางใช้พลังงานหลิงของผู้ครอบครองก็สามารถแสดงพลังได้ ไม่คิดว่าเนตรดับชีวิตของมู่เฉินจะต้องการความช่วยเหลือจากพลังงานภายนอกด้วย

มู่เฉินสัมผัสได้ถึงความตกใจของพรรคพวก เขามองสายธารพลังงานหลิงรอบตัว ก่อนถอนหายใจอย่างจนใจในหัวใจ เนื่องจากพูดไม่ออกเกี่ยวกับความจริงที่ของเหลวจื้อจุนจำนวนนี้จำเป็นสำหรับเขาที่จะใช้งานเนตรดับชีวิต อาวุธนี้เป็นหลุมไร้ก้น ใช้หนึ่งครั้งก็ต้องใช้ของเหลวจื้อจุนถึงล้านหยด ด้วยทรัพย์สินที่เขามีตอนนี้ ต่อให้คั้นออกมาหมดก็ใช้เนตรดับชีวิตได้สี่ห้าครั้งเท่านั้น

แต่ตอนนี้ถ้าเขาต้องการจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปดอย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน เขาก็ต้องใช้เนตรดับชีวิตนี้

พอคิดได้มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลง แสงสีดำรวมตัวกันในเนตรดับชีวิตพร้อมกับแรงดูดที่ระเบิดออก เนตรดับชีวิตก็ราวกับวาฬกลืนของเหลวล้ำค่าเข้าไป …

เมื่อกลืนกินของเหลวปริมาณมากเข้าไป ดวงตาก็กลายเป็นสีดำสนิทและลึกซึ้งยิ่งขึ้น มองจากที่ไกลประหนึ่งหลุมดำขนาดเล็ก พลังงานหลิงในร่างของคนคนหนึ่งถึงกับแตกสลาย หากพวกเขามองเป็นเวลานาน

มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกได้ถึงพลังทรงประสิทธิภาพเดือดพล่านที่เนตรดับชีวิตกลางหน้าผาก ถ้าพลังงานนี้ระเบิดออกมา แม้แต่สมองของเขาก็จะกลายเป็นธุลี

ดังนั้นเขาจึงสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด เปลี่ยนกระบวนท่าในมือ ชั้นแสงสีดำรวมตัวกันในเนตรดับชีวิต ทำให้มิติรอบดวงตายุบลงเป็นชั้นๆ

ร่างอสูรวิญญาณซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายเชี่ยวกรากถอยกลับไป มันไม่กล้าที่จะอยู่ต่อไป เนื่องจากสัมผัสถึงภัยคุกคามของการทำลายล้าง

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

มู่เฉินไม่สนใจกับปฏิกิริยาของอสูรวิญญาณ แสงสีดำที่หว่างคิ้วควบแน่น ในช่วงสิบลมหายใจก็ข้นคลั่กจนถึงขีดสุด ชั้นแสงสีดำระเบิดออกมาจากเนตรดับชีวิต

“เนตรดับชีวิต แสงเทพดับชีวิต!”

มือของมู่เฉินประสานกัน ทันใดนั้นเสียงคำรามลึกก็ดังกึกก้องจากหัวใจ

ฟิ้ว!

ม่านตาแนวดิ่งสีดำหมุนคว้างก่อนที่จะเล็งเป้าเข้ากับอสูรวิญญาณขั้นแปดที่กำลังถอยกลับ วินาทีต่อมาแสงสีดำขนาดร้อยจั้งก็พุ่งออกมาจากรูม่านตา

แสงสีดำนี้แปลกประหลาดมาก กระทั่งเวลาภายในยังเหมือนจะช้าลง ในเส้นทางที่พุ่งผ่านไม่มีการทำลายล้างรุนแรง แต่เมื่อแสงพุ่งไปอย่างเงียบเชียบ พลังชีวิตในเส้นทางก็ถูกกำจัดจนสิ้นซาก มากจนแม้แต่พลังงานหลิงระหว่างฟ้าดินยังถูกลบออกไปอย่างผิดปกติ

เมื่อคนอื่นเห็นแสงสีดำนี้ก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบ อันตรายคุกคามห่อหุ้มหัวใจของพวกเขา

ร่างอสูรวิญญาณก็รู้สึกไม่ต่างกัน ทันใดนั้นมันก็ปล่อยเสียงคำราม รัศมีความตายระเบิดออกมาจากร่างโดยไม่กักเก็บ ก่อร่างเป็นโล่มรณะป้องกันที่ด้านหลังขณะที่มันหนีไปแบบไม่คิดชีวิต

ปัง!

แสงสีดำที่ลบล้างพลังชีวิตกระแทกโล่จังใหญ่ ทว่ารัศมีความตายเชี่ยวกรากกลับไม่สามารถสกัดได้แม้แต่น้อย พริบตาก็ละลายอย่างรวดเร็ว

ฟิ้ว!

แสงสีดำทะลวงผ่านโล่พุ่งผ่านขอบฟ้าไล่ตามร่างอสูรวิญญาณที่เผ่นหนีไม่คิดชีวิต ก่อนที่จะกระแทกหัวมันเต็มแรง

แม้ว่าอสูรวิญญาณจะหมุนวนรัศมีความตายอย่างบ้าคลั่งเพื่อสร้างการป้องกัน แต่เมื่อแสงสีดำพุ่งผ่านหัวก็หายไปจากคอทันที

ร่างอสูรวิญญาณค้างอยู่ในท่าโกยอ้าวไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะตกลงมาจากท้องฟ้า แรงส่งแยกต้นไม้ขนาดใหญ่ฉีกออกจากกัน

รัศมีความตายทรงพลังที่ห่อหุ้มร่างก็หายไปอย่างสมบูรณ์ในเวลานี้ ทิ้งไว้แต่ร่างตายซาก

เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่ามู่เฉินฆ่าอสูรวิญญาณขั้นแปดได้โดยไร้การต่อต้าน พวกเขาก็อึ้งไปในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อหลุดจากอาการทุกคนก็สูดอากาศเย็นยะเยือกเข้าไปสุดปอด

ชัดว่าพวกเขาตกใจกับพลังอำนาจเนตรดับชีวิตของมู่เฉิน

“สมกับเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นอาวุธมหสวรรค์…” จิ่วโยวพึมพำ แม้ว่าก่อนหน้าอสูรวิญญาณขั้นแปดจะเสียพลังไปมาก แต่อำนาจเนตรดับชีวิตก็น่ากลัวมากอยู่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับอาวุธเสมือนในมือของพวกนาง ชัดว่าไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย

ดูเหมือนว่าต่อให้เป็นอาวุธเสมือนก็ถูกจำแนกตามระดับขั้นเช่นกัน

เมื่อมู่เฉินเห็นอสูรวิญญาณขั้นแปดถูกสังหารก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก เนตรดับชีวิตบนหน้าผากปิดลงอย่างช้าๆ ด้วยความอ่อนเพลีย

มู่เฉินขยับตัวไปปรากฏที่ด้านข้างร่างอสูรวิญญาณ จากนั้นด้วยการสะบัดแขนเสื้อ ร่างตายซากของอสูรวิญญาณขั้นแปดก็กลายเป็นเถ้าธุลีกระจัดกระจายออกไป เหลือเพียงหัวใจสีดำที่เต้นตุบๆ ลอยขึ้นมา

หัวใจสีดำนี้เต็มไปด้วยรัศมีความตายอันน่าสะพรึง ชัดว่าได้รับการหล่อเลี้ยงจากรัศมีความตายมานานนับหมื่นปี

นี่คือหัวใจอสูรวิญญาณ หากพวกเขาต้องการเข้าสู่สุสานสักการะเทพก็ต้องใช้สิ่งนี้พิสูจน์ถึงคุณสมบัติที่มี

มู่เฉินสะบัดมือเก็บหัวใจอสูรวิญญาณ จากนั้นก็คลายอารมณ์ตึงเครียด เตรียมการมานานในที่สุดก็ไม่ได้เกิดเหตุการ์ณไม่คาดฝัน ประสบผลสำเร็จในการล่าอสูรวิญญาณขั้นแปด

นอกจากนี้สิ่งที่น่าเฉลิมฉลองที่สุดก็คือไม่มีการบาดเจ็บล้มตายในหมู่พวกเขา ในบรรดากลุ่มที่เข้าสู่สุสานสักการะเทพ อาจมีเพียงกลุ่มชั้นนำเท่านั้นที่สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้

“อำนาจเนตรดับชีวิตน่ากลัวอย่างแท้จริง…” ความกลัววาบผ่านดวงตาของหานซัน เมื่อจ้องไปที่หน้าผากของมู่เฉิน

“แต่ก็จ่ายราคามหาศาลเช่นกัน” มู่เฉินยิ้มอย่างจนใจ “การเปิดใช้งานทุกครั้งต้องใช้ของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยด ถ้าใช้อีกสองสามครั้งกระทั่งของเหลวจื้อจุนที่กักไว้ใช้สำหรับการเพาะบ่มพลังก็คงจะหมดลงแล้ว”

ทุกคนหัวเราะร่วนเมื่อได้ยิน เนื่องจากพวกเขารู้ว่ามู่เฉินล้อเล่นเท่านั้น เพราะการครอบครองสมบัตินี้จะเป็นวิธีการข่มขู่ที่ทรงพลังและการรับประกันของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้น ในโลกนี้ชีวิตมีค่าเกินกว่ามูลค่าของของเหลวจื้อจุนนัก

“ในเมื่อเราได้หัวใจอสูรวิญญาณมาแล้วก็มุ่งหน้าไปยังส่วนในกันเถอะ” มู่เฉินเหลือบมองความพินาศรอบตัวก็พูดขึ้น เขาคันไม้คันมือที่จะเข้าไปในส่วนในเพื่อตรวจสอบว่ามีวิหคอมตะโบราณหรือไม่

ไม่มีใครคัดค้านจากคำพูดของเขา แต่ละคนพยักหน้ารับ

เมื่อมู่เฉินเห็นคำตอบก็ไม่อ้อยอิ่งอีกต่อไป เขาสะบัดแขนเสื้อร่างกลายเป็นลำแสงทะยานออกไปพร้อมกับพรรคพวกติดตามเขาอย่างใกล้ชิด

เมื่อไม่มีสิ่งกีดขวางใด พวกเขาก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเหาะเหินผ่านป่าไม้แห่งนี้ แต่ขณะที่กำลังจะผ่านพ้นแนวป่า ทันใดนั้นพวกเขาก็สังเกตเห็นพื้นที่ที่แปลกตา

“นั่นคืออะไร?” จิ่วโยวประหลาดใจขณะชี้ลงไปเบื้องล่าง เห็นป่าไม้วินาศสันตะโร ซึ่งรอยแตกเหล่านั้นเป็นหลักฐานว่ามีการต่อสู้รุนแรงเกิดขึ้นที่นี่

ยิ่งไปกว่านั้นรอยแตกก็ราวกับหุบเหวลึกกระจายไปสู่อีกด้านหนึ่งของป่า ซึ่งทิศทางนั้น… ก็คือสถานที่ที่มู่เฉินและพรรคพวกต่อสู้กับอสูรวิญญาณขั้นแปด

มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ กล่าวว่า “ดูท่าอสูรวิญญาณขั้นแปดตัวนั้นจะได้รับบาดเจ็บจากที่นี่”

“ดูจากร่องรอยที่เหลืออยู่ไม่น่ามาจากกลุ่มอื่น รัศมีความตายที่นี่หนาแน่นเกินไป ดังนั้นน่าจะเป็นการต่อสู้ระหว่างพวกมันกันเอง” มั่วเฟิงมองอย่างละเอียดก่อนที่จะพูด

“พวกมันสู้กันเองด้วยเหรอ?” มั่วหลิงร้องอุทานด้วยความตกใจ

“ถ้ามีบางสิ่งดึงดูดพวกมันได้มาก ต่อให้เป็นพวกเดียวกันก็สามารถสู้กันเองได้” มู่เฉินกล่าวช้าๆ

สายตาของเขามองตามร่องรอยบนพื้น จากนั้นก็ขยับร่างทะยานขึ้นบนยอดเขาแห่งหนึ่ง สายตามองออกไประยะไกล ทันใดนั้นม่านสีดำก็หดลง

“ที่นั่นคือ…?”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1048 ล้อมฆ่าด้วยค่ายกล
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดบนท้องฟ้าของป่า

ลวดลายเส้นหลิงนับไม่ถ้วนสลับซับซ้อนสร้างเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ขึ้นมา ทำให้จิ่วโยวและคนอื่นๆ ที่มองจากระยะไกลยังรู้สึกว่าหนังหัวชาวาบไปหมดจากภาพเบื้องหน้า พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถจัดตั้งค่ายกลได้มากมายขนาดนี้ในคราวเดียว

ภายใต้ความหนักหน่วงของชั้นค่ายกล แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดก็จะตั้งตัวไม่ทัน แม้ว่าพลังในการต่อสู้ของหลิงเจิ้นซือจะไม่แข็งแรง แต่ตราบใดที่มีเวลาพอเพียง พลังที่ปลดปล่อยออกได้จะน่าตกใจอย่างยิ่ง

โดยทั่วไปในการปะทะระหว่างจอมยุทธ์ทรงพลัง ตราบใดที่ไม่โง่ก็ไม่มีทางก้าวเข้าบริเวณที่เต็มไปด้วยขบวนแถวแสงเช่นนี้ ทว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดไม่มีสติปัญญา ดังนั้นมันจึงพุ่งเข้าไปในดงค่ายกลหนาทึบนี้

เมื่อมันพุ่งเข้าไป มันถึงได้รู้สึกถึงอันตราย ทันใดนั้นก็คิดถอยกลับออกจากพื้นที่อันตราย

แต่เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินซึ่งจับอสูรวิญญาณขั้นแปดลงไปในหม้อต้มเดือดได้แล้ว ก็ไม่คิดจะปล่อยออกไปอย่างง่ายดาย

“ในเมื่อเข้ามาแล้วก็อยู่ต่อไปเถอะ”

“ค่ายกลตาข่ายฟ้า!”

มู่เฉินยิ้มบาง จากนั้นตราประทับในมือเปลี่ยนไป ท่ามกลางชั้นหนาของค่ายกล ค่ายกลที่เหมือนกันสองค่ายกลก็ปรากฏขึ้น สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนเต้นระริกบินฉวัดเฉวียนออกไป ก่อนที่จะเกาะเกี่ยวพันกันกลายเป็นตาข่ายปกคลุมท้องฟ้า เส้นแสงเหล่านั้นประหนึ่งอสรพิษพันเข้าที่แขนขาของอสูรวิญญาณเอาไว้เหนียวแน่น

ค่ายกลตาข่ายฟ้าเป็นเพียงค่ายกลระดับตี้ขั้นสูง ถ้ามีเพียงค่ายกลเดียวก็ยากที่ขังอสูรวิญญาณขั้นแปด ดังนั้นมู่เฉินจึงสร้างสองค่ายกลขึ้นมาเพื่อความมั่นใจ

โฮก!

อสูรวิญญาณที่ถูกล้อมรอบด้วยเส้นแสงหนักหน่วงก็แผดเสียงคำรามออกมา รัศมีความตายเชี่ยวกรากกวาดออกจากร่าง กัดเซาะเส้นแสงที่เกาะติดมันเอาไว้

การยับยั้งจากค่ายกลต่าข่ายฟ้าได้ผลเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะถูกทำลาย

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้แปลกใจกับความจริงนี้ เพราะค่ายกลนี้อยู่ในระดับต่ำไป แม้ว่าจะมีสองพลังช่วยประสาน แต่พลังก็ยังมีข้อจำกัด ดังนั้นจึงไม่สามารถยึดร่างอสูรวิญญาณไว้ได้นาน แต่แค่นี้ก็ซื้อเวลาให้กับเขาอย่างเพียงพอแล้ว…

มู่เฉินหายใจเข้าลึก แสงหลิงพลุ่งพล่านออกมาจากในนัยน์ตา กระบวนท่าบนฝ่ามือวูบไหว ค่ายกลทั่วบริเวณปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ค่ายกลบัวยมทูต!”

“ค่ายกลดาบบงกชไพลิน!”

“ค่ายกลระฆังทองไร้พ่าย!”

“…”

พร้อมกับเสียงคำรามของมู่เฉิน ค่ายกลก็ปรากฏขึ้นไม่หยุด มีค่ายกลจำนวนมากรวมเข้าด้วยกัน แสดงให้เห็นถึงพลังที่น่าอัศจรรย์

ตู้ม! ตู้ม!

เมื่อค่ายกลปรากฏแก่สายตาก็ปลดปล่อยไอสังหารทันที พายุพลังงานหลิงกวาดล้างไปทั่วพื้นที่ ค่ายกลทั้งหมดก่อร่างด้วยการโจมตีที่น่ากลัวรูปแบบต่างๆ ซัดใส่อสูรวิญญาณขั้นแปดอย่างจัง

ปัง! ปัง! ปัง!

ชุดการโจมตีระดมยิงใส่ร่างอสูรวิญญาณภายในอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันกระแทกกลับไปกลับมา รัศมีความตายที่ปกคลุมก็แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของความไม่มั่นคงจากโจมตีรุนแรง

อสูรวิญญาณถูกซัดกลับไปกลับมาทำให้เกิดความโกรธในเวลาเดียวกัน มันส่งเสียงคำรามโยนกำปั้นออกไป รัศมีความตายน่าสยดสยองพุ่งพรวดออกมา ซัดการโจมตีที่พุ่งเข้ามาแตกระเบิดไปหมด

เมื่อเห็นสิ่งนี้มู่เฉินก็ถอยหลังออกไป

อสูรวิญญาณแผดเสียงคำรามพลางไล่ตามพร้อมกับรัศมีความตายเชี่ยวกราก แต่เมื่อมันก้าวเข้าสู่ในพื้นที่แห่งนี้ รัศมีความตายรอบตัวก็หดลงอย่างรุนแรง เนื่องจากรับรู้ถึงภัยคุกคามที่เพิ่มสูงขึ้นบริเวณโดยรอบ

ตู้ม!

มิติโดยรอบบิดเบี้ยว สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนรวมตัวกันบนท้องฟ้า ลวดลายแสงเกี่ยวพันกันและกัน ค่ายกลขนาดใหญ่โตก็ปรากฏขึ้น ขณะที่แสงหลิงควบแน่น ก็ก่อร่างเป็นตราประทับภูเขาศักดิ์สิทธิ์บดขยี้ลงมา

ตึง!

ตราประทับของภูเขาศักดิ์สิทธิ์พุ่งใส่อสูรวิญญาณ พลังอันน่าสะพรึงกลัวตอกร่างมันลึกลงไปในพื้นดิน รอยแตกปริออกบนหน้าผาก เห็นได้ชัดว่ามันได้รับบาดเจ็บหนัก

โฮก!

ดวงตาของอสูรวิญญาณเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ รังสีความตายควบแน่นในปาก ก่อนที่จะยิงออกมาระดมใส่ตราประทับภูเขาศักดิ์สิทธิ์จนระเบิดเป็นประกายบนท้องฟ้า

ตู้มมมม!

ทว่าขณะที่ตราประทับภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้ร่วงลง ตราประทับอีกสองส่วนก็กระแทกลงมาจากท้องฟ้าใส่หัวของอสูรวิญญาณไม่ยั้ง ทั้งร่างมันตอกลงไปกับพื้น รอยแตกขนาดใหญ่ก็พังทลายลง

เมื่อคนอื่นได้เห็นฉากนี้ก็อดเดาะลิ้นไม่ได้ หากพวกเขาเป็นคนที่ตกอยู่ในค่ายกล คงถูกฆ่าโดยการโจมตีไม่ยั้งของค่ายกลไปนานแล้ว

“หลิงเจิ้นซือที่เตรียมการไว้อย่างดีน่ากลัวเหลือเกิน…” หานซันปาดเหงื่อเย็นออก ในบรรดาจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ต่อให้จะหนีออกมาได้ก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับ

ทว่าหานซันรู้ว่าไม่ใช่หลิงเจิ้นซือทุกคนสามารถสร้างค่ายกลจำนวนมากขนาดนี้ได้ในคราวเดียว ชัดว่ามู่เฉินมีความสามารถสูงในศาสตร์ค่ายกลเช่นกัน

นี่ทำให้เขาอดถอนหายใจไม่ได้ แม้แต่คนที่ภูมิใจในตัวเองแบบเขายังต้องนับถือในความแข็งแกร่งของมู่เฉิน สหายคนนี้เป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ… อัจฉริยะอย่างพวกเขาดูอับแสงไร้สีสันไปเลยเมื่อเทียบกับอีกฝ่าย

“แต่กลัวว่าการโจมตีเช่นนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้อสูรวิญญาณขั้นแปดได้รับบาดเจ็บถึงชีวิต…” มั่วเฟิงนิ่งเงียบชั่วครู่ก่อนที่จะพูดขึ้น

คนอื่นก็พยักหน้าเบาๆ แม้ตอนนี้ดูเหมือนว่าค่ายกลของมู่เฉินยับยั้งจิตอสูรวิญญาณขั้นแปดได้ แต่ยังไงความแข็งแกร่งของมันก็เปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด จนถึงตอนนี้ยังไม่เกิดการบาดเจ็บใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพลังในการต่อสู้

ตู้ม!

ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันก็เห็นพื้นดินระเบิดขึ้นกะทันหันเศษหินปลิวว่อน ร่างเงาที่ห่อหุ้มด้วยรัศมีความตายพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ส่งเสียงคำรามเลื่อนลั่น ระลอกคลื่นความตายกระจายออกไป ทำลายหนึ่งในตราประทับของภูเขาศักดิ์สิทธิ์

ขณะนี้อสูรวิญญาณดูน่าสมเพชพอสมควร แม้แต่รัศมีที่อยู่รอบตัวก็อ่อนแอลง แต่โดยรวมก็ยังเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งยิ่งนัก

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นแววตาวูบไหว ไม่คิดเลยว่าหลังจากใช้ค่ายกลนับสิบ อสูรวิญญาณก็ยังสามารถทนได้

วาบ!

ดวงตาเกรี้ยวกราดของอสูรวิญญาณจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน ทันใดนั้นก็พุ่งชนด้วยรัศมีความตายรุนแรง ดูราวกับสัญญาณควันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

มู่เฉินมองอสูรวิญญาณที่กระโจนเข้าใส่ก็ไม่ขยับ รอให้ใกล้เข้ามา ถึงได้กระแทกฝ่าเท้าลงไป

ฮี่ม! ฮึ่ม!

ที่เบื้องหลังห้วงมิติผันแปรกะทันหัน สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ครั้งนี้ปรากฏค่ายกลที่ทรงพลังและไร้ขอบเขตสองค่ายกล

ภายในค่ายกลเหมือนจะมีแสงควบแน่นแปลกประหลาด

“ค่ายกลเทพเผาผลาญ!”

ดวงตามู่เฉินวาววับขณะตะเบ็งเสียงลั่น ทันใดนั้นค่ายกลทั้งสองก็ปะทุขึ้น เกลียวแสงควบแน่นก่อนที่จะเจาะทะลุผ่านมิติ ห่อหุ้มร่างอสูรวิญญาณที่พุ่งเข้ามาเอาไว้

ค่ายกลเทพเผาผลาญเป็นค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดในคลังแสงของมู่เฉินขณะนี้ ยิ่งไปกว่านั้นค่ายกลทั้งสองก็บ่มพลังเดือดพล่านมาเป็นเวลานาน ดังนั้นพลังจึงแข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนที่เขาใช้มาก

ค่ายกลทั้งหลายก่อนหน้านี้เป็นค่าซื้อเวลา มีเพียงค่ายกลเทพเผาผลาญสองค่ายกลนี้ที่เป็นไพ่ตายของเขา หากค่ายกลนี้โจมตีร่างอสูรวิญญาณละก็ มันจะต้องจ่ายราคาแพงระยับแน่

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ริ้วแสงทำลายล้างปกคลุมเข้ามา ทำให้รัศมีความตายโดยรอบร่างอสูรวิญญาณผันผวนรุนแรงเมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย แต่ไม่รอให้มันได้หลบหนี ร่างก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงทำลายล้างแล้วแทงทะลวงผ่านร่างไป

ปัง! ปัง!

อากาศระเบิดขึ้น ร่างอสูรวิญญาณร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า มีรูขนาดเท่ากำปั้นบนร่างกายของมัน รัศมีความตายก็กระจัดกระจายออกไป

ตึง!

อสูรวิญญาณดิ่งพสุธาลงมาบนพื้น ทำให้เกิดหลุมรัศมีหมื่นจั้ง รอยแตกขนาดใหญ่แผ่กระจายไปทั่วผืนป่า

เมื่อคนอื่นเห็นภาพนี้จากระยะไกล ความสุขก็วูบไหวในนัยน์ตา กระบวนท่าที่มู่เฉินบ่มไว้เป็นเวลานาน น่าเกรงขามจริงๆ!

คราวนี้ไม่ว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดจะแข็งแกร่งปานใด ก็ต้องได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน!

ฝุ่นฟุ้งขึ้นมาจากพื้นดิน พื้นที่ทั้งหมดนี้วินาศสันตะโร ส่วนมู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้าก้มหัวลงต่ำมองไปที่ปากหลุมก็หายใจออกลึก

การควบคุมค่ายกลจำนวนมากมายในเวลาเดียว ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดที่กลางหว่างคิ้วยิ่งนัก ทว่าเขาก็ยังไม่ผ่อนคลาย เนื่องจากเขารู้ว่าแม้จะถูกปราบปรามอย่างสมบูรณ์และโจมตีโดยค่ายกลระดับเทียนทั้งสอง แต่อสูรวิญญาณขั้นแปดก็ไม่ใช่สิ่งที่จะฆ่าได้ง่ายๆ…

ตึง!

ขณะที่ความคิดนี้แล่นพล่านในใจของมู่เฉิน เสียงคำรามก็ดังก้องมาจากพื้นดิน ดวงตาเขาหดเกร็งลง รัศมีความตายเชี่ยวกรากแผ่กระจายราวกับลอนคลื่น เงาที่ดูน่าอนาถค่อยๆ ลุกขึ้นจากมหาสมุทรรัศมีความตาย

ทั่วร่างถูกปกคลุมไปด้วยหลุมลึก รัศมีความตายกระจัดกระจายไม่หยุด มากจนกระทั่งไหล่เกือบครึ่งหนึ่งหลุดออกมาจากเบ้า ราวกับว่ามันกำลังจะขาดออก เห็นได้ชัดว่าแม้การโจมตีเมื่อครู่ของมู่เฉินจะไม่สามารถฆ่าอสูรวิญญาณตัวนี้ได้ แต่ก็ทำให้มันบาดเจ็บสาหัสเลยทีเดียว

โฮก!

อสูรวิญญาณจ้องเขม็งมู่เฉิน ม่านตามืดมนเต็มไปด้วยรัศมีความตาย ปลดปล่อยเสียงคำรามเดือดดาลพร้อมกับแสงสีแดงระยิบระยับในดวงตา จากสัญชาตญาณของมันบอกว่าวันนี้จะต้องเขมือบชายที่อยู่ต่อหน้าให้ได้

มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้ามองร่างอสูรวิญญาณที่คิดจะเสี่ยงหมดหน้าตักอย่างไม่แยแส จากนั้นเขาก็หลับตา แสงสีดำรวมตัวที่หน้าผาก ก่อนที่ดวงตาที่สามจะเปิดขึ้นอย่างช้าๆ

เนตรดับชีวิตไพ่ตายสุดท้ายที่มู่เฉินเตรียมไว้สำหรับอสูรวิญญาณ

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1047 ล้อมล่า
เมื่อมู่เฉินเตรียมการพร้อมทุกอย่าง

เสียงลมฉีกอากาศก็ดังก้องที่ด้านหลังก่อนที่คนอื่นๆ จะทะยานเข้ามา

ทั้งสี่คนกระจายความสุขบนใบหน้า เมื่อครู่ที่พวกเขาจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดสิบกว่าร่าง พวกเขาได้สัมผัสประสบการณ์แล้วว่าอาวุธเสมือนมหหสวรรค์ทรงพลังแค่ไหน

ด้วยวัตถุเหล่านี้ ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด พวกเขาก็ไม่ต้องกลัวแล้ว

เมื่อมู่เฉินเห็นความมั่นใจของพรรคพวกก็ยิ้มให้ก่อนที่จะมองเข้าไปในป่าส่วนลึก รัศมีความตายเริ่มหนาแน่นขึ้น ดูเหมือนว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนแปร

“ต่อไปเรามากำจัดเจ้าตัวใหญ่นี่กันดีกว่า”

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าของคนที่เหลือก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด พวกเขารู้ชัดว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดไม่เหมือนกับขั้นเจ็ดเลย เช่นเดียวกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดที่แข็งแกร่งกว่าขั้นเจ็ดหลายขุม

ด้วยอาวุธเสมือนมหสวรรค์ พวกเขาสามารถอยู่ยงคงกระพันในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดได้อย่างสบาย แต่ถ้าพวกเขาประมือกับระดับจื้อจุนขั้นแปดของแท้ ก็คงไม่ไหวเหมือนกัน

แต่เวลานี้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำตัวหงออีกแล้ว พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันก็พยักหน้าหนักแน่น ส่วนจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรทั้งสามคนก็หลบฉากไปด้านหลัง การต่อสู้ที่กำลังจะระเบิดขึ้นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาอย่างพวกเขาไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้

เมื่อเห็นทุกคนเตรียมพร้อม มู่เฉินก็ไม่ชักช้าสะบัดมือออกไป ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไป ไม่กี่วินาทีก็ทะยานเข้าไปในป่าส่วนลึก

พรรคพวกสี่คนก็ติดตามมาอย่างใกล้ชิด

ซ่า! ซ่า!

มู่เฉินพลิ้วตัวลงตรงเบื้องหน้าต้นไม้ใหญ่ รัศมีความตายที่นี่หนาแน่นมากจนดูเหมือนข้นเหนียวไปจนถึงจุดที่ทำให้รู้สึกเหมือนกับอยู่ในบึงโคลน

สายตาเขาจับจ้องอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีร่างเงาสีดำนั่งอยู่เงียบๆ รัศมีความตายน่าสะพรึงกลัวหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายเมื่อมันสูดดม

นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันทรงพลังกำจายออกจากร่างมันด้วย

ภายใต้สายตาของพวกเขาที่จ้องมองไป ร่างเงาสีดำก็เปิดดวงตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นกลวงโบ๋ มีเพียงรัศมีความตายหมุนคว้างราวกับหลุมดำ หากคนทั่วไปถูกจ้องมองนานเกิน กระทั่งพลังชีวิตที่มีก็จะถูกดึงออกจากร่างและถูกกลืนกินจากวิญญาณร้าย

ไม่มีสติปัญญาใดในสายตามีแต่ความรู้สึกชั่วร้าย ภัยคุกคามที่ปล่อยออกมายิ่งกว่าอสูรวิญญาณที่พวกเขาเคยพบมามาก

สีหน้าของพวกจิ่วโยวเคร่งขรึมลงมาก ชัดว่าสัมผัสได้ถึงความยากในการจัดการของอสูรวิญญาณขั้นแปดที่ยืนอยู่ตรงหน้า

ร่างนั้นยืนขึ้นช้าๆ ร่างกายของมันดูเหมือนจะแข็งทื่อ แต่ไม่มีความรู้สึกเฉื่อยชาใดๆ กลับเหมือนสามารถพุ่งทะยานประหนึ่งสายฟ้าฟาดทันทีที่เคลื่อนไหว

“โฮก!”

เสียงคำรามลึกต่ำสะท้อนจากลำคอ ขณะที่อสูรวิญญาณมองกลุ่มมู่เฉินด้วยม่านตาหลุมดำ เสียงคำรามช่างเต็มไปด้วยการข่มขู่คุกคาม

“แม้ว่าจะไม่มีสติปัญญา แต่สัญชาตญาณไม่ต่ำเลย” มู่เฉินอึ้งไป มีบาดแผลฉกรรจ์ทั่วร่างมันและมันรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดในการต่อสู้ ดังนั้นจึงส่งเสียงคำรามข่มขู่พวกเขา

“แต่วันนี้ข้าต้องได้หัวใจแก”

แม้ว่าอสูรวิญญาณตัวนี้จะไม่เข้าใจคำพูดของมู่เฉิน แต่มันสามารถสัมผัสได้จากสัญชาตญาณ ทันใดนั้นรูม่านตาสีเทาดำก็ถูกห่อหุ้มด้วยรัศมีความตาย เสียงคำรามดังกึกก้องยิ่งขึ้น

ตู้ม!

รัศมีความตายเชี่ยวกรากกวาดออก ต้นไม้รอบด้านล้มระเนระนาด ก่อนที่อสูรวิญญาณจะกลายเป็นลำแสงสีเทาพุ่งออกมา

ความเร็วของมันราวกับเสียงฟ้าร้อง พริบตาก็ปรากฏขึ้นไม่ไกลจากพวกเขา จากนั้นซัดหมัดออกมา รัศมีความตายรุนแรงกวาดออก มองจากที่ไกลราวกับมังกรขนาดพันจั้งที่สร้างขึ้นจากรัศมีความตาย

มังกรคลื่นความตายพุ่งใส่ ฉีกเหวลึกขึ้นบนพื้น ทุกสิ่งที่ขัดขวางจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านโดยรัศมีความตาย

เมื่ออสูรวิญญาณขั้นแปดโจมตีก็แสดงถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัว

ใบหน้าของจิ่วโยวเคร่งเครียด นางก้าวออกไปเป็นคนแรก คลื่นหลิงในร่างกายไหลเวียนโดยไร้การหน่วงเหนี่ยวใดๆ ไม้เทพโทษาในมือยิงลำแสงสีดำออกมา ความมืดมิดกลืนแสงรอบข้างอย่างสมบูรณ์

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ไม้เทพโทษาสั่นไหว ขณะที่แสงสีดำไหลเวียนก็ขยายขนาดอย่างรวดเร็ว เมื่อมีความยาวประมาณสิบจั้งก็ฟาดลงมา ทันใดนั้นดวงจันทร์สีดำก็ลอยขึ้นในสวรรค์และโลก แสงทั้งหมดหายไปภายใต้ดวงจันทร์สีดำนี้

เมื่อดวงจันทร์สีดำเคลื่อนลงมาพร้อมกับไม้สีดำก็ทะลุผ่านมังกรคลื่นความตาย จากนั้นร่างใหญ่โตก็หดตัวลงเกือบครึ่งด้วยความเร็วที่เห็นได้ชัด

ทว่าแม้มันจะหดลงเหลือครึ่งหนึ่ง รัศมีความตายที่เหลือก็ยังคงมีขนาดใหญ่ พลังที่ครอบครองน่าอัศจรรย์ใจนัก

“กระดิ่งทิพย์เพลิงแดง!”

แต่ในเวลาเดียวกัน เสียงร้องแผ่วเบาก็ดังกึกก้อง กระดิ่งสีแดงลอยอยู่บนท้องฟ้า ตัวกระดิ่งสั่นไหวส่งเสียงก้องกังวาน เปลวไฟเอนกอนันต์กวาดออกมา ทันใดนั้นมหาสมุทรเพลิงก็แผดเผาฟ้าดิน อุณหภูมิในมิติเพิ่มสูงขึ้นทันที แม้กระทั่งอากาศก็เผาไหม้

ปัง!

มหาสมุทรเพลิงโหมกระหน่ำใส่ร่างมังกรยักษ์ ทันใดนั้นการระเบิดที่น่ากลัวและรุนแรงก็ดังสนั่นหวั่นไหว อุณหภูมิสูงขึ้นมาก แม้แต่ป่าไม้สีเทาซีดก็ลุกไหม้อยู่ด้านล่าง

โฮก!

รัศมีความตายพุ่งออกมาจากปากของมังกรขณะพยายามดับมหาสมุทรเพลิง

ตู้ม!

พลองสีดำและหอกทองคำโบราณพุ่งเข้ามาในจังหวะนี้ตามด้วยแรงเคลื่อนไหวเชี่ยวกราก ประสานพลังฉีกทึ้งมังกรคลื่นความตายออกจากกันจนสลายกลายเป็นแสงสีเทา

ที่เบื้องหลังมู่เฉินมองทั้งสี่ประสานพลังแล้วสามารถสลายการโจมตีของอสูรวิญญาณขั้นแปดได้ ริ้วความตื่นตะลึงก็วูบไหวในดวงตา ด้วยพลังอาวุธเสมือนมหสวรรค์สี่ชิ้น ชัดว่าพวกจิ่วโยวพอมีคุณสมบัติที่จะเผชิญหน้ากับระดับจื้อจุนขั้นแปดได้แล้ว

ทว่านี่น่าจะเป็นแค่ชั่วคราวเนื่องจากอสูรวิญญาณยังไม่ได้แสดงพลังอย่างเต็มที่

โฮก!

ขณะที่ความคิดนี้พล่านไปในหัวใจของมู่เฉิน ทันใดนั้นเสียงคำรามความตายก็ดังกึกก้อง ลำแสงสีดำพุ่งออกมาจากรัศมีความตายบนท้องฟ้า ปรากฏตรงหน้ากลุ่มของจิ่วโยวแล้วซัดฝ่ามือออกไปฉับพลัน

ครืน!

นี่เป็นฝ่ามือที่ดำราวกับน้ำหมึก กระทั่งท้องฟ้ายังมืดมิดลงทันใด ลวดลายแห่งความตายแผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้า หากสิ่งเหล่านี้บุกรุกเข้าไปในร่างกายของใครละก็ คนคนนั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน

ทั้งสี่คนสีหน้าเปลี่ยนแปรทันที โดยไม่ลังเลพวกเขาก็เร้าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ในมือ แสงที่กำจายออกช่วยต้านทานลวดลายแห่งความตายไว้ได้

แต่การต่อต้านก็กินเวลาไม่กี่อึดใจก่อนที่รัศมีหลิงรอบตัวพวกเขาจะมืดลง ฝ่ามือที่ปกคลุมด้วยคลื่นความตายซัดลง ทั้งสี่คนได้รับบาดเจ็บกระเด็นออกไปในสภาพสะบักสะบอม

อ็อก! อ็อก!

เลือดกบปาก พวกเขาดูน่าอนาถอย่างมาก ทว่าโชคดีที่แต่ละคนมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์ปกป้องร่างจากรัศมีความตาย

ตอนนี้พวกเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดร่างนี้ทรงพลังเพียงใด แม้จะมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะได้

โฮก!

อสูรวิญญาณคำราม รัศมีความตายหนาแน่นกลายเป็นลูกคลื่นขนาดมโหฬารกวาดมาทางด้านหลังพวกเขา เงาร่างสีเทาดำก็ทะยานออกมาอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่ามันตั้งใจจะฆ่าผู้บุกรุกให้ได้โดยเร็วที่สุด

ตู้ม!

แต่ขณะที่มันซัดพลังเข้าหาทั้งสี่ แสงสีทองก็เบ่งบานขึ้นบนท้องฟ้าฉับพลัน ร่างเทพสุริยะปรากฏขึ้นพร้อมกับฝ่ามือสีทองกดลงมา เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

ตึง!

เผชิญหน้ากับการโจมตีฉับพลันของมู่เฉิน อสูรวิญญาณก็เหวี่ยงหมัดออก รัศมีความตายดุเดือดปะทะกับฝ่ามือทองคำที่กดทับลงมา

คลื่นกระแทกรุนแรงระเบิดขึ้น ฝ่ามือทองคำขนาดใหญ่ไม่สามารถทำอะไรอสูรวิญญาณได้แม้แต่น้อย

โฮก!

ม่านตาสีเทาดำจับจ้องอยู่ที่มู่เฉินก่อนที่มันจะแผดเสียงคำรามลึก มันสามารถรู้สึกได้ว่าภัยคุกคามที่มู่เฉินปล่อยออกมาแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มคนพวกนี้

ดังนั้นมันจึงไม่ได้ไล่ตามทั้งสี่คน พริบตาก็กลายเป็นร่างแสงยิงเข้าใส่ร่างเทพสุริยะ อสูรวิญญาณอ้าปากกว้าง รัศมีความตายรวมตัวกันรุนแรง ก่อนที่จะบีบอัดราวกับเป็นลูกระเบิดความตาย

แม้แต่มิติรอบปากก็บิดเบี้ยว

เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหดตาลง อสูรวิญญาณขั้นแปดจัดการลำบากจริงๆ แม้ว่าจิงฉิงเทียนจะมาอยู่ที่นี่ ก็คงจะถูกฆ่าตายในไม่กี่กระบวนท่า

ครืน!

รัศมีความตายควบแน่นจนถึงขีดสุดในปากอสูรวิญญาณ สุดท้ายก็กลายเป็นลำแสงมรณะยิงทะลุมิติพุ่งเข้าหามู่เฉิน

ตู้ม! ตู้ม!

ประจันหน้ากับการโจมตีที่น่ากลัวของอสูรวิญญาณ มู่เฉินก็ไม่กล้าที่จะประมาท ดวงอาทิตย์สีทองลุกโชนขึ้นในร่างเทพสุริยะ ก่อนที่จะระเบิดเป็นของเหลวสีทองพุ่งออกมา

ของเหลวสีทองก่อตัวเป็นคทาทองคำในมือมู่เฉิน จากนั้นก็โบกมันลงปะทะกับลำแสงมรณะ

เสียงกัมปนาทดังขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมกับคลื่นกระแทกที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมา ป่าเบื้องล่างถูกถอนรากถอนโคน ต้นไม้น้อยใหญ่แตกกระจายจากแรงกระแทก

ทั้งสี่คนมองไปที่ท้องฟ้าด้วยสายตากังวล มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มพวกเขา ถ้ากระทั่งเขายังไม่สามารถจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปดได้ ภารกิจของพวกเขาจะต้องลำบากยิ่งแน่นอน

ตู้ม!

แสงสีทองกวาดออกบนท้องฟ้า ร่างเทพสุริยะถลาออกไปพร้อมกับรอยแตกปรากฏบนพื้นผิวก่อนที่จะระเบิดเป็นประกายแสงสีทองปกคลุมท้องฟ้า

ส่วนอสูรวิญญาณก็แค่ถอยออกไปไม่กี่ร้อยจั้งเท่านั้น แม้ว่ารัศมีความตายรอบตัวจะไม่เสถียรครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รับความเสียหายมากนัก

เมื่อเห็นฉากนี้หัวใจของพวจิ่วโยวก็ดิ่งลง ความแข็งแกร่งของอสูรวิญญาณขั้นแปดเกินความคาดหมายของพวกเขา นั่นเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว

ภายใต้สายตาเป็นกังวล เงาร่างของมู่เฉินก็ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าสีทองพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด ขณะมองไปที่อสูรวิญญาณซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยรัศมีความตายเชี่ยวกราก จากนั้นเขาก็ถอยออกมาโดยไม่ลังเล

โฮก!

ขณะที่มู่เฉินถอยกลับ อสูรวิญญาณก็คำรามเสียงบาดหู มันกระทืบเท้าลงบนพื้น ร่างกลายเป็นลำแสงสีดำพุ่งเข้าไล่ล่ามู่เฉิน

ความเร็วของอสูรวิญญาณขั้นแปดรวดเร็วมาก เพียงไม่กี่อึดใจก็ไล่ตามมู่เฉินทันแล้ว แต่ขณะที่มันกำลังจะหมุนเวียนรัศมีความตายเพื่อโจมตี มู่เฉินก็หยุดชะงักลงทันที แสงสีดำวูบไหวในดวงตาเขาขณะมองศัตรู จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้ม มือสร้างตราประทับทันที

ฮึ่ม! ฮึ่ม

เมื่อตราประทับสร้างขึ้น สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก็พวยพุ่งบนท้องฟ้าเปล่งแสงพราว ลวดลายเส้นสายปรากฏขึ้นในบริเวณนี้ เส้นสายเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็นค่ายกลขนาดใหญ่หลายค่ายกล…

กะจำนวนค่ายกลคงมีไม่ต่ำกว่าสิบค่ายกลเลยทีเดียว

เพื่อล่าอสูรวิญญาณขั้นแปด ชัดว่ามู่เฉินเทหมดหน้าตัก สร้างทุกค่ายกลที่ศึกษามาแล้วใช้ประโยชน์ได้!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1046 อสูรวิญญาณขั้นแปด
บนต้นไม้สีเทาดำขนาดใหญ่

แต่ละคนพลิ้วกายลงไปพลางมองที่เบื้องหน้า ที่นั่นเป็นป่าขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเทาและสีขาว ต้นไม้เหล่านั้นใบโกร๋นมีเพียงก้านไม้ มองจากระยะไกลดูเหมือนกับป่าหอกซึ่งดูแหลมคมน่ากลัวมาก

ทว่าสายตาพวกเขาไม่ได้หยุดอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน พวกเขาพุ่งความสนใจไปที่ใจกลางป่าซึ่งรัศมีความตายแผ่ซ่านไปทั่ว มีเงาร่างสีขาวจำนวนมากลอยเร่ร่อนไปมา ตัดสินจากจำนวนคร่าวๆ ก็มีเกือบพันเห็นจะได้…

แสงสีดำกะพริบวาบที่กลางหว่างคิ้วของมู่เฉิน จากนั้นก็เจาะทะลุรัศมีความตายหนาแน่น ทันใดนั้นฉากในป่าลึกก็กระจ่างอยู่ในดวงตาของเขาอย่างรวดเร็ว ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไปมีเงาดำนั่งอยู่บนพื้น ร่างมันถูกหุ้มด้วยเกราะสีดำ บนพื้นผิวของเกราะถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีความตาย ความผันผวนนั้นทำให้แม้แต่ใบหน้ามู่เฉินยังเคร่งเครียดลง

รัศมีความตายที่ร่างสีดำเมื่อมครอบครองแข็งแกร่งกว่าอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่พวกเขาพบมาก่อนหน้ามาก เห็นได้ชัดว่านี่ต้องเป็นอสูรวิญญาณขั้นแปดแน่นอน

“หืม?”

ขณะที่มู่เฉินกำลังตรวจสอบอสูรวิญญาณขั้นแปดด้วยเนตรดับชีวิตอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ส่งเสียงอุทานแผ่วเบาออกมา เมื่อตระหนักได้ว่าชุดเกราะของอสูรวิญญาณร่างนี้เสียหายหนักมาก มีบาดแผลฉกรรจ์ปาดลึกลงไปเผยให้เห็นกระดูกสีขาวโพลนด้วย

นอกจากนี้รัศมีความตายรอบร่างอสูรวิญญาณขั้นแปดร่างนี้ก็ค่อนข้างจะวุ่นวายเช่นเดียวกัน

“ทำไมเหรอ?” จิ่วโยวถามด้วยเสียงต่ำ

“อสูรวิญญาณขั้นแปดตัวนี้เหมือนจะได้รับบาดเจ็บ” มู่เฉินพูดขึ้นด้วยความกังขา ก่อนหน้าเขาได้ตรวจสอบโดยเนตรดับชีวิตว่าไม่มีคนกลุ่มอื่นในบริเวณใกล้เคียง ดังนั้นบาดแผลของอสูรวิญญาณขั้นแปดร่างนี้มาจากไหน?

เมื่อจิ่วโยว มั่วเฟิงและหานซันได้ยินคำพูดของเขาก็ค่อนข้างประหลาดใจก่อนจะคลี่ยิ้ม “ดูท่าแม้แต่สวรรค์ก็ช่วยเรา อสูรวิญญาณขั้นแปดที่บาดเจ็บง่ายในการจัดการกว่า”

มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก เขาเลื่อนสายตามองไปที่ป่ารัศมีความตายด้วยดวงตาเป็นประกาย

จิ่วโยวมองมู่เฉิน “แม้ว่าที่นี่จะมีอสูรวิญญาณไม่น้อย มิหนำซ้ำยังมีอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดอยู่ในหมู่พวกมัน คงจะลำบากพอตัวถ้าเราดึงดูดความสนใจมา ยิ่งถ้าอสูรวิญญาณขั้นแปดพุ่งออกมาด้วย ก็ยิ่งลำบากสำหรับเรามาก”

การรวมตัวของพวกเขาค่อนข้างลำบากที่จะจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปดสักร่าง ยิ่งถ้ามีการเพิ่มขึ้นของอสูรวิญญาณขั้นต่างๆ จำนวนมากก็จะลำบากมากอีกหลายส่วน

หานซันและคนอื่นๆ ก็หันไปมองมู่เฉิน เมื่อมาถึงจุดนี้พวกเขาได้แต่พึ่งพามู่เฉินเท่านั้น

มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะกวาดสายตาตอบว่า “ประสาทสัมผัสของอสูรวิญญาณขั้นธรรมดาอ่อนแอมาก ข้าสามารถใช้ค่ายกลขังพวกมันไว้ สำหรับพวกขั้นเจ็ดการรับรู้ของพวกมันค่อนข้างหลักแหลม วิธีปลอดภัยที่สุดก็คือกำจัดพวกมันทั้งหมด ไม่งั้นกลัวว่าจะลำบากสำหรับเรา ถ้าพวกมันพุ่งมาหาในขณะที่เราโจมตีอสูรวิญญาณขั้นแปด”

“แต่ที่นี่มีพวกขั้นเจ็ดไม่น้อยกว่าสามสิบร่าง…” มั่วหลิงเบิกตากว้าง นั่นเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดกว่าสามสิบคนเชียวนะ พวกนางสามารถจัดการพวกมันด้วยกำลังที่มีหรือ?

“อาจจะไม่เมื่อก่อน… แต่ตอนนี้เจ้าคิดว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์มีไว้เพื่อถืออวดเหรอ?” มู่เฉินยิ้ม จิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิง แต่ละคนได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์มาคนละชิ้น ด้วยความช่วยเหลือของอาวุธเทพก็ยากที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปจะต่อกรกับพวกเขา แม้ว่าพวกวิญญาณขั้นเจ็ดจะมีไม่น้อย แต่ก็แค่จะลำบากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

“ปล่อยพวกวิญญาณพวกนั้นเป็นหน้าที่พวกข้าเอง เจ้าเข้าสมาธิสร้างค่ายกลก็พอ” จิ่วโยวพยักหน้า พวกนางพึ่งพามู่เฉินมาตลอดทาง หากตอนนี้พวกนางไม่สามารถรับมือกับแค่ปัญหาเหล่านี้ได้ก็เกินไปแล้ว

มู่เฉินพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก กระโจนลงจากต้นไม้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมองหาพื้นที่ว่างเปล่านั่งลง จากนั้นก็ประสานมือเข้าด้วยกัน สัญลักษณ์หลิงยิ่งพรั่งพรูออกมาไม่หยุด เมื่อมู่เฉินสะบัดนิ้วก็รวมตัวเข้ากับมิติ

สัญลักษณ์หลิงยิ่งรวมเข้ากันในมิติอยู่เรื่อยๆ ทำให้คลื่นหลิงในบริเวณนี้มีความผันผวนขึ้นเล็กน้อย สามารถมองเห็นเส้นแสงกระจายออกไปอย่างช้าๆ

ตราประทับในมือของมู่เฉินเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบสิบนาที ก่อนที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ปลายนิ้วจะหายไปอย่างสมบูรณ์

เขาเงยหน้าขึ้นเผยความพึงพอใจเมื่อมองไปที่มิตินี้ ค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นในครั้งนี้เรียกว่าค่ายกลภาพมายาปีศาจ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นค่ายกลระดับสูงและมีผลต่อการสร้างภาพลวงตาเพียงอย่างเดียว แต่ขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ไม่สามารถหลบหนีได้ด้วยความเร็วที่มีหากติดอยู่ภายใน

ทว่าอสูรวิญญาณมีเพียงความแข็งแกร่ง ไม่มีประสาทสัมผัสและสติปัญญา ดังนั้นประสิทธิภาพของค่ายกลจึงมีพลังอย่างยิ่ง

นอกจากนี้มู่เฉินยังเสริมความแข็งแกร่งให้กับรอบด้านและพลังของค่ายกลอีกด้วย ตราบใดที่ไม่มีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น คิดว่าคงสามารถดักอสูรวิญญาณพวกนี้ได้ทั้งหมด

หลังจากสร้างค่ายกลเรียบร้อย มู่เฉินก็ส่งสัญญาณมือ จิ่วโยวพยักหน้ารับรู้ก่อนทะยานออกไปพุ่งเข้าไปในป่าที่เต็มไปด้วยรัศมีความตาย

โฮก!

เมื่อจิ่วโยวเข้ามาถึงเป้าหมายนางก็ไม่ได้ซ่อนพลังชีวิตเอาไว้ ดังนั้นอสูรวิญญาณที่ลอยเร่ร่อนไปมาก็เปล่งเสียงคำรามทันทีที่นางปรากฏตัว เงาร่างนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาโรมรันนางทันที

จิ่วโยวก็ไม่ได้หยุดนิ่ง นางพุ่งออกไปด้วยความเร็วเต็มพิกัดทะยานรอบนอกแนวป่า แต่เนื่องจากส่วนในมีอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดจำนวนมาก นางจึงไม่ได้ก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว

โฮก!

เพียงสองสามนาทีเมื่อจิ่วโยวเหาะเหินออกจากป่าอีกครั้งก็มีฝูงวิญญญาณอสูรติดตามเป็นพรวน จำนวนที่มากขนาดนั้นทำให้หานซันและคนอื่นๆ ที่รออยู่บนต้นไม้รู้สึกว่าหนังศีรษะชาวาบไปหมด

จิ่วโยวพุ่งไปยังทิศทางของค่ายกลที่มู่เฉินสร้างไว้ล่วงหน้า นำอสูรวิญญาณจำนวนมากเข้าไป

ทันทีที่ฝูงอสูรวิญญาณเข้าไปในค่ายกล ตราประทับในมือของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป เปิดใช้งานค่ายกลทันที

ฮึ่ม!

ทันใดนั้นแสงหลิงก็แวววาวขึ้นในมิติ เส้นสายซับซ้อนนับไม่ถ้วนเกี่ยวพันเข้าด้วยกันกลายเป็นลวดลายจำนวนมาก สุดท้ายก็กลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบพื้นที่เอาไว้

มู่เฉินและจิ่วโยวพุ่งออกมาในช่วงเวลาที่ค่ายกลตีกรอบขึ้น ทั้งสองยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่จ้องมองลงมาที่บริเวณนั้นก็เห็นอสูรวิญญาณจำนวนมากวิ่งวุ่นวายในความยุ่งเหยิงราวกับแมลงวันหัวขาด ทุกครั้งที่มีอสูรวิญญาณบางตัวกำลังจะพุ่งออกมา พวกมันก็จะวกกลับเข้าไปข้างในเองอีกครั้ง…

“เยี่ยม” เมื่อจิ่วโยวเห็นภาพนี้ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานชื่นชม วิธีการของหลิงเจิ้นซือลึกซึ้งอย่างแท้จริง โดยทั่วไปแม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังหลิงจะทรงพลัง แต่ก็ไม่สามารถดักอสูรวิญญาณจำนวนมากแบบนี้ได้อย่างง่ายดาย

“ข้าเพิ่มบางอย่างลงไปในค่ายกล สามารถขัดขวางการรับรู้ของวิญญาณเหล่านี้ที่มีต่อคลื่นพลังงานชีวิต ก่อนที่คลื่นหลิงของค่ายกลจะหมดสิ้น พวกมันน่าจะบินวนอยู่ในนี้เท่านั้น” มู่เฉินยิ้ม

จิ่วโยวพยักหน้าก่อนที่จะมองไปในส่วนลึกของป่า หลังจากจัดการกับฝูงอสูรวิญญาณแล้ว พวกเขาก็ต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อจัดการกับพวกอสูรวิญญาณขั้นเจ็ด

“ข้าจะปล่อยพวกมันให้พวกเจ้า”

มู่เฉินยิ้มมองไปที่จิ่วโยวก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังอีกทิศทางหนึ่งของป่า เขาต้องเตรียมการบางอย่างเพื่อจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปด

เมื่อจิ่วโยวเห็นมู่เฉินทะยานออกไป นางก็หันกลับไปมองมั่วเฟิง หานซันและคนอื่นๆ ก่อนที่จะพยักหน้า ทั้งกลุ่มค่อยๆ เข้าใกล้พื้นที่ที่อสูรวิญญาณขั้นเจ็ดอยู่

ในส่วนลึกร่างสีเทาดำจำนวนมากกำลังลอยเร่ร่อนพร้อมกับกำจายรัศมีความตายที่ทรงพลัง เมื่อเปรียบเทียบกับอสูรวิญญาณก่อนหน้า พวกมันแข็งแกร่งกว่ามาก

โฮก!

ขณะที่พวกเขาเข้าไปในส่วนลึก พลังชีวิตก็ถูกสังเกตเห็นโดยอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดเหล่านั้น ทันใดนั้นเสียงคำรามลึกก็ดังก้องพร้อมกับเสียงลมถูกแยกออกจากกัน รัศมีความตายน่าสยดสยองกวนตัว ร่างเกือบสิบร่างปรากฏตัวล้อมรอบกลุ่มของจิ่วโยว

เมื่อมองจำนวนอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่เข้ามา ใบหน้าของทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลง หากเป็นเมื่อก่อนพวกเขาคงเลือกถอยหนีทันทีเมื่อพบกับอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดจำนวนมากเช่นนี้

วาบ!

อสูรวิญญาณเหล่านี้ไม่มีความอดทน ดังนั้นพวกมันจึงเปิดโจมตีทันที ขณะที่รัศมีความตายพวยพุ่ง ร่างพวกมันก็กลายเป็นกระแสเชี่ยวกรากสีเทาโอบล้อมกลุ่มจิ่วโยว

อสูรวิญญาณขั้นเจ็ดสิบตัวโจมตีในเวลาเดียวกัน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดก็ยังต้องถอยห่างจากกระแสเชี่ยวกรากของรัศมีความตาย

ทว่าจิ่วโยวกลับก้าวเท้าออกไปพร้อมกับมือแน่น ไม้เทพโทษาปรากฏขึ้น จากนั้นนางก็โบกลง ทันใดนั้นแสงสีดำก็กระจายออกราวกับความมืดเขมือบแสงในบริเวณนี้

แสงสีดำพุ่งลงมาทำให้กระแสรัศมีความตายไร้ขอบเขตอ่อนลงมาก ในเวลาเดียวกันเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้น ทั้งพื้นที่เริ่มลุกไหม้ เกลียวเพลิงสีแดงม้วนตัวพลิ้วลงมาจากท้องฟ้า เผาไหม้รัศมีความตายทั้งหมด

ด้านหลังมั่วหลิงยิ้มขณะสั่นกระดิ่งในมือ เพลิงสีแดงที่แม้แต่จอมยุทธ์จื้อจุนขั้นเจ็ดยังทนรับไม่ได้กวาดออกมาจากมัน

การโจมตีร่วมกันของอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดถูกจัดการอย่างง่ายดายโดยจิ่วโยวและมั่วหลิง

เมื่อเห็นผลลัพธ์นี้ แม้แต่ตัวจิ่วโยวและมั่วหลิงเองยังอดฉายความตื่นตะลึงบนใบหน้าไม่ได้ ถ้าเป็นในอดีตแม้ว่าทั้งคู่จะทำดีที่สุด ก็ไม่สามารถปิดกั้นการโจมตีที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ แต่ตอนนี้พวกนางทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย

“สมแล้วที่เป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์” จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ มิน่าล่ะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังถูกดึงดูดโดยอาวุธมหสวรรค์ พลังของอาวุธเหล่านี้ไม่อาจหยั่งรู้ได้อย่างแท้จริง

ตู้ม!

เมื่อกระแสรัศมีความตายถูกเผาไหม้ หอกทองคำก็กวาดออกมาพร้อมกับแสงโบราณบริสุทธิ์ ขณะที่หอกวาบผ่านก็ทะลุผ่านหัวร่างอสูรวิญญาณที่แข็งแกร่งจนระเบิดเละเทะ

ปัง!

พลองสีดำฟาดลงมา เงาพุ่งดิ่งลง รอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนพื้น ร่างอสูรวิญญาณที่แข็งทนทานอีกตัวก็ถูกทำลายราบคาบด้วยพลอง

การลงมือฉับพลันของมั่วเฟิงและหานซันสร้างผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ทันที

ทั้งสี่คนแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ หลังจากรู้ว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ในมือทรงพลังเพียงใด พวกเขาก็ไม่เกรงกลัวพุ่งออกไปราวกับพยัคฆ์ร้าย ปะทะกับอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่เหลือทันที

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดขึ้น จอมยุทธ์ทั้งสามของเผ่าแรดอสูรก็อ้าปากตาค้าง เมื่อเห็นทั้งสี่คนสำแดงพลังแบบไม่มีใครยอมใคร กลุ่มอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่ตอนแรกได้เปรียบก็แพ้ยับเยิน

ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีร่างอสูรวิญญาณสิบตัวก็ถูกกำจัดหมดสิ้น

ด้วยการเริ่มต้นที่ดี พวกเขาก็ไม่ลังเลเคลื่อนไหวออกไปเพื่อล้างบางร่างอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่เหลืออยู่ในป่า พยายามจัดการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ขณะที่พวกเขากำลังกำจัดอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดในป่าไปเรื่อยๆ ที่ส่วนลึกการเตรียมของมู่เฉินก็ค่อยๆ เสร็จสมบูรณ์

ปุ! ปุ!

มู่เฉินยืนอยู่บนกิ่งไม้ เขาปัดมืออย่างแผ่วเบาพร้อมกับจ้องมองไปที่ระยะไกล รัศมีความตายรุนแรงกวาดอยู่ในบริเวณนั้น มีเงาร่างที่ดูเลือนราง ปล่อยแรงกดดันทรงพลัง

เมื่อมองไปที่เงาร่างนั้น มู่เฉินก็หรี่ตาลงขณะที่คลี่ยิ้ม

ต่อไปถึงตาแกแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1043 ไป๋หมิง
“แกคือคนที่สอดแนมข้าก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”

ชายชุดสีฟ้าโบกพัดสีฟ้าน้ำแข็งในมือเบาๆ น้ำเสียงไม่แยแสกระจายออกไปทั่ว ทำให้ทุกสายตาที่นี่จับจ้องไปที่มู่เฉินอย่างประหลาดใจ

“ดูเหมือนจะเป็น…มนุษย์ เขามากับเผ่าวิหคโลกันตร์และเผ่าแรดอสูร แต่เขาช่างกล้าซะจริงที่ไปท้าท้ายเผ่าหงส์ฟ้า”

“ไป๋หมิงไม่ใช่คนใจดีอะไรด้วย ลือกันว่าเขาสัมผัสระดับจื้อจุนขั้นแปดแล้ว ซ้ำยังครอบครองอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่เผ่าหงส์ฟ้ามอบให้ชื่อว่าพัดหงส์ฟ้าหิมะ… พลังในการต่อสู้ของเขาไม่ธรรมดา เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดแท้จริงได้”

“มนุษย์คนนั้นไม่รู้เหนือรู้ใต้เลย…”

“…”

เสียงกระซิบดังก้องไปทั่ว สายตามากมายมองไปที่มู่เฉินด้วยความสนุกสนาน คงคิดกันว่ามนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกกล้าที่จะยั่วยุคนดุร้ายอย่างไป๋หมิง เขารนหาที่ตายชัดๆ

บนก้อนหินเบื้องหน้า เทพธิดาเลอโฉมจากเผ่านกยูงเก้าสีก็กวาดมองมู่เฉินอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าเฉยเมย จากนั้นก็ขยับสายตาออกไปโดยไม่สนใจ ชัดว่ามนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำให้นางสนใจได้

ฝั่งเผ่าคุนเผิงพวกจอมยุทธ์ชนชั้นสูงก็กอดอกมองมู่เฉินด้วยความสนใจ ราวกับว่ากำลังดูงิ้วออกโรง

สำหรับเผ่าเทพอสูรระดับต้นที่เหลือก็เฝ้าดูฉากนี้ด้วยความเฉยเมย พวกเขาที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับกลุ่มมู่เฉิน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะล้ำเส้นเผ่าทรงพลังอย่างเผ่าหงส์ฟ้าเพื่ออีกฝ่าย

ภายใต้แววตาเยาะเย้ย ใบหน้าของจิ่วโยวกับพรรคพวกก็ดูไม่ดี เนื่องจากพวกเขาไม่คิดว่าไป๋หมิงจะมีประสาทสัมผัสการรับรู้และรู้สึกถึงการแอบมองเมื่อเขาเห็นมู่เฉินแวบแรก

ทุกคนจ้องมองมาที่มู่เฉิน แม้ว่าชายหนุ่มร่างสูงโปร่งจะย่นหัวคิ้ว แต่ก็ไม่มีคลื่นใดๆ ในม่านตาสีดำ เขาไม่แสดงอาการตื่นตระหนกจากการจ้องมองอย่างเย็นชาของไป๋หมิง

“สุสานหมื่นอสูรไม่ใช่สถานที่ส่วนตัวของใคร เจ้าห้ามให้คนอื่นมองได้ด้วยเรอะ?” ภายใต้สายตาเย็นชา เปลือกตาของมู่เฉินก็ยกขึ้นพร้อมกับพูดช้าๆ

เมื่อเขาพูดออกมา หลายกลุ่มก็ถึงกับคิ้วกระตุก ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกจะขอขมาด้วยความหวาดกลัว แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะตอกกลับคำพูดของไป๋หมิงนิ่มๆ เช่นนี้

เขาไปเอาความกล้าหาญนี้มาจากไหน?

เมื่อไป๋หมิงได้ยินคำพูดของมู่เฉิน รอยยิ้มก็ผุดบนใบหน้าเฉยเมย ทว่ารอยยิ้มนั้นไม่มีความอบอุ่นสักนิด ตรงกันข้ามกลับกำจายความเยือกเย็นที่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าหนังศีรษะชาหนึบไปหมด

“พี่ใหญ่ไป๋หมิง เจ้านั่นแหละ คนที่พวกเราเจอมาก่อนหน้า!” ที่ด้านหลังไป๋หมิง คนคนหนึ่งก็ยืนขึ้น รูปร่างที่คุ้นเคย นั่นก็คือไป๋ปิงที่ปะทะกันกับกลุ่มมู่เฉินในตลาดเสรี

“โอ้?”

ไป๋หมิงค่อนข้างประหลาดใจพลางส่ายหัว “งั้นข้านี่โชคดีจริงๆ ไม่ต้องเสียแรงตามหาไปทั่ว ไม่คิดว่าเจ้าจะมาแสดงตัวให้เห็นง่ายๆ แบบนี้”

ไป๋ปิงมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาเย้ยหยันและสงสาร เจ้านั่นโชคร้ายแท้จริง

เมื่อฉื่อหงหวู่แห่งเผ่าหงส์ฟ้าแดงที่อยู่เบื้องหลังไป๋หมิงเห็นภาพนี้ นางก็มุ่นคิ้วจ้องมองไปที่มู่เฉินพูดเสียงเย็นว่า “เจ้าช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถ้าไปซะตอนนี้บางทีอาจยังรักษาชีวิตไว้ได้”

แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะเย็นชา แต่ความหมายที่ปรากฏในคำพูดชัดเจน เห็นได้ว่านางพยายามพูดเตือนอ้อมๆ เพื่อให้มู่เฉินไปจากที่นี่ จะได้ไม่ต้องเอาชีวิตมาทิ้ง

ไป๋หมิงเหลือบมองฉื่อหงหวู่ด้วยแววตายากหยั่ง ชัดว่าเขาเห็นเกี่ยวกับความตั้งใจของนาง ทว่านางก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มาก แม้ว่าไป๋หมิงจะเป็นหัวหน้ากลุ่มนี้ แต่นางมาจากเผ่าหงส์ฟ้าแดงซึ่งไป๋หมิงไม่สามารถห้ามปราบอะไรนางได้

มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจเช่นกันขณะที่มองฉื่อหงหวู่ แม้ว่าหญิงสาวจะดูเจ้าพยศไปหน่อยเมื่อตอนที่พบกันครั้งแรก แต่นิสัยของนางก็ไม่ร้าย ยังได้เอ่ยเตือนเขาด้วย

แต่น่าเสียดายที่ไม่ง่ายที่จะให้เขาจากไป แม้ว่าคนตรงหน้าจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้า แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัวหรอก

ท้ายที่สุดนี่คือการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์รุ่นใหม่ ยากที่จะไปเกี่ยวข้องกับทั้งเผ่าพันธุ์ นอกจากนี้หากไป๋หมิงพ่ายแพ้ที่นี่ เขาก็ไม่มีหน้าไปขอความช่วยเหลืออะไร เพราะถ้าเรื่องนี้กระจายออกไป ก็เป็นเขาที่จะได้รับแต่เสียงหัวเราะเยาะเย้ยแทน

“ข้าตั้งใจมาสุสานสักการะเทพ ทำไมข้าต้องกลับไปมือเปล่าด้วยล่ะ?” มู่เฉินยิ้มพลางส่ายหน้า

ฉื่อหงหวู่เบิกตากว้างมองไปที่มู่เฉิน นางไม่คิดว่าแม้จะเอ่ยเตือนแล้ว ชายคนนี้ก็ยังโน้มมารับความเกรี้ยวโกรธของไป๋หมิงอย่างดื้อรั้น เขาโง่หรือเปล่า?

นางยิงฟันรู้สึกโกรธจนถึงควันพุ่งออกจากหัว ทันใดนั้นนางก็ถลึงตาใส่มู่เฉินจากนั้นก็สะบัดหน้าไปไม่คิดใส่ใจกับความเป็นตายของเขาอีกต่อไป

หลายกลุ่มโดยรอบก็ฉายสีหน้าแปลกๆ บางคนแอบหัวเราะในใจ มนุษย์คนนี้บ้าระห่ำและน่าสนใจอย่างแท้จริง ในเมื่อเขาปฏิเสธความตั้งใจดีของฉื่อหงหวู่ ต่อไปไป๋หมิงก็คงไม่ปล่อยให้เขาไปอย่างง่ายดายแล้ว

ก็เป็นตามที่พวกเขาคาดไว้ ไป๋หมิงโบกพัดเบาๆ มองมู่เฉินด้วยสีหน้าไม่เชิงยิ้ม “เจ้าไม่แข็งแกร่งพอ แต่ความกล้าหาญคับฟ้า… ข้าอนุญาตให้เจ้าเข้าไปในสุสานสักการะเทพก็ได้ ซ้ำยังจะช่วยให้เจ้าผ่านอุปสรรคชั้นนอกอีกด้วย แต่ข้าต้องการบางสิ่งแลกเปลี่ยน เจ้าคิดยังไง?”

ดวงตามู่เฉินวูบไหว เขามองไปที่ไป๋หมิง ประกายความโลภพลุ่งพล่านในดวงตาส่วนลึกของอีกฝ่าย ไป๋หมิงดูเหมือนจะถูกดึงดูดจากสิ่งที่เขามี

ความคิดของมู่เฉินหมุนเร็วจี๋จากนั้นก็คิดออกว่าคืออะไร สิ่งที่ไป๋หมิงพูดน่าจะเป็นจิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงที่เขาได้รับการชำระจากแก่นโลหิตหงส์ฟ้าสายเลือดบริสุทธิ์ ซึ่งถ้าจอมยุทธ์จากเผ่าหงส์ฟ้าได้ดูดซับก็จะทำให้สายเลือดของพวกเขายกระดับขึ้น

ทว่านี่เป็นส่วนสำคัญในการฝึกกายามังกรหงส์ของเขา เพ้อฝันชัดๆ ที่ไป๋หมิงคิดจะเอาไป

ดังนั้นมู่เฉินจึงยิ้มพลางส่ายหัวให้กับไป๋หมิงที่มองมา “ข้าปฏิเสธ”

เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ไป๋หมิงก็ไม่แปลกใจรอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏบนใบหน้า “เป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะปฏิเสธ แต่ว่า… เจ้ามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเรอะ?”

เมื่อพูดจบรัศมีเย็นเยือกน่ากลัวก็ระเบิดขึ้นควบแน่นที่เบื้องหน้าไป๋หมิง หมอกเย็นสีขาวครอบงำกวาดล้างไปยังกลุ่มของมู่เฉิน

หมอกสีขาวนี้คุกคามอย่างมาก ซึ่งสามารถแช่แข็งคลื่นหลิงไว้ได้ทุกทางที่เคลื่อนไป จอมยุทธ์โดยรอบต่างพากันถอยหนีพัลวันด้วยความกลัวบนใบหน้า ไป๋หมิงทรงพลังอย่างแท้จริง รัศมีเย็นสุดขั้วนี้เป็นสิ่งที่กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดยังไม่กล้าแตะต้องเลย

เมื่อจิ่วโยว หานซันและคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ ร่างกายก็เกร็งเครียดขึ้น คลื่นหลิงพวยพุ่งเพิ่มขึ้นรอบตัว กัดฟันเตรียมพร้อมโรมรัน แม้ว่าการปะทะกับเผ่าหงส์ฟ้าเป็นเรื่องเสียเปรียบอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถนิ่งเฉยโดยไม่ทำอะไรเลย

แต่ขณะที่ร่างพวกเขาตึงเกร็ง มู่เฉินก็ก้าวออกไป ไม่มีคลื่นหลิงรอบเลย ราวกับว่าเขาละการป้องกันทั้งหมดลงแล้ว

“รนหาที่ตาย!”

เมื่อผู้คนรอบข้างเห็นว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกกล้าที่จะเผชิญกับการโจมตีของไป๋หมิงโดยไม่คิดใช้การป้องกันใดๆ พวกเขาก็ส่ายหัว ชายคนนี้เรียกหาความตายจริงๆ

ไป๋หมิงก็อึ้งไปกับปฏิกิริยาของมู่เฉินก่อนที่จะขมวดคิ้ว แสงเย็นเยือกวาบผ่านดวงตา จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลสะบัดนิ้วออก คลื่นเย็นเยือกยิงไปที่หน้าอกของมู่เฉิน

หากการโจมตีนี้ปะทะเข้าอย่างจังก็จะทำให้มู่เฉินบากเจ็บสาหัสได้อย่างแน่นอน

ขณะที่คลื่นเย็นเยือกกวาดมา มู่เฉินก็ยกมือขึ้นโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน ฝ่ามือเปิดออก ในฝ่ามือมีหัวใจสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือกำลังเต้นตุบตับ ทุกจังหวะการเต้นเปล่งเสียงฟ้าร้องดังสะท้อนน่าตกใจ ระลอกคลื่นทำลายล้างทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป

นี่คือหัวใจพาฬกินสายฟ้า

“นั่นคืออะไร?”

“ช่างเป็นพลังงานที่น่ากลัวจริงๆ!”

“ชายคนนั้นบ้าเหรอ? เขาต้องการลากทุกคนเข้าไปด้วยรึไง”

หลายกลุ่มมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงรุนแรง ทั้งหมดถอยห่างออกไปเป็นโยชน์ในเวลาเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าวัตถุในมือของมู่เฉินคืออะไร แต่พวกเขาก็บอกได้ว่าหากคลื่นทำลายล้างนี้ระเบิดออก ทุกคนที่นี่คงต้องถูกผลกระทบไปด้วย

รอบด้านโกลาหล ทว่ามู่เฉินไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้า เขายื่นหัวใจสีเงินออกไปรับคลื่นเย็นเยือก ท่าทางไม่กลัวความตายของเขาทำเอาทุกคนเหงื่อแตกพลั่ก

ดวงตาของไป๋หมิงจับจ้องไปที่มู่เฉิน เขารู้สึกได้ว่าหัวใจสีเงินนั้นน่ากลัวเพียงใด พลังงานที่บรรจุอยู่ภายในนั้นเป็นสิ่งที่แม้เขายังรู้สึกหวาดกลัว เขาบอกได้ว่ามู่เฉินไม่กลัวเขาเพราะครอบครองสิ่งนี้ แต่ถ้าเขาหยุดการโจมตีตอนนี้นั่นไม่ได้แปลว่าเขากลัวมู่เฉินหรอกหรือ?

“ข้าไม่เชื่อว่าแกจะบ้าบิ่นขนาดนี้!” ใบหน้าของไป๋หมิงมืดครึ้ม คลื่นเย็นเยือกยังคงพุ่งตรงเข้าหามู่เฉิน

วาบ!

คลื่นเย็นเยือกกับหัวใจสีเงินเข้าใกล้กัน แต่ก่อนที่จะปะทะกันแสงพร่างพราวห้าสีก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าด้วยเสียงดังสนั่น ลบคลื่นเย็นเยือกส่วนหนึ่งออกไปอย่างสมบูรณ์

ตู้ม!

ไม้เท้าฟาดลงมาทำลายอีกส่วนหนึ่งของคลื่นเย็นเยือก

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

การโจมตีที่ทรงพลังจำนวนมากพุ่งลงมาลบคลื่นเย็นเยือกทั้งหมดในทันที

เมื่อคลื่นเย็นเยือกถูกลบออก ใบหน้าของไป๋หมิงก็ยิ่งมืดครึ้มลง ก่อนที่จะหันหน้าไปมองกลุ่มเทพอสูรเผ่าต่างๆ พวกเขาเป็นคนที่เคลื่อนไหว

“หากอยากกัดกันก็ให้ไปที่อื่น นี่คือประตูทางเข้าสุสานสักการะเทพ ถ้าถูกทำลาย เจ้าไป๋หลิงคิดว่าจะชดเชยการสูญเสียของทุกคนที่นี่ได้หรือ?” สาวสวยจากเผ่านกยูงเก้าสีมองที่ไป๋หมิงด้วยดวงตาที่มีสีสันพร่างพราวพลางพูดเสียงเยือกเย็น

“ฮี่ๆ คงไม่ไหว” ชายร่างผอมจากเผ่าวานรทะลุฟ้าถือไม้เท้าหิน พูดด้วยรอยยิ้มขณะที่หรี่ตาลง

“พี่ไป๋ใจเย็นหน่อย นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะต่อสู้” จอมยุทธ์เผ่ากระเรียนเทพสวรรค์ก็เอ่ยปากออกมาเช่นกัน

เมื่อเหล่าจอมยุทธ์จากเผ่าเทพอสูรระดับต้นพากันพูด ทำให้ความเย็นชาในดวงตาของไป๋หมิงกวนจนหนาแน่น แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นที่กระทั่งเขายังหวาดเกรง เขารู้ดีว่าไม่ฉลาดที่จะล้ำเส้นพวกเขา ดังนั้นเขาจึงหายใจลึกๆ กวาดสายตามมืดครึ้มไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะนั่งลงโดยไม่พูดอะไร แต่ทุกคนรู้ว่าในใจไป๋หมิงกำลังโกรธจนแทบคลั่งแล้ว

ทันใดนั้นสายตากังขาก็พุ่งไปที่มู่เฉิน ใครจะคิดว่าการเผชิญหน้ากับกระบวนท่าทรงพลังของไป๋หมิง ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่ใช่กระบวนท่าอะไร แต่เขายังบังคับให้ไป๋หมิงเข้าสู่สภาพน่าสมเพช โดยใช้วัตถุบางอย่างเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังทำให้จอมยุทธ์ชั้นสูงของสุดยอดเผ่าเทพอสูรต้องออกโรงหยุดการกระทำของไป๋หมิงโดยไม่มีทางเลือก ทำให้เกิดความไม่พอใจในระหว่างพวกเขา หากในอนาคตมีความขัดแย้งเกิดขึ้นก็อาจถูกใช้เป็นเหตุผลในการเติมเชื้อไฟ

การเคลื่อนไหวเรียบง่ายของมู่เฉิน ทำให้หลายคนตกตะลึงในใจ พวกเขาไม่กล้าดูถูกมู่เฉินอีกต่อไปเมื่อมองไปอีกครั้ง

แม้แต่หญิงสาวจากเผ่านกยูงเก้าสีที่ยืนบนท้องฟ้ายังจ้องมองเขาด้วยดวงตาฉายแสงสีพร่างพราว จากการปะทะกันเมื่อครู่พวกเขาบอกได้ว่ามนุษย์คนนี้ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่พวกเขาคิด

จอมยุทธ์ชั้นแนวหน้าแอบแลกเปลี่ยนสายตาและเห็นด้วยกันในใจว่ามนุษย์ที่ชื่อว่ามู่เฉินดูท่าจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว…

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1042 รวมตัว
ส่วนลึกสุดของสุสานหมื่นอสูร

พื้นที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายที่เข้มข้น สีเทาดำมืดไม่มีสัญญาณของพลังชีวิตแผ่กระจายออกไปจนสุดปลายสายตาของผู้พบเห็น ราวกับว่ามันได้ปิดกั้นพลังงานชีวิตทั้งหมดไว้

ฟิ้ว!

ทันใดนั้นเสียงอากาศฉีกออกจากกันก็ดังขึ้น เงาร่างหลายร่างเหาะเหินข้ามท้องฟ้า พริบตาพวกเขาก็พุ่งผ่านรัศมีความตายมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูร

คนกลุ่มนี้ก็คือพวกมู่เฉินที่ออกจากทะเลสาบตัวเป่ากำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เรียกว่าสุสานสักการะเทพ

“เราน่าจะใกล้ถึงส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูรแล้ว สุสานสักการะเทพคงอยู่ไม่ไกล”

มู่เฉินอยู่ที่ด้านหน้าสุด ริ้วแสงสีดำกะพริบที่กลางหว่างคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้เนตรดับชีวิต แต่ก็ยังสามารถมองผ่านรัศมีความตาย รับรู้ถึงสถานการณ์ในรัศมีหมื่นจั้ง เพื่อหลบเส้นทางของอสูรวิญญาณฝูงใหญ่

ที่ด้านหลังคนอื่นๆ พยักหน้ารับพร้อมเพรียง พวกเขาไม่สงสัยคำพูดของมู่เฉิน ตั้งแต่ออกเดินทางครั้งนี้พวกเขาไม่เจอสิ่งกีดขวางใดๆ ซึ่งทำให้พวกเขาตงิดในใจว่าตอนนี้ยังอยู่ในดินแดนเสินโซ่หรือไม่

แน่นอนว่าพวกเขาต้องขอบคุณต่อการรับรู้ของมู่เฉิน ที่ทำให้การเดินทางราบรื่นมาก หากเขาไม่ได้ตรวจสอบล่วงหน้าและเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดในการเดินทาง พวกเขาอาจได้รับความเดือดร้อนจากการโจมตีของฝูงอสูรวิญญาณไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง

“คงมีบางกลุ่มที่ไปถึงสุสานสักการะเทพแล้ว” จิ่วโยวมองไปที่ฟ้าดินที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายสีเทาอมดำ ไม่รู้ว่ามีสิ่งที่น่ากลัวแค่ไหนซ่อนอยู่ในความมืดและตอนนี้น่าจะมีบางกลุ่มไปถึงแล้ว

มู่เฉินพยักหน้า ตลอดทางแม้ว่าพวกเขาจะแซงกลุ่มคนไปไม่น้อย แต่ก็ไล่ทันแค่พวกที่นำหน้าไป เนื่องจากต้องยอมรับว่ากลุ่มเหล่านั้นมีการจัดเรียงที่ทรงพลังมากเมื่อเทียบกับพวกเขา

นอกจากนี้ผู้นำของกลุ่มเหล่านั้นก็เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงแท้จริง

พวกเขาถือเป็นตัวแทนของจอมยุทธ์สูงสุดในกลุ่มอัจฉริยะที่เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ในครั้งนี้

แม้แต่จิงฉิงเทียนก็กลัวจนหงอ ถ้าต้องเจอพวกจอมยุทธ์ชนชั้นสูงเข้า

ในการเดินทางไปที่สุสานสักการะเทพครั้งนี้ ศัตรูที่พวกเขาต้องเผชิญอาจเป็นจอมยุทธ์สุดยอดในดินแดนนี้ ซึ่งไม่ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะโดดเด่นได้

ทว่าถึงแม้จะยาก แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่ได้มีความกลัวแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเลือดในกายเขากลับเดือดพล่านพร้อมกับไฟแห่งการต่อสู่พวยพุ่งออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ ในเส้นทางของยอดยุทธ์ ผู้ฝึกจะต้องพิชิตยอดเขาที่ยากสำหรับคนธรรมดาจะประสบความสำเร็จได้ ความยากลำบากนี้จะเป็นหินลับมีดสำหรับพวกเขาที่จะส่องประกายและยืนหยัดเพื่อความเป็นหนึ่ง

วาบ!

เลือดในกายเดือดปุด แต่เขาก็ไม่ได้ลดความเร็วขณะบินผ่านยอดเขาสีเทาดำในสายแสง เมื่ออสูรวิญญาณบนยอดเขาสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา พวกเขาก็หายวับไปในขอบฟ้าแล้ว

สี่ชั่วโมงต่อมาพวกมู่เฉินก็เริ่มชะลอความเร็วลง พวกเขาพลิ้วตัวลงมาบนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้สีเทาดำ สายตาจ้องมองไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

แผ่นดินบริเวณนั้นไม่ได้เป็นสีเทาดำอีกต่อไป แต่กลับเป็นสีแดงเข้มข้น

สีแดงเลือดหมูนั้นราวกับเลือดย้อมสีแผ่นดินเป็นเวลานับหมื่นปี นอกจากนี้นี่ไม่ใช่เลือดธรรมดาแต่เป็นเลือดที่มาจากสิ่งมีชีวิตทรงพลัง นั่นเป็นเพราะทั้งผืนดินถูกห่อหุ้มด้วยแรงกดดันอันทรงพลัง กระทั่งมู่เฉินที่มีจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงสถิตในร่างก็ยังรู้สึกหายใจลำบาก

มีหุบเหวลึกมากมายบนพื้นซึ่งลึกจนมองไม่เห็นก้น มากจนมิติบริเวณนี้ก็เต็มไปด้วยรอยแตก นั่นเป็นเพราะการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่เป็นความหายนะใหญ่หลวง แม้ว่าผ่านไปหลายหมื่นปีก็ยังไม่สามารถกู้คืนสภาพได้

รัศมีความตายที่โอบล้อมแผ่นดินนี้ ก็ไม่ใช่สีเทาดำกลับเป็นสีแดงอ่อนผสมกับปณิธานที่หลงเหลือของสิ่งมีชีวิตทรงพลังมากมาย แม้จะตายไปเจตนาเหล่านี้ก็ไม่สามารถถูกลบล้างไปได้

ท่ามกลางรัศมีความตายสีแดง มีหอคอยสูงนับไม่ถ้วนยืนตระหง่านราวกับต้นไม้ยืนต้น พวกมันเหมือนจะก่อเป็นปราการกั้นแยกแผ่นดินบริเวณนี้ออกจากโลกภายนอก รัศมีความตายสีแดงไม่อาจซึมออกมาได้ ในเวลาเดียวกันรัศมีสีเทาดำก็ถูกปิดกั้นไว้ที่ข้างนอกเช่นกัน

มู่เฉินหรี่ตาลง แสงสีดำกะพริบที่หน้าผาก เขามองไปที่หอคอยสูงนับไม่ถ้วน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ด้วยความสามารถของเนตรดับชีวิต เขารับรู้ได้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่หอคอย แต่เป็นโครงกระดูก

เขาไม่สามารถระบุแหล่งกำเนิดของกระดูกเหล่านั้นได้ แต่สิ่งเดียวที่เขามั่นใจก็คือสิ่งเหล่านั้นไม่ได้มาจากเทพอสูรเพียงร่างเดียว พวกมันถูกสร้างขึ้นจากโครงกระดูกของเทพอสูรจำนวนมากที่โอบล้อมพื้นที่นี้ราวกับสุสานที่ปกปักผู้ที่ละร่างอยู่ภายใน

“นี่คือสุสานสักการะเทพรึ?” จิ่วโยวมองไปที่สุสานตระการตาก็รู้สึกตกตะลึง เมื่อเปรียบเทียบกับสุสานนี้พวกเขามีขนาดเล็กเท่ามด ความตกตะลึงนั้นไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้

“น่าจะไม่ผิด”

มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้าก่อนที่จะเอียงศีรษะมองทิศทางอื่นของพื้นที่นี้ เขาสัมผัสได้คลุมเครือถึงความผันผวนของคลื่นหลิงในทิศทางเหล่านั้น ชัดว่ามีกลุ่มอื่นมาที่นี่อยู่เรื่อย

“ดูท่าข้อมูลของสุสานสักการะเทพกระจายไปทั่วแล้ว ตอนนี้เหมือนจะมีกลุ่มทรงพลังจำนวนมากเข้ามา” หานซันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ บางทีเกือบครึ่งหนึ่งของกลุ่มที่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่อาจมาที่นี่

“เรื่องแบบนี้ปิดไม่มิดหรอก” มู่เฉินไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ แม้ว่าเผ่าเทพอสูรระดับต้นจะมีเครือข่ายข้อมูลที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ต้นไม้ขนาดใหญ่ก็ไม่สามารถบังพายุได้ ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาถูกจับตามองอยู่ตลอด ยิ่งก่อนหน้านี้เผ่าต่างๆ ได้เข้ามาในสุสานหมื่นอสูร คนอื่นๆ จะไม่เกิดการคาดดาได้อย่างไร

ทว่ามู่เฉินก็รู้ดีว่ากลุ่มเทพอสูรระดับต้นไม่คิดปกปิดข้อมูล เพราะหากคิดจะเก็บเกี่ยวในดินแดนน่ากลัวนี้ คนที่ไม่มีกำลังก็จะส่งตัวเองไปสู่ปากเหวความตายเท่านั้น

ในเมื่อคนอื่นโลภมากต้องการลงสู่ประตูนรก เผ่าเทพอสอูรระดับต้นก็พร้อมที่จะรับชมจากด้านข้างอย่างเลือดเย็น

“ไปที่นั่น”

ทันใดนั้นสายตาของมู่เฉินก็มองไปที่ส่วนนอกสุสานสักการะเทพ ที่มีกองหินใหญ่วางนิ่งพร้อมกับความผันผวนของคลื่นพลังเปล่งออกมาจากมัน เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นที่รวมตัวของคนทั้งหมด

แม้ว่าพวกเขาจะมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสุสานสักการะเทพ แต่ก็ยังไม่เข้าใจมากนัก ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเขาจะระมัดระวังและติดตามหลังกลุ่มคนส่วนใหญ่ไป

คนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วยเกี่ยวกับเรื่องนี้

มู่เฉินทะยานเป็นผู้นำออกไป มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งนั้น ไม่กี่นาทีต่อมาร่างของเขาก็พลิ้วลงบนก้อนหินใหญ่โดยมีพรรคพวกตามมาติดๆ

เมื่อมาถึงพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นจำนวนกลุ่มคนมากมายที่นี่

หินทุกก้อนมีกลุ่มคนแยกออกเป็นมากบ้างน้อยบ้าง นอกจากนี้จำนวนกลุ่มคนก็มีมากอย่างน่าตกใจ ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้มู่เฉินประหลาดใจที่สุดก็คือการรวมตัวของกลุ่มเหล่านั้นทรงพลังมากจนไม่อาจประมาทได้

พวกเขาสามารถมาถึงสุสานสักการะเทพเป็นชุดแรก ชัดว่าต่างต้องมีฝีมือไม่ธรรมดา

สายตาของมู่เฉินกวาดไปทั่วจากนั้นจิตก็เคลื่อนไหว เขามองไปที่จุดลึกที่สุดก็เห็นว่าบนก้อนหินใหญ่ราวลานหินหลายก้อน ต่างมีร่างหลายร่างนั่งอยู่อย่างเงียบๆ

เขาอดหดดวงตาไม่ได้เมื่อกวาดมองร่างคนเหล่านี้ ร่างกายก็เกร็งเครียดขึ้น ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เขารู้สึกถึงการคุกคาม

“ทั้งหมดนั่นเป็นเผ่าเทพอสูรระดับต้นของโลกสัตว์อสูร” จิ่วโยวเอ่ยเสียงต่ำ ใบหน้านางอัดแน่นไปด้วยความเคร่งเครียด เห็นได้ชัดว่านางค่อนข้างครั่นครามกับเผ่าเทพอสูรระดับต้นเหล่านี้ หากแก่นโลหิตมรดกของวิหคอมตะโบราณมีอยู่จริง คนเหล่านี้ก็จะเป็นคู่แข่งคนสำคัญของนาง

มู่เฉินพยักหน้าโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน สายตาของเขาถูกดึงดูดไปยังกลุ่มกลุ่มหนึ่งเนื่องจากคนเหล่านั้นค่อนข้างแปลก ดวงตาของพวกเขามีหลายสี แสงระยิบระยับโอบล้อมพวกเขาขณะเปล่งพลังงานลึกลับออกมา

ผู้นำของกลุ่มนั้นเป็นหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดา นางแต่งกายด้วยชุดยาวสีฟ้าอมเขียว เรียวคิ้วเข้ารูป เปล่งประกายรัศมีสง่างามและสูงส่งทำให้นางดูเหมือนกับเซียนผู้หลุดพ้น

“นั่นคือเผ่านกยูงเก้าสีที่มีสายเลือดสูงส่งในบรรดาเทพอสูรกลางหาวซึ่งไม่ด้อยไปกว่าเผ่าหงส์ฟ้าเลย” จิ่วโยวอธิบายเพิ่มเติม

มู่เฉินพยักหน้า สายเลือดนกยูงเก้าสีทรงพลังและไม่ด้อยไปกว่าเผ่าหงส์ฟ้าเลย เพียงแต่ว่าชื่อเสียงของพวกเขาน้อยกว่าเผ่าหงส์ฟ้าอยู่เล็กน้อย

“กลุ่มฝั่งนู้นน่าจะเป็นเผ่าวานรทะลุฟ้า” มู่เฉินมองไปอีกทางหนึ่ง ก็เห็นร่างเงาสามร่างบนก้อนหิน ทั้งสามคนมีรูปร่างผอมบาง แต่ละคนถือไม้พลอง ดูธรรมดาอย่างยิ่ง แต่มู่เฉินกลับรู้สึกถึงรัศมีคุกคามที่มาจากพวกเขา

เผ่าวานรทะลุฟ้าก็เป็นเผ่าเทพอสูรที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกสัตว์อสูร

“ยังมี…เผ่าคุนเผิง”

สายตาของมู่เฉินเลื่อนไปทางขวาก็เห็นร่างหลายร่าง พวกเขามีท่าทางขี้เกียจ แต่เมื่อสายตากวาดผ่านคนอื่นๆ ก็สามารถรู้สึกถึงความคมชัดที่น่ากลัวภายใต้ท่าทางขี้เกียจนั้น

เผ่าคุนเผิงก็เป็นเผ่าเทพอสูรระดับตันที่มีสายเลือดทรงพลัง ความเร็วของพวกเขาคือสิ่งที่ไม่มีใครเทียบได้

ท่ามกลางสมาชิกเผ่าคุนเผิง สายตามู่เฉินหยุดอยู่ที่ด้านหน้าสุด ซึ่งมีผู้ชายหลับตานั่งอยู่ เขามีผมสีเงินยวง เมื่อเทียบกับพรรคพวกเหมือนขาดความเฉียบคมไปเล็กน้อย แต่จากประสาทสัมผัสยอดเยี่ยมที่มี มู่เฉินรู้สึกได้ว่าคนคนนี้ยากหยั่งถึงมากที่สุดในกลุ่มของเผ่าคุนเผิง

“ส่วนตรงนั้นเป็นเผ่ากระเรียนฟ้า…”

“…”

มู่เฉินกวาดสายตาไป สีหน้าก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น สุดท้ายก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ พวกเขาเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานอย่างแท้จริง มีความได้เปรียบทรงพลังตั้งแต่เกิด

ในบรรดากลุ่มทรงพลัง พวกเขาครอบครองตำแหน่งที่ดีที่สุด ดูเหมือนจะไม่อยากแข่งขัน แต่รัศมีครอบงำนั้นก็คุกคามคนอื่นนัก

หลังจากที่มู่เฉินถอนหายใจ ก็เลื่อนสายตาไปที่ลานหินด้านหน้าสุด แต่คราวนี้ก่อนที่สายตาจะกวาดมองไป เขาก็สังเกตได้ถึงสายตาเย็นเยือกที่ทะลุมิติยิงเข้าใส่ ทำให้บรรยากาศรอบตัวเขาเย็นลงทันที

มู่เฉินขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองที่ไกลก็เห็นกลุ่มของเผ่าหงส์ฟ้า ชายชุดสีฟ้ากำลังจ้องมองมาด้วยสายตาที่ราวกับใบมีด ความคมชัดในสายตาดูเหมือนต้องการมองทะลุให้ถึงแก่น

ชายสวมชุดสีฟ้าโบกพัดขนนกสีฟ้าน้ำแข็งในมือเบาๆ อากาศเย็นล้อมรอบตัวเขา ขณะที่พูดอย่างไม่แยแส ก็ทำให้อากาศเย็นเยือกกระจายออกไปทั่วบริเวณ

“แกคือคนที่สอดแนมข้าก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1040 ดินแดนลึกลับ
เหนือทะเลสาบส่องแสงระยิบระยับอย่างเงียบเชียบ

ร่างเงาหนึ่งลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำราวกับขอนไม้ ระลอกคลื่นบนพื้นผิวทะเลสาบก็ไม่สามารถสั่นคลอนร่างกายของเขาได้

ซึ่งร่างนี้ก็คือมู่เฉินที่เลือกเข้าฝึกฝนเหนือทะเลสาบตัวเป่า สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยคลื่นหลิง ยิ่งไปกว่านั้นยังเงียบสงบไม่มีการรบกวนจากรัศมีความตาย ดังนั้นจึงเป็นจุดที่ดีอย่างยิ่งสำหรับการเข้าสมาธิ

รอบทะเลสาบจิ่วโยว มั่วเฟิงและคนอื่นๆ ก็เข้าสู่การฝึกฝนด้วยเช่นกัน พวกเขาเพิ่งได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์มา ดังนั้นจึงต้องหล่ออาวุธเหล่านี้ด้วยคลื่นหลิงของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้นและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้

ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงสนับสนุนต่อข้อเสนอแนะของมู่เฉินในการทำสมาธิ

ระหว่างการทำสมาธิ มู่เฉินก็ลืมตาม่านสีดำราวกับบ่อน้ำลึกที่ไม่มีความผันผวนใด เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนหยิบขวดหยกแล้วพลิกนิ้ว สายธารพุ่งออกมาจากปากขวด คลื่นหลิงในฟ้าดินต้มเดือดทันที มีหมอกหลิงห่อหุ้มร่างของมู่เฉินอยู่เลือนราง

สายธารนี้เกิดจากของเหลวจื้อจุนหลายแสนหยด

โดยทั่วไปการฝึกฝนของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนจะขาดของเหลวจื้อจุนไม่ได้ เพราะนี่คือทรัพยากรพื้นฐานที่จอมยุทธ์ทุกคนระดับนี้ต้องการ ตราบใดที่พวกเขามีปริมาณของเหลวจื้อจุนอย่างเพียงพอ การฝึกฝนของพวกเขาจะมีผลลัพธ์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

สายธารของเหลวจื้อจุนม้วนตัวอยู่รอบร่างมู่เฉิน เมื่อกวาดมองคร่าวๆ ก็มีไม่ต่ำกว่าล้านหยดเลยทีเดียว มู่เฉินหลับตาเปิดปากขึ้นเล็กน้อยแล้วหายใจเข้าเบาๆ ทันใดนั้นสายธารที่สร้างจากของเหลวจื้อจุนก็ก่อตัวเป็นมังกรตัวยาวเปล่งเสียงหวีดหวิวพุ่งเข้าไปในปากเขา

พื้นผิวร่างกายของมู่เฉินวาววับด้วยแสงหลิงขณะที่หมุนเวียนทักษะการเพาะบ่มเพื่อชำระของเหลวจื้อจุน ก่อนที่จะเทลงในจุดจื้อจุนไห่พัฒนาคลื่นหลิงที่อยู่ในร่างกาย

เวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ขณะที่มู่เฉินกลืนกินของเหลวจื้อจุนซึ่งคล้ายกับวาฬระหว่างฝึกฝน

เวลาร่วงหล่นราวกับนาฬิกาทราย

การเข้าสู่สมาธิ ผ่านไปเกือบสิบวันในพริบตา

ในช่วงสิบวัน มู่เฉินแทบไม่ได้ทำอะไรนอกจากกลืนกินของเหลวจื้อจุนและเขาก็ใช้ไปแล้วห้าล้านหยดซึ่งเป็นปริมาณครึ่งหนึ่งที่ได้มา

ทว่าการฝึกฝนของมู่เฉินก็พัฒนาขึ้นพร้อมกับจำนวนของเหลวที่ลดลง คลื่นหลิงของเขาไต่เข้าสู่ระยะปลายสุดอย่างสมบูรณ์ อีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้แล้ว

สิ่งที่มู่เฉินรู้สึกเซ็งก็คือความรู้สึกที่จะบุกทะลวงไปสู่ขั้นเจ็ดยังมองไม่เห็นเลย ดูท่าเขาจะต้องหาวิธีอื่นเพื่อบุกเข้าไปแทนแล้ว

นอกจากนี้มู่เฉินยังได้ใช้ความสามารถของเนตรดับชีวิตตลอดการฝึกฝน เขาสำรวจรอบๆ สุสานหมื่นอสูรกว้างใหญ่เพื่อค้นหาร่องรอยของวิหคอมตะโบราณ

ทว่าเขาก็ต้องผิดหวังที่ไม่มีผลลัพธ์ใดๆ ในการค้นหา

สุสานหมื่นอสูรกว้างใหญ่ไพศาล มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยรัศมีความตายที่ปิดกั้นประสาทสัมผัส แม้จะมีเนตรดับชีวิตก็ยากที่จะค้นหาได้อย่างชัดเจน

แต่เห็นได้ชัดว่าคนอย่างมู่เฉินไม่ยอมแพ้แม้จะล้มเหลว เนื่องจากเขาตัดสินใจตั้งแต่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่ว่าจะช่วยเหลือจิ่วโยวให้มีสายเลือดสมบูรณ์ให้จงได้

ดังนั้นความล้มเหลวแค่นี้ไม่สามารถล้มเลิกความตั้งใจของเขาได้หรอก

มู่เฉินเปิดเปลือกตาออกจากสมาธิ สายธารของเหลวจื้อจุนยิ่งใหญ่ก็ลดขนาดลงจนกลายเป็นสายหมอกสุดท้ายสูดเข้าไปในนาสิกประสาท

ริ้วแสงวูบไหวในม่านตาสีดำ ก่อนที่ร่างเขาจะเคลื่อนไหวไปปรากฏบนท้องฟ้า แสงสีดำปริออกจากตรงหว่างคิ้ว ดวงตาที่สามเปิดออกพร้อมกับความลึกลับเปล่งประกายออกมา

แสงสีดำราวกับสามารถทะลุผ่านมิติไม่มีที่สิ้นสุด ภาพในรัศมีหมื่นลี้สะท้อนเข้าในดวงตาทั้งหมด

มู่เฉินใช้พลังของเนตรดับชีวิตอีกครั้ง พยายามที่จะค้นหาเบาะแสของวิหคอมตะโบราณในสุสานหมื่นอสูร

แสงสีดำทะลุทะลวงผ่าน ทุกตารางนิ้วที่เต็มไปด้วยรัศมีความตายก็ถูกค้นโดยเขา แต่ชัดว่ามีข้อจำกัดสำหรับเนตรดับชีวิต ในการสำรวจพื้นที่ยิ่งไกลจะยิ่งเบลอมากขึ้น

ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา มู่เฉินได้ทำการค้นหาบริเวณใกล้เคียงเรียบร้อย ดังนั้นตอนนี้คลื่นจิตจึงค่อยๆ แผ่ลึกเข้าไปในสุสาน

รัศมีความตายในพื้นที่เหล่านั้นรุนแรงมาก แม้ว่าจะมีเนตรดับชีวิต เขาก็ยังมีปัญหาในการสำรวจ

ครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็วภายใต้การสำรวจ แต่มู่เฉินก็ยังรู้สึกผิดหวังเนื่องจากยังไม่พบเบาะแสของวิหคอมตะโบราณเลยสักนิด

ดังนั้นคิ้วจึงขมวดแน่น เขาไม่คิดว่าการได้เบาะแสจะยากเย็นขนาดนี้ หานซันเคยพูดถึงเพลิงอมตะ แต่จนตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นประกายไฟอะไรเลย

ถ้าไม่ใช่ความเชื่อใจในตัวหานซัน เขาคงจะสงสัยว่าหานซันโกหกกันรึเปล่าแล้ว…

เมื่อการสำรวจดำเนินต่อไป มู่เฉินก็รู้สึกเจ็บเล็กน้อยตรงหว่างคิ้ว ซึ่งเป็นเพราะเขาใช้เนตรดับชีวิตนานเกินไป จึงแสดงอาการถึงขีดจำกัดแล้ว

มู่เฉินสัมผัสถึงความเจ็บปวดก็สั่นศีรษะอย่างอดไม่ได้ กำลังคิดจะเลิกค้นหา

“หืม?”

แต่ขณะที่เขาคิดอย่างนั้น ทันใดนั้นดวงตาก็หดเกร็ง แสงสีดำวูบไหวที่กลางหว่างคิ้ว ส่องเข้าไปในส่วนลึกของสุสาน

ตำแหน่งที่แสงสีดำส่องเข้าไปมืดสนิท หากก่อนหน้ามู่เฉินยังสามารถเห็นส่วนอื่นๆ ได้แม้จะเบลอไปบ้าง แต่บริเวณนี้ก็มืดสนิทราวกับถูกอะไรปิดบังไว้

“สถานที่นี้แปลกมาก…”

มู่เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเปิดเนตรดับชีวิต แสงสีดำรวมกันในดวงตาเขาพยายามมองผ่านความมืด

แต่ขณะที่แสงสีดำแทรกผ่านในความมืดมิด มิติก็เริ่มผันผวน เสียงคำรามป่าเถื่อนและน่ากลัวดังก้องออกมา ในเวลาเดียวกันเพลิงก็แผดเผาพื้นที่พร้อมกับความผันผวนน่าสะพรึงกลัวกระจายออกไป ตัดภาพเนตรดับชีวิตทันที

ปัง!

ร่างกายมู่เฉินกระตุก ริ้วเลือดไหลออกมาจากเนตรดับชีวิตที่กึ่งกลางหว่างคิ้ว ชัดว่าเขาถูกโจมตี

ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด พื้นที่มืดมิดนั้นน่ากลัวมากจนเขาถูกจู่โจมจากการใช้เนตรดับชีวิตแอบมองเข้าไปสั้นๆ โชคดีที่เขาไม่ได้ใช้พลังเต็มที่และพุ่งเข้าไปแบบทะเล่อทะล่า มิฉะนั้นกระทั่งเนตรดับชีวิตก็อาจจะเสียหายหนัก

“พื้นที่นั้นมีอะไรบางอย่าง?”

มู่เฉินนวดหว่างคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด โดยทั่วไปพื้นที่แบบนั้นไม่ใช่สถานที่ธรรมดาแน่ อาจเป็นพื้นที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงพลังละร่างไว้ ดังนั้นพื้นที่จึงได้รับการปกป้องโดยรัศมีของพวกมัน

ทว่ามู่เฉินได้สืบเสาะไปในหลายพื้นที่ของสุสานหมื่นอสูรในช่วงสิบวันที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกจู่โจมอย่างน่ากลัว ชัดว่าจะต้องมีสิ่งที่น่าสะพรึงอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน

“เปลวไฟเมื่อครู่… ดูคุ้นๆ แฮะ นั่นใช่เพลิงอมตะไหม?” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่เนตรดับชีวิตจะถูกตัดภาพ เหมือนจะเห็นแปลวไฟอยู่ ไม่รู้ว่านั่นใช่เพลิงอมตะหรือไม่?

แต่เสียงคำรามที่น่ากลัวนั้นก็เหมือนไม่ใช่ของวิหคอมตะ

ดินแดนนั้นแปลกประหลาดและลึกลับอย่างแท้จริง

สายตาของมู่เฉินกะพริบวูบ หลังจากที่เนตรดับชีวิตฟื้นตัวมาเล็กน้อย เขาก็เปิดใช้งานอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้พยายามมองผ่านความมืดกลับตรวจสอบพื้นที่โดยรอบแทน

พื้นที่ตรงนั้นเต็มไปด้วยรัศมีความตายที่น่าสะพรึงกลัว เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนเลือนรางของรัศมีความตาย คิดว่าคงมาจากอสูรวิญญาณที่ทรงพลัง

“นั่นน่าจะเป็นส่วนลึกของสุสาน มิน่าล่ะถึงมีอสูรวิญญาณที่ทรงพลังจำนวนมากคอยปกป้อง… ” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง หลังจากตรวจสอบคร่าวๆ พื้นที่โดยรอบถูกล้อมกรอบด้วยปราการอสูรวิญญาณที่ทรงพลัง ทำให้ยากที่จะเข้าไป

“หืม?”

ขณะที่มู่เฉินตรวจสอบบริเวณนั้น จู่ๆ เขาก็อุทานสงสัยขึ้นมา เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านความมืดอย่างรวดเร็ว

ทิศทางที่พวกเขาไปก็คือพื้นที่มืดมิดนั้น

นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตกใจที่สุดก็คือมีร่างเงาบางส่วนที่เขาจำได้ ภายในกลุ่มนั้นมีผู้ชายและผู้หญิงคุ้นหน้า ซึ่งก็คือฉื้อหงหวู่และไป๋ปิงที่เคยพบกันในตลาดเสรี

“สมาชิกเผ่าหงส์ฟ้าเรอะ?” สายตามู่เฉินวูบไหว เงาร่างเหล่านั้นถูกล้อมไปด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง พวกเขาทั้งหมดมาจากเผ่าหงส์ฟ้า

สายตามู่เฉินเลื่อนไปทางด้านหน้า ซึ่งมีคนคนหนึ่งนำหน้า ดูท่าเขาจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้แล้ว

คนผู้นั้นสวมชุดสีฟ้า สีหน้าไม่แยแส รัศมีเย็นเยือกอย่างยิ่งล้อมรอบร่างเขา ในเส้นทางที่พุ่งผ่านแม้แต่มิติก็ถูกแช่แข็ง

มู่เฉินจ้องมองไปที่คนคนนั้นก็รู้สึกเจ็บบริเวณผิวหนัง นี่เป็นสัญญาณบอกว่าอีกฝ่ายเป็นภัยคุกคามต่อพลังกายของเขาอย่างมาก

ขณะที่มู่เฉินกำลังจ้องมอง ชายชุดสีฟ้าก็หยุดชะงักก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในมิติเบื้องหน้าอย่างเย็นชา ราวกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉิน

“หึ”

เขาเค้นเสียงเย็นเยือก จากนั้นก็กำมือ พัดเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น นี่เป็นพัดสีฟ้าน้ำแข็ง ดูเหมือนทำมาจากขนหงส์ฟ้าโดยมีไฟสีขาวลุกโชนอยู่ เปลวไฟนั้นไม่ได้ร้อน แต่กลับปล่อยไอเย็นที่น่ากลัวอย่างมาก

เขาถือพัดโบกใส่มิติเบื้องหน้า เปลวไฟสีขาวม้วนตัวออกไป ชั้นบรรยากาศบริเวณนั้นกลายเป็นน้ำแข็งแล้วกระจายออกไปเป็นชั้นๆ ทำให้พื้นที่เย็นยะเยือกลงอย่างสิ้นเชิง

ขณะที่มิติแข็งตัว แสงสีดำจากเนตรดับชีวิตของมู่เฉินก็ถูกความหนาวเหน็บกัดกร่อนจนสลายไป

บนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบตัวเป่า มู่เฉินลืมตาขึ้น เนตรดับชีวิตบนหน้าผากก็จางลงไปช้าๆ ในม่านตาสีดำแสงแปลกประหลาดกะพริบวาบเมื่อมองไปทางนั้น

ชายชุดสีฟ้าคนนั้นน่าจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้า… แต่ทำไมพวกเขาถึงไปยังดินแดนมืดมิดนั่น?

พัดขนนกขาวน่าจะเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ มิฉะนั้นเปลวไฟสีขาวคงไม่สามารถตัดการมองของเนตรดับชีวิตได้

“แปลกมาก…”

สายตาของมู่เฉินเปล่งประกาย ขณะที่พึมพำด้วยความอยากรู้เกี่ยวกับดินแดนลึกลับที่เพิ่มขึ้นในหัวใจ

เผ่าหงส์ฟ้าจะไม่เคลื่อนไหวหากไม่มีผลกำไร นอกจากนี้พวกเขาไว้ตัว สิ่งธรรมดาไม่สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้ แต่ตอนนี้พวกเขากลับเดินทางอย่างเร่งรีบ ก็หมายความว่าต้องมีบางสิ่งที่พิเศษในดินแดนนั้นแน่นอน

และสิ่งที่ไม่ธรรมดาอาจมีโอกาสเป็น… วิหคอมตะโบราณ

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1039 การเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่
“เมื่อครู่คืออะไร?”

ในมิติที่มืดมิดใบหน้าของมู่เฉินเต็มไปด้วยความตะลึงและตกใจ หลุมดำไม่รู้เชื่อมโยงกับที่ไหน แต่ทำไมแก่นโลหิตอสูรโบราณโภคะถึงได้ไหลเวียนเข้าไปในนั้น?

มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ด้วยพลังในปัจจุบันของตนเองเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นสถานการณ์ในหลุมดำ ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการพยายามทำเช่นนั้น

สุสานหมื่นอสูรแปลกประหลาดยยิ่ง ยังไงก็ต้องมีเขตหวงห้ามบางแห่งที่ยากต่อการสำรวจอยู่แล้ว

“ในเมื่อได้รับสมบัติแล้ว ก็ออกจากที่นี่ก่อนดีกว่า”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ไม่คิดป้วนเปี้ยนต่อ ด้วยความคิดความมืดโดยรอบก็จางหาย คลื่นจิตเดินทางกลับไปยังเส้นทางที่มาอย่างรวดเร็ว

บนผิวน้ำทะเลสาบ ร่างมู่เฉินที่นั่งอยู่บนกระดูกสีขาวก็ลืมตาขึ้น แววตาเปลี่ยนเป็นลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขาเหยียดมือออกมาแตะที่หน้าผากเบาๆ ก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนทรงพลังที่สถิตอยู่ภายในอย่างเลือนราง

นี่คือเนตรดับชีวิต!

รอยยิ้มเพิ่มขึ้นที่มุมปากอย่างไม่สามารถควบคุมได้ การเดินทางยากลำบากครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่า ในที่สุดเขาก็ได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์

ด้วยวัตถุนี้อยู่ในมือก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือถ้าเขาพบจิงฉิงเทียนอีกครั้ง

“แต่เมื่อเทียบกับพีระมิดแสงดาวก็ยังอ่อนด้อยกว่าหลายส่วน”

มู่เฉินสัมผัสถึงพลังแต่ก็ไม่รู้สึกเสียใจ พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าเนตรดับชีวิต นอกจากนี้วัตถุประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่ใช่ตามหาอาวุธมหสวรรค์ของแท้

นั่นเป็นเพราะอาวุธในระดับนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถควบคุมได้ตอนนี้ ต่อให้เขาได้รับมาก็ได้แต่มองแล้วถอนหายใจ

นอกจากนี้ถึงเนตรดับชีวิตจะเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แต่ก็เป็นสมบัติติดกายอสูรโบราณโภคะที่มีศักยภาพสูง หากเขามีโอกาสในอนาคตอาจจะสามารถพัฒนาเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ในเวลานั้นพลังของมันไม่ด้อยกว่าพีระมิดแสงดาวปราบปรามปีศาจแน่นอน

มู่เฉินยืนขึ้นก่อนจะเคลื่อนกายไปบนท้องฟ้าแล้วกวาดสายตาลงมา เขาเห็นจิ่วโยว หานซันและคนอื่นๆ ก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน เห็นชัดว่าทุกคนเสร็จสิ้นการค้นหาแล้ว

“เป็นยังไงบ้าง?” มู่เฉินเข้ามาหาพลางยิ้ม

จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรทั้งสามยิ้มขื่นขมขณะส่ายหัวพูดด้วยความอับอายว่า “เราค้นพบอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมหลายชิ้น แต่ไม่คิดว่าหลังจากคว้ามาได้แล้วจะถูกเตะออกมาทันที”

พวกเขาพบประสบการณ์คล้ายคลึงกับมู่เฉิน เพียงแต่จิตใจของพวกเขาไม่มั่นคงเหมือนมู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามคว้าอาวุธเหล่านั้นไป แต่ไม่คิดว่าการได้รับมาจะเท่ากับหยุดการค้นหาทันที

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของพวกเขาก็แอบรู้สึกดีใจ โชคดีที่เขาข่มกลั้นความโลภไว้ได้ มิฉะนั้นตอนนี้เขาก็ต้องเสียใจกับอาวุธระดับนั่นแล้ว

“ทุกคนมีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะได้สมบัติ ดังนั้นตราบใดที่เจ้ารับมา ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว” หานซันถอนหายใจจากด้านข้าง ชัดว่ารู้กฎนี้แล้วเช่นกัน

จอมยุทธ์ทั้งสามใบหน้าเหยเก พวกเขารู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง

“ดูท่าการเก็บเกี่ยวของพี่หานจะดีไม่น้อยสินะ?” มองไปที่หานซันที่ไม่มีความเสียใจสักนิด มู่เฉินก็ยิ้ม

หานซันหัวเราะพลางกำหมัด แสงสีดำวูบไหวก่อร่างเป็นพลองโลหะสีดำในมือ พลองนี้ค่อนข้างหยาบมีลวดลายนับไม่ถ้วนสลักอยู่บนพื้นผิว นอกจากนี้มู่เฉินยังรู้สึกได้ถึงความหนักหน่วงกำจายออกมา ดูเหมือนจะมีน้ำหนักเท่าภูเขาเลยทีเดียว

เมื่อมองไปที่พลองโลหะสีดำ ดวงตาของมู่เฉินก็วับวาว วัตถุนี้ไม่มีคลื่นของอาวุธเสมือมหสวรรค์ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกว่ามันไม่ได้ด้อยกว่าของอาวุธเสมือนมหสวรรค์เลย

“นี่คือพลองสะท้านฟ้า… มันไม่สามารถนับว่าเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ เพราะไม่มีพลังที่ทรงประสิทธิภาพอะไร แต่มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือความหนักหน่วง ด้วยการฟาดครั้งเดียว แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็ยังบาดเจ็บสาหัสได้ทันที” หานซันยิ้มด้วยความพึงพอใจ วัตถุนี้มีความครอบงำมากซึ่งเหมาะสำหรับเขา เผ่าแรดอสูรมีพละกำลังดีเยี่ยมตั้งแต่เกิด ด้วยพลองนี้ก็เหมือนกับการติดปีกพยัคฆ์ เมื่ออยู่ในมือของเขาพลังของอาวุธนี้อาจยิ่งกว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์เสียอีก

“เยี่ยมเลย”

มู่เฉินเอ่ยชื่นชม ความหนักหน่วงบวกกับคลื่นหลิง เพียงแค่คิดก็น่ากลัวแล้ว แม้ว่าอาวุธนี้ไม่ได้มีพลังของอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แต่น้ำหนักอย่างเดียวก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์แล้ว

มู่เฉินหันไปมองจิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงด้วยแววตาคาดหวัง ชัดว่าเขาหวังให้ทั้งสามคนได้รับสมบัติที่น่าพอใจเช่นกัน

จิ่วโยวยิ้มบางขณะที่กำมือ วัตถุที่มู่เฉินคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น

นี่เป็นไม้บรรทัดสีดำสนิท ซึ่งราวกับจะกลืนแสงบนท้องฟ้าทันทีถ้ากวาดมันลงมา

“มันนี่เอง…”

มู่เฉินอึ้งในใจ ไม้บรรทัดชิ้นนี้เป็นสิ่งที่เขาพบก่อนหน้า ไม่เคยเลยว่าหลังจากตนเองไม่รับ วัตถุชิ้นนี้จะตกอยู่ในมือของจิ่วโยว

“ลองซัดหมัดใส่ข้าดู” จิ่วโยวกุมไม้บรรทัดสีดำพลางหัวเราะเบาๆ

มู่เฉินเหวี่ยงหมัดใส่เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขีดจำกัดก็ล้อมรอบร่างจิ่วโยว นางโบกไม้บรรทัดสีดำในมืออย่างอ่อนโยน แสงสีดำปกคลุมลงมา พลังมากกว่าครึ่งหนึ่งหายไป มิหนำซ้ำแสงยังลดลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเมื่อโดนตัวจิ่วโยว พลังส่วนใหญ่ของกำปั้นก็คลี่กระจายออก ไม่สามารถฝ่าแนวป้องกันของจิ่วโยวได้ด้วยซ้ำ

มู่เฉินอึ้ง แม้ว่าเขาจะเหวี่ยงหมัดธรรมดาออกไป แต่ก็เพียงพอที่จะทำร้ายจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปจนบาดเจ็บได้ แต่ด้วยระลอกคลื่นลูกเดียวของไม้บรรทัดสีดำ พลังก็ลดไปเกือบครึ่ง

“อาวุธนี้เรียกว่าไม้เทพโทษา ซึ่งบรรจุไปด้วยแสงเทพโทษาที่มีคุณสมบัติกลืนกิน ทุกการโจมตีด้วยคลื่นหลิงจะถูกกินจนหมดสิ้น แข็งแกร่งจนถ้าถูกใช้ไปจนถึงขีดสุดก็ไม่มีอะไรสามารถเข้ามาใกล้ข้าได้” จิ่วโยวกล่าว

มู่เฉินแอบเดาะลิ้น ไม้บรรทัดสีดำนี้ไม่ธรรมดาแท้จริง ด้วยอาวุธนี้การโจมตีทั้งหลายจะถูกลดพลังลง เมื่อลากเวลาการต่อสู้ออกไปโอกาสที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ของนางก็จะเพิ่มขึ้น

ด้วยอาวุธนี้แม้แต่จิงฉิงเทียนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิ่วโยว

อาวุธเสมือนมหสวรรค์ทรงพลังอย่างแท้จริง

ทว่าเขาจะตกตะลึงกับพลังอำนาจของไม้เทพโทษา แต่มู่เฉินก็ไม่เสียใจกับการเลือก นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าเนตรดับชีวิตแข็งแกร่งกว่า นอกจากนี้ศักยภาพก็ยิ่งใหญ่กว่า เพราะไม่ว่าอย่างไรสิ่งนี้ก็เป็นอาวุธประจำกายของอสูรโบราณโภคะ

หลังจากจิ่วโยวนำไม้บรรทัดสีดำออกมา แสงก็วูบไหวบนมือของมั่วเฟิงและมั่วหลิง จากนั้นหอกยาวและกระดิ่งก็ปรากฏขึ้น

หอกยาวเล่มนี้มีสีทองเข้มและดูโบราณมาก ไม่มีขอบใบดูราวกับไม่คม ทว่าส่วนหัวที่หยาบกลับกะพริบด้วยแสงเย็น ซึ่งทำให้หัวใจคนมองเต้นเร็วขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

สำหรับมั่วหลิงได้รับกระดิ่งสีแดงเพลิงมา สามารถมองเห็นมหาสมุทรเพลิงได้อย่างคลุมเครือ เมื่อเสียงกระดิ่งดังขึ้นก็ราวกับมหาสมุทรเพลิงแผ่ออกมา ทำลายชั้นฟ้าและชั้นดิน

แม้ว่าอาวุธของมั่วเฟิงและมั่วหลิงที่ได้รับมาเทียบกับไม้เทพโทษาของจิ่วโยวไม่ได้ แต่ก็เป็นของอาวุธเสมือนมหสวรรค์ของแท้

ทั้งสองพอใจอย่างมากกับการเก็บเกี่ยวนี้ แม้แต่มั่วเฟิงยังระบายยิ้มบางบนใบหน้าซึ่งปกติมักจะฉายท่าทางไม่แยแสอยู่เสมอ

ทุกคนเก็บเกี่ยวได้มากในการเดินทางมาที่สุสานอสูรโบราณโภคะครั้งนี้

“ของเจ้าล่ะ?” จิ่วโยวมองมู่เฉินด้วยสายตาสนใจ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าการทดสอบเหล่านี้ทิ้งไว้โดยอสูรโบราณโภคะ แต่ด้วยความเข้าใจต่อนิสัย นางไม่เชื่อว่าคนอย่างมู่เฉินจะกลับมามือเปล่า

ดังนั้นทุกคนจึงเลื่อนสายตาไปมองมู่เฉินด้วยความอยากรู้

มู่เฉินยิ้ม แสงสีดำควบแน่นบนหน้าผาก เนตรดับชีวิตปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อแสงสีดำวาบขึ้นทุกคนก็รู้สึกเย็นเยือกในหัวใจ ราวกับว่าถูกมองทะลุปรุโปร่งโดยแสงสีดำอย่างสมบูรณ์

แสงสีดำหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ความลึกลับที่เกิดขึ้นก็ยังทำให้ทุกคนรู้สึกใจสั่น

หานซันเบ้ปากขณะถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าพี่มู่จะได้รับสมบัติที่ดีที่สุดของอสูรโภคะ…”

แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักเนตรดับชีวิต แต่หานซันก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่มีอยู่ในดวงตาลึกลับนั่น เขามีความรู้สึกว่าถ้ามันถูกใช้โจมตี เขาคงบาดเจ็บสาหัสหากไม่ชิงตายก่อน

มู่เฉินไม่ได้พูดอะไรทำเพียงยิ้ม เขาไม่คิดอธิบายการใช้งานของเนตรดับชีวิต เพราะนี่ควรจะเก็บเป็นไพ่ตายลับสำหรับเขา

“เราได้รับสมบัติของอสูรโภคะกันแล้ว… ต่อไปพวกเจ้าจะเริ่มหาเบาะแสของวิหคอมตะแล้วหรือ?” หานซันมองไปที่จิ่วโยวและมู่เฉินพลางถาม

หานซันรู้ว่าเหตุผลหลักที่ทำให้กลุ่มมู่เฉินมาที่สุสานหมื่นอสูรก็คือการค้นหาวิหคอมตะโบราณ ส่วนสมบัติของอสูรโบราณโภคะเป็นเหตุผลรองเท่านั้น

มู่เฉินครุ่นคิดชั่วครู่เมื่อได้ยินคำพูดของหานซันก่อนที่จะตอบว่า “ข้าตั้งใจจะฝึกฝนที่นี่เพื่อผลักดันพัฒนาการของคลื่นหลิงไปสู่ระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด”

ทะเลสาบตัวเป่าเป็นพื้นที่ฝึกฝนที่หาได้ยากในสุสานหมื่นอสูร นอกจากนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากรัศมีความตายและอสูรวิญญาณ บวกกับความหนาแน่นของคลื่นหลิง ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการเพาะบ่มคลื่นหลิง

สุสานหมื่นอสูรเต็มไปด้วยอันตราย มู่เฉินมีความรู้สึกว่าการเดินทางเพื่อค้นหาวิหคอมตะโบราณครั้งนี้จะอันตรายยิ่ง ดังนั้นเขาต้องผลักดันตัวเองไปสู่สภาพพร้อมรบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

นอกจากนี้เนื่องจากเขาได้รับเนตรดับชีวิตมาแล้ว เขาก็ต้องการเวลาในการสำรวจสุสานหมื่นอสูรเพื่อค้นหาเบาะแสของวิหคอมตะโบราณด้วย

จิ่วโยวและมั่วเฟิงแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะพยักหน้าสนับสนุนการตัดสินใจของมู่เฉิน

เมื่อหานซันเห็นก็ยิ้ม “งั้นพวกข้าก็จะอยู่ต่อด้วย ถึงเวลานั้นพวกข้าอาจให้ความช่วยเหลือบางอย่างได้…”

ก่อนหน้ามู่เฉินได้ให้ความช่วยเหลือสุดตัวกับพวกเขา หากพวกเขาไปตอนนี้ก็ดูไร้หัวใจเกินไปหน่อย

มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มจากนั้นก็หายใจออกเบาๆ ก่อนที่จะมองไปในส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูร เขารู้สึกได้เลือนรางว่ามีเบาะแสของวิหคอมตะโบราณอยู่ในสุสานจริง แต่อันตรายนั้นคงมีมากกว่าทะเลสาบตัวเป่าหลายเท่า…

ดังนั้นเขาจึงต้องยกระดับขุมพลังหลิงโดยเร็วที่สุดเพื่อเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด ถ้าโชคดีพออาจลองดูว่าสามารถบรรลุขั้นเจ็ดได้หรือไม่

ถ้าทั้งพลังกายและพลังหลิงของเขาเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดทั้งคู่ เวลานั้นเขาก็จะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดได้เลยทีเดียว!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1038 เนตรดับชีวิต
ใจกลางสายธารที่สร้างจากอาวุธโบราณนับหมื่นชิ้น

ลูกแสงสามลูกลอยตัวอย่างเงียบเชียบ แสงที่กำจายออกมานั้นไม่ได้ทรงพลังอะไร แต่รอบข้างกลับมัวหมองเมื่อเทียบกัน

ภายในลูกแสงทั้งสามมีของได้แก่ขวาน ไม้บรรทัดและกระจก

ขวานเป็นสีทองแดงปกคลุมไปด้วยรอยกระดำกระด่างราวกับว่าครั้งหนึ่งเคยแยกท้องฟ้าออกด้วยพลังอันไร้ขอบเขต

ไม้บรรทัดเป็นสีดำสนิท ดูเหมือนว่าสามารถกลืนกินแสงจากฟ้าดินได้เพียงโบกลงมา

กระจกเป็นกระจกโบราณที่มีพื้นผิวขรุขระดูค่อนข้างธรรมดา ซ้ำยังเปล่งรัศมีเก่าแก่ของยุคแรกเริ่มและสัมผัสได้ถึงความลึกลับที่เปล่งออกมา

วัตถุทั้งสามล้วนทรงพลังอย่างเห็นได้ชัด ความผันผวนที่ปล่อยออกมาเกินขอบเขตของอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมและก้าวเข้าสู่อาวุธเสมือนมหสวรรค์

นี่คือสมบัติที่มู่เฉินเฝ้าฝันอยากได้ หากเขาสามารถได้รับหนึ่งในนั้น พลังในการต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นมาก ต่อให้จิงฉิงเทียนเขาก็สามารถฆ่าได้อย่างสบายๆ

มู่เฉินจ้องมองอาวุธทั้งสามด้วยแววตาลุกโชนพลางเลียริมฝีปาก ความโลภเพิ่มขึ้นในใจอีกครั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่เขาสามารถไขว่คว้ามาไว้ในมือ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่อาจทำให้จิตใจสงบลงได้

สายตาของมู่เฉินร้อนแรงขึ้น จากนั้นก็ก้าวออกไป คลื่นหลิงพวยพุ่งกลายเป็นมือใหญ่ฉีกขาดมิติคว้าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามไว้ในทันที ในเมื่อมาแล้วก็ไม่ปล่อยให้หนีไปได้แม้แต่ชิ้นเดียว

ฟิ้ว!

มือคลื่นหลิงขนาดใหญ่พุ่งผ่านขอบฟ้าเข้าสู่สายธารอาวุธได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็ไปปรากฏตัวตรงหน้าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามเตรียมที่จะคว้าเอาไว้

มือแหวกตรงเข้าไป แต่ขณะที่มู่เฉินจะสัมผัสกับวัตถุทรงพลังทั้งสามชิ้น ดวงตาเขาก็เปล่งประกายวูบไหว เขาได้สติรีบกัดลิ้นแรงๆ พ่นเลือดออกมากบปาก

ริ้วเลือดไหลอยู่ที่มุมปาก มือคลื่นหลิงก็ชะงักค้างโดยไม่ได้สัมผัสกับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามที่ลอยอยู่เงียบๆ

มู่เฉินเช็ดเลือดออกช้าๆ สีหน้าไม่น่าดูลงหลายส่วน เมื่อครู่ขณะที่เขากำลังจะคว้าอาวุธเทพทั้งสามชิ้น ด้วยนิสัยหวาดระแวงและดื้อรั้นของเขาที่ผ่านการฝึกฝนมาตลอดหลายปีก็แสดงให้เห็นผล ทำให้เขาควบคุมความโลภหนาแน่นในหัวใจได้

เมื่อความโลภจางลง มู่เฉินก็สติกระจ่างแจ้งและเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

นั่นเป็นเพราะทุกอย่างราบรื่นเกินไป

แม้ว่าเขากำลังจะคว้าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสาม แต่ก็ไม่มีสิ่งกีดขวางใดแม้แต่น้อย แม้ว่าอสูรโบราณโภคะตายไปแล้ว มู่เฉินก็ไม่เชื่อว่าสัตว์เทพเช่นนี้ไม่ได้ทิ้งวิธีการปกป้องสมบัติไว้

เล่าลือกันว่าอสูรโบราณโภคะขี้เหนียวมากกับสมบัติที่มี ดังนั้นถ้าเขาคิดว่าสามารถรับสมบัติโดยไม่ต้องกังวลอะไร ก็คงต้องได้รับผลจากการกระทำของตนเอง

นอกจากนี้เมื่อเข้ามาในพื้นที่นี้ มู่เฉินก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องง่ายมากที่ความโลภจะพุ่งมาหล่อเลี้ยงหัวใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาตั้งใจ แต่ได้รับผลกระทบจากวิธีการบางอย่างที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

วิธีการเหล่านั้นอาจถูกทิ้งไว้โดยอสูรโบราณโภคะ ถ้าเขาทำตามที่ใจปรารถนาโดยการคว้าสมบัติมา ความพยายามทั้งหมดของเขาก็อาจจะสูญเปล่า

มู่เฉินยืนเงียบขณะไตร่ตรอง ครู่หนึ่งเขาก็สูดลมหายใจลึก ก่อนที่จะนั่งลงและค่อยๆ หลับตา

เขาไม่ได้พยายามที่จะคว้าสมบัติอีกครั้ง เขาตั้งใจที่จะสงบจิตใจละทิ้งการล่อลวงของความโลภ

เมื่อมู่เฉินหลับตาจิตใจก็ค่อยๆ สงบลง ความโลภที่พล่านอยู่ในหว่างคิ้วก็จางหายไป หัวใจของเขาเริ่มสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำ

เวลาไหลผ่านไปเงียบๆ

ไม่รู้เมื่อไร มู่เฉินก็ลืมตาขึ้น ม่านตาสะท้อนความสงบนิ่ง ราวกับสระน้ำลึกที่ไม่มีความผันผวน ความโลภก่อนหน้านี้หายไปอย่างสมบูรณ์

มู่เฉินจ้องมองสายธารอาวุธพบสวรรค์อีกครั้งด้วยใจสงบ แต่คราวนี้สิ่งที่เห็นแตกต่างจากเมื่อครู่สิ้นเชิง

สายธารพร่างพราวกำลังหายไปอย่างช้าๆ ราวกับว่าสิ่งที่เห็นก่อนหน้าเป็นภาพลวงตา

มู่เฉินเฝ้าดูสายธารอาวุธล้ำค่าหายไปอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้สึกเสียใจอะไร

สุดท้ายสายธารก็อันตรธานหายไปจนหมด

เมื่อสายธารหายไปก็เหลือเพียงอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในพื้นที่นี้

แต่มู่เฉินก็มองไปโดยไม่ทำอะไร ไม่มีระลอกคลื่นในดวงตาสักนิด

ความเงียบดำเนินไปเป็นเวลานานก่อนที่อาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามจะเคลื่อนไหวในที่สุด แสงเบ่งบานจากพวกมัน จากนั้นอาวุธทั้งสามก็ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้กันก่อนจะรวมตัวเข้าด้วยกัน

เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ ระลอกคลื่นก็เริ่มปรากฏขึ้นในดวงตา อาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามที่เบื้องหน้าไม่ใช่ภาพลวงตา พวกมันมีอยู่จริง แต่เพราะการเลือกของเขา ทำให้กลอุบายที่ถูกทิ้งไว้โดยอสูรโบราณโภคะเปลี่ยนไป

มู่เฉินอยากรู้อย่างมากในใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน

เมื่ออาวุธรวมเข้าด้วยกัน แสงก็บิดเบี้ยวก่อนที่จะค่อยๆ จางหายไป วัตถุชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น

นี่ไม่ใช่ขวาน ไม้บรรทัดหรือกระจก แต่เป็นลูกปัดสีดำขนาดฝ่ามือ แต่เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ ก็จะเห็นว่าลูกปัดนี้คล้ายกับดวงตาสีดำ…

ดวงตาสีดำลอยอยู่ในอากาศเปล่งความลึกลับที่ทำให้หัวใจของผู้คนเย็นเยือกลง

ฟิ้ว!

เมื่อดวงตาสีดำปรากฏขึ้นก็ลอยมาอย่างช้าๆ แล้วหยุดที่เบื้องหน้ามู่เฉิน เขาลังเลสั้นๆ ก่อนที่จะยื่นมือออกไปรับเอาไว้

ความรู้สึกเย็นเยือกกระจายออกจากฝ่ามือก่อนที่มู่เฉินจะสะบัดนิ้วหยดเลือดลงไป เลือดกลั่นแทรกซึมเข้าไปอย่างรวดเร็วในลูกตาสีดำ อึดใจเขาก็รู้สึกถึงการเชื่อมต่อกับอาวุธชิ้นนี้

อาวุธนี้ไม่มีผู้ครอบครองหลังจากที่อสูรโบราณโภคะเสียชีวิต ตราบใดที่เขารับได้ก็จะสามารถผูกไว้กับตัวโดยผ่านร่องรอยเลือด

เมื่อสร้างการเชื่อมโยงกัน มู่เฉินก็รู้สึกถึงข้อมูลโบราณที่ไหลเข้ามาในสมอง ซึ่งอธิบายที่มาที่ไปของวัตถุนี้

มู่เฉินหลับตาลงรับรู้ข้อมูลก่อนที่จะเปิดขึ้นในไม่ช้า ความฉงนสนเท่ห์อัดแน่นในดวงตาเมื่อมองไปที่ดวงตาสีดำ อาวุธชิ้นนี้ถูกเรียกว่า ‘เนตรดับชีวิต’ ซึ่งว่ากันว่าใช้ดวงตาของอสูรโภคะเป็นวัสดุพื้นฐานและได้เพิ่มสมบัติธรรมชาติอีกมากมาย ในมุมมองหนึ่งถือได้ว่าเป็นสมบัติชีวิตของอสูรโบราณโภคะเลยทีเดียว

ถ้าไม่ใช่เพราะอสูรโบราณโภคะตายก่อนเวลาอันควร มันคงจะปรับแต่งอาวุธนี้ให้เป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ได้

แต่ถึงกระนั้นเนตรดับชีวิตก็ยังถือเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่อสูรโบราณโภคะได้สร้างขึ้น

“เป็นเช่นนี้เอง…”

มู่เฉินรับรู้ข้อมูลในหัวสมองก็เข้าใจทันที หากก่อนหน้าเขาพยายามจะคว้าอาวุธทั้งสามชิ้นไป ตอนนี้เขาก็จะไม่ได้อะไรเลย

ทุกคนที่มาที่นี่มีโอกาสในการเลือก หากพวกเขาเลือกที่จะรับอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมตั้งแต่เริ่มต้น เส้นทางในการค้นหาสมบัติของเขาก็จะจบลง

มู่เฉินชื่นชมยินดีในหัวใจ โชคดีที่เขาไม่ได้โลภมากเลือกรับอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมแล้วถูกเตะโด่งออกไป ไม่งั้นเขาคงเสียใจจนบ้าไปแล้ว

“ถ้าเมื่อครู่ข้าเลือกหนึ่งในสามนั้น…แม้ว่าข้าจะได้รับสิ่งนั้น แต่ก็ไม่สามารถได้รับเนตรดับชีวิตนี้…”

มู่เฉินถอนหายใจ หากใครต้องการได้รับเนตรดับชีวิต พวกเขาก็ต้องละทิ้งความโลภจนหมดสิ้น ถ้าเขาไม่สะกิดใจว่าทุกอย่างดูง่ายไป เลือกที่จะทำให้จิตใจสงบลง ตอนนี้เขาก็คงไม่สามารถได้รับเนตรดับชีวิตมา

“อสูรโภคะเจ้าเล่ห์จริงๆ…” มู่เฉินส่ายหัว หากไม่ใช่โชคดี ครั้งนี้เขาคงถูกเจ้าอสูรตัวนี้หลอกเข้าแล้ว

แต่โชคดีที่เขาอดทนได้จนถึงวินาทีสุดท้าย

ยกเนตรดับชีวิตในมือขึ้น รอยยิ้มพอใจก็ปรากฏบนใบหน้า แม้ว่าเนตรดับชีวิตจะเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แต่พลังอำนาจไปไกลเกินกว่าระดับธรรมดา ถ้าเขามีโชคมากพอก็อาจจะสามารถพัฒนาเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ได้

“ว่ากันว่าเนตรดับชีวิตนี้สามารถมองผ่านภาพลวงตาและปราการกั้นต่างๆ ได้… นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งแสงเทพดับชีวิตซึ่งเป็นพลังครอบงำและทำลายทุกสิ่งที่ขวางทาง”

มู่เฉินหรี่ตาลงพร้อมกับเร้าคลื่นจิต เขาอ้าปาก เนตรดับชีวิตก็กลายเป็นจุดสีดำเคลื่อนเข้าไปสถิตในร่างกายเขา จากนั้นแสงสีดำมืดก็รวมตัวกันที่หน้าผากขณะที่ตาสีดำสนิทเปิดขึ้นอย่างช้าๆ ในแนวตั้ง

แสงสีดำกำจายอยู่ในดวงตาสีดำส่องประกายวูบไหว ทันใดนั้นมู่เฉินก็พบว่าภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก เขามองทะลุผ่านมิติเห็นทะเลสาบตัวเป่าขนาดใหญ่

แต่ครั้งนี้ปราการของทะเลสาบไม่มีอีกต่อไป สายตาของเขาทะลุผ่านทะเลสาบ เห็นทุกสิ่งในทะเลสาบอยู่ในสายตา

โครงกระดูกขนาดมหึมาก็สามารถมองได้ทั่วในครั้งเดียว

นั่นคือโครงกระดูกของอสูรโบราณโภคะ

บนกระดูกที่เผยออกมาจากน้ำในทะเลสาบ เขาเห็นจิ่วโยว หานซันและคนอื่นๆ ก่อนที่สายตาจะเลื่อนออก เพียงแวบเดียวเขาก็ได้เห็นส่วนที่ลึกที่สุดของทะเลสาบ

มีปากปล่องภูเขาขนาดใหญ่ฝังตัวอยู่ที่ความลึกของทะเลสาบคล้ายกับหุบเหว เห็นได้ชัดว่าถูกทิ้งไว้โดยผลจากการละสังขารของอสูรโบราณโภคะ เมื่อกวาดสายตาไปหัวใจของเขาก็วิ่งพล่านไปทั่ว

เนตรดับชีวิตมองผ่านทุกสิ่งก่อนรวมตัวกันในสถานที่หนึ่งของโครงกระดูกที่ร่วงหล่น เมื่อพิจารณาจากรูปร่างน่าจะเป็นส่วนหัว ยามนี้มองเห็นปากปล่องสีดำกว้างร้อยจั้งอยู่ใต้หัวนั่น

ภาพปากปล่องดำมืดที่เผยออกมา ทำให้จิตใจของคนมองเย็นเยือกลง ไม่มีแสงสว่างใดๆ ในนั้น มีเพียงริ้วแสงสีเลือดสลัวรางที่ห่อหุ้มอยู่เท่านั้น กลิ่นอายช่างคล้ายคลึงกับอสูรโบราณโภคะยิ่งนัก

“แก่นโลหิตอสูรโบราณโภคะอยู่ในนั้นเหรอ?”

หัวใจมู่เฉินสั่นสะท้าน แสงกำจายออกมาจากเนตรดับชีวิตพยายามตรวจสอบหลุมดำ แต่ทันทีที่สายตาของเขาสัมผัสกับมัน ริ้วแสงเลือดก็เปล่งประกายออกมา วิสัยทัศน์การมองของเขาแตกกระจาย

ในมิติมู่เฉินลืมตาโพลง ก่อนที่ดวงตาบนหน้าผากจะหายไป ความเคร่งเครียดและหวาดผวาปกคลุมทั่วใบหน้า

หลุมดำที่อยู่ก้นทะเลสาบคืออะไรกัน?

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1037 คว้าสมบัติ
ทะเลสาบเป็นประกายแวววาว

ดวงตาของมู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ลุกโชนขณะยืนอยู่ริมทะเลสาบ สายตาจดจ้องไปราวกับว่าต้องการมองให้ทะลุเพื่อค้นหาสมบัติที่อยู่ภายใน

“เตรียมลงมือกันเถอะ” หานซันเลียริมฝีปาก ตลอดการเดินทางที่ยากลำบาก ในที่สุดพวกเขาก็บรรลุเป้าหมาย ตอนนี้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวบ้างแล้ว

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินก็พยักหน้า เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนร้อนรุ่มไปหมดแล้ว

“พยายามอย่าให้โดนน้ำในทะเลสาบ ให้โชคชะตานำพาสมบัติที่จะได้ครอบครอง” หานซันยิ้ม จากนั้นก็พุ่งออกไปเป็นคนแรก เมื่อเขาสะบัดแขนเสื้อ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็สร้างกระแสคลื่นเชี่ยวกราก ครั้นคลื่นพวยพุ่งก็เผยให้เห็นกระดูกสีขาวขนาดมหึมาในทะเลสาบ

หานซันมองหาจุดลง ภาพเงาวูบไหวจากนั้นก็ปรากฏบนกระดูกสีขาวและนั่งลง คลื่นหลิงสร้างพายุเฮอริเคนล้อมรอบตัวปกป้อง ไม่ว่าน้ำในทะเลสาบจะเกรี้ยวกราดอย่างไร ก็ไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้

เมื่อจอมยุทธ์ทั้งสามของเผ่าแรดอสูรเห็นภาพนี้ พวกเขาก็ทะยานออกไป แต่ละคนค้นหากระดูกสีขาวที่โผล่ขึ้นมาจากน้ำในทะเลสาบและนั่งลง

“เราก็เริ่มกันมั่งเถอะ”

มู่เฉินพยักหน้าไปทางจิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิง เขาไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างขยับก่อนที่จะไปปรากฏเหนือทะเลสาบ เมื่อก้มมองลงไปก็เห็นกระดูกขนาดใหญ่เลือนรางยากจะบรรยายอยู่ภายใน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนับหมื่นปี แต่ก็ยังคงเปล่งความลึกลับที่จะทำให้คนอื่นรู้สึกกลัว

มู่เฉินพึมพำในใจจากนั้นร่างก็พลิ้วลงมาบนกระดูกสีขาวก่อนจะนั่งลง ทันใดนั้นความเย็นเยือกผิดปกติก็พล่านออกมา ทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน

“ให้ข้าลองหน่อยว่าจะได้รับสมบัติชิ้นไหนบ้าง” มู่เฉินพึมพำกับตัวเองขณะหลับตาลง คลื่นจิตของเขาเคลื่อนไปยังกระดูกขาวอย่างเงียบๆ โดยใช้สิ่งนี้เป็นสื่อกลางทอดยาวลงไปในทะเลสาบ

เมื่อคลื่นจิตเข้าสู่ทะเลสาบ มู่เฉินก็รู้สึกถึงแรงกดดันทรงพลังโอบล้อมมาจากทุกทิศทาง ภายใต้แรงกดดันนี้ ประสาทสัมผัสของเขาที่ยอดเยี่ยมก็ช้าลงมาก นอกจากนี้ระยะการรับรู้ของเขาก็ลดลงเกือบเก้าส่วน

“ไม่ง่ายอย่างที่ข้าคิดไว้เลย” มู่เฉินถอนหายใจในใจ เขารู้อยู่แล้วว่าคงไม่ราบรื่นนักที่จะได้รับสมบัติซึ่งพิสูจน์ได้ในขณะนี้แล้ว ด้วยการยับยั้งของน้ำในทะเลสาบก็ยากมากสำหรับพวกเขาที่จะได้สัมผัสกับสมบัติที่นี่

แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างมู่เฉินจะยอมแพ้ ดังนั้นเขาจึงสงบใจลงค้นหาสมบัติต่อไป นั่นเป็นเพราะถ้าเขาหมดความอดทน เขาต้องกลับมามือเปล่าแน่

ในทะเลสาบเย็นเยือก คลื่นจิตของมู่เฉินก็เคลื่อนผ่านกระดูก เวลานี้เองที่มู่เฉินรู้ว่ากระดูกมีขนาดใหญ่โตเพียงใด จากการประเมินของเขาอสูรโบราณโภคะคงมีขนาดใหญ่เป็นแสนจั้ง

ยิ่งกว่านั้นกระทั่งมันตายไปนับหมื่นปี กระดูกก็ยังแข็งแรงราวกับเหล็กกล้า แม้ว่าพลังกายของมู่เฉินจะทรงพลังแต่ก็ยังด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกัน

ถ้าไม่ใช่ความจริงที่ไม่สามารถขนย้ายกระดูก เพียงแค่โครงกระดูกนี้ก็สามารถปรับแต่งอาวุธเทพได้จำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว

คลื่นจิตจมลงไป มู่เฉินก็อุทานตามหลายครั้ง ตอนที่อสูรดบราณโภคะยังมีชีวิตอยู่ คงไม่ด้อยกว่าราชันสงครามโลหิตเลย แต่การดำรงอยู่เช่นนี้ก็ยังตายตกไปเมื่อดินแดนเสินโซ่ถูกทำลายล้าง ยากที่จะจินตนาการว่าเผ่าปีศาจต่างมิติน่ากลัวแค่ไหน

เวลาผ่านไปมู่เฉินก็ยังคงค้นหาต่อ ก่อนที่จะรู้ตัวคลื่นจิตของมู่เฉินก็แพร่กระจายไปทั่วโครงกระดูกเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกช่วยไม่ได้ก็คือในครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาคลื่นจิตของเขาเดินทางไปได้เพียงระยะหนึ่งพันจั้งเท่านั้น ช่างขี้ปะติ๋วเมื่อเทียบกับโครงกระดูกที่มีขนาดแสนจั้ง

นอกจากนี้ตลอดทางมู่เฉินก็ไม่รู้สึกถึงความผันผวนของสมบัติเลย หากไม่ใช่เพราะไว้ใจหานซันและรู้ว่าโครงกระดูกเบื้องหน้าไม่ธรรมดาละก็ เขาอาจสงสัยว่าค้นพบเป้าหมายผิดไปหรือเปล่า

ทว่าความสงสัยของมู่เฉินก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อคลื่นจิตสัมผัสลึกเข้าไป ทันใดนั้นเขาก็พบความผันผวนแปลกประหลาดมาจากส่วนหนึ่งของโครงกระดูกเบื้องหน้า

เมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวน มู่เฉินก็รู้สึกยินดีในหัวใจและรีบส่งคลื่นจิตเข้าไป จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงมีดสั้นสีเทาลอยอยู่เบื้องหน้าอย่างเงียบๆ อาวุธนี้ถูกสลักด้วยลวดลายโบราณบนพื้นผิว แสงสีม่วงที่แล่นแปลบปลาบบนใบมีดกำจายความรู้สึกคมชัด ซึ่งทำเอารู้สึกเย็นเยือก

มีดสั้นนี้เป็นอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม

มู่เฉินเดาะลิ้น อาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเจอได้ง่ายเชียว นี่เป็นสิ่งที่แม้จะอยู่ในมือจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็เป็นศาตราวุธที่น่าเกรงขาม

คลื่นจิตของมู่เฉินหยุดลงชั่วคราวขณะที่ลอยอยู่เบื้องหน้ามีดสั้น เขาลังเลเล็กน้อยพลางพิจารณาว่าควรนำออกไปหรือไม่ หากอาวุธพบสวรรค์ชิ้นนี้ถูกนำขึ้นในการประมูล ก็อาจจะขายได้ในราคาของเหลวจื้อจุนหลายแสนหยด

เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะดึงคลื่นจิตออกไป แล้วขยับลึกลงไปเรื่อยๆ ละความสนใจจากอาวุธชิ้นนี้

แม้ว่าราคาของอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมจะไม่ต่ำ แต่ก็ไม่ใช่เป้าหมายของเขา อาวุธระดับดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะสั่นคลอนหัวใจของเขา

ในเมื่อยังไม่ใช่วัตถุที่สามารถสั่นคลอนหัวใจได้ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา เขาต้องการไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เท่านั้น

ถ้าเขาเจออะไรก็เอาหมด สุดท้ายอาจกลับไปมือเปล่า ต่อให้ได้เก็บเกี่ยวก็ไม่ถึงระดับที่คาดไว้แน่นอน

ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะไปทำให้เสียเวลาทำไม

เมื่อคิดถึงจุดนี้ คลื่นจิตของมู่เฉินก็เริ่มหยั่งลึกลงไปในโครงกระดูก เมื่อคลื่นจิตดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ เขาก็ต้องตกใจเมื่อค้นพบสมบัติทรงพลังตลอดทาง

วัตถุเหล่านี้ไม่ได้ด้อยกว่าอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม บางชิ้นเป็นหนึ่งในอันดับต้นเลยก็ว่าได้ ซึ่งทรงพลังมากจนแม้แต่มู่เฉินก็ตกใจ

อาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมวาบผ่านคลื่นจิตของมู่เฉินไปชิ้นแล้วชิ้นเล่า ในสถานการณ์ที่สามารถคว้าอาวุธพบสวรรค์ทรงคุณค่าได้เพียงเอื้อมมือ ความละโมบก็เกิดขึ้นได้ง่าย

กระทั่งคนอย่างมู่เฉินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่เมื่อความโลภในใจเพิ่มพูนขึ้น เขาก็รู้สึกตื่นตัวและรับรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเป็นครั้งแรก

มู่เฉินอธิบายไม่ได้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่สัญชาตญาณบอกว่าถ้าเขาคว้าอาวุธเหล่านั้นมา เขาจะต้องเสียใจมาก

ความคิดไหลเวียนอยู่ในใจ สุดท้ายมู่เฉินก็ยึดมั่นหัวใจเอาไว้ หากเขาไม่สามารถได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ใดๆ เขายอมกลับไปมือเปล่า!

ทันทีที่มู่เฉินยึดมั่นในหัวใจ เขาก็ต้องตกใจ เนื่องจากรับรู้ว่าอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเหล่านั้นได้หายวับไปกับตา ราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

“แปลกประหลาดจริงๆ” หัวใจของมู่เฉินตื่นตัวมากขึ้น สมบัติของอสูรโบราณโภคะไม่ง่ายที่จะได้รับอย่างที่คิดไว้ เหตุการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้จะต้องเป็นแผนของเจ้าอสูรตัวนี้แน่

หากเขาคว้าอาวุธเหล่านั้นไว้ ต่อให้มู่เฉินไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขามั่นใจว่าจะไม่ได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่ต้องการอย่างแน่นอน

ด้วยความตื่นตัวคลื่นจิตของมู่เฉินก็ดำดิ่งลึกลงไปในกระดูก แต่ขณะที่คลื่นจิตเพิ่งจะเคลื่อนไหว โครงกระดูกเบื้องหน้าก็หายไป น้ำทะเลสาบโดยรอบกลายเป็นความมืดมิด ราวกับว่าตัวเขาถูกดึงเข้าไปในมิติอื่น

คลื่นจิตของมู่เฉินอยู่ในความมืด แต่เขาไม่ได้ตื่นตระหนก นั่นเป็นเพราะไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆ ดังนั้นจึงรออยู่เงียบๆ เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าตอนที่อสูรโบราณโภคะทิ้งร่างไว้ที่นี่ จะต้องทิ้งวิธีบางอย่างไว้เบื้องหลังเพื่อป้องกันไม่ให้สมบัติถูกยึดครองโดยคนโลภมาก ดังนั้นสิ่งที่เขาเห็นมาก่อนหน้านี้อาจจะเป็นการทดสอบ

ฮึ่ม!

ทันใดนั้นแสงสว่างก็กำจายในความมืด กระแสน้ำใหญ่โตมโหฬารส่งเสียงดังก้อง ยามนี้อาวุธเทพล้ำค่ามากมายกำลังเริงระบำอยู่ในกระแสน้ำ ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงประสิทธิภาพถูกปลดปล่อยออกมาจากพวกมัน

มู่เฉินขานรับความรู้สึกก็สูดอากาศเย็นเข้าไปในหัวใจ นั่นเป็นเพราะเขาพบว่าในกระแสน้ำมีอาวุธพบสวรรค์นับพันนับหมื่นชิ้น

“สมกับเป็นอสูรโภคะ…”

มู่เฉินอุทาน คุณภาพของอาวุธพบสวรรค์เหล่านี้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว หากนำทั้งหมดไปประมูลในมหาพันภพ ราคารวมคงยากที่จะจินตนาการ ปริมาณของเหลวจื้อจุนอาจเพียงพอสนับสนุนจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหนึ่งทะยานไปถึงขั้นเก้าเลยทีเดียว

มู่เฉินจ้องมองสายธารอาวุธเทพ จากนั้นดวงตาก็หดเกร็ง เขาจดจ่ออยู่ที่ตรงกลางของสายธาร ก็เห็นลูกแสงสามลูกลอยอยู่ ทุกลูกทรงพลังจนถึงขั้นที่มู่เฉินรู้สึกกดดันจากความผันผวนที่เปล่งออกมา

โดยรอบมีอาวุธพบสวรรค์นับหมื่นเกี่ยวพันล้อมรอบลูกแสงทั้งสาม ราวกับว่าเป็นคนรับใช้ที่ปกปักเจ้านาย

มู่เฉินอึ้งไปขณะมองลูกแสงทั้งสาม จากนั้นหัวใจของเขาก็ร้อนวูบวาบกระทั่งการเต้นของหัวใจก็เพิ่มขึ้น เขาจ้องไปที่ลูกแสงทั้งสามด้วยสายตาร้อนแรง ความผันผวนทรงพลังนั้นเกินขอบเขตของอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมไปมาก!

เทียบกับอาวุธที่เขาพบมาก่อนหน้าก็ประหนึ่งหิ่งห้อยกับดวงจันทร์!

อาวุธเหล่านั้นจะต้องเป็นอาวุธเสมือนมหสววรค์ของแท้แน่นอน!

ก้าวข้ามขอบเขตพบสววรค์เข้าสู่มหสวรรค์!

เผชิญหน้ากับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามที่ปรากฏขึ้น แม้แต่มู่เฉินที่มีจิตใจตั้งมั่น ยังอดไม่ได้ที่จะหัวใจเต้นรัว สายตาร้อนแรงจนแทบปะทุเป็นไฟ

เขาเพ่งมองไปที่ลูกแสงทั้งสาม เมื่อแสงจางลง ในที่สุดก็เห็นวัตถุภายในได้อย่างชัดเจน

ขวาน ไม้บรรทัดและกระจก

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1036 ทะเลสาบตัวเป่า
ขวดหยกล้ำค่าถูกส่งมาก่อนที่จะลอยอยู่เบื้องหน้า

มู่เฉินเพียงกวาดสายตามองคร่าวๆ ก็เก็บไว้ รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นที่มุมปาก

แม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำให้กลุ่มจิงฉิงเทียนตายอยู่ที่นี่ได้ทั้งหมด แต่ของเหลวจื้อจุนแปดล้านหยดก็ถือเป็นการเก็บเกี่ยวที่ดี ถ้าเขาใช้ของเหลวเหล่านี้ในการฝึกฝนน่าจะสามารถทำให้การเพาะบ่มด้านขุมพลังหลิงของเขาเพิ่มขึ้นไปจนถึงระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุดได้

“พี่จิงเป็นคนใจกว้างจริงๆ… ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็เชิญทุกคนจากไปเถอะ” หลังจากเก็บขวดหยกแล้ว มู่เฉินก็มองไปที่กลุ่มจิงฉิงเทียนด้วยดวงตาที่หรี่ลงพร้อมกับรอยยิ้ม

ใบหน้าของกลุ่มจิงฉิงเทียนมืดครึ้ม พวกเขากวาดมองไปในระยะไกลก็ต้องปวดร้าว ที่นั่นเป็นเขตที่อสูรโบราณโภคะตาย ดังนั้นจะต้องมีสมบัติที่น่าสนใจรออยู่แน่ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมผัสกับสมบัติเหล่านั้นอีกต่อไป

ภายใต้สถานการณ์ที่จิงฉิงเทียนได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นโชคดีเท่าไรแล้วที่พวกเขาสามารถเอาชีวิตออกไปจากที่นี่ได้ ถ้าพวกเขาคิดอยากจะแย่งชิงสมบัติอีก ก็ไม่มีพลังพอที่จะกระทำแล้ว

“ไป!”

จิงฉิงเทียนเป็นคนเด็ดขาด เมื่อรู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ เขาก็ไม่ดิ้นรนอีก เพียงแค่สาดสายตาเกลียดชังไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังจากไปพร้อมกับขบฟันกรอด

ที่ข้างหลังจิงเลี่ยและคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าเขียวคล้ำความไม่เต็มใจอัดแน่นบนใบหน้าขณะที่ตามออกไป เรื่องวันนี้เป็นความอัปยศของพวกเขา ตอนแรกคิดว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้ แต่สุดท้ายโดนมนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกกลับล้มโต๊ะเสียได้

ทว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ต่อให้คิดให้มาก ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ตามหลังจิงฉิงเทียนที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น ก่อนที่จะออกจากพื้นที่ส่วนนี้ไป

เมื่อคนอีกกลุ่มจากไป มู่เฉินก็ค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย ก่อนหน้านี้เขากังวลอย่างแท้จริงว่าอีกฝ่ายอาจจะสู้หลังชนฝา หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับแน่

“จิงฉิงเทียนเป็นตัวปัญหาอย่างแท้จริง…” จิ่วโยวถอนสายตาขณะถอนหายใจ ในการต่อสู้เมื่อครู่แม้แต่มู่เฉินก็ได้แต่พึงรัศมีในการปราบปรามจนหาช่องโหว่เจอและใช้โอกาสโจมตีเอาชนะอีกฝ่าย

มู่เฉินพยักหน้ารับรู้ความรู้สึกเช่นนี้ในเวลาเดียวกัน จิงฉิงเทียนเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากต่อกรแท้จริง แต่เขาไม่ได้กังวลเป็นพิเศษ เพราะเขาไม่เคยให้ความสำคัญกับคนที่พ่ายแพ้ในมือเขา

ในเมื่อเขาเอาชนะจิงฉิงเทียนครั้งแรกได้ เขาก็สามารถทำเช่นนั้นได้อีกเป็นครั้งที่สอง

ไม่ใช่เพราะเขายโส แต่เป็นความมั่นใจในตนเองที่เกิดจากหัวใจ ยอดยุทธ์ที่แท้จริงไม่เกรงกลัวทุกอย่างในอดีต

แม้ว่าจิงฉิงเทียนจะเป็นอัจฉริยะ แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัว นั่นเป็นเพราะเขาเชื่อว่าในอนาคตตัวเขาจะแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายมาก

พลังกายของเขาเพิ่งจะบุกทะลวงไปถึงคัมภีร์หลงเฟิ่งขั้นสอง สำหรับพลังในขั้นสองตอนนี้เขาสัมผัสถึงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อไปในอนาคตทักษะนี้จะต้องเติบโตอย่างน่าอัศจรรย์แน่นอน

นอกจากนี้พัฒนาการทางด้านขุมพลังหลิงของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกๆ ครั้งที่เกิดการต่อสู้ เมื่อไรที่เขาบุกเข้าไปในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด การเอาชนะจิงฉิงเทียนก็ง่ายเพียงพลิกมือเท่านั้น

ยิ่งกว่านั้นเขายังมีค่ายกล… และหมัดปีศาจพลีชีพซึ่งเข้าใจลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ…แน่นอนว่าไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือการเป็นจั้นเจิ้นซือ แต่สิ่งนี้ต้องการการสนับสนุนจากกองทัพ เมื่อเงื่อนไขทั้งหมดครบถ้วน เขาจะสามารถต่อสู้กับศัตรูที่มีขุมพลังต่ำกว่าระดับตี้จื้อจุนได้ทั้งหมด

ด้วยรากฐานที่ทรงพลัง เขาไม่คิดว่าจิงฉิงเทียนเป็นภัยคุกคามใด

“การตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุดที่ข้าได้ทำในดินแดนเสินโซ่ก็คือร่วมมือกับพี่มู่” ที่ด้านข้างหานซันก็รำพึงแฝงด้วยความรู้สึกผิดบางอย่าง “ตลอดทางพี่มู่ออกแรงมากสุด พวกเรานี่รอเก็บเกี่ยวอย่างเดียวเลยจริงๆ”

ก็เป็นเรื่องจริงที่อันตรายส่วนใหญ่ตลอดทางถูกจัดการโดยฝีมือของมู่เฉินซึ่งพึ่งพาพลังแห่งตน หากไม่ใช่มู่เฉิน พวกเขาคงต้องหนีไปนานแล้ว

มู่เฉินยิ้มพลางไตร่ตรองก่อนที่จะดึงของเหลวจื้อจุนแปดล้านหยดออกมาด้วยความตั้งใจที่จะแบ่งให้ทุกคน ทว่าไม่เพียงแต่หานซันจะปฏิเสธ แม้แต่จิ่วโยวก็ส่ายหัว

ของเหลวจื้อจุนที่มู่เฉินได้มาจากในเจดีย์ฝึกพลังกายพวกนางยังรับไว้ได้ เพราะทั้งสองถือว่าได้เสียสละตำแหน่งให้ แต่ครั้งนี้มู่เฉินได้รับของมาด้วยการลุยเดี่ยว พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ได้ช่วยเท่านั้น แต่ยังรอดตายจากฝีมือของมู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาไม่อาจยอมรับได้

เมื่อเห็นพรรคพวกปฏิเสธอย่างจริงจัง มู่เฉินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเก็บของเหลวจื้อจุนกลับไป นั่นเป็นเพราะเขาตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นพัฒนาขุมพลังหลิงของตนเองในช่วงเวลาต่อไป สำหรับของเหลวเหล่านี้จะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อการเพราะบ่มของเขา

“ไปหาอสูรโภคะกันเถอะ ถ้ากลุ่มจิงฉิงเทียนไม่ยอมเลิกราแล้วย้อนกลับมาครั้งนี้มีปัญหาแน่” หานซันแนะนำ

พอได้ยินคำพูดนี่ หัวใจของทุกคนก็สั่นไหว พวกเขามาไกลขนาดนี้อย่างยากลำบากก็เพื่อสมบัติของอสูรโบราณโภคะไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้พวกเขาผ่านด่านทุกประเภทมาแล้ว ก็ควรถึงเวลาที่พวกเขาจะเพลินเพลินกับสมบัติมั่งแล้วใช่ไหม?

พอคิดถึงเรื่องนี้ดวงตาของมู่เฉินก็เริ่มร้อนแรงขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขามีความคาดหวังอย่างมากต่อสมบัติของอสูรโบราณโภคะ ไม่รู้ว่าจะมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์อยู่จริงหรือไม่ ถ้ามีพวกเขาก็ถือว่าได้กำไรมหาศาลกับการมาครั้งนี้เลยทีเดียว

นั่นไม่ใช่สิ่งที่ของเหลวจื้อจุนหลายล้านหยดจะเทียบได้

“ไป!”

เมื่อหานซันเห็นทุกคนตื่นเต้นก็ยกยิ้มแล้วทะยานนำไป เข้าไปในส่วนลึกของป่ามืดมิด

พอทุกคนเห็นก็ติดตามไปในทันที

ทั้งกลุ่มเหาะเหิน บางทีอาจเป็นเพราะคลื่นอสูรวิญญาณก่อนหน้า ทำให้ตลอดทางราบรื่นยิ่ง แม้จะมีอสูรวิญญาณปรากฏขึ้นบ้างก็มีจำนวนไม่มากนัก ซึ่งถูกจัดการโดยพวกมู่เฉินอย่างง่ายดาย

หลังจากที่พวกเขาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดหานซันซึ่งเป็นผู้นำทางก็ลดความเร็วลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นั่นเป็นเพราะรัศมีความตายรอบตัวหนาแน่นจนเป็นสีดำแล้ว

รัศมีความตายน่าขนลุกอย่างยิ่ง แม้แต่เปลวไฟสีขาวนวลบนไหล่พวกเขาก็อ่อนกำลังลงอย่างมาก รัศมีความตายนี้ ทำให้การไหลเวียนคลื่นหลิงในร่างกายช้าลงอย่างมาก

รัศมีความตายที่นี่น่าสะพรึงยิ่งนัก

เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีความตายที่หนาแน่น ทุกคนก็ตั้งระวังขึ้น รัศมีที่เข้มข้นเช่นนี้แปลว่าจะต้องมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังละสังขารอยู่ที่นี่ เมื่อร่างกายของมันเน่าเปื่อยสลายไปทีละน้อย ถึงจะสร้างรัศมีความตายหนาแน่นเช่นนี้ออกมาได้

นอกเหนือจากอสูรโบราณโภคะที่ตายแล้ว จะมีอะไรที่สามารถสร้างรัศมีความตายเช่นนี้ได้อีก?

นั่นก็หมายความว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้สุสานของอสูรโบราณโภคะแล้ว

ทุกคนเดินทางอย่างระมัดระวังผ่านรัศมีความตาย ไม่กี่นาทีต่อมาความมืดเบื้องหน้าสายตาก็เปลี่ยนเป็นแสงสว่างจ้า รัศมีความตายที่หนาแน่นแสดงสัญญาณจางหาย

ทุกคนหยุดมองด้วยความอัศจรรย์ใจต่อภาพเบื้องหน้า

ในส่วนลึกของป่าซึ่งปกคลุมไปด้วยกลิ่นเน่าเสียและรัศมีความตาย มีทะเลสาบใสกระจ่างที่สามารถมองเห็นความลึกได้ ทะเลสาบนี้มีขนาดใหญ่มากจนมองไม่เห็นจุดจบ

ทะเลสาบโปร่งใส ไม่เพียงแต่จะไม่มีการปนเปื้อนจากรัศมีความตาย กลับยังมีประกายระยิบระยับโอบฉุดรั้งรัศมีที่อยู่รอบข้างเอาไว้

ราวกับมีเจตนาทรงพลังเลือนรางหลงเหลืออยู่เพื่อปกป้องพื้นที่บริเวณแห่งนี้

“นี่คือสถานที่ที่อสูรโภคะละสังขาร เราเรียกว่าทะเลสาบตัวเป่า” หานซันมองไปที่ทะเลสาบเปล่งประกายด้วยแววตาร้อนระอุขณะพูด

“ทะเลสาบตัวเป่ารึ?”

มู่เฉินก็ประหลาดใจขณะที่สำรวจทะเลสาบแห่งนี้ เขาพยายามมองผ่านน้ำในทะเลสาบ แต่ก็ต้องตกตะลึงไปเมื่อตระหนักได้ว่าไม่ว่าทะเลสาบจะใสกระจ่างขนาดไหน ก็ไม่สามารถมองเห็นก้นได้

ดูเหมือนจะมีพลังพิเศษขัดขวางการรับรู้ของโลกภายนอก

หานซันพยักหน้าก่อนที่จะโบกแขนเสื้อ คลื่นหลิงไหลเข้าสู่ทะเลสาบ ทันใดนั้นพายุก็พัดปกคลุมพื้นผิวของทะเลสาบทันที ยกตัวเป็นคลื่นขนาดใหญ่

เมื่อคลื่นยักษ์กลิ้งไปมา ดวงตาของคนอื่นๆ ก็ต้องหดเกร็ง

นั่นเป็นเพราะพวกเขาเห็นว่าเมื่อคลื่นยักษ์ถูกยกขึ้นก็มีชิ้นกระดูกสีขาวระยิบระยับราวกับเงาสีขาวถูกเปิดเผยออกมาในทะเลสาบ กระดูกสีขาวนั่นทำให้พวกเขารู้สึกตกใจ เพียงแค่การเปิดเผยเพียงเล็กน้อยก็มีขนาดประมาณพันจั้งแล้ว ยากที่จะจินตนาการได้ว่าขนาดของร่างกายจะใหญ่แค่ไหน

“นั่นคือกระดูกของอสูรโภคะ…”

หานซันมองไปที่กระดูกสีขาวที่ถูกเปิดเผยเล็กน้อยก็พูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เราควรทำอะไรต่อ?” จิ่วโยวเอ่ยถาม

“แม้ว่าน้ำในทะเลสาบจะดูกระจ่างใส แต่ก็อัดแน่นด้วยปณิธานของอสูรโภคะเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ เมื่อไรที่มันสัมผัสร่างกายก็จะกลืนกินคลื่นหลิงของเจ้า ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเข้าไป” หานซันกล่าว

“งั้นเราจะเอาสมบัติออกมาได้ยังไง?” มั่วเฟิงถามด้วยความสงสัย

“พวกเราจะสร้างพายุเฮอริเคนด้วยคลื่นหลิง ซึ่งจะยกคลื่นเผยกระดูกนั่นออกมา ตราบใดที่เราสามารถสัมผัสกับกระดูกได้ เราก็จะสามารถใช้คลื่นจิตควบคุมกระดูกเป็นสื่อกลางในการรับรู้ถึงสมบัติที่อยู่ภายใน… แน่นอนว่าก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแต่ละคนว่าจะสัมผัสวัตถุทรงพลังอย่างอาวุธเสมือนมหสวรรค์ได้หรือไม่” หานซันกล่าว

เมื่อทุกคนได้ยินก็เข้าใจ ที่แท้ต้องทำเช่นนี้ถึงจะคว้าสมบัติมาได้

มู่เฉินจ้องมองทะเลสาบ แม้ว่าผิวน้ำจะต้านทานประสาทสัมผัส แต่เขาก็ยังรับรู้ได้ถึงความผันผวนที่ทรงพลังและลึกล้ำภายในส่วนลึกของทะเลสาบนี้

นั่นไม่ใช่การดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต แต่เป็นความผันผวนของสิ่งที่คล้ายกับอาวุธมหสวรรค์!

ในส่วนลึกของทะเลสาบจะต้องมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์อยู่แน่นอน

ดวงตาของมู่เฉินลุกโชน แต่จะสามารถสัมผัสถึงอาวุธเสมือนมหสวรรค์และทำให้มันออกมาได้หรือไม่ก็คงต้องดูที่โชคชะตาแต่ละคนแล้ว

หวังว่าครั้งนี้จะไม่ได้มาที่นี่อย่างเปล่าประโยชน์

มิฉะนั้นคงน่าผิดหวังมาก ถ้าไม่สามารถคว้าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ หลังจากผ่านการเดินทางยากลำบากเช่นนี้

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1035 ค่าชดใช้หลังพ่ายแพ้
บนพื้นดินวินาศสันตะโร

แผ่นโลกพังทลายลงเป็นชั้นพร้อมกับรอยแตกขนาดใหญ่แผ่ออกราวกับอสรพิษทำลายทั่วบริเวณนี้

และเวลานี้ที่นี่ก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนตะลึงเมื่อมองดูร่างที่ได้รับบาดเจ็บที่ไกลออกไป

ไม่มีใครคิดว่าจิงฉิงเทียนจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้จะพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉิน…

นั่นคือจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด แม้จะอยู่ท่ามกลางอัจฉริยะของเผ่าเทพอสูรชั้นนำ เขาก็ได้รับการพิจารณาว่าเป็นตัวฉกาจ แต่ในตอนนี้เขาพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเนี่ยนะ?

ไม่เพียงแต่พวกจิงเลี่ยรู้สึกว่ายากที่จะเชื่อ กระทั่งกลุ่มหานซันใบหน้ายังตกตะลึงสุดขีด

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ประเมินมู่เฉินต่ำ แต่ความคาดหวังมากที่สุดก็แค่มู่เฉินยันสถานการณ์เอาไว้ได้ แม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะจิงฉิงเทียน แต่ตราบใดที่เขาสามารถสำแดงพลังน่าสะพรึงกลัวกับคู่ต่อสู้ได้ เผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำก็ไม่กล้าคิดจะยึดสมบัติเอาไว้เองง่ายๆ

สำหรับการเอาชนะจิงฉิงเทียนและไล่อีกฝ่ายไป พวกเขาไม่เคยคิดเลยตั้งแต่แรก

ภายใต้แววตาสั่นคลอนเหล่านั้น มู่เฉินก็ค่อยๆ พลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า ก่อนที่จะมองร่างน่าสมเพช กล่าวเสียงเบาว่า “ยังมีลมหายใจ แกล้งตายรึไง?”

ที่ไกลออกไปร่างของจิงฉิงเทียนที่นอนแข็งค้างก็ขยับ จากนั้นก็ค่อยๆ พยุงตัวอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางน่าสมเพช ใบหน้าซีดเผือดและคลื่นหลิงรอบตัวก็ลดน้อยลง เมื่อเขามองมู่เฉินดวงตาก็มีแววขนพองสยองเกล้าพล่านอยู่

สุดท้ายเขาก็ไม่ถูกมู่เฉินสังหารเนื่องจากมีพลังกายทรงประสิทธิภาพ ทว่าเขาก็ได้รับบาดเจ็บหนัก แม้เขาจะรู้สึกว่าสภาพปัจจุบันของมู่เฉินก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไร แต่ก็ยังดีกว่าของเขามากนัก

“หึ ไม่คิดว่าครั้งนี้ข้าจิงฉิงเทียนจะตกอยู่ในสภาพนี้” จิงฉิงเทียนเช็ดรอยเลือดที่มุมปากพูดด้วยเสียงต่ำ

มู่เฉินยิ้มบางแต่ไม่มีความอบอุ่นในดวงตาเลย ตรงกันข้ามไอสังหารกลับพวยพุ่งในนัยน์ตา จิงฉิงเทียนไม่ได้ยั้งมือในกระบวนท่าก่อนหน้าเลย มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยเจตนาเข่นฆ่า ดังนั้นถ้าเป็นไปได้มู่เฉินก็ไม่ต้องการปล่อยอีกฝ่ายไป

อีกมุมหนึ่งจิงเลี่ยและฮั่วหยังก็ถอยไปอย่างน่าสมเพชไปกองกันด้านข้างจิงฉิงเทียน ยามนี้ใบหน้าของพวกเขาถูกปกคลุมด้วยความกลัว ไม่มีแววคุกคามเหมือนที่เคยมีมา

พร้อมกับความพ่ายแพ้ของจิงฉิงเทียน สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

จิ่วโยว หานซัน มั่วเฟิงและคนอื่นๆ เข้ามายืนอยู่ข้างมู่เฉิน พวกจิ่วโยวยังดี แต่จอมยุทธ์จากเผ่าแรดอสูรแววตาเต็มไปด้วยความยำเกรงเมื่อมองมู่เฉิน แม้แต่หานซันที่มีทรงพลังยังรู้สึกนับถือขึ้นมา

“ต้องขอบคุณพี่มู่ในครั้งนี้” หานซันถอนหายใจ ถ้าไม่ได้มู่เฉินจัดการ ตอนนี้พวกเขาคงต้องหนีตายเหมือนหมาจรจัดจนตรอกไม่ต้องพูดถึงการได้แตะต้องอสูรโภคะเลย

“เราจะทำยังไงกับพวกมัน?” จิ่วโยวมองไปที่มู่เฉิน จากนั้นปลายหางตาก็กวาดมองไปที่กลุ่มจิงฉิงเทียน ริ้วไอสังหารกะพริบวาววับ หากเป็นไปได้นางก็สามารถลงมือฆ่าพวกมันทั้งหมดเพื่อกำจัดปัญหาในอนาคต

เมื่อรับรู้เจตนาฆ่าในดวงตาของจิ่วโยว ใบหน้าของจิงเลี่ยและคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ คลื่นหลิงเพิ่มขึ้นรอบตัวขณะตั้งแนวป้องกันเต็มที่

“มู่เฉิน อย่าคิดว่าข้าจะยอมนอนให้แกฆ่าพวกข้า ต่อให้แกเอาชนะข้าได้!” จิงฉิงเทียนพูดเสียงต่ำลึก ความโกรธแค้นพล่านเพิ่มขึ้นในดวงตา

“ไม่งั้นล่ะ?” มู่เฉินยิ้มพรายพร้อมกับดวงตาหรี่ลงขณะถาม

เปลือกตาของจิงฉิงเทียนหลุบลงขณะเค้นเสียง “ถ้าข้าต้องเดิมพันชีวิตในการต่อสู้ แกอาจจะรอดไปได้ แต่เชื่อข้าเถอะต้องมีใครบางคนในกลุ่มแกถูกลากลงนรกไปด้วยกัน!”

ขณะที่พูดรัศมีลางร้ายก็ปรากฏขึ้น แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้มู่เฉิน แต่ความเหี้ยมโหดของจิงฉิงเทียนก็ยังทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัวอยู่ดี

มู่เฉินหรี่ตาลงไม่ได้สงสัยในคำพูดของจิงฉิงเทียน หากเขาต้องการจัดการคนพวกนี้ทั้งหมด แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องจ่ายราคาไม่น้อย

ด้านข้างใบหน้าของพวกหานซันก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขารู้ว่าจิงฉิงเทียนมีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนั้น บางทีเขาอาจไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้ แต่การเสี่ยงชีวิตเพื่อแลกกับหนึ่งในพวกเขาก็ไม่น่าจะลำบาก

บรรยากาศแข็งค้าง ครู่ต่อมามู่เฉินก็คลี่ยิ้ม “แกพูดถูก แต่ยากสำหรับข้าที่จะเชื่อว่าคนที่ถูกกดด้านรัศมีในตอนท้ายจะกล้าที่จะเดิมพันชีวิต”

จากการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่ รัศมีจิงฉิงเทียนถูกปราบปรามอย่างสมบูรณ์โดยมู่เฉิน เพราะมู่เฉินเหี้ยมหาญกว่ามาก จนถึงจุดที่กล้าละทิ้งชีวิตเพื่อแลกกับเขาได้ แต่จิงฉิงเทียนไม่กล้าทุ่มเทขนาดนั้น ดังนั้นรัศมีจึงถูกกดเอาไว้ ช่องโหว่นี้ถูกตรวจจับได้โดยมู่เฉินทำให้สามารถเอาชนะได้อย่างสมบูรณ์

ดังนั้นคนอย่างจิงฉิงเทียนรักตัวกลัวตายแน่นเหนียวจนถึงแกนกระดูก เขาไม่มีความกล้าที่ใช้ชีวิตมาต่อสู้ดิ้นรน นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้มู่เฉินจึงสงสัยในการคุกคามของเขา

ใบหน้าของจิงฉิงเทียนสลับไปมาระหว่างสีเขียวและสีขาว สุดท้ายก็กัดฟันกรอด “ถ้าไม่มีทางอื่น ข้าก็ต้องเสี่ยงชีวิตของตัวเองแหละ!”

คำพูดของเขามีร่องรอยของความหดถอยบางเบา นอกจากนี้ยังเป็นการบอกกับมู่เฉินเป็นนัยว่ายอมที่จะถอยออกไป แต่ห้ามบีบเขาจนตรอก

มู่เฉินมองไปทางหานซันและจิ่วโยวเพื่อขอความคิดเห็น ทว่าทั้งสองกลับพยักหน้าบ่งบอกว่าเต็มใจที่จะทำตามการตัดสินใจของเขา

เมื่อเห็นการตอบสนองนั่น มู่เฉินก็ยิ้มบาง “ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขปัญหานี้ แต่สำหรับเงื่อนไข…”

“ข้อแรกพวกแกจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสมบัติของอสูรโภคะอีกต่อไป…”

ใบหน้าของพวกจิงฉิงเทียนกระตุกก่อนที่จะกลายเป็นไม่น่าดู เหตุผลหลักที่พวกเขาเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ก็เพื่อคว้าสมบัติอสูรโภคะ แต่ตอนนี้มู่เฉินกลับต้องการให้พวกเขาถอยออกไป การสูญเสียเช่นนี้ไม่อาจบรรยายได้

ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมู่เฉินที่ไม่มีความอบอุ่นสักริ้ว พวกเขาก็เข้าใจว่าหากไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้ มู่เฉินที่ดูอ่อนโยนจะกลายเป็นยมทูตบ้าคลั่งและไร้ความปราณี จัดการพวกเขาจนเหี้ยนแน่

ดังนั้นหลังจากถกกันเป็นเวลานานจิงฉิงเทียนก็ได้แต่พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ

ฮั่วหยังที่ยืนอยู่ด้านข้างก็รู้สึกขมฝาดในใจ เหตุผลที่เขาเลือกทำงานกับเผ่าราชสีห์ทองก็คือพวกเขามีความพร้อมมากกว่า ดังนั้นเขาคิดว่าโอกาสในการชนะจะมีมากกว่า แต่ใครจะคิดว่าหานซันจะเชิญคนอื่นมาด้วย นอกจากนี้ยังมีสัตว์ประหลาดแฝงตัวอยู่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์แบบจิงฉิงเทียนด้วยขุมพลังที่ต่ำกว่าพวกเขาทั้งหมด นี่ทำให้เขารู้สึกขมขื่นในหัวใจ การเดิมพันของเขากลายเป็นอากาศธาตุอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้เขาจะต้องสูญเสียกระทั่งสิทธิ์ในการแข่งขันเพื่อสมบัติของอสูรโภคะ

แต่ในขณะนี้แม้แต่จิงฉิงเทียนก็ไม่กล้าที่จะท้าทายมู่เฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมา ได้แต่พยักหน้าด้วยสีหน้ามืดมน

“ข้อสอง… พวกเจ้าทำให้พวกข้าสูญเสียมาก ดังนั้นพวกเจ้าต้องชดใช้ สำหรับราคานั้นก็นับตามจำนวนคนของพวกเจ้าหนึ่งล้านหยดของเหลวจื้อจุนต่อหนึ่งชีวิต” มู่เฉินยิ้มตาหยี

แม้ว่ามู่เฉินจะไม่อยากเดิมพันชีวิตกับพวกจิงฉิงเทียน แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้แบบง่ายดาย ดังนั้นอย่างน้อยคนเหล่านี้จะต้องชดใช้อะไรมั่ง ถ้าพวกเขาต้องการออกไป

ใบหน้าของพวกจิงฉิงเทียนเปลี่ยนไปทันที หนึ่งคนต่อหนึ่งล้านหยดของเหลวจื้อจุน ตอนนี้พวกเขามีแปดคนนั่นหมายถึงว่าจะต้องจ่ายของเหลวจื้อจุนแปดล้านหยดเลยรึ?

นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย!

“มู่เฉินอย่าให้มากเกินไป!” สายตาของจิงฉิงเทียนกลายเป็นมืดครึ้มขณะคำราม

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่น รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายวับ แววเยือกเย็นปรากฏในดวงตา มิติด้านหลังก็บิดเบี้ยว จุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ พร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังเปล่งรัศมีออกมา

“ถ้าแกคิดว่าชีวิตที่มีไม่คุ้มค่ากับแปดล้านหยดของเหลวจื้อจุนก็เปิดศึกมรณะกันเลย” เสียงเย็นเยือกของมู่เฉินดังก้อง ความผันผวนของพลังงานหลิงรุนแรงขึ้น

จิงฉิงเทียนมองสายตาเย็นเยือกของมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหนาวสะท้านในใจ จากนั้นใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว เขากำหมัดแน่น คลื่นหลิงในร่างกายก็พวยพุ่ง

แต่เผชิญหน้ากับจิงฉิงเทียนแบบนี้ สีหน้าของมู่เฉินก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย ไอสังหารในดวงตาเข้มข้นขึ้น ปะทะกับสายตาดุดันของจิงฉิงเทียน เขาไม่คิดถอยสักก้าว ราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะถูกผลักจนเข้ามุมอับหรือไม่

ทั้งสองจ้องกันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทำให้มิติถึงกับบิดเบือน

แต่การเผชิญหน้าครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นนานนัก ภายใต้สายตาคมกริบของมู่เฉิน สายตาดุดันของจิงฉิงเทียนก็อ่อนลง สุดท้ายเขาก็ต้องสูดหายใจลึกด้วยสีหน้าสลับไปมาระหว่างสีเขียวและสีขาว ก่อนที่จะกัดฟันตอบ “ได้ พวกข้าจะจ่าย!”

พอได้ยินคำพูดนี่ สายตาเย็นเยือกของมู่เฉินก็วับหายไป รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง “พี่จิงมองภาพใหญ่ อนาคตของเจ้าไม่ธรรมดา จะมาละทิ้งชีวิตเพื่อของเหลวจื้อจุนแปดล้านหยดได้อย่างไร?”

ทว่ารับฟังคำชื่นชมของมู่เฉินหัวใจของจิงฉิงเทียนกลับเดือดปุด แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงชีวิต จึงได้แต่เค้นเสียงเย็นเยือกก่อนที่จะจ้องมองไปยังฮั่วหยัง “ถ้าเจ้าต้องการมีชีวิตก็ส่งของเหลวจื้อจุนมาให้ห้าล้านหยด”

ใบหน้าของฮั่วหยังเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยิน เผ่าหมาป่าเวหะเหลือเพียงสามคน คำนวณตัวเลขเขาต้องการส่งของเหลวจื้อจุนแค่สามล้านหยด แต่ตอนนี้จิงฉิงเทียนกลับให้เขาจ่ายของเหลวจื้อจุนถึงห้าล้านหยด นี่ขูดเลือดพวกเขาชัดๆ

“ทำไม? ไม่ยอมเหรอ?”

จิงฉิงเทียนกำลังแค้นมู่เฉินเต็มหัวใจ เมื่อเห็นการตอบสนองของฮั่วหยัง ใบหน้าก็เย็นชาลง จิตสังหารหนาแน่นแพร่กระจายในเสียงของเขา

เมื่อฮั่วหยังเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวของจิงฉิงเทียน หัวใจก็สั่นเทาพร้อมกับใบหน้าเปลี่ยนแปรตลอดเวลา ท้ายที่สุดเขาทำได้เพียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนรวบรวมของเหลวล้ำค่าจากพรรคพวกส่งให้จิงฉิงเทียน

แต่ขณะที่เขาส่งของเหลวจื้อจุนให้ไป ส่วนลึกในดวงตาของฮั่วหยังก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขาไม่พอใจอย่างมากในหัวใจ

จิงฉิงเทียนขี้เกียจใส่ใจความคิดของฮั่วหยัง หลังจากได้รับของเหลวจื้อจุนห้าล้านหยด เขาก็เทกระเป๋าตัวเองก่อนที่จะรวบรวมให้ครบแปดล้านหยด

มือของจิงฉิงเทียนสั่นเทิ้มขณะที่ถือขวดหยกที่บรรจุของเหลวจื้อจุนถึงแปดล้านหยด ตอนนี้ขนาดคนนิสัยอย่างเขายังอดแสดงสีหน้าเจ็บใจไม่ได้ สุดท้ายเขาก็โยนขวดหยกนั้นไปให้มู่เฉิน

“เอาไป!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1034 เจ็ดตะวัน-คทาขวางฟ้า
ตู้มมม!

เมื่อดวงตะวันดวงที่เจ็ดลุกโชนขึ้นจากหัวใจของร่างเทพสุริยะ ริ้วแสงที่ปรากฏก็ราวกับอัญมณี รัศมีลึกลับแผ่กำจายออกไปปกคลุมสวรรค์และโลก

เกลียวแสงนับไม่ถ้วนที่กระจายออกจากร่างเทพสุริยะพุ่งเข้าไปเขย่าสวรรค์ ทำให้มิติเกิดการบิดเบือน

มู่เฉินก็เงยหน้ามองดวงอาทิตย์ดวงที่เจ็ดในร่างเทพสุริยะ ความสุขกระจายเต็มใบหน้า เขาไม่คิดว่าความพยายามนี้จะประสบความสำเร็จจริงๆ

ด้วยพลังกาย เขาสามารถสร้างดวงอาทิตย์ที่ดวงเจ็ดได้ นำทักษะเทห์สวรรค์ของร่างเทพสุริยะเปิดเจ็ดตะวันออกมาใช้ได้!

ตอนแรกจากการประเมินของมู่เฉิน อย่างน้อยตัวเขาก็ต้องบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดให้ได้ก่อนที่จะปลดปล่อยดวงอาทิตย์ดวงที่เจ็ด แต่ไม่คิดว่าเมื่อกายามังกรหงส์บรรลุขั้นสอง พลังกายของเขาจะทะยานเกินกว่าพลังหลิง จนมีความสามารถในการปลดปล่อยดวงอาทิตย์ดวงที่เจ็ดได้

ฮา

เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่เจ็ดถูกปลดปล่อยออกมา มู่เฉินก็สูดหายลึกสุดปอดก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น กระแสคลื่นทองคำขยายอย่างรวดเร็วในม่านตา มองจากที่ไกลราวกับดาวหางสีทองที่พุ่งมาจากนอกโลก ซึ่งเต็มไปด้วยพลังงานการทำลายล้าง

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเต็มกำลังของจิงฉิงเทียน มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีก ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ ก่อนที่เสียงลึกต่ำจะก้องกังวานในหัวใจ “คลื่นเก้าตะวัน เปิดเจ็ดตะวัน”

ครืน!

ทันใดนั้นดวงตะวันทั้งเจ็ดก็ระเบิดขึ้นในร่างเทพสุริยะ สายธารสีทองกวาดออก ในเวลานี้ร่างเทพสุริยะราวกับมีรูปร่างแท้จริงเมื่อมองจากระยะไกล

สายธารสีทองไหลผ่านร่างเทพสุริยะ สุดท้ายก็มารวมตัวกันในมือก่อร่างเป็นคทาทองคำขนาดมหึมาที่ยากจะพรรณนา คทามีเก้าส่วน ทุกส่วนมีความยาวเก้าพันเก้าร้อยจั้ง เมื่อรวมทุกส่วนเข้าด้วยกันก็มีขนาดเกือบหมื่นจั้ง ประหนึ่งเสาหลักที่สามารถรองรับผืนฟ้า ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก

บนคทามีลวดลายนับไม่ถ้วนสลักอยู่ กำจายความผันผวนแปลกประหลาด ราวกับว่าท้องฟ้ายังถูกแยกออกเป็นสองส่วน

ร่างเทพสุริยะถือคทาทองคำในมือ จากนั้นก็เหวี่ยงใส่กระแสคลื่นสีทอง

“เปิดเจ็ดตะวัน คทาขวางฟ้า!”

เสียงต่ำลึกดังก้องกังวานในใจมู่เฉิน ขณะที่คทาทองคำขนาดมหึมาเหวี่ยงลงมา ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำมืด มีเพียงแสงสีทองคลี่กระจาย ราวกับว่าคทาบรรจุด้วยพลังน่าสะพรึงกลัวที่สามารถแบ่งแยกสวรรค์และโลกออกจากกันได้

เมื่อมู่เฉินโบกคทาออก ใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปในเวลาเดียวกัน

แม้แต่จิงฉิงเทียนที่สงบสติไว้มั่น ดวงตาก็ยังหดเกร็ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะยังมีกระบวนท่าที่ทรงพลังเช่นนี้เหลืออยู่อีก

“บ้าเอ๊ย นั่นมันคัมภีร์เทพประเภทไหนกัน? ทำไมถึงทรงพลังขนาดนี้?!”

คลื่นโหมกระหน่ำไปทั่วหัวใจของจิงฉิงเทียน พลังของคทามู่เฉินไม่ได้ด้อยไปกว่าสามหมัดเทพของเขาเลย แต่หมัดเทพราชสีห์สามกลืนกินถือเป็นวิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็มที่ดีที่สุดของเผ่าราชสีห์ทองคำ ยากสำหรับคนทั่วไปที่จะฝึกฝน แล้วมู่เฉินมีวิชาระดับคล้ายคลึงกันแบบนี้ได้อย่างไร?

ทว่าแม้หัวใจจะสั่นไหว แต่จิตสังหารในแววตาของจิงฉิงเทียนก็ยังข้นคลั่ก เขามีความมั่นใจมากกับวิชาของตนเอง เขาเชื่อว่าเมื่อพลังการทำลายล้างพุ่งเข้าโจมตี มู่เฉินก็จะตายคาที่แน่

“แกเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามจริงๆ แต่วันนี้ข้าคือผู้ชนะ!”

จิงฉิงเทียนแผดร้องในใจ จากนั้นกระแสคลื่นทองคำที่พุ่งทะลุขอบฟ้าก็ปะทะกับคทาทองคำขนาดใหญ่ที่มู่เฉินโบกสะบัดหนักหน่วงออกมา

จังหวะที่ปะทะกันชั้นฟ้าและชั้นดินก็แข็งตัว ทุกสรรพเสียงเงียบงัน ความสว่างและความมืดสลับไปมา แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือไม่มีเสียงระเบิดดังก้องจากการปะทะ ราวกับว่าแม้แต่เสียงก็ถูกกลืนหายโดยการปะทะของคลื่นหลิงยิ่งใหญ่

คทาทองคำมหึมาและกระแสคลื่นทองคำชนกันพร้อมกับมิติยุบตัวเป็นหย่อมๆ พลังงานที่น่ากลัวสองสายกัดกร่อนซึ่งกันและกันอย่างรุนแรง

เมื่อพลังงานพล่านไปถึงขีดสุด คลื่นพลังทั้งสองสายก็ไม่สามารถรักษาความสมดุลได้อีกต่อไป ดังนั้นพายุสีทองที่น่าสะพรึงกลัวจึงกวาดออกอย่างรุนแรง

ปัง!

พายุกวาดอาละวาดรุนแรง ส่งผลกระทบต่อท้องฟ้าในรัศมีหนึ่งพันลี้

ร่างของมู่เฉินและจิงฉิงเทียนเป็นคนแรกที่ได้รับผลกระทบ พวกเขากระเด็นออกไปพ่นเลือดเป็นสาย ทว่าโชคดีที่ทั้งสองคนตอบสนองอย่างรวดเร็ว แต่ละคนรีบเรียกร่างเทห์สวรรค์และร่างเทพอสูรออกมาป้องกันทันท่วงที

แต่ถึงอย่างนั้นร่างเทพของพวกเขาก็จางลงอย่างรวดเร็ว ชัดว่าไม่สามารถทนต่อคลื่นกระแทกที่น่ากลัวได้…

แคร็ก!

รอยแตกกระจายออกบนร่างเทพสุริยะ ก่อนที่จะระเบิดภายใต้สีหน้าเคร่งเครียดของมู่เฉิน ในเวลาเดียวกันราชสีห์ทองคำเก้าหัวก็เปล่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราดแล้วระเบิดเป็นแสงสีทอง

อ็อก!

ทั้งสองกระอักเลือดอีกคำ สภาพแต่ละคนดูน่าอนาถมาก

การปะทะกันทรงพลังสิ้นสุดลงที่จอมยุทธ์ทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บตามกัน!

“มู่เฉิน…ขวางการทำลายล้างหมัดเทพราชสีห์สามกลืนกินได้รึ?” ฮั่วหยังตกตะลึงเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้านี้ ความหวาดผวาพลุ่งพล่านออกมาจากดวงตา กระบวนท่าของจิงฉิงเทียนเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดยังยากที่จะแบกรับ แล้วมู่เฉินทำได้อย่างไรด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกที่มี?

ใบหน้าของจิงเลี่ยเขียวคล้ำ ซึ่งแฝงด้วยความตกตะลึงคลุมเครือ นั่นเป็นเพราะผลลัพธ์ของการประลองครั้งนี้เหนือการควบคุมของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ตั้งแต่เริ่มต้นพวกเขาไม่คิดเลยว่าจิงฉิงเทียนที่พวกเขามองว่าเป็นจอมยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดก็ยังถูกขัดขวางโดยมู่เฉินได้

จิงฉิงเทียนเป็นจอมยุทธ์ที่สามารถแข่งขันกับอัจฉริยะเทพอสูรชั้นยอดได้พอฟัดพอเหวี่ยงเลยนะ!

สายตาของจิงเลี่ยเปลี่ยนไป สุดท้ายก็สงบใจลงก่อนจะกัดฟัน แม้ว่าเขาจะตัดสินมู่เฉินผิดพลาด ปล่อยให้มู่เฉินสามารถพลิกสถานการณ์ได้ แต่ความแข็งแกร่งของทั้งสองกลุ่มยังเท่าเทียม ที่สุดแล้วกลุ่มของมู่เฉินก็ไม่สามารถทำอะไรกับพวกเขาได้

บนท้องฟ้าจิงฉิงเทียนค่อยๆ เช็ดรอยเลือดที่มุมปากออก สายตาจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินด้วยจิตสังหารพลุ่งพล่านทั่วนัยน์ตา สถานการณ์ตอนนี้เกินความคาดหมายของเขามากเช่นกัน

พลังของมู่เฉินนั้นเหนือกว่าที่เขาคาดไว้ไปไกล

“แม้แต่หมัดเทพราชสีห์กลืนกินก็ไม่สามารถฆ่ามันได้…” ดวงตาของจิงฉิงเทียนแสดงความโหดเหี้ยม แต่ใบหน้าเคร่งเครียดล้นเหลือ จากการปะทะกันกระบวนท่าก่อน แม้ว่ามู่เฉินจะขัดขวางการโจมตีไว้ได้ แต่ก็น่าจะได้รับบาดเจ็บหนักเช่นกัน ดังนั้นนี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการฆ่ามู่เฉิน!

เมื่อคิดได้อย่างนี้ ไอสังหารก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในสายตาของจิงฉิงเทียนทันที

ทว่าขณะที่ความตั้งใจฆ่าในดวงตาพุ่งสูงขึ้น มู่เฉินซึ่งอยู่ไกลออกไปก็สัมผัสได้จึงเงยหน้าขึ้น จากนั้นมุมโค้งเยือกเย็นก็ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา

ฝ่าเท้ากระทืบลงไป เขาไม่สนใจแม้แต่จะเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าหาจิงฉิงเทียนทันที

“รนหาที่ตาย!”

เมื่อจิงฉิงเทียนเห็นว่ามู่เฉินยังกล้าที่จะทะยานเข้าหา แววเหี้ยมโหดในสายตาก็หนาแน่นยิ่งขึ้น ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะพอใจกับผลลัพธ์นี้ นอกจากนี้มู่เฉินยังสามารถหารือเกี่ยวกับเงื่อนไขที่จะแบ่งปันกันเรื่องสมบัติของอสูรโบราณโภคะ แต่ใครจะไปคิดว่าความทะเยอทะยานของอีกฝ่ายจะมากกว่านั้น มู่เฉินต้องการเอาชนะเขารึ? เพ้อฝันชัดๆ!

ฟิ้ว!

ขณะที่จิงฉิงเทียนแผดเสียงลั่น ร่างเงาของมู่เฉินก็พุ่งออกมามองไปที่จิงฉิงเทียนอย่างไม่แยแส ดวงตาพวยพุ่งด้วยไอสังหาร เขาวาดตราประทับด้วยมือเดียว เสียงคำรามลึกระเบิดออกมาจากหัวใจ “คัมภีร์เทพเส่อเซิน หมัดปีศาจพลีชีพ!”

ทันใดนั้นไอสังหารไม่มีที่สิ้นสุดก็กวาดออกมาจากภายในหัวใจมู่เฉิน ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง ขณะเดียวกันรัศมีน่ากลัวก็ระเบิดจากร่างราวกับกับพายุทอร์นาโด

รัศมีนี้น่าทึ่งมาก มีความตั้งใจที่จะเสียสละตนเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม

นี่คือการเอาชีวิตเข้าแลกอย่างแท้จริง!

ดวงตามู่เฉินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขณะวาดหมัดออกไป ภายใต้หมัดไม่เหลือทางถอยให้ บีบตัวเองให้เข้าสู่เส้นทางมรณะอย่างแท้จริง!

เมื่อจิงฉิงเทียนเห็นการโจมตีของมู่เฉินที่สละชีวิตเพื่อจะทำลายของศัตรู ใบหน้าก็เปลี่ยนแปลงรุนแรง หัวใจของเขาสั่นคลอนเพราะไม่คิดว่ามู่เฉินจะเป็นคนโหดเหี้ยมเช่นนี้

ต่อให้ตัวเองต้องตาย ก็ต้องฆ่าเขาให้ได้!

มู่เฉินถึงกับยอมสละชีวิตเพื่อสมบัติของอสูรโบราณโภคะเลยเรอะ?

“ไอ้บ้า! วิกลจริต!”

จิงฉิงเทียนคำรามลั่นจากหัวใจ จิตวิญญาณการต่อสู้หดหายไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้ต้องการที่จะตายที่นี่เพื่อสมบัติอสูรโบราณโภคะ เขาเป็นอัจฉริยะของเผ่าราชสีห์ทองคำที่มีอนาคตไกล จะมาตายที่นี่ได้ไง?

เมื่อจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เหือดหาย รัศมีของจิงฉิงเทียนก็ถูกกดทับลง เขารีบถอยหนีจ้าละหวั่นในสภาพน่าสมเพช

ดวงตาแดงก่ำของมู่เฉินมองไปที่จิงฉิงเทียนที่ถอยกรูดออกไป แสงก็พริบพราวในดวงตา รอยยิ้มเยาะเย้ยแขวนอยู่บนมุมปาก กระบวนท่าที่เขาใช้ไม่ใช่หมัดปีศาจของจริง นี่เป็นเพียงเจตจำนงเสียสละตนเองที่ได้มาจากการทำความเข้าใจในกระบวนการกระหายเลือด นั่นหมายความว่าขณะนี้กระบวนท่านี้เป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น!

แต่ในการต่อสู้บางครั้ง เมื่อรัศมีถูกกดทับ ผลลัพธ์ก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว!

ยามนี้จิตวิญญาณการต่อสู้จิงฉิงเทียนมอดไหม้ไปหมดแล้ว เขาไม่มีความสามารถที่จะสู้ได้อีกต่อไป

จิงฉิงเทียนก็รู้เรื่องนี้อย่างชัดเจนในหัวใจ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะถอยทันที ไม่เหลือความเฉียบคมในการเผชิญหน้ากับมู่เฉินต่อไป

ตู้ม!

มู่เฉินกระทืบเท้า ร่างทะยานไปอย่างลึกลับปรากฏตัวเบื้องหน้าจิงฉิงเทียนก่อนที่ชุดหมัดจะรัวออกมา เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้อง หมัดที่น่าสะพรึงกลัวทำลายแนวปกป้องคลื่นหลิง ซัดลงบนอกของจิงฉิงเทียนที่สูญเสียความตั้งใจที่จะต่อสู้

ปัง! ปัง!

เสียงลึกต่ำดังขึ้น ใบหน้าของจิงฉิงเทียนก็ซีดเผือด เลือดกระอักออกมาไม่หยุด ร่างกระเด็นออกไปตกลงพื้นดินราวกับว่าวสายป่านขาด สร้างรอยลึกยาวพันจั้ง

ร่างจิงฉิงเทียนนอนพังพาบอยู่ในรอยลึก ทั่วตัวเต็มไปด้วยเลือดโดยที่คลื่นหลิงลดฮวบลง

มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า สีแดงในดวงตาหายไปอย่างสมบูรณ์ ใบหน้าซีดลงเล็กน้อย แต่สายตายังคงความคมชัดขณะที่จ้องมองลงมาราวกับเหยี่ยว

เบื้องล่างตกอยู่ในความเงียบอย่างสมบูรณ์

ทุกคนมองจิงฉิงเทียนที่พ่ายแพ้สิ้นเชิงอย่างตะลึงงัน ใครจะคิดได้ว่าสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บจะถูกพลิกกลับด้วยรัศมีการเสียสละชีวิตของมู่เฉิน

ตอนนี้จิงฉิงเทียนบาดเจ็บหนักอย่างแท้จริง ไม่สามารถต่อสู้กับมู่เฉินได้อีก!

จิ่วโยวและหานซันอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ความสุขจะพล่านในนัยน์ตา

ส่วนจิงเลี่ยและฮั่วหยังมีสีหน้าซีดขาว พวกเขารู้สึกว่าร่างกายเย็นยะเยือก

พวกเขารู้ว่าในศึกแย่งชิงสมบัติอสูรโบราณโภคะครั้งนี้พวกเขาแพ้อย่างสมบูรณ์แล้ว…

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1033 เทพราชสีห์สามกลืนกิน
บนท้องฟ้า

ร่างเทห์สวรรค์ขนาดใหญ่ที่มีดวงตะวันลอยอยู่ด้านหลังศีรษะพรั่งพรูด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้พายุดันตัวขึ้นในพื้นที่แห่งนี้

เบื้องหน้าร่างเทห์สวรรค์นี้ ร่างเทพอสูรราชสีห์ทองคำเก้าหัวก็ยืนหยัดอย่างภาคภูมิใจ เสียงคำรามที่ดังก้องทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน

ร่างเทพสุริยะปะทะกับราชสีห์ทองคำเก้าหัว!

ที่เบื้องล่างทุกคนกลั้นหายใจ ขณะมองไปที่การเผชิญหน้าบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าของจิงเลี่ยและฮั่วหยังเขียวคล้ำ เนื่องจากไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะบีบให้จิงฉิงเทียนต้องใช้ร่างเทพอสูร

ตอนนี้ดูเหมือนสถานการณ์ปัจจุบันเกินการควบคุมไปทีละนิด…ละนิดแล้ว

จิงฉิงเทียนยืนบนท้องฟ้าพร้อมกับสิงโตทองคำเก้าหัวอยู่ข้างหลัง รัศมีเผด็จการน่าหวาดกลัวค่อยๆ ถูกปล่อยออกมาอย่างช้าๆ สร้างความหวาดหวั่นให้กับผู้อื่นนัก

“สามารถบีบให้ข้าใช้ร่างเทพอสูร เจ้านี่ไม่ธรรมดาจริงๆ!” จิงฉิงเทียนมองมู่เฉินด้วยความกระหายเลือดขณะพูดช้าๆ

ตอนนี้ไม่มีอาการดูถูกเหยียดหยามในสายตาของเขาแล้ว จากการปะทะกันก่อนหน้าเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าในแง่ของพลังการต่อสู้มู่เฉินไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวเขาเลย

ชายคนนี้เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่เขาไม่สามารถดูถูกได้

มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งขรึมขณะมองเทพอสูรที่อยู่ด้านหลังจิงฉิงเทียนเช่นกัน ร่างเทพอสูรที่จิงฉิงเทียนเรียกออกมาทรงพลังมากเลยทีเดียว แม้ว่าอีกแปดหัวจะพร่ามัวไปหน่อย แต่ก็แข็งแกร่งกว่าสิงโตทองคำทั่วไปมาก

ถ้าวันหนึ่งชายคนนี้สามารถเปลี่ยนจากภาพหัวลวงตาทั้งแปดให้กลายเป็นภาพจริง คงไม่นานที่จิงฉิงเทียนจะกลายเป็นเทพอสูรราชสีห์ทองคำเก้าหัวแล้ว

แต่น่าเสียดายที่ความยากลำบากในการพัฒนาสู่การเป็นเทพอสูรราชสีห์ทองคำเก้าหัวเกินกว่าจินตนาการ ในหมื่นปีที่ผ่านมายังไม่มีผู้ใดในเผ่าประสบความสำเร็จได้

แต่ถึงอย่างนั้นร่างเทพอสูรของจิงฉิงเทียนก็ไม่ง่ายที่จะจัดการ

‘แต่ก็ถึงเวลาที่ศึกนี้จะจบลงเสียที’

ขณะที่หัวใจของมู่เฉินเปล่งประกายความคิดนี้ ดวงตาของจิงฉิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างช้าๆ ในเมื่อศัตรูตรงหน้าบีบให้เขาใช้ร่างเทพอสูรออกมา เขาก็ไม่จำเป็นต้องยั้งมืออีกต่อไป

โฮก!

คิดถึงจุดนี้ มือของจิงฉิงเทียนก็ประสานกันอย่างช้าๆ ราชสีห์ทองคำเก้าหัวที่อยู่ข้างหลังก็ส่งเสียงคำรามกึกก้องราวกับฟ้าคำรน

จิงฉิงเทียนมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะที่กำมือแน่นหนาแล้วชกออกไปอย่างเชื่องช้า

ที่ข้างหลังราชสีห์ทองคำเก้าหัวก็ยื่นกรงเล็บออกมา รัศมีครอบงำกลืนกินพุ่งลงมาราวกับทรราชในวินาทีนั้น

แม้ว่าหมัดนี้จะเชื่องช้า แต่เมื่อเหวี่ยงออกไป ฟ้าดินก็ถึงกับก็แข็งตัว มีเพียงรัศมีหมัดครอบงำเท่านั้นที่ยังเปี่ยมไปด้วยพลังราวกับว่าเป็นผู้ครองพิภพ

ดวงตาของมู่เฉินหดลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แม้แต่เขายังรู้สึกว่าหมัดของจิงฉิงเทียนคุกคามอย่างมาก วิชาหมัดนี้จะต้องเป็นวิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็มแน่นอน

“หมัดราชสีห์กลืนวิญญาณ!”

จิงฉิงเทียนเปล่งเสียงคำรามลึกที่เต็มไปด้วยพลังครอบงำ ทันใดนั้นแสงสีทองก็ระเบิดขึ้น หมัดของเขากลายเป็นหัวสิงโตคำรามเปิดปากกว้าง พลังงานหลิงระหว่างฟ้าดินก็เดือดพล่าน เทลงไปที่หัวสิงโตทองคำไม่รู้จบ ราวกับว่ากำลังถูกกลืนกิน

ขณะที่หมัดพุ่งเข้ามาก็ทำให้ชั้นบรรยากาศแตกเป็นเสี่ยงๆ ชั้นดินเบื้องล่างพังทลายเป็นชั้นๆ รอยแตกขนาดใหญ่แผ่ออกไปอย่างรวดเร็วในป่าแห่งนี้

“มู่เฉิน ระวัง!”

หานซันและคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ชัดว่าต่างรู้สึกถึงความน่ากลัวในกระบวนท่าของจิงฉิงเทียน หมัดที่มีพลังเช่นนี้ทำให้กระทั่งพวกเขายังรู้สึกหวาดกลัวจับใจ

มู่เฉินยืนอยู่เบื้องหน้าร่างเทพสุริยะ สายตามองไปที่หมัดราชสีห์ที่ทะยานเข้ามา เขาสูดหายใจลึกแต่ก็ยังไม่มีความกลัวบนใบหน้า มือของเขาประสานกัน ตราประทับเปลี่ยนแปลงวูบไหว

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

เมื่อตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงวูบไหว ดวงตะวันสีทองบนร่างเทพสุริยะก็ลุกโชน เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นดวงตะวันถึงห้าดวงเลยทีเดียว

ตู้ม!

ทันใดนั้นดวงตะวันสีทองห้าดวงก็ระเบิดออกพร้อมกับสายธารทองคำเชี่ยวกรากไหลออกมาจากหมัดร่างเทพสุริยะราวกับของเหลวสีทองก่อร่างเป็นหอกทองคำขนาดใหญ่ในมือของร่างเทพสุริยะ มีดวงตะวันโชติช่วงห้าดวงลอยขึ้นที่ปลายหอก ขณะที่เคลื่อนไหวก็เหมือนมีพลังในการทำลายสวรรค์

“คลื่นเก้าตะวัน เปิดห้าตะวัน—หอกสุริยะ!”

แสงสีทองแวววับในดวงตาของมู่เฉินขณะเปล่งเสียงคำรามในใจ หอกในมือร่างเทพสุริยะก็เบ่งบานด้วยประกายแสงพร่างพราวนับไม่ถ้วน อึดใจมิติก็ถูกทะลวง ปะทะกับหมัดราชสีห์ที่เข้ามาอย่างดุเดือด

เผชิญหน้ากับกระบวนท่าเช่นนี้ของจิงฉิงเทียน มู่เฉินก็ไม่กล้าประมาท เขาดึงทักษะเทห์สวรรค์ออกมาใช้ทันที

ตู้ม!

จังหวะที่ปะทะกันฟ้าดินก็โยกคลอน คลื่นกระแทกสีทองกระจายออกไป กระทั่งมิติยังถูกฉีกออกเป็นรอยน่าสะพรึงกลัวจำนวนมาก

ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์สีทองลุกโชนเกิดในจุดปะทุกัน แม้แต่มิติก็ถูกบิดเบือน

หอกกั้นหมัดไว้ได้ ทว่าก็ทำเอาคิ้วของมู่เฉินขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

สายตาพุ่งผ่านแสงสีทอง มองไปที่จิงฉิงเทียนในระยะไกล จากนั้นก็สังเกตเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากอีกฝ่ายก่อนที่เสียงจะถูกส่งมาอย่างไม่ชัดเจน “แกคิดว่านี่หมดแล้วเหรอ?”

เมื่อจิงฉิงเทียนพูดจบหมัดก็เคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ อีกครั้ง

เมื่อเขาเหวี่ยงหมัดออกมา ทั่วบริเวณก็หม่นแสงลง หมัดระเบิดออกมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงสิงโตคำรามดังก้องไปทั่วขอบฟ้า

“หมัดราชสีห์กลืนฟ้า!”

การเหวี่ยงหมัดออกไป ทำให้ทั่วทั้งมิติพรั่งพรูด้วยการครอบงำ ราวกับว่าท้องฟ้าก็จะถูกหัวสิงโตกินไป

ภาพหัวสิงโตพุ่งเข้าหาแสงสีทองทันที แสงสีทองครอบงำพุ่งทะยานขึ้น หอกทองคำที่เผชิญหน้ากับหมัดก็บิดเบี้ยวเล็กน้อย ชัดว่าเริ่มต้านไม่ไหวแล้ว

ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมลงอีกหลายส่วน

แต่เมื่อจิงฉิงเทียนเห็นภาพนี้ เขากลับยิ้มไม่มีท่าทีจะหยุด คลื่นหลิงในร่างกายปะทุถึงขีดสุด จนหมอกหนาแน่นของคลื่นหลิงโหมกระหน่ำ

จากนั้นมู่เฉินก็เห็นจิงฉิงเทียนยกกำปั้นขึ้นและชกออกมาอีกครั้ง

“หมัดราชสีกลืนเทพ!”

เมื่อหมัดนี้ซัดออกมา กระทั่งหัวใจของมู่เฉินยังสั่นไหว เขารู้สึกเจ็บแปลบบนผิวหนัง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าร่างกายกำลังถูกคุกคามอย่างหนัก

ฟิ้ว!

หมัดราชสีห์ทั้งสามพุ่งเข้ามารวมตัวกันบนท้องฟ้า เมื่อหลอมรวมเข้าด้วยกัน ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปรุนแรง

ปัง!

ทันใดนั้นหอกของเขาก็ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์โดยหมัดทั้งสาม

“นั่นมัน…”

เมื่อหานซันมองฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปรุนแรง สายตาแตกตื่นตกใจ “สุดยอดวิทยายุทธเผ่าราชสีห์ทองคำ หมัดเทพราชสีห์สามกลืนกิน!”

“จิงฉิงเทียนประสบผลสำเร็จในการฝึกฝนทักษะนี้แล้วรึ?!”

ใบหน้าของจิ่วโยวบูดบึ้งเช่นกันขณะที่กำหมัดแน่น ทุกหมัดของจิงฉิงเทียนเล่าลือกันว่าเทียบได้กับวิทยายุทะระดับเสินซู่ขั้นเต็มเลยทีเดียว เมื่อทั้งสามหมัดหล่อรวมเข้าด้วยกัน พลังอำนาจก็จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากลัว แม้ว่าอาจจะไม่สามารถเทียบเคียงกับวิทยายุทธเสมือนระดับเสินทง แต่ก็น่าสะพรึงแท้จริง!

เมื่อจิงเลี่ยเห็นฉากนี้ก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ในที่สุดจิงฉิงเทียนจินชิงก็ใช้กระบวนท่าสุดยอดแล้ว มู่เฉินเป็นพวกอวดดี หากเขาขัดขวางตั้งแต่แรก จิงฉิงเทียนก็อาจไม่สามารถใช้กระบวนท่านี้ได้อย่างราบรื่น

แต่ตอนนี้สายเกินไปแล้ว!

“ก่อนหน้านี้เจ้าสร้างค่ายกลขณะที่พวกข้าไม่ได้สนใจ ครั้งนี้ข้าจะให้เจ้าได้ชิมผลจากความประมาทบ้าง! แต่แค่เจ้าไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้อีกแล้ว!”

ขณะที่สายตาของผู้คนเบื้องล่างกะพริบวูบไหว สายตาไม่แยแสของจิงฉิงเทียนก็จ้องมู่เฉินเขม็ง ราวกับว่ากำลังมองเหยื่อที่จะถูกล่า

นี่คือไพ่ตายของเขา เมื่อเขาออกกระบวนท่านี้เสร็จสิ้น ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉิน ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะอยู่ในระดับเดียวกับเขาก็จะต้องพ่ายแพ้!

ตู้ม!

ไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้าจิงฉิงเทียนเมื่อชกหมัดออกไป เสียงเย็นดังก้องระหว่างสวรรค์และโลก

“หมัดเทพราชสีห์สามกลืนกิน ทำลายล้างสรรพสิ่ง!”

โฮก!

ภายในแสงสีทองโหมกระหน่ำ เสียงสิงโตก็แผดดังกึกก้อง พายุรุนแรงกวาดตัวไปมาระหว่างชั้นฟ้าและชั้นฟ้าดินประหนึ่งภัยพิบัติแห่งสวรรค์ ในแสงสีทองหัวสิงโตทองคำขนาดประมาณหมื่นจั้งก็ค่อยๆ เปิดปากดุร้าย เล็งเป้าไปที่มู่เฉินจากระยะไกล

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ปากใหญ่โตราวกับหลุมดำกลืนกินสิ่งมีชีวิต แต่ตอนนี้ในหลุมดำนั้นกลับมีของเหลวสีทองน่าเกรงขามรวมตัวกัน ทุกหยดของเหลวทองคำมีความผันผวนที่น่ากลัว

ครืน!

ของเหลวสีทองพุ่งออกมาอย่างรวดเร็วเหมือนกระแสน้ำเชี่ยว เผยให้เห็นพลังในการทำลายล้าง ในเส้นทางที่ผ่านเกิดรอยแตกร้าวในมิติ ราวกับว่าทุกสรรพสิ่งที่ขวางจะถูกหลอมละลายหายไป

ช่างครอบงำยิ่งนัก!

กระแสคลื่นทองคำเคลื่อนตัวผ่านมิติประชิดเข้ามา ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างที่สุด เขารู้ว่าถ้าปล่อยให้กระแสคลื่นทองคำนั้นโดนตัว เขาจะได้รับบาดเจ็บหนักแม้จะมีร่างกายที่แข็งแกร่งก็ตาม

ไพ่ตายของจิงฉิงเทียนน่าเกรงขามจริงๆ!

ดูท่าข้าก็ไม่สามารถยั้งอะไรอีกแล้ว

เมื่อความคิดผุดขึ้นในใจ มู่เฉินก็วาดตราประทับขึ้นมาทันทีขณะที่เกิดภาพมายาพวยพุ่งออกไป เวลาเดียวกันจุดจื้อจุนไห่ก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง กระแสคลื่นหลิงมากมายไหลหลั่งไหลเข้าไปในร่างเทพสุริยะ

จากนั้นร่างเทพสุริยะก็เปล่งประกายด้วยรัศมีนับไม่ถ้วน

ดวงตะวันลุกโชนขึ้นทีละดวงจากร่างเทพสุริยะอีกครั้ง

“จะใช้วิชาเดิมอีกเรอะ? แกประเมินค่าตัวเองมากเกินไปแล้ว!” เมื่อจิงฉิงเทียนเห็นภาพดังกล่าวก็ยิ้มเยาะขึ้นทันที

ดวงตะวันสีทองห้าดวงลอยคว้างอยู่ที่กลางหว่างคิ้วของร่างเทพสุริยะ ทว่าเมื่อดวงตะวันดวงที่ห้าส่องสว่างขึ้น มู่เฉินก็สูดหายใจเข้าลึก ตราประทับในมือเปลี่ยนไป

ฮึ่ม!

ที่ท้องของร่างเทพสุริยะ แสงสีทองก็มารวมตัวกันก่อนที่จะกระจายออก ดวงตะวันสีทองปรากฏขึ้นอีกดวง

คลื่นเก้าตะวัน เปิดหกตะวัน!

อาการเยาะเย้ยบนใบหน้าของจิงฉิงเทียนแข็งทื่อ แววตาเริ่มเย็นชาลง มู่เฉินยังสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้อีกรึ?

ทว่าเมื่อดวงตะวันดวงที่หกถูกปลดปล่อยออกมา ดวงตาของมู่เฉินก็กะพริบวูบไหว เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าถ้ามีพลังงานเพียงพอการปลดปล่อยดวงอาทิตย์ดวงที่หกอาจยังไม่ใช่ขีดจำกัดของเขา

เพียงแต่ว่าเขาได้เทพลังงานทั้งหมดลงไปในร่างเทพสุริยะแล้ว ไม่มีพลังงานที่จะปลดปล่อยดวงอาทิตย์ดวงที่เจ็ดได้อีก

ไม่ เดี๋ยวก่อน…

สายตาของมู่เฉินหดลง ขณะที่ก้มหัวลงมองพลังกายที่มี พลังที่บรรจุอยู่ในพลังกายของเขายามนี้ไม่ได้ด้อยกว่าพลังหลิงเลย

เมื่อเกิดความคิดนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป มือสร้างตราประทับรวดเร็ว ทันใดนั้นเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก็ดังขึ้น ม่านตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีทองคำตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ พลังงานทรงพลังไหลเวียนผ่านร่าง จากนั้นก็เทพลังงานทั้งหมดนี้ลงไปในร่างเทพสุริยะ

พร้อมกับพลังงานมหาศาลที่เทลงไป มู่เฉินก็ดีใจมากเมื่อรู้สึกได้ว่ามีแสงสีทองปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วตรงหัวใจของร่างเทพสุริยะ หลังจากนั้นแสงพร่าวพราวก็กำจายออกมาอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ กลุ่มแสงสีทองก็ก่อตัวเป็นดวงตะวันดวงใหม่ที่ลุกโชนขึ้น!

ในที่สุดดวงอาทิตย์ดวงที่เจ็ดก็ถูกปลดปล่อยออกมาในเวลานี้อย่างแท้จริงแล้ว!

คลื่นเก้าตะวัน เปิดเจ็ดตะวัน!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1032 ปะทะอย่างดุเดือด
ตู้ม!

แสงสีทองป่าเถื่อนกวาดออกมาทั่วบริเวณ ราวกับดวงอาทิตย์ลุกโชติช่วงในจุดที่ปะทะกัน คลื่นกระแทกทองคำน่าสะพรึงทำลายล้างเป็นวงกว้าง พื้นดินพังทลายทีละชั้น..ละชั้นจากแรงปะทะ

จอมยุทธ์สามคนเผ่าแรดอสูรกับมั่วหลิงได้ถอยห่างออกไปนานแล้ว แต่ถึงกระนั้นคลื่นกระแทกก็ยังส่งผลทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดบนผิวหนัง

แต่ละคนจ้องมองที่จุดกำเนิดของแสงสีทอง ตรงจุดนั้นเมื่อดวงอาทิตย์สีทองปรากฏขึ้นที่แสงสีทองอันน่าสะพรึงก็ระเบิดออกมาอีกครั้ง

ปัง!

แสงสีทองกวาดออก ร่างสองร่างก็พุ่งถอยออกมาทันที

ทุกย่างก้าวของมู่เฉินทำให้เกิดปากหลุมแผ่ออกไประยะร้อยจั้งบนพื้นดิน เกิดระลอกคลื่นในมิติขณะสร้างความผันผวน

มู่เฉินถอยหลังไปได้หลายสิบก้าวก่อนจะทรงตัวได้มั่นคง แสงสีทองพวยพุ่งขึ้นบนพื้นผิวทำให้เขาดูทนทานอย่างยิ่ง แต่ยามนี้เขามีสีหน้าเคร่งเครียดขณะมองไปที่เบื้องหน้า

หมัดเมื่อครู่เขาได้เร้าวิชากายามังกรหงส์ขั้นสองจนถึงขีดสุด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่สามารถได้เปรียบในกระบวนท่านี้

พลังของจิงฉิงเทียนเกินกว่าระดับของจงเถิงไปไกลอย่างแท้จริง

ขณะที่ใบหน้าของมู่เฉินมืดครึ้ม จิงฉิงเทียนก็ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมกับก้มมองที่กำปั้นของตัวเองโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ทว่าในดวงตากลับมีแรงสั่นสะเทือนวูบวาบ

“พลังกายแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้!” จิงฉิงเทียนมองมู่เฉินขณะพูดช้าๆ

แม้ว่าหมัดของมู่เฉินจะไม่ทำให้เขาบาดเจ็บ แต่เขารู้ว่าในการปะทะกระบวนท่าก่อนหน้าเขามีข้อเสียเปรียบเล็กน้อย ซึ่งหมายความว่าในแง่ของความแข็งแกร่งทางพลังกายเพียงอย่างเดียว มู่เฉินแข็งแกร่งกว่าเขาด้วย

ดังนั้นแม้แต่เขายังอดตกใจไม่ได้เลย เพียงแค่พลังกายของมู่เฉินอย่างเดียว ก็เปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว มิน่าล่ะภัยคุกคามที่เขารู้สึกจากมู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้นกลับเกินกว่าจอมยุทธ์ส่วนใหญ่ในขั้นเจ็ด

จากที่ไกลใบหน้าของจิงเลี่ย ฮั่วหยังและคนอื่นๆ ที่มองการต่อสู้ก็เปลี่ยนไป ในเวลานี้พวกเขาถึงได้เข้าใจว่าในกลุ่มของคู่ต่อสู้ หานซันและจิ่วโยวไม่ได้เป็นภัยคุกคามมากที่สุด ตรงกันข้ามกลับเป็นมู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น

ชายคนนี้ไม่เพียงแต่สามารถสร้างค่ายกลระดับเทียน กระทั่งพลังกายของเขาก็สุดยอดไม่แพ้กัน

โชคดีที่เขามีขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น ไม่เช่นนั้นหากอยู่ในขั้นเจ็ดละก็ วันนี้ต่อให้มีจิงฉิงเทียนอยู่ที่นี่ก็คงยากที่จะปราบปรามอีกฝ่ายได้

จิงเลี่ยและฮั่วหยังแลกเปลี่ยนสายตากันต่างก็รู้สึกโล่งใจ แม้ว่าเมื่อสักครู่มู่เฉินจะสกัดการโจมตีของจิงฉิงเทียนได้ แต่ก็เป็นเพราะจิงฉิงเทียนไม่ได้ใช้พลังหลิง ถ้าเขาใช้คลื่นระดับสูงสุดของขั้นเจ็ด กระทั่งมู่เฉินก็ต้องแพ้ยับแน่

บนท้องฟ้าจิงฉิงเทียนพยักหน้าเบาๆ “ไม่รู้ว่าเจ้าเพาะบ่มพลังกายให้ทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร ในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่ข้าได้พบน้อยมากที่มีคนสามารถฝึกฝนพลังกายได้ในระดับเดียวกับเจ้า”

พูดถึงตรงนี้จิงฉิงเทียนก็หยุดชะงัก จากนั้นรอยยิ้มอำมหิตและกระหายเลือดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ดังนั้นเพื่อแสดงความจริงใจ ข้าจะให้เจ้าได้สัมผัสถึงพลังยิ่งใหญ่ของระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดมั่ง!”

ตู้ม!

ทันทีที่พูดจบ พายุทอร์นาโดพลังงานสีทองก็ระเบิดขึ้น ซึ่งเหมือนเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และโลก ช่างเป็นฉากที่น่าตื่นตายิ่งนัก

แรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลังถูกปลดปล่อยออกมา

“แกกล้ารับหมัดจากข้าอีกไหม?!”

จิงฉิงเทียนยืนอยู่ท่ามกลางพายุทอร์นาโดราวกับเทพราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เผด็จการ เขาเงยหน้าหัวเราะเสียงดังพลางชกหมัดออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เมื่อหมัดพุ่งออกมา ไม่เพียงแต่มีพลังกายที่น่ากลัวระเบิดขึ้น ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือมีคลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งอยู่ด้วย

นี่เป็นสายธารทองคำที่ราวกับเชื่อมโยงระหว่างฟ้าดิน สิ่งใดที่ขัดขวางก็จะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์

หมัดของจิงฉิงเทียนทำให้สีหน้าของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเปลี่ยนแปลง หากถูกซัดเข้าตัวต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่

ตอนนี้แม้แต่หานซัน จิ่วโยวและคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามทรงพลังถูกปล่อยออกมาจากหมัดของจิงฉิงเทียน

สายธารสีทองเชื่อมโยงฟ้าดินสะท้อนในม่านตาของมู่เฉิน สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเช่นกัน แต่กลับไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย

จิงฉิงเทียนทรงพลังอย่างแท้จริง แต่ก็เป็นเรื่องเพ้อฝันที่คิดจะทำให้เขากลัว

บางทีอาจมีความยากลำบากไปบ้างถ้ามู่เฉินต้องการเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าใครคิดว่าเขาอาศัยร่างกายล้วนๆ พวกเขาก็ถึงวาระแน่…

กร๊อบ

ทันใดนั้นมือของมู่เฉินก็กำแน่น อึดใจถัดมามิติก็ผันผวนอยู่ข้างหลัง มหาสมุทรคลื่นหลิงแผ่ซ่านออกมา นี่คือจุดจื้อจุนไห่ของเขา

ในจุดจื้อจุนไห่ ทะเลพลังดันคลื่นหมื่นจั้งขึ้นมา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

ฮา

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกแล้วเหยียดมือออกพร้อมกับหันฝ่ามือไปข้างหน้า

แสงสีทองทรงพลังทะลุผ่านขอบฟ้า ขยายอย่างรวดเร็วในม่านตาของมู่เฉิน สุดท้ายก็กวาดเข้ามา

ทันทีที่คลื่นกระแทกน่าสะพรึงมาถึง จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ปรากฏขึ้นบนแขนทั้งสองของเขา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพุ่งออกมาจากฝ่ามือ ก่อร่างเป็นโล่มังกรหงส์ที่เบื้องหน้า

“โล่ทองคำมังกรหงส์!”

ตู้ม!

พริบตาที่สร้างโล่ทองคำขึ้น แสงสีทองทรงพลังก็พุ่งเข้าใส่ ทำให้มิติถึงกับบิดเบือน แต่ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือไม่ว่าลำแสงสีทองจะอาละวาดแค่ไหน โล่ที่ดูบางเฉียบสีทองตรงเบื้องหน้ามู่เฉินก็ตั้งตระหง่าน ไม่มีร่องรอยการแตกสลาย

ลำแสงสีทองจางลง ก่อนที่จะหดตัวอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายคลื่นหลิงภายในก็สลายอย่างสมบูรณ์

เมื่อลำแสงสีทองหายไปโล่ทองคำก็แตกกลายเป็นประกายแสงสีทองปกคลุมท้องฟ้า

“แกเสียเปรียบแน่ถ้าดูถูกขุมพลังขั้นหกของข้า” เมื่อโล่ทองคำหายไปมู่เฉินก็มองจิงฉิงเทียนพร้อมรอยแย้มยิ้ม

จิงฉิงเทียนขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้คลุมเครือว่าถึงแม้การฝึกฝนขุมพลังหลิงของมู่เฉินจะอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น แต่ความแข็งแกร่งของคลื่นหลิงก็อยู่เหนือกว่าจอมยุทธ์คนอื่นๆ ในระดับเดียวกัน

ไม่ว่าจะเป็นพลังกายหรือพลังหลิง มู่เฉินก็มีความสามารถสูง

ตัวปัญหาจริงๆ

แต่ก็มีเพียงศัตรูตัวฉกาจแบบนี้เท่านั้นที่สามารถปลุกวิญญาณการต่อสู้ของเขาได้ การเหยียบย่ำศัตรูเช่นนี้ให้อยู่ใต้ฝ่าเท้า ถึงจะทำให้เขาก้าวไปสู่ความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่อง!

เส้นทางของการฝึกฝนจำเป็นต้องเอาชนะศัตรูที่ทรงพลังครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่แล้ว!

“ฮ่าๆ เสียเปรียบเหรอ? น้อยคนที่จะทำให้ข้าเสียเปรียบได้ แต่ข้าไม่คิดว่าคนอย่างแกจะมีคุณสมบัติเป็นหนึ่งในนั้นนะ” จิงฉิงเทียนหัวเราะเสียงเย็น อึดใจต่อมาก็กระทืบเท้าลงไป อากาศที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าระเบิดออก ร่างเงาของเขากลายเป็นลำแสงสีทองยิงออกมาพร้อมกับเสียงคำรามของสิงโตในกำปั้นพุ่งเข้าซัดมู่เฉิน

แสงสีทองพร่างพราวปกคลุมร่างมู่เฉิน เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก้องกังวานไปทั่วสรรพางค์กายไม่มีที่สิ้นสุด ทะเลพลังที่อยู่ข้างหลังก็ผันผวน พลังกายภาพและพลังงานหลิงหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ เขาเลือกเข้าประจัญบานกับพายุการโจมตีของจิงฉิงเทียนโดยตรง

ตู้ม! ตู้ม!

ร่างเงาสีทองสองร่างโรมรันพันตูกันอย่างดุเดือดบนท้องฟ้า กำปั้นและฝ่ามือซัดกันนัว การปะทะกันทุกครั้งทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง ขณะที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นฟ้าดินไปหมด

ที่เบื้องล่างทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะมองการปะทะกันบนท้องฟ้า คลื่นกระแทกที่กวาดออก ทำให้เมฆภายในรัศมีหลายหมื่นจั้งแตกสลายอย่างสมบูรณ์

ในเวลาเพียงไม่กี่นาที จอมยุทธ์ทั้งสองบนท้องฟ้าก็แลกเปลี่ยนกระบวนท่าไปร้อยกว่าท่าแล้ว

ทั้งสองฝ่ายเลือกวิธีที่ตรงแรงที่สุดในการปะทะโดยไม่มีการหลบหลีกใดๆ ทุกหมัดซัดลงบนร่างกาย การเผชิญหน้าที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ทำให้หานซันและคนอื่นๆ รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด

ฝั่งจิงเลี่ยและฮั่วหยังก็มีสีหน้าน่าเกลียดยิ่งขึ้น เมื่อมู่เฉินปะทะกับจิงฉิงเทียนแล้วยังไม่ตกอยู่ในฝ่ายเสียเปรียบ พวกเขาไม่คิดว่าต่อให้จิงฉิงเทียนจะงัดคลื่นหลิงในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดออกมา เขาก็ยังไม่สามารถบดขยี้มู่เฉินได้

“ทำไมเจ้านั่นถึงทรงพลังขนาดนี้?” จิงเลี่ยกัดฟันพลางรู้สึกอึ้งในใจ ที่แท้หานซันก็ได้เชิญผู้ช่วยที่ทรงพลังเช่นนี้มา โชคดีที่ครั้งนี้พวกเขาเตรียมตัวมาอย่างดีไม่งั้นคงต้องแพ้ให้หานซันจริงๆ

“แม้ว่าไอ้นั่นจะทรงพลังแต่พื้นพลังยังคงอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น ความหนาแน่นของคลื่นหลิงด้อยกว่าพี่ใหญ่อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาไม่น่าจะยืนหยัดได้นานในสถานการณ์นี้ได้”

ดวงตาของจิงเลี่ยวาบวับ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอัจฉริยะ จึงมีสายตาค่อนข้างแหลมคม ดังนั้นเขาจึงพบจุดสำคัญในทันที แม้ว่าการต่อสู้ตอนนี้อาจจะดูสูสี แต่มู่เฉินจะแพ้แน่นอนหากการต่อสู้ถูกลากยาวออกไป

ตู้ม!

ภายใต้สายตาที่จับจ้องมามากมาย การปะทะกันน่าอัศจรรย์อีกครั้งก็เกิดขึ้นบนท้องฟ้า ร่างเงาทั้งสองถลาออกไป ขณะที่เสื้อผ้าขาดวิ่นกันไปหมด ท่าทางสะบักสะบอมกันน่าดู

บนร่างกายของพวกเขามีรอยฟกช้ำมากมาย พวกเขาประสบกับพลังทรงประสิทธิภาพของคู่ต่อสู้ ดีที่พวกเขามีพลังกายอันแข็งแกร่ง ไม่งั้นถ้าเป็นคนอื่นร่างกายคงแตกยับเยินไปนานแล้ว

การหายใจของจิงฉิงเทียนหนักหน่วง เขามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตากระหายเลือด อึดใจก็ฉีกยิ้มให้มู่เฉิน ยื่นมือออกเช็ดเลือดที่มุมปาก เขาไม่ได้พูดอะไร สร้างตราประทับในมือทันที

โฮก!

เสียงคำรามของสิงโตที่น่าอัศจรรย์ดังกึกก้อง แสงสีทองพุ่งออกมาจากด้านหลัง สุดท้ายก็กลายเป็นร่างแสงสีทองขนาดพันจั้ง

นอกจากนี้ยังมีภาพซ้อนของหัวสิงโตทองคำแปดหัวบนหัวสิงโตขนาดใหญ่นั้นด้วย ทว่าหัวเหล่านั้นค่อนข้างเบลอและไม่ค่อยชัดเจน

แต่นั่นก็เพียงพอพิสูจน์ว่าจิงฉิงเทียนได้ปลุกสายเลือดราชสีห์ทองคำเก้าหัวแล้ว

“จิงฉิงเทียนถึงกับเรียกร่างเทพอสูรออกมาเลย…” เมื่อหานซันและคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ดวงตาก็หดลง ในฐานะที่เป็นเทพอสูร พวกเขาเข้าใจดีว่าเมื่อเรียกร่างเทพอสูรขึ้นมาความแข็งแกร่งในการต่อสู้ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ฮา

มู่เฉินมองราชสีห์ทองคำเก้าหัวที่ยืนตระหง่านก็สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด จากนั้นมือทั้งคู่ก็ประสานกันก่อร่างตราประทับ

แสงหลิงที่ไร้ขอบเขตกวาดเป็นวงรัศมี จากนั้นทุกคนก็สามารถเห็นร่างเทห์สวรรค์ใหญ่โตก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังมู่เฉินอย่างช้าๆ

ร่างนี้มีสีทองเช่นเดียวกับพระพุทธรูปทองคำ มีดวงตะวันลุกโชติช่วงอยู่ด้านหลังศีรษะปกคลุมไปด้วยความลึกลับ สั่นสะเทือนทั่วฟ้าดิน

แกมีร่างเทพอสูร

ข้าก็มีร่างเทห์สวรรค์เช่นกัน

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มาดูกันว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้าย?!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1031 จิงฉิงเทียน
แสงสีทองครอบงำกวาดออก

ทำให้พื้นที่ทั้งหมดตกอยู่ในสภาพวินาศสันตะโร แต่หานซัน จิ่วโยวและคนที่เหลือกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน จากนั้นก็หันกลับมองไปในระยะไกลด้วยสายตาเคร่งเครียด

ที่ตรงนั้นจอมยุทธ์สามคนที่ไม่มีใครให้ความสนใจตั้งแต่แรก ร่างธรรมดาร่างหนึ่งก็ค่อยๆ ก้าวย่างออกมา เขามีรูปร่างผอมเพรียว แต่เมื่อเขาเดินออกมาก็มีแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้กระจายออกไป

“ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกบังคับให้แสดงตัวที่นี่… ตอนแรกข้าคิดแค่ต้องการปะทะกับอัจฉริยะเผ่าเทพอสูรระดับสูงเท่านั้น”

เมื่อร่างนั้นเงยหน้าขึ้นก็เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูธรรมดามาก แต่เมื่อเขายิ้มความคมชัดที่น่าสะพรึงก็รวมกันอยู่ในดวงตา

“เจ้าคือ…จิงฉิงเทียน?!”

เมื่อหานซันเห็นชายผู้นี้ม่านตาก็หดลงอดร้องอุทานออกมาไม่ได้ “ได้ข่าวว่าเจ้ากำลังปิดตัวฝึกยุทธ์เพื่อเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นแปดไม่ใช่เหรอ?”

“จิงฉิงเทียน?” มู่เฉินหดดวงตาลงเช่นกัน ชายคนนี้ก็คือหัวหน้ากลุ่มที่ได้รับฉายาว่าวีรบุรุษคู่ทองคำ—จิงฉิงเทียน แต่ฉายานั่นไม่เหมาะกับรูปร่างธรรมดาของเขาเลย

“ง่ายที่จะบรรลุได้ยังไง ดังนั้นข้าจึงออกมาเพื่อหาโอกาสน่ะ…” จิงฉิงเทียนยิ้มขณะยกมือขึ้น ลวดลายหลิงที่แผ่นหลังก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อลวดลายหายไป ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลังผิดปกติลุกโชนขึ้นในร่างกายของเขา

“เจ้าน่าจะสัมผัสถึงข้าได้แล้วสินะ?” จิงฉิงเทียนมองไปที่มู่เฉิน

สายตาของมู่เฉินวูบไหว ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ดังนั้นจึงตั้งระวังไว้ในใจ ตอนที่เขาสังหารจอมยุทธ์เหล่านั้นทีละคน ก็มีเป้าหมายที่จะบังคับให้อีกฝ่ายแสดงตัวตนออกมาเช่นกัน

ทว่าความอดกลั้นของชายคนนี้เกินความคาดหมาย ตอนแรกมู่เฉินต้องการใช้พลังของค่ายกลเทพเผาผลาญฆ่าอีกฝ่ายทันทีที่เขาเผยตัวตนออกมา แต่ใครจะคิดว่าเขาจะทนได้นานขนาดนั้น? ไม่เพียงแต่จะรอจนกระทั่งพลังของค่ายกลลดลงไปครึ่งหนึ่ง ซ้ำยังสามารถหาได้ว่าแถวแสงที่สำคัญอยู่ที่ไหน เมื่อเคลื่อนไหวก็ทำลายสัญลักษณ์หลิงยิ่งและทำลายล้างค่ายกลอย่างรุนแรง

ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือความคิดก็ลึกและยากหยั่ง

“เจ้าช่างโหดเหี้ยม” มู่เฉินพูดเสียงเบา หากชายคนนี้แสดงตัวให้ไวก็สามารถช่วยพรรคพวกไว้ได้

จิงฉิงเทียนยิ้ม “ข้าจะฝังเจ้าไว้กับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะไม่ตายอย่างไร้ค่า”

“งั้นเหรอ?” มู่เฉินหรี่ตาลง

“มู่เฉินระวังตัว ชายคนนี้เป็นยอดอัจฉริยะที่หาได้ยากในเผ่าราชสีห์ทองคำ ซึ่งเทียบได้กับอัจฉริยะเผ่าเทพอสูรชั้นนำเลยทีเดียว ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเขาก็ยังได้รับการพิจารณาให้อยู่ในอันดับต้นๆ ด้วย” เสียงเคร่งเครียดของหานซันถูกส่งมาซึ่งเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างจิงฉิงเทียนซึ่งแข็งแกร่งกว่าหานซันมาก ชายคนนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา

นั่นคือระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดแท้จริง แม้แต่หานซัน จิ่วโยวและคนอื่นก็อ่อนแอกว่าเขา

“ฮี่ๆ ในเมื่อเขาถูกบีบให้ต้องแสดงตัว วันนี้พวกแกทุกคนก็หนีไม่รอด” ฮั่วหยังสาดยิ้มเยาะเย้ย เขาไม่แปลกใจกับการปรากฏตัวของจิงฉิงเทียน ชัดว่ารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาไม่ลังเลที่จะหักหลังหานซัน นอกจากนี้ยังเชี่อว่าเผ่าราชสีห์ทองคำจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย

“แม้ว่าค่ายกลของมันจะมีความสามารถบ้าง แต่ตอนนี้สลายหมดแล้ว หากไม่มีเวลาเพียงพอ มันก็ไม่สามารถสร้างได้อีก!”

เมื่อสักครู่มู่เฉินได้เปิดเผยการใช้ค่ายกลไปแล้ว ดังนั้นด้วยความคิดของจิงฉิงเทียน เขาไม่มีทางให้มู่เฉินตั้งค่ายกลได้อีกแน่นอน มู่เฉินก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นตั้งแต่การปรากฏตัวของจิงฉิงเทียน เขาก็ไม่คิดจะสร้างค่ายกลเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

“เร็วไปหน่อยมั้งที่จะเฉลิมฉลอง” จิ่วโยวเย้ยหยันเสียงเยือกเย็น จิงฉิงเทียนเป็นจอมยุทธ์ไม่ธรรมดาก็จริง แต่ถ้าเขาคิดว่าไพ่ตายของมู่เฉินเป็นค่ายกลละก็ ผิดถนัดแล้ว

เมื่อฮั่วหยังได้ยินคำพูดของนาง เขาก็เค้นเสียงเยาะ คนเหล่านี้ยังคิดพึ่งเจ้าบ้าอย่างมู่เฉินอีกรึ? การเผชิญหน้ากับอัจฉริยะตัวจริงของเผ่าราชสีห์ทองคำ ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินที่ไร้ชื่อเสียง กระทั่งอัจฉริยะอันดับต้นๆ ของเผ่าเทพอสูรก็ต้องให้ความสำคัญกับจิงฉิงเทียน

“พี่มู่ ต้องการให้พวกข้าช่วยไหม?” จอมยุทธ์สามคนเผ่าแรดอสูรก็ทะยานเข้ามาด้วยความระมัดระวัง พวกเขาเหลือบมองจิงฉิงเทียนอย่างหวดาผวา ก่อนที่จะถามเสียงเบา

มู่เฉินส่ายหัวเบาๆ จิงฉิงเทียนทรงพลัง จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาไม่สามารถเผชิญหน้าได้ หากพวกเขาเข้ามาช่วยในการต่อสู้ เขายังต้องแยกความสนใจในการปกป้อง ทำให้สูญเสียประสิทธิภาพในการต่อสู้ของตนเองไป

เมื่อทั้งสามรับรู้ก็ไม่พูดอะไรถอยฉากออกไปทันที แม้ว่าจะค่อนข้างน่าอับอาย แต่พวกเขาก็รู้ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานแน่หากเข้าไปยุ่งในการต่อสู้ระดับนี้

“ดูเหมือนว่าเจ้ามั่นใจในตัวเองมากเลยนะ?” จิงฉิงเทียนก้าวสามขุมเข้ามาช้าๆ หยุดอยู่ห่างจากมู่เฉินประมาณร้อยก้าว เขามองมู่เฉินด้วยสายตาประหลาดใจ

“ไม่งั้นล่ะ?” มู่เฉินยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว

จิงฉิงเทียนพยักหน้าเบาๆ “จิงเลี่ยตาไม่ดี มองไม่ออกเลยว่าเจ้านี่แหละที่เป็นตัวปัญหาใหญ่ที่สุดในกลุ่มนี้ แต่…นี่อาจยังไม่เพียงพอ”

ชายคนนี้ดูธรรมดามากไม่มีอะไรโดดเด่น แต่เมื่อเขาพูดก็มีความรู้สึกกดขี่กวาดออก ตอนนี้เขาถึงได้สมกับชื่อเสียงในฐานะอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าราชสีห์ทองคำ

“งั้นก็ชี้แนะด้วย”

แสงสีทองรวมตัวกันในดวงตาของมู่เฉิน นับตั้งแต่เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ เขาก็ได้พบกับอัจฉริยะจำนวนมากและส่วนใหญ่ไม่อ่อนแอ คุณภาพของพวกเขาสูงกว่าอัจฉริยะภูมิภาคทางเหนือมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะจิงฉิงเทียนที่ยืนอยู่ต่อหน้า ชายผู้นี้เป็นตัวอันตรายที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่เขาเจอมา

แต่เผชิญหน้ากับศัตรูที่อันตรายเช่นนี้ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่กลัว เขายังรู้สึกถึงเลือดในกายเดือดพล่าน นับตั้งแต่เขาบรรลุขั้นสองของวิชากายามังกรหงส์ เขายังไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้ที่บีบรัดหัวใจเลย

ครั้งก่อนที่ต่อสู้กับจงเถิง แม้แต่ชายคนนั้นก็ไม่สามารถบังคับให้เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มีได้

ดังนั้นมู่เฉินก็อยากรู้ว่าตัวเขาจะเป็นอย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดหลังจากเร้ากายามังกรหงส์ไปถึงขีดสุด

จิงฉิงเทียนมองมู่เฉินที่กำจายรัศมีออกมาอย่างช้าๆ ก็หดดวงตาลง “ช่างเป็นพลังกายที่ทรงประสิทธิภาพนัก…”

แม้จะยังไม่ได้สู้ แต่เขาก็สามารถรู้สึกถึงภัยคุกคามที่ทรงพลังที่มาจากพลังกายของมู่เฉิน จากการประเมินของเขาเพียงแค่พลังกายของมู่เฉินก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาจะเผชิญได้แล้ว

“ข้าต้องการท้าทายจอมยุทธ์หลายคนในการพัฒนาครั้งนี้ ตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นหินรองเท้าให้ แต่น่าเสียดายที่หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ที่นี่จะกลายเป็นสุสานของเจ้า”

จิงฉิงเทียนสูดหายใจลึก ความกระหายเลือดพลุ่งพล่านในดวงตา เขามองไปที่มู่เฉินก็ยิ้มกริ่ม สายตาถูกปกคลุมไปด้วยจิตสังหาร ทำให้ดูดุร้ายยิ่งขึ้น

เขาเห็นมู่เฉินเป็นหินรองเท้าสำหรับการพัฒนาไปแล้ว!

“กลัวว่าดาบของเจ้าจะคมไม่พอ ระวังทู่ซะก่อนละ”

มู่เฉินยิ้มบางพร้อมกับย้อนเสียงเรียบ แต่ความหมายที่แฝงอยู่กลับไม่ยอมใคร แม้จะต้องเผชิญกับสีหน้าของจิงฉิงเทียนซึ่งค่อยๆ เปลี่ยนเป็นป่าเถื่อน มู่เฉินก็ไม่คิดจะถอยหนีสักนิด

“ฮ่าฮ่า ดี! แกกล้าดี!”

เมื่อจิงฉิงเทียนได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เขาก็ไม่โกรธกลับหัวเราะสมใจลั่นฟ้า สุดท้ายเสียงหัวเราะก็กลายเป็นเสียงคำรามของราชสีห์ดังกึกก้องไปทั่วขอบฟ้า ทำให้พื้นดินโยกคลอนไปหมด

แสงสีทองครอบงำไร้ขอบเขตระเบิดออกมาจากร่างกายพร้อมกับเส้นผมและดวงตาของจิงฉิงเทียนเปลี่ยนเป็นสีทอง เมื่อมองจากระยะไกลดูเหมือนสิงโตทองคำดึกดำบรรพ์ที่มีพลังอันน่าอัศจรรย์

คลื่นหลิงรุนแรงกวาดออกราวกับคลื่นยักษ์กวนตัวในมิติ พลังนี้ทำให้แม้แต่ใบหน้าของหานซันและจิ่วโยวยังเปลี่ยนไป

“ฮ่าๆ นานแค่ไหนแล้ว ไม่มีคนกล้าพูดกับข้าในลักษณะนี้”

ดวงตาสีทองของจิงฉิงเทียนจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน จากนั้นเขาก็ยิ้มกริ่มพลางหัวเราะร่า “แต่ถ้าเจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดคำเหล่านี้ ข้าจะหักกระดูกแกทีละท่อนเลย!”

“ตู้ม!”

เมื่อพูดจบจิงฉิงเทียนก็กระทืบเท้า พื้นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ายุบตัวลง ร่างทะยานออกไปกลายเป็นแสงสีทองแล้วหายวับไป

เมื่อจิงฉิงเทียนหายตัวไป แสงสีทองก็พวยพุ่งในดวงตามู่เฉิน นั่นเป็นผลจากการเร้าวิชากายามังกรหงส์ ฝ่าเท้าเคาะลง ร่างกลายเป็นลำแสงถอยออกมา

ตู้ม!

กำปั้นทองคำทะลุผ่านมิติปรากฏในตำแหน่งที่มู่เฉินยืนอยู่ก่อนหน้า ทันใดนั้นชั้นมิติแปรปรวน รอยแตกปรากฏขึ้น ชั้นดินพังทลาย

พลาดเป้าไป สีหน้าของจิงฉิงเทียนก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เขาเหวี่ยงกำปั้นทั้งสองออกไปอีกครั้ง ดูราวกับเทพสายฟ้าควงค้อน ทำให้เกิดเสียงดังก้องและพลังรุนแรง

ร่างของมู่เฉินถอยกลับอีกครั้งราวกับต้องการหลบหนี

“ทำไม? เมื่อครู่เจ้าแค่พูดจาวางกล้ามใหญ่โตเหรอ? ทำไมถึงได้น่าอนาถเช่นนี้?” จิงฉิงเทียนเปิดตัวโจมตีไม่ยั้ง เสียงหัวเราะดังขึ้นตามมา

มู่เฉินที่ถอยออกไปก็หยุดชะงักกึก แสงสีทองพวยพุ่งขึ้นถึงขีดสุดในส่วนลึกของรูม่านตา ก่อนที่เขาจะกำหมัดอย่างช้าๆ

บนแขนจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏขึ้น ขณะที่พัวพันไปบนท่อนแขนของเขา เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก็ดังสะท้อนรุนแรงภายในร่างกายของมู่เฉิน ทำให้กระแสโลหิตและรัศมีปั่นป่วน คลื่นหลิงอาละวาดมากขึ้น

ตู้ม!

แสงสีทองระเบิดที่มิติเบื้องหน้า ร่างจิงฉิงเทียนก็วาบขึ้นมาอีกครั้ง หมัดทองคำของเขาปกคลุมเข้ามาราวกับสิงโตกลืนกินท้องฟ้า เหมือนสามารถทำลายแผ่นดินได้เลยทีเดียว

แต่เผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่าตกใจของจิงฉิงเทียน มู่เฉินก็ไม่ถอย เพราะเขารู้สึกได้ว่ากายามังกรหงส์เดือดพล่านถึงขีดสุดแล้ว

เขาไม่สามารถหยุดยั้งพลังระเบิดที่ต้องการระเบิดได้แล้ว

ในเมื่อไม่สามารถระงับได้อีกต่อไปก็ระเบิดกันเลย!

ให้ข้าดูสิว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดจะทรงพลังมากแค่ไหน!

แสงสีทองวาบขึ้นในม่านตาดำของมู่เฉิน แต่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง หมัดที่แผ่ซ่านแสงสีทองก็พุ่งออกไปในเวลานี้

จังหวะนั้นหมัดทรงพลังทั้งสองก็ปะทะกันภายใต้สายตาแข็งค้างมากมาย

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1030 ต้นหญ้า
ครืน!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรุนแรงกวาดออกราวกับพายุในบริเวณนี้ ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ลวดลายแสงนับไม่ถ้วนกระจายออกราวกับใยแมงมุมที่มีจุดกำเนิดจากมู่เฉิน ไม่กี่อึดใจก็ครอบคลุมรัศมีพันจั้ง

ลวดลายแสงถักทอกันแล้วก่อตัวเป็นลวดลายลึกซึ้งในค่ายกลนี้พร้อมกับเกลียวแสงที่ทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัว

มู่เฉินยืนอยู่ในค่ายกล ลวดลายแสงสะท้อนในม่านตาสีดำทำให้เขาดูลึกลับอย่างยิ่ง ค่ายกลระดับเทียนที่เขาสร้างขึ้นนี้มีพลังทรงประสิทธิภาพสูงสุดในบรรดาค่ายกลที่มั่นถัวหลัวมอบให้ ขณะเดียวกันก็เป็นค่ายกลที่สร้างยากที่สุด

ดังนั้นเมื่อเขาเห็นจิงเลี่ย ฮั่วหยังและคนอื่นๆ ปรากฏตัว เขาก็แอบเตรียมการเรียบร้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจอมยุทธ์ห้าคนที่โง่เง่าที่ยืดเวลาให้กับเขา ดังนั้นค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีจึงถูกวางลงอย่างสมบูรณ์

การมีค่ายกลล้อมรอบพื้นที่แห่งนี้ เขาก็อยู่ยงคงกระพันอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

แต่ชัดว่าจอมยุทธ์ทั้งห้าไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้ พวกเขาพุ่งเข้ามาด้วยใบหน้าดุร้าย แสงดุร้ายในดวงตาราวกับต้องการฉีกมู่เฉินเป็นชิ้นๆ

ทั้งห้าเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน แรงที่ส่งออกมาทำเอาสั่นสะเทือนฟ้าดินไปหมด พลังงานหลิงที่ไร้ขอบเขตพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่ฝ่ามือทั้งห้าจะกระแทกลงไปที่มู่เฉิน

มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นแล้วสะบัดนิ้ว

ฮึ่ม!

ภายในค่ายกลเทพเผาผลาญ เสียงครางกระหึ่มสะท้อนก่อนที่แสงสีแดงเข้มสายหนึ่งจะพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ยิงเข้าใส่จอมยุทธ์คนหนึ่ง

เมื่อลำแสงควงสว่านลงมา จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนนั้นก็สัมผัสได้ ทันใดนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะชักช้า คลื่นหลิงภายในร่างกายเร้าออกมาอย่างรุนแรง คลื่นพลังงานไร้ขอบเขตก่อร่างเป็นสิงโตทองคำขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเขากลับสู่ร่างเทพอสูรแล้ว

โฮก!

สิงโตทองคำคำรามลั่นท้องฟ้า สั่นสะเทือนชั้นฟ้าไปหมด ลำแสงที่ดูเหมือนทำจากทองคำพุ่งออกมาทะยานไปยังลำแสงสีแดงเข้มสายนั้น

ฟิ้ว!

แสงสีแดงเข้มพาดผ่านไปอย่างเงียบๆ ลำแสงสีทองที่ดูทรงพลังกลับถูกแยกออกทันที ไม่สามารถขัดขวางลำแสงสีแดงเข้มได้แม้แต่เล็กน้อย

ลำแสงสีทองขาดกระจุย ใบหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนนั้นก็เปลี่ยนไปรุนแรง ความกลัวเพิ่มขึ้นรีบถอยหนีจ้าละหวั่น

ฮึ่ม!

แต่ในทันทีที่ร่างเงานั้นถอยออกไป แสงสีแดงเข้มก็ทะลุผ่านมิติซัดลงไปที่หัว…

ชี่!

เสียงแสบแก้วหูดังก้อง ร่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนนั้นก็แข็งทื่อ สีหน้าแข็งค้าง อึดใจรอยเลือดก็ผุดขึ้นหว่างคิ้ว ก่อนที่จะกระจายออก…

ร่างจอมยุทธ์คนนั้นถูกแยกออกเป็นสองส่วน ดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้า คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรอบตัวหายวับไปกับตา

ในเวลาไม่กี่อึดใจจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนหนึ่งก็ถูกฆ่าตาย

ฉากที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่เพียงแต่สร้างอาการขวัญหนีดีฝ่อให้จอมยุทธ์อีกสี่ที่กำลังพุ่งเข้ามา แม้แต่จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรและมั่วหลิงก็ตกตะลึงไป ใบหน้าฉายความไม่อยากเชื่อ

ไม่มีใครคิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดจะถูกสังหารในพริบตา…

ไกลออกไปม่านตาจิงเลี่ยและฮั่วหยังก็หดลง ในเวลานี้แม้จะเป็นคนใจเย็นก็ยังไม่สามารถระงับหัวใจที่เต้นรัวได้

แม้ว่าคนที่ถูกสังหารจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไป ถ้าในแง่การลงมือโจมตีจิงเลี่ยและฮั่วหยังก็มั่นใจว่าจะสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ ทว่าหากพวกเขาต้องการทำให้สำเร็จง่ายดายเหมือนกับมู่เฉินก็เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้

“ค่ายกลระดับเทียน?!”

ใบหน้าของจิงเลี่ยเคร่งเครียดอย่างที่สุด ก่อนจะเขม่นมองใบหน้าของมู่เฉิน ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมจอมยุทธ์อย่างหานซันจึงสุภาพต่อมู่เฉินนัก ที่แท้ชายคนนี้เป็นหลิงเจิ้นต้าซือที่สามารถสร้างค่ายกลระดับเทียนได้

“ดูเหมือนครั้งนี้เจ้าจะมองผิดไปเยอะนะ” เมื่อหานซันที่กำลังเผชิญหน้ากับจิงเลี่ยได้เห็นฉากนี้ก็ยิ้มเยาะเย้ยออกมา

จิงเลี่ยเค้นเสียงเย็นแต่ไม่ได้พูดอะไรมาก มีเพียงสายตาที่สั่นไหว เขาต้องยอมรับว่าครั้งนี้ตัดสินใจผิดพลาดไป มู่เฉินคงจะเป็นตัวแปรสำคัญ

แต่ไม่ว่าอย่างไร สมบัติของอสูรโบราณโภคะจะต้องเป็นของเผ่าราชสีห์ทองคำ เขาไม่มีทางยอมให้คนอย่างมู่เฉินทำลายแผนแน่

ขณะที่ความคิดนี้ไหลเวียนอยู่ในใจของจิงเลี่ย มู่เฉินก็ปรายตามองคนตายอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปหาอีกสี่คนที่เหลือ

เมื่อจอมยุทธ์ทั้งสี่เห็นการจ้องมองของมู่เฉินก็รู้สึกว่าหนังหัวชาดิก อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหลายก้าว มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความหวาดกลัว จุดที่ลวดลายเกี่ยวพันกัน เหมือนจะมีแสงสีแดงเข้มรวมตัวกันอีกครั้ง

ประจักษ์สายตากับพลังของแสงนี้ไปแล้ว เห็นชัดว่าพวกเขาก็ไม่กล้าประมาทอีกต่อไป

ฮึ่ม

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับอาการตกตะลึงของใคร เขาพลิกนิ้ว เส้นใยแสงสีแดงเข้มอีกสายก็รวมตัวกันหมุนคว้าง แม้จะดูคลุมเครือ แต่ก็มีความผันผวนที่น่ากลัวอย่างมากแผ่ออกไป

แสงนี่รู้จักกันในชื่อแสงเทพเผาผลาญ ซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงที่สุดของค่ายกลเทพเผาผลาญ ค่ายกลชนิดนี้ใช้วิธีการที่ลึกซึ้งในการแปลงและบีบอัดคลื่นหลิงกลายเป็นแสงเทพเผาผลาญ แสงนี่ไม่มีอะไรปิดกั้นได้ สามารถแยกมิติออกจากกันได้เลยทีเดียว

ข้อเสียอย่างเดียวก็คือความยากลำบากในการกลั่นแสงเทพเผาผลาญสูงเกินไป กระทั่งมู่เฉินที่เตรียมสัญลักษณ์หลิงยิ่งมากมายเพื่อยกระดับพลังของคลื่นหลิงให้สูงสุด แต่ค่ายกลก็เพียงกลั่นเส้นใยแสงเทพเผาผลาญได้น้อยนิดเท่านั้น

แต่ก็มากพอแล้วที่จะจัดการกับคนเหล่านี้

ไม่มีริ้วคลื่นในดวงตาของมู่เฉิน อึดใจนิ้วมือเขาก็แตะลง แสงเทพเผาผลาญบีบกดลงมาอีกครั้ง

สีหน้าจอมยุทธ์ที่เหลือเปลี่ยนไปรุนแรง ครั้งนี้พวกเขาไม่มีความคิดสกัดอีกแล้ว เลือกถอยกลับออกไปทันทีโดยไม่ลังเล

ฟิ้ว!

แต่การล่าถอยของพวกเขาไร้ความหมายสิ้นเชิง แสงเทพเผาผลาญเจาะทะลุมิติอีกครั้ง ทะลวงเข้าไปที่หว่างคิ้วของจอมยุทธ์คนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ทำลายจุดจื้อจุนไห่และพลังชีวิตทั้งหมดในตัว

รอยเลือดปรากฏตรงหว่างคิ้ว ท่าทางแข็งทื่อจากนั้นก็หน้าทิ่มลง

ฆ่าด้วยกระบวนท่าเดียวอีกแล้ว!

ใบหน้าของจอมยุทธ์สามคนซีดเผือด ทั่วสรรพางค์กายเย็นเยือก เมื่อมองไปที่มู่เฉิน แววตาของพวกเขาก็ราวกับเห็นยมทูตซึ่งอัดแน่นไปด้วยความหวาดกลัว

มู่เฉินยังคงฉายความเฉยเมยบนใบหน้า ขณะที่เคาะนิ้วอีกครั้ง เส้นใยสีแดงเข้มอีกสายก็พุ่งออกมาจากค่ายกลขณะที่หมุนคว้างก็เปล่งประกายเข้มลึกขึ้น ราวกับอสรพิษที่พร้อมฉกตลอดเวลา

“ออกจากเขตค่ายกล!” ขณะที่จอมยุทธ์ที่เหลือรู้สึกว่าร่างกายเย็นเฉียบลง เสียงคำรามของจิงเลี่ยก็แผดลั่น

เมื่อได้ยินเสียงคำราม พวกเขาก็ฟื้นคืนสติ หมุนตัวรีบหนีออกจากขอบเขตของค่ายกล

มู่เฉินหรี่ตาลง ริ้วแสงไหลมาที่ปลายนิ้ว

ขณะที่มู่เฉินเตรียมจัดการอีกครั้ง เสียงเกรี้ยวกราดของจิงเลี่ยก็ดังขึ้น “ไอ้เวร แกกล้าฆ่าคนจากเผ่าราชสีห์ทองคำของข้ารึ?!”

มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ตอบและใช้การกระทำตอบแทน นิ้วสะบัดออกริ้วแสงสีแดงเข้มก็พุ่งไป หัวของจอมยุทธ์เผ่าราชสีห์ทองคำอีกคนก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว การป้องกันรอบตัวไม่สามารถช่วยได้แม้แต่น้อย

ในเมื่อเผ่าราชสีห์ทองคำคิดโหดใส่ เขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ถ้าไม่แก้แค้นก็ไม่ใช่นิสัยมู่เฉินแล้ว

เมื่อจิงเลี่ยเห็นฉากนี้ ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ สายตาราวกับต้องการฉีกร่างมู่เฉินออกจากกัน

ที่ด้านหลังมู่เฉินจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรสามคนก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ พวกเขาก็รู้แล้วว่าพลังของมู่เฉินไม่ธรรมดา คนที่สามารถซัดลู่สุยจนหน้าคว่ำด้วยหมัดเดียวจะเป็นจอมยุทธ์ธรรมดาได้อย่างไร?

แต่เวลานั้นมู่เฉินก็ไม่น่ากลัวเท่าตอนนี้ ในมือเขาจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเป็นเหมือนต้นหญ้าที่เขาสามารถถอนทิ้งได้ทุกเมื่อที่ต้องการ

ตอนแรกพวกเขาไม่ค่อยพอใจที่หานซันเชิญกลุ่มมู่เฉินมาร่วมแบ่งสมบัติอสูรโบราณโภคะ แต่ตอนนี้พวกเขาดีใจมาก หากครั้งนี้ไม่มีมู่เฉินอยู่ด้วย บางทีพวกเขาคงไม่สามารถเดินออกจากสุสานหมื่นอสูรแบบมีชีวิตได้ด้วยซ้ำ

หลังจากจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสามคนแล้ว สายตามู่เฉินก็มองคนที่เหลืออย่างไม่แยแส ใบหน้าของจอมยุทธ์ที่เหลือขาวซีด ร่างกายสั่นเทาด้วยความกลัว

แสงพล่านมารวมบนปลายนิ้วของมู่เฉินอีกครั้ง

โฮก!

ที่ระยะไกล จิงเลี่ยก็หมดความอดทน เขาปลดปล่อยเสียงคำรามเดือดดาล

“ฆ่ามัน!”

ขณะที่จิงเลี่ยคำราม มู่เฉินก็สะบัดนิ้ว ริ้วแสงสีแดงเข้มพุ่งออกมาเตรียมพร้อมสังหารจอมยุทธ์ที่เหลือ

ฟิ้ว!

ลำแสงนี้รวดเร็วมากปรากฏต่อหน้าจอมยุทธ์คนนั้นในพริบตา ทว่าขณะที่ลำแสงกำลังจะกวาดผ่าน พื้นดินก็สั่นสะเทือน แสงสีทองครอบงำหลายสายพุ่งมาจากขอบฟ้า ก่อนที่จะกระแทกอย่างแม่นยำบนจุดหลายจุด

ดวงตาของมู่เฉินหดลงอย่างรวดเร็ว

นั่นเป็นเพราะจุดเหล่านั้นเป็นจุดสำคัญของโครงสร้างค่ายกล

ปัง!

มิติผันแปร สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ซ่อนอยู่ก็แตกสลาย ทำให้ค่ายกลขนาดใหญ่ค่อยๆ จางหายลง เมื่อค่ายกลสั่นสะเทือน พลังของแสงสีแดงเข้มก็ลดลงอย่างมาก สุดท้ายแค่พุ่งเฉียดอกจอมยุทธ์คนนั้นไป ไม่สามารถฆ่าได้

การเปลี่ยนแปลงฉับพลันส่งผลให้ใบหน้าของพวกหานซันเปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะพลังการโจมตีเมื่อครู่รุนแรงกว่าจิงเลี่ยเสียอีก

ใครกัน?

มู่เฉินมองค่ายกลที่ค่อยๆ สลาย ก็เบ้ปากเบาๆ จากนั้นเขาก็มองไปตรงทิศที่พวกธรรมดาสามคนนั่งอยู่

ม่านตาของมู่เฉินจับจ้องไปที่ชายคนสุดท้ายพร้อมกับแสงวูบไหวในดวงตา

ในที่สุดก็ระงับใจไม่ไหวแล้วรึ?

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1029 ค่ายกลเทพเผาผลาญ
กระแสความตายพุ่งผ่านป่า

เงาร่างนับไม่ถ้วนลอยหวือไกลออกไป สติปัญญาของพวกมันไม่สามารถคิดได้ว่าทำไมเป้าหมายที่เล็งไว้ถึงหายวับไปกะทันหันแบบนี้…

เบื้องหลังความวุ่นวาย หานซันและคนอื่นๆ ที่มองฝูงอสูรวิญญาณจำนวนมากพุ่งออกไป ร่างกายตึงเครียดก็ผ่อนคลายลง อึดใจจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรก็นั่งแปะลงบนพื้นด้วยใบหน้าซีดปากสั่น

ตอนที่กระแสความตายพุ่งเข้ามา พวกเขาคิดว่าจะถึงที่ตายแน่แล้ว

“พี่มู่…ขอบ-คุณ-มาก” หานซันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ใบหน้าฉายความยินดีหลังจากหายนะครั้งนี้ผ่านพ้นไป เขามองไปที่มู่เฉินพลางพูดขอบคุณจากใจ

ครั้งนี้หากไม่ใช่มู่เฉิน พวกเขาอาจโดนไล่จนกลายเป็นหมาจนตรอกเลยก็ได้

มู่เฉินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าแค่ลอง ไม่คิดว่าจะได้ผลจริงๆ”

หานซันไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดมู่เฉิน เขาเข้าใจนิสัยอีกฝ่ายอยู่บ้าง ถ้าชายคนนี้ไม่มีความมั่นใจพอสมควรก็ไม่มีทางเสี่ยงชีวิตของตนลองทำอะไรแบบนี้แน่

แต่ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้พวกเขาก็ปีนออกมาจากปากเหวความตายได้แล้ว

“ด้วยค่ายกลนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถเดินไปมาได้อย่างอิสระในสุสานหมื่นอสูรหรือ?” มั่วเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ

มู่เฉินส่ายหัว “อสูรวิญญาณที่เราพบยังไม่แข็งแกร่ง ดังนั้นเราจึงหลีกเลี่ยงการรับรู้ได้ แต่ถ้าเราพบวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่านี้ วิธีนี้ก็คงไม่ได้ผลแล้ว”

เขาตระหนักถึงปัจจัยนี้แล้วก่อนหน้า ตอนที่ฝูงอสูรวิญญาณเคลื่อนผ่านไป เขารู้สึกชัดเจนว่าอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดละล้าละลังชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่าพวกมันรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง แต่เนื่องจากความเร่งรีบที่ผลักมาจากด้านหลัง พวกมันจึงพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับฝูง ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก

ดังนั้นมู่เฉินจึงอนุมานได้ว่าอสูรวิญญาณที่มีพลังสูงขึ้นก็จะมีการรับรู้ที่ดีเยี่ยมขึ้นเช่นกัน ถึงตอนนั้นหากพวกเขาต้องการหลีกเลี่ยงด้วยการใช้ค่ายกลก็คงฝันหวานเกินไป

เมื่อฝูงอสูรวิญญาณจากไปไกล มู่เฉินก็สะบัดนิ้วมือ ค่ายกลที่ห่อหุ้มพวกเขาไว้ก็สลายลงอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาก็เงยขึ้นมองไปที่ยอดไม้

ตรงนั้น จิงเลี่ย ฮั่วหยังและคนอื่นๆ ต่างมีสีหน้ามืดมน ดวงตาที่เต็มไปไอเข่นฆ่าจ้องมาที่เขา

“ดูท่าจะทำให้พวกเจ้าผิดหวังซะแล้ว…” มู่เฉินมองไปที่อีกฝ่ายที่มีใบหน้ามืดครึ้มลง รอยยิ้มสดใสก็ปรากฏบนใบหน้าเขา

“ฮา ไม่คิดว่าจะมีหลิงเจิ้นซืออยู่ในกลุ่มพวกเจ้าด้วย…คิดไม่ถึงจริงๆ” จิงเลี่ยมองมู่เฉินด้วยสายตามืดมน สาดยิ้มเย็นชา

สายตาของหานซันก็เย็นชาลงขณะจ้องไปที่อีกฝ่ายพลางแสยะรอยยิ้มร้ายกาจ “ข้ากลัวว่าจะไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เจ้าคาดไม่ถึงนะ…จิงเลี่ย ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่สามารถครองสมบัติของอสูรโภคะได้คนเดียวแล้ว”

“งั้นหรือ?”

จิงเลี่ยยกเปลือกตาก่อนที่มุมปากจะโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “หานซัน แกคิดว่าสามารถท้าทายข้าได้ หลังจากหลบจากความตายมาได้งั้นหรือ? ต่อให้ไม่มีความช่วยเหลือจากอสูรวิญญาณแล้วไง? ด้วยคนแค่นี้ของแกคิดว่าจะล้มพวกข้าได้เหรอ?”

การรวมตัวระหว่างสองกลุ่มทำให้พวกเขามีจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดสิบคน ขณะที่พวกมู่เฉินมีแค่ครึ่งเท่านั้น หากเปิดศึกกันชัดว่าพวกเขาได้เปรียบแน่นอน

“งั้นลองหน่อยไหมล่ะ?” หานซันท้าทาย พวกเขาอาจจะไม่ได้เปรียบในเรื่องจำนวน แต่ชัยชนะเกี่ยวกับเรื่องคุณภาพ จิ่วโยวและมั่วเฟิงต่างเป็นจอมยุทธ์ที่เทียบเคียงกับเขาได้ นับว่าโดดเด่นแม้แต่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด ซึ่งห่างไกลจากสิ่งที่พวกทั่วไปสามารถจัดการได้

นอกจากนี้พวกเขายังมีมู่เฉินซึ่งไม่สามารถประเมินกำลังการต่อสู้ได้ การเผชิญหน้ากับคนที่ครั้งหนึ่งเคยชนะลู่สุยด้วยกำปั้นเดียว แม้แต่หานซันยังรู้สึกกลัวในใจ

จากการคาดการณ์กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสี่ถึงห้าคนก็ไม่สามารถได้เปรียบเขา

จิงเลี่ยมองหานซันพลางยิ้มอย่างเย็นชา “ข้าได้ยินชื่อหานซันแห่งเผ่าแรดอสูรมานาน ดูเหมือนว่าข้าจะได้ลิ้มรสในวันนี้แล้ว”

เขาเอ่ยชื่อว่าจะต่อกรกับหานซัน เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที่จะจัดการกับอีกฝ่าย

“ปล่อยจิ่วโยวเผ่าวิหคโลกันตร์มาให้ข้า” ฮั่วหยังมองจิ่วโยวอย่างดุดัน ในมุมมองของพวกเขามีเพียงหานซัน จิ่วโยวและมั่วเฟิงเท่านั้นที่สมควรที่จะให้ความสำคัญ ส่วนคนที่เหลือไม่มีอะไรน่ากังวลเลย

สำหรับไอ้บ้าที่ตั้งค่ายกลก่อนหน้านี้ก็มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น สามารถฆ่าได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกมือเสียอีก

“จิงกังพาอีกคนไปจัดการกับคนนั้น” จิงเลี่ยหันไปมองชายผมสีทองก็พูดเสียงเบา คนที่เขาพูดถึงเป็นมั่วเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย

ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังจิงเลี่ยมีร่างกำยำราวกับว่าทำมาจากโลหะ ผิวของเขาออกสีทองเหลือง แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบเคียงได้กับวีรบุรุษคู่ทองคำได้ แต่เขาก็มีชื่อเสียงเช่นกัน เมื่อบวกกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอีกคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะมั่วเฟิงได้ แต่การรั้งไว้ก็น่าจะไม่ยาก

“รับทราบ!”

จิงกังยิ้มเผยให้เห็นฟันขาว สายตาคมชัดราวกับใบมีดจับจ้องไปที่มั่วเฟิง

ทว่าเผชิญหน้ากับการจ้องมองราวกับหมาป่านั้น มั่วเฟิงก็ยังคงแสดงออกอย่างเฉยเมย ไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ

“อีกห้าคนไปจัดการพวกมันที่เหลือซะ” จิงเลี่ยพูดอย่างไม่แยแส นอกเหนือจากหานซัน จิ่วโยวและมั่วเฟิงแล้ว อีกฝ่ายยังมีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาอีกหยิบมือ การส่งจอมยุทธ์ห้าคนไปน่าจะสามารถจัดการกับพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว

จิงเลี่ยแจกจ่ายงานให้พรรคพวกอย่างรวดเร็ว ดูจากการแบ่งงานก็น่าจะปราบปรามกลุ่มหานซันได้อย่างสมบูรณ์

เห็นได้ชัดว่าจิงเลี่ยมีความมั่นใจในชัยชนะ

จิงเลี่ยยืนเอามือไพล่หลัง สายตาเยาะเย้ยมองหาหานซัน จิ่วโยวและคนอื่นๆ “ถ้าข้าเป็นพวกเจ้าก็คงหนีไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ตอนนี้ถึงจะสามารถหลีกเลี่ยงอสูรวิญญาณได้แล้วไง? ก็ยังส่งตัวเองไปที่ปากหลุมความตายอยู่ดี”

ฮั่วหยังยืนอยู่ข้างจิงเลี่ยก็ยิ้มเย้ยหยันพลางมองไปที่กลุ่มหานซันด้วยความสงสาร ชายคนนั้นคิดว่าที่เขาบอกว่าชอบทำงานกับคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าเป็นการพูดเล่นรึ?

เผ่าราชสีห์ทองคำเตรียมตัวมาดี ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่หานซันจะสั่นคลอนได้

หลังจากแจกจ่ายงานเสร็จ จิงเลี่ยก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างเขาวูบไหวกลายเป็นแสงสีทองมาปรากฏตัวไม่ไกลจากหานซัน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมา สายตาที่ดุร้ายราวกับสิงโตแฝงกลิ่นคาวเลือดหนาแน่นพุ่งไปที่หานซัน

“หวังว่าแกจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังมากนะ” จิงเลี่ยพูดเบาๆ

สีหน้าของหานซันเหี้ยมเกรียมลง เขายิ้มไม่ได้ตอบอะไร แต่คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกลับระเบิดออกมาจากร่างราวกับภูเขาไฟ ก่อรูปร่างเป็นแรดดึกดำบรรพ์ที่กำจายรัศมีดุร้ายเชี่ยวกราก

จังหวะที่จิงเลี่ยเผชิญหน้ากับหานซัน ฮั่วหยังก็ปรากฏตัวต่อหน้าจิ่วโยว

จิ่วโยวกวาดสายตาเย็นชามองอีกฝ่าย ไม่พูดโต่ตอบให้เมื่อยปาก เปลวไฟสีม่วงลุกลามบนเรียวแขน

วาบ!

จิงกังนำจอมยุทธ์อีกคนประกบข้างมั่วเฟิงพลางยิ้มกริ่ม แม้ท่าทางจะดูซื่อ แต่สายตาก็ดุร้ายมาก “อยู่นิ่งๆ ซะเถอะ”

เวลาเดียวกันจอมยุทธ์ห้าคนก็สร้างค่ายกลรูปพัด ก่อนที่จะทะยานออกไปที่เบื้องหน้ามู่เฉิน มั่วหลิงและจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูร สายตามีแต่ความเย้ยหยัน

ในสายตาพวกเขา มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสองคนของเผ่าแรดอสูรเท่านั้นที่ถือว่าพอใช้ได้ สำหรับมู่เฉินและมั่วหลิงไม่มีนัยสำคัญอะไรเลย

“พี่มู่ พวกข้าจะจัดการสามคนนั่น ที่เหลือปล่อยให้พวกเจ้าจัดการนะ” จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรมองมู่เฉินและพูดอย่างสุภาพ

หลังจากได้เห็นพลังการต่อสู้ของมู่เฉิน เขาก็รู้ว่าถ้าจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาสู้กับอีกฝ่ายก็เป็นเพียงการหาความอัปยศให้กับตนเอง

มู่เฉินไม่ตอบแต่สายตาไม่ได้หยุดอยู่ที่จอมยุทธ์เหล่านี้ สายตาพุ่งตรงไปในระยะไกล นอกจากจิงเลี่ย ฮั่วหยังและคนอื่นๆ เผ่าราชสีห์ทองคำและเผ่าหมาป่าเวหะยังเหลือจอมยุทธ์อีกสามคนนั่งอยู่ข้างสนาม

แต่ความผันผวนของพลังงานรอบตัวทั้งสามก็ไม่ได้ทรงพลังอะไรเพราะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมจิงเลี่ยไม่ได้ให้พวกเขาเคลื่อนไหว

สายตาคมกริบของมู่เฉินกวาดผ่านทั้งสามก่อนที่จะถอนออกมาด้วยแววตาวูบไหว จากนั้นเขาก็โบกมือให้จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรทั้งสาม “พวกเจ้าถอยไปเถอะ ปล่อยพวกมันให้ข้า”

เอ่อ…

เมื่อเขาพูดไม่เพียงแต่จอมยุทธ์ทั้งห้าที่พุ่งเข้ามาจะอึ้งไป แม้แต่จอมยุทธ์สามคนของเผ่าแรดอสูรและมั่วหลิงก็ตกตะลึงไปเช่นกัน

เขาคิดจะจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดห้าคนด้วยตัวเองเหรอ?

นี่อาจเป็นเรื่องยากแม้กระทั่งสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดเลยมั้ง?

“หึ… รนหาที่ตายจริงๆ”

อีกมุมหนึ่งจิงเลี่ยเปล่งเสียงหัวเราะเยาะออกมาก่อนที่จะโบกมือโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ “ฆ่ามันซะ”

ในสายตาของเขาการกระทำของมู่เฉินชัดว่าเป็นการโอ้อวด ซึ่งโง่มาก

ทั้งห้ามีสายตาแปลกประหลาดมองไปที่มู่เฉินด้วยความสงสารบนใบหน้า ชายคนนี้บ้าไปจากการถูกบังคับให้อยู่ในความสิ้นหวังเรอะ? หากเป็นเช่นนั้นเขาก็น่าสงสารจริงๆ

หานซัน จิ่วโยวและมั่วเฟิงแลกเปลี่ยนสายตากัน แม้พวกเขาจะรู้ถึงพลังในการต่อสู้ของมู่เฉินว่าไม่ธรรมดา แต่จะยากเกินไปไหมที่เขาจะจัดการกับจอมยุทธ์ห้าคน?

แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยในใจ แต่หานซันก็ยังพยักหน้าให้พรรคพวก เนื่องจากความไว้ใจ

ดังนั้นทั้งสามจึงถอยกลับมาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ยังไงหากสถานการณ์ดูไม่ดี พวกเขาก็สามารถกระโจนเข้าไปช่วยได้ ด้วยพลังของมู่เฉิน เขาไม่น่าจะเป็นอะไร

จอมยุทธ์ทั้งห้าถลกแขนขึ้น มองไปที่มู่เฉินคล้ายกับมองลิงติดบ่วง ไม่มีท่าทางรีบร้อน สายตาเยาะเย้ยถากถาง

ทว่ามู่เฉินยังยืนนิ่งอยู่บนพื้น โดยที่ดวงตาหลับลง

อีกมุมหนึ่งเมื่อจิงเลี่ยเห็นท่าทางของมู่เฉิน เขาก็ขมวดคิ้วและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ขณะที่ความรู้สึกทะลักเข้ามาในใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางอย่างออก ใบหน้าเปลี่ยนไป “ฆ่ามัน มันกำลังตั้งค่ายกล!”

ทั้งห้าที่กำลังฉายรอยยิ้มบนใบหน้าก็สีหน้าเปลี่ยนทันที คลื่นหลิงทะลักออกมาจากร่าง

แต่จังหวะนั้นมู่เฉินก็ลืมตา มองไปที่ทั้งห้าที่พุ่งพรวดเข้ามา ก็เผยให้เห็นแววเยาะเย้ยที่ริมฝีปาก

“ไอ้พวกโง่ซ้ำซ้อน…”

หลังจากพูดจบ สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ควบแน่นนับร้อยนับพันก็บินฉวัดเฉวียนออกมาจากนิ้วมือ รวมเข้ากับฟ้าดินอย่างรวดเร็ว

ครืน!

ทั่วบริเวณสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น คลื่นหลิงระเบิดราวกับพายุทอร์นาโด

มู่เฉินสะบัดนิ้วทั้งสิบ เสียงแผ่วเบาเปล่งออกจากปาก

“ค่ายกลระดับเทียน ค่ายกลเทพเผาผลาญ!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1028 ล้มเหลว
ครืน!

ผืนดินสั่นสะเทือน ผืนป่าโยกคลอน รัศมีความตายรุนแรงกวาดเข้ามาในทุกทิศทางราวกับว่าต้องการที่จะกลืนกินดินแดนแห่งนี้

ขณะที่รัศมีความตายกวาดออก ร่างเงาสีเทาซีดจำนวนมากก็พุ่งออกมา นั่นคืออสูรวิญญาณที่เปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด

เมื่อมู่เฉิน หานซันและจิ่วโยวเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็บิดเบี้ยวจนไม่น่าดู ยามนี้พวกเขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าตกหลุมพรางแล้ว

ทั้งสองทิศทางควรเป็นส่วนที่เผ่าราชสีห์ทองคำและเผ่าหมาป่าเวหะจัดการ แต่ตอนนี้อสูรวิญญาณทั้งหมดกลับพุ่งมาในส่วนของพวกเขา ซึ่งชัดว่าเป็นฝีมือของทั้งสองเผ่า

ใบหน้าของหานซันเขียวคล้ำ ไอเยือกเย็นในดวงตาเพิ่มขึ้น ตอนนี้เขาเกลียดเผ่าหมาป่าเวหะเข้ากระดูกดำแล้ว

จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรก็มีใบหน้าซีดขาวและแตกตื่นไปบ้าง หากอสูรวิญญาณจำนวนมหาศาลพุ่งมาทางนี้ทั้งหมดละก็ วันนี้คงไม่มีใครที่นี่หนีรอดไปได้แน่

“กำจัดอสูรวิญญาณตรงหน้า!” ขณะที่ใบหน้าของพวกหานซันเขียวคล้ำ มู่เฉินก็ตะเบ็งเสียงขึ้นกะทันหัน

ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้พวกเขาต้องกำจัดอสูรวิญญาณตรงหน้าเสียก่อน มิฉะนั้นพวกเขาจะโดนรุมสกรัม ถึงแม้อยากจะล่าถอยก็ตาม

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของเขาก็ฟื้นคืนสติทันที คลื่นหลิงรุนแรงระเบิดออกจากร่าง พวกเขาไม่รั้งรออีกต่อไป กระบวนท่าการโจมตีรุนแรงที่สุดฟาดฟันอสูรวิญญาณที่อยู่เบื้องหน้า

ปัง!

แววตาของมู่เฉินเย็นชาลง ปล่อยให้อสูรวิญญาณที่เบื้องหน้าโจมตีเข้ามาที่หน้าอก ร่างกายเขาสั่นเทิ้มไปเล็กน้อย แต่ฝ่ามือก็เหวี่ยงออกไปปานสายฟ้าฟาด กดลงบนกระหม่อมพลังงานรุนแรงก็พวยพุ่งสูงขึ้น

ตู้ม!

หัวของอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระเบิดออก ก่อนที่ร่างมันจะแข็งทื่อล้มตึงลง

หลังจากจัดการกับอสูรวิญญาณในส่วนรับผิดชอบของตนเรียบร้อย เขาก็ไม่ได้หยุดพุ่งเข้าไปช่วยจิ่วโยวและคนอื่นๆ รีบจัดการวิญญาณทั้งหกร่างทันที

เมื่อจัดการกับอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดรอบตัวทั้งหมดแล้ว มวลรัศมีความตายก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มากถึงจุดที่พวกเขาสามารถเห็นใบหน้าดุร้ายของวิญญาณเหล่านั้นได้แล้ว

เสื้อผ้าของหานซันขาดรุ่งริ่งจากการรับมือกับอสูรวิญญาณ ทว่าเขาก็ไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ สายตาจดจ่ออยู่ที่อสูรวิญญาณที่บุกตะลุยเข้ามาด้วยสีหน้ามืดมน

“ตอนนี้ทำยังไงดี?” จิ่วโยวถามเสียงขรึม มีอสูรวิญญาณมากเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการทั้งหมดด้วยพลังของกลุ่ม ดังนั้นหากทำไม่ได้จริงๆ ก็ต้องรีบล่าถอยในขณะที่ยังมีเวลา

หานซันกัดฟันกรอด หากถอยกลับก็เท่ากับทิ้งสมบัติของอสูรโบราณโภคะ ซึ่งเขาไม่เต็มใจอย่างมาก เพราะพวกเขาเตรียมตัวกับเรื่องนี้มานานมาก

“ฮ่าๆ หานซัน เวลาแบบนี้เจ้ายังไม่คิดยอมแพ้อีกเหรอ?” ขณะที่ดวงตาของหานซันวูบไหวด้วยความลังเลในใจ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังก้องมาจากระยะไกล

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะนั่น ใบหน้าของกลุ่มมู่เฉินก็เปลี่ยนไป พวกเขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปไกลด้วยสายตาแหลมคม ก็เห็นเงาร่างหลายร่างยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ นั่นก็คือกลุ่มของจิงเลี่ยจากเผ่าราชสีห์ทองคำกับกลุ่มฮั่วหยังจากเผ่าหมาป่าเวหะ

“ฮั่วหยัง!”

เมื่อหานซันเห็นฮั่วหยัง ดวงตาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง จิตสังหารเพิ่มขึ้นบนใบหน้า ทำให้เขาดูดุร้ายยิ่งกว่าเดิม

พอฮั่วหยังเห็นท่าทางของหานซันก็ยิ้มอ่อน “พี่หานทำไมต้องหงุดหงิด? ความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายเป็นความเต็มใจ หากเจ้าเชื่อใจคนอื่นง่ายๆ ขณะเดินทางท่องยุทธภพ ข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นคนที่ต้องรับทุกข์ไม่รู้จบ ดังนั้นให้ถือว่านี่เป็นบทเรียน หวังว่าเจ้าจะจำไว้ขึ้นใจนะ”

หานซันสูดหายใจเข้าลึกสายตาสงบลง แต่สายตาที่มองฮั่วหยังกลับโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่เขาจะพูดเสียงขรึมว่า “ข้อเสนอที่ข้าให้เจ้านับว่าดีเลยทีเดียว ทำไมถึงปลิ้นปลอนแบบนี้?”

ฮั่วหยังยิ้ม “ก็จริงที่ข้อตกลงของเจ้าดีไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่ข้าชอบร่วมมือกับคนที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่า เช่นนั้นก็จะปลอดภัยกว่านะ”

จากคำพูดนั่นบอกว่าเขาไม่คิดว่าพวกหานซันจะสู้เผ่าราชสีห์ทองคำได้ ดังนั้นภายใต้เงื่อนไขที่คล้ายคลึงกัน เขาจึงเลือกเข้าข้างเผ่าราชสีห์ทองคำเพื่อหลอกล่อกลุ่มหานซัน

แววดุร้ายวูบไหวในดวงตาของหานซัน รอยยิ้มน่าขนลุกคลี่ออก “ดี ข้าจะจดจำสิ่งนี้ไว้ หวังว่าในอนาคตเจ้าจะไม่ตกอยู่ในกำมือข้าบ้างนะ”

เมื่อมองท่าทางของหานซัน ฮั่วหยังก็รู้สึกเย็นเยือกในใจ แต่จากนั้นเขาก็เค้นเสียงหยัน “รอให้เจ้ารอดชีวิตออกจากที่นี่ให้ได้ก่อนเถอะ”

ขณะที่พวกเขากำลังตอบโต้กัน จิงเลี่ยก็หรี่ตามองภาพนี้ด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเหมือนกำชัยชนะในมือแล้ว ขณะมองไปที่หานซันก็เหมือนกำลังมองผู้ล้มเหลวในอดีต

“ทำไมอสูรวิญญาณถึงไม่โจมตีพวกมัน?” ข้างหานซัน จิ่วโยวขมวดคิ้วพูดขึ้นกะทันหัน

เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนี่ พวกเขาก็ตระหนักว่าคนเหล่านั้นอยู่เหนืออสูรวิญญาณ แต่ทำไมพวกมันถึงไม่สนใจเลย กลับพุ่งมาทางพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง?

สายตามู่เฉินจ้องมองไปที่พวกจิงเลี่ยก่อนที่จะหดเกร็งดวงตา นั่นเป็นเพราะมู่เฉินรู้สึกว่ากลุ่มจิงเลี่ยเหมือนได้รับการห่อหุ้มด้วยม่านแสงสีเทาเบาบางที่เปล่งความผันผวนแปลกประหลาด คล้ายกับมีกลิ่นอายความตายอยู่ด้วย…

“พวกมันน่าจะเตรียมของพิเศษบางอย่างที่สามารถให้รัศมีความตายห่อหุ้มร่างตัวเอง… อสูรวิญญาณเหล่านี้ไม่มีดวงตา แต่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตและรัศมีความตาย ดังนั้นเมื่อพวกจิงเลี่ยปิดบังตัวเองด้วยรัศมีความตาย พวกมันจึงสามารถเดินทางไปมาท่ามกลางฝูงอสูรวิญญาณได้อย่างอิสระ” มู่เฉินกล่าวอย่างช้าๆ

มิน่าล่ะฮั่วหยังถึงคิดว่าหานซันไม่มีโอกาสที่จะชนะ ที่แท้กลุ่มจิงเลี่ยได้เตรียมพร้อมมากกว่า มิหนำซ้ำยังวางกับดักสำหรับกลุ่มหานซันอีกด้วย

“ไอ้เวรพวกนี้”

หานซันก็คิดเรื่องนี้ได้ทันที ใบหน้าของเขาดูน่าเกลียดขึ้นอีกหลายส่วน

“พี่ใหญ่หานซัน” จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรมองไปที่หานซัน ยามนี้อสูรวิญญาณกำลังคืบคลานเข้าใกล้ หากพวกเขาไม่ล่าถอยออกไปตอนนี้ละก็ จะไม่สามารถถอยได้อีกแล้วแม้ว่าจะต้องการก็ตาม

ใบหน้าของหานซันเขียวคล้ำ จากนั้นก็กัดฟันเตรียมโบกมือส่งสัญญาณให้ถอย

แม้ว่าสมบัติของอสูรโบราณโภคะจะสุดยอด แต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเพลิดเพลิน จากสถานการณ์ปัจจุบันเขารู้สึกผิดต่อพวกมู่เฉินมาก เพราะพวกเขาอุตส่าห์เดินทางมาที่นี่อย่างลำบาก แต่สุดท้ายยังไม่ถึงสุสานหมื่นอสูรก็ต้องล่าถอยกลับไปเหมือนหมาจรจัด

“เดี๋ยวก่อน”

ทว่าขณะที่หานซันตั้งใจจะล่าถอย มู่เฉินก็พูดออกมาทันที

คนทั้งหมดพุ่งสายตามาที่เขา ถ้าพวกเขาไม่ไปตอนนี้ก็จะตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังแล้ว หรือว่ามู่เฉินไม่อยากตัดใจจากขุมทรัพย์อสูรโบราณโภคะ?

เผชิญหน้ากับสายตาตะลึงงันเหล่านี้ มู่เฉินก็ยิ้มบาง “ข้าน่าจะสามารถลองทำบางอย่างเพื่อให้อสูรวิญญาณเหล่านี้มองไม่เห็นเราได้บ้างนะ”

“หืม?”

ทุกคนอึ้งไป แม้แต่จิ่วโยวก็ยังสงสัย

มู่เฉินมองทุกคนที่งงงวยก็ยิ้ม “วิธีการที่คนเหล่านั้นใช้เพื่อซ่อนตัวจากการรับรู้ของอสูรวิญญาณ จุดประกายความคิดอะไรบางอย่างของข้าได้ ในเมื่อวิญญาณเหล่านี้สามารถสัมผัสจากพลังชีวิตและรัศมีความตายเท่านั้น ก็แปลว่าการรับรู้ของพวกมันน่าจะอ่อนแอมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ตราบใดที่เราปกปิดพลังชีวิตได้ พวกมันก็จะไม่สามารถตรวจจับเราได้”

หานซันอึ้งไปก่อนที่จะตอบว่า “แม้ว่าการรับรู้ของอสูรวิญญาณเหล่านี้อ่อนแอมาก แต่ประสาทสัมผัสเกี่ยวกับพลังชีวิตแหลมคมอย่างยิ่ง… สะเก็ดพลังงานเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้พวกมันรุมขย้ำเราเหมือนหมาป่าที่หิวโหย”

ชัดว่าเขาไม่ค่อยเชื่อว่ามู่เฉินจะมีวิธีการปกปิดพลังชีวิตบนตัวพวกเขา

มู่เฉินไม่ได้พูดอะไร กลับสะบัดนิ้วทั้งสิบ สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ควบแน่นนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นพวยพุ่งอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะรวมเข้ากับชั้นบรรยากาศ ทำให้พื้นที่เกิดความผันผวน

“ค่ายกล?”

เมื่อจิ่วโยวเห็นภาพนี้ ดวงตาก็วูบไหว

ครืน!

ขณะที่มู่เฉินกำลังเร้าสัญลักษณ์หลิงยิ่งหนาแน่นเร็วรี่และรวมเข้ากับฟ้าดิน พื้นดินโดยรอบก็โยกคลอนรุนแรงมากขึ้น เหล่าอสูรวิญญาณคำรามลั่นพร้อมกับรัศมีความตายความเชี่ยวกรากกวนตัวเข้ามา

ศีรษะของจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรถูกปกคลุมด้วยเหงื่อเย็น ใบหน้าซีดลงจากการเคลื่อนไหวรุนแรงนี้ พวกเขาอดมองหานซันไม่ได้ ตราบใดที่เขาส่งสัญญาณการถอย พวกเขาก็จะถอนตัวทันที

ทว่าหานซันกลับจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินก่อนที่จะกัดฟันพูด “งั้นต้องพึ่งพี่มู่แล้ว!”

เขาไม่อยากที่จะออกไปแบบนี้เช่นกัน นอกจากนี้เขาเกลียดกลุ่มหมาป่าเวหะเข้ากระดูกดำ ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่ต้องการเผ่นออกไปเหมือนหมาจรจัด

จากความเข้าใจในนิสัยมู่เฉินในช่วงนี้ หานซันรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนประมาท ในเมื่อเขายังสงบสติอารมณ์ได้ ก็หมายความว่าเขามีความมั่นใจอยู่พอสมควร ในเมื่อเป็นแบบนี้หานซันก็ขอเสี่ยงดวงดูสักตั้ง!

มู่เฉินหลับตาลงเล็กน้อยไม่พูดอะไร สัญลักษณ์หลิงยิ่งหานแน่นปรากฏขึ้นเร็วรี่บนนิ้วมือ

“ดูเหมือนว่าหานซันกำลังดิ้นรนหนีตายแล้วจริงๆ”

บนต้นไม้ที่ไกลออกไป จิงเลี่ยมองหานซันที่ไม่ยอมถอยก็อดเยาะเย้ยไม่ได้ คิดแค่ว่าหานซันไม่เต็มใจที่จะละทิ้งขุมทรัพย์ของอสูรโบราณโภคะเท่านั้น

“ในเมื่ออยากได้สมบัติขนาดนี้ก็ฝังกลบซะเลย…”

จิงเลี่ยแสยะยิ้ม ใบหน้าดุร้ายยิ่งขึ้น

ครืน!

ฝูงอสูรวิญญาณและรัศมีความตายพุ่งเข้ามา จิ่วโยวและคนอื่นๆ ได้แต่จ้องมองไปที่สายธารแห่งความตายนั่น…

หนึ่งพันจั้ง…ห้าร้อยจั้ง…สองร้อยจั้ง…

เมื่อพวกมันอยู่ห่างออกไปสองร้อยจั้ง ก็เหมือนจะมีกลิ่นแห่งความตายพรวดพราดเข้ามา แต่ขณะที่จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรกำลังฉายความสิ้นหวังในดวงตา ดวงตาที่ปิดลงของมู่เฉินก็เบิกกว้าง

แสงวูบไหวในรูม่านตาสีดำ

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ทันใดนั้นมิติโดยรอบก็สั่นสะเทือนรุนแรง จากนั้นพวกหานซันก็เห็นลวดลายจำนวนมากมายกระจายออกไปอย่างรวดเร็วในบรรยากาศ ก่อนที่จะห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้

นอกจากนี้รูปแบบของลวดลายยังเหมือนเป็นโลงศพสีเทาห่อหุ้มร่างกายพวกเขาไว้

ค่ายกลนี้ดูเหมือนจะไม่มีความสามารถเชิงรุกที่ทรงพลัง แต่เมื่อถูกสร้างขึ้นพวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีความตายที่แผ่ขยายออกไปอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้ร่างกายของพวกเขาหนาวสั่น

ครืน!

เมื่อค่ายกลโลงศพถูกสร้างขึ้นฝูงอสูรวิญญาณก็มาถึง แต่ขณะที่ผ่านบริเวณกลุ่มมู่เฉินก็แยกออกไป

รัศมีความตายเชี่ยวกรากเคลื่อนผ่านข้างตัวไป ทุกคนรู้สึกว่าขาอ่อนยุ่ยไปหมด ทว่าพวกเขาไม่มีเวลาที่จะใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องแขนขา ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างมองดูฝูงอสูรวิญญาณที่แยกตัวออก

อสูรวิญญาณที่เปล่งรัศมีดุเดือดรุนแรงเคลื่อนผ่านไป โดยไม่สนใจการดำรงอยู่ของพวกเขา!

“สำเร็จ”

ขณะนี้กระทั่งหานซันที่มีนิสัยสงบเยือกเย็นก็อดร้องอย่างมีความสุขไม่ได้

ขณะที่พวกเขาดีใจ อีกพวกที่อยู่ไกลออกไปกลับมีท่าทางมืดมนลง

ยิ่งไปกว่านั้นสายตาดุร้ายของพวกเขาก็กวาดผ่านพวกหานซันจับจ้องไปที่มู่เฉิน

ชัดว่าพวกเขาก็รู้แล้วว่ามนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกที่มองไม่เห็นค่า กลับเป็นเหตุทำให้แผนของพวกเขาล้มเหลว

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1027 กลลวง
ในป่าที่ถูกปกคลุมด้วยรัศมีความตาย

แสงมืดลงอย่างผิดปกติ รัศมีความตายสีเทาปิดบังวิสัยทัศน์และการสำรวจของคลื่นหลิง

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ในป่าที่มีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังก้องเป็นครั้งคราว ทันใดนั้นเสียงลมแหวกอกากาศก็ดังขึ้น มองเห็นร่างหลายร่างพุ่งตัวผ่านไปอย่างเงียบเชียบ แต่ละคนว่องไว ปลายเท้าแตะเบาๆ บนกิ่งไม้ กระทั่งใบไม้ยังไม่ขยับพวกเขาก็ทะยานออกไปแล้ว

เงาเหล่านี้ก็คือกลุ่มมู่เฉินที่เข้ามาในป่า

พวกเขาเคลื่อนตัวผ่านแนวป่า สายตากลับเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ขณะมองพื้นที่ที่เต็มไปด้วยรัศมีความตาย แม้ว่ารัศมีนี้จะสกัดกั้นประสาทการรับรู้ของคลื่นหลิง แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกได้ถึงอสูรวิญญาณจำนวนมากที่อยู่ในป่า

“เราเข้าจากทางตะวันตกเฉียงใต้ ตามที่แบ่งกันน่าจะมีอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดหกร่างอยู่ที่นี่ สำหรับพวกต่ำกว่านี้น่าจะมีร้อยกว่าร่างได้” ขณะที่พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หานซันก็ส่งเสียงลับอธิบายรายละเอียดให้กลุ่มมู่เฉินฟัง

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตาก็หดเกร็ง อสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดหกร่างบวกกับระดับต่ำนับร้อยร่าง การรวมตัวแบบนี้ กระทั่งพวกเขาก็ต้องหวาดหวั่น แต่โชคดีที่วิญญาณเหล่านี้ไม่มีจิตสำนึก มิฉะนั้นแม้แต่พวกเขาก็ยังต้องหลีกเลี่ยง

“เดี๋ยวพวกเราสี่คนจะจัดการอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดหกร่างนั้น มั่วหลิงกับคนอื่นไปสกัดอสูรวิญญาณขั้นต่ำเอาไว้ เราต้องจัดการอย่างรวดเร็วที่สุด ไม่งั้นข้ากลัวว่าพวกเขาจะทนได้ไม่นาน”

มู่เฉิน จิ่วโยวและมั่วเฟิงพยักหน้า แม้ว่าจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสามคนจากเผ่าแรดอสูร แต่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอสูรวิญญาณจำนวนมาก ดังนั้นความยากลำบากก็สูงมากเช่นกัน

“เตรียมพร้อม เรากำลังใกล้เข้ารังของพวกมันแล้ว” หลังจากอธิบายแผน หานซันก็คำรามเสียงต่ำออกมา

คนอื่นร่างกายเกร็งเครียดขึ้นทันที จากนั้นก็รู้สึกถึงรัศมีความตายโดยรอบเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในป่ามืดมิดที่ไกลออกไป มีร่างเงาสีเทาซีดจำนวนมากวูบวาบราวกับภูตผี

เมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่นี้ ร่างเงาสีเทาซีดเหล่านี้ก็เอี้ยวมามองทันที อึดใจต่อมาเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยรัศมีความตายก็ดังก้องในป่าแห่งนี้

ปัง! ปัง!

ร่างจำนวนมากพุ่งออกมาอย่างไม่สิ้นสุดจากความมืดพร้อมกับปลดปล่อยรัศมีความตายอันหนาวเหน็บขณะที่พุ่งเข้าหาพวกมู่เฉิน

หานซัน จิ่วโยว มู่เฉินและมั่วเฟิงทะยานตัวออกไปปรากฏตัวเบื้องหน้า ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขีดจำกัดก็กวาดออก ความน่าสะพรึงกลัวของริ้วคลื่นพุ่งพรวดออกมา

ตึง! ตึง!

เกลียวคลื่นพลังแหลมคมทะลุผ่านหัวของอสูรวิญญาณสิบกว่าร่างจนระเบิดเปรี้ยง จากนั้นทั้งกลุ่มก็ทะยานผ่านดงอสูรวิญญาณ พุ่งเข้าสู่ส่วนลึกอย่างรวดเร็ว

ครืน!

คลื่นหลิงรุนแรงพลุ่งพล่านออกมาจากแนวป่าความตายไม่สิ้นสุด อสูรวิญญาณดุร้ายที่ขัดขวางเบื้องหน้าถูกพวกมู่เฉินซัดกระเด็นกลับไปไม่หยุด ทว่าก็ยังมีอสูรวิญญาณล้อมเข้ามาจากรอบข้างอยู่เรื่อย

ทว่าพวกเขากลับไม่ได้ให้ความสนใจขณะที่มุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึก ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคืออสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดหกร่าง ตราบใดที่พวกเขาจัดการพวกมันได้ พวกเขาก็จะมีพลังมาจัดการกับอสูรวิญญาณจำนวนมหาศาลได้

“หานทง พวกเจ้ารั้งท้ายไว้!”

หานซันมองรัศมีความตายข้างหน้าที่พวยพุ่งเข้มข้นขึ้นก็หรี่ตาลง เขารู้สึกได้ว่าพวกเขาเริ่มเข้าสู่ป่าลึกแล้ว นอกจากนี้ยังเริ่มรู้สึกถึงความผันผวนอันตรายที่มาจากระยะไกล

นั่นน่าจะเป็นพื้นที่ที่อสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอยู่

“ตกลง!”

จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรพยักหน้า จากนั้นก็ฉีกตัวออกจากกลุ่ม คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกมา ภาพร่างขนาดใหญ่ของแรดอสูรปรากฏขึ้นดึงดูดความสนใจอสูรวิญญาณกลุ่มใหญ่ไว้

“มั่วหลิงไปช่วยพวกเขา ระวังตัวด้วยนะ” มั่วเฟิงบอกเสียงต่ำ

“เจ้าค่ะ!”

มั่วหลิงตอบรับน้ำเสียงสดใสจากนั้นก็ทะยานไปด้านหลัง เพลิงสีแดงเชี่ยวกรากกระหน่ำออกจากร่างเล็กกระทัดรัด ทำให้อุณหภูมิโดยรอบร้อนแรงขึ้น แม้แต่อากาศก็เริ่มลุกไหม้

เมื่อมีมั่วหลิงและจอมยุทธ์สี่คนรั้งท้าย ทั้งสี่คนก็รู้สึกสงบลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก็เพิ่มความเร็ว พุ่งเข้าไปในรัศมีความตายที่หนาแน่น

เบื้องหลังรัศมีความตายคือบริเวณที่เต็มไปด้วยก้อนหิน ซึ่งมีต้นไม้สีเทาซีดกระจายออกไปทำให้เงาปกคลุมบนพื้นดิน ภายในเงามืดมีสายตาเย็นชาเล็งไปยังทั้งสี่ที่เป็นเป้าหมาย ร่างเหล่านั้นสั่นไหวจากนั้นก็ปรากฏตัวต่อหน้ากลุ่มมู่เฉิน

นี่เป็นร่างสีดำทั้งหกมีร่างกายที่ดูเหมือนทำจากโลหะสีดำดูแข็งแกร่งมาก สิ่งนี้เกิดจากร่างกายที่แห้งกรังและสูญเสียพลังชีวิตถูกกัดกร่อนโดยรัศมีความตาย

รัศมีความตายที่ล้อมรอบร่างเหล่านั้น ทรงพลังกว่าอสูรวิญญาณธรรมดาเสียอีก

“อสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดหกร่างจริงด้วย…”

มู่เฉินมองไปที่อสูรวิญญาณดำทะมึนก็พึมพำกับตัวเอง แต่เมื่อพูดจบม่านตาก็หดเกร็ง “ไม่ใช่!”

ปัง!

ทันทีที่มู่เฉินสัมผัสได้ พื้นดินที่ด้านหลังก็ระเบิดออก ร่างดำทะมึนสองร่างค่อยๆ คลานขึ้นมาจากบนพื้นอย่างช้าๆ พวกมันถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายดุร้าย นี่คืออสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอีกสองร่าง

ตอนนี้พวกมันมีทั้งหมดแปดร่างแล้ว

เมื่อหานซันมองเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็ไม่น่าดู ดูท่าจำนวนอสูรวิญญาณที่นี่จะไปเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้

“เป็นปัญหาซะจริง”

หานซันยิ้มขมขื่น แปดอสูรวิญญาณระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้แต่พวกเขาก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการจัดการ เพราะในแง่พลังการต่อสู้ อสูรวิญญาณเหล่านี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์อย่างลู่สุยเลย

“จัดการคนละสองตัว ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” มู่เฉินขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น

“ตกลง!”

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะบ่นน้อยใจโชคชะตา ทุกคนพยักหน้าทะยานออกไปทันที ต่างส่งคลื่นหลิงไร้ขอบเขตห่อหุ้มคู่ต่อสู้สองร่างของตนเอาไว้

มู่เฉินทะยานออกไปเช่นกัน เป้าหมายก็คืออสูรวิญญาณสองร่างที่มาจากด้านหลัง

โฮก!

อสูรวิญญาณสองร่างคำรามลั่น รัศมีความตายผันผวน ห่อหุ้มกระดูกกรงเล็บที่แหลมคม พวกมันตวัดมือไปที่หน้าอกของมู่เฉินปานสายฟ้าแลบ กรงเล็บที่แหลมคมฉีกขาดมิติเลยทีเดียว

เคร้ง!

แขนของมู่เฉินยกขึ้นสกัดการโจมตีของพวกมันเอาไว้เต็มกำลัง ประกายไฟบินว่อนอยู่บนลำแขน ทว่ากรงเล็บกระดูกที่มีรัศมีความตายทิ้งเพียงรอยแผลขาวไว้บนแขนเขาเท่านั้น

ตู้มมมม!

โดยไม่มีปฏิกิริยาใด กำปั้นมู่เฉินก็เหวี่ยงออกไปตามด้วยแสงสีทอง กระแทกไปที่หน้าอกของอสูรวิญญาณ เสียงกระหึ่มดังขึ้น ทันใดนั้นอสูรวิญญาณก็กระเด็นกลับไป หน้าอกทรุดลง

ทว่าความทนทานในการรับมือของอสูรวิญญาณเกินความคาดหมายของมู่เฉิน ทันทีที่ร่างมันสัมผัสกับพื้นก็ดันตัวขึ้นมา ไม่สนใจหน้าอกที่ยุบลงพุ่งเข้ามาหามู่เฉินอีกครั้ง

“ทนถึกอะไรเช่นนี้”

สายตามู่เฉินวูบไหวกับภาพเบื้องหน้า ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาเผชิญหน้ากับหมัดของเขา คงเลือดตกยางออกไปนานแล้ว แต่อสูรวิญญาณตัวนี้กลับยังกระโดดโลดเต้นได้

ปัง! ปัง!

อสูรวิญญาณทั้งสองพุ่งออกมาโจมตีอย่างไม่เกรงกลัว ภายใต้รัศมีความตาย แม้แต่มู่เฉินก็ต้องถอยกลับไปหลายก้าว ทว่าเขาก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว วิชากายามังกรหงส์ถูกเร้าออกมา แสงสีทองพร่างพราวระเบิดออก ชุดหมัดหนักเหวี่ยงออกไปทำให้อสูรวิญญาณทั้งสองต้องถอยกลับไม่หยุด ร่างกายพวกมันยุบลงอยู่เรื่อย หากไม่ใช่ร่างไร้ชีวิต พวกมันได้รับบาดเจ็บหนักไปนานแล้ว

แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา ก่อนที่จะถูกมู่เฉินทำลายสิ้นซาก

ขณะที่สถานการณ์ของมู่เฉินดีขึ้น หานซัน จิ่วโยวและมั่วเฟิงก็จับจุดคู่ต่อสู้ได้ พวกเขาเริ่มได้เปรียบขึ้นมา

ที่ด้านหลังกลุ่มมั่วหลิงก็งัดทุกกลยุทธ์เท่าที่จะทำได้เพื่อขัดขวางอสูรวิญญาณจำนวนมหาศาล แม้ว่าจะยากไปสักหน่อย แต่เนื่องจากวิญญาณเหล่านั้นไม่มีสติปัญญา พวกเขาจึงยังสามารถลากเวลาต่อไป

ดังนั้นเมื่อตัดสินจากพื้นผิว โดยรวมก็อยู่ในการคาดการณ์ของหานซัน ตราบใดที่พวกเขาลากเวลาได้อีกนิดก็จะสามารถจัดการกับปัญหาทั้งหมดได้

ปัง!

ในซากกองหิน หินก้อนใหญ่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ามู่เฉินแตกเป็นเสี่ยงๆ แสงสีทองส่องประกายในดวงตา เขามองเห็นจุดอ่อนในร่างอสูรวิญญาณตัวหนึ่งอย่างรวดเร็ว มือกำแน่น กระบี่ขนนกสีทองก็ปรากฏขึ้น แสงสีทองแล่นแปลบปลาบ ก่อนที่หัวของอสูรวิญญาณนั้นจะถูกหั่นออกจากกัน

ตู้มมมม!

เมื่อจัดการอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดร่างหนึ่งได้ แรงกดดันของมู่เฉินก็ลดลง การโจมตีก็รุนแรงขึ้น เขาบีบอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอีกร่างจนไม่อาจต่อต้านได้

จิ่วโยว หานซันและมั่วเฟิงก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวในทิศทางของมู่เฉิน จิตวิญญาณต่อสู้ลุกโชนตราบใดที่มู่เฉินเป็นอิสระ พวกเขาก็จะสามารถหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้อย่างรวดเร็ว

และเส้นทางของพวกเขาก็ไม่เป็นอันตรายใดอีกต่อไป

ทว่าขณะที่พวกเขารู้สึกโล่งใจก็รับรู้ถึงพื้นดินที่เริ่มสั่นสะเทือนราวกับว่าอสูรนับหมื่นกำลังวิ่ง

การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้มู่เฉินอึ้งไป ก่อนที่จะหันไปมองทางซ้ายและขวาของป่า ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที

นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่ามีรัศมีความตายมหาศาลกำลังไหลบ่ามาจากทั้งสองด้าน ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามาจากอสูรวิญญาณจำนวนมากมาย มิหนำซ้ำยังมองเห็นร่างดำทะมึนบางส่วนในหมู่พวกมัน นั่นคืออสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด!

“มีอสูรวิญญาณมาจากทิศทางนั้น!”

ที่ด้านหลังสีหน้าจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรเปลี่ยนแปลงรุนแรง รีบคำรามเตือน

ตู้ม!

แสงสีทองพุ่งขึ้น มู่เฉินเหวี่ยงกำปั้นระเบิดหัวอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดตรงหน้า ก่อนที่จะมองไปที่ทิศทางทั้งสองด้วยสีหน้ามืดมน

ใบหน้าของหานซันก็เขียวคล้ำขณะกัดฟัน “นั่นมันทิศทางของเผ่าราชสีห์ทองคำและเผ่าหมาป่าเวหะ! ไอ้พวกโง่นั่นทำอะไรกัน?”

จิ่วโยวเค้นเสียงเย็น “จะทำอะไรได้อีก? ก็ไล่เสือไปกินหมาป่าไง”

สายตาของหานซันเย็นชาลง นั่นก็หมายความว่าเผ่าหมาป่าเวหะได้ผิดสัญญากับพวกเขา หันไปจับมือร่วมมือกับเผ่าราชสีห์ทองคำแล้ว

จากสถานการณ์ปัจจุบันทั้งสองเผ่าตั้งใจที่จะผลักดันอสูรวิญญาณมายังทิศทางของพวกเขา เพื่อฝังกลบพวกเขาอย่างสมบูรณ์

คราวนี้เขาถูกกลลวงกลุ่มหมาป่าเวหะแล้ว!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1026 จิงเลี่ย
เบื้องหน้าป่าขาวโพลน

ผู้นำกลุ่มหมาป่าเวหะจ้องมองพวกมู่เฉินด้วยตาสีแดงก่ำ ความคมปลาบในดวงตาประหนึ่งใบมีดที่ต้องการกรีดแทงร่างคนไป

“ฮ่าๆ พี่ฮั่วไม่ต้องกังวล พวกเขาเป็นสหายจากเผ่าวิหคโลกันตร์ เป็นพันธมิตรของข้า” หานซันยิ้มพลางอธิบาย

“พันธมิตร?”

ฮั่วหยังจากเผ่าหมาป่าเวหะขมวดคิ้วขณะหัวเราะเสียงเย็น “หานซัน เจ้าคิดว่ามีสมบัติล้ำค่ามากมายจากอสูรโบราณโภคะเรอะไง? คนมากขึ้นก็หมายความว่าส่วนแบ่งจะมากขึ้นตาม ข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้”

หานซันพูดด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “พี่ฮั่วไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเมื่อข้าเป็นคนชวนพวกเขามา ก็แบ่งในส่วนของข้า ไม่ไปแตะต้องของพวกเจ้าหรอก”

เมื่อฮั่วหยังได้ยินคำพูดของหานซันสีหน้าก็ดูดีขึ้น ทว่าเขายังคงมองไปที่กลุ่มมู่เฉินด้วยสายตาดุร้าย อึดใจมุมปากดึงขึ้นพร้อมกับแววตาเหยียดหยาม

ชัดว่าเขารู้สึกได้แล้วว่าในกลุ่มนี้ มีเพียงจิ่วโยวและมั่วเฟิงที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ส่วนอีกสองคนยังอยู่ขั้นหกเท่านั้น

พลังแค่นี้ยังกล้ามาที่สุสานหมื่นอสูร ดวงตามืดบอดด้วยความโง่เขลาอย่างแท้จริง

การดูถูกในสายตาของฮั่วหยังไม่ได้ปิดบัง ดังนั้นพวกมู่เฉินก็สัมผัสได้ ทว่าพวกเขาไม่ได้โกรธ สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่มีท่าทางจะสร้างความสัมพันธ์กับเผ่าหมาป่าเวหะแม้แต่น้อย

มู่เฉินกวาดตามองอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว พวกเขามีทั้งหมดห้าคน สี่คนมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด การรวมตัวของพวกเขาเทียบได้กับเผ่าแรดอสูรเลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ทุ่มความพยายามอย่างมากสำหรับการเดินทางมาเพื่ออสูรโบราณโภคะ

เนื่องจากความยากลำบากในการส่งจอมยุทธ์เพิ่มเติมเข้ามาจะยากขึ้น แม้แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ยังส่งมาได้เพียงสี่คนเท่านั้น แน่นอนว่ามีเหตุผลที่ไม่อยากส่งสมาชิกเผ่าที่มีกำลังอ่อนแอเข้ามาด้วย เพราะมีอัจฉริยะในดินแดนเสินโซ่มีจำนวนมากเกิน ดังนั้นพวกเขาจึงแสวงหาคุณภาพป้อนเข้ามาไม่ใช่ปริมาณ

แต่ในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั้งสี่คนของเผ่าหมาป่าเวหะ นอกเหนือจากฮั่วหยังที่ทำให้มู่เฉินค่อนข้างคาดหวัง คนที่เหลือเขาก็กวาดตามองผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประสาทสัมผัสของเขาบอกว่าทั้งสามคนมีพลังคล้ายคลึงกับลู่สุยเผ่าอีกาสายฟ้า หากเขาเผชิญหน้ากับพวกเขาก่อนที่จะบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่งได้ก็อาจจะลำบากไปบ้าง แต่ตอนนี้…เป็นเรื่องง่ายดายมาก

“พี่ฮั่วหยังสถานการณ์ตอนนี้เป็นไงบ้าง?” หานซันยิ้ม

ฮั่วหยังเบ้ปาก “เผ่าราชสีห์ทองคำมาถึงก่อนครึ่งวันแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าลึกเกินไป ข้างในจำนวนของอสูรวิญญาณเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”

“เผ่าราชสีห์ทองคำเคยส่งข้อความมาถึงพวกเรา บอกว่าจากการตรวจสอบของพวกเขาจำนวนอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดในสุสานเพิ่มมาเป็นสิบห้าร่างแล้ว”

เมื่อหานซันได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าก็อดจะเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดไม่ได้ อสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสิบห้าร่าง ยากสำหรับเผ่าเดียวที่จะทำลายทั้งหมดด้วยตัวเอง

“จุดประสงค์ของเผ่าราชสีห์ทองคำคือร่วมมือกันจัดการกับอสูรวิญญาณก่อน แล้วค่อยมาตัดสินเรื่องสมบัติหลังจากไปถึงขุมทรัพย์แล้ว” ดวงตาสีแดงของฮั่วหยังเหลือบมองไปที่หานซันขณะที่พูด

“ร่วมมือรึ?”

หานซันยังไม่ตอบคำถามนั้นแต่กล่าวว่า “เราไปดูกันก่อน”

หลังจากที่พูดจบ ก็พาทุกคนเข้าป่าอย่างรวดเร็ว

ที่ด้านหลังฮั่วหยังมองร่างเงาของพวกเขาด้วยแวววูบไหว จากนั้นก็โบกมือติดตามไปอย่างรวดเร็ว

พืชพันธุ์ในป่าเป็นสีขาวซีดปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายหนาแน่น ยิ่งเข้าไปลึกขึ้น มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความหนาแน่นของรัศมีที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่สามารถหยุดกระแสเลือดในร่างกายได้เลยทีเดียว

ป่าแห่งนี้กว้างใหญ่มาก พวกเขาเหาะเหินมาอย่างรวดเร็วก็ใช้เวลาสิบกว่านาทีก่อนจะเริ่มชะลอตัวลง ป่าที่เบื้องหน้าเริ่มบางตาถูกแทนที่ด้วยเนินเขาสูงชัน กลุ่มมู่เฉินยืนอยู่บนก้อนหินสีเทาอ่อนมองลงไปที่หุบเหวขนาดใหญ่ใต้เนินเขา

ต้นไม้ที่นี่มีสีดำสนิทเนื่องจากถูกกัดกร่อนรุนแรงจากรัศมีความตาย ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยเสียงคำรามของสัตว์อสูร มองเห็นเงาวูบไหวเลือนราง

“นี่คือที่ที่อสูรโภคะละสังขาร” หานซันชี้ไปทางหุบเหว พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

มู่เฉินเพ่งมองไป รัศมีความตายน่าสะพรึงกลัวแปรสภาพเป็นชั้นเมฆสีเทาเหนือปากเหว พื้นที่ทั้งหมดไม่มีสัญญาณพลังชีวิตเลย

ทิวทัศน์นี้แสดงถึงอันตรายอย่างยิ่งของสุสานหมื่นอสูร เมื่อจอมยุทธ์ธรรมดาเห็นฉากนี้ก็จะรีบเผ่นออกไปให้ไกล หากไม่ใช่เพราะความบังเอิญแม้แต่จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูร เผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำ ก็คงไม่สามารถค้นพบสุสานอสูรโบราณโภคะที่ซ่อนอยู่ที่นี่ได้

ขณะที่พวกเขาสำรวจพื้นที่ แสงสีทองก็กะพริบในระยะไกลเสียงลมแหวกอากาศดังก้อง ทันใดนั้นสีหน้าหานซันก็ตื่นตัว

แสงสีทองเหล่านั้นปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขาแสดงตัวแรงกดดันทรงพลังก็พล่านออกมาจากร่างที่กำยำ

มู่เฉินกวาดสายตามองไปก็เห็นจอมยุทธ์หกคนที่มา ทั้งหมดมีรูปร่างกำยำล่ำสัน เรือนผมสีทอง มีอักขระสีทองจางๆ บนใบหน้าพวกเขา ในดวงตาสีทองความเย่อหยิ่งและความกดดันที่ไม่อาจปกปิดได้กวาดออก

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์จากเผ่าราชสีห์ทองคำ

เมื่อจอมยุทธ์เผ่าราชสีห์ทองคำปรากฏตัว จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรก็เพิ่มความระมัดระวัง ร่างกายตึงเครียดขึ้นมาทันที คลื่นหลิงพลุ่งพล่านรอบตัวขณะจ้องมองอีกฝ่าย

ใบหน้าหานซันยังคงสงบนิ่ง เขามองเบื้องหน้าเผ่าราชสีห์ทองคำ ผู้นำคนนี้เป็นชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ร่างกายราวกับเหล็กกล้าที่มีแสงสีทองวับวาวอยู่ใต้ผิวหนัง เขาส่งแรงกดดันที่น่าอัศจรรย์ใจพร้อมกับแรงกดดันคลื่นหลิงพวยพุ่งออกจากร่างกายไม่รู้จบ

“จิงเลี่ย…เจ้าเป็นหัวหน้ากลุ่มราชสีห์ทองคำครั้งนี้จริงด้วย” หานซันจ้องมองชายร่างกำยำก็พูดขึ้นช้าๆ

จิ่วโยวหันมากระซิบบอกมู่เฉิน “มีจอมยุทธ์โดดเด่นสองคนในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่าราชสีห์ทองคำ ที่รู้จักกันในฉายาวีรบุรุษคู่ทองคำ จิงเลี่ยเป็นหนึ่งในนั้น แต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะไม่ได้มาในครั้งนี้”

มู่เฉินพยักหน้า แรงกดดันที่จิงเลี่ยส่งออกมานั้นทรงพลังอย่างแท้จริง บางทีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปคงไม่สามารถเผชิญหน้าได้ นอกจากนี้เขายังรู้สึกได้ว่าพลังกายของจิงเลี่ยได้ผ่านการเพาะบ่มจนทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย

เมื่อจิงเลี่ยได้ยินคำพูดของหานซันก็แสยะยิ้มพร้อมเผยให้เห็นฟันสีขาวไข่มุกที่สาดไอเย็นเยือก เขาจ้องมองหานซันด้วยสายตากดดัน ก่อนจะหยุดอยู่ที่จิ่วโยวและมั่วเฟิง

“หานซัน เจ้าไม่มั่นใจในกลุ่มของตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ ยอมปล่อยให้คนอื่นมีส่วนร่วมในโอกาสแบบนี้ด้วยเรอะ?” จิงเลี่ยฉายยิ้มเยาะเย้ย

เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่น นางก็พูดเบาๆ ว่า “พวกข้าแค่ได้รับเชิญมาเปิดหูเปิดตาเฉยๆ”

จิงเลี่ยยิ้ม “การรวมตัวแบบนี้ยังกล้ามา ไม่รู้ว่าพวกเจ้าหยิ่งหรือโง่กันแน่?”

“หยิ่งหรือโง่ ลองดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ?” มู่เฉินยิ้มบาง

“ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกมีสิทธิ์พูดที่นี่เรอะ?” ยืนอยู่ข้างหลังจิงเลี่ย จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดของเผ่าราชสีห์ทองคำก็โพล่งออกมา

จิงเลี่ยโบกมือหยุดพรรคพวกไว้ ทว่าสายตาไม่ได้มองมู่เฉินสักแวบ ชัดว่าเขาไม่คิดว่าตนเองจำเป็นต้องให้ความสนใจกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก

“หานซัน เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อทะเลาะกัน… จากการสำรวจของพวกข้ามีอสูรวิญญาณระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดอยู่ที่นี่ประมาณสิบกว่าร่าง บวกกับอสูรวิญญาณอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะประสบความสำเร็จในการผ่านไปได้ตามลำพัง”

จิงเลี่ยมองหานซันขณะที่พูดต่อ “เรื่องนี้เผ่าหมาป่าเวหะก็เข้ามาสำรวจแล้วเช่นกัน หากเจ้าไม่เชื่อก็ไปสำรวจดูเองได้”

พวกฮั่วหยังที่ตามมาด้านหลังก็พยักหน้า

หานซันมองไปยังบริเวณซึ่งเต็มไปด้วยรัศมีความตายหนาแน่นก็ขมวดคิ้ว ที่จริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเพราะเขารู้สึกได้คลุมเครือว่ามีอสูรวิญญาณที่น่ากลัวอยู่มากมาย

“พี่มู่ เจ้ามีความคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้?” หานซันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปถามความคิดเห็นมู่เฉิน

พอจิงเลี่ยและฮั่วหยังเห็นว่าหานซันไม่ได้ถามจิ่วโยวกับมั่วเฟิง แต่กลับหันไปหามู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหก พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปพลางมองมู่เฉินด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหานซันถึงสุภาพกับมู่เฉินขนาดนั้น

มู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยวแล้วพยักหน้า

เมื่อเห็นการตอบสนองนี่ หานซันก็พยักหน้าให้จิงเลี่ย “เราจะร่วมมือกันเพื่อกำจัดอสูรวิญญาณก่อน สำหรับเรื่องสมบัติค่อยแบ่งกันหลังจากที่ผ่านตรงนี้ไป”

เมื่อจิงเลี่ยได้ยินคำพูดนั่นก็พยักหน้า ทั้งสามกลุ่มวางแผนจัดสรรพื้นที่และจำนวนของอสูรวิญญาณ

“ในเมื่อทุกคนเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว ก็ลุยกันเลยเถอะ”

จิงเลี่ยเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดโดยไม่ชักช้า เมื่อแจกแจงรายละเอียดเสร็จสิ้น เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม นำพรรคพวกทะยานออกไปทันที

“เราก็ไปก่อน เดี๋ยวมารวมตัวกันหลังจากจัดการเรียบร้อย”

ฮั่วหยังพูดขึ้นพร้อมกับนำพรรคพวกออกไป

“งั้นเราก็ไปกันเถอะ”

เมื่อหานเห็นสองกลุ่มออกตัวไป เขาก็พูดกับมูเฉินก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานไปที่เหวสีดำสนิทเบื้องล่าง

มู่เฉินตามไปที่ด้านหลังดวงตาหรี่ลงมองไปที่ทิศทางกลุ่มราชสีห์ทองคำและหมาป่าเวหะที่จากไป ก่อนจะเอามือไพล่หลัง แอบส่งสัญญาณมือให้พรรคพวก

ระวัง

ทั้งสามแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ประกายแสงวาบผ่านดวงตาขณะที่ผงกหัวเบาๆ

ศึกการแย่งชิงอสูรโบราณโภคะในครั้งนี้คงไม่ราบรื่นอย่างที่คิดไว้แล้ว

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1025 เผ่าหมาป่าเวหะ
รัศมีความตายสีเทาแผ่ซ่านออกไป

ความรู้สึกเย็นเยือกนั่น แม้แต่คลื่นหลิงก็ไม่สามารถปิดกั้นได้อย่างสมบูรณ์ เส้นใยรัศมีความตายที่บุกเข้ามาในร่างกายทีละนิด จะค่อยๆ ทำให้คลื่นหลิงในร่างถูกกัดกร่อน

ทั้งกลุ่มยืนอยู่บนยอดเขาด้านนอกสุสานหมื่นอสูร สายตาจดจ่อไปที่รัศมีความตายที่เต็มพื้นที่ ก่อนที่จะมองไปที่สุสานขนาดใหญ่บนท้องฟ้า แววตาก็ค่อยๆ เคร่งเครียดลง

สุสานหมื่นอสูรทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว

“สมกับเป็นเขตอันตรายของดินแดนเสินโซ่” มู่เฉินถอนหายใจ

“ที่นี่ไม่ได้มีเพียงมหาเทพอสูรหนึ่งเดียวที่ละสังขาร…” หานซันพยักหน้า มหาเทพอสูรคือสุดยอดของเหล่าเทพอสูรซึ่งเปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว แต่สุดท้ายก็ต้องยังมีดินกลบหน้าอยู่ในสุสานหมื่นอสูรนี้

ยิ่งสิ่งมีชีวิตทรงพลังมากเท่าไรก็จะยิ่งปล่อยรัศมีความตายรุนแรงออกไปมากเท่านั้น หากสถานที่ละสังขารไม่ได้รับการปกป้องอย่างดี ด้วยจำนวนรัศมีความตายที่น่าอัศจรรย์มากมายในสุสานนี้ เหตุผลส่วนใหญ่ก็คงเป็นเพราะมหาเทพอสูรที่ละทิ้งร่างไว้ที่นี่

“ใกล้เวลาแล้ว พวกเราเตรียมเข้ากันเถอะ…”

หานซันมองไปที่ท้องฟ้าก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นไฟสีขาวหลายดวงก็บินไปหากลุ่มมู่เฉิน พวกเขารับไว้ก็เห็นแสงสีขาวเปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีขาวตกลงบนบ่าอย่างรวดเร็ว ขณะที่เปลวไฟสีขาวลุกลามก็ค่อยๆ ห่อหุ้มร่างพวกเขาเอาไว้

เมื่อร่างถูกปกป้องด้วยเปลวไฟสีขาว พวกมู่เฉินก็รู้สึกว่าร่างกายค่อยๆ อุ่นขึ้น รัศมีความตายที่รุกรานเข้ามาหายไปอย่างรวดเร็ว

เห็นได้ชัดว่าเปลวไฟนี้แข็งแกร่งกว่าของหานซันที่ใช้ตอนเดินทาง

“นี่คือเพลิงต้านอาสัญ… สามารถขับไล่รัศมีความตายและยังช่วยสัมผัสได้ถึงอสูรวิญญาณที่ถูกกัดกร่อนโดยรัศมีความตายได้ด้วย ทว่าเพลิงนี้ไม่สามารถอยู่ได้นาน ดังนั้นจำเป็นต้องเพิ่มเชื้อเพลิงอยู่เรื่อย ซึ่งข้าให้ไว้กับพวกเจ้าไปก่อนหน้านี้แล้ว”

หานซันยิ้มขณะเปลวไฟสีขาวก็ลอยขึ้นเหนือไหล่ จากนั้นเขาพลิกนิ้วโยนใบไม้สีขาวลงไปในเปลวไฟก็ถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เพลิงจะมีพลังมากขึ้น

พวกมู่เฉินพยักหน้ารับรู้

“งั้นก็ไปกันเถอะ”

พอเห็นว่าทุกคนเตรียมตัวพร้อมแล้ว หานซันก็ไม่ได้พูดต่อ ทะยานออกไปเป็นคนแรก เขาเปลี่ยนเป็นร่างแสงเหาะเหินเข้าไปในรัศมีความตายสีเทาที่ล้อมรอบบริเวณนี้

เมื่อเห็นดังนั้นคนอื่นๆ ก็ติดตามอย่างรวดเร็ว

เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงรัศมีความตายที่หนาวสะท้านยิ่งขึ้น พื้นดินด้านล่างเป็นสีดำราวกับโคลนเน่า

“กำลังจะเข้าไปแล้ว!”

หานซันที่อยู่ด้านหน้าคำรามเตือน ทันใดนั้นพวกมู่เฉินก็รู้สึกว่าอุณหภูมิทั่วบริเวณนี้เย็นเยือกลง แม้ว่าจะได้รับการปกป้องจากเพลิงต้านอาสัญ แต่การรุกรานของรัศมีความตายก็ยังทำให้คนสั่นเทาได้

รัศมีความตายโดยรอบหนาแน่นจนถึงจุดที่ปิดกั้นวิสัยทัศน์ นอกจากนี้ภายใต้รัศมีความตายที่กัดกร่อนรุนแรง มู่เฉินรู้สึกได้ว่าแม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายก็ถูกระงับไม่สามารถขยายไปได้ไกลมากนัก

ยอดเขาโดยรอบค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเทาอ่อนไม่มีสีสันของพืชพันธุ์สักนิด ที่นี่ราวกับโลกแห่งความตาย

โฮก!

เหมือนจะมีเสียงคำรามโหดเหี้ยมเยือกเย็นดังมาจากที่ไกล ซึ่งไม่มีร่องรอยพลังชีวิตในเสียงแม้แต่น้อย ราวกับว่าเป็นผีดิบอย่างไรอย่างนั้น

วาบ! วาบ!

ขณะที่ทั้งกลุ่มเดินทางผ่านเทือกเขา พวกเขาก็เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ร่างเกร็งแน่นขณะมองไปรอบๆ

กึก

หานซันที่อยู่หน้าสุดหยุดลงกะทันหัน ร่างเขาไปปรากฏบนซากต้นไม้แห้งกรังขณะมองออกไปเบื้องหน้า บนท้องฟ้ามีเงาหลายเงาลอยอยู่ คลื่นรัศมีความตายเย็นเยือกถูกปล่อยออกมาจากร่างพวกนั้นอย่างต่อเนื่อง

“นั่นอสูรวิญญาณรึ?”

มู่เฉินมองไปเบื้องหน้า ก็เห็นว่าเงาเหล่านั้นเป็นสีเทาซีด ดวงตาว่างเปล่าไม่มีสติปัญญา ทั้งหมดมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน บางตัวมีรูปร่างครึ่งสัตว์ครึ่งมนุษย์ แต่ทุกร่างต่างเปล่งรัศมีความตายทรงพลัง ใครก็ตามที่มีขุมพลังต่ำกว่าระดับจื้อจุนขั้นห้าคงต้องตายเมื่อสัมผัส

“จัดการให้เร็วที่สุด ต้องระเบิดหัวพวกมัน ไม่งั้นมันจะกวนเราไม่รู้จบ นอกจากนี้ก็ต้องทำให้เร็ว ไม่เช่นนั้นพวกมันอาจเรียกตัวอื่นๆ มาอีกก็ได้ ถึงเวลานั้นหนาวแน่ถ้าโดนล้อมกรอบเอาไว้”

หานซันพูดเสียงเบา จากนั้นก็โบกมือกระจายกำลังกำจัดเป้าหมายอย่างรวดเร็ว

คนอื่นๆ พยักหน้า อึดใจก็ทะยานออกไปในเวลาเดียวกัน พุ่งไปยังเงาหมองหม่นบนท้องฟ้า

มู่เฉินปรากฏเบื้องหน้าร่างเงาสีขี้เถ้าซีดร่างหนึ่ง มันถูกปกคลุมไปด้วยขนสีขาว ตัวสีซีดจางดูอ่อนแอ ทว่าที่จริงกลับแข็งแรงกว่าโลหะ

เมื่อมู่เฉินปรากฏที่เบื้องหน้า แสงสีเทาก็กะพริบในดวงตาอสูรวิญญาณ ทันใดนั้นมันก็เงยหน้าขึ้นพุ่งเป้ามาที่มู่เฉิน กรงเล็บแหลมคมตวัดใส่หน้าอกของมู่เฉิน

การโจมตีเฉียบคมและโหดเหี้ยมมาก ทำให้มู่เฉินประหลาดใจไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าอสูรวิญญาณเหล่านี้ยังคงมีสัญชาตญาณการต่อสู้ของตอนมีชีวิตอยู่ ไม่อย่างนั้นไปไม่ได้ที่การโจมตีจะมีฝีมือแบบนี้

เผชิญหน้ากับอสูรวิญญาณระดับนี้ หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกสามัญ พวกเขาอาจต้องเสียแรงไม่น้อยถึงจะจัดการพวกมันได้

แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินไม่ได้อยู่ในระดับธรรมดา

ดังนั้นเมื่อกรงเล็บแหวกอากาศเข้ามา มู่เฉินก็ไม่ได้หลบแต่ยื่นมือคว้ากรงเล็บเอาไว้ กรงเล็บซึ่งเปรียบได้กับอาวุธพบสวรรค์ กลับไม่สามารถแม้แต่จะบาดผิวหนังของเขาได้

แคร็ก

มู่เฉินใส่พลังในมือมากขึ้นก่อนจะบดขยี้กรงเล็บ ทว่าอสูรวิญญาณไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ กลับกวาดกรงเล็บอีกข้างที่ห่อหุ้มด้วยรัศมีความตายพุ่งไปที่ลำคอของมู่เฉิน

ปัง!

มู่เฉินชกหมัดออกไปด้วยสีหน้าเฉยเมย ฉีกผ่านมิติซัดลงบนหัวของอสูรวิญญาณจังใหญ่ ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังกึกก้อง หัวของอสูรวิญญาณแตกออกดังโพละเหมือนลูกแตงโม

แต่เมื่อหัวระเบิดกลับไม่มีเลือดสักหยด มีเพียงขี้เถ้าฟุ้งกระจาย ส่วนร่างมันก็แข็งทื่อก่อนที่จะร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า หน้าทิ่มลงดิน

มู่เฉินไม่ได้มองอสูรวิญญาณที่ร่วงลงไป แต่มองที่กำปั้นแทน หลังจากทุบหัวของอสูรวิญญาณ มือของเขาก็ถูกห่อด้วยไอสีเทาบางจาง ซึ่งก็คือรัศมีความตายที่กัดกร่อนเข้ามา

“รัศมีความตายเป็นปัญหาจริงๆ”

มู่เฉินขมวดคิ้วจากนั้นก็หมุนเวียนคลื่นหลิงขับไล่รัศมีความตาย ในสุสานหมื่นอสูรรัศมีความตายหนาแน่นเกินไป ถ้าประมาทให้มันบุกเข้ามาในร่างกายละก็ คงต้องจ่ายราคามหาศาลเลยทีเดียว

หลังจากที่มู่เฉินจัดการอสูรวิญญาณได้ไม่นาน คนอื่นๆ ก็จัดการเรียบร้อยเช่นกัน ทุกคนมารวมตัวไม่ได้พูดอะไร ตามหลังหานซันออกไปอย่างรวดเร็ว

“อสูรโภคะที่พบอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสุสานหมื่นอสูร เราระมัดระวังกันหน่อยน่าจะใช้เวลาประมาณครึ่งวันไปถึง” ระหว่างทางหานซันก็เอ่ยขึ้น

“เผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำจะถึงก่อนไหม?” มู่เฉินถาม

“ในแง่ของความเร็วพวกเขาไม่น่าเร็วขนาดนั้น เพราะพื้นที่ที่อสูรโภคะสิ้นชีพเต็มไปด้วยอันตราย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านไปได้” หานซันตอบ

มู่เฉินพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก

ทั้งกลุ่มเดินทางอย่างรวดเร็วผ่านสุสานหมื่นอสูรเทาหม่น ทว่าขนาดของสุสานเกินกว่าจินตนาการของพวกเขาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะผ่านภูเขากี่ลูกก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดสักที

ระหว่างทางพวกเขาปะทะกับอสูรวิญญาณมากมาย แม้จะมีหานซันนำทาง แต่เส้นทางที่หานซันรู้ก็มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้พวกเขาตกอยู่ในดงวิญญาณเหล่านี้หลายครั้ง แม้สุดท้ายจะหลุดพ้นมาได้ แต่ก็ดูน่าสมเพชยิ่งนัก

ทว่าโชคดีที่ไม่ได้พบอสูรวิญญาณทรงพลัง ไม่เช่นนั้นความเร็วของพวกเขาจะต้องลดฮวบลงมาก

นอกจากนี้มู่เฉินยังหมุนเวียนจิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงอย่างเงียบๆ ตลอดเส้นทางที่พุ่งสู่สถานที่ตั้งของอสูรโบราณโภคะเพื่อสัมผัสกับร่องรอยวิหคอมตะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผลลัพธ์อะไร ซึ่งทำให้พวกเขาค่อนข้างผิดหวัง

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วขณะเดินทาง

ไม่รู้ผ่านภูเขาไปแล้วกี่ลูก ในที่สุดมู่เฉินก็รู้สึกว่าหานซันเริ่มชะลอตัวลงและส่งสัญญาณมือบอกให้พวกเขาระวังตัว

มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เพิ่มการป้องกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าใกล้ร่างอสูรโบราณโภคะแล้ว

ผ่านภูเขาตรงหน้าไป เบื้องหน้าครรลองสายตามู่เฉินก็ปรากฏวิวทิวทัศน์ป่าขาวโพลนซึ่งปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายเสมือนร่างภูตผีที่ทำให้รู้สึกหนาวสั่นไปตามสันหลัง

มู่เฉินมองไปที่ป่าขาวโพลนเบื้องหน้า ดวงตาก็หรี่ลง ในสถานที่แห่งนี้เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงคลุมเครือ

เขาเหลือบมองไปที่จิ่วโยวและมั่วเฟิงอย่างรวดเร็ว ทั้งสองก็สัมผัสได้เช่นกัน พวกเขายกระดับการป้องกันขึ้น

หานซันจ้องไปที่ป่าเบื้องหน้า จากนั้นก็หยิบนกหวีดเป่าเป็นจังหวะ เมื่อคลื่นเสียงแผ่ออกไป ใบไม้ในป่าสีขาวก็พลิ้วไหวก่อนที่พวกมู่เฉินจะเห็นร่างหลายร่างที่ปกคลุมด้วยรัศมีโหดเหี้ยมพุ่งออกมาจากแนวป่ายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าพวกเขา

ผู้ที่มาใหม่มีรูปร่างกำยำ ร่างกายปกคลุมไปด้วยรอยแผลเป็นทำให้ดูดุร้าย ขณะนี้ดวงตาสีแดงก่ำจับจ้องอยู่ที่กลุ่มหานซัน

บนหว่างคิ้วมีรูปพระจันทร์เสี้ยวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าหมาป่าเวหะ

คนเหล่านั้นเป็นจอมยุทธ์ของเผ่าหมาป่าเวหะนั่นเอง

เมื่อมู่เฉินเห็นพวกเขาก็ไม่ได้ผ่อนการป้องกันลง ตรงกันข้ามกลับยกระดับมากขึ้น

จอมยุทธ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มเป็นชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า ดวงตาสีแดงเข้มมองไปที่พวกหานซัน ก่อนที่จะจ้องมาที่พวกมู่เฉินเขม็ง ทันใดนั้นรัศมีร้ายกาจก็กำจายบนใบหน้า

“หานซัน พวกเขาไม่ใช่สมาชิกเผ่าแรดอสูรนี่!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1024 สุสานหมื่นอสูร
ในสมัยโบราณ

มีสัตว์อสูรที่ไม่กินพืชไม่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร แต่กลับกินสายฟ้าแทน เมื่อสายฟ้าแล่นพล่านเข้าไปรวมในหัวใจและถูกบีบอัดไว้ก็ทำให้มีพลังที่สามารถทำลายล้างโลกได้เลยทีเดียว

ทว่าสัตว์อสูรชนิดนี้มีนิสัยอ่อนโยนตามธรรมชาติ ปกติไม่ทำร้ายใคร แต่ถ้าพวกมันโกรธขึ้นมาก็จะระเบิดหัวใจตัวเอง ว่ากันว่าหากพาฬกินสายฟ้าที่มีชีวิตหมื่นปี พลังของมันที่ระเบิดหัวใจก็ไม่สามารถอธิบายได้

ในตำนานเล่าว่ามีครั้งหนึ่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนพยายามที่จะจับพาฬกินสายฟ้าเป็นสัตว์เลี้ยง แต่สุดท้ายก็ทำให้มันโกรธคลั่งจนระเบิดหัวใจ สุดท้ายแม้แต่ตัวเขาก็เสียชีวิตจากแรงระเบิด

ทว่าเนื่องจากความหายากของพาฬกินสายฟ้า ในมหาพันภพปัจจุบันก็ยิ่งน้อยเข้าอีก ดังนั้นสัตว์อสูรตัวนี้จึงค่อยๆ ถูกลืมเลือนไปจากผู้คน

ในเจดีย์หินเมื่อมู่เฉินได้ยินคำอธิบายของหานซัน เขาก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบ มือที่กุมหัวใจยังสั่นเทิ้ม ด้วยความกลัวว่าจะระเบิด หากเป็นเช่นนั้นจะไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่รอดชีวิตไปได้

“หัวใจของพาฬกินสายฟ้าจำแนกตามสี อายุเกินกว่าหมื่นปีจะเป็นทองคำบริสุทธิ์ ชิ้นนี้เป็นเงินก็น่าจะมีอายุช่วงพันปี แม้ว่าจะไม่สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้ แต่ก็เป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังต่ำกว่าระดับตี้จื้อจุนทุกคน” หานซันมองหัวใจสีเงินขณะที่พูดด้วยดวงตาที่ลุกโชติช่วง

ด้วยหัวใจของพาฬกินสายฟ้าก็เหมือนมีไพ่ตายที่เอาไว้ข่มขู่คนอื่นได้เพิ่มอีกหนึ่ง หากหยิบมันออกมาเมื่อถูกบีบจนเข้าสู่ทางตัน ทุกคนก็คงต้องกลัวหัวหดไม่น้อย

มู่เฉินรู้ดีถึงเรื่องนี้จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ก่อนที่จะเก็บหัวใจสีเงินไว้อย่างระมัดระวัง ด้วยวัตถุนี้เท่ากับเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตได้หนึ่งครั้ง

ทว่าของสิ่งนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้นหากไม่มีความจำเป็นก็ห้ามหยิบออกมาใช้ง่ายๆ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

“พี่มู่โชคดีจริงๆ”

เมื่อหานซันเห็นแต่ละสมบัติที่มู่เฉินได้ก็อดเผยความอิจฉาบนใบหน้าไม่ได้ หากมู่เฉินแปลงของสามอย่างที่ได้รับมาเป็นของเหลวจื้อจุนอาจมีมูลค่านับสิบล้านหยดเลยก็ได้ ซึ่งเป็นกำไรที่ยอดเยี่ยมมากเมื่อเทียบกับการลงทุนล้านห้าแสนหยด

มู่เฉินก็ปกปิดความปีติยินดีในใจไม่ได้ เขาเชื่อว่าการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้เกินความคาดหมายไปไกล

แต่ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมั่วหลิง เขาก็ไม่สามารถเก็บเกี่ยวสิ่งที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ได้ แน่นอนว่า…ที่โชคดีที่สุดก็คือเขาสามารถใช้ค่ายกลในการเปิดผนึก ขณะที่คนอื่นได้แต่ทำลายผนึกด้วยกำลังเท่านั้น

ทั้งสองอย่างล้วนจำเป็นต่อการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้

“พี่หานอีกไม่นานเราจะไปถึงสุสานหมื่นอสูรแล้ว เจ้าสามารถบอกข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอสูรโบราณโภคะได้หรือไม่?” มู่เฉินกดความสุขในใจให้สงบลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันไปมองที่หานซันพลางถาม

จิ่วโยวและมั่วเฟิงที่อยู่ด้านข้างก็เบนสายตามา วัตถุประสงค์หลักของพวกเขาในการเดินทางไปยังสุสานหมื่นอสูรครั้งนี้คือการค้นหาเบาะแสของวิหคอมตะ แม้ว่าอสูรโภคะจะน่าดึงดูดความสนใจ แต่ก็เป็นเรื่องรอง เมื่อเทียบกับวัตถุประสงค์หลักของพวกเขา

ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรู้ชัดถึงความเสี่ยงเพื่อที่จะตัดสินใจในการเคลื่อนไหว

หานซันพยักหน้า “ข้าต้องบอกรายละเอียดอยู่แล้ว…จอมยุทธ์เผ่าข้าที่ได้เข้ามายังดินแดนเสินโซ่ในอดีตบอกไว้ว่า ไม่ใช่แค่เผ่าแรดอสูรเท่านั้นที่ค้นพบอสูรโบราณโภคะ”

“มีเผ่าอะไรอีกบ้าง?” มั่วเฟิงถาม

“มีอีกสองเผ่าก็คือเผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำ” หานซันเอ่ย

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็หรี่ตาลง ทั้งสองสองเผ่าต่างมีรากฐานมั่นคง หากพวกเขาได้รับการวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายก็จะกลายเป็นหมาป่าเวหะกลืนจันทร์และราชสีห์ทองคำเก้าหัว ซึ่งสามารถเทียบเคียงกับมหาเทพอสูรได้เลยทีเดียว

แต่ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมายังไม่เคยได้ยินว่ามีใครในเผ่าสามารถพัฒนาสู่ระดับนั้นได้ ดังนั้นจึงบอกได้ว่ายากเพียงใดสำหรับพวกเขาที่จะพัฒนาจนถึงจุดนั้น

แต่ถึงอย่างนั้นเผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำก็มีชื่อเสียงมากในมหาพันภพ ไม่สามารถมองข้ามได้

“พวกข้าเคยทำสัญญาลับกับจอมยุทธ์เผ่าหมาป่าเวหะ บางทีเมื่อถึงเวลานั้นอาจจะร่วมมือกันกำจัดเผ่าราชสีห์ทองคำก่อน เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็จะได้ส่วนแบ่งสมบัติเพิ่มขึ้น” หานซันยิ้ม

มู่เฉินมองไปที่หานซันอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะแอบดึงเผ่าหมาป่าเวหะมาเป็นพวกแล้ว แบบนี้เผ่าราชสีห์ทองคำก็อาจต้องโดนเล่นง่าย

“เผ่าหมาป่าเวหะฉลาดแกมโกงและโหดร้าย ต้องระมัดระวังให้มากถ้าร่วมมือกับพวกเขา” จิ่วโยวเตือน

หานซันพยักหน้ากับคำพูดของนางเนื่องจากเขาก็ทันคนพอตัว เขารู้ว่าสัญญาแบบนี้เปราะบางแค่ไหน หากมีการเปลี่ยนแปลงฉับพลันของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เผ่าหมาป่าเวหะอาจจะหันมาแว้งกัดพวกเขาแทน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงชวนพวกมู่เฉินมาด้วย ไม่งั้นถ้าเขามั่นใจ เขาก็ไม่ต้องการให้คนอื่นมีส่วนร่วมในสมบัติหรอก

“นอกเหนือจากเผ่าทั้งสองเผ่าที่อาจต่อสู้แย่งชิงอสูรโภคะ ที่นั่นยังมีอสูรวิญญาณที่ถูกรัศมีปีศาจกัดกร่อนด้วย ซึ่งลำบากในการจัดการเช่นกัน”

“อสูรวิญญาณรึ? มีเท่าไร? พลังอยู่ในระดับไหน?” มู่เฉินครุ่นคิด สิ่งที่เรียกว่าอสูรวิญญาณก็คือวิญญาณเหล่าจอมยุทธ์เผ่าสัตว์อสูรต่างๆ ที่ถูกรัศมีปีศาจกัดกร่อนหลังตาย จนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตผีดิบ แต่ยังคงรักษาความแข็งแกร่งในการต่อสู้ส่วนหนึ่งเมื่อยังมีชีวิตไว้ พวกมันไม่กลัวความตาย หากพวกเขาถูกวิญญาณพวกนี้จู่โจมเข้าละก็จะลำบากมาก

“มีเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่อยู่ในขุมพัลงจื้อจุนขั้นห้าหรือขั้นหก แต่ก็มีบางตัวที่ต่อกรยาก ดังนั้นเราจะต้องระมัดระวังให้มาก ไม่เช่นนั้นอาจต้องจ่ายราคาแพงระยับแน่” หานซันพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

มู่เฉินพยักหน้า ข้อมูลที่หานซันรู้ยังไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากสุสานหมื่นอสูรเป็นหนึ่งในเขตอันตรายของดินแดนเสินโซ่ ซึ่งไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่พวกเขาจะเดินทอดน่องไปมาตามใจต้องการชอบ ดังนั้นศึกการแย่งชิงอสูรโบราณโภคะครั้งนี้คงไม่ง่ายแน่

แต่ในเมื่อพวกเขามาไกลขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าสุสานหมื่นอสูรจะอันตรายแค่ไหนพวกเขาก็ไม่มีทางยอมแพ้ เพราะเบาะแสของวิหคอมตะโบราณคงพบได้เฉพาะที่นั่นเท่านั้น

ทั้งหมดพูดคุยเกี่ยวกับแผนการเพิ่มเติม ก่อนที่แต่ละคนจะแยกเข้าสู่การเพาะบ่มพลังเมื่อถึงเวลากลางคืน

มู่เฉินก็สัมผัสเจตนาการสังหารของหมัดปีศาจพลีชีพตามปกติ

คืนที่เงียบงันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อถึงตอนเช้าที่นี่ก็คึกคักทันตา ร่างเงามากมายหลั่งไหลออกมา ขณะเดียวกันก็มีจอมยุทธ์ออกจากตลาดเสรี มุ่งไปตามเป้าหมายของตนเอง

ทั่วทั้งตลาดเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

“พวกเราก็ไปกันเถอะ” หานซันมองพวกมู่เฉินแล้วยิ้ม

มู่เฉินและจิ่วโยวพยักหน้า พวกเขาไม่ชักช้าทะยานตัวออกจากเจดีย์หินไป ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงบินข้ามขอบฟ้าโดยมีพวกหานซันตามไปอย่างใกล้ชิด

ไม่นานหลังจากพวกมู่เฉินที่จากไป กลุ่มคนนับสิบก็ปรากฏอยู่ด้านนอกเจดีย์หิน มีคนหน้าคุ้นรวมอยู่ในกลุ่มด้วย นั่นก็คือไป๋ปิงซึ่งเสียท่าในการปะทะกับมู่เฉินเมื่อวานนี้

แต่ยามนี้ไป๋ปิงไม่เหลือเค้าความอหังการไว้บนใบหน้า นั่นเป็นเพราะเบื้องหน้าเขามีชายชุดสีฟ้ายืนเอามือไพล่หลังสายตาไม่แยแส เขามีดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ แม้แต่บรรยากาศก็กลายเป็นน้ำแข็ง

“พี่ใหญ่ไป๋หมิง ไอ้พวกนั้นน่าจะไปกันแล้ว” ไป๋ปิงมองเจดีย์หินว่างเปล่าขณะที่พูดอย่างระมัดระวัง

ไป๋หมิงขมวดคิ้วเหลือบมองเขา ทำเอาร่างกายของไป๋ปิงเย็นเยือกลง

“ที่เจ้าบอกว่าบนร่างคนนั้นมีรัศมีหงส์ฟ้าแท้จริงเป็นเรื่องจริงหรือ?” ไป๋หมิงพูดเบาๆ

“เป็นเรื่องจริงแน่นอน ความกดดันนั่นไม่ผิดแน่ นอกจากนี้มันน่าจะเป็นมนุษย์ ดังนั้นมันจะต้องครอบครองสุดยอดสมบัติของเผ่าเรา ไม่งั้นเป็นไปไม่ได้ที่มันจะครอบครองแรงกดดันหงส์ฟ้า” ไป๋ปิงรีบอธิบาย

ไป๋หมิงพยักหน้าเล็กน้อย ริ้วความประหลาดใจวูบไหวในดวงตา รัศมีหงส์ฟ้าแท้จริง… เป็นสิ่งที่ครอบครองได้โดยกลุ่มคนชั้นสูงในเผ่าที่มีสายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น มนุษย์นั่นครอบครองสมบัติอะไรกัน?

ถ้าเขาไป๋หมิงได้รับ อาจช่วยพัฒนาสายเลือดจนเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างมาก

“ตรวจสอบทิศทางที่พวกมันไปได้รึยัง?” ไป๋หมิงถามอีกครั้ง

“น่าจะเป็นทางตะวันตกเฉียงเหนือ” ไป๋ปิงกล่าว

“ทางนั้น…” ไป๋หมิงอึ้งงันจากนั้นก็คลี่ยิ้ม “นั่นเป็นทางไปสุสานหมื่นอสูร ดูท่าพวกมันจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่เดียวกันกับเรา แม้แต่สวรรค์ก็ไม่เข้าข้างพวกมันเลย”

“พี่ใหญ่ไป๋หมิง เราจะไล่ตามไปไหม?” ไป๋ปิงถาม

ไป๋หมิงส่ายหัวพูดว่า “ข้ายังต้องซื้อของบางอย่างในตลาดเสรี ในเมื่อพวกมันมุ่งหน้าไปยังสุสาน เดี๋ยวเราก็ได้พบกันในเร็วๆ นี้ ไม่ต้องรีบเร่งให้พวกมันกระโดดโหยงเหยงกันไปก่อนเถอะ”

เมื่อไป๋หมิงพูดจบก็หันออกไป ทิ้งไป๋ปิงที่มองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือด้วยความไม่เต็มใจพูดเสียงน่าขนลุกว่า “งั้นก็ให้พวกแกหายใจเพิ่มอีกสักสองสามวันละกัน!”

พวกมู่เฉินที่ออกจากตลาดเสรีไปแล้ว

ก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกเล็งหัวเอาไว้ แต่ถึงแม้จะรู้ ด้วยนิสัยก็คงไม่สนใจ เพราะตั้งแต่ลงมือกับไป๋ปิง มู่เฉินก็รู้แล้วว่าต้องเกิดปัญหา นั่นก็อย่างที่เขาพูดไว้ เขาไม่ได้กลัวหรือซ่อนตัวจากสิ่งที่ทำ หากคนที่ไป๋ปิงเชิญมาคิดว่าสามารถเหยียบย่ำบนหัวเขาได้ง่ายๆ มู่เฉินก็ไม่เกรงใจที่จะให้อีกฝ่ายจ่ายราคาแพงระยับด้วยเช่นกัน

ดังนั้นตอนนี้เขาจึงมุ่งเน้นไปที่การเดินทางไปยังสุสาน

ในช่วงสองวันต่อมาพวกเขาก็ไม่ได้แวะเวียนที่ไหนอีก ภายใต้การเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดเมื่อพระอาทิตย์ตกดินในวันที่สองพวกเขาก็ยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งแล้ว

สายตาของพวกเขาพุ่งตรงไปยังระยะไกลก่อนที่จะกลายเป็นเคร่งเครียด

บนภูเขาและพื้นดินที่ห่างไกล หมอกหนาสีเทาหนาแน่นปกคลุมทั่วบริเวณราวกับม่าน หมอกสีเทาทั้งเย็นยะเยือกและน่าขนลุก ราวกับมีเสียงโหยหวนคลุมเครือเปล่งออกมา

บนท้องฟ้า ปรากฏหลุมฝังศพนับไม่ถ้วนพร้อมกับรัศมีความตายเชี่ยวกราก

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงสุสานหมื่นอสูรแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1023 เขาทรพีกับหัวใจสายฟ้า
หลังจากซื้อลูกผลึกแสงสามลูกมาแล้ว

มู่เฉินก็ไม่คิดที่จะเปิดทันที เพราะกลัวว่าเมื่อสมบัติเปิดออกมาจะไปดึงดูดความสนใจผู้คนอีก แม้ว่าเขาจะไม่กลัว แต่การมีปัญหาก็น่าปวดหัวไม่น้อย

นอกจากนี้เขาก็ไม่อยากให้คนขายรู้ว่าตัวเขามีวิธีพิเศษในการเปิดผนึก กลัวว่าอีกฝ่ายจะเกิดความคิดไม่ดีจนทำให้เกิดเหตุเปลี่ยนแปลง

ดังนั้นเขาจึงเก็บลูกผลึกแสงไปก่อน เขากวักมือให้หานซันและจิ่วโยวจากนั้นทั้งกลุ่มก็จากไปอย่างว่องไว ภายใต้สายตาเศร้าสลดของคนขายร่างผอม

“เราซื้อของที่ต้องการครบแล้ว… ต้องใช้เวลาอีกสองวันกว่าจะเดินทางไปถึงสุสานหมื่นอสูร นี่ก็เย็นมากแล้วข้าแนะนำให้พักที่นี่สักวันแล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ” เมื่อทั้งสองกลุ่มมารวมตัวกัน หานซันก็เอ่ยแนะนำ

มู่เฉินไม่ได้คัดค้านเพราะเขาต้องการสถานที่ที่ปลอดภัยเพื่อเปิดผนึกลูกผลึกแสงทั้งสามอยู่พอดี แม้ว่าตลาดเสรีจะเต็มไปด้วยผู้คน แต่ก็ยังปลอดภัยกว่าในป่า

เมื่อหานซันเห็นว่าไม่มีใครคัดค้านก็มุ่งหน้าไปทางตะวันตกของตลาดเสรี มีเจดีย์หินซึ่งบางส่วนถูกคนจองไว้แล้ว เห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นที่พักผ่อนของจอมยุทธ์เผ่าต่างๆ

พวกมู่เฉินมองหาเจดีย์ว่างแล้วเข้าไปพักที่ภายใน ทุกคนหลับตาเพื่อเข้าสู่สมาธิ ขณะที่มู่เฉินนั่งลงตรงมุมก็สะบัดแขนเสื้อ ลูกผลึกแสงสามลูกลอยคว้างอยู่ที่เบื้องหน้า

ลูกผลึกแสงทั้งสามถูกปกคลุมด้วยอักขระจางๆ ซึ่งน่าจะเป็นอักขระผนึก

ที่มุมหนึ่งจิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงก็มองลูกผลึกแสงทั้งสามด้วยความสนใจ พวกเขาอยากรู้เหมือนกันว่ามู่เฉินจะได้อะไรจากลูกผลึกแสงทั้งสามนี้?

ในเจดีย์หิน เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของมู่เฉิน แม้แต่หานซันก็มองมาด้วยความอยากรู้เช่นกัน เขารู้ว่าก่อนหน้ามู่เฉินเปิดผนึกชิ้นหนึ่งได้ทำให้ได้รับแก่นเพลิงหงส์ฟ้าจนไปดึงความสนใจจากฉื้อหงหวู่เข้า เขารู้สึกอิจฉาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากราคาของแก่นเพลิงหงส์ฟ้าเกินกว่าของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดที่จ่ายไปมากเลยทีเดียว

มู่เฉินไม่สนใจสายตาคนอื่น เขาหยิบลูกผลึกแสงมาลูกหนึ่ง จากนั้นก็บีบจนแตก ลูกแสงเย็นเยือกตกลงมาในมือ เขาเห็นว่าบนพื้นผิวมีอักขระสีแดงเข้มชัดเจน ความผันผวนที่ปล่อยออกมายังเหมือนกับลูกก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่าถูกประทับไว้ด้วยอักขระของมหาเทพอสูรเช่นกัน

มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ จากนั้นก็เริ่มทำงานจากด้านในอีกครั้ง เขาสร้างค่ายกลขนาดเล็กอันประณีตก่อนที่จะเทคลื่นพลังของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงลงไปภายใน ค่อยๆ กัดกร่อนผนึกที่สมบูรณ์แบบเพื่อจะแหวกช่องโหว่ออก

มู่เฉินหลับตาครู่หนึ่งก่อนที่จะเปิดขึ้น นั่นเพราะเขารู้สึกได้ถึงผนึกบนพื้นผิวของลูกผลึกแสงเริ่มมีช่องโหว่ให้เห็นแล้ว

เขาไม่ลังเลกำหมัดขึ้นทันใดนั้นก็ควบคุมคลื่นหลิงอัดเข้าไป ขณะเดียวกันพลังงานก็ระเบิดตัวผลึกจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ประกายแสงระยิบระยับกระจายออกไป

เมื่อแสงสลายลง ทุกคนหันไปมองก็เห็นแสงสีม่วงเข้มรวมตัวกันในฝ่ามือของมู่เฉิน แสงสีม่วงเข้มขยายตัวอย่างรวดเร็ว พริบตาก็เปลี่ยนเป็นชุดเกราะสีม่วงเข้มเพรียวบาง

ชุดเกราะะถูกแกะสลักด้วยลวดลายโบราณที่มีเงาภาพนูนสูงต่ำมากมาย กระจายด้วยความผันผวนที่ลึกซึ้ง มิหนำซ้ำยังปลดปล่อยคลื่นพลังน่าอัศจรรย์ออกมาเลือนรางด้วย

ชุดเกราะเพรียวบางพร้อมกับรูปร่างโค้งเว้าเห็นได้ชัดว่าเป็นของสตรี

มู่เฉินประหลาดใจไปเมื่อมองชุดเกราะสีม่วงเข้ม หลังจากเทคลื่นหลิงลงไป ระลอกคลื่นทรงพลังก็ระเบิดออก ก่อตัวเป็นชั้นป้องกันรอบตัวเกราะ

ตู้ม!

มู่เฉินกำหมัดชกลงบนเกราะอย่างหนักหน่วง ชั้นการป้องกันพังทลายลงทีละชั้น แต่ขณะเดียวกันพลังงานบนกำปั้นของมู่เฉินก็หมดลงเร็วเช่นกัน เมื่อกำปั้นแตะลงบนเกราะก็เพียงสร้างรอยตื้นเอาไว้แล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

“ช่างเป็นการป้องกันที่ทรงพลัง!”

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็หดดวงตาลง กำปั้นของเขาอาจดูบอบบาง แต่พลังที่ใส่ลงไปแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ตอนนี้ชุดเกราะกลับป้องกันการโจมตีของเขาได้อย่างสมบูรณ์

“ของดี นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพคลื่นหลิงด้วย…”

มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะชื่นชม ไม่เพียงแต่ชุดเกราะนี้มีความสามารถในการป้องกันที่ทรงพลัง แต่ยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพคลื่นหลิงจนทำให้ความแข็งแกร่งในการต่อสู้เพิ่มขึ้นด้วย

แค่สองอย่างนี้ก็ทำให้ชุดเกราะนี้เปรียบได้กับอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นวัตถุโดดเด่น ราคาสูงเกินกว่าของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดเช่นกัน

“ของดี!”

เมื่อหานซันเห็นสิ่งนี้ ดวงตาก็อดโชนแสงไม่ได้

มู่เฉินยิ้มแล้วสะบัดนิ้ว ชุดเกราะก็บินไปหาจิ่วโยว ในเมื่อชุดเกราะเป็นของสตรี ถ้าจิ่วโยวครอบครองละก็พลังในการต่อสู้ของนางก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย

มองไปที่ชุดเกราะที่พุ่งมายังทิศที่นางอยู่ จิ่วโยวก็ตกตะลึงก่อนที่จะยิ้ม นางไม่ได้ปฏิเสธกลับเรียกเข้ามาด้วยการสะบัดมือก่อนที่ชุดเกราะจะลอยคว้างอยู่เบื้องหน้า นางเปิดริมฝีปากสีแดงชาดเล็กน้อย คลื่นหลิงก็พรั่งพรูออกมาชำระชุดเกราะอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถูกดึงเข้าสู่ร่างกายของนาง

มอบชุดเกราะให้แก่จิ่วโยวแล้ว มู่เฉินก็หันความสนใจไปที่ลูกผลึกแสงอีกสองลูก สุดท้ายผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาด มู่เฉินจัดการกับผนึกโบราณได้สำเร็จ

เมื่อเปิดผนึกเสร็จเรียบร้อย สมบัติที่ปรากฏขึ้นก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน

มีสมบัติสองอย่าง หนึ่งในนั้นเป็นเขาสีดำ รูปร่างโค้งเหมือนธนูที่เต็มไปด้วยรอยกะดำกะด่าง มิหนำซ้ำยังมีรัศมีเหี้ยมหาญน่าอัศจรรย์เปล่งออกมาอย่างคลุมเครือ

เมื่อมู่เฉินมองไปก็ต้องอึ้ง เพราะเขาพบว่าวัตถุนี้คล้ายคลึงกับเขาที่ปรากฏบนร่างเทพอสูรของหานซัน

ดังนั้นเขาจึงมองไปหานซันก็เห็นว่าจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรจ้องมองมาด้วยดวงตาแดงก่ำ… สายตาตกอยู่ที่เขาดำในมือ

“นี่คือเขาของเผ่าแรดอสูรเหรอ?” มู่เฉินค่อนข้างประหลาดใจขณะเอ่ยปากถาม

สายตาของหานซันยังยึดติดอยู่ที่เขาสีดำขณะหายใจหนักหน่วง “น่าจะเป็นของบรรพบุรุษของเผ่าแรดอสูร เขาทรพีของเผ่าพันธุ์ข้าเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดพร้อมด้วยรัศมีร้ายกาจที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเพาะบ่มของเผ่า แม้ว่าเขาชิ้นนี้จะสึกกร่อนจากกาลเวลา แต่ถ้านำติดตัวไปกับพวกข้าก็จะเร่งวิทยายุทธที่ฝึกฝนได้”

มู่เฉินเข้าใจแล้วว่าทำไมดวงตาของจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรถึงเปลี่ยนเป็นสีแดง ทว่าแม้วัตถุนี้จะช่วยในการเพาะบ่มพลังสำหรับเผ่าแรดอสูร แต่มันกลับไม่เป็นประโยชน์กับพวกมู่เฉินมากนัก เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการรัศมีที่น่ากลัวแบบนี้

“พี่มู่…”

ลมหายใจของหานซันสงบลงพลางมองมาที่มู่เฉินอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่รู้ว่าเจ้าขายของนี่ให้พวกข้าได้ไหม?”

มู่เฉินเหลือบมองจิ่วโยวและมั่วเฟิง ทั้งคู่ต่างยักไหล่ วัตถุนี้เป็นสมบัติของเผ่าแรดอสูร แต่กลับไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงสำหรับพวกเขา ดังนั้นหากหานซันเสนอราคาที่เหมาะสม ขายให้พวกเขาก็ดี

เมื่อเห็นการตอบสนองของพวกเขา มู่เฉินก็ยิ้มโยนเขาสีดำไปทางหานซัน “ในเมื่อเป็นแบบนี้ พี่หานก็ให้ตามความเหมาะสมเถอะ”

เขาไม่ได้ยกให้เปล่าๆ เพราะหานซันเทียบกับความสัมพันธ์ของเขากับจิ่วโยวและมั่วเฟิงไม่ได้ ถ้าเขาให้ไปโดยไม่คิดราคาก็คงไม่เหมาะเท่าไร เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาในการแบ่งผลเก็บเกี่ยวที่ร่วมมือในอนาคต

หานซันรับเขาไปอย่างระมัดระวังและลูบราวกับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า ก่อนที่จะเผยสีหน้าลึกซึ้ง เขาหันหลังกลับกระซิบกระซาบกับสหายข้างหลัง สุดท้ายก็โยนขวดหยกไปให้มู่เฉิน

“พี่มู่ เขาทรพีนี้ไร้ประโยชน์ต่อผู้อื่น แต่กลับเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับพวกข้า หากวางไว้ในโรงประมูลในมหาพันภพราคาอาจจะเกินสองล้านหยดของเหลวจื้อจุน”

หานซันทำท่าอายเล็กน้อยขณะที่พูดต่อ “แต่ตอนนี้พวกข้ามีของเหลวจื้อจุนที่ใช้ได้เพียงสองล้านหยด ซึ่งบรรจุอยู่ในขวดนี้ แบบนี้ที่จริงพวกข้าจะได้เปรียบไป…”

“สองล้านหยด?”

มู่เฉินอดตะลึงงันไม่ได้ จากนั้นเขาก็แอบเดาะลิ้น ตอนแรกเขาคิดว่าหากวัตถุนี้สามารถขายได้สักล้านหยดก็ดีเกินพออยู่แล้ว ไม่คิดว่าเขายังประเมินความสำคัญของสิ่งนี้ต่อเผ่าแรดอสูรต่ำไป

ของเหลวจื้อจุนสองล้านหยด ชดเชยค่าซื้อลูกผลึกแสงทั้งหมดของเขาเลยทีเดียว

“งั้นก็สองล้านหยดตามนี้”

มู่เฉินรับขวดหยกพลางยิ้มเรียบง่าย ราคาดังกล่าวเกินคาดเขาไปมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องต่อรองราคาที่เหลือให้มาก เพราะทั้งสองฝ่ายยังต้องร่วมมือกันอีก

หานซันพยักหน้าอย่างซาบซึ้ง จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรก็จ้องมองด้วยความปรารถนาดี เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความรู้สึกที่ดีต่อมู่เฉินเพิ่มขึ้นมาก

หลังจากมู่เฉินเห็นพวกหานซันลูบเขาทรพีราวกับสมบัติล้ำค่า เขาก็ไม่ใส่ใจหันไปมองวัตถุชิ้นสุดท้าย…

วัตถุนี้มีสีเงินขนาดประมาณเท่ากำปั้นผิวหยาบ มองดูราวกับหัวใจ สามารถได้ยินเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องอย่างเลือนราง

มู่เฉินจ้องมองวัตถุนี้ สายตาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าวัตถุนี้ดูเหมือนจะบรรจุพลังงานที่น่ากลัวและรุนแรง หากพลังงานระเบิดออกมาแม้แต่เขาก็อาจทนไม่ได้

“นี่คืออะไร?”

มู่เฉินมองไปที่พวกจิ่วโยวด้วยท่าทางสงสัย เห็นชัดว่าเขาไม่สามารถระบุได้ว่าวัตถุนี้คืออะไร

จิ่วโยวกับมั่วเฟิงขมวดคิ้วขณะที่ไตร่ตรองเกี่ยวกับสิ่งนี้ ไม่นานก็เป็นหานซันที่เงยหน้าขึ้นจากเขาทรพีอย่างอ้อยอิ่ง เขามองที่หัวใจสีเงินด้วยความประหลาดใจครุ่นคิดอยู่สั้นๆ ก่อนที่จะพูดว่า “ถ้าข้าเดาได้ถูกต้องวัตถุนี้น่าจะเป็นหัวใจพาฬกินสายฟ้า เป็นของหายากมากแม้แต่ในสมัยโบราณ…”

เมื่อได้ยินคำพูดนี่ ดวงตาของมู่เฉินก็หดลงประกายแสงวูบไหวในดวงตา

“หัวใจพาฬกินสายฟ้ารึ?”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1022 เอาอีกสาม
น้ำเสียงสงบเรียบของมู่เฉินดังกึกก้อง

ใบหน้าของไป๋ปิงก็บิดเบี้ยวจนกลายเป็นดุร้าย ราวกับว่าเขาต้องการที่จะแล่เนื้อเถือหนังมู่เฉิน

แม้ว่าไป๋ปิงจะไม่ถือว่าเป็นสุดยอดจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง แต่เขาก็มีสายเลือดหงส์ฟ้าไหลเวียนอยู่ โดยปกติเขาจะมีความสูงส่งและเผ่าอื่นๆ ก็จะสุภาพเมื่อพบเจอ ตั้งแต่เมื่อไรที่คนอย่างมู่เฉินกล้าปฏิบัติต่อเขาในลักษณะนี้?

“ฆ่ามัน!”

ริ้วเลือดพล่านขึ้นมาในดวงตาไป๋ปิงขณะที่คำราม

ที่ด้านหลังร่างเงาหลายร่างย่างสามขุมออกมามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาไร้ความปรานี คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกจากร่างกายของพวกเขา ทำให้เกิดแรงกดดันทรงพลังกระจายออกไป

คนเหล่านั้นเห็นได้ชัดว่ามาจากเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง แม้ว่าพลังของพวกเขาจะอ่อนแอกว่าไป๋ปิง แต่ก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทุกคน ดังนั้นจึงเป็นการรวมตัวที่ค่อนข้างทรงพลังเลยทีเดียว

ขณะที่จอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งจ้องมองด้วยสายตาดุร้าย ที่ด้านหลังมู่เฉิน จิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงก็เค้นเสียงเย็นชาเดินเข้ามายืนอยู่ข้างมู่เฉินจ้องกลับไปที่คนเหล่านั้น

“เผ่าวิหคโลกันตร์กล้าอวดดีต่อเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งของข้างั้นเรอะ!” ไป๋ปิงกล่าวด้วยสีหน้ามืดมน

เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่นนางก็หัวเราะเยาะ “วาจาคับฟ้าซะจริง เจ้าเป็นแค่สมาชิกธรรมดาของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง คิดว่าตัวเองสามารถเป็นตัวแทนของเผ่าได้เรอะ?”

“นอกจากนี้จอมยุทธ์ที่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่ล้วนต้องอาศัยพลังของตนเอง วันนี้เจ้าหาความอัปยศอดสูให้ตัวเอง หากเรื่องนี้ถูกส่งกลับไปที่เผ่า ไม่เพียงแต่จะไม่มีใครยืนหยัดเพื่อเจ้าเท่านั้น เจ้ายังจะถูกเยาะเย้ยถากถางเหมือนขยะเปียก”

จิ่วโยวไม่สนใจการคุกคามของไป๋หลิง เผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งเป็นเพียงตระกูลยิบย่อยของเผ่าหงส์ฟ้า พลังของเผ่านั้นเพียงอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เผ่าวิหคโลกันตร์หวาดกลัว

เมื่อไป๋ปิงได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าก็เปลี่ยนแปลงรุนแรง ถ้าข่าวที่เขาถูกปราบโดยจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกกระจายกลับไปยังเผ่า เขารู้ว่าจะโดนแดกดันแค่ไหน ในเวลานั้นผู้อาวุโสก็อาจมองว่าเขาอ่อนแอ ไม่คิดที่จะจ่ายทรัพยากรเพื่อเลี้ยงดูเขาอีกต่อไป ซึ่งนั่นเป็นการทำลายตัวเขาเองอย่างไม่ต้องสงสัย

“ฮ่าๆ พวกเจ้าเป็นตัวก่อปัญหาจริงๆ เพิ่งจะแยกกันไปประเดี๋ยวเดียวก็มีปัญหาซะแล้ว…”

ระหว่างที่สองฝ่ายยืนประจันหน้ากัน เสียงหัวเราะเสียงหนึ่งก็ดังกึกก้อง กลุ่มคนรีบแหวกทางออก เงาร่างหลายร่างก็เดินออกมาพร้อมกับเผยรัศมีเหี้ยมหาญ นี่ก็คือพวกหานซันจากเผ่าแรดอสูรนั่นเอง

หานซันกวาดสายตาไปก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นเขาก็นำพรรคพวกเดินเข้าไปหามู่เฉิน พูดอย่างจนใจว่า “พวกเจ้าก่อปัญหาเก่งจริงๆ…”

แม้ว่าเขาจะพูดแบบนี้ก็ไม่มีท่าทางว่าจะถอย ตรงกันข้ามกลับยืนอยู่ข้างมู่เฉินแสดงจุดยืนชัดเจน

“สมาชิกเผ่าแรดอสูร… นั่นหานซันใช่ไหม? ข้าเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเขา อัจฉริยะของเผ่าแรดอสูรถือได้ว่าเป็นคนที่โดดเด่นแม้ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด”

“ไม่คิดว่าเผ่าแรดอสูรกับเผ่าวิหคโลกันตร์จะเป็นพันธมิตรกัน”

“…”

เมื่อได้ยินบทสนทนา มู่เฉินก็ยิ้มเมื่อย เขาไม่ใช่คนหาเรื่องซะหน่อย แต่เป็นอีกฝ่ายที่เข้ามาหาเรื่องพวกเขาต่างหาก…

ทว่าความรู้สึกดีก็เกิดขึ้นในใจเมื่อเห็นหานซันเลือกยืนอยู่ข้างเขา เพียงแค่หานซันไม่ได้เลือกที่จะหลบฉากออกไปหลังจากเห็นเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็ทำให้ชายคนนี้มีค่ามากขึ้นที่มู่เฉินจะคบไว้เป็นสหาย

เมื่อไป๋ปิงเห็นการแสดงออกของหานซัน ใบหน้าก็ยิ่งดำทะมึนขึ้นมากกว่าเดิม จอมยุทธ์จากเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็หน้านิ่วคิ้วขมวด หากพวกแรดอสูรเข้าร่วมด้วย การรวมตัวของฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้อ่อนแอกว่าพวกเขา

ใบหน้าของไป๋ปิงมืดครึ้ม จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความโกรธที่ระเบิดอยู่ในใจ ก่อนที่เขาจะพูดเสียงน่าขนลุก “เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่ หวังว่าพอถึงเวลาแล้วแกจะยังกล้าที่จะรับภาระนี้ไว้”

พูดจบเขาก็ไม่อยู่อีกต่อไป ไอเย็นสาดซัดไปทั่วขณะหันหลังเดินไป แต่ทุกคนรู้ว่าความโกรธในหัวใจของไป๋ปิงระเบิดไปนานแล้ว

จอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็รู้สึกไม่เต็มใจเดินออกไปเช่นกัน ยังไงพวกเขาก็มาจากเผ่าหงส์ฟ้า ปกติเคยทนเจ็บช้ำน้ำใจแบบวันนี้ซะที่ไหน ทว่าในเผ่าหงส์ฟ้าพวกเขาก็ถือว่าเป็นพวกธรรมดาสามัญ นอกจากนี้พวกเขายังถูกแยกเมื่อเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ ซึ่งมีคนไม่กี่คนอยู่ที่นี่ ไม่งั้นถ้าอัจฉริยะจากเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งอยู่ด้วยละก็ ไม่ว่าจะมู่เฉินหรือหานซันก็ไม่สามารถเดินออกไปได้แน่

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความไม่เต็มใจ สายตาจ้องเขม็งไปที่พวกมู่เฉิน จากนั้นก็หันหลังเดินตามไป๋ปิงไป

เมื่อผู้คนโดยรอบเห็นว่าเรื่องนี้จบลง ก็ส่ายหัวด้วยความเสียดาย ตอนแรกพวกเขาคิดว่าทั้งสองฝ่ายจะปะทะกันจนเลือดตกยางออกซะอีก แบบนี้ทั้งสองฝ่ายก็ต้องเจ็บกันหนักแน่นอน

ฉื้อหงหวู่ที่ไม่ได้เข้าร่วมในการต่อสู้ก็มองไปที่มู่เฉิน ดวงตาของนางกะพริบเหมือนจะแสดงเจตนาต่อสู้ แต่สุดท้ายก็ระงับไว้พูดว่า “อย่าทะนงตัวนัก ไป๋ปิงไม่ได้เป็นหนึ่งในห้าอันดับต้นของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งด้วยซ้ำ หากเจ้าคิดว่าพวกเขาอ่อนแอ เจ้าต้องทนทุกข์ในไม่ช้าแน่”

น้ำเสียงของนางมีจุดประสงค์ในการเตือนมู่เฉินชัดเจน ด้วยวิธีนี้ก็ถือว่าเป็นการชดใช้การกระทำหยาบคายก่อนหน้าของนางได้บ้าง

ทว่ามู่เฉินก็ยังไม่ค่อยชอบใจนางจึงทำเพียงพยักหน้าเบาๆ รับฟังคำเตือนไว้

เมื่อฉื้อหงหวู่เห็นว่ามู่เฉินตอบกลับแบบไม่แยแส นางก็ขบฟันกระทืบเท้า ไม่อยากจะพูดอะไรอีกต่อไป นางหันกลับเดินจากไป ขณะเดียวกันก็กัดฟันพึมพำกับตัวเองว่า “หยิ่งต่อไปเถอะ! เมื่อไรที่เจ้าพบพวกเขา ข้าจะดูสิว่าเจ้ายังสามารถเอาชีวิตรอดไปได้หรือไม่!”

มู่เฉินมองร่างที่จากไปของฉื้อหงหวู่ ดวงตาก็หดเกร็งลง ไป๋ปิงไม่ได้เป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง ถ้าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริงนั่นก็หมายความว่าพลังของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งไม่อาจประมาทได้ สมควรกับเป็นเผ่าหงส์ฟ้าจริงๆ

“นางพูดความจริง พวกตัวน่าสยองไม่ได้อยู่ที่นี่วันนี้ ไม่งั้นสถานการณ์จะลำบากในการแก้ไขแล้ว” หานซันพยักหน้าพลางพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ และยิ้ม “เส้นทางของการฝึกฝนเต็มไปด้วยศัตรูที่ทรงพลังทุกย่างก้าว หากเราคิดแต่จะหลีกเลี่ยง เส้นทางของเราก็ดูจะน่าเบื่อไปหน่อย”

หานซันอึ้งไปกับคำพูดของมู่เฉิน จากนั้นก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาแปลกประหลาด ก่อนที่เขาจะตอบว่า “พี่มู่มีความคิดเช่นนี้ ข้าหานซันนับถือจริงๆ”

ไม่เหลีกเลี่ยงในเส้นทาง ไม่รู้สึกหวาดกลัว สภาวะของจิตใจเช่นนี้เป็นวิถีแท้จริงในการฝึกฝนของยอดยุทธ์

มิน่าล่ะมู่เฉินถึงไม่กลัวอัจฉริยะของเผ่าอื่นๆ ทั้งที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหก เวลานี้ในที่สุดหานซันก็เข้าใจ นี่ทำให้เขาต้องถอนหายใจ เขารู้สึกว่าอนาคตของชายคนนี้ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ในเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง แม้แต่เผ่าหงส์ฟ้าทั้งหมดก็ไม่คณนามือมู่เฉิน

เมื่อมั่วเฟิงเห็นว่าไป๋ปิงไปแล้ว สีหน้าก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ปกติ เขามองมู่เฉินนิ่ง ลังเลก่อนพูดว่า “ขอบใจ แต่เรื่องนี้เจ้าต้องลำบากใจอะไร ข้าสามารถจัดการได้”

มู่เฉินยิ้มบาง “ข้าไม่ชอบให้คนอื่นลบหลู่เพื่อนข้า…”

ท่าทางของมั่วเฟิงแข็งทื่อไป จากนั้นก็หลุบตาลงด้วยแววตาซับซ้อน ก่อนที่จะพยักหน้าช้าๆ ไม่พูดอะไรอีก แต่มั่วหลิงที่คุ้นเคยกับนิสัยของพี่ชายดี นางรู้ว่าตอนนี้หัวใจของพี่ชายไม่สงบแน่นอน

ด้วยตัวตนของพวกเขา แม้แต่ในเผ่าวิหคโลกันตร์ก็แทบไม่มีใครเรียกพวกเขาว่าเพื่อน นี่ก็เป็นเหตุที่ทำให้มั่วเฟิงมีนิสัยเย็นชาเช่นนี้

มู่เฉินไม่คิดว่าคำพูดของเขาจะทำให้เกิดคลื่นในหัวใจของมั่วเฟิง เมื่อเขาพูดจบก็หันหลังกลับมองไปที่ต้นไม้หินเบื้องหน้าชายร่างผอมบาง

เมื่อครู่ของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดทำให้เขาได้รับแก่นเพลิงหงส์ฟ้า ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก ทำให้มู่เฉินรู้สึกสนใจเพิ่มขึ้น เนื่องจากเขารู้สึกได้คลุมเครือว่าสิ่งที่ชายร่างผอมได้มา ไม่ธรรมดาจริงๆ

แต่แค่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายดึงโชคไปทั้งหมดตอนพบสมบัติเหล่านั้นรึเปล่า ถึงทำให้ตัวเองได้แต่เฝ้าสมบัติไม่สามารถเปิดได้

เมื่อชายร่างผอมเห็นสายตาของมู่เฉินหัวใจก็สั่นสะท้าน หัวใจเขาแทบจะร่ำไห้เป็นสายเลือดเมื่อเห็นมู่เฉินได้รับแก่นเพลิงหงส์ฟ้าไป หากวัตถุนั่นอยู่ในมือเขาอาจสามารถขายได้ในราคาสูงเกือบล้านหยดของเหลวจื้อจุนเลยทีเดียว

“ทำไม? สหายยังคิดจะเสี่ยงโชคอีกเหรอ? ก่อนหน้านี้ข้าเห็นว่าวิธีการเปิดผนึกของเจ้าดูเหมือนค่อนข้างลึกซึ้งนะ” ชายร่างผอมหัวเราะฝืดๆ ขณะที่หยั่งเชิงถาม เมื่อสักครู่เขาเห็นวิธีการในการเปิดผนึกของมู่เฉิน ซึ่งชัดว่าโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสูงกว่าการทำลายไม่น้อย

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็หลีกเลี่ยงการตอบคำถาม “ก็แค่โชคดี”

จากนั้นเขาก็มองดูลูกผลึกแสงบนต้นไม้ ก่อนจะเหลือบตาไปหามั่วหลิง นางรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร สายตานางกวาดออกแล้วเหยียดมือออกชี้ไปที่ลูกผลึกแสงสามลูก

เมื่อมู่เฉินเห็น แรงดูดก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือ ลูกผลึกแสงทั้งสามที่มั่วหลิงระบุตกอยู่ในมือเขา จากนั้นเขาก็โยนขวดหยกออกไปโดยไม่ลังเลและยิ้ม “ของเหลวจื้อจุนรวมหนึ่งล้านห้าแสนหยด ขอบคุณมาก”

ชายร่างผอมเห็นว่ามู่เฉินเด็ดขาดเพียงใด เปลือกตาก็กระตุก ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ลูกผลึกแสงทั้งสามที่มู่เฉินเลือกเอาไป เขามีความรู้สึกว่าสมบัติที่มีราคาสูงสุดถูกมู่เฉินหยิบเอาไปหมดแล้ว

ทว่าแม้ในหัวใจจะไม่เต็มใจเพียงใด เขาก็ได้แต่ยิ้มภายใต้การจ้องมองของมู่เฉิน รับขวดหยกด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่าดู

หลังจากเป็นประจักษ์พยานกับวิธีการของมู่เฉิน เขาก็รู้แล้วว่ามู่เฉินไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา อย่าไปหาเรื่องคนเช่นนี้ซะจะดีกว่า

ขณะที่คิด ชายร่างผอมก็ทนต่อความร้าวรานในหัวใจ ตัดสายพลังงานที่ติดอยู่กับลูกผลึกแสง

ลูกผลึกแสงสามลูกพลิ้วลงในมือ มู่เฉินก็โยนขึ้นเบาๆ เขาเป็นกังวลในหัวใจ เนื่องจากเขาได้ใช้จ่ายของเหลวจื้อจุนที่มีแทบทั้งหมดไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาได้แต่เลือกที่จะเชื่อในความสามารถพิเศษของมั่วหลิง หวังว่าวัตถุในลูกผลึกแสงทั้งสามจะมีค่าสูงกว่าราคาล้านห้าแสนหยดได้จริงเถอะ…

ไม่งั้นครั้งนี้เขาขาดทุนย่อยยับแน่

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1021 ปกป้อง
“ไสหัวไป!”

เมื่อเสียงคำรามแผดออกมาราวกับฟ้าผ่าดังกึกก้อง รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋ปิงก็แข็งค้างทีละนิดแล้วแทนที่ด้วยไอเย็นไม่รู้จบ

ความเย็นจัดที่น่ากลัวแผ่กระจายไปทั่วร่าง ทำให้ชั้นน้ำแข็งปรากฏขึ้นบนพื้นทันที

ไป๋ปิงมองมู่เฉินหัวจรดเท้าพูดช้าๆ ว่า “ตัดลิ้นแกออกมา แล้วข้าจะปล่อยแกจากไป”

มู่เฉินยิ้มเยาะเย้ยไม่ปิดบัง “คิดว่าตัวเองเป็นใคร?”

เขารับรู้ได้ถึงอันตรายที่มาจากไป๋ปิงและยังรู้ด้วยว่าอีกฝ่ายมาจากเผ่าหงส์ฟ้า ทว่าคนอย่างเขาก็ไม่กลัว เขามีคนจดบัญชีแค้นเอาไว้มากมาย ในเมื่อมีหนี้แค้นอยู่เยอะแล้วก็ไม่เห็นต้องกังวลอะไร

“แกคิดว่าสามารถปกป้องพวกมันได้รึ? รนหาที่ตาย!”

หางตาของไป๋ปิงกระตุกพร้อมกับริ้วเลือดไต่ขึ้นมาบนดวงตา ใบหน้าอ่อนโยนเริ่มบิดเบี้ยว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเมินใส่เขา

ยิ่งกว่านั้นพลังของอีกฝ่ายก็อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น!

ตู้ม!

เมื่อไป๋ปิงพูดจบ ไอเย็นยะเยือกก็ระเบิดขึ้นระหว่างฟ้าดิน อุณหภูมิลดฮวบลง ทันใดนั้นไป๋ปิงก็เปิดปาก ไอเย็นเยือกสีฟ้ากวาดออก ก่อร่างเป็นมังกรน้ำแข็งโหดเหี้ยมที่อัดแน่นด้วยความเย็น พุ่งเข้าหามู่เฉินอย่างรวดเร็ว

ภายใต้การโอบล้อมของความเย็นนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปก็ถูกแช่แข็งเอาได้ ถ้าเป็นขั้นหกละก็อาจจะถูกแข็งจนกลายเป็นรูปปั้นหิมะเลยก็ได้

นอกจากนี้เผชิญหน้ากับการโจมตีของไป๋ปิง มู่เฉินก็ไม่คิดถอย แสงสีทองพวยพุ่งบนชั้นผิวหนังพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่อาจทำลายได้ เขาชกหมัดออกไป เส้นเลือดเต้นระริกบนแขนกำจายพลังงานอันน่าอัศจรรย์

ตึง!

พลังงานสองสายปะทะกัน ร่างของมู่เฉินก็ไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่เขารู้สึกได้ว่าทันทีที่มีการชนกันพิษไอเย็นก็ไหลเข้ามาในร่างกายของเขา พยายามที่จะหยุดคลื่นหลิงของเขาเอาไว้

ทว่าเผชิญหน้ากับไอเย็นนี้ มู่เฉินก็ไม่สนใจเพราะทันใดนั้นลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่แขนทั้งสองข้างก็เคลื่อนไหว กลืนกินความเย็นนั้นจนหมด

ความเย็นในร่างกายสลายหายไปในทันที

มู่เฉินไม่ได้แสดงสีหน้าใด แสงสีทองระเบิดออก พลังกายพรั่งพรูออกมาอย่างสมบูรณ์ รอยแตกปรากฏบนมังกรน้ำแข็ง สุดท้ายก็ระเบิดออกกลายเป็นเกล็ดหิมะโปรยปรายบนท้องฟ้า

“เป็นไปได้ยังไง?!”

มังกรน้ำแข็งแตกสลาย ม่านตาของไป๋ปิงก็หดตัว ส่วนที่น่ากลัวของมังกรน้ำแข็งไม่ใช่พลังที่ครอบครองแต่เป็นความเย็นที่รุกรานร่างกาย ก่อนหน้าเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความเย็นที่พล่านเข้าสู่ร่างกายของมู่เฉิน แล้วเจ้านี่กระจายพลังออกมาอย่างสมบูรณ์ได้อีกอย่างไร?

หรือว่ามู่เฉินมีภูมิคุ้มกันต่อไอเย็น?

แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไป๋ปิงก็รู้สึกไร้สาระ เขามาจากเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งที่มีไอเย็นฝังอยู่ในร่างกายตั้งแต่กำเนิด จอมยุทธ์ระดับเดียวกันทุกคนจะหวาดกลัวต่อไอเย็นของเขา เป็นไปได้อย่างไรที่อีกฝ่ายจะมีภูมิคุ้มกัน

“ตึง!”

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้เวลาไป๋ปิงคิดมาก เขากระทืบเท้ารอยแตกก็กระจายใต้พื้นดิน ร่างเขากลายเป็นแสงสีทองทะยานออกมาปรากฏตัวต่อหน้าไป๋ปิงอย่างลึกลับ ความเร็วนี้แม้แต่ไป๋ปิงยังผงะในใจ

เขายากที่จะจินตนาการว่ามู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกจะมีความเร็วที่น่ากลัวขนาดนี้ได้อย่างไร

แสงสีทองปรากฏที่เบื้องหน้า เหมือนจะมีแสงสีทองพุ่งออกมาจากดวงตาของมู่เฉิน จากนั้นเขาก็ตบฝ่ามือออกไป ฝ่ามือนี้ไม่เพียงแต่บรรจุพลังงานในร่างกายเอาไว้เท่านั้น แต่แม้แต่คลื่นหลิงก็ระเบิดเช่นกัน

ฝ่ามือเรียบง่ายซัดออก แต่กลับสร้างรอยร้าวสีดำที่ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวในมิติ นั่นเป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพลังรุนแรงจนถึงระดับที่น่าตะลึงใจ

จอมยุทธ์ไม่น้อยที่อยู่โดยรอบล้วนรับรู้เรื่องนี้ เมื่อพวกเขาเห็นฝ่ามือของมู่เฉิน ใบหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีขณะที่รู้สึกไม่อยากเชื่อ ฝ่ามือนั้นเป็นอะไรที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาก็ไม่สามารถทนได้

ขณะที่ฝ่ามือเคลื่อนเข้ามา ใบหน้าของไป๋ปิงก็เปลี่ยนไปรุนแรง สายตาเขาเคร่งเครียดลงหลายส่วน ไม่กล้าที่จะดูถูกอีกต่อไป เนื่องจากเขาเข้าใจดีแล้วว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกน่าสะพรึงเพียงใด

แต่ยามนี้ไม่มีเส้นทางให้ถอยหนีแล้ว ดังนั้นไป๋ปิงจึงไม่ได้เสียใจอะไรในใจเช่นกัน

แสงเย็นวูบวาบในดวงตาของไป๋ปิง ฝ่ามือวาดตราประทับเร็วรี่ ขณะเดียวกันหงส์ฟ้าน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นข้างหลัง ปีกสยายออกกลายเป็นโล่น้ำแข็งปกป้องที่เบื้องหน้าไป๋ปิง

ตู้ม!

ฝ่ามือแสงสีทองไม่ได้ลดลง กระทบกับปีกของหงส์ฟ้าน้ำแข็งอย่างจัง ทันใดนั้นคลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็กระจายออก พื้นดินที่ทนทานยังแตกร้าว

ปีกน้ำแข็งสั่นไหว แม้แต่ไป๋ปิงที่อยู่เบื้องหลังการป้องกันยังสามารถรับรู้ได้ถึงพลังน่าสะพรึงกลัว ถ้าเขารับการโจมตีนี้ เขาคงบาดเจ็บหนักแน่นอน

ทว่าถูกบีบบังคับให้เป็นแบบนี้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก ทำให้ใบหน้าไป๋ปิงมืดครึ้มผิดปกติ จิตสังหารพวยพุ่งขึ้นมาจากในส่วนลึกของดวงตา

วันนี้เขาจะต้องทำให้มันอับอาย!

เมื่อคิดได้ไป๋ปิงก็กัดฟัน จุดชนวนเลือดในกาย ทุกคนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่กวาดออกจากร่างของไป๋ปิงราวกับพายุ

นี่เป็นแรงกดดันที่มาจากสายเลือด

ไป๋ปิงมาจากเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง ซึ่งมีสายเลือดสูงส่ง สามารถปราบปรามเทพอสูรสามัญได้ มิหนำซ้ำตอนนี้เขายังจุดชนวนสายเลือด ทำให้แรงกดดันนี้เร้าขึ้นมาถึงขีดสุด

ภายใต้แรงกดดันในระยะใกล้ เทพอสูรสามัญคงต้องกราบกรานที่เบื้องหน้าไป๋ปิงเลยทีเดียว

ทุกคนโดยรอบถอยกันออกไปจ้าละหวั่น พวกเขารู้แล้วว่าไป๋ปิงตั้งใจที่จะบีบให้มู่เฉินคุกเข่าลงด้วยแรงกดดันเพื่อสร้างความอับอายให้ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบหลบออกจากรัศมีด้วยกลัวว่าจะโดนลูกหลงจนอับอายขายขี้ไปด้วย

ไม่ไกลนักฉื้อหงหวู่ไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่เมื่อนางเห็นกระบวนท่าของไป๋ปิง คิ้วก็มุ่นกันแน่น ถึงตัวนางจะหยิ่งทะนงและชื่นชอบในการต่อสู้ แต่นางชอบการชนะแบบตรงไปตรงมา นางดูถูกคนอย่างไป๋ปิงที่พึ่งพาสายเลือดของตนเพื่อสร้างความได้เปรียบ

“ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะซวยเอาแล้ว”

ฉื้อหงหวู่พูดขึ้นในใจ แม้ว่าพลังกายของมู่เฉินจะทรงศักยภาพ แต่ไป๋ปิงก็ฉลาดไม่ธรรมดา เขาเลือกที่จะปราบปรามคู่ต่อสู้ผ่านสายเลือด ด้วยวิธีนี้แม้แต่จอมยุทธ์ที่มีพลังกายที่แข็งแกร่งก็ไม่สามารถต้านทานความอ่อนแอในสายเลือดได้

ภายใต้สายตาจ้องเขม็งของผู้คน มู่เฉินก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่ปกคลุมเข้ามา แต่สิ่งที่แปลกก็คือทุกคนไม่เห็นความกลัวบนใบหน้าของมู่เฉินสักริ้ว ตรงกันข้ามพวกเขากลับเห็นแววครึ่งบึ้งครึ่งยิ้มเย้ยหยัน

“ปราบปรามสายเลือดเรอะ…”

มู่เฉินพึมพำ จากนั้นเขาก็กำหมัดลวดลายหงส์ฟ้าแท้จริงบนแขน ไม่สิ…หลังจากมู่เฉินบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่ง เทพอสูรทั้งสองในร่างกายเขาก็มีจิตวิญญาณ ดังนั้นพวกมันจึงควรถูกเรียกว่าจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง

ในเมื่อเจ้าคิดจะใช้การปราบปรามสายเลือด งั้นข้าก็จะแสดงให้เห็นว่าการปราบปรามแท้จริงคืออะไร!

จิตวิญญาณหงส์ฟ้าระเบิดแสงสีม่วงทองเข้มข้น ดวงตาที่ปิดสนิทก็เปิดโพลง ทันใดนั้นดูเหมือนจะเกิดแรงกดดันเกินบรรยายปะทุออก

ความกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏขึ้นเพียงชั่วครู่ แต่ไม่ได้กระจายออก กลับเล็งเป้าไปที่ไป๋ปิงคนเดียว ดังนั้นคนอื่นจึงไม่สามารถรู้สึกได้

ทันใดนั้นหงส์ฟ้าน้ำแข็งที่อยู่ด้านหลังไป๋ปิงก็งุ้มตัวลงราวกับได้เห็นจักรพรรดิ หงส์ฟ้าน้ำแข็งเปล่งเสียงร้องออกมาอย่างหวาดกลัว รัศมีเย็นยะเยือกหดกลับโดยที่ร่างกายสั่นสะท้าน

ในเวลาเดียวกันใบหน้าของไป๋ปิงก็ซีดเผือด สายตาอัดแน่นด้วยความไม่อยากเชื่อ นั่นเป็นเพราะแรงกดดันที่ระเบิดกะทันหันจากร่างมู่เฉิน ทำให้แม้แต่สายเลือดของเขายังเขย่าอย่างบ้าคลั่ง

ปัง!

ความกลัวเพิ่มขึ้นในหัวใจของไป๋ปิง ขาของเขาเริ่มงอลงอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ขณะที่กำลังจะคุกเข่าลง ไป๋ปิงก็ตื่นจากภวังค์ เขารีบดึงตัวเองขึ้นมา ทว่าเข่าข้างหนึ่งก็ยังแตะลงกับพื้น

ผู้คนโดยรอบที่รอฉากมู่เฉินอยู่ในสภาพน่าสมเพชโดยแรงกดดันของสายเลือดหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็อ้าปากตาค้างไปหมดกับภาพไป๋ปิงคุกเข่าเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น

ฉื้อหงหวู่ก็เบิกตากว้างในเวลานี้ ความไม่เชื่อฉาบบนใบหน้างดงาม

“ปัง!”

มู่เฉินไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้า ฝ่ามือที่แตะบนปีกของหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็กระตุกด้วยกลิ่นอายของหงส์ฟ้าแท้จริง ทำลายปีกที่ดูแข็งแกร่งของหงส์ฟ้าน้ำแข็งทันที

ไป๋ปิงกระเด็นออกไปอย่างน่าสมเพช สร้างรอยลึกบนพื้นหลายร้อยจั้งก่อนที่จะทรงตัวได้

อ็อก!

เมื่อรักษาร่างกายมั่นคงแล้ว ไป๋ปิงก็กระอักเลือดออกจากปาก คลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวหม่นหมองลง เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บพอตัว

ทว่าเขาก็ยังไม่ฟื้นตัวจากความพ่ายแพ้ เขาบื้อใบ้จ้องมองร่างเงาที่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าซีดเซียว

บรรยากาศโดยรอบเงียบกริบ ผู้คนจ้องมองมู่เฉินอย่างตะลึงงัน ตอนนี้ชายหนุ่มได้ดึงแสงสีทองรอบตัวกลับแล้ว ซึ่งทำให้ดูธรรมดามาก

แต่หลังจากได้เห็นการแลกกระบวนท่าแล้ว พวกเขาก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าในร่างชายหนุ่มมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวเพียงใด

ชายคนนี้มาจากไหนกัน…

ไป๋ปิงเป็นจอมยุทธ์ของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งนะ!

แต่ตอนนี้ไป๋ปิงกลับอยู่ในสถานะที่น่าสมเพช เขาเป็นยอดอัจฉริยะจากเผ่าไหนกัน?!

ภายใต้สายตาที่จ้องมองนับไม่ถ้วน สายตาที่สงบลงของมู่เฉินก็มองไปที่ไป๋ปิงอีกครั้ง เสียงสงบที่ดังก้องอัดแน่นด้วยความเผด็จการ แต่ก็ไม่มีใครกล้าหักลง

“สองคนนี้ ข้ามู่เฉินปกป้องแน่!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1020 ฉื้อหงหวู่
“ของเหลวจื้อจุนหกแสนหยดสำหรับแก่นเพลิงหงส์ฟ้านี้”

เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นฉับพลัน ซึ่งมีน้ำเสียงเด็ดขาด นอกจากนี้เมื่อคลื่นเสียงสะท้อนก้องแส้ก็ฉกเข้ามาพันแก่นเพลิงหงส์ฟ้าในมือของมั่วหลิงเอาไว้

ลำแสงที่บินไปหามู่เฉินเป็นขวดหยกที่เต็มไปด้วยของเหลวจื้อจุน

การเปลี่ยนแปลงกะทันหันเกินไป นอกจากนี้อีกฝ่ายยังเคลื่อนไหวรวดเร็วโดยไม่ปล่อยให้ใครได้ตอบโต้ ดังนั้นมั่วหลิงจึงได้แต่เบิกตากว้างขณะมองแส้แฉลบเข้ามา

ทว่าขณะที่แส้กำลังจะดึงแก่นเพลิงหงส์ฟ้าไป มือข้างหนึ่งก็ยื่นออกไปคว้าแส้เอาไว้ พลังที่น่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งออกมา แส้ถูกกำไว้เหนียวแน่นได้ยินเสียงลั่นเปรียะแต่ก็ไม่สามารถดึงออกไปได้

เจ้าของมือนี้ก็คือมู่เฉินที่ตอนนี้ไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้า หลังจากจับแส้ไว้เขาก็โบกมือแรงลมพัดขวดหยกกลับไปหาเจ้าของ

“ไม่ขาย”

เขาพูดเสียงเบาปัดแส้กลับไปอย่างหนักหน่วง ทันใดนั้นแส้ก็ราวกับงูที่โดนตีรุนแรงยิงกลับอย่างรวดเร็วตามด้วยเสียงร้องต่ำในลำคอ

ตอนนี้เองมั่วหลิงก็ได้สติกลับมา ความโกรธพลุ่งพล่านในนัยน์ตา นางมองไปในทิศทางที่แส้กลับไปด้วยความกรุ่นโกรธ ก็เห็นหญิงสาวสวมชุดสีแดงมองมาที่พวกนางด้วยความตกใจและโกรธเคือง

หญิงสาวชุดแดงมีเรือนผมสีแดงมองน่าหลงใหล ใบหน้าก็งดงามอย่างมาก ทว่าสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงที่ไม่ปิดบัง

ความหยิ่งทะนงนี้แตกต่างจากของหลิ่วชิงอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากหลิ่วชิงหยิ่งเพราะมีจงเถิงหนุนหลัง แต่ความหยิ่งทะนงของผู้หญิงคนนี้เกิดจากแก่นแท้ของตัวเอง

แต่ไม่ว่าอย่างไรความหยิ่งทะนงแบบนี้ก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบในสายตาของมู่เฉิน

ดังนั้นเขาจึงมองอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็นพูดเสียงเบาว่า “ไม่ทักท้ายสักคำก่อนเลย เจ้าไม่รู้สึกเสียมารยาทไปหน่อยเรอะ?”

หญิงสาวชุดแดงดูเหมือนจะถูกสั่งสอนเป็นครั้งแรก คิ้วขมวดแน่น แต่พอคิดถึงความไร้มารยาทที่ตนเองทำ รัศมีก็ต่ำลงเล็กน้อย ทว่านางก็ไม่ยอมอ่อนให้ “พวกเจ้าจ่ายของเหลวจื้อจุนไปห้าแสนหยดเพื่อซื้อแก่นเพลิงหงส์ฟ้า ข้าให้หกแสนหยด เจ้าก็ไม่ได้ขาดทุนอะไรนี่”

“ไร้เหตุผล”

สายตาของมู่เฉินเย็นชาลงหลายส่วน ในคำพูดไม่ไว้หน้าหญิงสาวเลย “ไสหัวไป!”

“บังอาจ!”

หญิงสาวชุดสีแดงหัวร้อนฉ่าจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ แส้ไฟในมือพุ่งออกมาซัดใส่มู่เฉินราวกับมังกรไฟ

แม้ว่าหญิงสาวชุดแดงจะมีนิสัยเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่อ่อนแอ จากคลื่นหลิงที่ระเบิดออก แสดงให้เห็นว่านางเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว แม้กระทั่งในหมู่จอมยุทธ์ระดับเดียวกัน นางก็มีฝีมือใช้ได้

สายตามู่เฉินเย็นเยือกจ้องมองไปที่มังกรไฟที่บินเข้ามาจากนั้นก็ชกหมัดออกไป ขณะที่แสงสีทองพลุ่งพล่านขึ้น หมัดก็ซัดเข้าที่มังกรไฟราวกับสายฟ้าฟาด

ปัง!

มังกรไฟระเบิดกลายเป็นประกายแสงกระจายในท้องฟ้า

แส้หม่นลงวกกลับไป หญิงสาวชุดแดงที่เห็นก็อดหดเกร็งดวงตาไม่ได้ แต่ก่อนที่นางจะทันพูดอะไร ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเนื่องจากมู่เฉินเปลี่ยนร่างเป็นลำแสงสีทองพุ่งเข้ามาหานางแล้ว

หญิงสาวชุดแดงแตะเท้าเบาๆ บนพื้นส่งแรงเหาะหนี ในเวลาเดียวกันคลื่นหลิงสีแดงก็พลุ่งพล่านรอบตัวนางกลายเป็นทะเลเพลิงพัดโหมเข้าหามู่เฉิน แม้แต่ก้อนหินบนพื้นดินก็กลายเป็นเถ้าถ่าน แสดงให้เห็นถึงพลังของเปลวไฟ

วาบ!

แต่ร่างของมู่เฉินที่กำจายแสงสีทองกลับเจาะทะลุเปลวไฟไปปรากฏตัวเบื้องหน้าหญิงสาวชุดแดงอย่างลึกลับแล้วชกหมัดออกไป

ขณะที่แสงสีทองพวยพุ่งขึ้น พลังหมัดก็แตกมิติออกจากกัน นี่ทำเอาใบหน้าของหญิงสาวชุดแดงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างสิ้นเชิง มือบางวาดตราประทับวูบไหวแล้วตบออก

เปลวไฟสีแดงรวมตัวกันอย่างป่าเถื่อนบนฝ่ามือ ทำให้มือกลายเป็นมือลาวา จากนั้นนางก็ตวัดฝ่ามือออก อุณหภูมิที่พุ่งสูงสามารถทำลายชั้นฟ้าได้เลยทีเดียว

ตึง!

ฝ่ามือและหมัดปะทะกันจังใหญ่ คลื่นความร้อนม้วนตัวออกมาทันที

ร่างของมู่เฉินกระตุก ส่วนหญิงสาวชุดแดงก็ก้าวถอยหลังไปหลายสิบก้าว รอยฟกช้ำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนมือของนาง ทำให้รู้สึกถึงความเจ็บปวดรุนแรง

ทั้งสองปะทะกันอย่างกะทันหัน แต่เมื่อหญิงสาวชุดแดงถอยร่น ทุกคนที่นี่ก็ฟื้นคืนสติ ขณะพวกเขาเห็นนางก็อุทานเสียงดังลั่น

“นั่นไม่ใช่ฉื้อหงหวู่จากเผ่าหงส์ฟ้าแดงรึ?”

เมื่อมู่เฉินได้ยินหัวใจก็สั่นไหว หญิงสาวคนนี้มาจากเผ่าหงส์ฟ้าแดงที่เป็นแขนงแยกของเผ่าหงส์ฟ้ารึ? แม้ว่าจะเป็นเพียงเผ่าย่อย แต่นางก็มีสายเลือดหงส์ฟ้าแท้จริง

มิน่าล่ะนางถึงทรงพลังมาก ตามการประเมินของเขาพลังของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าจิ่วโยวเลย

เมื่อครู่เหตุผลที่ทำให้เขาได้เปรียบเนื่องมาจากฉื้อหงหวู่ยังไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ ยิ่งกว่านั้นนางเลือกที่จะปะทะกันแบบซึ่งหน้า นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินเชื่อมั่นในตัวเองมาก ท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดบางทีอาจไม่มีใครสามารถได้เปรียบในการต่อสู้ซึ่งหน้ากับเขา แม้แต่ฉื้อหงหวู่ที่เป็นสมาชิกเผ่าหงส์ฟ้าแดงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ขณะที่มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ ความเจ็บปวดที่มาจากมือก็ทำให้ฉื้อหงหวู่รู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่าตัวนางได้รับบาดเจ็บจากกระบวนท่าของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก

“เจ้าซ่อนตัวแนบเนียนจริง”

ฉื้อหงหวู่จ้องมองที่มู่เฉิน ริ้วแปลกประหลาดผุดขึ้นในนัยน์ตา นี่ไม่ได้เป็นแววชื่นชอบแต่เป็นไฟการต่อสู้ที่ลุกโชน เห็นชัดว่าหญิงสาวคนนี้ชอบการต่อสู้ซึมลึกถึงแกนกระดูกเลยทีเดียว

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจนางมากนัก แม้ว่านางจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้าแดง เขาก็ไม่สนใจที่จะสร้างความสัมพันธ์กับอีกฝ่าย เขาปรายตามองฉื้อหงหวู่อย่างเย็นชาแล้วก็หันหลังเตรียมจากไป

“ฮ่าๆ หงหวู่อยู่นี่เอง ข้าตามหาเจ้าอยู่นะ…”

ขณะที่มู่เฉินกำลังจะไป เสียงหัวเราะเสียงหนึ่งก็ดังก้อง ฝูงชนเปิดทาง คนกลุ่มหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามา

ผู้นำเป็นชายสวมชุดขาวหน้าตาหล่อเหลามือข้างหนึ่งถือพัดเอาไว้ จากรูปลักษณ์ที่ปรากฏเขาดูราวกับบัณฑิตอ่อนแอ แต่ประกายแสงที่วาววัวในดวงตากลับคมกริบประหนึ่งใบมีด

เมื่อชายสวมชุดขาวปรากฏ ใบหน้าของมั่วเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉินก็กลายเป็นไม่น่าดู

มู่เฉินเหลือบมองไปที่คนมาใหม่ก็ขมวดคิ้ว เขารู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายที่มาจากอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ต้องการเพิ่มปัญหาขึ้น เขาหันหลังกลับเดินออกไป

“ฮ่าๆ เจ้าเป็นคนซัดกระบวนท่าใส่ฉื้อหงหวู่ใช่ไหม? งั้นข้าขอเตือนว่าเจ้าอย่าเพิ่งขยับจะดีกว่า” ทว่าเมื่อมู่เฉินกำลังหันหลัง เสียงหัวเราะเย็นเยือกก็ดังขึ้น

มู่เฉินเอียงหัวมองไปที่ชายชุดขาวที่คลี่พัดโบกไปมา พัดนี้ทำให้เกิดความเย็นยะเยือกกวาดออก ทำเอาอากาศตกไปยังจุดเยือกแข็ง ขณะนี้สายตาไม่แยแสของอีกฝ่ายมองมาที่เขาอย่างเย็นชาราวกับเป็นอสรพิษ

“ไป๋ปิง เจ้าไม่ต้องมายุ่งเรื่องของข้า!” เมื่อฉื้อหงหวู่เห็นชายคนนี้ คิ้วก็ขมวดเป็นปมพลางตะเบ็งเสียงใส่

เมื่อชายสวมชุดสีขาวได้ยินคำพูดนั่นก็ยิ้มเรียบแล้วมองไปยังฝั่งของมู่เฉิน สายตาของเขาอึ้งไปวูบหนึ่งเมื่อเห็นมั่วเฟิงและมั่วหลิง จากนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันก็ยกขึ้นที่มุมปาก “เฮ้ ไม่คิดว่าข้าจะได้มาเจอลูกนอกกฏหมายพวกไข่เน่าที่นี่…”

เมื่อมู่เฉินได้ยินก็ขมวดคิ้ว เขามองไปที่มั่วเฟิงก็เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้ามืดมน ดวงตาที่อัดแน่นไปด้วยจิตสังหารแรงกล้ามองไปยังชายชุดขาว

ฉื้อหงหวู่อึ้งไป จากนั้นก็มองมั่วเฟิงและมั่วหลิงด้วยความประหลาดใจ มิน่าล่ะนางรู้สึกถึงความผันผวนที่คุ้นเคยจากทั้งคู่ ที่แท้ทั้งสองคนมีสายเลือดหงส์ฟ้าอยู่ด้วยเช่นกัน ทว่าทำไมนางไม่เคยเห็นพี่น้องคู่นี้มาก่อน

“หงหวู่เจ้าไม่รู้เรื่องนี้ พ่อของไอ้ไข่เน่าสองใบนี้เป็นสายเลือดสูงส่งในเผ่าของเรา แต่เขาดันไปร่วมคู่กับหญิงสาวของเผ่าวิหคโลกันตร์ ทำให้สายเลือดแปดเปื้อน ผู้อาวุโสโกรธแค้นมาก พวกเขากักขังบิดาของพวกมันไว้ที่ใต้ภูเขาเฮย ตอนแรกพวกมันสองคนก็จะถูกกักขัง แต่มีบางคนพยายามไกล่เกลี่ยให้ พวกเขาถึงหนีไปได้หลายปี” ไป๋ปิงหัวเราะเบาๆ

ตอนนี้ฉื้อหงหวู่ก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่านางไม่ได้สนใจมาก ในเมื่อมีใครบางคนช่วยไกล่เกลี่ย นั่นก็หมายความว่าอนุญาตให้ทั้งสองมีชีวิตอยู่ เรื่องแบบนี้นางไม่มีอารมณ์ไปใส่ใจอะไร แต่ไป๋ปิงกลับปากเลวยิ่งนักที่เรียกพวกเขาว่าไข่เน่าตลอดเวลา

ไป๋ปิงมองใบหน้ามืดมนของมั่วเฟิงพลางยิ้ม “ดูเหมือนพวกเจ้าพี่น้องจะซ่อนตัวอยู่ในเผ่าวิหคโลกันตร์ มิน่าล่ะถึงไม่มีข่าวคราวใด แต่ตอนนี้พวกแกกล้ามากที่ออกมา”

ขณะที่พูดก็เหลือบมองไปที่มู่เฉิน “แกเป็นพวกเดียวกันใช่ไหม?”

“สองคนนั้นเป็นสายเลือดสกปรกของเผ่าข้า การที่แกซ่อนพวกเขาไว้ก็หมายความว่าแกเป็นศัตรูของเผ่าข้า แต่ข้าไม่ใช่คนที่ไม่ให้อภัยกับเรื่องในอดีต นี่สามารถแก้ไขได้” ขณะที่พูดก็ชี้ไปที่แก่นเพลิงหงส์ฟ้าพูดเสียงเบาว่า “ยกให้ข้า แล้วข้าจะปล่อยไข่เน่าสองใบนี้ไป”

มู่เฉินหรี่ตาลงมองมั่วเฟิงที่มีสีหน้าไม่น่าดู ก่อนที่จะมองไปที่มั่วหลิงที่ถูกเรียกว่าไข่เน่าครั้งแล้วครั้งเล่า จนดวงตาขึ้นริ้วสีแดงดูน่าสงสาร ในใจก็เริ่มรู้สึกโกรธคลั่งขึ้นมา

ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองที่ไป๋ปิง สายตาเปลี่ยนเป็นคมกริบ เสียงคำรามดังก้องราวกับฟ้าผ่า

“ไสหัวไป!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1019 แก่นเพลิงหงส์ฟ้า
มู่เฉินและมั่วหลิงพุ่งสายตาไปรวมกันที่ก้อนหินสีดำที่ดูเหมือนไข่

เขาเหลือบมองหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างอย่างประหลาดใจ เห็นชัดเขาไม่คิดว่าพวกเขาจะเล็งวัตถุชิ้นนี้พร้อมกัน

หินสีดำที่มีรอยเผาไหม้ดูเป็นสิ่งที่ธรรมดามาก แต่ด้วยประสาทสัมผัสพิเศษ มู่เฉินรู้สึกถึงความผันผวนของความร้อนที่รุนแรงผิดปกติในหินสีดำ

มั่วหลิงเบิกตากว้างด้วยประกายแวววาว จากนั้นก็คว้าแขนเสื้อมู่เฉิน ใช้เสียงที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน “พี่ใหญ่มู่เฉิน มีแก่นเพลิงหงส์ฟ้าในหินสีดำ!”

“แก่นเพลิงหงส์ฟ้า?” หัวใจของมู่เฉินสั่นระรัว ที่เรียกว่าเพลิงหงส์ฟ้าก็คือเปลวไฟเอกลักษณ์ของเผ่าหงส์ฟ้าซึ่งเป็นสิ่งครอบงำมาก แก่นเพลิงหงส์ฟ้าชำระมาจากหงส์ฟ้าเพลิง ถือได้ว่าเป็นสมบัติดี เป็นประโยชน์อย่างมากต่อจอมยุทธ์ที่ฝึกคลื่นหลิงคุณสมบัติเปลวไฟ

แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือความจริงที่ตัวเขาทำได้เพียงรู้สึกถึงความผันผวนแปลกประหลาดในหินสีดำเบาบางทว่ามั่วหลิงกลับสามารถระบุวัตถุที่ผนึกไว้ภายในได้แน่นอน

“เจ้ารู้ได้ยังไง?” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงถามออกไป

มั่วหลิงกะพริบตากลมโตหัวเราะเสียงพลิ้ว “นั่นเป็นเพราะข้ามีความสามรถพิเศษในการรับรู้โดยกำเนิดที่น่าตกใจ ไม่ว่าจะเป็นผนึกแบบใด ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจพบของข้าไปได้”

หัวใจของมู่เฉินสั่นไหว ไม่คิดว่าหญิงสาวคนนี้จะมีพรสวรรค์โดยกำเนิดแบบนี้ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนางถึงระบุสมบัติที่ผนึกไว้ในหินสีดำได้

ในแง่ของราคา แก่นเพลิงหงส์ฟ้าชิ้นหนึ่งสูงกว่าของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดเสียอีก ซึ่งถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับผู้ฝึกคลื่นหลิงเพลิง

มู่เฉินมองมั่วหลิงที่ดวงตาเปล่งประกายวิบวับ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจพลางพูดว่า “เจ้าอยากได้เหรอ?”

มั่วหลิงเหมือนจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้า ดังนั้นจึงครอบครองเพลิงหงส์ฟ้าด้วย หากนางได้ดูดซับแก่นเพลิงหงส์ฟ้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นประโยชน์ต่อนางมากขนาดไหน

มั่วหลิงพยักหน้าหงึกหงัก แต่ก็พูดด้วยความเขินอาย “แต่ข้าไม่มีของเหลวจื้อจุนจำนวนมากอยู่กับตัว… นอกจากนี้แม้ว่าเราจะรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถทำลายผนึกได้หรือไม่”

ผลสำเร็จสามส่วนต่ำเกินไป หากพวกเขาล้มเหลวก็จะทำให้เงินกลายเป็นอากาศธาตุ

“ไม่ว่ายังไงก็ต้องลองเสี่ยงนะ”

มู่เฉินยิ้ม ตั้งแต่เขาเข้ามาในดินแดนเสินโซ่ก็ได้รับผลประโยชน์มากมาย มั่วเฟิงโชคดีกว่าเนื่องจากได้เข้าสู่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ ขณะที่จิ่วโยวและมั่วหลิงรออยู่ข้างนอกเป็นวัน

เขากับจิ่วโยวไม่จำเป็นต้องเกรงใจในเรื่องผลประโยชน์แบบนี้มากนัก แต่สำหรับมั่วหลิงแล้วก็รู้สึกว่าตนเองเป็นหนี้บุญคุณนาง ในเมื่อนางพบบางอย่างที่ต้องการ มู่เฉินก็เต็มใจที่จะใช้จ่ายของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดให้

พูดจบมู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาเอื้อมมือดูดลูกผลึกแสงที่มีหินสีดำก็หล่นลงในมือ เวลาเดียวกันเขาก็สะบัดแขนเสื้อส่งขวดหยกบินไปหาชายร่างผอมบางใต้ต้นไม้หิน

อีกฝ่ายรับไว้ หลังจากตรวจสอบจำนวนของเหลวจื้อจุนเสร็จเขาก็สะบัดนิ้วตัดเส้นใยคลื่นหลิงที่เชื่อมติดอยู่กับลูกผลึกแสงออก

บนพื้นผิวของหินสีดำหยาบกระด้างมีรอยไหม้อยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีอักขระโบราณปกคลุม ซึ่งเกิดจากผนึก ทำให้ดูลึกซึ้งอย่างยิ่ง

มู่เฉินจับหินสีดำหลับตาลงอย่างช้าๆ คลื่นหลิงสอดแทรกเข้าไปในหินสีดำเพื่อตรวจสอบผนึกโบราณ ผ่านไปพักใหญ่กว่าเขาจะลืมตาขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้ว

ผนึกนี้ประหลาดมาก หากใช้กำลังทำลายก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก่อนที่ผนึกจะถูกทำลายมีความเป็นไปได้สูงที่จะจุดชนวนทำลายตัวเองเพื่อล้างผลาญวัตถุที่อยู่ภายใน

ดังนั้นเขาจะต้องใช้วิธีพิเศษถ้าต้องการที่จะทำลายผนึกโดยไม่ไปสะกิดของภายใน

“วัสดุที่ใช้ผนึกดูเหมือนจะค่อนข้างพิเศษ”

หลังจากตรวจสอบอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็รู้ถึงจุดสำคัญของอักขระบนพื้นผิวของหินสีดำ อักขระเหล่านี้มีสีแดงเข้มและบรรจุด้วยแรงกดดันเป็นพิเศษ

“ผนึกนี้เกิดขึ้นจากเลือดของมหาเทพอสูร… มิน่าล่ะถึงยังคงอยู่แม้จะผ่านไปนับหมื่นปี”

มู่เฉินสังเกตจนถี่ถ้วน สุดท้ายก็ตระหนักได้ว่าแรงกดดันนี้เป็นสิ่งที่มีเพียงมหาเทพอสูรเท่านั้นที่มีได้ แม้ว่าจะอ่อนกำลังลงไปหลายเท่าแล้ว แต่เนื่องจากในร่างเขามีจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง เขาจึงยังคุ้นเคยกับกลิ่นอายของมหาเทพอสูรนี้อยู่

“พี่ใหญ่มู่เฉินเป็นยังไงบ้าง? ทำลายผนึกได้ไหม?”

มั่วหลิงอดไม่ได้ต้องถามเขาอย่างสงสัย ที่ด้านข้างผู้คนจำนวนมากก็มองมาที่มู่เฉิน ชัดว่าต่างต้องการเห็นจะๆ ว่าคนที่ทุ่มทุนซื้อสิ่งนี้ด้วยของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดจะได้อะไรออกมา

มากจนแม้แต่ชายร่างผอมบางก็หันมามองด้วย ที่จริงเขาพอจะสามารถสัมผัสได้คลุมเครือว่าวัตถุที่ขายไปไม่ใช่ของธรรมดา ครั้งหนึ่งเขาเคยทำใจแข็งที่จะเปิดพวกมันทั้งหมดโดยลองเสี่ยงกับโชคชะตาของตนเองดู หากเขาได้พบกับสมบัติที่แท้จริงก็จะคุ้มค่า ทว่าเขาไม่คิดว่าตนเองจะไม่มีดวงขนาดนั้น ผนึกที่เขาเปิดเองทั้งหมดล้วนล้มเหลว

ดังนั้นรอยแผลจึงถูกทิ้งไว้ในหัวใจหลังจากความล้มเหลว ตัวเขาไม่กล้าที่จะเปิดเองอีกต่อไป เขากลัวว่าจะโชคร้ายจนล้มเหลวทุกครั้ง หากเป็นเช่นนั้นความพยายามทั้งหมดก็จะไร้ผล เขาจึงเลือกวิธีขายพวกมันผ่านการเสี่ยงโชค นั่นเพราะเขายังสามารถหารายได้เป็นของเหลวจื้อจุนกลับเข้ามาในกระเป๋าได้บ้าง

ภายใต้สายตาของทุกคน มู่เฉินยังคงนิ่งเงียบอยู่นานก่อนที่จะพูดช้าๆ “ลองดูได้”

หลังจากค่อยๆ ทำความเข้าใจโครงสร้างวัสดุที่ใช้ในการผนึก เขาก็มีวิธีการบางอย่างที่สามารถลองดูได้ แม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจเต็มร้อยเกี่ยวกับโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังดีกว่าการทำลายด้วยความป่าเถื่อน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป นิ้วจับหินสีดำสั่นไหวเบาๆ ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็รวมกันก่อร่างเป็นสัญลักษณ์หลิงยิ่งรวมตัวเข้าในอากาศ

เมื่อสัญลักษณ์หลิงยิ่งรวมเข้าในอากาศ ค่ายกลก็ถักทอขึ้นที่กลางฝ่ามือของมู่เฉิน โดยมีหินสีดำตั้งอยู่ในใจกลาง

ค่ายกลนี้ไม่ใช่ค่ายกลน่ากลัวอะไร มากจนถึงจุดที่ไม่มีความสามารถในการโจมตีเลย ทว่ากลับมีความสามารถในการเปลี่ยนแปรช่วยให้มู่เฉินเทคลื่นหลิงลงไปในผนึกโดยที่ไม่ต้องสัมผัส เขาคิดจะทำลายผนึกจากด้านใน

ทว่าถึงค่ายกลจะดูเรียบง่าย แต่ก็ต้องมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์นี้ โชคดีที่มู่เฉินเป็นหลิงเจิ้นต้าซือแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถสร้างค่ายกลนี้ได้ตามที่ต้องการ

ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนแขนเต้นเบาๆ จากนั้นแสงสีม่วงทองก็พุ่งออกมา เข้าไปในหินสีดำผ่านทางค่ายกล

ผนึกโบราณนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยเลือดมหาเทพอสูร วิธีการทั่วไปไม่สามารถทำลายได้โดยไม่ไปสะกิดสิ่งที่อยู่ภายในให้เสียหาย สิ่งเดียวที่ทำลายมันได้ก็คือพลังมหาเทพอสูรตัวอื่น

เช่น พลังมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตในแขนของมู่เฉิน

มีเพียงพลังในระดับเดียวกันเท่านั้นที่สามารถทำลายผนึกได้อย่างสมบูรณ์

แสงสีม่วงทองค่อยๆ รวมเข้ากับหินสีดำสัมผัสอักขระ ก่อนที่แสงสีม่วงทองจะเริ่มกัดกร่อนผนึกอย่างเงียบๆ

การกัดกร่อนนี้ละเอียดมาก เนื่องจากมู่เฉินไม่กล้าประมาท เขากลัวว่าของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดจะสลายเป็นอากาศธาตุหากเขาประมาท

ผู้คนโดยรอบไม่สามารถเข้าใจการกระทำของเขาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดไปว่ามู่เฉินกำลังฉงนสนเท่ห์ขณะจับก้อนหินสีดำ ทันใดนั้นหลายคนก็เบ้ปากอย่างดูถูกเหยียดหยาม ดูท่าคงเป็นไอ้งั่งอีกคน…

มีเพียงจิ่วโยวและมั่วเฟิงเท่านั้นที่มองไปที่มู่เฉินด้วยความอยากรู้ ด้วยความเข้าใจพื้นนิสัยของมู่เฉิน อีกฝ่ายต้องมีความมั่นใจถึงจะทำ

ชี่! ชี่!

มู่เฉินไม่ใส่ใจต่อสายตาเหล่านั้น ในการรับรู้ของเขา ภายใต้การกัดกร่อนของแสงสีม่วงทอง ในที่สุดรอยแตกก็มีปรากฏขึ้นในผนึก

รอยแตกเพียงแค่นี้ ก็ทำให้เกิดช่องโหว่ในผนึกทันที

“ตอนนี้แหละ!”

เมื่อช่องโหว่ปรากฏขึ้น มู่เฉินก็หดดวงตาลงและไม่ลังเลอีกต่อไป คลื่นหลิงที่เทลงไปในก้อนหินสีดำก็ระเบิด ทำลายผนึกจากด้านในอย่างรวดเร็วและบดขยี้ลงอย่างแรง

ฮึ่ม!

แสงระเบิดออกจากหินสีดำในมือของมู่เฉิน หินแตกเป็นเสี่ยงๆ

เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็เบ้ปาก ดูเหมือนว่าคนโง่คนนี้ล้มเหลวแล้ว

ชายร่างผอมบางก็ส่ายหัวขณะเดียวกันก็ดีใจไปด้วย ดูเหมือนว่าเขาทำให้คนอื่นโชคร้ายอีกแล้ว…

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ทว่าขณะที่พวกเขาส่ายหัวและดึงสายตากลับ เปลวไฟสีแดงก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าจากฝ่ามือของมู่เฉิน อุณหภูมิสูงขึ้นจนน่ากลัว ทำเอามิติถึงกับบิดเบี้ยว

การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้ทุกคนอึ้งไป จากนั้นสายตาของพวกเขาก็หันมาจดจ่อที่ฝ่ามือของมู่เฉิน พลางหายใจเข้าลึก

นั่นเป็นเพราะพวกเขาเห็นในฝ่ามือมู่เฉินหินสีดำหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยผลึกอัญมณีสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือที่ดูเหมือนมีลาวาไหลเอื่อยอยู่ภายใน

นอกจากนี้ลาวายังก่อตัวเป็นรูปหงส์ฟ้าเพลิงอีกด้วย!

เมื่อมองไปที่หงส์ฟ้าที่ก่อตัวจากลาวา คนที่รู้จักของชิ้นนี้ที่นี่ก็หดดวงตาลงทันที ความโลภหนาแน่นพล่านในแววตา เสียงอุทานด้วยความตะลึงใจดังก้อง

“นั่นมันแก่นเพลิงหงส์ฟ้า!”

ใต้ต้นไม้หินชายร่างผอมบางอ้าปากเหวอ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นตลกอย่างยิ่ง

เมื่อมองไปที่แก่นเพลิงหงส์ฟ้าแม้แต่มู่เฉินก็อดสูดหายใจไม่ได้ ก่อนหน้าตอนที่เขาทำลายผนึกแม้ว่าจะไม่เกิดความปั่นป่วนขนาดใหญ่ แต่เขาก็จำเป็นต้องควบคุมพลังงานให้ดี

“ไม่ได้ทำให้ผิดหวังนะ”

มู่เฉินยิ้มบาง ยื่นแก่นเพลิงหงส์ฟ้าในมือให้มั่วหลิงที่เบิกตากว้างด้วยแสงแวววาว

“ขอบคุณพี่ใหญ่มู่เฉิน!”

มั่วหลิงดีใจมาก จากนั้นก็รับแก่นเพลิงหงส์ฟ้ามาอย่างระมัดระวัง

แต่ขณะที่มือมั่วหลิงกำลังยื่นไปจะรับแก่นเพลิงหงส์ฟ้า ทันใดนั้นแส้ก็จู่โจมเข้ามาห่อหุ้มแก่นเพลิงเอาไว้ เวลาเดียวกันแสงสายหนึ่งก็พุ่งเข้าหามู่เฉิน เสียงหญิงสาวเย็นชาดังก้องขึ้น

“ของเหลวจื้อจุนหกแสนหยดสำหรับแก่นเพลิงหงส์ฟ้านี้”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1018 ตลาดเสรี
ในถ้ำ

รัศมีสังหารรุนแรงแฝงด้วยความโหดเหี้ยมไม่สิ้นสุดเกิดขึ้นในใจของมู่เฉินแล้วพุ่งใส่ร่างดวงจิตของมู่เฉินไม่หยุดยั้ง ทำให้ดวงตาเริ่มกลายเป็นสีแดง

ราวกับว่ามีไอกระหายเลือดพุ่งขึ้นจากหัวใจ

เมื่อรู้สึกถึงสิ่งนี้ มู่เฉินก็ตัดสินใจรีบหยุดการสัมผัสทันที ดวงตาของเขาเปิดโพลงพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด

หมัดปีศาจพลีชีพน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง เพียงแค่ฝึกก็จะได้รับผลกระทบจากความกระหายเลือดแล้ว

ทว่ามู่เฉินไม่ได้กังวลอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากวิทยายุทธระดับเสินทงสามารถฝึกสำเร็จได้ง่าย ก็ไม่ควรถูกเรียกว่าคัมภีร์มหาเทพแล้ว

“ตอนนี้ข้าต้องสัมผัสความกระหายเลือดทุกวันจนกว่าจะคุ้นชินและสามารถควบคุมได้ ถึงจะเริ่มฝึกฝนได้” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง

หากเขาต้องการใช้หมัดปีศาจพลีชีพ ก็ต้องทำให้จิตวิญาณจมจ่มอยู่ในความกระหายเลือด มีเพียงรัศมีที่ลืมความตายเท่านั้นถึงจะทำให้เขาสามารถปลดปล่อยพลังหมัดนี้ได้อย่างแท้จริง

แต่ถึงแม้ว่าวิธีการฝึกฝนหมัดนี้จะยากมาก แต่มู่เฉินก็ยังแอบดีใจอยู่ในใจ แม้ว่าเขาจะได้รับเพียงกระบวนท่าแรก แต่หมัดนี้ก็จะกลายเป็นไพ่ตายใบสำคัญหากเขาสามารถฝึกฝนได้สำเร็จ

ฮา

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกสุดปอดระงับความปีติยินดีในใจ จากนั้นก็สงบจิตใจก่อนที่จะเข้าสู่สมรภูมิสังหาร อีกครั้ง ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเขาจะต้องทำความเข้าใจรัศมีสังหารที่โหดร้ายและพยายามคุ้นชินกับมันโดยเร็วที่สุด

นั่นเป็นเพราะเขาตั้งตารอวันที่สามารถปลดปล่อยหมัดปีศาจพลีชีพและดูว่ามันจะน่าตกใจแค่ไหน

เช้าวันรุ่งขึ้น

ทันทีที่ความมืดเพิ่งจะบอกลา ทุกคนก็ออกจากสมาธิ หลังจากเก็บข้าวของพวกเขาก็เดินทางกันอีกครั้ง

ภายใต้การเดินทางอย่างรวดเร็ว มู่เฉินก็เริ่มตระหนักถึงความกว้างใหญ่ของดินแดนเสินโซ่ นอกจากนี้ในบางพื้นที่ยังเต็มไปด้วยหุบเหวลึก เมื่อมองจากมุมสูงก็จะพบว่าเหวลึกเกิดจากการฉีกขาดโดยฝ่ามือขนาดใหญ่ทั้งนั้น ฉากนี้ราวกับว่าผืนดินทั้งผืนแตกออกจากกัน

ภาพเหล่านี้ล้วนพิสูจน์ว่าเป็นหายนะแค่ไหนในยามที่เผ่าปีศาจต่างมิติเปิดการโจมตีแบบไม่ยั้งใส่ดินแดนเสินโซ่ในยุคโบราณ…

สำหรับเหวลึกเหล่านี้แม้บางพื้นที่จะมีรัศมีสมบัติ แต่พวกมู่เฉินก็ไม่กล้าเสี่ยงเข้าไป เพราะแม้ว่าจะผ่านไปนับหมื่นปี รัศมีปีศาจก็ยังคงอยู่ในนั้น ซึ่งเป็นรัศมีที่ไม่เข้ากับคลื่นหลิงในฟ้าดิน หากพวกเขาเข้าไปข้างในมีความเป็นไปได้ที่คลื่นหลิงในร่างกายจะหมดลงอย่างรวดเร็วและถูกรัศมีปีศาจเข้าบุกรุกทำร้ายล้างวิญญาณ

ระหว่าทางพวกเขาก็พบคนเผ่าอื่นๆ อยู่บ้าง แต่เมื่อคนเหล่านั้นเห็นการรวมตัวของกลุ่มมู่เฉินก็รีบถอยอย่างมีชั้นเชิง

เพราะตัดสินจากรูปลักษณ์กลุ่มพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดห้าคน ส่วนอีกสามคนนอกจากมั่วหลิงที่ดูบอบบางแล้ว อีกสองคนก็ดูจัดการยาก ดังนั้นนี่จึงทำให้หัวใจของกลุ่มเหล่านั้นสลายเจตนาไม่ดีลง ทำให้การเดินทางของพวกเขาราบรื่นขึ้น

ดังนั้นภายใต้การเดินทางในกลางวันและทำความเข้าใจกับรัศมีกระหายเลือดของหมัดปีศาจพลีชีพในกลางคืน เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในวันที่สามกลุ่มมู่เฉินก็พบว่ามีความผันผวนของคลื่นหลิงปรากฏมากขึ้น นอกจากนี้ยังมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน

ภาพนี้ทำให้มู่เฉินรู้ว่าพวกเขาน่าจะใกล้ถึงตลาดเสรีที่หานซันบอกแล้ว

ขณะที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจมู่เฉิน ทิวทัศน์เบื้องหน้าเขาก็เปิดกว้างขึ้นทันที จากนั้นเขาก็เห็นว่ามีเนินเขาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในระยะไกล ซึ่งมีสิ่งก่อสร้างโบราณอยู่บนนั้นบ้าง คลื่นหลิงทรงพลังนับไม่ถ้วนกระจายออกจากที่นั่น

ในฟ้าดินโดยรอบก็มีร่างแสงพลิ้วลงในสิ่งก่อสร้างโบราณอยู่เรื่อยๆ

ชัดว่าพื้นที่บริเวณน่าจะเป็นตลาดเสรีที่หานซันบอกแล้ว

“เรามาถึงแล้ว”

หานซันพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วพูดกับกลุ่มมู่เฉินว่า “เมื่อเราเข้าตลาดเสรีก็แยกกันหาซื้อสิ่งของที่สามารถช่วยต่อต้านรัศมีความตายเพื่อง่ายสำหรับพวกเราที่จะเข้าไปในสุสานหมื่นอสูร ในมือพวกเจ้าก็มีรายการวัตถุอยู่ ถ้าเจอก็ซื้อเอาไว้ ของเหล่านั้นยิ่งเยอะยิ่งดี”

“ตกลง” มู่เฉินพยักหน้าหลังจากได้ยิน

ฟิ้ว!

จากนั้นร่างแสงหลายร่างก็พุ่งทะลุขอบฟ้าพลิ้วลงในเขตนอกของตลาดเสรีอย่างรวดเร็ว

เมื่อพวกเขาเข้าสู่เขตนอกตลาดเสรี ความตื่นตะลึงก็วูบไหวในดวงตามู่เฉิน ขนาดความเฟื่องฟูที่นี่เกินความคาดหมายของเขา ตามการคาดการณ์น่าจะมีคนไม่น้อยกว่าพันคนที่อยู่ในตลาดเสรี

พวกเขาเข้าสู่ตลาดตามคลื่นฝูงชน ก่อนที่พวกหานซันจะเดินแยกไปอีกทาง

มั่วหลิงเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเผยท่าทางของหญิงสาวที่ชื่นชอบสถานที่จับจ่ายใช้สอย เมื่อพรรคพวกมองเห็นก็ได้แต่ยิ้ม ยังไงพวกเขาก็ตั้งใจมาหาสมบัติอยู่แล้ว ดังนั้นการเดินตามหลังนางไปเดินดูข้าวของไปรอบๆ ก็ไม่เสียหายอะไร

ตลาดเสรีกว้างใหญ่ มีหินก้อนโตโดยรอบก่อตัวเป็นรูปแบบต่างๆ บางคนนั่งอยู่บนหินตามสองข้างทาง ที่มีต้นไม้หินหนาแน่นอยู่ข้างหน้า บนกิ่งไม้มีลูกผลึกแสงกะพริบแวววาว สิ่งของสะดุดตาหลากหลายอยู่ในลูกผลึกแสงเหล่านั้น

ทั้งคัมภีร์ กระบี่โบราณ กระดูกสีขาวและสมบัติแปลกประหลาดหลากหลายประเภท ซึ่งดูน่าตื่นตาดึงดูดสายตาอย่างยิ่ง

มู่เฉินเดินช้าๆ บางทีเมื่อพบวัตถุที่สามารถต้านทานรัศมีความตายได้ก็จ่ายเงินซื้อเอาไว้ แม้ว่าวัตถุเหล่านี้หายาก แต่ราคาส่วนมากก็อยู่ที่หลักหมื่นของเหลวจื้อจุน ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับมู่เฉิน

ขณะที่พวกเขากวาดตาผ่านสินค้า มู่เฉินก็ค้นพบของบางอย่างที่ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ผู้ขายก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นราคาจึงแพงหูฉี่ เขาได้แต่เหลือบมองก่อนที่จะยอมแพ้

ไม่จำเป็นต้องเสียของเหลวจื้อจุนมากมายเพื่อซื้อของที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรมาก

ดังนั้นระหว่างทางมู่เฉินจึงอดถอนหายใจไม่ได้ สินค้าในตลาดเสรีแห่งนี้มีคุณภาพสูง หากวางไว้ในโรงประมูลภายนอก จะเรียกราคาสูงกว่านี้อย่างแน่นอน

พวกเขาเดินเข้าไปส่วนในของตลาด สุดท้ายทั้งสี่ก็หยุดเดินเบื้องหน้าต้นไม้หินใหญ่ต้นหนึ่ง

ต้นไม้หินนี้ไม่เล็ก ซ้ำยังหนากว่าต้นอื่น นอกจากนี้ยังมีวัตถุมากมายแขวนอยู่ ช่างดูเจิดจ้าแยงตาและเหมือนจะพิเศษไม่น้อย

ดังนั้นจึงมีผู้คนแวะเวียนเข้ามาดูวัตถุบนต้นไม้หินนี้ตลอดเวลา

มู่เฉินเพ่งสายตาไป แววตกตะลึงก็วูบไหวในดวงตา นั่นเพราะเขาพบว่าทุกชิ้นถูกปิดผนึกไว้ ผนึกเหล่านั้นเก่าแก่มาก ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถมองทะลุทะลวงเข้าไปได้

“สหายนี่หมายความว่าอะไร?” มู่เฉินมองใต้ต้นไม้หินที่มีชายร่างผอมบางนั่งเงียบๆ แม้ว่าชายคนนี้จะหลุบตาต่ำราวกับง่วงงุน แต่มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลังจากเขา

พลังของชายคนนี้ไม่อาจประมาทได้

“วัตถุเหล่านี้ข้าได้มาจากซากอารยธรรม แต่ก็มีผนึกติดอยู่ทุกชิ้น ผนึกเหล่านี้แปลกมาก มีโอกาสประสบความสำเร็จในการทำลายเพียงสามส่วน เมื่อล้มเหลวสมบัติก็จะระเบิดตัวเอง ดังนั้นหากใครต้องการที่จะลองก็ต้องจ่ายของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดแล้วก็เลือกทำลายได้ตามใจชอบ แน่นอนว่า…ข้าจะไม่รับผิดชอบต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลว ต่อให้เจ้าเปิดได้อาวุธมหสวรรค์ก็จะเป็นของของเจ้า” ชายร่างผอมบางเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินก่อนจะพูดช้าๆ

กติกาของผู้ขายคนนี้แตกต่างจากคนอื่น ใช้วิธีจับสลากเพื่อเสี่ยงโชค หากใครโชคร้ายแม้ว่าพวกเขาจะสามารถเปิดผนึกได้ พวกเขาก็จะได้รับเพียงขยะไปเท่านั้น

“ของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดสำหรับโอกาสทำลายผนึก นอกจากนี้โอกาสสำเร็จยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ เจ้าบ้ารึเปล่า?” ที่ด้านข้างมีคนส่งเสียงล้อเลียน เพราะเขาคิดว่าผู้ขายคนนี้เรียกร้องราคาที่สูงเกินไป

เมื่อเขาพูดออกไปก็มีคนจำนวนมากเอ่ยเห็นด้วย สิ่งนี้น่าดึงดูด แต่ราคาของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดและโอกาสสำเร็จเพียงสามส่วนก็หยุดความคิดผู้คนที่จะลองดู

ทว่าชายร่างผอมขี้เกียจเกินกว่าจะให้ความสนใจพวกเขา วัตถุของเขาผ่านการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน ดังนั้นผู้มีสายตาเฉียบแหลมจะรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่ของธรรมดา หากไม่ใช่วัตถุเหล่านี้มีโอกาสประสบความสำเร็จต่ำ เขาก็คิดทำลายเองทั้งหมด ทว่า…เขาเคยลองมาแล้วหลายครั้ง แต่ที่ทำให้เขาโมโหคือโชคของเขาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เขาไม่เคยทำลายผนึกได้สำเร็จเลยสักครั้ง

มู่เฉินกับจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ความสนใจก็เพิ่มขึ้น นั่นเป็นเพราะพวกเขาพบว่าวัตถุที่ปิดผนึกอยู่ภายในมีความไม่ธรรมดาอยู่จริง

บางทีพวกเขาอาจลองเสี่ยงได้สักหน่อย

ทั้งสี่มีความคิดดังกล่าวแล่นพล่านในใจ จากนั้นสายตาก็กวาดมองไปที่ลูกผลึกแสงทั้งหลาย

ในขณะที่ทั้งสี่กวาดมองไปรอบๆ สายตามู่เฉินและมั่วหลิงก็หยุดชะงักมองลูกผลึกแสงที่ห้อยอยู่มุมขวาล่างพร้อมกัน

ภายในลูกผลึกแสงเป็นหินสีดำขนาดเท่ากำปั้น หินราวกับไข่ พื้นผิวเหมือนจะมีร่องรอยไหม้อยู่

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1017 เร่งรุดเดินทาง
ข้อเสนอของหานซัน มู่เฉินไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

ไม่ต้องพูดถึงว่าอสูรโบราณโภคะล่อลวงแค่ไหน เพียงแค่เบาะแสเกี่ยวกับวิหคอมตะโบราณในสุสานหมื่นอสูรอย่างเดียวก็มีค่าพอที่จะเสี่ยงแล้ว

นั่นเป็นเพราะเป้าหมายหลักของเขาในการมาในดินแดนเสินโซ่ก็คือการช่วยจิ่วโยวให้ได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะโบราณ เพื่อทำให้สายเลือดของนางสมบูรณ์และกำจัดข้อเสียที่ได้จากพันธะโลหิตให้หมดสิ้น

ดินแดนเสินโซ่มีพื้นที่ใหญ่โตมโหฬารแฝงด้วยอันตรายทุกรูปแบบ ความต้องการที่จะพบร่องรอยของวิหคอมตะโบราณก็เหมือนการค้นหาเข็มในมหาสมุทร ดังนั้นในเมื่อมีเบาะแสขึ้นมาในตอนนี้ พวกเขาก็ไม่คิดจะปล่อยมันไป

ดังนั้นมู่เฉินและจิ่วโยวจึงไม่ได้ลังเลอะไรมากกับคำชวนของหานซันตอบตกลงทันที

มั่วเฟิงและมั่วหลิงก็เห็นพ้องต้องกัน พวกเขามาที่ดินแดนเสินโซ่เพื่อแสวงหาโอกาสตั้งแต่ต้น แม้สุสานหมื่นอสูรจะอันตราย แต่ก็มีโอกาสยิ่งใหญ่ในนั้น

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็รีบเดินทางกันดีกว่า ที่นี่ห่างไกลจากสุสานหมื่นอสอูร จากการกะระยะของข้า เราต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าวันแม้ว่าจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเต็มพิกัดก็ตาม” เมื่อหานซันเห็นว่าพวกมู่เฉินตกลงร่วมมือ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็กว้างขึ้นจากนั้นก็โบกมือ ร่างเงาสามร่างพลิ้วตัวลงข้างเขา

ร่างพวกเขาปกคลุมด้วยเกราะหนักสีดำ รัศมีเหี้ยมหาญกระจายโดยรอบ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์จากเผ่าแรดอสูร มีสองคนอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดก็อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด ซึ่งนี่เป็นรูปแบบการรวมตัวที่ทรงพลังนัก

แม้ว่าจอมยุทธ์สามคนของเผ่าแรดอสูรจะห่อหุ้มไปด้วยรัศมีเหี้ยมหาญ แต่พวกเขาก็มีความสุภาพต่อพวกมู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าการแสดงความแข็งแกร่งก่อนหน้าของมู่เฉินเอาชนะใจพวกเขาไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คัดค้านหานซันที่ขอความร่วมมือกับกลุ่มมู่เฉิน

ทั้งสี่พยักหน้าให้กับผู้มาใหม่ทั้งสามคน ตอนนี้มีเพียงคนไม่กี่คนอยู่ในซากปรักหักพังแห่งนี้ คนส่วนใหญ่จากไปแล้ว ส่วนเผ่าอีกาสายฟ้าก็พาลู่สุยที่ไม่รู้เป็นหรือตายออกไปตั้งแต่ตอนที่จงเถิงเผ่นหนีแล้ว

มู่เฉินไม่ได้หยุดพวกเขา แม้ว่าเผ่าอีกาสายฟ้าจะน่ารังเกียจ แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่เขาจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด นั่นเป็นเพราะถ้าเขาทำก็อาจทำให้เผ่าอีกาสายฟ้าไม่พอใจ ยังไงพวกเขาก็เป็นสัตว์อสูรที่มีชื่อเสียง ถ้าพวกเขาโกรธขึ้นมาละก็เป็นปัญหาใหญ่แน่

แน่นอนว่าถ้ามีใครบางคนแกว่งเท้าหาเสี้ยนแบบจงเถิง มู่เฉินอาจหาโอกาสฆ่าพวกเขาหากหลบหนีช้า

ดังนั้นตัวตลกอย่างลู่สุย ในเมื่อไม่สามารถคุกคามอะไรได้ เขาก็ขี้เกียจไปสนใจอะไรมาก

เมื่อทั้งสองกลุ่มรวมตัวกัน กลุ่มของพวกเขาก็มีประสิทธิภาพขึ้น มู่เฉินและหานซันไม่ได้ชักช้าอีกต่อไป ออกเดินทางทันทีหลังจากกำหนดทิศทางได้ พวกเขากลายเป็นร่างแสงแปดร่างทะยานออกจากเมืองร้างนี้ไป

เมื่อพวกเขาจากไป เมืองก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง มีเพียงเจดีย์หินโบราณที่ยังตั้งตระหง่าน เมื่อกาลเวลาผ่านไป ร่องรอยที่เหลือไว้บนพื้นผิวก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยรุ่งโรจน์

ขณะที่พวกมู่เฉินออกจากเมืองร้าง

มุ่งหน้าไปยังสุสานหมื่นอสูร ในอีกทิศทางหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป…

ฟิ้ว!

แสงสีทองส่งเสียงหวีดหวิวตกลงบนเนินเขาอย่างน่าสมเพช ในแสงสีทองมีร่างกระเรียนทองคำขนาดใหญ่เมื่อแสงทองแล่นพล่านออกไปก็กลายร่างกลับเป็นมนุษย์

นี่คือจงเถิงและพรรคพวกเผยตัวออกมาด้วยสีหน้าซีดเซียว

“พี่ใหญ่จงเถิง เจ้า…” ใบหน้าของหลิ่วชิงซีดเผือดเมื่อมองไปที่จงเถิง ขณะนี้ใบหน้าชายหนุ่มน่ากลัวอย่างยิ่ง แขนขวาถูกตัดออก เขาเอามืออีกข้างถือแขนขวาไว้ เลือดสดไหลนอง

แม้ว่าเขาจะตัดสินใจหนีอย่างเด็ดขาด แต่แขนเขาก็ยังถูกฟันด้วยกระบี่ของมู่เฉิน

“มู่เฉิน ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”

จงเถิงจับแขนที่ขาดไว้ คำรามอย่างอาฆาตมาดร้าย จอมยุทธ์อัจฉริยะเผ่ากระเรียนฟ้าเช่นเขาตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชเนื่องจากฝีมือของมนุษย์คนหนึ่ง มากจนถูกตัดแขนไปข้างหนึ่ง หากเรื่องนี้ถูกส่งกลับไปที่เผ่ายากที่จะจินตนาการว่าจะเกิดคลื่นสะท้อนยิ่งใหญ่เพียงใด

“พี่ใหญ่จงเถิง ตอนนี้เราจะทำยังไง?” จงฮั่วถามด้วยสีหน้าซีดขาว ด้วยการบาดเจ็บตอนนี้ของจงเถิง ทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาลดลงมาก หากไปแข่งขันเพื่อโอกาสกับกลุ่มอื่นๆ อีก พวกเขาอาจได้ทิ้งชีวิตไว้ในดินแดนเสินโซ่แห่งนี้เลยก็ได้

สายตาของจงเถิงดุร้าย พักใหญ่ก็หายใจเข้าลึกค่อยๆ สงบอารมณ์ลง พูดอย่างเย็นชาว่า “ไปหาเผ่าคุนเผิงก่อน ครั้งนี้จงชิงเฟิงก็เข้ามาในดินแดนเสินโซ่ในฐานะสมาชิกกลุ่มเผ่าคุนเผิง ถ้าได้รับความช่วยเหลือของเขา เราก็สามารถฆ่ามู่เฉินได้อย่างง่ายดาย!”

เมื่อชื่อจงชิงเฟิงดังขึ้น ดวงตาของหลิ่วชิงและจงฮั่วก็ลุกเป็นไฟ นั่นเพราะชื่อนี้เป็นตำนานมีชีวิตในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่ากระเรียนฟ้า ตอนแรกคนผู้นี้ก็เป็นสมาชิกเผ่ากระเรียนฟ้า แต่เนื่องจากความสามารถที่ยอดเยี่ยมจึงไปถูกตาผู้อาวุโสเผ่าคุนเผิงรับเขาเป็นศิษย์และคัดเลือกเข้าสู่เผ่าคุนเผิง ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ในเผ่าคุนเผิงที่มีอัจฉริยะมากมาย เขาก็ยังถือว่าโดดเด่น พรสวรรค์และพลังของเขาเหนือกว่าจงเถิงเสียอีก!

ถ้าจงชิงเฟิงยอมช่วยพวกเขา มู่เฉินจะต้องถูกกระทืบจมดินแน่นอน

แค่คิดถึงภาพน่าเศร้าของมู่เฉินที่โดนกระทืบครั้งแล้วครั้งเล่า พวกหลิ่วชิงก็อดเป็นสุขจากการล้างแค้นไม่ได้ราวกับว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงแล้ว

ความมืดเยือนเข้ามาโอบล้อมพื้นดิน

ค่ำคืนในดินแดนเสินโซ่หนาวจัด กระทั่งฟ้าดินยังเต็มไปด้วยไอเย็นยะเยือก ซึ่งเกิดจากรัศมีความตาย มีจอมยุทธ์เผ่าเทพอสูรมากมายได้ทิ้งร่างไว้ที่นี่ ดังนั้นแม้เวลาจะผ่านไปนับหมื่นปี แต่ในค่ำคืนก็ยังถูกปนเปื้อนด้วยรัศมีความตาย ทำให้เย็นเยือกไปถึงแก่น

ดังนั้นโดยทั่วไปจึงไม่มีจอมยุทธ์คนไหนเลือกเดินทางในเวลากลางคืน พวกเขาจะมองหาสถานที่พักผ่อนเพื่อต่อต้านการรุกรานของรัศมีความตาย

บนภูเขาที่เคยสูงตระหง่าน แต่ตอนนี้พังทลายลงปรากฏถ้ำที่พร่างพราวด้วยแสงสว่างของเพลิงสีขาวนวล นี่เป็นเพลิงพิเศษชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถขับไล่รัศมีความตาย ทำให้ทั้งถ้ำเป็นอิสระจากสิ่งชั่วร้าย

ในถ้ำพวกมู่เฉินนั่งรอบกองไฟมองดูเพลิงสีขาวเต้นระริก พวกเขาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า กลุ่มหานซันเตรียมพร้อมมาก แม้แต่หินไฟชนิดพิเศษก็เตรียมมา ชัดว่าพวกเขาตั้งใจจะไปสุสานหมื่นอสูรมานานแล้ว

“จากความเร็วของเรา น่าจะใช้เวลาอีกสี่วันไปถึงสุสานหมื่นอสูร…”

ที่เบื้องหน้ากองไฟ หานซันพลิกนิ้วประกายไฟลุกโชนก่อตัวเป็นแผนที่ จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังตำแหน่งหนึ่ง “อีกสองวันเราจะผ่านสถานที่นี่ซึ่งเป็นตลาดเสรี จะมีจอมยุทธ์จากเผ่าอื่นมารวมตัวกัน เราต้องไปเตรียมของบางอย่าง”

“นอกจากนี้…” หานซันมองมู่เฉินและจิ่วโยวแล้วยิ้ม “ที่นี่ก็มีของดีไม่น้อย หากมีโชค เราอาจจะได้รับบางอย่าง ข้าเคยได้ยินว่าในอดีตมีคนโง่ที่ไม่รู้มูลค่าของขายชิ้นส่วนวิทยายุทธระดับเสินทงไปให้คนอื่นในราคาต่ำ”

“ชิ้นส่วนของวิทยายุทธระดับเสินทง?”

มู่เฉินและจิ่วโยวอึ้งไปจากนั้นก็แอบเบ้ปาก เขาคนนั้นโง่จริงๆ แต่คำพูดของหานซันก็ทำให้พวกเขาสนใจมากขึ้น ดินแดนเสินโซ่กว้างใหญ่ไพศาลมีโอกาสมากมายซ่อนอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้รับโอกาส บางคนอาจมองไม่เห็นมูลค่าและนำสมบัติหายากนั้นมาขาย

“สำหรับสกุลเงินที่ใช้ก็คือของเหลวจื้อจุน แน่นอนว่าเจ้าสามารถใช้ของในการแลกเปลี่ยนได้” หานซันยิ้ม

มู่เฉินพยักหน้า เขาเพิ่งได้รับของเหลวจื้อจุนมาจากจงเถิงล้านหยด บวกกับที่มีอยู่แล้วเขาก็มีของเหลวจื้อจุนอยู่กับตัวเกือบสองล้านหยด หากพบของดีจริง เขาก็สามารถซื้อได้

“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ ทุกคนรีบพักกันเถอะ พรุ่งนี้เราจะเดินทางตั้งแต่เช้า”

เมื่อหานซันบอกเล่าเกี่ยวกับตลาดเสรีเรียบร้อย เขาก็หยุดคุยแล้วหลับตาเข้าสู่สมาธิ

ที่ด้านข้างจิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงก็หาที่ทางเข้าสู่สมาธิด้วยเช่นกัน

มู่เฉินเปิดโพรงหินสร้างห้องเพื่อเพาะบ่มแยกออกไป เขานั่งลงแต่ไม่ได้เข้าสมาธิทันที เขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ หลับตา

เมื่อหลับตาภาพทิวทัศน์ก็ปรากฏอยู่ในใจ ที่นี่เป็นสนามรบโบราณที่ไม่สามารถมองเห็นปลายเส้นขอบฟ้าได้ มีเพียงไอสังหารเชี่ยวกรากและกลิ่นอายความสิ้นหวังกระจายออกมา

ที่ใจกลางของสนามรบมีร่างเงาสีแดงเข้มยืนตระหง่านราวกับก้อนหิน เหมือนกับว่าต่อให้มีกองทัพและม้านับหมื่นแสนพุ่งเข้ามา ก็ไม่มีทางที่จะขยับเขยื้อนร่างกายของเขาได้

ดวงตาของมู่เฉินจับจ้องอยู่ที่ร่างสีแดงเข้ม ก็เห็นไอสังหารเชี่ยวกรากจากฟ้าดินค่อยๆ มารวมกันที่รอบตัวคนนั้น ทำให้เขาประหนึ่งเทพปีศาจเลยทีเดียว

เงาสีแดงเข้มเงยขึ้นอย่างช้าๆ เหมือนจะเหลือบมองมาที่มู่เฉิน ก่อนที่ไอสังหารจะก่อเป็นถ้อยคำสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนปรากฏบนท้องฟ้า

เมื่อมองไป หัวใจของมู่เฉินก็กระตุกแรง

กระบวนท่าแรกของหมัดปีศาจพลีชีพ—สังเวยปีศาจ!

แม้สุดท้ายมู่เฉินจะออกมาจากเจดีย์โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็แปลกที่ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินผ่านการทดสอบของชั้นห้า นั่นเป็นเพราะในมุมมองของพวกเขานี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

ทว่าพวกเขาไม่เคยคิดว่าชั้นห้าไม่ใช่การทดสอบความแข็งแกร่ง แต่เป็นความกล้าหาญในการเสียสละตนเอง

มู่เฉินอดทนจนวินาทีสุดท้ายไปกับหมัดทำลายล้าง ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าร่างกายถูกทำลายโดยหมัด เขาก็รู้ว่าการเดิมพันของตนเองประสบความสำเร็จแล้ว

เดิมพันนี้ก็คือวิทยายุทธระดับเสินทงที่ราชันสงครามโลหิตสร้างขึ้น!

หมัดปีศาจพลีชีพ!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1016 อสูรโบราณโภคะ
เมื่อจงเถิงเผ่นหนีไปแล้ว

บรรยากาศเดือดพล่านด้านนอกเจดีย์ก็สิ้นสุดลง จอมยุทธ์เผ่าอื่นๆ พากันเหลือบมองมู่เฉินด้วยความหวาดกลัวและความเคร่งเครียดในสายตาก่อนที่จะทยอยจากไป

หลังจากที่เจดีย์ฝึกพลังกายเปิดขึ้นในครั้งนี้ก็จะปิดไปอีกนานและไม่มีวิธีใดที่จะเปิดได้ ดังนั้นที่นี่จึงหมดความน่าดึงดูดใจ ไม่มีใครยอมที่จะหยุดอยู่ต่อ

ดินแดนเสินโซ่กว้างใหญ่ไพศาล มีโอกาสอีกมากมายรอพวกเขาให้ไปค้นหา ดังนั้นไม่มีใครจมจ่อมอยู่ในที่ที่เดียวหรอก

ทว่าถึงแม้พวกเขาจะจากไป แต่ทุกคนต่างก็จดจำมนุษย์ที่มีนามว่ามู่เฉินที่มีพลังกายทรงประสิทฺภาพเหนือกว่าแม้แต่เทพอสูรซึ่งสลักความประทับใจให้กับพวกเขา พวกเขารู้ว่านี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะเห็นมู่เฉิน ในเวลานั้นบางทีอัจฉริยะทั้งหมดที่อยู่ในดินแดนเสินโซ่จะรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของเขา

ทุกคนต่างก็อยากรู้อยากเห็น ไม่รู้ว่ามู่เฉินจะเป็นยังไงหากเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อัจฉริยะเผ่าเทพอสูรอื่นๆ

หากเกิดการต่อสู้กันจะต้องเป็นการปะทะกันของดาวหางยักษ์อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งน่าตื่นตาอย่างยิ่ง

การฝึกยุทธ์ในดินแดนเสินโซ่เพิ่งจะเริ่ม รอให้ถึงเวลาที่เหล่ายอดอัจฉริยะมารวมตัวกัน เวลานั้นถึงได้เป็นจุดสูงสุดของการฝึกยุทธ์ในดินแดนเสินโซ่

“ฮ่าๆ พี่มู่ทรงพลังอย่างแท้จริง ข้าเองยังเทียบพลังกายของเจ้าไม่ได้เลย”

เมื่อฝูงชนที่อยู่นอกเจดีย์ค่อยๆ จากไป หานซันก็ประสานมือด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาสุภาพอ่อนโยนอบอุ่นกว่าตอนที่อยู่ในเจดีย์ เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับจงเถิง หานซันก็วางมู่เฉินไว้ในจุดที่สำคัญอย่างยิ่ง

มากจนตัวเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะมู่เฉินได้

มู่เฉินยิ้มพลางประสานมือให้พร้อมฉายความเป็นมิตร ไม่มีความแข็งกร้าวและเฉียบคมเหมือนตอนเผชิญกับจงเถิงและลู่สุย หานซันไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา หากพวกเขาสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีก็ย่อมมีผลประโยชน์มากกว่าผลเสีย

“แต่วันนี้พี่มู่กลายเป็นศัตรูเต็มตัวกับจงเถิงซะแล้ว”

หานซันเหลือบมองไปยังทิศที่จงเถิงหายไปก็ยิ้ม “แม้ว่าจงเถิงจะเป็นอัจฉริยะของเผ่ากระเรียนฟ้าแต่เขาก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร ตามที่ข้ารู้เผ่ากระเรียนฟ้ามีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเผ่าคุนเผิง ตัวจงเถิงก็มีความสัมพันธ์บางอย่างในเผ่าคุนเผิง…”

“เผ่าคุนเผิง?” ดวงตาของมู่เฉินหดลงเมื่อได้ยิน แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับเผ่าเทพสูร แต่เขารู้ว่าเผ่าคุนเผิงถือเป็นหนึ่งในเผ่าเทพอสูรชั้นยอดที่มีรากฐานไม่ด้อยไปกว่าเผ่ามังกรและหงส์ฟ้าเลยทีเดียว

สีหน้าของจิ่วโยวและมั่วเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ดูเคร่งเครียดมากขึ้น เผ่ากระเรียนฟ้าสืบเชื้อสายมาจากมหาเทพอสูรเผ่ากระเรียนปีกทองคำ ซึ่งเผ่าคุนเผิงเป็นต้นกำเนิดของกระเรียนทั้งหมด ดังนั้นกระเรียนปีกทองคำจึงถือว่าเป็นหนึ่งในเผ่าคุนเผิงนั่นเอง

ก็เหมือนกับสายเลือดของวิหคอมตะโบราณที่ไหลอยู่ในร่างสมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ ซึ่งวิหคอมตะโบราณถือเป็นหนึ่งในเผ่าหงส์ฟ้าด้วยเช่นกัน

ถ้าจงเถิงมีความสัมพันธ์กับคนในเผ่าคุนเผิงจริง ถ้าเขาเชิญจอมยุทธ์อัจฉริยะของเผ่าคุนเผิงเข้าร่วมก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับพวกเขา สามารถจินตนาการได้ว่าจอมยุทธ์อัจฉริยะของเผ่าเทพอสูรชั้นยอดจะเป็นอย่างไร

แม้ว่าจะระวังขึ้นในใจ แต่มู่เฉินก็ไม่ได้กลัวอะไรมาก เส้นทางการฝึกฝนในหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้พึ่งพาความกลัว

“เราจะระวังเรื่องนี้ ขอบคุณสำหรับข้อมูล” มู่เฉินประสานมือแสดงความขอบคุณต่อการเตือนของหานซัน

หานซันยิ้มครุ่นคิดสั้นๆ ถามว่า “ไม่รู้ว่าพวกเจ้าวางแผนจะไปที่ไหนต่อหรือ?”

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำถามดังกล่าวก็แลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยว จากนั้นนางก็พูดขึ้นว่า “พวกข้ากำลังหาร่องรอยของวิหคอมตะโบราณน่ะ”

นางไม่ได้ซ่อนเป้าหมายของตนเอง เพราะถึงยังไงหากข่าววิหคอมตะโบราณกระจายออกไปก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดไว้ นอกจากนี้พวกนางก็ต้องการหาให้พบก่อน

หลายปีมานี้เผ่าวิหคโลกันตร์ก็สืบหาข้อมูลอยู่เสมอ แต่การเก็บเกี่ยวไม่น่าประทับใจอะไรเลย

“วิหคอมตะโบราณเหรอ…”

หานซันไม่ได้ประหลาดใจอะไรกับความจริงข้อนี้ เนื่องจากเขารู้อยู่แล้วว่าเผ่าวิหคโลกันตร์มีสายเลือดวิหคอมตะโบราณ จึงยิ้มเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าได้ข้อมูลอะไรมาหรือยัง?”

จิ่วโยวส่ายหน้า

“ถ้างั้นข้าอาจจะให้ความช่วยเหลือได้บ้าง” หานซันกล่าว

มู่เฉินและจิ่วโยวตกใจก่อนที่จะมองหานซันด้วยสายตาตั้งคำถามพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้ามีเบาะแสบางอย่างเหรอ?”

หากเป็นเช่นนั้นจริงหานซันจะยอมบอกเบาะแสมาอย่างง่ายดายได้ยังไง?

“ไม่ใช่เบาะแสที่แน่นอน” หานซันยิ้ม “แต่ข้าเชื่อว่าดีกว่าคลำไปรอบๆ น่ะ”

“ยินดีรับฟัง”

จิ่วโยวพยักหน้าอย่างจริงจัง ดินแดนเสินโซ่กว้างใหญ่ไพศาล แม้จะมีรัศมีหงส์ฟ้าแท้จริงบนร่างมู่เฉิน แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะพบร่องรอยของวิหคอมตะโบราณ ดังนั้นหากมีเบาะแสน้อยนิดก็ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับพวกเขา

“ไม่รู้ว่าพวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องสุสานหมื่นอสูรไหม?” หานซันกล่าว

“สุสานหมื่นอสูร?!”

มู่เฉินไม่ได้ตอบสนองกับคำพูดนี่ แต่ใบหน้าของจิ่วโยวและมั่วเฟิงเปลี่ยนไปพร้อมกับความเคร่งเครียดและหวาดหวั่น

“ที่นั่นคือที่ไหนเหรอ?” มู่เฉินถามอย่างประหลาดใจ

“ก็ตามความหมายของชื่อ นั่นเป็นสุสานของสัตว์อสูรน่ะ… ว่ากันว่าเทพอสูรที่ละสังขารที่นั่นมีจำนวนมากที่สุดในดินแดนเสินโซ่ ทำให้กลายเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่โอบล้อมด้วยรัศมีความตายตลอดทั้งปี เนื่องจากผสมผสานเข้ากับรัศมีปีศาจต่างมิติ จึงอันตรายอย่างยิ่งและเป็นหนึ่งในดินแดนมรณะ” จิ่วโยวพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“แต่ก็มีข่าวลือว่าไม่ได้มีมหาเทพอสูรเพียงหนึ่งเดียวที่ละสังขารที่สุสานหมื่นอสูร…” มั่วเฟิงกล่าวเสริม

“วิหคอมตะโบราณก็เป็นหนึ่งในนั้นเรอะ?” มู่เฉินมองไปที่หานซัน

“ครั้งก่อนตอนที่ดินแดนนี้เปิดออก เผ่าของข้าได้เข้าไปในสุสานหมื่นอสูร พวกเขาเล่าว่าเคยได้ยินเสียงร้องของหงส์ฟ้าและ… เพลิงอมตะ” หานซันพูดช้าๆ

ลมหายใจของจิ่วโยวกระชั้นขึ้น เพลิงอมตะ… เป็นเพลิงเอกลักษณ์ของวิหคอมตะโบราณ หากสิ่งที่หานซันพูดเป็นความจริงละก็ อาจจะมีร่างวิหคอมตะร่วงหล่นอยู่ในสุสานหมื่นอสูรจริงๆ

เพียงแต่ว่าดินแดนมรณะนั่นอันตรายเกินไป ในอดีตมีคนไม่มากนักจากเผ่าวิหคโลกันตร์ที่ไปที่นั่น

“ทำไมพี่หานถึงบอกเรื่องนี้กับเรา… ” แววตามู่เฉินวูบไหว จากนั้นก็ยิ้มให้หานซัน ความหมายในคำพูดของเขาชัดเจน ในเมื่ออีกฝ่ายบอกข้อมูลเชิงลึกขนาดนี้ก็ต้องมีเป้าหมายอะไรบ้าง

“ข้าต้องการหาพันธมิตรน่ะ” หานซันพูดตรงๆ

“พี่หานพบบางอย่างในสุสานใช่ไหม?” มู่เฉินหยั่งเชิง หากไม่ทราบข้อมูลที่แน่นอน หานซันคงไม่เสี่ยงชีวิตเพื่อเข้าสู่ดินแดนมรณะนั่นหรอก

หานซันเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉินก่อนที่จะพยักหน้าช้าๆ “กลุ่มของข้าเคยเห็นอสูรโบราณโภคะอยู่ในสุสานนั่น”

“อสูรโบราณโภคะ?!”

เมื่อคำพูดเหล่านั้นพูดออกมา ไม่เพียงแต่จิ่วโยวและมั่วเฟิงที่อึ้งไป แม้แต่มู่เฉินก็เบิกตากว้างพร้อมกับความตกตะลึงบนใบหน้า

อสูรโบราณโภคะไม่เพียงแต่โด่งดังในโลกสัตว์อสูรเท่านั้น แต่ยังเป็นที่เลื่องลือในโลกมนุษย์อีกด้วย

เล่าลือกันว่าอสูรโบราณโภคะชอบกินโลหะที่เป็นเอกลักษณ์ทุกชนิดและสมบัติต่างๆ สิ่งเหล่านั้นจะได้รับการชำระในร่างมันด้วยรูปแบบพิเศษ ก่อนที่จะกลายเป็นอาวุธพบสวรรค์ทรงพลัง มากจนแม้แต่อสูรโบราณโภคะบางตัวสามารถกลั่นอาวุธเสมือนมหสวรรค์และอาวุธมหสวรรค์ได้ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังใจหวั่น

ดังนั้นอสูรโบราณโภคะจึงถูกขนานนามว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการกลั่นอาวุธเทพแต่กำเนิด ตราบใดที่มันตายไปก็ดึงดูดสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนไป

นั่นเป็นเพราะศพของมันคือสมบัติ!

แต่น่าเสียดายที่มันหายากแสนยาก ไม่ค่อยปรากฏตัวแม้แต่ในสมัยโบราณ ยิ่งตอนนี้ในมหาพันภพก็มีจำนวนน้อยนิด

แต่ไม่ว่ามันจะหายากเพียงใด ชื่อเสียงก็โด่งดังจนน่ากลัว ดังนั้นแม้แต่คนอย่างมู่เฉินที่รู้เรื่องเผ่าสัตว์อสูรน้อยนิดก็ยังรู้เรื่องนี้

เมื่อหานซันมองเห็นความตกตะลึงที่เขียนบนใบหน้าของพวกเขาก็พยักหน้าเบาๆ “จากข่าวอสูรโบราณโภคะตัวนี้ทรงพลังอย่างยิ่งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เข้าใกล้การเป็นมหาเทพอสูร ถ้ามันไม่ได้พบภัยพิบัตินั่นก็อาจจะพัฒนาเป็นมหาเทพอสูรไปแล้วก็ได้”

เมื่อไรที่กลายเป็นมหาเทพอสูรก็จะสามารถกลั่นอาวุธทรงพลังเท่าอาวุธมหสวรรค์…

ทว่ามู่เฉินและคนอื่นๆ ไม่รู้สึกเสียใจ ตรงกันข้ามดวงตากลับส่องประกายมากขึ้น นั่นหมายความว่าสัตว์อสูรตัวนี้ได้สัมผัสเข้าไปในขอบเขตของมหาเทพอสูรแล้ว

นั่นก็หมายความว่าในร่างมันอาจมี… อาวุธเสมือนมหสวรรค์อยู่ก็ได้

“ในร่างกายมัน ไม่น่าจะมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์แค่หนึ่งชิ้น…” หานซันพยักหน้าพร้อมกับความโลภพล่านเต็มในดวงตา หากเขาได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์สักชิ้น การเดินทางมายังดินแดนเสินโซ่ก็คุ้มค่าอย่างที่สุดแล้ว

ซี้ด!

พวกมู่เฉินสูดลมหายใจเย็น หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอาจจะดึงดูดคนนับไม่ถ้วนมุ่งหน้าไปยังสุสานหมื่นอสูรก็เป็นได้

“ข้อมูลแบบนี้… เจ้าก็ยินดีแบ่งปันด้วยเหรอ?” มั่วเฟิงจ้องมองหานซันแบบไม่อยากเชื่อ มีใครไม่ต้องการครอบครองตัวสมบัติดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียวด้วยเรอะ?

“โอกาสทุกประเภทต้องอาศัยความแข็งแกร่ง”

หานซันยิ้มบาง “ไม่ต้องพูดถึงอันตรายในสุสาน แค่พื้นที่ที่อสูรโบราณโภคะละสังขารก็มีสิ่งที่จัดการได้ยากแล้ว… นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือไม่ใช่ข้าคนเดียวที่รู้เรื่องนี้”

“ในตอนนั้นนอกเหนือจากจอมยุทธ์เผ่าข้าแล้ว ยังมีเผ่าอื่นอยู่ด้วยเช่นกัน ข้าเชื่อว่าพวกเขาตั้งเป้าหมายไปที่นั่นแล้ว”

“ดังนั้นข้าต้องการเพื่อนร่วมทางที่สามารถไว้ใจได้”

หานซันมองกลุ่มมู่เฉินแล้วยิ้ม “ข้าขอพูดบางคำที่อาจสร้างความไม่พอใจ ก่อนหน้าถ้ามู่เฉินไม่แสดงความแข็งแกร่งให้เห็น ข้าคงมองข้ามพวกเจ้าไปแล้ว… แล้วคำตอบของพวกเจ้าคืออะไร?”

มู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากับพรรคพวก ดวงตาทั้งสี่กะพริบแสงวูบไหว โต้ตอบผ่านการส่งเสียงสั้นๆ ไม่นานจากนั้นพวกเขาก็ตกลงกันได้

มู่เฉินมองไปที่หานซันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าพลางยื่นมือออกมา

“หวังว่าความร่วมมือของเราจะเป็นเรื่องน่ายินดี”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1015 ลองหมัด
“ถึงตาแกแล้ว…”

เมื่อม่านตาสีดำของมู่เฉินจ้องมา จงเถิงที่มีสีหน้าน่าเกลียดมากก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปครึ่งก้าว ฉากเหลือเชื่อที่ลู่สุยพ่ายแพ้มู่เฉินในหมัดเดียวนั้น ส่งผลกับเขาค่อนข้างมาก

ทว่าจงเถิงก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาจึงสงบใจลงทันที ดวงตาที่จ้องมองมู่เฉินก็ฉายแววเคร่งเครียดและขยาดกลัว หากเมื่อก่อนมู่เฉินเป็นคนที่พอจะเผชิญหน้ากับเขาได้เท่านั้น แต่คนเบื้องหน้าตอนนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นภัยคุกคามร้ายแรงแท้จริง

“ข้าประเมินแกต่ำไป”

เสียงต่ำของจงเถิงดังก้องด้วยความเสียใจในใจ หากเขารู้ว่ามู่เฉินจะมีพัฒนาการเช่นนี้ในเจดีย์ฝึกพลังกาย เขาจัดการอีกฝ่ายไปตั้งแต่แรกแล้ว

ตอนนี้มู่เฉินเป็นภัยคุกคามยิ่งกว่ามั่วเฟิงและจิ่วโยวเสียอีก

“เรื่องวันนี้ถือว่าข้ายอมแพ้ ข้าจะชดใช้ของเหลวจื้อจุนล้านหยดให้แล้วกัน เราลบเรื่องนี้ซะ เป็นไง?” จงเถิงจ้องตามู่เฉินจากนั้นเขาก็กัดฟันและพูดอย่างเด็ดขาด

ผู้คนรอบทิศทางฉายสีหน้าพิลึกพิลั่น ใครจะคิดว่าจงเถิงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจจะยอมรับความพ่ายแพ้และคิดจะลบเรื่องไปแบบนี้

แต่ทุกคนก็ไม่ได้แปลกใจมากกับเรื่องนี้ หลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งของมู่เฉิน แม้แต่จงเถิงก็คงไม่มีความคิดที่จะสู้ในเวลานี้

ลู่สุยถูกชกหมัดเดียวจนถึงจุดที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง ก็ไม่ต้องคิดจะได้รับความช่วยเหลือจากจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้า หากเผ่ากระเรียนฟ้าเผชิญหน้ากับเผ่าวิหคโลกันตร์ตามลำพังละก็ พวกเขาเสียเปรียบทุกประตูอย่างเห็นได้ชัด

ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ควรยอมรับความพ่ายแพ้เพื่อรักษาพลังเอาไว้

แต่มู่เฉินไม่มีสีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปกับการยอมแพ้ของจงเถิง สายตาไร้อารมณ์ยังคงจ้องมองไปที่จงเถิง ท่าทางชัดว่าไม่คิดจะจบเรื่องนี้ไปง่ายๆ เนื่องจากเขารู้ดีว่า หากเขาไม่ทำให้คนอย่างจงเถิงรู้สึกเจ็บปวดซะบ้าง จงเถิงก็คงไม่รู้จักจดจำ

เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน จงเถิงก็เข้าใจ ครั้งนี้มู่เฉินคงโกรธมาก ของเหลวจื้อจุนล้านหยดไม่พอจะแก้ไขปัญหาได้

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้คิ้วของจงเถิงก็ขมวดเข้าหากัน สายตาเย็นชามองมู่เฉินเช่นกัน เขาไม่คิดจะก้มหัวอีกพูดเสียงเบาว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าจงเถิงก็ขอดูหน่อยว่าวันนี้แกจะสามารถเอาชนะข้าด้วยหมัดเดียวแบบลู่สุยได้ไหม หากทำได้ก็เอาชีวิตข้าไปเลย!”

จงเถิงเป็นคนเหี้ยมหาญและเด็ดขาดแท้จริง ในเมื่อเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะยอมแพ้ เขาก็โยนความคิดนั้นออกไป หากมู่เฉินต้องการสำแดงพลัง ตัวเขาก็ต้องแสดงพลังออกมาเหมือนกันเท่านั้น ทำให้มู่เฉินรู้ถึงความหมายของความกลัวซึ่งกันและกัน

“เจ้ากล้าใช้ได้”

เมื่อเห็นการตัดสินใจของจงเถิง มู่เฉินก็พยักหน้า เมื่อเทียบกับลู่สุยแล้ว จงเถิงเป็นระดับที่สูงขึ้นไปอีก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นจอมยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่ากระเรียนฟ้า นอกจากนี้ชื่อเสียงของเขาก็กระจายออกไปนอกเผ่าอีกด้วย

ตู้ม!

เมื่อตัดสินใจแล้ว จงเถิงก็ไม่ลังเลอีกต่อไป แววตาเย็นเยือกลงหลายส่วน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกจากร่าง มีเสียงท่วงทำนองอันไพเราะของกระเรียนยักษ์ดังก้อง

แรงกดดันที่แผ่ซ่านจากจงเถิง ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ฉายสีหน้าหนักใจ แม้จะอยู่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ความแข็งแกร่งของจงเถิงก็ดีเยี่ยม เมื่อเทียบกับลู่สุยเขาแข็งแกร่งกว่าอย่างชัดเจน มิน่าล่ะเขาถึงมีชื่อเสียงเช่นนี้

ทว่าท่าทางของมู่เฉินก็สงบเป็นการตอบสนอง หากเขาไม่ได้บรรลุกายามังกรหงส์ขั้นสอง เขาคงจะต้องกางไพ่ตายทั้งหมดเพื่อจัดการกับจงเถิง อาจจะมากจนจะต้องใช้ค่ายกล แต่ตอนนี้…ชัดว่าไม่ต้องทำให้ยุ่งยากแล้ว

วาบ!

คลื่นหลิงกวาดออก ร่างจงเถิงก็ระเบิดออกด้วยแสงสีทองเหวี่ยงหมัดออกมา ขณะที่แสงสีทองพวยพุ่ง กระเรียนทองคำก็ก่อตัวขึ้นบนกำปั้น ปีกกระพือขึ้นลงรัศมีทะลุทะลวงที่ไม่สามารถอธิบายได้เฉือนไปบนพื้นโลก

หมัดเงาเทพกระเรียน!

ผู้คนโดยรอบถอยกันจ้าละหวั่น ในเมื่อจงเถิงรู้เต็มอกว่ามู่เฉินน่าเกรงขามเพียงใด ดังนั้นเขาจึงใช้พลังหมัดเต็มกำลัง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่แม้แต่คนอย่างลู่สุยยังต้องหลบซ่อน

กำปั้นทองคำแฝงด้วยกระเรียนทองคำระเบิดอากาศก่อนจะกลายเป็นแสงสีทองพุ่งเข้าหามู่เฉิน แสงสีทองขยายตัวอย่างรวดเร็วในดวงตาฝ่ายหลัง อึดใจเขาก็ชกหมัดสวนออกไป

แสงสีทองพวยพุ่งบนกำปั้นเช่นเคย ไม่มีความผันผวนของคลื่นหลิงสักริ้ว มีเพียงพลังกายเน้นๆ

ตู้ม!

หมัดทองคำทั้งสองปะทะกันหนักหน่วง ผลกระทบที่น่ากลัวระเบิดออกมาทันที แผ่นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าทั้งสองแตกเป็นเสี่ยง ซากปรักหักพังบริเวณโดยรอบกลายเป็นฝุ่นผงจากคลื่นกระแทก

เมื่อคลื่นกระแทกอาละวาดออกไป ร่างกายของมู่เฉินก็กระตุก แต่เขาก็ทนรับพลังนั้นไว้ได้

ส่วนจงเถิงถูกบังคับให้ถอยกลับหนึ่งก้าวโดยทิ้งรอยลึกไว้บนพื้น แต่ถึงกระนั้นก็สามารถบอกได้ว่าจงเถิงไม่ได้อ่อนแอ ก่อนหน้าหมัดของมู่เฉินสร้างความสาหัสสากรรจ์ให้กับลู่สุย แต่สำหรับจงเถิงทำได้เพียงถอยห่างออกไปก้าวเดียวเท่านั้น ทั้งคู่ต่างเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ไม่คิดว่จะมีช่องว่างพลังกว้างใหญ่เพียงนี้

ทว่าแม้จงเถิงจะถอยกลับไปเพียงก้าวเดียวแต่ใบหน้าก็มืดครึ้มลงหลายส่วน นั่นเป็นเพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าพลังกายของมู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

หมัดเมื่อครู่เขาใช้ทั้งคลื่นหลิงและความแข็งแกร่งของพลังกาย แต่มู่เฉินใช้เพียงพลังกายล้วนๆ มาปะทะ

พลังกายของชายคนนี้เติบโตอย่างทรงพลังในระยะเวลาอันสั้นได้อย่างไร?

“เยี่ยม!”

ขณะที่จงเถิงกำลังงุนงงในสมอง มู่เฉินกลับยิ้มกริ่ม จากนั้นก็ไม่ให้เวลาอีกฝ่ายได้ถอยหนี เขาก้าวออกไปก้าวหนึ่งแสงสีทองก็พุ่งออกมา ซัดใส่ร่างจงเถิงอีกครั้ง

ตอนนี้พลังกายเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก ดังนั้นจึงยากที่จะควบคุมกำลังได้อย่างสมบูรณ์ ในเมื่อมีคนให้ลองมือที่ดีอยู่ตรงหน้า ยังไงเขาก็ไม่ปล่อยไปแน่

ขณะที่ความคิดวาบผ่านในใจ ร่างมู่เฉินก็กลายเป็นลำแสงสีทองทะยานออกไป กำปั้นสีทองสร้างชุดหมัดซับซ้อนห่อหุ้มร่างจงเถิงจากทุกทิศทุกทาง

เผชิญหน้ากับการโจมตีดุเดือดของมู่เฉิน แม้แต่จงเถิงก็ต้องใช้คลื่นหลิงเข้าช่วยในการปะทะตัวต่อตัวนี้

ปัง! ปัง! ปัง!

หมัดต่อหมัดซัดกันนัว ทำให้อากาศหมุนเกลียวเขย่าเส้นขอบฟ้า ทุกเสียงต่ำพร่าของระเบิดราวกับฟ้าคำรนพร้อมกับพลังงานรุนแรงกวาดออก

หลายคนมีสีหน้าว่างเปล่าเมื่อมองการปะทะกันบนท้องฟ้า ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขารอยแตกลึกกระจายไปทั่วพื้นแบบไม่สิ้นสุด

ทว่าในร่างแสงทั้งสอง เรื่องที่ทำให้พวกเขามึนงงก็คือจงเถิงที่พลุ่งพล่านด้วยพลังงานหลิงรอบตัวกลับกำลังพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินที่ไม่มีความผันผวนของคลื่นหลิงสักริ้ว

แทบทุกครั้งที่หมัดของมู่เฉินซัดลงมา จงเถิงก็ต้องถอยกลับ มากจนแม้แต่พลังคลื่นหลิงที่กวาดอยู่รอบตัวก็กระเจิดกระเจิงไปเลยทีเดียว

เวลานี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าพลังกายของมู่เฉินน่าสะพรึงเพียงใด… ร่างกายของชายคนนี้น่ากลัวมากกว่าพวกเขาที่เป็นเทพอสูรเสียอีก

ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าตัวประหลาดนี้เพาะบ่มร่างกายของเขาอย่างไร เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าการฝึกฝนพลังกายยากเย็นแค่ไหน…

จอมยุทธ์เผ่ากระเรียนฟ้าอ้าปากตาค้างขณะมองดูจงเถิงที่ถอยหนีอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะหลิ่วชิง นางมีใบหน้าสลับกันระหว่างสีเขียวกับสีขาว

ก่อนหน้านี้นางยังดูถูกตัวตนของมู่เฉินในฐานะมนุษย์และพลังที่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหก แต่ตอนนี้จงเถิงที่นางเคารพนับถือกลับอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชโดยมนุษย์ที่นางดูถูก… ความแตกต่างนี้ทำให้นางแทบจะเป็นลม

“พี่ใหญ่มู่เฉินน่าเกรงขามจริงๆ!” มั่วหลิงเบิกตากว้างพร้อมกับแสงระยิบระยับอยู่ภายใน สีหน้าเคารพนับถือฉายบนใบหน้าเมื่อมองไปที่มู่เฉินที่กำจายรัศมีเชี่ยวกราก

มั่วเฟิงยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด ความแข็งแกร่งของเขาคล้ายคลึงกับของจงเถิง ตอนนี้จงเถิงตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช นั่นก็หมายความว่าพลังในการต่อสู้ของมู่เฉินเหนือกว่าเขาแล้ว

“ดูเหมือนมู่เฉินจะมีพัฒนาการร่างกายในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณมากนะเนี่ย” จิ่วโยวก็เกิดริ้วตื่นตะลึงในดวงตา เนื่องจากนางเข้าใจในตัวมู่เฉินเป็นอย่างดี แม้ว่าเมื่อก่อนพลังกายของเขาจะทรงประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่ถึงระดับนี้

สีหน้าของมั่วเฟิงเปลี่ยนไปจากนั้นก็ถอนหายใจ “วิธีของเขาคงเป็นวิธีที่ถูกสินะ”

เขาคิดย้อนกลับไปถึงภาพที่มู่เฉินเดินทีละก้าวตั้งแต่ชั้นแรกของเจดีย์ ขณะที่พวกเขาใช้ทุกวิถีทางเร่งความเร็วเพื่อโอกาส มู่เฉินกลับเลือกใช้วิธีฝึกฝนแบบดั้งเดิมที่สุด…

ซึ่งการฝึกฝนแบบนั้นที่ทำให้ร่างกายของมู่เฉินได้รับการพัฒนามากเช่นนี้

จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ ขณะที่คนอื่นตามืดบอดจากวิทยายุทธระดับเสินทงและอาวุธมหสวรรค์ที่เป็นรางวัล มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่ยังคงใช้วิธีที่มั่นคงที่สุดก้าวเดินในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายของเจดีย์ฝึกพลังกายเพื่อฝึกฝนทีละขั้น

ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเป็นผู้ที่ได้รับโอกาสล้ำค่าที่สุดในเจดีย์ฝึกพลังกาย

“มู่เฉินกำลังใช้จงเถิงเป็นคู่มือในการลับเขี้ยวเล็บตอนนี้” เมื่อมองกลับไปที่การต่อสู้ สายตาของจิ่วโยวก็ปรากฏรอยยิ้มจางๆ

นางรู้สึกได้ว่าในเวลาสิบกว่านาที หมัดนับร้อยที่มู่เฉินซัดออกไปได้รับการขัดเกลามากขึ้น กระบวนท่าไม่ได้รุนแรงอย่างที่เคยเป็น ง่ายที่จะปล่อยและยากที่จะดึงกลับ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินใช้จงเถิงเพื่อขัดเกลาความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น

“จงเถิงหมดพลังใจในการต่อสู้แล้ว”

มั่วเฟิงพยักหน้า จากนั้นก็พูดต่อ “การต่อสู้ครั้งนี้กำลังจะจบลงในไม่ช้า”

จงเถิงก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่ามู่เฉินควบคุมพลังได้เชี่ยวชาญยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงเข้าใจว่าถ้าตนเองไม่ใช้ชีวิตเดิมพันในการต่อสู้โอกาสในการชนะก็ต่ำเตี้ยนัก

ทันทีที่มั่วเฟิงพูดจบ ร่างกายของจงเถิงก็ปะทุด้วยแสงสีทอง ภาพซ้อนทะยานออกมา เปลี่ยนร่างเป็นกระเรียนทองคำขนาดหนึ่งพันจั้ง

กรงเล็บของกระเรียนคว้าไปที่พรรคพวก ลวดลายทองคำนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นที่ปีกทั้งสองข้าง ด้วยการกระพือครั้งเดียว ลมคลั่งก็พัดออกมาแล้วเปลี่ยนเป็นแสงสีทอง ทะยานหนีไปในระยะไกล

การหลบหนีทันควันของจงเถิง ทำเอาทุกคนอ้าปากเหวอ

แสงสีทองวูบวาบ ร่างเงาของมู่เฉินก็ปรากฏขึ้น เขามองจงเถิงที่หลบหนีด้วยรอยยิ้มจางๆ จากนั้นเขากำมือแน่นกระบี่ขนนกสีทองก็เผยขึ้น

กระบี่โบกลง เขาเทคลื่นหลิงและพลังกายทั้งหมดลงไป

ฮึ่ม!

แสงกระบี่ทองคำขนาดหลายร้อยกว่าจั้งเจาะทะลุมิติหายวับไปทันที

จังหวะที่แสงกระบี่หายไป เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องจากระยะไกล เหมือนจะเลือดสาดกระเซ็นบนท้องฟ้าด้วย

เห็นได้ชัดว่าจงเถิงที่กำลังหนีหลบวิถีกระบี่ไปไม่ได้และได้รับบาดเจ็บสาหัส

มู่เฉินยืนอยู่บนซากปรักหักพังพร้อมกระบี่ขนนกในมือ เลือดสดเปล่งประกายบนท้องฟ้าไกลโพ้น ริ้วแสงสีแดงเข้มสาดส่องลงบนร่าง ทำให้เขาดูคงกระพันในขณะนี้

ฉากนี้สร้างความตกตะลึงให้กับจอมยุทธ์นับไม่ถ้วน ความกลัวหนาแน่นเกาะกุมหัวใจ

พวกเขารู้ว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ชื่อเสียงของมู่เฉินจะขจรขจายในดินแดนเสินโซ่อย่างรวดเร็ว

ช่างเป็นม้ามืดที่น่าตื่นตาจริงๆ

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1014 หนึ่งหมัด
“เจ้าต้องการให้ข้าคายของเหลวจื้อจุนที่เอามาจากเจ้าให้เหรอ?”

ที่เบื้องหน้าเจดีย์ฝึกพลังกาย เมื่อแสงจางลงเงาร่างสูงโปร่งก็ปรากฏขึ้น เขายืนจ้องจงเถิงอย่างเยือกเย็นพร้อมกับรอยยิ้มไม่เชิงยิ้ม ถ้านี่ไม่ใช่มู่เฉินจะเป็นใครได้อีก?

การปรากฏตัวขึ้นกะทันหันทำให้เหล่าจอมยุทธ์ที่นี่สีหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรง แต่ละคนเขียนคำไม่เชื่อบนใบหน้า ท่าทางราวกับว่าเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น

พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถรอดชีวิตจากเจดีย์ฝึกพลังกายได้ด้วย

มั่วเฟิงและหานซันก็จ้องมู่เฉินอย่างอัศจรรย์ใจ ผลลัพธ์นี้เกินความคาดหมาย มู่เฉินรอดจากหมัดน่าสะพรึงกลัวของราชันสงครามโลหิตได้อย่างไร?

“กะ…แกยังไม่ตาย?!” กระทั่งจงเถิงที่สงบอารมณ์เก่งก็ยังเบิกตาค้างมองมู่เฉินด้วยความไม่เชื่อ เขาถึงกับพูดติดอ่างสามารถบอกถึงความตกใจในหัวใจของเขาได้เลย

“ต้องขอบคุณเจ้านะสิ ทุกอย่างยังดี” มู่เฉินตอบกลับด้วยรอยยิ้มตาหยี ทว่าในรอยยิ้มไม่มีความอบอุ่นสักริ้วเดียว เขาไม่คิดว่าแค่ตนหายตัวไปในช่วงเวลาสั้นๆ ชายคนนี้ก็กระโดดลงมาเล่นเสียแล้ว

ใบหน้าของจงเถิงมืดครึ้ม

ไม่ไกลจากกันนักจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าที่กำลังจะเคลื่อนไหวก็ตกตะลึงไป การแสดงออกน่ากลัวที่เคลือบบนใบหน้าของลู่สุยก็แข็งทื่อก่อนจะเปลี่ยนสีเป็นเขียวสลับขาว ตอนแรกเขากะจะแก้แค้นเมื่อกลุ่มของจิ่วโยวตกอยู่ในภาวะการสูญเสีย แต่ใครจะคิดว่ามู่เฉินจะปรากฏตัวออกมาเหมือนผีเช่นนี้

ขณะที่ใบหน้าของลู่สุยเปลี่ยนไป สายตาคมกริบของมู่เฉินก็กวาดมาพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ก่อนหน้าข้าไว้ชีวิตแก แต่แกยังกล้าเสนอหน้าออกมาอีกเรอะ”

เมื่อลู่สุยได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ แสงดุร้ายวูบวาบในดวงตา ราวกับว่าเขาต้องการที่จะกินมู่เฉินทั้งเป็น

“ฮ่าๆ วาจาใหญ่โตซะจริง”

จงเถิงฟื้นคืนสติในที่สุด ทว่าใบหน้าก็ยังคงมืดครึ้มขณะจ้องมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มเย็นชา ในน้ำเสียงไม่ได้กลัวมู่เฉินอะไร แม้เขาจะรู้ว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์จากเจดีย์ฝึกพลังกาย แต่ในมุมมองของจงเถิง มู่เฉินและตัวเขาก็ยังมีช่องว่างอยู่

มู่เฉินในปัจจุบันสามารถเผชิญหน้ากับเขาได้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้จงเถิงกลัว

“นอกจากนี้เจ้าต้องการให้เผ่าวิหคโลกันตร์ต่อสู้กับเผ่ากระเรียนฟ้าและเผ่าอีกาสายฟ้าที่นี่จริงหรือ? ถ้าเป็นแบบนั้นเจ้าแน่ใจหรือว่ามนุษย์อย่างเจ้าจะรับผลที่เกิดขึ้นไหว?”

เมื่อได้ยินเสียงเยือกเย็นของจงเถิง ลู่สุยก็จำได้ว่าพวกเขามีกำลังพลจากสองกลุ่ม หากพวกเขาร่วมมือกัน การรวมตัวก็จะแข็งแกร่งกว่ากลุ่มมู่เฉินมาก แล้วทำไมต้องไปกลัวคนพวกนี้?

นอกจากนี้เขาไม่คิดว่าที่แพ้ให้มู่เฉินก่อนหน้าเป็นเพราะเขาอ่อน เขาแค่ประมาทไปในช่วงเวลานั้นและทำให้มู่เฉินได้เปรียบในการลงมือก่อน สุดท้ายก็ดำเนินการอย่างรวดเร็วให้เขาออกจากลานเมฆสายฟ้า เตะโด่งออกมา

ถ้าเขาทุ่มสุดตัวตั้งแต่ต้น ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดของเขา ต่อให้มู่เฉินจะได้เปรียบเล็กน้อย แต่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับอีกฝ่ายที่จะเอาชนะเขา

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ประกายแสงดุร้ายก็พุ่งขึ้นในดวงตาของลู่สุยเอ่ยเสียงน่าขนลุกว่า “เฮ้ คำพูดของพี่จงถูกต้อง วันนี้ข้าจะมาดูว่าแกจะทำอะไรข้าได้?!”

เมื่อพูดจบเขาก็ก้าวออกมาทันที คลื่นหลิงไร้ขอบเขตครางกระหึ่มรอบตัวขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาดุร้าย

เมื่อผู้คนโดยรอบเจดีย์เห็นบรรยากาศตึงเครียดก็มีสายตาแปลกประหลาดไป เผ่าอีกาสายฟ้าจะร่วมมือกับเผ่ากระเรียนฟ้าเพื่อจัดการเผ่าวิหคโลกันตร์ หากเป็นเช่นนั้นชัดว่าไม่เป็นข่าวดีสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์เลย

“มู่เฉินยังเด็กมากเลยโอหัง… คำพูดของเขาไม่ได้เปิดเส้นทางการถอย ทำให้ลู่สุยและจงเถิงร่วมมือกันเลย…”

“ใช่ พวกเขาสองคนเป็นอัจฉริยะที่เข้าสู่เจดีย์ได้ หากพวกเขารวมพลังกัน ดูจากการรวมตัวนี้ สถานการณ์ของเผ่าวิหคโลกันตร์ไม่ดีแน่นอน”

“หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง มู่เฉินจะนำความอับอายไปให้เผ่าวิหคโลกันตร์มากเลยทีเดียว ลู่สุยและจงเถิงที่ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ก็ไม่ปล่อยให้เรื่องจบง่ายๆ แน่…”

“…”

เสียงกระซิบดังขึ้นขณะที่จอมยุทธ์เผ่าต่างๆ พากันส่ายหัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกว่าคำพูดของมู่เฉินเลวร้ายจนนำไปสู่สถานการณ์นี้ที่อันตรายต่อพรรคพวกมาก

หากเขาพูดนิ่มนวลกว่านี้ บางทีอาจจะโน้มน้าวเผ่าอีกาสายฟ้าให้ออกไปแล้วจัดการกับเผ่ากระเรียนฟ้าก่อน ซึ่งนี่เป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะที่เสียงสนทนาดังก้อง จงเถิงก็มองลู่สุยที่ฉายอารมณ์รุนแรงในสายตา มุมปากยกมุมโค้งโดยที่ไม่มีใครสังเกต ตอนแรกเขายังกลัวว่าลู่สุยจะถอยจากการปรากฏตัวของมู่เฉิน แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันเขากังวลมากไปเอง ที่จริงเขาควรขอบคุณมู่เฉินสำหรับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ…

“ข้าจะทำอะไรพวกแกได้บ้างเหรอ?”

เผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น มู่เฉินกลับมองข้ามไป แววตาที่เย็นเยียบลงมองไปที่ลู่สุย จากนั้นรอยยิ้มที่เผยบนใบหน้าก็เต็มไปด้วยไอเย็นเยียบ

จากนั้นเขาก็ก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว

ปัง!

แสงสีทองจ้าระเบิดออกมาจากร่างของมู่เฉิน ทันใดนั้นเขาก็หายตัวไปจากตำแหน่งเดิมทันที

จังหวะที่เขาหายตัวไป จงเถิงที่อยู่ใกล้ที่สุดก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป คลื่นหลิงกวาดตัวขึ้นพยายามที่จะขัดขวางมู่เฉิน

วาบ!

ทว่าขณะที่ร่างกายเขาเพิ่งจะขยับ การมองเห็นก็พร่ามัวไปวูบหนึ่ง จากนั้นแสงสายหนึ่งก็เคลื่อนผ่านร่างเขา ความเร็วที่น่ากลัวนั้นทำให้เหงื่อโชกขึ้นบนแผ่นหลังของจงเถิงทันที

ทำไมความเร็วของชายคนนี้ถึงเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้?!

ในฐานะสมาชิกเผ่ากระเรียนฟ้า ความเร็วคือจุดแข็งของพวกเขา แต่เมื่อกี้เขายังไม่ทันมองเห็นเส้นทางการเคลื่อนไหวของร่างแสงนั่น อีกฝ่ายก็พุ่งผ่านเขาไปแล้ว

ความเร็วนี้น่าสะพรึงนัก!

ขณะที่เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนร่างกายจงเถิง ใบหน้าลู่สุยซึ่งอยู่ไม่ไกลก็เปลี่ยนไปรุนแรง เขาเห็นเพียงแสงสีทองกะพริบผ่านดวงตา ทว่าในเมื่อตัวเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ดังนั้นเขาจึงถอยออกไปโดยสัญชาตญาณทันที ในเวลาเดียวกันก็เหวี่ยงหมัดออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตผสมกับสายฟ้าทะลุผ่านมิติ

ตู้ม!

ทว่าแสงสีทองยังคงพุ่งใส่อย่างครอบงำกระแทกกับคลื่นหลิงสายฟ้า จากนั้นสายฟ้าก็แตกสลายจางหายไปทันที

วาบ!

แสงสีทองกะพริบวูบไหว ลู่สุยก็ต้องตะลึงงันเมื่อสังเกตเห็นเงาร่างของมู่เฉินมาปรากฏตัวตรงหน้า รอยยิ้มเย้ยหยันฉายบนใบหน้าอ่อนเยาว์

“ข้าจะทำอะไรกับแกได้เหรอ?”

เขาเหมือนจะเปิดปากถามคำถามเดิมอีกครั้ง จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดออกไป

มวลลมใต้หมัดผันผวนไร้ซึ่งระลอกคลื่นหลิง มีเพียงแสงสีทองที่กะพริบและเสียงคำรามของมังกรคลุมเครือดังกึกก้อง จากนั้นลู่สุยก็เห็นรอยแตกปรากฏออกมาบนมิติตรงหน้า พลังงานนี้ทำให้หนังหัวของเขาด้านชาไปหมดเลย

“เป็นไปได้ยังไง?!”

ลู่สุยหวาดผวาหมัดของมู่เฉินจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง เขารู้สึกได้ว่ามู่เฉินไม่ได้ใช้คลื่นหลิงเลย นั่นหมายความว่าหมัดนี้เป็นความแข็งแกร่งทางพลังกายล้วนๆ

ยิ่งกว่านั้นพลังหมัดนี้ยังทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแบบเขายังรู้สึกว่าถูกคุกคาม

หมัดของมู่เฉินเร็ว-แรง แต่ลู่สุยก็เร้าคลื่นหลิงทั้งหมดแบบบ้าคลั่งก่อร่างเป็นโล่ป้องกันตรงหน้าซึ่งแล่นแปลบปลาบด้วยเกลียวสายฟ้า ช่างดูราวกับอีกาสายฟ้าสยายปีกป้องกันทรงพลัง

ตึง!

กำปั้นทองคำกระแทกกับโล่สร้างเสียงสะท้อนยิ่งใหญ่ โล่ที่แข็งแกร่งก็พังทลายทันควันภายใต้สายตาตกตะลึงของลู่สุย

สายฟ้าแตกกระเซ็น กำปั้นทองคำก็ทะลุผ่านกระแทกบนหน้าอกของลู่สุยราวกับสายฟ้าฟาด พลังงานน่าสะพรึงหลั่งไหลออกมา ร่างกายของลู่สุยปลิวออกไปทันที

ปัง! ปัง! ปัง!

ตลอดทางสิ่งก่อสร้างโบราณถูกทำลายจนราพณาสูร รอยยาวหลายร้อยจั้งลากไปบนพื้น

บรรยากาศโดยรอบเจดีย์ฝึกพลังกายเงียบสงัดอีกครั้ง

เสียงกระซิบก่อนหน้าเงียบไปอย่างสมบูรณ์ ทุกคนมองฉากนี้ด้วยความอึ้งทึ่ง พวกเขาจินตนาการไม่ได้เลยว่าลู่สุยที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดจะรับหมัดเดียวจากมู่เฉินไม่ได้

พวกเขามองไปที่ไกลก็เห็นร่างลู่สุยถูกปกคลุมไปด้วยเลือด หน้าอกยุบลง ร่างฝังลงไปในซากปรักหักพัง ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย…

“เป็นไปได้ยังไง…”

ทุกคนอึ้งไปขณะที่พึมพำ แม้ว่ามู่เฉยจะชนะลู่สุยในเจดีย์ฝึกพลังกาย แต่ก็เป็นเพราะความจริงที่มู่เฉินลงมืออย่างรวดเร็ว ทว่าตอนนี้หลังจากที่ลู่สุยรู้ว่ามู่เฉินทรงพลังเพียงใดเขาก็ตื่นระวังอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นก็ยังพ่ายแพ้ทันทีเหมือนหมาจนตรอก

ทุกคนพูดไม่ออกและเข้าใจสถานการณ์อย่างสมบูรณ์ว่าทำไมมู่เฉินจึงไม่มีความคิดที่จะแยกจัดการทีละกลุ่ม นั่นเป็นเพราะเขาสามารถเอาชนะพันธมิตรศัตรูแบบนี้ได้อย่างง่ายดาย

ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานร่วมกันอย่างไร ก็เป็นเรื่องน่าตลกเบื้องหน้าพลังแท้จริง

จอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าอึ้งไปเมื่อเห็นฉากนี้ ตอนนี้พวกเขาไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะเข้าไปช่วยลู่สุย นั่นเป็นเพราะหมัดสายฟ้า ทำให้พวกเขาเข้าใจช่องว่างระหว่างสองฝ่ายอย่างถ่องแท้

ภายใต้สายตาตะลึงงันนับไม่ถ้วน มู่เฉินก็ถอนสายตากลับอย่างไม่แยแส แสงสีทองบนร่างก็หดกลับ จากนั้นเขาก็ยิ้มอ่อน

“ข้าจะทำอะไรกับแกได้เหรอ ไม่รู้ว่านี่เพียงพอหรือยัง?”

ทว่าเผชิญหน้ากับคำพูดของเขา ไม่มีใครตอบกลับ นั่นเป็นเพราะตอนนี้ลู่สุยโดนซัดจนไม่รู้เป็นหรือตายแล้ว…

มู่เฉินก็ไม่ใส่ใจอะไรลู่สุย เขาปัดมือเบาๆ ก่อนที่จะหันกลับมามองไปจงเถิงที่มีสีหน้าบิดเบี้ยวพร้อมกับรอยยิ้มไม่เชิงยิ้ม

“ถึงตาแกแล้ว”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1013 คายออกมา?
หมัดปีศาจเลื่อนลงมาใกล้

สนามรบที่กว้างใหญ่ก็แตกสลาย รอยแตกลึกกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เสมือนฟ้าดินถูกทำลาย

ใต้หมัดร่างมู่เฉินกำจายด้วยแสงสีทอง เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องออกมาจากท่อนแขนของเขา แสงสีทองก็พวยพุ่งออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่ลวดลายทั้งสองแยกออกจากร่างมู่เฉิน พวกมันขยายตัวก่อร่างเป็นมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนไปรอบๆ สร้างปราการแสงสีทองราวกับเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดปกป้องมู่เฉินไว้ภายใน

มังกรและหงส์ฟ้าบินอยู่รอบตัว ทันใดนั้นพวกมันก็เปิดปาก แสงสีทองพร่างพราวเทลงมาห่อหุ้มร่างมู่เฉินราวกับม่านน้ำตก

น้ำตกทองคำหลั่งไหลเข้าไปชำระล้างร่างมู่เฉินอย่างต่อเนื่อง เลือดเนื้อของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองภายใต้การการชำระนี่ ซึ่งบรรจุไปด้วยเกียรติภูมิอันคลุมเครือ

นี่คือการชำระล้างจากแก่นบริสุทธิ์ของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงซึ่งทรงพลังกว่าแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าที่มู่เฉินซึมซับก่อนหน้าเสียอีก!

ภายใต้การชำระล้างเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ร่างของมู่เฉินจะเริ่มมีรัศมีของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง กระทั่งเลือดของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้มีพลังชีวิตที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น

ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ มู่เฉินก็สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์ในร่างกาย คลื่นพลังงานที่ทำให้เขายังใจหวั่นพลุ่งพล่านในเลือดเนื้อ ความรุนแรงราวกับไม่มีที่สิ้นสุด

มู่เฉินกำมือช้าๆ พลังงานที่เพิ่มขึ้นทำให้เขาแทบจะคำรามขึ้นสู่ชั้นฟ้า เขารอนานเกินไปสำหรับความก้าวหน้าวันนี้

แสงสีทองพล่านในดวงตาปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลัง เขารู้สึกได้ว่าตอนนี้ด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียวเขาก็สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้!

ถ้ารวมกับคลื่นหลิงด้วยแล้ว มู่เฉินมั่นใจว่าภายใต้ระดับจื้อจุนขั้นแปดมีจอมยุทธ์ไม่กี่คนที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวได้

การปรับแต่งพลังกายในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้ไม่ทำให้เขาผิดหวังเลย

มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนรอบตัว มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่หมัดโลหิตที่กดลงมา เมื่อมองพลังทำลายล้างที่บรรจุอยู่ภายในหมัด แววตาเขาก็วูบไหวก่อนที่จะยิ้ม “อย่างนี้นี่เอง…”

มู่เฉินพึมพำเบาๆ แล้วเรียกร่างมังกรและหงส์ฟ้ากลับมา ในเวลาเดียวกันเขาก็ดึงคลื่นหลิงกลับคืนทั้งหมด ถอนการป้องกันทุกอย่าง

เขายืนอยู่ใต้หมัดโดยไม่มีการป้องกันใด ปล่อยให้ซัดลงมาจังๆ

ราวกับว่ากำลังเรียกหาความตาย

ทว่าวินาทีก่อนที่จะบรรลุ มู่เฉินก็เข้าใจว่าการทดสอบชั้นห้าเกี่ยวกับเรื่องอะไร…

การทดสอบไม่ใช่ให้ต่อต้านหมัดราชันสงครามโลหิต นั่นเพราะเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ แม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่ง แต่เขาก็รู้ดีแก่ใจว่าเมื่อไรที่หมัดพุ่งลงมา เขาก็จะสลายกลายเป็นอากาศธาตุ

และไม่ว่าการทดสอบจะยากแค่ไหน ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่ในการทดสอบนี้มู่เฉินมองไม่เห็นความสำเร็จใดๆ เลย

ดังนั้นความเป็นไปได้หนึ่งเดียวก็คือนี่ไม่ใช่การทดสอบแท้จริง

การทดสอบของชั้นห้าเป็นอย่างอื่น

“หมัดปีศาจพลีชีพ…สละร่าง-สละชีวิต…ถ้าใครอยากจะสืบทอดก็จะต้องมีความกล้าหาญที่จะละทิ้งชีวิตของตน หากไม่มีความกล้าหาญก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนหมัดปีศาจนี้ได้”

ขณะที่กำปั้นกดทับลงมา มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่หมัดทำลายล้างโดยไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ

ตู้ม!

ในที่สุดหมัดปีศาจก็ทิ้งทุ่นไปบนร่างมู่เฉิน ทำเอาพื้นดินแตกร้าว คลื่นกระแทกที่น่ากลัวกวาดหายนะรุนแรง ทั้งสวรรค์และโลถูกทำลาย …

ฉากนี้เป็นฉากสุดท้ายที่คนนอกเจดีย์เห็น หลังจากนั้นหน้าจอก็สั่นสะเทือนก่อนที่จะแตกสลายไป

ด้านนอกเจดีย์เงียบกริบลง

จิ่วโยวมองไปที่หน้าจอที่จางหายไป ใบหน้าของนางซีดเผือดลงทันที แม้ว่าพวกนางจะอยู่ภายนอกเจดีย์ก็ยังคงรู้สึกได้ว่าหมัดปีศาจพลีชีพน่ากลัวเพียงใด ในเมื่อมู่เฉินไม่สามารถหลบหนีได้ ชัดว่าเขามีอันตรายเข้าแล้ว

จอมยุทธ์เผ่าอื่นๆ ก็ส่ายหน้า บางคนรู้สึกสงสาร บางคนรู้สึกดีใจ พวกเขาทั้งหมดมีท่าทางที่แตกต่างกันเมื่อมองจิ่วโยว

หลิ่วชิงเผ่ากระเรียนฟ้าก็อึ้งกับเหตุการณ์นี้เช่นกัน เมื่อนางฟื้นจากอาการตกใจก็หันขวับไปมองจิ่วโยวด้วยสายตาสะใจ ไม่ว่าก่อนหน้ามู่เฉินจะโดดเด่นเพียงใด แต่การกระทำโง่เขลาครั้งสุดท้ายของเขาก็ทำให้ความพยายามทั้งหมดล้มเหลว

ในเมื่อตายไปแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่เขาแสดงออกมาก่อนหน้าจะโดดเด่นแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไร

บนพื้นดินใกล้กับเจดีย์ฝึกพลังกาย จงเถิง มั่วเฟิงและหานซันซึ่งก่อนหน้าเลือกที่จะยอมแพ้ก็ปรากฏตัวขึ้น ทั้งสามมองหน้าจอที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความอึ้งงัน ตอนท้ายสุดพวกเขาเหมือนเห็นร่างเงาของมู่เฉินถูกบดขยี้จนกลายเป็นฝุ่น

มั่วเฟิงฉายสีหน้าน่าเกลียดและโกรธแค้น หากเขารู้ว่าเรื่องเป็นแบบนี้ เขาน่าจะลากมู่เฉินออกมาพร้อมกัน แต่เขาก็รู้สึกสงสัยเพราะด้วยนิสัยของมู่เฉิน อีกฝ่ายไม่ใช่คนประมาท ในเมื่อรู้ว่าตนเองจะต้องตาย ทำไมยังอยู่ในนั้นอย่างดื้อรั้น

หานซันมีสีหน้าซับซ้อนเมื่อมองเจดีย์ จากนั้นก็ส่ายหัวด้วยความสงสาร

จงเถิงอึ้งงันไป คนที่ดึงเขาลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าตายเช่นนี้เนี่ยนะ?

หลังจากตะลึงงันไปพักหนึ่ง เขาก็อดยิ้มไม่ได้ “งี่เง่าจริงๆ!”

ในมุมมองของจงเถิง มู่เฉินคงคิดว่าตนเองจะได้รับโอกาสยิ่งใหญ่เหมือนที่แล้วมา ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมแพ้เนื่องจากความโลภที่มี แต่สุดท้ายใครจะไปคิดว่าหมัดของราชันสงครามโลหิตจะน่าสยดสยองเพียงนั้น แม้กระทั่งพวกเขายังเล็กเท่ามดไม่สามารถต้านทานอะไรได้

ทว่าไม่เพียงแต่เฉินมู่ไม่ต้องการที่จะยอมแพ้ เขายังบ้าระห่ำ เขาคิดว่าจะสามารถผ่านด่านได้ด้วยความเพียรพยายามเรอะ? โง่บรมโง่จริงๆ!

ทว่าขณะที่จงเถิงกำลังจะหัวเราะร่วน สายตาราวกับใบมีดเย็นเยียบก็กรีดแทงเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นจิ่วโยวมีท่าทางเย็นชาอยู่ไม่ไกลนัก

“ข้าพูดผิดเหรอ?” เผชิญหน้ากับสายตาเย็นชาของจิ่วโยว จงเถิงก็ยิ้มสบายๆ

ในเมื่อมู่เฉินตายไปแล้ว เขาก็ไม่ต้องกังวลอีก แม้ว่าจิ่วโยวและมั่วเฟิงจะต่อกรได้ยาก แต่อีกฝ่ายก็ไม่สามารถทำอะไรกับพวกเขาได้ บางทีเขาอาจจะบีบให้จิ่วโยวคืนของเหลวจื้อจุนล้านหยดที่มู่เฉินเอาไปจากเขาได้ด้วย

“ดูเหมือนว่าบทเรียนในเจดีย์จะยังไม่เพียงพอ ทุกคนได้เห็นว่าเจ้าน่าสงสารแค่ไหนในตอนนั้น” จิ่วโยวพูดอย่างเย็นชา

เมื่อจิ่วโยวพูดจบ ทุกคนโดยรอบก็มองไปที่จงเถิงด้วยสายตาพิลึกพิลั่น ชัดว่าต่างจำสภาพน่าสงสารของเขาได้

ใบหน้าของจงเถิงมืดครึ้มลง อัจฉริยะเผ่ากระเรียนฟ้าถูกมนุษย์บีบให้มาอยู่ในสภาพน่าสังเวช ช่างน่าอัปยศ มิหนำซ้ำจิ่วโยวยังกรีดบาดแผลเพิ่มให้อีกต่างหาก

สายตามืดมนของจงเถิงมองไปที่จิ่วโยว คลื่นหลิงค่อยๆ รวมตัวกันรอบตัว จิ่วโยวก็ไม่น้อยหน้า นางจ้องมองจงเถิงด้วยสายตาเย็นชาขั้นสุด

ทั้งสองปลดปล่อยคลื่นหลิงเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่ากำลังจะเคลื่อนไหวแล้ว

เมื่อสมาชิกเผ่ากระเรียนฟ้าเห็นก็รีบปรากฏตัวด้านหลังจงเถิง สายตาไม่เป็นมิตรจ้องไปที่จิ่วโยว

“หึ ดูเหมือนว่าเผ่าวิหคโลกันตร์จะสร้างความขุ่นเคืองกับคนไปทั่ว… แบบนี้เผ่าอีกาสายฟ้าของข้าขอร่วมด้วยสิ” ขณะที่พวกจิ่วโยวกำลังเผชิญหน้ากับเผ่ากระเรียนฟ้า เสียงหัวเราะเย็นเยือกก็ดังกึกก้องจากลู่สุยที่นั่งนิ่งรักษาอาการบาดเจ็บ เขายืนขึ้นจ้องมองจิ่วโยวอย่างเย็นชา

เขาได้รับความอับอายหนักหนาตอนถูกบังคับให้ต้องออกจากเจดีย์ฝึกพลังกายโดยมู่เฉิน ในเมื่อมู่เฉินตายไปแล้ว เขาก็สาดความขุ่นเคืองทั้งหมดให้กับจิ่วโยว

เมื่อจิ่วโยวเห็นกลุ่มอีกาสายฟ้ากระโจนลงมาเล่นด้วย ใบหน้าของนางก็มืดครึ้ม สายตาเย็นเยือกลง

มั่วเฟิงและมั่วหลิงปรากฏตัวข้างจิ่วโยว คลื่นหลิงไร้ขอบเขตเพิ่มขึ้นรอบตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพร้อมรบทุกเวลาแล้ว

“พอมู่เฉินไม่อยู่ พวกเจ้าก็มาอวดดีเลยรึ?” จิ่วโยวกวาดแสงเย็นใส่ลู่สุยและจงเถิงขณะที่เยาะเย้ย

จงเถิงยิ้มอ่อนพลางส่ายหัว “ก่อนหน้านี้แค่เพราะพวกเขาสองคนบีบข้า ถ้าสู้กันตัวต่อตัวมู่เฉินจะอยู่ในสายตาของข้าได้ยังไง? ที่จริงข้าหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดกับเขาซะอีก ข้าจะได้ให้เขาคายของเหลวจื้อจุนที่ปล้นไปจากข้าออกมา!”

“จริงรึ?”

เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ดวงตาของจิ่วโยวก็เปล่งประกาย ยิ้มเยาะเย้ยขึ้น

จงเถิงที่เห็นรอยยิ้มของจิ่วโยวก็รู้สึกไม่สบายใจได้แต่เค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก “เจ้าคิดว่าไอ้บ้านั่นยังมีชีวิตอยู่เรอะ? ฝันไปเถอะ!

ใบหน้าของจิ่วโยวที่ซีดขาวในตอนแรกกลับคืนปกติแล้ว นางมองไปที่จงเถิงด้วยรอยยิ้มไม่เชิงยิ้ม “ข้าว่าพวกเจ้าน่าจะรู้เกี่ยวกับพันธะโลหิตระหว่างข้ากับมู่เฉินใช่ไหม?”

จงเถิงหัวเราะ “เจ้ายังกล้าพูดถึงเรื่องนี้…”

เมื่อพูดขึ้น เขาก็นึกอะไรได้ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปรุนแรง หากจิ่วโยวและมู่เฉินสร้างพันธะโลหิตต่อกัน จิ่วโยวก็จะต้องถูกกระทบจากความตายของมู่เฉิน ทว่าตอนนี้แม้สายตาของนางจะเย็นชา แต่ก็ไม่เหมือนได้รับบาดเจ็บอะไร

นั่นหมายความว่า…มู่เฉินยังไม่ตาย!

ทันทีที่ใบหน้าของจงเถิงเปลี่ยนไป แสงเจิดจรัสก็พุ่งออกมาจากเจดีย์ เมื่อแสงหายไปร่างเงาหนึ่งก็ยืนเงียบๆ บนแท่นหินนอกเจดีย์

ม่านตาสีดำสนิทของเขาจับจ้องไปที่จงเถิงอย่างช้าๆ มุมโค้งเย็นเยือกยกขึ้นที่มุมปาก

“เจ้าต้องการให้ข้าคายของเหลวจื้อจุนที่เอามาจากเจ้าให้เหรอ?”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1012 บรรลุ
ตู้ม!

เมื่อราชันสงครามโลหิตก้าวออกมา ท้องฟ้าในสนามรบก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ คลื่นโลหิตพวยพุ่งกระจายออกไปครอบคลุมขอบฟ้า พลังอำนาจในการเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้ทั้งสี่รู้สึกว่าหนังหัวชาวาบไป

พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าทำไมการทดสอบชั้นห้าถึงโหดหินนัก นั่นเป็นเพราะนี่ดูเหมือนไม่มีทางผ่านไปได้เลย!

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่เชื่อมากแค่ไหน จิตสังหารรอบร่างราชันสงครามโลหิตบนท้องฟ้าก็ถูกกวนถึงขีดสุดก่อนที่จะเหวี่ยงหมัดลงมา

ครืน!

ทันทีที่หมัดถูกชกออก บนท้องฟ้าอากาศดูเหมือนจะถูกผลักออกจากบริเวณนี้ มากจนเกิดรอยแตกกระจายออกไปในมิติ

กำปั้นโลหิตที่มีขนาดใหญ่พันจั้งกดตัวลงมาจากฟากฟ้า!

ราวกับกำปั้นมารสวรรค์ก็มิปาน!

แม้ว่าหมัดนี้จะยังไม่ได้ลงมาถึง แต่พื้นที่ในรัศมีพันจั้งรอบตัวพวกเขาก็พังทลายลงแล้ว รอยเหวลึกมากมายแผ่ออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา

หมัดเดียวเกือบทำลายแผ่นดินนี้เลยทีเดียว

ทั้งสี่คนฉายสีหน้าหวาดผวาสุดขีดขณะที่จ้องมองหมัดโลหิต แม้ว่าหมัดจะยังอยู่ห่างไกลออกไป แต่ไอสังหารก็แทบจะกดพวกเขาแนบลงบนพื้นแล้ว

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งรุนแรงจากทั้งสี่ต้านทานแรงกดดันที่น่ากลัว แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่าหัวเข่าค่อยๆ ทรุดลงจากแรงกดดันที่น่ากลัวนี้

ภายใต้สถานการณ์นี้หัวใจของทั้งสี่ก็สั่นเทา หมัดยังไม่ถึงพื้นแค่เพียงพลังอำนาจก็บังคับให้พวกเขาอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช ถ้าซัดลงมาจะไม่ตายคาตั้งแต่วินาทีแรกที่สัมผัสเลยเหรอ?!

ตอนนี้พวกเขาตระหนักได้ว่าคำสัญญาก่อนหน้าเป็นเรื่องบ้าบอเพียงใด

โอกาสในการได้รับทักษะเทพไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเพลิดเพลินได้!

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเสียใจแค่ไหนในใจก็สายเกินไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาทำได้เพียงแค่กัดฟันแน่น สิ่งเดียวที่พวกเขารู้สึกโชคดีก็คือหมัดนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เล็งมาที่พวกเขา แต่เป็นพื้นดินเบื้องล่าง

มิฉะนั้นแค่พลังจากหมัดเพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะบดร่างพวกเขาให้แหลกละเอียดแล้ว

โฮก!

หานซันคำรามลั่นฟ้า แสงสีดำพุ่งพรวดรอบตัวก่อเป็นแรดยุคดึกดำบรรพ์ตัวมหึมาเลือนราง แรดอสูรยืนตระหง่านบนโลกต่อต้านปรงกดจากกำปั้นใหญ่

แสงสีทองกระจายรอบร่างจงเถิง กระเรียนปีกทองคำปรากฏขึ้น ลวดลายนับไม่ถ้วนปรากฏบนปีกสีทองปกคลุมไปรอบๆ เป็นการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ

มั่วเฟิงสูดหายใจลึก เพลิงหงส์ฟ้าพุ่งทะยานรอบตัวก่อนที่รัศมีสูงส่งจะระเบิดออก เมื่อเพลิงลุกไหม้ก็รวมตัวเป็นหงส์ฟ้าสีแดงขนาดใหญ่ที่มีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นบนร่าง ทำให้อุณหภูมิระหว่างสวรรค์และโลกเพิ่มสูงขึ้น

รูปแบบเทพอสูรของมั่วเฟิงไม่ได้เป็นของเผ่าวิหคโลกันตร์แต่กลับเป็นของเผ่าหงส์ฟ้า!

ที่จริงมั่วเฟิงไม่คิดจะเปิดเผยเรื่องนี้ แต่ในเวลานี้ถ้าเขาต้องการทนรับหมัดนี้ เขาก็ต้องใส่ไม่ยั้งพุ่งไปสุดตัว

สัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาจากมั่วเฟิง หานซันและจงเถิงที่ใช้พลังทุกหยาดหยดที่มี มู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่กล้าที่จะชักช้า แสงพราวพวยพุ่งออกมาจากร่าง เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังสะท้อนทั่วสรรพางค์กาย เขาเร้ากายามังกรหงส์ให้ถึงขีดสุด ซึ่งทำให้เขาดูราวกับว่าทำจากทองคำที่ไม่สามารถทำลายได้

ขณะที่ทั้งสี่เผยไพ่ตายออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ หมัดโลหิตที่กดลงมาจากขอบฟ้าก็พุ่งเข้ามาหาพื้นดินซึ่งห่างอีกไม่กี่ร้อยจั้ง พลังอันน่าสะพรึงกลัวของกำปั้นห่อหุ้มพวกเขาไว้อย่างแท้จริง

ปัง!

ผืนดินพังทลายเป็นชั้นๆ ผืนฟ้าโดยรอบหดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเกิดเป็นหลุมจากพื้นดินที่ยุบตัว โดยที่ทั้งสี่คนห่างจากขอบมากขึ้นเรื่อยๆ

ร่างเทพอสูรของมั่วเฟิง หานซันและจงเถิงระเบิดด้วยเสียงโศกเศร้าในเวลานี้ ร่างยักษ์ทรุดลงก่อนที่แสงจะหรุบหรู่อย่างรวดเร็ว

ทั้งสามคนไม่สามารถทนรับพลังหมัดนี้ได้อีก ทำให้ต้องคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ทันใดนั้นก้อนหินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็ระเบิดเป็นฝุ่น ใบหน้าแต่ละคนเขียวคล้ำ พวกเขาเร้าคลื่นหลิงรุนแรงพยายามปกป้องตัวเอง แต่ก็ไม่ยืนขึ้นมาได้

ร่างเทพอสูรรอบตัวพวกเขาทรุดลงบนพื้นพลางส่งคำรามแต่ก็ไร้ประโยชน์

ขณะที่ทั้งสามคนอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช มู่เฉินก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน แม้เขาจะเร้ากายามังกรหงส์ถึงขีดจำกัด ทำให้ร่างดูราวกับทำมาจากทองคำอย่างไรอย่างนั้น ทว่ากำปั้นที่น่ากลัวก็ยังทำให้เกิดเสียงลั่นเปรียะดังออกมาราวกับกระดูกกำลังจะแตกสลาย

เท้าทั้งสองฝังลึกลงไปในพื้นจนถึงน่อง รอยแตกกระจายออกมาจากท่อนขาของเขา

ที่ด้านนอกของเจดีย์ ทุกคนตกตะลึงบนใบหน้าขณะที่จ้องมองร่างน่าสมเพชทั้งสี่ในหน้าจอแสง ขณะนี้พวกเขาไม่ได้มีท่วงท่าของจอมยุทธ์ชั้นสูงอีกแล้ว

พวกเขารู้ว่าไม่ใช่เพราะทั้งสี่อ่อนแอ แต่หมัดโลหิตที่ตกลงมาจากท้องฟ้าทรงพลังจนถึงขั้นที่น่ากลัวต่างหาก

“การโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ พวกเขาจะสามารถต้านทานได้อย่างไรกับขุมพลังที่มี?” สีหน้าของจิ่วโยวเปลี่ยนไปและอดไม่ได้ที่จะพูด ความยากนี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าถึงจะสามารถต้านทานและเอาชีวิตรอดจากหมัดนี้ได้

ใบหน้าของมั่วหลิงซีดเซียว เห็นได้ชัดว่านางกลัวกำปั้นนี้อย่างที่สุด

จอมยุทธ์เผ่าอื่นๆ ก็รู้สึกไม่ต่างกัน ความยากที่น่าสะพรึงนี้ชัดว่าไม่คิดที่จะให้ใครผ่านชั้นห้าเลย

การโจมตีแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนในระดับพวกเขาจะรับได้

ครืน!

ขณะที่หมัดโลหิตกระแทกลงมา พลังอำนาจที่น่าสะพรึงก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ห่อหุ้มร่างสามร่างจนถึงจุดที่ร่างเทพอสูรยิ่งใหญ่กำลังจะแตกสลาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว

ใบหน้าทั้งสามซีดเซียวและรู้สึกว่าไม่สามารถขยับร่างกายภายใต้พลังหมัดนี้ได้ นอกจากนี้พวกเขายังสามารถสัมผัสได้ถึงจิตการละทิ้งชีวิตและแสวงหาความตายบนหมัด ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าเจ้าของหมัดได้วางเดิมพันชีวิตไว้บนนั้น

หมัดปีศาจพลีชีพคือการสละชีวิตตัวเองงั้นรึ? ช่างน่าเกรงขามแท้จริง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงถูกเรียกว่าหมัดปีศาจ!

จอมยุทธ์ทั้งสี่หัวใจสั่นสะท้านรุนแรงภายใต้ปณิธานการเสียสละ ยามนี้พวกเขาเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อหมัดลงมาถึงตัวเมื่อไรก็จะเป็นเวลาตายของพวกเขา

เมื่อถึงตอนนั้นอยากหนีก็หนีไม่ได้แล้ว!

ทั้งสี่ทุ่มกำลังทั้งหมดลงไป แต่ก็ยังคงเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์ เลือดสดเริ่มไหลซึมออกจากร่างกายแสดงให้เห็นร่องรอยของการบี้บด

แม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุขั้นแรกของกายามังกรหงส์ แต่ร่างกายเขาก็เริ่มแตกสลาย ริ้วเลือดกระจายบนผิวหนังทำให้ดูน่ากลัวอย่างมาก

ครืน!

หมัดอยู่ห่างจากพวกเขาไม่ถึงห้าสิบจั้งแล้ว ท้องฟ้าเหมือนถูกปกคลุมไว้ด้วยกำปั้นในเวลานี้

ปัง! ปัง! ปัง!

ร่างเทพอสูรของทั้งสามคนก็ทนไม่ได้อีกต่อไป ถูกบีบจนระเบิดออกอย่างสมบูรณ์

อั้ก! อั้ก!

ทั้งสามคนพ่นเลือดออกมาในเวลาเดียวกัน รัศมีก็ลดลงมาก

“บ้าเอ้ย ข้ายอมแพ้!” ใบหน้าของจงเถิงซีดเผือด เขารู้สึกว่าร่างกายแทบจะระเบิดจากแรงกดดัน ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและคำราม เขารู้สึกว่าถ้ารั้งไว้นานกว่านี้ เขาคงจะตายในสถานที่แห่งนี้จริงๆ

แม้ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงเป็นรางวัลที่น่าดึงดูดใจ แต่เขาก็ต้องมีชีวิตเพื่อที่จะสนุกได้

ฮึ่ม

พร้อมกับที่จงเถิงเลือกยอมแพ้ แสงก็ปรากฏขึ้นรอบตัว ก่อนที่ร่างเขาจะหายวับไป ชัดว่าเขาถูกส่งออกจากเจดีย์เรียบร้อย

ต่อจากนั้นมั่วเฟิงและหานซันก็ต้านไว้อีกสิบกว่าลมหายใจ ก่อนที่จะรู้สึกว่าพลังหมัดที่ซัดเข้าใส่ ทำให้พวกเขาสิ้นหวัง

นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อต้านได้

ดังนั้นหลังจากดิ้นรนในใจ ทั้งสองก็เลือกยอมแพ้เช่นกัน

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

แสงกะพริบวาบขึ้น ร่างทั้งสองก็หายไป

เมื่อทั้งสามคนออกไป ก็เหลือมู่เฉินเพียงหนึ่งเดียวในสนามรบ แต่ตอนนี้เขาก็มีสภาพไม่ดีอย่างยิ่ง ร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดทำให้เขาดูเหมือนมนุษย์โลหิต

พลังอำนาจของหมัดที่ซัดมาจากทุกทิศทาง ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าตนเองอยู่ลึกในมหาสมุทรกว่าหนึ่งหมื่นลี้ รับแรงกดดันที่น่ากลัวอย่างมาก

แต่ก็เป็นแรงกดดันนี้ที่ทำให้เกิดความบ้าคลั่งในดวงตาของมู่เฉิน ถึงนี่จะอันตราย แต่ก็เป็นโอกาสสำหรับเขาเช่นกัน!

นี่เป็นโอกาสสุดยอดสำหรับเขาที่จะบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่ง!

ทุกพัฒนาการล้วนเกิดจากการก้าวเท้าลงไปในหลุมแห่งความตายทั้งนั้น!

และตอนนี้นี่ก็เป็นสถานการณ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด!

“บรรลุซะ!”

มู่เฉินเปล่งเสียงคำรามต่ำ หมุนเวียนคัมภีร์หลงเฟิ่งเร็วรี่ เลือดในร่างกายพล่านไปทั่วในเวลานี้ จากนั้นก็เทลงในลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนแขนของเขาโดยไม่มีที่สิ้นสุด

พร้อมกับเลือดจำนวนมากไหลเข้าไปในท่อนแขน ลวดลายสีม่วงทองก็เริ่มมีริ้วสีแดงเพิ่มขึ้น

แต่สีแดงสดนี้กลับเพิ่มความรู้สึกมีชีวิตชีวาให้กับลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง

ในอดีตแม้ว่าลวดลายนี้จะทรงพลังแต่ก็ขาดความมีชีวิตชีวา ราวกับว่าไม่มีชีวิตและไม่มีจิตวิญญาณ แต่ตอนนี้ภายใต้การคุกคามของความตาย มู่เฉินได้เทเลือดทั้งหมดลงบนลวดลาย ทำให้ลวดลายที่ดูดซับพลังมากเริ่มมีจิตวิญญาณก่อตัวขึ้น

ทันใดนั้นเมื่อจิตวิญญาณก่อตัวขึ้น ลวดลายที่อยู่ในท่อนแขนของมู่เฉินก็ลืมตาโพลง

เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าสะท้อนก้องระหว่างสวรรค์และโลก ราวกับว่าเป็นราชันแห่งโลกนี้

ในที่สุดยามนี้คัมภีร์หลงเฟิ่งก็บรรลุขั้นสองตามที่มู่เฉินปรารถนาแล้ว!

ทว่าจังหวะนี้เอง หมัดโลหิตก็พุ่งลงมากระแทกกับร่างมู่เฉินซึ่งไม่ได้เคลื่อนไหว…

ทั้งชั้นฟ้าและชั้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1011 ราชันสงครามโลหิต
ด้านหลังศิลาพลังยุทธ์

ประตูแสงซึ่งกำจายคลื่นความผันผวนโบราณปรากฏขึ้นเงียบๆ ราวกับมีความอ้างว้างที่ไม่รู้จบซ่านออกมาจากความสว่าง ทำให้หัวใจของผู้คนรู้สึกเคารพบูชา

ทั้งสี่คนจ้องมองไป

“นี่คือทางสู่ชั้นสุดท้ายใช่ไหม? ชั้นห้าคืออะไรกัน?” มู่เฉินมองไปที่มั่วเฟิงเอ่ยถามเสียงต่ำ

พอมั่วเฟิงได้ยินคำถามก็ส่ายหัว “มีจอมยุทธ์ไม่มากนักที่สามารถเข้าสู่ชั้นห้าได้ ว่ากันว่าการทดสอบในชั้นห้าไม่ตายตัว บททดสอบจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดังนั้นไม่มีใครรู้ว่าการทดสอบใดรอเราอยู่”

มู่เฉินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำอธิบายของมั่วเฟิง ไม่รู้ว่าทำไมชั้นสุดท้ายของเจดีย์ฝึกพลังกายถึงได้สร้างความรู้สึกกลัวเบางบางให้กับเขาแบบไม่เคยปรากฏมาก่อน

แต่ไม่ว่าอย่างไรในเมื่อมาได้ไกลขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะถอย

นอกจากนี้หลังจากดูดซับแก่นโลหิตบริสุทธิ์ของเทพอสูรกลืนฟ้า พลังกายของเขาก็ได้รับการปรับปรุงอย่างมาก เขารู้สึกได้ว่าแค่ก้าวไปอีกนิดเดียวเท่านั้น

กายามังกรหงส์ก็จะบรรลุขั้นสอง!

ในเวลานั้นพลังกายของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง! เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อัจฉริยะเผ่าต่างๆ มู่เฉินก็ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว

ในหมู่จอมยุทพธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคงไม่มีใครเป็นศัตรูกับเขาได้อีก

คิดถึงจุดนี้ แสงก็วาบในดวงตาของมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะสูดหายใจลึกสุดปอด เขาไม่เสียเวลาไปกับการพูดคุยไร้ประโยชน์เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ไปกันเถอะ!”

เมื่อพูดจบเขาก็เป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไปในประตูแสง

ที่เบื้องหลังมั่วเฟิงก็ติดมา หานซันหรี่ตาลงยิ้มพลางปรายตามองจงเถิงที่ใบหน้ามืดครึ้มแล้วรีบตามไป

จงเถิงเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไป เขามองดูเงาร่างของทั้งสามที่หายเข้าไปในประตูแสง ไอเย็นยะเยือกก็พล่านในดวงตา ดูเหมือนว่าเขาจะต้องคว้าโอกาสยิ่งใหญ่ที่สุดในชั้นห้าให้จงได้

เมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มพูน มู่เฉินจะเป็นคนแรกที่ตายที่นี่!

“มาดูกันว่าใครจะหัวเราะคนสุดท้าย!” จงเถิงพูดอย่างเย็นชาก่อนจะเดินเข้าไปในอุโมงค์แสงที่เชื่อมโยงกับชั้นสุดท้าย

เมื่อทั้งสี่คนก้าวเข้าไปในประตู

สายตาลุกโชนของทุกคนที่ด้านนอกเจดีย์ก็เลื่อนไปยังชั้นห้า

พวกเขาก็อยากรู้ว่าการทดสอบใดรออยู่ในชั้นห้า… จากข้อมูลที่พวกเขารู้มาคนที่สามารถผ่านการทดสอบชั้นห้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีจำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้น

แม้ว่าทั้งสี่คนถือว่ามีฝีมือ แต่พวกเขาก็อาจกลับมาพร้อมกับความเสียใจ

มั่วหลิงกำมือแน่นถามจิ่วโยวเสียงเบาๆ “พี่ใหญ่จิ่วโยว พวกเขาจะผ่านชั้นห้าได้หรือไม่เจ้าคะ?”

จิ่วโยวไตร่ตรอง จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ยาก ลือกันว่าการทดสอบชั้นห้าไม่ตายตัว บางครั้งกระทั่งอาวุธมหสวรรค์ยังเข้าจู่โจม… แน่นอนว่าไม่ใช่ของจริง มันเป็นภาพลวงตา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนในระดับพวกเราจะสามารถรับได้”

มั่วหลิงจุปากมีกระทั่งการโจมตีจากอาวุธมหสวรรค์? การจู่โจมนั่นอาจจะฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดตายคาที่เลยมั้ง?

ชั้นห้าของเจดีย์ยากขนาดนี้เลยเหรอ?

เสียงกระซิบกระซาบดังไปรอบๆ เจดีย์ โดยที่สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่ชั้นห้า ไม่นานจากนั้นแสงก็รวมตัวกันค่อยๆ ก่อตัวเป็นหน้าจอ

ทุกคนสายตาจ้องเขม็ง

อุโมงค์แสง

หลังจากที่มู่เฉินก้าวเข้าไป แสงก็ปกคลุมดวงตาอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะจางหายไปราวกับคลื่นกระทบฝั่ง จากนั้นกลิ่นเลือดหนาแน่นก็ตลบอบอวล

กลิ่นคาวเฉียบพลันนี้ทำให้หัวใจของมู่เฉินสั่นเทา แสงสีทองกำจายออกมาจากร่างทันที กระบี่ขนนกสีทองซึ่งยึดมาจากจงเถิงก็ปรากฏขึ้นในมือ

หลังจากเตรียมการป้องกันเสร็จ มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นสีหน้าของเขาก็อดเปลี่ยนแปลงไม่ได้

ที่นี่เหมือนจะเป็นที่ตั้งของสนามรบโบราณ สนามรบแห่งนี้มีซากศพถูกทิ้งเกลื่อนกลาด เลือดเจิ่งนองไปทั่ว รัศมีที่โหดร้ายโอบล้อมมิติ ทำให้แม้แต่คนอย่างมู่เฉินยังหนังหัวชาหนึบ

ด้านหลังไม่ไกลจากมู่เฉินอีกสามคนก็ปรากฏตัว เมื่อพวกเขาเห็นฉากตรงหน้า ดวงตาก็หดเกร็งทันที จากนั้นก็ต่างพากันเร้าคลื่นหลิงขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเอง

“นี่คือชั้นสุดท้ายของเจดีย์ฝึกพลังกายเหรอ?”

สายตามู่เฉินจ้องเขม็งไปที่สนามรบโบราณ รัศมีโหดเหี้ยมที่กวาดออกมาในภูมิภาคนี้ ทำให้ทุกคนรู้ว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่น่ากลัวเพียงใด

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ขณะที่ทุกคนกำลังสำรวจ สนามรบโบราณก็สั่นไหวอย่างเงียบๆ พวกเขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นคาวเลือดและรัศมีโหดร้ายกำลังกวาดออก ราวกับว่ากำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง สุดท้ายก็ก่อตัวเป็นเงาร่างสีแดงที่เบื้องหน้าครรลองสายตาของพวกเขา

ร่างนี้สวมชุดเกราะสีแดงโลหิต เขายืนอยู่ระหว่างฟ้าดินพร้อมกับรัศมีสังหารไม่มีที่สิ้นสุดกวาดออกมาราวกับคลื่นยักษ์ รัศมีนี้ทำให้ทั้งสี่คนร่างแข็งทื่อไม่กล้าเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

พวกเขาเคยเผชิญศึกเป็นตายมานับไม่ถ้วน แต่พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่มีรัศมีสังหารหนาแน่นเช่นนี้มาก่อน ตอนที่ร่างเงานี้มีชีวิตอยู่จะต้องสร้างแม่น้ำเลือดและภูเขาศพไว้เกินคณานับ

ร่างทั้งสี่คนแข็งทื่อไม่กล้าเคลื่อนไหว บนท้องฟ้าร่างสีแดงเข้มค่อยๆ ก้มศีรษะลงมาอย่างช้าๆ ดวงตาสีแดงเข้มที่ไม่มีคลื่นอารมณ์สักริ้วมองมาที่พวกเขา

เมื่อถูกมองด้วยดวงตาสีแดงเข้ม เส้นขนทั่วสรรพางค์กายทั้งสี่ก็ลุกซู่ ความปรารถนาที่จะพุ่งออกจากสถานที่แห่งนี้ผุดขึ้นในหัวใจทันที แต่โชคดีที่พวกเขาไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงระงับความปรารถนานั้นและยืนหยัดอย่างมั่นคง

“ข้าคือราชันสงครามโลหิต”

ร่างสีแดงเข้มเอ่ยช้าๆ ทันทีที่เปล่งเสียงออกมา ลมคลั่งสีแดงก็กวาดตัวระหว่างฟ้าดินซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

“ราชันสงครามโลหิต?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ใบหน้าของมั่วเฟิง หานซันและจงเถิงก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ขณะที่ร้องอุทานเสียงลั่น

“ใครเหรอ?” มู่เฉินไม่คุ้นเคยกับชื่อเสียงของเหล่าจอมยุทธ์ในดินแดนเสินโซ่จึงถามมั่วเฟิงทันที

“มีตำนานกล่าวว่าราชันสงครามโลหิตเป็นจอมยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนเสินโซ่ยุคโบราณ แม้เขาจะมีพรสวรรค์ธรรมดา แต่ก็รอดชีวิตมาจากสงครามนับครั้งไม่ถ้วน ก้าวย่างผ่านแม่น้ำเลือดและภูเขาศพมากมาย ลือกันว่าจอมยุทธ์ผู้นี้มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่สามารถคุกคามได้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน!

“ยิ่งกว่านั้นตอนที่เผ่าปีศาจต่างมิติบุกเข้ามาในดินแดนเสิ่นโซ่ ราชันสงครามโลหิตก็ต่อสู้ถวายชีวิต เสียสละตนเองเพื่อกำจัดนักรบปีศาจที่เทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว” มั่วเฟิงพูดด้วยความเคารพนับถือ

“ลากจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนตายไปด้วย?”

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดเหล่านั้น หัวใจก็อดสั่นไหวไม่ได้ แม้นั่นจะยังเป็นระดับที่ไกลสำหรับเขา แต่ก็สามารถจินตนาการได้ถึงช่องว่างระหว่างระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายและระดับเทียนจื้อจุน ทว่าในเมื่อบุคคลผู้นี้สามารถลากนักรบปีศาจระดับเทียนจื้อจุนตายไปพร้อมกับตัวเองก็บอกได้ว่าคนผู้นี้ทรงพลังอำนาจเพียงใด

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบุคคลดังกล่าวยังคงมีความยิ่งใหญ่ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้แม้จะดับสูญไปแล้วนับหมื่นปี

ขณะที่มู่เฉินตกตะลึงในใจ ร่างสีแดงเข้มก็พูดอย่างไม่แยแส “รับหนึ่งหมัดจากข้าได้ก็จะผ่านการทดสอบ”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นทั้งสี่คนก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบไปหมด จอมยุทธ์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาคือการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งสามารถฆ่าจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนได้ แม้ว่านี่จะเป็นเพียงภาพที่หลงเหลือไว้หลังจากผ่านไปหมื่นปี แต่ก็ไม่สามารถมองข้ามไปได้แน่นอน

“บ้าเอ้ย นี่มันเกินไปแล้ว!” กระทั่งหานซันก็อดไม่ได้ที่จะขบฟัน เขาไม่มีความมั่นใจในการรับหมัดจากราชันสงครามโลหิตสักนิด

มั่วเฟิงก็ส่ายหัวอย่างจนใจ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีความหวังใดๆ เลย

มู่เฉินขมวดคิ้ว ความยากลำบากในชั้นห้าเกินกว่าจินตนาการไปมาก…

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอะไรอยู่ในใจ ราชันสงครามโลหิตก็ยังแสดงออกอย่างเฉยเมย นอกจากนี้หลังจากที่พูดจบจิตสังหารที่หลั่งไหลออกมาจากร่างกายก็ยิ่งน่ากลัวกว่าเดิม

นิ้วทั้งห้ากำแน่นเป็นหมัด เสียงยิ่งใหญ่ไม่แยแสสะท้อนก้องไปทั่วสนามรบโบราณ “ข้าผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน คิดค้นวิทยายุทธระดับเสินทงด้วยตนเอง นี่คือหมัดปีศาจพลีชีพ ใครที่สามารถรับได้จะได้รับการสืบทอดกระบวนท่าแรก”

นรกเอ้ย!

เมื่อได้ยินว่าไม่เพียงแต่เป็นราชันสงครามโลหิตจะออกกระบวนท่า เขายังจะใช้วิทยายุทธระดับเสินทงอีกด้วย ทั้งสี่คนก็ได้แต่สาปแช่ง ชายคนนี้คิดว่ายังรังแกพวกเขาไม่พออีกเรอะ? ราชันสงครามโลหิตอะไรกัน เรียกว่าราชันหน้าด้านแทนซะเถอะ!

ทว่าเมื่อคำพูดสุดท้ายสะท้อนในโสตประสาทก็ทำเอาทั้งสี่อึ้งไป ก่อนที่ดวงตาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที

วิทยายุทธระดับเสินทง?!

พวกเขาสามารถได้รับคัมภีร์เทพที่คิดค้นขึ้นโดยราชันสงครามโลหิตจริงเหรอ?!

แม้สติจะบอกพวกเขาว่าไม่มีทางรับหมัดนั้นได้ แต่พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธความโลภในหัวใจได้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาขาดความสำรวม แต่เพราะรางวัล…เหลือเฟือนัก!

วิทยายุทธระดับเสินทงเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนยังหวั่นไหวได้ ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย!

ราคาสำหรับหนึ่งกระบวนท่าก็เกินกว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับก่อนหน้ามาหมดแล้ว!

ทั้งสี่คนแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ต่างเห็นความโลภหนาแน่นในดวงตาของกันและกัน ขณะนี้ไม่มีใครคิดจะถอยออกเลย…

“มนุษย์ตายเพื่อความร่ำรวย นกตายเพื่ออาหาร…”

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกดวงตากะพริบวูบไหวมองไปที่ราชันสงครามโลหิต เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรพวกเขาก็ต้องลองดู อย่างมากก็แค่ยอมแพ้ถอยออกจากเจดีย์

หลังจากที่ราชันสงครามโลหิตพูดจบก็ไม่พูดอะไรอีกต่อไป เขากำหมัดแน่นจิตสังหารพลุ่งพล่านล้นเหลือ จากนั้นก็ก้าวออกไปข้างหน้า ฝีเท้านั้นดูเหมือนจะทำให้เกิดเสียงคำรามนับไม่ถ้วนระหว่างฟ้าดินเลยทีเดียว รัศมีโหดร้ายไม่รู้จบหลั่งไหลมาจากมิติและกาลเวลา ทำเอาพื้นที่โยกคลอน

ในดวงตาของเขาไม่มีอารมณ์ใดๆ เขามองไปที่ทั้งสี่คนก่อนที่จะชกช้าๆ ในเวลาเดียวกันเสียงโบราณก็สั่นสะเทือนเส้นขอบฟ้า

สังเวยพลังกายปีศาจของข้า ทำลายอดีตและปัจจุบัน

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1010 ใช้เงินแก้ปัญหา
มือเรียวคว้าขนสีทองเข้มคมกริบไว้ราวกับหินผา

ไม่ว่าขนนกจะปลดปล่อยแสงสีทองแค่ไหนก็ไม่อาจหลุดเป็นอิสระได้

หลังจากจับขนนกเอาไว้ได้ ดวงตาของมู่เฉินที่ยังพร่างด้วยแสงสีทองบางเบาก็มองไปที่จงเถิงพลางพูดออกมาช้าๆ “ดูเหมือนพี่จงจะไร้ความปรานีแท้จริงเมื่อออกกระบวนท่านะ”

ใบหน้าของจงเถิงน่าเกลียดอย่างถึงที่สุด เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะฟื้นพลังได้ในวินาทีสำคัญนี้ นอกจากนี้มันยังหยุดขนนกสีทองไว้ด้วยมือข้างเดียว ต้องรู้ว่าพลังอำนาจของขนนกนี้สามารถเทียบเคียงได้กับอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ต่อให้เป็นจอมยุทธขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ถ้าประมาทก็อาจถูกแทงทะลุร่างในพริบตา

นอกจากนี้จงเถิงยังมั่นใจว่าก่อนหน้านี้มู่เฉินไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เห็นได้ว่าพลังกายของมู่เฉินได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมากหลังจากดูดซับแก่นโลหิตบริสุทธิ์ของเทพอสูรกลืนฟ้า

ยามนี้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามยิ่งใหญ่แผ่มาจากมู่เฉิน

“เป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริง!”

จงเถิงรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งในหัวใจ ถ้าเขารู้ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนที่ก้าวสู่ชั้นสามเขาต้องฆ่ามู่เฉินให้ได้แม้ว่าจะต้องจ่ายราคามหาศาล

แต่ไม่ว่าเขาจะเสียใจมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์สิ้นเชิงในขณะนี้ เผชิญหน้ากับสายตาคมกริบของมู่เฉิน จงเถิงก็ได้แต่ไม่แสดงสีหน้าอะไร ทว่าร่างกายตึงเครียดขึ้น เขาระมัดระวังมู่เฉินสุดกำลัง

ตอนนี้มู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวแล้ว

ดวงตาจงเถิงวูบไหว เขางอนิ้วพยายามดึงขนนกที่มู่เฉินจับได้คืนมา การมีขนนกในมือจะทำให้พละกำลังในต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้น ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันเป็นการดีที่สุดถ้าเขาสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้แม้แต่นิดเดียวก็ตาม

ทว่าการควบคุมของเขากลับไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ แม้ว่าขนนกในมือของมู่เฉินจะดิ้นขลุกขลักไปมาเพื่อให้หลุดพ้น แต่ก็ไม่สามารถได้รับอิสระ สุดท้ายกลับค่อยๆ อ่อนแรงลงเมื่อมู่เฉินเพิ่มแรงในมือ

“ในเมื่อให้แล้วทำไมจะเอากลับอีกล่ะ? พี่จงเป็นคนใจกว้างมาก งั้นข้าขอรับสิ่งนี้ไว้ละกัน” มู่เฉินยิ้มอ่อนให้จงเถิง จากนั้นคลื่นหลิงก็พวยพุ่งออกจากร่างกายอย่างรุนแรงเทลงบนขนนก เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที่จะชำระเก็บเป็นของตนเอง

ตอนนี้เขาขาดอาวุธอยู่พอดีและขนนกก็มาทันเวลาที่จะใช้เป็นอาวุธ

เมื่อจงเถิงเห็นการกระทำของมู่เฉิน เขาก็โกรธจนแทบคลั่ง แต่อึดใจริ้วรอยเยาะเย้ยก็พลุ่งพล่านในดวงตา ขนนกสีทองนี้ได้รับการปรับแต่งจากขนกระเรียนปีกทองคำ รัศมีที่หลงเหลืออยู่ภายในเป็นของมหาเทพอสูรตัวจริง ถ้าไม่ใช่สมาชิกในเผ่ากระเรียนฟ้าก็จะถูกตอบโต้ด้วยรัศมีกระเรียนปีกทองคำแทน

มู่เฉินโอหังเกินไปแล้ว!

ภายใต้สายตาเย้ยหยันของจงเถิง คลื่นหลิงของมู่เฉินก็กำจายเข้าไปในขนนกสีทอง ทว่าทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แข็งทื่อตามที่จงเถิงคาดการณ์ไว้ ขนสีทองดิ้นรนดุเดือด รัศมีเผด็จการยิ่งใหญ่พุ่งพรวดออกมาอย่างคลุมเครือ พยายามที่จะตอบโต้มู่เฉิน

“รัศมีกระเรียนปีกทองคำเรอะ?”

สัมผัสได้ถึงการตีโต้ สายตาของมู่เฉินก็ไม่ได้มีริ้วความตกใจเลย เขายิ้มบางอึดใจก็กำหมัดแน่น ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏขึ้นบนท่อนแขน รัศมีมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเทลงในขนนกสีทอง ระงับรัศมีที่หลงเหลือของกระเรียนปีกทองคำอย่างสมบูรณ์

ในฐานะมหาเทพอสูรเหมือนกัน รัศมีที่เหลืออยู่ของกระเรียนปีกทองคำก็อ่อนด้อยกว่าการผสมผสานของลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตในร่างมู่เฉิน

เมื่อเกิดการปราบปราม รัศมีขนนกสีทองก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว แสงสีทองหดกลับกลายเป็นกระบี่ยาวสีทองในมือของมู่เฉิน กระบี่นี้มีลักษณะแปลกมาก ขอบใบมีดเต็มไปด้วยฟันใบเลื่อย ดูราวกับเป็นขอบขนนก แสงสีทองไหลเวียนอย่างเลืองราง รัศมีคมชัดเปล่งออกมาจากมัน

“กระบี่ใช้ได้” มู่เฉินโบกกระบี่ยาวสีทอง เขาหรี่ตายิ้มร่า

รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าจงเถิงอันตรธานหายไปตั้งแต่มู่เฉินจับด้ามกระบี่ได้ เขามองดูกระบี่ยาวที่เงียบสงบในมือของมู่เฉินอย่างว่างเปล่า ความไม่เชื่อกระจายเต็มใบหน้า

มู่เฉินระงับรัศมีกระเรียนปีกทองคำบนกระบี่ได้ง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ?

นั่นคือมหาเทพอสูรนะ!

มู่เฉินเป็นมนุษย์จริงไหมเนี่ย?! หรือว่าเขามีสายเลือดมหาเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย?

ขณะที่สีหน้าจงเถิงว่างเปล่า สายตาเยาะเย้ยของมู่เฉินก็มองมาอีกครั้ง เขาวาดกระบี่ยาวสีทองในมือขึ้น “ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่เราจะคิดบัญชีแล้ว”

แม้ว่าเขาจะมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่คำพูดกลับเคลือบไว้ด้วยเจตนาฆ่า

จงเถิงสร้างปัญหากับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามลอบกัดจนปลุกจิตสังหารของเขาขึ้นมา

เมื่อมู่เฉินพูดจบ มั่วเฟิงซึ่งอยู่ด้านหลังก็ก้าวออกมา ทั้งสองประกบจงเถิงเอาไว้ตรงกลาง รัศมีเฉียบคมของพวกเขาพลุ่งพล่านไปหมด ทำเอาใบหน้าของจงเถิงดูไม่ได้เลยทีเดียว

เมื่อมู่เฉินและมั่วเฟิงร่วมมือกัน เขาแทบไม่มีโอกาสชนะเลย

“ทั้งสองเราเข้ามาในเจดีย์ฝึกพลังกายเพื่อแสวงหาโอกาส ไม่จำเป็นที่จะต้องเสี่ยงชีวิตหรอกมั้ง? นอกจากนี้เรายังอยู่แค่ในชั้นสี่ ถ้าเราต่อสู้กันแบบศึกมรณะ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับเช่นกัน ซึ่งข้าเชื่อว่านั่นคงเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครต้องการเห็นใช่ไหม?” ใบหน้าของจงเถิงเปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

มู่เฉินยิ้มอ่อน “ข้าว่าถ้าแค่ต้องการบีบให้เจ้าออกจากเจดีย์ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรมากนะ”

สายตาจงเถิงมืดครึ้มทันที ถ้าเขาถูกบีบให้ออกจากเจดีย์ เขาจะสูญเสียสิทธิ์ในการเข้าสู่ชั้นห้า ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการสูญเสียยิ่งใหญ่สำหรับเขา

“แกต้องการอะไร!” จงเถิงกัดฟัน ยามนี้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมอ่อนให้

“ที่จริงจะให้ข้าไม่เอาเรื่องที่เจ้าลอบฆ่าก่อนหน้าก็ได้ ง่ายมาก…ของเหลวจื้อจุนสักสามล้านหยด” มู่เฉินแบมือออกพร้อมกับรอยยิ้มฉายบนใบหน้า

ความตะลึงงันผุดขึ้นบนใบหน้าของจงเถิง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ทันตั้งตัวเลย พักใหญ่เมื่อเขาออกจากภวังค์ได้ก็ต้องกัดฟันกรอด “ของเหลวจื้อจุนสามล้านหยดหยด ทำไมแกไม่ปล้นข้าเลย!”

แม้ว่าเขาจะเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะของเผ่า แต่ของเหลวจื้อจุนสามล้านหยดก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถจ่ายทั้งหมดคนเดียว

“งั้นก็ออกจากเจดีย์ไปซะ!”

ใบหน้ายิ้มแย้มของมู่เฉินตึงลงทันที เขาเค้นเสียงแบบไม่ไว้มารยาทใส่

“แก!”

จงเถิงรู้สึกโกรธจนปอดแทบระเบิด แสงเกรี้ยวกราดแวววับในดวงตา แต่สุดท้ายเขาก็ระงับอย่างจนใจ พลางขบฟันแน่น “ข้ามีแค่ล้านหยดหยดเท่านั้น”

“เอามา” มู่เฉินยื่นมือออกไป

ใบหน้าของจงเถิงสลับกันระหว่างสีเขียวกับสีขาว แต่สุดท้ายเขาทำได้เพียงโบกมือ เมื่อขวดสีทองบินออกไปเขาก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในใจ ขวดทองคำกะพริบด้วยคลื่นหลิงแพรวพราวนัก

มู่เฉินรับมา เขากวาดสัมผัสก่อนที่จะพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและดวงตาที่หรี่ลง จงเถิงร่ำรวยอย่างแท้จริงขนาดถือครองของเหลวจำนวนมหาศาลแบบนี้ ของเหลวจื้อจุนล้านหยดเทียบเท่ากับรายได้ครึ่งปีของหอวิหคโลกันตร์เลยทีเดียว

มู่เฉินแยกของเหลวจื้อจุนเป็นสองส่วน จากนั้นก็โยนครึ่งหนึ่งให้กับมั่วเฟิงแล้วยิ้ม “ขอบใจมาก”

ถ้ามั่วเฟิงไม่ได้ช่วยเขาก่อนหน้านี้ เขาอาจได้รับบาดเจ็บเพราะจงเถิงไปแล้ว

มั่วเฟิงรับไว้โดยไม่พูดอะไร ไม่มีใครคิดว่าจะมีของเหลวจื้อจุนมากไปหรอก เนื่องจากสิ่งนี้จำเป็นในการเพาะบ่มขุมพลัง ดังนั้นยิ่งเยอะยิ่งดี

แต่ขณะที่รับไป มั่วเฟิงก็ส่งคลื่นเสียงถามด้วยความสงสัย “ปล่อยมันไปแบบนี้เหรอ?”

เขาเข้าใจนิสัยของมู่เฉิน ชายคนนี้ไม่ได้ดูเป็นมิตรเหมือนที่เห็นหรอก

“เราไม่สามารถฆ่าใครในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณได้ หากเราบีบเขามากไป เจดีย์ก็จะส่งเขาออกไป… และเมื่อเขาออกไปได้ก็คงมีความคิดแก้แค้นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จนลงมือจัดการจิ่วโยวและมั่วหลิง หากเป็นเช่นนั้นเราก็จะต้องออกจากเจดีย์ไปด้วยเช่นกัน” มู่เฉินยิ้มบางตอบกลับ

“นั่นเป็นสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องทุกข์แสนสาหัส ตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องละทิ้งโอกาสในชั้นห้า สำหรับชายคนนั้นเราสามารถจัดการกับเขาได้หลังจากเรื่องทั้งหมดจบลงแล้ว… ส่วนของเหลวจื้อจุนล้านหยดก็แค่คิดว่าเป็นกำไร ถ้าเขายืนกรานที่จะไม่ให้ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะยังไงเราก็ไม่สามารถละทิ้งโอกาสในชั้นห้าได้…”

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าของมั่วเฟิงก็อดประหลาดอย่างช่วยไม่ได้ จงเถิงเป็นคนฉลาด แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้จะถูกหลอกให้อับอายโดยมู่เฉิน

ขณะที่มู่เฉินกับมั่วเฟิงส่งคลื่นเสียงคุยกัน จงเถิงก็ดูเหมือนจะคิดอะไรได้ ทันใดนั้นคิ้วก็ขมวดเขาเข้าใจในที่สุด ใบหน้ามืดครึ้มส่งเสียงคำรามลั่น “แกหลอกข้า!”

เขาไม่ใช่คนโง่ ด้วยการกระทำก่อนหน้า หากเขาเป็นมู่เฉินก็ไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายไปแน่นอน แต่การที่มู่เฉินไม่ได้ทำเช่นนี้ ก็หมายความว่ามู่เฉินมีความกังวลเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่แค่คิดมากขึ้นก็จะสามารถคิดออกได้

“แกคิดได้เร็วดีนี่”

มู่เฉินหัวเราะชื่นชมด้วยดวงตาหยี

จงเถิงหัวร้อนฉ่ากับคำพูดของมู่เฉิน แต่โชคดีที่เขาระงับความโกรธไว้ได้ จากนั้นก็สาดประกายเกลียดชังพุ่งใส่มู่เฉิน ก่อนที่จะเดินออกไปพร้อมกับอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

เมื่อมู่เฉินเห็นการตอบสนองนั่นก็ไม่ไปใส่ใจอะไร หลังจากเรื่องนี้จบค่อยมาจัดการกับชายคนนี้ ดังนั้นเขาจึงหันไปหาหานซันที่ยืนอยู่ด้านข้างประสานมือให้ “ข้าต้องขอบคุณพี่หานด้วย”

แม้ก่อนหน้าเขาจะดูดซับแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าอยู่ แต่ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงรู้สึกขอบคุณที่หานซันไม่ร่วมวงด้วย มิฉะนั้นถ้าหานซันเคลื่อนไหว สถานการณ์อาจแตกต่างไปจากตอนนี้

“ไม่เป็นไร…”

หานซันยิ้มและพยักหน้า “พี่มู่มีความสามารถอย่างแท้จริง”

ไม่ว่าจะเป็นมู่เฉินที่คว้ากระบี่ขนนกทองคำหรือบังคับให้จงเถิงส่งมอบของเหลวจื้อจุน ล้วนแสดงให้เห็นว่ามู่เฉินไม่ใช่ธรรมดา ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกดีใจ โชคดีที่ความโลภไม่ได้บังตาจนมืดบอด ไม่เช่นนั้นจะเป็นเรื่องปวดกะโหลกที่เป็นศัตรูกับคนแบบนี้

มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเงยหน้าขึ้นมองศิลาพลังยุทธ์ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรประตูที่เต็มไปด้วยความรกร้างว่างเปล่าก็ปรากฏขึ้นด้านหลังแผ่นศิลา

เมื่อมองประตูแสง หัวใจที่สงบของมู่เฉินก็เต้นรัวอย่างไม่สามารถควบคุมได้

เขารู้ว่านี่เป็นเส้นทางสู่ชั้นสุดท้ายของเจดีย์

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1009 ลอบโจมตี
ตึง!

พื้นดินสั่นสะเทือน ร่างเงาของจงเถิงก็ทะยานออกมาราวกับลูกศรออกจากแล่ง พุ่งตรงไปที่มู่เฉินซึ่งอยู่เบื้องหน้าศิลาพลังยุทธ์ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพรั่งพรู จิตสังหารก็พวยพุ่ง

การเคลื่อนไหวฉับพลันของจงเถิง ทำให้เกิดความโกลาหลนับไม่ถ้วนกระจายที่ด้านนอกเจดีย์ ใบหน้าของจิ่วโยวและมั่วหลิงเปลี่ยนไปทันที แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั่นก็ยังบอกได้ว่ามู่เฉินหมดแรงแล้ว ตอนนี้เขาคงอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุดที่เคยเป็นมา

หากจงเถิงต้องการฆ่ามู่เฉินในตอนนี้ เขาก็คือภัยคุกคามชิ้นใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

“จงเถิง!”

จิ่วโยวกัดฟันกรอดขณะที่ไอเย็นยะเยือกพล่านอยู่ในดวงตาราวกับจะตกผลึก

แต่ถึงแม้จะโกรธ จิ่วโยวก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเกินไป นั่นเป็นเพราะมู่เฉินไม่ได้อยู่คนเดียวในชั้นสี่ ในฐานะสหาย แม้ว่ามั่วเฟิงจะมีนิสัยเย็นชา แต่เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้จงเถิงทำอันตรายมู่เฉินได้แน่

ตามที่จิ่วโยวคาดไว้ เมื่อจงเถิงขยับ ดวงตาของมั่วเฟิงก็มืดครึ้มลง พริบตาก็มาปรากฏตัวต่อหน้าจงเถิง คลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกมา ขณะจ้องมองจงเถิงด้วยสายตาเย็นชา

“ถอยไป หากแกก้าวมาอีกก้าวเดียว อย่าโทษที่ทำให้ข้าต้องจัดการ!” เสียงของมั่วเฟิงเย็นชาลงหลายส่วน ดวงตาที่ราวกับใบมีดจ้องมองไปที่จงเถิง

ใบหน้าของจงเถิงมืดคล้ำพูดเสียงเย็นชาว่า “มั่วเฟิง มู่เฉินไม่ได้เป็นสมาชิกของเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่เป็นเพียงมนุษย์ แกแน่ใจหรือที่ต้องการให้เป็นศัตรูกับเผ่ากระเรียนฟ้าเพราะมัน?”

เมื่อมั่วเฟิงได้ยินคำพูดนั่นก็เผยสีหน้าเยาะเย้ยไม่ตอบอะไร มีเพียงสายตาคมกริบจ้องมองจงเถิงนิ่ง บรรยากาศร้อนระอุทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าถ้าก้าวไปอีกก้าวเดียว มั่วเฟิงก็จะเคลื่อนไหวทันที

เมื่อจงเถิงเห็นว่ามั่วเฟิงไม่ปล่อยแน่ จิตสังหารก็พล่านในดวงตา ก่อนที่จะหันไปมองหานซันซึ่งกำลังมองจากด้านข้างอย่างเย็นชา “พี่หานซัน เจ้าควรเป็นอันดับหนึ่งในการทดสอบสมรรถภาพพลังกายนี้ แต่ตอนนี้มู่เฉินในฐานะมนุษย์กลับมาคว้าโอกาสที่เป็นของเทพอสูรอย่างเราไป เจ้ายอมได้เหรอ?”

เมื่อมั่วเฟิงได้ยินคำพูดของจงเถิงใบหน้าก็มืดครึ้มลง ถ้าเป็นจงเถิงคนเดียว เขายังสามารถขัดขวางได้ แต่ถ้าหานซันร่วมมือด้วยแล้วละก็ แม้แต่เขาก็ช่วยมู่เฉินไม่ไหว

พอหานซันได้ยินคำพูดของจงเถิงก็อึ้งไปก่อนจะหรี่ตาลงกล่าวอย่างไม่แยแส “นี่คือเรื่องบาดหมางระหว่างพวกเจ้า ทำไมต้องมาดึงข้าไปเกลือกกลั้วด้วย?”

“พี่หานไม่สนใจแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมเหรอ? หากเจ้าสามารถดูดซับได้ เจ้าจะอยู่ยงคงกระพันในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้ว่าจะปะทะกับอัจฉริยะของเผ่ามังกรและหงส์ฟ้า ก็ไม่ต้องกลัวพวกเขาอีกต่อไป” จงเถิงกล่าว

ดวงตาของหานซันเป็นประกายขึ้น เขามองไปที่แก่นโลหิตที่มู่เฉินดูดซับ ความโลภก็วูบไหวในดวงตา เขาบอกได้ชัดเจนว่าแก่นโลหิตที่มู่เฉินได้รับน่าตกใจเพียงใด

เหนือกว่าสิ่งที่เขาเคยได้รับมาก่อนมาก

ถ้าเขาสามารถดูดซับ สิ่งที่จงเถิงกล่าวว่าก็ไม่ผิด

เมื่อคิดเรื่องนี้ใบหน้าของหานซันก็เปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้ ชัดว่าใจเขาหวั่นไหวเล็กน้อย เมื่อเห็นการตอบสนองนั่น หัวใจมั่วเฟิงก็อดดิ่งลงไม่ได้

ที่ด้านนอกเจดีย์ จิ่วโยวหดตามองหน้าจอแสง แม้ว่านางจะไม่ได้ยินเสียงใดๆ แต่จากท่าทางของจงเถิงและการตอบสนองของหานซันก็สามารถคาดเดาถึงสิ่งที่จงเถิงต้องการจะทำ ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็เย็นเยียบลง ไอเย็นกระจายออกไปจากร่างกาย ชัดว่าโกรธเคืองมาก

ถ้าหานซันเข้ามายุ่งเกี่ยวในตอนนี้ก็จะเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวงต่อมู่เฉินแน่นอน

“จงเถิง แกสมควรตาย!”

จิ่วโยวกัดฟันกรอด ใบหน้าเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า

ยืนอยู่ด้านข้างใบหน้ามั่วหลิงก็ฉายความกังวล ยามนี้มู่เฉินไม่เหลือพลังต่อสู้เลย ถ้าอาศัยกำลังของพี่ใหญ่นางคนเดียว คงไม่สามารถสกัดการโจมตีร่วมของจงเถิงและหานซันได้

ขณะนี้จอมยุทธ์จากเผ่าอื่นๆ ก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในชั้นสี่ ทันใดนั้นความโกลาหลก็กวนตัว บางคนรู้สึกสงสารมู่เฉินในสถานการณ์นี้ หรือว่าม้ามืดจะถูกสังหารหลังจากแตะจุดสูงสุดทันที?

ไม่ไกลนักลู่ซุยที่เพิ่งฟื้นตัวได้จากการปกป้องของพรรคพวกก็ลืมตาขึ้นมองไปที่หน้าจอแสงพลางเย้ยหยัน ‘มู่เฉิน ข้าจะดูสิว่าแกจะรักษาความหยิ่งไปได้สักแค่ไหน!’

รางวัลทั้งหมดที่มู่เฉินต่อสู้ด้วยความขมขื่นในไม่ช้าจะกลายเป็นของผู้อื่น!

ด้านนอกเจดีย์สายตานับไม่ถ้วนที่เต็มไปด้วยความสุขในความทุกข์ของคนอื่นก็มองไปที่ภาพแสง

ภายใต้สายตาที่จับจ้อง ดวงตาหานซันก็วูบไหวไม่หยุด แต่ดูเหมือนจะยังไม่สามารถตัดสินใจได้

“พี่หาน เราจะลากเวลานานไม่ได้ ไม่งั้นจะไม่มีส่วนแบ่งแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าให้เจ้าแล้วนะ” เมื่อเห็นหานซันหวั่นไหวจากคำพูดของเขา แต่ยังไม่แสดงการคลื่อนไหว จงเถิงก็อดไม่ได้ที่จะกระตุ้นอีกครั้ง

หากปล่อยให้มู่เฉินฟื้นฟูและรวมพลังกับมั่วเฟิง ถึงตอนนั้นแม้จะมีหานซันมาช่วยเสริมก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้แล้ว

พอได้ยินเสียงเร่งของจงเถิง หานซันก็ขมวดคิ้วมองไปที่มู่เฉินที่ยังคงยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าแผ่นศิลาอย่างเงียบๆ แก่นโลหิตบริสุทธิ์ห่อหุ้มร่างกายเขา ทำให้มีความลึกลับพล่านไปรอบตัว

หานซันมีประสบการณ์การสังหารนับไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมาในการฝึกฝนหฤโหด ทำให้มีสัญชาตญาณฉับไว ครั้งนี้เขารู้สึกถึงรัศมีผิดแผกซึ่งมาจากมนุษย์หนุ่มคนนี้

นั่นคือความรู้สึกอันตรายที่กดเอาไว้จนสุด

ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเข้าใจว่าถ้าตนเองเลือกที่จะจู่โจม เขาต้องจัดการมู่เฉินให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด มิฉะนั้นหากมู่เฉินหลบหนีไปได้ละก็ ชั่วชีวิตนี้เขาคงหาความสงบสุขไม่ได้

การคุกคามศัตรูที่อันตรายเช่นนี้เพื่อแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าจะคุ้มค่าไหม?

ดวงตาของหานซันสั่นไหวอย่างรวดเร็ว ทั้งจัตุรัสเงียบกริบ ทั้งจงเถิงและมั่วเฟิงหัวใจบีบรัดเพราะพวกเขารู้ว่าการตัดสินใจของหานซันจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันทันที

ความเงียบกินเวลาไปสิบกว่าลมหายใจ จากนั้นหานซันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ มองไปที่จงเถิงและมั่วเฟิงด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะส่ายหัว “แม้ว่าแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าจะหายากยิ่ง แต่ข้าหานซันไม่มีชะตาที่จะได้เพลิดเพลินกับสิ่งนี้ ดังนั้นข้าขอขอบคุณสำหรับข้อเสนอของเจ้า”

แม้ว่าความโลภจะกระตุ้นให้หานซันอยากได้แก่นโลหิตบริสุทธิ์นี้ แต่สุดท้ายสัญชาตญาณของเขาก็ชนะ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไร

ใบหน้าของจงเถิงเขียวคล้ำลงทันที

พอมั่วเฟิงได้ยินคำพูดของหานซันก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ใบหน้าที่เย็นชาเป็นนิจอ่อนโยนลงหลายส่วน เขาพยักหน้าให้หานซันเพื่อแสดงความขอบคุณ

“ในเมื่อพี่หานไม่สนใจสิ่งนี้ ข้าก็ขอถอยเช่นกัน พี่มั่วขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องขุ่นเคืองใจ” หลังจากที่ใบหน้าของจงเถิงเขียวคล้ำไปอยู่ชั่วครู่ เขาก็ถอยฉากออกไป

สัมผัสได้ว่าจงเถิงถอนรัศมี หัวใจของมั่วเฟิงก็ผ่อนคลายลง

ตู้ม!

ทว่าจังหวะที่มั่วเฟิงผ่อนคลาย จิตสังหารก็ระเบิดจากดวงตาของจงเถิง เขาโจนตัวออกมาทิ้งภาพมายาขึ้นมามากมาย

“จงเถิง แกกล้ามาก!”

ความโกรธวาบขึ้นในดวงตาของมั่วเฟิงพลางก้าวออกมา ร่างของเขากลายเป็นภาพซ้อนชกหมัดออกไป ทันใดนั้นหงส์ฟ้าก็แผดเสียงร้อง เปลวไฟสีแดงเพลิงกวาดออกมาพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขต ทำลายภาพมายาของจงเถิงด้วยหมัดเดียว

ทันทีที่ภาพมายาแตกออกก็บีบให้จงเถิงต้องปรากฏตัว เขาพลิกฝ่ามือตบกลับไป เกลียวแสงสีทองพวยพุ่งด้วยความคมชัด ราวกับใบมีดนับหมื่นแสนพุ่งออกมา ประหนึ่งต้องการฉีกสวรรค์และโลกออกจากกัน

ปัง!

หมัดและฝ่ามือซัดกันเต็มเหนี่ยว คลื่นหลิงกระจายออกไป ทำให้มิติเกิดความผันผวน ทั้งสองคนตัวกระตุก ก่อนที่ภาพมายาของจงเถิงจะถูกทำลายกระจายกลายเป็นแสงสีทอง

มั่วเฟิงที่เหวี่ยงหมัดเข้าใส่จงเถิงก็ต้องดวงตาหดเกร็ง เพราะเขาเห็นแสงสีทองเจาะผ่านมิติในลักษณะที่ผิดปกติ ทะลุผ่านมิติเบื้องหน้าเขาและไปปรากฏที่เบื้องหลัง

“วิทยายุทธระดับเสินซู่กระเรียนปีกทองคำ มิติเคลื่อน?!”

ใบหน้ามั่วเฟิงมืดครึ้มลง ขณะที่ชกหมัดออกไปอีกครั้งโดยไม่ลังเล คลื่นน่าสะพรึงกลัวจากพายุหมัด ทำให้เกิดรอยแตกในมิติ ซัดใส่แสงสีทองที่ด้านหลังทันที

ฟิ้ว!

ทว่าแสงสีทองไม่สนใจการโจมตีของมั่วเฟิง ริ้วแสงแหลมคมพุ่งทะลุผ่านมิติตรงไปยังมู่เฉิน

ประกายแสงคมกล้าที่ทะลุทะลวงก็คือขนนกสีทองเข้ม ดูราวกับกระบี่เทพที่มีรังสีครอบงำอยู่

นั่นคือขนนกจากมหาเทพอสูรกระเรียนปีกทองคำที่ผ่านการปรับแต่งจากเผ่ากระเรียนฟ้า ความคมกริบเทียบได้กับอาวุธพบสรรค์สวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนเจ็ดทั่วไปก็จะถูกแทงทะลุ

เจตนาของจงเถิงชัดเจนมาก แม้ว่าเขาจะต้องเสี่ยงได้รับบาดเจ็บหนักจากการโจมตีของมั่วเฟิง เขาก็ต้องฆ่ามู่เฉินที่นี่ให้ได้

เมื่อขนนกทะลุมิติ ใบหน้าของมั่วเฟิงก็น่าเกลียดยิ่ง นั่นเป็นเพราะเขาสามารถสกัดจงเถิงไว้ได้ แต่ไม่สามารถหยุดขนนกที่บินเข้าไปหามู่เฉินได้แล้ว

ด้วยสภาพตอนนี้ของมู่เฉิน เขาอาจถูกฆ่าตายทันทีที่ขนนกสัมผัสตัว

ความผิดพลาดนี้ทำให้มั่วเฟิงเดือดดาลในใจ ความโกรธแค้นและเจตนาฆ่าพวยพุ่งในใจ ดูท่าไม่ว่าอย่างไรวันนี้เขาจะปล่อยจงเถิงไปไม่ได้แล้ว

ฮึ่ม!

แต่ไม่ว่าเขาจะโกรธแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางของขนนกได้ ดังนั้นแสงสีทองจึงปรากฏขึ้นด้านหลังมู่เฉิน ภายใต้ใบหน้าซีดเผือดของพรรคพวก ขนนกเล็งไปทางด้านหลังศีรษะหมายจะยิงทะลุเข้าไป

ม้ามืดคนนี้กำลังจะตายที่นี่เหรอ?

เมื่อมองฉากนี้ผู้คนก็ต้องถอนหายใจด้วยความสงสาร

รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจงเถิง ไม่ว่าแกจะมีพรสวรรค์แค่ไหน วันนี้ก็ต้องตายที่นี่!

ทว่ารอยยิ้มที่เพิ่งผุดออกมาก็ชะงักค้าง!

นั่นเป็นเพราะขณะที่ขนนกกำลังจะทะลุผ่านหัว มู่เฉินที่นิ่งมาตลอดก็ยื่นมือออกมาข้างหนึ่งคว้าขนนกไว้ ขณะที่แสงสีม่วงทองกะพริบบนมือ

ขนนกที่สามารถทะลุผ่านแนวป้องกันของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ หยุดลงโดยมือเรียวบางของมู่เฉิน!

สีหน้าของจงเถิงค่อยๆ แข็งทื่อลง

เจ้าของมือก็เปิดตาที่วูบไหวด้วยแสงสีทองในเวลานี้ เขาค่อยๆ หันกลับมามองด้วยสายตาไม่แยแส

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1008 จุดไฟตะเกียงทั้งเก้า
“ระเบิด!”

เมื่อเสียงแหบพร่าสะท้อนจากลำคอของมู่เฉิน แสงสีทองพร่างพราวก็ระเบิดตูมตามจากศิลาพลังยุทธ์ แต่ลำแสงไม่ได้เบ่งบานจากพื้นผิวของแผ่นศิลา กลับปะทุขึ้นจากภายในส่วนลึก…

ทุกสรรพสิ่งไม่ว่าภายนอกพื้นผิวจะแข็งแกร่งเพียงใด ภายในมักจะอ่อนแอกว่าเสมอ ซึ่งแผ่นศิลาสีดำที่อยู่ต่อหน้าเขาก็เป็นเช่นกัน

ดังนั้นเมื่อแสงสีทองระเบิด แผ่นศิลาก็สะท้านไหว แรงสั่นสะเทือนไปไกลเกินกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ไม่ไกลนักหานซัน มั่วเฟิงและจงเถิงก็รู้สึกสมองว่างเปล่าเมื่อเห็นแผ่นศิลาสะเทือนรุนแรง นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกถึงการระเบิดเฉียบพลันจากภายในแผ่นศิลาเช่นกัน

จากประสบการณ์ พวกเขารู้ดีว่าพลังงานต้องถูกทิ้งไว้ในแผ่นศิลาจากหมัดมู่เฉินก่อนหน้า ซึ่งถูกดูดซึมเข้าสู่ศิลาพลังยุทธ์

ทว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมพลังที่แผ่นศิลาดูดซับจึงยังเกิดการระเบิดได้โดยมู่เฉิน

เพราะตามสถานการณ์ปกติ ทุกแรงที่ซัดใส่แผ่นศิลาจะดูดซับ เนื่องจากแผ่นศิลานี้ทำมาจากเลือดเนื้อของเทพอสูรกลืนฟ้า ดังนั้นแผ่นศิลาจึงมีความสามารถในการย่อยอาหารที่น่ากลัว ตราบใดที่ไม่ได้เป็นพลังงานเหนือชั้นกว่าก็จะถูกกลืนกินจนหมดจดในพริบตา

แต่…ทำไมครั้งนี้พลังของมู่เฉินถึงไม่ถูกกลืนกิน กลับถูกควบคุมให้ระเบิดแทน?

ตึง!

ขณะที่ในใจพวกเขาว่างเปล่าไปหมด ตะเกียงทองแดงดวงสุดท้ายก็สั่นไหว ทันใดนั้นดวงตาทั้งสามคู่ก็เพ่งมองไป สายตาจ้องเขม็งที่ตะเกียงดวงที่เก้า เนื่องจากในตอนนี้มีสะเก็ดไฟปรากฏขึ้นในตะเกียงที่มืดมิด

แม้ว่าสะเก็ดไฟเหล่านั้นจะเล็กจ้อย แต่ก็เป็นของจริง ซึ่งหมายความว่ามู่เฉินกำลังพยายามจุดตะเกียงดวงที่เก้า!

นอกจากนี้ดูเหมือนเขาจะมีโอกาสประสบความสำเร็จด้วย!

แต่…เป็นไปได้ยังไง?!

จงเถิงใบหน้าบิดเบี้ยวไปเลยทีเดียว ตัวเขาทำได้เพียงแค่จุดตะเกียงหกดวงด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แม้แต่คนที่ทรงพลังอย่างหานซันก็ทำได้แค่เจ็ดดวงเท่านั้น

แต่ตอนนี้มู่เฉินกลับสามารถทำให้ตะเกียงดวงที่แปดลุกโชติช่วงและยังส่งสัญญาณว่ากำลังจะจุดตะเกียงดวงที่เก้าอีกด้วย!

จุดไฟตะเกียงทั้งเก้า!

แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไอเย็นยะเยือกก็พรั่งพรูในหัวใจของจงเถิง มีอัจฉริยะมากมายเข้ามาในดินแดนเสินโซ่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เขารู้ว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถจุดตะเกียงทั้งเก้าดวงในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณและพวกเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นสัตว์ประหลาดที่มีอนาคตไม่ธรรมดา

แต่ตอนนี้มนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกกำลังจะประสบความสำเร็จในเรื่องนี้เรอะ?

เป็นไปไม่ได้!

จงเถิงกัดฟัน ขณะที่ไฟริษยาพวยพุ่งในหัวใจ เขาพอยอมรับได้ว่าหานซันดีกว่าเขาเล็กน้อย แต่เขาไม่มีวันยอมรับมนุษย์ที่ต่ำต้อยจะเอาชนะเขาได้ มิเช่นนั้นแล้วเขาในฐานะอัจฉริยะเผ่ากระเรียนฟ้าจะเป็นอะไร? ตัวตลกเรอะ?

จงเถิงจ้องเขม็งไปที่ตะเกียงดวงที่เก้า ความเย็นชาในดวงตาพวยพุ่งราวกับต้องการจะดับประกายไฟในตะเกียง

และภายใต้การจ้องมองของจงเถิง ประกายไฟในตะเกียงดวงที่เก้าก็เหมือนจะหม่นแสงลงราวกับว่ากำลังจะอันตรธานหายไป

เมื่อมั่วเฟิงเห็นภาพนี้ดวงตาก็หดลง ดูเหมือนว่าพลังงานของมู่เฉินจะหมดลงแล้วสินะ? หากเป็นแบบนี้มู่เฉินจะไม่สามารถจุดไฟดวงที่เก้าได้

ทว่าขณะที่ความคิดนี้ไหลเวียนในใจของมั่วเฟิง หมัดของมู่เฉินซึ่งเชื่อมต่อกับแผ่นศิลาก็สั่นไหว เนื้อบนกำปั้นฉีกขาดออกจากกัน เผยให้เห็นกระดูกสีขาวน่าขนลุกขณะที่เลือดสดไหลนอง

กระดูกสีขาวถูกเปิดออก ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นดุดัน เขาคำรามลั่น “ลุกโชนซะ!”

ครืน! ครืน!

ภายใต้เสียงคำราม พลังงานทั้งหมดที่เขาส่งเข้าไปในแผ่นศิลาตอนแรกก็ระเบิดรุนแรง เสียงกัมปนาทดังกึกก้องต่อเนื่อง พร้อมกับการระเบิดครั้งใหญ่ อีกสามคนที่ยืนอยู่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นประกายไฟบนตะเกียงดวงที่เก้าซึ่งกำลังหรุบหรู่ลงกลับมาสว่างสดใสทันตา มิหนำซ้ำยังกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายก็โชนแสงอย่างสมบูรณ์ในตะเกียงดวงที่เก้า

ไฟในตะเกียงดวงที่เก้าจุดติดแล้ว!

เมื่อตะเกียงดวงที่เก้าสว่างขึ้นสถานการณ์ทั้งในและนอกเจดีย์ก็นิ่งงัน…

หานซัน มั่วเฟิงและจงเถิงจ้องเขม็งที่ตะเกียงทองแดงดวงที่เก้าด้วยใบหน้าตะลึงพรึงเพริด กระทั่งมั่วเฟิงก็ยากที่จะสงบคงใบหน้านิ่งเรียบไว้ได้

ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะจุดไฟตะเกียงดวงที่เก้าได้จริงๆ

ขณะนี้ด้านนอกของเจดีย์นิ่งเงียบ ทุกคนอ้าปากตาค้างด้วยความตกใจฉายบนใบหน้า ขณะที่มองหน้าจอแสงชั้นสี่ สายตาทุกคู่จ้องเขม็งบนตะเกียงทองแดงดวงที่เก้า

ใบหน้าของหลิ่วชิงและจอมยุทธ์เผ่ากระเรียนฟ้าฉายความว่างเปล่า ไฟในตะเกียงดวงที่เก้าเต้นระริกในม่านตาของพวกเขา ความรู้สึกเย็นยะเยือกไม่รู้จบพล่านในใจ

จงเถิงที่สามารถจุดตะเกียงได้หกดวงเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่ากระเรียนฟ้า แต่เทียบกับมู่เฉินที่จุดตะเกียงทั้งเก้าดวงได้ เขานับเป็นอะไรได้อีก?

ตะเกียงหกดวงและเก้าดวง

กระทั่งคนอย่างพวกเขาที่ไม่ได้เข้าไปในเจดีย์ยังรู้ถึงความหมายของช่องว่างนี้ แม้ว่าแผ่นศิลาจะแสดงถึงความแข็งแกร่งของพลังกายเท่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่สงสัยเลยว่าหมัดของมู่เฉินเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็จะได้รับบาดเจ็บหนักทันที

ด้วยพลังของระดับจื้อจุนขั้นหกสามารถทำร้ายขั้นเจ็ดได้ด้วยหมัดเดียว

นี่เป็นสัตว์ประหลาดอะไรกัน?

ใบหน้าของจงฮั้วซีดเผือด หากก่อนหน้าที่เขาต่อสู้กับมู่เฉิน แล้วอีกฝ่ายใช้หมัดแบบนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โตแน่นอน…

เมื่อคิดถึงอาการเยาะเย้ยที่มีก่อนหน้า พวกเขาก็รู้สึกหายใจไม่ออก เมื่อตะเกียงทองแดงทั้งเก้าดวงสว่างสุกสกราว พวกเขาก็รู้ว่าอัจฉริยะทั้งหมดที่นี่จะหม่นหมองเมื่อเทียบกับมู่เฉิน

“ชายคนนี้…ทำไมถึงน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้…”

ใบหน้าของหลิ่วชิงซีดเผือดขณะที่พูดออกมาด้วยความยากลำบาก ในเวลานี้ไม่ว่านางจะวาจาคมกริบขนาดไหน นางก็ไม่กล้าเยาะเย้ยเขาอีกแล้ว พลังที่อีกฝ่ายแสดงทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวจากใจ

ชายคนนี้น่ากลัวเกินไป

จอมยุทธ์เผ่ากระเรียนฟ้าที่ยืนอยู่ข้างๆ นางก็พูดไม่ออก พวกเขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามู่เฉินปล่อยพลังน่ากลัวเพียงนี้ได้อย่างไรด้วยขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นหก

“พี่ใหญ่มู่เฉินน่าเกรงขามแท้จริง… สุดยอดยิ่งกว่าพี่ใหญ่มากเลย” ขณะที่คนอื่นๆ รู้สึกหวาดกลัวในใจมั่วหลิงก็เบิกตากลมโตกว้าง ดวงตามองตะเกียงทองแดงทั้งเก้าดวงบนหน้าจอภาพด้วยความตะลึงและชื่นชม

ความเคารพนับถือฉายบนใบหน้า นางคิดเสมอว่ามั่วเฟิงโดดเด่นที่สุดในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ แต่เมื่อเทียบกับมู่เฉินแม้แต่มั่วเฟิงก็ด้อยกว่าบ้าง

จิ่วโยวก็สติหลุดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆ หายจากอาการตะลึงงัน เมื่อนางได้ยินคำพูดของมั่วหลิงก็อดยิ้มไม่ได้ “ขายพี่ชายตัวเองเร็วไปไหม? มู่เฉินต้องใช้ทักษะบางอย่างเพื่อทำให้ตะเกียงทั้งเก้าดวงลุกโชน นอกจากนี้นี่แค่ในแง่ของความแข็งแกร่งทางพลังกาย ไม่ได้แปลว่ามู่เฉินทรงพลังกว่าหานซัน มั่วเฟิงและคนอื่นๆ เพราะสำหรับพวกเขาแล้วความแข็งแกร่งของร่างกายมีสัดส่วนไม่ถึงครึ่งในพลังทั้งหมด”

มั่วหลิงพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดนั่น แต่ความเคารพบนใบหน้าไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะภาพเงาที่ปรากฏบนหน้าจอยังคงท่าการออกหมัดที่คมชัด ทำให้ไม่อาจละสายตาไปได้

จิ่วโยวยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม นางค่อยๆ ผ่อนคลายหัวใจที่เกลียวแน่นขณะที่มองร่างเงาสูงโปร่งบนหน้าจอก่อนที่ความภาคภูมิใจจะพล่านขึ้นในใจ ผู้อาวุโสในเผ่ามักจะมองมู่เฉินด้วยความดูถูก แต่เมื่อไรที่ได้รู้เกี่ยวกับศักยภาพของมู่เฉินที่แสดงภายในเจดีย์ พวกเขาคงต้องพิจารณาความคิดของตนเองใหม่แล้วสินะ?

ตะเกียงทั้งเก้าดวงสว่างไสวเบื้องหน้าแผ่นศิลา

เปลวไฟเต้นระริกอยู่ในดวงตาของมู่เฉินก็ค่อยๆ สลายสภาพจิตใจว่างเปล่าลง ดังนั้นการสัมผัสต่อโลกภายนอกจึงกลับมาอีกครั้ง อึดใจความเจ็บปวดรุนแรงที่มาจากมือก็ทำเอาใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว

เขาค่อยๆ ถอนกำปั้น แสงสีทองก็เริ่มพวยพุ่ง แต่เนื่องจากเขาใช้พลังงานทั้งหมดไป ดังนั้นกล้ามเนื้อจึงให้ความรู้สึกไม่มีแรง เขาพบว่าไม่มีแรงแม้แต่ขยับเท้า

นี่เป็นสัญญาณของการหมดพลังงานอย่างสมบูรณ์

มุมปากมู่เฉินกระตุกอย่างยากลำบาก ตอนนี้ทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่หน้าศิลา พยายามไม่ให้ล้มครืนลงในสภาพที่น่าสมเพช…

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ขณะที่มู่เฉินรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าในร่างกาย ความปั่นป่วนก็ก่อตัวจากแผ่นศิลา รอยแตกสีแดงเลือดปรากฏบนพื้นผิวราวกับเส้นรยางค์

แผ่นศิลาสั่นไหว รัศมียุ่งเหยิงสีแดงสดก็ไหลออกมา

รัศมียุ่งเหยิงนี้ผสมด้วยแก่นหนาแน่นสูงมาก ในเวลาเดียวกันก็มีแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าบรรจุอยู่ภายใน เพียงแค่มู่เฉินสูดลมหายใจเอารัศมีเข้าไป กำปั้นอาบเลือดก็หายดีในพริบตา

เลือดเนื้อในร่างกายพลุ่งพล่านในเวลานี้ ราวกับว่ากำลังคำรามด้วยความกระหายอยากจะกลืนกินรัศมีนี่!

ดวงตามู่เฉินสว่างวาบ รัศมียุ่งเหยิงนี่มีความหนาแน่นมากกว่าของหานซัน มั่วเฟิงและจงเถิงหลายสิบเท่าเลยทีเดียว!

รางวัลสำหรับการจุดตะเกียงทั้งเก้าดวงเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนอื่นมัวเมา

มู่เฉินเปรมปรีดิ์ในใจและไม่ลังเลอีกต่อไป เขาเปิดปากดูดซับรัศมีสีแดงสดที่ไหลออกมาจากแผ่นศิลเข้าสู่ร่างกายทันที

ขณะที่มู่เฉินดูดซับรัศมีนี้ ดวงตาของจงเถิงก็เปล่งประกายด้วยแสงเย็น เขาบอกได้ว่ามู่เฉินไม่มีแรงเหลือในตอนนี้แล้ว เขาสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายด้วยการสะบัดนิ้วครั้งเดียว!

แค่คิดได้จงเถิงก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เท้าก้าวออกไปทันที

เขาต้องแย่งรัศมีสุดยอดนั่นมาให้ได้!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1007 กระบวนท่าของมู่เฉิน
เบื้องหน้าศิลาพลังยุทธ์

มู่เฉินที่ยืนนิ่งเงียบสายตาก็กวาดมองรอยมือนับไม่ถ้วนบนแผ่นศิลา เขาเหมือนจะสัมผัสได้ถึงจอมยุทธ์มากมายที่มายืนอยู่ตรงหน้าสถานที่แห่งนี้เพื่อรวบรวมความแข็งแกร่งของพลังกายแล้วซัดกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดออกไป

ว่ากันว่าในสมัยโบราณเคยมีจอมยุทธ์ที่ทำให้ตะเกียงทองแดงทั้งเก้าดวงส่องสว่าง นี่ทำเอามู่เฉินอึ้งไป แน่นอนว่าเขาก็รู้ว่าผู้ที่จะจุดตะเกียงได้เก้าดวงมีขุมพลังเหนือชั้นกว่าพวกเขาแน่นอน มากจนมีความเป็นไปได้ที่จะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นแปดหรือขั้นเก้า

ยิ่งเมื่อบวกกับความสามารถในการชำระกายของดินแดนเสินโซ่ในยุคโบราณ ซึ่งทำให้จอมยุทธ์ ณ ที่แห่งนี้ล้วนมีพลังกายแข็งแกร่ง ดังนั้นมู่เฉินไม่สงสัยเลยว่าพวกเขาจุดตะเกียงทั้งเก้าดวงได้

นอกจากนี้หลังจากดินแดนเสินโซ่แตกเป็นเสี่ยง ทำให้จำนวนจอมยุทธ์อัจฉริยะที่สามารถจุดไฟทั้งเก้าดวงในเจดีย์ก็มีลดน้อยลงมาก

คนเหล่านั้นล้วนเป็นตัวประหลาดสุดขั้วในรุ่นนั้นๆ แม้แต่อัจฉริยะของเผ่าอื่นๆ ก็ยังหม่นหมองเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา

สำหรับการจุดไฟตะเกียงทั้งเก้าดวงนั้น มู่เฉินรู้ดีว่ายากลำบากมากแค่ไหน กระทั่งคนที่ทรงพลังอย่างหานซันก็แทบจะไม่สามารถทำให้ตะเกียงดวงที่เจ็ดส่องสว่างด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มี ซึ่งนี่ยังมีช่องว่างกว้างใหญ่ก่อนจะไปถึงตะเกียงดวงที่เก้า

ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่สามารถประเมินได้ว่าตนเองจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้เขาก็ต้องทุ่มให้สุดแรงเกิด!

เพื่อให้บรรลุขั้นสองของกายามังกรหงส์ได้ในเจดีย์ฝึกพลังกายนี้!

ฮา!

มู่เฉินสงบใจลงแล้วหายใจลึกๆ หมัดเขากำแน่นภายใต้สายตาที่จ้องมองมา

แสงสีทองบางจางเริ่มแผ่ซ่านจากร่างมู่เฉิน แช่ตัวเขาด้วยทองคำ ราวกับว่าเขาถูกสร้างขึ้นมาจากทองคำแท้ เมื่อเวลาผ่านไปก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นประหนึ่งว่าเขาเป็นรูปปั้นทองคำโบราณ

การเร้าวิชากายามังกรหงส์ค่อยๆ ดึงความแข็งแกร่งทั้งหมดในร่างกายออกมา ครั้งนี้เขาจะผลักดันวิชานี้ให้ถึงขีดสุดไปเลย!

ไม่ไกลนัก จงเถิง หานซันและมั่วเฟิงก็มองดูมู่เฉิน ก่อนที่ดวงตาจะหรี่ลง นั่นเป็นเพราะพวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหนักแน่นมั่นคงที่มาจากมู่เฉิน

มู่เฉินให้ความรู้สึกราวกับว่าเป็นเหมือนภูเขาสูงตระหง่านที่ยืนค้ำระหว่างสวรรค์และโลก

เมื่อเขาค่อยๆ เร้าวิชากายามังกรหงส์ไปจนถึงขีดสุด ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนแขนของมู่เฉินก็บิดตัวไปมา จากนั้นเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก็ดังสะท้อนออกมาจากร่างกายของเขา สั่นสะเทือนทั่วสรรพางค์กาย ทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นทบทวีคูณ

เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าเร่งเร้ามากขึ้น ร่างกายของมู่เฉินก็สั่นเทิ้มเมื่อเกิดการเดือดพล่าน โดยเฉพาะลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนแขนของเขาก็เดือดปุดราวกับว่าทำจากเหล็กร้อน

ดวงตาของมู่เฉินเปล่งประกายด้วยแสงสีทองมากขึ้น การหายใจหนักหน่วง นั่นเป็นเพราะพลังงานในร่างกายเขาได้ควบรวมไปถึงระดับที่น่ากลัว แข็งแกร่งกว่าตอนที่เขาทำให้ลู่สุยบาดเจ็บเสียอีก!

แววตาของอีกสามคนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เมื่อพวกเขาจ้องมองร่างเงาที่กำจายแสงสีทองสว่างอย่างต่อเนื่อง แสงสีทองนั้นไม่ใช่คลื่นหลิง แต่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามู่เฉินเร้ากระแสโลหิตและรัศมีของตัวเขาไปถึงขีดสุด ทว่าที่ทำให้พวกเขาอึ้งไปเพราะความจริงที่ริ้วแสงที่เปล่งจากมู่เฉินแปลกประหลาดอย่างมาก ดูเหมือนจะมีแรงกดดันที่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกคุกคามด้วย

“ไม่คิดว่าระดับจื้อจุนขั้นหกจะรวมพลังได้น่าสะพรึงเช่นนี้…” สายตาคมกริบของหานซันจ้องมองไปที่มู่เฉิน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ประเมินมู่เฉินต่ำไป แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะโดดเด่นเช่นนี้ เขามีลางสังหรณ์ว่ากระบวนท่าของมู่เฉิน อาจเหนือกว่าจงเถิง มั่วเฟิงและอาจรวมถึง…เขาด้วย!

มนุษย์คนนี้ไม่ธรรมดา

ยามนี้มู่เฉินไม่สามารถสัมผัสแววตาเคร่งเครียดของพวกเขาได้แล้ว เมื่อเลือดในร่างกายต้มเดือด เขาก็พบว่าความวุ่นวายภายนอกถูกปิดกั้น ราวกับว่าเขาเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในโลกนี้

สภาวะนี้ทำให้พลังงานในร่างกายของมู่เฉินไปถึงจุดสูงสุด

แสงสีทองมากมายพรั่งพรูออกมาจากดวงตาของมู่เฉิน พลังงานในร่างกายก็มาถึงจุดสูงสุดอย่างสมบูรณ์ มากเกินจนกระทั่งเขารู้สึกเจ็บปวดทั้งกระดูกและเลือดเนื้อ

นี่เป็นการแสดงว่าถึงขีดสุดแล้ว

ในเมื่อมาถึงขีดสุดแล้ว ก็ถึงเวลาออกกระบวนท่าได้!

ใบหน้าของมู่เฉินไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ ราวกับว่าปล่อยว่างเปล่าทุกอย่าง เขากำหมัดขวาแน่น จากนั้นก็เหวี่ยงออกไป

ทันทีที่มู่เฉินเหวี่ยงหมัด ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็บิดตัวทะยานเข้ามาสถิตที่แขนขวาของเขา ก่อนที่แสงสีทองจะกระจายออกมา มังกรทองคำและกรงเล็บหงส์ฟ้าเหยียดออกห่อหุ้มกำปั้นของเขาไว้

โฮก!

จังหวะที่หมัดเหวี่ยงออกไป เสียงคำรามเฉียบคมก็ไม่สามารถปิดกั้นไว้ได้ด้วยร่างกายของมู่เฉิน คลื่นเสียงกระเพื่อมออกไปสะท้อนก้องไปทั่วจัตุรัสโบราณ

เวลานี้ร่างกายของหานซัน มั่วเฟิงและจงเถิงก็แข็งทื่อ พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันน่าสะพรึงกลัวกระจายออกจากร่างของมู่เฉินอย่างรุนแรง

แรงกดดันนี้ทำให้กระทั่งสายเลือดยังถึงกับสั่นไหว

นี่เป็นการสยบสายเลือด!

การสยบนี้ทำให้ทั้งสามรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เนื่องจากสายเลือดของพวกเขาอยู่ในระดับสูง ซึ่งถือเป็นอันดับต้นๆ ในโลกสัตว์อสูร แต่ตอนนี้สายเลือดของพวกเขากลับถูกระงับโดยพลังที่มาจากมู่เฉินหรือ?

ซึ่งนั่นเป็นไปได้สำหรับสายเลือดของมหาเทพอสูรเท่านั้น!

ขณะที่ทั้งสามคนตกตะลึง หมัดทองคำของมู่เฉินซึ่งผสานไว้ด้วยมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ซัดออกมาแหวกกระแสลม สุดท้ายกระแทกเข้ากับแผ่นศิลาสีดำด้วยคลื่นพลังทองคำ

ตู้ม!

ทันทีที่เกิดการปะทะ ทั้งสามก็รู้สึกได้ว่าจัตุรัสโบราณสั่นไหว มากจนแม้กระทั่งแผ่นศิลาที่มีความทนทานสูงก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย

ทั้งสามคนจ้องเขม็งจุดปะทะระหว่างหมัดและแผ่นศิลา จากนั้นม่านตาก็หดตัว

ระลอกคลื่นทองคำกระจายออกจากจุดนั้น กำปั้นของมู่เฉินก็ฉีกขาดเลือดสดพุ่งเป็นสาย เหมือนจะสามารถมองเห็นกระดูกสีขาวได้เลือนราง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหมัดของเขาทรงพลังเพียงใด จนถึงจุดที่แม้แต่พลังกายของเขาก็ไม่สามารถทนรับคลื่นกระแทก ทำให้กำปั้นเกิดการฉีกขาด

ทว่าต่อให้เลือดไหลนองจากกำปั้น กระดูกสีขาวโผล่ออกมาให้เห็น มู่เฉินก็ไม่มีความคิดที่จะถอนหมัดกลับมา ตรงกันข้ามเขากลับคำราม พลังทั้งหมดในร่างกายพุ่งออกจากหมัดรุนแรงทุกหยาดหยด

ระลอกคลื่นทองคำกระเพื่อมบนหมัดมู่เฉิน กวาดไปทั่วพื้นผิวของศิลาพลังยุทธ์

ใต้เท้ามู่เฉิน พื้นหินโบราณก็เกิดรอยแตกขึ้นอย่างเงียบๆ

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ภายใต้ผลกระทบที่น่าสยดสยองทั้งสามคนก็เห็นเปลวไฟลุกโชนบนตะเกียงทองแดงอย่างต่อเนื่อง

ดวงที่หนึ่ง ดวงที่สอง… ดวงอื่นๆ ถูกจุดขึ้นอย่างรวดเร็ว!

อึดใจเดียวตะเกียงทองแดงหกดวงก็สว่างไสว!

เมื่อตะเกียงดวงที่หกลุกโชน ประกายไฟก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็วบนดวงที่เจ็ด ก่อนที่จะพวยพุ่งโชติช่วงภายใต้สายตาที่มองมาอย่างตื่นตกใจนับไม่ถ้วน

“ตะเกียงดวงที่เจ็ดสว่างขึ้นแล้ว!” ด้านนอกเจดีย์เสียงอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจดังก้อง ทุกคนฉายความไม่เชื่อบนใบหน้า นั่นเป็นเพราะมู่เฉินทำให้ตะเกียงดวงที่เจ็ดสว่างไสวเร็วยิ่งกว่าหานซันเสียอีก!

ใบหน้าของหานซันเปลี่ยนไป จากนั้นก็จ้องเขม็งที่ตะเกียงดวงที่แปด แม้ว่าจะยังดับสนิทดำมืด แต่เขาก็รู้สึกได้คลุมเครือว่าพลังของมู่เฉินยังไม่หมด

ภายใต้สายตาจับจ้องของหานซัน ความมืดในตะเกียงดวงที่แปดคงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ประกายไฟจะลุกพรึ่บ…

มั่วเฟิงและจงเถิงที่เห็นประกายไฟก็สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด พลังของมู่เฉินทำให้เกิดประกายไฟปรากฏในตะเกียงดวงที่แปดได้ด้วย!

นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่หานซันก็ทำไม่ได้!

แหมะ!

เลือดหยดลงมาจากกำปั้นของมู่เฉินอย่างต่อเนื่อง เผยให้กระดูกสีขาวเลือนราง ทว่าเขาก็ยังไม่ขยับเขยื้อน คลื่นสีทองยังคงผันผวนออกมาจากกำปั้นทองคำพุ่งเข้าใส่แผ่นหินสีดำอย่างบ้าคลั่ง

ชี่! ชี่!

ในตะเกียงดวงที่แปดประกายไฟที่อ่อนแอเริ่มแรกก็เพิ่มขึ้น ประกายที่สอง… ประกายที่สาม …

ประกายแสงค่อยๆ ปรากฏขึ้น ท่ามกลางดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นของทั้งสามคน จนสุดท้ายเมื่อประกายแสงรวมจนถึงขีดสุดก็ปะทุเปลวไฟลุกโชนขึ้น

ตะเกียงดวงที่แปดสว่างขึ้นแล้ว!

ใบหน้าของทั้งสามแข็งทื่อไป พวกเขาตะลึงพรึงเพริดเมื่อมองตะเกียงดวงที่แปดซึ่งถูกจุดขึ้น ก่อนที่จะมองไปที่ร่างอ่อนเยาว์ราวกับก้อนหินเบื้องหน้าแผ่นศิลาด้วยความตกใจในใจจนพูดอะไรไม่ออก

ใครจะไปคิดได้ว่ามู่เฉินจะสามารถจุดตะเกียงทองแดงดวงที่แปดได้!

พลังที่มีอยู่ในหมัดนั้นน่ากลัวเพียงใด!

แม้แต่พวกเขาก็คงต้องใช้กำลังทั้งหมดเพื่อเผชิญหน้ากับพลังนั้นใช่ไหม?

ด้านนอกของเจดีย์เงียบกริบ เมื่อตะเกียงทองแดงดวงที่แปดสว่างขึ้น…

ทว่าขณะที่พวกเขาตกตะลึงจนพูดไม่ออก ดวงตามู่เฉินที่มีริ้วสีทองพล่านอยู่ก็ยังจับจ้องไปที่ศิลาพลังยุทธ์ ความเจ็บปวดที่มาจากกำปั้นถูกมองข้าม สมองเขารู้สึกว่างเปล่าหลังจากใช้พลังแบบนี้ออกไป

แต่ไม่รู้ว่าทำไมสัญชาตญาณของเขาบอกว่านี่ยังไม่จบ!

เขารู้สึกเลือนรางว่ายังสามารถควบคุมพลังที่ซัดใส่แผ่นศิลาราวกับว่าเป็นพลังงานลับที่ซ่อนอยู่

ถ้าพลังงานนั้นระเบิดออกก็จะทำให้เกิดพลังทำลายล้างที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม

ไม่แน่อาจสามารถทำให้จุดตะเกียงดวงที่เก้าได้ด้วย!

แสงสีทองพวยพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง จากนั้นเขาไม่ลังเลอีกต่อไปกดกำปั้นลงบนแผ่นศิลา เสียงแหบพร่าเค้นออกมาจากลำคอ

“ระเบิด!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1006 ตะเกียงเจ็ดดวง
ประกายแสงบนตะเกียงดวงที่เจ็ดจางลงบนแผ่นศิลา

ภาพนี้บอกได้ว่านี่คือล้มเหลว แต่มั่วเฟิงก็ยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่งไม่เสื่อมคลาย ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรกับผลลัพธ์ เขาค่อยๆ ถอนมือกลับขนหงส์ฟ้าสีทองที่แขนก็จางหายไป

กระบวนท่าฝ่ามือเมื่อครู่ดูไม่หนักหน่วง แต่เขารู้ว่านี่เป็นการโจมตีชั้นยอดของตนแล้ว

ที่ด้านหลังใบหน้าของจงเถิงบิดเบี้ยวเมื่อเฝ้ามองฉากนี้ ก่อนหน้าตอนเขาเผชิญหน้ากับมั่วเฟิงดูเหมือนแต่ละฝ่ายจะไม่สามารถทำอะไรกันได้ ไม่คิดว่าในแง่ของความแข็งแกร่งพลังกายเขาจะแพ้อีกฝ่ายอยู่เล็กน้อย

แม้นั่นไม่ได้หมายความว่าพลังการต่อสู้ของมั่วเฟิงแข็งแกร่งกว่า แต่จงเถิงก็รู้สึกไม่ดี สำหรับคนที่ภูมิใจในตัวเองแบบเขา

“ฮ่าๆ ฝีมือของพี่มั่วน่าเกรงขามจริงๆ แต่ตอนที่เจ้าออกกระบวนท่าเมื่อครู่ มีเสียงร้องของหงส์ฟ้าด้วย ดูเหมือนพี่มั่วจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเผ่าหงส์ฟ้าสินะ?” ดวงตาของหานซันกะพริบเบาบางพลางยิ้ม

มั่วเฟิงไม่ตอบกลับและไม่สนใจ เขาจ้องมองที่แผ่นศิลาสีดำเบื้องหน้าพร้อมกับแสงแล่นแปลบปลาบในดวงตา

ฮึ่ม!

ภายใต้การจ้องมองของมั่วเฟิง แผ่นศิลาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว พื้นผิวสั่นไหวจากนั้นรัศมีปั่นป่วนก็พุ่งออกมา เมื่อเทียบกับที่จงเถิงได้รับเห็นชัดว่านี่เข้มข้นกว่า

มั่วเฟิงจ้องมองรัศมีจากนั้นก็ดูดเข้าไปในปากกลืนกินแก่นพลังในอึกเดียว ทันใดนั้นดวงตาเขาก็เปล่งแสงสีแดงเข้ม มิหนำซ้ำยังมีเปลวไฟลุกขึ้นบนชั้นผิวร่างกายด้วย คลื่นพลังงานเล็ดลอดออกมา

ความปั่นป่วนในร่างมั่วเฟิงกินเวลาหลายนาทีก่อนที่เขาจะลืมตา เมื่อเขาลืมตาความกดดันแผ่วเบาก็แผ่ออกจากร่างกาย เห็นได้ชัดว่าหลังจากดูดซับแก่นเทพอสูรกลืนฟ้าแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก

เมื่อภาวะการณ์ในร่างกายสงบลง มั่วเฟิงก็ถอยออกจากเบื้องหน้าศิลาพลังยุทธ์ ตอนนี้เหลือหานซันกับมู่เฉินที่ยังไม่ลงมือแล้ว

มู่เฉินมองไปที่หานซัน อีกฝ่ายก็ยิ้มด้วยตายิบหยี “หลังจากดูมาสามรอบ ข้าคันมือไปหมดแล้ว ขอข้าก่อนเลยนะ?”

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ปฏิเสธอะไรอีกฝ่าย

เมื่อหานซันเห็นคำตอบก็ก้าวออกไป ไม่ว่าจะเป็นสายตาภายในหรือภายนอกเจดีย์ก็พุ่งตรงมาที่เขาในเวลานี้

จากบางมุมมอง หานซันน่าจะอยู่ในอันดับต้นของสิบจอมยุทธ์อัจฉริยะที่เข้าสู่เจดีย์ ความสามารถในการต่อสู้ของเขาเป็นสิ่งที่แม้แต่คนที่มีความภาคภูมิใจอย่างจงเถิงยังต้องยอมรับ ในแง่ของพลังกายในฐานะสมาชิกเผ่าแรดอสูร เขามีข้อได้เปรียบมากมาย

แน่นอนว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพลังในการต่อสู้ ดังนั้นในศึกมรณะที่แท้จริงเราไม่อาจได้รับชัยชนะโดยอาศัยพลังนี้เพียงลำพัง

อัจฉริยะอย่างพวกจงเถิงน่าจะมีวิธีพิเศษเพื่อชดเชยช่องว่างของพลังกาย

ภายใต้สายตาของทุกคนที่จ้องมองมา ร่างของหานซันก็ยืนอยู่เบื้องหน้าศิลาพลังยุทธ์ เขายืนด้วยท่าสองมือไพล่หลัง เงยหน้ามองไปที่แผ่นศิลา ท่วงท่าสบายๆ พร้อมกับมีแรงกดดันที่น่าอัศจรรย์กระจายออกไปจากร่างเขา

ยามนี้เขาราวกับแรดปีศาจยุคดึกดำบรรพ์ที่พุ่งทะลุผ่านชั้นฟ้าและชั้นดิน ราวกับว่าสามารถทำลายภูเขาที่ขวางทางออกจนหมดได้

หานซันปิดตาลง ร่างค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเลือดในร่างกายของเขากำลังเริ่มเดือดพล่าน ก่อนที่เลือดและรัศมีจะซึมออกมา ก่อตัวเป็นแรดสีแดงโลหิตขนาดใหญ่หลายสิบจั้งที่เบื้องหลัง

แรดยืนตระหง่านบนพื้นดิน เขาแรดสีแดงเลือดโง้งอยู่บนหน้าผาก ขณะที่เขาขยับเบาๆ ก็ตัดผ่านมิติ แสดงให้เห็นว่าเฉียบคมแค่ไหน

แรดตัวใหญ่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างหลังหานซัน เท้าหน้าตะกุยดินอย่างช้าๆ เตรียมพร้อมพุ่งชน แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้เกิดเสียงดังใดๆ แต่ทุกคนก็รู้สึกได้ว่ารัศมีของแรดตัวใหญ่นี้กำลังพลุ่งพล่าน

ริ้วแสงสีโลหิตรอบตัวหานซันค่อยๆ หนาแน่นขึ้นจนถึงขีดสุด

ทันใดนั้นดวงตาเขาก็เปิดกว้าง สีนัยน์ตาทั้งสองเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน อึดใจต่อมาเขาก็ก้าวออกไปพร้อมสองนิ้วประสานกันแทงไปที่แผ่นศิลาสีดำ

ที่ด้านหลังแรดโลหิตก็พุ่งออกมาทะลุผ่านร่างหานซัน มันลดหัวโดยให้เขาหลอมรวมกับนิ้วมือของหานซันอย่างสมบูรณ์แบบ

ดัชนีนี้แฝงด้วยแรดอสูรที่มีพลังทำลายโลก เขานี้สามารถแทงทะลุเกราะป้องกันใดๆ ได้

ตึง!

ดัชนีของหานซันทะลุผ่านมิติแทงลงไปรุนแรงบนแผ่นศิลาภายใต้สายตาที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน แรงกระทบทำให้นิ้วทั้งสองเกิดรอยฉีกขาดขึ้นทันควัน ทั่วทั้งเรียวนิ้วอาบด้วยเลือด

ทว่าพื้นผิวของแผ่นศิลาก็เพียงสั่นไหวเล็กน้อย ระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายอยู่บนพื้นผิวนั่น

การเคลื่อนไหวนี้น่าตื่นตายิ่งกว่าสามครั้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าซะอีก!

สายตาของผู้คนจับจ้องอยู่บนแผ่นศิลา ระลอกคลื่นกระจายออกไป หลังจากนั้นประกายไฟพร่างพราวก็พวยพุ่งบนตะเกียงทองแดงเหล่านั้นทันที!

ฟู่! ฟู่!

เพียงชั่วลมหายใจ ตะเกียงทองแดงห้าดวงก็ส่องสว่าง จากนั้นตะเกียงดวงที่หกก็สว่างพรึ่บหลังจากชะงักไปครู่เดียว เปลวไฟสีแดงเลือดปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงดังปุ

เมื่อตะเกียงดวงที่หกส่องสว่าง สายตาของมู่เฉินและคนอื่นก็เลื่อนไปที่ตะเกียงดวงที่เจ็ดในเวลาเดียวกัน เนื่องจากพวกเขารับรู้ได้ว่าพลังของหานซันยังไม่หมด

ภายใต้สายตาของพวกเขาประกายไฟแล่นเข้าไปในตะเกียงดวงที่เจ็ด จากนั้นก็รวมตัวกันช้าๆ

ถึงแม้ว่าความเร็วในการรวบรวมจะช้ามาก แต่ก็เสถียรมากกว่าของมั่วเฟิง

ชี่! ชี่!

เมื่อประกายไฟเพิ่มขึ้นถึงระดับหนึ่งก็กระจายออก กลายเป็นเปลวไฟลุกโชติช่วง ทำให้ตะเกียงทองแดงดวงที่เจ็ดถูกจุดอย่างสมบูรณ์

ตะเกียงดวงที่เจ็ดสว่างขึ้นแล้ว!

โห่ๆๆๆ!

ความโกลาหลสะท้อนอยู่นอกเจดีย์ ทุกคนต่างแสดงความประหลาดใจและชื่นชมบนใบหน้า หานซันเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในเผ่าแรดอสูรแท้จริง เขาปราบจงเถิงและมั่วเฟิงได้อย่างราบคาบ

“หานซันน่ากลัวจริงๆ” แม้แต่จิ่วโยวก็พยักหน้าเบาๆ แม้ว่าแผ่นศิลานี้จะวัดแค่ความแข็งแกร่งทางกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่นางก็เข้าใจว่าความแข็งแกร่งโดยรวมของหานซันไม่ได้อ่อนแอแม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด

“ตะเกียงดวงที่เจ็ดสว่างแล้ว”

มั่วหลิงก็อดชื่นชมไม่ได้ ถึงพี่ชายนางจะสามารถจุดไฟในตะเกียงดวงที่เจ็ดได้ แต่ก็ไม่ถึงระดับที่จะทำให้ส่องสว่าง เห็นได้ชัดว่าหานซันเหนือกว่ามั่วเฟิงในแง่ของความแข็งแกร่งทางกายภาพ

“ตอนนี้เหลือพี่ใหญ่มู่เฉินคนเดียว ไม่รู้ว่าความสำเร็จของเขาจะไปถึงระดับไหน?” มั่วหลิงมีท่าทางอยากรู้อยากเห็น

จิ่วโยวส่ายหัว ขนาดตัวนางก็ยังไม่เข้าใจถึงความแข็งแกร่งทางกายภาพของมู่เฉินดีเลย นางรู้แค่ว่ามู่เฉินไม่เคยทิ้งการฝึกฝนบนเส้นทางพลังกาย ตั้งแต่กายาเทพสายฟ้าในอดีตจนมาถึงกายามังกรหงส์ในปัจจุบัน ทั้งสองวิชาล้วนเป็นทักษะการขัดเกลาพลังกายที่ล้ำลึก มิหนำซ้ำมู่เฉินยังประสบความสำเร็จสูงทั้งสองวิชาอีกด้วย

ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะไม่ใช่เทพอสูร พลังกายของเขาก็เปรียบได้กับเทพอสูรยิ่งใหญ่และอาจแข็งแกร่งกว่าด้วย

“ด้วยความแข็งแกร่งไม่น่าจะยากสำหรับเขาที่จะผ่านการทดสอบชั้นสี่… แต่จะเทียบเคียงกับหานซันได้ไหมก็ต้องรอดูเอาแล้ว” จิ่วโยวกล่าวเสียงขรึม ศักยภาพของหานซันยอดเยี่ยมมากแม้แต่ในข้อมูลที่นางรู้ ดังนั้นนางจึงไม่มั่นใจว่ามู่เฉินจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้หรือไม่

ขณะที่ความโกลาหลดังกึกก้องอยู่นอกเจดีย์

แรดโลหิตด้านหลังหานซันก็จางหายไปอย่างช้าๆ เขาค่อยๆ ถอนนิ้วกลับมา บาดแผลที่นิ้วก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อสั่นไหวเบาๆ

เขามองตะเกียงเจ็ดดวงที่สว่าง เขาก็ยิ้มเห็นได้ชัดว่าไม่แปลกใจกับความจริงนี้

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ศิลาพลังยุทธ์เริ่มสั่น อักขระโลหิตจางๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นผิว รัศมีปั่นป่วนกวาดออกมา แต่คราวนี้รัศมีนี่กลับถูกผสมกับริ้วสีแดงเข้ม

“นั่นมัน…” มู่เฉินจ้องที่แก่นเทพอสอูรดกลืนฟ้าที่แตกต่างไปจากครั้งก่อนๆ อย่างสิ้นเชิง แสงก็วูบไหวในดวงตา

“นี่คือรัศมีเลือดที่บรรจุอยู่ในเลือดเนื้อของเทพอสูรกลืนฟ้า ซึ่งบริสุทธิ์กว่าแก่นธรรมดา… เฉพาะผู้ที่มีผลงานโดดเด่นเท่านั้นที่จะได้รับ” มั่วเฟิงกล่าวเสียงเรียบ

ไม่ไกลสายตาของจงเถิงก็เต็มไปด้วยความโลภ ขณะที่จ้องมองรัศมีนั่น

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นรางวัลสำหรับการทำให้ตะเกียงดวงที่เจ็ดสว่างไสว

ที่เบื้องหน้าแผ่นศิลา หานซันสูดหายใจเข้าลึก รัศมีสีแดงเข้มถูกดูดซับเข้าไป จากนั้นร่างกายของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด แรดอสูรที่หายไปก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันขยายตัวอย่างรวดเร็วและรัศมีดุดันก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

ฮา

การเปลี่ยนแปลงของแรดนี้กินเวลานานก่อนที่จะจางหาย ร่างกายของหานซันกลับมาเป็นปกติ เขาก้มลงมองฝ่ามือก็ยิ้มบางก่อนจะหันหลังกลับ

เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจมากกับการเก็บเกี่ยวครั้งนี้

เมื่อหานซันเดินถอยออกมา สายตาของจงเถิงและมั่วเฟิงก็จ้องไปที่มู่เฉิน

ขณะเดียวกันสายตาอยากรู้มากมายจากนอกเจดีย์ก็มุ่งเน้นไปที่มู่เฉินด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าม้ามืดคนนี้จะไปได้ถึงระดับไหนในการทดสอบนี้

ม้ามืดจะถูกตีกลับสภาพเดิมหรือจะพุ่งก้าวหน้าไปอีก?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกคนเต็มไปด้วยความคาดหวังและความอยากรู้อยากเห็น

ภายใต้สายตาทุกคู่ มู่เฉินก็ค่อยๆ ก้าวย่างไปหาศิลาพลังยุทธ์

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1005 จุดไฟตะเกียงทองแดง
บนจัตุรัสโบราณ

ร่างทั้งห้าที่นั่งเงียบๆ ก็เปิดตาขึ้นพร้อมเพรียงกัน ช่วงเวลาที่เปลือกตาเปิดออกแสงสีแดงบางจางก็กะพริบวูบไหวบนพื้นผิวของร่างกาย แสงเหล่านั้นไม่ใช่แสงหลิง แต่เป็นการแสดงออกของกระแสเลือดและรัศมีในร่างกายมาถึงจุดสุดยอด

เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลานี้ทั้งห้าคนปรับสภาพได้ถึงจุดสูงสุดแล้ว

แสงสีแดงจางๆ ห่อหุ้มพวกเขา สีคุนเผ่าอสูรกุญชรก็ยืนขึ้นเป็นคนแรก เขามองไปที่แผ่นหินสีดำด้วยสายตาร้อนแรงและยิ้ม “ในเมื่อไม่มีใครเริ่มก่อน งั้นข้าขอทดสอบตำนานศิลาอันแข็งแกร่งนี่เอง!”

เมื่อทั้งสี่ได้ยินคำพูดนี่ก็ไม่ว่าอะไร เพราะเวลานี้ไม่มีความหมายในการแย่งลำดับ เนื่องจากพวกเขามีโอกาสเพียงครั้งเดียว

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน สีคุนก็ก้าวออกไปพลางสูดหายใจลึกที่เบื้องหน้าแผ่นศิลาสีดำ จากนั้นก็กำหมัดแน่น

ตู้ม!

แสงสีแดงระเบิดออก ร่างกายของสีคุนก็ขยายขนาดอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อพองตัวราวกับเหล็กโดยที่มีเส้นเลือดเต้นยุบยับประหนึ่งมังกรเคลื่อนอยู่บนผิว

แม้ว่าจะไม่มีระลอกคลื่นหลิงใดๆ แต่พลังที่ระเบิดจากสีคุนก็ยังทรงประสิทธิภาพมาก

แต่หลังจากการหมุนเวียนพลังของตัวเอง สีคุนก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น มือทั้งสองประสานกัน แสงสีเลือดค่อยๆ รวมตัวกันก่อตัวเป็นอักขระสีแดงเลือดบนพื้นผิว ทำให้สีคุนดูดุร้ายยิ่งกว่าเดิม

“นี่คืออักขระโลหิตของเผ่าอสูรกุญชร การปลุกสายเลือดของพวกเขาสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายได้ชั่วคราว” มั่วเฟิงอธิบายให้มู่เฉินฟังจากด้านข้าง

มู่เฉินพยักหน้า เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของสีคุนแข็งแกร่งขึ้นในเวลานี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมานิดหน่อย เนื่องจากเทพอสูรเหล่านี้ได้รับพรจากสวรรค์อย่างแท้จริงในแง่ของพลังกาย

“ไม่รู้ว่าสีคุนจะจุดตะเกียงได้กี่ดวง?”

ขณะที่ความคิดนี้แวบขึ้นในใจของมู่เฉิน สีคุนก็กระทืบเท้าลงบนพื้น ทำให้จัตุรัสโบราณถึงกับโยกคลอน จากนั้นร่างเขาก็พุ่งออกไปอย่างดุร้ายประหนึ่งช้างปีศาจที่ยาตราบนขอบฟ้า ต้องการทำลายฟ้าดินให้แหลกลาญ

ตู้ม!

สีคุนต่อยออกพร้อมกับรัศมีสีแดงหมุนเวียนบนกำปั้น ในเส้นทางการเคลื่อนที่ของหมัด มิติกระเพื่อมไหว เสียงแสบแก้วหูระเบิดออก ด้านหลังเขาเงาช้างยักษ์ตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นช่างดูดุร้ายและน่ากลัว ทำให้คนมองรู้สึกหวาดกลัว

ปัง!

หมัดของสีคุนซึ่งบรรจุพลังทั้งหมดไว้ก็ทำลายบรรยากาศแตกเป็นเสี่ยงๆ กระแทกบนแผ่นศิลาสีดำอย่างหนักหน่วง ภายใต้สายตากังวลใจของสี่คน

ทันทีที่เกิดการปะทะกัน เสียงคำรามลึกก็ดังขึ้น ระลอกคลื่นดูเหมือนแผ่ออกจากศิลาพลังยุทธ์ ทว่าตัวแผ่นหินไม่ได้ขยับเขยื้อน

ฟู่ ฟู่!

เมื่อระลอกคลื่นกระจายออกไป มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็มองเห็นตะเกียงดวงแรกลุกโชนด้วยเปลวไฟ

เปลวไฟมีสีแดงสดเต็มไปด้วยความผันผวนของรัศมีโลหิตราวกับว่ามาจากกำปั้นของสีคุน

ปุ! ปุ! ปุ!

หลังจากตะเกียงทองแดงดวงแรกจุดขึ้น อีกสามดวงถัดมาก็สว่างขึ้นตามมา ทว่าเมื่อถึงตะเกียงดวงที่ห้าก็เกิดการชะลอตัวลง ควันสีแดงจากตะเกียงดวงที่ห้าลอยเคว้งคว้าง ประกายไฟเส้นเล็กปรากฏขึ้น สุดท้ายหลังจากผ่านการรวมตัวไปสักพักตะเกียงดวงที่ห้าก็สว่างอย่างสมบูรณ์

ตะเกียงทองแดงดวงที่ห้าสว่างขึ้นแล้ว!

คนอื่นไม่ได้เคลื่อนไหว สายตาจดจ้องไปที่ตะเกียงทองแดงดวงที่หก ด้วยความแข็งแกร่งของสีคุน การจุดตะเกียงห้าดวงเป็นไปตามคาดหมาย ส่วนดวงที่หกเป็นจุดสำคัญที่สุด

ชี่ ชี่!

ต่อจากตะเกียงดวงที่ห้า ประกายไฟก็พล่านเข้าไปปรากฏในดวงที่หก พวกมันรวมตัวกันด้วยความยากลำบากก่อนที่จะปล่อยเปลวไฟเล็กๆ ออกมาอย่างช้าๆ ภายใต้ดวงตาแดงก่ำของสีคุน

แต่ขณะที่เปลวไฟกำลังจะพวยพุ่งก็เกิดการพลิ้วไหวก่อนจะดับวูบกลับมามืดมนดังเดิม

ตะเกียงทองแดงดวงที่หกจุดไม่ติด!

ใบหน้าของสีคุนซีดเผือดทันใด ความไม่เชื่อพล่านเต็มสายตาไปหมด พลังเต็มเปี่ยมของเขาไม่สามารถทำให้ตะเกียงดวงที่หกส่องสว่างขึ้นได้เรอะ?

เมื่ออีกสี่คนเห็นภาพนี้ สายตาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดลง ในการคาดเดาสีคุนน่าจะมีโอกาสทำให้ตะเกียงดวงที่หกส่องสว่างได้ แต่ไม่คิดว่าสีคุนจะล้มเหลว

ฮึ่ม!

ขณะที่พวกเขาถอนหายใจ แผ่นศิลาสีดำก็สั่นเบาๆ รัศมีปั่นป่วนไหลทะลักออกมาผ่านเข้านาสิกประสาทของสีคุน

ร่างของสีคุนแข็งทื่อทันใด ช่วงเวลานั้นรัศมีรอบตัวเขาเดือดพล่านอย่างรวดเร็ว รัศมีสีแดงกวาดไปทั่วร่าง ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจรัศมีที่กำจายออกมาจากร่างกายสีคุนก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก

“นี่คือแก่นเทพอสูรกลืนฟ้าเหรอ?” เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ ดวงตาก็เปล่งประกายด้วยความปรารถนา นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าในเวลาสิบกว่าลมหายใจสั้นๆ การเสริมสร้างร่างกายของสีคุนแข็งแกร่งยิ่งกว่าการชำระล้างด้วยแก่นสายฟ้าเสียอีก

แก่นเทพอสูรกลืนฟ้าเป็นอาหารบำรุงร่างกายยอดเยี่ยมจริงๆ

ถ้าสีคุนได้รับโอกาสอีกครั้งในการชกพลังใส่ศิลาพลังยุทธ์ เขาอาจจะมีโอกาสถึงแปดส่วนที่จะทำให้ตะเกียงส่องสว่างได้ถึงหกดวงและได้รับสิทธิ์เข้าสู่ชั้นต่อไป

แต่น่าเสียดาย …

สีคุนเองก็เข้าใจเหตุผลนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความไม่เต็มใจ จากนั้นแสงเบาบางก็ล้อมรอบตัวก่อนที่เขาจะหายวับไป เห็นได้ชัดว่าเขาถูกคัดออกทันทีที่ไม่สามารถจุดตะเกียงได้ครบหกดวง

มู่เฉินและคนอื่นๆ มองสีคุนที่ล้มเหลวถูกไล่ออกจากเจดีย์ บรรยากาศก็เงียบงันในเวลานี้ ทว่าสายตาของพวกเขาเปลี่ยนเคร่งเครียดมากยิ่งขึ้น

ความเงียบดำเนินไปชั่วครู่ก่อนจงเถิงจะเดินออกมาช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้ม “ข้าขอท้าเป็นคนที่สองเอง”

พูดจบก็ไปปรากฏตัวต่อหน้าศิลาพลังยุทธ์ เขาตั้งสมาธิ จากนั้นแสงก็พุ่งพรวดออกมาจากร่าง ก่อนที่ร่างของเขาจะกลายเป็นกระเรียนขนาดหลายพันจั้งเมื่อแสงระเบิดออกมา

จงเถิงถึงกับนำร่างเทพอสูรออกมาเลย!

กระเรียนยืนไว้สง่าบนท้องฟ้า ปีกสีทองจางเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีและอำนาจ

กีด!

เสียงร้องอันไพเราะดังก้องไปทั่วฟ้าดิน อึดใจกระเรียนทองคำก็กดกรงเล็บลง ซึ่งเหมือนว่ากำลังแทงทะลุผ่านมิติและสามารถแยกภูเขาผ่ามหาสมุทรได้

ตู้ม!

กรงเล็บขนาดใหญ่ที่ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีทองปะทะกับแผ่นศิลาสีดำอย่างหนักหน่วง ใต้กรงเล็บแผ่นหินดูเล็กจ้อยนัก ทว่าถึงจะถูกจะเป็นวัตถุขนาดเล็กก็ยืนหยัดอยู่ในจัตุรัสนี้ได้ แม้กระทั่งกระเรียนขนาดมหึมาก็ไม่สามารถขยับมันสักนิด

ทว่าพลังมหาศาลยังคงแผ่มาจากกรงเล็บ ถูกส่งไปยังศิลาพลังยุทธ์

ฟู่! ฟู่!

ทันใดนั้นตะเกียงทองแดงแต่ละดวงก็ลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจตะเกียงทองแดงดวงที่ห้าก็สว่างขึ้น ชัดว่าทั้งเร็วและดุร้ายยิ่งกว่าสีคุนเมื่อครู่เสียอีก

หลังจากตะเกียงดวงที่ห้าส่องสว่าง ประกายไฟก็ปรากฏขึ้นในดวงที่หก สุดท้ายประกายไฟรวมตัวกันในที่สุดภายใต้การจ้องมองของทั้งสามคน ตะเกียงก็สว่างขึ้นอย่างสมบูรณ์

ตะเกียงทองแดงดวงที่หกส่องสว่างแล้ว!

เมื่อตะเกียงทองแดงดวงที่หกโชนแสง เสียงโกลาหลก็ระเบิดขึ้นจากด้านนอกเจดีย์ เหล่าจอมยุทธ์ต่างร้องอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ จงเถิงเป็นอัจฉริยะตัวจริง เขาสามารถทำในสิ่งที่สีคุนทำไม่ได้

ภายใต้เสียงอื้ออึง สีหน้าของพวกหลิ่วชิงก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ในที่สุดพวกเขาก็ฟื้นพลังใจขึ้นมาได้หลังจากที่ถูกมู่เฉินกระทืบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจมดิน

“ชายคนนั้นน่าเกรงขามจริงๆ” ในจัตุรัสโบราณมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า แม้ว่าจงเถิงจะน่ารังเกียจ แต่ก็ต้องยอมรับความแข็งแกร่งของเขา

มั่วเฟิงพยักหน้ายอมรับความแข็งแกร่งของจงเถิงเช่นกัน

ฮึ่ม!

ขณะที่พวกเขาพูดแผ่นศิลาสีดำก็สั่นไหว รัศมีปั่นป่วนหลั่งไหลออกไป พุ่งเข้าหากระเรียนตัวมหึมา

กระเรียนซึมซับแก่นเทพอสูรกลืนฟ้าเข้าสู่ร่างกาย ทันใดนั้นแสงสีทองก็ระเบิดออกจากร่าง สีทองคำบนปีกเข้มข้นขึ้น

ขณะที่แสงสีทองไหลเวียน กระเรียนยักษ์ก็หดตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ปรากฏตัวบนจัตุรัสอีกครั้ง

จงเถิงเอามือไพล่หลังมีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า ขณะมองมั่วเฟิงและมู่เฉินก็ยกยิ้มบาง “ตอนนี้ถึงตาพวกเจ้าแล้ว”

แม้ว่าคำพูดจะดูราบเรียบ แต่ความภาคภูมิใจที่ซ่อนอยู่ภายในก็ไม่สามารถปกปิดได้

มั่วเฟิงปราดมองก่อนที่จะเดินออกไปโดยไม่ตอบอะไร

เขายืนอยู่เบื้องหน้าแผ่นศิลาไม่ได้มีปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เพียงแค่ซัดฝ่ามือออกไปแบบเรียบง่าย แต่เมื่อซัดออกไปนิ้วมือของมั่วเฟิงก็กลายเป็นขนหงส์ฟ้าสีทองที่คมชัดเป็นพิเศษ สามารถมองเห็นได้เลือนรางราวกับถุงมือขนหงส์ฟ้าอย่างไรอย่างนั้น

ในฝ่ามือนั้นเสียงหงส์ฟ้าดังก้องออกมา

ตึง!

ฝ่ามือกระแทกกับแผ่นศิลาอย่างหนักหน่วง เกิดการกระเพื่อมก่อนที่ตะเกียงทองแดงจะลุกโชนทีละดวง…ละดวง

ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจตะเกียงก็สว่างขึ้นห้าดวงแล้ว

หลังจากนั้นประกายไฟก็ปรากฏขึ้นในตะเกียงทองแดงดวงที่หกก่อนที่จะลุกโชติช่วง

จงเถิงขมวดคิ้ว แม้เขาจะรู้ว่ามั่วเฟิงเป็นคนที่น่าเกรงขาม แต่ก็ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะทำให้ตะเกียงทองแดงหกดวงส่องสว่างขึ้นอย่างง่ายดาย ความสำเร็จของมั่วเฟิงอยู่ในระดับเดียวกับเขา

แต่ขณะที่ความคิดนั้นแวบเข้ามาในใจ ดวงตาจงเถิงก็หดลงเมื่อเห็นว่าหลังจากที่ตะเกียงดวงที่หกส่องสว่างขึ้นก็ยังไม่หยุด ประกายไฟแล่นเข้าไปในตะเกียงดวงที่เจ็ด ทว่าภาพนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะหายไป

ทว่าภาพนี้ชัดว่าน่าตื่นตายิ่งกว่าจงเถิงก่อนหน้าซะอีก!

มั่วเฟิงมีคุณสมบัติที่จะจุดตะเกียงดวงที่เจ็ดได้!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1004 แผ่นศิลาสีดำ
เมื่อมู่เฉินผ่านรัศมีแสงเข้ามายังชั้นสี่ของเจดีย์ฝึกพลังกาย

แสงที่เบื้องหน้าก็ดำมืดลง แต่ไม่กี่อึดใจความมืดก็ถดถอย เมื่อความมืดหายไปภาพทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายของมู่เฉินก็คือภาพที่เห็นไม่ใช่สภาพแวดล้อมเลวร้าย แต่เป็นจัตุรัสเก่าแก่ที่มีขนาดประมาณหนึ่งพันจั้ง เขาพลิ้วตัวลงที่มุมหนึ่งของจัตุรัสโดยมีอีกสี่คนอยู่ไม่ไกลจากกัน

“นี่คือชั้นสี่ของเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณเหรอ?”

มู่เฉินอึ้งไปเมื่อกวาดตามองสภาพแวดล้อม จัตุรัสแห่งนี้เก่ามากซึ่งมีร่องรอยแห่งกาลเวลาถูกทิ้งไว้ ความอ้างว้างแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่

ช่างแตกต่างจากสภาพแวดล้อมเลวร้ายทั้งสามชั้นก่อนหน้ามาก จัตุรัสนี้เงียบสงบ ดูเหมือนจะไม่ได้มีอะไรพิเศษเมื่อมองแวบแรก ดังนั้นภาพเบื้องหน้านี้จึงทำให้เกิดความสงสัยขึ้นในหัวใจเขา

“ที่นี่คือชั้นสี่ของเจดีย์” เสียงดังก้องข้างๆ มู่เฉิน มั่วเฟิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางเฉยเมย

มู่เฉินอึ้งไปพลางขมวดคิ้ว “สถานที่นี้มีอะไรพิเศษไหม?”

ในเมื่อที่นี่เป็นชั้นสี่ของเจดีย์ฝึกพลังกาย ก็ไม่มีทางดูง่ายเหมือนบนพื้นผิวหรอก

มั่วเฟิงพยักหน้าจากนั้นก็ชี้ไปที่ศูนย์กลางของจัตุรัสโบราณ “ดูนั่นสิ”

มู่เฉินพุ่งสายตาไป จากนั้นดวงตาก็หดเกร็งลง เพราะเขาสังเกตเห็นแผ่นศิลาสีดำที่ใจกลางจัตุรัสโบราณ

แผ่นศิลาสีดำนี้ไม่ใหญ่นัก จึงถูกละเลยได้ง่ายในจัตุรัสกว้างใหญ่นี้ ดังนั้นกระทั่งมู่เฉินยังไม่สังเกตเห็นก่อนหน้า

แต่…การทดสอบชั้นสี่ของเจดีย์คือแผ่นศิลาสีดำรึ?

มู่เฉินสับสน

“นี่คือศิลาพลังยุทธ์” มั่วเฟิงอธิบาย

“ศิลาพลังยุทธ์?” มู่เฉินรู้สึกปวดหัวหนึบ เนื่องจากตัวเขามีความเข้าใจน้อยมากเกี่ยวกับดินแดนเสินโซ่

“ที่จริงกฎการทดสอบชั้นสี่ง่ายมาก แค่ชกศิลานี้ด้วยพลังกายของเจ้าก็เรียบร้อย”

มั่วเฟิงกล่าวต่อ “เห็นตะเกียงทองแดงตรงหน้าศิลาไหม?”

มู่เฉินพยักหน้า ตอนที่สังเกตแผ่นศิลาสีดำ เขาก็พบตะเกียงทองแดงเก้าดวงวางอยู่ที่เบื้องหน้า เว้นแต่ว่าพวกมันดำสนิทไม่มีเปลวไฟใดๆ

“นี่คือการทดสอบความแข็งแกร่งของพลังกาย ซึ่งขีดสูงสุดคือตะเกียงทั้งเก้าส่องสว่าง แต่โดยทั่วไปแล้วมันเป็นไปไม่ได้ เพราะนี่เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ยังไม่สามารถทำได้”

ริ้วความตื่นตะลึงวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน แม้แต่ความแข็งแกร่งเต็มรูปแบบของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ไม่สามารถทำให้ตะเกียงสว่างได้ทั้งเก้าดวงรึ? ศิลาพลังยุทธ์ที่ดูแสนธรรมดานี้สามารถทนต่อพลังที่น่ากลัวเพียงนั้นได้จริงเหรอ?

“ตามกฎแล้วตราบใดที่สามารถทำให้ตะเกียงส่องสว่างครบหกดวงก็ผ่านชั้นสี่ได้”

“ตะเกียงหกดวงรึ?” มู่เฉินกำหมัดแน่นด้วยความกระตือรือร้นวูบไหวในดวงตา หากใช้เพียงพลังกาย เขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าใครในที่นี่ นอกจากนี้เขาก็อยากทดสอบว่าพลังกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดจากวิชากายามังกรหงส์

เมื่อมั่วเฟิงเห็นท่าทางมู่เฉินก็อดเตือนไม่ได้ “อย่าประมาท จากข่าวที่ข้าได้รับ ปีก่อนๆ อัจฉริยะแปดถึงเก้าส่วนล้มเหลวในชั้นนี้”

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เขาไม่ได้คิดดูถูกอะไรเลย แต่คำพูดของมั่วเฟิงก็ยิ่งทำให้เขาตกใจ ดูเหมือนความยากลำบากในการทำให้ตะเกียงส่องสว่างหกดวงจะไม่ใช่งานเล็กเลย

“การผ่านชั้นสี่มีประโยชน์อะไรบ้างเหรอ?” มู่เฉินถามคำถามที่สำคัญที่สุด สามชั้นแรกมีสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายเพื่อชำระพลังกาย แล้วชั้นสี่ล่ะ? เขาจะได้อะไรถ้าสามารถจุดตะเกียงทองแดงหกดวงได้? ตามกฎของเจดีย์ฝึกพลังกายก็ไม่น่าจะปล่อยให้ผู้ท้าชิงกลับไปมือเปล่าหรอกมั้ง?

“ผลประโยชน์ก็มาจากแผ่นศิลานั่นไง” มั่วเฟิงยิ้มจ้องมองที่แผ่นศิลาสีดำ มู่เฉินไม่รู้ว่าตนเองมองอะไรพลาดไปรึเปล่า แต่เขาสามารถเห็นไฟลุกโชนขึ้นในดวงตาของมั่วเฟิง

ดูท่าศิลานี้จะไม่ง่ายเหมือนที่เห็นภายนอกแล้ว

“เจ้ารู้ไหมว่าศิลานี้ทำมาจากอะไร?” มั่วเฟิงถาม

มู่เฉินส่ายหัว เขาไม่คุ้นเคยกับทุกสิ่งที่นี่

“ทำมาจากร่างเทพอสูรกลืนฟ้า”

“เทพอสูรกลืนฟ้า?” มู่เฉินอึ้งไป จากนั้นท่าทางก็สั่นเทิ้ม ในตำนานเล่าว่าเทพอสูรกลืนฟ้าเป็นมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่เกิดมาระหว่างฟ้าดิน ไม่ได้เกิดมาจากสายเลือดใดๆ ดังนั้นความบริสุทธิ์จึงเหนือกว่ามหาอสูรเผ่าพันธุ์อื่นๆ ยิ่งกว่านั้นก็ปรากฏตัวเพียงในสมัยโบราณเท่านั้น ไม่มีใครเคยได้ยินถึงการปรากฏตัวในปัจจุบันเลย

เทพอสูรกลืนฟ้า ถ้าอยู่ในความโกรธคลั่งสามารถกลืนกินท้องฟ้าได้เลยทีเดียว ซึ่งแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยังหวาดกลัว

มู่เฉินเคยเห็นข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับพวกมันในตำราโบราณ แต่เขาไม่คิดว่าศิลาที่ดูแสนธรรมดานี้จะทำจากร่างเทพอสูรกลืนฟ้า

“ยากที่จะจินตนาการ” มู่เฉินถอนหายใจ เทพอสูรกลืนฟ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แม้แต่มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ยังหวาดกลัว

“เมื่อส่งกระบวนท่ากระแทกลงบนศิลาพลังยุทธ์ แก่นโลหิตบริสุทธิ์ของเทพอสูรกลืนฟ้าจะไหลซึมออกมา แก่นโลหิตนี้จะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งในการโจมตี… พูดง่ายๆ ก็คือยิ่งตะเกียงทองแดงสว่างเท่าไร ความแข็งแกร่งของแก่นโลหิตที่ได้รับก็มากเท่านั้นและนี่คือประโยชน์ของชั้นสี่ เจ้าเข้าใจหรือยัง?” มั่วเฟิงจ้องมองด้วยสายตาทวีความร้อนขึ้นขณะที่พูดช้าๆ

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน จากนั้นก็พยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม แก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้า… หากเขาสามารถดูดซับได้ คงเห็นได้ชัดว่าจะน่าตกใจเพียงใดสำหรับการปรับแต่งพลังทางกายภาพของตนเอง

นี่เป็นสิ่งที่มีพลังยิ่งใหญ่กว่าแก่นสายฟ้าเสียอีก มิน่าล่ะกระทั่งมั่วเฟิงยังถูกล่อลวงไปด้วย

เจดีย์ฝึกพลังกายนี้แต่ละชั้นเป็นสมบัติยอดเยี่ยมแท้จริง…

ขณะที่มั่วเฟิงพูดคุยกับมู่เฉิน หานซัน จงเถิงและสีคุนก็ฉายความโลภและความเคร่งขรึมบนใบหน้า ขณะที่จ้องมองแผ่นศิลาสีดำ ก่อนที่ทั้งห้าจะขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเข้ามาใกล้ มู่เฉินก็พบว่าแผ่นศิลาสีดำถูกปกคลุมด้วยรอยฝ่ามือหนาแน่น ซึ่งเห็นได้ชัดจากผู้ที่มาเยี่ยม ณ ที่แห่งนี้ในอดีต

ศิลาพลังยุทธ์มีความทนทานเป็นอย่างยิ่งจนถึงจุดที่ดูเหมือนไม่ได้ทำมาจากเลือดเนื้อ ทว่าสีดำมะเมื่อมก็ปลดปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวออกมา ทำเอากระแสโลหิตถึงกับปั่นป่วนเลยทีเดียว

มู่เฉินรู้ว่านี่เป็นรัศมีที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพอสูรกลืนฟ้า แค่เพียงเศษเสี้ยวก็ทำเอาพวกเขาหายใจไม่ออกแล้ว

นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้มู่เฉินอึ้งทึ่งไปอีกก็คือความจริงที่ว่าเมื่อเขาขยับเข้าใกล้แผ่นศิลามากขึ้น เขาก็พบว่าคลื่นหลิงในร่างกายค่อยๆ แข็งทื่อจนถึงจุดที่ยากจะหมุนเวียน ราวกับว่าถูกระงับโดยสนามพลังทรงศักยภาพ จนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

“คลื่นหลิงถูกระงับไว้โดยสิ้นเชิง…ที่นี่ใช้ได้เพียงพลังกายที่แข็งแกร่งเท่านั้นจริงๆ” มู่เฉินกำมือ ยากมากสำหรับเขาที่จะหมุนเวียนพลังงานในร่างกาย

เมื่อมองไปที่คนอื่นๆ เขาก็พบว่าคลื่นหลิงที่พวยพุ่งรอบตัวพวกเขาหายไปอย่างสมบูรณ์เช่นกัน ทว่าพวกเขาก็ยังอยู่ในอาการสงบ ชัดว่าต่างคาดการณ์ไว้แล้ว

แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ต่อหน้าแผ่นศิลาสีดำ ก็ไม่มีใครขยับเขยื้อน ทุกคนนั่งลงเพื่อปรับสภาพตนเอง

เนื่องจากตามกฎทุกคนมีโอกาสครั้งเดียวเท่านั้น การออกกระบวนท่าโดยไร้ความคิดจะทำให้พวกเขาถูกดีดออกจากเจดีย์ทันที

เพราะฉะนั้นหมัดนี้จะต้องเป็นที่สุดของที่สุดที่พลังกายของพวกเขาจะระเบิดออกมาได้

ก่อนลงมือจะต้องรวมพลังให้ถึงขีดสุด การปะทะทุกอย่างไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ

ดังนั้นทุกคนที่นี่จึงมีความสามัคคีกันอย่างน่าประหลาดใจ ไม่มีใครเปิดเผยความเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้อื่น ทั้งหมดนั่งลงปรับสภาพอย่างรวดเร็วเพื่อปรับสภาพให้ดีสุด

ด้วยเหตุนี้จัตุรัสโบราณจึงเงียบลงอย่างผิดปกติในเวลานี้ มีเพียงลมหายใจของทั้งห้าที่ดังสะท้อนออกมา…

ขณะที่ทั้งห้านั่งลงเพื่อปรับสภาพ

ที่ด้านนอกเจดีย์ฝึกพลังกายบรรยากาศยามนี้ก็คึกคึกอย่างยิ่ง สายตามากมายจ้องมองที่หน้าจอชั้นสี่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หน้าจอแสดงภาพภายใน ดังนั้นทุกคนที่อยู่ข้างนอกจึงเห็นว่าพวกเขากำลังปรับสภาพกันอย่างกลมกลืน

“นั่นคือศิลาพลังยุทธ์ในตำนานใช่ไหม?”

“ว่ากันว่ามีเพียงจอมยุทธ์ที่สามารถทำให้ตะเกียงสว่างหกดวงขึ้นไปที่มีคุณสมบัติผ่านชั้นสี่..”

“ในอดีตอัจฉริยะส่วนใหญ่ถูกหยุดที่ชั้นนี้ ไม่ง่ายที่จะทำให้เกิดแสงตะเกียงหกดวง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็มีโอกาสสูงที่จะล้มเหลว”

“ใช่เลย ไม่รู้ว่าครั้งนี้ในห้าคนจะผ่านกันได้เท่าไร?”

“หานซันมีโอกาสสูง สำหรับคนอื่นก็ขึ้นอยู่กับวิธีการที่มี แม้ว่าจะใช้กำลังกายของตนเองล้วนๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีช่องโหว่ เพราะสุดท้ายก็ใช้ได้เพียงหมัดเดียว มีวิชาลับบางอย่างที่สามารถเพิ่มขีดความแข็งแกร่งให้กับร่างกายได้ชั่วคราว ข้าว่าแต่ละคนน่าจะเตรียมการณ์ไว้แล้ว”

“…”

เสียงซุบซิบดังสะท้อน เพราะถึงยังไงก็ยังมีบางคนที่มีสายตาแหลมคม ดังนั้นคำพูดก็สมเหตุสมผลดี

จิ่วโยวและมั่วหลิงแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นพวกนางก็มองเงาร่างทั้งสองในชั้นสี่ ชั้นนี้เป็นการแข่งขันความแข็งแกร่งของพลังกายล้วนๆ บางทีเมื่อมองจากพื้นผิวมู่เฉินอาจอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบเพราะเป็นมนุษย์ แต่หลังจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นคงไม่มีใครคิดว่าร่างกายของเขาในฐานะมนุษย์จะอ่อนแอกว่าเทพอสูรแล้ว

ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถทำนายผลลัพธ์ของการทดสอบนี้ได้

ในขณะที่ทุกคนที่อยู่ข้างนอกกำลังคาดเดาจนหัวจะแตก จอมยุทธ์ทั้งห้าในชั้นสี่ก็ลืมตาขึ้นในเวลาเดียวกัน

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1003 เก็บเกี่ยว
ในมิติเหลื่อมซ้อน

เส้นแสงนับไม่ถ้วนบินฉวัดเฉวียน แก่นหยดสายฟ้ากะพริบวูบไหวด้วยแสงสีเงิน เสียงฟ้าร้องดังก้อง

ฟิ้ว!

บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเส้นแสง ร่างทั้งห้าเดินทางอย่างรวดเร็ว แรงดูดทรงพลังระเบิดจากพวกเขาแต่ละคนดึงเส้นแสงใกล้เคียงเข้าไป

ปัง! ปัง!

เมื่อเส้นแสงพุ่งเข้ามาปะทะ ความเจ็บปวดมหาศาลก็ตีขึ้น เสียงโหยหวนดังก้องไปทั่ว แต่ละเสียงช่างเศร้าสลด ทำให้ทั่วมิติดูน่าขนลุกยิ่งนัก ทำให้เลือดของคนฟังเย็นเยือกลง

แต่ที่เบื้องหน้าของร่างแสง มู่เฉินซึ่งเป็นผู้นำนั่งเงียบๆ บนเบาะสายฟ้า แรงดูดที่ระเบิดออกมาจากร่างทรงพลังที่สุด ดังนั้นเส้นแสงที่เขาดึงเข้ามาก็มากที่สุดในหมู่ทั้งห้าคนด้วย

ด้วยลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่ปกป้องร่างกาย เขาจึงไม่ได้กังวลมากเหมือนกับหานซัน จงเถิง มั่วเฟิงและสีคุน ไม่ว่าอย่างไรให้เขาได้เพลิดเพลินกับสิ่งนี้เสียก่อน

ปุ! ปุ!

เส้นแสงหลายสายพุ่งเข้าใส่แล้วยิงเข้าสู่ร่างกาย เมื่อแก่นสายฟ้าเข้ามาเขาก็ถูกความเจ็บปวดรุนแรงเล่นงานไปทั่ว ร่างกายถูกปกคลุมด้วยเลือด จากหัวจรดเท้าไม่มีชิ้นเนื้อดีเลย เขาดูขาดวิ่นมองไม่เห็นรูปลักษณ์ได้

ขณะที่ร่างกายถูกเฉือนทำลาย ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนแขนก็กะพริบวูบไหวด้วยสีม่วงทอง ราวกับว่าพวกมันมีความสุขและเขมือบพลังงานของแก่นสายฟ้าที่เข้ามาในร่างกายของมู่เฉินอย่างไม่เคยอิ่ม ในเวลาเดียวกันเทพอสูรทั้งสองยังส่งเสียงคำราม ซึ่งช่วยบรรเทาความเจ็บปวดรุนแรงของมู่เฉิน

ทว่าแม้จะได้รับความช่วยเหลือจากลวดลายเทพอสูรทั้งสอง มู่เฉินก็ยังคงถูกทรมานด้วยความเจ็บปวดรุนแรงจนถึงจุดที่เขาวิงเวียน ได้แต่พึ่งพาสัญชาตญาณและความมุ่งมั่นในการดึงเส้นแสงเข้ามาหา

ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการดูดของเขายังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายทุกเส้นแสงที่วิ่งผ่านเขาก็จะถูกดูดเข้าไปทั้งหมด

การดูดกลืนอย่างบ้าคลั่งของเขา ทำให้สี่คนที่อยู่ไกลออกไปหนังหัวชาหนึบ เมื่อมองไปที่ร่างที่ปกคลุมด้วยเลือดและแก่นสายฟ้า พวกเขาต่างก็รู้สึกหวาดกลัวในหัวใจ

ชายคนนี้เป็นคนบ้าชัดๆ!

แม้พวกเขาจะมีร่างกายเทพอสูรก็ยังไม่กล้าที่จะดูดซับด้วยวิธีนี้ แต่ในฐานะมนุษย์มู่เฉินกลับประสบความสำเร็จ เมื่อเห็นการกระทำของเขา คนอื่นๆ ก็อดสงสัยตัวเองไม่ได้…

ตกลงใครกันแน่ที่เป็นเทพอสูร?

คนอื่นเหลือบตามองในระยะไกล ขณะนี้พวกเขาเข้าใกล้รัศมีแสงมากขึ้นแล้ว ยามนี้พวกเขาเดินทางมาได้เกินครึ่งทาง ดังนั้นคงอีกไม่นานพวกเขาก็จะเข้าสู่ชั้นสี่ของเจดีย์ ในเวลานั้นโอกาสสำหรับการชำระล้างร่างกายก็จะหายไปเช่นกัน

แต่ถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่าโอกาสเหลืออีกไม่มาก แต่ทั้งสี่ก็ส่ายหัวค่อยๆ ลดอัตราการดูดลง นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกได้ว่าร่างกายของพวกเขาเริ่มไม่สามารถทนกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากการชำระล้างนี้ได้แล้ว

หากพวกเขาฝืนทำก็อาจทำลายร่างแทน ซึ่งผลกำไรนี้จะไม่ชดเชยกับความสูญเสียเลย

สำหรับมู่เฉิน…เขาคงมีวิธีพิเศษบางอย่าง มิฉะนั้นเขาไม่มีทางบ้าคลั่งถึงระดับนี้แน่นอน

“สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อเขาจริงๆ!”

ใบหน้าของจงเถิงมืดครึ้มลง เพราะเขาตระหนักได้ว่ามู่เฉินคนที่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกลับแซงหน้าเขาไปครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากเข้ามาในเจดีย์ฝึกพลังกาย ทำให้เขาได้แต่อ้าปากกินฝุ่น

“ในชั้นสี่ข้าต้องหาวิธีกำจัดมันให้ได้” จิตสังหารเพิ่มขึ้นในหัวใจของจงเถิง มู่เฉินได้รับผลประโยชน์มากเกินไปแล้ว ถ้ายังปล่อยดำเนินต่อไปเรื่อยๆ มู่เฉินอาจจะได้รับอาวุธเทพไป ถึงตอนนั้นกระทั่งเขาก็คงต้องหลบหนีไป

ขณะที่จิตสังหารพุ่งทะยานขึ้นในหัวใจจงเถิง เบาะสายฟ้าทั้งห้าก็ยังคงเดินทางต่อไป แต่คราวนี้ความเร็วในการดึงเส้นแสงของคนอื่นๆ เริ่มลดลง โดยที่มู่เฉินบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเขาต้องการได้รับแก่นสายฟ้าทั้งหมดของมิตินี้

ดวงตาของทั้งสี่คนแดงก่ำจากการมอง ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจหลับตาให้รู้แล้วรู้รอด สิ่งที่ตาไม่เห็นก็ทำให้หัวใจไม่โศกเศร้า

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วในลักษณะแบบนี้ พักใหญ่คนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงบางสิ่งจึงลืมตาขึ้นมา ที่เบื้องหน้าพวกเขารัศมีทรงกลดของเจดีย์ฝึกพลังกายชั้นสี่ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น เส้นแสงก็ลดลงไปเช่นกัน

พวกเขาหันหัวกลับไปมองเส้นแสงที่ค่อยๆ ถอยห่างออกไป ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความเสียดาย ทว่าพวกเขาไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงถอนความเสียดายในใจทิ้งอย่างรวดเร็ว เริ่มตรวจสอบพัฒนาการในร่างกายของตนทันที

การตรวจสอบทำให้เกิดความปีติยินดีบนใบหน้าทุกคน เพราะพวกเขาสามารถรู้สึกได้ถึงพลังงานที่ไร้ขอบเขตในร่างกาย นอกจากนี้ร่างกายของพวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นจากการชำระล้างนี้

การชำระล้างด้วยแก่นสายฟ้า ทำให้พวกเขาได้รับผลประโยชน์มากมาย

ขณะที่พวกเขามีความสุขจากพัฒนาการนี้ มู่เฉินที่นั่งอยู่บนเบาะสายฟ้าหน้าสุดก็เปิดดวงตาขึ้น เมื่อดวงตาเปิดออกร่างเขาก็เปล่งประกายแสงสีทองทันที

ขณะที่แสงสีทองพวยพุ่งขึ้น ร่างกายขาดวิ่นก็ฟื้นสภาพในทันที ลวดลายสีทองก่อตัวขึ้นบนผิวหนังของเขา ราวกับเกล็ดมังกรและขนหงส์ฟ้าซึ่งดูแปลกประหลาดอย่างมาก

เขาก้มศีรษะมองลงไปที่แขน ริ้วแสงสีม่วงทองของลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ลึกล้ำยิ่งขึ้น มังกรแท้จริงยกกรงเล็บขึ้นซึ่งดูคมชัดกว่าเดิมปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วงเปล่งรัศมีคมกริบไม่อาจอธิบายได้ ดูราวกับว่าสามารถทะลุผ่านมิติได้

ปีกหงส์ฟ้าแท้จริงที่ปรากฏก็ดูงดงามยิ่งนัก เมื่อกางออกก็ดูราวกับว่าสามารถบินได้หมื่นลี้ในพริบตา ครอบคลุมผืนฟ้าและผืนดิน…

โดยเฉพาะดวงตาของมังกรและหงส์ฟ้าเมื่อเปรียบเทียบกับรอยแยกเล็กๆ ก่อนหน้า ดวงตาของพวกมันเปิดเกือบจะถึงกึ่งหนึ่งแล้ว แสงสีทองที่อยู่ใต้เปลือกตาทำให้รู้สึกเคารพบูชา

เห็นได้ชัดว่ามังกรและหงส์ฟ้าเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นมากหลังจากผ่านการชำระล้างแก่นสายฟ้านี้

เมื่อมู่เฉินสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะปลื้มปีติในหัวใจ ก่อนที่จะกำมือลงอย่างช้าๆ เมื่อนิ้วมือทั้งหมดกำเข้าหากัน ก็ดูเหมือนมีพลังงานที่น่าสะพรึงกลัวที่สามารถทำลายภูเขาได้รวบรวมขึ้นอย่างรวดเร็ว

มู่เฉินเหวี่ยงกำปั้นออกเบาๆ โดยไม่มีแรงกระเพื่อม แต่เส้นทางของกำปั้นทำให้มิติเกิดการบิดเบี้ยว นี่เป็นพลังที่เขาพึ่งพาพลังกายเพียงอย่างเดียว เป็นหมัดที่สามารถบดขยี้ได้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก

รอยยิ้มพึงพอใจเผยบนใบหน้าของมู่เฉิน ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ถูกทรมานอย่างเปล่าประโยชน์ ผลของการชำระล้างด้วยแก่นสายฟ้าแข็งแกร่งกว่าผลที่ได้จากสามชั้นแรกรวมกันเสียอีก

แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเขาผ่านประสบการณ์ทรมานร่างกายของแต่ละชั้นมาได้ บางทีแม้จะได้รับความช่วยเหลือจากลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงในตอนนี้ ก็คงยากสำหรับเขาที่จะทนรับความเจ็บปวดรุนแรงนี้ได้

หลังจากตรวจสอบพัฒนาการของตนเสร็จ มู่เฉินก็ยืนขึ้นบนเบาะมองไปที่วงแสงชั้นสี่

ไม่ไกลกันจากทางซ้ายและทางขวาทั้งสี่คนก็ตามมาทันพลางเลื่อนสายตามองไปที่มู่เฉิน แม้ว่าจะไม่มีสีหน้าท่าทางใดๆ แต่พวกเขาก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยขึ้นในใจ

นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกได้ว่ามู่เฉินอันตรายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มพูนขึ้นมากหลังผ่านการชำระล้าง

แสงเย็นเยือกวาบผ่านดวงตาของจงเถิง ดูเหมือนว่าพลังของมู่เฉินจะแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้งที่เขาผ่านแต่ละชั้น เมื่อเขาเห็นมู่เฉินครั้งแรกก่อนที่จะเข้าสู่เจดีย์ฝึกพลังกาย แม้ว่ามู่เฉินจะมีความสามารถบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา

แต่ใครจะคิดว่าหลังจากผ่านมาสามชั้น มู่เฉินกลับทำให้เขารู้สึกอันตรายขึ้นทีละน้อย…ละน้อย พัฒนาการที่มีน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

“ต้องหาโอกาสกำจัดเสี้ยนหนามนี้ให้ได้!”

จงเถิงกัดฟัน จิตสังหารในใจก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น

มู่เฉินยืนอยู่บนเบาะสายฟ้าก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหาร เขาเหลือบมองจงเถิงที่มีสีหน้าเคร่งขรึม แววตาเขาเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกเล็กน้อยเช่นกัน จงเถิงสร้างปัญหาให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า ดูเหมือนเขาจะต้องหาโอกาสลงมือจัดการอีกฝ่ายแล้ว

หากเขาต้องการกำจัดศัตรูประเภทนี้ ก็ต้องจัดการให้หมดจด

ทว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา เมื่อเปรียบเทียบกับโอกาสในเจดีย์ฝึกพลังกาย จงเถิงเป็นเรื่องที่ไม่ควรยกขึ้นมาพิจารณา ซึ่งชัดเจนว่ามู่เฉินแยกปัจจัยนี้ออกได้

ขณะที่ความคิดวนเวียนอยู่ในใจของมู่เฉิน สายตาของหานซันก็ร้อนระอุขึ้น เมื่อเขามองไปที่รัศมีแสงที่เชื่อมโยงไปยังชั้นสี่ ก่อนที่ร่างจะทะยานหายเข้าไปในรัศมีแสง

หลังจากนั้นอีกสามคนก็ตามไปอย่างกระชั้น ขณะที่พุ่งเข้าไปในรัศมีแสง

เมื่อมองไปที่ร่างเงาที่หายไป มู่เฉินก็ยิ้มบาง ความคาดหวังกะพริบในดวงตา เขาได้รับประโยชน์มากมายจากสามชั้นแรกแล้ว ไม่รู้ว่าในชั้นสี่จะมีการทดสอบประเภทใดรอเขาอยู่

มู่เฉินถูแขนตนเองเบาๆ หากเขายังมีความลังเลใจเกี่ยวกับกายามังกรหงส์ที่จะถึงขั้นสองก่อนหน้า ตอนนี้เขาก็มั่นใจแน่นอนแล้ว

ตราบใดที่เขาบรรลุคัมภีร์หลงเฟิ่ง คนอย่างจงเถิงก็ไม่เป็นภัยคุกคามในสายตาอีกต่อไป ในเวลานั้นการกำจัดจงเถิงก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ

เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินก็ยิ้มบาง จากนั้นเท้าแตะลงบนเบาะส่งแรงทะยานออกไปราวกับกระเรียนยักษ์ เข้าใกล้รัศมีทรงกลดชั้นสี่ของเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ

เจดีย์ฝึกพลังกายชั้นสี่ หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1002 สายฟ้าชำระล้าง
ด้านหลังลานเมฆสายฟ้า

คลื่นมิติกระเพื่อมไหวขณะที่เส้นแสงนับไม่ถ้วนพุ่งผ่านราวกับดาวหาง ฉากนี้ช่างงดงามนัก

ภายในทุกเส้นแสงมีแก่นสายฟ้าหนึ่งหยดซึ่งทำให้ดวงตาคนมองฉายโลภ ในสมัยโบราณว่ากันว่าเทพอสูรจำนวนมากใช้แก่นสายฟ้าเพื่อปรับสภาพพลังกายที่ฝึกฝน ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งราวกับเพชรที่ไม่สามารถทำลายได้

ทว่าแก่นสายฟ้าไม่ได้หาเจอได้ง่าย ในมหาพันภพปัจจุบันแม้ว่าจะมีแก่นสายฟ้าถูกนำเสนอในการประมูลขนาดใหญ่บ้าง แต่ราคาก็แพงระยับ มิหนำซ้ำเพียงแค่ปรากฏก็จะถูกประมูลไปทันที ยากสำหรับจอมยุทธ์ธรรมดาจะหาซื้อมาได้

แต่ตอนนี้วัตถุล้ำค่าฉวัดเฉวียนอยู่เบื้องหน้าสายตาแบบนับไม่หวาดไหว ดังนั้นพวกเขาจะไม่รู้สึกถึงแรงกระเพื่อมในหัวใจได้อย่างไร?

“นี่คือโชคสำหรับคนที่ได้รับที่นั่งทั้งห้ามาเรอะ…” มู่เฉินเลียริมฝีปาก หากเขาสามารถผ่านพื้นที่นี้ได้สำเร็จ ก็เหมือนได้ชำระล้างจากแก่นสายฟ้ามากมายมหาศาลนี้ ซึ่งถือเป็นการชำระที่ไม่สามารถจินตนาการได้สำหรับร่างกาย

เจดีย์ฝึกพลังกายเต็มไปด้วยโอกาสในการชำระร่างกายอย่างแท้จริง

แค่เวลาเพียงครึ่งวันนับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้าสู่เจดีย์ พัฒนาการที่มีต่อพลังกายก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้กับการฝึกฝนภายนอกหนึ่งปี

“มิน่าล่ะดินแดนเสินโซ่จึงเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญมากมายในสมัยนั้นซึ่งเป็นจำนวนหนึ่งในสามของโลกสัตว์อสูร…” มู่เฉินถอนหายใจ ด้วยสภาพเหมาะสมในการเพาะบ่มพลังที่ยอดเยี่ยมดังกล่าว จึงไม่แปลกใจว่าทำไมจำนวนจอมยุทธ์ดินแดนเสินโซ่จึงมีจำนวนและประสิทธิภาพมากทั้งคู่

ฮึ่ม!

ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจ เบาะสายฟ้าที่อยู่เบื้องล่างก็สั่นสะเทือนและบินไปอย่างช้าๆ นำพาพวกเขาเข้าไปในมิติที่เต็มไปด้วยดาวหางนับไม่ถ้วน

เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ เห็นสิ่งนี้หัวใจก็สั่นระรัวรีบปรับสภาพสายตาจ้องมองไป

ฟิ้ว!

เบาะสายฟ้านำพวกเขาเข้าไปในห้วงมิติ เส้นแสงบินฉวัดเฉวียนมาจากทุกทิศทาง ทำให้ดวงตาทั้งห้าคู่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

หานซันว่องไวมาก เขางุ้มมือทำเป็นกรงเล็บคว้าไปที่เบื้องหน้า ทันใดนั้นแรงดูดก็ระเบิดออกเล็งไปที่เส้นแสงหนึ่งแล้วกระชากกลับมาอย่างแรง

เส้นแสงเปลี่ยนวิถีโคจร พุ่งเข้ามาราวกับดาวตก

หานซันฉีกยิ้มเปิดแขนกว้างโดยไม่ใช้พลังงานใดๆ เนื่องจากเขาทราบดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่คลื่นหลิงจะเชื่อมโยงกับแก่นสายฟ้า ในโลกนี้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถจับมันได้ก็คือร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ

ดังนั้นหากเขาต้องการดูดซับแก่นสายฟ้า เขาก็ต้องรับมันมาด้วยร่างกายของตนเอง

ปัง!

เส้นแสงกระแทกหน้าอกของหานซัน ทำให้เกิดเสียงดังลึกต่ำ หลุมเลือดปรากฏบนหน้าอกของเขา สามารถมองเห็นสายฟ้าแล่นแปลบปลาบในรอยแผล มีร่องรอยของสายฟ้าเหลวรวมเข้ากับร่างกายของเขาผ่านหลุมเลือดอย่างรวดเร็ว

ใบหน้าของหายซันบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าเขาเจ็บปวดอย่างรุนแรง เมื่อแก่นสายฟ้าเข้าสู่ร่างกาย มันจะค่อยๆ ละลายและชำระเลือดเนื้อ

อาการบิดเบี้ยวคงอยู่บนใบหน้าเป็นเวลานาน ก่อนที่จะค่อยๆ จางหายไป เมื่อเขาฟื้นสติร่างก็ปกคลุมไปด้วยเหงื่อ ความโลภในดวงตาก็จางลงมากถูกแทนที่ด้วยความกลัว เห็นได้ชัดว่าความเจ็บปวดที่เกิดจากแก่นสายฟ้าชำระร่างกายไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ธรรมดาจะทนได้

อัจฉริยะอย่างหานซันมีจิตใจแน่วแน่อยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องพักตัวไปนานกว่าจะกล้าดึงแก่นสายฟ้าอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกันคนอื่นก็พยายามซึมซับแก่นสายฟ้าเข้าไป สุดท้ายทุกคนก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับหานซัน ใบหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ร่างกายสั่นไหวตลอดเวลาเมื่อแก่นสายฟ้าเข้ามาในร่างกาย

หลังจากรับความเจ็บปวดรุนแรง ทั้งสี่คนต่างก็ฉายความกลัวบนใบหน้า ยกเว้นมู่เฉิน เมื่อเขาลืมตาม่านตาสีดำก็สว่างวาบด้วยแสงประหลาด

เขาก้มศีรษะลงมองดูหน้าอกของตน หลุมเลือดกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ผิวหนังกะพริบแผ่วเบาด้วยแสงสีเงิน ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากแก่นสายฟ้า

มู่เฉินสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจุดที่ร่างกายซับแก่นสายฟ้าเข้าไปแข็งแกร่งและมีพลังมากกว่าส่วนอื่นๆ

ทว่าสิ่งที่ทำให้มู่เฉินครุ่นคิดไม่ใช่เรื่องการเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อแก่นสายฟ้าเข้าสู่ร่างกาย เขาสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังงานส่วนใหญ่จากแก่นสายฟ้าถูกดูดซับโดยลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่อยู่ใต้ผิวหนัง

มู่เฉินมองที่แขนสองข้างซึ่งลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงสถิตอยู่ เขารู้สึกได้เลือนรางว่าเทพอสูรทั้งสองยามนี้กระฉับกระเฉงขึ้นมากพร้อมกับความกระหายอยากแผ่ซ่านออกมา หากมู่เฉินเดาถูกต้องแล้ว พวกมันคงจะหิวโหยพลังงานในแก่นสายฟ้า

“หิวอะไรกันขนาดนั้น…”

มู่เฉินพึมพำในใจ ในที่สุดเขาก็ได้รับประสบการณ์ความยากลำบากในการฝึกฝนคัมภีร์หลงเฟิ่ง ตั้งแต่เขาเริ่มฝึกวิชานี้ก็ไม่เคยหย่อนยานเลย แม้ว่าจะใช้ทรัพยากรไปมากมายก็ยังไปไม่ถึงขั้นสองสักที

ตามการคาดการณ์ของมู่เฉิน ถ้าเขาไม่สามารถบรรลุวิชานี้ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้ เขาอาจจะต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปีเพื่อบรรลุซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่มู่เฉินทนรับไม่ได้

ตอนนี้สิ่งที่เขาขาดมากที่สุดก็คือเวลา!

ดังนั้นในเมื่อมีทรัพยากรมากมายบินว่อนอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่สามารถมองพวกมันอย่างสูญเปล่าได้

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ดวงตาเขาเปล่งประกายด้วยความเด็ดเดี่ยว พลังใจปะทุขึ้น คลื่นหลิงเพิ่มขึ้นก่อตัวเป็นพลังดูดทรงประสิทธิภาพดึงเอาเส้นแสงทั้งหมดที่อยู่ใกล้เคียงเข้ามา

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็มีเส้นแสงเกือบสิบสายที่บินเข้ามา ทั้งหมดเปล่งประกายด้วยหยดแก่นสายฟ้า

ที่ใกล้เคียงอีกสี่คนก็ตกตะลึงอย่างมากกับการเคลื่อนไหวของมู่เฉิน พวกเขาผงะออกไปทันที ด้วยกลัวว่าจะถูกลูกหลง

พวกเขารับรู้ชัดเจนเกี่ยวกับความเจ็บปวดที่เกิดจากการดูดซับแก่นสายฟ้า ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะค่อยเป็นค่อยไป หากรีบเร่งขึ้นมา ร่างกายของพวกเขาอาจเป็นสิ่งแรกที่ไม่สามารถทนได้

ในเวลานั้นแก่นสายฟ้าจะมีพลังมากเกินไป ร่างกายของพวกเขาก็จะถูกทำลาย

ครืน!

เส้นแสงพุ่งเข้ามาราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ ระดมยิงเข้าใส่ร่างของมู่เฉิน ทันใดนั้นหลายหลุมเลือดก็ปรากฏบนร่างของเขา ทำให้ร่างพร่ามัวชุ่มโชกไปด้วยเลือด

ขณะที่เลือดสดไหลหลั่ง แก่นสายฟ้าสีเงินเหล่านั้นก็หลอมรวมเข้ากับร่างกาย ความเจ็บปวดรุนแรงที่เกิดขึ้น ทำให้ดวงตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที

เขากัดฟันเม็ดเหงื่อไหลลงมาจากหน้าผาก ใบหน้าของมู่เฉินก็บิดเบี้ยวจนน่ากลัว เสียงคำรามเจ็บปวดดังสะท้อนจากลำคอซึ่งฟังราวกับสัตว์ป่าบ้าคลั่ง

ชี่! ชี่!

เขายังสามารถได้ยินเสียงนาบของร้อนเมื่อแก่นสายฟ้าหลอมรวมเข้ากับร่างกาย ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังละลาย

ความเจ็บปวดเกินบรรยายเกือบทำให้เขาหมดสติ

ทว่าขณะที่มู่เฉินกำลังจะทนแบกรับความเจ็บปวดหนักหน่วงไม่ไหว ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ขยับตัว ทันใดนั้นเสียงคำรามก็ดังก้องออกมาจากร่างของมู่เฉิน

ฮึ่ม!

เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้อง เสียงดังกล่าวทำให้รัศมีและกระแสเลือดของมู่เฉินพุ่งสูงขึ้น แต่ความเจ็บปวดรุนแรงในร่างกายกลับถูกระงับอย่างรวดเร็ว

เมื่อความเจ็บปวดหายไปมู่เฉินก็รู้สึกโล่งสบาย ถ้าลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าไม่เคลื่อนไหวอีก เขาคงต้องปล่อยโอกาสไป

ขณะที่เขารู้สึกผ่อนคลายลง แก่นสายฟ้าในร่างก็เริ่มเปลี่ยนเป็นแสงสีเงิน สุดท้ายก็ถูกดูดซับโดยลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าที่อยู่บนแขนของเขา

มู่เฉินเปิดตา แสงสีเงินวาววับในรูม่านตา ร่างสะบักสะบอมก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับแสงสีเงินอ่อนๆ พล่านบนผิวหนังเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงจากการชำระ

“เขายังไม่ตายเหรอ?!” เมื่อจงเถิง หานซัน มั่วเฟิงและสีคุนเห็นว่ามู่เฉินฟื้นตัวขึ้น ม่านตาก็หดเกร็ง หากพวกเขาเป็นมู่เฉินแล้วละก็ พวกเขาจะต้องได้รับผลกระทบหนักหน่วงตอนนี้แน่นอน แล้วนี่มู่เฉินฟื้นตัวรวดเร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน?

“ทำไมร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่าพวกเราอีก?!” สีคุนรู้สึกว่ายากที่จะเชื่อ พวกเขาเป็นเทพอสูรที่มีร่างกายที่ทรงพลังตั้งแต่กำเนิด แล้วมนุษย์อย่างมู่เฉินทำไมถึงมีพลังกายเหนือกว่าพวกเขา?

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับความตกใจของพวกเขา ศีรษะก้มลงมองที่แขน ไม่เพียงแต่ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าจะมีสีสันชัดเจนยิ่งขึ้น ริ้วแสงสีทองก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างตระการตา เกล็ดมังกรชูชันและปีกหงส์ฟ้าเปล่งพลังอันทรงประสิทธิภาพออกมา

ความรู้สึกนั้นราวกับว่าลวดลายกำลังจะมีชีวิตขึ้น

เมื่อรับรู้ถึงพัฒนาการบนลวดลายเทพอสูรทั้งสอง ดวงตาของมู่เฉินก็เบิกกว้างอย่างมีความสุข เขาเลียริมฝีปากก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเส้นแสง

ในระยะไกลรัศมีแสงสามารถมองเห็นได้เลือนราง ซึ่งน่าจะเป็นทางผ่านเข้าสู่ชั้นสี่

ขณะนี้เบาะสายฟ้าที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไป ซึ่งไม่มีใครสามารถควบคุมได้ ดังนั้นหากพวกเขาต้องการได้รับการชำระล้างของแก่นสายฟ้ามากขึ้น พวกเขาก็จะต้องทำให้เสร็จก่อนที่เบาะจะส่งถึงจุดหมายปลายทาง

ทั้งสี่คนก็รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ดี ดังนั้นดวงตาของพวกเขาจึงเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อเห็นมู่เฉินดูดซับแก่นสายฟ้าอย่างเมามัน ตอนนี้ทุกคนราวกับผีหิวโหยที่มีเครื่องเซ่นวางไว้ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าพวกเขาโหยหิวจนถึงจุดที่ท้องไปติดกับหลัง แต่พวกเขาก็ต้องกินช้าๆ ในขณะที่มู่เฉินกวาดอาหารเรียบ ไม่ว่าจะวางไว้ตรงหน้าก็จะกินก่อนแล้วถึงพูด

อาหารรสเลิศบนโต๊ะกำลังเดินเข้าไปในท้องของมู่เฉินอย่างรวดเร็ว

ดังนั้นจึงกระตุ้นต่อมพวกเขาอย่างมาก

หลังจากต่อสู้ดิ้นรนในใจ ในที่สุดพวกเขาก็กัดฟัน คลื่นหลิงระเบิดขึ้นเพิ่มความเร็วในการดูดซับ

ส่วนราคาสำหรับการเพิ่มความเร็วนี้เป็นเสียงกรีดร้องคร่ำครวญ…

เมื่อมู่เฉินได้ยินเสียงเหล่านั้น มุมปากก็ยกขึ้นก่อนที่เขาจะหลับตาและกางแขนกว้าง จากนั้นคลื่นหลิงในร่างกายก็เพิ่มขึ้นพร้อมกับแรงดูดระเบิดออกมา ทันใดนั้นเส้นแสงโดยรอบก็ราวกับได้พบกับแม่เหล็ก ส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งมายังร่างของมู่เฉินอย่างต่อเนื่อง

เมื่อพวกเขาเห็นมู่เฉินเพิ่มแรงดูดขึ้นไปอีก ทั้งสี่คนก็ร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด หนังตาถึงกับกระตุก พวกเขาอดไม่ได้ที่จะด่าเสียงต่ำ

“เขาไม่ใช่มนุษย์!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1001 ที่นั่งทั้งห้า
บนลานเมฆสายฟ้า

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท