หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1178

ตอนที่ 1178

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1178 ผู้ชนะคนสุดท้าย
ฮึ่ม!

แสงสีทองพร่างพราวโอบล้อมทั่วบริเวณ ตอนนี้จาโหลหลัวหวาดกลัวไปจนถึงจิตวิญญาณ เนื่องจากมือขนาดใหญ่แหวกผ่านมิติปรากฏขึ้นเหนือร่างแล้วตบลงเบาๆ

การตบที่ดูเชื่องช้ากลับทะลุผ่านมิติด้วยความเร็วที่ไม่สามารถอธิบายได้ นอกจากนี้จาโหลหลัวยังรู้สึกได้ว่ามิติถูกแช่แข็งด้วยมือทองคำนี้ ซึ่งหมายความว่าเขาไม่สามารถหลบหนีไปได้อีก

ความกลัวปกคลุมใบหน้าจาโหลหลัว จากนั้นเขาก็ตะโกน “ข้ายอมแพ้!”

ฝ่ามือทองคำเหมือนจะหยุดชั่วขณะซึ่งทำให้จาโหลหลัวสามารถหยิบหินหยกออกมาและเตรียมจะบดขยี้

นี่เป็นวัตถุที่ประมุขตำหนักเทพปีศาจมอบให้ สามารถใช้เพื่อช่วยเขาหลบหนีในยามคับขัน

ตู้ม!

แต่ตอนนั้นเองก่อนที่เขาจะบดขยี้มัน แสงสีทองก็สะท้อนเต็มในดวงตา ความกดดันที่อธิบายไม่ได้ครอบงำไปทุกทิศทาง

ภายใต้แรงกดดันที่น่ากลัวจาโหลหลัวตัวแข็งไม่สามารถขยับได้

จากนั้นฝ่ามือสีทองก็กระแทกเข้ากับร่างเทพสุริยะสีดำของเขา

ปัง!

ร่างเทพสุริยะดำทะมึนช่างบอบบางภายใต้มือทองคำ รอยแตกวิ่งพล่านไปทั่วก่อนที่จะระเบิดออก

เมื่อร่างเทพสุริยะสีดำระเบิด จาโหลหลัวก็รู้สึกถึงผลกระทบร้ายแรงพร้อมกับเลือดสดกระอักจนกบปาก ตัวเขาถูกย้อมเป็นสีแดงเลือดทันที คลื่นหลิงรอบตัวก็ลดน้อยลง

“มู่เฉิน ถ้าแกกล้าฆ่าข้าตำหนักเทพปีศาจไม่ปล่อยแกไปแน่! ท่านประมุขจะให้แกได้ลิ้มรสชีวิตตายดีกว่าอยู่!” จาโหลหลัวที่สัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าของมู่เฉินก็สบถออกมาอย่างโหดเหี้ยม

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดนั่น ฝ่ามือสีทองกดลงมา ร่างจาโหลหลัวแหลกสลายลง แม้แต่จุดจื้อจุนไห่และจิตวิญญาณก็ถูกทำลายล้าง

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จมือทองคำถึงได้ค่อยๆ สลายไป

อ็อก

เมื่อมือทองคำหายไปแล้ว มู่เฉินก็พ่นเลือดออกมาคำหนึ่ง ความผันผวนของคลื่นหลิงลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว

การโจมตีกระบวนท่าเมื่อครู่ใช้พลังงานในจุดจื้อจุนไห่ของเขาจนหมด

มู่เฉินปาดเลือดออกจากริมฝีปากขณะทนกับความเจ็บปวดรุนแรงที่เขย่าไปมาในร่างกาย เขาโบกมือดอกบัวสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็นั่งลงไปบนนั้น

ไอเย็นฉ่ำเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว เริ่มฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและคลื่นหลิงที่อ่อนล้า

กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาสิบกว่านาทีก่อนที่มู่เฉินจะลืมตาขึ้น เขาครางออกมาก่อนที่จะตบขอบใจดอกบัวสีแดง หลังจากที่รู้สึกได้ถึงการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

ถ้าเขาทำด้วยวิธีปกติอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวันในการฟื้นตัว แต่ด้วยความช่วยเหลือของแท่นดอกบัวทำให้บาดแผลส่วนใหญ่ประสานได้ในสิบกว่านาที

มู่เฉินยืนขึ้นมองไปยังทิศทางที่จาโหลหลัวถูกฆ่าก็เห็นประกายแสงสีดำนับไม่ถ้วนลอยอยู่ในอากาศ

สิ่งเหล่านี้มาจากร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัวซึ่งบรรจุด้วยคลื่นหลิงทรงพลัง

มู่เฉินโบกมือดึงประกายแสงสีดำเข้ามา พวกมันรวมตัวกันบนฝ่ามือเขาเป็นรูปทรงกลมสีดำที่มีขนาดเท่าหัว

ภายในสามารถมองเห็นร่างเทพสุริยะสีดำได้อย่างเลือนราง

มู่เฉินมองไปที่ลูกทรงกลมด้วยสายตาซับซ้อน ถ้าจาโหลหลัวเอาชนะเขาได้นี่ก็จะเป็นร่างเทพสุริยะของเขาแทน

เส้นทางไปสู่ร่างมหาเทพนิรันดร์โหดร้ายอย่างแท้จริง…

มู่เฉินถอนหายใจก่อนที่จะสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็โบกมืออีกครั้งแสงแวววาวพุ่งเข้ามาหาเขาจากที่ไกล

นี่คือป้ายหินสีดำ อาวุธมหสวรรค์ที่จาโหลหลัวใช้—ป้ายขวางสมุทร

“สมเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ไม่ได้รับอันตรายอะไรภายใต้การโจมตี” มู่เฉินจับป้ายขวางสมุทรด้วยความยินดีในดวงตา

พลังของป้ายขวางสมุทรไม่ได้ด้อยไปกว่าพัดเทพสายลม กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ใช่ว่าจะมีในครอบครองทุกคน นั่นหมายความว่าตอนนี้เขามีอาวุธทั้งหมดถึงสองชิ้น ซึ่งนี่ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังอิจฉา

มู่เฉินโยนป้ายในมือเล่น แต่เขายังไม่ได้ชำระ แม้ว่าจาโหลหลัวจะตายไปแล้ว แต่นี่ก็เป็นวัตถุที่มอบให้โดยประมุขตำหนักเทพปีศาจลู่หยวน ใครจะรู้อีกฝ่ายอาจทิ้งวิธีลับไว้ก็ได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยควรรอจนกว่าทุกอย่างจะสงบลงก่อนที่จะชำระ

ในตอนนี้เขามีสิ่งที่สำคัญกว่าที่ต้องทำ

หลังจากได้ของมาแล้วมู่เฉินก็หันกลับมองไปที่แท่นบูชาโบราณด้วยดวงตาโชนแสง

เขาไปปรากฏตัวที่ใต้แท่นบูชา ดึงพลังกลับก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนแท่น

รูปปั้นหินพร้อมกับหน้ากระดาษทองคำลอยอยู่ด้านบนสลักด้วยข้อความโบราณที่ทำให้มู่เฉินรู้สึกครั่นคร้ามจากก้นบึ้งของหัวใจ

มู่เฉินมองไปที่หน้ากระดาษร่างกายก็สั่นสะท้าน ในขณะนี้หัวใจของเขาเต้นระรัวไปหมด

เป้าหมายที่เขาทำงานอย่างหนักมาตลอดในที่สุดก็อยู่เบื้องหน้าแล้ว

ตราบใดที่เขาได้รับหน้ากระดาษทองคำนี้ เขาก็จะสามารถพัฒนาร่างเทพสุริยะให้กลายเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์และก้าวขึ้นสู่การเป็นยอดยุทธ์…

มู่เฉินยื่นมือที่สั่นเทาออกไป ลูกแสงสีดำที่เกิดจากร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัวก็พุ่งออกไปตกลงไปบนแท่นบูชา

ฮึ่ม

ลูกแสงสีดำแตกออกกลายเป็นเปลวไฟสีดำห่อหุ้มหน้ากระดาษทองคำอย่างช้าๆ

ขณะนั้นเกลียวแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็เปล่งออกมาจากหน้ากระดาษ กลั่นออกมาเป็นหินหนืดสีทอง แม้แต่มิติยังแสดงสัญญาณของการพังทลายจากพลัง

ทว่าสายตาของมู่เฉินกลับจับจ้องไปที่หินหนืด เขาสามารถมองเห็นอักขระเล็กๆ มากมายที่ไหลเวียนอยู่ภายใน

หินหนืดรวมตัวเป็นทะเลสาบสีทองเหนือแท่นบูชาพร้อมกับพลังงานน่ากลัวเอิบอาบออกมา ซึ่งสามารถทำลายทุกสรรพสิ่งได้

หินหนืดสีทองดูเหมือนจะเดือดพล่านจนถึงจุดที่เปลวไฟสีทองเริ่มลุกโชนก่อตัวเป็นคำโบราณลอยอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน

ร่างเทห์สวรรค์เข้าสู่ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนกายเป็นร่างสีทอง

มู่เฉินจ้องมองคำพูดเหล่านั้นก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ แม้ยังไม่สัมผัสแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังน่าสะพรึงกลัวภายใน

แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ยังไม่กล้าที่จะปล่อยให้ร่างเทห์สวรรค์เข้าไป เพราะคงจะสลายกลายเป็นควันในทันที

ทว่าแม้มู่เฉินจะหวั่นเกรง แต่เขาไม่ใช่คนไม่เด็ดขาด เขาทำงานหนักมาหลายปีก็เพื่อช่วงเวลานี้ ดังนั้นแม้ว่าจะต้องเสี่ยงชีวิตเขาก็จะไม่ลังเลเลยสักอึดใจ

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึก สีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง โดยไม่ลังเลใดๆ เขาวาดตราประทับเรียกร่างเทพสุริยะของตัวเองออกมา

เขาเงยหน้ามองไปที่ร่างเทพสุริยะที่อยู่ข้างหลัง จากนั้นมันก็ก้าวออกไปมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบลาวาสีทองที่ลุกเป็นไฟ

มู่เฉินก็นั่งลงมองไปที่ทะเลสาบที่กลืนกินร่างเทพของเขาในเวลานี้ ก่อนที่เขาจะค่อยๆ หลับตาลง

หลังจากทำงานหนักมาหลายปี…

ในที่สุดช่วงเวลานี้ก็มาถึง!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1199 เผ่าฝูถู
“เผ่าฝูถู”

ชื่อนี้สั่นสะเทือนหัวใจของมู่เฉิน สายตาของเขาเปลี่ยนไป เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าวิชามหาเจดีย์น่าจะเกี่ยวข้องกับเผ่าฝูถู

หากเขาเดาได้ถูกต้องละก็ พวกที่ขังมารดาของเขาไว้ก็น่าจะเป็นเผ่าฝูถู!

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมารดาที่เป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือที่มีพลังคล้ายกับระดับเทียนจื้อจุนถึงต้องจากไปเพื่อปกป้องเขาและบิดา

แม้เขาจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเผ่าฝูถู แต่เขาก็รู้ว่าหนึ่งในเผ่าโบราณของมหาพันภพน่ากลัวเพียงใด

แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดายังต้องระวังเมื่อเผชิญกับอำนาจเช่นนี้

“มิน่าท่านแม่ถึงไม่ต้องการให้ข้าเผยวิชามหาเจดีย์บ่อยครั้งเกินไป นางกลัวว่าข้าจะถูกตรวจพบโดยเผ่าฝูถูนี่เอง ด้วยพลังของพวกเขาจะเป็นภัยคุกคามยิ่งใหญ่สำหรับข้าหากพวกเขาค้นพบ”

มู่เฉินเม้มริมฝีปาก นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงละวิชามหาเจดีย์เอาไว้ มิหนำซ้ำยังซ่อนไว้ด้วยความกลัวว่าคนอื่นจะจับได้

เขายังมีพลังไม่เพียงพอที่จะช่วยเหลือมารดาและเขาไม่ต้องการที่จะนำปัญหาที่ไม่จำเป็นไปให้มารดาเพราะความประมาท

เมื่อจักรพรรดิฟ้าเห็นสีหน้าของมู่เฉินก็คิดว่าอีกฝ่ายรู้สึกประหม่าเพราะต้องไปที่เผ่าโบราณเพื่อคว้าร่างมหาเทพนิรันดร์ เขายิ้ม “เจ้าไม่ต้องกังวลเกินไป แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้พิทักษ์ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมได้ ร่างมหาเทพปฐมกาลจะเลือกผู้ฝึกด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่เผ่าหมัวเฮอก็ทำอะไรไม่ได้ หากเจ้ามั่นใจเพียงพอก็เดินทางไปที่นั่นได้”

“แน่นอนว่าเจ้าจะต้องมีพลังมากพอก่อน! มิฉะนั้นอย่าไปเยี่ยมเผ่าหมัวเฮอโบราณนั่นเลย” ขณะที่พูดท่าทางของจักรพรรดิฟ้าก็กลายเป็นเคร่งเครียด

มู่เฉินพยักหน้าอย่างเงียบๆ เขาไม่ใช่คนโง่ ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นสิ่งที่แม้แต่เผ่าหมัวเฮอยังมองว่าเป็นสมบัติล้ำค่า แม้จะเป็นผู้พิทักษ์ แต่พวกเขาก็คงปรารถนาครอบครองแน่นอน ดังนั้นถ้าเป็นใครบางคนในเผ่าของพวกเขาได้รับก็ดีไป แต่ถ้ามีคนอื่นต้องการรับก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับผลกระทบ

ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับมือกับปัญหาเหล่านี้

“ทำไมตอนนั้นอาจารย์ไม่ไปรับร่างมหาเทพนิรันดร์ล่ะขอรับ?” มู่เฉินนึกขึ้นได้ก็ถามออกมา จักรพรรดิฟ้าฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์เช่นกัน ดังนั้นเขาน่าจะมีคุณสมบัติที่จะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ด้วย

รากฐานของเผ่าหมัวเฮอทรงพลังก็จริง แต่จักรพรรดิฟ้าและวังสวรรค์บรรพกาลก็ไม่ธรรมดา ดังนั้นถ้าเป็นจักรพรรดิฟ้าก็มีคุณสมบัติที่จะลองรับร่างมหาเทพนิรันดร์

จักรพรรดิฟ้าส่ายหัวด้วยความเสียดาย “ข้าก็คิดเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ร่างมหาเทพนิรันดร์มีเจ้าของแล้วในยุคข้า ดังนั้นไม่มีอะไรที่ข้าจะสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องนี้”

“โอ้?”

มู่เฉินสั่นไหว แม้แต่คนอย่างจักรพรรดิฟ้าก็ไม่สามารถรับร่างมหาเทพนิรันดร์ได้รึ? แล้วใครคือเจ้าของคนก่อนที่ขนาดจักรพรรดิฟ้ายังต้องยอมแพ้ให้?

“ฮ่าๆ เขาเป็นจอมยุทธ์ทรงอำนาจ ย้อนกลับไปตอนนั้นเขาเป็นหนึ่งในจุดสุดยอดของมหาพันภพ แม้กระทั่งข้ายังต้องยอมรับกับความด้อยของตัวเอง ไม่งั้นข้าก็อยากจะลองรับร่างมหาเทพนิรันดร์สักครั้ง ถ้าข้าสามารถได้รับมา แม้แต่ไอ้เก้าซากก็ไม่สามารถทำให้อะไรกับข้าได้” จักรพรรดิฟ้ายิ้มด้วยความชื่นชมนับถือฉายบนใบหน้า

คนที่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับความนับถือจากจักรพรรดิฟ้าต้องดำรงอยู่อย่างไม่ธรรมดาแน่นอน มู่เฉินเริ่มชักจะอยากรู้ “ผู้อาวุโสคนนั้นคือใครขอรับ?”

“ในสมัยโบราณเขาเป็นที่รู้จักกันในฉายาเทพจักรพรรดินิรันดร์ เขาได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในผู้นำของยุคนั้น เขาพึ่งพาพลังของตัวเองเผชิญหน้ากับจอมปีศาจระดับเทียนหลายคนซึ่งจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของจักรวรรดิปีศาจ” จักรพรรดิฟ้าอธิบาย

“เทพจักรพรรดินิรันดร์”

มู่เฉินพึมพำชื่อซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ เห็นได้ชัดว่าฉายานี้มาจากร่างมหาเทพนิรันดร์ที่เขาครอบครอง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของจอมยุทธ์ผู้นี้

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินก็ยิ่งคาดหวังกับร่างมหาเทพนิรันดร์มากยิ่งขึ้น

“หนทางนี้ยังห่างไกล เจ้าควรมุ่งเน้นการฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ให้ถึงขีดสุดซะก่อน” จักรพรรดิฟ้าสอนสั่งเมื่อเห็นความปรารถนาร้อนแรงในแววตาของมู่เฉิน

มู่เฉินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เขาไม่ใช่คนที่กัดมากกว่าจะเคี้ยวได้ แม้ว่าในใจเขาจะคาดหวังกับร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ก็รู้ว่าต้องเดินไปทีละก้าว ตอนนี้ต่อให้ร่างนี้จะถูกวางไว้ตรงหน้า เขาก็ไม่สามารถฝึกฝนได้

หลังจากพูดคุยกันมากมาย มู่เฉินก็เห็นร่างจักรพรรดิฟ้าเริ่มจางหายไปมากขึ้น นี่ทำให้แววตาของมู่เฉินมืดครึ้ม เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิฟ้าถึงขีดจำกัดแล้ว

เศษเสี้ยวสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้กำลังจะหายไปตลอดกาล

มั่นถัวหลัวที่อยู่ข้างๆ ได้แต่นิ่งเงียบ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

เมื่อเห็นท่าทางของพวกเด็กๆ จักรพรรดิฟ้าก็ยิ้มขณะที่ลูบหัวมั่นถัวหลัวอย่างรักใคร่ “มู่เฉินมีศักยภาพมหาศาล หากเขาต้องการความคุ้มครองจากเจ้าในอนาคต โปรดทำให้ดีที่สุดเพื่อช่วยเขา”

มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบาๆ

จักรพรรดิฟ้ามองมู่เฉินนิ่ง “ข้าฟูมฟักดอกแมนดาลาน้อยคล้ายกับบุตรสาวอันเป็นที่รัก ในเมื่อเจ้าเป็นทายาทของข้า นางก็ถือว่าเป็นพี่สาวของเจ้าด้วยเช่นกัน”

มู่เฉินรู้สึกอึกอักไปบ้าง นี่เป็นเรื่องยากที่เขาจะเปิดปากเรียกเมื่อมองไปที่รูปร่างกระจ้อยร่อยของมั่นถัวหลัว แต่เขารู้ว่าที่จักรพรรดิฟ้าทำเช่นนั้นก็เพื่อฝากลูกสาว มู่เฉินผงกศีรษะพลางยิ้ม “ศิษย์พี่หญิง ข้าฝากตัวด้วย”

เมื่อมั่นถัวหลัวที่อยู่ในความโศกเศร้าได้ยินตำแหน่งที่มู่เฉินเรียก นางก็ยิ้มพลางกลอกตาใส่อีกฝ่าย ความเศร้าดูลดลงไประดับหนึ่ง

จักรพรรดิฟ้าพยักหน้าขอบคุณกับภาพนี้ เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวมีนิสัยโดดเดี่ยวและยากสำหรับนางที่จะมีสหายสนิท แต่เขาสังเกตเห็นความไว้วางใจระหว่างมู่เฉินกับนาง ยามนี้มู่เฉินยังอ่อนแอ แต่เขาเชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้จะเติบโตเป็นยอดยุทธ์ในอนาคตที่สามารถปกป้องมั่นถัวหลัวได้

“มหาพันภพอาจดูสงบสุขในขณะนี้ แต่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติกำลังจับตามองพวกเราอยู่เสมอ พวกมันเหล่านั้นลึกลับมาก ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหน จากความรู้สึกข้า แม้การรุกรานครั้งก่อนจะดูยิ่งใหญ่ แต่ก็เหมือนยังซ่อนพลังไว้ ดังนั้นถ้าพวกมันบุกเข้ามาอีกเป็นครั้งที่สองจะยิ่งใหญ่เกินคณนา จากนี้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าที่จะปกป้องจักรวาลนี้แล้ว” จักรพรรดิฟ้าถอนหายใจ

มู่เฉิน มั่นถัวหลัวและจิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ

จักรพรรดิฟ้าไม่ได้พูดอะไรอีก ร่างค่อยๆ จางลง สุดท้ายกลายเป็นจุดแสงมหาศาลกระจายออกร่วงลงในทะเลสาบสวรรค์และหายไปในที่สุด

มองดูการลาจากของจักรพรรดิฟ้า ทั้งสามก็ยังคงนิ่งเงียบเป็นเวลานานบรรยากาศหดหู่อบอวลรอบตัว

ในที่สุดมั่นถัวหลัวก็ควบคุมความเศร้าขณะที่หันมองไปทางมู่เฉิน “ไปกันเถอะ”

มู่เฉินพยักหน้า “เราควรทำยังไงกับวังโบราณนี้ดี?”

วังสวรรค์บรรพกาลเป็นดินแดนที่จักรพรรดิฟ้าสร้างขึ้นมาหลายปี ด้วยสภาพการเพาะบ่มที่อุดมสมบูรณ์ ถ้าสามารถใช้ประโยชน์ได้ก็จะดีต่อขั้วอำนาจมาก

มั่นถัวหลัวครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเอ่ยปาก “เดี๋ยวเราย้ายไปไว้ที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เถอะ แต่นั่นต้องจัดระเบียบพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือใหม่ซะก่อน”

มู่เฉินพยักหน้าเงียบๆ พันธมิตรภูมิภาคทางเหนือปัจจุบันหละหลวมมาก หากคนเหล่านั้นมีส่วนร่วมในวังโบราณก็ย่อมหลีกเลี่ยงปัญหาไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจะต้องจัดการจัดระเบียบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนก่อน

เมื่อก่อนมั่นถัวหลัวเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นจะมีคลื่นใต้น้ำหากนางต้องการจัดเรียงการกระจายอำนาจใหม่ แต่ตอนนี้พลังของนางเพิ่มขึ้น มิหนำซ้ำมู่เฉินก็บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุน ซึ่งเมื่อบวกกับวิชาสามพิสุทธิ์ก็จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นจอมยุทธ์อันดับสองในภูมิภาคทางเหนือรองจากมั่นถัวหลัว

ด้วยไพ่ตายเหล่านี้แม้ว่าขั้วอำนาจอื่นๆ ในภูมิภาคทางเหนือต้องการที่จะต่อต้าน ทั้งสองก็สามารถปราบจนราบคาบได้

เมื่อตัดสินใจได้มู่เฉินก็พยักหน้าเบาๆ ให้ร่างรองทั้งสอง พวกเขายิ้มพุ่งลงไปในทะเลสาบสวรรค์เริ่มการเพาะบ่มเสริมกำลังทันที

มู่เฉินยังคงรู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างพวกเขา เพียงแค่คิดเขาก็จะสามารถเรียกร่างรองทั้งสองกลับมาได้ในพริบตา ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลกันเท่าไรก็ตาม

หลังจากให้ร่างรองทั้งสองเข้าไปในทะเลสาบสวรรค์เขาก็พยักหน้าให้มั่นถัวหลัว นางสะบัดมือ อุโมงค์มิติปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา

มู่เฉินพุ่งเข้าไปพร้อมกับจิ่วโยว มั่นถัวหลัวอยู่รั้งท้าย สายตานางมองไปที่ทะเลสาบสวรรค์ หยาดน้ำตาหยดหนึ่งไหลมาจากหางตา ก่อนที่นางจะหันหลังก้าวออกไป

อุโมงค์ค่อยๆ หายไป ความสงบสุขกลับคืนสู่มิตินี้อีกครั้ง มีเพียงเสียงคลื่นที่ดังสะท้อนในมิติ

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1198 การชี้แนะจากจักรพรรดิฟ้า
ทั้งสามจ้องมองกันจากนั้นก็โค้งคำนับ

ช่างเป็นฉากที่แปลกประหลาดนัก แต่เมื่อตกอยู่ในสายตาของจิ่วโยวและมั่นถัวหลัวกลับเป็นภาพที่น่าตกตะลึงยิ่งนัก

เนื่องจากพวกนางสามารถบอกได้ว่าทั้งสามคนนั้นมีรัศมีและพลังเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่สีเสื้อที่ต่างกัน พวกนางคงไม่สามารถแยกร่างหลักของมู่เฉินออกมาได้เลย

“นี่เท่ากับสามจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเลย” จิ่วโยวพึมพำด้วยความตกตะลึง ด้วยวิชาสามพิสุทธิ์การต่อสู้กับมู่เฉินก็เหมือนกับการปะทะกับมู่เฉินคูณสาม!

ยิ่งกว่านั้นเมื่อทั้งสามรวมพลังกันก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนจะสามารถต่อกรได้ เพราะความสามัคคีของพวกเขาไม่สามารถเทียบเคียงกับพวกมู่เฉินได้ ทั้งสามมีความคิดร่วมกัน ดังนั้นความร่วมมือกันจึงสมบูรณ์แบบ

“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดทรงพลังสมคำร่ำลือจริงๆ” จิ่วโยวถอนหายใจด้วยความอิจฉา

มู่เฉินก็อึ้งไปเมื่อมองร่างเสมือนของตนเอง นี่ไม่เหมือนร่างรองโดยทั่วไป เพราะร่างรองทั้งสองของเขามีชีวิตอยู่และมีศักยภาพเท่าเทียมกับเขา!

แต่ทั้งสามก็มีการแบ่งลำดับชั้น มู่เฉินเป็นร่างหลัก แม้ว่าร่างรองอาจมีเอกเทศ แต่วัตถุประสงค์ก็คือเพื่อช่วงเหลือและปกป้องร่างหลัก

เนื่องจากร่างรองถูกทำลายได้ แต่ถ้าร่างหลักถูกสังหาร ร่างรองทั้งสองก็จะหายไป

ขณะที่มู่เฉินอึ้งไปกับร่างรองทั้งสอง จักรพรรดิฟ้าก็ปรากฏขึ้นทันที เขาจ้องมองร่างเสมือนมู่เฉินก็ส่ายหัว “แม้ว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จในการสร้างร่างรองได้ แต่พวกเขาก็ยังอ่อนแออยู่ ดูท่าเจ้าคงต้องใช้เวลาเลี้ยงดูอีกสักพัก”

มู่เฉินพยักหน้า เหตุผลที่เขาสามารถประสบความสำเร็จได้ก็เนื่องมาจากจักรพรรดิฟ้าทั้งสิ้น แม้ว่าจะทำให้กระบวนการของเขาเร็วขึ้น แต่ร่างรองก็ยังไม่เสถียร

“เจ้าให้ร่างรองทั้งสองอยู่ที่ก้นทะเลสาบสวรรค์เพื่อฝึกฝนและสร้างรากฐานที่มั่นคง” จักรพรรดิฟ้ากล่าวขณะชี้ไปที่ก้นทะเลสาบ

มู่เฉินอึ้งไปเมื่อได้ยิน ทะเลสาบสวรรค์อยู่ในวังสวรรค์บรรพกาลมิหนำซ้ำมิติที่นี่ก็ไม่มั่นคง ดังนั้นถ้าเขาออกไปข้างนอกการจะหาทางกลับเข้ามาจะเป็นเรื่องยากยิ่ง

ราวกับรู้ความคิดของมู่เฉิน จักรพรรดิฟ้ายิ้มพลางส่งกระบี่เกล็ดจักรพรรดิไปให้ “ตราบใดที่เจ้ามีกระบี่เล่มนี้ เจ้าสามารถเข้ามาที่วังสวรรค์บรรพกาลได้ทุกเมื่อและยังสามารถควบคุมมิตินี้ได้”

มู่เฉินตกใจ เขาไม่คิดว่าจักรพรรดิฟ้าจะมอบวังโบราณให้กับเขา แม้ว่าตอนนี้วังสวรรค์บรรพกาลจะไม่มีใครแล้วก็ตาม แต่รากฐานก็ยังคงน่ากลัวอยู่ดี

ไม่ต้องพูดถึงสมบัติอื่น เพียงแค่ทะเลสาบสวรรค์ก็เป็นที่ปรารถนาของผู้คนมากมาย นอกจากนี้…ยังมีสิ่งวิเศษอีกอย่างในวังโบราณ

นั่นก็คือหอคัมภีร์เทพซ่อน!

ซึ่งเป็นรากฐานที่แท้จริงของวังแห่งนี้!

หากขั้วอำนาจใดได้รับวังสวรรค์บรรพกาล ตราบใดที่ไม่ถูกกองกำลังอื่นทำลายล้าง พวกเขาก็จะเติบโตยิ่งใหญ่ขึ้นในอนาคต

วังสวรรค์บรรพกาลมีค่าสูงเพราะสิ่งนี้ ดังนั้นมู่เฉินจึงตกใจกับการกระทำของจักรพรรดิฟ้า ทำให้เขาไม่กล้ารับทันที ขณะเดียวกันก็ไตร่ตรองอยู่ในใจ จักรพรรดิฟ้าทำเช่นนี้เพราะต้องการให้เขาสร้างวังสวรรค์ขึ้นมาใหม่หรือ? หากเป็นเช่นนั้นเขาก็เต็มใจที่จะทำ เนื่องจากโอกาสที่จักรพรรดิฟ้ามอบให้ยิ่งใหญ่เกินไป

บุญคุณเช่นนี้ เขาต้องตอบแทนให้ได้

ทว่าขณะที่มู่เฉินคิดเช่นนี้ จักรพรรดิฟ้าก็ยิ้ม “วังสวรรค์บรรพกาลเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ภารกิจก็สำเร็จลุล่วงจึงไม่จำเป็นต้องดำเนินต่อ ข้าแค่ไม่อยากเห็นสถานที่นี้ถูกทำลายด้วยกาลเวลาในมิติว่างเปล่า ให้มันได้ทำประโยชน์สักหน่อยยังดีกว่า”

“ทว่าแม้เจ้าจะสามารถควบคุมวังได้ แต่เจ้าต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเองในการเข้าสู่หอคัมภีร์เทพซ่อน สหายคนนั้นดื้อรั้นมาก” จักรพรรดิฟ้ายิ้ม

ตอนนั้นเองมั่นถัวหลัวและจิ่วโยวก็พุ่งเข้ามา พวกนางตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิฟ้า แต่จากนั้นก็พยักหน้า สายตาวูบไหวไม่รู้คิดอะไรอยู่

“รับไปซะ หากเจ้ากตัญญูต่อข้าจงสัญญาว่าจะมีส่วนรวมในการปกป้องมหาพันภพเมื่อจักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามา” จักรพรรดิฟ้ายิ้มมองมู่เฉิน

ไม่มีเหตุผลใดที่มู่เฉินจะปฏิเสธ เขารับกระบี่ก่อนที่จะคำนับด้วยมารยาทสูงสุด “ถ้าวันนั้นมาถึงศิษย์มู่เฉินจะขอใช้ชีวิตนี้ปกป้องเอง!”

จักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นศัตรูของมหาพันภพ ถ้าวันนั้นมาถึงแม้จะไม่มีสัญญาที่ทำให้ไว้กับจักรพรรดิฟ้า มู่เฉินก็จะเข้าสู้สุดชีวิต เพราะหากมหาพันภพถูกยึดครอง พวกเขาก็จะถูกสังหารเช่นกัน

จักรพรรดิฟ้าพยักหน้า “กระบี่เกล็ดจักรพรรดิติดตามข้ามานานหลายปี แต่เนื่องจากกระบวนการนี้พลังจึงหมดลงไปมาก พลังงานที่เหลืออยู่เจ้าสามารถใช้งานได้อีกสองสามครั้งเท่านั้น ดังนั้นขอให้ใช้ในช่วงเวลาวิฤกตที่สุด แต่เมื่อถึงวันที่เจ้าก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้ บางทีเจ้าอาจจะสามารถกู้พลังคืนมาได้”

มู่เฉินพยักหน้า

กระบี่เกล็ดจักรพรรดิเป็นอาวุธที่สูงเกินกว่าอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูง แม้ว่าจะถูกใช้พลังจนเกือบหมด แต่พลังงานที่เหลืออยู่ก็สามารถเป็นภัยคุกคามจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้

“เจ้าเพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นแรกของวิชาสามพิสุทธิ์ ซึ่งวิชานี้มีทั้งหมดสามขั้นได้แก่ สามแยก-สามรวม-สามพิสุทธิ์”

“ตอนนี้เจ้าอยู่ในขั้นสามแยก หากวันที่เจ้าสามารถหลอมรวมร่างรองทั้งสองกลับเข้าไปในร่างหลักได้ เจ้าก็จะเข้าสู่ขั้นสามรวมเป็นการรวมพลังของสามเป็นหนึ่ง… สำหรับขั้นสุดท้ายเป็นสิ่งที่ข้าทำได้เพียงพิเคราะห์ ดังนั้นเจ้าจะต้องพึ่งพาตัวเอง”

มู่เฉินแอบเดาะลิ้น วิชาสามพิสุทธิ์สมกับเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอด สามารถแยกและรวมกันได้ ความลึกซึ้งนี้เป็นสิ่งเหนือจินตนาการ ไม่รู้ว่าขั้นสามพิสุทธิ์จะทรงพลังเพียงใด

“ฮ่าๆ แม้วิชาสามพิสุทธิ์ลึกซึ้ง แต่เจ้าต้องไม่ลืมว่าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็มีความพิเศษเช่นกัน เพียงแค่ความเข้าใจของเจ้าในปัจจุบันยังน้อยเกินไป”

จักรพรรดิฟ้ามองร่างสีม่วงทองที่อยู่ด้านหลังมู่เฉินก็ยิ้มพูดว่า “ร่างเทพสุริยะนิรันดร์มีทักษะติดตัวสามกระบวนท่า รหัสเทพอมตะคือกระบวนท่าแรกที่เจ้าเข้าถึงได้แล้ว สามารถใช้คลื่นอมตะเพื่อสร้างลวดลายเทพที่สามารถเปลี่ยนรูปทรงซึ่งเทียบเคียงกับอาวุธมหสวรรค์ได้”

“แต่ตอนนี้เจ้าเพียงเริ่มควบคุมเท่านั้น ดังนั้นเจ้าจึงสามารถปรับแต่งรหัสเทพอมตะได้สองลวดลาย ในอดีตข้าสามารถปรับแต่งรหัสเทพอมตะได้เก้าร้อยเก้าสิบลวดลาย ซึ่งเทียบชั้นได้กับอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงเลยทีเดียว”

เมื่อมู่เฉินได้ยินก็ตกตะลึง ก่อนหน้าแค่การปรับแต่งรหัสเทพอมตะสองลวดลายเขาก็ต้องใช้ความพยายามมากแล้ว ไม่คิดว่าจักรพรรดิฟ้าจะสามารถปรับแต่งได้มากมายขนาดนี้

“กระบวนท่าที่สองเรียกว่าดอกบัวอมตะ ส่วนกระบวนท่าที่สามเรียกว่าแปรเป็นตายอมตะ”

“แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของเจ้าเองในการค้นหาออกมา เรื่องนี้ข้าไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้”

“ดอกบัวอมตะ… แปรเป็นตายอมตะ…”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเองพลางยิ้ม หากเขาต้องการความช่วยเหลือจากจักรพรรดิฟ้าทุกอย่าง เขาคงเป็นผู้สืบทอดมรดกที่ล้มเหลวแล้ว เขาเชื่อว่าจะต้องมีสักวันที่จะสามารถเข้าใจกระบวนท่าทั้งหลายและปลดปล่อยพลังออกมาได้อย่างสมบูรณ์

ทว่าเมื่อคิดถึงร่างเทพสุริยะนิรันดร์มู่เฉินก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถาม “ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรถึงจะวิวัฒนาการร่างสุดท้ายได้หรือขอรับ?”

วิวัฒนาการร่างปลายของร่างเทพสุริยะนิรันดร์เป็นหนึ่งในห้าร่างมหาเทพปฐมกาล—ร่างมหาเทพนิรันดร์!

จักรพรรดิฟ้านิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่สายตาจะลึกซึ้งขึ้น เขาคิดเงียบๆ ก่อนที่จะพูดช้าๆ “ถ้ามีวันหนึ่งที่เจ้าไปถึงขีดสุดของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ หากเจ้ายังมีความทะเยอทะยานเพียงพอก็มุ่งหน้าไปยังเผ่าหมัวเฮอ… พวกเขาเป็นผู้พิทักษ์ร่างมหาเทพปฐมกาลเอาไว้”

“แต่ในฐานะที่หนึ่งในเผ่าที่เก่าแก่ที่สุดของมหาพันภพ เทียบเคียงได้กับเผ่าฝูถู ดังนั้นหากเจ้าต้องการได้รับมา เจ้าจะต้องอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนเป็นอย่างน้อย!”

“เผ่าหมัวเฮอ”

หัวใจของมู่เฉินเฉินโลดขึ้น แต่เมื่อได้ยินอีกชื่อ หัวใจเขาก็สั่นสะเทือนด้วยความรู้สึกที่แปลกไป

“เผ่าฝูถู?”

มู่เฉินยื่นมือแตะหน้าอก เขาจำได้ว่าวิชาที่มารดาทิ้งไว้ให้มีชื่อว่าคัมภีร์ต้าฝูถู—วิชามหาเจดีย์!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1197 บรรลุระดับตี้จื้อจุน
คลื่นกระแทกกินเวลานานก่อนที่จะสลายไป

ขณะที่จิ่วโยวและมั่นถัวหลัวจดจ้องไปที่ต้นกำเนิดของผลกระทบทันที

มิติบิดเบี้ยวค่อยๆ คืนสภาพเดิม ก่อนที่แสงสีม่วงทองจะระเบิดออกกะทันหัน เสาแสงหมื่นจั้งพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

ร่างยักษ์สีม่วงทองยืนตระหง่านอยู่ในใจกลางเสาแสงห่อหุ้มด้วยรัศมีอมตะ ทำให้ดูราวกับว่าไม่มีวันตาย

จิ่วโยวมองร่างยักษ์ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่ถ้าสัมผัสละเอียดจะรู้สึกได้ว่ายักษ์ตัวนี้หลอมรวมเข้ากับธรรมชาติ เรียกลมสั่งสายฟ้าพรูออกมาลมหายใจได้เลยทีเดียว

ขณะนี้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ประหนึ่งเชื่อมโยงกับคลื่นหลิงในฟ้าดิน สามารถรวมเจตจำนงเข้ากับสวรรค์และโลกควบคุมทั่วบริเวณนี้

สำหรับคนที่มีพลังน้อยกว่ามู่เฉิน การเข้ามาที่นี่เหมือนกับการก้าวเข้าสู่โลกของมู่เฉิน การฆ่าพวกเขาก็แค่พึ่งพาเพียงความคิดวูบเดียว

จิ่วโยวมองไปที่ใบหน้าของร่างสีม่วงทอง ก่อนหน้านี้ดูเลือนรางมากแต่เวลานี้ดูคล้ายกับมู่เฉิน มองจากระยะไกลเหมือนมู่เฉินที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้น

เป็นเพราะความสัมพันธ์ลึกล้ำยิ่งขึ้นระหว่างมู่เฉินกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์หลอมรวมกันอย่างลงตัว จึงสามารถรวมกันเพื่อรับพลังเพิ่มเติม

คล้ายคลึงกับผู้อาวุโสจั่วที่กลืนกินร่างเวทสวรรค์ของตนเอง พลังที่แพร่กระจายตอนนั้นทำให้มู่เฉินที่สั่งการกองทัพสังหารทางวิญญาณยังรู้สึกหวาดกลัว

มู่เฉินนั่งอยู่บนไหล่ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ แสงสีม่วงทองพรั่งพรูออกมาบนผิวกายของเขา ประกายไฟบนร่างเขาได้ละลายหายไปหมดในเวลานี้

ตรงส่วนที่เหลืออยู่ ความผันผวนสีม่วงทองขนาดใหญ่ก็แผ่กระจายออกไปจากเขาซึ่งบรรจุด้วยคลื่นหลิงที่น่ากลัว

ยามนี้จิ่วโยวรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่มาจากมู่เฉิน แม้ว่าเขาจะไม่เคลื่อนไหวใดๆ ก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่นางเคยรู้สึกได้จากจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนเท่านั้น

ฮึ่ม

ขณะที่จิ่วโยวจ้องมองมา มู่เฉินก็ลืมตาขึ้น แสงสีม่วงอมทองเปล่งออกมาจากดวงตา ทำให้มิติถูกฉีกออกทันที

แสงแวววาวกินเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะสลายไป มู่เฉินเงยหน้าขึ้นสัมผัสถึงความรู้สึกแปลกประหลาดในบริเวณนี้ ซึ่งราวกับว่าตราบใดที่เขาต้องการก็จะสามารถควบคุมคลื่นหลิงยิ่งใหญ่ในพื้นที่นี้ได้

เขาเหยียดมือออก คลื่นหลิงก็รวมตัวกันก่อตัวเป็นภูเขาสูงหนึ่งร้อยจั้ง

ภูเขานี้เป็นประกายและดูงดงามราวกับอัญมณี ทว่านี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากพลังงานบริสุทธิ์ในพื้นที่นี้ ซึ่งไม่สามารถทำลายได้

“กลยุทธ์รูปแบบฟ้าดิน”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง นี่คือหนึ่งในสัญลักษณ์ของระดับตี้จื้อจุน สามารถควบแน่นคลื่นหลิงรอบตัวให้อยู่ในรูปแบบแตะต้องได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ในอดีต

นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงการควบคุมคลื่นหลิงที่เหนือจินตนาการของจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุน

มู่เฉินก้มศีรษะลง รู้สึกว่าทุกครั้งที่หายใจเข้าก็จะทำการกลั่นคลื่นหลิงมหาศาลไปด้วย

ความเร็วในการดูดซับนี้ทำให้มู่เฉินตกตะลึง ร่างกายของเขาคล้ายกับเหวที่ไม่เคยอิ่มหนำ ไม่ว่าเขาจะดูดซับมากแค่ไหน

เมื่อก่อนมีเพียงจุดจื้อจุนไห่ ตอนนี้ทุกอณูในร่างกายบรรจุด้วยทะเลพลังที่กลืนกินอย่างตะกละตะกลาม

ความรู้สึกถึงพลังแบบนี้มึนเมาเหลือเกิน ตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นถึงจะสามารถได้รับพิจารณาเป็นผู้ปกครอง

เนื่องจากความแข็งแกร่งนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าจะสามารถแข่งขันได้

มู่เฉินเหยียดมือออกมากำเบาๆ ภูเขาเบื้องหน้าสลายลง มุมปากของเขาโค้งขึ้น

“ระดับตี้จื้อจุน…ในที่สุดข้าก็บรรลุเป้าหมายแล้ว”

ประสบความสำเร็จกับภัยพิบัติหลิงนี้ ในที่สุดมู่เฉินก็ถือได้ว่าก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่แท้จริงแล้ว!

หลังจากมู่เฉินสัมผัสถึงพลังที่ครอบครอง ทันใดนั้นแสงก็รวมตัวกันกึ่งกลางคิ้ว ข้อมูลจำนวนมากถูกปลดปล่อยออกมา

นี่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับคัมภีร์ระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานวิชาสามพิสุทธิ์ที่จักรพรรดิฟ้ามอบให้เขา!

ก่อนหน้านี้พลังของมู่เฉินมีจำกัด ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ แต่ด้วยความก้าวหน้าของเขา ชิ้นส่วนที่ปิดตัวก็เปิดออกในที่สุด

ขณะนี้เขาสามารถรู้แจ้งและรับรู้ถึงประสบการณ์ของจักรพรรดิฟ้าได้

“อย่างนี้นี่เอง”

มู่เฉินไขความลึกซึ้งหลายอย่างเกี่ยวกับวิชาสามพิสุทธิ์ ทันใดนั้นเสียงเข้าใจก็ดังสะท้อนในหัวใจของเขา วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดซึ่งก่อนหน้าเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เริ่มมีเค้าโครงขึ้นในสมองของเขาแล้ว

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะภายในประกอบด้วยความเข้าใจของจักรพรรดิฟ้า มิฉะนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนก็ยังต้องใช้เวลาหลายปีก่อนที่จะเข้าใจถ่องแท้

แต่ด้วยความช่วยเหลือของจักรพรรดิฟ้า ก็ช่วยเขาย่นความพยายามหลายปี สามารถบรรลุผลสำเร็จในก้าวเดียว!

ประกายแสงวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน เขานั่งนิ่งไปครึ่งวันเต็มๆ ก่อนที่จะเบิกตากว้างในช่วงเวลาหนึ่ง

เขายกมือขึ้นช้าๆ จากนั้นก็สร้างตราประทับโบราณ

ฮึ่ม!

เมื่อตราประทับถูกสร้างขึ้น เสียงแปลกประหลาดก็ราวกับดังก้องในมิติแล้วกระจายออกไป

“วิชาสามพิสุทธิ์ แยก!”

“ใบมีดแยก!”

เสียงมีเสน่ห์ดังก้องจากปากมู่เฉิน จากนั้นแสงหลิงสว่างไสวสีขาวก็พวยพุ่งออกจากหัว ม้วนตัวอย่างต่อเนื่องที่เบื้องหน้าเขา ก่อร่างเป็นภาพกระบี่ลวงตา

กระบี่นี้ดูแปลกประหลาด แม้จะมองเห็นได้ แต่ก็ให้ความรู้สึกลวงตา ราวกับว่าเป็นเพียงภาพทับซ้อน

“เขากำลังทำอะไร?” จิ่วโยวอึ้งไปกับภาพนี้

มั่นถัวหลัวครุ่นคิดสั้นๆ “ถ้าข้าเดาได้ถูก เขาน่าจะลองฝึกวิชาสามพิสุทธิ์อยู่น่ะ!”

ขณะที่พูดแม้แต่คนอย่างนางก็ไม่สามารถปกปิดความตกใจในดวงตาได้ ชื่อเสียงของวิชาสามพิสุทธิ์เป็นที่โจษขานเนื่องจากจักรพรรดิฟ้าอาศัยวิชานี้ครอบครองบัลลังก์ในมหาพันภพ

และตอนนี้มู่เฉินกำลังจะประสบความสำเร็จวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดแล้วเรอะ?

กระทั่งนางยังเริ่มที่จะอิจฉาโอกาสของมู่เฉิน

“แยก!”

ขณะที่พวกนางสนทนา มู่เฉินก็ยืนขึ้นมองไปที่กระบี่ลวงตาที่เบื้องหน้า เขาสร้างตราประทับด้วยมือเดียวแผดเสียงคำราม

ฮึ่ม!

ใบมีดเบาบางสั่นไหวก่อนที่จะพุ่งลงมาเฉือนหัวของมู่เฉินในแนวตั้ง

มู่เฉินยืนอยู่โดยไม่มีการเคลื่อนไหว

วาบ!

ใบมีดกรีดผ่านศีรษะเขาไป ทว่าวินาทีต่อมาก็กรีดต่อไปไม่ได้หยุดลง

ใบมีดกรีดทะลุร่างมู่เฉิน

เมื่อใบมีดผ่านไปก็ทำให้เกิดประกายไฟสีแดงเข้มลอยออกมาทางด้านขวามือของมู่เฉิน มันขยับเขยื้อนไม่หยุดพลางเปล่งความผันผวนแปลกประหลาดออกมา

จากการเฉือนนี้มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ถูกแยกออก เหมือนเป็นทั้งเลือดเนื้อและวิญญาณ

ทว่าการแยกนี้ไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายใดๆ กับเขา

“อีกครั้ง!”

เขาคำรามขึ้น

วาบ!

ใบมีดพุ่งลงมาอีกครั้งผ่านร่างเขาไป เมื่อเคลื่อนออกไปก็นำพาก้อนแสงสีแดงเข้มอีกก้อนแยกออกมา

หลังจากเคลื่อนไหวสองครั้ง ใบมีดลวงตาก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มู่เฉินหันกลับไปมองกลุ่มแสงสีแดงเข้มสองดวง

แสงสีแดงเข้มค่อยๆ ก่อเป็นรูปเป็นร่าง

ร่างสองร่าง หนึ่งในชุดดำและหนึ่งในชุดขาว ทั้งคู่มีม่านตาสีดำและรูปร่างหน้าตาคล้ายกันราวกับแกะ รัศมีทรงพลังแบบเดียวกับมู่เฉินถูกเปล่งออกมา

ทั้งสองเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน!

มู่เฉินมองดูร่างทั้งสองพร้อมรอยยิ้มจากนั้นก็ยกมือขึ้น “ข้าคือมู่เฉิน”

ร่างในชุดสีดำและสีขาวก็ยิ้มเช่นกัน ขณะที่ยกมือขึ้นคำนับ

“ข้าคือมู่เฉิน”

“ข้าคือมู่เฉิน”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1196 ทุกวิธีการเผชิญหน้าภัยพิบัติหลิง
ตู้ม! ตู้ม!

เมฆหลิงหนาแน่นรวมตัวกันบนท้องฟ้า เผยให้เห็นสายฟ้าในบางครั้งคราวพร้อมกับเสียงฟ้าผ่าดังก้อง ทำให้ผู้คนใจสั่นได้เลยทีเดียว

คลื่นผันผวนในทะเลสาบสวรรค์ก็สงบลง ราวกับถูกกดขี่จากฟ้าดิน

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มเมฆหนา สายฟ้าสว่างวาบก่อตัวขึ้นจากคลื่นหลิงที่ถูกบีบอัด ทุกเกลียวสายฟ้าบรรจุด้วยพลังที่ไม่สามารถจินตนาการได้ แม้แต่ระดับตี้จื้อจุนแท้จริงยังไม่กล้าดูถูกเลย

เผชิญหน้ากับสายฟ้าเช่นนี้ แม้แต่มู่เฉินที่มีพลังกายแข็งแกร่งขึ้นมากยังรู้สึกสั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง หากเขาประมาทแม้แต่น้อยกระทั่งพลังกายของตนก็ไม่สามารถทนต่อสายฟ้าทรงพลังนี้ได้

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉิน แสงพราวพราวสีม่วงทองและรัศมีอมตะแผ่ซ่านออกมาทำให้มู่เฉินรู้สึกสบายใจมากขึ้น

นี่ถือเป็นการต่อสู้ครั้งแรกของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ มู่เฉินก็อยากรู้ว่าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่เขาโหยหามานานหลายปีจะทรงพลังแค่ไหน

ครืนๆๆๆ

ทั่วบริเวณเงียบสงบ มีเพียงเสียงฟ้าผ่าดังก้อง ไม่กี่นาทีต่อมาเมฆก็เริ่มกลิ้งตัวแล้วแตกออกก่อนที่ลำสายฟ้าจะฟาดลงมา

ตู้ม!

สายฟ้าเส้นนี้มีขนาดประมาณหนึ่งร้อยจั้งราวกับมังกรสีรุ้งขณะที่คำราม กระทั่งมิติก็ไม่สามารถทนรับได้เริ่มบิดเบือนไป

สายฟ้าพุ่งลงมาทันที ก่อนจะปรากฏตัวเหนือร่างมู่เฉิน จากนั้นก็กระหน่ำลงบนร่างสีม่วงทองอย่างไม่เกรงใจ

มู่เฉินไม่กล้าชักช้า ร่างสีม่วงทองคำรามลั่นพร้อมกับแสงสีม่วงทองเปล่งประกายวูบวาบไปทั่วร่างกาย

เสาแสงสีม่วงทองขนาดมหึมายิงออกจากปากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ซึ่งบรรจุด้วยคลื่นหลิงไร้ขอบเขต

ตู้ม!

พลังสองสายปะทะกันราวกับอุกกาบาตพุ่งชน มิติบริเวณนั้นก็ทรุดตัวลง คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้กวาดออกเป็นเกลียวคลื่น

พื้นผิวของทะเลสาบสวรรค์ถูกระงับจากแรงกดดัน คลื่นใหญ่หมื่นจั้งดันตัวขึ้น ดูอลังการอย่างยิ่ง

พลังอันยิ่งใหญ่กินเวลานานหลายนาที ก่อนที่เสาสีม่วงทองจะอ่อนกำลังจากนั้นก็แตกออกภายใต้พลังสายฟ้า

ทว่าสายฟ้าก็ถูกทำให้อ่อนลงอย่างมีนัย พลังที่เหลืออยู่จึงทำให้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์เพียงสั่นสะเทือนโดยไม่เกิดความเสียหายใดๆ

ทว่ามู่เฉินก็ยังไม่กล้าที่จะผ่อนคลาย สายฟ้าสายแรกอ่อนแอที่สุด แต่เขาก็ไม่สามารถต้านได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นหลังจากนี้อันตรายก็จะเพิ่มมากขึ้น

“เขาสกัดได้!” ใบหน้าจิ่วโยวเผยความสุข

“มีกระแสสายฟ้าเก้าคลื่นในภัยพิบัติหลิง คลื่นต่อไปจะยิ่งแรงกว่านี้ นี่เป็นคลื่นแรกและต่อจากนี้สิจะรุนแรงขึ้นไปอีก” มั่นถัวหลัวส่ายหัว ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสายตาของนางดีกว่าจิ่วโยวมาก นางสามารถบอกได้ว่าถึงมู่เฉินจะยืนหยัดกับสายฟ้าคลื่นแรกได้แต่ก็เรียกว่าฉิวเฉียด หากสถานการณ์นี้ดำเนินต่อไปคงไม่เป็นการดีสำหรับเขา

ครืน!

ขณะที่พวกนางคุยกัน ลำสายฟ้าขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นคล้ายกับมังกรมหึมาซ่อนอยู่หลังเมฆ

ตู้ม!

กลุ่มเมฆฉีกขาดอีกครั้ง สายฟ้าลำหนาขึ้นก็ฟาดใส่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์

สีหน้ามู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน การเผชิญหน้าครั้งแรกเขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ชัดว่าผ่านไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ตอนนี้จึงไม่กล้าที่จะประมาท แค่คิดแสงสีม่วงทองก็พรั่งพรูออกมา ถักทอเป็นปราการขนาดใหญ่

ครั้งนี้เขาเลือกที่จะป้องกัน

ปัง!

สายฟ้าฟาดรอยแตกพล่านบนปราการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด

แกร๊ก แกร๊ก!

ปราการคงอยู่ได้ไม่นานก่อนจะแตกสลาย จากนั้นสายฟ้าก็พุ่งเข้าชนร่างเทพสุริยะนิรันดร์จังใหญ่

ครั้งนี้แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นทำให้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์สลัวลงเล็กน้อย เนื่องจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์เชื่อมต่อกับมู่เฉิน เขาจึงได้รับผลกระทบอย่างมากกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง

ดวงตาของเขาวูบไหวด้วยความหวาดผวา เนื่องจากเขาไม่คิดว่าภัยพิบัติหลิงจะน่ากลัวปานนี้

“ดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะต้านทานภัยพิบัติหลิงโดยอาศัยร่างเทห์สวรรค์เพียงอย่างเดียว”

มู่เฉินเช็ดรอยเลือด สีหน้าเคร่งขรึมลง เขาทะยานขึ้นไปที่ไหล่ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ พัดขนนกสีเขียวปรากฏขึ้นในมือ

ตอนนี้ถึงเวลาที่จะนำไพ่ตายใบแรกมาใช้แล้ว

ตู้ม!

ขณะที่มู่เฉินจับพัดเทพสายลม กระแสสายฟ้าคลื่นที่สามก็ฟาดลงมา ซึ่งหนากว่าสองเส้นก่อนหน้าหลายเท่า

“ทอร์นาโดเทพสายลม!”

มู่เฉินสะบัดพัดเทพสายลมโดยไม่ลังเล ทันใดนั้นพายุไซโคลนขนาดมหึมาก็ก่อตัวขึ้นปะทะกับสายฟ้า

ตู้ม ตู้ม!

เสียงลมพายุดังกระหึ่ม แต่คราวนี้ที่ทำให้เขาโล่งใจก็คือด้วยพัดเทพสายลมและร่างเทพสุริยะนิรันดร์ในที่สุดเขาก็สามารถต้านทานกระแสสายฟ้าคลื่นที่สามได้

คลื่นกระแทกที่เหลืออยู่กวาดหายนะอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่พายุไซโคลนและฟ้าผ่าจะจางลง

ฮา

มู่เฉินมองสายฟ้าที่สลายไปก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นหัวใจเขาก็กระตุก เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานแปลกประหลาดซึ่งมาจากพลังงานที่หลงเหลือ หลอมรวมเข้ากับร่างเทพสุริยะนิรันดร์

พลังงานนี้ไม่สามารถเสริมสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ แต่วินาทีนั้นมู่เฉินรู้สึกได้ว่าการเชื่อมโยงระหว่างร่างเทพสุริยะนิรันดร์กับฟ้าดินใกล้ชิดยิ่งขึ้น

“แบบนี้นี่เอง ภัยพิบัติหลิงสามารถทำให้ร่างเทห์สวรรค์มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับฟ้าดิน ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นถึงใช้วาจาฟ้าดินเป็นประกาศิตได้” มู่เฉินเข้าใจขึ้นมา ที่แท้พลังนั้นก็มาจากภัยพิบัติหลิงนี่เอง

ภัยพิบัตินี้เป็นการทดสอบและโอกาสในเวลาเดียวกัน

“หากเป็นเช่นนั้นให้ก็ขอแบบแข็งๆ เลย!”

มู่เฉินโบกพัดในมือขณะจ้องมองกลุ่มเมฆด้วยสายตาร้อนแรง

ตู้ม! ตู้ม!

กลุ่มเมฆราวกับสัมผัสได้ถึงสายตามู่เฉิน พวกมันเริ่มกลิ้งตัวรุนแรง จากนั้นเกลียวสายฟ้าสองสายก็พุ่งลงมาในเวลาเดียวกัน

มู่เฉินมองดูสายฟ้าแฝด สีหน้าก็ตึงเครียดไม่กล้าชักช้า พัดเทพสายลมเริ่มขยายตัว คลื่นหลิงมหาศาลเทเข้าไป

ฮวบ!

พัดเทพสายลมสั่นสะเทือน ก่อนที่พายุไซโคลนขนาดใหญ่หลายลูกจะหมุนออกไป ยามนี้เขาเร้าพลังสูงสุดแล้ว พายุทุกลูกสามารถทำให้เขาใจสั่นเลยทีเดียว

ตู้ม ตู้ม!

พายุไซโคลนปะทะกับสายฟ้า เมื่อพายุถูกทำลายไปทีละลูกสายฟ้าสองสายก็ค่อยๆ ลดขนาดลงเช่นกัน

ฮา

มู่เฉินโล่งใจเมื่อเห็นเกลียวสายฟ้าสองสายที่กำลังจะสลายหายไป

ตู้ม!

ทว่าทันทีที่มู่เฉินรู้สึกโล่งใจ จู่ๆ สายฟ้าสองสายก็ระเบิดออก กระแสสายฟ้าอีกสายก่อตัวขึ้นซัดลงมาอย่างรวดเร็ว!

นี่มันลงมาทีเดียวสามสาย!

การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทำให้จิ่วโยวตกใจจนอุทานลั่น

ในพริบตาเดียวเกลียวสายฟ้าที่สามก็มาอยู่เหนือร่างเขา แต่เมื่อกำลังจะจู่โจม มู่เฉินก็โยนป้ายขวางสมุทรออกไป มหาสมุทรสีดำทะลักออกมาปะทะกับเกลียวสายฟ้าที่สาม เพื่อสลายพลังลง

“เจ้าเล่ห์เหลือเกิน”

มู่เฉินมองการกระทำนี้ด้วยเหงื่อเย็นท่วมตัว โชคดีที่เขาระมัดระวังและเตรียมป้ายขวางสมุทรเอาไว้ ไม่เช่นนั้นเขาต้องทนทุกข์จากกระแสสายฟ้าคลื่นที่สามอย่างแน่นอน

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็เหลืออีกเพียงสี่คลื่น”

ป้ายขวางมหาสมุทรส่งเสียงหวือลอยอยู่เบื้องหน้า ในมือเขาถือพัดเทพสายลมไว้ ริ้วแสงสีทองแห่งความเป็นอมตะกำจายจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่อยู่ข้างใต้ห่อหุ้มเขาไว้ ยามนี้เขางัดไพ่ตายทั้งหมดออกมาแล้ว ด้วยการป้องกันนี้เขาน่าจะทนคลื่นที่เหลือได้ล่ะมั้ง?

ดังนั้นในเวลาต่อมา เมฆหลิงบนท้องฟ้าก็ผันผวน กระแสสายฟ้าซัดลงมาอีกครั้ง

แต่หลังจากผ่านประสบการณ์กระแสสายฟ้าห้าระลอกก่อนหน้า มู่เฉินก็เริ่มจับการทำงานของมันได้ แม้จะมีอันตรายรอบตัว แต่เขาก็สามารถสกัดคลื่นไว้ได้ด้วยอาวุธมหสวรรค์ทั้งสองชิ้น

เมื่อหนึ่งชั่วโมงผ่านไป มู่เฉินก็ทนกระแสสายฟ้าจนถึงคลื่นที่แปดได้แล้ว

ทว่าเขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก ประกายไฟแลบแปลบปลาบบนร่างซึ่งเกิดจากภัยพิบัติหลิงนั่นเอง

นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของคลื่นพลังที่คล้ายกับสารพิษ เมื่อเข้าสู่ร่างกายก็จะกัดกร่อนคลื่นหลิง ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส

ดังนั้นมู่เฉินจึงทำได้เพียงหมุนเวียนคลื่นหลิงเพื่อต่อต้านและชำระล้าง

ขณะเดียวกันร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็จางลงไปมาก ชัดว่าได้ใช้พลังงานจำนวนมากในการต้านทานภัยพิบัติหลิง

“คลื่นที่แปดจบแล้ว เหลือคลื่นสุดท้าย”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มเมฆที่สลายหายไปเยอะ แม้ว่าจะมีกระแสสายฟ้าคลื่นสุดท้ายเหลืออยู่เท่านั้น แต่เขาก็ไม่สามารถผ่อนคลายได้ ตรงกันข้ามเขารู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น

เพราะคลื่นที่เก้าใช้เวลาในการชงตัวนานมาก ความกดดันที่ถูกปล่อยออกมาจากมันก็ไกลเกินกว่าคลื่นใดๆ

มู่เฉินพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปรับสภาพขณะรอคลื่นลูกสุดท้าย ตราบใดที่เขาสามารถผ่านไปได้ เขาก็จะบรรลุระดับตี้จื้อจุนแท้จริง!

จิ่วโยวรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่ากลัว แม้ว่านางจะไม่ได้อยู่ในนั้น แต่ก็สามารถบอกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่มู่เฉินกำลังแบกไว้

แต่นางไม่ได้พูดอะไรเพราะไร้ประโยชน์ นางทำได้เพียงสวดมนต์เพื่อหวังว่ามู่เฉินจะผ่านไปได้

นอกจากนี้ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าทำไมถึงมีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มจำนวนมากกลัวภัยพิบัติหลิง แม้แต่คนอย่างมู่เฉินก็ยังอยู่ในสภาพน่าสมเพชแล้วจอมยุทธ์ธรรมดาล่ะ?

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ความเงียบดำเนินไปเป็นเวลานาน ก่อนที่เมฆจะเริ่มเปล่งเสียงดังก้องอีกครั้ง ลำแสงจำนวนมากส่องกระจาย ภายใต้แสงนี้ทั่วทั้งฟ้าดินยังบิดเบี้ยว

เมฆหลิงหดตัวรวมกันอย่างรวดเร็ว ก่อร่างเป็นมังกรยักษ์ที่ปกคลุมไปด้วยสายฟ้า

มังกรบินฉวัดเฉวียนอยู่ในท้องฟ้าจ้องมาที่มู่เฉิน แรงกดดันที่น่ากลัวครอบคลุมทั้งมิตินี้

เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นเมฆรูปมังกร ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไป นางพูดออกมาอย่างตกใจว่า “กระแสสายฟ้าคลื่นที่เก้าของภัยพิบัติหลิงนี้ก่อตัวเป็นรูปร่างเรอะ?”

“หมายความว่าอย่างไร?” จิ่วโยวสอบถามอย่างรวดเร็ว

“ภัยพิบัติหลิงมักอยู่ในรูปแบบสายฟ้า แต่จะมีบางภัยพิบัติพิเศษที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปทรงได้ แต่โดยทั่วไปแล้วเจอได้ยากมาก…ใช่แล้ว ความแข็งแกร่งของภัยพิบัติยังเชื่อมโยงกับความแข็งแกร่งของร่างเทห์สวรรค์ของผู้ฝึก ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของมู่เฉินเป็นวิวัฒนาการระยะต่อมา ในแง่ของการจัดอันดับน่าจะสามารถเป็นหนึ่งในสิบห้าอันดับแรกได้ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคลื่นที่เก้าจึงก่อตัวเป็นรูปทรงขึ้นได้… ” พูดถึงตอนท้าย มั่นถัวหลัวก็เข้าใจขึ้นมา

จิ่วโยวพูดไม่ออก นางไม่คิดเลยว่าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่มู่เฉินไล่ล่ามาตลอดจะทำให้ต้องเจอกับภัยพิบัติครั้งใหญ่

มั่นถัวหลัวถอนหายใจยิ้มอย่างขมขื่น “แม้ว่าภัยพิบัตินี้จะทรงพลัง แต่เขาก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้นถ้าสามารถต้านทานได้ ไม่รู้ว่าจะนับเป็นโชคลาภหรือหายนะดี”

จิ่วโยวถอนหายใจเช่นกัน โดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการที่จะเจอภัยพิบัติชนิดก่อตัวขึ้นได้ เพราะจะทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะตายได้

แต่ในเมื่อมันก่อตัวขึ้นแล้วก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ พวกนางได้แต่หวังว่ามู่เฉินจะสามารถต้านทานได้

ขณะที่พวกนางกำลังพูดกัน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองภัยพิบัติที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างมังกร สีหน้าเขาน่าเกลียดและยิ้มอย่างขมขื่น “นี่เป็นปัญหาแล้ว”

แม้ว่ามันยังไม่ซัดลงมา เขาก็รู้สึกถึงความผันผวนที่น่ากลัว

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่พัดเทพสายลมและป้ายขวางสมุทรจะสามารถต้านทานได้แล้ว”

มู่เฉินเหลือบอาวุธทั้งสอง คิ้วก็ขมวดเป็นปม เผชิญกับภัยพิบัตินี้เขาคงต้องหันไปใช้วิธีอื่นจะดีกว่า

แต่ตัวเขางัดไพ่ตายออกมาแล้ว จะทำอะไรได้อีก?

ทันใดนั้นความคิดมู่เฉินก็แล่นพล่านก่อนที่จะหันไปมองร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ย้อนกลับไปที่ร่างนี้ครอบครองทักษะเทห์สวรรค์คลื่นเก้าตะวัน ดังนั้นแน่นอนว่าเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงก็น่าจะพัฒนาไปพร้อมกันด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าเขายังไม่ได้นำศักยภาพของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา

แต่เขาก็ไม่ตำหนิตัวเอง เพราะนับตั้งแต่เขาชำระร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ เขาก็ไม่ได้มีเวลามากมายที่จะรู้สึกถึงอะไรได้

แต่ไม่ว่ายังไงเขาจะต้องลองแล้ว

คิดถึงจุดนี้มู่เฉินก็หลับตา คลื่นหลิงปล่อยออกมาจากร่างค่อยๆ เชื่อมโยงเขาเข้ากับร่างเทพสุริยะนิรันดร์

เมื่อจักรพรรดิฟ้าเห็นสิ่งนี้คิ้วก็ค่อยๆ ยกขึ้นพลางยิ้ม “ในที่สุดก็คิดถึงร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้วเหรอ”

โฮก!

ขณะนี้ในที่สุดภัยพิบัติหลิงรูปมังกรก็ได้เพิ่มพลังจนถึงขีดสุด มันคำรามลั่น

อึดใจก็กวาดหางพุ่งลงมาในทิศทางของมู่เฉิน

เมื่อภัยพิบัติคลื่นสุดท้ายซัดลงมา ฟ้าดินก็เหมือนจะพังทลายอย่างสิ้นเชิง ทะเลสาบสวรรค์ถูกผลักออกจากคลื่นหลิงที่น่ากลัว ราวกับว่าจะถูกแยกออกเป็นสองฝั่ง

ตู้ม!

ขณะที่กระแสสายฟ้าซัดลงมา มู่เฉินก็ขยับนิ้ว พัดเทพสายลมเคลื่อนไหวทำให้เกิดพายุไซโคลนขนาดมหึมามากมาย

ป้ายขวางก็สร้างมหาสมุทรสีดำที่บรรจุพลังที่สามารถทำลายภูเขาได้

ปัง! ปัง!

พลังของอาวุธมหสวรรค์ทั้งสองถูกผลักไปถึงขีดสุดแล้ว ทว่าเมื่อมหาสมุทรและพายุไซโคลนพุ่งเข้าไปปะทะกับภัยพิบัติหลิง พวกมันก็ถูกทำลายทันที!

ไม่มีการหยุดยั้ง ภัยพิบัติหลิงซัดผ่านแนวป้องกันของอาวุธทั้งสองทันที!

ใบหน้าของจิ่วโยวเปลี่ยนไปกับภาพนี้ ก่อนหน้ามู่เฉินพึ่งพาอาวุธมหสวรรค์ทั้งสองเพื่อต้านทานกระแสสายฟ้าส่วนใหญ่ของภัยพิบัติหลิง แต่เมื่อมาถึงคลื่นที่เก้ากลับไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง!

ตู้ม!

อาวุธทั้งสองชิ้นกระเด็นออกไปด้วยคลื่นที่เก้า เผยให้เห็นร่างเงาของมู่เฉิน

ตู้ม! ตู้ม!

เสียงคำรามของมังกรแผดลั่นโสตประสาท ทว่ามู่เฉินยังคงนิ่งเป็นก้อนหิน ขณะนี้จิตของเขาได้หลอมรวมกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์สมบูรณ์แล้ว

เขาต้องหลอมรวมสมบูรณ์ถึงจะค้นหาทักษะที่มีอยู่ในนั้นได้

มังกรเคลื่อนเข้ามาจากด้านบน ทำให้เลือดปรากฏบนผิวหนังมู่เฉินปกคลุมทั่วร่างทันที

ทว่าเขาก็ยังคงไม่ขยับราวกับว่าละทิ้งการต่อต้านทั้งหมด

เมื่อเห็นฉากนี้ จิ่วโยวก็กัดริมฝีปาก เล็บจิกเนื้อในฝ่ามือ

หนึ่งร้อยจั้ง… ห้าสิบจั้ง… สิบจั้ง…

เมื่อมังกรอยู่ห่างจากมู่เฉินเพียงสิบจั้ง จู่ๆ เขาก็ลืมตาโพลง ตอนนี้ม่านตาของเขาถูกย้อมด้วยสีม่วงทอง

เขาวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ใต้ฝ่าเท้าก็ทำเช่นเดียวกัน

ฟิ้ว!

แสงสีม่วงทองเปล่งประกายระยิบระยับจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ก่อตัวขึ้นเป็นลวดลายขนาดใหญ่สองลวดลายอย่างรวดเร็ว

ลวดลายทั้งสองเต็มไปด้วยความเก่าแก่ที่ไม่อาจบรรยายได้และลึกซึ้งนัก

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองมังกรก่อนที่เสียงจะดังกึกก้องออกมา “ต่อให้สวรรค์และโลกล่มสลาย ข้าก็เป็นอมตะ”

“รหัสเทพอมตะ!” มู่เฉินยกมือขึ้นกำแน่น ขณะนั้นลวดลายทั้งสองก็พุ่งออกมารวมกันเป็นโล่บาง

ตู้ม!

ทันทีที่โล่ก่อตัวขึ้น มังกรก็พุ่งชนในท่าทางทำลายล้าง

ราวกับดวงอาทิตย์โชติช่วงติดตามมาด้วยคลื่นกระแทกที่ไม่อาจพรรณนาก่อเกิดหายนะรุนแรง

มิติแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลุมเหวมหึมาปรากฏขึ้นในทะเลสาบสวรรค์เบื้องล่าง

มั่นถัวหลัวโบกมือสร้างปราการที่เบื้องหน้านางกับจิ่วโยวปิดกั้นคลื่นกระแทกรุนแรง

จักรพรรดิฟ้ายืนสองมือไพล่หลัง คลื่นกระแทกใดๆ ที่เข้ามาก็กระจายไปกับสายลม

การทำลายล้างกินเวลาสิบกว่านาทีก่อนที่จะสงบลง

จิ่วโยวจ้องไปในทิศทางของมู่เฉินเขม็ง มือของนางกำแน่น นางอยากรู้ว่ามู่เฉินประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวกับภัยพิบัติหลิงล้างโลกนี้?

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1195 ภัยพิบัติหลิง
หนึ่งเดือน ณ ทะเลสาบสวรรค์

ในที่สุดมู่เฉินก็ลืมตาขึ้น

ตู้ม!

เมื่อดวงตาหรี่ปรือขึ้นสายฟ้าก็แล่นแปลบปลาบผ่านม่านตาพร้อมกับเสียงคำรามดังก้อง แรงกดดันที่ไม่อาจบรรยายได้รวมตัวบนร่างมู่เฉินก่อนจะแผ่การครอบงำออกไป

ซ่า ซ่า!

คลื่นถูกยกขึ้นในทะเลสาบสวรรค์จากแรงกดดันก่อนจะแยกออกจากกันในท้องฟ้า ฝนโปรยปรายลงมา

น้ำถูกผลักออกจากใต้ร่างมู่เฉิน ก่อตัวเป็นปากปล่องที่มีความกว้างหลายหมื่นจั้ง ขณะที่เขายืนอยู่เหนือกระแสน้ำวน ฝนจางหายไปเมื่ออยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่จั้ง ไม่มีสิ่งใดที่สามารถแตะต้องร่างกายของเขาได้

เขายืนอยู่ท่ามกลางพายุฝน ร่างกายเปล่งประกายด้วยแสง บางทีอาจเป็นเพราะการชำระจากกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ ทำให้มีรัศมีคมชัดเอิบอาบออกมาจากร่างเขาราวกับเป็นกระบี่ที่สามารถแทงทะลุผ่านสวรรค์และโลกได้

บางครั้งรังสีหลิงจะสั่นไหวบนสรรพางค์กายเป็นระลอกก่อนที่จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นเกิดจากคลื่นกระแทกรุนแรงของคลื่นหลิงในร่างกายเขา แต่ด้วยการสร้างร่างกายใหม่นับไม่ถ้วน ทำให้ตอนนี้ร่างกายเขาสามารถรับคลื่นกระแทกจากการแตกสลายของทะเลจื้อจุนได้

จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนอยู่บนร่างเขาอย่างเลือนราง เนื่องจากร่างกายของเขามีพลังมากเกินไป ทำให้จิตวิญญาณทั้งสองหวาดกลัว ไม่กล้าที่จะเตร็ดเตร่บนร่างของเขาอย่างชัดเจนอีกต่อไป

พายุฝนบดบังวิวทิวทัศน์ สายตามู่เฉินค่อยๆ กลับมามีสติเมื่อฟื้นจากอาการตื่นตะลึง เขาก้มหัวลงมองร่างกายด้วยความเหม่อลอย

เขาสามารถสัมผัสพลังที่มีอยู่ ซึ่งทำให้รู้สึกไม่อยากจะเชื่อเพราะนี่คือพลังที่เขาแสวงหามาหลายปี

ทว่าเมื่อเขาได้ครอบครองพลังระดับนี้ ถึงจะเป็นคนนิ่งสงบอย่างเขาก็ทำตัวไม่ถูก

เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะเหยียดมือออกแล้วกำมือแน่น แม้ว่าจะยังไม่ได้ใช้คลื่นหลิงสักเส้นสาย แต่มิติตรงใจกลางฝ่ามือก็แตกร้าว

ปัง!

มู่เฉินลองชกหมัดออกไปเบาๆ มิติก็แตกออกราวกับกระจก สะเก็ดมิติปลิวว่อน

เขามองดูฉากนี้อย่างตะลึงงัน หนึ่งเดือนที่แล้วเขาต้องงัดกองทัพสังหารวิญญาณออกมาเพื่อเผชิญหน้ากับพลังระดับนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต

นี่เป็นพลังที่แท้จริง!

“นะ…นี่คือพลังของระดับตี้จื้อจุนเหรอ?”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ตอนนี้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถ้าเขาปะทะกับตาเฒ่าจั่วที่มีพลังในจุดสูงสุด เขาอาจไม่สามารถหลบหนีได้แม้จะมีกองทัพสังหารวิญญาณก็ตาม

อย่างไรก็ตามความกลัวนี้กินเวลาชั่วครู่ ก่อนที่มุมปากจะยกขึ้นจากนั้นไม่นาน เนื่องจากเขาก็ได้ครอบครองพลังดังกล่าวแล้วด้วยเช่นกัน!

แม้ว่าตาเฒ่าจั่วจะมาปรากฏตัวต่อหน้าในสภาพสมบูรณ์แบบเวลานี้ เขาก็ไม่กลัวอีกต่อไป

จิ่วโยวและมั่นถัวหลัวยืนอยู่บนพื้นผิวของทะเลสาบสวรรค์ไกลออกไป สายตามองร่างเงาบนท้องฟ้าพร้อมความสุขกระจายบนใบหน้าพวกนาง

“มู่เฉินทำสำเร็จหรือยัง?” จิ่งโยวถามด้วยความดีใจ นางรู้สึกถึงแรงกดดันที่ทำให้หายใจไม่ออกที่มาจากมู่เฉิน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ระดับจื้อจุนขั้นเก้ามีเลย

“ครึ่งหนึ่ง” มั่นถัวหลัวเผยรอยยิ้มขณะที่พยักหน้า ในเวลานี้มู่เฉินได้เริ่มครอบครองพลังของระดับตี้จื้อจุนแล้ว

จิ่วโยวรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยิน นางมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน ครั้งแรกที่พบกันเขายังเป็นเด็กชายที่อ่อนแอ ตอนนั้นนางไม่คิดว่าสักวันเด็กชายคนนั้นจะก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนก่อนนาง!

นางเคยเป็นคนที่ปกป้องเขา เป็นไพ่ตายของเขา ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตรแล้ว

จิ่วโยวจะไม่รู้สึกใจหายได้อย่างไร

“ทำไมแค่ครึ่งหนึ่ง?” แต่จากนั้นครู่หนึ่งจิ่วโยวก็ทวนคำพูดของมั่นถัวหลัวพลางเอ่ยถาม

มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ยังมีขั้นตอนสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการก้าวสู่ระดับตี้จื้อจุน ไม่รู้ว่ามีอัจฉริยะเท่าไรที่ต้องมาล้มเหลวสิ้นชีพในขั้นตอนนี้”

จิ่วโยวตกใจ จากนั้นก็เข้าใจสิ่งที่มั่นถัวหลัวพูดอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของนางเปลี่ยนแปลงรุนแรง “ภัยพิบัติหลิง?”

จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคนจะดึงดูดความระแวงจากสวรรค์ ดังนั้นภัยพิบัติที่รู้จักกันในชื่อภัยพิบัติหลิงจะกระหน่ำลงมา

ภัยพิบัติหลิงเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวมาก สังหารอัจฉริยมากมายที่พยายามบรรลุเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน ในขณะเดียวกันจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ถูกข่มขู่ไว้ด้วยเช่นกัน

“หากการทำลายล้างจุดจื้อจุนไห่คือการสร้างร่างกายขึ้นใหม่ ภัยพิบัติหลิงก็จะกำหนดเป้าหมายไปยังร่างเทห์สวรรค์ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจะไม่ใช้ร่างเทห์สวรรค์ แต่จะมีร่างเวทสวรรค์ที่ทรงพลังยิ่งกว่า”

มั่นถัวหลัวพยักหน้า “มีเพียงร่างเทห์สวรรค์ที่ได้รับประสบการณ์ภัยพิบัติหลิงเท่านั้นจึงจะสามารถเปลี่ยนเป็นร่างเวทสวรรค์ได้ สามารถเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์กับโลกในระดับที่ลึกซึ้งกว่า”

“ตอนนี้เขาผ่านอุปสรรคแรกไปแล้ว ต่อไปก็เป็นภัยพิบัติหลิง”

นัยน์ตาของจิ่วโยวสั่นไหวด้วยความกังวล ชื่อเสียงของภัยพิบัติหลิงน่าสะพรึงเกินไป ไม่รู้มีอัจฉริยะมากเท่าไรที่ตายไปเพราะมัน

ฮึ่ม ฮึ่ม

ไม่นานหลังจากที่จิ่วโยวและมั่นถัวหลัวหยุดการสนทนา เสียงดังก้องก็แผดออกบนท้องฟ้า ทุกเสียงคำรามทำให้ฟ้าดินมืดลง ขณะที่คลื่นหลิงผันผวนรุนแรงราวกับหม้อเดือด

มู่เฉินรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน เขาเงยหัวขึ้นมองไปที่ท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก็เห็นการบิดเบี้ยวของมิติและคลื่นหลิงไม่มีที่สิ้นสุดเริ่มรวมตัวกัน ก่อตัวเป็นเมฆฝนฟ้าคะนองคลุมเครือ

แรงกดดันน่ากลัวพล่านออกมา

“นี่คือภัยพิบัติหลิงในตำนานหรือ?”

มู่เฉินพึมพำพลางกำหมัด นี่เป็นก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของระดับตี้จื้อจุน หากเขาประสบความสำเร็จก็จะสามารถเข้าสู่การเพาะบ่มขุมพลังที่ใฝ่ฝันมาเนิ่นนาน

“ภัยพิบัติหลิงพุ่งเป้าหมายไปที่ร่างเทห์สวรรค์ ถ้าถูกทำลายเจ้าก็จะก้าวเข้าสู่เหวนรกทันที” เสียงจักรพรรดิฟ้าดังกังวาน

“ภัยพิบัตินี้ไม่มีใครสามารถช่วยเจ้าได้ เจ้าต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อผ่านไปให้ได้”

มู่เฉินสูดหายใจลึกพลางพยักหน้า

เขาพลิกฝ่ามือ คลื่นสูงนับไม่ถ้วนดันตัวขึ้นจากทะเลสาบสวรรค์ จากนั้นเขาก็เริ่มกลืนคลื่นหลิงเข้าไป

หากเป็นเมื่อก่อนเขาอาจต้องใช้เวลาครึ่งวันในการกลั่น แต่เนื่องจากเขาก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนมาครึ่งตัวแล้ว เขาจึงสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่ถูกกลืนกินอย่างสมบูรณ์ทันทีที่เข้าสู่ร่างกาย

เมื่อก้าวสู่ระดับตี้จื้อจุนมาครึ่งก้าว จุดจื้อจุนไห่ในอดีตของเขาได้แตกสลายไปแล้ว แต่ในบางแง่มุมจุดจื้อจุนไห่ของเขาก็ไม่ได้หายไป เพียงแค่รวมเข้ากันและหล่อหลอมไปกับกล้ามเนื้อและอณูของเขา

ขณะนี้ทุกส่วนของร่างกายก็คือทะเลพลัง ดังนั้นปริมาณของคลื่นหลิงที่เขาสามารถรองรับได้ จึงสูงจนถึงระดับที่ไม่สามารถจินตนาการได้

“มิน่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนถึงดูถูกจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนนัก”

เมื่อรู้สึกถึงคลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านในร่างกาย มู่เฉินก็ถอนหายใจ ภายใต้ระดับตี้จื้อจุนผู้ฝึกพึ่งพาทะเลพลังน้อยนิด ในทางกลับกันร่างกายของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคือทะเลพลังทั้งหมด ดังนั้นใครก็สามารถจินตนาการถึงพลังที่มีได้

ความแตกต่างเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีวันเติมเต็มได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม

ซ่า ซ่า!

ขณะที่มู่เฉินสัมผัสได้ถึงพลังของระดับตี้จื้อจุน เขาก็ยังคงสูบคลื่นหลิงจากทะเลสาบสวรรค์อย่างต่อเนื่อง เขาต้องการเติมพลังงานเพื่อนำตัวเองสู่สภาวะสูงสุด

ครืนๆๆๆ!

ขณะที่มู่เฉินยังคงสูบพลังงาน คลื่นหลิงบนท้องฟ้าก็มารวมตัวกันในระดับที่น่ากลัว เมฆหนาฟ้าผ่าแล่นแปลบปลาบไปทั่วทุกหนแห่งแล้ว

เสียงคำรามดังก้องไปมาระหว่างสวรรค์และโลก ทำให้ทุกสรรพสิ่งตกลงสู่ความเงียบจากพลังอำนาจนี้

ฮา

มู่เฉินสูดหายใจลึก มือประสานกัน ทันใดนั้นแสงสีม่วงทองก็พุ่งออกมาทางด้านหลังก่อเป็นร่างยักษ์สีม่วงทองหลายร้อยจั้ง

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์!

เมื่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปรากฏขึ้น ดวงตาของมู่เฉินก็ลุกโชนด้วยไฟในการต่อสู้ หลังจากรับรู้ได้ว่าตนเองเข้าถึงจุดสูงสุดแล้ว เขามองไปที่เมฆหนาพลางเลียริมฝีปาก

วันนี้ไม่มีใครขัดขวางความมุ่งมั่นของเขาในการบรรลุระดับตี้จื้อจุน หากภัยพิบัติหลิงต้องการหยุดยั้งเขา งานนี้ข้าทุบแหลกแน่!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1194 นี่คือ…ระดับตี้จื้อจุน
ทะเลสาบสวรรค์โหมกระหน่ำด้วยคลื่นเชี่ยวกราก

เสียงดังกึกก้อง ขณะเดียวกันยังมีหมอกหลิงหนาแน่นปกคลุมไปทั่วจนปิดกั้นแสงอาทิตย์

ขณะที่คลื่นหลิงหนาแน่นปกคลุมฟ้าดิน เสาแสงขนาดใหญ่ก็ตั้งตะหง่าน สามารถมองเห็นภาพเงานั่งอยู่ข้างใต้ได้

ร่างนั้นถูกเจาะด้วยรัศมีกระบี่คมกริบที่มีอำนาจครอบงำอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เขามีบาดแผลทั่วตัว

นี่ก็คือมู่เฉิน

เขานั่งอยู่ที่นั่นมากกว่าครึ่งเดือนแล้ว ทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา

ภายใต้การชำระ เนื้อกระดูกแต่ละชิ้นถูกเจาะทะลุหลายหมื่นครั้ง แต่หลังจากถูกทำลาย เขาก็ฟื้นฟูบาดแผลด้วยความช่วยเหลือของกายามังกรหงส์ จากนั้นก็วนซ้ำไปครั้งแล้วครั้งเล่า

ทุกข์ทรมานเช่นนี้ถ้าเป็นคนที่มิจิตใจไม่มั่นคง คงอดทนไม่ไหวไปนานแล้ว นอกจากนี้จิตใจก็จะพังทลายจนเสียโอกาสยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิฟ้าไป

โชคดีที่มู่เฉินฝึกฝนอย่างมุ่งมั่นมายาวนานตลอดเส้นทางที่ผ่านมา เขามีประสบการณ์เป็นตายเดินผ่านปากประตูนรกมาหลายครั้ง

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างมู่เฉินจะยอมแพ้

นอกจากนี้มู่เฉินยังปรับตัวให้เข้ากับความเจ็บปวดอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้งที่ได้รับบาดเจ็บ

ตอนนี้พื้นผิวหนังของมู่เฉินไม่ได้ปะทุขึ้นอีกต่อไป มีเพียงบาดแผลลึกจากกระบี่ที่ถูกทิ้งไว้ ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเขา

ตามการประเมินความแข็งแกร่งของมู่เฉิน พลังกายของเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่ามากกว่าเมื่อครึ่งเดือนก่อน

เขารู้สึกยินดีอย่างมากเพราะไม่ง่ายที่จะฝึกพลังกาย การฝึกฝนจะต้องรุนแรงและต้องหยุดพักเป็นช่วง ถ้ารุนแรงเกินไปก็จะเป็นอันตรายแทนได้

แต่การชำระล้างนี้สมบูรณ์แบบและสมดุลในการเสริมสร้างร่างกาย มันอยู่ในระดับที่สามารถชำระร่างให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้รุนแรงจนจะทำลายให้สิ้นซาก

ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะต้องแบกรับความเจ็บปวด แต่ก็ยังยึดมั่นกัดฟันทน หลังจากได้ชิมรสหวานหอมของมัน

นอกจากนี้การเสริมสร้างพลังกายของเขายังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขที่สุด แต่เป็นคลื่นหลิง

ยามนี้จุดจื้อจุนไห่ขยายขนาดไปจนถึงระดับน่าอัศจรรย์ บางครั้งจะมีคลื่นใหญ่หมื่นจั้งซัดเป็นครั้งคราว ซึ่งภายในอัดแน่นด้วยคลื่นหลิงทรงพลัง

นอกจากนี้เหนือจุดจื้อจุนไห่ รัศมีกระบี่ก็กวาดเข้ามาหล่อเลี้ยงคลื่นหลิงของเขาอย่างต่อเนื่อง

ยามนี้คลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่เติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับครึ่งเดือนที่ผ่านมา จากการประเมินถ้าเขาต้องต่อสู้กับตัวเองเมื่อครึ่งเดือนก่อน เขาคงสามารถใช้คลื่นหลิงทำให้ตัวเองหมดแรงได้เลย

หากเขาต้องพึ่งพาตัวเองให้ถึงระดับนั้น อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสะสมหนึ่งปีเต็มๆ

แต่ตอนนี้กลับสามารถทำได้สำเร็จได้ในครึ่งเดือน

“แต่คลื่นหลิงหนาแน่นเกินไป หากยังดำเนินต่อไปจุดจื้อจุนไห่ของข้าจะไม่สามารถรับไหว” มู่เฉินเริ่มกังวลเนื่องจากจุดจื้อจุนไห่ของเขาใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว หากยังขยายตัวต่ออาจแตกเป็นเสี่ยงๆ ก็ได้

“หรือว่าข้าต้องเติมจุดจื้อจุนจนเต็มถึงจะเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนได้?”

คำตอบนี้เป็นสิ่งที่ตัวเขาไม่สามารถยืนยันได้

แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่หยุด นอกจากนี้เขาก็ไม่สามารถหยุดได้เพราะทุกสิ่งถูกควบคุมโดยจักรพรรดิฟ้า ดังนั้นหากจักรพรรดิฟ้าไม่หยุด เขาก็ต้องรับไว้ เว้นแต่จะล้มลงก่อน

มู่เฉินเก็บงำความคิดระงับความกังวลในใจ รับรู้ถึงพัฒนาการร่างกายและคลื่นหลิง

การชำระยังดำเนินผ่านไปอีกสิบวัน

ในที่สุดคลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ของเขาก็มาถึงขีดสุด

คลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ผันผวนรุนแรง ความรู้สึกอัดแน่นที่เหมือนกำลังจะระเบิดถูกส่งออกมา นี่ทำให้หัวใจของมู่เฉินเต้นระรัว

เขาไม่สงสัยเลยว่าหากยังดำเนินต่อไป จุดจื้อจุนไห่ของเขาก็จะแตกได้จากกระบวนการนี้

ทว่าจักรพรรดิฟ้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

“หรือว่าจะต้องทำลายจุดจื้อจุนไห่จริงๆ?”

ความคิดบ้าคลั่งพุ่งผ่านหัวใจ แต่สุดท้ายเขาก็ระงับเอาไว้

จักรพรรดิฟ้าไม่มีเหตุผลที่จะทำร้ายกัน เขาไม่จำเป็นต้องทำ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นมหาอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ แม้ว่าเขาจะสิ้นชีพไปแล้วก็ยังเป็นเรื่องง่ายที่จะฆ่ามู่เฉินเหมือนกับจัดการลู่หยวน

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ดังนั้นจักรพรรดิฟ้าต้องมีเหตุผลเรื่องนี้

มู่เฉินเลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวอาจารย์หลังจากลังเลชั่วครู่

เขาหายใจลึกๆ รวบรวมสมาธิปล่อยให้รัศมีกระบี่หลั่งไหลไปในสู่จุดจื้อจุนไห่จนกระทั่งถึงขีดเต็ม

เมื่อช่องว่างสุดท้ายของจุดจื้อจุนไห่เติมเต็ม มู่เฉินก็รู้สึกว่าทั่วฟ้าดินเงียบลงกะทันหัน

แกร็ก

รอยแตกเริ่มปรากฏในจุดจื้อจุนไห่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ดังที่มู่เฉินคาดไว้จุดจื้อจุนไห่ของเขาเริ่มปริแตกหลังจากมาถึงขีดจำกัด

สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนทุกคนฉากนี้อาจทำให้กลัวจนบ้าตาย เพราะทุกคนรู้ดีว่าจุดจื้อจุนไห่สำคัญเพียงใด เมื่อไรที่จุดจื้อจุนไห่แตกออก ความพยายามที่ทำมาทั้งหมดชั่วชีวิตก็จะสลายหายไปกลายเป็นอากาศธาตุ

เม็ดเหงื่อท่วมหน้าผากของมู่เฉิน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาหวั่นไหว

“ตั้งใจให้มั่นคง ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามวิถีธรรมชาติ”

ขณะที่มู่เฉินรู้สึกกระสับกระส่ายในใจ เสียงของจักรพรรดิฟ้าก็ดังก้องในใจ

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น มู่เฉินก็โล่งใจขึ้นมา เขาตั้งสมาธิปกป้องจิตใจ ปล่อยให้จุดจื้อจุนไห่เปลี่ยนแปลงไปตามวิถีทางแห่งยุทธ์

ปัง!

รอยแตกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดจุดจื้อจุนไห่ก็ไม่สามารถบรรจุคลื่นหลิงไร้ขอบเขตลงไปได้อีกแล้วเกิดการแตกออกในที่สุด

แสงกำจายออกมาจากหน้าอกของมู่เฉิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของจุดจื้อจุนไห่ ยามนี้แสงขยายออกไปพร้อมกับการแตกร้าวของจุดจื้อจุนไห่ ห่อหุ้มเขาไว้

ปัง! ปัง !ปัง!

คลื่นหลิงเหนือคำบรรยายกวาดออกจากร่าง ฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ ทีละนิ้ว…ละนิ้ว

การพังทลายนี้เริ่มจากภายในสู่ภายนอก ดังนั้นเพียงอึดใจร่างเขาก็ระเบิดกลายเป็นหมอกเลือด

แสงสีทองกะพริบเบื้องหน้าละอองเลือดก็ควบแน่นเป็นร่างหนึ่งอย่างรวดเร็ว มู่เฉินกำลังควบคุมกายามังกรหงส์อย่างบ้าคลั่ง เพื่อซ่อมแซมร่างกายทั้งหมด

ปัง! ปัง!

แต่เมื่อการซ่อมแซมเพิ่งจะก่อตัว คลื่นความรุนแรงอีกระลอกก็ระเบิดทำลายร่างกายอีกครั้ง กลายเป็นหมอกเลือดฟุ้งกระจาย

มู่เฉินเร้าเต็มพลังพยายามซ่อมแซมร่างกายต่อ!

ปัง!

ซ่อมแซม!

ปัง!

กระบวนการนี้ดำเนินเป็นวงจร ซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกดีใจเล็กน้อย โชคดีที่พลังกายของเขาแข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้นการซ่อมแซมจะไม่สามารถติดตามความเร็วของการทำลายได้

มู่เฉินค่อยๆ รู้สึกถึงความแปลกประหลาดเล็ดลอดออกมาจากร่างกาย หลังจากการซ่อมแซมทุกครั้ง

นั่นเป็นความรู้สึกของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

หากในอดีตพลังกายของมู่เฉินได้รับความแข็งแกร่งเพียงแค่พื้นผิว ถ้างั้นครั้งนี้การเปลี่ยนแปลงก็สมบูรณ์แบบโดยเริ่มตั้งแต่ภายในร่างกายจนสู่ภายนอก!

หมอกเลือดฟุ้งไปทั่ว ร่างมู่เฉินยังคงถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง

ทว่ายามนี้ความตื่นตระหนกและความกลัวจางหายไป แทนที่ด้วยความรู้แจ้งที่เบาบาง เขารู้สึกได้ว่าถึงแม้จุดจื้อจุนไห่จะถูกทำลาย เขาก็ไม่ได้รู้สึกอ่อนแอลงเลยแต่กลับทรงพลังมากกว่าเดิม

ความรู้สึกนั้นราวกับว่าสามารถฆ่าตนเองก่อนหน้านี้ด้วยหมัดเดียว

จุดจื้อจุนไห่เดิมหายไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หายไปอย่างแท้จริง มันอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง

หากมู่เฉินมีเพียงจุดจื้อจุนไห่เดียวในอดีต งั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายตอนนี้เต็มไปด้วยทะเลพลัง ราวกับว่าทุกตารางนิ้วบนร่างกายถูกเปลี่ยนเป็นทะเลพลังทั้งหมดแล้ว

“จากหนึ่งกลายเป็นทุกหนทุกแห่ง นี่คือระดับตี้จื้อจุน!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1193 โอกาสที่มอบให้จากจักรพรรดิฟ้า
สุสานจักรพรรดิฟ้า

เมื่อเห็นมู่เฉินคำนับในท่าทางของศิษย์ จักรพรรดิฟ้าก็คลี่ยิ้มไม่ได้ขยับหลบไป หากวังสวรรค์บรรพกาลยังยืนยง ไม่รู้ว่าจะมีศิษย์เท่าไรที่ฝันจะได้สิ่งนี้ แต่ทว่ากลับไม่มีโอกาสที่ดี ดังนั้นกล่าวได้ว่าโชคชะตานี้เป็นโอกาสสำหรับมู่เฉินแท้จริง

“ตามข้ามา”

จักรพรรดิฟ้าโบกมือ มิติรอบตัวก็บิดเบี้ยว เมื่อพวกมู่เฉินตั้งสติได้ก็ถูกนำตัวไปยังมหาสมุทรอันกว้างใหญ่พร้อมกับเสียงน้ำสาดกระเซ็นดังมาจากเบื้องล่าง ขณะเดียวกันก็มีหมอกหลิงลอยวนก่อเป็นรูปสัตว์อสูรต่างๆ

นี่คือทะเลสาบสวรรค์ที่เขาเคยเข้ามาก่อน

ทว่าหลังจากที่พวกเขาจากไป ทะเลสาบสวรรค์ก็ปิดตัวลง ไม่คิดว่าจักรพรรดิฟ้าจะสามารถเปิดขึ้นได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

คลื่นหลิงที่นี่มีมากมายมหาศาล นี่เป็นดินแดนขุมทรัพย์แท้จริงสำหรับการเพาะบ่มพลัง การได้ฝึกฝนที่นี่จะทำให้เกิดผลลัพธ์เป็นสองเท่า

“เจ้าสามารถฝึกฝนที่นี่ได้ในช่วงเวลานี้” จักรพรรดิฟ้ามองไปที่จิ่วโยวที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม อีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนแล้ว ทว่าจักรพรรดิฟ้าสามารถถ่ายทอดทักษะที่มีให้ได้คนดียว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถช่วยเหลือจิ่วโยวในการพัฒนา ได้แต่ให้นางฝึกฝนที่นี่เพื่อจะได้บรรลุผลอย่างรวดเร็ว

“ขอบคุณท่านจักรพรรดิฟ้าเจ้าค่ะ” จิ่วโยวดีใจมากเพราะประโยชน์ในการเพาะบ่มที่นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะพรรณนาออกมาได้

“สำหรับดอกแมนดาลาน้อย เจ้าอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว สถานที่แห่งนี้ไม่มีผลกับเจ้ามากนัก หากเจ้าเบื่อก็ไปดูที่หอคัมภีร์เทพซ่อนได้” จักรพรรดิฟ้ายิ้มให้มั่นถัวหลัว

มั่นถัวหลัวส่ายหัว ร่างดวงจิตนี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ของจักรพรรดิฟ้าบนโลกใบนี้ หากสลายหายไปเมื่อไร จักรพรรดิฟ้าก็จะจากไปสู่นิรันดร์ ดังนั้นนางอยากอยู่กับเขาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เฮ้อ เจ้าเด็กอ่อนไหว”

เมื่อเห็นท่าทางของมั่นถัวหลัว จักรพรรดิฟ้าก็ถอนหายใจ เขาเลี้ยงดูฟูมฟักดอกแมนดาลามาหลายปี นางคล้ายกับบุตรสาวในอุทรของเขา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาลึกซึ้งมาก มิฉะนั้นเขาคงไม่ปิดผนึกดอกแมนดาลาเมื่อเผ่าปีศาจต่างมิติโจมตีหรอก

หลังจากปลอบมั่นถัวหลัว จักรพรรดิฟ้าก็หันไปมองมู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เตรียมตัวเริ่มกันเถอะ”

ร่างดวงจิตนี้มีเวลาจำกัด ดังนั้นเขาไม่อยากเสียเวลาไปสักวินาที

มู่เฉินพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

จักรพรรดิฟ้าพลิกนิ้ว ทะเลสาบสวรรค์ก็ส่งเสียงกระหึ่ม ก่อนที่ดอกบัวจะควบแน่นบนพื้นผิวโดยมีมู่เฉินนั่งลงไปบนนั้น

จักรพรรดิฟ้ายืนที่เบื้องหน้ามู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นิ้วทั้งสองแตะลงไป ปลายนิ้วส่องประกายแวววาวเต็มไปด้วยจิตวิญญาณและความมีชีวิตชีวา

ชี่!

ดัชนีนั้นราวกับว่าไม่สนใจระยะห่างของมิติ เลื่อนไปแตะเบาๆ ที่กลางหว่างคิ้วของมู่เฉิน

ฮึ่ม

แสงหลิงกระจายออกจากกึ่งกลางคิ้วของมู่เฉิน อึดใจก็เข้าโอบล้อมร่างทั้งหมด แสงนั้นราวกับว่าเจาะผ่านหน้าผากเข้าไปในสมอง

ร่างกายมู่เฉินสั่นเทิ้มรุนแรง เขารู้สึกได้ว่ามีข้อมูลจำนวนมหาศาลกำลังไหลทะลักเข้าสู่หัวสมอง

ข้อมูลมหาศาลแทบจะทำให้สมองระเบิด แต่ดีที่เขาสามารถอดทนรับไว้ได้ ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น เส้นเลือดดำก็เต้นระริกบนใบหน้าทำให้ดูป่าเถื่อนมาก

ภายใต้ความเจ็บปวดแรงกล้า แสงหลิงก็รวมตัวกันในส่วนลึกของสมอง ก่อตัวขึ้นเป็นคำโบราณ

“สามพิสุทธิ์!”

คำโบราณควบรวมและจางหายไป จากนั้นข้อมูลลึกซึ้งก็ไหลเวียนอยู่ในใจ ซึ่งอัดแน่นด้วยประสบการณ์และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ของจักรพรรดิฟ้า

มู่เฉินดำดิ่งในความเข้าใจลึกซึ้งทันที

นี่คือความวิทยายุทธระดับเสินทงอันน่าอัศจรรย์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดแบบนี้ต้องใช้พรสวรรค์เข้มข้นมาก โชคดีที่มู่เฉินโดดเด่นอยู่แล้วบวกกับจักรพรรดิฟ้ามอบความรู้แจ้งในการเรียนรู้ให้ ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะตีความได้ลึกซึ้ง

ด้วยการสรุปความจากจักรพรรดิฟ้า เขาราวกับได้รับแนวทางที่ดีที่สุด ความลึกซึ้งที่ไม่อาจอธิบายได้เข้าใจขึ้นมาทันที

เขารู้สึกโชคดีที่จักรพรรดิฟ้าส่งมอบสิ่งนี้ให้เขาผ่านกระบวนการนี้พร้อมกัน จากความสามารถของเขา แม้ว่าจะได้รับวิธีการฝึกฝนวิชาสามพิสุทธิ์ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะบรรลุผลใดๆ

เขาลืมเรื่องเวลาเมื่อทำความเข้าใจสิ่งนี้ พริบตาก็เหมือนผ่านไปแล้วหลายเดือนหลายปี

“พลังในปัจจุบันของเจ้าได้แต่เข้าใจความลึกซึ้งของวิชาสามพิสุทธิ์ แต่ยังไม่สามารถฝึกฝนได้ ดังนั้นอย่าเพิ่งเสียแรงกับเรื่องนี้มาก ทุกอย่างรอให้เจ้าบรรลุขุมพลังก่อน”

ขณะที่มู่เฉินกำลังดำดิ่งลงไปในความรู้แจ้งนั้น เสียงก็ดังกึกก้องในสมองทำให้เขาตื่นขึ้น

สมองของมู่เฉินปลอดโปร่งอย่างรวดเร็วขณะที่รับข้อมูลในใจ เขาตกตะลึงกับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานว่าวิเศษจริงๆ แค่หยั่งเข้าไปสั้นๆ เขาเกือบจะสูญเสียการควบคุมจิตใจไป ถ้าไม่ใช่จักรพรรดิฟ้าอยู่ด้วย ใครจะรู้ว่าเขาจะจมอยู่ใต้นั้นนานแค่ไหน

“เอาล่ะ เตรียมตัวให้พร้อม”

จักรพรรดิฟ้าเตือน ก่อนที่จะค่อยๆ วาดกระบี่เกล็ดจักรพรรดิในมือ เขาจ้องมองด้วยความทะนุถนอม กระบี่เล่มนี้ติดตามเขามาตลอดชีวิต เป็นประจักษ์พยานตั้งแต่เขาไร้ชื่อเสียงจนก้าวมาถึงจักรพรรดิฟ้าที่โด่งดังในมหาพันภพ

“สหาย หวังว่าเจ้าจะช่วยในการเดินทางครั้งสุดท้ายของข้านะ” จักรพรรดิฟ้ากล่าวอย่างอ่อนโยน

ฮึ่ม

กระบี่เกล็ดจักรพรรดิส่งเสียงคร่ำครวญออกมาอย่างชัดเจน แสงหลิงอ่อนโยนเปล่งประกายออกมา ไม่ได้แหลมคมเหมือนในอดีต

จักรพรรดิสฟ้ายิ้มพลางชูมือขึ้น กระบี่ก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า กลายเป็นเสาแสงขนาดใหญ่แผ่พลังอันน่าสะพรึงกลัว

จักรพรรดิฟ้าขยับนิ้วควบคุม เส้นแสงมันวาวที่ไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งลงมาปกคลุมร่างมู่เฉิน

ปัง! ปัง!

เมื่อพลังงานมหาศาลเชื่อมโยงกับร่างของมู่เฉินก็คล้ายกับน้ำตกไหลบ่าลงมาที่ตัวแทรกซึมเข้าไปในรูขุมขน สำหรับมู่เฉินในปัจจุบันพลังงานมหาศาลเพียงนี้คำว่าครอบงำยังไม่เพียงพอที่จะอธิบาย ดังนั้นทั่วร่างจึงระเบิดออกเป็นหมอกเลือด บาดแผลกรีดผ่านไปทั่วสรรพางค์กาย

แต่โชคดีที่ร่างกายของเขาทรงพลัง แสงสีทองแล่นแปลบปลาบไปทั่วร่างจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงพยายามฟื้นฟูร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว

จักรพรรดิฟ้าประหลาดใจกับฉากนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าจะต้องเคลื่อนไหวเพื่อช่วยปกป้องร่างกายของมู่เฉินเอาไว้ คิดไม่ถึงเลยว่ามู่เฉินจะทำได้ด้วยตัวเอง แม้ว่าจะฝืนไปหน่อย มิหนำซ้ำยังต้องทนกับความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ระหว่างกระบวนการ

ทว่าจักรพรรดิฟ้าก็ไม่เคลื่อนไหวเพราะความเจ็บปวดครั้งนี้มู่เฉินต้องทนแบกรับให้ได้ เพราะแม้จะมีความช่วยเหลือจากเขา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบรรลุระดับตี้จื้อจุน

ไม่มีอะไรสามารถเก็บเกี่ยวได้โดยไม่ต้องหว่านเมล็ดพันธุ์

เมื่อตนได้ให้โอกาสที่ยิ่งใหญ่แก่มู่เฉินแล้ว แต่จะคว้าไว้ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเขาเอง หากต้องแผ้วทางทุกเส้นให้ ผู้สืบทอดมรดกเช่นนี้ไม่เอาซะจะดีกว่า ต่อให้จะสามารถฝึกฝนวิชาสามพิสุทธิ์ได้ ก็คงเป็นแค่คนธรรมดา

ขณะที่แสงกระบี่ไหลบ่าลงมา ร่างกายของมู่เฉินก็เต็มไปด้วยบาดแผลอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายสภาพก็ย่ำแย่จนทนดูไม่ได้

ทว่ามู่เฉินก็เริ่มรู้สึกถึงร่องรอยของพลังงานพิเศษที่เข้าสู่ร่างกาย พลังงานนี้เป็นสิ่งแปลกประหลาดอย่างยิ่งเนื่องจากสามารถสร้างความแข็งแกร่งและปรับแต่งร่างกายได้อย่างมาก

มู่เฉินรู้ดีว่านี่เป็นเพราะกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ เนื่องจากจักรพรรดิฟ้าได้จ่ายราคาแพงระยับเพื่อเสริมสร้างรากฐานและการสะสมเพื่อพัฒนาการ

นอกจากนี้ขณะที่ร่างของมู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีกระบี่ที่เข้ามาทุกที่ แม้แต่จุดจื้อจุนไห่ก็ไม่เว้น

นี่ทำให้เขาแอบหวาดผวา หากรัศมีกระบี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นศัตรูน้อยนิด จุดจื้อจุนไห่ของเขาก็จะถูกกรีดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที แต่โชคดีที่รัศมีกระบี่อ่อนโยนมากภายใต้การควบคุมของจักรพรรดิฟ้าเมื่อเข้าสู่จุดจื้อจุนไห่ของเขา ทุกริ้วพลังงานราวกับมังกรเข้ากลืนกินคลื่นหลิงของมู่เฉิน เมื่อมันกลั่นออกมา คลื่นหลิงที่กลับไปยังจุดจื้อจุนไห่ก็บริสุทธิ์และบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น

ภายใต้การบำรุงของกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ชัดเจนถึงคลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว

กระบวนการนี้ไม่สามารถทำได้แม้ว่าเขาจะใช้ของเหลวจื้อจุนไปหลายร้อยล้านหยดก็ตาม ทว่ากระบี่เกล็ดจักรพรรดิสามารถทำให้สำเร็จได้ในพริบตา

การรับรู้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นในร่างกายก็ทำให้ใจเขาสงบนิ่งลง เขาดำดิ่งสู่สมาธิเริ่มรู้สึกถึงขอบเขตสุดท้ายของระดับจื้อจุนแล้ว

ทว่าถึงแม้จะจ่ายด้วยราคาของกระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะประสบความสำเร็จในทันที ดังนั้นครึ่งเดือนจึงผ่านไปในทะเลสาบสวรรค์

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1192 ผู้ได้รับ
“ไม่รู้ว่าเจ้าสองคนสนใจวิชาสามพิสุทธิ์ของข้าหรือไม่?”

เมื่อเซียวเหยียนและหลินต้งได้ยินคำพูดของจักรพรรดิฟ้าก็ชะงักชั่วครู่ก่อนจะแลกเปลี่ยนสายตากันพลางคลี่ยิ้ม แม้ว่าจักรพรรดิฟ้าจะเป็นจอมยุทธ์น่าเกรงขามในยุคโบราณและวิชาสามพิสุทธิ์ก็ยังเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนวนสามสิบหกกระบวนท่า แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั่วไปก็ยังได้ถูกดึงดูดไว้เหนียวแน่น

ทว่าแม้วิชาสามพิสุทธิ์จะทรงพลัง ก็ยังไม่เพียงพอที่พวกเขาจะถูกล่อลวง พวกเขามั่นใจว่าทักษะที่คิดค้นขึ้นเองไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาสามพิสุทธิ์

นอกจากนี้หากพวกเขาเรียนรู้วิชาสามพิสุทธิ์ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาได้รับมรดกและการถ่ายทอดจากจักรพรรดิฟ้า ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะยอมรับได้ง่ายๆ

พวกเขาให้ความเคารพจักรพรรดิฟ้าเนื่องจากเป็นจอมยุทธ์ทรงคุณธรรม แต่พวกเขาไม่ต้องการรับมรดก นอกจากนี้ยังมีเด็กรุ่นหลังอยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นคงจะเป็นเรื่องตลกถ้าพวกเขาแข่งขันกับลูกหลานเพื่อรับมรดก

ทั้งสองอมยิ้ม “โอกาสดีเช่นนี้เก็บไว้ให้คนที่ชะตาต้องกันเถอะ”

จักรพรรดิฟ้ายิ้มดูไม่ได้แปลกใจ เขาบอกได้เลยว่าทั้งสองคนนี้ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา กระทั่งตัวเขาในจุดสูงสุดก็ยังไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ ดังนั้นทั้งสองจึงไม่อยากได้วิชาสามพิสุทธิ์ไป ยิ่งกว่านั้นที่เขาถามก็แค่ลองใจ เนื่องจากเขามีตัวเลือกที่ดีกว่าที่จะเป็นผู้สืบทอดอยู่ในใจแล้ว

จักรพรรดิฟ้าหันมามองมู่เฉินพลางยิ้มให้ “แล้วเจ้าล่ะ?”

มู่เฉินอึ้งไปที่จู่ๆ จักรพรรดิฟ้าก็จ้องมองมาที่เขา พิจารณาคำพูดก่อนหน้า เขาคิดว่าวิชาสามพิสุทธิ์คงจะตกอยู่ในมือเซียวเหยียนหรือไม่ก็หลินต้ง แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียดาย แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากมายนัก เป้าหมายของตัวเขาสำเร็จลุล่วงได้รับร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้ว ดังนั้นเขาจึงพอใจอย่างมาก

แต่ใครจะไปคิดว่าเซียวเหยียนกับหลินต้งจะปฏิเสธ ตามมาด้วยจักรพรรดิฟ้าถามเขา นอกจากนี้จักรพรรดิฟ้ายังมองดูเขาด้วยความชื่นชม ความจริงที่เขาสามารถสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ดึงดูดความสนใจของจักรพรรดิฟ้ามากเลยทีเดียว

จิ่วโยวผลักมู่เฉินออกมาจากด้านข้างอย่างรวดเร็ว นี่เป็นโอกาสที่ดี หากมู่เฉินได้รับวิชาสามพิสุทธิ์ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาอย่างแน่นอน

ภายใต้สายตาของทุกคนมู่เฉินก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าได้ยินชื่อเสียงของวิชาสามพิสุทธิ์มานาน ข้าอยากได้ แต่กลัวว่าตัวเองจะไม่มีพรสวรรค์และโชคมากพอ”

เซียวเหยียนและหลินต้งพยักหน้าเบาๆ ไม่ผิดสำหรับพวกเขาที่จะปฏิเสธวิชาสามพิสุทธิ์ ในเมื่อพวกเขามีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้น แต่ถ้าเป็นมู่เฉินทำก็เท่ากับเสแสร้ง วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดเป็นอะไรที่แม้แต่จอมยุทธ์ทรงพลังคนอื่นๆ ก็ถูกดึงดูด ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินเลย ดังนั้นเมื่อมู่เฉินยอมรับอย่างเต็มภาคภูมิก็แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนตรงไปตรงมายิ่งนัก

“ฮ่าๆ เยี่ยม! เจ้าตรงดีจริงๆ” จักรพรรดิฟ้ายิ้มพลางพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าพอใจกับคำตอบของมู่เฉิน

“โชคชะตาของเจ้าเชื่อมโยงกับข้า ในเมื่อเจ้าสามารถสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ เพื่อไม่ให้คัมภีร์ระดับเสินทงขั้นสุดยอดสูญหาย ข้าจะถ่ายทอดวิชานี้ให้เจ้าเอง”

มู่เฉินรู้สึกตื่นเต้นในใจเมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิฟ้า เขาประสานมือคำนับทันที

“ฮ่าๆ เป็นเรื่องน่าดีใจที่ท่านจักรพรรดิฟ้าจะได้ผู้สืบทอด” เมื่อเซียวเหยียนเห็นจักรพรรดิฟ้าคิดจะถ่ายทอดวิชาสามพิสุทธิ์ให้มู่เฉิน เขาก็ยิ้ม เขาค่อนข้างพอใจกับชายหนุ่มคนนี้ ดูเหมือนว่าสายตาของบุตรสาวเขาจะดีเลยทีเดียว

“จอมปีศาจทุนเทียนถูกทำลายสิ้นซากแล้ว ดังนั้นพวกข้าคงไม่อยู่ต่อ”

เซียวเหยียนและหลินต้งพูดขึ้นในเวลาเดียวกัน จักรพรรดิฟ้ากำลังจะถ่ายทอดวิทยายุทธขั้นสุดยอดให้มู่เฉิน ดังนั้นจึงไม่เหมาะสำหรับพวกเขาที่จะอยู่ที่นี่

จักรพรรดิฟ้าประสานมือให้ทั้งสอง “จักรวรรดิปีศาจไม่เคยคิดยอมแพ้ พวกมันตั้งใจจะทำลายมหาพันภพ อนาคตข้าขอฝากไว้ในมือพวกเจ้าทั้งสอง”

เซียวเหยียนและหลินต้งพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม จักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นศัตรูคู่อาฆาตของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความสนใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ

เซียวเหยียนหันไปหามู่เฉินสะบัดมือพร้อมรอยยิ้ม ตะเกียงเก่าพุ่งไปทางมู่เฉิน เขาก็คว้ารับไว้อย่างรวดเร็ว

“มู่เฉินขอบใจมากที่ช่วยชีวิตลูกสาวข้าไว้ หากเจ้าเผชิญกับอันตรายใดในอนาคตต้องการขุมกำลังแคว้นหวู่จิ้งฮั่วของข้าสนับสนุน ก็จุดตะเกียงนี้ซะ ข้าจะมาช่วยด้วยตัวเองทันที” เซียวเหยียนยิ้ม

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนี่ก็ตกใจ นี่ไม่ใช่ของขวัญธรรมดา เทียบเท่ากับโอกาสในการเรียกยอดยุทธ์ทรงพลังแห่งมหาพันภพ นี่คือตัวช่วยชีวิตอันล้ำค่าที่แท้จริง

ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนมากเท่าไรที่ทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้รับสิ่งที่สามารถเชิญจอมยุทธ์อย่างเทพจักรพรรดิอัคคีมาช่วย

ขณะที่มู่เฉินกำลังตกตะลึง หลินต้งก็ยิ้มบาง “ในเมื่อพี่เซียวให้สิ่งนี้ ข้าคงต้องทำอะไรบางอย่างเช่นกัน ไม่งั้นยัยหนูของข้าคงบ่นไม่เลิก”

เขาสะบัดนิ้วหินสลักอักขระพุ่งไปหามู่เฉิน “สิ่งนี้คล้ายกับตะเกียงนั่น ขยี้มันแล้วข้าก็จะสัมผัสได้ทันที”

มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ หลังจากได้รับของมาก่อนที่จะประสานมือคารวะหลินต้งและเซียวเหยียน “ข้าจะไม่ลืมพระคุณนี้จากผู้อาวุโสทั้งสองอย่างแน่นอน”

ด้วยความเฉลียวฉลาดของตนเอง เขาบอกได้ว่าทั้งสองคนกำลังให้ความคุ้มครองกับเขาอยู่ เส้นทางของยอดยุทธ์ที่โดดเด่นจำเป็นต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ ผู้คนจำนวนมากล้มหายตายจากไปก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ ดังนั้นพวกเขาจึงมอบวัตถุนี้ให้เขาเพื่อที่จะได้ให้ความคุ้มครองแก่เขา

หลินต้งและเซียวเหยียนต่างตกใจเพราะไม่คิดว่ามู่เฉินจะเข้าใจความตั้งใจได้ถึงขนาดนี้ พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันพลางยิ้ม ชายหนุ่มคนนี้ฉลาดมาก ดูเหมือนว่าในอนาคตความสำเร็จของเขาจะไม่ธรรมดา

พวกเขาสองคนพบเจอความยากลำบากมาพอสมควร ดังนั้นจึงไม่คิดดูหมิ่นชายหนุ่ม แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยืนบนจุดสูงของมหาพันภพ แต่เนื่องจากศักยภาพของชายหนุ่มคนนี้ พวกเขาก็เต็มใจที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีด้วย

“มู่เฉินไปหาข้าที่แคว้นหวูถ้ามีโอกาสนะ” หลินจิ้งกล่าวด้วยความไม่อยากจากไป แต่ในเมื่อบิดามาแล้ว นางก็ทำได้แค่กลับไปเท่านั้น

“แล้วก็เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องหนี้ของแคว้นเซี่ยนะ ข้าจะไปทวงให้เอง เดี๋ยวจะเอามาแบ่งให้เจ้าเอง” แม้กระทั่งเวลานี้ นางก็ไม่ลืมหนี้ที่แคว้นเซี่ยค้างไว้

“กลับไปครั้งนี้ข้าจะพยายามบรรลุระดับตี้จื้อจุน หวังว่าครั้งหน้าเจ้าจะไม่ถูกข้าแซงหน้าไปนะ” เซียวเซียวก็ยิ้มทรงเสน่ห์

มู่เฉินยิ้มพยักหน้าร่ำลากับสหายทั้งสองคน

หลังจากการกล่าวคำอำลาเทพจักรพรรดิทั้งสองก็พาบุตรสาวไปจากสุสานจักรพรรดิฟ้า

มู่เฉินมองเทพจักรพรรดิทั้งสองที่จากไปก็ฝันที่จะก้าวไปถึงระดับนั้น นั่นคือการเป็นหนึ่งในใต้หล้า พวกเขาสามารถแบกรับท้องฟ้าที่ถล่มลงได้เลย

“เมื่อมหาพันภพมีบุคคลเช่นนี้ค่อยปกป้องอยู่ ต่อให้จักรวรรดิปีศาจจะบุกเข้ามาอีกครั้ง เราก็คงสามารถต้านรับเอาไว้ได้” จักรพรรดิฟ้าถอนหายใจก่อนที่จะหันมามองมู่เฉิน “วิชาสามพิสุทธิ์ถูกส่งผ่านทางจิตวิญญาณ ด้วยวิธีนี้เจ้าจะสามารถรับวิธีการเพาะบ่มและประสบการณ์ทั้งหมดของข้าด้วย ซึ่งจะช่วยให้เจ้าประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น”

การให้ความรู้แบบนี้มีประโยชน์อย่างมากต่อมู่เฉิน แต่คนที่ทำจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก ทว่าจักรพรรดิฟ้าสิ้นชีพไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สนใจการเจ็บปวดดังกล่าว

ดังนั้นเมื่อได้ยินมู่เฉินจึงพยักหน้าด้วยความขอบคุณ

“แต่เมื่อเจ้าประสบความสำเร็จวิชาสามพิสุทธิ์ ร่างรองจะมีความแข็งแกร่งคล้ายกับร่างหลัก นอกจากนี้ยังมีศักยภาพในการพัฒนา ดังนั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าฝึกฝนหลังจากบรรลุระดับตี้จื้อจุน ด้วยวิธีนี้ร่างรองจะมีความแข็งแกร่งในระดับตี้จื้อจุนด้วย”

มู่เฉินอึ้งไปกับข้อมูลนี้ เมื่อพูดถึงระดับหนึ่งวิชาสามพิสุทธ์ก็คล้ายคลึงกับการสร้างฝาแฝด เพียงว่าวิชานี้ลึกซึ้งยิ่งกว่า ไม่เพียงแต่จะมีความแข็งแกร่งอย่างเต็มรูปแบบของร่างหลัก แต่ยังมีศักยภาพในการฝึกฝนและพัฒนาให้แข็งแรงขึ้นเองอีกด้วย

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมจักรพรรดิฟ้าถึงสามารถต่อสู้กับจอมปีศาจทุนเทียนทั้งเก้าได้

แต่…ตัวเขายังมีระยะห่างจากระดับตี้จื้อจุนพอสมควร ซึ่งจุดนี้หยุดความก้าวหน้าของอัจฉริยะหลายคนมานักต่อนักแล้ว

แม้ว่าเขาจะมีความมั่นใจในความสามารถของตัวเอง แต่ก็ประเมินได้ว่าถ้าพึ่งพาพลังตนเองก็ยังต้องใช้เวลาสักระยะถึงจะสัมฤทธิ์ผล

เมื่อจักรพรรดิฟ้าเห็นท่าทางของมู่เฉินก็รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เขายิ้มมองไปที่กระบี่เกล็ดจักรพรรดิในมือ “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้สืบมรดกของข้า ข้าก็ต้องให้โอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแก่เจ้า”

“พรสวรรค์ของเจ้าช่างโดดเด่นด้วยรากฐานที่ลึกและคลื่นหลิงที่มั่นคง ข้าสามารถใช้กระบี่เกล็ดจักรพรรดิช่วยเจ้าในการพัฒนาเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน”

“แต่ถ้าทำอย่างนั้นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็จะหมดพลัง” ขณะที่พูดจักรพรรดิฟ้าก็รู้สึกถึงความเสียดาย

หัวใจของมู่เฉินเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน พลังของกระบี่เกล็ดจักรพรรดิเป็นอะไรที่ยากพูดถึง วัตถุนี่เป็นวัตถุที่แม้แต่อาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงได้ ขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังน้ำลายสอด้วยความอยากได้ แต่ตอนนี้กลับจะถูกใช้เป็นราคาเพื่อช่วยเขาในการพัฒนา บุญคุณนี้มากเกินไปแล้ว

“อย่าปฏิเสธ หากเจ้าสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนในอนาคต เจ้าก็จะสามารถกู้คืนสภาพมันได้ เมื่อไรที่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามาก็จงใช้กระบี่นี้ฟาดฟันพวกมันให้สิ้นซาก” จักรพรรดิฟ้ายิ้มเมื่อเห็นอารมณ์ที่ซับซ้อนของมู่เฉิน

เมื่อมองไปที่รอยยิ้มของจักรพรรดิฟ้า มู่เฉินก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว เขาได้แต่ประสานมือคำนับ ซึ่งนั่นเป็นท่าคำนับในฐานะศิษย์แล้ว

“ศิษย์รับทราบ”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1191 จัดการ
“จักรพรรดิฟ้าสิ้นชีพแล้วไม่ใช่เหรอ?”

เมื่อสิ้นเสียงเซียวเหยียน หัวใจของมู่เฉินและมั่นถัวหลัวก็สั่นไหว โดยเฉพาะมั่นถัวหลัวถึงกับไม่สามารถระงับอารมณ์เอ่ยถามออกมา

เซียวเหยียนกับหลินต้งแลกเปลี่ยนสายตากันแวบหนึ่งตอบว่า “จักรพรรดิฟ้าสิ้นชีพแล้ว แต่เขาทิ้งรอยประทับไว้เบื้องหลังเพื่อเฝ้ามองผนึก”

ใบหน้าของมั่นถัวหลัวมืดมนลงด้วยความปวดใจ นั่นเพราะจักรพรรดิฟ้าเปรียบเสมือนบิดาของนาง

เมื่อเซียวเหยียนเห็นการแสดงออกของมั่นถัวหลัว เขาก็รู้ว่านางมีความสัมพันธ์บางอย่างกับจักรพรรดิฟ้า แต่กระนั้นก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ เขาจึงหันไปที่กะโหลกศีรษะสีดำขนาดใหญ่ในจัตุรัส

“นั่นคือจักรพรรดิฟ้าเหรอ?” มู่เฉินตะลึงใจ ตอนแรกพวกเขาคิดว่ากะโหลกศีรษะสีดำนั่นเป็นราชันปีศาจ สุดท้ายไม่คิดว่ากลับเป็นร่างจักรพรรดิฟ้าที่เป็นราชันปีศาจ

เซียวเหยียนพยักหน้า “จอมปีศาจทุนเทียนฉลาดแกมโกง ไม่เพียงแต่จะปรากฏตัวในรูปลักษณ์จักรพรรดิฟ้าเท่านั้น มันยังเปลี่ยนศพของจักรพรรดิฟ้าให้เป็นอย่างนี้หวังให้คนอื่นทำลาย”

พูดจบเปลวไฟแวววาวก็กวาดออกมาจากแขนเสื้อเผากะโหลกศีรษะสีดำ รัศมีปีศาจก็ค่อยๆ ระเหยหายไป

เมื่อกะโหลกละลายหายไป แสงประกายไฟระยิบระยับก็รวมตัวกันกลายเป็นร่างเงานึง

ร่างเงานี้สวมชุดสีขาวดูสบายเป็นอิสระ ทว่าก็มีแรงกดดันที่ไม่อาจอธิบายอยู่เลือนรางราวกับจักรพรรดิที่ผู้คนต้องเคารพยำเกรง

ทุกคนมองร่างเงานั้นด้วยความเคารพและใคร่รู้ นั่นคือเจ้าวังสวรรค์บรรพกาล—จักรพรรดิฟ้าเหรอ?

“ไม่คิดว่าต่อให้สละชีพปิดผนึกก็ยังไม่สามารถฆ่ามันได้ มิหนำซ้ำหลังจากผ่านมาหมื่นปียังต้องให้คนรุ่นหลังช่วยจัดการ ข้ารู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง” เมื่อร่างเงาสีขาวปรากฏขึ้นก็มองไปที่ลูกทรงกลมสีฟ้าอมเขียวในมือของหลินต้งพลางถอนหายใจ

“ท่านผู้อาวุโสทำดีที่สุดแล้ว เราได้รับความกรุณาจาท่าน ดังนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องช่วยเหลือ” พบปะกับยอดยุทธ์แห่งยุคโบราณผู้นี้ แม้แต่เซียวเหยียนกับหลินต้งก็ยังประสานมือด้วยความเคารพอย่างสูงให้

พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ที่มีความภาคภูมิใจ ในมหาพันภพต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนระดับเดียวกันยังไม่อาจได้รับความเคารพนี้ แต่สำหรับจักรพรรดิฟ้าที่ใช้ชีวิตผนึกจอมปีศาจเพื่อปกป้องโลก เจตจำนงนี้คือสิ่งที่สมควรได้รับความเคารพอย่างสูงสุด

มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็โค้งคำนับแสดงความขอบคุณบรรพบุรุษซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกป้องโลกไว้

จักรพรรดิฟ้ากวาดมองทุกคนด้วยความยินดี ก่อนที่จะมองเซียวเหยียนและหลินต้ง “ตอนที่มหาพันภพพยายามต่อสู้กับเผ่าปีศาจต่างมิติ จอมยุทธ์ชั้นยอดหลายคนจบชีวิตลง ส่งผลให้เกิดการสูญเสียรุนแรง ไม่คิดเลยว่าหมื่นปีต่อมาจะมีจอมยุทธ์ที่โดดเด่นเช่นนี้ในมหาพันภพปรากฏขึ้นอีก ดูเหมือนว่าจักรวาลนี้ยังไม่หมดโชค”

แม้ว่าจักรพรรดิฟ้าปัจจุบันจะเป็นเพียงร่างดวงจิต แต่ก็เคยเป็นมหาอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ ดังนั้นสายตาจึงแหลมคมนักและสามารถบอกได้ว่าชายทั้งสองคนทรงพลังแค่ไหน

ตามการคาดการณ์กระทั่งตัวเขาก็ยังไม่อาจเอาชนะทั้งสองแม้จะอยู่ในจุดสูงสุด ซึ่งทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งและพอใจในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่าหลังจากสงครามครั้งนั้นมหาพันภพก็ไม่ได้เสื่อมถอย กลับยังต้อนรับยุคใหม่แห่งความรุ่งโรจน์

เซียวเหยียนและหลินต้งถ่อมตน ก่อนจะส่งมอบจอมปีศาจทุนเทียนโดยตั้งใจจะให้จักรพรรดิฟ้าจัดการกับศัตรูคู่แค้นด้วยตนเอง

จักรพรรดิฟ้ารับลูกทรงกลมมา ใบหน้าชั่วร้ายในนั้นก็จับจ้องมาอย่างอาฆาตแค้น ก่อนที่จะคำรามลั่น “ไอ้จักรพรรดิฟ้า ศึกระหว่างเราถ้าไม่มีคนอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยว สุดท้ายแกก็แพ้!”

เมื่อจักรพรรดิฟ้าได้ยินคำพูดนั่นก็ยิ้ม “ไม่หรอก เผ่าปีศาจทุนหมัวรวมพลังทั้งหมดถึงได้สร้างคนระดับแกขึ้นมา ตอนแรกแกเป็นถึงหนึ่งในสิบอันดับแรกของจักรวรรดิปีศาจ หากแกหนีไปตอนนั้น มหาพันภพก็จะได้รับแรงกดดันมหาศาล ในเมื่อข้าสามารถผนึกแกไว้ได้เนิ่นนาน ตัวข้าก็บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว”

“ดูสิ มหาพันภพของข้ายังยืนหยัดสร้างจอมยุทธ์ทรงพลังจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นข้าไม่ใช่คนที่แพ้”

เมื่อจอมปีศาจทุนเทียนได้ยินคำพูดนั่นก็โกรธพร้อมกับโหมกระหน่ำรัศมีปีศาจเดือดพล่าน ทว่าก็ติดอยู่บนแสงสีฟ้าอมเขียวที่ห้อมล้อมไว้

เซียวเหยียนและหลินต้งแลกเปลี่ยนสายตากัน แต่ทั้งสองก็ยังนิ่งเงียบ จักรพรรดิฟ้าไม่ทราบว่าแม้มหาพันภพจะหยุดยั้งการล้างผลาญจากจักรวรรดิปีศาจต่างมิติได้ แต่ก็ยังถูกยึดครองแผ่นดินไปเกือบครึ่งหนึ่ง ในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมาเผ่าปีศาจต่างๆ ยังคงมองมหาพันภพอย่างหิวกระหาย

สงครามในตอนนั้นมหาพันภพไม่ถือว่าชนะ พูดได้แค่ว่าจ่ายราคามหาศาลถึงหยุดเผ่าปีศาจต่างมิติไว้ได้ นอกจากนี้พวกเขารู้ว่าเผ่าปีศาจไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ ถ้าพวกมันบุกโจมตีอีกครั้ง หายนะมาเยือนแน่นอน

แต่เมื่อคิดถึงจุดนี้เซียวเหยียนและหลินต้งก็ยิ้มบาง พวกเขาไม่ได้อยู่ในสงครามครั้งก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงอยากเห็นว่าจักรวรรดิปีศาจต่างมิติมีความสามารถเพียงใดเมื่อสงครามเริ่มต้นอีกครั้ง

จักรพรรดิฟ้ามองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้งด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กกะทัดรัดด้วยดวงตาพรั่งพรูไปด้วยความยินดี

“มั่นถัวหลัว ดีจริงที่เจ้าปลอดภัย”

มั่นถัวหลัวมองจักรพรรดิฟ้าอย่างเหม่อลอย ดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ หัวใจพลุ่งพล่านด้วยอารมณ์ห่วงหาอาทร นางก้าวย่างออกไปพร้อมกับยื่นมือเล็กกุมมือจักรพรรดิฟ้าเอาไว้

จักรพรรดิฟ้าลูบศีรษะนางเบาๆ ราวกับว่ากำลังแตะต้องดอกไม้น้อยในอดีต

จักรพรรดิฟ้ายิ้มให้มั่นถัวหลัวก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉิน “ย้อนกลับไปในอดีตถึงแม้จะมีจอมยุทธ์โดดเด่นมากมายในวังของข้า แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ สวรรค์ไม่ได้รังแกข้านัก ทำให้ข้าได้อยู่จนเห็นวันนี้”

“ข้าโชคดีที่ได้รับสิ่งที่ท่านทิ้งไว้เพื่อสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ข้าจะไม่มีวันลืมพระคุณอันยิ่งใหญ่นี้!” มู่เฉินคำนับจักรพรรดิฟ้า ถ้าไม่ใช่จักรพรรดิฟ้าทิ้งวิธีการชำระร่างเทพสุริยะนิรันดร์ไว้เบื้องหลัง เขาก็ไม่รู้ว่าต้องหาอีกนานแค่ไหน

จักรพรรดิฟ้ายิ้มพยักหน้ายื่นมือออกมา “เจ้าหนุ่ม ขอยืมกระบี่เกล็ดจักรพรรดิหน่อย”

มู่เฉินส่งกระบี่คืนให้อย่างรวดเร็ว

จักรพรรดิฟ้ารับกระบี่มา สร้างตราประทับด้วยมือข้างเดียวขณะที่จ้องมองจอมปีศาจทุนเทียนอย่างไม่แยแส

เมื่อรู้สึกถึงความตาย จอมปีศาจทุนเทียนแผดร้องอย่างตื่นตระหนก ทว่าจักรพรรดิฟ้าก็ไม่ได้ให้ความสนใจอีกฝ่ายเลยสักนิด กระบี่เกล็ดจักรพรรดิเฉือนลงไป ดวงดาวนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นพร้อมกับพลังงานน่าสะพรึงบรรจุอยู่ในดาวทุกดวง

จักรพรรดิฟ้ามีเพียงร่างดวงจิตที่เหลืออยู่เท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายจอมปีศาจทุนเทียนโดยธรรมชาติ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องยืมพลังกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ

ชี่ ชี่!

ดวงดาวพร่างพราวนับไม่ถ้วนเจาะเข้าในรูปทรงกลม กรีดตัดร่างปีศาจภายในทันที เสียงคำรามดังสะท้อนขณะที่ร่างจางหายไป

“อย่าได้ผยอง! ครั้งก่อนกองทัพจักรวรรดิปีศาจยังไม่ได้เคลื่อนพลเต็มกำลัง ครั้งต่อไปที่บุกเข้ามาจะเป็นวันโลกาพินาศของพวกแก!”

เสียงคำรามดังสะท้อน จอมปีศาจทุนเทียนที่อยู่ภายในได้ถูกทำลายสิ้นซาก ไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่านสลายกลายเป็นว่างเปล่า

ฮึ่ม!

ขณะที่จอมปีศาจทุนเทียนถูกสังหาร ทันใดนั้นร่างเงาที่ชายขอบสุสานจักรพรรดิฟ้าก็ทะยานออกไปตั้งใจที่จะหนี

ทว่าเสียงคุ้นเคยและไม่แยแสก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าขณะที่ร่างนั้นกำลังจะหนีไป

“เจ้าขาดเขลานัก ถ้าเจ้าแค่ซ่อนตัวและหลบหนีจากการต่อสู้ยังให้อภัยได้ แต่เจ้ากลับถูกล่อลวงโดยปีศาจ พยายามทำให้มันเป็นอิสระ โทษทัณฑ์เจ้าหนักหนานัก”

เสียงเรียบเฉยทำให้ลู่หยวนหวาดผวาทันที เขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น รัศมีปีศาจพวยพุ่งออกมาจากร่างกลายเป็นเจียว ร่างกายเดิมของลู่หยวนคือเจียวโลหิตโบราณ แต่เนื่องจากเขาถูกปีศาจครอบงำจึงกลายเป็นเจียวปีศาจไปแล้ว

เมื่อกลับไปเป็นร่างเดิม ลู่หยวนก็กวาดหางเพื่อสลายมิติพยายามที่จะหลบหนี

ฟิ้ว!

แต่ทันใดนั้นแสงผลึกอัญมณีใสก็พุ่งลงมาจากฟากฟ้า รัศมีกระบี่คมฉีกผ่านสวรรค์และโลก ราวกับกระบี่โบราณทอดลงมาแทงทะลุศีรษะของลู่หยวนตอกร่างเขาลงไปกับพื้น

รัศมีกระบี่ระเบิดออกมา ก่อนที่ลู่หย่วยจะทันได้ร้องขอชีวิต เขาก็ถูกสังหารกระทั่งวิญญาณก็สลายหมดสิ้น

จักรพรรดิฟ้าโกรธแค้นกับการทรยศของลู่หยวนมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ระงับใจ แม้ว่าจะเป็นปัญหาเล็กน้อยสำหรับเขาในการจัดการกับจอมปีศาจทุนเทียน แต่ก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยที่จะทำลายล้างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นลู่หยวนจึงได้แต่รับความตายไปโดยไม่ได้ต่อต้านใดๆ

หลังจากจัดการเรื่องภายในเรียบร้อย จักรพรรดิฟ้าก็เงยหน้าขึ้นมองทุกคน “เรื่องในวันนี้จบลงแล้ว ขอให้ทุกคนกลับไปเถอะ”

เมื่อเขาพูดจบ มิติก็เกิดความผันผวน กลายเป็นอุโมงค์มิติที่ข้างจอมยุทธ์ทั้งหลาย

แต่ละคนแลกเปลี่ยนสายตากัน เหตุผลที่พวกเขาอยู่ที่นี่ก็เพราะวิชาสามพิสุทธิ์ ทว่าเนื่องจากจักรพรรดิฟ้าเอ่ยปากไล่กลายๆ แล้ว พวกเขาจึงได้แต่หันหน้ากลับไป ยิ่งไปกว่านั้นเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็อยู่ที่นี่เช่นกัน คงยังไม่ถึงตาของพวกเขาสำหรับสมบัติเช่นนี้ ดังนั้นผู้คนได้แต่ถอนหายใจด้วยความเสียดาย จากนั้นก็พากันออกไป

เมื่อผู้คนจากไปแล้ว มิติสุสานจักรพรรดิฟ้าก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม

จักรพรรดิฟ้ามองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้งด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าเจ้าสองคนสนใจวิชาสามพิสุทธิ์ของข้าหรือไม่?”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1190 เทพจักรพรรดิสงคราม-หลินต้ง
มิติพังทลายลง

ก่อนที่สะเก็ดมิติจะก่อตัวเป็นกระแสล้นทะลักออกมา ร่างเงาหนึ่งย่างเท้าออกมา ทางที่เดินผ่านกระแสก็เคลื่อนหลบหลีกไป ราวกับว่าไม่กล้าแตะต้องตัวเขาเลย

ทุกคนต่างตะลึงกับร่างที่มีคลื่นพลังลึกลับอยู่รอบตัว ในฐานะหนึ่งในมหาทวีป ทวีปเทียนหลัวมีเครือข่ายข้อมูลที่ทรงประสิทธิภาพ ดังนั้นหลายคนจึงจำเขาผู้นี้ได้ทันที

มีจอมยุทธ์เพียงหนึ่งเดียวในมหาพันภพที่คลื่นหลิงลึกลับสามารถเปลี่ยนไปเป็น น้ำแข็ง-เพลิง-สายฟ้า-ความมืด… ที่ผสานอย่างสมบูรณ์แบบระหว่างองค์ประกอบนี้

เขาก็คือประมุขแคว้นหวู—เทพจักรพรรดิสงคราม!

ในมหาพันภพระดับเทียนจื้อจุนถือว่าเป็นยอดยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ในเวลาเดียวกันก็แยกขั้นกันอย่างเห็นได้ชัด ในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามอยู่ในอันดับต้นๆ จริงแท้แน่นอน!

พวกเขาถือกำเนิดในพิภพเขตล่าง แต่ต่างมีพรสวรรค์ที่โดดเด่น เทพจักรพรรดิอัคคีสถาปนาแคว้นหวู่จิ้งฮั่วขึ้นภายในเวลาไม่กี่ร้อยปีด้วยทักษะการจัดการเพลิงแบบสุดยอดบวกกับทักษะการกลั่นเม็ดยาที่ไม่มีใครเทียบ แม้กระทั่งขั้วอำนาจที่กลั่นเม็ดยาโดยเฉพาะในมหาพันภพก็สู้เขาไม่ได้ ทุกคนรู้ว่าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เชื่อถือได้ในเรื่องยาเม็ดมากที่สุด

เทียบกับเทพจักรพรรดิอัคคี เทพจักรพรรดิสงครามเป็นอะไรที่เก็บเนื้อเก็บตัว แต่ถึงกระนั้นเขาก็พุ่งชนเผ่าเทพน้ำแข็งเพื่อช่วยเหลือฮูหยิน เผชิญหน้ากับทั้งเผ่าด้วยพลังของตนเองเพียงผู้เดียว ต้องรู้ว่าเผ่าเทพน้ำแข็งเป็นเผ่าโบราณ แม้ว่าจะอ่อนกำลังลงมาบ้างแต่รากฐานก็ยังน่ากลัวอย่างยิ่ง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ต้องทนทรมานถ้าคิดจะพุ่งเข้าใส่เผ่าเทพน้ำแข็ง

ยิ่งกว่านั้นเผ่าโบราณเช่นนี้ยังมีสายสัมพันธ์ที่กว้างขวาง ตราบใดที่ขอความช่วยเหลือก็จะมีจอมยุทธ์ทรงพลังจำนวนมากเข้ามา ซึ่งในตอนนั้นเผ่าเทพน้ำแข็งก็ได้ทำเช่นนี้ พวกเขาเชิญยอดยุทธ์ในมหาพันภพมาเพื่อบีบให้เทพจักรพรรดิสงครามถอยกลับไป

ว่ากันว่าตอนนั้นมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนในเผ่าเทพน้ำแข็ง!

การรวมตัวนี้สามารถทำลายล้างเผ่าโบราณได้เลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงแค่คนคนเดียว!

ในเวลานั้นการต่อสู้สั่นสะเทือนไปทั่วมหาพันภพ

ทว่าที่ผิดคาดและตกตะลึงก็คือเผชิญหน้ากับการกดขี่ของเผ่าเทพน้ำแข็ง เทพจักรพรรดิสงครามก็ไม่ได้ถอยกลับ มีข่าวลือว่าเขาสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนสามคนด้วยพลังของตัวเองเพียงผู้เดียว ซึ่งนี่สร้างชื่อเสียงให้เขามากนัก

ผลลัพธ์สุดท้ายแม้จะไม่มีใครพูดถึง แต่ชัดว่าเทพจักรพรรดิสงครามได้รับสิ่งที่ต้องการจากเผ่าเทพน้ำแข็ง มิหนำซ้ำชื่อเสียงยังขจรขจายไปทั่วมหาพันภพ จากนั้นเขาก็สถาปนาแคว้นหวูขึ้นมา

แคว้นหวูก้าวขึ้นเป็นขุมกำลังสูงสุดในมหาพันภพ ในเวลานั้นประมุขเผ่าเทพน้ำแข็งก็สละตำแหน่ง ส่งให้สมาชิกในเผ่า ซึ่งก็คือนายหญิงแห่งแคว้นหวู

หลังจากเหตุการณ์นั้นเผ่าเทพน้ำแข็งและแคว้นหวูก็กลายเป็นทองแผ่นเดียวกัน ด้วยพลังของแคว้นหวูทำให้เผ่าเทพน้ำแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนก้าวขึ้นสู่อันดับต้นๆ ของเผ่าโบราณเลยทีเดียว

ทั้งหมดนี้เกิดจากฝีมือของเทพจักรพรรดิสงคราม!

ด้วยสาเหตุเหล่านี้ทำให้ชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามโด่งดังเสมอกันไปทั่ว ทว่าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วกับแคว้นหวูมีชัยภูมิทางอยู่ตรงขอบชายแดนของมหาพันภพ หนึ่งอยู่ทิศใต้อีกหนึ่งอยู่ทิศเหนือ ซึ่งคอยเป็นปราการหน้าด่านจากจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะปรากฏตัวในที่เดียวกัน แต่วันนี้จอมยุทธ์ในทวีปเทียนหลัวมีโอกาสได้เห็นยอดยุทธ์ทั้งคู่กับตา แล้วทำไมทุกคนจะไม่ตะลึงงันล่ะ?

“นั่นเทพจักรพรรดิสงครามเหรอ?”

ท่ามกลางสายตาตกตะลึง มู่เฉินก็มองไปที่ร่างเงานั้นด้วยความอยากรู้ อีกฝ่ายดูสุขุมนุ่มลึกนัก เทียบกับเทพจักรพรรดิอัคคีที่ดูสบายอิสระ เทพจักรพรรดิสงครามผู้นี้มั่นคงราวกับขุนเขาเลยทีเดียว

แต่ในทำนองเดียวกันแรงกดดันจากเทพจักรพรรดิสงครามก็ทำให้มิติสั่นสะเทือนเช่นเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคี

“พ่อ! พ่อ!”

หลินจิ้งโบกมืออย่างร่าเริงขณะที่ยิ้มตาหยีพลางตะโกนเรียก

เทพจักรพรรดิสงครามเบนสายตามาเมื่อเห็นบุตรสาว สีหน้าก็อ่อนโยนลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเคลื่อนไปปรากฏตัวต่อหน้าหลินจิ้ง

“แอบหนีออกจากบ้านมาซนอีกแล้วนะ ดูท่าคงต้องขังไว้สักหน่อยแล้ว!” เขาพูดด้วยท่าทางที่เข้มงวด

แต่เผชิญหน้ากับท่าทางของบิดา หลินจิ้งกลับหัวเราะเบาๆ สวมกอดแขนเขาราวกับว่าไม่สนใจคำขู่ การแสดงออกที่เข้มงวดของเทพจักรพรรดิสงครามดำเนินต่อไปชั่วครู่ก็เปลี่ยนเป็นช่วยไม่ได้ เขารู้ว่าภาพลักษณ์บิดาที่เข้มงวดไม่มีประโยชน์กับบุตรสาวคนนี้เลย

จากนั้นเทพจักรพรรดิสงครามก็หันมามองมู่เฉินพลางยิ้ม “สหายน้อย ขอบคุณที่ช่วยปกป้องลูกสาวข้า”

มู่เฉินรู้สึกเคอะเขินทันที หากเขารู้ว่าบิดาของพวกนางอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่ต้องทำตัวเป็นวีรบุรุษหรอก

เมื่อเห็นท่าทางอึกอักใจของมู่เฉิน เทพจักรพรรดิสงครามก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร เขาส่ายหัว “ความพยายามของเจ้าไม่ได้ไร้ประโยชน์ ในเวลานั้นกระทั่งเราก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้ทันและด้วยขุมพลังของพวกนางตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะต่อกรกับนักรบราชันปีศาจ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องขอบคุณ”

“จริงเหรอขอรับ?” มู่เฉินยิ้มพลางเกาหัว

“ฮ่าๆ ที่พี่หลินพูดถูกต้อง” เซียวเหยียนปรากฏตัวขึ้นก่อนที่จะตบไหล่มู่เฉินเบาๆ จากนั้นก็หันไปทางหลินต้งพูดว่า “ไม่ได้เจอกันนานเลยพี่หลิน สบายดีใช่ไหม”

ในมหาพันภพมีไม่กี่คนที่เซียวเหยียนจะยกตำแหน่งสูงให้ในใจ แต่หลินต้งก็ยังนับเป็นหนึ่งในไม่กี่คนนั้น พวกเขาสองคนคอยคานอำนาจกับเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้พบกัน แต่ทั้งสองชัดว่ามีความรู้สึกชื่นชมต่อกัน

“พี่เซียว”

รับฟังน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนจากเซียวเหยียน หลินต้งก็ประสานมือให้ จากนั้นยื่นมือออกมาใบหน้าปีศาจในลูกทรงกลมสีฟ้าอมเขียวก็เผยออกมา

“เจ้านี่แปลกอยู่นิดๆ” เซียวเหยียนมองไปที่จอมปีศาจทุนเทียน พูดขึ้นขณะดวงตาหดเกร็ง

“ฮ่าๆ จอมปีศาจทุนเทียนไม่ธรรมดาเลย” หลินต้งยิ้มขณะที่พูดต่อ “ในอดีตมันคงจะติดอันดับหนึ่งในสิบของเผ่าปีศาจต่างมิติเลยทีเดียว”

เซียวเหยียนรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้ ราชันปีศาจที่ติดอันดับหนึ่งในสิบสูงสุดของเผ่าปีศาจต่างมิติเป็นภัยคุกคามแม้แต่กับพวกเขา แต่ด้วยพลังที่แสดงออกมาโดยจอมปีศาจทุนเทียนตอนนี้ ดูเหมือนจะไม่ได้มีความแข็งแกร่งอะไรที่ว่าเลย

“สมัยก่อนจอมปีศาจทุนเทียนมีอีกฉายาหนึ่งนะ” หลินต้งหยุดพูดชั่วครู่ก่อนจะตอบว่า “ราชันเก้าซาก”

“ราชันเก้าซาก?” พวกมู่เฉินอึ้งไปพลางพึมพำ แต่ก็ต่างงุนงง มีเพียงเซียวเหยียนที่ครุ่นคิด

“ในบางแง่มุมราชันเก้าซากไม่ใช่คนเดียวแต่เป็นเก้าคน! นอกจากนี้ทั้งหมดยังเป็นราชันปีศาจอีกด้วย!” หลินต้งจ้องมองไปที่ลูกทรงกลมสีฟ้าอมเขียว “จอมปีศาจทุนเทียนมาจากเผ่าปีศาจทุนหมัว ย้อนกลับไปตอนนั้นพวกมันทั้งเก้าได้รวมร่างเข้าด้วยกันเพื่อแสงหาความแข็งแกร่ง”

ข้อมูลนี้ทำให้มู่เฉินตกใจไป นั่นหมายความว่าจักรพรรดิฟ้าไม่ได้เผชิญหน้ากับราชันปีศาจคนเดียว แต่ปะทะกับเก้าคน?!

“ไม่งั้นจอมปีศาจทุนเทียนจะต่อสู้กับจักรพรรดิฟ้าที่ใช้วิชาสามพิสุทธ์ได้อย่างไร?” หลินต้งยิ้ม

“ย้อนกลับไปตอนนั้นจักรพรรดิฟ้าใช้วิชาสามพิสุทธิ์สังหารจอมปีศาจทุนเทียนทั้งเจ็ดคนก่อนที่จะหมดแรง เขาจึงทำได้แค่ผนึกปีศาจที่เหลือสองคนเอาไว้ เมื่อครู่เซียวเหยียนสัมผัสได้ถึงการแตกสลายของหัวใจปีศาจ แต่นั่นแค่เป็นของจอมปีศาจคนที่แปด ดังนั้นมันจึงยังสามารถหลบหนีได้”

พวกมู่เฉินตกตะลึง ในเวลานี้พวกเขาตระหนักได้ว่าเผ่าปีศาจน่ากลัวแค่ไหน พวกมันสามารถใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตที่แม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ยังทำอะไรไม่ได้นอกจากปิดผนึกไว้

ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าจักรพรรดิฟ้าทรงพลังเพียงใด เผชิญหน้ากับจอมปีศาจเก้าคนที่ประสานพลังกัน ไม่เพียงแต่สามารถสังหารเจ็ดคนได้ ยังผนึกอีกสองคนไว้ได้

“เป็นแบบนี้นี่เอง” เซียวเหยียนพยักหน้าด้วยการแสดงออกเคร่งเครียดลงมาก เขารู้ว่ากระทั่งตนเองที่เผชิญกับจอมปีศาจทรงพลัง เขาก็ยังต้องสู้แบบจริงจัง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมราชันเก้าซากจึงสามารถเข้าสู่หนึ่งในอันดับสิบได้

“เราจะปล่อยให้มันกลับไปยังจักรวรรดิปีศาจต่างมิติไม่ได้”

หลินต้งพยักหน้าพลางยิ้ม “แต่มันไม่เหลือซากแล้ว ด้วยพวกเราสองคน มันไม่มีทางหนีพ้นไปได้แน่นอน”

น้ำเสียงของหลินต้งสงบกระนั้นก็ยังแสดงให้เห็นถึงความครอบงำ

ทว่ามู่เฉินและคนอื่นๆ รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ต้องพูดถึงสภาพน่าสมเพชในปัจจุบันของจอมปีศาจทุนเทียน ต่อให้กลับไปรวมกันจนครบเก้าคน มันก็ต้องตายเมื่อเผชิญหน้ากับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม

“แต่เป็นเพราะความพยายามของจักรพรรดิฟ้า ทำให้ปีศาจตัวนี้ถูกสังหาร ดังนั้นจักรพรรดิฟ้าก็ควรที่จะอยู่ในเหตุการณ์ด้วย” เซียวเหยียนยิ้มบาง

หลินต้งพยักหน้ายอมรับเช่นกัน

เมื่อมู่เฉินและมั่นถัวหลัวได้ยินคำพูดนี่หัวใจก็สั่นไหว ตัดสินจากความหมายเบื้องหลังคำพูดของพวกเขา…หรือว่าจักรพรรดิฟ้ายังไม่ได้สิ้นชีพอย่างแท้จริง?!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1189 การเผชิญหน้าของราชัน
ดอกบัวปะทุขึ้นพร้อมกับคลื่นเพลิงครอบงำตระการตาไร้ขอบเขต

พลังอันน่าสะพรึงกลัวเล็ดลอดออกมา ทำให้ทั้งมิติสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างรุนแรงเลยทีเดียว

มิติบริเวณที่ดอกบัวปะทุอยู่ในสภาพพังทลายยุบตัวลง รัศมีหลายหมื่นลี้กลายเป็นสีดำ ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างจะถูกทำลายภายใต้การปะทุนั้น

เมื่อเหล่าจอมยุทธ์เห็นภาพนี้ พวกเขาก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดผวาในดวงตา

ชัดว่าพวกเขาหวาดผวากับการเคลื่อนไหวของเทพจักรพรรดิอัคคี พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าถ้าดอกบัวพุ่งตรงมาหา พวกเขาทั้งหมดคงจะสลายกลายเป็นอากาศธาตุในพริบตา

“นี่คือพลังของเทพจักรพรรดิอัคคีหรือ… ช่างน่ากลัวจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงสามารถเป็นยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพได้” ผู้คนถึงกับถอนหายใจ แม้ในสงครามโบราณจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมากมายสละชีพ แต่ก็โชคดีที่มีจอมยุทธ์อย่างเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามถือกำเนิดในอีกหมื่นปีต่อมา

“จอมปีศาจทุนเทียนน่าจะตายแล้วมั้ง?” มู่เฉินมองไปที่มิติยุบลง เผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่ากลัวดังกล่าว แม้กระทั่งจอมปีศาจทุนเทียนก็คงต้องได้รับความเสียหายร้ายแรงสินะ

มั่นถัวหลัวพยักหน้า กระบวนท่าจากเซียวเหยียนน่าสะพรึงอย่างแท้จริง ไม่มีใครคาดว่าเขาจะเป็นคนตรงขนาดนี้เปิดโจมตีก็ซัดทักษะยอดเยี่ยมแบบไม่ไว้หน้าจอมปีศาจทุนเทียนเลย

การโจมตีครั้งนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังทนไม่ได้

สายตาทุกคนจ้องมองอย่างกังวลใจไปตรงมิติที่ยุบลง ทันใดนั้นดวงตาก็ต้องหดลงเมื่อเห็นร่างเงาหนึ่ง

นี่ก็คือจอมปีศาจทุนเทียน แต่ในเวลานี้ทั่วสรรพางค์กายเต็มไปด้วยรอยร้าวราวกับตุ๊กตาเครื่องปั้นดินเผา

ดวงตาก็เป็นสีแดงก่ำ ชัดว่าโกรธเกรี้ยวมาก

“หนังเหนียวชะมัด” เซียวเหยียนไม่แปลกใจที่จอมปีศาจทุนเทียนยังไม่ตาย เพราะแม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ยังไม่สามารถฆ่ามันได้เมื่อในอดีต

ทว่าแม้จอมปีศาจทุนเทียนจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ใครๆ ก็สามารถบอกได้ว่าเขาบาดเจ็บสาหัสเลยทีเดียว

“ในเมื่อแกบีบบังคับข้านัก งั้นวันนี้ก็ตายด้วยกันเลย!”

จอมปีศาจทุนเทียนคำรามขณะที่พุ่งไปยังทิศทางของเซียวเหยียน

เขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วเต็มพิกัด พริบตาก็เข้ามาใกล้ จากนั้นทุกคนก็เห็นเงาปีศาจพุ่งออกมาจากร่างกายปริร้าว พลังงานป่าเถื่อนถูกกลั่นอยู่ในร่างกาย

“มันคิดจะระเบิดตัวเอง!” ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเปลี่ยนไป ดูเหมือนจอมปีศาจทุนเทียนจะรู้ซึ้งว่าไม่มีทางที่จะหลบหนี จึงตัดสินใจที่จะระเบิดตัวตายไปด้วยกัน

ตู้ม!

ทันทีที่มั่นถัวหลัวพูดจบร่างจอมปีศาจทุนเทียนก็ระเบิดออกพร้อมกับรัศมีปีศาจป่าเถื่อนกวาดหายนะไปทั่ว

คนแรกที่โดนก็คือเซียวเหยียน

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการทำลายชีวิตนั่น เซียวเหยียนก็ไม่ได้ตื่นตระหนกกลับส่ายหน้า “ถ้าคนอย่างข้าตายง่ายขนาดนั้นก็คงตายไปนานแล้วแหละ”

เขากางมือออกเปลวไฟงดงามพวยพุ่งขึ้นถักทอเป็นปราการขนาดใหญ่หลายแสนจั้ง

ปราการนี้ถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายนับไม่ถ้วน แต่ละลายล้วนเป็นตัวแทนของแก่นเพลิงประเภทต่างๆ

ปราการปกคลุมรัศมีปีศาจด้วยอุณหภูมิสูงที่น่ากลัว ทำให้เกิดรอยแตกในมิติ รัศมีปีศาจก็คล้ายกับหิมะต้องลาวาละลายอย่างรวดเร็ว

เวลาเพียงไม่กี่สิบลมหายใจ รัศมีปีศาจก็ถูกลบล้างโดยสมบูรณ์ไม่มีร่องรอยความชั่วร้ายหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย

“จัดการเรียบร้อยแล้วเรอะ?”

เซียวเหยียนพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็โบกมือ เปลวไฟงดงามที่ถาโถมออกมาก็ถูกดึงกลับเข้าไปในร่างกายของเขา

“หืม?”

แต่เมื่อเปลวไฟเข้าสู่ร่างกาย สายตาของเซียวเหยียนก็เปลี่ยนไปทันที

ตู้ม!

กลิ่นอายปีศาจปรากฏในมิติที่ยุบลง กำลังมุดหนีออกไปจากสุสานจักรพรรดิฟ้าอย่างรวดเร็ว

“จอมปีศาจทุนเทียนยังไม่ตายรึเนี่ย?!”

ใบหน้าของผู้คนเปลี่ยนไปรุนแรง พวกเขาตกใจกับพลังชีวิตทรงประสิทธิภาพของนักรบราชันปีศาจมาก ซึ่งยังสามารถรอดไปได้หลังจากได้รับกระบวนท่าหนักหน่วงจากการโจมตีหนักหนาของเทพจักรพรรดิอัคคีถึงสองครั้ง?

“ไอ้เจ้าเล่ห์นั่นตั้งใจระเบิดตัวเองโดยมีจุดมุ่งหมายซ่อนตัวและหลีกเลี่ยงการรับรู้ของเทพจักรพรรดิอัคคี เพื่อหาโอกาสหลบหนี!” ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลงเช่นกัน เขาไม่คิดว่าจอมปีศาจทุนเทียนจะฉลาดแกมโกงเป็นกรดแบบนี้

“หัวใจปีศาจถูกทำลายไปแล้ว ทำไมมันถึงยังมีชีวิตอยู่ได้?” เซียวเหยียนก็อึ้งไปกับภาพนี้เช่นกัน หัวใจปีศาจเป็นจุดอ่อนของพวกปีศาจต่างมิติ แต่สำหรับพวกราชันปีศาจหัวใจปีศาจไม่สามารถทำลายได้แบบทั่วไป แต่ตอนที่จอมปีศาจทุนเทียนระเบิดตัวเอง เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าหัวใจปีศาจดวงหนึ่งแตกสลายไปอย่างชัดเจน

โดยปกติราชันปีศาจก็ต้องตายเมื่อหัวใจปีศาจถูกทำลาย แต่ไม่คิดว่าจอมปีศาจทุนเทียนจะยังหนีรอดไปได้

“มิน่าล่ะตอนนั้นถึงชนะจักรพรรดิฟ้าได้ ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างแปลกพิกลจริงๆ”

“เฮ้ ตาแก่ทำไมไม่ขยับล่ะ? มันจะหนีไปแล้วนะ!” เสียงของเซียวเซียวเปล่งออกมาอย่างรีบร้อน หากจอมปีศาจทุนเทียนสามารถหลบหนีไปได้ก็เท่ากลับปล่อยเสือกลับเข้าป่า อนาคตไม่รู้จะมีสิ่งมีชีวิตในมหาพันภพเท่าไรที่ต้องตายด้วยน้ำมือพวกมัน

หากราชันปีศาจที่สามารถต่อสู้กับจักรพรรดิฟ้าฟื้นฟูพลังขึ้นมาได้ แม้เทพจักรพรรดิอัคคีจะเผชิญหน้าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะต่อกรได้ง่ายขนาดนี้

เมื่อได้ยินคำเรียกของเซียวเซียวมุมหางตาของเซียวเหยียนก็กระตุกก่อนจะเหลือบมองบุตรสาว “ไอ้ปีศาจนั่นใช้ชีวิตเดิมพันในการหลบหนี จะขัดขวางง่ายๆ ขนาดนี้ได้ยังไง?”

เมื่อทุกคนได้ยินประโยคดังกล่าวก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ หรือว่าวันนี้จอมปีศาจทุนเทียนจะหนีรอดไปได้? หากเป็นเช่นนั้นผนึกที่จักรพรรดิฟ้าซึ่งใช้ชีวิตเดิมพันไว้ก็จะไร้ผลแล้วไม่ใช่หรือ?

ทว่าเมื่อเห็นท่าทางเสียดายของผู้คน เซียวเหยียนก็ยิ้มพลางมองไปทิศทางนั้น “แต่ยังไงมันก็ไม่สามารถหลบหนีได้ในวันนี้”

ทุกคนอึ้งไป หรือว่าเทพจักรพรรดิอัคคียังมีไพ่ตายอยู่ในแขนเสื้ออีก?

เซียวเหยียนมองหลินจิ้งพลางยิ้ม “ข้าไม่ใช่คนเดียวที่สัมผัสได้ถึงศัตรูทรงพลังที่เข้าใกล้ลูกสาว”

หลินจิ้งอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่ความสุขจะกระจายบนใบหน้า “อา? ท่านพ่อก็มาด้วยหรือ?”

ทุกคนถึงกับงงงวย ในขณะที่หัวใจมู่เฉินเต้นไม่เป็นส่ำ บิดาของหลินจิ้ง? นั่นคือประมุขแคว้นหวูซึ่งมีพลังอยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคี เทพจักรพรรดิสงครามไม่ใช่เหรอ?!

เขาก็มาที่นี่เหมือนกันเหรอ?

ขณะที่หัวใจของมู่เฉินสั่นระรัว รัศมีปีศาจยังคงส่งผ่านมิติซึ่งกำลังจะหายไป

ฮึ่ม!

แต่ทันใดนั้นมิติก็สั่นสะท้านรุนแรงแล้วแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนที่ทุกคนจะเห็นมือขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น

มือนั้นแปลกมาก ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดมังกรสีเขียวมรกตพร้อมกับพลังที่ไม่อาจพรรณนาล้อมรอบทั่วพื้นที่แห่งนี้ทั้งหมดไว้ ภายใต้รัศมีมู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณมังกรแท้จริงของตนเองสั่นไหวราวกับว่าได้เจอผู้ยิ่งใหญ่

มู่เฉินตกตะลึงในใจ ต้องรู้ว่าจิตวิญญาณมังกรแท้จริงครอบครองสายเลือดบริสุทธิ์ ซึ่งนับว่าเป็นจักรพรรดิของเผ่ามังกรเลยทีเดียว!

แต่ตอนนี้จิตวิญญาณมังกรแท้จริงกลับรู้สึกถูกคุกคามจากรัศมีที่มาจากมือนั่น!

ครืน!

ขณะที่มู่เฉินกำลังตกตะลึงสงสัย มือก็สาวรัศมีปีศาจออกมาจากนั้นก็บีบไว้ในกำมือ ใบหน้าปีศาจชั่วร้ายปรากฏขึ้น เสียงคำรามเต็มไปด้วยความต่อต้านรุนแรง

เขากำลังหนีได้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะได้พบกับศัตรูทรงพลังอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ได้อ่อนแอกว่าเทพจักรพรรดิอัคคี!

เขาทำลายร่างไปแล้ว ดังนั้นจึงอ่อนแอลงอย่างมาก ตัวเขาจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เช่นนี้ได้อย่างไร?

ดังนั้นเมื่อมือบีบกดลงมา ประกายสีฟ้าอมเขียวก็ก่อร่างเป็นผนึกห่อหุ้มจอมปีศาจเอาไว้ภายใน

การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้สีหน้าของทุกคนผันแปรไปรุนแรง พวกเขาจ้องมองไปในความว่างเปล่า ขณะนี้ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าที่แท้ยังมียอดยุทธ์ทรงพลังอีกคนซ่อนอยู่ในบริเวณนี้ รอเวลาให้จอมปีศาจทุนเทียนตกหลุมพราง

แต่พวกเขาต่างสงสัยว่าบุคคลผู้นี้เป็นใคร?

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วนมิติก็ฉีกขาดก่อนที่ร่างเงาหนึ่งจะเยื้องย่างออกมา เขามีรัศมีที่น่าเกรงขาม คลื่นหลิงเชี่ยวกรากหมุนวนรอบตัว พลังงานของเขามีคุณสมบัติที่แตกต่างไป มีทั้งน้ำแข็ง-เพลิง-สายฟ้า-ความมืด… ช่างดูลึกลับมาก

เมื่อทุกคนมองไปที่ร่างเงานั้น ม่านตาก็หดลงก่อนที่จะสูดลมหายใจอัดอากาศเย็นเข้าไป

“นะ…นั่นคือเทพจักรพรรดิสงคราม?!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1188 ดอกบัวเพลิงพุทธะ
“เทพจักรพรรดิอัคคี—เซียวเหยียน”

เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้นในสุสานจักรพรรดิฟ้า ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ขณะที่มหาสมุทรเปลวเพลิงเริงระบำขานรับคำเจ้านาย

ทุกคนเกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาดว่าพวกเขาจะถูกเผาเหลือเพียงเถ้าถ่าน หากคิดมุ่งร้ายต่อเทพจักรพรรดิอัคคีผู้นี้

จอมปีศาจทุนเทียนมองไปที่ฉากนี้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาจดจ้องเซียวเหยียนที่กำลังเยื้องย่างบนมหาสมุทรเพลิงด้วยความกลัวและตั้งระวังในสายตา

ยามนี้เขาชักจะรู้สึกเสียใจ ถ้าเขาหลบออกไปในช่วงเวลาที่หลุดพ้นก็สามารถซ่อนตัวจากการรับรู้ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในมหาพันโลกได้และย่องกลับไปที่เผ่าปีศาจต่างมิติได้

แต่ตอนนี้ความปั่นป่วนที่เขาสร้างดึงดูดศัตรูที่น่าเกรงขามเข้ามา ซึ่งทำให้สถานการณ์ของเขาไม่เอื้ออำนวย

บางทีเขาอาจจะสามารถต่อสู้ได้ถ้ามีพลังเต็มหน่วย แต่ตอนนี้เห็นอยู่ว่ายังขาดอีกมาก

แต่เขาก็ไม่ใช่นักรบธรรมดาทั่วไปจึงสงบจิตใจได้อย่างรวดเร็ว ในเมื่อเขาสามารถชิงไหวชิงพริบกับจักรพรรดิฟ้าได้ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความเหนือล้ำของตนเองแล้ว

ดังนั้นแม้จะเผชิญกับเทพจักรพรรดิอัคคี เขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนก

“ขอข้าลิ้มลองหน่อยว่าจอมยุทธ์ขุมพลังทียนจื้อจุนของมหาพันภพในปัจจุบันดีขึ้นหรือถอยลง?!”

จอมปีศาจทุนเทียนก้าวออกไป คลื่นสีดำก็พวยพุ่งออกจากใต้ฝ่าเท้า

“ฟ้าดินวิบัติ!”

เขาคำราม พื้นดินก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างรวดเร็วพร้อมกับรัศมีปีศาจลุกฮือ ในเวลาไม่กี่อึดใจพื้นดินที่อยู่ในรัศมีหลายแสนลี้ก็กลายเป็นพื้นดินปีศาจ

ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงในวงรัศมีที่ไม่บริสุทธิ์ หากพวกเขาซึมซับเข้าไปในร่างกายละก็ คลื่นหลิงก็จะถูกกัดกร่อนจนค่อยๆ กลายเป็นร่างปีศาจ

หากไม่ใช่เพราะมีเทพจักรพรรดิอัคคีอยู่ที่นี้ ทุกคนก็จะถูกรัศมีปีศาจซึมซับเข้าร่างจนกลายเป็นร่างปีศาจและไม่มีทางจะหนี

เซียวเหยียนยิ้มกับภาพนี้ ก่อนที่จะเหยียดนิ้วเคาะลงไป

ฟู่ ฟู่!

เมื่อเขาแตะลงมหาสมุทรเพลิงก็ลุกโชติช่วงด้วยเปลวไฟงดงาม พวกมู่เฉินไม่เคยเห็นเปลวไฟเช่นนี้มาก่อน ทว่ากลับรู้สึกได้ว่าสิ่งนี้น่ากลัวขนาดไหน

ต่อให้เป็นจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนระดับเดียวกันก็ไม่กล้าสัมผัสเปลวไฟงดงามนั้น

ชี่ ชี่!

เปลวไฟงดงามกวาดออก แผดเผาพื้นดินสีดำได้ยินเสียงกรีดร้อง พื้นดินไหม้เกรียมทันที

ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจพื้นดินที่ถูกทำลายโดยจอมปีศาจทุนเทียนส่วนใหญ่ก็เผาผลาญโดยฝีมือของเซียวเหยียน

เมื่อจอมปีศาจทุนเทียนมองเห็นฉากนี้เปลือกตาก็กระตุกไม่หยุด เขาเคยต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายครั้งในอดีตที่ควบคุมเปลวเพลิงได้ ทว่าทุกคนก็ด้อยกว่าเทพจักรพรรดิอัคคีที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้

แม้พื้นดินปีศาจจะถูกทำลายไปเกินครึ่ง แต่ถึงกระนั้นจอมปีศาจทุนเทียนก็ไม่ได้ตื่นตระหนก เขาหายใจเข้าลึกๆ กระทืบเท้าอีกครั้ง

“คัมภีร์ปีศาจ หัตถ์เขมือบสวรรค์!”

ตู้ม!

พื้นดินรัศมีแสนลี้ที่ปนเปื้อนสั่นเทิ้มแตกสลาย รัศมีปีศาจนับหมื่นจั้งพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่มือใหญ่โตจะยื่นออกมาจากส่วนลึกพื้นดิน

มือเป็นสีดำสนิทเอิบอาบด้วยความชั่วร้ายไม่รู้จบปกคลุมไปทั่วขอบฟ้า ซึ่งใหญ่โตมโหฬาร กระทั่งแคว้นทั้งแคว้นก็ถูกทำลายได้ภายใต้ฝ่ามือนี้

แม้แต่ร่างเทห์สวรรค์ที่สูงหลายหมื่นจั้งก็มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับมือนี้ ดังนั้นขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังมีท่าทางเปลี่ยนแปลงรุนแรงเมื่อเห็นมือห่อลงมา

พวกเขามักจะถือตัวว่าเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในมหาพันภพ แต่ในเวลานี้พวกเขาตระหนักถึงช่องว่างระหว่างตนเองกับระดับเทียนจื้อจุนแล้ว

บริเวณที่มือใหญ่กวาดผ่านมิติแตกกระจาย กลายเป็นแถบมืดมน ทุกคนสังเกตเห็นปากยักษ์อยู่ในฝ่ามือ

ปากนั้นคล้ายกับหลุมดำที่กลืนกินทุกสรรพสิ่ง หากพวกเขาตกอยู่ในนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ยังตายคาที่

ความรู้สึกนั้นราวกับว่ามันสามารถกลืนกินทวีปเทียนหลัวทั้งหมดได้

จอมปีศาจทุนเทียนรู้ว่าตนเองไม่สามารถจัดการกับเทพจักรพรรดิอัคคีได้ด้วยวิธีการปกติ ดังนั้นโดยไม่คิดออมมือ เขาก็ซัดกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา

ต้องรู้ว่าตอนที่เขาบุกเข้ามาในมหาพันภพเมื่อในอดีต ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธ์จำนวนมากเท่าไรที่กลายเป็นเถ้าถ่านภายใต้กระบวนท่านี้

“พลังน่ากลัวอะไรอย่างนี้”

มู่เฉินสูดหายใจลึกๆ ขณะมองมือใหญ่โต เขารู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด พลังนี้เกินความเข้าใจของเขาจริงๆ

“จอมปีศาจทุนเทียนคนนี้เคี้ยวไม่ง่ายเลย ในอดีตมันจะต้องมีสถานะสูงส่งแม้แต่ในเผ่าปีศาจแน่นอน” มั่นถัวหลัวมาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ มู่เฉินขณะที่อธิบายด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“เทพจักรพรรดิอัคคีไหวใช่ไหม?” จิ่วโยวยื่นหน้าเข้ามากระซิบ ตอนนี้เทพจักรพรรดิอัคคีเป็นที่พึ่งของทุกคน ถ้าเขาล้มเหลวทุกคนที่นี่จะต้องตายกันหมด

มั่นถัวหลัวยังคงท่าทางสงบ นางเข้าใจถึงพลังของเทพจักรพรรดิอัคคีลึกซึ้งกว่ามู่เฉินและจิ่วโยว นางจึงส่ายหัว “จอมปีศาจทุนเทียนอาจต่อสู้กับเทพจักรพรรดิอัคคีได้หากอยู่จุดสุดยอดของตน แต่ตอนนี้เขาเทียบเคียงได้กับระดับเทียนจื้อจุนธรรมดาเท่านั้น”

มู่เฉินพยักหน้า จอมปีศาจทุนเทียนจะต้องน่ากลัวอย่างยิ่งยวดในจุดสูงสุด มิฉะนั้นคงไม่สามารถสู้กับจักรพรรดิฟ้าได้ เพราะถึงอย่างไรจักรพรรดิฟ้าก็ครอบครองวิชาสามพิสุทธิ์ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสามร่างซึ่งเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน แต่กระนั้นก็พ่ายแพ้ให้กับจอมปีศาจทุนเทียน ดังนั้นบอกได้เลยว่าจอมปีศาจทุนเทียนไม่ธรรมดาเลย

ขณะที่พวกเขาคุยกัน เซียวเหยียนก็เงยหน้าขึ้นมองมือใหญ่ การโจมตีที่อาจทำให้เกิดความหวาดกลัวกับกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มกลับไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย

“แม้ว่าแกจะไม่ได้อยู่ในจุดสุดยอดที่มี แต่ความแข็งแกร่งที่แสดงออกมาก็ทำให้ข้าประหลาดใจ ตอนนี้ข้ามองเห็นแล้วว่าแกสามารถเอาชนะจักรพรรดิฟ้าได้อย่างไร” เซียวเหยียนยิ้มขณะยื่นมือออกไปพร้อมกับบัวเพลิงหมุนคว้างอยู่ในฝ่ามือ

ดอกบัวงดงามและประณีตมากคล้ายกับชิ้นงานศิลปะ มีหลากหลายสีสัน ถ้าใครดูอย่างใกล้ชิดก็จะรู้ว่ากลีบแต่ละกลีบมีสีต่างกัน

สีเหล่านั้นไม่ใช่สีธรรมดา เฉพาะผู้ที่ทรงพลังเท่านั้นถึงจะสามารถสัมผัสได้ว่ากลีบแต่ละกลีบก่อจากเปลวไฟที่แตกต่างกัน

เปลวไฟเหล่านี้ล้วนไม่ใช่เปลวไฟธรรมดา พวกมันมีพลังทำลายล้างสูงเป็นพิเศษ แต่เมื่ออยู่ในมือของเซียวเหยียนเพลิงเหล่านั้นก็เชื่องผิดปกติ

เซียวเหยียนสะบัดนิ้ว ดอกบัวงดงามก็เคลื่อนออกมา มันไม่ได้ดูเคลื่อนไหวเร็ว แต่กลับเหมือนสามารถมองข้ามระยะห่าง พริบตาเดียวก็ไปปรากฏตรงหน้ามือปีศาจขนาดใหญ่แล้ว

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วดอกบัวดูเล็กกระจ้อยร่อยนัก

ทว่าดอกบัวนี้กลับทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรงบนใบหน้าจอมปีศาจทุนเทียนพร้อมกับความตกตะลึงพล่านในดวงตา หลังจากนั้นเขาก็ถอยกลับไปโดยไม่ลังเลใดๆ รัศมีปีศาจก่อตัวเป็นปราการหลายล้านปราการเบื้องหน้าเขา

ตู้ม!

ดอกบัวปะทะกับมือ ประกายไฟที่ไร้ขอบเขตก็แล่นแปลบปลาบ ทำให้รัศมีปีศาจระเหยเป็นไอขณะที่มิติบิดเบือนในเวลาเดียวกัน ภายใต้การโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวของเปลวเพลิงมือปีศาจก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ฉากนี้ทำให้ทุกคนตะลึง เซียวเหยียนสลายการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวของจอมปีศาจทุนเทียนได้อย่างง่ายดายขนาดนี้เชียวรึ?

ตู้ม ตู้ม!

มหาสมุทรเพลิงงดงามกวาดออกทำลายปราการจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ก่อนจะห่อหุ้มร่างจอมปีศาจทุนเทียนที่กำลังถอยหนีจ้าละหวั่น

ตู้ม!

ทันใดนั้นสวรรค์และโลกก็สั่นสะเทือน มิติที่จอมปีศาจทุนเทียนอยู่แตกละเอียดเป็นนับหมื่นนับแสนชิ้น ลบล้างรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากออกไปอย่างสมบูรณ์

เซียวเหยียนมองไปที่มิติแตกสลายก็คลี่ยิ้มบาง “กระบวนท่านี้ของข้าเรียกว่า…ดอกบัวเพลิงพุทธะ”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1187 เทพจักรพรรดิอัคคี-เซียวเหยียน!
เสียงหัวเราะเกียจคร้านดังออกมาจากความว่างเปล่า

ขณะที่เปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาปกคลุมสุสานจักรพรรดิฟ้า

อุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวเผาไหม้รัศมีปีศาจที่อยู่ภายในอย่างรวดเร็ว มังกรปีศาจทุกตัวที่แม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนยังปวดหัวในการจัดการก็ต่างส่งเสียงร้องโหยหวนขณะถูกเผาเป็นเถ้าธุลี

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนตกตะลึง ก่อนที่พวกเขาจะเงยหน้าขึ้นมองไปที่ความว่างเปล่าที่ถูกฉีกออกจากกันพร้อมกับเปลวไฟที่พวยพุ่งออกมา ช่างดูงดงามตระการตาและเป็นภัยคุกคามยิ่งนัก

ร่างเงาหนึ่งเยื้องย่างออกมาจากทะเลเพลิงอย่างช้าๆ มิติยังสั่นสะเทือนจากฝีเท้าราวกับว่าไม่อาจทนรับการมาถึงของเขา

เขาเป็นชายร่างสูงโปร่งสวมชุดดำ เผยรอยยิ้มขี้เกียจบนใบหน้า ทั่วร่างถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟงดงาม ฉายภาพเขาราวกับเทพอัคคีที่ทรงพลังจนไม่อาจบรรยายได้

ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวพื้นที่ทั้งหมดกำลังสั่นสะเทือนด้วยรัศมีปีศาจ แต่เมื่อเขาเผยตัวออกมาทุกคนก็รู้สึกได้ว่ารัศมีปีศาจกำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว

ทุกคนมองไปที่ชายฉกรรจ์ผู้นั้นด้วยความตกใจ เขาเป็นใครกันถึงสามารถระงับการดำรงอยู่ที่น่ากลัวอย่างราชันปีศาจได้?

ต้องรู้ว่าราชันปีศาจนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ในเวลานั้นแม้แต่จักรพรรดิฟ้ายังต้องสละชีวิตลง ดังนั้นคนคนนี้จะต้องอยู่ในอันดับต้นๆ แม้แต่ในหมู่ระดับนักรบราชันปีศาจด้วยกัน ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะเพิ่งหลุดออกมาจากผนึก แต่กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาก็ยังต้องหวาดกลัว

ทว่าชายคนนี้สามารถสกัดกระบวนท่าของราชันปีศาจได้ ซึ่งก็หมายความว่าเขาจะต้องเป็นยอดยุทธ์ไม่ธรรมดาในมหาพันภพแน่นอน

“เขาคือ…”

จอมยุทธ์หลายคนมองที่ชายที่มีเปลวเพลิงล้อมรอบตัวด้วยความตกใจ เมื่อความคิดตกตะกอนประกายแสงก็วูบไหว ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ขะ…เขาคือเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว!”

ในที่สุดก็มีบางคนจดจำชายผู้นี้ได้ ต่างอุทานด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง

“เทพจักรพรรดิอัคคี?!”

คลื่นความปั่นป่วนกวนตัวไปทั่ว ทุกคนตะลึง ใครๆ ก็รู้ว่าเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นตำนานมีชีวิต หนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ!

นอกจากนี้แคว้นหวู่จิ้งฮั่วที่เขาสถาปนายังขึ้นเป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในมหาพันภพภายในเวลาไม่กี่ร้อยปี ซึ่งไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเผ่าโบราณเลยสักนิด

ในมหาพันภพมีเพียงเทพจักรพรรดิสงครามแห่งแคว้นหวูและจอมยุทธ์อีกไม่กี่คนที่สามารถเทียบเคียงกับเทพจักรพรรดิอัคคีได้!

แม้จอมยุทธ์ที่นี่ล้วนแต่กุมอำนาจในทวีปเทียนหลัว แต่ก็ไม่มีอะไรเลยเมื่อเทียบกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว

ด้วยความแข็งแกร่งและรากฐานของแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว ต่อให้เทพจักรพรรดิอัคคีไม่เคลื่อนไหวเองก็สามารถเอาชนะขั้วอำนาจทั้งหมดในทวีปเทียนหลัวได้

จอมยุทธ์ในตำนานเช่นนี้ปกติไม่อาจเจอตัวได้เลย ต่อให้พวกเขาขอเข้าพบก็ไม่มีประตูให้เข้า แต่ตอนนี้เขากลับปรากฏตัวต่อหน้า นี่ไม่ทำให้ผู้คนตะลึงพรึงเพริดได้อย่างไร

มิหนำซ้ำยังปรากฏตัวในช่วงเวลาวิกฤตที่สุดเช่นนี้

ขณะที่ทุกคนตกตะลึง มู่เฉินก็มองไปที่ร่างเงานั้นด้วยความตกใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเทพจักรพรรดิอัคคีในตำนานจะมาที่นี่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้

“เขาคือเทพจักรพรรดิอัคคีเหรอ?”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเองขณะที่มองชายฉกรรจ์ในชุดดำ อีกฝ่ายดูขี้เกียจแต่กลับมีรัศมีที่ทำให้ผู้อื่นเคารพยำเกรง ความกดขี่สุดพรรณนาทำให้มิติยุบตัว ราวกับว่าต่อให้สวรรค์จะถล่ม เขาก็สามารถพลิกสถานการณ์ได้ด้วยตัวคนเดียว

นั่นคือความแข็งแกร่งที่แท้จริง

ยอดยุทธ์แท้จริงควรเป็นแบบเขา!

ที่ด้านหลังมู่เฉิน เมื่อเซียวเซียวเห็นร่างเงานั้น นางก็เบ้ปากอย่างไม่ชอบใจ ทว่าร่างกายซึ่งเกร็งเครียดก็ได้คลายตัวลง

“กรี๊ด นั่นคือท่านพ่อของพี่เซียวเซียว เทพจักรพรรดิอัคคีเหรอ? ว้าว ในที่สุดข้าก็ได้เห็นตัวจริงแล้ว!” หลินจิ้งจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง

เซียวเซียวจือปากอย่างหมั่นไส้ “ใช่สิ พ่อจอมเก๊กที่ชอบโผล่หัวมาในช่วงเวลาสำคัญเสมอ เดี๋ยวกลับไปข้าจะต้องฟ้องซะหน่อยแล้ว!”

“อะแฮ่ม…ลูกสาวที่รัก เจ้าชักไม่มีเหตุผลแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจมาสายนะ มันต้องใช้เวลาเพื่อหาตำแหน่งมิตินี้!” จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น มิติเบื้องหน้าหญิงสาวสามคนบิดเบือนก่อนที่เทพจักรพรรดิอัคคีจะปรากฏตัว ทว่าตอนนี้เขายักไหล่ไม่สนใจศักดิ์ศรีแห่งการเป็นยอดยุทธ์เอาเสียเลย

เซียวเซียวส่งเสียงขึ้นจมูกเมินหน้าหนี

เทพจักรพรรดิอัคคีลูบหัวนาง ก่อนจะทักทายจิ่วโยวและหลินจิ้ง ท่าทางอ่อนโยนนั้นทำให้เอาหญิงสาวสองคนอึ้งไปเลยทีเดียว

“ข้าจัดการเรื่องนี้ก่อน ครั้งนี้พวกเจ้าเล่นเอาซะใหญ่เลย”

เทพจักรพรรดิอัคคียิ้มก่อนที่จะหันเดินไปหามู่เฉิน เขามองพลางตบไหล่มู่เฉินด้วยรอยยิ้ม “เจ้าทำดีมาก เจ้าหนูสมกับเป็นลูกผู้ชาย”

มู่เฉินไม่คิดว่าจอมยุทธ์ทรงอิทธิพลเช่นนี้จะพูดกับเขาโดยไม่ถือตัว ทำเอาเขาทำตัวไม่ถูกจนต้องเกาหัวแกรกกราก “ไม่ว่าอย่างไรจะให้ตายหลังผู้หญิงก็ไม่ได้หรอกขอรับ”

เมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เขาก็จ้องมองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชมพลางพยักหน้า “แต่ข้าต้องขอขอบคุณสำหรับช่วยเหลือเซียวเซียว ข้าจะจดจำบุญคุณนี้ไว้”

ก่อนที่มู่เฉินจะทันได้ตอบ เขาก็ยิ้มพูดว่า “เอาล่ะ จากนี้ให้ข้ารับมือกับสถานการณ์นี้เอง”

มู่เฉินพยักหน้าถอยฉากหลบไปทันที การเผชิญหน้าในระดับนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาสามารถมีส่วนร่วมได้ด้วยขุมพลังในปัจจุบัน

ขณะที่มู่เฉินถอย เทพจักรพรรดิอัคคีก็ก้าวออกมา แรงกดดันที่มองเห็นได้ปกคลุมไปทั่วภูมิภาคนี้

การมาถึงของเทพจักรพรรดิอัคี ทำให้สีหน้าเย้ยหยันของนักรบราชันปีศาจจางหายไปอย่างสิ้นเชิงแทนที่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ชัดว่าเขารู้สึกได้ถึงอันตรายที่เล็ดลอดออกมาจากอีกฝ่ายซึ่งน่าตกตะลึงนัก ชายคนนี้ให้ความรู้สึกคุกคามยิ่งกว่าจักรพรรดิฟ้าเสียอีก

เขารู้สึกไม่เชื่อในหัวใจ ไม่คิดว่าปัจจุบันจะมีจอมยุทธ์เช่นนี้ในมหาพันภพและนี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเลย

“ไม่คิดเลยว่ามหาพันภพในตอนนั้นที่ต้องสูญเสียยอดยุทธ์ส่วนใหญ่ถึงจะอยู่รอดได้ ตอนนี้กลับมีคนอย่างเจ้าปรากฏ ช่างน่าเสียดายจริงๆ” ราชันปีศาจเอ่ยขึ้น ถ้าคนที่มาวันนี้เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดา เขาก็มั่นใจว่าจะหนีรอดไปได้ แต่ตอนนี้เขาไม่มีความมั่นใจเนื่องจากไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดของสภาพพร้อมรบ

เทพจักรพรรดิอัคคียิ้ม “ไม่รู้ว่าในหมู่นักรบราชันปีศาจเทียน-เฉวียน-โยวแกอยู่ระดับไหน”

นี่คือการจำแนกระดับของราชันในเผ่าปีศาจซึ่งคนธรรมดาในมหาพันภพไม่รู้

“ไม่คิดว่าแกจะรู้ข้อมูลเผ่าปีศาจต่างมิติมากพอสมควร” ราชันปีศาจแปลกใจไปเช่นกัน

เทพจักรพรรดิอัคคีสะบัดนิ้วทั้งสิบ เปลวไฟวูบไหวที่ปลายนิ้ว “ปีที่ผ่านๆ มานักรบราชันปีศาจไม่น้อยกว่าสิบคนที่ตายด้วยน้ำมือข้า แล้วข้าจะไม่รู้ได้ยังไง?”

คำพูดนี่ทำให้ทุกคนตกตะลึงพลางมองเขาด้วยความเคารพ ต้องรู้ว่านักรบราชันปีศาจทุกคนมีพลังเทียบเท่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน มิหนำซ้ำยังมีไม่น้อยกว่าสิบคนที่ตายด้วยน้ำมือของเทพจักรพรรดิอัคคี? ความสำเร็จนี้น่ากลัวแค่ไหนกัน

ราชันปีศาจหดม่านตาลง ขณะนี้เขารู้ว่าชายเบื้องหน้าเป็นศัตรูตัวฉกาจของเผ่าปีศาจต่างมิติ อันตรายยิ่งกว่าจักรพรรดิฟ้า

เขาหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาเปลี่ยนเป็นดำมืด “ข้าคือจอมปีศาจทุนเทียน”

สายตาเทพจักรพรรดิอัคคีวูบไหว จากนั้นก็ถอนหายใจ “อา ที่แท้ก็เป็นนักรบราชันปีศาจระดับเทียนสินะ มิน่าล่ะถึงสามารถสู้กับจักรพรรดิฟ้าได้”

แม้แต่ในหมู่นักรบราชันปีศาจ ระดับเทียนก็ถือเป็นสุดยอด

“แกล่ะเป็นใคร?” จอมปีศาจทุนเทียนพูดด้วยเสียงดุดันพร้อมกับรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากพลุ่งพล่านฉีกขาดมิติ พลังอันน่ากลัวแผ่ขยายออกไป

เทพจักรพรรดิอัคคียกมือขึ้น เปลวไฟงดงามควบแน่นเป็นรูปดอกบัวในมือ

เขาส่งยิ้มให้จอมปีศาจทุนเทียน ก่อนที่เสียงเรียบเฉยจะดังก้องไปทั่วฟ้าดิน

“เทพจักรพรรดิอัคคี—เซียวเหยียน”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1186 การฟื้นตัวของราชันปีศาจ
เคร้ง!

เสียงกระบี่ดังก้องระหว่างสวรรค์และโลก ทำให้เกิดคลื่นความผันผวนที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไป

ขณะเดียวกันแสงกระบี่แก้วใสก็กระจายออก ช่างดูอ่อนโยนและเหมือนจะไม่มีความสามารถในการทำลายล้างใดๆ ทว่าเมื่อแสงกระบี่เอิบอาบ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคนก็สามารถรู้สึกถึงความกลัวที่เพิ่มขึ้นจากส่วนลึกของหัวใจ

พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าถ้าตัวเองถูกแสงกระบี่กวาดเข้าใส่ก็จะถูกทำลายทันที

วัตถุชิ้นนี้ทรงพลังอะไรเพียงนี้

“ปะ…เป็นไปได้ยังไง?!”

ภาพนี้ทำเอาลู่หยวนตกตะลึงและอดพึมพำออกมาไม่ได้ ไม่ใช่กระบี่เกล็ดจักรพรรดิเป็นวัตถุที่มีเพียงจักรพรรดิฟ้าเท่านั้นที่สามารถดึงออกมาได้เรอะ? แล้วจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มทำได้อย่างไร?

แววตาของลู่หยวนเปลี่ยนไปเมื่อสังเกตเห็นเงาสีม่วงทองที่อยู่ด้านหลังมู่เฉิน ซึ่งน่าจะเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินฝึกฝน เขารู้สึกถึงรัศมีอันเป็นเอกลักษณ์ที่เปล่งออกมา

นั่นเป็นรัศมีอมตะ

ให้ความรู้สึกว่ากระทั่งมู่เฉินตาย แต่ร่างเทห์สวรรค์ก็ยังคงดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์

“นั่นคือร่างเทพสุริยะนิรันดร์รึ?!” ม่านตาของลู่หยวนแคบลง ในที่สุดก็จดจำร่างเทห์สวรรค์นั่นได้ นั่นเป็นเพราะสิ่งนี้คือความหวังของเขาที่มีต่อจาโหลหลัว แต่น่าเสียดายที่จาโหลหลัวพ่ายแพ้ในมือมู่เฉิน

ส่วนมู่เฉินก็ได้บรรลุเป้าหมายสำเร็จ

“ณ วังสวรรค์บรรพกาล จักรพรรดิฟ้าเคยกล่าวไว้ว่าผู้สืบทอดต้องครอบครองร่างเทพสุริยะนิรันดร์” มั่นถัวหลัวมองสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงรุนแรงของลู่หยวนก็พูดขึ้นอย่างเฉยเมย “นอกเหนือจากการยอมรับจากจักรพรรดิฟ้า เงื่อนไขในการดึงกระบี่เกล็ดจักรพรรดิออกมาอีกหนึ่งประการก็คือการได้รับการยอมรับจากอาวุธ ซึ่งก็คือร่างเทพสุริยะนิรันดร์”

“เนื่องจากไม่มีใครคนไหนในวังสวรรค์บรรพกาลสามารถฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ สิ่งนี้จึงค่อยๆ ถูกลืมเลือน คนที่เข้าร่วมกลางคันอย่างแกไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เป็นปกติ”

พูดถึงจุดนี้ มั่นถัวหลัวก็หัวเราะเยาะ นางยื่นมือออกมาจับบนอากาศ ลวดลายมืดมนก็พันรอบปากชั่วร้ายจนมันไม่สามารถแบ่งพลังออกมาโจมตี

“มู่เฉินลงมือ!”

ขณะเดียวกันเสียงคำรามของนางก็ดังขึ้นในโสตประสาทของมู่เฉิน

เมื่อได้ยินเสียงของมั่นถัวหลัว มู่เฉินก็จับกระบี่เกล็ดจักรพรรดิแน่น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานที่น่ากลัวในนั้น ทำให้แม้แต่พัดเทพสายลมก็ราวกับหิ่งห้อยโผบินเบื้องหน้าดวงจันทร์

แน่นอนว่าเขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะดึงพลังออกมาทั้งหมดโดยขุมพลังที่มีปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะจุดชนวนในร่างก็ตาม

แต่โชคดี…กระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงการตื่นขึ้นของราชันปีศาจ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้มู่เฉินควบคุม กระบี่สั่นสะเทือนแผดเสียงพุ่งสูงเสียดฟ้า

ฮึ่ม!

ลำแสงขนาดหมื่นจั้งนำพามู่เฉินทะยานออกไปด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็สัมผัสได้เพียงประกายแสงวูบไหวไปเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถมองตามวิถีของมันได้เลย

กระบี่เกล็ดจักรพรรดิปรากฏขึ้นเบื้องหน้าร่าง ‘จักรพรรดิฟ้า’ ในพริบตา จากนั้นก็เสือกแทงเข้าไปในร่าง ตั้งใจจะผนึกอีกครั้ง

ชี่!

ทว่าทันทีที่กระบี่แทงเข้าไป ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป เนื่องจากเขาพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ ‘จักรพรรดิฟ้า’ แต่เป็นลู่หยวน!

กระบี่แทงเข้าไปที่ในร่างลู่หยวน รัศมีกระบี่น่าสะพรึงพล่านออกมาทำให้ร่างลู่หยวนถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตกร้าว

แต่ที่ทำให้มู่เฉินตะลึงใจหวาดผวาก็คือใบหน้าของลู่หยวนที่แต่เดิมควรอยู่อีกทิศทางหนึ่งเต็มไปด้วยความไม่เชื่อและเจ็บปวด

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งนี้ด้วยความเต็มใจ

ถ้าไม่ใช่เขา หรือว่าจะเป็นราชันปีศาจรึ?!

ม่านตาของมู่เฉินหดลง จากนั้นเขาก็เห็นใบหน้าของมั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ เต็มไปด้วยความหวาดผวาในเวลานี้

ท่าทางราวกับว่าพวกเขาเห็นบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว

แปะ

ขณะที่ในใจมู่เฉินตีวนไม่หยุด ทันใดนั้นมือสีขาวซีดก็เอื้อมมาจากด้านหลังลู่หยวนแล้ววางลงบนไหล่

“ฮ่าๆ เจ้าทำได้ดีมาก” เสียงอ่อนโยนดังก้องจากด้านหลังลู่หยวน ร่าง ‘จักรพรรดิฟ้า’ ในชุดเขียวอมฟ้าก็ก้าวย่างออกมา!

ในขณะนี้ดวงตาเขาเปิดออกอย่างสมบูรณ์แล้ว รัศมีปีศาจสีดำที่ชั่วร้ายที่สุดในฟ้าดินแผ่ซ่านในดวงตา

ราชันปีศาจฟื้นคืนชีพแล้ว!

ลู่หยวนเอี้ยวคอกลับมามอง ‘จักรพรรดิฟ้า’ ด้วยความยากลำบาก ริมฝีปากขยับราวกับว่ากำลังร้องขอให้ช่วย รัศมีกระบี่ในร่างกำลังจะทำลายเขาออกจากโลกตลอดกาล

“วางใจเถอะ ข้าจะปล่อยให้ทาสที่บริการถึงใจต้องมาตายง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร” ร่างจักรพรรดิฟ้ายิ้ม ก่อนที่จะตบมือ รัศมีปีศาจไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมาจากมือเข้าสู่ร่างลู่หยวน กระจายรัศมีกระบี่ในร่างลู่หยวนจนหมดสิ้น

ทว่าแม้เขาจะช่วยลู่หยวนขับรัศมีกระบี่ออกไป แต่ร่างกายของลู่หยวนก็ถูกปีศาจครอบงำอย่างสมบูรณ์ ทั่วร่างถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายปีศาจชั่วร้าย รัศมีปีศาจที่เชี่ยวกรากทำให้ร่างทั้งหมดเปลี่ยนไป นอกจากนี้ลู่หยวนยังสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงในร่างกำลังเปลี่ยนไปเป็นรัศมีปีศาจที่ชั่วร้ายอย่างรวดเร็ว

ยามนี้ตัวเขาเกิดการถูกปฏิเสธจากฟ้าดิน ทำให้เขาไม่สามารถดูดกลืนคลื่นหลิงได้อีกต่อไป

เขาถูกพิจารณาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตนอกมหาพันภพแล้ว

เมื่อรับรู้การเปลี่ยนแปลงในร่างกาย แววตาของลู่หยวนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ก้มหัวคำนับให้อีกฝ่าย “ขอบคุณนายท่ายที่ทำให้ข้าเกิดใหม่!”

มู่เฉินถอนกระบี่ถอยกลับทันทีพร้อมกับใบหน้ามืดมนลง ไม่คิดว่าสุดท้ายราชันปีศาจก็ยังสามารถฟื้นคืนชีพได้ สถานการณ์ปัจจุบันเกินการควบคุมแล้ว

ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็ตึงเกร็ง จอมยุทธ์คนอื่นๆ ถึงกับฉายแววตื่นตระหนกบนใบหน้า คนตรงหน้าคือราชันปีศาจแห่งเผ่าปีศาจต่างมิตินะ!

กระทั่งจักรพรรดิฟ้าที่เป็นหนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพในตอนนั้นยังทำได้เพียงผนึกอีกฝ่ายไว้ ตอนนี้เมื่อมันถูกปล่อยออกมา ทุกคนที่นี่ยังไม่พอที่จะแงะขี้ฟันเลย

หลังจากที่เปลี่ยนร่างลู่หยวนให้กลายเป็นร่างปีศาจ ราชันปีศาจก็ยืดเอวพลางยิ้ม “จักรพรรดิฟ้าเป็นจอมยุทธ์พิเศษจริงๆ วิชาสามพิสุทธิ์น่าเกรงขามอย่างแท้จริง หากไม่ใช่โชคช่วย ข้าคงถูกมันฆ่าตายแล้ว”

ขณะพูดสายตาก็เบนไปยังฝูงชนอย่างพอใจ “แต่การเห็นอาหารสดมากมายตั้งแต่ฟื้นคืนชีพนี่มันมีความสุขจริงๆ”

“วิ่งเร็ว!”

จอมยุทธ์แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง ก่อนที่จะเร้าคลื่นหลิงเต็มพิกัดเร่งความเร็วจนถึงขีดสุด พยายามที่จะหลบหนีออกจากสุสานจักรพรรดิฟ้า

ทว่าราชันปีศาจก็เพียงยิ้มเยาะเย้ยพลางเปิดปาก รัศมีปีศาจครอบงำกวาดไปยังจอมยุทธ์ที่หลบหนี เปลี่ยนพวกเขาเป็นหมอกเลือดเนื้อ ก่อนที่จะสูบกินเข้าไป

“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ข้าจะคืนชีพได้ ดังนั้นขอข้ากินให้อิ่มก่อน” ราชันปีศาจหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เหยียดฝ่ามือออก ทันใดนั้นกระแสรัศมีปีศาจรุนแรงก็พวยพุ่งออกมาราวกับมังกรปีศาจ เริ่มกลืนกินจอมยุทธ์ที่หนีกันจ้าละหวั่น

ช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยความโกลาหลโดยสิ้นเชิง

กระทั่งมั่นถัวหลัวยังถูกพัวพันด้วยมังกรปีศาจหลายสิบตัว ต่อให้นางมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็สามารถป้องกันตัวเองได้เท่านั้น

ตู้ม!

มู่เฉินกวัดแกว่งกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถดึงพลังกระบี่ออกมาได้ แต่ก็ยังพึ่งพาเพื่อปกป้องตัวเองได้ ทว่าเขาก็ยังคงดูอยู่ในสภาพน่าสมเพช

ในความโกลาหลวุ่นวาย ราชันปีศาจก็ยิ้มตาหยีพลางโบกมือเป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่โบกมือก็จะมีร่างจอมยุทธ์ฉีกขาดและถูกกลืนกิน

หลังจากกินจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นต้นไปหลายคน เขาก็หันไปเห็นเซียวเซียว หลินจิ้งและจิ่วโยว ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา “สาวน้อยให้ข้าชิมหน่อยว่าเลือดเนื้อของเจ้าสดแค่ไหน”

เขายิ้มบางชี้นิ้วออกไป ทันใดนั้นรัศมีปีศาจก็แผ่ออกมาปกคลุมหญิงสาวทั้งสามคนเอาไว้

เผชิญหน้ากับการจู่โจมกะทันหัน หญิงสาวทั้งสามคนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง พบกับสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ พวกนางไม่มีกระทั่งโอกาสในการหลบหนี

วาบ!

แต่ทันใดนั้นร่างของมู่เฉินก็ทะยานเข้ามาพร้อมกับกระบี่เกล็ดจักรพรรดิกำแน่นในมือ บนกระบี่กระจายด้วยแสงสีทอง เขายืนจังก้าเบื้องหน้าหญิงสาวทั้งสามคน

ปัง!

รัศมีปีศาจกวาดเข้ามา เสื้อท่อนบนมู่เฉินกลายเป็นฝุ่นผงทันที มันยังทิ้งรอยลึกไว้บนร่างเขาราวกับใบมีดแหลมคม ถ้าไม่ได้เป็นเพราะแสงกระบี่ละก็ เขาถูกทำลายไม่เหลือหลอแล้ว

แต่กระนั้นร่างของเขาก็ยังสั่นเทิ้มรุนแรง ทำท่าจะล้มลงทุกขณะ ถ้าล้มลงเมื่อไรเขาจะต้องตายแน่นอน

ที่ข้างหลังเมื่อหญิงสาวสามคนเห็นสภาพของมู่เฉินก็สีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง

“มู่เฉิน!”

เสียงของพวกนางเต็มไปด้วยความกังวล

“ไป!”

ดวงตาของมู่เฉินแดงก่ำพลางส่งเสียงคำราม ยามนี้เขาไม่มีพลังงานมากพอ ได้แต่ให้หญิงสาวทั้งสามพยายามหนีไปขณะที่เขายังทนรับรัศมีปีศาจเอาไว้ได้

แม้เขาจะรู้ว่าไร้ประโยชน์ที่ทำ แต่ด้วยนิสัยเขาไม่มีทางมองหญิงทั้งสามต้องจบชีวิตต่อหน้าต่อตา ถึงพวกนางจะต้องตายก็ต้องหลังจากเขาจบชีวิตลงแล้ว

“ฮ่าๆ ช่างเป็นฉากที่น่าประทับใจ… ในเมื่อแกต้องการตายก่อน งั้นข้าสนองความต้องการให้เอง” ราชันปีศาจหัวเราะเบาๆ กับภาพเบื้องหน้าแล้วสะบัดนิ้ว ทันใดนั้นรัศมีปีศาจไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งออกมาตั้งใจจะฆ่ามู่เฉินให้สิ้นซาก

เผชิญหน้ากับรัศมีปีศาจนี้แม้แต่มู่เฉินก็เผยความสิ้นหวังบนใบหน้า หากสิ่งมีชีวิตระดับนี้สนใจเขาขึ้นมาเพียงเล็กน้อย เขาก็ต้องตายคาที่ทันที

ตู้ม ตู้ม!

รัศมีปีศาจล้นทะลักออกมา เปลี่ยนวิสัยทัศน์เขาจนมืดดำ

จะจบแบบนี้แล้วเหรอ?

ตู้ม ตู้ม!

ดวงตาของมู่เฉินหลุบลงจากรัศมีปีศาจ แต่ก่อนที่วิสัยทัศน์จะถูกแทนที่ด้วยความมืดตลอดกาล เปลวไฟเหนือล้ำก็ล้นทะลักออกมาจากมิติว่างเปล่า แผดเผารัศมีปีศาจ

ฟิ้ว!

เหมือนจะเป็นอุกกาบาตที่ห่อหุ้มไปด้วยเปลวไฟเจาะผ่านมิติตกลงมาที่เบื้องหน้ามู่เฉิน

เพลิงลุกโชติช่วง ในที่สุดมู่เฉินที่หลุบตาลงก็เห็นวัตถุเบื้องหน้าได้ชัดเจน นี่เป็นไม้บรรทัดสีดำขนาดใหญ่ปักลงบนพื้นดินซึ่งกำลังลุกไหม้ด้วยเปลวไฟ เผาผลาญรัศมีปีศาจทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเขา

ในเวลาเดียวกันเสียงหัวเราะอย่างเกียจคร้านก็ดังขึ้น

“เฮ้ แม้ว่าแกจะเป็นราชันปีศาจ แต่ก็มากลั่นแกล้งลูกสาวสุดที่รักของข้าแบบนี้ไม่ดีมั้ง?”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1185 ราชันปีศาจ? จักรพรรดิฟ้า?
เงียบ!

ทุกคนตกตะลึงไปแม้แต่จอมยุทธ์ชั้นสูงของทวีปเทียนหลัวก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

นั่นไม่ใช่จักรพรรดิฟ้าเหรอ? แต่ทำไมถึงกินเลือดเนื้อคน? นั่นไม่ใช่สิ่งที่จักรพรรดิฟ้าสมควรทำเลย!

“ฮ่าๆๆๆ !”

เมื่อเห็นสายตาหวาดผวานับไม่ถ้วน ลู่หยวนก็อดหัวเราะดังลั่นออกมาไม่ได้ ใบหน้าดูเหี้ยมเกรียมในขณะนี้ซึ่งทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัว

“ลู่หยวน แกทำอะไรลงไป?!” มีคนแผดเสียงคำรามลั่น สถานการณ์นี้ชัดว่าจักรพรรดิฟ้ากลืนกินเลือดเข้าไปก็เพราะลู่หยวน

ลู่หยวนเผยรอยยิ้มประหลาดตอบว่า “ข้าทำอะไรลงไปเหรอ? ข้าก็กำลังช่วยพวกแกชุบชีวิต ‘จักรพรรดิฟ้า’ ไง”

“ชุบชีวิตจักรพรรดิฟ้า?” ทุกคนอึ้งไป หรือว่าจักรพรรดิฟ้ายังไม่ตาย?

“นั่นไม่ใช่จักรพรรดิฟ้า!” ขณะที่ทุกคนกำลังงุนงง เสียงคำรามก็ดังขึ้น มั่นถัวหลัวก้าวออกมาพลางจ้องมองจักรพรรดิฟ้าเขม็ง

คนอื่นอาจไม่รู้สึกแต่นางบอกได้ว่านั่นไม่ใช่จักรพรรดิฟ้า แม้จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะก็ตาม!

“โอ้? เขาไม่ใช่จักรพรรดิฟ้า แล้วเขาคือใคร?” ลู่หยวนถาม

ใบหน้ามั่นถัวหลัวดูน่ากลัวลงเล็กน้อย นางจ้อมเขม็งไปที่ลู่หยวนพูดย้ำทีละคำ “ลู่หยวน ที่แท้แกก็อยู่ภายใต้การควบคุมของราชันปีศาจ”

“ราชันปีศาจ?!”

คำพูดของนางก่อให้เกิดคลื่นในหัวใจของผู้คน ทุกคนมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนที่จะมองลู่หยวนด้วยความหวาดผวา ราชันปีศาจที่รุกรานทวีปเทียนหลัวยังไม่ตายเรอะ?

ลู่หยวนอึ้งไปก่อนที่จะปรบมือพลางคลี่ยิ้ม “ไม่คิดว่าเจ้าจะเดาได้”

เผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ตราหน้าเขาว่าเป็นคนทรยศแห่งมหาพันภพ เขากลับยอมรับอย่างง่ายดาย

“ลู่หยวน แกรนหาที่ตายแล้ว!” จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายคนหนึ่งคำรามลั่น

“ลู่หยวน เมื่อไรที่ข่าวนี้แพร่งพรายออกไป แกและตำหนักเทพปีศาจจะกลายเป็นเถ้าถ่านทันที!”

ลู่หยวนยิ้มอ่อนตอบ “งั้นพวกแกก็ต้องส่งข่าวออกไปให้ได้ก่อนน่ะสิ”

สายตาของจอมยุทธ์ทั้งหลายมืดมนลง พวกเขานำวัตถุส่งสัญญาณต่างๆ ออกมาบดขยี้ วัตถุเหล่านี้สามารถส่งข้อมูลผ่านช่องมิติกลับไปสู่สำนักของตนเองได้

ทว่าใบหน้าของพวกเขาก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อขยี้ป้ายส่งสัญญาณ เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ว่าข้อมูลสลายหายไป ราวกับว่าไม่สามารถเล็ดลอดออกมาจากพื้นที่แห่งนี้ได้

พวกเขาเงยหน้าขึ้นทันควันและก็ต้องตกใจเมื่อเห็นม่านสีดำปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือสุสานจักรพรรดิฟ้า คล้ายกับปราการปิดสนิทบริเวณนี้ทั้งหมด

ปราการดังกล่าวดูบอบบาง แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ไม่สามารถสั่นไหวได้ ช่างชั่วร้ายอย่างยิ่ง มันกำลังกลืนกินคลื่นหลิงในสุสานจักรพรรดิฟ้าอย่างต่อเนื่อง

เผชิญกับสถานการณ์นี้ความโกลาหลก็พล่านไปในหมู่จอมยุทธ์

“รวมพลังช่วยกันฆ่าไอ้คนทรยศ!”

ทว่าจอมยุทธ์ชั้นแนวหน้าเหล่านี้ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา ทันทีที่พวกเขาเห็นว่าสถานการณ์เริ่มบานปลาย พวกเขาก็คำรามลั่น ร่างแสงแปดสายทะยานไปใส่ลู่หยวน

พวกเขาบอกได้เลยว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากฝีมือลู่หยวน ดังนั้นหากพวกเขาฆ่าลู่หยวนได้ก็จะสามารถออกจากสถานการณ์นี้ได้

การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายหนึ่งคนและขั้นต้นเจ็ดคน ต่อให้เป็นลู่หยวนก็ต้องตกอยู่ในอันตราย

ทว่าท่าทางของเขาไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยกับสถานการณ์นี้ รอยยิ้มเย้ยหยันกลับปรากฏบนใบหน้าเขาแทน

“ระวัง!”

มั่นถัวหลัวรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางรีบตะโกนเตือนทันที

ทว่าขณะที่เสียงของนางดังก้อง ร่างแสงทั้งแปดก็เข้าใกล้ลู่หยวนแล้ว ‘จักรพรรดิฟ้า’ ที่กลืนกินจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนเข้าไปก็ปรือตาขึ้น

นิ้วเคลื่อนไหว ทันใดนั้นเส้นแสงสีดำก็เหมือนรวมเข้าในมิติ

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ในเวลาเดียวกันมิติก็ฉีกออกเป็นริ้วๆ หมอกสีดำน่ากลัวปะทุออกมา จากนั้นก็กลายเป็นปากแปดปากที่น่ากลัว พุ่งกัดไปทางร่างแสงทั้งแปด

ปากเคลื่อนไหววูบวาบ มองดูราวกับว่าร่างแสงทั้งแปดพุ่งเข้าไปในปากเอง

กร๊อบ!

ปากขยับเคี้ยว เสียงแหลมและเลือดก็สาดกระเซ็นออกมา ก่อนที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นจะได้ตอบสนองร่างก็กลายเป็นชิ้นเนื้อและเลือด แม้แต่วิญญาณก็ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์

มีเฉพาะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายที่มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็ระเบิดแขนตัวเองเปลี่ยนให้กลายเป็นเลือดเนื้อพุ่งเข้าไปในปาก ขณะที่ร่างหลักถอยหนีออกมา

กร๊อบ กร๊อบ

จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเจ็ดคนถูกฆ่าตายทันทีจากฝีมือของ ‘จักรพรรดิฟ้า’ จากนั้นปากก็เปิดออก เลือดเนื้อพุ่งออกมา ก่อนที่จะถูกเขมือบเข้าไป

ขณะที่เขากินเลือดเนื้อทั้งหมดเข้าไปนั้น ร่างกายจักรพรรดิฟ้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย ริ้วพลังชีวิตเริ่มปรากฏบนร่างกาย

เห็นได้ชัดว่าเขากำลังค่อยๆ ฟื้นตัว!

“ทุกคนทำไมต้องพยายามอย่างไร้ประโยชน์ด้วยล่ะ? วันนี้พวกเจ้าจะกลายเป็นอาหาร ผลลัพธ์นี้ถูกกำหนดตั้งแต่ที่พวกเจ้าเดินทางเข้ามาที่นี่แล้ว” ลู่หยวนยิ้มบางเมื่อมองไปยังทุกคนที่ฉายสีหน้าหวาดผวา

ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด นางมองไปที่ ‘จักรพรรดิฟ้า’ พลางเอ่ยอย่างช้าๆ “มันคือราชันปีศาจนั่นใช่ไหม?”

ลู่หยวนพยักหน้ายิ้ม

“ข้าต้องขอบคุณพวกมันที่นำนายท่านออกจากการผนึกของกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่กล้าเข้าไปแตะต้อง เนื่องจากกระบี่จะสามารถสัมผัสพลังงานปีศาจในร่างข้าได้” ลู่หยวนยกมือขึ้น หมอกสีดำปรากฏบนฝ่ามือตามด้วยเสียงคำรามโหยหวน

“ที่แท้แกก็ติดเชื้อจากรัศมีปีศาจแล้วสินะ” มั่นถัวหลัวพยักหน้าพูดต่ออย่างเฉยเมย “มิน่าล่ะแกถึงลอบโจมตีข้า แกคงติดเชื้อตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”

ลู่หยวนยิ้มตาหยี “ไม่ถือว่าติดเชื้อหรอกมั้ง เพราะข้ายินยอมเอง พลังของนายท่านเกินกว่าจินตนาการของแก แม้แต่จักรพรรดิฟ้ายังต่ำต้อยกว่านายท่าน ไม่เช่นนั้นมันคงไม่ต้องสละทุกอย่างเพื่อผนึกนายท่านหรอก”

“แต่ถ้าผนึกยังคงอยู่ต่อ แม้แต่นายท่านก็จะถูกฆ่าตายจริงๆ ดังนั้นจึงต้องเกิดการเปิดวังสวรรค์บรรพกาลในครั้งนี้”

ดวงตาทุกคู่หดลง การเปิดวังโบราณในครั้งนี้เกิดจากลู่หยวนหรือ? วัตถุประสงค์ก็คือล่อลวงทุกคนให้มาเป็นอาหารของราชันปีศาจเพื่อให้หลุดพ้นจากผนึกและชุบชีวิต?

มั่นถัวหลัวเค้นเสียง “หยุดพูดให้ดูดีเถอะ ที่แกติดเชื้อก็คงเป็นเพราะมีจิตใจไม่ตั้งมั่น ทำให้ราชันปีศาจจับจุดอ่อนในใจได้ การตัดสินใจทั้งหมดในตอนนี้ของแกไม่ใช่ความต้องการของแกอีกต่อไป แต่ถูกควบคุมโดยผู้อื่นเหมือนเป็นหุ่นเชิด”

มุมปากของลู่หยวนกระตุก รอยยิ้มบนใบหน้าหุบลง สายตาจ้องมั่นถัวหลัวอย่างโหดเหี้ยม ริ้วรัศมีปีศาจพล่านในดวงตา

ทว่าเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหว เพียงแค่ยิ้มน่าขนลุกออกมา “แกก็พล่ามไปเถอะ เมื่อไรที่นายท่านฟื้นขึ้นมา ข้าจะให้แกสัมผัสกับความตายที่ดีกว่าอยู่!”

“กลัวว่าแกรอถึงเวลานั้นไม่ได้หรอก!”

มั่นถัวหลัวเย้ยหยัน จากนั้นม่านตาก็เหลือบมองมู่เฉิน ริมฝีปากนางขยับส่งเสียงเข้าไปในโสตประสาทของมู่เฉิน “ข้าจะสกัดมัน เจ้าไปแย่งกระบี่เกล็ดจักรพรรดิมาให้ได้ มีเพียงกระบี่เกล็ดจักรพรรดิที่สามารถหยุดยั้งราชันปีศาจไม่ให้ฟื้นขึ้นมาได้”

มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะกัดฟันพลางพยักหน้า

ฟิ้ว!

ทันใดนั้นมั่นถัวหลัวก็ทะยานออกไป พุ่งไปหาจักรพรรดิฟ้า

“การต่อสู้ที่ไร้จุดหมาย” ลู่หยวนล้อเลียน

ฮึ่ม

มิติสั่นสะเทือน ปากปีศาจฉีกเปิดออกพยายามกัดกินมั่นถัวหลัว ท่าทางเรียบง่ายแต่ช่างโหดร้ายเหลือเกิน เพราะได้เห็นตัวอย่างจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งเจ็ดคนไปแล้ว

ทว่ามั่นถัวหลัวแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์เหล่านั้นหลายขุม นางไม่ได้ตื่นตระหนก ตบฝ่ามือออกไป แสงสีดำพุ่งออกมาก่อตัวเป็นลวดลายดอกแมนดาลาขนาดใหญ่ตรงหน้า พันรอบปากปีศาจขัดขวางไม่ให้เปิด

“มู่เฉิน!”

จังหวะนั้นมั่นถัวหลัวก็คำรามออกมา

วาบ!

มู่เฉินเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสง เป้าหมายของเขาไม่ใช่จักรพรรดิฟ้าหรือลู่หยวน แต่เป็นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ!

เขาเร่งความเร็วจนถึงขีดสุด ปรากฏตัวต่อหน้ากระบี่เกล็จักรพรรดิในพริบตา

เมื่อมองฉากนี้ลู่หยวนก็เยาะเย้ย “มั่นถัวหลัว แกติดตามจักรพรรดิฟ้ามานานกว่าข้า แกลืมไปหรือไงว่ามีเพียงจักรพรรดิฟ้าเท่านั้นที่สามารถใช้กระบี่เกล็ดจักรพรรดิได้?”

พอมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็อึ้งไปวูบหนึ่ง แต่เวลานี้ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เขากัดฟันมือคว้ากระบี่แน่น แม้ว่าจะไม่ได้ผลก็ต้องลองสักตั้ง

มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะเหลือบมาหาลู่หยวนด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด “ก็เป็นเพราะข้าติดตามจักรพรรดิฟ้ามานานกว่าแกไง ข้าถึงรู้เงื่อนไขในการดึงกระบี่เกล็ดจักรพรรดิว่าคืออะไร”

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ดวงตาของลู่หยวนก็หดลงหันขวับไปมองมู่เฉิน

เวลานี้มู่เฉินคว้าด้ามกระบี่เกล็ดจักรพรรดิไว้แน่นพลางแผดเสียงคำรามลั่น ทันใดนั้นแสงสีทองมลังเมลืองไม่มีที่สิ้นสุดก็กวาดออกมา ก่อตัวเป็นเงาร่างสีม่วงทองสูงร้อยจั้งพร้อมกับรัศมีอมตะเอิบอาบออกมา

เมื่อภาพเงามหึมาปรากฏขึ้น แขนทั้งสองของมู่เฉินก็ใช้แรงถึงขีดสุด

เคร้ง!

เสียงกระบี่โบราณเปล่งก้องระหว่างสวรรค์และโลก ลำแสงกระบี่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1184 สถานการณ์เปลี่ยนแปลง
ยอดเขาพังทลายลง

เผยให้เห็นจัตุรัสขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวต่อหน้าทุกคน

โดยเฉพาะร่างเงาที่ยืนอหังการอยู่ใจกลางจัตุรัสซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคน

เขาเป็นชายสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอมเขียวพร้อมกับรูปลักษณ์ชวนตะลึง ร่างกายไว้สง่าแม้จะไม่เคลื่อนไหวแต่ก็มีแรงกดดันที่น่ากลัวเลือนรางเล็ดลอดออกมา

บริเวณที่เขายืนอยู่ราวกับเป็นมิติพิเศษ มิติส่วนนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา…

ทุกคนที่นี่มองไปยังร่างเงานั้น ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นหรือแม้แต่มั่นถัวหลัวที่เพิ่งจะบรรลุขั้นเต็ม พลังงานหลิงในร่างกายของพวกเขาก็สั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้ในเวลานี้

สำหรับจอมยุทธ์ที่อยู่ภายใต้ขอบเขตตี้จื้อจุน คลื่นหลิงในร่างกายก็ตีวนจนกระอักเลือดออกมา ก่อนที่พวกเขาจะเบนสายตาหนีไม่กล้ามองไปที่ร่างเงานั้นอีก

พวกเขาได้รับบาดเจ็บเพียงแค่มองดูการดำรงอยู่นั้น… นี่น่ากลัวแค่ไหนกัน?

นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่มั่นถัวหลัวในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้ ดังนั้น…จึงมีเพียงคำตอบหนึ่งเดียวที่เหมาะกับคำอธิบายตัวตนร่างเงานั้น…

ผู้ก่อตั้งวังสวรรค์บรรพกาล หนึ่งในสุดยอดจอมยุทธ์ในสมัยโบราณ—จักรพรรดิฟ้า!

สุสานจักรพรรดิฟ้าตกอยู่ในความเงียบเมื่อทุกคนมองไปยังร่างเงานั้น พวกเขารู้สึกตกตะลึงกับรัศมีที่ปล่อยออกมา

ความตกตะลึงนี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานก่อนที่พวกเขาจะค่อยๆ ฟื้นคืนสติ

“นะ…นั่นคือจักรพรรดิฟ้า!”

เสียงสั่นเครือดังก้องด้วยความคารวะและความโลภ

ทุกคนมาที่สุสานจักรพรรดิฟ้าก็เพื่อรับมรดกจากจักรพรรดิฟ้า

กล่าวให้ชัดก็คือคัมภีร์ระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าวิชาสามพิสุทธิ์!

ถ้าพวกเขาได้รับก็จะสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาพันภพในอนาคตและก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน

“นั่นคือจักรพรรดิฟ้าเหรอ?”

มู่เฉินตกตะลึงไปเช่นกันเมื่อมองไปที่ร่างนั้น ใครจะไปคิดว่าจักรพรรดิฟ้าที่ซ่อนอยู่จะเผยตัวออกมาจากการเผชิญหน้าระหว่างลู่หยวนและมั่นถัวหลัว

หญิงสาวทั้งสามคนที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เฉินก็มองไปที่ร่างนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น

วาบ! วาบ!

ความเงียบทั่วบริเวณพังทลายลง เนื่องจากหลายคนกลั้นใจไว้ไม่ได้แล้ว ไปปรากฏตัวขึ้นรอบๆ ภูเขา

ลู่หยวนก็ขยับเข้าใกล้หลังจากเหลือบไปมองมั่นถัวหลัว

มั่นถัวหลัวไม่ได้ขัดขวางอีกฝ่าย เพราะนางกำลังอึ้งไปขณะมองไปที่ร่างนั้นด้วยอารมณ์ซับซ้อนที่พลุ่งพล่านในดวงตา

นางถูกจักรพรรดิฟ้านำตัวกลับมา ในเวลานั้นนางทั้งยังเด็กและใกล้ตาย แต่จักรพรรดิฟ้ากลับช่วยฟูมฟัก หลังจากนั้นก็เลี้ยงดูให้อยู่ในวังสวรรค์บรรพกาล

ตอนที่จักรวรรดิปีศาจโจมตี นางก็คิดจะเข้าสู้รบเช่นกัน แต่กลับถูกผนึกไว้โดยจักรพรรดิฟ้าจึงหลีกเลี่ยงชะตากรรมความตายมาได้

ดังนั้นสำหรับนางจักรพรรดิฟ้าประหนึ่งบิดาผู้เลี้ยงดู แต่ตอนที่นางตื่นขึ้นอีกครั้งโลกทั้งใบก็เปลี่ยนไป

จักรพรรดิฟ้าหายไปพร้อมกับวังสวรรค์บรรพกาลถูกทำลายราบคาบ มิหนำซ้ำนางยังได้รับบาดเจ็บหนักจากการกระทำของลู่หยวนต้องหลบหนีส่งผลให้สูญเสียความทรงจำไป

แต่…ไม่ว่าอย่างไร นางไม่มีทางให้ลู่หยวนคนทรยศได้รับมรดกของจักรพรรดิฟ้าไปอย่างแน่นอน!

มั่นถัวหลัวกำหมัดแน่นพร้อมกับจิตสังหารกะพริบในดวงตาก่อนที่นางจะทะยานไปที่ภูเขา

มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ตามหลังไปติดๆ

ทุกคนรวมตัวกันรอบๆ ภูเขาและเมื่อเข้าใกล้ พวกเขาก็สังเกตเห็นสิ่งอื่นรอบตัวจักรพรรดิฟ้า

จักรพรรดิฟ้าถือกระบี่ยาวผลึกแก้วใส กระบี่ยาวดูเก่ามากราวกับเป็นแค่โครงกระบี่ที่ด้านและไม่สมบูรณ์ แต่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานที่น่ากลัวที่มาจากกระบี่เล่มนั้น

แสงเย็นที่สะท้อนจากกระบี่สามารถเฉือนมิติออกจากกันได้เลยทีเดียวซึ่งเป็นพลังที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

ตอนนี้กระบี่แทงลงไปที่พื้นซึ่งมีกะโหลกศีรษะสีดำผุพัง

เมื่อเห็นหัวกะโหลกสีดำ ทุกคนก็รู้สึกหนาวสั่นในใจ พวกเขารู้สึกถึงความชั่วร้ายที่ไม่อาจพรรณนาได้จากมัน

“กระบี่แก้วนั่น… หรือจะเป็นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิในตำนาน? ว่ากันว่ามีระดับสูงกว่าอาวุธมหสวรรค์เลยทีเดียว…”

“งั้นกะโหลกศีรษะนั้นก็เป็นของนักรบราชันปีศาจที่รุกรานทวีปเทียนหลัวเรอะ?”

“ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างสิ้นชีพในการต่อสู้ครั้งนั้น…”

“…”

ทุกคนมองไปที่ฉากนี้ขณะเสียงสนทนาดังกึกก้อง บางคนถึงกับจ้องมองด้วยสายตาคิดลงมือทำ

ไม่ว่าจะเป็นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิในตำนาน วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดวิชาสามพิสุทธิ์ หรือแม้แต่ศพจักรพรรดิฟ้า ล้วนเป็นสิ่งที่ล่อใจที่อาจทำให้ผู้คนสูญเสียสติได้

“ข้าขอแนะนำว่าอย่าเคลื่อนไหว เราไม่รู้ว่าเคยเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ถ้ามีใครไปกระตุ้นอะไรเข้า เราจะหนีกันไม่พ้น!” ขณะที่คนอื่นๆ ร้อนใจที่จะเคลื่อนไหว เสียงเย็นชาของมั่นถัวหลัวก็ดังก้อง

ทุกคนอึ้งและลังเล สถานที่แห่งนี้ผิดแผกอย่างแท้จริง ศพของจักรพรรดิฟ้าและกะโหลกศีรษะชั่วร้ายนั่นทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจแท้จริง

“เหอะ มั่นถัวหลัว อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดที่จะผูกขาดมรดกและกระบี่เกล็ดจักรพรรดิไว้?” ขณะที่ทุกคนกำลังลังเล เสียงเย้ยหยันก็ดังขึ้น

แต่ละคนมองไปที่ต้นกำเนิดของเสียงก็เห็นว่าเป็นลู่หยวนที่พูดออกมา

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ จอมยุทธ์บางคนก็ขมวดคิ้วมองไปที่มั่นถัวหลัวอย่างสงสัย นั่นเป็นเพราะวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังถูกล่อลวง

“ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แม้ว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จในการบรรลุขุมพลัง เจ้าก็ไม่ได้อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเพียงผู้เดียวในทวีปเทียนหลัว อย่าได้คิดอะไรเกินตัว” ในที่สุดก็มีคนพูดออกมา ผู้พูดมีภูมิหลังที่ยอดเยี่ยมบวกกับขั้วอำนาจของเขาก็มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แม้ว่าจอมยุทธ์ท่านนั้นจะไม่ได้มาที่สุสานจักรพรรดิฟ้า แต่เขาก็สามารถใช้วิธีพิเศษบางอย่างเรียกมาได้ ดังนั้นแม้ว่าคนอื่นจะกลัวมั่นถัวหลัว แต่เขาไม่กลัว

เมื่อเห็นว่ามีบางคนพูดออกมา การสนทนาก็แตกสลาย ชัดว่ามั่นถัวหลัวไม่สามารถหยุดยั้งทุกคนภายใต้การล่อลวงนี้

เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นปฏิกริยาของผู้คน ใบหน้าก็มืดครึ้มลง ก่อนที่นางจะพูดอะไรต่อก็ถูกมู่เฉินหยุดเอาไว้ เพราะนี่ไร้ประโยชน์ที่จะขัดขวางในสถานการณ์นี้ หากนางบังคับให้พวกเขาหยุดด้วยความรุนแรง อาจทำให้เกิดความโกรธแค้นหมู่ก็เป็นได้ แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ชั้นยอดจำนวนมากได้ บางคนก็มีภูมิหลังที่ไม่ด้อยกว่าพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือเลย

เมื่อลู่หยวนเห็นมั่นถัวหลัวเงียบไป รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปาก

วาบ!

สถานการณ์นี้ไม่ได้กินเวลานาน เสียงมวลลมอัดก็ดังกึกก้องทำลายความเงียบงันลง จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นหลายคนไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้ทะยานออกไปได้

พวกเขามีวัตถุประสงค์ชัดเจน ซึ่งไม่ใช่กระบี่เกล็ดจักรพรรดิ แต่เป็นศพของจักรพรรดิฟ้า

เนื่องจากตัวกระบี่ปักอยู่บนกะโหลกศีรษะชั่วร้าย ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาดึงออกมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาขอเข้าไปหาศพจักรพรรดิฟ้าก่อน ไม่แน่วิชาสามพิสุทธิ์อาจอยู่ที่ตัวจักรพรรดิฟ้าก็เป็นได้

จอมยุทธ์เหล่านั้นทะยานไปอย่างรวดเร็ว แต่คนอื่นๆ ที่มีสติมากกว่าก็ไม่ได้ขัดขวาง เพราะพวกเขาต้องการใช้จอมยุทธ์เหล่านี้เพื่อทดสอบ

คนเหล่านั้นปรากฏขึ้นข้างศพของจักรพรรดิฟ้าในพริบตา จากนั้นก็เอื้อมมือจับแล้วเตรียมพุ่งหนีจากไป

ร่างจักรพรรดิฟ้าผละจากกระบี่

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนั้นร่างกายก็เกร็งขึ้นด้วยความตื่นตัวเต็มที่

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อจอมยุทธ์คนอื่นเห็นฉากนี้ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจ ความโลภวูบไหวในดวงตา แต่ละคนพุ่งเข้าไปแย่งชิง

วาบ!

ทว่าจังหวะนั้นเองเงาเลือนรางก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นซัดฝ่ามือออกมา ดวงดาวระเบิดด้วยพลังงานที่น่ากลัวปะทุออกไปในมิติจนแตกเป็นเสี่ยงๆ

สะเก็ดชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันบนกำปั้นกระแทกบนหน้าอกของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นคนหนึ่ง

ปัง!

พริบตาเดียวร่างนั่นก็ระเบิดออกกลายเป็นกลุ่มเลือดโปรยปรายลงมาจากบนท้องฟ้า…

ปัง! ปัง!

เงานั้นยังคงเคลื่อนไหวสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นอีกสองคน หลังจากสังหารคนแรกเรียบร้อย

เมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนถูกฆ่าตาย หลายคนก็ฟื้นคืนสติจากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ใบหน้าพวกเขาเปลี่ยนแปลงรุนแรง พวกเขามองเงานั้นด้วยความตกตะลึงในดวงตา

เนื่องจากคนที่ลงมือก็คือลู่หยวน!

“ลู่หยวน แกทำอะไรน่ะ?!” หลายคนคำรามลั่น การกระทำของลู่หยวนคิดจะเป็นศัตรูกับทุกคนรึ?

แต่เผชิญหน้ากับสายตาของทุกคน ลู่หยวนกลับยิ้มกว้าง รอยยิ้มอำมหิตอย่างแท้จริง จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อกวักเลือดเนื้อที่ระเบิดบนท้องฟ้าเข้าด้วยกัน

เลือดเนื้อของสามจอมยุทธ์เคลื่อนไหว ขณะนั้นเองเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ร่างจักรพรรดิฟ้าเปิดปากกว้างกลืนเลือดเนื้อเหล่านั้นเข้าไป

ฉากนี้ทำให้ทุกคนสะท้านจับจิตขึ้นมา

นี่…เกิดอะไรขึ้น!

ยามนี้ทั้งสุสานตกอยู่ในความเงียบงัน

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1183 มั่นถัวหลัวที่สมบูรณ์แบบ
แสงมืดมิดปกคลุมภูมิภาคนี้

พร้อมกับความผันผวนที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงซึ่งทำให้แม้แต่เหล่าจอมยุทธ์ชั้นสูงที่นี่ก็มีท่าทางการแสดงออกที่เปลี่ยนไป

เนื่องจากคลื่นพลังนี้เป็นของระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม!

ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มคือระดับที่เข้าใกล้กับระดับเทียนจื้อจุนซึ่งเป็นการดำรงอยู่ของอำนาจสูงสุดอย่างแท้จริงแม้แต่ในมหาพันภพ!

ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสักคนในทวีปเทียนหลัว ดังนั้นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจึงเป็นบุคคลที่สุดของที่สุด ณ ทวีปแห่งนี้

พวกเขาต่างเป็นตัวแทนของขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดของทวีปเทียนหลัว แม้แต่ขั้วอำนาจชั้นยอดก็ยังหวาดกลัวพวกเขา แต่ตอนนี้กลับมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มถือกำเนิดขึ้นต่อหน้าพวกเขาแล้ว!

สามารถจินตนาการได้ว่าในอนาคตอาณาเขตกงเวทสวรรค์และพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือจะต้องมีสถานะที่สูงส่ง เนื่องจากพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม

จอมยุทธ์หลายคนถึงกับถอนหายใจด้วยสายตาซับซ้อน จากนั้นก็เบนสายตายินดีในความทุกข์จ้องมองที่ฮ่องเต้เซี่ยและลู่หยวน

ทั้งสองคนไม่คิดมาก่อนว่าหลังจากมั่นถัวหลัวหลอมรวมกับร่างหลักความแข็งแกร่งจะยกระดับขึ้นมากขนาดนี้ ถึงขั้นผ่านคอขวดบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้

เมื่อนาทีที่แล้วทุกคนยังรู้สึกว่ากองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือต้องจ่ายราคาแพงระยับเพื่อจัดการขั้วอำนาจทั้งสอง แต่สถานการณ์กลับตาลปัตรในพริบตา

แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสองคนจะผนึกกำลังกัน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม

เนื่องจากช่องว่างขุมพลังทั้งสองช่างทำให้คนรู้สึกสิ้นหวังนัก

มิฉะนั้นด้วยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายมากมายที่นี่ ทำไมพวกเขาถึงไม่สามารถสร้างความก้าวหน้าได้ต่อให้ผ่านไปหลายปี?

ประมุขทั้งห้าของพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือต่างตกตะลึงกับฉากนี้ ก่อนที่พวกเขาจะแลกเปลี่ยนสายตากัน หลิ่วเทียนเต้าประมุขตำหนักสุดนภาก็กระแอมไอขึ้นมาเบาๆ “ไม่คิดว่าท่านผู้นำของเราจะมีไม้เด็ดเช่นนี้ สายตาพวกเราไม่กว้างไกลเลย”

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็มองไปที่หลิ่วเทียนเต้าถามว่า “ก่อนหน้านี้ท่านประมุขหลิ่วคงอยากมอบตัวข้าไปมากสินะ?”

เขาและหลิ่วเทียนเต้าไม่กินเส้นกันมาตั้งแต่ในอดีต แม้ว่าจะมีการก่อตั้งพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือ ทั้งสองคนก็ได้แต่วางความขุ่นเคืองเอาไว้ก่อน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

หากจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มธรรมดาพูดในลักษณะนี้กับเขา หลิ่วเทียนเต้าคงระเบิดอารมณ์ไปแล้วแน่นอน แต่เมื่อพบปะกับมู่เฉิน เขาก็ไม่สามารถวางท่าทีใดๆ ได้ เพราะมู่เฉินและมั่นถัวหลัวมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน บางทีพวกเขาอาจจะยังคงมีความคิดบางอย่างตอนที่มั่นถัวหลัวมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่เนื่องจากตอนนี้นางทะลุไปขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว ความคิดของพวกเขาก็สลายไปอย่างสิ้นเชิง

นอกจากนี้พวกเขารู้ว่าเมื่อมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มในกลุ่มพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือสถานะของพวกเขาจะสูงขึ้นในทวีปเทียนหลัว

การได้รับการปกป้องจากจอมยุทธ์ระดับนี้ทำให้พวกเขาสามารถเดินเชิดหน้าในยุทธภพได้อย่างสบาย

ดังนั้นหากก่อนหน้านี้พวกเขารู้สึกเหมือนถูกบังคับให้เข้าร่วมพันธมิตรภูมิภาคเหนือ ตอนนี้พวกเขาก็รู้สึกโชคดีที่ได้เข้าร่วม

เพราะเหตุนี้หลิ่วเทียนเต้าจึงทำได้เพียงยิ้มเฝื่อนกับคำพูดของมู่เฉินและตัดสินใจทันทีว่าจะไม่สร้างความขุ่นเคืองอะไรต่อกันแล้ว

มู่เฉินไม่ได้ไล่จี้เมื่อเห็นท่าทีของหลิ่วเทียนเต้า เขามองไปที่เสาแสงมืดมิดที่ขยายออกไปประมาณหมื่นจั้งในช่วงระยะไม่กี่สิบลมหายใจสั้นๆ

เมื่อมองจากระยะไกลกิ่งก้านและใบของดอกไม้น่าหลงใหลก็ดูดุร้ายมากขึ้นหลายส่วน

ขณะนี้ดอกแมนดาลาโบราณน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ในยุคดึกดำบรรพ์เสียอีก

ดอกไม้แกว่งไปมาเบาๆ แสงสีดำเบ่งบานออกมาพร้อมกับเสียงฟ้าร้องครางกระหึ่ม มิติบิดเบี้ยวขณะที่สายฟ้าสีดำแล่นแปลบปลาบลงมาที่ดอกไม้น่าหลงใหล

ความผิดปกติของฟ้าดินดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง

ทันใดนั้นมหาสมุทรน่าสะพรึงกลัวของคลื่นหลิงก็ถูกครอบงำก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าไปในดอกไม้

เมื่อดอกไม้ดูดซับพลังงานหยดสุดท้ายก็หดกลับสู่ขนาดเดิมอย่างรวดเร็ว กลีบดอกแย้มบานลงมาเผยให้เห็นร่างเล็กกระทัดรัดเอาไว้

รูปลักษณ์ของมั่นถัวหลัวยังดูเหมือนเมื่อก่อนหน้า เด็กผู้หญิงอ่อนโยนตัวเล็ก แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้นม่านตาสีทองคำก็กลายเป็นสีดำ

สีดำนั้นคล้ายกับหลุมดำที่สามารถฉีกวิญญาณได้หากใครจ้องมองไปที่รูม่านตานั้นนานเกินไป

ชุดสีดำถักทอขึ้นบนร่างกายของมั่นถัวหลัว ขณะที่นางก้าวย่างออกมาจากเกสรดอกไม้ เมื่อนางเดินออกไปแล้วดอกแมนดาลาก็หดลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นดอกไม้สีดำอยู่ในมือนาง

นางอ้าปากกลืนกินดอกไม้เข้าไป ก่อนที่จะยืดเอวมองไปที่ฮ่องเต้เซี่ยและลู่หยวนด้วยดวงตามืดมนลึกซึ้ง

เมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองของมั่นถัวหลัว ฮ่องเต้เซี่ยและลู่หยวนก็ก้าวถอยหลังพร้อมกับความกลัวและความระมัดระวังพล่านในดวงตา แม้ในแง่ของรูปลักษณ์มีเพียงม่านตาของมั่นถัวหลัวเท่านั้นที่เปลี่ยนไป แต่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ว่ารัศมีของนางอันตรายกว่าแต่ก่อนหลายเท่า

“ฮ่องเต้เซี่ย เจ้ายังคิดจะเปิดสงครามอยู่ไหม?” มั่นถัวหลัวเหลือบมองฮ่องเต้เซี่ยพลางถามอย่างไม่แยแส

หลังจากรวมกับร่างหลักแล้ว นางก็ไม่กังวลที่ฮ่องเต้เซี่ยและลู่หยวนจะร่วมมือกันอีกต่อไป

ใบหน้าของฮ่องเต้เซี่ยเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าดูพร้อมกับสายตาวูบไหว เขาพยายามดิ้นรนเพื่อตัดสินใจในใจ หากมั่นถัวหลัวเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย เขาก็จะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้จบลง แต่ตอนนี้นางอยู่ในขั้นเต็มแล้วซึ่งไม่ใช่คนที่เขาสามารถเผชิญหน้าได้

การเป็นศัตรูกับจอมยุทธ์ระดับนี้อาจจะนำหายนะมาสู่แคว้นเซี่ย

เมื่อเทียบกับสิ่งนี้การสูญเสียรัชทายาทก็ไม่ได้อะไรเลย เพราะตัวเขายังมีลูกคนอื่นๆ และเขายังมีเวลาที่จะเลือกฝึกฝนรัชทายาทคนใหม่ได้

ดังนั้นหลังจากลังเลอยู่นาน ฮ่องเต้เซี่ยก็ก้าวถอยหลังพูดอย่างไม่แยแสว่า “ในเมื่อเจ้าก้าวข้ามไปแล้ว แคว้นเซี่ยของข้าก็จะยอมรับการสูญเสียนี้”

หลายคนมองไปที่ฮ่องเต้เซี่ยพลางแอบเดาะลิ้น ฮ่องเต้เซี่ยยอมกลืนความขุ่นเคืองลงท้องไปได้ช่างเป็นคนที่ใจไม้ไส้ระกำนัก ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมแคว้นเซี่ยถึงแข็งแกร่งขึ้นได้ในมือเขา

มั่นถัวหลัวดูนิ่งสงบกับการตอบสนองนี้ ตอนนี้ฮ่องเต้เซี่ยแค่ถูกบังคับให้อดทนต่อสิ่งนี้ แต่ตราบใดที่นางยังคงอยู่ในสถานภาพนี้ แคว้นเซี่ยก็ต้องกลืนความไม่พอใจนี้ลงไป

บางทีสถานการณ์อาจเปลี่ยนไปหากฮ่องเต้เซี่ยบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ชัดว่าวันเวลานั้นยังอีกยาวไกล

พลังที่ต้องการในการบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเกินกว่าจินตนาการของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายนัก

ดังนั้นนางจึงหันไปมองลู่หยวน แต่คราวนี้น้ำเสียงเย็นชาลงมาก

“ลู่หยวนถึงเวลาที่จะต้องยุติความแค้นแล้ว”

เสียงเยือกเย็นเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าหนาแน่น ชัดว่านางไม่คิดที่จะปล่อยลู่หยวนไปอีกแล้ว

สายตาของลู่หยวนมืดมนลงเช่นกัน เนื่องจากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามความหวัง ทว่าเขาไม่ได้ถอยหนีเหมือนฮ่องเต้เซี่ย

เนื่องจากเขารู้ว่าความแค้นระหว่างตนเองกับมั่นถัวหลัวจะยุติลงได้ก็ต่อเมื่อมีคนใดคนหนึ่งตาย ดังนั้นต่อให้เขาตั้งใจถอยมั่นถัวหลัวก็คงไม่ปล่อยเขาไปหรอก

ดังนั้นเขาจึงหายใจเข้าลึกๆ ก้าวออกไป

ตู้ม

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกมา จากนั้นก็เหวี่ยงหมัด

คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงรวมกันในหมัด กลายเป็นดาวมหึมาพุ่งเข้าหามั่นถัวหลัว

หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นธรรมดารับหมัดนี้ไปก็คงจะได้รับบาดเจ็บหนัก ทว่ามั่นถัวหลัวเพียงแค่เงยหน้าขึ้นและสะบัดนิ้วเบาๆ

ปัง!

ดาวดวงมหึมากระเด็นออกไปชนเข้ากับภูเขาที่ลอยอยู่กลางอากาศจนกลายเป็นเถ้าถ่านทันที

หลังจากดีดการโจมตีออกไป มั่นถัวหลัวก็พูดเบาๆ ว่า “ถ้านั่นเป็นทั้งหมดที่แกมีก็รับความตายวันนี้ซะ”

ก่อนที่นางจะพูดจบ หัวใจของมั่นถัวหลัวก็สั่นสะท้านและหันกลับมามองไปที่ไกลด้วยความตกใจ

ขณะเดียวกันจอมยุทธ์ชั้นสูงคนอื่นๆ และพวกมู่เฉินก็รู้สึกได้เช่นกัน สายตาเบนมองไปทันที

ภูเขาลอยที่กลายเป็นฝุ่น เผยให้เห็นภายในเป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ที่มีร่างเงายืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ พร้อมกับรัศมีที่ไม่อาจจินตนาการได้แผ่ออกมา

แม้แต่มั่นถัวหลัวที่เพิ่งจะบรรลุตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังอ่อนแอต่อหน้ารัศมีนี้

สายตาของมั่นถัวหลัวจ้องเขม็งไปที่ร่างนั้นด้วยความไม่เชื่อบนใบหน้าพลางพึมพำออกมา

“นั่นจักรพรรดิฟ้า?!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1182 ขั้นเต็ม
“ดูเหมือนว่า…เจ้าฆ่าจาโหลหลัวไปแล้วสินะ”

น้ำเสียงอ่อนโยนดังกึกก้องอย่างไร้อารมณ์ แต่มู่เฉินกลับรู้สึกว่ารูขุมขนทั่วร่างลุกชันภายใต้สายตาอ่อนโยนนั่น อันตรายที่ไม่อาจอธิบายได้ห่อหุ้มร่างเขาไว้

มู่เฉินตั้งระวังขณะเงยหน้าขึ้นมองไปที่ร่างเงาซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตของมั่นถัวหลัว ว่ากันว่าชายคนนี้เป็นพาหนะของจักรพรรดิฟ้า

เขาดูสง่างามพร้อมกับรูปลักษณ์น่าดึงดูดราวกับว่าถูกแกะสลักอย่างมีศิลปะ ดวงตาเป็นสีดำราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว

ชายผู้นี้ก็คือจักรพรรดิปีศาจแห่งตำหนักเทพปีศาจ—ลู่หยวน!

ขณะที่มู่เฉินเกร็งร่างกายเมื่อมองไปที่ลู่หยวน ร่างเล็กกระทัดรัดที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็ปิดกั้นรัศมีของลู่หยวนเอาไว้

เมื่อเห็นว่ามั่นถัวหลัวให้การปกป้องต่อมู่เฉิน ลู่หยวนก็ยิ้มอ่อน “วางใจเถอะ จาโหลหลัวสู้ไม่ได้เอง ต่อให้เป็นข้าก็กล่าวว่าอะไรไม่ได้”

ขณะที่พูดเขาก็เบนสายตาไปหามั่นถัวหลัว “แต่มั่นถัวหลัว พวกเราไม่ได้พบกันมาหลายปี ทำไมต้องทำให้บรรยากาศตึงเครียดตั้งแต่เจอกันแบบนี้ด้วยล่ะ?”

ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเย็นชาลงก่อนจะพูดเบาๆ “แกเคยเป็นพาหนะของท่านจักรพรรดิฟ้า แต่ดันขี้ขึ้นสมองด้วยความกลัวในสงครามครั้งนั้น แกทำให้จักรพรรดิฟ้าผู้สง่างามต้องอับอายขายขี้หน้า”

ขณะที่มั่นถัวหลัวพูด ทุกคนก็มองไปที่ลู่หยวนด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากไม่มีใครคาดคิดว่าลู่หยวนจะมีตัวตนนี้เช่นกัน

นอกจากนี้ลู่หยวนยังกลัวหัวหดจากการที่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติโจมตีวังสวรรค์บรรพกาล? นั่นเป็นเรื่องขี้ขลาดตาขาวจริงๆ

คำพูดของมั่นถัวหลัวแทงใจลู่หยวนอย่างที่สุด ทำให้ใบหน้าที่อบอุ่นอ่อนโยนของเขาแข็งค้าง

สีหน้าเขาค่อยๆ หดกลับจากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “เจ้าดอกแมนดาลาดูท่าเจ้าจะรนหาที่ตายจริงๆ แกเคยหนีไปได้ในอดีต แต่ครั้งนี้แกจะไม่โชคดีแล้ว”

ตู้ม!

คลื่นหลิงที่น่ากลัวระเบิดออกมาจากร่างกายของลู่หยวน ทำให้มิติโดยรอบแตกเป็นเสี่ยงๆ เศษชิ้นส่วนมิตินับไม่ถ้วนหมุนคว้างรอบตัวเขา

จังหวะที่เขาปลดปล่อยคลื่นอันทรงพลังนั้นหลายคนก็เปลี่ยนสีหน้าไป เนื่องจากนั่นเป็นคลื่นหลิงระดับขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแท้จริง

“ฮ่องเต้เซี่ย เหมือนเราจะสามารถร่วมมือกันก่อนได้นะ…” ลู่หยวนมองไปที่ฮ่องเต้เซี่ยพลางยิ้ม

หากแคว้นเซี่ยและตำหนักเทพปีศาจร่วมมือกัน แม้แต่กองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็ไม่สามารถหยุดยั้งพวกเขาได้

ใบหน้าของฮ่องเต้เซี่ยดูเคร่งเครียดลง เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันมิตรลึกซึ้งกับลู่หยวน แต่ตอนนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปฏิเสธคำชวนของอีกฝ่าย เขาปรายตามองไปที่มั่นถัวหลัวอย่างเย็นชาพูดว่า “ส่งไอ้เด็กเวรนั่นมาให้ข้า ไม่งั้นเจ้าจะต้องแบกรับผลกรรมที่จะตามมา”

ประมุขทั้งห้าของกองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือมีสีหน้าน่าเกลียด พวกเขาไม่คิดว่ามั่นถัวหลัวจะมีศัตรูคู่อาฆาตอย่างจักรพรรดิปีศาจลู่หยวนด้วย

หากตำหนักเทพปีศาจและแคว้นเซี่ยร่วมมือกัน การรวมตัวของพวกเขาก็จะไปไกลเกินกว่ากองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือของพวกเขาแน่ เพราะอีกฝ่ายมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายถึงสองคน ดังนั้นในการต่อสู้หนึ่งในนั้นจะประมือกับมั่นถัวหลัว ขณะที่อีกหนึ่งคนกวาดล้างที่เหลือ

พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่มั่นถัวหลัว ตามความคิดพวกเขาการมอบมู่เฉินให้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะการทำสงครามกับขั้วอำนาจชั้นยอดทั้งสองเพื่อจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มคนเดียวเป็นเรื่องไม่ฉลาดเอาเสียเลย

ภายใต้ความกังวลใจของทุกคน ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด นางมองไปที่ฮ่องเต้เซี่ยอย่างเรียบเฉย “อย่าฝัน หากเจ้าจะเริ่มทำสงครามก็เอาเลย”

เมื่อประมุขทั้งห้าของพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือได้ยินคำพูดของนาง ใบหน้าของพวกเขาก็ขมขื่น พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมมั่นถัวหลัวถึงต้องปกป้องมู่เฉินขนาดนี้ ชายหนุ่มคนนี้เป็นจอมยุทธ์ตัวจ้อยเท่านั้น

“ฮ่าๆ ดี! ดี!”

ฮ่องเต้เซี่ยหัวเราะด้วยความโกรธเนื่องจากเขาไม่คิดว่ามั่นถัวหลัวจะดื้อดึงปานนี้ นางยอมต่อสู้กับสองขุมกำลังระดับสูงสุดเพื่อปกป้องมู่เฉิน

ถ้าเขาปล่อยเรื่องนี้ไป ชื่อเสียงของแคว้นเซี่ยก็จะต้องป่นปี้มาก เพราะขนาดองค์ชายใหญ่รัชทายาทยังถูกสังหาร หากพวกเขาไม่สามารถแก้แค้นได้ ใครจะกล้าเข้าร่วมกับแคว้นเซี่ยในอนาคตอีก?

“ในเมื่อแกดื้อดึงมาก งั้นข้าคนนี้ก็ขอดูด้วยตัวเองว่ากองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือของแกจะมีความมั่นใจเพียงใด” ฮ่องเต้เซี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มข้นก่อนที่พลังงานหลิงรอบตัวจะทวีคูณความรุนแรงเพิ่มขึ้น

“เฮ้ ทุกอย่างยังดีใช่ไหม?”

หลินจิ้งที่อยู่ด้านหลังมู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถาม เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันอาณาเขตกงเวทสวรรค์อยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ ไม่ว่านางจะมองอย่างไรก็ตาม

“วางใจเถอะ”

มู่เฉินยิ้มบาง จากนั้นก็มองไปที่มั่นถัวหลัวที่หันมามองเขาในขณะนี้

มู่เฉินพยักหน้าพลางสะบัดมือออกไป แสงมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุดเบ่งบานก่อร่างเป็นดอกแมนดาลาโบราณที่น่าหลงใหล กลืนกินกระทั่งแสงสว่าง

การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของดอกแมนดาลาโบราณดึงดูดความตกตะลึงของทุกคนทันที ก่อนที่พวกเขาจะเปลี่ยนสีหน้าไปรุนแรงจากการรู้สึกถึงความผันผวนที่น่ากลัวของดอกไม้

“แก!”

ม่านตาของลู่หยวนแคบลงขณะที่อุทาน “แกนำร่างหลักกลับมาได้เรอะ!”

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขาส่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นมาเพื่อขัดขวางมั่นถัวหลัวที่จะได้รับร่างหลักคืนไป แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็หยุดนางไม่ได้เหรอ?

“นะ…นั่นคือดอกแมนดาลาโบราณ!”

จอมยุทธ์คนอื่นๆ เมื่อเห็นดอกไม้ก็จำได้เช่นกัน พวกเขาอุทานทันที “ผู้นำกองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือคือดอกแมนดาลาโบราณเรอะ?!”

มั่นถัวหลัวเพิกเฉยต่อสายตาตกตะลึงโดยรอบ นางมองไปที่ดอกไม้น่าหลงใหลด้วยความตื่นเต้นฉายบนใบหน้า

นางกอบดอกไม้อย่างระมัดระวัง ดอกไม้ไม่ปฏิเสธสัมผัสของนางสักนิด มิหนำซ้ำรัศมีมันวาวกลับสว่างขึ้นด้วย

“ขอบใจนะ”

มั่นถัวหลัวเอี้ยวหน้ากล่าวขอบคุณมู่เฉินอย่างจริงจัง

แม้ว่านางจะไม่ได้ร่วมเดินทางกับมู่เฉิน แต่นางก็รู้ว่ายากแค่ไหนที่เขาจะได้รับร่างหลักของนางมา

“ถ้าเจ้าไม่บรรลุขุมพลัง เจ้าก็จะไม่สามารถปกป้องข้าด้วยความสามารถในการสร้างปัญหาของข้า” มู่เฉินส่ายหน้าพลางยิ้ม เขายั่วยุฮ่องเต้เซี่ยเข้าให้แล้ว ถ้าเขาไม่ทำอะไรก็จะนำพรรคพวกตกอยู่ในอันตราย

ในเมื่อเขาก่อปัญหาขึ้นแล้ว เขาก็ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อชดเชย

มั่นถัวหลัวยิ้มหมานก่อนที่จะเยื้องย่างไปยังดอกไม้น่าหลงใหลซึ่งเบ่งบานปล่อยให้นางมุ่งหน้าไปยังเกสรของดอกไม้

“หยุดนาง!”

ลู่หยวนคำราม

ตู้ม!

เขาและฮ่องเต้เซี่ยเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน กระแสพลังงานสองสายพุ่งเข้าหาดอกแมนดาลาโบราณ

เผชิญหน้ากับการโจมตีของพวกเขา กลีบดอกแมนดาลาก็แผ่กระจายออกไปพร้อมกับแสงมืดมิดกลืนกินแสงสว่างทั้งปวง ทันใดนั้นการระเบิดของคลื่นหลิงสองสายก็ถูกลบออกไปอย่างเงียบๆ

เมื่อมองไปที่แสงสีดำพร่างพราว ใบหน้าของลู่หยวนและฮ่องเต้เซี่ยก็เปลี่ยนไปอย่างไม่น่าดู

“นั่นมันแสงสีดำมืดมนของดอกแมนดาลาโบราณ ว่ากันว่าสามารถสลายการโจมตีทั้งหมด ช่างเผด็จการยิ่งนัก” เหล่าจอมยุทธ์ชั้นสูงต่างอุทาน เพราะดอกแมนดาลาโบราณหายากเกินไป ยิ่งถ้าต้องเพาะบ่มถึงระดับนี้ก็ยิ่งหายากขึ้นอีก

“สามารถขัดขวางการโจมตีของจอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสองคนได้อย่างง่ายดาย ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์น่าเกรงขามอย่างแท้จริง ดูเหมือนว่าจะมีจอมยุทธ์ทรงพลังอีกคนเพิ่มขึ้นในทวีปเทียนหลัวในอนาคตแน่นอน”

ประมุขทั้งห้าก็พากันตกตะลึงกับฉากนี้เช่นกัน พวกเขาคิดไม่ถึงว่ามั่นถัวหลัวซึ่งเคยอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเมื่อไม่กี่ปีก่อนจะมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันเพียงนี้

แสงสีดำมืดมนเบ่งบานอย่างต่อเนื่องจากดอกแมนดาลาโบราณ ขณะที่ร่างมั่นถัวหลัวเริ่มจางหายไปรวมเข้ากับดอกไม้

ฮึ่ม!

ทันทีที่ทั้งสองรวมเข้ากัน แสงมืดมนหลายแสนจั้งก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ขณะเดียวกันคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวก็ครอบงำออกไปพร้อมกับแรงกดดันที่ไม่อาจบรรยาย

ดอกไม้ที่น่าหลงใหลเบ่งบานราวกับว่ากำลังเริงระบำ ทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือนเบาๆ จากการเคลื่อนไหวพร้อมกับบทสวดภาษาสันสกฤตเปล่งออกมา

ทุกคนรู้สึกได้ถึงความกดดัน ใบหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงพร้อมกับความตกตะลึงสุดขีดผุดขึ้นในใจ

เนื่องจากแรงกดดันของคลื่นหลิง…ได้ทะลุขอบเขตระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเรียบร้อย!

นั่นคือ…

ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1181 การมาถึงของจอมยุทธ์ชั้นสูง
สุสานจักรพรรดิฟ้า

มิติอยู่ในสภาพเป็นเสี่ยงๆ โดยมีสะเก็ดชิ้นส่วนมิติจำนวนนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นเป็นกระแสมิติที่สับสนวุ่นวาย ขณะที่ส่งเสียงหวีดหวิวออกไปในสภาพแวดล้อม

แน่นอนว่าปัจจัยที่น่ากลัวที่สุดก็ยังเป็นแรงกดดันน่าสะพรึงสองสายที่คลุมเครือของสถานที่แห่งนี้

“ไปกันเถอะ”

มู่เฉินก็อึ้งไปกับรัศมีที่น่ากลัวนี้เช่นกัน แต่คนอย่างเขาก็ไม่กลัว เขาไตร่ตรองสั้นๆ ก่อนจะมองไปยังหญิงสาวทั้งสาม ในเมื่อพวกเขามาไกลขนาดนี้แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะหันหลังกลับแบบคนขี้แพ้เด็ดขาด

หญิงสาวทั้งสามก็ไม่ได้คัดค้าน ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางอย่างระมัดระวังพุ่งไปในสุสาน

ทันทีที่ก้าวเข้ามาพวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันน่ากลัวที่ห่อหุ้ม ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายเฉื่อยชาลง

ทว่าพวกเขาล้วนไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นจึงหมุนเวียนพลังงานเพื่อต้านทานแรงกดดันทันที ก่อนที่จะเงยหน้ามองไปรอบๆ

ซึ่งนั่นทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้านอีกครั้ง

มียอดเขาสูงตระหง่านจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่บนผืนฟ้า ผืนดินถูกปกคลุมไปด้วยเหวแตกลึกที่ดูคล้ายกับมังกรสีดำขนาดมหึมา

“มิติที่นี่แตกสลายไปแล้ว… แม้แต่กฎเกี่ยวกับพื้นที่เชิงมิติก็ผิดปกติ” ใบหน้าของเซียวเซียวเคร่งเครียดลงหลายส่วน สงครามแบบไหนกันที่สามารถทำให้พื้นที่เสียหายจนไม่อาจฟื้นฟูแม้จะผ่านไปนับหมื่นปี?

ใบหน้ามู่เฉินก็เคร่งขรึมลง แต่ก่อนที่จะพูดก็ต้องหันไปทางอื่น ริ้วแสงพุ่งเข้ามาใกล้ก่อนที่จะกลายเป็นร่างเงาร่อนลงในสุสานจักรพรรดิฟ้า

ชัดว่าจอมยุทธ์จากขั้วอำนาจต่างๆ ก็เริ่มเร่งรุดมาถึงสุสานจักรพรรดิฟ้าแล้ว

ในบรรดาคนเหล่านั้นมู่เฉินได้เห็นคนหน้าคุ้นเซี่ยหงจากแคว้นเซี่ย อีกฝ่ายกำลังมองมาที่มู่เฉินด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย

“เฮ้ มู่เฉินก่อนหน้านี้แกโอหังนักไม่ใช่เหรอ!” เซี่ยหงมองไปที่มู่เฉินก็เผยรอยยิ้มน่าขนลุก

บางทีเขาอาจจะปกปิดและซ่อนตัวถ้าได้พบกับมู่เฉินก่อนหน้านี้ แต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างออกไปเนื่องจากพวกเขาเข้ามาในสุสานจักรพรรดิฟ้าแล้ว ในสายตาของเขาเวลานี้มู่เฉินคล้ายกับคนตาย

เพราะเมื่อมาถึงที่นี่ เขาก็สามารถเรียกบิดามาได้ทุกเมื่อ

ทว่ามู่เฉินกลับเมินเฉยต่อสายตาของเซี่ยหง เขาได้เตรียมการพอเพียงสำหรับฮ่องเต้เซี่ยแล้ว

แต่ใบหน้าของเซี่ยหงกลับบิดเบี้ยวเมื่อถูกมู่เฉินเมินใส่ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นป่าเถื่อนก่อนที่จะหยิบป้ายหยกออกมา

“มู่เฉิน ข้าจะทำให้แกคุกเข่าลงขอร้อง!”

เซี่ยหงคำรามขณะที่บดขยี้ป้ายหยก

ตู้ม!

คลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกมาเมื่อป้ายถูกทำลาย พลังงานรวมตัวฉีกขาดผ่านมิติก่อนที่จะกลายเป็นช่องทาง

จากนั้นภาพเงาสง่างามก็เยื้องย่างออกมาอย่างช้าๆ

เมื่อภาพเงานั้นเดินออกมาคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็กวาดตัวออกไป เนินเขาที่ลอยอยู่โดยรอบกลายเป็นเถ้าถ่านจากมวลคลื่นพลังงานขนาดใหญ่

“นี่คือสุสานจักรพรรดิฟ้าเหรอ…เซี่ยหงเจ้าทำได้ดีมาก” เมื่อภาพเงาสง่างามมาถึงก็มองไปรอบๆ ก่อนที่จะเอ่ยชมเชย

“เซี่ยหยู่ล่ะ?”

ฮ่องเต้เซี่ยตั้งคำถาม เขาไม่รู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานของเซี่ยหยู่เลย

เซี่ยหงมองไปที่มู่เฉินอย่างโกรธแค้น “ท่านพ่อ พี่ชายถูกมันสังหาร!”

ร่างฮ่องเต้เซี่ยหยุดชะงักก่อนจะค่อยๆ เหลียวไปมองมู่เฉินโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ ในสายตา

ฮึ่ม!

เมื่อสายตาของฮ่องเต้เซี่ยกวาดมา มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันน่ากลัวที่พุ่งออกมาจากทิศทางนั้นพยายามจะทำให้เขาคุกเข่าลงกับพื้น

เผชิญกับแรงกดดัน สีหน้ามู่เฉินก็มืดครึ้ม ทว่าอึดใจแสงสีม่วงทองก็พวยพุ่งออกมาจากร่างกายเขาต่อต้านแรงกดดันที่มาจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย อย่างไรก็ตามพื้นดินใต้ฝ่าเท้าเขาถึงกับแตกร้าวออกไป

“หืม?”

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินต่อต้านแรงกดดันได้ ฮ่องเต้เซี่ยก็อึ้งไป ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มธรรมดาจะถูกบดกลายเป็นกองเนื้อสับภายใต้แรงกดดันของเขา แต่เจ้าเด็กนั่นกลับไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลยเรอะ?

มู่เฉินกัดฟันแน่นทนรับแรงกดดัน แต่เขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ฮ่องเต้เซี่ยตรงๆ

ฮ่องเต้เซี่ยสวมเสื้อคลุมจักรพรรดิสีทองดูสง่างามสองมือไพล่หลัง ความทรงเกียรติไม่มีที่สิ้นสุดเลือนรางเอิบอาบออกมาจากเขาทำให้คนอื่นกลัว

แกร็ก

ขณะที่มู่เฉินมองไปที่ฮ่องเต้เซี่ยเขาก็บดขยี้หินหยกที่มั่นถัวหลัวมอบไว้ให้โดยไม่ลังเลใดๆ ทันใดนั้นคลื่นหลิงทรงพลังก็ก่อตัวขึ้นเป็นอุโมงค์มิติ ร่างเงาเล็กกะทัดรัดก็สาวเท้าเดินออกมา

เมื่อนางก้าวเดินแรงกดดันที่มาจากฮ่องเต้เซี่ยก็หายไปทันที

“อะไรกันนี่? ฮ่องเต้แห่งแคว้นเซี่ยไม่ใส่ใจสถานะตัวเองถึงกับเคลื่อนไหวจัดการจอมยุทธ์รุ่นใหม่เลยรึ?” น้ำเสียงนุ่มนวลแฝงไอเย็นชาของมั่นถัวหลัวดังก้อง

ฮ่องเต้เซี่ยมองไปที่มั่นถัวหลัวด้วยสายตามืดมนก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแสซึ่งเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า “เขาฆ่าลูกชายผู้สืบทอดบัลลังก์ของข้า หากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเจ้าต้องการปกป้องเขา แคว้นเซี่ยของข้าก็จะต้องประกาศงครามเท่านั้น”

เมื่อพูดจบก็มีร่างเงาอีกสองร่างเดินออกมา พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ชัดว่าเป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดของแคว้นเซี่ย

จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสองคนกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายหนึ่งคน การรวมตัวเช่นนี้ถือว่าทรงพลังมากเลยทีเดียว

หากเป็นขุมกำลังระดับสูงธรรมดาพวกเขาคงต้องส่งมอบมู่เฉินให้ทันทีถ้าต้องเผชิญหน้ากับการรวมตัวนี้ ทว่าใบหน้าของมั่นถัวหลัวกลับเผยรอยยิ้มจางๆ

ร่างเงากลุ่มหนึ่งก็เดินออกมาจากอุโมงค์มิติโดยมีคลื่นหลิงไร้ขอบเขตครอบงำกวาดออกไป นับได้ห้าสาย

นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่เป็นผู้ประมุขขั้วอำนาจระดับสูงสุดในภูมิภาคทางเหนือซึ่งเป็นสมาชิกของพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือ

“พันธมิตรภูมิภาคทางเหนือรวมกองทัพเป็นหนึ่งแล้ว ถ้าแคว้นเซี่ยต้องการประกาศสงครามก็เอาเลย” มั่นถัวหลัวยิ้ม

ที่เบื้องหลังประมุขทั้งห้าเบ้ปากอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาไม่ต้องการเริ่มสงครามกับขุมกำลังระดับแนวหน้าอย่างแคว้นเซี่ย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแสดงท่าทีคัดค้านใดๆ กับมั่นถัวหลัวที่นี่ได้

อย่างน้อยภายนอกกองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็แข็งแกร่งกว่าแคว้นเซี่ย ดังนั้นหากการต่อสู้เกิดขึ้นพวกเขาอาจได้รับผลประโยชน์เป็นกอบเป็นกำด้วยซ้ำ

เมื่อฮ่องเต้เซี่ยเห็นว่ามั่นถัวหลัวเต็มใจที่จะทำสงครามกับแคว้นเซี่ยเพื่อปกป้องมู่เฉิน สายตาเขาก็ดูเย็นชาลงหลายส่วน แม้จะไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้าเขา แต่คลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็บ่งบอกถึงความโกรธเกรี้ยวได้ดี

มิติยังถึงกับบิดเบี้ยวภายใต้ความคั่งแค้นของเขา

ทว่ามั่นถัวหลัวยังคงรักษาท่าทางสงบนิ่ง ต่อให้เผชิญหน้ากับฮ่องเต้เซี่ยที่โกรธเกรี้ยว พลังงานหลิงที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาจากร่างเล็กของนางเช่นกัน

บรรยากาศระหว่างทั้งสองฝ่ายเข้มข้นขึ้น

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ขณะที่พวกเขายืนประจันหน้ากัน ความผันผวนของมิติก็เริ่มกระเพื่อมไหว เหล่าจอมยุทธ์ที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่มาถึงก็เริ่มเรียกยอดยุทธ์ของขั้วอำนาจตนเอง

ดังนั้นความผันผวนทรงพลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในสุสานจักรพรรดิฟ้าไม่หยุด ขณะที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเริ่มมาถึงกันทีละคน

เมื่อพวกเขามาถึงก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดระหว่างมั่นถัวหลัวและฮ่องเต้เซี่ยอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่มีใครจะสอดมือเข้าไปยุ่ง เพราะขุมกำลังทั้งสองมีการรวมตัวที่ทรงพลังและพวกเขาอาจต้องทนทุกข์ทรมานหากเข้าไปแทรกแซง

นอกจากนี้นี่ก็เป็นข่าวดีสำหรับพวกเขาหากทั้งสองฝ่ายประสบความสูญเสีย จำนวนคู่แข่งจะได้ลดลง

ทว่าสุดท้ายสถานการณ์นี้ก็ไม่ได้ดำเนินต่อไป

“ฮ่าๆ แมนดาลา ไม่คิดว่าปีที่ผ่านๆ มาเจ้าจะซ่อนตัวอยู่ในภูมิภาคทางเหนือ…ข้าตามหาซะนานเลย”ทันใดนั้นเสียงหัวเราะสดใสก็ดังก้องซึ่งดึงดูดความสนใจผู้คนเป็นอย่างมาก

เมื่อมู่เฉินได้ยินเสียงนั้นม่านตาก็หดแคบลง เนื่องจากคนคนนั้นเรียกมั่นถัวหลัวว่าแมนดาลา… นั่นหมายความว่าเขาต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของมั่นถัวหลัว

ในทวีปเทียนหลัว นอกเหนือจากเขาแล้วก็คงมีแต่ศัตรูข้ามชาติของมั่นถัวหลัว—จักรพรรดิปีศาจลู่หยวนที่รู้เกี่ยวกับตัวตนของนาง

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปในระยะไกลก็เห็นความผันผวนของมิติ ภาพเงาโดดเด่นก้าวเดินในความผันผวนนั่นปรากฏต่อหน้าสายตาพวกเขา

เมื่อภาพเงานั้นปรากฏขึ้น เขาก็เหลือบไปที่มั่นถัวหลัวก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ข้ารู้สึกได้ถึงความผันผวนของป้ายขวางสมุทรในตัวเจ้า ดูเหมือนว่า…เจ้าฆ่าจาโหลหลัวไปแล้วสินะ”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1179 ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
เมื่อร่างเทพสุริยะก้าวลงไปในทะเลสาบลาวาสีทอง

มู่เฉินที่นั่งอยู่ที่ริมทะเลสาบก็ตัวสั่นสะท้านพร้อมกับเหงื่อเย็นผุดเต็มบนหน้าผาก

ขณะนั้นเองด้วยการเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดกับร่างเทพสุริยะ เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังน่าสะพรึงกลัวที่กระทบร่างใหญ่

ภายใต้พลังนั้นร่างใหญ่ก็เริ่มสลายไปอย่างรวดเร็วในกระบวนการ

ความรู้สึกละลายถูกถ่ายโอนมายังมู่เฉิน ความเจ็บปวดที่รุนแรงปกคลุมไปทั่วสรรพางค์กาย

มู่เฉินรู้สึกว่าความเจ็บปวดรุนแรงมากจนทนไม่ได้ เขากัดฟันแน่นเลือดไหลออกมาจากมุมปาก

ร่างกายเขาสั่นสะท้าน ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดทนอดกลั้นต่อสิ่งนี้ เนื่องจากเขารู้ว่าร่างเทพสุริยะกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงโดยได้รับความช่วยเหลือจากทะเลสาบ

ซึ่งตอนนี้เป็นทุกข์ทรมานจากการเปลี่ยนแปลง

หากเขาทนไม่ได้การเปลี่ยนแปลงก็จะไม่สมบูรณ์ แม้ว่าเขาจะสามารถพัฒนาให้กลายเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ แต่ก็จะไม่สมบูรณ์แบบ

เขาทำงานหนักมาหลายปีไม่ได้เพื่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่ไม่สมบูรณ์นี้

เป้าหมายของเขาคือร่างเทห์สวรรค์ในตำนานที่แข็งแกร่งที่สุดของมหาพันภพ—ร่างมหาปฐมกาล!

ดังนั้นเขาต้องการการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์แบบ!

เหงื่อชุ่มโชกบนร่างมู่เฉินพร้อมกับสายลาวาชำระร่างเทพสุริยะ ร่างยิ่งใหญ่หดตัวลงอย่างรวดเร็วคล้ายกับคนอ้วนที่ถูกดูดไขมัน

แม้ร่างเทพสุริยะจะหดตัวลง แต่สีก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนเป็นสีทองเข้มข้นพร้อมกับชั้นบางๆ ของสีม่วง

ดวงตะวันขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังศีรษะก็เปลี่ยนไปเช่นกัน กลายเป็นของเหลวสีทองที่ห่อหุ้มร่างเทพสุริยะค่อยๆ ซึมผ่านเข้ามา

ก่อนที่ร่างเทพสุริยะจะก้าวลงไปในทะเลสาบก็มีขนาดหลายพันจั้ง แต่ในเวลาเพียงสิบกว่านาทีก็ลดลงเหลือไม่ถึงพันจั้ง

ทว่าแม้จะหดตัวลง แต่ถ้าสัมผัสดีๆ ก็สามารถรู้สึกได้ถึงพลังงานที่มีอยู่ภายในร่างค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น

ตัวมู่เฉินก็รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกดีขึ้นจากการทรมานรุนแรง อย่างน้อยเขาก็ปลอบใจเขาที่ไม่ได้ทนกับความเจ็บปวดที่ไร้ประโยชน์

ภายใต้ความเจ็บปวดรุนแรงมู่เฉินสูญเสียความคิดเรื่องเวลาและค่อยๆ เริ่มด้านชาจากความเจ็บปวด

แต่นั่นไม่ใช่ข่าวดี หากเขาจมดิ่งลึกเกินไป แม้แต่จิตใจก็อาจพังทลายลงจนอาจเกิดเหตุที่ทำลายร่างเทห์สวรรค์โดยไม่ตั้งใจ

ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะรู้สึกชาจากความเจ็บปวด แต่ก็ยังคงสติไว้มั่น

ทว่าก็ชัดเจนที่เขาไม่สามารถรักษาสภาพไว้ได้ตลอด เขาทำได้เพียงภาวนาขอให้ร่างเทพสุริยะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงเสร็จสิ้นก่อนที่เขาจะสูญเสียสติไป

มิฉะนั้นผลลัพธ์จะน่ากลัวมาก

แต่โชคดีที่คำอธิษฐานของมู่เฉินดูเหมือนจะเป็นผล

ปุด ปุด

ฟองอากาศลอยขึ้นจากทะเลสาบอย่างต่อเนื่อง ระเบิดเป็นประกายสีทองดูงดงามตระการตา

มู่เฉินที่มีใบหน้าซีดขาวอยู่ริมทะเลสาบก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นพร้อมกับความอ่อนล้าหนักหน่วงกะพริบในม่านตา เขาเกือบจะล้มลงจากความทรมานที่ไม่สิ้นสุด

อย่างไรก็ตามเมื่อเขามองไปที่ทะเลสาบ ดวงตาก็วูบไหวพร้อมกับอารมณ์กลับคืนมาบนใบหน้า

เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าขณะนี้ความเจ็บปวดรุนแรงหายไปอย่างกะทันหันแล้ว

“การเปลี่ยนแปลงประสบความสำเร็จแล้วหรือ?”

มู่เฉินพึมพำขณะจ้องไปที่ทะเลสาบ

ปุด ปุด

ภายใต้การจ้องมอง ทันใดนั้นฟองอากาศก็ลอยขึ้นมาจากทะเลสาบ ตอนนี้ทั้งทะเลสาบเดือดพล่าน

ฟองอากาศทุกฟองพุ่งออกมาด้วยแสงมันวาวสีทองขณะที่ระเบิดตูมตาม

สามารถมองเห็นเงาขยับเข้าใกล้อย่างรวดเร็วจากใต้ทะเลสาบ สุดท้ายทะเลสาบก็แยกออกเป็นสองส่วน คลื่นแผ่กระจายออกไป ภาพเงาขนาดใหญ่ค่อยๆ ลอยขึ้นมา

มู่เฉินมองไปที่ภาพเงานั้น แม้กระทั่งมีจิตใจแน่วแน่ แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น

หินหนืดสีทองตกแหมะลงมาจากร่างใหญ่ สะท้อนในดวงตามู่เฉินอย่างชัดเจน

นี่เป็นร่างเทห์สวรรค์ที่ไม่คุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงพิเศษทำให้มู่เฉินรู้ว่านี่คือร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่เขาใฝ่หา!

ร่างเทห์สวรรค์ร่างนี้ไม่มีดวงตะวันใหญ่ลอยอยู่ด้านหลังศีรษะอีกต่อไป มิหนำซ้ำร่างกายก็ไม่มีประกายสีทองเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป แต่มีร่องรอยของชั้นรัศมีสีม่วงเพิ่มเติม

นอกจากนี้ยังปกคลุมไปด้วยลวดลายสีม่วงที่ดูเหมือนจะถูกสร้างจากธรรมชาติ ลวดลายทุกลวดลายมีความลึกซึ้งเป็นพิเศษและบรรจุด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจบรรยายได้

หากมองให้ละเอียดจะพบว่าลวดลายเหล่านั้นก่อตัวเป็นดวงตะวันอย่างคลุมเครือ

มู่เฉินมองไปที่ร่างเทห์สวรรค์ก็เหมือนมีความเข้าใจผิดราวกับว่าร่างร่างนี้เป็นตัวแทนของความเป็นนิจนิรันดร์ที่ต่อให้เวลาผ่านไปก็ไม่สามารถทำลายมันได้

“นี่หรือร่างเทพสุริยะนิรันดร์”

มู่เฉินพึมพำ ในที่สุดเป้าหมายของเขาก็บรรลุผลหลังจากผ่านไปหลายปีซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกไม่เป็นจริง

“ทำไมตัวเตี้ยขนาดนี้?”

ทว่ามู่เฉินก็หลุดจากอาการตื่นเต้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าฉายความแปลกประหลาด ถ้าตามสภาพปกติร่างเทพสุริยะนิรันดร์ซึ่งสูงไม่กี่ร้อยจั้งก็ไม่ได้เตี้ย แต่เมื่อเทียบกับร่างเทห์สวรรค์อื่นๆ ก็เตี้ยมากจริงๆ

ต้องรู้ว่าร่างเทพสุริยะของมู่เฉินสูงหลายพันจั้ง แต่เมื่อพัฒนาการถึงปัจจุบันร่างนี้กลับสูงเท่าต้นขาร่างเดิมเท่านั้น

ในมหาพันภพขนาดแสดงถึงความแข็งแกร่งของร่างเทห์สวรรค์ เนื่องจากจะสามารถบรรจุคลื่นหลิงที่ทรงพลังกว่าได้

แต่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์…มีขนาดเพียงไม่กี่ร้อยจั้ง แล้วจะทรงพลังยิ่งกว่าร่างเทพสุริยะจริงเหรอ?

มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากก่อนที่จะยื่นมือออก ร่างสีม่วงทองก็ยื่นมือออกมา ทั้งสองสัมผัสกัน

ฮึ่ม

ประกายแสงสีทองพุ่งสูงขึ้น ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ห่อหุ้มมู่เฉินไว้ภายใน จากนั้นเขารู้สึกถึงการได้ควบคุมอย่างสมบูรณ์

ขณะนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังที่มีอยู่ในร่างสีม่วงทองนี้

ซึ่งเป็นพลังที่ทำเอาเขาถึงกับตกตะลึงในทันที

“พลังงานนี้…”

มู่เฉินก้มหัว จากนั้นค่อยๆ กำหมัดแน่น เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะเหวี่ยงหมัดออกไป

ปัง!

เมื่อร่างสีม่วงทองขว้างหมัดออกไป การระเบิดก็ดังก้องระหว่างสวรรค์และโลก แสงเงาสีทองครอบงำออกมา จากนั้นมู่เฉินก็สามารถมองเห็นรอยหมัดมหึมาถูกทิ้งไว้บนจัตุรัสทองคำ

มิติเบื้องหน้าแตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย

มู่เฉินอ้าปากกว้างกับความสามารถในการทำลายล้าง ซึ่งไม่ได้อ่อนแอกว่ากระบวนท่าเปิดสิบตะวัน หัตถ์เทพปีศาจเลย!

หากจาโหลหลัวอยู่ที่นี่ในขณะนี้ มู่เฉินก็ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวอะไรมากมายในการต่อสู้ เขาเพียงแค่ขว้างหมัดก็สามารถฆ่าจาโหลหลัวได้ทันที!

“นี่คือพลังของร่างเทพสุริยะนิรันดร์เหรอ?!”

มู่เฉินตกตะลึงเมื่อมองไปที่ร่างสีทองซึ่งห่อหุ้มเขาไว้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็หัวเราะร่า เสียงของเขาดังก้องไปทั่วบริเวณ

ตามการคาดการณ์ของมู่เฉินร่างเทพสุริยะนิรันดร์นี้สามารถติดสิบห้าอันดับแรกของคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างเลยทีเดียว!

หลังจากอดทนและทำงานหนักมาหลายปีในที่สุดเขาก็กลายร่างเป็นมังกรทะยาน!

มู่เฉินหัวเราะ จากนั้นก็ล้มนอนลงบนแท่นบูชาอย่างไม่สนใจอะไร ตอนนี้เขาถือได้ว่าอยู่ยงคงกระพันใต้ขอบเขตตี้จื้อจุนแล้ว!

นอกจากนี้เขายังสามารถหลบหนีจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ด้วยความช่วยเหลือของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ แม้ว่าจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพสังหารวิญญาณก็ตาม

มู่เฉินมองไปบนท้องฟ้า ใบหน้าหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง ผมของนางราวกับแม่น้ำสีเงิน ม่านตาผลึกแก้วที่สดใส มู่เฉินเคยร้อนใจหลายครั้งเมื่อในอดีต แต่สุดท้ายก็สงบลงเพราะดวงตาคู่นั้น…

เขายกมือขึ้นเหมือนสัมผัสใบหน้าที่โหยหา ยิ้มอ่อนโยน

“ลั่วหลี…ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ”

“อีกไม่นานข้าจะไปหาเจ้า… รอข้านะ!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1177 เปิดสิบตะวัน หัตถ์เทพปีศาจ
รูปปั้นสีฟ้าอมเขียวปรากฏในมือจาโหลหลัว

ทำให้เกิดคลื่นในหัวใจของมู่เฉิน สายตาเขาจ้องเขม็งไปที่รูปปั้นนั่น

“ฮ่าๆ…อยากรู้เหรอ?” เมื่อเห็นมู่เฉินตกตะลึง จาโหลหลัวก็หัวเราะด้วยความเยาะเย้ยในใจ

คิ้วมู่เฉินขมวดเข้าหากันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ทว่าจาโหลหลัวไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางนั่น เขาโยนรูปปั้นในมือเล่นพูดว่า “นี่เป็นวัตถุที่ข้าได้รับจากท่านประมุข ว่ากันว่าครั้งหนึ่งมีศิษย์มากพรสวรรค์เคยฝึกฝนร่างเทพสุริยะ ทว่าสุดท้ายก็ล้มเหลว ร่างเทพสุริยะของเขาก็กลายเป็นสิ่งนี้”

“วัตถุนี้อาจไม่มีประโยชน์สำหรับผู้อื่น แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะ นี่เป็นวัตถุสมบูรณ์แบบที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างเทพสุริยะได้ชั่วคราวหากดูดซับเข้าไป”

ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ที่แท้จาโหลหลัวตั้งใจจะดูดซับสิ่งนี้

“ขอโทษที แต่ครั้งนี้ดูเหมือนข้าจะเป็นคนที่หัวเราะคนสุดท้าย” จาโหลหลัวยิ้มบางให้มู่เฉิน โดยไม่ลังเลก็โยนรูปปั้นออกไป มันถูกกลืนกินโดยร่างเทพสุริยะสีดำมะเมื่อมของเขา

ตู้ม! ตู้ม!

เมื่อรูปปั้นหินสีฟ้าอมเขียวเข้าไปในปากใหญ่ ร่างเทพสุริยะสีดำก็เริ่มสั่นไหวแล้วขยายขนาดอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจก็ขยายเป็นหลายเท่าพร้อมกับความผันผวนที่น่ากลัวปะทุออกมา

ฮึ่ม ฮึ่ม

คลื่นกระแทกน่าสะพรึงของพลังงานหลิงแผ่กระจายไปทุกทิศทาง ยับยั้งแสงสีทองจากร่างเทพสุริยะของมู่เฉิน สามในสี่ของภูมิภาคนี้ปกคลุมไปด้วยแสงสีดำ

ใบหน้าของมู่เฉินก็เคร่งเครียดลงอย่างมากในเวลานี้

“ทักษะเทห์สวรรค์ หลุมปีศาจ!”

จาโหลหลัวหัวเราะร่วน จากนั้นก็คำรามดวงอาทิตย์สีดำเก้าดวงลุกโชนก่อตัวเป็นหลุมดำ ราวกับต้องกลืนกินทุกสรรพสิ่ง

เวลานี้ทักษะเทห์สวรรค์เปิดเก้าตะวันของจาโหลหลัวไปไกลเกินกว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กธรรมดาแล้ว!

เผชิญหน้ากับกระบวนท่านี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มยังถูกกลืนกิน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่กล้าที่จะดูถูก

“มู่เฉินตายซะ! ให้ร่างเทพสุริยะของแกกลายเป็นหินรองเท้าข้าซะ!”

จาโหลหลัวหัวเราะสาแก่ใจไม่หยุด มาถึงจุดนี้เขาอยู่ห่างจากชัยชนะก้าวเดียวเท่านั้น

จาโหลหลัวมองไปที่มู่เฉินเนื่องจากอยากเห็นสีหน้าสะพรึงกลัวที่ฉายออกมา แต่ที่ทำให้เอาอึ้งไปคือมู่เฉินที่ตกตะลึงในตอนแรกได้สงบลงแล้ว

“ถึงตอนนี้แล้วแกยังแกล้งไม่กลัวอีกเรอะ! เรียกร้องหาความตายจริงๆ!” สายตาของจาโหลหลัวมืดครึ้มขณะเค้นเสียงขึ้นจมูก

เผชิญหน้ากับการเสียดสีมู่เฉินก็ไม่ใส่ใจ เขาสูดหายใจเข้าลึกก่อนมองไปที่หลุมดำด้วยประกายประหลาดใจในแววตา

“ไม่คิดว่าแกจะสามารถเร้าพลังคลื่นเก้าตะวันมาถึงระดับนี้”

จาโหลหลัวเย้ยเสียง “นี่คือพลังขีดสูงสุดของร่างเทพสุริยะแล้ว ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่ามีเพียงข้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะพัฒนาไปสู่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์!”

“ขีดสูงสุดแล้วเรอะ?”

มู่เฉินพึมพำ จากนั้นรอยยิ้มก็ปราฏบนใบหน้า เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่จาโหลหลัว “ข้าไม่คิดอย่างนั้น”

สีหน้าของจาโหลหลัวเปลี่ยนไปจากคำพูดของมู่เฉิน ขณะที่กำลังจะโต้ตอบอะไรบางอย่าง ก็ได้ยินเสียงมู่เฉินดังก้อง “กระทั่งยืมพลังจากรูปปั้น เจ้าก็ยังอยู่ในขั้นเปิดเก้าตะวันเท่านั้น”

“แต่ขีดจำกัดของร่างเทพสุริยะอาจไม่ได้อยู่แค่เก้าตะวัน”

จาโหลหลัวยิ้มน่าขนลุก “เปิดเก้าตะวันไม่ใช่ขีดจำกัดเหรอ? เฮ้ ไอ้งี่เง่า มีเก้าเมล็ดในร่างเทพสุริยะ ซึ่งเราสองคนได้จุดชนวนหมดแล้ว แกบอกว่านี่ไม่ใช่ขีดจำกัด หรือแกจะสร้างดวงตะวันดวงที่สิบขึ้นมาได้?”

เมื่อฝึกร่างเทพสุริยะสำเร็จก็จะก่อกำเนิดเมล็ดผลึกมหาตะวันทั้งเก้าซึ่งเป็นทักษะเทห์สวรรค์ แต่ตอนนี้มู่เฉินอ้างว่าเปิดเก้าตะวันไม่ใช่ขีดจำกัด แล้วขีดจำกัดอยู่ที่ไหน?

“เปิดสิบตะวัน”

มู่เฉินมองไปที่จาโหลหลัวด้วยรอยยิ้มประหลาดขณะพูดต่อ “แล้วนั่นไม่ใช่เปิดสิบตะวันเหรอ?”

จาโหลหลัวมองตามสายตามู่เฉิน ทันใดนั้นก็สั่นสะท้านในใจ เพราะมู่เฉินกำลังจ้องมองดวงตะวันพราวแสงที่ด้านหลังศีรษะร่างเทพสุริยะ

ใบหน้าของจาโหลหลัวบิดเบี้ยวไปมา “แกโง่หรือเปล่า? ดวงตะวันนั่นเป็นเพียงรูปลักษณ์ของร่างเทพสุริยะเท่านั้น!”

เขาเคยลองสัมผัสดวงตะวันนั่นแล้ว แต่ก็ไม่มีผลลัพธ์ใดๆ คลื่นหลิงที่ถูกเทลงไปนอกจากทำให้สว่างขึ้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ในมุมมองของจาโหลหลัวนั่นเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของร่างเทพสุริยะเท่านั้น

“งั้นเหรอ?”

มู่เฉินยิ้ม จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก เขานั่งลงบนศีรษะร่างเทพสุริยะ มือทั้งสองข้างวาดตราประทับ

ฮึ่ม

ทันทีที่เขาวาดตราประทับ ดวงตะวันที่อยู่ด้านหลังศีรษะร่างเทพสุริยะก็ส่งเสียงครางกระหึ่ม ลำแสงสีทองจำนวนมากพวยพุ่งออกมายึดครองฟ้าดินที่ถูกย้อมด้วยหลุมดำ นอกจากนี้ไม่ว่าหลุมดำปีศาจจะทรงพลังเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถกลืนกินพลังงานเกลียวสีทองเหล่านั้นได้

ความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากดวงตะวันสีทองดวงนั้น

จาโหลหลัวรู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบจากคลื่นพลังนั่นก่อนที่จะอุทานว่า “แกมีคลื่นหลิงน่ากลัวแบบนี้ได้ยังไง?”

มู่เฉินตอบอย่างใจเย็น “พวกเจ้าอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าทำไมการชำระล้างที่สมบูรณ์แบบของข้าถึงดูธรรมดาขนาดนั้น”

จาโหลหลัวตะลึงก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนไปรุนแรง “กะ…แกนำพลังชำระล้างขั้นสมบูรณ์ใส่ไปในดวงตะวันนั่นเรอะ? แกบ้าไปแล้ว!”

“คลื่นหลิงที่จำเป็นในการกระตุ้นดวงตะวันดวงที่สิบไปไกลเกินกว่าจินตนาการของแก” มู่เฉินยิ้มบางจากนั้นก็พูดต่อ “แม้ว่าการชำระล้างขั้นสมบูรณ์จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับข้าได้ แต่ก็ไม่ทำให้ข้าบรรลุระดับตี้จือจุน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นทำไมข้าไม่ใช้มันเพื่อเพิ่มพลังและพนันดูว่าการคาดเดาของตัวเองถูกต้องรึเปล่าล่ะ?”

อันที่จริงดวงตะวันที่สิบก็เป็นเพียงการคาดเดาของมู่เฉิน ตอนแรกเขาไม่มั่นใจในเรื่องนี้เช่นกัน แต่ก็ยังคิดทำอยู่ดี

ใบหน้าของจาโหลหลัวบิดเบี้ยว เขานึกไม่ถึงว่ามู่เฉินจะละการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ไปสำหรับความไม่แน่นอน

แต่สิ่งที่ทำให้เขาสูญเสียความสงบก็คือความจริงที่มู่เฉินดันประสบความสำเร็จในการพนัน… เจ้านั่นสามารถกระตุ้นดวงตะวันดวงที่สิบได้!

เมื่อมองไปที่ดวงตะวันสีทองขนาดใหญ่ความกลัวก็เริ่มกวนตัวขึ้นในใจของจาโหลหลัว

“อย่าคิดแกล้งทำท่าเขย่าหัวใจข้า ตายซะ!”

ในสุดท้ายจาโหลหลัวก็แผดเสียงคำราม ตอนนี้เขาไม่มีทางถอยอีกแล้ว แม้ว่าจะเป็นเส้นทางมรณะเขาก็ต้องฝ่าไปให้ได้

ตราประทับในมือจาโหลหลัวเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ หลุมดำปีศาจบีบกดลงมาหามู่เฉิน

เมื่อมองไปที่หลุมดำปีศาจที่แหวกฉีกมิติ มู่เฉินก็หายใจเข้าลึกใบหน้าดูเคร่งขรึมลงหลายส่วนพลางวาดตราประทับ

ฮึ่ม ฮึ่ม

ดวงตะวันทั้งเก้าดวงเคลื่อนขึ้นมาจากร่างเทพสุริยะแยกออกมาโคจรอยู่รอบๆ

ดวงตะวันดวงใหญ่ที่สุดเป็นจุดศูนย์กลางโดยมีดวงตะวันเก้าดวงหมุนโคจรโดยรอบ

ฮึ่ม ฮึ่ม

จากนั้นแต่ละดวงเริ่มเพิ่มความเร็วก่อนที่จะสัมผัสกับดวงตะวันดวงที่สิบ เกลียวแสงสีทองขนาดใหญ่แผ่ซ่านออกไป

ฟ้าดินถูกย้อมเป็นสีทองอร่าม

ขณะเดียวกันเสียงสะท้อนไม่แยแสของมู่เฉินก็ดังก้อง “ทักษะเทห์สวรรค์ คลื่นสิบตะวัน! เปิดสิบตะวันสิบ!”

“หัตถ์เทพปีศาจ!”

เกลียวแสงสีทองก่อตัวเป็นมือขนาดใหญ่โดยมีดวงตะวันทั้งสิบดวงสลักไว้ช่างดูสมบูรณ์แบบอย่างไม่น่าเชื่อพร้อมกับอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์

เมื่อมองจากระยะไกลมือขนาดใหญ่ก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับความกดดันที่อธิบายไม่ได้แผ่ออกมาบดขยี้หลุมดำปีศาจ

ปัง!

หลุมดำปีศาจที่ทำให้มู่เฉินรู้สึกกริ่งเกรงเปราะบางราวกับไข่ในขณะนี้ มันแตกตัวเสี่ยงๆ คลื่นหลิงสีดำก็กวาดหายนะออกไป ทว่าก็ไม่สามารถแม้แต่จะสั่นสะเทือนมือทองคำได้และสลายไปอย่างรวดเร็วภายใต้การกำจัดของเกลียวแสงสีทอง

การปราบปรามทั้งหมดสมบูรณ์แบบ!

อ็อก!

เมื่อหลุมดำปีศาจถูกบดขยี้ จาโหลหลัวก็กระอักเลือดออกจากปากพร้อมกับความหวาดกลัวอัดแน่นในดวงตา เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของตนเองจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเพียงนี้

หนี!

ใบหน้าของจาโหลหลัวเปลี่ยนเป็นซีดขาว เขารู้ว่าศึกยกนี้แพ้แน่ ถ้าไม่หนีตอนนี้ก็คงตายคาที่

เมื่อความคิดนี้วาบขึ้นในใจจาโหลหลัวก็ถอยหนีไปทันที

แต่ขณะที่กำลังจะหนีท้องฟ้าก็สว่างวาบ เขาเห็นมือขนาดใหญ่ทะลุผ่านมิติกดทับเข้ามาหาตัวเขาเบาๆ

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1176 ศึกร่างเทพสุริยะ
บนจัตุรัสสีทอง

ร่างขนาดใหญ่สองร่างพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงน่าเกรงขามกวนตัว ทำให้มิติสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

สำหรับการต่อสู้ยกตัดสินชะตามู่เฉินและจาโหลหลัวเลือกใช้ร่างเทพสุริยะแล้ว

พวกเขามีลางสังหรณ์ว่าหากต้องการเอาชนะอีกฝ่าย พวกเขาก็ต้องใช้ร่างเทพสุริยะเท่านั้น

จาโหลหลัวยืนอยู่บนไหล่ของร่างเทพสุริยะสีดำทะมึนพร้อมภาพร่างเงาสีทองสะท้อนในดวงตาพูดว่า “มู่เฉิน ถ้าแกยอมทำลายร่างเทพสุริยะตอนนี้ ข้าจะปล่อยแกไป”

ทว่ามู่เฉินเพิกเฉยต่อคำพูดของจาโหลหลัวเป็นการตอบสนอง

จาโหลหลัวไม่ได้แปลกใจกับปฏิกิริยานั่น ทว่าไอสังหารกลับยิ่งเข้มข้นในดวงตา “ในเมื่อแกเรียกร้องหาความตาย ข้าก็จะสนองความปรารถนานั่นให้เอง”

พูดจบเขาก็กระทืบฝ่าเท้า ดวงตะวันสีดำลุกโชนขึ้นจากร่างเทพสุริยะก่อนจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ

ฟู่ ฟู่!

กระแสสีดำพัดออกมาจากร่างเทพสุริยะก่อนที่จะรวมตัวกันใต้ฝ่ามือของมัน

ช่างดูเหมือนอสรพิษที่เปล่งพลังการกลืนกินที่น่ากลัวอย่างคลุมเครือ ราวกับว่าพวกมันสามารถกลืนกินกระทั่งแสงที่ส่องลงมา

“ทักษะเทห์สวรรค์ เปิดแปดตะวัน อสรพิษปีศาจ!”

จาโหลหลัวคำราม อสรพิษก็กระโจนออกมา การเคลื่อนไหวช่างผิดแผกมาก พวกมันสามารถรวมเข้ากับมิติได้

ดังนั้นเพียงอึดใจเดียวมู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าความมืดปกคลุมไปในพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งทำให้เขาสัมผัสถึงการคุกคาม หากการโจมตีซัดมาแม้แต่คลื่นหลิงของเขาก็จะถูกกลืนกิน

“นี่คือทักษะเทห์สวรรค์ที่เขาสร้างจากกการเปิดแปดตะวันเรอะ?”

มู่เฉินพึมพำในใจ ร่างเทพสุริยะสามารถเปิดได้ถึงเก้าตะวัน แต่จะใช้และสร้างทักษะอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับผู้ฝึกแต่ละคน เห็นได้ชัดว่าทักษะของจาโหลหลัวที่เผยออกมาแตกต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง

ทว่ามู่เฉินก็ยังคงฉายสีหน้าสงบนิ่งขณะที่วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ทันใดนั้นแสงสีทองไร้ขอบเขตก็ผลิบานออกมาจากร่างเทพสุริยะ ดวงตะวันเคลื่อนขึ้นมาจากร่างยิ่งใหญ่

“เปิดแปดตะวัน กงล้อแสงสวรรค์!”

นิ้วมู่เฉินแตะอากาศ แสงสีทองก็ควบแน่นเป็นกงล้อรอบร่างเทพสุริยะก่อนที่จะหมุนคว้างไปอย่างช้าๆ

ฮึ่ม!

เมื่อกงล้อถูกสร้างขึ้น อสรพิษดำทะมึนก็พุ่งลงมา ฉีกมิติออกจากกันในเส้นทางที่ผ่าน การโจมตีสามารถกลืนกินจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้ในทันที

แต่ในขณะที่มันสัมผัสกับกงล้อ ทันใดนั้นกงล้อก็หมุนทวนเข็มนาฬิกา อสรพิษปีศาจก็กระเด็นกลับไปกระแทกกับอสรพิษตัวอื่นที่พุ่งเข้ามา

ชี่ ชี่!

วงจรระเบิดสีดำไม่มีที่สิ้นสุดเกิดขึ้นขณะที่พวกมันกลืนกินซึ่งกันและกัน

แม้ว่ากงล้อแสงสวรรค์ของมู่เฉินจะไม่มีความสามารถในการโจมตีใดๆ แต่ก็ส่งคืนการโจมตีกลับไปยังเจ้าของได้ทั้งหมด

ใบหน้าของจาโหลหลัวเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มเมื่อมองไปที่กงล้อสีทอง อสรพิษปีศาจของเขากลืนกินคลื่นหลิงของฝ่ายตรงข้ามจำนวนมากได้โดยไม่เคยล้มเหลว แต่ในขณะนี้การป้องกันที่สมบูรณ์แบบของมู่เฉินกลับทำให้ไร้ประโยชน์

แต่จาโหลหลัวก็ไม่ได้แปลกใจ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่ามู่เฉินเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งตั้งแต่เริ่มต้น ชายคนนี้อาจเทียบได้กับจู้เยี่ยน ดังนั้นหากเขาสามารถกำจัดมู่เฉินได้อย่างรวดเร็วก็น่าสงสัยเกินไป

จาโหลหลัวหลุบตาลง ในเมื่อเปิดแปดตะวันไม่มีผลใดๆ งั้นก็เพิ่มระดับขึ้นกันอีกเถอะ!

จาโหลหลัวยื่นมือออก สร้างตราประทับผิดแผกก่อนที่เขาจะนั่งลงบนศีรษะของร่างเทพสุริยะดำทะมึน

ดวงตะวันสีดำแปดดวงผุดขึ้นมาจากร่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยแต่ละดวงมีพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว

แต่เมื่อดวงตะวันดวงที่แปดปรากฏขึ้น เมล็ดสีดำก็งอกออกมาจากหัวใจของร่างเทพสุริยะดำทะมึน ขยายตัวไปกลายเป็นดวงตะวันสีดำดวงที่เก้าอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ดวงตาของจาโหลหลัวเปลี่ยนเป็นสีดำมืดอย่างน่ากลัว

ดวงตะวันดวงที่เก้าเป็นขีดจำกัดของทักษะเทห์สวรรค์ของร่างเทพสุริยะแล้ว!

เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้สายตาก็เคร่งเครียดขีดสุด แต่เขาก็ไม่แปลกใจ ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของจาโหลหลัวก็สมเหตุสมผลอย่างยิ่งที่จะสามารถเปิดดวงตะวันดวงที่เก้าได้

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึกปล่อยกงล้อแสงสวรรค์ เนื่องจากมันไม่มีประโยชน์ในการปะทะกับการโจมตีต่อไปของจาโหลหลัวแล้ว

มีเพียงพลังที่อยู่ในระดับเดียวกันเท่านั้นที่สามารถเผชิญหน้ากันได้

มู่เฉินหลับตาสร้างตราประทับที่ลึกซึ้งพร้อมกับดวงตะวันสีทองเคลื่อนออกมาจากร่างเทพสุริยะ

พริบตาดวงตะวันดวงที่แปดก็ปรากฏขึ้น

แต่มู่เฉินก็ไม่ได้หยุด จุดจื้อจุนไห่ที่อยู่ข้างหลังเทพลังงานเข้าไปในร่างยิ่งใหญ่อย่างบ้าคลั่ง

เกลียวแสงแวววาวสีทองปรากฏขึ้นที่หัวใจร่างยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะกระจายออกไปอย่างรวดเร็วกลายเป็นดวงตะวันสีทอง

ดวงตะวันดวงที่เก้า!

มู่เฉินลืมตามองไปที่จาโหลหลัวพร้อมกับเจตนาฆ่าพวยพุ่งออกมาจากทั้งคู่ ช่วงเวลาต่อมาตราประทับของพวกเขาก็เปลี่ยนไปพร้อมกัน

“เปิดเก้าตะวัน หลุมปีศาจ!”

“เปิดเก้าตะวัน ธงเทพ!”

ทั้งสองคำรามลั่น คลื่นแสงสีดำพุ่งออกมาจากจาโหลหลัวกลายเป็นหลุมดำปีศาจไร้ก้น ซึ่งดูเหมือนว่าสามารถกลืนกินได้แม้กระทั่งสวรรค์และโลก

น่ากลัวจนทำให้เกิดรอยแตกแผ่กระจายราวกับใยแมงมุมบนพื้นดินเบื้องล่าง

ทางด้านมู่เฉินแสงสีทองเชี่ยวกรากก่อตัวขึ้นเป็นธงสีทองพร้อมกับดวงตะวันเก้าดวง เปล่งความผันผวนของสวรรค์ แม้แต่หลุมดำปีศาจก็ไม่สามารถสั่นคลอนได้

จากมุมหนึ่งการโจมตีของพวกเขาครั้งนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าวิทยายุทธระดับเสินทงที่พวกเขาใช้มาก่อนหน้าเสียอีก

ทักษะของร่างเทพสุริยะทรงพลังอย่างแท้จริง!

“จงกลายเป็นเถ้าถ่านในหลุมดำปีศาจของข้า!”

จาโหลหลัวคำรามพร้อมกับท่าทางน่ากลัว ขณะที่หลุมดำปีศาจบีบลงไปหามู่เฉิน

หากมู่เฉินตกลงไปในหลุมดำปีศาจก็จะถูกดูดกลืนคลื่นหลิงจนหมดไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม แม้แต่พลังกายก็จะหยุดชะงัก

ทว่าก็ไม่มีความกลัวใดๆ แม้จะมีสีหน้าเคร่งขรึมปรากฏขณะมู่เฉินมองไป เขาหายใจเข้าลึกธงสีทองโบกที่เบื้องหน้าหน้าหลุมดำปีศาจ

ฮึ่ม ฮึ่ม

ระลอกคลื่นสีทองที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไปพร้อมกับพลังงานลึกซึ้งราวกับว่าการโจมตีใดๆ จะลดลงจนไม่มีอะไรเหลือภายใต้ธงสีทองนี้

แม้แต่หลุมดำปีศาจที่น่ากลัวก็แสดงสัญญาณของการจางหายไปภายใต้คลื่น

ดวงตาของจาโหลหลัวหดลง ธงสีทองของมู่เฉินทำให้พลังงานของหลุมดำปีศาจของเขาจางลงได้ด้วยเรอะ?

“ข้าจะดูสิว่าแกจะโบกได้สักกี่ครั้ง!”

จาโหลหลัวกัดฟันแน่น หลุมดำปีศาจพุ่งออกมาพร้อมกับแสงสีดำมันวาห่อหุ้มเข้าหามู่เฉิน

วาบ! วาบ!

ธงสีทองโบกไปมาอีกครั้ง พลังงานทำให้หลุมดำปีศาจจางลงอย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายก็หยุดหลุมดำปีศาจไม่ให้ห่อหุ้มลงมาได้

แต่ขณะนี้ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด แม้ว่าธงเทพจะมีความสามารถพิเศษเอกลักษณ์ในการกระจายพลังงานใดๆ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มธรรมดาก็ต้องหมดพลังอย่างสมบูรณ์จนถึงขั้นเป็นคนพิการ ทว่าการโจมตีของจาโหลหลัวก็ไม่ได้หายไป

ตู้ม ตู้ม!

คลื่นกระแทกน่าสะพรึงกลัวกระจายออกไปเมื่อธงเทพและหลุมปีศาจปะทะกัน แต่การต่อสู้ก็ตกลงสู่ทางตันอีกครั้ง

“ไอ้เวร!”

ใบหน้าของจาโหลหลัวเปลี่ยนเป็นขาวสลับดำพร้อมกับเม็ดเหงื่อผุดบนหน้าผาก

นั่นเป็นอาการอ่อนล้า

แน่นอนว่ามู่เฉินก็มีสถานการณ์คล้ายคลึงกันเนื่องจากการโจมตีในระดับนี้สร้างความเหนื่อยล้าให้ทั้งสองอย่างชัดเจน

แต่ถึงอย่างนั้นการต่อสู้ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์

หากยังดำเนินต่อไปทั้งสองคนจะหมดพลังงานแน่นอน

ทว่าสถานการณ์ไม่แน่นอนนั้นไม่ใช่สิ่งที่จาโหลหลัวต้องการจะเห็น

ดังนั้นสายตาของเขาวูบไหว ไม่นานก็กัดฟันเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉินด้วยสายตามืดมน

รู้สึกถึงการจ้องมองหัวใจของมู่เฉินก็สั่นไหวและรู้สึกไม่สบายใจเบาบาง

“ไม่คิดว่าจะถูกแกบังคับให้มาถึงขั้นนี้”

เสียงต่ำพร่าของจาโหลหลัวดังขึ้น จากนั้นก็กำหมัดแน่น รูปปั้นแกะสลักสีฟ้าอมเขียวปรากฏขึ้นในมือ ดูเหมือนพระพุทธรูปที่มีดวงอาทิตย์สีฟ้าอมเขียวอยู่ด้านหลังศีรษะ

เมื่อมู่เฉินเห็นรูปปั้นนั้นหัวใจก็สั่นไหวด้วยความตกตะลึง

นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคยจากรูปปั้น… ซึ่งเป็นความผันผวนของร่างเทพสุริยะ

รูปปั้นสีฟ้าอมเขียวก็คือร่างเทพสิรุยะ!

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จาโหลหลัวฝึกมาเองอย่างแน่นอน เนื่องจากมันมีรัศมีแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง นั่นหมายความว่าเป็นของคนอื่น แต่ร่างเทพสุริยะนั่นล้มเหลวและถูกลดขนาดเป็นรูปปั้น

นอกจากนี้ยังตกอยู่ในมือของจาโหลหลัว!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1175 ศึกอาวุธมหสวรรค์
เมื่อป้ายหินสีดำปรากฏในมือจาโหลหลัว

คลื่นสาดซัดก็สะท้อนออกมาพร้อมกับน้ำสีดำที่กวาดออกไปไม่สิ้นสุด เปลี่ยนพื้นที่แห่งนี้ให้กลายเป็นมหาสมุทรสีดำ

จาโหลหลัวยืนอยู่เหนือมหาสมุทรมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา

“ไม่คิดว่าต้องนำป้ายขวางสมุทรออกมาเพื่อจัดการแก มู่เฉิน… แกนี่สุดยอดจริงๆ!” จาโหลหลัวพูดขึ้นด้วยเสียงน่ากลัว ป้ายขวางสมุทรเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำที่ประมุขตำหนักเทพปีศาจจ่ายราคาไปมากกว่าจะได้มาและที่มอบให้เขาก็เพื่อสนับสนุนการทำภารกิจให้สำเร็จ

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของจาโหลหลัวบวกกับความช่วยเหลือจากป้ายขวางสมุทร แม้ว่าจะยังไม่สามารถต่อกรกับระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ แต่ก็ทำให้เขาสามารถฆ่าจอมยุทธ์ทุกคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับตี้จื้อจุนได้ อย่างง่ายดาย

เพราะพลังของอาวุธมหสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่อาวุธพบสวรรค์และเสมือนมหสวรรค์จะสามารถเทียบเคียงได้

แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นบางคนยังไม่มีอาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำแบบนี้ครอบครอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหายากเพียงใด

“อาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำเรอะ”

มู่เฉินยกสายตามองไปที่มหาสมุทรสีดำด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากพลังนั่นทำให้แม้แต่เขายังกริ่งเกรงอยู่เล็กน้อย

ดูเหมือนครั้งนี้จาโหลหลัวจะเตรียมตัวมาพร้อม แต่น่าเสียดายที่อาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำไม่เพียงพอที่จะควบคุมสถานการณ์ปัจจุบัน

เนื่องจากมู่เฉินก็มีด้วยเหมือนกัน!

มู่เฉินยิ้ม จากนั้นก็ถือพัดขนนกสีเขียวพร้อมกับจุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือ ดันคลื่นยกสูงขึ้นหมื่นจั้ง คลื่นหลิงหลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่องพุ่งเข้าใส่พัด

ฮึ่ม ฮึ่ม

ขณะที่พลังงานพุ่งเข้ามา พัดขนนกก็ส่งเสียงครางกระหึ่ง เริ่มขยายตัวและกลายเป็นพัดใบลาน

บนตัวพัดปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณลึกซึ้ง ทุกเส้นสายบรรจุด้วยคลื่นหลิงทรงพลัง

“พัดเทพสายลม!”

ทันใดนั้นมู่เฉินก็โบกพัด พายุสีฟ้าอมเขียวกวนตัวขึ้นมาในบริเวณนี้ก่อนที่จะแยกออกเป็นทอร์นาโดนับไม่ถ้วนล้อมรัศมีหมื่นจั้งรอบมู่เฉินไว้

พายุทอร์นาโดทำให้มิติบิดเบี้ยวจนแตกออก ใครก็ตามที่เข้ามาในระยะก็จะได้รับการโจมตีรุนแรง

ซึ่งสามารถบดจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าให้กลายเป็นเนื้อสับได้เลยทีเดียว

พายุทอร์นาโดปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าที่มู่เฉินยืนอยู่ก่อนจะยกตัวขึ้นพุ่งไปหาจาโหลหลัวในที่สูง จากนั้นเขาก็ยิ้มขณะโบกพัดในมือ “บังเอิญจริงๆ ข้าก็มีอาวุธมหสวรรค์เหมือนกัน”

ใบหน้าของจาโหลหลัวเปลี่ยนไปอย่างเคร่งขรึม สายตาจับจ้องไปที่พัดขนนกของมู่เฉิน เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะอาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำเช่นกัน

จำนวนไพ่ตายของมู่เฉินเกินความคาดหมายของจาโหลหลัวไปไกล

“ถ้างั้นก็มาดูกันว่าอาวุธมหสวรรค์ของใครเจ๋งกว่ากัน!” จาโหลหลัวเค้นเสียงเย็น ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หนึ่งในพวกเขาต้องตาย เนื่องจากทั้งสองไม่มีโอกาสรับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ไปพร้อมกัน!

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะใช้ศพของมู่เฉินเป็นหินรองเท้าสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขาขึ้น!

“กระแสเทพสังหาร!”

ตราประทับในมือของจาโหลหลัวระเบิดแสงสีดำขณะที่เขาส่งเสียงคำราม มหาสมุทรสีดำหมุนคว้างรุนแรงตามด้วยคลื่นขนาดใหญ่โอบล้อมมู่เฉิน

คลื่นสีดำปกคลุมดวงอาทิตย์ทำให้เกิดเงายาวนับไม่ถ้วนดูน่าสะพรึงกลัวนัก

การยืมพลังอาวุธมหสวรรค์ ทำให้กระบวนท่าการโจมตีของจาโหลหลัวเกินขอบเขตระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มไปแล้ว

คลื่นสีดำถูกระงับ แต่มู่เฉินก็ไม่ตื่นตระหนก เขาโบกพัดในมือ “ทอร์นาโดเทพสายลม!”

ฟู่ ฟู่!

มวลลมเข้าครอบงำทั่วบริเวณนี้และรวมตัวเป็นพายุทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวราวกับมังกรหยกขนาดมหึมา

ครืน!

พายุทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวกวาดผ่าน จากนั้นก็ปะทะกับคลื่นสีดำจนทั่วฟ้าดินสั่นสะเทือนไปหมด

ซ่า ซ่า!

คลื่นมหึมาถล่มลงมาเป็นเม็ดฝนและพายุทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวก็กระจายออกไปราวกับใบมีดเฉือนไปทั่ว

เม็ดฝนปกคลุมพื้นที่ของมู่เฉิน ขณะที่พายุปกคลุมพื้นที่ของจาโหลหลัว

ฝนสีดำสร้างหลุมอุกกาบาตบนพื้นดินอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการกัดกร่อนเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ไม่สามารถต้านทานได้ หากโดนตัวเข้าศพก็คงไม่มีเหลือไว้

ส่วนพายุสีฟ้าอมเขียวก็คมกริบจนทิ้งรอยไว้ในพื้นที่โดยรอบ

พลังทำลายล้างในการโจมตีที่ปลดปล่อยโดยอาวุธมหสวรรค์เกินความคาดหมาย ดังนั้นทั้งคู่จึงไม่กล้าที่จะดูถูกกันเลย

มู่เฉินใช้พายุรุนแรงห่อหุ้มตัว ส่วนจาโหลหลัวมีมหาสมุทรสีดำก่อตัวเป็นกำแพงกั้น

พวกเขามองกันและกันระยะไกลพร้อมกับไอสังหารหนาแน่นในดวงตา

ทั้งคู่รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ธรรมดาและในเมื่อพวกเขาเป็นศัตรูคู่อาฆาต พวกเขาก็ต้องกำจัดอีกฝ่ายไม่ให้เติบโตเป็นภัยพิบัติได้

ตู้ม!

ดังนั้นทั้งสองจึงได้กระตุ้นอาวุธเทพทันที เทพลังงานเข้าไป ทั้งภูมิภาคกลายเป็นดินแดนของพายุสีฟ้าอมเขียวและน้ำสีดำ

ครืนๆๆๆ!

น้ำสีดำพวยพุ่งออกมาในรูปลักษณ์ของมังกรวารี ก่อนที่จะถูกพายุสีฟ้าอมเขียวฉีกออกจากกัน

การปะทะกันระหว่างทั้งสองดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ขนาดของการโจมตีเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ยังต้องเผชิญอย่างจริงจัง

ครืน!

คลื่นกระแทกทรงพลังอีกระลอกเข้าครอบงำ ทั่วทั้งภูมิภาคเต็มไปด้วยเม็ดฝนสีดำและพายุรุนแรง ร่างมู่เฉินและจาโหลหลัวกระตุกจากคลื่นกระแทก ก่อนที่จะถูกผลักให้ถอยห่างออกไป

ใบหน้าของทั้งสองซีดขาวลง เนื่องจากการเร้าใช้อาวุธมหสวรรค์ ต้องใช้พลังงานหลิงมหาศาล ก่อนหน้านี้ทั้งคู่ต่างได้ใช้ของเหลวจื้อจุนช่วย

นั่นก็หมายความว่าในเวลาเพียงสิบนาทีสั้นๆ พวกเขาก็เผาผลาญของเหลวจื้อจุนไปหลายล้านหยดแล้ว

ทั้งสองไม่มีทางเลือกเนื่องจากไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน พวกเขาไม่สามารถใช้พลังงานหลิงรอบตัวเพื่อสนับสนุนการใช้งานอาวุธมหสวรรค์ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพึ่งพาของเหลวจื้อจุนเท่านั้น

แน่นอนว่าพวกเขาสามารถพึ่งพาคลื่นหลิงของตนได้เช่นกัน แต่ในการต่อสู้ระดับนี้คลื่นหลิงมีค่าอย่างยิ่งเนื่องจากพวกเขารู้ว่าคนแรกที่แสดงสัญญาณความเหนื่อยล้าจะตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ

พลังอำนาจของอาวุธมหสวรรค์น่ากลัวอย่างแท้จริง แต่ราคาที่ต้องจ่ายก็น่ากลัวยิ่งสำหรับพวกเขา หากเป็นเช่นนี้ต่อไปทั้งคู่จะถูกดูดพลังจนแห้งกรอบ

ดวงตาทั้งสองต่างกะพริบวูบไหวในเวลานี้

จาโหลหลัวรู้สึกจำนนเล็กน้อยเนื่องจากในตอนแรกที่เขานำตราประทับออกมาก็ด้วยความตั้งใจที่จะฆ่ามู่เฉินในทันที แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะมีอาวุธมหสวรรค์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ซึ่งทำให้การต่อสู้ยกนี้เข้าสู่ทางตัน

ทว่าการสู้ต่อไปเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง ถ้าเกิดคลื่นหลิงหมดลงจะทำอย่างไรดี?

แม้ว่ามู่เฉินจะมีความเป็นไปได้สูงกว่าที่จะตกอยู่ในสถานการณ์นั้นเช่นกัน แต่จาโหลหลัวก็ไม่เต็มใจที่จะเสี่ยงโชคในการต่อสู้ยกนี้

ดังนั้นเขาต้องยุติการต่อสู้ยกนี้ก่อนที่จะหมดแรงลง

จาโหลหลัวเป็นคนเด็ดขาด เมื่อเขาตัดสินใจได้ก็โบกมือ ตราประทับในมือหายไปทันที

ขณะเดียวกันมู่เฉินก็เก็บพัดเทพสายลมไปด้วยเช่นกัน

ในที่สุดฝนเกรี้ยวกราดและลมพายุโกรธคลั่งในมิตินี้ก็สงบลงอย่างช้าๆ

ทั้งสองคนยืนอยู่บนเสาสีทองคนละต้นพร้อมกับไอสังหารหนาแน่นปะทะกันเปรี้ยงปร้างในเส้นทางของสายตา

ทว่าทันใดนั้นทั้งสองก็หลับตาลงพร้อมกัน

เกลียวแสงสีดำเชี่ยวกรากถูกปลดปล่อยออกมาจากจาโหลหลัวค่อยๆ ก่อตัวเป็นร่างเงาขนาดใหญ่

ร่างเงาใหญ่นั่งอยู่เบื้องหลังเขาโดยมีดวงตะวันทรงกลดหมุนคว้างอยู่ด้านหลังศีรษะ

เมื่อร่างเงาสีดำปรากฏขึ้น ร่างเงาสีทองก็พลุ่งพล่านออกมาจากทิศทางของฝ่ายตรงข้าม ร่างสีทองก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังมู่เฉิน

ร่างเงาทั้งสองคล้ายคลึงกัน แต่แค่มีสีแตกต่างกัน

ร่างเงาสีดำราวกับหลุมดำ ขณะที่ร่างเงาสีทองราวกับดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้า

พวกเขาลืมตาขึ้นพร้อมกันอย่างกะทันหัน วาดกระบวนท่าคล้ายกันพร้อมกับเสียงคำรามดังก้องไปทั่วมิตินี้

“ร่างเทพสุริยะ!”

ร่างเทพสุริยะยิ่งใหญ่ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากันด้วยเจตนาสังหาร!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1174 การต่อสู้เข้มข้น
ฟู่ ฟู่!

กระแสพลังสีดำราวกับอสรพิษโอบรอบร่างจาโหลหลัว เขาคำรามลั่นพร้อมกับคลื่นกระแทกกระจายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้มิติโยกคลอน

ตู้ม!

ร่างจาโหลหลัวกลายเป็นสีดำ ยืนตระหง่านบนพื้นดินราวกับเทพปีศาจ รัศมีช่างครอบงำ ตอนนี้เพียงแค่ความแข็งแกร่งของพลังกายอย่างเดียวก็เทียบเท่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว

มู่เฉินมองไปที่จาโหลหลัวด้วยสายตาเคร่งเครียดลง พลังกายของจาโหลหลัวน่าจะแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์ที่เขาเคยเห็นในรุ่นเดียวกันแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะกายามังกรหงส์ได้รับการขัดเกลาจากพิธีชำระล้างทะเลสาบสวรรค์ละก็ เขาอาจไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะจาโหลหลัวได้ในด้านพลังกาย

ตึง!

ขณะที่ร่างกายของมู่เฉินเกร็งขึ้น จิตสังหารก็พุ่งขึ้นในดวงตาของจาโหลหลัว จากนั้นจาโหลหลัวก็กระทืบเท้าหายวับไป

ฮึ่ม!

แสงสีทองระเบิดออกมาจากร่างกายมู่เฉิน เขาไม่ได้ตกใจกับการเคลื่อนไหวของจาโหลหลัว เขากำปั้นซัดออกไปทางด้านขวา

เมื่อเหวี่ยงแขนออกไป จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่ขดอยู่บนแขน ก็ส่งเสียงคำรามรุนแรงพร้อมกับพลังที่สามารถทำลายภูเขาได้

เมื่อมู่เฉินชกออกไป เขาก็เห็นแสงสีดำวาบตรงหน้าซัดหมัดเข้าใส่เขาพร้อมเกลียวแสงสีดำ

ครืน!

หมัดสองหมัดปะทะกันราวกับว่าเป็นอุกกาบาตพุ่งชนกัน

คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้แผ่กระจายออกไป มิติส่งเสียงครางกระหึ่มขณะบิดเบี้ยวไปมารอบๆ หมัดทั้งสอง นอกจากนี้ยังมีรอยแตกแผ่ซ่านคล้ายกับใยแมงมุม

พลังที่น่ากลัวโหยหวนทำให้มู่เฉินและจาโหลหลัวกระเด็นออกไปหลายพันเมตรจากคลื่นกระแทก

วาบ!

ทว่าทันทีที่ทั้งคู่ทรงตัวได้ พวกเขาก็พุ่งออกมาปานสายฟ้าอีกครั้ง

ปัง! ปัง!

ร่างสองร่างวูบไหวไปมาตลอดเวลารอบจัตุรัสพร้อมกับหมัดปะทะกันตูมตาม พวกเขาไม่ได้ใช้พลังงานหลิงมากนัก แต่อาศัยพลังกายล้วนๆ

ทว่าแม้พวกเขาจะไม่ได้ใช้พลังงานหลิงแต่คลื่นกระแทกจากการปะทะก็ทำให้ใบหน้าของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มเปลี่ยนเป็นสีซีดเผือดได้เลยทีเดียว

ในมุมมองของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มหลายคน พลังกายของทั้งสองจัดอยู่ในพวกสัตว์ประหลาด

ในเวลาร้อยลมหายใจพวกเขาก็แลกกระบวนท่ากันไม่รู้กี่ร้อยกระบวนท่าแล้ว การโจมตีของพวกเขาดุร้ายและเชี่ยวชาญพุ่งเป้าไปที่จุดตายของกันและกัน

ตู้ม!

อีกครั้งที่ทั้งสองกระเด็นกลับมาจากการปะทะรุนแรง รอยเท้ายาวลากไปบนลานจัตุรัสสีทอง

ขณะนี้แขนเสื้อพวกเขาฉีกออกเป็นชิ้นๆ มีรอยเลือดที่แขนซึ่งเกิดจากคลื่นกระแทกที่น่ากลัวจากการปะทะกัน ทว่าด้วยพลังกายของทั้งสองคน แค่นี้สบายมาก

แต่กระนั้นการหายใจของทั้งสองก็หนักขึ้นเล็กน้อย การประจัญบานก่อนหน้าทำให้พวกเขาต้องรักษาระดับสมาธิไว้ที่จุดสูงสุด

เผชิญหน้ากับศัตรูแบบนี้ ทั้งคู่ไม่กล้าที่จะผ่อนคลาย

ดวงตาของจาโหลหลัวจับจ้องไปที่มู่เฉิน ฝ่ามือลูบบนแขน บาดแผลของเขาก็หายไปหมด เขาพูดด้วยน้ำเสียงน่าขนลุก “ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเซี่ยหยู่ถึงตายด้วยน้ำมือแก ดูท่าว่าแกมีความสามารถบางอย่างจริงๆ”

จากการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่เขาดึงการดูถูกทั้งหมดในใจลง มู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา เช่นเดียวกับที่เขารู้สึกเมื่อเผชิญหน้ากับจู้เยี่ยน

สายตาของมู่เฉินยังคงไม่แยแสขณะแสงสีทองเอิบอาบทั่วร่างกาย จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่ขดอยู่รอบร่างเขาก็จ้องไปที่จาโหลหลัวเขม็ง

จาโหลหลัวหัวเราะเยาะกับภาพนี้ “แต่ไม่ว่าแกจะโดดเด่นแค่ไหน วันนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้และคนคนนั้นไม่ใช่แก!”

ตู้ม!

พูดจบทันใดนั้นเขาก็เหวี่ยงหมัดออกมาซึ่งมีพลังหลิงเชี่ยวกรากรวมกันภายใต้นั้น เปลี่ยนหมัดให้กลายเป็นภาพกว้างหมื่นจั้งราวกับกับสัตว์อสูรร้ายสีดำก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่มู่เฉิน

เวลานี้ในที่สุดจาโหลหลัวก็เริ่มใช้คลื่นหลิงแล้ว ชัดว่าเขาไม่ต้องการที่จะลากศึกนี้ออกไปอีก

เงาสีดำปกคลุมไปทั่ว สายตาของมู่เฉินก็หดลง มิติด้านหลังเขาผันผวน จุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นเลือนรางพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตแผ่ออกไป

มู่เฉินผลักฝ่ามือทั้งสองออกไป ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็กวาดออกกลายเป็นปราการขนาดใหญ่นับหมื่นจั้งพร้อมกับจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนอยู่ด้านบน เร้าพลังป้องกันถึงจุดสูงสุด

ตู้ม!

หมัดรุนแรงปะทะเข้ากับปราการ แต่ก็ทำให้ปราการเกิดการสั่นสะท้านเท่านั้น พลังไม่เพียงพอที่จะทำลายลงได้

แต่ถึงอย่างนั้นมู่เฉินก็ไม่ได้ผ่อนคลายเพราะเขารู้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น

ครืน! ครืน!

ขณะที่ความคิดนี้วาบผ่านในใจ เสียงฟ้าคำรนไม่มีที่สิ้นสุดก็ดังขึ้นในมิตินี้ มู่เฉินเงยหน้าขึ้นเห็นอุกกาบาตสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงมาจากท้องฟ้า

นี่คืออุกกาบาตที่เกิดจากหมัดซึ่งต้องการจะทำลายล้างทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าทั้งหมด

ปัง! ปัง!

ระลอกคลื่นรุนแรงแผ่กระจายออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ จากปราการขนาดใหญ่เมื่อหมัดซัดลงมา

ทว่าด้วยการเสริมของจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง ทำให้ความสามารถในการป้องกันของปราการทรงพลังอย่างยิ่ง แม้ว่าจะเต็มไปด้วยรอยแตกเมื่ออุกกาบาตลูกสุดท้ายซัดลงมา แต่ปราการก็ยังคงยืนที่เบื้องหน้ามู่เฉินอย่างสง่างาม

ทว่าเวลานี้เองหัวใจของมู่เฉินก็โลดขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายยิ่งใหญ่ เขารีบเงยหน้าขึ้นก็เห็นจาโหลหลัวยืนอยู่บนเสาสีทองต้นหนึ่งมือทั้งสองข้างสร้างตราประทับแปลกประหลาด

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรอบตัวคำรามราวกับมหาสมุทรสีดำ ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง

จาโหลหลัวมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาเยาะเย้ย จากนั้นมือทั้งสองก็เคลื่อนไหว ทันใดนั้นมหาสมุทรสีดำก็พวยพุ่งพร้อมกับบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวภายใน ความผันผวนที่น่ากลัวแพร่กระจายออกไป

ขณะนี้ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดถึงขีดสุด

“ข้ารู้ว่าแกรับมือได้ยาก ดังนั้นข้าไม่ได้คาดหวังว่าการโจมตีนั้นจะเป็นภัยคุกคามกับแก นั่นมีไว้เพื่อซื้อเวลาให้ข้าเท่านั้น” จาโหลหลัวยิ้มก่อนจะเหยียดนิ้วออกแตะลงบนมหาสมุทรสีดำ

“วิทยายุทธระดับเสินทง คัมภีร์เซิ่งหมัว หัตถ์เทพปีศาจ!”

ตู้ม!

ทันใดนั้นมหาสมุทรสีดำก็ฉีกออกจากกัน รัศมีสีดำทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่จะกลายเป็นมือสีดำที่ดูเหมือนว่าแหวกออกมาจากนรกโอบล้อมเขาไว้

มือสีดำโอบล้อมพื้นที่ทั้งหมดทำให้การหลบหนีเป็นไปไม่ได้เลย

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ จากการตัดสินด้วยพลังอำนาจ นี่จะต้องเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงที่แท้จริง!

ไม่คิดว่าจาโหลหลัวจะฝึกวิทยายุทธระดับเสินทงสำเร็จ!

สีหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดมากก่อนที่จะหายใจเข้าลึก ดวงตาปิดลงก็เบิกโพลงขึ้นทันที สีนัยน์ตาทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ จิตสังหารน่าสะพรึงระเบิดออกมาจากในใจ

มู่เฉินยืนนิ่งขณะมองมือขนาดใหญ่ ขณะนี้รัศมีที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดเปรี้ยงปร้างจากร่างกายไม่หยุด

เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงกะทันหันของมู่เฉิน ม่านตาจาโหลหลัวก็หดลง จากนั้นเขาก็เห็นมู่เฉินถอยหลังไปครึ่งก้าว ร่างโค้งไปทางด้านหลังเหวี่ยงหมัดข้างขวาออกมา

ขณะเดียวกันเสียงทุ้มต่ำก็ดังก้อง

“หมัดปีศาจพลีชีพ!”

มู่เฉินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เมื่อเทียบกับมือขนาดใหญ่เขาตัวเล็กเหมือนมด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพุ่งเข้าไปอย่างไม่กลัวเกรง กำปั้นของเขาปะทะกับมือขนาดมหึมานั่น

ฮึ่ม!

วินาทีที่ปะทะกันทั่วบริเวณก็เงียบงัน

ทว่าท่ามกลางความเงียบงัน รอยแตกก็เริ่มกระจายออกไปในอากาศ ดูราวกับมังกรมหึมากำลังกางกรงเล็บปลดปล่อยดระลอกคลื่นสั่นไหว

ตู้ม!

ท่ามกลางการปะทะที่เงียบงัน มิติก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น อึดใจถัดมามือขนาดใหญ่ก็สั่นสะท้านก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ

แต่เมื่อมือขนาดใหญ่แตกสลาย มู่เฉินก็ถูกกระแทกไปข้างหลังชนกับเสาสีทองจนเสาแตกเป็นฝุ่นสีทองลอยอยู่ในอากาศ

ไกลออกไปแม้ว่าจาโหลหลัวจะไม่ได้ถอยไป แต่เสาที่อยู่ใต้เท้าเขาก็กลายเป็นฝุ่น ใบหน้าเขาดูเคร่งขรึม

ฝุ่นสีทองฟุ้งไปทั่ว

มู่เฉินทรงตัวขณะมองไปที่จาโหลหลัว ทั้งคู่มีรอยเลือดไหลออกมาจากมุมปาก

ชัดว่าพวกเขาได้รับผลกระทบจากการปะทะกันของวิทยายุทธระดับเสินทง

สายตาของจาโหลหลัวมืดครึ้ม เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้คัมภีร์เทพแล้วไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้

มู่เฉินก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน เนื่องจากหมัดปีศาจพลีชีพก็ล้มเหลวเป็นครั้งแรกเช่นกัน

ศัตรูตัวฉกาจจริงๆ!

ทั้งสองมีความคิดเดียวกันในใจ!

ดังนั้นตราประทับสีดำจึงปรากฏขึ้นในมือของจาโหลหลัวในอึดใจต่อมา

ส่วนพัดขนนกสีฟ้าอมเขียวก็ปรากฏในมือของมู่เฉิน

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1173 สู้กับจาโหลหลัว
เมื่อมู่เฉินก้าวเข้าไปในดวงดาว

เขาก็สัมผัสได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนไป มิติบิดเบือนและเมื่อสายตากลับมาเป็นปกติเขาก็สังเกตว่าถูกนำมาที่จัตุรัสที่เหมือนจะหลอมมาจากทองคำ

มีเสาทองคำตั้งตระหง่านอยู่บนลานกว้างพุ่งเสียดไปบนก้อนเมฆ ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยกลิ่นอายรกร้างยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจบรรยายได้

มู่เฉินยืนอยู่ในจัตุรัสมองไปที่แท่นบูชาสีทองตรงกลางพร้อมกับรัศมีสีทองล้อมรอบ หน้ากระดาษทองคำบางเบาลอยอยู่ในแสงสีทองอย่างเงียบๆ

มู่เฉินมองไปที่กระดาษทองคำก็รู้สึกว่าขมับกระตุกขึ้นด้วยความเจ็บปวด

อารมณ์ทั้งหมดบิดเกลียวจนถึงขีดสุดในขณะนี้

เพราะเป้าหมายที่ตามหามาเนิ่นนานในที่สุดก็ปรากฏที่เบื้องหน้าเขาแล้ว

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สูญเสียสติที่เชื่อว่าสิ่งนี้เป็นของเขาแล้ว เขาคงฝันกลางวันถ้าคิดว่าสิ่งนี้จะรับไปได่อย่างง่ายดาย

ตามการคาดการณ์เขาอาจต้องได้รับการทดสอบเพื่อให้ได้มา ซึ่งไม่มีประโยชน์ที่จะคิดมากว่าเป็นการทดสอบแบบใด เพราะไม่ว่ายังไงวันนี้มู่เฉินก็สู้ไม่ถอยแน่

มู่เฉินปรับหัวใจให้สงบลง นั่งลงบนลานสีทองหลับตารอให้การทดสอบมาถึง

การรอคอยของเขากินเวลาไม่ได้นาน เขาลืมตาขึ้นมองไปอีกทางหนึ่งของจัตุรัส

มิติบิดเบี้ยว แสงสีทองกลั่นตัวเป็นเงา

มู่เฉินมองไปที่ภาพเงาที่คุ้นเคยด้วยสายตาสงบ ใบหน้าไม่มีความประหลาดใจแม้แต่น้อย เพราะชายคนนี้ก็คือจาโหลหลัวที่ได้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะเช่นกัน

ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยจักรพรรดิปีศาจลู่หยวนและยังเป็นผู้ฝึกร่างเทพสุริยะ มู่เฉินไม่เชื่อว่าจาโหลหลัวจะไม่มีหนทางที่จะมาถึงที่นี่

ขณะที่มู่เฉินมองไปอย่างไม่แยแส จาโหลหลัวก็ลืมตาขึ้นและสังเกตเห็นมู่เฉิน

เมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายมาถึงที่นี่ใบหน้าเรียบเฉยก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้

“แกยังไม่ตายเหรอ?” จาโหลหลัวหรี่ตาพลางขมวดคิ้ว

ผู้อาวุโสจั่วแห่งตำหนักเทพปีศาจเป็นคนหยุดมู่เฉินเอาไว้ แม้ว่าผู้อาวุโสจั่วจะจ่ายราคามหาศาลเพื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล แต่พลังที่เขามีก็เพียงพอจะสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้ทันที

เดิมทีจาโหลหลัวคิดว่ามู่เฉินถึงวาระแล้ว ดังนั้นจึงจากไปโดยไม่ลังเล เพราะยังไงเขาก็ไม่สามารถนึกถึงวิธีใดๆ ที่มู่เฉินจะใช้เพื่อหลบหนีจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้

ทว่าตอนนี้เรื่องที่เขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ กลับปรากฏต่อหน้าเขา ซ้ำยังมองมาด้วยอาการยิ้มเยาะ ทุกอย่างแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายมีชีวิตรอดอยู่ได้ภายใต้เงื้อมมือของผู้อาวุโสจั่ว

“ข้ายังไม่ได้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ไม่คิดจะตายอยู่แล้ว” มู่เฉินยิ้มอ่อน

ใบหน้าของจาโหลหลัวมืดครึ้ม แต่ก็เปลี่ยนการแสดงออกรวดเร็วและพูดอย่างไม่แยแสว่า “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าแกใช้วิธีใดในการหลบหนีจากผู้อาวุโสจั่ว แต่ก็ไม่สำคัญเพราะผลลัพธ์จะเหมือนกันแม้ว่าจะเป็นข้าที่เคลื่อนไหว”

มู่เฉินยิ้มไม่เชิงยิ้มให้จาโหลหลัว “แกไม่คิดมั่งเหรอว่าอาจเป็นมันที่หนีไปแทน?”

ถ้าตาแก่นั่นไม่ได้วิ่งเร็วขนาดนั้นก็จะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนแรกที่มู่เฉินสังหาร

จาโหลหลัวกอดอกขณะเยาะเย้ย “ถ้าแกมีความสามารถเช่นนั้น แกจะยอมให้ข้ายืนอยู่ตรงนี้ได้อีกรึ?”

มู่เฉินกำหมัดแน่นป้ายกองทัพก็ปรากฏขึ้น เขาเทคลื่นหลิงเข้าไปและเมื่อกำลังกระตุ้นเขาก็ต้องหรี่ตาพลางส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

เนื่องจากเขาตระหนักว่าเกิดความล้มเหลวในการเรียกกองทัพสังหารวิญญาณ

เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้แยกการเชื่อมต่อของเขากับกองทัพสังหารวิญญาณ ซึ่งน่าจะเป็นผลงานของหอคัมภีร์เทพซ่อน

“ต้องการให้เราเปิดศึกมรณะอย่างยุติธรรมรึ?”

มู่เฉินพึมพำ แต่ก็ไม่ได้เศร้าอะไรแค่เสียดาย เพราะมีเพียงร่างเทพสุริยะที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติในการพัฒนา

ก็คล้ายกับการเลี้ยงแมลงพิษ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจะกัดกินผู้ที่อ่อนแอ ถ้าเขาใช้กองทัพสังหารวิญญาณเพื่อสังหารจาโหลหลัวก็จะขัดต่อกฎของร่างเทพสุริยะนิรันดร์

“ถ้าข้ารู้แบบนี้ก็ควรฆ่ามันไปก่อนหน้าแล้ว” มู่เฉินรู้สึกเสียดาย แต่อึดใจก็ส่ายหัว

เวลานั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใช้กองทัพสังหารวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะผู้อาวุโสจั่วได้หรือไม่ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย การให้จาโหลหลัวจากไปถือเป็นการดีที่สุด

ถ้าจาโหลหลัวและผู้อาวุโสจั่วร่วมมือกันใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้นการแยกจัดการทีละคนยังดีกว่า เพราะตอนนี้ต่อให้เขาจะไม่สามารถใช้กองทัพสังหารวิญญาณได้ แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัวจาโหลหลัวหรอก

จาโหลหลัวมองไปที่มู่เฉินที่กำลังถอนหายใจ ก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่ามู่เฉินโชคดีที่หนีรอดพ้นมาจากผู้อาวุโสจั่ว ทันใดนั้นเขาก็เยาะเย้ยเสียงเย็นชาขณะชี้ไปที่แท่นบูชา “แกรู้ไหมว่านั่นคืออะไร?”

“หืม?”

“นั่นคือแท่นบูชาบูชายัญ… แกรู้ไหมว่าต้องบูชาอะไร?” จาโหลหลัวเลียริมฝีปากขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดครึ้ม “ต้องบูชาร่างเทพสุริยะ!”

ดวงตาของมู่เฉินหดลงไปกับคำพูดของจาโหลหลัว

“โดยการสังเวยร่างเทพสุริยะ เพลิงศักดิ์สิทธิ์จะถูกจุดขึ้นเพื่อปรับแต่งร่างเทพสุริยะอีกร่างจนเกิดวิวัฒนาการ”

จาโหลหลัวยิ้มน่าขนลุกขณะพูดต่อ “ดังนั้นนี่เป็นโชคดีสำหรับข้าที่แกสามารถมาถึงที่นี่ได้ มิฉะนั้นข้าจะต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อจุดไฟแท่นบูชาด้วยตนเอง”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง” มู่เฉินเข้าใจได้จากคำอธิบายของจาโหลหลัว ไม่คิดว่าแท่นบูชานี้จะต้องมีเครื่องสังเวยด้วย

ข้อมูลนี้น่าจะมาจากลู่หยวน เพราะชายคนนั้นเคยเป็นพาหนะของจักรพรรดิฟ้า ดังนั้นเขาต้องรู้ความลับหลายอย่างของวังสวรรค์บรรพกาล

“คำพูดของแกทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” มู่เฉินถอนหายใจ ที่แท้จะต้องมีเครื่องสังเวยเพื่อพัฒนาระยะสองเป็นร่างกลาง—ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ นับว่าโชคดีที่เขาไม่ได้ฆ่าเจ้านี่ที่ข้างนอก

“โง่เง่า!”

ตอนแรกจาโหลหลัวต้องการทำลายความเชื่อมั่นของมู่เฉิน ทว่าใบหน้าเขาก็ต้องเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มเนื่องจากล้มเหลว เขาไม่คิดจะพูดต่อไปอีกกระทืบฝ่าเท้าลงไปแทน

ตู้ม!

คลื่นหลิงเชี่ยวกรากพุ่งขึ้นราวกับพายุกวาดออกจากร่างจาโหลหลัว มิติก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

หลังจากการชำระล้างในทะเลสาบสวรรค์ ขุมพลังของจาโหลหลัวก็มีถึงขีดสุดของระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว!

ในแง่ของพรสวรรค์หากเขาสามารถออกจากวังสวรรค์บรรพกาลทั้งที่มีชีวิตอยู่ได้ก็จะมีโอกาสสูงที่จะทะลุไปยังระดับตี้จื้อจุน

เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่มาจากจาโหลหลัว ท่าทางของมู่เฉินก็ดูเคร่งขรึมลงเล็กน้อย หากปราศจากกองทัพสังหารวิญญาณจาโหลหลัวก็เป็นศัตรูที่เขาไม่สามารถประมาทได้

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ศึกครั้งนี้เกี่ยวข้องกับผู้ชนะคนสุดท้าย เนื่องจากมีเพียงหนึ่งในร่างเทพสุริยะของพวกเขาเท่านั้นที่สามารถผ่านวิวัฒนาการได้

ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้จะต้องรุนแรงถึงที่สุด

ตู้ม!

ยามนี้คลื่นหลิงของระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของมู่เฉินในลักษณะของภูเขาไฟระเบิดพร้อมกับเกลียวแสงสีทองแล่นแปลบปลาบบนพื้นผิวร่างกาย เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องออกมา

จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตบนผิวหนังของมู่เฉินนำพาความสามารถและความแข็งแกร่งในการป้องกันที่ทรงพลัง

มู่เฉินยืนอยู่เงียบๆ แต่ดูราวกับสัตว์อสูรดึกดำบรรพ์ที่เอิบอาบด้วยแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัว

“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าพลังกายของแกจะมาได้ไกลถึงจุดนี้!” จาโหลหลัวมองไปที่มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่ปรากฏเลือนรางอยู่ด้านหลังมู่เฉินม่านตาก็หดเกร็ง ยิ่งเมื่อเห็นแรงกดดันทรงพลังที่มู่เฉินเปล่งออกมา เขาก็รู้สึกเสียใจในใจ ตอนที่เจอมู่เฉินครั้งแรก เขาไม่ได้รู้สึกกลัวอีกฝ่ายอะไร เพราะด้วยขุมพลังทั้งสองในตอนนั้น เขาไม่รู้สึกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นจะเป็นภัยคุกคามต่อเขาได้

แต่ใครจะคาดคิดว่ามู่เฉินจะก้าวเข้าสู่ขั้นเก้าระยะเต็มในระยะเวลาอันสั้นและยังสามารถหลบหนีจากผู้อาวุโสจั่วได้

ถ้าเขารู้เรื่องนี้ก็คงจะเคลื่อนไหวเต็มกำลังตอนที่มู่เฉินและเซี่ยหยู่ต่อสู้กันและฆ่ามู่เฉินให้เร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต

แต่ตอนนี้…แม้ว่าอาจจะลำบากเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่สายเกินไป

“แกคิดว่ามีเพียงตัวเองเท่านั้นที่มีพลังกายแข็งแกร่งเรอะ?”

จาโหลหลัวยิ้มน่าขนลุกก่อนที่จะกำหมัดเข้าหากัน คลื่นหลิงสีดำมะเมื่อมระเบิดออกจากร่างกายขณะตัวเขาพองขึ้น ร่างกายเขาดูเหมือนว่าถูกหลอมมาจากโลหะสีดำที่มีพลังไม่อาจบรรยายได้ นอกจากนี้ยังมีลวดลายสีดำโบราณแผ่กระจายออกมาบนพื้นผิวของร่างกาย ทำให้เกิดพลังที่น่ากลัว

เสียงคำรามของจาโหลหลัวที่เต็มไปด้วยจิตสังหารหนาแน่นดังก้องไปทั่วจัตุรัสทองคำ!

กายาเทพปีศาจ!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1172 ค้นหาร่างเทพสุริยะนิรันดร์
ขณะที่มู่เฉินก้าวเข้ามาในหอคัมภีร์เทพซ่อน

กลุ่มแสงสว่างจ้าวาบขึ้นที่เบื้องหน้า จากนั้นแสงก็ลดลงภาพทางช้างเผือกไม่มีที่สิ้นสุดก็ปรากฏในครรลองสายตาของเขา

เขาเดินอยู่บนทางช้างเผือก เมื่อกวาดตามองไปก็ดูยิ่งใหญ่อลังการ

ดวงดาวพริบพราวนับไม่ถ้วนซึ่งดูงดงามมากขณะที่เขาทอดเดินไปบนนั้น

“นี่คือหอคัมภีร์เทพซ่อนเหรอ?” มู่เฉินมองไปที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวกว้างใหญ่ไพศาลพลางพึมพำ เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเล็กน้อยสำหรับเขา เนื่องจากหอคัมภีร์นี้ไม่ใช่หอหนังสือ ซึ่งเขาไม่เห็นทักษะเทพอะไรอยู่ที่นี่สักเล่มเลย

ฮึ่ม

ขณะที่มู่เฉินกำลังงงงวยท้องฟ้าก็สั่นไหว จากนั้นเสียงครางกระหึ่มก็ดังขึ้น เกลียวแสงนับไม่ถ้วนพุ่งลงมา

เมื่อมู่เฉินเข้ามาใกล้ก็ตระหนักได้ว่าเส้นแสงเหล่านั้นเป็นสีของดาวหาง ซึ่งมีหลากหลายสีดูงดงามมาก

ทว่าเมื่อมองเข้าไปใกล้ดวงตาของมู่เฉินก็ต้องหดเกร็ง เมื่อพบว่าดาวหางเหล่านั้นไม่ใช่อุกกาบาต แต่เป็นม้วนคัมภีร์

“ที่แท้พวกคัมภีร์เทพและทักษะลับเหล่านั้นก็คือดาวหางสินะ?”

มู่เฉินอึ้งไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่ไร้ขอบเขต แสงหลิงควบแน่นในดวงตาและเขาก็สังเกตเห็นว่าดวงดาวเหล่านั้นเป็นม้วนคัมภีร์ที่มีความผันผวนคลุมเครือและลึกซึ้งที่เล็ดลอดออกมา

ชัดว่าดวงดาวเหล่านี้ก็คือคัมภีร์เทพและทักษะลับต่างๆ

“จำนวนมากมายขนาดนี้ แล้วร่างเทพสุริยะนิรันดร์อยู่ที่ไหนกัน?” มู่เฉินขมวดคิ้ว หอคัมภีร์เทพซ่อนกว้างใหญ่เหลือคณนา ตามการคาดการณ์ของเขาสมบัติที่อยู่ในนี้อาจเทียบได้กับเผ่าโบราณเลยทีเดียว

หากไม่มีคำแนะนำใดๆ คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะพบร่างเทพสุริยะนิรันดร์

ทว่าแม้เขาจะรู้สึกกังวลเล็กน้อยแต่ก็ไม่ยอมแพ้ หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่มู่เฉินก็ไม่ลังเล ร่างกลายเป็นร่างแสงทะยานไปยังดาวหางเหล่านั้น

วาบ! วาบ!

ขณะที่เขาเดินทางไปท่ามกลางดาวหาง เขาก็มุ่งความสนใจไปที่การรับรู้ ในเมื่อตัวเขาฝึกฝนร่างเทพสุริยะก็น่าจะมีการเชื่อมโยงลึกลับกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ถ้าอยู่ใกล้ๆ เขาอาจจะรู้สึกได้

ขณะที่ค้นหามู่เฉินไม่ได้ถูกล่อลวงโดยคัมภีร์เทพทรงพลังเหล่านั้น เนื่องจากเขาไม่แน่ใจว่าจะได้รับตัวเลือกกี่ชิ้นในหอคัมภีร์เทพซ่อน ดังนั้นหากเขาเลือกแบบสะเปะสะปะก็อาจถูกเตะโด่งออกไป ลำไส้ของเขาคงกลายเป็นสีเขียวคล้ำจากความเสียใจแน่นอน

ดังนั้นในกรณีที่ไม่แน่ใจ เขาจึงเลือกทำตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ก่อน

เขาคล้ายกับนักเดินทางระหว่างดวงดาว เขาสูญเสียแนวคิดเรื่องเวลาและค้นหาสิ่งที่ต้องการอย่างดื้อรั้น

ภายใต้การเดินทางอย่างต่อเนื่อง เขาได้เห็นคัมภีร์เทพมากมายซึ่งทั้งหมดอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่เขาก็ยอมแพ้โดยไม่ลังเลใดๆ

เวลาผ่านต่อไปเรื่อยๆ

ตอนนี้มู่เฉินปรากฏตัวต่อหน้าดวงดาวลุกโชติช่วงขนาดใหญ่ที่ราวกับเปลวไฟ ทำให้มิติบิดเบี้ยวจากอุณหภูมิที่สูง

มู่เฉินมองไปที่ม้วนคัมภร์ภายใน มีมังกรเพลิงสลักอยู่บนนั้นพร้อมข้อความโบราณที่สามารถมองเห็นได้อย่างคลุมเครือ

คัมภร์มังกรเพลิงดับโลกา วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม

มู่เฉินหรี่ตาลง ไม่คิดว่านี่จะเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม…ต้องรู้ว่ากระทั่งเขายังฝึกฝนหมัดปีศาจพลีชีพที่ยังไม่สมบูรณ์เท่านั้น

ถ้าหมัดปีศาจเป็นวิชาที่สมบูรณ์ก็อาจเทียบได้กับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม แต่พลังที่ไม่สมบูรณ์นี้ก็คล้ายกับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กเท่านั้น

วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็มเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังถูกดึงดูดมาได้

มู่เฉินมองไปที่ดวงดาวพลางสัมผัสถึง เขาน่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงหากต้องการได้มา

ทว่ามู่เฉินลังเลชั่วครู่ก็หันจากไป แม้ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็มจะมีค่า แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสั่นคลอนหัวใจของเขาได้

การสูญเสียแนวคิดเรื่องเวลาเป็นกระบวนการที่ช้าและเปล่าเปลี่ยวขณะที่เขาเดินทาง แต่เขาก็ไม่ได้ใจร้อนหรือวิตกกังวล ยังคงรักษาใจตนเองไว้มั่น

ทว่าทักษะที่เขาตามหาก็ยังไม่ปรากฏ

ทันใดนั้นมู่เฉินก็หยุดมองไปที่ทางช้างเผือกไร้ขอบเขต บางทีอาจมีร่างเทพสุริยะอยู่ท่ามกลางพวกมันเขา แต่เขารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะพบถ้าเขาเป็นฝ่ายหา

เขามีความเข้าใจบางอย่างในใจ ร่างเทพสุริยะเป็นร่างต้นเมื่อวิวัฒนาการจะกลายเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ซึ่งเป็นร่างกลางและระยะพัฒนาร่างสุดท้ายก็คือ—ร่างมหาเทพนิรันดร์ในตำนานซึ่งเป็นหนึ่งในห้าร่างมหาเทพปฐมกาลแห่งมหาพันภพ

ดังนั้นมันจึงควรได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในอันดับต้นๆ ของหอคัมภีร์เทพซ่อน คงเป็นไปไม่ได้ที่จะพบสมบัติเช่นนี้หากเขาค้นหา

เว้นแต่มันจะเต็มใจที่จะปรากฏเอง

มู่เฉินหลุบตาลงจากนั้นก็นั่งลงพร้อมกับแสงหลิงไร้ขอบเขตจะพุ่งออกมาจากร่างกายของเขาก่อนที่จะรวมตัวเป็นเงาสีทองขนาดใหญ่

ดวงตะวันสีทองสว่างไสวปรากฏขึ้นด้านหลังศีรษะของภาพเงานั้น นี่ก็คือร่างเทพสุริยะมู่เฉิน

ยามนี้ร่างเทพสุริยะนั่งอยู่ในความว่างเปล่าในท่าทางเดียวกับมู่เฉิน แสงสีทองไร้ขอบเขตพลุ่งพล่านออกมาจากดวงตะวันด้านหลังศีรษะ

มู่เฉินดำดิ่งลงสู่ความเงียบ เขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะค้นหา แต่ตัดสินใจปล่อยร่างเทพสุริยะออกมาเพื่อล่อเหยื่อ

ทั่วบริเวณเงียบงัน

เวลาไหลช้ามาก ราวกับเวลาถูกแช่แข็งซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองเดินผ่านกาลเวลามาหลายปี

ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนบ้าคลั่งได้

เวลาผ่านไป มู่เฉินใช้คลื่นหลิงเพื่อคงร่างเทพสุริยะอย่างต่อเนื่อง แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกอ่อนล้าแล้ว

ในมิติแห่งนี้ เขาสูญเสียคลื่นหลิงไปมาก มิหนำซ้ำยังไม่สามารถดูดซับคลื่นหลิง ส่วนร่างเทพสุริยะยังคงต้องใช้คลื่นหลิงต่อไป

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ยอมแพ้ เขาเทพลังงานทั้งหมดในร่างกายไปยังร่างเทพสุริยะ

หลังจากนั้นก็เหมือนผ่านไปนาน

แสงหลิงรอบตัวมู่เฉินสลัวลงเต็มที่ ร่างเทพสุริยะก็สูญเสียความแวววาวราวกับว่าจะหายไปในไม่ช้า

ทว่าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่มู่เฉินรอคอยอย่างอดทนก็ยังคงไม่ปรากฏขึ้น

“ใช้ไม่ได้เหรอ…?”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้แม้แต่คนที่ดื้อรั้นอย่างเขายังรู้สึกผิดหวังและเริ่มสงสัยวิธีการที่ใช้ แต่ครู่ต่อมาเขาก็หลุบตาลง จากนั้นก็เทพลังงานสายสุดท้ายลงไปในร่างเทพสุริยะ

ร่างยิ่งใหญ่สว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง แต่ก็เป็นเพียงชั่วคราว หลังจากนั้นก็เริ่มสลัวลงอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ร่างยิ่งใหญ่กลายเป็นภาพลวงตามากขึ้น สุดท้ายก็จางหายไปเนื่องจากใช้พลังงานหมดแล้ว

มู่เฉินก็อ่อนล้าจากการสูญเสียพลังงาน ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ มืดลง ดวงตาก็เริ่มปิด

ทว่าขณะที่มู่เฉินกำลังจะตกลงไปในความมืดมิด ความผันผวนแปลกประหลาดก็แพร่กระจายออกมาในหัวใจของเขา

การรับรู้ที่ไม่รู้จักพุ่งเข้ามาในหัวใจเขา

มู่เฉินลืมตาขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าขณะมองไปที่เบื้องหน้า

เวลานี้ดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้าโดยที่เขาไม่รู้ตัว ดูราวกับหลอมจากทองคำช่างรกร้างและเก่าแก่พร้อมกับแสงสีทองไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมา

ในดวงดาวนั้นมู่เฉินเห็นหน้ากระดาษสีทองที่มีลวดลายโบราณดังเดิมอยู่บนนั้น

ลวดลายทุกลายดูเหมือนว่าถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติโดยสวรรค์และโลก ราวกับมีพลังแปลกประหลาดที่เรียกลมสั่งฝนได้

สายตาของมู่เฉินจับจ้องไปที่หน้ากระดาษทองคำ เขามองเห็นคำศัพท์โบราณลอยไปมาอย่างช้าๆ

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์

พักใหญ่มู่เฉินก็ยิ้มอ่อนโยนก่อนที่จะลดศีรษะลงและกำหมัดแน่น ขณะนี้เขาสูญเสียการควบคุมจากความสุขและหมัดก็สั่นเทิ้มเล็กน้อย

มู่เฉินสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น

เขารอและทำงานหนักมานานแค่ไหนเพื่อวันนี้?

มองไปที่หน้ากระดาษทองคำ ในที่สุดมู่เฉินก็รู้ว่าหลายปีที่ผ่านมาตัวเองเติบโตขึ้นมาก

เขายิ้มลุกขึ้นเดินเข้าไปในดวงอาทิตย์สีทองขณะไพล่มือข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์

ในที่สุดข้าก็พบเจ้าแล้ว!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1171 หอคัมภีร์เทพซ่อนปรากฏ
ที่ปลายบันได

แท่นดอกบัวสีแดงเข้มกำจายแสงสีแดงซึ่งมีดอกแมนดาลาที่น่าหลงใหลวางนิ่งอยู่ แสงสีเข้มเปล่งออกมาดูแปลกตาอย่างยิ่ง

“นี่คือดอกไม้เทพที่หายากในตำนานของมหาพันภพ—ดอกแมนดาลาเหรอ?”

มู่เฉินก้าวเดินขึ้นไปหยุดที่เบื้องหน้าดอกไม้ กวาดมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น หน้ารายการนิรันดร์ที่สถิตในร่างกายเขามีทักษะการฝึกฝนร่างเทพสุริยะก็ถูกสลักไว้ด้วยลวดลายศักดิ์สิทธิ์ของดอกแมนดาลา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นของจริง

ตำนานเล่าว่าเมื่อดอกแมนดาลาพัฒนาไปจนถึงขีดสุด ก็จะมีพลังเทียบเท่ามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงซึ่งเทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุน

ทว่าดอกไม้ดังกล่าวมีสติปัญญาตั้งแต่เกิดและมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์มืด ดังนั้นแม้ว่าจะเพิ่งเกิด ตราบใดที่ซ่อนตัวกระทั่งจอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังหาไม่พบ

มู่เฉินมองไปที่ดอกไม้แม้ว่าจะปิดผนึกตัวเอง แต่มู่เฉินก็ยังคงสัมผัสได้ถึงพลังพลุ่งพล่านภายใน

ซึ่งทำให้มิติโดยรอบสั่นสะเทือนเบาๆ

มู่เฉินถอนหายใจกับพลังมหาศาลก่อนที่แสงมืดจะควบแน่นในมือกลายเป็นใบไม้สีดำ

แม้ว่าร่างหลักของมั่นถัวหลัวจะปิดผนึกตัวเองไว้ แต่ก็ยังคงมีสัญชาตญาณในการปกป้องตัวเอง หากมู่เฉินพยายามที่จะยึดครองก็จะทำให้มันโจมตีเขาและการโจมตีระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายไม่ใช่สิ่งที่มู่เฉินจะทนได้

แต่โชคดีที่เขาเตรียมตัวมา ใบไม้นี้เป็นสิ่งที่มั่นถัวหลัวมอบให้มาก่อนหน้านี้ ซึ่งใช้ดึงร่างหลักของนางโดยเฉพาะ

มู่เฉินรมใบไม้สีดำด้วยคลื่นหลิงของตนเอง ทำให้ใบไม้เอิบอาบด้วยประกายแสงสีดำและขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็มีขนาดหลายสิบจั้งห่อดอกไม้ที่น่าหลงใหลไว้

ดอกไม้สั่นไหวเล็กน้อย แต่ไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้ใบไม้ห่อตัวเองคล้ายกับรังไหม

มู่เฉินโบกมือดึงรังไหมสีดำออกมา จากนั้นก็มองไปที่แท่นบัวหยกสีแดงเข้มด้วยความใคร่รู้

เขาลูบนิ้วบนแท่นดอกบัว สัมผัสช่างเย็นเฉียบ จากนั้นคลื่นเย็นเยือกก็เข้าสู่ร่างกายเขา

พลังงานที่เข้ามาฉับพลันนี้ทำให้มู่เฉินสะดุ้ง ขณะที่เขากำลังบังคับออกมาก็ต้องตัวแข็งทื่อเนื่องจากตระหนักได้ว่าพลังงานนี้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บที่เขาได้รับจากศพได้อย่างรวดเร็ว

รอยฝ่ามือบนหลังเขาก็ค่อยๆ หายไป

ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีอาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ก็หายเป็นปกติ มากจนแม้แต่ความเหนื่อยล้าจากการควบคุมกองทัพสังหารวิญญาณก็ลดน้อยลง

“นี่…”

ความตกตะลึงฉายขึ้นบนใบหน้ามู่เฉิน แท่นดอกบัวนี้มีความสามารถในการฟื้นตัวที่ทรงพลังขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย?

ต้องรู้ว่าหากมู่เฉินต้องการหายจากอาการบาดเจ็บครั้งนี้จะต้องใช้เวลาฟื้นฟูอย่างน้อยครึ่งวัน แต่ตอนนี้เขาหายได้ในเวลาเพียงสิบกว่านาทีภายใต้การเสริมของแท่นดอกบัวสีแดง ประสิทธิภาพนี้เร็วกว่าอย่างน้อยร้อยเท่า

ดังนั้นเขาสามารถบอกได้ว่าแท่นดอกบัวนี้เป็นสมบัติวิเศษ!

แบบนี้แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บหนักในอนาคต เขาก็จะใช้เวลาในการพักฟื้นน้อยลง มิหนำซ้ำสิ่งนี้ยังมีประโยชน์ต่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนอีกด้วย มิฉะนั้นมั่นถัวหลัวคงไม่ใช้สิ่งนี้เพื่อรักษาบาดแผลของนาง

“มูลค่าของสิ่งนี้น่าจะเทียบได้กับอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลาง!”

มู่เฉินจ้องมองไปที่แท่นดอกบัวสีแดงเข้มพร้อมกับความกระหายอยากในดวงตา ถ้าให้พูดจริงๆ แม้แต่มูลค่าของพัดเทพสายลมก็ยังด้อยกว่าสิ่งนี้

มู่เฉินยิ้มกว้าง ไม่คิดว่าไม่เพียงแต่เขาจะสามารถหาร่างหลักของมั่นถัวหลัวได้เท่านั้น เขายังเก็บเกี่ยวได้แบบไม่คาดคิดอีกด้วย

ดังนั้นมู่เฉินจึงสะบัดแขนเสื้อเก็บแท่นดอกบัวไปโดยไม่ลังเล สมบัติเช่นนี้ไม่ควรทิ้งอย่างสูญเปล่าที่นี่

มู่เฉินปัดมือด้วยความพึงพอใจ ทว่าเขาไม่ได้รีบร้อนที่จะออกไปกลับนั่งลงเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง

เขากำลังรอการปรากฏขึ้นของหอคัมภีร์เทพซ่อน

นับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในวังสวรรค์บรรพกาล เขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาหา ก่อนหน้านี้เขาก็ยังสงสัยว่าตัวเองรู้สึกไม่ถูกต้องหรือเปล่า แต่ขณะนี้เขาสามารถยืนยันได้ว่านั่นจะต้องเป็นหอคัมภีร์เทพซ่อนอย่างแน่นอน

ก็อย่างที่เซียวเซียวบอกไว้มีเพียงสมาชิกที่มีผลงานโดดเด่นเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่หอคัมภีร์เทพซ่อนได้

ตอนนี้ไม่เพียงแต่มู่เฉินสามารถเข้าไปในหอสองและได้รับกองทัพชั้นยอดของจอมพลสอง เขายังเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นในหอหนึ่งและยังผ่านค่ายกลที่น่าสะพรึงที่ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังปวดประสาทได้อีกด้วย

หากผลงานชิ้นโบแดงขนาดนี้ยังไม่เข้าตาหอคัมภีร์เทพซ่อนละก็ สวรรค์ก็คงจะตามืดบอดแล้ว

ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือรอดูว่าหอคัมภีร์ลึกลับจะตอบสนองหรือไม่

เวลาผ่านไปท่ามกลางการรอคอย แต่ก็ยังไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น ราวกับว่าหอคัมภีร์ไม่เห็นด้วยกับการแสดงของมู่เฉิน

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบบางเบา ทว่าจากนั้นแววตาก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ด้วยความมั่นใจในตนเอง

ตราบใดหอคัมภีร์เทพซ่อนมีสติปัญญา มู่เฉินก็มั่นใจได้ว่าความสำเร็จที่ตนเองทำไว้เพียงพอที่จะได้รับคุณสมบัติที่จะเข้าไปในหอคัมภีร์

นั่นเพราะเขาเชื่อว่าแม้จะอยู่ในวังสวรรค์บรรพกาลเมื่อก่อน ผลงานของเขาก็ติดอันดับต้นๆ แน่นอน

สายตาของมู่เฉินราบเรียบมองไปที่มิติตรงหน้าราวกับว่ากำลังมองไปที่หอคัมภีร์เทพซ่อนที่มองไม่เห็น ทำทีเหมือนเขากำลังพูดกับมันด้วยสายตาที่บอกว่าเขามีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปได้

ราวกับว่ามีบางอย่างสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา

ความเงียบนั้นคงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่มู่เฉินจะหดดวงตาเมื่อตระหนักได้ว่ามิติตรงหน้าเริ่มกระเพื่อมไหว

ประหนึ่งมีบทสวดโบราณเปล่งขึ้น ทำให้มิติบิดเบี้ยวก่อนที่หอลึกลับสีฟ้าอมเขียวจะปรากฏขึ้น

มู่เฉินมองไปที่หอลึกลับ หัวใจก็เต้นรัวแรง

เขารู้สึกได้ว่าหอลึกลับกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ แต่เขาไม่กลัวยังคงจ้องมองกลับอย่างแน่วแน่

ทั้งสองมองหน้ากันในห้องโถง ไม่กี่นาทีก่อนที่หอลึกลับจะสั่นไหว มู่เฉินได้ยินเสียงเก่าแก่ดังก้อง

“หัวใจที่มั่นคงและความมั่นใจที่ไม่เปลี่ยนแปลง เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่หอคัมภีร์เทพซ่อน”

มู่เฉินหดดวงตา เสียงเก่าแก่นี่มาจากหอคัมภีร์เทพซ่อนเหรอ?

สติปัญญาของหอคัมภีร์เหนือล้ำขนาดนี้เชียวหรือ? นี่ไม่ใช่สิ่งที่อาวุธมหสวรรค์ธรรมดาจะเทียบได้!

ฮึ่ม ฮึ่ม

ขณะที่มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ หอคัมภีร์ที่ซ่อนอยู่ก็กระเพื่อมไหวเล็กน้อย แสงสีฟ้าอมเขียวควบแน่นเป็นบันไดทอดยาวไปหามู่เฉิน

ชัดว่าเมื่อเดินขึ้นบันไดนี้ไปเขาก็จะเข้าสู่หอคัมภีร์เทพซ่อนอย่างแท้จริง!

มองไปที่บันไดเบื้องหน้าหัวใจมู่เฉินก็ถั่งโถมด้วยคลื่น แม้ว่าเขาจะเป็นคนสุขุมก็ยังอดรู้สึกหวิวๆ ในใจไม่ได้

เขาประสบความสำเร็จจริงเหรอ?

ตราบใดที่เขาเข้าไปในหอคัมภีร์เทพซ่อน เขาก็จะได้รับโอกาสวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ นานแค่ไหนที่เขารอคอยสิ่งนี้?

จากสำนักศึกษาเป่ยชาง เขตต้าหลัวเทียน อาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก้าวขึ้นจากตำแหน่งแม่ทัพจนเป็นจอมพล

เขาทำทุกอย่างมากมายก็เพื่อโอกาสที่จะได้รับวิธีวิวัฒนาร่างเทพสุริยะ!

ตอนนี้เป้าหมายที่ติดตามมาหลายปี ในที่สุดก็จะสำเร็จ นี่ไม่ทำให้เกิดคลื่นสั่นคลอนในหัวใจเขาได้อย่างไร?

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ ระงับอารมณ์ในใจ จากนั้นเขาก็โค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุดให้หอคัมภีร์เทพซ่อน ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปบนบันไดสีฟ้าอมเขียวโดยไม่ลังเล

มู่เฉินก้าวขึ้นไปทีละขั้น ทุกขั้นที่เขาเดินผ่านก็จะจางหายไป

เมื่อเดินไปถึงขั้นบันไดสุดท้าย มิติโดยรอบก็บิดเบี้ยว อึดใจต่อมาเขาก็ไปปรากฏตัวในพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหมอกราวกับดินแดนสวรรค์

หอคัมภีร์ลึกลับโบราณตั้งตะหง่านอยู่ท่ามกลางหมอก

ยามนี้ประตูหอคัมภีร์เทพซ่อนเปิดออกอย่างช้าๆ ภายในราวกับว่ารวมไปด้วยลำแสงโบราณทรงพลังนับไม่ถ้วน

มู่เฉินก้าวเข้าไปโดยไม่ลังเล ย่างเท้าบนดินแดนขุมทรัพย์ที่หลายคนในวังสวรรค์บรรพกาลใฝ่ฝัน!

ทันทีที่ก้าวเข้ามา มู่เฉินก็กำมือแน่นด้วยความตื่นเต้นและกระหายอยากวูบไหวในดวงตา

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์!

ข้ามาแล้ว!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1170 หนึ่งฝ่ามือ
ในโถงยังมีเสียงจากการปะทะกันดังก้อง

ขณะที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้ามู่เฉิน

การทำนายของเขาทำให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

ซากศพใต้เสาขยับออกไปเล็กน้อยภายใต้คลื่นกระแทก แม้ว่าจะแทบไม่ทันสังเกตเห็นได้ แต่ก็ให้ความหวังกับมู่เฉินในการทำลายค่ายกล

แน่นอนว่าเขารู้ดีถ้าศพเหล่านั้นยังคงมีเจตจำนงเหลืออยู่ วิธีนี้ของเขาก็จะไร้ผล

หากพวกมันขัดขืน มู่เฉินก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้จากคลื่นกระแทกที่เขาสร้างขึ้นอย่างแน่นอน

แต่เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินโชคดี

หลังจากผ่านไปนับหมื่นปีซากศพเหล่านั้นก็ถึงที่สุด เจตจำนงที่เหลืออยู่หายไปหมดสิ้น สามารถช่วยคงค่ายกลไว้เท่านั้น

สิ่งนี้ทำให้มู่เฉินเจอข้อบกพร่อง

แต่การที่จะมาถึงจุดนี้ได้ก็เกิดจากความพยายามก่อนหน้านี้ของเขาในการมองโครงร่างค่ายกล เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ

ไม่เพียงแต่มู่เฉินต้องคำนวณพื้นที่เท่านั้นและต้องยังตีให้ตรงเผงเพื่อที่จะส่งคลื่นกระแทกไปยังซากศพ

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึกและไม่ลังเล ทันใดนั้นเขาก็ควบคุมกองทัพสังหารวิญญาณ รัศมีจั้นยี่กวาดออกไปโจมตีตรงจุดเดิมอย่างรุนแรง

ตู้ม! ตู้ม!

ทั้งโถงสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับคลื่นกระแทกกวาดออกอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดรอยแยกขนาดใหญ่บนพื้นดิน

แต่ไม่ว่ารอยแยกจะขยายไปมากเท่าไรก็ไม่สามารถเข้าไปในส่วนค่ายกล ได้แต่ล้อมอยู่รอบนอกราวกับมังกรดุร้ายขดตัว

ภายใต้การโจมตีที่รุนแรงศพที่เป็นเป้าหมายที่อยู่ใต้เสาก็สั่นสะท้านไม่หยุด ค่อยๆ ขยับออกมาที่ละนิด

มันค่อยๆ เคลื่อนออกจากรัศมีของเสา

การโจมตีใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแม้แต่การหายใจของมู่เฉินก็ยังหนักหน่วงขึ้นเนื่องจากการควบคุมกองทัพสังหารวิญญาณเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาในตอนนี้

พื้นดินรอบนอกดูเละเทะอย่างยิ่ง แต่สายตาของมู่เฉินยังคงจับจ้องไปที่ศพ เขาคำนวณระยะทางคร่าวๆ แล้วหรี่ตาลง

“อีกนิดข้าก็สามารถเคลื่อนศพออกจากเสาหินได้แล้ว”

มู่เฉินพึมพำร่างกายขมวดขึง ด้วยความคิดสายหนึ่งกองทัพสังหารวิญญาณก็คำรามพร้อมกับรัศมีจั้นยี่กระแทกกับพื้นอีกครั้ง

ตึง!

พื้นสั่นสะเทือน ศพก็ขยับไปอีกเล็กน้อย

สำเร็จ!

มู่เฉินยินดี จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเห็นค่ายกลสั่นไหว คลื่นหลิงที่สมดุลและทรงพลังเริ่มสับสนวุ่นวายในขณะนี้

เสาต้นที่แปดสึกกร่อนทันที รอยแตกเริ่มแพร่กระจายออกไป เห็นได้ชัดว่าหลังจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากซากศพเสาต้นนี้ก็เริ่มมีร่องรอยของการพังทลาย

ค่ายกลซึ่งอาศัยเสาทั้งแปดเผยให้เห็นข้อบกพร่องจากการพังทลายของเสาต้นที่แปดที่กำลังอ่อนแอลง

มู่เฉินมองเกลียวแสงหลิงที่แล่นแปลบปลาบพร้อมกับแสงวูบไหวในดวงตาของเขา จากการรับรู้ของเขาค่ายกลที่ทำให้เขารู้สึกหมดหนทางไม่สามารถอยู่ยงคงกระพันเหมือนเดิมได้อีกต่อไป

มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อเก็บกองทัพสังหารวิญญาณเข้าในป้าย เขาเดินไปที่ชายขอบค่ายกลแล้วดีดนิ้ว ชุดเกราะสีแดงเข้มปรากฏขึ้นห่อหุ้มบนร่างกายของเขาทั้งหมดไว้

นี่คือชุดเกราะสงครามมังกรแดงที่เขาได้มาจากเซี่ยหงซึ่งมีความสามารถในการป้องกันที่ดี ตอนนี้เขาต้องการเข้าสู่ค่ายกลก็จะต้องเตรียมการให้พร้อม

เมื่อเสร็จสิ้นการเตรียมการมู่เฉินก็หายใจเข้าลึกย่างเท้าเข้าไปในค่ายกลโดยไม่ลังเล

ฟู่ ฟู่!

เมื่อมู่เฉินก้าวเข้ามาก็สามารถสัมผัสได้ถึงพายุคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวพัดเข้ามา แรงกดดันนั้นทำให้เขาราวกับกำลังแบกรับภูเขาทั้งลูก

มู่เฉินค่อยๆ ก้าวเดินออกไปอย่างช้าๆ

เขาเคลื่อนไหวช้ามาก ราวกับต้องแบกรับความกดดันหนักแน่นในทุกย่างก้าว เกราะมังกรแดงเอิบอาบประกายแสงสีแดงเข้ม ทว่าแสงถูกระงับไว้อย่างเห็นได้ชัด จึงไม่สามารถกระจายออกไปได้ เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากชุดเกราะ

เนื่องจากตอนนี้ค่ายกลไม่เป็นระเบียบ เขาจึงไม่ต้องทนทุกข์กับการโจมตีจากศพทั้งแปด ทว่าคลื่นหลิงที่น่ากลัวในค่ายกลก็ยังคงทำให้เขายากที่จะก้าวไปข้างหน้า

นอกจากนี้เขายังต้องเปลี่ยนเส้นทางอยู่ตลอดเวลาเพื่อค้นหาจุดอ่อนของพายุคลื่นหลิง ถ้าเขาเคลื่อนไหวผิดพลาดก็ต้องได้รับผลกระทบหนักหน่วง

ดังนั้นมู่เฉินจึงใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการเดินข้ามเขตแถวแสงเพียงพันจั้ง เหงื่อเย็นปกคลุมร่างกายเขา

เมื่อเดินมาถึงตรงนี้ ดอกไม้แมนดาลาที่น่าหลงใหลก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม ทว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินไม่ได้ผ่อนคลายกลับยังเกร็งแน่นขึ้นขณะที่เขามองไปที่ศพที่อยู่ตรงหน้าเสาสุดท้าย

ตราบเท่าที่เขาสามารถผ่านรัศมีของเสาหินต้นนี้ไปได้ เขาก็จะสามารถผ่านค่ายกลได้

ทว่ามู่เฉินก็ต้องขมวดคิ้ว เขาพบว่าศพนี้ปิดกั้นเส้นทางเดียวที่มี เนื่องจากด้านข้างทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยคลื่นหลิงโหมกระหน่ำรุนแรง ถ้าเขาถูกห่อหุ้มอยู่ภายในก็ตายคาที่แน่นอน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเรียกกองทัพสังหารวิญญาณออกมา นั่นเป็นเพราะคลื่นหลิงที่ทรงพลังจะไปกระตุ้นค่ายกลอย่างแน่นอน ในเวลานั้นการโจมตีทั้งหมดจะมุ่งเน้นมาที่เขา

ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์นั้นแม้จะมีกองทัพสังหารวิญญาณ เขาก็จะเหนื่อยล้าจนตายในที่สุด

ตอนนี้ทางเลือกเดียวคือผ่านพ้นไปได้ด้วยตัวเอง

มู่เฉินเม้มปากใบหน้าดูเคร่งขรึม แม้ค่ายกลนี้จะไม่ธรรมดา แต่ศพเหล่านั้นผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน เขาไม่เชื่อว่าตนเองจะถูกขัดขวางโดยศพนี้ศพเดียว!

คิดถึงจุดนี้มู่เฉินก็กระทืบเท้าพุ่งออกไปโดยไม่ลังเลใดๆ พุ่งเข้าหาศพนั้น

เขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง พริบตาก็ไปปรากฏที่เบื้องหน้าศพนั้นก่อนจะพุ่งผ่านไป

ขณะนั้นเองศพก็ลืมตาโพลง แสงหลิงพรั่งพรูออกมา

มันยื่นมือที่เหี่ยวแห้งออกตบเบาๆ ไปทางขวามือ

ตู้ม!

รอยแตกปรากฏขึ้นในมิติ คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวแพร่กระจายออกไป

สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่น่าตกใจใบหน้าของมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลง เขารีบเร้ากายามังกรหงส์โดยไม่รั้งรอ จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตบนผิวย้อมร่างกายของเขาเป็นสีทอง

ผลัวะ!

มือแห้งกรังตบลงบนชุดเกราะมังกรสีแดงของมู่เฉินเบาๆ

ราวกับว่าเป็นภูเขาไฟปะทุออกมาที่ด้านหลังของเขา มู่เฉินปลิวออกไปนอกค่ายกลทันที

มู่เฉินร่วงลงที่บันได ร่างกายก็ตึงเกร็ง

ลายฝ่ามือที่สามารถมองเห็นได้เผยบนแผ่นหลังชุดเกราะ หลังจากนั้นก็มีประกายแสงสีแดงเข้มปะทุขึ้น ชุดเกราะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!

ตู้ม!

เสียงร้องโศกเศร้าดังออกมาจากชุดเกราะขณะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!

อาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่ทรงพลังถูกทำลายอย่างสมบูรณ์

อ็อก!

เมื่อเกราะสงครามมังกรแดงถูกทำลาย มู่เฉินก็กระอักเลือดออกจากปาก แสงร่างกายหรุบหรู่ลงอย่างรวดเร็ว จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่อาศัยอยู่บนพื้นผิวก็จางลงก่อนที่จะหายไป

ใบหน้าของมู่เฉินซีดจางก่อนที่จะหันหน้ากลับไปด้วยความกลัวมองไปที่ศพนั้น ตอนนี้มันกลับสู่สภาวะสงบ แต่ฝ่ามือน่าสะพรึงเมื่อครู่ยังคงฝังลึกอยู่ในใจของมู่เฉิน

ถ้าเขาไม่ได้สวมชุดเกราะสงครามมังกรแดงและกระตุ้นร่างกายให้อยู่ในสภาพป้องกันเต็มที่ เขาอาจถูกฆ่าตายไปแล้ว

“น่ากลัวชะมัด ศพทั้งหมดนี้จะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่แน่” มู่เฉินถอนหายใจขณะที่รู้สึกได้อีกครั้งถึงความแข็งแกร่งที่น่าตกใจของวังสวรรค์บรรพกาล ในทวีปเทียนหลัวปัจจุบันจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามารถสร้างขุมกำลังสูงสุดและได้รับการประกาศให้เป็นผู้นำ แต่ในวังสวรรค์บรรพกาล พวกเขาถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกชั้นสูงเท่านั้น

แต่ต่อให้เป็นวังสวรรค์บรรพกาลอันทรงพลังก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทำลายล้างได้เมื่อจักรวรรดิต่างมิติบุกเข้ามา ดังนั้นสามารถเห็นได้ว่าพวกปีศาจต่างมิติน่ากลัวเพียงใด

พวกมันคือศัตรูคู่อาฆาตของทุกผู้ทุกนามในมหาพันภพ!

มู่เฉินเม้มปากด้วยท่าทางเคร่งขรึม ชั่วครู่ต่อมาเขาก็จัดระเบียบอารมณ์ตนเองพลางเงยหน้าขึ้นมองไปที่ดอกไม้น่าหลงใหลที่อยู่สุดห้องโถง

มู่เฉินมองไปที่ดอกไม้ ร่างกายก็คลายลง เขาหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ผ่อนคลายออกราวกับโล่งใจในที่สุด

“ในที่สุดก็เจอเจ้าสักที”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1169 วิธีทำลายค่ายกล
ประตูหินบานใหญ่ค่อยๆ เปิดออก

แสงส่องทะลุผ่านรอยแยก จากนั้นฉากหลังประตูหินก็ปรากฏในครรลองสายตามู่เฉิน

หลังประตูหินเป็นโถงที่เกิดความเสียหายจากการต่อสู้รุนแรงซึ่งมีเสาหินตั้งตระหง่านอยู่จำนวนมาก

บนพื้นดินเต็มไปด้วยรอยบาดลึก พื้นดินที่นี่ชัดว่าถูกเสริมความทนทานเมื่อในอดีตโดยค่ายกล แต่ถึงกระนั้นก็ยังถูกทำลายหนัก

มู่เฉินยังสามารถมองเห็นซากศพเปล่งประกายปลดปล่อยความผันผวนที่ทรงพลังแม้ว่าชีวิตจะดับสูญไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

ช่างเป็นฉากที่น่าเศร้า

แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจกับสภาพแวดล้อมโดยรอบนัก สายตาของเขาจดจ่อที่ดอกไม้น่าหลงใหลทรงเสน่ห์สีดำสนิทที่ปลายโถง

รอบด้านดอกไม้กำลังเปล่งรัศมีแสงสีดำราวกับว่าสามารถกลืนกินรังสีแสงได้ นอกจากนี้ยังมีลวดลายโบราณอยู่ในแสงเหล่านั้น

สายตาของมู่เฉินติดอยู่ที่ดอกไม้ เขารู้ว่านี่คือร่างหลักของมั่นถัวหลัว—ดอกแมนดาลาโบราณ!

“ในที่สุดก็พบแล้ว”

มู่เฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอกขณะที่มองไปที่ดอกไม้ ตราบใดที่เขาสามารถนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกไปได้ เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าฮ่องเต้เซี่ยจะเป็นภัยคุกคาม

ทว่าแม้ร่างหลักของมั่นถัวหลัวจะอยู่ตรงหน้า แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรโดยประมาทเพราะสัมผัสได้ถึงค่ายกลที่ซ่อนอยู่ในสภาพแวดล้อม

มู่เฉินกวาดสายตาออก จากนั้นก็หยุดลงที่เสาหินทั้งแปด ใต้เสาหินมีโครงกระดูกแปดร่างนั่งอยู่ พวกเขาราวกับสูญเสียพลังชีวิตทั้งหมด เป็นเพียงโครงกระดูกธรรมดา

แต่เขารู้ว่าศพทั้งแปดเป็นจุดกลางของค่ายกล ซึ่งก็คือจุดกำเนิดพลังของค่ายกลนี้

“ค่ายกลนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สมบูรณ์เลย” ท่าทางของมู่เฉินดูเคร่งเครียดมาก ในการรับรู้ของเขา แม้ว่าค่ายกลนี้จะดูสงบ แต่เขาก็รู้ดีว่าหากก้าวเข้ามาโดยประมาทก็จะต้องเผชิญกับการโจมตีทำลายล้างซึ่งทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ล้มลงได้เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเหล่านั้น

“ไม่น่าแปลกใจที่มั่นถัวหลัวเลือกที่จะซ่อนตัวที่นี่ในอดีต มิฉะนั้นนางคงไม่สามารถหยุดลู่หยวนไม่ให้เข้าใกล้ได้” มู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่าค่ายกลนี้จะช่วยปิดกั้นลู่หยวนในตอนนั้น แต่ก็ปิดกั้นเขาในตอนนี้เช่นกัน

จากสิ่งนี้ก็บอกได้ว่า มั่นถัวหลัวและลู่หยวนในตอนนั้นก็น่าจะอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย

มู่เฉินหดดวงตามองไปที่ค่ายกลก็ตกอยู่ในความเงียบ เขานั่งลงที่ชายขอบก่อนที่จะหลับตาเริ่มศึกษาค่ายกลนี้

ไม่ว่าค่ายกลนี้จะทรงพลังเพียงใด เขาก็ต้องทำลาย ไม่เช่นนั้นเขาก็คงต้องปล่อยร่างหลักของมั่นถัวหลัวไว้ที่นี่เหมือนเดิม

เมื่อเขาหลับตาเส้นใยพลังงานก็แผ่ขยายออกไป เขาค่อยๆ ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับค่ายกล

เค้าโครงค่ายกลปรากฏขึ้นในสมองเขา

ค่ายกลนี้มีความลึกซึ้งและปล่อยความรู้สึกทรงพลังออกมาอย่างคลุมเครือ ซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกหวั่นใจ

เห็นได้ชัดว่านี่น่าจะเป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นกลาง

ย้อนกลับไปตอนที่มู่เฉินอยู่ในหอสอง เหตุผลที่เขาสามารถควบคุมค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารได้อย่างง่ายดายก็คือเขาได้รับแผนภาพที่ไม่สมบูรณ์มาก่อนและได้ใช้เวลาในการศึกษา ดังนั้นเขาจึงสามารถค้นหาข้อบกพร่องและควบคุมได้

แต่ค่ายกลที่เบื้องหน้านี้เป็นค่ายกลระดับจงซือที่ไม่คุ้นเคย

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่เขาจะทำลายในช่วงเวลาสั้นๆ

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ใจร้อนกลับทำให้หัวใจสงบลง เริ่มสัมผัสถึงทุกจุดของค่ายกล ถ้าเขาต้องการทำลาย เขาก็ต้องได้รับความเข้าใจเพียงพอเพื่อที่เขาจะได้ค้นหาข้อบกพร่องได้

ขณะที่มู่เฉินนั่งหลับตา พื้นที่ทั้งหมดก็กลับสู่ความเงียบงันล้อมรอบไปด้วยกลิ่นอายรกร้าง

เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ตลอดทั้งวัน

เขานั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับและคลื่นหลิงก็พลุ่งพล่านรอบตัวรวมตัวกันเป็นภาพจำลองค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ทว่าโครงร่างก็ไม่เสร็จสมบูรณ์และพังทลายลงเรื่อยๆ ส่วนมู่เฉินก็ยังคงยืนหยัดสร้างขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ภาพจำลองค่ายกลนี้ก็คือค่ายกลทรงพลังซึ่งครอบคลุมทั้งโถง

มู่เฉินพยายามสรุปหาข้อบกพร่อง

อีกครึ่งวันผ่านไป

ฮึ่ม

ทันใดนั้นแสงหลิงก็เบ่งบานเบื้องหน้ามู่เฉิน โครงสร้างของค่ายกลที่ซับซ้อนอย่างยิ่งก็ถูกสร้างขึ้น แม้ว่าจะเป็นเพียงภาพจำลอง แต่ก็ยังคงมีความผันผวนน่าอัศจรรย์ปล่อยออกมา

มู่เฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นและดูอ่อนเพลีย การพยายามในเกือบสองวันนี่เหนื่อยเกินกว่าการต่อสู้กับผู้อาวุโสจั่วเสียอีก

แต่เขารู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาพักผ่อน เขาระงับความเหนื่อยล้ามองไปที่ภาพจำลองค่ายกลด้วยดวงตาที่สั่นไหว

“สมกับเป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นกลาง ช่างสลับซับซ้อนมากจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจ เขาเพียงแค่ติดตามโครงร่างเพื่อสร้างภาพจำลองซึ่งก็ต้องใช้พลังงานทั้งหมดเลยทีเดียว หากเขาต้องการตั้งให้สมบูรณ์แม้ว่าจะคั้นพลังจนแห้งกรอบก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้

ค่ายกลนี้ต้องใช้สัญลักษณ์หลิงยิ่งอย่างน้อยสองสามล้านผนึกสายและหากเขาทำผิดพลาดเล็กน้อยในการเชื่อมโยงก็จะทำให้เกิดการล่มสลายของค่ายกล นี่แสดงให้เห็นว่าการตั้งค่ายกลดังกล่าวยากเพียงใด

แต่ความพยายามของเขาก็ไม่ไร้ผล

มู่เฉินมองไปที่ค่ายกลขนาดใหญ่เบื้องหน้า เขาค้นพบวิธีที่จะทำลายค่ายกลนี้แล้ว นอกเหนือจากการใช้กำลังก็ทำได้เพียงตัดแหล่งที่มาของพลัง

สายตาของเขาเลื่อนไปที่ซากศพใต้เสาทั้งแปด

นั่นคือแหล่งพลังงานสำหรับค่ายกล ซึ่งพวกเขาได้ก่อตัวเชื่อมโยงความสมดุลระหว่างกัน

เนื่องจากความสมดุลนี้ ทำให้ไม่ว่ามู่เฉินจะโจมตีจากทางไหนก็จะถูกทั้งแปดศพรุมโจมตี แต่ถ้าสามารถทำลายความสมดุล ค่ายกลที่ไม่มีใครควบคุมนี้ก็จะสูญเสียความสมดุลคลื่นหลิงทำให้เกิดความไม่เสถียร ซึ่งเขาก็จะมีโอกาส

ฟังดูเหมือนง่าย แต่ก็ยากมากที่จะนำไปปฏิบัติจริง

เพราะตราบใดที่มู่เฉินมีแววจะโจมตีเพียงเล็กน้อย เขาก็จะถูกโจมตีจากค่ายกล แม้แต่กองทัพสังหารวิญญาณก็ไม่สามารถทนได้

ดังนั้นเขาต้องทำลายสมดุลโดยไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยากับค่ายกล

มู่เฉินขมวดคิ้วขณะที่คิดว่าจะทำลายสมดุลได้อย่างไร

“ข้าไม่สามารถโจมตีค่ายกลได้ มิฉะนั้นจะทำให้เกิดการโต้กลับ”

“ความสมดุลของค่ายกลมาจากการควบคุมส่วนกลางของเสาหลักที่อยู่เบื้องหลังศพทั้งแปด ศพเป็นแหล่งพลังงานและเสาหลักเป็นสะพานเชื่อมเข้าด้วยกัน”

“ดังนั้นถ้าข้าสามารถแยกศพออกจากเสาได้ ข้าก็จะสามารถทำลายสมดุลได้!”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสายตาวูบไหว เขาจ้องมองไปที่เสาทั้งแปดต้นและซากศพระบุตำแหน่งไว้ พักใหญ่รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า

เขากระทืบพื้นเบาๆ เพื่อทดสอบว่าพื้นแข็งแรงแค่ไหนก่อนจะยิ้ม “ง่ายล่ะ”

มู่เฉินเริ่มขยับถอย ป้ายกองทัพปรากฏขึ้นในมือ เขาเรียกกองทัพสังหารวิญญาณพร้อมกับรัศมีจั้นยี่สีแดงเข้มกวาดออก

มู่เฉินหลอมรวมคลื่นจิตเข้ากับรัศมีจั้นยี่พร้อมกับใช้งานทันที

โฮก!

กองทัพสังหารวิญญาณปลดปล่อยเสียงคำราม อสรพิษสีแดงเข้มขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นเหนือหัวพร้อมกับลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วนกะพริบอยู่บนตัว

อสรพิษเปล่งเสียงคำรามพุ่งลงมาด้วยความน่าสะพรึงกลัว

แต่มันไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ค่ายกล กลับเล็งไปที่มุมทางตะวันตกเฉียงเหนือ

ตู้ม!

พื้นที่โถงทั้งหมดสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นภายใต้การโจมตีของอสรพิษ แม้ว่าพื้นดินจะได้รับการเสริมด้วยคลื่นหลิงซึ่งทำให้แข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้า แต่ปากปล่องก็ยังก่อตัวขึ้นบนพื้นดินจากการโจมตีของกองทัพสังหารวิญญาณ

ฝุ่นผงฟุ้งกระจายขึ้น แต่มู่เฉินไม่ได้มองไปที่ปากปล่อง สายตาจ้องอยู่ที่เสาต้นหนึ่งเนื่องจากการโจมตีของเขาจะทำให้เกิดระลอกคลื่นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นเสาต้นนั้น

ความคิดของมู่เฉินเรียบง่ายมาก ในเมื่อเขาไม่สามารถโจมตีค่ายกลได้โดยตรง เขาก็จะอาศัยคลื่นกระแทกจากภายนอกเพื่อส่งผลกระทบต่อค่ายกล

ทว่าเนื่องจากมีค่ายกลเป็นตัวกั้น คลื่นกระแทกจึงจะอ่อนลงอย่างมาก แต่ถ้าได้ผลก็จะบรรลุเป้าหมายตามที่เขาต้องการ

แม้ว่าคำอธิบายอาจทำให้งานทั้งหมดดูเรียบง่าย แต่อย่างแรกก็ต้องรู้โครงสร้างค่ายกลทั้งหมดถึงจะหลีกเลี่ยงจุดที่มีคลื่นหลิงหนาแน่น การส่งคลื่นกระแทกมั่วซั่วจะไร้ผล

ดังนั้นสายตาของมู่เฉินจึงจับจ้องไปที่ศพที่อยู่ใต้เสา ขณะคำนวณเวลาในการส่งคลื่นกระแทก

แปดอึดใจต่อมา

ดวงตาของมู่เฉินก็หดลงทันทีเมื่อเห็นศพสั่นสะท้าน แม้ว่าจะแทบไม่สามารถสังเกตเห็นได้ แต่ศพก็เคลื่อนไปทางด้านหน้าเล็กน้อย

การเคลื่อนนี้สามารถมองข้ามไปได้เลย แต่มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้ม

เนื่องจากเขารู้ว่าในที่สุดเขาก็พบวิธีที่จะทำลายค่ายกลนี้แล้ว

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1168 ร่างเวทสวรรค์
ซ่า ซ่า!

เกลียวแสงสีแดงพวยพุ่งออกมาจากเมฆแดงก่ำเหนือกองทหารสังหารวิญญาณ เชื่อมโยงกันและกัน พร้อมกับมีความผันผวนน่ากลัวเล็ดลอดออกมา

พร้อมด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด ตราประทับในมือมู่เฉินก็เปลี่ยนแปลง รัศมีจั้นยี่รวมตัวกันถักทอเป็นค่ายกลสงครามขนาดใหญ่ในโถง

นั่นคือค่ายกลสงคราม!

ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของกองทัพนี้เรียกว่าค่ายกลสงครามสังหารวิญญาณ!

มู่เฉินไม่แปลกตากับค่ายกลสงครามนี้ เนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแปดคนถูกล้างผลาญด้วยค่ายกลนี้ แสดงให้เห็นว่ามันน่าสะพรึงกลัวเพียงใด

แม้ว่ากองทัพสังหารวิญญาณจะไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุด แต่ผู้อาวุโสจั่วก็ไม่อยู่ในสภาพที่ดีไปกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งแปดคนที่ถูกกำจัด

ดังนั้นเมื่อแสงสีแดงปกคลุมไปทั่วโถง ค่ายกลสงครามที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏ ใบหน้าของผู้อาวุโสจั่วก็มืดครึ้มลงผิดปกติ

เปลือกตาเขาสั่นระริก ลึกลงไปในสายตาเผยให้เห็นความหวาดผวา

สถานการณ์นี้ไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของเขา เขาไม่คิดว่าสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยที่สามารถกระทืบจมดินได้ง่ายๆ จะกลายร่างเป็นพยัคฆ์ร้าย

เขารู้สึกถึงไอแห่งความตายที่มาจากค่ายกลสงคราม ซึ่งเขาอาจตายได้หากไม่ระวัง

ผู้อาวุโสจั่วรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องตลกร้ายเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เนื่องจากตัวเขากำลังถูกบีบจากจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มไปที่ขอบเหวความตาย

แต่ไม่ว่าในใจเขาจะรู้สึกเป็นเรื่องตลกเพียงใด เขาก็รู้ดีว่าหากไม่ทำอะไรเพื่อตอบโต้ เขาได้ตายที่นี่จริงๆ

“ไอ้เวร อย่าทำเกินไปนัก!”

ผู้อาวุโสจั่วคำราม จากนั้นก็กระทืบเท้า คลื่นหลิงระเบิดออกจากร่างกายรวมตัวเป็นเงาเบื้องหลังที่ราวกับสามารถเอื้อมจับท้องฟ้าได้

ขณะที่เงาแสงนั้นหายใจทั่วทั้งสวรรค์และโลกก็ถูกยับยั้ง

มู่เฉินมองไปที่ร่างเงาขนาดใหญ่ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่านี่น่าจะเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่ผู้อาวุโสฝึกฝน

เมื่อร่างเทห์สวรรค์ปรากฏ ผู้อาวุโสจั่วก็อ้าปากคำราม ฉากไม่น่าเชื่อก็ปรากฏขึ้น ร่างขนาดใหญ่ถูกดูดเข้าไปในปากของเขา

ผู้อาวุโสจั่วกลืนกินร่างเทห์สวรรค์ของตัวเองเหรอนั่น?!

ตู้ม! ตู้ม!

ขณะที่มู่เฉินกำลังประหลาดใจ ร่างกายของผู้อาวุโสก็เริ่มขยาย ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็กลายเป็นร่างสูงพันจั้งปกคลุมไปด้วยลวดลายที่ประกอบขึ้นจากคลื่นหลิง

ฮา!

ผู้อาวุโสจั่วยืนตระหง่านระหว่างสวรรค์และโลก ลมหายใจพรูออกปากพร้อมกับพายุฟ้าคะนองป่าเถื่อน

ในตอนนี้ผู้อาวุโสจั่วราวกับเป็นราชันผู้สร้างที่นี่

“นี่ก็คือร่างเวทสวรรค์ในตำนานที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นที่สามารถปรับแต่งได้เรอะ?” มู่เฉินมองไปที่ผู้อาวุโสจั่วก็อดหายใจเข้าลึกไม่ได้

กล่าวกันว่าเมื่อเข้าสู่ขอบเขตระดับตี้จื้อจุนร่างเทห์สวรรค์จะได้รับการเปลี่ยนแปลงและสามารถหลอมรวมเข้ากับร่างกายของพวกเขาได้ ซึ่งนั่นจะไม่ได้เรียกว่าร่างเทห์สวรรค์ แต่เป็นร่างเวทสวรรค์

ร่างเวทสวรรค์ วาจากฎฟ้าดิน

“สกัดคลื่นหลิง!”

ผู้อาวุโสจั่วชี้ไปที่มู่เฉินขณะคำราม

ความผันผวนแปลกประหลาดแพร่กระจายออกไป มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานหลิงในภูมิภาคนี้เกิดการปฏิเสธเขา นี่ทำให้เขาไม่สามารถดูดซับคลื่นหลิงระหว่างฟ้าดิน

“นี่คือวาจากฎฟ้าดินของระดับตี้จื้อจุนเรอะ?”

ใบหน้าของมู่เฉินกลายเป็นเคร่งเครียด ถ้าเขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มธรรมดาๆ แค่วาจาของจอมยุทธ์ระดับนี้แม้แต่กฎฟ้าดินก็ต้องทำตาม ซึ่งทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายได้

มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างระดับตี้จื้อจุนกับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มอย่างแท้จริง

ทว่าโชคดีที่เขาไม่ได้ตั้งใจพึ่งพาคลื่นหลิงในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่เลือกใช้รัศมีจั้นยี่ ซึ่งชัดว่าผู้อาวุโสจั่วยังไม่สามารถแยกเขาออกจากรัศมีจั้นยี่กองทัพสังหารวิญญาณได้

“สายฟ้า!”

ผู้อาวุโสจั่วคำราม สายฟ้านับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในบริเวณนี้ซึ่งบรรจุด้วยพลังทำลายล้างกวาดเข้าหามู่เฉิน

เผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้ มู่เฉินก็ไม่กล้าผ่อนคลาย เข้าควบคุมรัศมีจั้นยี่ทันทีเพื่อสร้างการป้องกันคล้ายกับกระดองเต่าปกป้องเขาพร้อมกับค่ายกลสงครามสังหารวิญญาณ

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

การโจมตีดุร้ายเข้าโรมรันอย่างต่อเนื่อง ชั้นรัศมีจั้นยี่ถูกผลักกลับ แต่กระนั้นเมฆโลหิตก็ยังพุ่งออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“ลม! ไฟ! ภูเขา!”

ผู้อาวุโสจั่วปลดปล่อยการโจมตีรุนแรงขึ้น คลื่นหลิงทั่วบริเวณก็เริ่มเคลื่อนไหวจากการถูกสั่งการ ก่อตัวเป็นการโจมตีที่น่ากลัวกวาดไปยังมู่เฉิน

ภายใต้การโจมตีนี้ รัศมีจั้นยี่ก็ถูกผลักกลับมาอย่างต่อเนื่อง

แต่มู่เฉินไม่ได้ตื่นตระหนกเพราะค่ายกลสงครามสังหารวิญญาณเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว แม้ว่าผู้อาวุโสจั่วจะใช้ร่างเวทสวรรค์ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายการป้องกันของรัศมีจั้นยี่

ผู้อาวุโสจั่วก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน ใบหน้าเขาจึงเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มด้วยความไม่เต็มใจผสมด้วยความโกรธในดวงตา เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะไม่สามารถปราบปรามมู่เฉินได้ แม้จะใช้มีร่างเวทสวรรค์ก็ตาม

ในที่สุดการโจมตีก็ค่อยๆ อ่อนลง

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่ผู้อาวุโสจั่วอย่างไม่แยแส จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ เมฆสีแดงเข้มเริ่มสลายเผยให้เห็นค่ายกลสงครามสีแดงเข้มที่เสร็จสมบูรณ์

“ในเมื่อเจ้าโจมตีไปแล้ว ตอนนี้ก็ถึงตาข้าบ้าง ตาเฒ่าจั่วลองลิ้มรสค่ายกลสงครามข้าดูหน่อย”

มู่เฉินยิ้มแต่ในสายตากลับเย็นชาอย่างยิ่ง เขากำหมัดแน่น แสงโลหิตไม่สิ้นสุดก็พุ่งออกมาจากค่ายกลสงครามทำให้ทั่วบริเวณถูกย้อมด้วยสีแดง

แสงโลหิตกระจายออกมาอย่างต่อเนื่องพยายามที่จะห่อหุ้มร่างผู้อาวุโสจั่วไว้ภายใน

เมื่อเขาตกอยู่ในนั้น มู่เฉินก็จะกระตุ้นค่ายกลสงครามให้เปิดใช้งานเต็มที่

แสงสีแดงขยายในม่านตาผู้อาวุโสจั่วอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงไม่หยุด ไม่กี่อึดใจเขาก็หายใจเข้าลึก เริ่มหดตัวลงสู่ขนาดเดิม จากนั้นเขาก็กระทืบเท้าทำให้มิติโดยรอบบิดเบี้ยว ร่างกลายเป็นริ้วแสงทะยานขึ้น

ปัง!

หลังคาโถงแตกออก จากนั้นมู่เฉินก็อึ้งไปเมื่อมองร่างแสงหายไปวับจากสายตา

ผู้อาวุโสจั่ว…หนีไปแล้ว?!

มู่เฉินตกตะลึงกับภาพนี้ นั่นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเชียวนะ? เลือกหนีแบบนี้เลยเรอะ?

มู่เฉินใช้เวลาพักใหญ่ฟื้นจากอาการตื่นตะลึงจากนั้นก็รู้สึกเซ็ง เขายังไม่ทันใช้ไพ่ตายกองทัพสังหารวิญญาณด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายตาเฒ่านั่นดันเลือกที่จะหลบหนี

นี่ทำให้มู่เฉินมีความรู้สึกเหมือนต่อยฝ้าย

“เด็ดขาดจริง…”

มู่เฉินถอนหายใจจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนไม่มีความลังเลแท้จริง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยต่อตนเองก็เลือกการกระทำที่มีเหตุผลที่สุด

ผู้อาวุโสจั่วอยู่ในสภาพย่ำแย่อยู่แล้ว หากสู้ต่อไปอาจทำให้มู่เฉินต้องจ่ายราคาบางส่วน แต่คนที่จะได้รับผลกระทบหนักสุดก็เป็นตัวเขาเอง บางทีอาจจะจบชีวิตลงด้วยซ้ำ

ดังนั้นหลังจากชั่งน้ำหนักผลประโยชน์แล้ว เขาจึงเลือกชีวิตเหนืองาน

ต่อให้ลู่หยวนจะลงโทษ ก็คงไม่เอาชีวิตไปแน่ แต่มู่เฉินกล้าที่จะพรากชีวิตเขาไป

“น่าเสียดาย”

มู่เฉินส่ายหัวด้วยความเซ็ง ตอนแรกเขาก็ต้องการสัมผัสว่าค่ายกลสงครามสังหารวิญญาณทรงพลังเพียงใด

อย่างไรก็ตามเขาก็รู้สึกโล่งใจเช่นกัน เพราะการสู้ศึกมรณะกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนไม่ใช่เรื่องสบาย ดังนั้นจึงเป็นผลดีที่ผู้อาวุโสจั่วหลบหนีไป

บีบบังคับให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นหลบหนี หากข่าวนี้กระจายไปในทวีปเทียนหลัว คงจะทำให้ชื่อเสียงของเขาเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน โชคลาภยิ่งใหญ่

มู่เฉินถอนหายใจก่อนที่จะเรียกรัศมีจั้นยี่และยกป้ายขึ้นมาเก็บกองทัพสังหารวิญญาณจากนั้นเขาก็เดินมาที่เบื้องหน้าประตู

ร่างหลักของมั่นถัวหลัวน่าจะอยู่หลังประตูบานนี้

มู่เฉินร่างกายเกร็งขึ้นจากนั้นก็ไม่ลังเลยื่นมือออกมาดันประตูออก

เมื่อประตูเปิดรัศมีเวิ้งว้างก็พัดปะทะใบหน้าของเขา

มู่เฉินมองเข้าไปก็เห็นดอกไม้สีดำสนิทน่าหลงใหลที่ปลายห้องโถงที่เสียหาย

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1167 ศึกแรกกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1167 ศึกแรกกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน
โฮก!

ภายในโถงนักรบสังหารวิญญาณคำรามลั่นพร้อมกับรัศมีจั้นยี่สีแดงเข้มพวยพุ่งขึ้นมาจากศีรษะ ก่อตัวเป็นกลุ่มเมฆหนาทึบสีแดงเข้ม

ขนาดของรัศมีจั้นยี่ไปไกลเกินกว่ากองทัพใดๆ ที่มู่เฉินเคยบัญชาการ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ไม่กล้าดูถูก

มิติพังทลายลงพร้อมกับรอยแตกร้าวแผ่กระจายออกราวกับใยแมงมุม แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและครอบงำของรัศมีจั้นยี่

ผู้อาวุโสจั่วที่ยืนอยู่หน้าประตูหินที่มีท่าทางไว้ตัวก่อนหน้าก็ถูกลบออกอย่างสมบูรณ์จากฉากน่าตกใจนี้

สายตาเขาเลื่อนขึ้นลงด้วยความไม่เชื่อระหว่างกลุ่มเมฆรัศมีจั้นยี่สีแดงเข้มและมู่เฉินที่ได้รับการคุ้มครองจากกองทัพสังหารวิญญาณ

จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่ามู่เฉินจะมีความสามารถควบคุมกองทัพชั้นยอดได้จริงๆ

“เป็นไปได้ยังไง?!”

เสียงแหบของผู้อาวุโสจั่วแฝงความสั่นเครือ

สถานการณ์เกิดขึ้นรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะรู้ตัวสิ่งมีชีวิตต่ำต้อยที่เขาคิดว่าสามารถบดขยี้ได้อย่างง่ายดายก็ระเบิดขึ้นด้วยพลังที่น่ากลัว

“ดูเหมือนว่าข้าจะทำให้เจ้าผิดหวังแล้วนะ โชคดีที่ข้าบัญชาการกองทัพนี้ได้เต็มรูปแบบ” มู่เฉินมองไปที่ผู้อาวุโสจั่วที่การแสดงออกเปลี่ยนไป ความตื่นเต้นก็พล่านขึ้นในใจของมู่เฉิน

เมื่อก่อนทางเลือกเดียวของเขาคือหนีเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่วันนี้เขากลับสร้างความหวาดกลัวบนใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยการเผยไพ่ตายขึ้น

มู่เฉินจับป้ายกองทัพไว้แน่น แม้ตอนนี้จะต้องอาศัยกองทัพสังหารวิญญาณเพื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่เขาก็มั่นใจว่าในอนาคตอันใกล้นี้เขาจะสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

“ไอ้แก่ ตอนนี้ยังคิดจะมาขัดขวางข้าต่ออีกเหรอ?” มู่เฉินยิ้มตาหยี

“ไอ้เด็กบ้าหลงตัวเอง ข้าผ่านโลกมามากมายและนี่ก็เด็กเกินไปที่จะข่มขู่ข้าด้วยกองทัพ นอกจากนี้ใครจะรู้ว่าไอ้จอมเจ้าเล่ห์อย่างแกจะแค่ทำมั่นหน้าไหม?” ดวงตาของผู้อาวุโสจั่วมืดครึ้ม

เขาตกตะลึงกับไพ่ตายของมู่เฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น จะถูกข่มขู่จากคำพูดของมู่เฉินได้อย่างไร?

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น”

เมื่อได้ยิน มู่เฉินก็ยิ้มพลางเอ่ย “งั้นก็ขอให้แกช่วยลิ้มลองพลังของกองทัพสังหารวิญญาณดูละกัน”

ตู้ม!

พูดจบมู่เฉินก็ก้าวออกไป เคลื่อนตัวเข้าไปในกองทัพสังหารวิญญาณก่อนจะนั่งลงหลับตา เขาปลดปล่อยคลื่นจิตหลอมรวมกับเมฆสีแดงเข้มไร้ขอบเขต

โฮก! โฮก!

เสียงคำรามดังก้องอยู่ในห้วงแห่งจิตเขาเมื่อคลื่นจิตหลอมรวมกับรัศมีจั้นยี่ ในเวลาเดียวกันเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีจั้นยี่ที่น่าสยดสยองภายใต้การควบคุมของตนเอง

ครืน!

คลื่นสีแดงก่ำพัดออกไป มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ กดทับไปยังผู้อาวุโสจั่ว

แม้ว่าการโจมตีจะดูเรียบง่าย แต่มีเพียงผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเท่านั้นที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะต้านทาน ตามการคาดการณ์ของมู่เฉิน ถ้าตอนนี้เป็นจาโหลหลัวและจู้เยี่ยนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า พวกเขาจะไม่มีแม้แต่ศพทิ้งไว้ต่างหน้า

นั่นเพราะคลื่นสีแดงอัดแน่นด้วยรัศมีจั้นยี่น่าสะพรึงกลัวของกองทัพสังหารวิญญาณ

คลื่นสีแดงเข้มขยายในม่านตา ใบหน้าของผู้อาวุโสจั่วก็ดูเคร่งขรึม เขาสัมผัสได้ถึงพลังน่ากลัวที่มีอยู่ในคลื่นสีแดงเข้ม แม้แต่เขาก็ไม่สามารถประมาทได้

“ไอ้สารเลว!”

ผู้อาวุโสจั่วกัดฟันแน่น งานง่ายๆ นี้กลายเป็นการรับหม้อไปได้แล้วเขาจะไม่โกรธได้อย่างไร?

ผู้อาวุโสจั่วยื่นฝ่ามือออกจากแขนเสื้อ ผิวดูนุ่มนวลราวกับเด็กทารก ระหว่างนิ้วทั้งห้าก็มีประกายแสงราวกับหยก

เมื่อฝ่ามือยื่นออกมาก็ขยายขนาดเป็นพันจั้งพลางกดลง มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ กระแทกเข้ากับคลื่นสีแดงเข้มที่พุ่งเข้ามา

ตู้ม!

พลังงานสองสายซัดกันเปรี้ยงปร้างพร้อมกับเสาหินในโถงแตกระเบิด ระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไปทำให้มิติบิดเบี้ยวและแตกเป็นเสี่ยงๆ

พลังทำลายล้างของการปะทะที่ดูเรียบง่ายนี้เกินกว่าที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มออกกระบวนท่าวิทยายุทธระดับเสินทงเสียอีก

ร่างกายของผุ้อาวุโสจั่วสั่นสะท้านจากคลื่นกระแทก ก่อนที่จะถอยหลังไปครึ่งก้าวพร้อมด้วยสีหน้ามืดมน

เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบในการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่

ถ้าเขามีพลังในจุดสูงสุดก็ไม่กลัวกองทัพสังหารวิญญาณนี้ จะสู้หรือจะถอยก็ทำได้ตามต้องการ แต่เนื่องจากได้จ่ายราคามหาศาลสำหรับการเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล ทำให้พลังของเขาเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่งในจุดสุดยอด

ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถต้านทานรัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงได้อย่างสมบูรณ์

ตู้ม! ตู้ม!

มู่เฉินยังคงมึนเมากับพลังที่น่ากลัวของรัศมีจั้นยี่ที่โหยหา เขาสะบัดแขนเสื้อเมฆสีแดงเข้มร้อนระอุก็ม้วนตัวพลางควบแน่นเป็นหอกสีแดงเข้มจำนวนนับไม่ถ้วน

หอกถูกปกคลุมด้วยลวดลายจั้นเหวิน ซึ่งมีหลายแสนเล่มและทุกเล่มก็บรรจุด้วยพลังที่สามารถข่มขู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้

“ไป!”

มู่เฉินตวัดนิ้ว พายุหอกก็ทะยานออกไปพุ่งเข้าหาผู้อาวุโสจั่ว

“รูปแบบฟ้าดิน!”

แสงสีแดงเจาะทะลุฟ้าดิน ราวกับว่าระยะทางไม่เป็นอุปสรรค ผู้อาวุโสจั่วก็ไม่กล้าผ่อนคลาย เขากระทืบเท้าพร้อมเสียงคำราม คลื่นหลิงระหว่างสวรรค์และโลกรวมตัวกันอย่างรวดเร็วกลายเป็นภูเขาสูงตระหง่านที่เบื้องหน้า

ภูเขาระยิบระยับด้วยห้าสีก่อตัวจากคลื่นหลิงบริสุทธิ์ที่อยู่ระหว่างสวรรค์และโลกด้วยรูปแบบที่แท้จริง ราวกับว่าได้สร้างภูเขาคลื่นหลิงขึ้นมาจากความว่างเปล่า

ซึ่งนี่เป็นกลยุทธ์เอกลักษณ์ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน

เคร้ง เคร้ง เคร้ง!

ภูเขานั้นคล้ายกับโล่ปิดกั้นหอกอย่างสมบูรณ์

ทว่าภูเขาก็เต็มไปด้วยหลุมบ่อจากการโจมตีและสุดท้ายก็พังทลายลง

“ไอ้เวร คิดว่าข้าจะจัดการแกไม่ได้จริงเรอะ?” หลังจากถูกมู่เฉินโจมตีใบหน้าของผู้อาสุโสจั่วก็เปลี่ยนมืดครึ้ม เขาเค้นเสียงเย็น ฝ่ามือที่ราวกับหยกก็พลิกขึ้น ส่วนมืออีกข้างก็ชี้นิ้วออก

เมื่อเขาพลิกมือ มู่เฉินก็รู้สึกว่าฟ้าดินหดขนาดลง ขณะที่ความมืดปกคลุม เสามหึมาพุ่งลงมาจากท้องฟ้าซัดใส่ตัวเขาที่ได้รับการปกป้องจากกองทัพสังหารวิญญาณ

ความแข็งแกร่งของการโจมตีจินตนาการไม่ได้ หากมู่เฉินไม่มีกองทัพสังหารวิญญาณก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนี

“เฮ้ ถ้าแกอยู่ในจุดสุดยอดอาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับข้าที่จะเอาชนะ แต่ในสถานะปัจจุบันที่มีแกทำอะไรได้บ้าง?” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นเขารู้ว่าเสานั้นถูกสร้างขึ้นจากดัชนีของผู้อาวุโสจั่ว

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึก อึดใจดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับคำราม “กองทัพสังหารวิญญาณ—ฆ่า!”

ตู้ม!

นักรบสังหารวิญญาณสองพันนายลืมตาโพลง เงยหน้าขึ้นมองเสามหึมาพร้อมกับรัศมีจั้นยี่สีแดงเข้มพุ่งออกมาจากดวงตากวาดล้างไปทั่วท้องฟ้า

ปัง!

รัศมีจั้นยี่สีแดงเข้มกวาดออก เสาก็ระเบิด

ความมืดจางหายไปอย่างรวดเร็ว มู่เฉินก็พบว่าได้กลับมาสู่ห้องโถง ความมืดโดยรอบเมื่อครู่ราวกับภาพลวงตา เขาเห็นนิ้วของผู้อาวุโสจั่วสั่นเทิ้มมีเลือดไหลออกมา

การควบคุมรูปแบบฟ้าดินด้วยนิ้วเดียวที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ นี่คือระดับตี้จื้อจุนแท้จริง

ดวงตาของมู่เฉินเป็นประกายด้วยความอิจฉา ถ้าไม่ใช่รัศมีจั้นยี่ของกองทัพสังหารวิญญาณครอบงำเกินไป เขาคงไม่สามารถหนีรอดออกมาได้

ในการปะทะกันสั้นๆ เขาก็ได้สัมผัสกับพลังของระดับตี้จื้อจุนด้วยตัวเอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มจะเผชิญหน้าได้

แต่ถึงเวลาแล้วที่เขาจะจบศึก

มู่เฉินเลียริมฝีปากพลางยิ้มบางให้ผู้อาวุโสจั่ว “แม้ว่าข้าอยากจะสัมผัสกับพลังระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นอีกสักหน่อย แต่เวลาของข้ามีค่ามาก ดังนั้นถึงเวลาที่จะจบลงแล้ว”

มู่เฉินกัดปลายนิ้วแล้ววาดไปในมิติก่อร่างอักขระโบราณ

“ค่ายกลสงครามสังหารวิญญาณ!”

อักขระโลหิตตกลงไปในเมฆสีแดงเข้ม ทันใดนั้นแสงมันวาวก็พุ่งออกมา ก่อตัวเป็นค่ายกลสงครามขนาดใหญ่อย่างคลุมเครือ

เมื่อผู้อาวุโสจั่วเห็นค่ายกลสงครามนี้ ใบหน้าก็น่าเกลียดลงอย่างสมบูรณ์

นั่นเพราะเขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความตายจากมัน

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1166 ผู้อาวุโสจั่ว
“ที่แท้ก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่พิการไปแล้วครึ่งหนึ่งสินะ?”

เสียงหัวเราะอ่อนโยนของมู่เฉินดังแผ่ว แต่ก็ยังสะท้อนไปทั่วโถงเงียบสงบนี้

แววเยาะเย้ยบนใบหน้าของจาโหลหลัวแข็งค้าง ก่อนที่เขาจะหันหน้ามองมู่เฉิน รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏที่ริมฝีปาก

“กลัวจนพูดไร้สาระเลยเหรอ?” จาโหลหลัวยิ้มบางขณะมองหน้ามู่เฉินด้วยความสงสาร เขามองว่าปฏิกิริยาของมู่เฉินเป็นอาการบอกถึงความกลัว

เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็คิดไม่ได้ว่าภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวันมู่เฉินจะได้รับไพ่ตายน่ากลัวในมือ ซึ่งมีพลังมากพอที่จะจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้

ผู้อาวุโสจิ่วที่สวมเสื้อดำขาวยืนข้างจาโหลหลัวก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส

ด้วยสายตาที่เฉียบแหลม เขาสามารถมองผ่านขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มของมู่เฉินได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีระลอกคลื่นในดวงตา เพราะปกติจอมยุทธ์ระดับนี้ก็เสมือนมดสำหรับเขา

ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นสามารถสังหารระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มง่ายดายแค่พลิกมือ ต่อให้ตอนนี้เขาจะมีพลังไม่ถึงครึ่งถึงของอดีตก็ตาม

นั่นเป็นเพราะมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างทั้งสองระดับ

“จาโหลหลัว เจ้าไปก่อน ในเมื่อท่านประมุขสั่งการมาแล้ว ตาแก่คนนี้ก็ไม่ให้แมลงวันเข้ามาได้” ผู้อาวุโสจั่วเหลือบมองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะหันไปทางจาโหลหลัวและพูด

จาโหลหลัวยิ้มบางพร้อมพยักหน้าตอบด้วยความเคารพว่า “ถ้างั้นข้าไปก่อนนะขอรับ ฮ่าๆ ข้าคิดจะมองหาอาวุธมหสวรรค์ที่จอมพลหนึ่งทิ้งไว้ด้วย”

พูดจบเขาก็เดินไปที่ประตูที่มู่เฉินอยู่ ไม่กี่ก้าวก็ยืนข้างมู่เฉินแล้ว

เขาเอี้ยวหน้ายิ้มให้มู่เฉิน “น่าเสียดายจริงๆ ตอนแรกข้าก็อยากสู้กับแก แต่ไม่คิดว่าแกจะตกหลุมพรางของพวกข้า”

“วางใจเถอะ หลังจากที่แกไปปรโลก อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะถูกทำลายโดยตำหนักเทพปีศาจ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะลงไปอยู่ร่วมกับแก” จาโหลหลัวแสยะยิ้มเผยฟันขาว

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับไอสังหารเย็นเยือก มู่เฉินก็เอียงศีรษะมองไปพลางยิ้มบาง “ก็อาจเป็นเช่นนั้น งั้นไว้เจอกันครั้งหน้า”

เจอกันครั้งหน้า?

จาโหลหลัวอึ้งไปก่อนที่รอยยิ้มเย้ยหยันที่ติดอยู่ที่มุมปากจะหนาแน่นขึ้น เขาส่ายหน้าอย่างปลงๆ เจ้านี่ยังหวังจะพบกันใหม่อีกครั้ง ไร้เดียงสาเหลือเกิน

ดูเหมือนสถานการณ์ที่สิ้นหวังนี้ก็ทำให้มู่เฉินสูญเสียความสงบและเริ่มมีท่าทางแปลกพิกลขึ้นมา

คิดถึงจุดนี้จาโหลหลัวก็รู้สึกมีความสุขมากขึ้น จากนั้นเขาก็ไม่สนใจมู่เฉินอีกต่อไป เดินผ่านมู่เฉินออกจากโถงเละเทะแห่งนี้ไปและเริ่มค้นหาอาวุธมหสวรรค์ที่จอมพลหนึ่งทิ้งไว้

มู่เฉินไม่ได้ขัดขวาง ตอนนี้คู่ต่อสู้ของเขาคือผู้อาวุโสจั่วแห่งตำหนักเทพปีศาจ ส่วนจาโหลหลัวจะพบกันอีกครั้งในอนาคต

เมื่อจาโหลหลัวไปแล้วความสงบในโถงก็กลับคืนมาก่อนที่ผู้อาวุโสจั่วจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ “ตาแก่คนนี้เป็นผู้คุมกฎของตำหนักเทพปีศาจ ทุกคนที่ตายในเงื้อมมือของข้าได้ลิ้มรสความทรมานที่เกินกว่าอะไร ดังนั้นถ้าแกฆ่าตัวตายตอนนี้ข้าก็จะปล่อยไปอย่างง่ายดาย”

เสียงแหบแห้ง แต่ความเย็นชาในน้ำเสียงทำให้ฟังดูน่าขนลุก

ใครก็บอกได้ว่าอารมณ์ของผู้อาวุโสจั่วไม่ดีเลย เพราะไม่มีใครรู้สึกดีหลังจากต้องจ่ายราคาแพงระยับเพื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสจั่ว มู่เฉินกลับยิ้มบาง “ดูเหมือนครั้งนี้ข้าจะค่อนข้างโชคดี”

ถ้ามู่เฉินเจอสถานการณ์นี้เมื่อครึ่งวันก่อนคงได้ตายแน่ๆ ต่อให้จะงัดทุกวิถีทางออกมา เขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสจั่วคนนี้

แต่โชคดีที่เขาได้รับกองทัพสังหารวิญญาณในครึ่งวันที่ผ่านมา

ดังนั้นผลลัพธ์จึงเริ่มเปลี่ยนไป

ทว่าปะทะกับคำพูดของมู่เฉิน ผู้อาวุโสจั่วก็พยักหน้า “แกโชคดีที่จะตายสบายๆ ในมือข้า”

เห็นชัดที่เขาคิดว่ามู่เฉินดีใจที่เขาให้ทางเลือกอีกฝ่ายตายอย่างสบาย ภายใต้สถานการณ์ปกติก็เป็นเช่นนั้นอย่างแท้จริง เนื่องจากความตายถือได้ว่าเป็นอิสระสำหรับจอมยุทธ์ระดับนี้ที่ตกอยู่ในมือของเขา

มู่เฉินอึ้งก่อนจะคลี่ยิ้ม ครู่ต่อมาก็อดหัวเราะไม่ได้ก่อนจะค่อยๆ สงบสติอารมณ์พูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าตาแก่พิการอย่างแกไสหัวไปตอนนี้ บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตแกก็ได้”

ยืนอยู่หน้าประตูท่าทางของผู้อาวุโสจั่วก็แข็งขึ้น จากนั้นครู่หนึ่งก็ค่อยๆ ฟื้นสติมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาที่ไม่เชื่อ

มดใช้น้ำเสียงนี้พูดกับเขา?

ใบหน้าของผู้อาวุโสจั่วกระตุก มู่เฉินสามารถเห็นได้ว่ามืออีกฝ่ายสั่นระริกไปหมด ในเวลาเดียวกันความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัวก็ระเบิดออกมาจากร่างกาย

ตู้ม ตู้ม!

รอยแตกสีดำปรากฏขึ้นในมิติราวกับว่าไม่สามารถทนรับคลื่นกระแทกที่น่าสะพรึงกลัว

ภายใต้ความผันผวนที่น่ากลัว มู่เฉินก็ราวกับประกายไฟ ประหนึ่งบิดปลิวไปได้ด้วยการเป่าเบาๆ

ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปรุนแรง ภายใต้แรงกดดันที่น่ากลัวเขารู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วสรรพางค์กายซึ่งทำให้เขาตกใจ พลังระดับตี้จื้อจุนน่ากลัวแท้จริง การเปรียบเทียบระหว่างระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มกับระดับตี้จื้อจุน ก็คล้ายหิ่งห้อยกับดวงจันทร์

เมื่อคลื่นหลิงไร้ขอบเขตแผ่ออกไป ผู้อาวุโสจั่วก็มองไปที่มู่เฉินด้วยใบหน้าโหดเหี้ยม “ตาแก่คนนี้จะให้แกเจอกับความทรมานทุกรูปแบบ เมื่อถึงเวลานั้นแกจะรู้ว่าการตายฟุ่มเฟือยเป็นอย่างไร!”

เห็นชัดว่าเขาโกรธมู่เฉินแบบสุดๆ ตอนแรกเขาคิดว่าการให้มู่เฉินฆ่าตัวตายถือได้ว่าเป็นพระคุณของเขา แต่ใครจะคิดว่าไอ้หนูสารเลวนี่จะดื้อรั้นขนาดนี้?

“จริงเหรอ?”

ทว่าเผชิญกับแรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลังที่มาจากผู้อาวุโสจั่ว มู่เฉินก็ยิ้มกว้างขณะหยิบป้ายกองทัพโบราณออกมา

“ฮ่าๆ ข้าแสวงหาพลังระดับตี้จื้อจุนมานานแล้ว ไม่คิดว่าจะได้สัมผัสในวันนี้”

เขายิ้มให้ผู้อาวุโสจั่วก่อนที่ป้ายในมือจะเปล่งประกายแวววาว ริ้วแสงนับไม่ถ้วนบินฉวัดเฉวียนออกมา

ตู้ม! ตู้ม!

ริ้วแสงเหล่านั้นพุ่งออกมาตกลงบนพื้น แผ่นพื้นในโถงก็แตกมีร่างเงาในชุดเกราะหนักยืนอยู่อย่างเงียบๆ

เมื่อร่างเงาเหล่านั้นปรากฏขึ้น รัศมีจั้นยี่สีแดงเข้มก็พวยพุ่งออกมาตอบโต้และลบแรงกดดันคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวที่มาจากผู้อาวุโสจั่ว

เมื่อผู้อาวุโสจั่วเห็นฉากนี้ก็ตะลึงก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างมาก

“นี่…นี่คือกองทัพ?!”

ผู้อาวุโสจั่วมองไปที่นักรบหุ้มเกราะหนักในโถงด้วยความตกใจก่อนที่จะอุทานอย่างหวาดกลัว

นี่เป็นกองทัพชั้นสูงแท้จริง เมื่อพิจารณาจากรัศมีจั้นยี่น่าสะพรึงกลัวที่มาจากพวกเขาก็สามารถเทียบเคียงได้กับระดับตี้จื้อจุน!

“จะ…เจ้าครอบครองกองทัพชั้นยอดเช่นนี้ได้อย่างไร?!” ผู้อาวุโสจั่วคำรามด้วยความไม่เชื่อ กองทัพชั้นยอดเช่นนี้หาได้ยากแม้แต่ในทวีปเทียนหลัว กระทั่งตำหนักเทพปีศาจก็ไม่มีใครครอบครอง ดังนั้นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแบบนี้จะมีได้อย่างไร?

มู่เฉินยืนอยู่ด้านหลังกองทัพสังหารวิญญาณสัมผัสได้ถึงรัศมีจั้นยี่ที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัว หมัดของเขาสั่นเทิ้มด้วยความตื่นเต้น เขาโหยหาพลังนี้มานานแค่ไหนแล้ว?

แต่ตอนนี้ในที่สุดเขาก็ได้ครอบครอง!

“ทำไม? แปลกใจมากเหรอ” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองผู้อาวุโสจั่วที่ไม่สงบนิ่งเหมือนก่อนหน้าพร้อมคลี่รอยยิ้มเย้ยหยัน

ใบหน้าของผู้อาวุโสจั่วเปลี่ยนไปจากนั้นครู่หนึ่งก็เยาะเย้ย “ช่างเป็นโอกาสที่ดีที่เด็กอย่างแกได้รับกองทัพชั้นยอดเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงกล้ามาก แต่แกก็โง่พอที่จะคิดว่าสามารถปลดปล่อยพลังที่รับมาแบบเต็มที่ได้เหรอ?”

แม้แต่กองทัพที่ทรงพลังก็ยังต้องการจั้นเจิ้นซือที่ทรงพลังเช่นเดียวกัน เมื่อทั้งสองจับคู่กันพลังที่แท้จริงถึงจะถูกปลดปล่อยออกมาได้

กองทัพชั้นยอดเบื้องหน้านี้ ถ้าต้องการควบคุมก็ต้องเป็นไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือถึงจะสามารถทำได้

จั้นเจิ้นซือระดับนั้นมีน้อยนิดในทวีปเทียนหลัว เจ้าเด็กนั่นไม่ใช่หนึ่งในนั้นแน่นอน

“งั้นเหรอ?”

ทว่าเผชิญกับข้อกังขาของผู้อาวุโสจั่ว มู่เฉินก็ยิ้มอ่อนก่อนที่จะยกมือขึ้นช้าๆ

เมื่อมองไปที่รอยยิ้มนั่น ผู้อาวุโสจั่วก็หดดวงตาด้วยความไม่สบายใจในส่วนลึกของหัวใจ

ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างสมบูรณ์ในอึดใจต่อมา

นั่นเป็นเพราะเขาเห็นว่าเมื่อมู่เฉินค่อยๆ ยกมือขึ้น นักรบที่น่าสะพรึงก็กระแทกง้าวในมือลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง รัศมีจั้นยี่สีแดงเข้มรวมตัวเป็นเมฆสีแดงเข้มเหนือกองทัพ

ผู้อาวุโสจั่วตัวสั่นจากหัวจรดเท้าขณะที่ความหวาดผวาและความไม่เชื่อปกคลุมใบหน้า

นั่นเป็นเพราะตอนนี้ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้แล้วว่าเจ้าเด็กคนนี้สามารถบัญชาการกองทัพที่น่ากลัวได้จริงๆ!

นี่…เป็น-ไป-ได้-ยังไง?!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1165 ศัตรูกันทางจะแคบ
เมื่อมู่เฉินออกจากหอสองฟ้า

เขาก็ไม่ได้หยุดกลางคันมุ่งหน้าไปยังหอหนึ่งฟ้าทันที ขณะนี้ทุกคนคงแยกย้ายอยู่ตามหอทั้งห้า ดังนั้นเขาจะต้องไปถึงหอหนึ่งให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ แม้เขาไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องที่จะมีคนเข้าไปในโถงที่มีร่างเดิมของมั่นถัวหลัวได้ แต่ถ้ามีใครสักคนกระตุ้นค่ายกล การจะนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกไปก็จะยิ่งลำบากขึ้น

ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่หยุดแม้จะเห็นโถงต่างๆ ที่มีแสงหลิงพลุ่งพล่านออกมาระหว่างทาง

เขารู้ว่าแสงหลิงเหล่านั้นคงเป็นสมบัติที่หลงเหลืออยู่ในวังโบราณ แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาค้นหาสมบัติ

สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมาให้ได้อย่างรวดเร็ว

มิฉะนั้นเมื่อฮ่องเต้เซี่ยมาถึงวังสวรรค์บรรพกาลและทราบข่าวว่าเขาฆ่าเซี่ยหยู่ไปแล้ว อีกฝ่ายจะต้องพุ่งตรงมาหาเขาด้วยความโกรธแค้นแน่นอน

ถ้าต้องการเอาชีวิตรอดภายใต้ฮ่องเต้เซี่ยและเจ้าตำหนักเทพปีศาจที่เป็นคู่แค้นกับมั่นถัวหลัว เขาก็ต้องนำร่างหลักมาให้นางเพื่อมั่นถัวหลัวจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม

มิฉะนั้นถึงแม้จะมีกองทัพสังหารวิญญาณ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย

“เวลาเร่งรีบแท้จริง”

มู่เฉินพึมพำจากนั้นก็กลายเป็นริ้วแสง ดวงตาของเขามองไปไกลก่อนที่จะหดเกร็ง เนื่องจากเห็นมหาสมุทรสีฟ้าอมเขียวปรากฏขึ้นที่ปลายสายตา

เหนือมหาสมุทรพลุ่งพล่าน คลื่นน้ำม้วนตัวขึ้นหมื่นจั้งเป็นครั้งคราว

“นี่คือทิศทางไปหอหนึ่งแน่นอน หรือว่าหอหนึ่งจะอยู่บนมหาสมุทร?” มู่เฉินอึ้งไปกับทิวทัศน์ ก่อนที่จะครุ่นคิดพักหนึ่ง แต่ก็ยังพุ่งต่อไปอย่างแน่วแน่ เดินทางด้วยความเร็วสูงสุด จนทำให้เกิดคลื่นซัดสาดในมหาสมุทร

มู่เฉินเดินทางสิบกว่านาที หลังจากนั้นก็เห็นเกาะต่างๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับหอสูงตระหง่านที่แสดงให้เห็นถึงความสง่างามและเจริญรุ่งเรืองในอดีต

บางครั้งก็มองเห็นริ้วแสงวอบแวบบนหมู่เกาะเหล่านั้น ชัดว่าเป็นจอมยุทธ์คนอื่นๆ ที่บุกเข้าไปค้นหาสมบัติกัน ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจพวกเขา ยังคงเดินทางต่อไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเดินทางลึกเข้าไป มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยของค่ายกลในพื้นที่นี้ ซึ่งมีพลังที่ทำให้ผู้คนตกใจกลัว โชคดีที่ค่ายกลเหล่านั้นถูกทำลายจนหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นคงต้องเสียเวลาในการผ่านไป

วาบ!

ร่างมู่เฉินพาดผ่านเส้นขอบฟ้าขณะสายตามองไปที่สถาปัตยกรรมบนเกาะต่างๆ พยายามค้นหาโถงที่ร่างหลักของมั่นถัวหลัวซ่อนอยู่

แล้วการค้นหาของเขาก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง

เมื่อเวลาผ่านไปมู่เฉินก็ขมวดคิ้ว เขาค้นหาเกาะสามในสี่ส่วนแล้ว ทว่าแม้จะมีความผันผวนที่แปลกประหลาดแผ่กระจายออกมาในบางเกาะ แต่เขาก็ไม่สามารถจับคู่กับความทรงจำที่มีได้

“ลองหาดูต่อ” มู่เฉินกัดฟันแน่นก่อนจะพุ่งลึกเข้าไปสำรวจในส่วนที่ยังไม่ค้นหา

ทว่าหนึ่งชั่วโมงต่อมาใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปเป็นไม่น่าดู เนื่องจากเขาค้นหาทั่วทั้งมหาสมุทรแล้ว แต่เขาก็ยังไม่พบสิ่งที่ตรงกับความทรงจำเลย

“โถงที่ข้าเห็นก่อนหน้าไม่มีทางเป็นภาพลวงตานะ” ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดราวกับน้ำนิ่ง เขาระงับความวิตกกังวลในใจและสงบสติอารมณ์

“ทำไมบนมหาสมุทรข้าถึงหาไม่เจอ? นอกจากนี้… ข้าก็ไม่เห็นหอหนึ่งด้วยเช่นกัน”

มู่เฉินเม้มริมฝีปากขณะมองไปรอบๆ พลางพึมพำ “หรือว่าไม่ได้อยู่บนมหาสมุทร”

ถ้าไม่ได้อยู่บนมหาสมุทรแล้วจะอยู่ที่ไหน?

มู่เฉินก้มหน้าลงไปที่มหาสมุทรครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนที่จะหดดวงตา “หรือว่าจะอยู่ใต้มหาสมุทร?”

วาบ!

มู่เฉินกลายเป็นร่างแสงพุ่งลงไปในมหาสมุทรทันที กระจายการรับรู้คลื่นหลิงออกไป จากนั้นก็ค้นพบหอสง่างามที่คล้ายกับสัตว์อสูรหมอบลึกที่ใต้มหาสมุทร

มู่เฉินรู้สึกโล่งใจมากกับฉากนี้ ที่แท้หอหนึ่งก็ตั้งอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ไม่ใช่ผิวน้ำ จอมพลหนึ่งช่างลึกลับอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

มู่เฉินราวกับปลาน้อยขณะที่เดินทางใต้น้ำกระจายการรับรู้ออกไป ครั้งนี้เขาก็สัมฤทธิ์ผล

“พบแล้ว!”

มู่เฉินมาปรากฏตัวเบื้องหน้าซากปรักหักพังพร้อมกับหอโบราณกระดำกระด่างที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ ช่างดูคล้ายกับความทรงจำของมู่เฉิน

นอกจากนี้ยังมีการกลิ่นหอมแปลกๆ ลอยอวลออกมาทำให้ผู้คนหลงใหล

นั่นคือกลิ่นหอมของดอกแมนดาลา!

มู่เฉินมองไปที่หอกระดำกระด่างก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ก่อนที่จะเข้าใกล้ด้วยความระมัดระวัง เขายืนอยู่ตรงหน้าลังเลเล็กน้อยแล้วก็เข้าไป

ภายในหอตัดขาดจากน้ำทะเลภายนอก การตกแต่งภายในทั้งโอ่อ่าและกว้างใหญ่เป็นพิเศษ นี่จะต้องเป็นสถานที่สำคัญของหอหนึ่งในสมัยโบราณ

ในโถงใหญ่ก็ดูเสียหายใหญ่หลวง ชัดว่าเคยมีการต่อสู้รุนแรงที่เกิดขึ้น เนื่องจากภาพโครงกระดูกที่นอนกองอยู่รอบๆ

มู่เฉินกวาดสายตาทั่วโถง อึดใจถัดมาใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ปลายโถง มีประตูหินอยู่ ซึ่งร่างหลักของมั่นถัวหลัวน่าจะอยู่หลังประตูนั้น

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ เนื่องจากเขาสังเกตเห็นร่างสองร่างยืนอยู่ตรงหน้าประตู

มู่เฉินคุ้นเคยกับหนึ่งในนั้น จาโหลหลัวจากตำหนักเทพปีศาจ ขณะนี้จาโหลหลัวก็มองมาที่เขาด้วยสีหน้าเยาะเย้ยพลางกอดอก

ทำไมจาโหลหลัวถึงอยู่ที่นี่?

ใบหน้าของมู่เฉินน่าเกลียดขึ้น ดูจากท่าทางของจาโหลหลัวคงรออยู่ที่นี่นานแล้ว

“ฮ่าๆ ดูเหมือนท่านประมุขจะเดาถูกที่จะต้องมีคนมานำร่างหลักของนางกลับ แต่ข้าไม่คิดว่าจะเป็นแก”

จาโหลหลัวมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้มตาหยี “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็คงเป็นศัตรูคู่อาฆาตของประมุขข้าสินะ ซ่อนได้ดีจริงๆ”

ร่างของมั่นถัวหลัวที่แยกออกมาจากดอกตูมน่าจะมีความต่างกับร่างหลัก ดังนั้นต่อให้เป็นตำหนักเทพปีศาจก็ยังหานางไม่พบ แต่ตอนนี้เมื่อจาโหลหลัวเห็นมู่เฉินที่นี่ เขาก็ปะติดปะต่อเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดได้

มู่เฉินจ้องไปที่จาโหลหลัว ใบหน้าที่น่าเกลียดก็เริ่มคลายลง ประมุขตำหนักเทพปีศาจน่าจะรู้จักสถานที่นี้ เพราะเขาเป็นคนบีบบังคับให้มั่นถัวหลัวต้องซ่อนตัวในนี้ นอกจากนี้เขายังไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้มั่นถัวหลัวได้ร่างหลักคืนไปเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่ง ดังนั้นลู่หยวนจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งมั่นถัวหลัวจากการฟื้นร่างหลักนี้

จาโหลหลัวคงจะอยู่ที่นี่ภายใต้คำสั่งของเขา

ทว่าหากเป็นเพียงจาโหลหลัวคนเดียวมู่เฉินก็ไม่มีอะไรต้องกลัว แต่เห็นได้ชัดว่างานนี้ไม่ง่ายอย่างนั้น

สายตาของมู่เฉินเลื่อนไปที่ด้านข้างจาโหลหลัว ร่างในชุดสีดำขาวดูค่อนข้างสูงวัย แต่ไม่มีความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวเขา

แต่เหตุนี้ทำให้มู่เฉินรู้สึกว่าถูกคุกคาม เขาไม่คิดว่าคนที่อ่อนแอเช่นนี้จะสามารถผ่านกับดักหนักหน่วงมาถึงที่นี่ได้

เมื่อรู้สึกถึงสายตาของมู่เฉิน จาโหลหลัวก็ยิ้มอ่อน “ตอนแรกข้าอยากระเบิดศึกระหว่างแกกับข้าเพื่อดูว่าใครมีร่างเทพสุริยะแข็งแกร่งกว่ากัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแกจะไม่มีโอกาสนี้อีกต่อไป”

พูดจบเขาก็หันไปทางชายในชุดสีดำขาวโค้งด้วยความเคารพ “ผู้อาวุโสจั่ว ต้องรบกวนท่านที่นี่ ท่านประมุขแจ้งว่าไม่ต้องการเห็นใครเข้าไปในโถงนี้”

“ผู้อาวุโสจั่ว?”

เมื่อเห็นท่าทางเคารพของจาโหลหลัว ม่านตาของมู่เฉินก็หดเกร็ง อึดใจเขาก็มองไปที่ชายชุดสีดำขาวด้วยความไม่เชื่อ คนคนนั้นเป็นผู้อาวุโสของตำหนักเทพปีศาจหรือ?

เขาถึงจุดที่แม้แต่จาโหลหลัวยังให้ความเคารพ ดังนั้นจะต้องอยู่ในขุมพลังตี้จื้อจุนแล้ว!

แต่ปัจจุบันวังสวรรค์บรรพกาลไม่อนุญาตให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเข้ามาไม่ใช่เหรอ? ทำไมผู้อาวุโสตำหนักเทพปีศาจถึงมาที่นี่ได้?

นอกจากนี้เขาไม่ได้แสดงตัวเองตั้งแต่แรกเริ่มแม้แต่ในทะเลสาบสวรรค์

“ฮ่าๆ แปลกมากเหรอ?”

เมื่อเห็นความตกใจของมู่เฉิน จาโหลหลัวก็หัวเราะร่วน “ที่จริงวังสวรรค์บรรพกาลในปัจจุบันไม่รองรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ดังนั้นสำนักข้าจึงต้องจ่ายราคาแพงเพื่อให้ผู้อาวุโสจั่วเข้ามาที่นี่ แต่ด้วยวิธีนี้เขาจะมีโอกาสโจมตีเพียงครั้งเดียว มิหนำซ้ำพลังก็จะได้รับผลกระทบมากเช่นกัน ในอนาคตหากเขาต้องการฟื้นตัวก็คงต้องใช้เวลาหลายสิบปี”

จาโหลหลัวมีความสุขที่ได้เห็นความตกใจของมู่เฉินและด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดมากขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดนั่นเปลือกตาของมู่เฉินก็กระตุก จักรพรรดิปีศาจแห่งตำหนักเทพปีศาจร้ายกาจแท้จริง ยินยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจ่ายราคาดังกล่าวเพียงเพื่อขัดขวางการดึงร่างหลักของมั่นถัวหลัวกลับไป

แต่คำพูดของจาโหลหลัวกลับทำให้หัวใจที่ตึงเกร็งของเขาคลายลง ชัดว่าตอนนี้ผู้อาวุโสของตำหนักเทพปีศาจคนนี้ไม่ได้มีพลังในจุดสูงสุด กลับได้รับผลกระทบจนสูญเสียพลังไปมาก

แต่สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ต่อให้พลังของเขาจะลดลงอย่างมาก ก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มจะเผชิญหน้าได้ ดังนั้นเมื่อมู่เฉินเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ เขาก็คือคนตายไปแล้วในสายตาของจาโหลหลัว

ทว่าเขาคิดไม่ได้หรอกว่าตอนนี้มู่เฉินไม่ได้อยู่ในขอบเขตจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว

ดังนั้นขณะที่จาโหลหลัวากำลังจะเพลิดเพลินกับสีหน้าหวาดกลัวและตกใจบนใบหน้าของมู่เฉิน เขาก็ต้องหดดวงตาเมื่อพบว่ามีส่วนโค้งเบาบางปรากฏบนใบหน้าของมู่เฉิน

เสียงหัวเราะอ่อนโยนดังก้องโถง

“ที่แท้ก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่พิการไปแล้วครึ่งหนึ่งสินะ?”

**สำนวนศัตรูกันทางจะแคบ แปลประมาณว่าพวกที่เป็นศัตรูจะชอบเจอหน้ากันเสมอ

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1164 พิชิตกองทัพสังหารวิญญาณ
ตู้ม ตู้ม!

รัศมีจั้นยี่ที่ไม่อาจบรรยายได้กวาดออกไป พร้อมกับเกลียวแสงสีเข้มหลายล้าน พลังที่มีอยู่ในแต่ละเส้นแสงทำให้หัวใจมู่เฉินสั่นสะท้าน หากเขาอยู่ที่นั่น เขาจะต้องถูกทำลายล้างจนถึงจุดแตกดับไม่เหลือซากแน่

นี่คือพลังของกองทัพสังหารวิญญาณในจุดสูงสุดเรอะ

ปัง!

มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ท่ามกลางความตกตะลึง รัศมีจั้นยี่สีแดงก็กวาดไป ชนเข้ากับ ‘เขา’

ในช่วงเวลาของแรงกระทบ ความเจ็บปวดที่รุนแรงก็พุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ มู่เฉินร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด การโจมตีที่น่ากลัวทำให้เขารู้สึกว่ากำลังจะถูกทำลายอย่างแท้จริง

ตู้ม! ครืน!

ขอบฟ้าหลายแสนจั้งพังทลายลงพร้อมกับรอยแตกนับไม่ถ้วนกระจายออกไป จากนั้นมู่เฉินก็มองเห็นร่างสูงวัยแตกสลายภายใต้การโจมตีนี้

นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่สิ้นชีพภายใต้การทำลายล้างของกองทัพสังหารวิญญาณ!

ความมืดโปรยเบื้องหน้าสายตา คลื่นจิตของมู่เฉินได้รับความเจ็บปวดรุนแรงจนเกือบทำให้เขาบ้าคลั่ง

ทว่าขณะที่มู่เฉินจะล้มลง ความเจ็บปวดก็หายไป จากนั้นเขาก็พบว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนไปอีกครั้ง

ทว่าเขายังคงถูกล้อมรอบด้วยนักรบในชุดเกราะหนัก แต่ร่างกายเปลี่ยนเป็นชายวัยกลางคน

ทว่าชายวัยกลางคนก็ยังมีพลังงานที่ทรงประสิทธิภาพและเห็นได้ชัดว่าเป็นจอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนด้วย

เมื่อมองที่ฉากนี้มู่เฉินก็อึ้งไป ภาพลวงตาเหล่านี้อาจเป็นเหล่าจอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่ถูกล้างบางโดยกองทัพสังหารวิญญาณ… หรือว่าเขาจะต้องประสบกับการล้มลงของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งหมด?

มู่เฉินยิ้มขมขื่น ความเจ็บปวดรุนแรงเป็นสิ่งที่ยากจะลืมเลือนสำหรับเขา ถ้าเขาไม่แน่วแน่พอครั้งเดียวก็ทำให้เป็นบ้าไปแล้ว

แต่มู่เฉินสามารถรู้สึกได้ว่าหลังจากผ่านการถูกทำลายไปครั้งแล้วครั้งเล่า ร่องรอยของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคลื่นจิตของนักรบสังหารวิญญาณก็ดียิ่งขึ้น

ดังนั้นนี่น่าจะเป็นการทดสอบของกองทัพสังหารวิญญาณ ตราบเท่าที่เขาสามารถทนได้ก็จะสามารถบัญชาพวกเขาได้ด้วยความช่วยเหลือของป้ายกองทัพ

“งั้นก็…เข้ามาเลย!”

มู่เฉินกัดฟันแน่นคลายร่างที่ตึงเกร็งตัวเอง ขณะนี้การป้องกันใดๆ ไร้ผล เมื่อเป็นเช่นนั้นให้เขาได้สัมผัสกับการทำลายล้างของรัศมีจั้นยี่กองทัพสังหารวิญญาณแบบเต็มๆ เลย!

ตู้ม!

แสงสีแดงเข้มรวมตัวกันเป็นดวงอาทิตย์สีแดงเข้มส่องลงมากระทบร่าง “มู่เฉิน”

ความเจ็บปวดรุนแรงเกาะกินจิตใจของมู่เฉินอีกครั้ง

ตู้ม! ตู้ม!

ช่วงเวลาต่อมามู่เฉินก็เผชิญกับ ‘ความตาย’ อย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายความเจ็บปวดก็ไหลเข้าสู่ส่วนลึกของกระดูกจนรู้สึกด้านชาไปหมด

เขาได้รับประสบการณ์ ‘ตาย’ ถึงแปดครั้ง

นั่นหมายความว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแปดคนถูกทำลายโดยกองทัพสังหารวิญญาณ

สิ่งนี้ทำให้มู่เฉินตกตะลึงในใจ เนื่องจากเขารู้ว่ายากแค่ไหนที่จะฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน แม้ว่าการดำรงอยู่แบบนั้นจะสู้กับกองทัพชั้นยอดไม่ได้ แต่พวกเขาก็ควรมีหนทางที่จะหนีรอดได้

แต่ไม่มีผู้ใดในทั้งแปดคนที่สามารถหลบหนีได้ ทั้งหมดจบชีวิตลง

ดังนั้นเห็นได้ว่ากองทัพสังหารวิญญาณน่ากลัวเพียงใด

มู่เฉินถอนหายใจในใจ เขารู้สึกโล่งใจที่พบว่าหลังจากผ่านการทำลายไปแปดครั้งมิติก็เริ่มแตกสลาย

คลื่นจิตของมู่เฉินก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

อ็อก!

ในห้องโถงดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินก็เปิดขึ้นทันที จากนั้นก็กระอักเลือดออกมาจากปากพร้อมกับเส้นเลือดกระตุกบนหน้าผาก ทำให้เขาดูดุร้ายขึ้น

เมื่อคลื่นจิตกลับมาแล้ว ความเจ็บปวดรุนแรงก็ตกลงบนร่างเขาเช่นกัน

ฮา ฮา!

มู่เฉินหายใจถี่ขึ้น พักใหญ่กำปั้นที่กำแน่นของก็ค่อยๆ คลายออก เขาเช็ดหน้าผากด้วยมือที่สั่นเทาและยิ้มอย่างขมขื่น

‘การตาย’ ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวแท้จริง แต่สิ่งนี้เองที่ทำให้เขารู้สึกได้ว่ารัศมีจั้นยี่ของกองทัพสังหารวิญญาณว่าน่ากลัวและรุนแรงเพียงใด

พวกเขาสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้ถึงแปดคน!

หากพวกเขาอยู่ในทวีปเทียนหลัวตอนนี้ ขั้วอำนาจชั้นยอดใดๆ ก็จะต้องหวั่นเกรง

แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินดีใจคือความจริงที่ในที่สุดตัวเขาก็อดทนต่อการตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ ตอนนี้เขาสามารถสัมผัสได้อย่างคลุมเครือถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกองทัพสังหารวิญญาณ

นอกจากนี้มือของมู่เฉินซึ่งกำลังเช็ดหน้าผากก็หยุดชั่วคราว ขณะที่ความไม่เชื่อฉายในดวงตา

นั่นเป็นเพราะในขณะนี้เขาตระหนักว่าคลื่นจิตแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ดวงตาของมู่เฉินแววาวด้วยแสงแปลกประหลาด คลื่นจิตก่อตัวเป็นลวดลายจั้นเหวินจำนวนถึงเจ็ดแสนห้าหมื่นลาย!

ลวดลายจั้นเหวินเจ็ดแสนห้าหมื่นลาย?!

มู่เฉินอ้าปากค้างเล็กน้อย สิบกว่านาทีสั้นๆ ทำไมถึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับเขาขนาดนี้เชียว?

“เป็นเพราะรัศมีจั้นยี่กองทัพสังหารวิญญาณ?!”

มู่เฉินเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าอะไรเป็นสาเหตุ นี่จะต้องมาจากตอนที่เขาอดทนต่อรัศมีจั้นยี่ แม้จะทำให้เขาเจ็บปวดหนักหนาสาหัส แต่ก็ได้รับประโยชน์ที่ไม่อาจจินตนาการได้ในเวลาเดียวกัน

เพิ่มขึ้นถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นลาย!

ถ้าเขาฝึกฝนอาจจะต้องใช้เวลาเกือบครึ่งปีและนั่นเป็นพรสวรรค์เขาดีเยี่ยมด้วย แต่ตอนนี้กลับเพิ่มขึ้นในเวลาเพียงสิบกว่านาที

หัวใจของมู่เฉินเต้นรัวด้วยความสุขขณะที่คลี่ยิ้ม ด้วยคลื่นจิตและความช่วยเหลือของป้าย กองทัพสังหารวิญญาณนี้จะสามารถเปล่งประกายในมือของเขา

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หัวใจของเขาก็เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ด้วยกองทัพนี้แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในระดับตี้จื้อจุน แต่ก็สามารถต่อกรกับระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นได้

เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น!

มู่เฉินเม้มริมฝีปาก แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านในใจ ในอดีตจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเป็นบุคคลที่สูงส่งในสายตาของเขา

เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้

แต่ตอนนี้…ในที่สุดเขาก็ได้ครอบครองพลังของขอบเขตนี้แล้ว!

แม้ว่าเขาจะยังต้องยืมพลังกองทัพสังหารวิญญาณ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าจั้นเจิ้นซือเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพและความแข็งแกร่งก็สามารถปลดปล่อยออกมาได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายรวมกันแบบไม่ขาดไม่เกินในสมการ

มู่เฉินลุกขึ้นยืนมองไปที่นักรบหุ้มเกราะหนัก เขายกป้ายขึ้น แสงกะพริบวูบไหวตั้งใจที่จะนำกองทัพสังหารวิญญาณออกไปพร้อมกับตนเอง

มีมิติเล็กๆ ในป้ายนี้มีที่สามารถใช้เก็บกองทัพสังหารวิญญาณได้ ทว่าข้อกำหนดก็คือต้องให้พวกเขาตายและไม่มีชีวิต

ป้ายเริ่มดูดกองทัพสังหารวิญญาณ ทว่าขณะกำลังเรียกเข้ามามู่เฉินก็รู้สึกถึงแรงต่อต้านเล็กน้อย

“หืม?”

มู่เฉินอึ้งไป การต่อต้านน่าจะถูกทิ้งไว้ตามเจตจำนงของพวกเขา กองทัพสังหารวิญญาณดูเหมือนจะไม่เต็มใจที่จะจากไป เพราะต้องการที่จะปกป้องสถานที่แห่งนี้แม้จะตายไปแล้ว

มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจก่อนที่จะขมวดคิ้ว หากเขาไม่สามารถนำกองทัพสังหารวิญญาณออกไปได้ เขาก็จะกลับไปมือเปล่าในการเดินทางครั้งนี้

ชัดว่าเขาไม่ยอมปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้

“เจตจำนงรึ”

มู่เฉินพึมพำพลางครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปหาจอมพลสอง เขาเข้ามาหาจอมพลสองและโค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุด

“ท่านผู้อาวุโส ความเกรียงไกรของกองทัพสังหารวิญญาณไม่ควรถูกฝังไว้ที่นี่ ข้ายินดีที่จะนำพาพวกเขาออกไปห้ำหั่นกับจักรวรรดิปีศาจในอนาคต ดังนั้น…ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะสามารถเติมเต็มความปรารถนาของข้าได้!”

เสียงของมู่เฉินดังก้องในโถง

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่จอมพลสอง วินาทีนั้นเขาเหมือนสังเกตเห็นร่างสง่างามพยักหน้าเบาๆ

คล้ายจะเป็นภาพลวงตา แต่ก็คล้ายไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อพูดในจุดหนึ่งนี่น่าจะเป็นปณิธานที่เหลือที่จอมพลสองทิ้งไว้

ตู้ม!

นักรบสังหารวิญญาณทั้งหมดคุกเข่าลงตามที่สัญชาตญาณ แต่คราวนี้พวกเขาคุกเข่าต่อหน้าจอมพลสองไม่ใช่ป้ายกองทัพที่ใช้บัญชาการ

มู่เฉินรู้สึกได้ว่าในขณะนี้เจตจำนงที่ห่อหุ้มกองทัพสังหารวิญญาณกำลังจางหายไป ซึ่งทำให้เขารู้สึกโล่งใจ อันที่จริงถ้าเขาต้องการนำกองทัพสังหารวิญญาณออกไป ไม่เพียงแต่เขาต้องมีป้ายใช้บัญชาการ เขายังต้องได้รับการยอมรับจากจอมพลสองด้วย

มู่เฉินโค้งคำนับอีกครั้ง แสงพร่างพราวก็เอิบอาบออกมาจากป้ายในมือ ทันใดนั้นนักรบสังหารวิญญาณทั้งสองพันนายก็กลายเป็นริ้วแสงทะยานเข้าไปสถิตภายในป้าย

เมื่อแสงริ้วสุดท้ายเข้าสู่ป้ายเรียบร้อย มู่เฉินก็เก็บไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ไม่ลังเลหันหลังกลับออกไป

ในเมื่อได้กองทัพสังหารวิญญาณมาแล้ว ก็ถึงเวลาต้องไปนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมาแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1163 ลวดลายจั้นเหวิน
ในโถงโบราณ

มู่เฉินเดินเข้าไปขณะเดินผ่านค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร มังกรทั้งเก้าก็สลายหายไปอย่างเงียบๆ โดยไม่มีสิ่งกวาดขวางใดต่อมู่เฉิน

ไม่กี่นาทีมู่เฉินก็มาถึงหน้าบัลลังก์ แต่เมื่อเขากำลังจะก้าวย่างขึ้นไป เขาก็มองเห็นประกายแสงแล่นแปลบปลาบบนร่างนักรบสังหารวิญญาณที่ฟื้นฟูพลัง เหล่านักรบก้าวออกมาข้างหน้า ทำให้โถงใหญ่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น แรงกดดันรุนแรงกวาดผ่านตรงมาที่มู่เฉิน

เมื่อรู้สึกถึงแรงกดดัน สีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวถอยจากบันได เวลานั้นแรงกดดันก็หายไป กองทัพสังหารวิญญาณก็ก้าวกลับไป

“ต่อให้จะไม่มีสติปัญญาหลงเหลือ แต่ปณิธานปกป้องจอมพลสองก็ยังคงอยู่เรอะ?” สายตาของมู่เฉินวูบไหวเล็กน้อย ก่อนหน้านี้กองทัพสังหารวิญญาณสูญเสียพลังจึงไม่ได้ขัดขวางซูชิงหยิง แต่ตอนนี้พวกเขาฟื้นคืนพลัง ก็ปกป้องจอมพลสองตามสัญชาตญาณ

ถ้าเมื่อสักครู่เป็นสถานการณ์นี้ ซูชิงหยิงคงต้องทนทุกข์จากการโจมตีของนักรบสังหารวิญญาณสองพันนายแน่!

“ช่างเป็นผู้หญิงที่โชคดี” มู่เฉินถอนหายใจ จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

ตู้ม!

เกลียวแสงควบรวมกันในดวงตาของนักรบสังหารวิญญาณ แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวกวาดออก ครั้งนี้มีรัศมีโลหิตจางๆ พรั่งพรูออกมาจากร่างกายพวกเขาพร้อมกับพลังแรงกล้าควบแน่นอยู่เหนือศีรษะพวกเขา

นั่นคือพลังของรัศมีจั้นยี่!

ทว่าขณะที่รัศมีจั้นยี่ที่สามารถเทียบเคียงระดับจื้อจุนกำลังรวมตัว มู่เฉินก็ยกป้ายขึ้นทันที

ป้ายกองทัพโบราณมีรอยกระดำกระด่างวางอยู่ในมือมู่เฉินอย่างเงียบๆ ตอนนี้มันราวกับถูกกระตุ้น ป้ายลอยคว้างพร้อมกับเสียงแตรโบราณดังขึ้นจากมัน

เสียงนั้นประหนึ่งผ่านมาจากยุคโบราณ

เมื่อเสียงแตรดังขึ้น นักรบสังหารวิญญาณทั้งสองพันนายที่กำลังจะเริ่มโจมตีก็ตัวแข็งค้าง รัศมีจั้นยี่เหนือศีรษะพวกเขาสลายหายไป จากนั้นพวกเขาก็ก้าวไปข้างหน้าคุกเข่าข้างหนึ่งทำความเคารพมู่เฉินที่อยู่เบื้องหน้าอย่างพร้อมเพรียง

เนื่องจากได้กลายเป็นนักรบผีดิบ พวกเขาจึงไม่มีสติปัญญาและไม่สามารถเปล่งเสียงใดได้ แต่ขณะนั้นเมื่อพวกเขาคุกเข่า มิติโดยรอบก็โยกคลอน

มู่เฉินมองไปที่ภาพนี้ก็ฉีกปากยิ้ม

ดูเหมือนว่าแม้จะผ่านไปนับหมื่นปี กองทัพที่เคยทรงพลังแข็งแกร่งก็กลายเป็นกองทัพผีดิบ แต่ป้ายนี้ก็ยังใช้งานได้!

ทว่าความสุขก็อยู่ได้ไม่นาน เขาถอนอารมณ์อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเขารู้ดีว่าด้วยป้ายที่ได้รับทำให้สามารถบังคับบัญชากองทัพสังหารวิญญาณเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถเร้าพลังของกองทัพออกมาได้

หากเขาไม่สามารถปลดปล่อยพลังเต็มรูปแบบของกองทัพสังหารวิญญาณได้ นั่นก็ไร้ประโยชน์แม้ว่าจะได้รับมาแล้วก็ตาม

สายตาของมู่เฉินวูบไหว จากนั้นก็ก้าวขึ้นบันไดเดินไปที่ข้างบัลลังก์พลางมองลงไปที่กองทัพสังหารวิญญาณก่อนที่จะนั่งลงขัดสมาธิ

เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้บัญชากองทัพ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความสำเร็จในฐานะจั้นเจิ้นซือจะหยุดลง ในความเป็นจริงเมื่อพลังของเขาเพิ่มขึ้นก็ทำให้เกิดความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อศาสตร์รัศมีจั้นยี่

ทว่าแค่ไม่ได้มีโอกาสเหมาะสมในการเปิดเผยเท่านั้น

แต่ตอนนี้ถึงเวลาทดสอบความสำเร็จในฐานะจั้นเจิ้นซือหลังจากผ่านมาหนึ่งปีแล้ว

มู่เฉินค่อยๆ หลับตาลง อึดใจก็เปิดดวงตาขึ้น แต่คราวนี้ดวงตาของเขาแวววาวด้วยความผันผวนแปลกประหลาดและทรงพลังกวาดออกไป

ความผันผวนไม่ได้มีอันตรายใดๆ แต่เมื่อปรากฏขึ้นกองทัพสังหารวิญญาณที่คุกเข่าก็กระตุ้นพลังพร้อมกับประกายสีแดงเข้มกะพริบในดวงตาพวกเขา แสงโลหิตควบแน่นเหนือศีรษะกลายเป็นเมฆสีแดงเข้มกระจายไปทั่วห้องโถง

ความผันผวนน่ากลัวที่แผ่ซ่านมาจากเมฆสีแดงเข้มทำให้หัวใจของมู่เฉินเย็นเยือก เมฆสีแดงเข้มนี้ก็คือรัศมีจั้นยี่ของกองทัพสังหารวิญญาณ พลังนิยามได้ด้วยคำว่าน่ากลัวแท้จริง

นี่เป็นรัศมีจั้นยี่ทรงพลังที่สุดที่มู่เฉินเคยเห็นในหมู่นักรบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ยังอยู่ภายใต้สถานะที่จำนวนไม่เต็ม ดังนั้นจึงยากที่จะจินตนาการได้ว่ากองทัพสังหารวิญญาณทรงพลังเพียงใดเมื่ออยู่ในสภาพพร้อมรบ

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ถอยหนี ตรงกันข้ามดวงตากลับลุกโชนด้วยความกระหาย จั้นเจิ้นซือทุกคนไม่ยอมแพ้ต่อกองทัพชั้นยอดเช่นนี้ง่ายๆ หรอก

นี่เป็นสิ่งที่คล้ายกับพ่อครัวที่เห็นส่วนผสมชั้นดีที่สุด ช่างฝีมือมองเห็นวัตถุดิบที่เลิศที่สุด ก็เหมือนกันกับจั้นเจิ้นซือ ต้องมีกองทัพชั้นยอดในมือพวกเขาเท่านั้น ถึงจะสามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงของพวกเขาได้

หากไม่มีกองทัพ จั้นเจิ้นซือก็เป็นได้แค่ตัวตลก

มู่เฉินหายใจเข้าลึกเพื่อระงับอารมณ์ มือข้างหนึ่งวาดสร้างตราประทับ ความผันผวนแปลกประหลาดพัดออกมาจากร่างกาย มิติบิดเบี้ยวกลายเป็นลวดลายนับไม่ถ้วนบินออกไป

มองจากระยะไกลก็ดูคล้ายกับเกล็ดมังกรเป็นชั้นๆ

มู่เฉินจ้องมองไปที่ลวดลายเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด นี่ก็คือลวดลายจั้นเหวิน แม้ว่าจะไม่ได้บัญชารัศมีจั้นยี่ มู่เฉินก็สามารถคาดเดาจำนวนลวดลายจั้นเหวินที่เขาสามารถสร้างได้ในตอนนี้

หนึ่งปีก่อนมู่เฉินเป็นวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือธรรมดา แต่ตอนนี้เขาก้าวหน้าออกไปไกลแล้ว

ลวดลายกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็มีถึงแสนลาย

สือวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า

แต่ถึงอย่างนั้นมู่เฉินก็ยังคงมีสายตาสงบ สือวั่นเหวินจั้นเจินซือที่เคยอยู่ไกลเกินเอื้อมเมื่อในอดีต ตอนนี้ไม่อยู่ในครรลองสายตาของเขาแล้ว

นอกจากนี้หากเขาสามารถสร้างลวดลายจั้นเหวินได้เพียงแสนลาย ก็ไม่จำเป็นต้องพยายามบัญชากองทัพสังหารวิญญาณนี้ให้เมื่อย เพราะยังไงก็เป็นไปไม่ได้

ตามการคาดการณ์ของมู่เฉินจะต้องเป็นไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือถึงสามารถควบคุมกองทัพดังกล่าว แม้ว่ากองทัพสังหารวิญญาณจะจำนวนลดลงอย่างมาก แต่อย่างน้อยก็ต้องการลวดลายจั้นเหวินหกถึงเจ็ดแสนลาย

“ลวดลายจั้นเหวินหกถึงเจ็ดแสนลายเรอะ” มู่เฉินพึมพำ อึดใจสายตาก็เป็นประกายมากยิ่งขึ้น คลื่นจิตพวยพุ่งออกมาจากกลางหว่างคิ้วราวกับภูเขาไฟกำลังปะทุ

ลวดลายจั้นเหวินปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าก่อนจะกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

ในช่วงสิบกว่าลมหายใจลวดลายบนท้องฟ้าก็เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนสี่แสนลายที่น่าสะพรึงกลัว

ทว่ามู่เฉินก็ยังขมวดคิ้ว เพราะนี่ยังไม่เพียงพอ

“มากกว่านี้!”

มู่เฉินคำรามในใจ กระแสธารคลุมเครือปรากฏขึ้นที่กึ่งกลางคิ้วขณะที่คลื่นจิตทั้งหมดในร่างกายถูกดึงออกมาอย่างสมบูรณ์

จำนวนลวดลายจั้นเหวินเพิ่มขึ้น

สี่แสนสาม… สี่แสนหก… ห้าแสน… ห้าแสนสี่…

เมื่อถึงห้าแสนหกใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดเล็กน้อยพร้อมกับความเจ็บปวดที่หัวแทบระเบิด

นี่เป็นสัญญาณของขีดจำกัด

“ต้องมากกว่านี้!”

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ยอมแพ้ เขากัดฟันแน่นอดทนต่อความเจ็บปวดรุนแรงพร้อมกับความรู้สึกวิงเวียนที่ขมขื่น

แสงระยิบระยับหมุนคว้างอยู่ในดวงตาอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้นลวดลายจั้นเหวินที่หยุดจำนวนลงก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง

ห้าแสนแปด… ห้าแสนเก้า… หกแสน…!

เมื่อจำนวนลวดลายจั้นเหวินมาถึงหกแสน มู่เฉินก็รู้สึกหัวหมุนไปหมด ในหูก็มีแต่เสียงหึ่งๆ ทว่าเขาไม่อาจสนใจเรื่องเหล่านี้ เขาหายใจเข้าลึกลวดลายจั้นเหวินหกแสนลายกลายเป็นกระแสน้ำพัดเข้าสู่เมฆสีแดงเข้มของกองทัพสังหารวิญญาณ

หลังจากมีประสบการณ์แรงกระทบจากรัศมีจั้นยี่จากกองทัพสังหารวิญญาณแล้ว เขาถึงจะได้รับการยอมรับและปลดปล่อยพลังรัศมีจั้นยี่ได้อย่างแท้จริง

ตู้ม!

เมื่อคลื่นจิตของมู่เฉินพุ่งเข้าไปในเมฆสีแดงเข้ม เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าทิวทัศน์รอบตัวเปลี่ยนไป นี่เป็นเหมือนสนามรบโบราณที่มีไฟสงครามลุกลามไปทุกหัวระแหง

ขณะที่เขากำลังตกตะลึงกับฉากที่เปลี่ยนแปลงเบื้องหน้า ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนน่ากลัวของคลื่นหลิงผ่านมา

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นหนังหัวก็ระเบิดทันที ตอนนี้บนท้องฟ้าถูกล้อมด้วยกองทัพนับพันรอบตัวพร้อมกับชุดเกราะหนักที่มีรัศมีแดงเข้ม

รัศมีจั้นยี่สีแดงเข้มไร้ขอบเขตกวาดออกไปทำให้มิติสั่นไหวภายใต้แรงกดดันรุนแรง

มู่เฉินมองไปที่กองทัพน่ากลัวก็หดดวงตา นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักว่ากองทัพนี้เป็นกองทัพสังหารวิญญาณที่อยู่ในสถานะสูงสุด

นอกจากนี้มู่เฉินยังต้องตกใจเมื่อพบว่ารูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไป ไม่ใช่ภาพเงาที่ดูอ่อนเยาว์อีกต่อไป แต่เป็นชายชราที่มีพลังน่าสะพรึงกลัวในร่าง

ระดับนี้ไปถึงระดับตี้จื้อจุนแล้วแน่นอน!

มู่เฉินอึ้งไป จากนั้นก็เข้าใจทันทีว่าจอมยุทธ์ผู้นี้จะต้องเป็นหนึ่งในคนที่กองทัพสังหารวิญญาณเคยสังหาร!

ตู้ม!

ขณะที่มู่เฉินกำลังครุ่นคิด กองทัพสังหารวิญญาณที่อยู่รอบตัวก็เริ่มการโจมตีพร้อมกับแสงสีแดงเข้มครอบงำ การทำลายล้างกดขี่และกลืนกิน

เมื่อรู้สึกถึงการโจมตีที่น่ากลัวหนังหัวของมู่เฉินก็สั่นระริกไปหมด

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1162 ฟื้นฟูกองทัพสังหารวิญญาณ
โถงเก่าแก่รกร้าง

มีค่ายกลที่มีพลังงานหลิงรุนแรงห่อหุ้มไว้ มังกรเก้าตัวบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับความผันผวนน่ากลัวที่เล็ดลอดออกมาจากพวกมัน ทำให้แม้แต่มิติยังสั่นสะท้านจากพลัง

ซูชิงหยิงตัวสั่นสะท้านภายใต้มังกรทั้งเก้าขณะเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินที่อยู่นอกค่ายกล ขณะนี้ชายหนุ่มยืนเอามือไพล่หลังมีรอยยิ้มบาง ทว่าเมื่อรอยยิ้มนั้นเข้าสู่ครรลองสายตาของซูชิงหยิงก็แสบตามาก

“ไม่คิดว่าเจ้าจะทำได้ถึงขนาดนี้!” ซูชิงหยิงกัดริมฝีปากขณะที่พูดอย่างยากลำบาก

มู่เฉินทำให้นางตกใจแท้จริง แม้ว่าซูชิงหยิงจะเตรียมการสำหรับมู่เฉินไว้ แต่นางก็ไม่คิดว่ามู่เฉินใช้ค่ายกลที่น่ากลัวนี้ในการป้องกันได้

จนถึงตอนนี้นางยังไม่อาจเชื่อกับความจริงที่อยู่ตรงหน้า เพราะนี่คือค่ายกลระดับจงซือที่เทียบได้กับระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ด้วยความเข้าใจของมู่เฉินในเส้นทางศาสตร์ค่ายกลเขาจะบรรลุสิ่งนี้ได้อย่างไร? เขาเป็นหลิงเจิ้นจงซือเหรอ?

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ใส่ใจกับอารมณ์ของซูชิงหยิง เขามองไปที่นางและยิ้มอีกครั้ง “แม่นางซู ไม่รู้ว่าเจ้าสามารถช่วยข้าฟื้นฟูกองทัพสังหารวิญญาณได้หรือไม่?”

ซูชิงหยิงเหลือบมองไปที่มู่เฉินอย่างลึกซึ้งก่อนจะยิ้มพลางพยักหน้า “พี่มู่พูดอะไรแบบนั้น? คนอย่างข้าไม่กลืนน้ำลายตัวเองหรอก ในเมื่อข้าสัญญาไว้ก็ต้องทำตามแน่นอน”

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง มู่เฉินก็ผายมือออกมาทำท่าเชื้อเชิญ

ซูชิงหยิงหันกลับไป และยื่นมือออกเผยให้เห็นแมลงหงส์ที่หลับใหลอยู่ในฝ่ามือพร้อมกับแววปวดใจในส่วนลึกของดวงตาเมื่อนางมองไปที่มัน

ทีแรกพลังงานดังกล่าวจะสามารถช่วยแมลงหงส์ในการเจริญเติบโตและวิวัฒนาการได้ การบีบพลังออกมาจะทำให้มันได้รับการเสียหายใหญ่หลวง

แต่การเผชิญหน้ากับค่ายกลที่น่ากลัวซูชิงหยิงก็ไม่มีทางเลือก

มู่เฉินเจ้าเล่ห์เกินไป

ซูชิงหยิงถอนหายใจและไม่ลังเลอีกต่อไป นางวาดตราประทับขึ้นปลายนิ้วปริออกพร้อมกับหยดเลือดพรมลงบนร่างแมลงหงส์

หยดเลือดซึมเข้าร่างแมลงหงส์กลายเป็นลวดลายขลังบนร่างแมลง

กีด กีด!

แมลงหงส์ที่หลับใหลส่งเสียงร้องแหลมราวกับว่าเจ็บปวด สุดท้ายร่างกายสั่นสะท้าน เส้นใยเลือดก็พุ่งออกมาห่อหุ้มส่วนหนึ่งของกองทัพสังหารวิญญาณ

เส้นใยเลือดมุดเข้าไปในร่างนักรบสังหารวิญญาณ จากนั้นมู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานในร่างกายพวกเขา

ซูชิงหยิงรู้สึกโล่งใจขณะที่เช็ดเหงื่อบนหน้าผากก่อนที่จะหันไปหามู่เฉิน “พี่มู่ ตามที่เจ้าต้องการ”

ทว่ามู่เฉินยังคงไร้อารมณ์ขณะจ้องมองนาง

รอยยิ้มของซูชิงหยิงก็ค่อยๆ หดหายไป

“แม่นางซู กองทัพสังหารวิญญาณห้าพันนาย เจ้ากู้คืนเพียงสองร้อยนายเท่านั้น แม้ว่าพลังของพวกเขาจะเสียหาย แต่ก็ไม่เสียหายถึงระดับนี้ใช่ไหม?” มู่เฉินพูดเบาๆ

จากการรับรู้เขาตระหนักได้ว่ามีนักรบสังหารวิญญาณสองร้อยนายเท่านั้นที่มีพลังกลับคืนมา จำนวนนี้น้อยเกินไป แม้จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้

ใบหน้าของซูชิงหยิงเปลี่ยนไป นางกักพลังไว้เยอะก็จริง เพราะพลังงานนั้นมีค่าสำหรับแมลงหงส์ซึ่งในอนาคตเมื่อนางบรรลุระดับตี้จื้อจุน มันจะช่วยในการพัฒนาพลังได้มาก

มู่เฉินมองไปที่ซูชิงหยิงเหยียดนิ้วออกสองนิ้ว “แม่นางซู ข้าต้องการนักรบสองพันนาย ตราบเท่าที่เจ้าเรียกจำนวนนี้ได้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”

“เจ้าบ้าไปแล้ว!” ใบหน้าของซูชิงหยิงเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว “นักรบสังหารวิญญาณสองพันนายไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควบคุมได้ โชคชะตานี้แบกรับไม่ไหวหรอก!”

หากนางดึงพลังนักรบสองพันนายออกมาจริงๆ ละก็ พลังงานในร่างแมลงหงส์จะหมดลงอย่างมาก ดังนั้นซูชิงหยิงจึงรู้สึกปวดใจกับเรื่องนี้ยิ่งนัก

“นั่นเป็นปัญหาที่ข้าต้องกังวลเอง” มู่เฉินพูดอย่างใจเย็นขณะจ้องมองไปที่ซูชิงหยิง “แม่นางซู ข้าเชื่อว่าเจ้าน่าจะรู้คุณค่าของแมลงหงส์ ครั้งนี้ที่เจ้ามาวังสวรรค์บรรพกาลก็คงเพื่อสิ่งนี้ พลังงานในร่างกายก็ไม่ได้เป็นของมัน ทำไมต้องโลภมากด้วย?

“นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการ ข้าจะไม่ยอมขยับไปไหนเด็ดขาด”

มู่เฉินหลับตาลงหลังจากพูดจบ เห็นได้ชัดว่าไม่มีความตั้งใจที่จะเจรจาเนื่องจากตามการคาดการณ์ของเขา หากเขาไม่ได้จำนวนนักรบเท่านี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมา

ซูชิงหยิงมองไปที่มู่เฉินที่กำลังหลับตาก็กัดฟัน แต่นางรู้ว่าไม่มีที่ว่างสำหรับการเจรจาจากทัศนคติของเขา ดังนั้นเธอจึงเค้นเสียงเย็นพลางวาดตราประทับ เสียงร้องแหลมคมดังมาจากแมลงหงส์อีกครั้ง เส้นใยเลือดจำนวนมากพุ่งออกมาจากมัน

รัศมีแมลงหงส์จางลงอย่างรวดเร็วทำให้ซูชิงหยิงรู้สึกปวดใจ

เส้นใยเลือดพุ่งเข้าไปในร่างนักรบสังหารวิญญาณและค่อยๆ ฟื้นฟูพลังของพวกเขา

“เสร็จแล้ว”

มู่เฉินลืมตาขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าก่อนจะพยักหน้าไปทางซูชิงหยิง “ขอบคุณ”

ซูชิงหยิงหยุดเส้นใยสีแดงเข้มทันที รีบเก็บแมลงหงส์ก่อนจะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาถากถางอย่างเย็นชา “ทำไมไม่เอาต่อแล้วล่ะ? น่าจะฟื้นฟูได้มากกว่านี้อีก”

มู่เฉินยิ้มบาง “ข้าคงรับไหว”

นักรบสังหารวิญญาณสองพันนายเป็นขีดจำกัดในการลองของเขาแล้ว

“พูดเหมือนจำนวนตอนนี้เจ้าสามารถควบคุมได้” ซูชิงหยิงเค้นเสียงเย็น เห็นได้ชัดนางไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถสั่งการนักรบสังหารวิญญาณสองพันนายได้ เพราะนี่เป็นกองทัพที่ขัดเกลาโดยจอมพลสองซึ่งสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนไปนับสิบแล้ว

แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่มีชีวิตและสติปัญญา จำนวนนักรบก็ได้รับความเสียหายดังนั้นความแข็งแกร่งในการต่อสู้โดยรวมจึงลดลงอย่างมาก ถ้ามู่เฉินสามารถสั่งการพวกเขาได้จริง เขาก็ไม่ต้องกลัวใครแม้ว่าจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น

มู่เฉินยิ้มไม่ได้สนใจนาง เขาโบกมือค่ายกลก็พลิกผัน เส้นทางปรากฏขึ้น ซูชิงหยิงรีบพุ่งออกมา

หลุดออกมาจากค่ายกล ร่างกายตึงเครียดของซูชิงหยิงก็ผ่อนคลายลงก่อนจะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาร้ายกาจพร้อมกับความไม่พอใจ

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสายตากินเลือดกินเนื้อของนาง มู่เฉินก็ไม่กลัวขณะที่จ้องกลับด้วยรอยยิ้ม

สายตาทั้งสองฟาดฟันกัน ความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวก็เล็ดลอดออกมาจากพวกเขา

ซูชิงหยิงจับแมลงหงส์พูดด้วยสีหน้าเย็นชา “เมื่อไม่มีค่ายกลนี้เจ้าจะสู้กับข้าได้อย่างไร?”

มู่เฉินยิ้ม “น่าจะสู้เจ้าไม่ไหวหรอกมั้ง”

ถ้าซูชิงหยิงยอมจ่ายราคาด้วยแมลงหงส์จริงๆ เขาคงต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากแน่นอน

เมื่อได้ยินคำตอบของมู่เฉิน ซูชิงหยิงก็อึ้งไปก่อนที่ท่าทางอ่อนลง นางไม่เชื่อคำพูดของมู่เฉินเพราะเขาเจ้าเล่ห์เกินไป หากต้องต่อสู้ด้วยการวางชีวิตจริงๆ พร้อมกับแมลงหงส์ นางก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถฆ่ามู่เฉินได้

การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เช่นนี้ หากนางไม่สามารถฆ่าเขาได้ ก็เป็นการดีที่สุดที่จะไม่มีเขาเป็นศัตรู มิฉะนั้นนางคงไม่พบกับความสงบสุขอีกต่อไป

ยกตัวอย่างเซี่ยหยู่ที่มู่เฉินตัดสินใจสังหารอย่างเด็ดขาด นั่นทำให้แม้แต่ซูชิงหยิงยังตกใจเล็กน้อย ดังนั้นจิตใต้สำนึกของนางได้แต่ย้ำว่าเป็นการดีที่สุดที่นางจะไม่เป็นศัตรูกับมู่เฉิน

“ข้าได้ช่วยเซี่ยหยู่มาก่อนหน้าหลังจากได้รับผลประโยชน์บางอย่างเขา ครั้งนี้ถือว่าไม่ติดหนี้บุญคุณต่อกัน” สุดท้ายซูชิงหยิงก็ถอนพลังงานออกไปก่อนจะเค้นเสียงเย็นชา

หลังจากพิจารณาในใจ ซูชิงหยิงก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

“ขอบคุณ” มู่เฉินยิ้ม จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ใส่ใจกับการที่ซูชิงหยิงขัดขวางจิ่วโยว เพราะถ้านางต้องการผนึกกำลังกับเซี่ยหยู่เพื่อฆ่าเขา เขาก็ไม่สามารถฆ่าเซี่ยหยู่ได้

ดังนั้นไม่จำเป็นที่เขาต้องสู้กับซูชิงหยิงด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้

ซูชิงหยิงไม่คิดอยู่ที่นี่อีกต่อไป สายตามองไปที่กองทัพสังหารวิญญาณในค่ายกลเอ่ยว่า “เห็นแก่การร่วมมือกัน ข้าขอเตือนอีกครั้ง อย่ากินคำใหญ่เกินกว่าจะเคี้ยว กองทัพสังหารวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะควบคุม”

เมื่อพูดจบนางก็หันออกจากห้องโถงทันที

มองภาพเงาที่จากไปมู่เฉินก็ไม่ได้คิดหยุดนาง เขาหันไปหากองทัพสังหารวิญญาณในช่วงสั้นๆ พร้อมกับไฟลุกโชนในส่วนลึกของดวงตา

ถ้าเขาสามารถสั่งการกองทัพได้ เขาก็จะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ต่อให้ยังไม่ได้บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขา ในเวลานั้นเขาจะก้าวเข้าสู่ลำดับชั้นสูงของทวีปเทียนหลัวแท้จริง

คิดถึงจุดนี้ มู่เฉินก็หายใจเข้าลึกเพื่อระงับอารมณ์ในใจ เขาก้าวเข้าสู่ค่ายกลก่อนที่ตรงไปที่กองทัพสังหารวิญญาณ

หลังจากซูชิงหยิงได้สมบัติและจากไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่เขาได้รับของตัวเองบ้าง

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1161 ร่วมมือกัน
คลื่นหลิงป่าเถื่อนสร้างหายนะในห้องโถง

ลวดลายแสงถักทอเป็นร่างมังกรอย่างคลุมเครือ ปลดปล่อยเสียงคำรามรุนแรงจนโถงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด

“ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร…”

เมื่อมู่เฉินมองไปที่ค่ายกลที่คุ้นเคย ดวงตาก็กะพริบด้วยความตกใจ เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เจอกับค่ายกลนี้ในหอสองแห่งนี้

ยิ่งกว่านั้นยังเป็นฉบับสมบูรณ์แบบอีกด้วย!

มู่เฉินมองไปที่ค่ายกลขนาดใหญ่ที่แผ่ออกเต็มโถงก็ถอนหายใจในใจ เมื่อเทียบกับค่ายกลที่เขาสร้างขึ้น ก็ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูดเลย!

แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนับหมื่นปีเส้นสายแสงในค่ายกลก็ยังคงโชติช่วง เอิบอาบด้วยระลอกคลื่นพลังงานอันน่าสะพรึงกลัว

“กลัวว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็คงติดแหง็กอยู่ในค่ายกลนี้ หนีไปไม่ได้” มู่เฉินเลียริมฝีปาก ดูเหมือนค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สมบูรณ์นี้น่าจะใกล้เคียงกับค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง

โดยทั่วไปแล้วค่ายกลขั้นจงซือขั้นกลางก็จะมีพลังมากพอที่จะจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นปลายได้

จอมพลสองยืนอยู่กึ่งกลางของค่ายกล ด้วยความแข็งแกร่งของเขาและความช่วยเหลือจากค่ายกล แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มที่คล้ายคลึงกับเขาก็จะถูกปราบปรามหากหลงเข้ามาในนี้

แต่น่าเสียดายที่การเตรียมการทั้งหมดไร้ประโยชน์เมื่อนักรบราชันปีศาจมาถึง

ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจต่อหน้าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สมบูรณ์ สายตาของซูชิงหยิงที่ด้านข้างก็จับจ้องมาก่อนที่จะถามอย่างใจจดใจจ่อ “เป็นยังไงบ้าง?”

มู่เฉินเหลือบมองนางย้อนถาม “เจ้าหมายถึงอะไร? เจ้าคงไม่คิดจริงๆ ว่าข้าสามารถทำลายค่ายกลระดับนี้ได้หรอกมั้ง?”

“การทำลายเป็นไปไม่ได้แน่นอน” ซูชิงหยิงไม่ได้เพ้อฝันเช่นนี้ เพราะค่ายกลระดับจงซือเป็นอะไรที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังไม่กล้าเข้าไปง่ายๆ

“แต่แม้ว่าค่ายกลจะทรงพลังก็ไม่มีคนควบคุมแล้วและเจ้าก็เป็นหลิงเจิ้นซือ ดังนั้นข้าอยากให้เจ้าลองดูว่าจะสามารถเปิดช่องเพื่อให้ข้านำแมลงหงส์ออกมาได้หรือไม่”

มู่เฉินดีดนิ้วเบาๆ ขณะครุ่นคิดก่อนจะพูด “ถ้าแบบนั้นก็ใช่ว่าไม่ได้”

เนื่องจากเขามีความเข้าใจถ่องแท้กับค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร จึงเป็นไปได้ที่จะเปิดทางได้

“จริงเหรอ?” ซูชิงหยิงเผยความสุขบนใบหน้า ตอนแรกนางแค่หยั่งเชิงถามดูว่ามู่เฉินสามารถเปิดทางได้หรือไม่ ดังนั้นนางจึงไม่คาดหวังมากเกินไป เพราะว่าค่ายกลระดับจงซือเหนือชั้นเกินไป แม้กระทั่งสำหรับความเข้าใจของมู่เฉินที่มีต่อค่ายกล

แต่เห็นได้ชัดว่าคำตอบของมู่เฉินทำให้นางมีความสุขมาก

“ลองดูได้” มู่เฉินพยักหน้าจากนั้นก็มองไปที่ซูชิงหยิง “แต่ทำใมข้าต้องเชื่อใจเจ้าด้วยล่ะ”

หากนางได้รับแมลงหงส์มาจริงๆ นางจะสามารถฟื้นกองทัพสังหารวิญญาณได้จริงเหรอ? ถ้าซูชิงหยิงกลับคำ มู่เฉินจะไม่ทำงานเก้อเหรอ?

เพราะยังไงซูชิงหยิงก็ไม่ใช่เซียวเซียวหรือหลินจิ้ง ดังนั้นเขาจึงมีข้อสงสัยในตัวนาง

ซูชิงหยิงไม่ได้โกรธกับข้อสงสัยของมู่เฉิน “อาจารย์ของข้าเป็นศิษย์สำนักโบราณแห่งหนึ่งและแมลงหงส์ของจอมพลสองก็มาจากสำนักนั้น ดังนั้นข้าถึงรู้เกี่ยวกับข้อมูลเหล่านี้”

“นอกจากนี้ที่ข้าพูดมาทั้งหมดก็ไม่ได้เป็นเรื่องเท็จ หากเจ้าต้องการฟื้นฟูกองทัพสังหารวิญญาณจริงๆ ก็จะต้องใช้แมลงหงส์เพื่อบีบให้พลังออกมา ดังนั้นเจ้าต้องพึ่งพาข้า”

“ดังนั้นข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธความร่วมมือนี้”

ซูชิงหยิงมองไปที่มู่เฉิน ทั้งสองคนสบตากันทำให้แม้แต่อากาศก็แข็งค้างเล็กน้อย ก่อนที่มู่เฉินจะยิ้มบางจากนั้นครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ตกลง”

เช่นเดียวกับที่ซูชิงหยิงกล่าว ถ้าเขาต้องการฟื้นฟูกองทัพสังหารวิญญาณก็ต้องร่วมมือกับนาง ส่วนซูชิงหยิงจะรักษาสัญญาหรือไม่ ก็ค่อยดูไปทีละเปลาะก็แล้วกัน

“ถ้างั้นก็สนุกกับความร่วมมือกันนะ” ซูชิงหยิงยิ้ม เห็นได้ชัดว่านางไม่กลัวที่มู่เฉินจะปฏิเสธ

“ข้าต้องการเวลาสักหน่อย” มู่เฉินไม่รอช้า เขาหันหลังเดินไปทางค่ายกลก่อนจะหลับตาลง แสงหลิงเปล่งประกายบนปลายนิ้วก่อนที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งจะบินฉวัดเฉวียนออกมา รวมเข้ากับค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารอย่างระมัดระวัง

ด้วยความเข้าใจต่อค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารในปัจจุบันของเขาการเปิดทางในค่ายกลที่ไม่มีใครควบคุมนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ชัดว่าเขาไม่โง่พอที่จะเปิดเผยเรื่องนี้

การเปิดเผยไพ่ตายโดยไม่มีจุดประสงค์ใดๆ ไม่ใช่นิสัยของมู่เฉิน

“ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” ซูชิงหยิงเอ่ยพลางถอยห่างออกไประยะหนึ่งไปยืนอยู่หน้าประตู เพื่อกั้นพวกหน้าแหลมที่จะเข้ามาขัดขวางมู่เฉิน

ซูชิงหยิงไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความช้าของมู่เฉิน เพราะนี่เป็นค่ายกลระดับจงซือ ถ้ามู่เฉินสามารถเปิดได้อย่างง่ายดาย ก็จะเป็นซูชิงหยิงเองที่จะสงสัย

ซูชิงหยิงนั่งอยู่บริเวณประตูสัมฤทธิ์เขียว มองไปที่ภาพเงาของมู่เฉินก่อนที่จะจ้องมองไปยังร่างสง่างามของจอมพลสอง

“แมลงหงส์…” สายตานางกะพริบเล็กน้อยขณะที่ยิ้มบางพร้อมกับดวงตาลุกโชน หากนางได้รับแมลงตัวนี้มาได้ ด้วยวิธีการชำระของสำนัก นางก็มีความมั่นใจในการเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน

โถงใหญ่ตกอยู่ในความเงียบ เวลาก็เคลื่อนผ่านไป

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมามู่เฉินก็ลืมตาขึ้นในที่สุด ซูชิงหยิงเดินขึ้นไปหาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะถามอย่างใจจดใจจ่อ “เป็นยังไงบ้าง?”

หากมู่เฉินทำไม่สำเร็จนางก็ต้องยอมแพ้กับแมลงหงส์นี้ เพราะด้วยพลังที่นางมีเป็นไปไม่ได้ที่จะผ่านค่ายกลไปได้

ภายใต้สายตากังวลของนาง มู่เฉินก็ยิ้มบางก่อนที่จะพลิกนิ้ว คลื่นหลิงผันผวนมาจากค่ายกลขนาดใหญ่ก่อนที่ทางจะค่อยๆ เปิดออกเป็นรอยแยกครึ่งจั้ง

“โชคดีที่ข้าไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง” มู่เฉินยิ้ม

ซูชิงหยิงฉายความสุขบนใบหน้าด้วยความตื่นเต้นในสายตา ขณะที่หน้าอกอวบอิ่มสะท้อนขึ้นลง

“ข้าจำเป็นต้องควบคุมเส้นทาง ดังนั้นเจ้าต้องพึ่งพาตัวเองที่จะเข้าไปรับแมลงหงส์” มู่เฉินยิ้มให้ซูชิงหยิง

อาจมีกับดักอื่นๆ ในห้องโถงที่มู่เฉินไม่รู้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความคิดที่จะทดสอบและทิ้งปัญหาไปให้ซูชิงหยิง

ซูชิงหยิงรู้เรื่องนี้ดี แต่นางก็ไม่ปฏิเสธเนื่องจากมู่เฉินทำสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว ต่อไปนางจะต้องรับผิดชอบในการเรียกแมลงหงส์

“ถ้างั้นข้าก็รบกวนพี่มู่ด้วย” ซูชิงหยิงพยักหน้าอย่างแน่วแน่ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ค่ายกลโดยไม่ลังเลใดๆ

เมื่อนางเดินเข้าไปค่ายกลก็เกิดการพลิกผันเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ปล่อยการโจมตีใดๆ

ซูชิงหยิงก้าวเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง แต่โชคดีที่ไม่มีอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นหลังจากที่เข้ามานางก็เดินไปที่หน้าบัลลังก์อย่างราบรื่น

นางมองร่างสง่างามก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ จากนั้นใบหน้านางก็จริงจังขึ้นก่อนจะวาดตราประทับเร็วรี่

อ็อก

ในเวลาเดียวกันนางก็กัดลิ้นตัวเอง เลือดไหลออกมาจากปากกลายเป็นเม็ดสีแดงเข้มพร้อมกับกลิ่นหอมเปล่งออกมา

เมื่อกลิ่นหอมกระจายออกไป จุดสีแดงก็ปรากฏขึ้นบนศีรษะของจอมพลสองขยับขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะพุ่งออกมาทางรูโลหิต

นี่เป็นแมลงสีแดงเข้มที่มีปีกสวยงามราวกับหงส์ ทว่ามันตัวเล็กมากทำให้ดูแปลกพิกลนัก

อย่างไรก็ตามตอนนี้ดวงตามันปิดอยู่และโอบตัวไว้ราวกับว่าอยู่ในห้วงนิทรา แต่ก็บินออกมาตามสัญชาตญาณพุ่งไปยังเม็ดเลือดและกลืนกิน

ซูชิงหยิงแบมือ แสงสีแดงก็ตกลงมา นางมองไปที่แมลงน่าหลงใหลด้วยความตื่นเต้นบนใบหน้า

นางคว้าแมลงหงส์ล้ำค่ามาได้อย่างง่ายดาย!

แม้ว่ามันจะตกอยู่ในห้วงนิทรา แต่นางก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังน่ากลัวที่มีอยู่ภายในร่างกายเล็กจ้อยนี้

ซูชิงหยิงหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะจับแมลงหงส์อย่างระมัดระวังจากนั้นก็หันกลับมาเตรียมจากไป

“แม่นางซูกรุณารอสักครู่” ทว่าขณะที่นางกำลังจะออกจากค่ายกลเสียงของมู่เฉินก็ดังก้องขึ้นจากนอกค่ายกล

ซูชิงหยิงเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้ม “พี่มู่ ข้าจะช่วยเจ้าฟื้นฟูกองทัพสังหารวิญญาณอย่างแน่นอนหลังจากที่ข้าออกไป”

ขณะที่นางพูดก็ไม่หยุดเดิน ใบหน้าดูสบายใจขึ้นมาก ด้วยแมลงหงส์นางจะไม่มีคู่ต่อสู้ใดๆ ภายใต้ระดับตี้จื้อจุน ตราบเท่าที่นางใช้พลังเพียงเล็กน้อยแม้ว่าแมลงจะหลับอยู่ก็ตาม

ถ้านางหวาดกลัวมู่เฉินมาก่อนหน้า ความกลัวก็ไม่มีอีกแล้วในตอนนี้

มู่เฉินมองไปที่ซูชิงหยิงที่เดินเข้ามาก็อดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นเขาก็โบกมือ ทางเดินในค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารหายไปอย่างช้าๆ

เวลาเดียวกันคลื่นหลิงรุนแรงก็กวาดขึ้นในค่ายกล มังกรที่สร้างขึ้นมาจากคลื่นหลิงจ้องมองไปที่ซูชิงหยิง

ฝีเท้าของซูชิงหยิงหยุดกึกชั่วขณะ นางมองไปที่ค่ายกลที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยความหวาดผวาและตกใจบนใบหน้า

“จะ…เจ้าควบคุมค่ายกลนี้ได้อย่างไร” สายตาของซูชิงหยิงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

เห็นชัดว่าค่ายกลเก้าเทพมังกประหารถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แล้ว

ซึ่งทั้งหมดเกิดโดยฝีมือมู่เฉิน ขณะนี้ซูชิงหยิงเข้าใจว่าก่อนหน้านี้มู่เฉินแสดงละครฉากใหญ่

อันที่จริงตอนที่มู่เฉินเปิดทางเขาก็ได้ควบคุมค่ายกลนี้แล้วโดยที่นางไม่รู้ตัว

มู่เฉินไม่ตอบกับต่อความตกใจของซูชิงหยิง แต่มองไปที่นางด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาดังขึ้นช้าๆ

“แม่นางซู ไม่รู้ว่าเจ้าสามารถช่วยข้าฟื้นฟูกองทัพสังหารวิญญาณตอนนี้ได้หรือยัง?”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1160 แมลงหงส์
ร่างในชุดคลุมสีม่วงยืนอยู่ตรงบัลลังก์

พร้อมกับรัศมีครอบงำยิ่งใหญ่ที่โดดเด่น ทำให้พื้นที่โดยรอบบิดเบี้ยวปกคลุมโถงเป็นชั้นๆ

มู่เฉินถูกห่อหุ้มด้วยแรงกดดันตั้งแต่ก้าวเข้ามาในโถง ทันใดนั้นร่างกายก็เกร็งขึ้น เกลียวแสงสีทองไหลอยู่บนชั้นผิวพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องในร่างกาย เนื้อหนังแข็งตัวประหนึ่งเหล็กกล้าในตอนนี้

เผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่รู้จัก ชัดว่ามู่เฉินไม่กล้าที่จะผ่อนคลายแม้แต่น้อย ร่างน่าเกรงขามที่ถูกทิ้งไว้โดยบุคคลที่ยิ่งใหญ่ สามารถทำให้เขาต้องจ่ายราคาแพงระยับแน่นอน

ขณะที่เขาใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อป้องกัน สายตาก็จดจ้องร่างชุดสีม่วงเบื้องหน้าด้วยแววตื่นระวังวาบไหวในส่วนลึกของนัยน์ตา นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่คลุมเครือจากในร่างจอมพลสอง

หรือว่าจอมพลสองยังไม่ได้สิ้นชีวิตอย่างสมบูรณ์?

แต่ท่าทางเช่นนี้เขาไม่ได้ดูเหมือนมีสติสัมปชัญญะเลยนะ?

มู่เฉินขมวดคิ้วหันหน้าก้าวไปในทิศทางอื่นซึ่งจะได้เผชิญหน้ากับจอมพลสอง จุดนี้ทำให้เขามองเห็นรูปลักษณ์อีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

ทว่าทันทีที่เห็นรูปลักษณ์อีกฝ่ายใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปรุนแรง อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก

นั่นเป็นเพราะเขาเห็นจอมพลสองเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาจ้องมองด้วยความโกรธเกรี้ยว ซึ่งทำให้มู่เฉินตกตะลึง แต่ที่ทำให้มู่เฉินหวาดผวาไม่ใช่การแสดงออกที่แข็งกระด้างบนใบหน้า แต่เป็นรูโลหิตที่อยู่หว่างคิ้วจอมพลสอง

รูโลหิตนี้มีขนาดหนึ่งนิ้วดูเหมือนไม่สลักสำคัญอะไรเลย ทว่ามู่เฉินตระหนักได้ทันทีว่านี่เป็นพลังทำลายล้างชีวิตของจอมพลสองแบบทันด่วน

มู่เฉินไม่สามารถวัดได้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทรงพลังเพียงใด แต่เขารู้ดีว่ามีจอมยุท์ระดับนี้ไม่มากนักในทวีปเทียนหลัวปัจจุบัน

ทว่าบุคคลดังกล่าวกลับถูกสังหารทันที แล้วศัตรูคนนั้นจะทรงพลังขนาดไหน?

มู่เฉินรู้สึกเย็นเยือกบนผิวหนัง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า สายตาจับจ้องไปยังสถานที่แห่งหนึ่งขณะที่คลื่นหลิงรวมตัวในดวงตา

ขอบฟ้าบนนั้นก็มีร่องรอยหลุมดำขนาดหนึ่งนิ้วคล้ายๆ กันซึ่งดูไม่สำคัญเมื่อเทียบกับขนาดทั้งท้องฟ้า แต่เมื่อเขาเห็นหลุมดำนั้นก็รู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง

ความกลัวที่ไม่อาจอธิบายได้เพิ่มขึ้นในใจ

ตอนนั้นเองฉากหนึ่งก็กะพริบในห้วงจิตของมู่เฉิน ขณะที่ทวีปเทียนหลัวถูกรุกราน ปีศาจทรงพลังคนหนึ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้ปรากฏตัวที่วังสวรรค์บรรพกาล ซึ่งทันทีที่เขาปรากฏก็ได้ลงมือก่อนที่จักรพรรดิฟ้าเสียอีก

ร่างนั้นใช้นิ้วชี้นิ้วเดียวก็ทำให้เกิดหลุมดำบนท้องฟ้าหอสอง จากนั้นทันทีที่จอมพลสองสัมผัสได้และลุกขึ้นยืน หว่างคิ้วก็ปรากฏรูโลหิตซึ่งทำลายพลังชีวิตทันท่วงที

สังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มด้วยดัชนีเดียว

มู่เฉินหายใจเข้าลึกด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้จะมีใครอีกบ้างที่สามารถบรรลุได้นอกจากนักรบราชันปีศาจที่ตายไปพร้อมกันกับจักรพรรดิฟ้า?

นอกจากนี้การเคลื่อนไหวก่อนที่จักรพรรดิฟ้าจะตั้งตัวก็พิสูจน์แล้วว่านักรบราชันปีศาจคนนี้น่ากลัวเพียงใด…

“จักรวรรดิปีศาจ…เป็นสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงกลัวจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมพวกมันถึงบังคับให้คนทั้งจักรวาลร่วมมือกันได้” ท่าทางของมู่เฉินเคร่งขรึมลง เขารู้สึกได้ว่าเผ่าปีศาจต่างมิติทรงพลังและน่ากลัวเพียงใด พวกมันคือศัตรูตัวฉกาจของมหาพันภพอย่างแท้จริง

กระทั่งตอนนี้เผ่าปีศาจก็ยังคงจับจ้องมหาพันโลกและรอคอยโอกาสในการบุกเข้ามา

มู่เฉินถอนหายใจในใจสงบสติอารมณ์ เผ่าปีศาจยังอยู่ไกลจากเขามากนัก เนื่องจากตอนนี้เขายังอ่อนแอเกินไป

แม้แต่จอมยุทธ์อย่างจอมพลสองสองยังถูกทำลายล้างด้วยดัชนีเดียว อาจมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับการดำรงอยู่ดังกล่าวได้

เมื่อสงบอารมณ์มู่เฉินก็เลื่อนสายตาจากจอมพลสองมาที่โถง

ท้ายที่สุดแล้วเป้าหมายที่เขามาหอสองในครั้งนี้ไม่ใช่จอมพลสอง

แต่เป็นกองทัพสังหารวิญญาณ!

เมื่อมู่เฉินกวาดสายตามองก็ค้นพบว่าโถงแห่งนี้มีขนาดใหญ่เพียงใด ก่อนหน้านี้เขาตะลึงกับร่างของจอมพลสองจนมองข้ามสิ่งอื่นไป

มีบันไดวนร้อยขั้นอยู่ใต้บัลลังก์โดยมีร่างหุ้มเกราะหนาอยู่ด้านหลังบันได

เมื่อมู่เฉินเห็นร่างเหล่านั้น เปลือกตาก็กระตุก หัวใจเต้นรัวพร้อมกับดวงตาลุกโชนกวาดมองไป

ร่างหุ้มเกราะดำทะมึนปรากฏมากขึ้น…มากขึ้นในครรลองสายตา นี่เป็นกองทัพที่ยืนอยู่เบื้องหลังจอมพลสองประหนึ่งทหารผู้จงรักภักดี

ดูคร่าวๆ มีร่างหุ้มเกราะหนักห้าพันร่าง พวกเขาสวมชุดเกราะจนไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ได้ ชุดเกราะเหล่านั้นสลักด้วยอักษรสีแดงเข้มราวกับว่าเป็นเลือดปลดปล่อยไอสังหารที่น่าสะพรึงกลัว ทุกคนมีง้าวสีแดงเข้มเป็นอาวุธประดุจดังถูกห่อหุ้มด้วยรัศมีสีแดงเข้ม

เห็นได้ชัดว่าตอนที่กองทัพยังคงอยู่ พวกเขาได้ต่อสู้หลายครั้งแม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็เคยถูกทำลายโดยพวกเขา

สายตาของมู่เฉินมองไปที่กองทัพด้วยดวงตาลุกโชน อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น นี่คือกองทัพที่เขาตามหา—กองทัพสังหารวิญญาณ!

ทว่า… ความตื่นเต้นของมู่เฉินก็หดกลับอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเมื่อคลื่นจิตแพร่กระจายออกไป เขาค้นพบว่ากองทัพสังหารวิญญาณไม่มีร่องรอยของความผันผวนที่แปลกประหลาดเลย

ดูเหมือนกองทัพสังหารวิญญาณจะถูกทำลายโดยสิ้นเชิงแล้ว

ใบหน้าของมู่เฉินบิดเบ้ไม่น่าดู ถ้าเขาไม่สามารถควบคุมกองทัพสังหารวิญญาณได้ เขาก็ไม่สามารถนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมาได้

“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?” มู่เฉินขมวดคิ้ว โดยทั่วไปแล้วหากกองทัพชั้นยอดดังกล่าวเสียชีวิตลง ส่วนใหญ่จะใช้ทักษะลับเพื่อดึงพลังของพวกเขาออกมาทำให้กลายเป็นกองทัพไม่มีวันตาย ด้วยวิธีนี้แม้ว่าพวกเขาจะตายแต่ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ

ในบางแง่มุมกองทัพดังกล่าวไม่สามารถพิจารณาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตได้ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถรอดจากการกัดกร่อนของกาลเวลาได้

แต่ทำไมตอนนี้จากความผันผวนที่สัมผัสได้ พวกเขาราวกับตายไปแล้วจริงๆ?

“นั่นเป็นเพราะกองกำลังนี้ขาดการกระตุ้น”

ขณะที่มู่เฉินครุ่นคิดเสียงหัวเราะพลิ้วไหวก็ดังมาจากด้านหลังเขา

มู่เฉินหดดวงตาก่อนที่จะค่อยๆ เอี้ยวหน้ากลับไปก็เห็นร่างเงาซูชิงหยิง

ไม่คิดว่านางก็มาที่หอสอง

เขายังคงมีสีหน้าสงบแต่ในร่างได้หมุนเวียนคลื่นหลิงแล้ว แม้ว่าเขาและซูชิงหยิงจะไม่ใช่ศัตรูกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นพันธมิตรเช่นกัน

เมื่อเห็นมู่เฉินตั้งระวัง ซูชิงหยิงก็ยิ้มพร้อมกับหรี่ตายิ้ม “อย่ากังวล ข้าไม่ต้องการสู้กับเจ้าที่นี่ ยิ่งกว่านั้นข้าคิดว่าตอนนี้เรามาร่วมมือกันจะดีกว่านะ”

“ร่วมมือกัน?” มู่เฉินหรี่ตาลง

“เป้าหมายของเจ้าคือกองทัพนั่นใช่ไหม? ฮ่าๆ เจ้ามีความทะเยอทะยานจริงๆ กองทัพนี้ไม่ใช่ใครๆก็สามารถควบคุมได้หรอกนะ” ซูชิงหยิงมองไปที่มู่เฉินด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง

“นั่นไม่ใช่เรื่องของเจ้า” มู่เฉินตอบอย่างไม่แยแสจากนั้นก็ถามกลับ “เจ้าพูดถึงการกระตุ้น หมายความว่าอย่างไร?”

ซูชิงหยิงยิ้มเรียบขณะที่ตอบ “กองทัพนี้ไม่ได้ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากตอนที่จอมพลสองถูกฆ่าตาย กองทัพนี้ได้แผดเผาวิญญาณของตนเองเพื่อเทพลังไปที่จอมพลสองด้วยความหวังว่าจะช่วยชีวิตเอาไว้ได้ ดังนั้นหากเจ้าต้องการควบคุมกองทัพนี้ก็ต้องคืนพลังให้พวกเขา”

มู่เฉินขมวดคิ้ว “ถ้านั่นคือวิธีที่สามารถรักษาชีวิตจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้ก็ง่ายเกินไป”

ซูชิงหยิงพยักหน้า “ถ้าเป็นเพียงแค่นี้ก็เป็นไปไม่ได้ แต่จอมพลสองมีแมลงหงส์ซึ่งเป็นแมลงวิญญาณหายาก แมลงดังกล่าวสามารถผ่านนิพพานเพื่อฟื้นฟูชีวิตของเจ้านายได้ครั้งหนึ่ง เพียงแต่ว่าต้องใช้พลังสนับสนุนอย่างมาก”

“แมลงหงส์?” หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน หรือว่าพลังชีวิติที่เขารู้สึกได้จากจอมพลสองก็คือแมลงหงส์?

ถ้าเป็นอย่างนั้นจอมพลสองก็จะมีโอกาสกลับมามีชีวิตจริงหรือ?

“จอมพลสองตายไปแล้วและไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้อีก” ราวกับว่านางเดาความคิดของมู่เฉินได้ ซูชิงหยิงส่ายหน้า “การโจมตีที่จอมพลสองประสบยิ่งใหญ่มากจนแทบจะทำให้ทุกอย่างในร่างกายกลายเป็นขี้เถ้า ดังนั้นต่อให้เป็นแมลงหงส์ก็ไม่สามารถช่วยเขาได้”

จากนั้นนางก็หันไปหามู่เฉิน “เป้าหมายของข้าคือแมลงหงส์ ตราบใดที่ข้าได้มา ข้าก็สามารถช่วยเจ้าบีบพลังงานที่แมลงหงส์ดูดซับจากกองทัพออกมา ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะสามารถได้รับกองทัพ”

“ดังนั้นเราสามารถร่วมมือกันได้”

สายตามู่เฉินวูบไหว จากนั้นไม่นานก็พูดต่อ “งั้นข้าต้องการทำอะไร?”

ไม่ว่าซูชิงหยิงจะพูดความจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้เขาก็คิดจะลองทำเช่นนี้สักหน่อย ถ้าผู้หญิงคนนี้โกหกเขาจะให้นางจ่ายจนกระอักแน่

เมื่อเห็นมู่เฉินสนใจ ซูชิงหยิงก็อดกลั้นรอยยิ้มไม่ได้ จากนั้นมองไปที่โถงพลางสะบัดนิ้ว ลำแสงหลิงพุ่งออกมา

ฮึ่ม

เมื่อคลื่นหลิงพุ่งเข้าไปในโถง ทั้งห้องก็สั่นสะเทือน เส้นหลิงนับไม่ถ้วนรวมตัวกันบนอากาศ ทันใดนั้นเสียงคำรามมังกรก็ดังก้อง ค่ายกลมหึมาปรากฏขึ้นปกคลุมทั่วไปโถง

“ข้าต้องการให้เจ้าช่วยสลายค่ายกลนี้” เมื่อเห็นค่ายกลที่น่าสะพรึง ซูชิงหยิงก็พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่ค่ายกลขนาดใหญ่ ความแปลกประหลาดและตกตะลึงก็ฉายบนใบหน้า

เนื่องจากเขาพบว่าค่ายกลนี้คุ้นเคยอย่างมาก

นี่คือค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร!

ทว่าค่ายกลนี้อยู่ในรูปแบบที่สมบูรณ์!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1159 หอสอง
แท่นดอกบัวสีแดงเข้มวางอยู่ในส่วนลึกของโถงเสียหาย

ซึ่งยังคงเปล่งประกายแวววาวอ่อนโยนดูแปลกตามาก

แต่สายตาของมู่เฉินไม่ได้จดจ่อที่แท่นนั้น แต่จับจ้องไปที่ดอกไม้สีดำน่าหลงใหล

ดอกไม้มีขนาดประมาณสิบกว่าจั้ง ปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณ ทุกกลีบใบดูราวกับเกิดมาจากฟ้าดินที่สมบูรณ์แบบ

ทว่าเมื่อมองเข้าไปให้ชัดเจนก็จะรู้ว่าไม่ได้สมบูรณ์แบบ ดอกตูมอ่อนข้างลำต้นแตกออกไป ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ

มู่เฉินคิดว่าสิ่งนี้คงต้องเกิดขึ้นตอนที่มั่นถัวหลัวได้รับบาดเจ็บสาหัส นางแยกดอกตูมอ่อนออก ผนึกร่างหลักไว้เพื่อหลบหนีออกไปจากวังสวรรค์บรรพกาลและรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้

เวลานี้ดอกไม้ตั้งอยู่เงียบๆ บนแท่นดอกบัวราวกับว่าอยู่ในห้วงนิทรารมณ์ แต่มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนน่าสะพรึงกลัวที่มาจากดอกไม้ราวกับว่าลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ ซึ่งทำให้เขาต้องแอบเดาะลิ้น

หลังจากถอนหายใจ มู่เฉินก็เผยรอยยิ้มโล่งใจออกมา ไม่คิดว่าจะได้พบร่างหลักของมั่นถัวหลัวก่อนจะได้เข้าไปในหอคัมภีร์เทพซ่อน

แต่มู่เฉินก็สงบใจตัวเอง จากนั้นก็สังเกตโถงจำภูมิทัศน์เพื่อที่จะได้จดรายละเอียดภัยคุกคามทั้งหมดที่อยู่รอบๆ

โถงเงียบสงบเต็มไปด้วยกระดูกสีขาวน่าขนลุกและร่องรอยการต่อสู้ เห็นได้ชัดว่าเกิดการสู้รบรุนแรงขึ้นที่นี่

ทั้งห้องเงียบสงบ แต่มู่เฉินรู้สึกได้ถึงอันตรายภายใต้ความเงียบ

มู่เฉินหรี่ตาลงมองไปรอบๆ ก่อนดวงตาจะหดเกร็งหลังจากสิบลมหายใจสั้นๆ สายตาของเขาพุ่งตรงไปที่กองโครงกระดูกที่อยู่ใต้เสารอบห้องโถง

มีโครงกระดูกจำนวนมากมายนอนอยู่รอบๆ แต่หลังจากที่มู่เฉินตรวจสอบก็รู้ว่าโครงกระดูกที่อยู่ใต้เสาเหล่านั้นไม่ได้นอนแบบระเกะระกะ พวกมันมีท่านั่ง แม้ว่าจะไม่มีความผันผวนใดๆ มาจากพวกมัน แต่มู่เฉินก็ยังคงรู้สึกถึงอันตรายเลือนราง

นอกจากนี้แม้ตำแหน่งจะดูซับซ้อน แต่กลับวางไว้อย่างคลุมเครือในรูปแบบค่ายกล ถ้ามู่เฉินเดาถูกน่าจะมีค่ายกลที่สร้างขึ้นจากโครงกระดูกเหล่านั้น

ซึ่งต้องเป็นค่ายกลที่น่ากลัวอย่างแน่นอน

สายตาของมู่เฉินวูบไหว ก่อนหน้ามั่นถัวหลัวเคยบอกว่านางถูกลู่หย่วนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหนัก ถ้าอีกฝ่ายต้องการฆ่าก็จะจัดการให้สิ้นซาก ดังนั้นสถานที่ที่นางเลือกผนึกรักษาตัวเองจะต้องมีพลังเพื่อปกป้องด้วย

ถ้าเขาเดาไม่ผิดค่ายกลที่ประกอบขึ้นจากโครงกระดูกน่าจะเป็นความหวังอย่างหนึ่งของมั่นถัวหลัว ทว่านี่ก็ทำให้มู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่นเนื่องค่ายกลขัดขวางเส้นทางของเขาเต็มๆ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าเขาเข้าไปในโถงจะได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต

“นี่เป็นปัญหาตอนนี้” ตามการคาดการณ์แม้ว่าเซียวเซียวและหลินจิ้งจะร่วมมือกัน พวกนางก็ไม่สามารถผ่านและนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมาได้

มู่เฉินรู้สึกปวดหัวจี๊ด นี่ยังไม่ใช่สุสานจักรพรรดิฟ้า ดังนั้นเขาจะยังให้มั่นถัวหลัวเข้ามาไม่ได้ ไม่เช่นนั้นมิติระเบิดแน่

“ข้าต้องได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกเพื่อให้ประสบความสำเร็จ” มู่เฉินหรี่ตาครู่ต่อมาหัวใจก็สั่นสะท้านก่อนที่แสงแปลกประหลาดจะวาบขึ้นในดวงตา

ความช่วยเหลือจากภายนอก… มู่เฉินกำมือป้ายโบราณก็ปรากฏขึ้นนี่เป็นป้ายของจอมพลสองที่เขาได้จากงานประมูล!

ซึ่งเป็นป้ายกองทัพสังหารวิญญาณของจอมพลสอง!

มู่เฉินมองไปที่ป้ายกองทัพหัวใจก็กระโจนขึ้น มั่นถัวหลัวบอกว่ากองทัพสังหารวิญญาณสิ้นชีพลงหลังจากที่สังหารนักรบปีศาจระดับตี้จื้อจุนจำนวนมาก แต่จอมพลสองจะต้องรักษาพวกเขาเอาไว้บางส่วนด้วยวิธีพิเศษ

หากเขาสามารถใช้ป้ายกองทัพนี้สั่งการกองทัพสังหารวิญญาณ การผ่านห้องโถงนี้เพื่อนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมาก็อาจใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

นอกจากนี้มู่เฉินยังมีความคิดลึกซึ้งลงไปอีก นี่อาจเป็นโอกาสสำหรับเขา

โอกาสในการแสดงให้หอคัมภีร์เทพซ่อนได้เห็น

แววตามู่เฉินพราวระยับ เขาพบร่างหลักของมั่นถัวหลัวจากภาพที่วาบผ่านไปซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญเกินไป

มู่เฉินเชื่อว่านี่อาจเป็นการสร้างขึ้นโดยหอคัมภีร์เทพซ่อนก็เป็นได้

นั่นเป็นเพราะหอคัมภีร์เทพซ่อนต้องการดูผลงานของเขา ดูว่าเขาจะสามารถนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกไปได้สำเร็จหรือไม่

หากเขาทำสำเร็จอาจได้รับการตอบรับเพื่อเข้าสู่หอคัมภีร์เทพซ่อนก็ได้

แน่นอนว่าถ้าเขาล้มเหลวก็จะสูญเสียทั้งร่างหลักของมั่นถัวหลัวและวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ

ซึ่งนี่เป็นการระเบิดครั้งใหญ่สำหรับเขา

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ใบหน้าของมู่เฉินก็กลายเป็นเคร่งเครียด หากเขาสูญเสียวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะก็จะทำให้เกิดการหยุดชะงักและสูญเสียความได้เปรียบในอนาคตและการสูญเสียร่างหลักของมั่นถัวหลัวก็หมายความว่าฮ่องเต้เซี่ยจะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน

ด้วยพลังในปัจจุบันของมั่นถัวหลัว นางสามารถหยุดฮ่องเต้เซี่ยไว้ได้เพียงคนเดียว แต่ยังมีลู่หย่วนประมุขตำหนักเทพปีศาจ ซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตของมั่นถัวหลัว

ดังนั้นเขาจะล้มเหลวไม่ได้!

มู่เฉินกำหมัดแน่น ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง จากนั้นเขาก็มองไปที่โถงโบราณซึ่งน่าจะเป็นที่ตั้งของหอหนึ่ง

เนื่องจากบนเสาหินทั้งหลายต่างสลักคำว่าหนึ่งไว้

“ไปหาหอจอมพลสองเพื่อรับกองทัพสังหารวิญญาณด้วยป้ายกองทัพ”

ทันทีที่มีความคิดเช่นนี้ มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนรุนแรงของพื้นที่รอบตัว ไม่กี่อึดใจทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป

สิ่งที่ปรากฏคือขอบฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยหมอก มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขาขนาดใหญ่

ยอดเขาเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมโอ่อ่าพร้อมด้วยหอสูงตระหง่านซึ่งปล่อยกลิ่นอายโบราณทำให้ทั่วฟ้าดินปกคลุมด้วยรัศมีเก่าแก่

มู่เฉินสามารถมองเห็นหอที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดซึ่งมีความสูงถึงหนึ่งพันจั้ง ทำให้ผู้คนถูกมองว่าเป็นมดที่เบื้องหน้า

ด้านบนสูงสุดของหอก็ปรากฏกระดานซึ่งมีคำอันทรงเกียรติ ‘หอสองฟ้า’

ป้ายเอิบอาบด้วยเกลียวแสงสีทองคลุมเครือพร้อมด้วยพลังไร้ขอบเขตพวยพุ่งทำให้แม้แต่มิติยังผันผวน

“นี่คือหอสองฟ้าเรอะ” มู่เฉินมองไปที่หอโบราณก็ไม่สามารถกลั้นยิ้มได้ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ลังเลกลายเป็นร่างแสงมุ่งหน้าไปยังหอเบื้องหน้า

แน่นอนว่าขณะเดินทางไวมู่เฉินก็กระจายประสาทสัมผัสออกไปเพื่อมองหากับดักที่อยู่รอบๆ

แต่โชคดีที่ครั้งนี้ราบรื่นสำหรับเขา ราวกับว่ากับดักทั้งหมดถูกทำลายจากการต่อสู้ครั้งใหญ่

ไม่กี่นาทีต่อมามู่เฉินก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าหอโบราณ เขาตรวจสอบอย่างระเอียดก็พบว่าประตูสัมฤทธิ์เขียวปิดด้วยผนึกที่ไม่สามารถเปิดได้ด้วยพละกำลังที่เขามีตอนนี้

มู่เฉินขมวดคิ้วชั่วครู่ต่อมาสายตาก็ปะทะไปที่กระดานบนประตู ป้ายมังกรทองคำปรากฏขึ้นในมือเขา

ป้ายเปล่งประกายแสงสีทองก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในกระดาน มีร่องรอยแสงส่องลงมาที่ประตูปิดสนิท

แกร็ก

ในที่สุดประตูสัมฤทธิ์เขียวก็เปิดออกอย่างช้าๆ

เมื่อเห็นฉากนี้มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ เขาคลึงป้ายมังกรทองคำในมือพลางถอนหายใจ ในวังสวรรค์บรรพกาล ป้ายประจำตัวมีความสำคัญแท้จริง ซึ่งจำเป็นมากไม่ว่าเขาจะไปที่ใดก็ตาม

ขณะที่ประตูสัมฤทธิ์เขียวเคลื่อนตัวเปิด รัศมีรกร้างก็พวยพุ่งออกมา มู่เฉินเหมือนจะได้ยินเสียงสังหารหมู่ที่มาจากประตูบานนั้น

เมื่อประตูเปิดออกอย่างสมบูรณ์มู่เฉินก็ฟื้นสติ เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในโถงของหอสองฟ้า

ห้องโถงใหญ่โตมโหฬาร แต่ขณะนี้สถานที่ที่เคยโอ่อ่าดูยุ่งเหยิงไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ที่กรีดผ่านไว้โดยรอบ

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เพราะทันทีที่เขาก้าวเข้ามาดวงตาก็จดจ่อไปที่ปลายโถงพร้อมกับแววตกตะลึงกะพริบวูบวาบในดวงตา

เขาเห็นบัลลังก์สีทองที่มีภาพเงาในชุดสีม่วงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์เปล่งรัศมีครอบงำพร้อมกับพลังอันน่าสะพรึงกลัว ปราบปรามกระทั่งสวรรค์และโลก

แรงกดดันที่พัดเข้ามาทำให้ปฏิกิริยามู่เฉินเปลี่ยนไปมาก เนื่องจากเขาตระหนักได้ว่าร่างเงาชุดสีม่วงไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นร่างที่มีอยู่จริง!

นอกจากจอมพลสองแล้ว ใครกันจะมีแรงกดดันแบบนี้อีก!

นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตกใจก็คือยังมีร่องรอยของพลังชีวิตที่มาจากร่างเงานั้น!

หรือว่าจอมพลสองยังไม่ตาย?!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1158 หอคัมภีร์เทพซ่อน
ฟิ้ว!

ร่างแสงหลายร่างทะยานออกจากทะเลสาบสวรรค์ จากนั้นก็ไปหยุดลงบนยอดเขา เผยให้เห็นร่างเงาของพวกมู่เฉิน

ทั้งสี่ปรากฏตัวที่ด้านหลังทะเลสาบสวรรค์ มองไปที่ทิวทัศน์กว้างที่มู่เฉินยังรู้สึกถึงแรงกดดันเล็กน้อย

ซึ่งไม่ใช่แค่ความกดดันเดียว ทั้งหมดนี้ทำให้มู่เฉินรู้สึกกดดันอย่างมาก

“ถ้าเราไปต่อก็น่าจะเข้าสู่บริเวณหอทั้งห้า” มู่เฉินชี้ไปข้างหน้าพลางบอกหญิงสาวทั้งสาม นอกเหนือจากจักรพรรดิฟ้าพลังในวังสวรรค์บรรพกาลจะแบ่งออกเป็นหอและตำหนักต่างๆ ตอนนี้พวกเขาผ่านอาณาบริเวณตำหนักทั้งหมดแล้ว ดังนั้นเป้าหมายต่อไปก็คือเข้าสู่อาณาบริเวณหอต่างๆ

สีหน้าหญิงทั้งสามก็ตึงเกร็ง ว่ากันว่าจอมพลทั้งห้าได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผู้ช่วยมือฉมังของจักรพรรดิฟ้า ทุกคนมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มพร้อมกับคุณสมบัติในการบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนได้

หากคนเหล่านี้ยังอยู่ในมหาพันภพก็จะเป็นผู้นำขั้วอำนาจต่างๆ แน่นอน

“ในบรรดาจอมพลทั้งห้า… จอมพลสี่สละชีวิตปกป้องภูมิภาคทางเหนือไม่ได้กลับมายังสำนักอีก ส่วนจอมพลอีกสี่คนน่าจะอยู่ปกปักที่วังโบราณแห่งนี้” มู่เฉินกล่าว

จิ่วโยวพยักหน้าพูดว่า “นั่นหมายความว่าสมบัตของจอมพลสี่จะได้รับง่ายที่สุด”

แม้ว่าจอมพลทุกคนจะสิ้นชีพแล้ว แต่พวกเขาน่าจะมีวีธีตั้งแนวป้องกันเพื่อปกป้องหอของตนเองด้วยความแข็งแกร่งที่มี ซึ่งนับเป็นเรื่องยากสำหรับพวกมู่เฉินที่จะรับมือ

“แล้วหอคัมภีร์เทพซ่อนอยู่ที่ไหน?” จู่ๆ หลินจิ้งก็ตั้งคำถามขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่านางรู้ชัดเจนเกี่ยวกับหอคัมภีร์เทพซ่อนและรู้ว่าที่นั่นสำคัญเพียงใด เพราะถ้าทะเลสาบสวรรค์เป็นรากฐานของวังสวรรค์บรรพกาล หอคัมภีร์เทพซ่อนก็เป็นหนึ่งในรากฐานที่ทำให้วังสวรรค์บรรพกาลเติบโตอย่างมั่นคง

ซึ่งรากฐานนี้กระทั่งแคว้นหวูก็ไม่กล้าที่จะประเมินค่าต่ำได้

มู่เฉินยักไหล่พูดว่า “แผนที่ที่ได้มาก่อนหน้าไม่ช่วยอะไรตอนนี้แล้ว ข้อมูลหอคัมภีร์เทพซ่อนก็ยิ่งไม่มีเลย”

พูดถึงจุดนี้เขาก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย เนื่องจากพื้นที่ในวังสวรรค์บรรพกาลเต็มไปด้วยค่ายกลขาดรุ่งริ่ง มีบางส่วนถูกทำลายขณะบางส่วนยังคงอยู่พร้อมกับคลื่นหลิงมหาศาลในวังโบราณ ค่ายกลทั้งหมดที่วางไว้อยู่ในระดับจงซือ แม้ว่าจะได้รับความเสียหายพวกเขาก็คงต้องทนทุกข์หากวิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไป

ช่างยากในการค้นหาหอคัมภีร์เทพซ่อนภายใต้อันตรายที่ซ่อนอยู่รอบตัว

หลินจิ้งส่ายหัวเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน นางรู้ว่ายากแต่ไหนที่จะพบ

“ข้ารู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับหอคัมภีร์เทพซ่อนน่ะ” ขณะที่กำลังรู้สึกหมดหนทางกัน ทันใดนั้นเซียวเซียวก็พูดขึ้น

“โอ้?” ทั้งสามหันขวับไปมองด้วยความตื่นเต้นและประหลาดใจ

เซียวเซียวเผยยิ้มทรงเสน่ห์ “ข้าได้ยินเรื่องนี้มาจากท่านพ่อ ร่ำลือกันว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนของวังสวรรค์บรรพกาลแปลกประหลาดมาก ต่อให้เป็นสมาชิกวังสวรรค์บรรพกาลก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้”

“เนื่องจากหอคัมภีร์นี้เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูง”

หัวใจของทั้งสามคนสั่นสะท้าน ดวงตาก็เบิกกว้าง หอคัมภีร์เทพซ่อนเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูง? นี่แปลกเกินไป กระทั่งมู่เฉินก็ยังไม่เคยเห็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงมาก่อนในชีวิต

ต้องรู้ว่าแม้แต่พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจของจอมพลสี่ก็เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลาง สำหรับขั้นสูงแม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ถูกดึงดูดอย่างยิ่ง

“ถ้างั้นเราควรทำยังไงกันดี? ถ้าหอคัมภีร์เทพซ่อนเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงและตั้งใจซ่อนตัว ข้าว่าเราคงจะไม่สามารถค้นพบได้ ต่อให้ค้นพบก็ไม่ง่ายที่จะเข้าไป” จิ่วโยวอดถามออกมาไม่ได้

ความทรงพลังของอาวุธมหสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่พวกนางจะสามารถต่อกรได้

เซียวเซียวยิ้ม “หอคัมภีร์เทพนั่นไม่ได้มีทักษะการโจมตีใดๆ แต่ไม่มีใครเทียบได้ในแง่ของการซ่อนตัว หากตั้งใจจะซ่อนตัวแล้วแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่สามารถค้นพบได้”

เปลือกตาของทั้งสามคนกระตุก หอคัมภีร์เทพซ่อนลึกลับแท้จริง ในแง่ของการซ่อนตัวคงเหนือกว่าจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนบางส่วนไปแล้ว

หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าไม่มีพลังในการโจมตี ก็คงไม่ได้หยุดอยู่แค่อาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงเช่นนี้

“ถ้าความสามารถซ่อนตัวเป็นอย่างที่เจ้าว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะค้นพบมัน” มู่เฉินถอนหายใจ ดูเหมือนว่าการค้นหาวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว

เมื่อได้ยินเซียวเซียวก็ส่ายหัวพลางเอ่ย “แม้ว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนจะยากค้นหา แต่ก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ เพราะจักรพรรดิฟ้าไม่ได้ทิ้งมันไว้ในวังสวรรค์บรรพกาลเพื่อเก็บสมบัติอย่างเดียว”

มู่เฉินโล่งใจขึ้นมา ตราบใดที่มีทางก็ถือว่าดี เขามาที่นี่เพื่อวิธีวิวัฒนาการ ความพยายามทั้งหมดของเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็เพื่อวันนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะยังไงไม่มีทางที่เขาจะยอมแพ้

“งั้นเราจะหามันได้ยังไง?” จิ่วโยวมองไปที่เซียวเซียวด้วยความคาดหวัง

เซียวเซียวยิ้ม “ง่ายมากก็แค่ต้องผ่านการทดสอบของหอคัมภีร์”

“การทดสอบ?” คนอื่นๆ อึ้งไปจากนั้นก็ถามต่อ “ทดสอบอะไร?”

เซียวเซียวส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการทดสอบคืออะไร แต่ข้ากลัวว่าคงได้เริ่มตั้งแต่ตอนที่เราเข้ามาในวังสวรรค์บรรพกาลแล้ว”

ทั้งสามคนตกตะลึงไปอีกครั้ง

“หอคัมภีร์เทพซ่อนมีสติปัญญา ดังนั้นมันน่าจะสัมผัสได้ตั้งแต่เราก้าวเข้ามาสู่วังสวรรค์บรรพกาล ไม่แน่บางทีตอนนี้มันอาจจะกำลังสังเกตพวกเราอยู่ก็ได้” เซียวเซียวเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า

ทั้งสามรู้สึกเย็นเยือกที่ผิวกายขณะมองไปรอบๆ แม้ว่าพวกเขาจะสัมผัสไม่ได้ แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ยินคำพูดของเซียวเซียวราวกับว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่พวกเขาตลอดเวลา

“ในวังสวรรค์บรรพกาล จู่ๆ ก็จะมีศิษย์บางคนที่โดดเด่นได้รับการยอมรับจากหอคัมภีร์เทพซ่อนและได้รับโอกาสให้เข้าไป” เซียวเซียวยิ้ม

“นั่นหมายความว่าเราต้องแสดงศักยภาพให้มันดูเหรอ? แต่จะแสดงอย่างไร?” หลินจิ้งสนใจมากขณะที่พูด

“ข้าก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับปัจจัยนี้ ศิษย์ที่ได้รับการยอมรับ บางคนเป็นเพราะเข้าใจบางสิ่งในการฝึกฝน ขณะที่บางคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะระดับเสินทงบางอย่างหรือแสดงศักยภาพที่น่าทึ่งในการต่อสู้… มีหลายวิธีน่ะ แต่คนที่มีสถานะสูงจะต้องการประสิทธิภาพมากกว่า แน่นอนว่าสิทธิพิเศษของพวกเขาก็จะสูงขึ้นเมื่อเข้าไป”

ทั้งสามแลกเปลี่ยนสายตากัน ไม่มีใครคิดว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนจะแปลกประหลาดขนาดนี้

“พูดไปพูดมาที่จริงทั้งหมดก็อยู่ที่โชคชะตา ถ้าชะตาต้องกันก็เข้าไปได้ แต่ถ้าไม่เช่นนั้นข้ากลัวว่าคงต้องเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่เชี่ยวชาญในด้านมิติถึงจะหามันเจอ” เซียวเซียวแบมือออกขณะที่ตอบ

มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่มีความสามารถในการเชิญจอมยุทธ์ระดับนั้นมาหรอก ดังนั้นตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะต้องพยายามด้วยตัวเอง

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็มุ่งหน้าไปที่หอทั้งห้าก่อน ดูสิว่าเราจะได้รับโอกาสอื่นๆ อีกหรือไม่” มู่เฉินมีความเด็ดขาด เมื่อรู้ว่าการเข้าไปในหอคัมภีร์เทพซ่อนไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงวางเรื่องนี้ไว้ในใจชั่วคราว เพราะหากหอคัมภีร์ตั้งใจจะตัดสินประสิทธิภาพกัน พวกเขาก็ต้องทำอะไรบางอย่างแทนที่จะรออยู่เฉยๆ

หญิงสาวทั้งสามไม่ได้คัดค้าน เพราะการรอที่นี่ไม่มีทางให้หอคัมภีร์ยอมรับอย่างแน่นอน

“ไปกันเถอะ”

เมื่อเห็นการตอบสนองของพรรคพวก มู่เฉินก็แตะปลายเท้าส่งแรงทะยานปยังส่วนลึกของวังโบราณ โดยมีหญิงสาวทั้งสามคนติดตามอย่างใกล้ชิด

ทั้งสี่คนเดินทางอย่างรวดเร็ว บางครั้งได้เจอกับค่ายกลที่เสียหาย ซึ่งก็สามารถหลีกเลี่ยงไปได้ภายใต้การนำของมู่เฉิน ประมาณสิบกว่านาทีต่อมามู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าความสลัวรางรอบบริเวณนี้หนาแน่นขึ้น

ซึ่งได้ส่งผลต่อประสาทสัมผัสของเขาด้วย

“ข้างหน้ามีค่ายกลอยู่ แต่ไม่มีอันตรายถ้าข้าเดาไม่ผิดอาจเป็นทางเข้าของอาณาเขตหอทั้งห้าแล้ว” แม้ว่าประสาทสัมผัสของเขาจะถูกรบกวน แต่เขาก็ยังรับรู้ได้ถึงความผันผวนจึงบอกให้หญิงทั้งสามรับรู้

หญิงสาวทั้งสามพยักหน้า

วาบ!

ทั้งสี่คนทะยานไปโดยไม่ลดความเร็ว จากนั้นก็รู้สึกราวกับว่าผ่านเยื่อน้ำและพื้นที่เชิงมิติรอบตัวเริ่มบิดเบี้ยว

มู่เฉินไม่ได้ตื่นตระหนกเมื่อรู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นมิติที่บิดเบี้ยว เขาเหลือบมองไปข้างหลังก็สังเกตเห็นว่าพรรคพวกแยกจากกันไปแล้ว

ความผันผวนของมิติรอบตัวทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นพร้อมกับแสงเบ่งบาน ภาพนับไม่ถ้วนวูบวาบไปมาที่เบื้องหน้า

ทิวทัศน์เหล่านั้นเป็นหอสูงตระหง่านพร้อมกับแรงกดดันไหลออกมา

มู่เฉินเข้าใจทันทีว่าหอเหล่านี้ต้องเป็นหอทั้งห้าแน่นอน

มู่เฉินสงบจิตใจขณะมองไปที่ภาพวูบวาบเบื้องหน้าครรลองสายตาพลางจดบันทึกเอาไว้ในใจ ภาพเหล่านั้นมาจากห้าหออย่างชัดเจน ถ้าเขาได้รับข้อมูลบางอย่างก็จะช่วยได้มาก

ภายใต้การสังเกตอย่างตั้งใจของมู่เฉิน แสงก็กะพริบวิบวาบเบื้องหน้าไม่หยุด ทันใดนั้นมู่เฉินก็ต้องหดดวงตากับภาพภาพหนึ่ง

ที่นั่นเป็นห้องโถงวินาศสันตะโรที่ยังคงมีเค้าความสง่างามแม้จะถูกทำลาย

ทว่าความสนใจของมู่เฉินไม่ได้อยู่ที่โถง แต่สายตาจับจ้องไปยังส่วนลึก แท่นดอกบัวหยกสีแดงเข้มที่มีดอกไม้ทรงเสน่ห์สูงสิบจั้งวางอยู่เงียบๆ

มู่เฉินมองไปที่ดอกไม้สีดำพร้อมกับความสุขในใจ นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่านี่คืออะไรตั้งแต่แวบแรกที่เห็น…

ดอกไม้นั่นคือร่างหลักของมั่นถัวหลัว—ดอกแมนดาลาโบราณ!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1157 ไม่สมบูรณ์?
ฮึ่ม!

ทันทีที่มู่เฉินลืมตาขึ้นก็ราวกับว่ามีแสงพร่างพราวปกคลุมไปทั่วบริเวณ ไม่มีใครกล้ามองไปตรงๆ ทุกคนเลือกที่จะหลีกเลี่ยง

แหล่งกำเนิดของแสงก็คือดวงตาของมู่เฉิน

แต่ในขณะนี้ดวงตาของเขาดูดำสนิทยิ่งขึ้น ราวกับว่ามีทะเลสาบสวรรค์ในส่วนลึกของดวงตาซึ่งดูลึกซึ้งมาก

ตู้ม!

ในเวลาเดียวกันความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังก็กวาดออกจากร่างกายมู่เฉินพุ่งทะยานระหว่างฟ้าดิน

“คลื่นหลิงแปรปรวนนี้…น่าจะเป็นระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด!” จอมยุทธ์หลายคนดวงตาเป็นประกายเมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงาน ดูเหมือนมู่เฉินจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดจากพิธีชำระขั้นสมบูรณ์ครั้งนี้

แต่ก็ไม่มีใครแปลกใจ ตรงกันข้ามพวกเขาค่อนข้างงงงัน ทำไมการชำระล้างที่สมบูรณ์แบบที่สุดกลับพามู่เฉินมาถึงแค่ระดับนี้เท่านั้น?

เพราะตอนแรกมู่เฉินก็อยู่ในขั้นเก้าระยะต้นอยู่แล้ว ใช้เวลาอีกเล็กน้อยในการปรับแต่งคลื่นหลิงก็สามารถเข้าสู่ขั้นเก้าระยะปลายสุด

ดังนั้นผลลัพธ์ในยามนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกเหลือเชื่อเลยทีเดียว

“โอ้ เดี๋ยวก่อน… คลื่นหลิงของมู่เฉินยังคงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!” ขณะที่ผู้คนกำลังงงงวย ทันใดนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากร่างกายมู่เฉินยังไม่คงที่และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ตู้ม ตู้ม!

ระลอกคลื่นหลิงแผ่กระจายออกมาราวกับน้ำท่วมทรงพลัง ไต่ปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนถึงขีดสุดของระยะปลายสุด ก่อนจะพยายามบุกโจมตีระยะเต็ม

ทว่านั่นก็ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แตะได้เพียงขอบเขตระยะเต็มเท่านั้น

แต่โชคดีที่ความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากมู่เฉินแกร่งกร้าวมาก หลังจากพยายามหลายครั้งในที่สุดก็ก้าวผ่านขอบเขต คลื่นหลิงของเขาแผ่กระจายออกไปในลักษณะของกระแสพลัง

มู่เฉินบรรลุขั้นเก้าระยะเต็มเรียบร้อย!

ด้วยความช่วยเหลือของพิธีชำระล้างทะเลสาบสวรรค์ขั้นสมบูรณ์ มู่เฉินก้าวข้ามจากระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นสู่ระยะเต็มได้!

“การชำระล้างขั้นสมบูรณ์สมคำล่ำลืออย่างแท้จริง” หลายคนถอนหายใจในหัวใจ การชำระล้างดังกล่าวเปรียบกับเวลาการเพาะบ่มพลังหลายปีของพวกเขาเลยทีเดียว

ทว่าไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจกับความสำเร็จในการบรรลุสองขั้นของมู่เฉิน เพราะนี่คือการชำระล้างขั้นสมบูรณ์เลยนะ

ขณะที่ทุกคนกำลังอุทานเกี่ยวกับพละกำลังที่เพิ่มขึ้นของมู่เฉิน หญิงสาวทั้งสามคนก็มุ่นคิ้วบางเบา บางทีคนอื่นอาจคิดว่ามู่เฉินพอใจที่สามารถเพิ่มขุมพลังได้สองขั้น แต่พวกนางไม่ได้มีมุมมองแบบเดียวกัน เนื่องจากพวกนางเห็นว่ายากเพียงใดที่มู่เฉินจะก้าวเข้าสู่การพัฒนา เขาต้องพยายามหลายครั้งกว่าจะก้าวผ่านขอบเขตของระยะเต็มได้

ซึ่งนั่นเกิดจากการที่มีพลังงานไม่เพียงพอ

สถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับฉินจิงเจ๋อและจิ่วโยว ซึ่งพวกเขารับการชำระล้างขั้นสูงเท่านั้นขณะที่ของมู่เฉินเป็นขั้นสมบูรณ์แบบนะ! ในเมื่อการชำระล้างของทะเลสาบสวรรค์เป็นหนึ่งในรากฐานของวังสวรรค์บรรพกาล พิธีการชำระล้างขั้นสมบูรณ์จึงถูกมองว่ามีความสำคัญมาก ว่ากันว่าในเวลานั้นศิษย์คนใดที่สามารถได้รับกระบวนการนี้จะเป็นจอมยุทธ์คนสำคัญของวังโบราณอย่างไม่ต้องสงสัย

ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่าการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ทรงพลังเพียงใด

ดังนั้นภายใต้การคาดการณ์นี้ มู่เฉินก็น่าจะเข้าสู่ระยะเต็มแบบง่ายดาย แต่สถานการณ์นี้ทำให้พวกนางงงงวย

ยิ่งไปกว่านั้น… เมื่อพวกนางมองไปที่ร่างเทพสุริยะที่เอิบอาบด้วยประกายแสงสีทองคล้ายกับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ซึ่งดูลึกลับ เห็นได้ชัดว่าได้รับการปรับปรุงอย่างดีเยี่ยมผ่านการชำระล้าง

แต่… การเพิ่มประสิทธิภาพนั้นก็ไม่เป็นไปตามที่พวกนางคาดไว้

หญิงสาวทั้งสามคนแลกเปลี่ยนสายตกัน คลื่นหลิงในพิธีการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ไม่ให้มู่เฉินบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มอย่างง่ายดายและไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับร่างเทห์สวรรค์อย่างมาก แล้วพลังงานทั้งหมดนั้นไปไหน?

หรือการชำระล้างขั้นสมบูรณ์อ่อนแอลงเมื่อเวลาผ่านไป?

หากเป็นเช่นนั้นมู่เฉินก็สูญเสียมากเกินไปแล้ว

หญิงสาวทั้งสามคนถอนหายใจด้วยความเห็นอกเห็นใจมู่เฉิน ตอนแรกเขาน่าจะยืนในตำแหน่งเดียวกับจู้เยี่ยนและจาโหลหลัวจากความช่วยเหลือของพิธีชำระล้าง แต่เมื่อมองจากเวลานี้ดูเหมือนว่าความหวังกลายเป็นความว่างเปล่าแล้ว

แม้ว่ามู่เฉินจะถือว่าก้าวเข้าสู่ระยะเต็ม แต่ก็ยังมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันในระดับเดียวกันยกตัวอย่างเช่นฉินจิงเจ๋อ หากเขาต่อสู้กับจาโหลหลัวผลลัพธ์จะจบลงด้วยการถูกบดขยี้

แน่นอนว่ามู่เฉินไม่สามารถตัดสินด้วยวิธีธรรมดา ตอนที่เขาอยู่ในขั้นเก้าระยะต้น เขาก็สามารถฆ่าเซี่ยหยู่ที่อยู่ในระยะเต็มได้ ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแม้ว่าเขาจะพบใครบางคนที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับนี้ก็ตาม

แต่ตอนนี้คงเป็นปัญหาเล็กน้อยสำหรับเขาที่จะทำเช่นนั้น

ขณะที่หญิงสาวทั้งสามถอนหายใจ คลื่นหลิงทรงพลังที่เอิบอาบร่างมู่เฉินก็หดกลับอย่างรวดเร็ว ร่างเทพสุริยะก็จางหายไป

มู่เฉินก้มมองร่างเทพสุริยะด้วยสีหน้าสงบ ไม่มีความผิดหวังบนใบหน้า

ในฐานะจอมยุทธ์ที่ผ่านพิธีชำระล้างขั้นสมบูรณ์ เขารู้ดีว่าตอนแรกความแข็งแกร่งของร่างเทพสุริยะกับตัวเขาจะสามารถเพิ่มในระดับที่สูงขึ้นกว่านี้

“ฮะฮ่า ดูเหมือนว่าเจ้าจะดวงจู๋นะ” ทันใดนั้นเสียงเยาะเย้ยก็ดังขึ้น มู่เฉินเห็นจาโหลหลัวมองมาด้วยท่าทางสองมือไพล่หลัง

เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกได้ว่าการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ของมู่เฉินไม่สมบูรณ์

“ใช่สิ” มู่เฉินพยักหน้าอย่างใจเย็นตอบสนองต่อการเยาะเย้ยของจาโหลหลัว

เมื่อจาโหลหลัวเห็นท่าทางสงบของมู่เฉินก็ยิ้มบาง “น่าเสียดายตอนแรกข้าคิดว่าจะมีการต่อสู้ที่รุนแรงระหว่างพวกเรา แต่เมื่อมองตอนนี้เจ้าล้มเหลวในการคว้าโอกาสนี้ซะแล้ว”

การชำระล้างขั้นสมบูรณ์ของมู่เฉินไม่สมบูรณ์ แม้ว่าความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นจาโหลหลัวก็รู้สึกว่ายังมีช่องว่างระหว่างเขากับมู่เฉินอยู่

ตัวเขาอยู่ในระยะเต็มมานานหลายปี ผ่านการขัดเกลาตามเวลาเพื่อสะสมรากฐาน ขณะที่มู่เฉินเป็นเพียงจอมยุทธ์ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ระยะนี้ด้วยพื้นฐานที่อ่อนแอกว่า

ดังนั้นจาโหลหลัวมั่นใจว่าจะเป็นคนที่ได้รับชัยชนะหากพวกเขาต่อสู้

ทว่าเผชิญกับคำพูดพวกนี้ มู่เฉินก็จ้องมองไปที่จาโหลหลัวก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ก็น่าเสียดายจริงๆ”

เสียงราบเรียบอีกตามเคย

แต่รอยยิ้มของจาโหลหลัวกลับค่อยๆ หายไปขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาหรี่แคบลง หรือว่าไอ้นี่ผิดหวังจนไม่สนใจอะไรแล้ว?

ทว่าจาโหลหลัวก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงฟื้นสติอย่างรวดเร็วก่อนที่จะพยักหน้าให้มู่เฉินด้วยรอยยิ้ม “หวังว่าเจ้าจะยังคงสงบสติอารมณ์แบบนี้ได้ เมื่อข้าทำลายร่างเทพสุริยะของเจ้า”

“ได้”

มู่เฉินคลี่ยิ้มอีกครั้ง แต่คราวนี้เหมือนจะมีความหมายอื่นซ่อนอยู่หลังรอยยิ้ม

เมื่อเห็นรอยยิ้มของมู่เฉินเปลือกตาของจาโหลหลัวก็กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ด้วยเหตุผลบางอย่างเขารู้สึกไม่สบายใจในใจ

“ไอ้สารเลวที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นเก้าระยะเต็มด้วยรากฐานที่อ่อนแอ ทักษะและร่างเทห์สวรรค์ก็ไม่สามารถเทียบกับข้าได้ ยังคิดจะพลิกสถานการณ์เรอะ? แค่ปลอมเป็นเทพเพื่อหลอกผีก็หวังจะทำให้ข้าตกอยู่ในความสงสัย เพ้อฝันเกินไปแล้ว!”

จาโหลหลัวหายใจเข้าลึกพร้อมกับคลื่นในใจขณะมองไปที่มู่เฉินอย่างลึกซึ้งก่อนที่จะโบกมือ กลายเป็นร่างแสงพุ่งออกไปจากทะเลสาบสวรรค์อย่างรวดเร็ว

เมื่อจาโหลหลัวไปแล้ว ทะเลสาบสวรรค์ก็ระเบิดความโกลาหลอีกครั้ง ทุกคนเริ่มผละไป อย่างไรก็ตามทะเลสาบสวรรค์เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อย ยังมีหอของเหล่าจอมพลและจักรพรรดิฟ้าในตำนานรออยู่

หากพวกเขาสามารถได้รับหนึ่งในมรดกเหล่านั้น พวกเขาก็จะมีตำแหน่งยิ่งใหญ่ในมหาพันภพแน่นอน

จู้เยี่ยนมองไปที่มู่เฉินและเซียวเซียว ซึ่งหญิงสาวก็สังเกตเห็น นางมองกลับไปด้วยความเฉยเมย

จู้เยี่ยนไม่ได้พูด แต่ดวงตาลุกโชนด้วยไฟการต่อสู้ก่อนที่เขาจะกระทืบเท้ากลายเป็นลูกไฟพุ่งจากไป

ซูซิงหยิงยิ้มให้มู่เฉินพลางมองมาด้วยความสนใจ แต่สุดท้ายก็โบกมือจากไป

เมื่อทุกคนจากไป มู่เฉินก็ปรากฏตัวขึ้นใกล้พรรคพวก เขาเงยหน้าขึ้นมองส่วนลึกวังโบราณด้วยรอยยิ้ม “ไปกันเถอะการชำระล้างที่ทะเลสาบสวรรค์สิ้นสุดลงแล้ว เราเดินทางกันต่อเถอะ”

เป้าหมายต่อไปของเขาก็คือหอคัมภีร์เทพซ่อน

ซึ่งมีวิธีการวิวัฒนาการของร่างเทพสุริยะ

ในเวลานั้นจะเป็นศึกมรณะระหว่างเขากับจาโหลหลัว

มู่เฉินมองไปยังทิศทางที่จาโหลหลัวออกไป มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มพร้อมกับดวงตาวูบไหว

เพื่อที่จะรับมือกับแก ข้าเตรียมตัวมาจนถึงระดับนี้แล้ว หวังว่าถึงตอนนั้นแกจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1156 ความแข็งแกร่งเพิ่มพูน
โฮก!

ทะเลสวรรค์บนท้องฟ้าสั่นสะเทือน แม่น้ำที่ไหลลงมาราวกับมังกรใหญ่โฉบตัวที่มีพลังท่วมท้น ทำให้กระทั่งมิติยังแตกออก

คลื่นกระแทกที่รุนแรงช่างดูน่ากลัวยิ่งกว่าอะไร

ร่างเทพสุริยะยืนตระหง่านในอากาศ มู่เฉินปรากฏตัวบนศีรษะแล้วนั่งขัดสมาธิลง เวลานี้ดวงตะวันสีทองกำลังหมุนคว้างอย่างช้าๆ

ครืน!

แม่น้ำที่ราวกับมังกรพุ่งลงมาภายใต้สายตาอิจฉานับไม่ถ้วน ตกลงบนร่างมู่เฉิน

ขณะนี้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานหลิงที่ไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งเข้าสู่ร่างกายจากกระหม่อม ทำให้ร่างกายของเขาพองตัวขึ้นเรื่อยๆ

ความรู้สึกคล้ายกับมีมังกรพุ่งเข้ามาในร่างกายบินฉวัดเฉวียนภายในแล้วกวาดหายนะ

ถ้าพลังงานนี้ถูกควบคุมโดยบางคนในตอนนี้ ร่างของมู่เฉินคงระเบิดเป็นฟองเลือดไปแล้ว

แต่โชคดีที่คลื่นหลิงเหล่านี้ไม่มีเจ้าของ นอกจากนี้ความบริสุทธิ์ก็อยู่ไกลเกินจินตนาการของมู่เฉินนัก

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพุ่งเข้ามาในหัวก่อนที่จะไหลบ่าบ้าคลั่ง ทำเอามู่เฉินเจ็บปวดรุนแรง ทว่าภายใต้ความเจ็บปวดเขาก็รู้สึกได้ไม่ว่าจะเป็นเส้นลมปราณ กระแสเลือดและเนื้อก็มีร่องรอยของประกายแสงละเอียดอยู่

แม้ว่าจะดูไม่มีนัยสำคัญ แต่มู่เฉินก็สัมผัสได้ชัดเจนถึงพลังที่น่ากลัว

ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ทุกอณูแข็งแกร่งมากขึ้นไปด้วย

ในเวลาเดียวกันก็มีริ้วเลือดสีดำไหลออกมาจากภายในหรือบนพื้นผิวของร่างกาย

นั่นคืออาการบาดเจ็บที่ซ่อนอยู่ ซึ่งมู่เฉินได้รับมาจากการต่อสู้ในอดีต แต่ยามนี้กำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย กระทั่งมู่เฉินที่เป็นคนสุขุมก็รู้สึกมีความสุข ความแข็งแกร่งของพลังกายเขาทรงพลังมากอยู่แล้ว ดังนั้นจึงยากสำหรับเขาที่จะเพิ่มพูน แม้ว่าจะใช้สมบัติทางธรรมชาติบางอย่างก็มีข้อจำกัดมาก นอกเหนือจากสมบัติธรรมชาติบางสิ่ง ซึ่งกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังถูกดึงดูดเข้าไป ถึงแม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนยิ่งใหญ่จากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาก็จ่ายไม่ไหว

ดังนั้นเมื่อเขารู้ว่าพิธีการรับการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ของทะเลสาบสวรรค์สามารถปรับปรุงร่างกายได้ นี่ทำให้เขามีความสุขมาก

ดังนั้นเขาจึงเร้ากายามังกรหงส์โดยไม่ลังเลใดๆ เกลียวแสงสีทองระเบิดขึ้นมาบนร่างกายนับไม่ถ้วน จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตอยู่ในแขนก็ตื่นขึ้น โจนทะยานออกจากร่างเขาหมอบตัวที่หัวไหล่ ปล่อยให้การชำระล้างของทะเลสาบสวรรค์ชำระร่างกายอีกครั้ง…และอีกครั้ง

จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงได้รับการชำระมากขึ้น พื้นผิวกายของสองเทพอสูรก็ยิ่งเปล่งประกายระยิบระยับ

แม่น้ำยังทำให้มิติสั่นสะเทือน ผู้คนก็รู้สึกได้ว่าความผันผวนที่เล็ดลอดออกมาจากร่างมู่เฉินทรงพลังขึ้นอย่างรวดเร็ว

ยิ่งกว่านั้นการเพิ่มพูนก็ไม่ได้จำกัดแค่ร่างกายมู่เฉินเท่านั้น การชำระที่ร่างเทพสุริยะได้รับยิ่งน่าทึ่ง จึงทำให้เพิ่มพูนได้ยิ่งมาก

แสงสีทองพวยพุ่งบนร่างใหญ่โตขึ้นไปบนขอบฟ้าส่องสว่างรัศมีหมื่นลี้

ทุกคนที่นี่สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังน่าสะพรึงกลัวที่มาจากร่างเทพสุริยะ ที่ทำให้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มยังต้องมีสีหน้าเปลี่ยนไป

บริเวณไกลออกไปจาโหลหลัวก็รับการชำระล้างอยู่ แต่เมื่อเทียบกับการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ของมู่เฉินก็ทำเอาซีดไปเลยทีเดียว

ดังนั้นสีหน้าของเขาจึงเย็นชามาก ขณะที่จ้องมองร่างเทพสุริยะที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ามู่เฉิน ไอสังหารแรงกล้าพล่านในดวงตา

เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าพลังของร่างเทพสุริยะของมู่เฉิน กำลังจะแซงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว

ด้วยพิธีชำระล้างขั้นสมบูรณ์ การเพิ่มความแข็งแกร่งของมู่เฉินทำให้แม้แต่จาโหลหลัวยังตกใจและเป็นครั้งแรกที่รู้สึกเสียใจ ถ้าเขารู้เรื่องนี้มาก่อนละก็ เขาคงจะฆ่ามู่เฉินให้เร็วกว่านี้

ตอนนี้มู่เฉินทำให้เขารู้สึกถูกคุกคามแล้ว

ทว่าไม่มีอะไรที่สามารถทำได้ จาโหลหลัวรู้สึกได้แม้ว่ามู่เฉินจะรับการชำระล้างแต่สายตาก็ยังจับจ้องมาที่เขาตลอด หากเขาโจมตี มู่เฉินก็จะสามารถใช้พลังการชำระล้างซัดเขาไม่ยั้งแน่

“เวรเอ้ย” จาโหลหลัวหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็หลุบตาลง สีหน้ากลับมาเป็นเฉยเมย แม้ว่านี่จะเกินความคาดหมายไปเล็กน้อย แต่ก็ยังยอมรับได้เนื่องจากความแตกต่างระหว่างเขากับมู่เฉินไม่ใช่สิ่งที่สามารถครอบคลุมได้ด้วยการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ เขาจะต้องหาโอกาสหลังจากนี้เพื่อฆ่ามู่เฉินให้เร็วที่สุด

สำหรับตอนนี้มุ่งเน้นไปที่การรับการชำระล้างให้เสร็จก่อน ไม่ว่าอย่างไรสิ่งนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อเขาเช่นกัน

เมื่อจาโหลหลัวดึงดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยเจตนาฆ่ากลับ ดวงตาของมู่เฉินก็สั่นไหว ตัวเขาคอยตั้งระวังจาโหลหลัวอยู่ก็จริง มากจนตั้งใจล่อให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาจัดการเขาด้วยซ้ำ หากเป็นเช่นนั้นมู่เฉินจะสามารถยืมพลังพิธีชำระล้างเพื่อทำลายล้างจาโหลหลัวได้

แต่ความระมัดระวังของจาโหลหลัวเกินความคาดหมายของมู่เฉินไปเล็กน้อย เนื่องจากเขาสามารถระงับจิตสังหารในใจและเลือกนิ่งเงียบลงเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง

“เป็นศัตรูที่ยากจะต่อกรจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจในใจ ทั้งความคิดและแผนการของจาโหลหลัวเป็นสิ่งที่เขาประมาทไม่ได้

แต่เนื่องจากจาโหลหลัวเลือกที่จะนิ่งเงียบ มู่เฉินก็ไม่จำเป็นต้องเบี่ยงเบนความสนใจและรับการชำระล้างบาปได้อย่างเต็มที่ เขาและจาโหลหลัวจะต้องสู้กันด้วยศึกมรณะ เขารู้สึกว่าถูกคุกคามอย่างมากจากอีกฝ่าย ดังนั้นเขาคว้าโอกาสทั้งหมดที่จะได้รับเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง

มู่เฉินปรือตามองไปที่ร่างเทพสุริยะดำเมื่อมที่อยู่ใต้เท้าของจาโหลหลัวพร้อมกับแสงแวบในดวงตา

จากการสัมผัสทำให้มู่เฉินรู้ว่าหากเทียบเรื่องพลังและความหนาแน่นคลื่นหลิงของร่างเทห์สวรรค์ จาโหลหลัวคงจะแข็งแกร่งกว่าอยู่เล็กน้อย

การปะทะกันซึ่งหน้า มู่เฉินจะไม่ได้เปรียบแน่นอน

สุดท้ายจาโหลหลัวก็ฝึกฝนร่างเทพสุริยะมานานกว่ามาก กระทั่งตำหนักเทพปีศาจยังเลี้ยงดูเขาด้วยทรัพยากรมากมาย ดังนั้นเห็นได้ว่าประมุขตำหนักเทพปีศาจให้ความสำคัญกับเขามากเพียงใด

จาโหลหลัวอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มมาเป็นเวลานาน ซึ่งได้ค้นหาโอกาสบุกทะลงเข้าไปแตะระดับตี้จื้อจุนแล้ว ขณะที่มู่เฉินเพิ่งบรรลุขั้นเก้าระยะต้นเท่านั้น มีช่องว่างระหว่างพวกเขาซึ่งแม้แต่มู่เฉินก็ยังต้องยอมรับ

“การต่อสู้ระหว่างข้ากับจาโหลหลัวคงจะเกิดในอีกไม่นานและก็ไม่ง่ายเลยที่จะเหนือกว่าจาโหลหลัว นอกจากนี้ต่อให้เราสองคนจะใกล้เคียงกัน แต่ถ้าต่อสู้กันก็คงไม่สามารถได้เปรียบอย่างเต็มที่” แม้ว่าเขาจะมีไพ่ตายมากมายรวมทั้งพัดเทพสายลม แต่เขาเชื่อว่าจาโหลหลัวจะไม่มีอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ดังนั้นหากเขาต้องการเอาชนะ เขาก็ต้องเตรียมการบางอย่างแล้ว

มู่เฉินลดศีรษะลงมองร่างเทพสุริยะก็หรี่ตาลงก่อนจะค่อยๆ หลับตา

ทันใดนั้นแสงสีทองจากร่างเทพสุริยะก็หยุดขยายออกไป การเสริมสร้างพลังร่างเทห์สวรรค์เริ่มช้าลง

มู่เฉินแอบโยกย้ายการชำระล้างไปยังจุดอื่นอย่างเงียบ ๆ

หลังจากทำเช่นนี้แล้วเขาก็หลับตาลง เกลียวแสงสีทองระเบิดออกจากร่างกาย จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนไหล่ส่งเสียงคำรามพึงพอใจ คลื่นหลิงและพลังกายของเขาก็ได้รับการเสริมความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วจากการชำระล้างนี้

ในเมื่อเขาชะลอการเสริมสร้างร่างเทพสุริยะ เขาก็ต้องเพิ่มพลังของตัวเองอย่างรวดเร็ว

ดังนั้นมู่เฉินจึงค่อยๆ อ้าแขนภายใต้แม่น้ำมังกรขนาดใหญ่

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตผันผวนตลอดเวลา

ทำให้ลอนคลื่นมากมายกระจายไปทั่วทะเลสาบสวรรค์ที่อยู่เบื้องล่าง

ขณะนี้ทุกคนกระตุ้นการรับการชำระล้างทุกระดับ ทว่าเมื่อเทียบพิธีของมู่เฉินของคนอื่นๆ ก็ดูน่าสงสารนัก

นอกเหนือจากความรู้สึกหดหู่จากการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ของมู่เฉิน คนส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างพอใจเนื่องจากการชำระล้างทำให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้นและปูทางเส้นทางการเพาะบ่มในอนาคต

เมื่อเวลาผ่านไปผู้คนจำนวนมากก็เสร็จสิ้นกระบวนการ ขณะที่ทะเลสาบสวรรค์ค่อยๆ สงบลงโดยเหลือจอมยุทธ์ไม่กี่คนที่ยังอยู่ในกระบวนการ

แน่นอนว่ามู่เฉินก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

กีด!

จิ่วโยวเสร็จสิ้นกระบวนการเรียบร้อย นางกลับคืนสู่ร่างต้นกำเนิด วิหคอนธโลกันตร์กางปีกขนาดใหญ่ปกคลุมหมู่เมฆ ทุกการกระพือทำให้กระแสพลังงานหลิงเปลี่ยนแปรไปด้วย

สามารถมองเห็นประกายระยิบระยับบนร่างวิหคอนธโลกันตร์ แม้ว่าจะไม่เด่นชัด แต่ก็ทำให้พลังกายของจิ่วโยวเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง

แสงสีดำสนิทเอิบอาบออกมาจากร่างวิหคอนธโลกันตร์ ก่อนที่จะเริ่มหดตัวลงกลายเป็นร่างงาม

จิ่วโยวยืนอยู่บนท้องฟ้าก่อนที่จะลืมตาขึ้นทันทีพร้อมกับเพลิงลุกโชนในตัว คลื่นหลิงทรงพลังพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย

เมื่อรู้สึกถึงความกดดัน ท่าทางของทุกคนก็เปลี่ยนไป เนื่องจากนางบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว!

เห็นได้ชัดว่าหลังจากฉินจิงเจ๋อ จิ่วโยวก็สร้างพัฒนาการให้กับตัวเองด้วยความช่วยเหลือของกระบวนการชำระล้างขั้นสูงพุ่งเข้าสู่ขั้นเก้าระยะเต็มได้!

หลังจากจิ่วโยว เซียวเซียว หลินจิ้ง จู้เยี่ยน ซูชิงหยิงและจาโหลหลัวก็ทยอยเสร็จสิ้นกระบวนการ แต่ไม่มีใครที่เกิดพัฒนาการ นั่นเป็นเพราก้าวถัดไปของพวกเขาคือระดับตี้จื้อจุน

นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำสำเร็จ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสะสมจนถึงจุดที่เหมาะสมถึงจะได้สามารถลองฝ่าฟันไป

แม้ว่าพวกเขาจะไม่บรรลุ แต่ใครๆ ก็สัมผัสได้ว่าพวกเขายิ่งลึกซึ้งไม่อาจหยั่งรู้ด้วยความช่วยเหลือของการชำระล้างครั้งนี้

เมื่อคนอื่นๆ เสร็จสิ้นกระบวนการก็พากันมองไปที่ทิศทางของมู่เฉิน

เนื่องจากในเวลานี้ฉากบนท้องฟ้าก็เริ่มจางหายไป แม่น้ำสายสุดท้ายก็ไหลเข้ากระหม่อมของมู่เฉิน

ดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินก็ลืมขึ้นในขณะนี้

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1155 การชำระล้างขั้นสมบูรณ์
ฮึ่ม!

เมื่อเกลียวแสงแวววาวไร้ขอบเขตระเบิดขึ้นจากทะเลสาบสวรรค์ใต้ฝ่าเท้าเขา ความสนใจทั้งหมดก็พุ่งตรงไปด้วยอาการตกตะลึง ขณะที่ทุกคนจ้องมองไปที่มู่เฉิน

บางคนที่มีประสาทสัมผัสเฉียบแหลมสายตาก็จดจ้องใต้ฝ่าเท้ามู่เฉินนิ่ง พวกเขาสามารถสัมผัสได้อย่างเลือนรางถึงความผันผวนทรงพลังที่แผ่ออกมาเร็วรี่ ณ จุดนั้น

“นั่นคืออะไร?” ผู้ชมบางคนอุทานด้วยความประหลาดใจ ขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความสงสัย สิ่งนั้นเกิดเพราะมู่เฉินเหรอ?

จาโหลหลัวสังเกตสิ่งนี้พร้อมกับหางตากระตุกแบบควบคุมไม่ได้ เนื่องจากเขารู้สึกถึงริ้วความไม่สบายใจในเวลานี้

นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินทำให้เขารู้สึกว่าสถานการณ์เกินการควบคุมไปแล้ว

จู้เยี่ยนและซูชิงหยิงก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความประหลาดใจ กลับกันเซียวเซียว หลินจิ้งและจิ่วโยวกลับรู้สึกยินดีสุดขีด เนื่องจากตอนแรกพวกนางเสียดายแทนเขามาก แต่เมื่อดูจากตอนนี้เหมือนว่ามู่เฉินจะซ่อนของดีเอาไว้ในแขนเสื้อ

“นั่นคืออะไรกัน?” นี่เป็นข้อสงสัยที่ทำให้ทุกคนงงงวย

ภายใต้ความสนใจทั้งหมด ทะเลสาบเบื้องล่างมู่เฉินก็เริ่มเดือดพล่าน ทุกคนมองเห็นเกลียวแสงไม่มีที่สิ้นสุดทะลุออกมาจากผิวน้ำ

ดูราวกับวงแสงรัศมีขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าเขา

วงรัศมีนี้ทำให้ทุกคนสะดุ้ง นี่เป็นรัศมีหมื่นจั้งกว้างใหญ่ไพศาลที่ทำให้มู่เฉินดูตัวเล็กจ้อยเมื่อเทียบกัน แต่เมื่อวงรัศมีเคลื่อนออกจากทะเลสาบก็เริ่มหดตัวอย่างรวดเร็ว กลายเป็นลูกทรงกลมเรืองแสงขนาดร้อยจั้งลอยอยู่กลางอากาศเบื้องหน้ามู่เฉิน

บนทะเลสาบสวรรค์ทุกคนตะลึงงัน เมื่อมองไปที่ลูกทรงกลมแสงที่เบื้องหน้ามู่เฉิน อึดใจสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป เนื่องจากสัมผัสได้ถึงความผันผวนของจิตทะเลสาบสวรรค์จากลูกทรงกลมนั้น

แต่ความผันผวนของลูกทรงกลมลูกนี้ทำเอาหนังหัวพวกเขาชาวาบไปหมด

แม้แต่จิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าดวงก่อนหน้ารวมกันยังด้อยกว่าลูกทรงกลมแสงลูกนี้!

“นั่นคืออะไร?!” จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว

ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วนมู่เฉินก็สะบัดนิ้วเบาๆ ประกายแสงก็ปรากฏขึ้นภายในลูกทรงกลมแสง พวกมันดูเหมือนหิ่งห้อยที่กำลังเริงระบำ แต่ทุกจุดในนั้นมีความผันผวนที่น่าทึ่ง

ซึ่งมีจุดแสงทั้งหมดเก้าสิบเก้าดวง!

ทุกคนจ้องมองไปที่ลูกทรงกลมและเมื่อเห็นแสงเก้าสิบเก้าดวง สายตาของพวกเขาก็กะพริบจากนั้นความตกใจก็ปกคลุมใบหน้า

หากแสงทั้งเก้าสิบเก้าดวงคือจิตทะเลสาบสวรรค์ งั้นถ้าบวกกับลูกแสงขนาดใหญ่ภายนอกอีก นั่นไม่หมายความว่ามู่เฉินเก็บจิตทะเลสาบสวรรค์ได้ร้อยดวงเรอะ!

จิตทะเลสาบสวรรค์ร้อยดวงหมายถึงการชำระล้างขั้นสมบูรณ์!

ความคิดแล่นพล่านอยู่ในใจทุกคน กระทั่งจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างจู้เยี่ยนและซูชิงหยิงก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อมองมู่เฉินด้วยแววเคร่งขรึม พวกเขาก็ได้รับเพียงจิตทะเลสาบสวรรค์เก้าสิบเก้าดวง ดังนั้นจึงรู้ว่าการได้รับดวงที่ร้อยยากเพียงใด ที่สำคัญพวกเขาไม่มีวิธีที่จะได้รับเลย!

แต่ตอนนี้มู่เฉินได้รับจิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อยอย่างชัดเจน!

“แกร็ก!”

ใบหน้าของจาโหลหลัวเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มขณะเขากำหมัดในแขนเสื้อจนถึงจุดที่เกิดเสียงแตกลั่น เขามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดมน ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินทำให้การชำระล้างล้มเหลว แต่ใครจะคิดว่าไม่เพียงแต่ไม่ผิดพลาดยังแซงหน้าทุกคนได้รับจิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อยไปด้วย

แม้ว่าจำนวนจะมากกว่าพวกเขาเพียงหนึ่งเดียว แต่ระดับระหว่างทั้งสองขั้นคล้ายกับปากอ่าว

นั่นคือความแตกต่างระหว่างการชำระล้างขั้นสูงและขั้นสมบูรณ์

“มู่เฉินนี่คือจิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อยเหรอ?” หญิงสาวทั้งสามมองไปที่ภาพนี้ด้วยความตกตะลึง อึดใจก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม

มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า เขาไม่มีเจตนาจะปิดบังพรรคพวกจึงเผยความจริงให้รู้ “นี่คือจิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อยที่ข้าได้รับหลังจากรวมเก้าสิบเก้าดวง ทว่ากระบวนการต่างๆ ก็เป็นเพียงการคาดเดาของข้า แต่ดูเหมือนว่าข้าจะโชคดี”

หญิงทั้งสามเข้าใจทันที ที่แท้จิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อยได้มาอย่างนี้นี่เอง ทว่าแม้มู่เฉินจะพูดดูง่าย แต่พวกนางรู้ดีว่าเขาต้องสงบใจลงสังเกตมากแค่ไหน มิหนำซ้ำยังต้องมีความกล้าในการลงมือทำ เนื่องจากไม่มีเวลารวบรวมจิตทะเลสบาบทั้งเก้าสิบเก้าดวงอีกแล้ว

สิ่งที่มู่เฉินทำเป็นการพนันแท้จริง เขาใช้พิธีชำระล้างขั้นสูงที่อยู่ในกำมือไปเสี่ยงโชคเพื่อรับขั้นสมบูรณ์ ซึ่งอาจไม่มีทางเป็นไปได้เลย

ทุกคนในทะเลสาบสวรรค์ทอดถอนหายใจ พวกเขาถามตัวเอง ต่อให้จะรู้วิธีนี้แต่ก็อาจไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนี้

“มู่เฉินไม่ธรรมดาจริงๆ” บางคนมองไปที่มู่เฉินด้วยความเคารพในสายตา ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะพิเศษอย่างแท้จริง มิน่าล่ะถึงสามารถฆ่าเซี่ยหยู่ได้ด้วยขุมพลังที่มีต่ำกว่าคนอื่น

มากจนแม้แต่จู้เยี่ยนก็ยังมองลึกไปที่มู่เฉินด้วยความรู้สึกกลัวคลุมเครือ แม้ว่าเขาจะไม่กลัวมู่เฉินในปัจจุบัน แต่เขาก็รู้สึกว่าครั้งต่อไปที่พบกันมู่เฉิน อีกฝ่ายจะทำให้เขาตกใจอย่างแท้จริงหรือมากจนแซงหน้าเขาไปเลยทีเดียว

มู่เฉินไม่ให้ความสนใจสายตาที่มุ่งมาที่เขา เขาแค่เหลือบมองจาโหลหลัวยิ้มบางก่อนที่จะไม่สนใจ เขาสะบัดนิ้วลูกทรงกลมขนาดใหญ่ก็ทะยานสู่ขอบฟ้า

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ลูกทรงกลมพุ่งหายไปจากสายตาทุกคน จากนั้นความแวววาวไร้ขอบเขตก็กวาดออกมาจากท้องฟ้า

เกลียวแสงแทบไม่มีที่สิ้นสุด ความปั่นป่วนปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าทำให้ทุกคนตกตะลึง

เกลียวแสงแผ่กระจายออกไปสูงเหนือท้องฟ้า ไม่กี่สิบลมหายใจสั้นๆ ก็มีเสียงสาดกระเซ็นดังก้อง

เมื่อหมอกค่อยๆ สลายไป ฉากบนท้องฟ้าก็ปรากฏในสายตาผู้คนอย่างชัดเจน

ซี้ด!

เมื่อทุกคนเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็สูดลมหายใจเย็นลึกสุดปอด

“นะ… นั่นคือ…” จอมยุทธ์บางคนถึงขณะพูดติดขัดจากอาการตกตะลึง

จู้เยี่ยน เซียวเซียว หลินจิ้งและคนอื่นๆ ก็เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ส่วนจาโหลหลัวก็กำนิ้วทั้งสิบเข้าหากันแน่น

นั่นเป็นเพราะขณะนี้ขอบฟ้าปกคลุมไปด้วยทะเลสาบเป็นประกายระยิบระยับที่มีขนาดใหญ่มากจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด เมื่อมองจากระยะไกลก็รู้สึกว่าเหมือนกับทะเลสาบสวรรค์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด!

เมื่อเทียบกับทะเลสาบสวรรค์นี้ ทะเลสาบที่จู้เยี่ยนและคนอื่นเรียกมามีขนาดเล็กจ้อยนัก

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผลึกอัญมณีในทะเลสาบสวรรค์ซึ่งเปล่งประกายด้วยพลังหลิงซึ่งมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นที่สามารถกลั่นได้

นอกจากนี้ยังมีหมอกหลิงลอยขึ้นมาบนพื้นผิวของทะเลสาบ ก่อร่างเป็นมังกร หงส์ฟ้า พยัคฆ์และเสือดาวพร้อมเสียงคำรามดังก้อง

“นี่… นี่คือพิธีชำระล้างขั้นสมบูรณ์ในตำนานเรอะ?” ทุกคนค่อยๆ ฟื้นตัว แต่ละใบหน้าก็ยังคงปกคลุมไปด้วยความตกตะลึง สิ่งที่มู่เฉินกระตุ้นไม่ใช่สายธารหรือทะเลสาบ… แต่เป็นทะเลสาบสวรรค์!

เมื่อเทียบกับทะเลสาบสวรรค์นี้ พิธีชำระล้างของคนอื่นๆ ไม่มีอะไรต้องพูดถึง

“ครั้งนี้มู่เฉินทำกำไรได้มหาศาล” แม้แต่หลินจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แต่นางไม่ได้รู้สึกอิจฉา นางมีแต่ความสุขสำหรับสหายอย่างมู่เฉิน

แม้ว่าการชำระล้างทะเลสาบสวรรค์จะมีค่า แต่ก็ไม่มีอะไรมากสำหรับหลินจิ้งที่คุ้นเคยกับสมบัติดี

ภายใต้แววอิจฉาตาร้อน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ทะเลสาบสวรรค์ขนาดใหญ่ เขาไม่สามารถกลั้นยิ้มได้ ดูเหมือนว่าเขาจะชนะการเดิมพันครั้งนี้

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ถึงเวลาเพลิดเพลินกับสิ่งที่เรียกว่า ‘พิธีชำระล้างขั้นสมบูรณ์’ ว่าทรงพลังเพียงใด

เขากางแขนออก แสงสีทองพุ่งออกมาจากร่าง ภาพเงาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นพร้อมกับดวงตะวันสีทองลอยอยู่ด้านหลังศีรษะดูสง่างามและโดดเด่น

เมื่อมู่เฉินเรียกร่างเทพสุริยะออกมาก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนใหญ่อีกครั้ง หลายคนมองไปมาระหว่างมู่เฉินและจาโหลหลัว

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดของร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉิน แต่พวกเขารู้สึกได้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของทั้งสองคล้ายกันมาก พูดได้ว่ามีต้นกำเนิดเดียวกันเลยทีเดียว!

ขณะที่พวกเขาอยู่ท่ามกลางความตกตะลึง แม่น้ำที่มีความยาวนับไม่ถ้วนก็ไหลลงมาจากทะเลสาบสวรรค์ คล้ายกับมังกรกำลังดำดิ่งลงไปขณะโอบล้อมร่างมู่เฉิน

พิธีชำระล้างขั้นสมบูรณ์เริ่มขึ้นแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1154 ประชันร่างเทห์สวรรค์
ในส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์

การเคลื่อนไหวแปลกประหลาดส่งผลให้ความปลื้มปีติฉายบนใบหน้าของมู่เฉิน เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงรอยประทับที่ปรากฏในห้วงแห่งจิต

แต่คราวนี้ความผันผวนจากรอยประทับเหล่านั้นดูเหมือนจะแตกต่างกับก่อนหน้านี้

นั่นเป็นเพราะไม่ได้มีจิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าดวง แต่มีเพียงหนึ่งเดียว!

แต่ความผันผวนที่เปล่งออกมาก็ทำให้หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน หากจิตทะเลสาบสวรรค์ทั้งเก้าสิบเก้าดวงมีลักษณะคล้ายกับดวงดาวบนท้องฟ้า ความผันผวนหนึ่งเดียวนี้ก็เสมือนดวงอาทิตย์ส่องแสงมายังโลก

การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดรอยยิ้มที่มุมปากของมู่เฉิน นั่นหมายความว่าการคาดเดาของเขาถูกต้องแล้ว

สิ่งที่เรียกว่า ‘จิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อย’ นั้นไม่สามารถได้รับโดยวิธีทั่วไป

ครืน!

ขณะที่มู่เฉินรู้สึกมีความสุขในหัวใจ ทะเลสาบเหนือจู้เยี่ยน จาโหลหลัว เซียวเซียวและหลินจิ้งก็สั่นสะเทือนรุนแรงก่อนที่จะเทลงมาล้อมรอบพวกเขาราวกับน้ำตก

น้ำตกมีพลังงานบริสุทธิ์มาก หนาแน่นจนถึงจุดที่สามารถมองเห็นสะเก็ดระยิบระยับ

สะเก็ดถูกสร้างขึ้นจากคลื่นหลิงที่ควบแน่นอย่างมาก เพียงแค่เศษละอองก็เทียบเท่ากับของเหลวจื้อจุนพิสุทธิ์หลายหมื่นหยด

เมื่อน้ำตกไหลลงมาทั้งสี่คนก็เร้าร่างเทห์สวรรค์ออกมาเพื่อรับการชำระล้าง

จู้เยี่ยนเป็นคนแรกที่เปิดเผยร่างเทห์สวรรค์ เปลวไฟไร้ขอบเขตรวมตัวอยู่ข้างหลังเขากลายเป็นเงาเพลิงขนาดใหญ่ในอึดใจ แรงครอบงำของเปลวไฟทำให้มิติบิดเบี้ยว ร่างนั้นราวกับเทพอัคคีอย่างไรอย่างนั้น

“นั่นคือร่างเทพอัคคีของจู้เยี่ยนเหรอ? ลือกันว่านี่เป็นหนึ่งในร่างเทห์สวรรค์ล้ำค่าเผ่าเทพอัคคี อยู่อันดับที่สามสิบสี่ของทำเนียบร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง!” เมื่อจู้เยี่ยนนำร่างเทห์สวรรค์ออกมา ความโกลาหลก็กวนตัวทันที ทุกคนฉายความโลภในดวงตา ร่างเทห์สวรรค์อันดับแบบนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่ขั้วอำนาจอย่างแคว้นเซี่ยก็ยังไม่มี

มู่เฉินจ้องไปที่ร่างเทห์สวรรค์ร่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจชื่นชม ตามการคาดการณ์นี่อาจเทียบได้กับร่างเทพสุริยะของเขาเลยก็ว่าได้

ท้ายที่สุดแล้วร่างเทพสุริยะน่ากลัวในแง่ของศักยภาพ แต่เวลานี้ยังอยู่ในสถานะร่างต้น ดังนั้นในแง่ของการจัดอันดับอาจอยู่ในอันดับสามสิบเท่านั้น ซึ่งใกล้เคียงกับร่างเทพอัคคี

ในอดีตตอนที่มู่เฉินยังอ่อนแอ เขาเจอเหล่าจอมยุทธ์ที่ไม่ได้มีรากฐานแข็งแกร่งจึงสามารถผงาดเหนือกว่าได้ด้วยร่างเทพสุริยะ แต่ในขณะนี้เขาปะทะกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ร่างเทห์สวรรค์ที่เจอก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน ดังนั้นสามารถจินตนาการได้ว่าบางทีวันหนึ่งเขาอาจต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีร่างเทห์สวรรค์ที่เหนือกว่าตัวเอง

ถึงเวลานั้นก็ถึงคราวของเขาต้องกระอักบ้าง

ดังนั้นก่อนที่สถานการณ์ดังกล่าวจะปรากฏขึ้นเขาต้องพัฒนาร่างเทพสุริยะให้ได้ในวังโบราณแห่งนี้ ด้วยวิวัฒนาการเขาจะสามารถรักษาความได้เปรียบที่แท้จริงของตนเองเอาไว้ได้

ขณะที่มู่เฉินครุ่นคิด ด้านหลังของหลินจิ้งก็เกิดแสงพรั่งพรูออกมาอย่างอ่อนโยนราวกับว่าสามารถยอมรับและหลอมรวมกับทุกสรรพสิ่งได้

แสงก่อร่างเป็นเงาขนาดใหญ่และสง่างามเปล่งประกายแวววาวราวกับหยกดูเหมือนว่าสามารถรวมเข้ากับอะไรก็ได้ ในมือถือขวดหยกซึ่งตรงปากขวดมีความผันผวนที่น่าอัศจรรย์คลุมเครือเล็ดลอดออกมาราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวได้รับการหล่อเลี้ยงอยู่ภายใน

เมื่อนางเร้าร่างเทห์สวรรค์ของตัวเองออกมา ทุกคนก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะตระหนักถึงบางอย่างจนต้องหายใจเข้าลึกๆ

“คัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์ที่หลินจิ้งฝึกฝนคือร่างเทพหยก ซึ่งอยู่ในอันดับที่ยี่สิบแปดในทำเนียบ!” หัวใจของมู่เฉินก็สั่นสะท้านพร้อมกับความตกใจบนใบหน้า

ร่างเทพหยกไม่ได้มีชื่อเสียงนักในมหาพันภพ แต่ไม่ใช่เพราะอ่อนแอ เป็นเพราะเงื่อนไขในการฝึกฝนโหดเหี้ยมเกินไปและทรัพยากรที่ต้องการก็เป็นสิ่งที่ต่อให้คั้นขั้วอำนาจระดับสูงยังอาจไม่สามารถฝึกได้สำเร็จ

เรื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดของร่างเทพหยกไม่ใช่เรื่องการจัดอันดับ แต่เป็นความสามารถในการรวมเข้ากับทุกสรรพสิ่ง ตราบใดที่ผู้ฝึกสามารถฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์นี้ได้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ต้นหากตัดสินใจที่จะฝึกร่างเทห์สวรรค์ที่สูงขึ้นในอนาคต พวกเขาใช้ร่างเทพหยกเป็นรากฐานได้ ด้วยวิธีนี้ก็จะสามารถฝึกร่างเทห์สวรรค์ร่างใหม่ได้เร็วมากขึ้น พลังก็จะมีข้อดีของทั้งสองร่างรวมไว้เช่นกัน ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน

ดังนั้นแม้ว่าร่างเทพหยกจะอยู่ในอันดับที่ยี่สิบแปด แต่ความเก่งกาจก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าสิบอันดับแรก!

“มีพ่อที่ดีก็เยี่ยมแบบนี้แหละ”

กระทั่งมู่เฉินก็อดถอนหายใจไม่ได้ อาจมีเพียงยอดยุทธ์ทรงพลังอย่างเทพจักรพรรดิสงครามเท่านั้นที่สามารถจัดหาทรัพยากรให้กับบุตรสาวเพื่อฝึกฝนร่างเทพหยกได้

จู้เยี่ยนตกใจไปเล็กน้อยเมื่อร่างเทพหยกปรากฏตัวเบื้องหน้า เขามองไปที่หลินจิ้งรากฐานที่ปรากฏของหญิงสาวทำให้เขาชักหวั่นใจ เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคนนี้ต้องมีภูมิหลังที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งไม่อ่อนแอไปกว่าเซียวเซียว

แววตาของจาโหลหลัวมืดครึ้มโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้า ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

“ไม่รู้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของเซียวเซียวคือร่างอะไร?” ขณะที่รู้สึกถึงความผันผวนในส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์มู่เฉินก็มองไปที่เซียวเซียวอีกครั้ง บิดาของนางคือเทพจักรพรรดิอัคคีที่มีชื่อเสียง ดังนั้นร่างเทห์สวรรค์ที่เขาเตรียมไว้ต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน

แม้ว่าเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีจะไม่เคยพบปะกัน แต่บุตรสาวของพวกเขาก็ต้องมีจิตวิญญาณการแข่งขันของสตรีอยู่ในใจ

เซียวเซียวหลับตาลง ประกายสีรุ้งพวยพุ่งออกมาที่ด้านหลัง กลั่นตัวเป็นเงาขนาดใหญ่ซึ่งเป็นรูปร่างที่สง่างามนัก ทว่าร่างนี้มีส่วนล่างเป็นงูที่มีเกล็ดระยิบระยับทำให้ดวงตาของคนมองละลานไปหมด

“นั่นคือร่างอะไร?” เมื่อมู่เฉินเห็นร่างเทห์สวรรค์นั่นก็ตะลึงงัน นั่นเป็นเพราะตามความรู้ที่มีดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีร่างเทห์สวรรค์ดังกล่าวอยู่ในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง

เห็นได้ชัดว่าเซียวเซียวฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ลึกลับซึ่งไม่ได้อยู่ในการจัดอันดับ แต่จากความผันผวนที่เปล่งออกมาแม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงร่องรอยอันตรายที่มาจากมัน

เขารู้สึกได้ว่าร่างเทห์สวรรค์ลึกลับนี้อาจไม่ด้อยไปกว่าร่างเทพสุริยะ

“หรือว่าจะเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่เทพจักรพรรดิอัคคีเป็นผู้คิดค้นขึ้นเอง? หากเป็นเช่นนั้นเขาก็น่ากลัวเกินไปแล้ว” มู่เฉินแอบเดาะลิ้น

ความปั่นป่วนยังคงดำเนินต่อไป มีหลายคนมองไปที่ร่างเทห์สวรรค์ลึกลับของเซียวเซียวด้วยความสงสัย ทว่าเนื่องจากพวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับสถานะของเซียวเซียว พวกเขาจึงไม่สามารถคาดเดาได้

ขณะนี้มู่เฉินมองไปที่จาโหลหลัวด้วยสายตาเฉียบคม

อีกฝ่ายก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยไอสังหารที่กะพริบอยู่ในดวงตา ก่อนที่เขาจะยกมุมปาก มือวาดตราประทับขึ้น ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ควบแน่นอยู่ข้างหลังพร้อมกับความผันผวนที่ทำให้แผ่นดินร้าวกระจายออกไป มิติถึงกับโยกคลอน

ทุกคนมองเห็นดวงอาทิตย์มหึมาลอยขึ้นพร้อมกับภาพเงาขนาดใหญ่นั่งอยู่กวาดมองโลก

ระลอกทรงพลังแผ่ไปในมิติ

มู่เฉินมองไปที่ร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัว ม่านตาก็หดตัวลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้

เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอกร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัวคล้ายกับของเขามาก แต่ร่างเทห์สวรรค์ของเขาเป็นสีทองขณะที่ของจาโหลหลัวเป็นสีดำ

นอกจากนี้ดวงตะวันที่อยู่ด้านหลังร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัวยังเป็นดวงตะวันสีดำหมุนรอบตัวเองคล้ายกับหลุมดำที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งในโลกได้

ถ้าเปรียบร่างเทพสุริยะที่มู่เฉินฝึกฝนเป็นความรุ่งโรจน์สง่างาม งั้นร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัวก็คล้ายกับหลุมดำที่สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้อื่นที่มอง

ทั้งสองร่างมีความคล้ายคลึง แต่ก็เดินสองเส้นทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แต่เมื่อจาโหลหลัวเร้าร่างเทพสุริยะออกมาคลื่นหลิงรอบๆ ตัวมู่เฉินก็เดือดพล่านรุนแรงพร้อมกับความมันวาวกลั่นข้างหลัง ร่างเทพสุริยะของเขากำลังจะถูกเรียกออกมา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม

แต่สุดท้ายก็ถูกระงับลงไป ก่อนที่เขาจะเหลือบมองไปที่จาโหลหลัว ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงมีความรู้สึกว่าระหว่างพวกเขาจะต้องมีคนถูกทำลาย

หนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถคงอยู่!

จาโหลหลัวมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส จากนั้นก็ยิ้มบาง “หลังจากการชำระนี้ร่างเทพสุริยะของข้าจะไปถึงจุดสูงสุด ในเวลานั้นร่างเทพสุริยะของแกจะถูกข้าทำลาย”

มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นพูดว่า “ข้ารู้สึกว่าร่างเทพสุริยะของแกจะกลายเป็นหินลับมีดให้ข้ามากกว่ามั้ง”

“โอ้? ด้วยอะไร? คนที่สูญเสียการชำระล้างเหรอ?” จาโหลหลัวยิ้มไม่เชิงยิ้ม

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของมู่เฉินขณะมองไปที่จาโหลหลัว “แกคิดว่าข้าเสียการชำระล้างไปแล้วเหรอ?”

เมื่อพูดจบมู่เฉินก็ค่อยๆ กางแขนออก

ดวงตาของจาโหลหลัวหรี่ลง แต่ขณะกำลังจะพูดม่านตาก็หดแคบลง เนื่องจากเขาเห็นเวิ้งน้ำที่อยู่ใต้เท้าของมู่เฉินระเบิดออกมาด้วยเกลียวแสงแวววาวมากมาย

ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์ลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็วจากภายในทะเลสาบสวรรค์!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1153 สัมผัส
เหนือทะเลสาบสวรรค์

ความปั่นป่วนยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่ใบหน้าของจาโหลหลัวน่าเกลียดขึ้นทีละน้อย สายตาที่จับจ้องมาโดยรอบทำเอาหางตาเขากระตุกไม่หยุด

เขาไม่คิดว่าการเผชิญหน้ากับแผนการของเขา ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะทำลายลงในพริบตา ยังทำให้เขาวุ่นวายตามไปอีกด้วย

จักรวรรดิปีศาจต่างมิติและมหาพันภพเป็นศัตรูคู่อาฆาตตั้งแต่โบราณกาล ดังนั้นความไม่พอใจใดๆ จะถือว่าเล็กน้อยต่อหน้าภัยอันตรายทำลายล้างเช่นนั้น

ดังนั้นอะไรที่เกี่ยวข้องกับเผ่าปีศาจสักเผ่าจะถือว่าเป็นศัตรูของทุกผู้ทุกนามในมหาพันภพ

แน่นอนว่าคำพูดของมู่เฉินไม่อาจผลักจาโหลหลัวไปยังจุดนั้นได้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกแย่มาก

“สมน้ำหน้า!” เมื่อจิ่วโยวเห็นสีหน้าจาโหลหลัวดิ่งลง นางก็รู้สึกสะใจจนอดหัวเราะออกมาไม่ได้

ทว่าแม้จาโหลหลัวจะรู้สึกหน้าม้านไป แต่ความไม่ธรรมดาทำให้เขาฟื้นสติได้อย่างรวดเร็ว เขาไม่สนใจสายตาเยาะเย้ยที่กวาดมาหาขณะจ้องหน้ามู่เฉินอย่างลึกซึ้ง “ลิ้นของพี่มู่บาดลึกยิ่งนัก แต่ไม่รู้ว่าความสามารถเจ้าจะเฉียบคมเท่ากับลิ้นไหม?”

แม้ว่าน้ำเสียงจะนิ่งสงบ แต่ใครๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าที่ซ่อนอยู่ในคำพูดอันเย็นเยือก

“งั้นก็ต้องมาลองด้วยตัวเองดู” มู่เฉินยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ

สองสายตาจ้องกันด้วยความเย็นชาฟาดฟันกันเปรี้ยงปร้าง รอบตัวพวกเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่น่าทึ่ง ทำให้จอมยุทธ์โดยรอบตกใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขางงงวยว่าทำไมทั้งสองคนถึงมีความเป็นศัตรูกันอย่างลึกซึ้งระหว่างกันขนาดนั้น

“เฮ้ หนุ่มๆ ถ้าอยากสู้กันก็ออกไปข้างนอก อย่ารบกวนการชำระล้างของพวกเรา” เมื่อสายธนูถูกดึงจนตึงระหว่างทั้งสอง เสียงกระหยิ่มเกียจคร้านดังมาแต่ไกล ทุกคนมองไปที่ซูชิงหยิงที่กำลังมองมู่เฉินและจาโหลหลัวอยู่ด้วยความเบื่อหน่าย แม้ว่าทั้งคู่จะเต็มไปด้วยจิตสังหาร แต่นางก็บอกได้ว่าพวกเขาไม่คิดจะต่อสู้กันที่นี่

ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของซูชิงหยิง จาโหลหลัวก็ถอนจิตสังหารและยิ้ม “ดูเหมือนว่าเราต้องเลื่อนเวลาออกไปอีกหน่อย”

มู่เฉินพยักหน้า “ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ”

เมื่อเห็นว่าทั้งสองถอยออกจากกันจริงๆ ซูชิงหยิงก็เบ้ปากก่อนจะยืดเอวพลางควบคุมเรือที่ใต้ฝ่าเท้า ทันใดนั้นเกลียวแสงมันวาวไร้ขอบเขตก็กวาดออกพร้อมกับก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์บินฉวัดเฉวียนไปบนท้องฟ้า

ความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลังเกินกว่าทุกคนถูกกวาดออกไป ทำให้กระทั่งสีหน้าของฉินจิงเจ๋อยังเปลี่ยนไป เขามองก้อนอัญมณีจิตเหล่านั้นก็กลืนน้ำลายลงคอ “นั่น…จิตทะเลสาบสวรรค์เก้าสิบดวง?”

ณ ที่นี่ทุกคนไม่สามารถซ่อนความตกใจ พวกเขาอึ้งไปกับจำนวนที่มากเช่นนั้น

ฮึ่ม ฮึ่ม!

จิตทะเลสาบสวรรค์เก้าสิบดวงราวกับดวงดาวห่อหุ้มอยู่รอบร่างซูชิงหยิง นางยกมือขึ้นน้ำทะเลสาบที่อยู่ใต้เท้าก็หมุนคว้างรุนแรงกลายเป็นกระแสน้ำวนที่กว้างประมาณหนึ่งพันจั้ง ซึ่งแข็งแกร่งกว่าสายธารของฉินจิงเจ๋อ

ดูท่าถึงจะเป็นการชำระล้างขั้นสูงเหมือนกัน แต่เนื่องจากจำนวนที่มากกว่าชัดว่าซูชิงหยิงอยู่ในชั้นที่สูงกว่าขึ้นไปอีก

ตู้ม!

ทันใดนั้นลำแสงขนาดใหญ่ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากกระแสน้ำวน แสงหลิงเริ่มรวมตัวกันที่ขอบฟ้าไม่กี่อึดใจต่อมาก็ก่อร่างเป็นแม่น้ำเปล่งประกายระยับ

แม่น้ำมีขนาดใหญ่กว่าสายธารของฉินจิงเจ๋อสิบเท่า พลังที่บรรจุอยู่ภายในก็ใหญ่กว่าและบริสุทธิ์กว่ามาก

พวกคนมุงมองไปด้วยความอิจฉาหากพวกเขาสามารถได้รับการชำระล้างขั้นนั้นก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

ซ่า ซ่า!

แม่น้ำม้วนตัวอยู่บนท้องฟ้าก่อนจะพุ่งลงมา ทว่าเมื่อพบกับโอกาสที่หายากเช่นนี้ ซูซิงหยิงกลับไม่ได้ใช้เพื่อปรับแต่งร่างเทห์สวรรค์ ตรงกันข้ามนางนั่งลงแสงสีแดงกะพริบบนหน้าผากของนางก่อนที่รังไหมสีแดงเข้มจะปรากฏออกมาอย่างช้าๆ

แม่น้ำระยิบระยับไหลลงมาเทลงบนรังไหมสีแดงเข้ม ซึ่งรังไหมก็กลืนกินแม่น้ำราวกับกับเหวลึก

แม่น้ำถูกกลืนลงไปมากขึ้น….มากขึ้น ลวดลายโบราณก็เริ่มปรากฏบนรังไหมรอยแตกแผ่กระจายออกไป

เมื่อน้ำหยดสุดท้ายร่วงลงรังไหมสีแดงเข้มก็ถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตกก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับแสงสีแดงบินออกไป

ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน ผีเสื้อน่าหลงใหลสีแดงเข้มก็บินออกมาจากรังไหม บินวนรอบตัวซูชิงหยิงอย่างมีความสุข

ทุกครั้งที่ผีเสื้อกระพือปีกความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังจะเล็ดลอดออกมา ซึ่งทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มยังต้องสะดุ้งในหัวใจ

“นี่คือ… แมลงวิญญาณพันธะชีวิตของซูชิงหยิง?” มู่เฉินมองไปที่ผีเสื้อด้วยความประหลาดใจ ว่ากันว่าหลิงฉงซือทุกคนจะมีแมลงวิญญาณพันธะชีวิตของตัวเอง ทว่าก่อนที่แมลงวิญญาณเหล่านั้นจะเติบโตเต็มที่พวกมันจะอ่อนแอมาก แต่เมื่อพวกมันเติบโตถึงขีดสุดก็จะสามารถพัฒนาไปพร้อมกับเจ้านาย นอกจากนี้ยังสามารถสละตัวเองเพื่อแลกกับชีวิตของเจ้านายอีกด้วย

ด้วยแมลงวิญญาณพันธะชีวิตนี้มันจะเทียบเท่ากับการมีสองชีวิต

ซูชิงหยิงมีความแน่วแน่แท้จริงที่จะไม่ใช้การชำระล้างกับตัวเองและเลือกฟูมฟักแมลงวิญญาณของตนเอง ในท้ายที่สุดนางก็สามารถปล่อยให้มันโตได้อย่างเต็มที่

ด้วยแมลงวิญญาณพันธะชีวิตนี้พลังของซูชิงหยิงจะเพิ่มขึ้นทวีคูณแน่นอน ถ้านางกลับไปที่ประตูมังกรทะยานสวรรค์ตอนนี้ ก็อาจจะได้รับสถานะศิษย์ระดับมังกรทองคำอย่างง่ายดาย

หลังจากที่ซูชิงหยิงเสร็จสิ้นกระบวนการ หญิงทั้งสามก็ไม่สามารถระงับความตื่นเต้นได้ จิ่วโยวเริ่มเป็นคนแรก นางกระตุ้นป้ายใต้เท้าจิตทะเลสาบสวรรค์เจ็ดสิบแปดดวงบินออกมา แม้ว่าจะด้อยกว่าซูชิงหยิงในแง่ของจำนวน แต่ก็มีมากกว่าฉินจิงเจ๋อถือได้ว่าค่อนข้างดี นอกจากนี้ก็ยังเป็นเพราะความช่วยเหลือของเซียวเซียวและหลินจิ้ง ไม่เช่นนั้นด้วยพลังของจิ่วโยวโอกาสที่นางจะจัดการกับจิตทะเลสาบสวรรค์ได้จะไม่สูงเกินไป

ถ้าจำนวนของจิ่วโยวเรียกว่าค่อนข้างดีแล้ว เมื่อเซียวเซียวและหลินจิ้งเริ่มทำการเคลื่อนไหวแต่ละคนก็มีลูกตาแทบถลนออกมา

แสงแวววาวระเบิดออกมาจากเรือมังกรทองคำภายใต้เท้าของหญิงสาวทั้งสอง จิตทะเลสาบสวรรค์ก็บินฉวัดเฉวียนออกมาหมุนรอบตัวพวกนางราวกับทางงช้างเผือก

ซึ่งมีถึงเก้าสิบเก้าดวงด้วยกัน!

นั่นถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของการชำระล้างขั้นสูง!

มู่เฉินมองไปที่จิตทะเลสาบสวรรค์รอบตัวพวกนางก็ตกอยู่ในความคิดลึกซึ้ง ดูเหมือนว่าเซียวเซียวและหลินจิ้งก็ไม่รู้วิธีที่จะได้รับจิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อย

แน่นอนว่าเขาก็ไม่กล้าอ้างว่าวิธีการที่ตนเองคิดถูกต้อง เพราะเขายังต้องลองเสี่ยงพนันดู…

เมื่อจู้เยี่ยนและจาโหลหลัวเห็นจำนวนก้อนอัญมณีจิตที่อยู่รอบตัวหญิงสาวทั้งสอง พวกเขาก็หดตาก่อนจะกระทืบเท้า ซึ่งก็มีก้อนอัญมณีจิตถึงเก้าสิบเก้าดวงด้วยเช่นกัน!

โห่

ความปั่นป่วนเกิดขึ้น ทุกคนดวงตาเป็นสีแดงก่ำ จิตทะเลสาบสวรรค์เก้าสิบเก้าดวงเป็นจุดสูงสุดของการรับการชำระล้างขั้นสูง

“แต่ทำไมพวกเขาถึงมีเก้าสิบเก้าดวงเท่านั้น?” ทว่าก็มีบางคนรู้สึกถึงความผิดปกติ ด้วยพลังของจอมยุทธ์เหล่านี้ หากพวกเขาได้รับเก้าสิบเก้าดวง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะขาดดวงสุดท้าย…

ด้วยความภาคภูมิใจพวกเขาจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้รับจิตทะเลสาบดวงที่ร้อยเพื่อรับการชำระล้างที่สมบูรณ์แบบ

“ดูเหมือนว่าการชำระล้างขั้นสมบูรณ์จะไม่สามารถรับได้ด้วยวิธีการธรรมดา” ทุกคนครุ่นคิด จากนั้นก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้นที่เหมาะสมกับคำอธิบายว่าทำไมจู้เยี่ยน จาโหลหลัว เซียวเซียวและหลินจิ้งจึงคว้าจิตทะเลสาบสวรรค์ได้เก้าสิบเก้าดวงเท่านั้น

ฮึ่ม ฮึ่ม

ในขณะที่ทุกคนตกใจกับจำนวน ทะเลสาบสวรรค์ใต้เท้าของพวกเขาก็ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขนาดมหึมาก่อนที่เสาแสงจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

เมฆรวมตัวกันเบื้องบนพร้อมแสงแล่นแปลบปลาบ

ภาพที่ปรากฏเหนือร่างจิ่วโยวเป็นสายธารที่มีความยาวประมาณร้อยจั้งแม้ว่าจะด้อยกว่าซูชิงหยิงแต่ก็เหนือกว่าฉินจิงเจ๋อ

เมื่อเทียบกับจิ่วโยว อีกสี่คนทำให้เกิดความปั่นป่วนสั่นสะเทือนโลกาเนื่องจากกระแสน้ำวนที่อยู่ใต้เท้าของพวกเขามีขนาดหลายพันจั้งพร้อมกับแสงหลิงที่ครอบงำก่อนที่จะกลายเป็นทะเลสาบสี่แห่งที่มีขนาดหลายพันจั้ง

เกลียวแสงหลิงพุ่งออกมาจากทะเลสาบเหล่านั้น พลังงานที่บริสุทธิ์ดูข้นหนืดเล็กน้อยก่อตัวเป็นสะพานพลังงานหลิงที่ดูลึกซึ้งมาก

ทุกคนตกตะลึงเมื่อมองไปที่ทะเลสาบ เทียบกับสิ่งนี้ การชำระล้างของซูชิงหยิงถือได้ว่าลีบแบนไปเลยทีเดียว

“นี่คือจุดสูงสุดของการชำระล้างขั้นสูงเรอะ? ช่างทรงพลังจริงๆ!” ผู้คนมองไปด้วยความโลภ หากพวกเขาได้รับการชำระนี้ก็จะยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งจนไม่อาจบรรยายได้

ทว่าเผชิญหน้ากับคนดุร้ายเหล่านี้ก็ไม่มีใครกล้าเอามือจุ่มลงไปหรอก

“ทำไมมู่เฉินไม่เคลื่อนไหวมั่งล่ะ?”

ขณะที่ผู้ชมตกใจกับพิธีชำระล้างขั้นสูง ก็มีบางคนสังเกตเห็นมู่เฉินยืนนิ่งอยู่บนเรือมังกรทองคำเช่นกัน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดป้ายมังกรทองคำของเขาถึงดูสลัวรางมาก

“พี่มู่ ทำไมไม่มีความผันผวนจากจิตทะเลสาบสวรรค์ที่มาจากป้ายมังกรทองคำของเจ้า” จาโหลหลัวเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้ม

ขณะที่เขาพูดทุกคนต่างมองไปที่มู่เฉินด้วยความสงสัย

หญิงสาวทั้งสามก็มองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาเป็นกังวล นั่นเป็นเพราะพวกนางรู้สึกได้ว่าไม่มีเกลียวแสงหลิงใดๆ พรั่งพรูออกมาจากป้ายมังกรทองคำของมู่เฉิน หมายความว่าไม่มีจิตทะเลสาบสวรรค์ใดๆ งั้นเหรอ!

หรือว่ามู่เฉินได้เจอปัญหาขณะรวบรวมจิตทะเลสาบ?

บางคนที่มีความคิดเช่นนี้ก็ต่างรู้สึกดีใจในความโชคร้ายของเขา โดยเฉพาะจาโหลหลัวที่มุมปากโค้งขึ้น

เผชิญหน้ากับการจ้องมองของพวกเขา มู่เฉินก็ไม่สนใจค่อยๆ หลับตาลงเงียบๆ สัมผัสถึงความผันผวนที่อยู่ลึกลงไปในทะเลสาบสวรรค์

ทว่ามือของเขาในแขนเสื้อก็ค่อยๆ กระชับเป็นหมัดขณะรอคอย

นั่นเป็นเพราะเขาไม่มั่นใจ นี่เป็นเพียงการคาดเดาหากเขาล้มเหลวก็จะสูญเสียมากมายกับการชำระล้างนี้

เวลาค่อยๆ ไหลผ่าน มู่เฉินปิดกั้นทุกสรรพเสียงรับรู้ถึงการไหลของน้ำในส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์

ครืน

ท่ามกลางการรอคอย ทันใดนั้นเสียงแปลกๆ ก็ดังมาจากส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์

มู่เฉินลืมตาขึ้นทันทีพร้อมกับความสุขที่นึกไม่ถึงพล่านในม่านตา

นั่นเป็นเพราะขณะนี้ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงรอยประทับที่เขาทิ้งไว้ในจิตทะเลสาบสวรรค์!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1152 รับหม้อ
บุ๋ม

มู่เฉินพุ่งออกมาจากทะเลสาบสวรรค์ขณะยืนอยู่บนเรือมังกรทองคำ สายตากวาดมองไปก็ส่งเสียงอุทาน นั่นเป็นเพราะพื้นผิวของทะเลสาบจอแจมาก มีเงาแสงพุ่งออกมาจากตลอดเวลา

“นี่คือการชำระล้างทะเลสาบสวรรค์เหรอ?”

เมื่อมู่เฉินปรากฏตัวขึ้นก็มองไปที่พื้นผิวน้ำ ร่างเงาหนึ่งอยู่บนป้าย ร่างนั้นแตะฝ่าเท้าลงไปเกลียวแสงแวววาวก็ระเบิดออกมาจากป้ายพร้อมกับประกายแสงทะยานสู่ท้องฟ้า ทุกๆ เกลียวแสงมีคลื่นหลิงบริสุทธิ์และทรงพลัง

ประกายแสงเหล่านั้นก็คือก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์ พิจารณาจากจำนวนน่าจะมีประมาณยี่สิบดวง

นี่เป็นขั้นต่ำสุดของพิธีการชำระล้าง

แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าคนนั้นก็ดูพอใจอย่างชัดเจน ท้ายที่สุดแล้วการไล่จับจิตทะเลสาบเป็นเรื่องยากมาก แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ยังต้องใช้สมองมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะได้รับถึงยี่สิบดวง

ฮึ่ม ฮึ่ม

เมื่อก้อนอัญมณีเหล่านั้นทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก็รวมตัวกันก่อตัวเป็นลำแสงขนาดใหญ่เชื่อมระหว่างท้องฟ้ากับท้องน้ำ คล้ายกับสะพานเชื่อมระหว่างทั้งสองโดยมีชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลางสะพาน

ซ่า ซ่า

น้ำในทะเลสาบไร้ขอบเขตกวาดขึ้นเหนือร่างคนคนนั้นกลายเป็นกระแสน้ำวนที่มีคลื่นบริสุทธิ์และไร้ที่สิ้นสุดถูกบีบอัด ครู่ต่อมาก็กลายเป็นหยาดละอองฝนโปรยปรายลงมา

ฝนนี้ไม่ใช่ฝนธรรมดา หยาดฝนเป็นสีเขียวมรกตที่ดูเหมือนจะบรรจุด้วยพลังชีวิตและพลังหลิงเข้มข้น ทุกหยดเปรียบได้กับของเหลวจื้อจุนจำนวนหมื่นหยด

ชายที่กระตุ้นการชำระล้างก็กระจายความสุขบนใบหน้า เขาเร้าร่างเทห์สวรรค์ออกมาทันที จากนั้นก็กางแขนปล่อยให้ละอองฝนตกประพรมลงบนร่างเทห์สวรรค์ของตนเอง

ฮึ่ม

เมื่อสายฝนตกลงมาบนร่างเทห์สวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ เม็ดฝนก็หลอมรวมเข้ากับร่างเทห์สวรรค์ซึ่งทำให้ระเบิดออกด้วยเกลียวแสงแวววาวนับไม่ถ้วน คลื่นหลิงทรงพลังที่ถูกปล่อยออกมาก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ยิ่งไปกว่านั้นพื้นผิวของร่างเทห์สวรรค์ยังมีชั้นของมรกตที่ดูเหมือนผ้าคลุมครอบคลุมทั่วทั้งสรรพางค์กาย ถึงแม้ว่าผ้าคลุมจะเบาบาง แต่มู่เฉินก็รู้ดีว่าร่างเทห์สวรรค์ของชายคนนั้นจะได้รับการเสริมความแข็งแกร่งจากเกลียวแสงมรกตอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว

นอกจากนี้ชายคนนั้นก็ยังได้รับการชำระล้างด้วย หลังจากการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์พื้นผิวร่างกายของเขาก็เปล่งแสงเรืองรองจางๆ เนื่องจากเขาแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

“ฮ่าๆ สมกับเป็นการชำระล้างทะเลสาบสวรรค์จริงๆ!”

เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างเทห์สวรรค์ ชายคนนั้นก็ไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะด้วยความสุขบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจอย่างยิ่งกับการรับพิธีชำระล้างนี้

หลายคนให้ความสนใจ เมื่อพวกเขาเห็นการเพิ่มขึ้นของพลังใบหน้าก็ฉายทั้งความตกใจและตื่นเต้น การชำระล้างทะเลสาบสวรรค์พิเศษอย่างแท้จริง!

“แม้แต่ขั้นต่ำสุดก็ยังมีผลเช่นนี้?” มู่เฉินประหลาดใจไปเล็กน้อย แม้ว่าการเติบโตของชายคนนั้นจะแข็งแกร่งขึ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากพื้นฐานอ่อนแอของเขา ดังนั้นผลที่ได้รับจึงเห็นชัดเจนมาก แต่นี่ก็เป็นเพียงขั้นต่ำสุดของการชำระล้าง ยังมีขั้นสูงและขั้นสมบูรณ์ที่เล่าลือกัน

ตู้ม ตู้ม!

ขณะที่มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ เสาแสงจำนวนมากก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเปล่งความผันผวนรุนแรง ยามนี้จอมยุทธ์จำนวนมากเริ่มกระตุ้นการชำระล้างแล้ว

การชำระล้างเหล่านั้นแทบทั้งหมดอยู่ในขั้นต่ำ แต่เนื่องจากมีความแตกต่างของก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์ จึงมีความต่างบางอย่างในการรับพิธีชำระล้างเช่นกัน

“หืม? การชำระล้างขั้นสูง?”

เมื่อมองไปที่เสาแสงการชำระล้างนับไม่ถ้วน มู่เฉินก็ต้องหดตาลงขณะมองไปในระยะไกล มีเสาแสงขนาดใหญ่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พลังทรงประสิทธิภาพมากจนเหนือกว่าการชำระล้างจุดอื่นๆ ทั้งหมด ดึงดูดสายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน

มู่เฉินมองไปที่ภาพเงานั้นก็หรี่ตาลง นั่นไม่ใช่คนไม่คุ้นเคยสำหรับเขา ชายคนนั้นก็คือฉินจิงเจ๋อที่ก่อนหน้ามู่เฉินพบที่นอกประตูมังกรทะยานสวรรค์ เป็นจอมยุทธ์อันดับห้าในทำเนียบ

ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์เจ็ดสิบดวงพวยพุ่งออกมาจากป้ายของเขา ซึ่งมีมากกว่าทุกคนที่นี่

ด้วยจำนวนนี้จึงเป็นการชำระล้างขั้นสูงโดยธรรมชาติ

ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นก็น่าตื่นเต้นมากเช่นกัน เกลียวแสงไร้ขอบเขตก่อตัวเป็นอ่าวเล็กใสไหลลงมาจากท้องฟ้า สายธารเทลงบนศีรษะของเขา

ฉินจิงเจ๋อไม่ได้เรียกร่างเทห์สวรรค์ออกมา แต่ทุกคนสัมผัสได้ชัดเจนว่าคลื่นกระบี่ที่เปล่งออกมาจากร่างกายเขาคมชัดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดสิ้นสุด แม้แต่มิติรอบตัวเขาก็ถูกเฉือนออก

ความรู้สึกราวกับว่าคลื่นกระบี่ในร่างกายเขาได้รับการหล่อเลี้ยงจากสายธาร

เมื่อหยาดหยดสุดท้ายหายเข้าไปในกระหม่อมของฉินจิงเจ๋อ เขาก็ลืมตาขึ้นและคลื่นกระบี่พุ่งออกมาจากดวงตา ทิ้งรอยบากยาวพันจั้งไว้ที่ทะเลสาบเบื้องล่าง

การระเบิดความผันผวนของคลื่นหลิงที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของฉินจิงเจ๋อมาถึงระดับที่น่าทึ่ง ซึ่งบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว!

“ฉินจิงเจ๋อบรรลุขุมพลัง!”

หลายคนอุทานเหนือทะเลสาบ เมื่อก่อนฉินจิงเจ๋อเป็นอยู่ในขั้นเก้าระยะปลายสุด แต่ขณะนี้เขาก้าวเข้าสู่ขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว!

หลายคนรู้สึกอิจฉาเนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสัมผัสกับระดับตี้จื้อจุน ช่วงเวลาที่เขาก้าวผ่านธรณีประตูก็จะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและกลายเป็นจอมยุทธ์ทรงอำนาจ

ความแตกต่างระหว่างระดับจื้อจุนและระดับตี้จื้อจุนคล้ายกับสวรรค์และโลก

เฉพาะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นที่สามารถอ้างสิทธิ์ในการเป็นจอมยุทธ์แห่งมหาพันภพพร้อมกับสามารถท่องไปทั่วยุทธภพ นอกจากนี้พวกเขายังสามารถขึ้นเป็นผู้นำก่อตั้งสำนักของตนเองในทวีปเทียนหลัวได้

“ทะเลสาบสวรรค์แห่งนี้ควรค่าแก่การเป็นหนึ่งในฐานรากของวังสวรรค์บรรพกาลอย่างแท้จริง” แม้แต่มู่เฉินก็อดถอนหายใจไม่ได้

“หืม?”

หลังจากที่ถอนหายใจดวงตาก็ต้องหดลงก่อนที่จะมองไปยังทิศทางอื่น ร่างเงาหลายร่างอยู่บนพื้นผิวที่ห่างไกลของทะเลสาบ

ร่างเงาเหล่านั้นปรากฏขึ้นพร้อมกับเกลียวแสงสีทองเปล่งประกายออกมาจากป้ายมังกรทองคำของพวกเขา ยามนี้พวกเขาดึงดูดความสนใจทั้งหมดที่มีต่อฉินจิงเจ๋อมา

ดวงตาแต่ละคนสว่างขึ้นมองด้วยความคาดหวัง

นั่นเป็นเพราะร่างเงาเหล่านั้นเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะรุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว ซึ่งก็คือจู้เยี่ยน จาโหลหลัวและซูชิงหยิง

ในเวลาเดียวกันร่างเงาสามร่างก็ปรากฏขึ้นในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งก็คือเซียวเซียว หลินจิ้งและจิ่วโยว

เมื่อพวกเขาปรากฏตัวก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน แต่พวกเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้น พวกเขากวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนที่จะมุ่งความสนใจไปที่มู่เฉิน

หลินจิ้งโบกมือให้มู่เฉินหย็อยๆ แต่ไม่ได้เข้ามาใกล้ เพราะต่างกำลังจะกระตุ้นการชำระล้าง ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะรักษาระยะห่างเพื่อที่จะได้ไม่ขัดจังหวะกัน

จู้เยี่ยนมองไปที่มู่เฉินอย่างกินลึกแต่ก็ไม่ได้พูด ผิดกลับซูชิงหยิงที่มองด้วยความสนใจ

สำหรับจาโหลหลัว เขายิ้มให้มู่เฉินด้วยสีหน้าอบอุ่น “ฮ่าๆ พี่มู่อยู่นี่เอง ไม่มีข่าวเกี่ยวกับเซี่ยหยู่ดูเหมือนว่าเขาจะถูกเจ้าฆ่าสินะ น่าเกรงขามจริงๆ”

คำพูดของจาโหลหลัวดึงดูดเสียงอื้ออึงนับไม่ถ้วน ขณะที่ทุกคนมองมู่เฉินด้วยความไม่เชื่อ

เห็นได้ชัดว่าข่าวการต่อสู้ของมู่เฉินและเซี่ยหยู่ไม่ได้แพร่งพรายออกไป

“เซี่ยหยู่ตายด้วยน้ำมือมู่เฉิน? เป็นไปได้ยังไง?!” ทุกคนตกใจมากจนแม้แต่ฉินจิงเจ๋อที่เพิ่งออกจากการบรรลุขุมพลังก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความตกตะลึง ตอนแรกเขาคิดว่าจะสามารถสู้กับเซี่ยหยู่ได้ด้วยพัฒนาการที่มี แต่เขาไม่คิดว่าเซี่ยหยู่จะถูกมู่เฉินสังหารไปแล้ว

“ไม่…เป็นไปไม่ได้!” อีกมุมหนึ่งใบหน้าของเซี่ยหงก็ซีดลง จอมยุทธ์แคว้นเซี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็มีเหงื่อเย็นปกคลุมเต็มหน้าผากขณะค่อยๆ เหลียวมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจในดวงตา ราวกับเห็นผีก็มิปาน

พวกเขารู้แค่ว่าเซี่ยหยู่จะสู้กับมู่เฉิน แต่ไม่มีใครคาดคิดว่านอกจากเซี่ยหยู่จะไม่สามารถจัดการกับมู่เฉินได้ เขายังเสียท่าถูกฆ่าอีกด้วย

มู่เฉินยังคงนิ่งเงียบขณะมองไปที่จาโหลหลัว แม้ว่าชายคนนี้จะเล่นละครดูตกอกตกใจ แต่มีเจตนาร้ายในคำพูดอย่างชัดเจน

“หากเจ้าสนใจสามารถลองดูได้เช่นกัน” มู่เฉินเอ่ยขึ้นเบาๆ

จาโหลหลัวยิ้ม “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุด นอกจากนี้พี่มู่ก็ไม่ธรรมดา เนื่องจากสามารถสรรหาผู้ช่วยนอกทวีปที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ ดูเหมือนว่าโอกาสของทวีปเทียนหลัวครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคนนอกซะแล้ว”

ขณะที่เขาพูดก็มองไปที่เซียวเซียวและหลินจิ้ง ความหมายเบื้องหลังคำพูดชัดเจนมาก

ทุกคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปขณะมองไปที่มู่เฉิน เซียวเซียวและหลินจิ้งด้วยความหวาดระแวง

“เจ้านี่ชั่วช้าจริงๆ!” สายตาของจิ่วโยวกลายเป็นเย็นเยือกเมื่อมองไปที่จาโหลหลัวอย่างโกรธเกรี้ยว เห็นได้ชัดว่าจาโหลหลัวต้องการให้คนอื่นแยกมู่เฉินออกจากทวีปเทียนหลัว

ทว่ามู่เฉินราวกับไม่เห็นสายตาที่ตั้งระวังเหล่านั้น เขายิ้มอย่างใจเย็น “วังสวรรค์บรรพกาลถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยบรรพบุรุษผู้กล้า เหล่าผู้อาวุโสตายเพื่อปกป้องมหาพันภพจากจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้เบื้องหลังจึงถือเป็นของมหาพันภพ แต่วันนี้เจ้ากลับใช้โอกาสเหล่านี้มากีดแบ่งมหาพันภพ การกระทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากเผ่าปีศาจ”

คำพูดของมู่เฉินทำให้ทุกคนอึ้งไปก่อนที่จะรู้สึกละอาย นั่นเป็นเพราะคำพูดของมู่เฉินมีไว้เพื่อประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่า หากมีใครกล้าหักล้างคำพูดก็จะเป็นการแยกมหาพันภพ สนับสนุนเผ่าปีศาจ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงจาโหลหลัว แม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ไม่กล้ารับหม้อใบนี้ขึ้นมา

ทุกคนสบตากันก่อนจะมองไปที่ใบหน้าของจาโหลหลัวที่เปลี่ยนไปเป็นไม่น่ามอง เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจมากกับการรับหม้อเดือดใบนี้ไป นี่ทำเอาทุกคนถอนหายใจ

“มู่เฉินร้ายกาจจริงๆ…”

**รับหม้อ เป็นการเปรียบเทียบ แปลว่า รับสิ่งไม่ดีใส่ตัว

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1151 จิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อย?
ค่ายกลจำนวนมากปรากฏขึ้นในทะเลสาบสวรรค์

ซึ่งกำลังเปล่งความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรง ดันตัวจนเกิดลูกคลื่นขนาดใหญ่ โดยมีมู่เฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ในค่ายกล เมื่อดวงตาของเขาค่อยๆ เปิดขึ้น แสงก็วูบวาบในส่วนลึกของนัยน์ตาสีดำสนิท คลื่นหลิงที่อยู่รอบตัวคล้ายกับมังกรตื่นขึ้นและความดุร้ายก็น่าตกใจนัก

“คลื่นหลิงของข้ามีพัฒนาการขึ้น”

เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งขึ้นรอบๆ ตัว มู่เฉินก็ยิ้ม การต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างเขากับเซี่ยหยู่ช่วยให้คลื่นพลังของเขายกระดับขึ้น ตอนนี้เขาอยู่ในขั้นเก้าระยะต้นปลายสุดแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องน่าดีใจนัก

เมื่อร่างกายกลับคืนสู่สภาพพร้อมรบ มู่เฉินก็ลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ ร่องรอยการต่อสู้จางหายไปหมดแล้วไม่มีใครอยู่ที่นี่ ดูเหมือนคนเหล่านั้นที่ตั้งใจจะฉวยโอกาสก็ถอยออกไปหมดแล้ว

แต่ก็ดีที่พวกมันถอยไปเร็ว ถ้าเกิดยังโผล่ให้เห็นตอนนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลที่จะปล้นพวกมันอีก

“เวลาบีบเข้ามาทุกที ข้าต้องรีบเก็บจิตทะเลสาบแล้ว!” มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจคนอื่นมากนัก เขาสงบใจ เตือนตัวเองถึงการชำระล้างในทะเลสาบสวรรค์ที่เป็นเป้าหมายหลัก เขาจะไม่ยอมแพ้ต่อเรื่องนี้แน่นอน

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็จดจ่อที่ค่ายกลอีกครั้งก่อนที่เขาจะเริ่มเสริมสร้าง หลังจากใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงเขาก็ปัดมือด้วยความพึงพอใจ

ค่ายกลแผ่ขยายไปรอบตัวอย่างต่อเนื่อง พลังของพวกมันทำให้แม้แต่มู่เฉินเองยังตกใจ ตามการคาดการณ์ของเขา ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ยังต้องประสบกับหายนะร้ายแรงเมื่อเข้าสู่กับดักนี้

เมื่อวางกับดักเสร็จ มู่เฉินก็สร้างค่ายกลบรรจบจิตอีกค่ายกลไว้ตรงศูนย์กลางค่ายกลเหล่านี้ นอกจากนี้ก็ยังแข็งแกร่งกว่าค่ายกลก่อนหน้าและผลก็แกร่งกร้าวยิ่งขึ้น

จบกระบวนการมู่เฉินก็ล่าถอยซ่อนความผันผวนของพลังงานไว้ในค่ายกล

ดังนั้น…การตกปลาจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง

ในทะเลสาบสวรรค์ขนาดใหญ่

ความคึกคักสามารถมองเห็นได้ทั่วด้วยร่างเงาที่พาดผ่านไปมา ขณะที่แต่ละคนค้นหาจิตทะเลสาบกันให้ควั่ก

ตอนแรกทุกคนดูถูกพลังของก้อนจิตเหล่านี้ ดังนั้นจึงต้องจ่ายราคาแพงออกไป คนโชคร้ายบางคนถึงกับถูกทำลายการป้องกัน ร่างสูญสิ้นเหลือเพียงเถ้าถ่านโปรยลงในน้ำ

หลังจากที่รู้ว่าก้อนจิตเหล่านี้มีปัญหาเพียงใด คนที่ยังไม่บรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็เลือกที่จะเข้าร่วมกับผู้อื่นเพื่อตามล่าจิตทะเลสาบ

ทว่าประสิทธิภาพของวิธีนี้ต่ำและอาจมีปัญหาในการกระจายก้อนจิต นี่เป็นเรื่องน่าปวดหัวสำหรับพวกเขา ในท้ายที่สุดอาจมีการเข่นฆ่ากันเองด้วย

สำหรับคนที่มีพลังมากพอที่จะล่าจิตทะเลสาบด้วยตัวเอง พวกเขาจะเข้าไปในส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์ค้นหารอบๆ เมื่อค้นพบจิตทะเลสาบการต่อสู้ก็จะระเบิดขึ้น ทำให้เกิดคลื่นสูงดันตัวนับไม่ถ้วน

ทั่วทะเลสาบสวรรค์ลุกเป็นไฟ

ส่วนเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วภายใต้สถานการณ์นี้

ตู้ม!

ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารคำรามในปราการ มังกรขนาดใหญ่ทะยานขึ้นกลายเป็นเกลียวแสงไร้ขอบเขตฟาดฟันกับจิตทะเลสาบ ทันใดนั้นจิตทะเลสาบก็รู้สึกได้ถึงผลกระทบหนักหน่วง แสงของพวกมันจางลงก่อนที่จะถูกลดทอนเป็นก้อนผลึก

มู่เฉินยื่นมือออกไปคว้าก้อนจิตเหล่านั้นพร้อมกับรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า

หลังจากตกปลาทั้งวันเขาก็ได้รับจิตทะเลสาบสวรรค์หกสิบสองดวงแล้ว!

จากการคาดเดาของมู่เฉิน เขาน่าจะเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะได้รับก้อนจิตจำนวนดังกล่าวด้วยความช่วยเหลือของค่ายกล แต่มู่เฉินก็ไม่เชื่อว่าเซียวเซียว หลินจิ้ง จู้เยี่ยนและจาโหลหลัวจะไม่มีกลยุทธ์อะไรในแขนเสื้อ ดังนั้นเขาจึงไม่มั่นใจมากพอที่จะคิดว่าตนเองเป็นที่หนึ่ง

“ด้วยจิตทะเลสาบสวรรค์หกสิบสองดวง ข้าน่าจะได้รับการชำระล้างขั้นสูง” มู่เฉินครุ่นคิดขณะเลียริมฝีปาก แม้ว่าเขาจะได้รับชำระล้างขั้นสูงซึ่งก็พอใจอยู่ แต่ใครเล่าจะไม่ปรารถนาที่จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด? ด้วยความช่วยเหลือของค่ายกลเขาน่าจะตั้งเป้าหมายให้ได้รับจิตทะเลสาบร้อยดวงเพื่อการชำระล้างที่สมบูรณ์แบบได้

“มาลองดูกันเถอะ” มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อเปิดใช้ปราการค่ายกล

อีกหนึ่งวันผ่านไป

ครืน!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพลุ่งพล่านในปราการค่ายกล ระลอกการโจมตีพุ่งเป้าไปที่จิตทะเลสาบที่ติดอยู่ภายในอย่างไม่มีที่สิ้นสุด การโจมตีทุกครั้งจะทำให้แสงรอบจิตทะเลสาบนั้นจางลง

มู่เฉินยืนอยู่ด้านนอกค่ายกลมองไปที่จิตทะเลสาบที่กำลังหรี่แสงลงอย่างรวดเร็ว แม้จะมีความสงบเขาก็ไม่สามารถซ่อนความสุขบนใบหน้าได้

นั่นเป็นเพราะเขาได้รับก้อนจิตมาแล้วเก้าสิบเก้าดวงและที่อยู่ในค่ายกลตอนนี้คือดวงที่ร้อย!

ว่ากันว่าด้วยก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์ร้อยดวง เขาจะสามารถได้รับการชำระล้างขั้นสมบูรณ์แบบของทะเลสาบสวรรค์ได้!

“การชำระล้างทะเลสาบสวรรค์ขั้นสมบูรณ์ก็ดูไม่ยากนี่น่า”

มู่เฉินยิ้ม แต่หัวคิ้วก็ต้องขมวดเล็กน้อยเมื่อรอยยิ้มปรากฏขึ้นเนื่องจากเขารู้สึกคลุมเครือว่ามีบางอย่างผิดปกติ นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกว่าการชำระล้างทะเลสาบสวรรค์ขั้นสมบูรณ์ดูเหมือนจะไม่ยากอย่างที่คิดไว้

แม้ว่าจะใช้ค่ายกลแต่มู่เฉินไม่เชื่อว่าด้วยรากฐานของวังสวรรค์บรรพกาลในสมัยโบราณ ศิษย์อัจฉริยะต่างๆจะคิดไม่ถึงวิธีนี้

แต่ทำไมมีศิษย์เพียงไม่กี่คนที่ได้รับการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ของทะเลสาบสวรรค์กัน?

มู่เฉินขมวดคิ้วขณะที่ครุ่นคิด แต่ก็ไม่มีเวลาหรูหราที่จะมาพิจารณา ไม่ว่าอย่างไรรอให้ได้รับจิตทะเลสาบดวงที่ร้อยก่อน ดังนั้นเขาจึงสงบตัวเองและเริ่มใช้ค่ายกลเพื่อทำการโจมตีอย่างต่อเนื่อง

ฮึ่ม

หลังจากนั้นไม่นานในที่สุดจิตทะเลสาบก็จางลง กลายเป็นก้อนอัญมณีจิตก่อนจะพลิ้วลงในมือของมู่เฉิน

หลังจากได้รับจิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อย มู่เฉินก็ตบมันไปที่ป้ายมังกรทองคำที่อยู่ใต้เท้าทันที

ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์มีความพิเศษอย่างยิ่ง ต้องใช้ป้ายในการเก็บเท่านั้น นอกจากนี้ป้ายยังเป็นสิ่งที่จำเป็นในการกระตุ้นการชำระล้าง ตราบใดที่เขาวางก้อนอัญมณีจิตดวงที่ร้อยไว้ภายในได้ เขาก็จะกระตุ้นการชำระล้างได้

ปัง!

ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์พุ่งไปยังป้ายมังกรทองคำ แต่ขณะนั้นก็มีบางอย่างที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ก้อนอัญมณีจิตไม่สามารถเข้าไปได้ ตรงกันข้ามกลับถูกปฏิเสธ จนมันต้องบินกลับมาอยู่ในมือของมู่เฉิน

“นี่…?”

มู่เฉินอึ้งไปกับฉากนี้ขณะมองไปที่ป้ายมังกรทองคำที่อยู่ใต้เท้าด้วยความตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ว่าทำไมก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบดวงที่ร้อยจึงถูกปฏิเสธ

“มีปัญหาจริงด้วย” มู่เฉินหายจากอาการตกใจอย่างรวดเร็วพร้อมกับขมวดคิ้ว ถ้าเขาไม่สามารถวางก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบดวงที่ร้อยลงในป้ายมังกรทองคำได้ เขาก็จะเปิดพิธีชำระล้างขั้นสูงได้เท่านั้น

โดยทั่วไปป้ายมังกรทองคำไม่ควรมีปฏิกิริยาเช่นนี้ หรือว่านี่ไม่ใช่ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบดวงที่ร้อยของแท้? หากไม่เป็นเช่นนั้นแล้วก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบดวงที่ร้อยมาจากไหน?

มู่เฉินครุ่นคิดครู่ต่อมาก็กระทืบเท้า เรือมังกรทองคำสั่นสะท้าน ทันใดนั้นก้อนอัญมณีก็บินฉวัดเฉวียนไปมาที่เบื้องหน้ามู่เฉิน นี่ก็คือก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบทั้งเก้าสิบเก้าดวงที่มู่เฉินได้รับ

มู่เฉินยื่นมือออก คลื่นหลิงก่อตัวเป็นก้อนแสงห่อหุ้มก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบทั้งเก้าสิบเก้าดวงไว้

สายตาเขาจับจ้องไปที่ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงระหว่างพวกมัน เขาเชื่อว่าต้องมีวิธีที่จะได้รับก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบดวงที่ร้อย แต่เขายังหาไม่ค้นพบ

ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าดวงลอยเงียบๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

ใบหน้ามู่เฉินเริ่มไม่น่ามอง หรือว่าพิธีที่เรียกว่า ‘การชำระล้างขั้นสมบูรณ์’ นั้นไม่มีอยู่จริง? หรือเป็นเพราะวังสวรรค์บรรพกาลล่มสลายไปแล้วจึงมีข้อบกพร่องในการชำระล้างของทะเลสาบสวรรค์?

ครืน!

ทันใดนั้นทะเลสาบสวรรค์ก็สั่นไหว ความผันผวนแปลกประหลาดปรากฏขึ้นเหนือเวิ้งน้ำ

เมื่อรู้สึกถึงมู่เฉินก็หดตาลง นั่นคือคลื่นความผันผวนการชำระล้างของทะเลสาบสวรรค์

ดูเหมือนว่ามีใครบางคนเข้าสู่พิธีการชำระล้างแล้ว

ตู้ม ตู้ม!

เมื่อการรับการชำระล้างครั้งแรกเกิดขึ้น ความผันผวนแปลกประหลาดไม่รู้จบก็แพร่กระจายออกไปรอบๆ ทะเลสาบสวรรค์ ชัดว่ามีหลายคนเริ่มกระตุ้นพิธีการขึ้นเช่นกัน

เมื่อการชำระล้างทะเลสาบสวรรค์ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงแรงลอยตัวที่เล็ดลอดออกมาจากเวิ้งน้ำราวกับว่าต้องการที่จะขับไล่คนที่อยู่ภายในออกไป

“ใกล้หมดเวลาแล้วสินะ” มู่เฉินเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนว่าทะเลสาบสวรรค์กำลังจะปิดตัวในไม่ช้า

แต่เขายังไม่ได้รับก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบดวงที่ร้อย! หรือว่าเข้าต้องรับการชำระล้างขั้นสูงแทน?

มู่เฉินเม้มปากแน่นพลางจ้องเขม็งไปที่ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าดวงที่เบื้องหน้า อึดใจต่อมาม่านตาเขาก็หดลงเล็กน้อย

“นี่คือ…”

มู่เฉินขมวดคิ้วเพราะตระหนักว่าเมื่อก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์สัมผัสกัน บางส่วนก็สว่างขึ้นเล็กน้อยขณะที่บางส่วนหม่นแสงลงเล็กน้อย…

เมื่อพิจารณาจากสิ่งนี้เหมือนกับว่าก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์กลืนกินพลังงานกันและกัน

การเปลี่ยนแปลงนี้เบาบางมากจน กระทั่งมู่เฉินก็มองข้ามไปตลอด

สายตาของมู่เฉินวูบไหวหลังจากนั้นครู่หนึ่งก็พึมพำ “หรือว่าจะเป็น…การกลืนกิน?”

หรือว่าก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบดวงที่ร้อยไม่ใช่สิ่งที่ได้จากภายนอก แต่จะปรากฏขึ้นท่ามกลางก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบทั้งเก้าสิบเก้าดวง?

“จะลองเสี่ยงดูไหม?”

สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปไม่หยุด เพราะถ้างานนี้เดาไม่ถูกก็หมายความว่าความพยายามทั้งหมดจะสูญเปล่า เพราะเขาไม่มีเวลาที่จะเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดแล้ว

แม้แต่มู่เฉินก็ลังเลที่จะเลือกในเวลานี้

ทว่ามู่เฉินเป็นคนเด็ดขาด ไม่นานสายตาก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ ความแตกต่างระหว่างขั้นสูงกว่าและขั้นสมบูรณ์แบบไม่ใช่แค่ระดับ หากเขาได้สิ่งที่สมบูรณ์แบบก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับตนเองที่จะบุกเข้าไปในระดับตี้จื้อจุนในอนาคต

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เสี่ยงโชคกันหน่อย!

มู่เฉินตัดความลังเลใจ ทิ้งรอยประทับไว้ที่ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าดวงก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ

ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าดวงบินฉวัดเฉวียนออกไป เมื่อพวกมันสัมผัสกับน้ำในทะเลสาบสวรรค์ก็เริ่มที่จะกินคลื่นหลิงอีกครั้ง ในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบทั้งเก้าสิบเก้าดวงก็เปล่งประกายแวววาว

ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าดวงเปลี่ยนกลับไปอยู่ในรูปของจิตทะเลสาบ ทุกดวงกะพริบราวกับดวงดาวปรากฏอยู่ภายในปราการค่ายกล

เมื่อจิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าด้วงปรากฏขึ้นพร้อมๆ กัน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ทำให้มู่เฉินตกตะลึง

หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าจากนั้นพุ่งไปที่ขอบทะเลสาบสวรรค์ ไม่มีอะไรสำหรับเขาที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว หากสิ่งที่เขาเดาถูกต้อง ด้วยตราประทับที่ทิ้งไว้ เขาก็จะได้รับจิตทะเลสาบกลับคืนมา

หากสิ่งที่เขาเดาผิด เขาจะไม่ได้รับกระทั่งการชำระล้างขั้นต่ำ

คราวนี้ก็ถือเป็นว่าเสี่ยงโชคกันหน่อยเถอะ!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1150 เซี่ยหยู่สิ้นชีพ
เมื่อมู่เฉินชกหมัดลงมา

คลื่นหลิงที่รุนแรงในบริเวณนี้ก็หายไปทันที ร่างราชันฟากฟ้ามหึมาก็แตกสลาย

ขณะที่ร่างเทห์สวรรค์กระจัดกระจาย ผู้ชมก็ตกตะลึกด้วยความไม่เชื่อเต็มสายตา

“ขะ…เขาฆ่าเซียวหยูจริงเหรอ?!”

ทุกคนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ขณะสายตามองไปที่มู่เฉินด้วยความกลัว ความเด็ดขาดของมู่เฉินทำเอาพวกเขาหนาวสั่นในใจ

นั่นคือเซี่ยหยู่องค์รัชทายาทแคว้นเซี่ย ผู้สืบทอดบัลลังก์นะ!

ด้วยความสำคัญของเซี่ยหยู่ ถ้าฮ่องเต้เซี่ยทราบข่าวการตายของลูกชายคนโตละก็ เขาไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้สงบลงแน่ ความเกรี้ยวกราดของฮ่องเต้เซี่ยเป็นสิ่งที่มู่เฉินจะทนรับได้รึ? ชัดเจนว่าไม่เลย…

มู่เฉินมองศพไร้หัวอย่างสงบ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน หมัดนั้นไม่เพียงแต่ระเบิดหัวเซี่ยหยู่จนกระจุย แต่ไอสังหารที่อยู่เบื้องหลังหมัดยังทำลายจุดจื้อจุนไห่ของเซี่ยหยู่ไปด้วย…

ดังนั้นวันนี้ที่นี่เซี่ยหยู่สิ้นชีพตลอดกาล

มู่เฉินทราบดีว่าตนเองจะทำให้แคว้นเซี่ยขุ่มเคืองเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ แต่เขาก็สังหารโดยไม่ลังเล นั่นเป็นเพราะมู่เฉินรู้ชัดว่าเซี่ยหยู่เป็นคนที่น่ากลัว แม้ว่าจะบีบบังคับเซี่ยหยู่ต้องล่าถอย แต่คนอย่างเซี่ยหยู่ก็จะตามกัดเขาทุกครั้งที่มีโอกาสแน่นอน

นอกจากนี้พรสวรรค์ของเซี่ยหยู่ก็จัดว่าดีเยี่ยม ตามการคาดการณ์ของมู่เฉินถ้าเซี่ยหยู่มีเวลามากขึ้นบวกกับทรัพยากรของแคว้นเซี่ยก็มีโอกาสมากที่จะบรรลุระดับตี้จื้อจุนได้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จำเป็นที่จะต้องจัดการให้สิ้นซาก เพราะมู่เฉินไม่ต้องการถูกหมายหัวจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนในอนาคต

เมื่อพิจารณาจากเหตุผลโดยรวมแล้ว มู่เฉินก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าและทำลายล้างผู้สืบทอดบัลลังก์แคว้นเซี่ย

“แต่นี่ก็จะทำให้แคว้นเซี่ยเคียดแค้นแน่”

สายตาของมู่เฉินวูบไหว ฮ่องเต้เซี่ยเป็นผู้นำเผด็จการในทวีปเทียนหลัวและหากฮ่องเต้เซี่ยตัดสินใจที่จะเคลื่อนไหวก็จะเป็นหายนะสำหรับมู่เฉินแน่นอน แต่โชคดีที่เขามีมั่นถัวหลัวคอยสนับสนุนจึงไม่มีอะไรต้องกลัว

“ดูเหมือนว่าจำเป็นอย่างยิ่งแล้วที่จะต้องช่วยมั่นถัวหลัวค้นหาร่างหลัก”

มู่เฉินเบ้ปาก ฮ่องเต้เซี่ยเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายที่ครอบครองอาวุมหสวรรค์ขั้นกลาง ดังนั้นความแข็งแกร่งในการต่อสู้จึงถือได้ว่าไม่ธรรมดาของในหมู่จอมยุทธ์ระดับนี้ แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ไม่มั่นใจว่าจะชนะ ไม่ต้องพูดถึงว่ามั่นถัวหลัวยังมีศัตรูคู่แค้นที่ต้องรับมืออย่างเจ้าตำหนักเทพปีศาจ

ดังนั้นเพื่อเป็นการรับประกันตัวเอง เขาต้องช่วยมั่นถัวหลัวหาร่างให้พบ เมื่อนางหลอมรวมกับร่างหลักความแข็งแกร่งก็จะเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ในเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้เซี่ย เนื่องจากความแข็งแกร่งของมั่นถัวหลัวจะติดอันดับต้นๆ ในทวีปเทียนหลัวอีกด้วย

แม้ว่าเขาและมั่นถัวหลัวจะเป็นเพื่อนกัน แต่เขาก็ไม่สามารถให้นางสะสางเรื่องยุ่งเหยิงของเขาอยู่ตลอด เขาต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อนางด้วยเช่นกัน

ดังนั้นเขาต้องทำภารกิจค้นหาร่างหลักของมั่นถัวหลัวให้สำเร็จ

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาเงยหน้าขึ้นมองตราหยกดำที่ลอยอยู่ในอากาศ นี่คือตราราชันไศลนทีที่เซี่ยหยู่ใช้ก่อนหน้านี้

มู่เฉินยื่นมือออกมาหยิบ เขาให้ความสนใจอย่างมากกับวัตถุที่สามารถแยกร่างเทห์สวรรค์ออกจากผู้ฝึกได้ คราวนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเขาใช้หมัดปีศาจพลีชีพได้อย่างสมบูรณ์ เขาอาจต้องนำพัดเทพสายลมออกมาเพื่อรับมือ

มู่เฉินจับตราหยกดำก็สัมผัสบางอย่างได้วูบหนึ่งก่อนที่คิ้วจะขมวด นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักว่าคลื่นหลิงที่อยู่ในนั้นหมดลงอย่างสมบูรณ์จากการต่อสู้กระบวนท่าสุดท้าย หากเขาต้องการใช้อีกครั้งก็ต้องใช้เวลาอย่างมากในการเทพลังงานเข้าไป

โยนตราขึ้นลงในมือมู่เฉินก็เก็บเอาไว้ แม้ว่าคลื่นหลิงในนั้นจะหมดลงอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ยังคงเป็นวัตถุพิเศษและอาจมีประโยชน์หากเก็บไว้

มู่เฉินโบกมือป้ายมังกรทองคำก็ปรากฏขึ้น นี่เป็นของเซี่ยหยู่

มู่เฉินตบแผ่นโลหะเบาๆ ก็เห็นก้อนแสงลอยขึ้นตรงหน้า นี่ก็คือจิตทะเลสาบสวรรค์

ซึ่งมีจำนวนแปดดวงเลยทีเดียว

เห็นชัดว่านั่นคือการเก็บเกี่ยวของเซี่ยหยู่

“ประสิทธิภาพของเจ้านี่ดีทีเดียว…” มู่เฉินมองไปที่ก้อนอัญมณีทั้งแปดก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เขาวางกับดักหนักหนาอยู่ที่นี่ก็ได้มาเพียงสิบสามดวง ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรจากเซี่ยหยู่มากนัก

อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อมู่เฉินในที่สุด

ดังนั้นมู่เฉินจึงเก็บก้อนจิตทั้งแปดดวงไว้โดยไม่ลังเล ภายใต้สายตาโลภมากของทุกคน ด้วยวิธีนี้เขาจะมีจิตทะเลสาบสวรรค์ยี่สิบเอ็ดดวง ตราบใดที่เขารับได้อีกเก้าดวงก็จะถึงข้อกำหนดขั้นต่ำสำหรับการชำระล้าง

หลังจากเก็บดอกผล มู่เฉินก็กวาดสายตาไปในระยะไกล เมื่อระลอกการต่อสู้กระจายออกไปเขาก็สัมผัสได้ว่ามีบางคนคืบคลานเข้ามา

คนเหล่านั้นมองไปที่มู่เฉินด้วยความโลภในสายตา

แม้ว่ามู่เฉินจะได้รับชัยชนะจากการต่อสู้นี้ แต่แน่นอนว่าก็ต้องเหนื่อยมากเช่นกัน ร่างเทพสุริยะที่อยู่ใต้เท้าถูกเรียกคืนเพื่อรักษาพลังงาน แต่จากระลอกคลื่นหลิงที่มาจากมู่เฉินก็บอกว่าเขาอ่อนแอกว่าเมื่อก่อนมาก

จอมยุทธ์เหล่านั้นรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าของมู่เฉินจึงอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปใกล้ด้วยความหวังว่าพวกเขาจะมีโอกาสได้รับประโยชน์หรือไม่ ท้ายที่สุดแล้วตราราชันไศลนทีและจิตทะเลสาบสวรรค์ที่มู่เฉินได้รับก็ดึงดูดมากสำหรับพวกเขา

เผชิญกับเหล่าคนโลภ มู่เฉินก็ปรายตาอย่างเย็นชาก่อนที่จะถอยกลับเข้าไปในปราการค่ายกล

หลังจากเข้าสู่ค่ายกลมู่เฉินก็สะบัดนิ้ว ค่ายกลเก้าเทพมังกรเทพประหารซึ่งเป็นชั้นนอกก็เริ่มเคลื่อนไหว ทันใดนั้นคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกพร้อมกับแรงกดดันทรงพลังแผ่ออกมา

คนที่พยายามเข้าใกล้ก็รู้สึกได้ว่าค่ายกลน่ากลัวเพียงใด ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ พวกเขารู้สึกถึงอันตรายที่มาขากขบวนแถวแสงเหล่านี้

“มู่เฉินเคี้ยวไม่ง่ายจริงๆ… สามารถสร้างค่ายกลที่น่าเกรงขามเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจที่ขนาดเซี่ยหยู่ก็ยังไม่กล้าก้าวเข้าไป”

“ถ้ามู่เฉินใช้ค่ายกลในการต่อสู้ด้วย เซี่ยหยู่อาจจะแพ้เร็วกว่านี้ก็ได้”

“ลืมไปเถอะ เจ้านั่นไม่ใช่พวกแหย อย่าไปยั่วโมโหเขาเลย…”

“…”

แต่ละคนถอนหายใจก่อนที่จะถอยกลับทันที เผชิญหน้ากับมู่เฉินที่ตั้งระวังพวกเขาไม่มีโอกาสเลย

เมื่อมู่เฉินเห็นก็ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แต่นั่งลงในค่ายกล ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วไปยังสภาพพร้อมรบ

เมื่อเห็นการกระทำของเขา ทุกคนก็บ่ายหน้าจากไป เพราะพวกเขาต้องจับจิตทะเลสาบสวรรค์เช่นกัน ไม่มีใครอยากรออยู่ที่นี่ นอกจากนี้หากมู่เฉินสามารถฟื้นตัวตามมาได้ ดาวหายนะคงพุ่งใส่พวกเขาแน่

ดังนั้นในเวลาเพียงไม่กี่นาทีทั่วบริเวณก็เงียบลง น้ำในทะเลสาบกระเซ็นลบร่องรอยการต่อสู้ไปอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกันที่จุดอื่นของทะเลสาบสวรรค์

ทันทีที่เซี่ยหยู่ถูกฆ่า จู้เยี่ยนก็หรี่ตาลง ผลลัพธ์นี้ช่างเกินความคาดหมายของเขา ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไร หันกลับจากไป

เซียวเซียวมองภาพเงานั่นก็หัวเราะเบาๆ “รอให้ข้าเสร็จภารกิจแล้วจะไปเล่นกับเจ้า”

เสียงหัวเราะของนางชวนเคลิบเคลิ้ม แต่เมื่อจู้เยี่ยนได้ยินก็ต้องหดดวงตา เขารู้ว่าการขัดขวางครั้งนี้ทำให้เซียวเซียวโกรธแล้ว

“ข้าจะรอ”

แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าจากไป

“มู่เฉินเป็นอะไรที่แน่จริง…”

ซูซิงหยิงเล่นกับตะขาบแดงก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้จิ่วโยว ทว่ารอยยิ้มของนางดูเคร่งเครียดมาก นางเคยต่อสู้กับเซี่ยหยู่มาก่อนรู้ว่าอีกฝ่ายมีพลังแค่ไหน แม้ว่านางก็ยังไม่มั่นใจที่จะฆ่าเขา แต่มู่เฉินทำสำเร็จซึ่งนี่ทำให้นางรู้สึกตกใจเล็กน้อย

จิ่วโยวมองไปที่ซูชิงหยิงอย่างเย็นชา แต่ก็ไม่ใส่ใจที่จะเสวนาด้วย

“ฮ่าๆ วางใจเถอะ ข้าไม่เข้าร่วมเรื่องนี้ต่อ พวกเจ้ามีข้อได้เปรียบจากจำนวน แม้แต่ข้าก็กลัว” เมื่อเห็นการแสดงออกที่เย็นชาของจิ่วโยว ซูชิงหยิงยิ้มบางก่อนที่จะโบกมือแสงสีฟ้าอมเขียวเคลื่อนออกไป

เมื่อเห็นการจากไปนั่น จิ่วโยวก็รู้สึกโล่งใจ ซูซิงหยิงแข็งแกร่งกว่านาง แม้นางจะพอสู้ได้บ้างถ้าใช้กระบวนท่าเรียกสายลม แต่การต่อสู้ลากออกไปนางจะอยู่ในสภาพที่แย่มาก

แต่โชคดีที่มู่เฉินชนะ…

จิ่วโยวเงยหน้าขึ้นมองไปในระยะไกลพร้อมกับรอยยิ้มฉายที่มุมริมฝีปาก

จาโหลหลัวมองไปที่กระจก

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินฆ่าเซี่ยหยู่ได้อย่างไรก็โบกมือเก็บกระจกทองแดงไปก่อนพูดเบาๆ ว่า “ช่างโหดดีจริง”

แม้ว่าเขาจะมีสีหน้าสงบ แต่ก็มีระลอกคลื่นบางอย่างอยู่ในส่วนลึกของดวงตา เห็นได้ชัดว่าพลังในการต่อสู้ของมู่เฉินเกินความคาดหมายของเขา

“ถ้าเจ้าอยากสร้างปัญหากับมู่เฉิน ระวังถูกฆ่านะ” หลินจิ้งจับไข่มุกดำขณะยิ้มตาหยี

จาโหลหลัวยิ้มนิ้วทั้งสิบไขว้พันกัน “เขาและข้าจะต้องต่อสู้ แต่ข้าจะฆ่าเขาแน่นอน”

หลินจิ้งเลิกคิ้วมองจาโหลหลัว “งั้นเจ้าก็เตรียมตายด้วยได้เลย”

จาโหลหลัวขมวดคิ้วแต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร เขายักไหล่ก่อนจะหันกลับจากไป

“ก็อาจจะ…”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1149 พลังอำนาจหมัดปีศาจ
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

รัศมีสังหารไร้ขอบเขตพวยพุ่งจากร่างมู่เฉินในรูปแบบควัน ย้อมน้ำในทะเลสาบสวรรค์เป็นสีแดงเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสมรภูมิที่โหดร้าย

เมื่อผู้ชมเห็นสิ่งนี้ใบหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้ เนื่องจากพวกเขารู้สึกถึงเลือดเดือดพล่าน เจตนาฆ่าที่เพิ่มขึ้นในหัวใจ ทำให้พวกเขาสูญเสียการควบคุมเล็กน้อย

“ไอสังหารกดขี่อะไรอย่างนี้!”

เมื่อสัมผัสได้หัวใจทุกคนก็สั่นสะท้าน ก่อนที่จะถอยกันจ้าละหวั่น เพราะกลัวว่าจะถูกปนเปื้อนจากเจตนาฆ่าและสูญเสียสติไป

“มู่เฉินฝึกวิชาอะไรกัน? ทำไมไอสังหารถึงน่ากลัวขนาดนี้?!” ผู้คนมองมู่เฉินด้วยความหวาดผวาในดวงตา

“นั่นวิทยายุทธะดับเสินทง!”

มีผู้ชมดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ จากนั้นก็อดอุทานออกมาไม่ได้ มีเพียงวิทยายุทธระดับเสินทงแท้จริงเท่านั้นที่จะมีพลังซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้คน

“เขาสามารถฝึกฝนวิทยายุทธระดับเสินทงได้รึ?” มีคนรู้สึกว่านี่ช่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงจะทรงพลัง แต่ทุกคนก็รู้ดีว่ามีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนได้ ต่อให้จอมยุทธ์ธรรมดาจะได้รับไป ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝน ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นมู่เฉินใช้กระบวนท่าระดับเสินทงแบบนี้ หัวใจพวกเขาก็สั่นสะท้านด้วยความตกใจ

อันที่จริงไม่ใช่แค่ผู้ชมที่ตกใจ แม้แต่เซี่ยหยู่ก็อดมีสีหน้าเปลี่ยนไปไม่ได้เมื่อสัมผัสได้ถึงไอสังหาร สายตาที่มองไปทางมู่เฉินก็ปรากฏร่องรอยความกลัวเป็นครั้งแรก

แคว้นเซี่ยเองก็มีวิทยายุทธระดับเสินทง เขาจึงมีความรู้บางอย่างเกี่ยวกับวิชาเหล่านี้ ดังนั้นเขารู้ว่ายากเพียงใดที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าจะปล่อยกระบวนท่าได้สำเร็จ

แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เคยสำเร็จในการปล่อยกระบวนท่าเลย

“มู่เฉินมีความสามารถแท้จริง วันนี้ต้องฆ่ามันให้ได้!” เซี่ยหยู่กัดฟันพร้อมกับไอเย็นเยือกในดวงตา จิตสังหารพวยพุ่งขึ้นในใจ ความสามารถและศักยภาพที่มู่เฉินแสดงออกมาทำให้เซี่ยหยู่ตกใจกลัว ในเมื่อตอนนี้มู่เฉินก็เป็นศัตรูตัวฉกาจของแคว้นเซี่ยอยู่แล้ว ดังนั้นเขาต้องฆ่ามู่เฉินเท่านั้น เพื่อไม่ให้ได้เติบโตจนนำไปสู่หายนะ!

“ขอข้าดูหน่อยว่าวิทยายุทธระดับเสินทงของแกที่ฝืนใช้จะแน่แค่ไหน!”

เซี่ยหยู่คำราม เวลานี้เขาปิดผนึกร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินซึ่งทำให้อีกฝ่ายอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุด ต่อให้จะฝืนปล่อยกระบวนท่าได้ แต่พลังก็น่าจะมีจำกัด กลับกันตัวเขามีร่างราชันฟากฟ้าขยายความแข็งแกร่งซึ่งเพียงพอที่จะปราบปรามมู่เฉิน

คิดถึงจุดนี้ หมัดราชันก็เล็งไปที่มู่เฉินปลดปล่อยรังสีนับไม่ถ้วน ความผันผวนของการทำลายล้างกระจายออกไปอย่างต่อเนื่อง

เส้นเลือดคืบคลานขึ้นในนัยน์ตาของมู่เฉิน เขาจ้องมองหมัดราชันที่ปกคลุมตัวเขาเอาไว้ แววตาไม่มีความรู้สึกใดๆ เพราะในขณะนี้เขาได้กำจายรัศมีการเสียสละตนเองอยู่รอบตัว

ไม่ต้องพูดถึงเซี่ยหยู่ ต่อให้ที่ยืนตรงหน้าเป็นจอมยุทธ์เทียนจื้อจุน มู่เฉินก็ไม่ลังเลที่จะเสี่ยงชีวิต

หากหมัดปีศาจสละชีพไม่ได้ครอบครองรัศมีการเสียสละตัวเองใดๆ ก็จะเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยกระบวนท่าออกมาและไม่สามารถปลดปล่อยพลังได้ ดังนั้นเมื่อมู่เฉินดำเนินการสำเร็จ เขาก็พร้อมที่จะสละชีวิตของตนเองแล้ว

ในเมื่อเขาไม่มีความกลัวกับความเป็นตายแล้วมีอะไรต้องกลัวระหว่างฟ้าดิน?

ดังนั้นภายใต้การเคลื่อนไหวที่ไม่เกรงกลัวนี้ มู่เฉินก็ค่อยๆ ชกหมัดออกไป ซึ่งในวินาทีนั้นฟ้าดินในดวงตาเขาก็ได้เงียบงันลง

ริ้วไอสีดำห่อหุ้มหมัดเขา นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้ดูผิดปกติอะไร เมื่อพิจารณาจากการเคลื่อนไหวหมัดราชันของเซี่ยหยู่ดูแข็งแกร่งกว่าหลายเท่าอย่างชัดเจน

ทว่ามู่เฉินดูราวกับว่าไม่ได้สังเกตเห็น เขาเหยียดหมัดออกอย่างใจเย็นปะทะกับหมัดราชันที่ซัดลงมา

หมัดราชันมีขนาดประมาณหนึ่งพันจั้งห่อหุ้มด้วยแสงหลิง ซึ่งยังมีใบหน้าทรงเกียรติของราชัน สามารถข่มขู่จอมยุทธ์ธรรมดา จนถึงจุดที่พวกเขาสูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้

เมื่อเทียบสองหมัดนี้ หมัดของมู่เฉินมีขนาดเล็กจิ๋วยิ่งนัก

ทว่าจังหวะปะทะกันทุกคนก็มองเห็นระลอกคลื่นกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

ม่านตาของเซี่ยหยู่หดเกร็งลงทันที

นั่นเป็นเพราะเขาเห็นว่าเมื่อหมัดปะทะกัน ร่างและหมัดของมู่เฉินไม่ได้ถูกผลักออกไป คล้ายกับศิลาที่ดูมั่นคงอย่างแท้จริง

ตรงกันข้ามที่เป็นกำปั้นใหญ่โตสั่นสะเทือนรุนแรง

ความไม่หวาดหวั่นที่ไม่แม้แต่จะกลัวความตายแผ่ออกมาจากหมัดกระแทกเข้าที่หัวใจเซี่ยหยู่ ทำให้หัวใจเขาสั่นสะท้าน ใบหน้าเขียวคล้ำเมื่อมองไปที่มู่เฉิน

การแบกไว้ดังกล่าวทำให้เขาเข้าใจว่ามู่เฉินได้สละชีวิตเพื่อต่อสู้กับความเป็นตายกับเขาแล้ว

“โคตรบ้า!”

เซี่ยหยู่พึมพำ เห็นได้ชัดว่าเขาถูกข่มขู่โดยมู่เฉิน นั่นเป็นเพราะตั้งแต่แรกเขาก็ไม่มีความคิดที่จะต่อสู้กับมู่เฉินด้วยชีวิตบนเส้นทางนี้ เขาเป็นองค์รัชทายาทแคว้นเซี่ยที่มีสมบัติป้องกันหลายประเภท แล้วเขาจะโง่พอที่จะละทิ้งทุกสิ่งและวางชีวิตไว้กับมู่เฉินได้อย่างไร?

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือการมีชีวิตรอด

ด้วยความคิดนี้ทำให้เกิดความตั้งใจที่จะถอยออกมาในใจของเซี่ยหยู่ เขาไม่ต้องการสู้กับคนคลั่งแบบนี้อีกต่อไป

ทว่า… ทุกอย่างเหมือนจะสายไปสำหรับความคิดนี้

แกร็ก!

หมัดของมู่เฉินซึ่งปกคลุมไปด้วยรัศมีสีดำ ทำให้รอยแตกละเอียดปรากฏบนหมัดราชัน จากนั้นรอยแตกก็ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่กี่ลมหายใจก็ห่อหุ้มหมัดทั้งหมดไว้แล้ว

ปัง!

เมื่อรอยแตกกระจายออกไปจนสุด การโจมตีที่เค้นพลังทั้งหมดของเซี่ยหยู่ก็พังทลายลง กระจัดกระจายออกเป็นประกายแสง

ผู้ชมอ้าปากเหวอ การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเซี่ยหยู่ถูกทำลายลงอย่างง่ายดายโดยมู่เฉินอย่างนี้เลยเหรอ?

ขณะที่พวกเขาตกตะลึง เซี่ยหยู่ก็ถูกทะลวงอย่างหนักหน่วง รัศมีการเสียสละตัวเองที่ห่อหุ้มกำปั้นของมู่เฉินถูกส่งเข้าไปในส่วนลึกของหัวใจของเซี่ยหยู่ ดังนั้นไม่เพียงแต่เขาจะได้รับบาดเจ็บหนัก กระทั่งความตั้งใจในการต่อสู้ในใจก็สลายไปอย่างสมบูรณ์

อ็อก!

เลือดคำหนึ่งพ่นออกมาจากปากเซี่ยหยู่ ร่างถูกเป่ากลับ พลังงานหลิงไร้ขอบเขตที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างกายก็ลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว

การทำลายหมัดราชัน ทำให้เส้นเลือดในดวงตาของมู่เฉินหนาแน่นขึ้น เขาไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เท้าก้าวออกไปปรากฏตัวต่อหน้าเซี่ยหยู่ เล็งกำปั้นไปที่หน้าอกของเซี่ยหยู่

นี่ยังคงเป็นหมัดเรียบง่าย แต่รัศมีการเสียสละตัวเองประหนึ่งเทพความตายโอบล้อมเซี่ยหยู่ ทำให้เกิดความกลัวพล่านในดวงตาเขา

นั่นเป็นเพราะเขารู้ดีว่าถ้าโดนโจมตีครั้งนี้ เขาตายคาที่แน่นอน!

“ตราราชันไศลนี ม่านไศลนที!”

ในวินาทีความเป็นตาย เซี่ยหยู่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเร้าตราราชันไศลนทีและใช้โอกาสครั้งสุดท้ายในการเปิดใช้งาน ตราปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพร้อมกับแนวป้องกัน

ตู้ม!

หมัดมู่เฉินกระแทกเข้ากับแนวป้องกันจังใหญ่ เลือดสดกระเซ็นออกมาจากหมัดพร้อมกับผิวหนังฉีกขาด ทว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ กลับใส่พลังมากขึ้นด้วยสีหน้าไม่แยแส

ตู้ม ตู้ม!

เมื่อทะลวงแนวป้องกัน มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจสายตาจ้องมองไปที่เซี่ยหยู่ขณะฟาดหมัดเต็มเหนี่ยว

“ไอ้บ้า! ไอ้บ้า!”

เซี่ยหยู่รู้สึกหวาดกลัวกับกระบวนท่าของมู่เฉินที่ไม่สนใจกระทั่งชีวิตตัวเอง ทันใดนั้นเขาก็คำราม “มู่เฉิน เจ้าโหดจริงๆ ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้! ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้!”

แม้ว่ามู่เฉินจะใช้วิทยายุทธระดับเสินทง แต่ก็จะตกอยู่ในสถานะอ่อนแอหลังจากนั้น ในเวลานั้นเซี่ยหยู่ค่อยย้อนกลับมาฆ่าได้

ตู้ม ตู้ม!

ทว่าสิ่งที่เกินความคาดหมายของเซี่ยหยู่ก็คือ ต่อให้เขายอมรับความพ่ายแพ้ ใบหน้าของมู่เฉินก็ไม่มีการแสดงออกใดๆ มู่เฉินยังคงกำหมัดแน่น แม้ว่าหมัดจะเต็มไปด้วยบาดแผล

ในที่สุดเซี่ยหยู่ก็รู้สึกกลัวเมื่อเห็นภาพนี้

ปัง!

เผชิญหน้ากับหมัดที่น่ากลัวของมู่เฉิน ในที่สุดตราราชันไศลนทีก็ไม่สามารถรับผลกระทบ แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

อ็อก!

เมื่อม่านพลังพังลง เซี่ยหยู่ก็กระอักเลือดออกมาด้วยสีหน้าซีดเซียว ก่อนที่จะมองด้วยความกลัวขณะมู่เฉินยกกำปั้นขึ้นราวกับหมัดยมทูต

“มู่เฉิน ถ้าแกกล้าฆ่าข้า ท่านพ่อข้าไม่มีวันปล่อยแกไปแน่! ถึงเวลานั้นแคว้นเซี่ยจะทำให้แกจ่ายราคากระอักแน่!” เซี่ยหยู่คำราม

เมื่อได้ยินเสียงคำรามของเซี่ยหยู่ หมัดของมู่เฉินก็หยุดลงจังหวะหนึ่ง

นี่ทำให้เซี่ยหยู่ดีใจกับภาพนี้ แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นบ้า แต่ก็ยังรู้เกี่ยวกับผลของการละเมิดฮ่องเต้เซี่ย

ทว่าขณะที่เขากำลังยินดีเตรียมที่จะล่าถอย ดวงตาแดงก่ำของมู่เฉินก็มองมาเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยอยู่ภายใน

“แกพูดเหมือนว่าแคว้นเซี่ยจะไม่ตามล่าข้า แม้ว่าข้าจะปล่อยแกไป…”

มู่เฉินยิ้มอ่อน เมื่อการต่อสู้ดำเนินมาไกลจนถึงขั้นขนาดนี้ ฮ่องเต้เซี่ยไม่มีทางยอมปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทำไมเขาถึงต้องผ่อนปรน?

ตู้ม!

ด้วยการแสดงออกที่ไม่แยแสมู่เฉินก็ชกหมัดออกไปอีกครั้ง

ใบหน้าของเซี่ยหยู่เต็มไปด้วยความกลัว คลื่นหลิงพุ่งขึ้นในร่างกายต้องการที่จะถอยหนีพร้อมกับนำมาตรการป้องกันทั้งหมดออกมา

ปัง!

ทว่าหมัดของมู่เฉินก็ทะลวงผ่านมิติอย่างรวดเร็ว กระแทกลงบนหัวของเซี่ยหยู่ แสงสีดำระเบิดขึ้นทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับแก้ว

สะเก็ดมิติกระจัดกระจายพร้อมกับใบหน้าฉายความหวาดผวาและตกใจของเซี่ยหยู่…

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1148 ตราราชันไศลนที
ตึง!

คลื่นกระแทกรุนแรงกวาดหายนะในทะเลสาบสวรรค์ คลื่นทุกลูกทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดถึงกับหนังหัวชาหนึบ พวกเขารู้ว่าหากถูกกระบวนท่านี้เข้าคงตายคาที่แน่ แม้ว่าจะใช้ทุกทักษะที่มีออกมาก็ตาม

ดังนั้นสามารถเห็นได้ว่ามู่เฉินน่ากลัวเพียงใด แม้ว่าจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นก็ตาม

หลายคนทอดถอนหายใจในใจขณะที่มองไปที่สมรภูมิดุเดือด ขณะนี้มีร่างเทห์สวรรค์ใหญ่โตสองร่างที่เอิบอาบคลื่นทรงพลังพร้อมกับการโจมตีด้วยคลื่นหลิงจำนวนมากซัดไปหาอีกฝ่าย

การโจมตีเหล่านั้นทำให้โลกสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น พลังงานหลิงที่มีก็หมดลงมาก ตอนแรกเมื่อเซี่ยหยู่เห็นว่าไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินได้อย่างรวดเร็ว เขาก็เลิกใช้ความเร็วและเลือกที่จะทำให้คู่ต่อสู้หมดแรง

เพราะเขาอยู่ในขั้นเก้าระยะเต็มแล้วโดยอยู่ห่างจากระดับตี้จื้อจุนเพียงก้าวเดียว ในแง่ของความหนาแน่นพลังงานหลิงของเขาเข้มข้นกว่ามู่เฉิน

ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเขาเชื่อว่าจะสามารถทำให้มู่เฉินหมดแรงได้

ทว่าความคิดมักดีเสมอ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ค่อยๆ ตระหนักว่าร่างเทพสุริยะที่อยู่ใต้เท้าของมู่เฉินยังคงเปล่งประกายแวววาว

พลังงานของอีกฝ่ายดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดและเทียบได้กับเขาเลยทีเดียว

“เป็นไปได้ยังไง?!”

ใบหน้าของเซี่ยหยู่เขียวคล้ำ เขาไม่รู้ว่าหลังจากรวมกับเพลิงอมตะคลื่นหลิงของมู่เฉินก็มีลักษณะไม่มีวันหมดสิ้น ดังนั้นความยากลำบากในการทำให้มู่เฉินเหนื่อยล้าเกินจินตนาการของเซี่ยหยู่ไปไกล

“ร่างเทห์สวรรค์ของมันทรงพลังมากเกินไปบวกกับพลังกายก็น่ากลัวยิ่งกว่า ถ้าต้องการฆ่ามัน ก็ต้องแยกมันออกจากร่างเทห์สววรค์แล้วจัดการทันที!”

แต่เซี่ยหยู่ก็ไม่ใช่ธรรมดา เขายังหาทางได้แม้แต่ในเวลานี้ หนึ่งในเหตุผลหลักที่มู่เฉินสามารถต่อสู้กับเขาได้ก็เนื่องมาจากร่างเทพสุริยะลึกลับ

ตราบใดที่เขาสามารถแยกมู่เฉินออกจากร่างเทพสุริยะได้ เซี่ยหยู่เชื่อว่าจะสามารถฆ่ามู่เฉินได้ไม่ยาก

แต่เขาจะต้องใช้วิธีการบางอย่างเพื่อแยกมู่เฉินออกจากร่างเทห์สวรรค์ ซึ่งนี่ทำให้เขาลังเล ตอนแรกเขาเตรียมใช้ทักษะนี้กับจาโหลหลัว ถ้าเขาใช้ตอนนี้อนาคตก็จะถูกจาโหลหลัวตั้งระวังไว้

ความลังเลเกิดขึ้นชั่วครู่ก่อนที่เซี่ยหยู่จะปัดออกไปอย่างเด็ดขาด ตราบใดที่เขาสามารถจับมู่เฉินและได้รับร่างเทห์สวรรค์นี้ การเก็บเกี่ยวก็จะคุ้มค่า

ฮา

ด้วยการตัดสินใจนี้ เซี่ยหยู่มองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนพองสยองเกล้าก่อนที่เขาจะกัดลิ้นพ่นเลือดออกมาพร้อมกับแสงสีดำเปล่งออกมาจากเลือด

แสงสีดำสนิทขยายตัวอย่างรวดเร็ว ตราหยกสีดำที่มีภูเขาและแม่น้ำสลักอยู่กำลังเปล่งความหนักหน่วงอันทรงพลังจนแม้แต่มิติก็พังทลาย

“นั่นคือ…สมบัติล้ำค่าของแคว้นเซี่ยตราราชันไศลนที?” เมื่อผู้ชมเห็นตราหยกดำนั้น ใบหน้าของพวกเขาก็ฉาบด้วยความตกใจขณะอุทาน

“เป็นไปได้ยังไง?! ตราราชันไศลนทีเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลางที่สามารถควบคุมได้โดยจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนเท่านั้น นอกจากนี้นั่นก็เป็นสมบัติของฮ่องเต้เซี่ยทำไมเขาถึงมอบให้เซี่ยหยู่? ถ้าเซี่ยหยู่สูญเสียไปละก็จะเป็นผลกระทบใหญ่ต่อขุมกำลังของแคว้นเซี่ยเลยนะ!”

“นั่นไม่ใช่ตราราชันไศลนทีของจริง! น่าจะเป็นแบบจำลองที่ชำระโดยฮ่องเต้เซี่ย แม้ว่าการใช้งานจะจำกัด แต่ความสามารถก็เทียบได้กับอาวุธมหสรรค์ขั้นต่ำ!” มีสายตาแหลมคมบางคู่แยกแยะออกมาได้

“แม้ว่าจะเป็นของจำลอง แต่ความสามารถก็ยังน่ากลัว ดูเหมือนว่าเซี่ยหยู่ตัดสินใจฆ่ามู่เฉิน ถึงเอาไม้ตายนี้ออกมา!” มีคนถอนหายใจ เซี่ยหยู่ซ่อนสิ่งนี้ไว้ลึกมาก แต่ตอนนี้เขาถูกบังคับให้นำออกมา

เมื่อความวุ่นวายระเบิดขึ้น มู่เฉินก็มองไปที่ตราหยกดำก่อนที่จะหดดวงตา ที่แท้นั่นก็คือสมบัติประจำแคว้นเซี่ย แบบจำลองของตราราชันไศลนทีหรอ?

ดูเหมือนว่าเซี่ยหยู่ก็มีไม้ตายอยู่ในมือ!

“แกน่าจะภูมิใจที่บังคับให้ข้ามาไกลขนาดนี้!” เซี่ยหยู่มองไปที่มู่เฉินอย่างมืดมน จากนั้นเขาก็วาดตราประทับขึ้นก่อนที่ตราหยกดำจะสั่นเบาๆ ภาพสลักบนตราหยกราวกับกลายเป็นภาพเหมือนจริง

“ตราราชันไศลนที ม่านไศลนที!”

เซี่ยหยู่สะบัดนิ้วบนตราหยกเสียงก็ดังกระหึ่มออกมา จากนั้นทุกคนก็เห็นภาพเหมือนพุ่งออกไปเป็นแนวกั้นกดลงมาจากท้องฟ้า ห่อหุ้มร่างเทพสุริยะไว้

เมื่อม่านล้อมรอบตัว มู่เฉินก็สามารถรู้สึกได้ว่าการเชื่อมโยงของเขากับร่างเทพสุริยะถูกตัดขาดจากกัน

ดังนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตที่ปล่อยออกมาจากมู่เฉินจึงอ่อนแอลงอย่างมาก

สายตาของมู่เฉินกลายเป็นเคร่งเครียด ม่านนี้แปลกเกินไป กระทั่งตั้งระวังไว้ แต่ม่านก็ยังคลี่ผ่านแนวป้องกันของเขา ห่อหุ้มร่างเทพสุริยะได้

“อาวุธมหสวรรค์ที่มุ่งเป้าไปที่ร่างเทห์สวรรค์โดยเฉพาะเรอะ?” มู่เฉินตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอาวุธประเภทนี้ ดังนั้นเขาจึงสามารถบอกได้ว่าตราราชันไศลนทีทรงพลังเพียงใด หากสามารถปิดผนึกร่างเทห์สวรรค์ของอีกฝ่ายตอนสู้กัน นั่นเท่ากับว่าจะอยู่ยงคงกระพันในสมรภูมนี้

มิน่าล่ะชื่อเสียงของฮ่องเต้เซี่ยในทวีปทวีปเทียนหลัวถึงได้โด่งดังมาก ที่แท้ก็เพราะมีอาวุธมหสวรรค์ที่ทรงพลังเช่นนี้… แม้แต่แบบจำลองก็มีพลังมาก ดังนั้นจึงยากที่จะจินตนาการได้ว่าตราของแท้จะทรงพลังเพียงใด

“มู่เฉินสายไปที่จะเสียใจ!” เซี่ยหยู่มองสีหน้าของมู่เฉินที่เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มประหลาด ตอนนี้มู่เฉินไม่สามารถหลบจากเงื้อมมือของเขาได้อีกต่อไป

สายตาของมู่เฉินวูบไหว แม้ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไป แต่ในใจเขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนกมากเกินไป ตราราชันไศลนทีทรงพลังอย่างแท้จริง แต่ตัวเขาก็มีพัดเทพสายลมเหมือนกัน ถ้าเขานำพัดออกมาก็จะสามารถลบม่านนี้ลงได้

ทว่ามู่เฉินไม่คิดจะใช้เนื่องจากเก็บไว้เป็นไม้เด็ด เขาไม่ต้องการนำออกมาที่นี่ เพราะจะเก็บไว้ใช้กับจาโหลหลัว

ตู้ม!

ขณะที่ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจมู่เฉิน เซี่ยหยู่ก็ไม่ลังเลกระทืบเท้าลงไป ร่างราชันฟากฟ้าที่อยู่ใต้เท้าระเบิดออกมาพร้อมกับแสงหลิงนับไม่ถ้วน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ขยายขนาดดูราวกับเหมือนยักษ์ขนาดเล็ก นอกจากนี้พื้นผิวร่างกายยังปกคลุมไปด้วยลวดลาย ความผันผวนที่น่ากลัวกระเพื่อมออกมา

แกร็ก

เซี่ยหยู่ค่อยๆ กำหมัดแน่น เสียงแตกเสียดแก้วหู เมื่อมองไปที่มู่เฉินรอยยิ้มน่ากลัวก็ปรากฏบนใบหน้า มู่เฉินสูญเสียการสนับสนุนจากร่างเทห์สวรรค์ ส่วนเขาสามารถพึ่งพาร่างราชันฟากฟ้าได้ ดังนั้นทั้งคู่ไม่อยู่ในระดับเดียวกันอีกต่อไป

ผลลัพธ์ถูกกำหนดแล้ว

ปัง!

เซี่ยหยู่ยิ้มและพุ่งออกมาเป็นริ้วแสง ยิงตรงไปที่มู่เฉิน ภาพซ้อนปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดคลื่นเสียงเจาะแก้วหู

“หมัดราชัน!”

เซี่ยหยู่คำรามขณะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมา ขณะนี้เขาคล้ายกับดวงอาทิตย์เอิบอาบด้วยแรงกดดันคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัว ใบหน้าทรงเกียรติปรากฏบนดวงอาทิตย์ประหนึ่งจักรพรรดิ

ความกดดันที่น่ากลัวห่อหุ้มลงมา ทำให้มู่เฉินรู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วร่างกาย จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนอยู่บนพื้นผิวร่างกายส่งเสียงคำรามออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกมันสัมผัสได้ถึงอันตรายเช่นกัน

ถ้ามู่เฉินถูกกระบวนท่านี้ซัด แม้จะมีพลังกายแข็งแกร่งก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส

ทุกคนถอนหายใจ พวกเขาทั้งหมดคิดว่ามู่เฉินคงจะจบชีวิตที่นี่แล้ว

หมัดราชันขยายออกไปอย่างรวดเร็วในดวงตาของมู่เฉิน ไอความตายทำให้ม่านตาของมู่เฉินหดลง แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือมู่เฉินไม่ได้ถอยหนี ตรงกันข้ามเขายังยืนมั่นอยู่ในตำแหน่งเดิม

“กลัวจนขาแข็งเลยเรอะ!” รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากเซี่ยหยู่

มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจ เขารู้สึกได้ถึงไอความตายก่อนที่จะหลับตาลงท่ามกลางสายตาหวาดผวานับไม่ถ้วนราวกับว่ายอมแพ้

“เขายอมแพ้แล้ว” หลายคนถอนหายใจ หลังจากสูญเสียร่างเทห์สวรรค์ก็ชัดที่มู่เฉินจะรู้ตัวว่าไม่สามารถต่อสู้กับเซี่ยหยู่ได้

ทว่าขณะที่ทุกคนมีความคิดเช่นนั้น จังหวะนั้นมู่เฉินก็ลืมตาโพลง เส้นเลือดพล่านไปทั่วม่านตา

รัศมีการสังหารที่ไม่อาจจินตนาการได้รวมตัวกันรุนแรงภายในร่างกายของมู่เฉิน

เขารู้สึกได้ถึงไอความตายอีกครั้งจากหมัดของเซี่ยหยู่

หากเขาต้องการฝ่าสถานการณ์นี้ เขาก็ต้องต่อสู้เพื่อชีวิตของตนเท่านั้น!

มู่เฉินค่อยๆ กำหมัดแน่น รัศมีการสังหารรุนแรงพุ่งออกมา ยามนี้แม้แต่ทะเลสาบสวรรค์ก็ดูเหมือนว่าถูกย้อมด้วยรัศมีสังหาร

มู่เฉินยกกำปั้นขึ้นก่อนที่จะค่อยๆ ชกออกไป

ทว่าเมื่อหมัดที่ดูธรรมดาเหวี่ยงออกไป น้ำในทะเลสาบก็ระเบิดขึ้นกะทันหัน

รัศมีการเสียสละตัวเองกลายเป็นปีศาจทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

สังเวยร่างกายปีศาจของข้า ทำลายอดีตและปัจจุบัน!

หมัดปีศาจพลีชีพ!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1147 การต่อสู้ที่รุนแรง
ตู้ม! ตู้ม!

น้ำในทะเลสาบสวรรค์ไหลย้อนกลับ ผนึกอมตะราชันนับไม่ถ้วนระดมยิงย้อนกลับไปหาเซี่ยหยู่

“ไอ้เวร!”

เมื่อมองการโจมตีที่ย้อนกลับมา เซี่ยหยู่ก็อดไม่ได้ที่จะสบถ เขากัดฟันกรอดด้วยไม่คาดคิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะรับการโจมตีของเขาได้ง่ายขนาดนี้

และการเผชิญกับผนึกอมตะราชันที่พุ่งกลับมา แม้แต่เซี่ยหยู่ก็ยังไม่กล้าที่ดูถูกพลังของตนเอง เพราะเขารู้ชัดเจนว่าหากตราเหล่านั้นโจมตีเข้าใส่ กระทั่งเขาเองก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับ

“โฮก!”

ดังนั้นเขาจึงกระทืบเท้า ร่างราชันฟากฟ้าอ้าปากกว้างแผดเสียงคำราม คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระเพื่อมไหวออกมา

“เสียงคำรามราชัน!”

คลื่นกระแทกที่รุนแรงทำให้รอยแตกนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในมิติ ตราศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นก็พังทลายลงเมื่อสัมผัสกับคลื่นกระแทก

ปัง ปัง ปัง!

ในเวลาไม่กี่อึดใจผนึกอมตะราชันก็ถูกลบออกทั้งหมด น้ำในทะเลสาบรอบๆ ก็เต็มไปด้วยหลุมน้ำที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับสู่สภาพเดิม

เมื่อผู้ชมเห็นพลังทำลายล้างเช่นนี้ ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ความแข็งแกร่งที่เซี่ยหยู่แสดงออกมานั้นไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มทั่วไปสามารถเทียบเคียงได้

“ร่างเทห์สวรรค์ที่แกฝึกฝนมีต้นกำเนิดเดียวกันกับของจาโหลหลัวจริงด้วย!” เซี่ยหยู่มองไปที่มู่เฉินอย่างมืดมน เขาสามารถยืนยันได้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินเหมือนกับของจาโหลหลัวจากการแลกกระบวนท่ากันเมื่อครู่

เนื่องจากมีดวงตะวันทรงกลดและพลังที่เหมือนกัน

ทว่าร่างเทห์สวรรค์ของจาโหลหลัวมืดมนคล้ายกับหลุมดำลึกและไม่อาจหยั่งรู้ได้ ขณะที่ของมู่เฉินสว่างไสวและยิ่งใหญ่ราวกับดวงอาทิตย์

ใบหน้าของมู่เฉินสงบเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เซี่ยหยู่เคยปะทะกับจาโหลหลัวมาแน่นอนแล้ว ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่เขาจะเคยเห็นร่างเทห์สวรรค์ของจาโหลหลัว

“ส่งวิธีฝึกร่างเทห์สวรรค์ลึกลับของเจ้ามา ไม่เพียงแต่ข้าจะเสนอราคาที่น่าพอใจให้ นอกจากนี้แกยังได้ชื่อว่ามิตรกับแคว้นเซี่ยของข้าอีกด้วย” เซี่ยหยู่มองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาลุกโชน ในอดีตสาเหตุที่เขาพ่ายแพ้จาโหลหลัว เนื่องมาจากร่างเทห์สวรรค์ลึกลับที่อีกฝ่ายได้รับการฝึกฝนซึ่งครอบงำมากกว่าของเขา จากการคาดการณ์ของเขาพลังของร่างลึกลับนี้น่าจะเข้าสู่สามสิบอันดับแรก!

นั่นคือการจัดอันดับที่น่ากลัวแม้แต่ในแคว้นเซี่ยร่างเทห์สวรรค์ที่ทรงพลังที่สุดก็เป็นร่างเทพราชันของบิดาเขาที่อยู่ในอันดับสี่สิบเท่านั้น

หากเขาสามารถได้รับทักษะฝึกฝนร่างลึกลับของมู่เฉิน เขาก็มั่นใจที่จะผงาดเหนือกว่าจาโหลหลัวและแม้แต่จู้เยี่ยน ก้าวขึ้นเป็นเจ้าทำเทียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัว

ยิ่งไปกว่านั้นช่วงเวลาที่เขาข้ามเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน พลังของร่างเทห์สวรรค์ก็จะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างแท้จริง ยิ่งร่างเทห์สวรรค์มีอำนาจมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น

ดังนั้นเขาต้องได้รับร่างลึกลับนี้มาให้ได้!

“เอายังไง? ไม่ว่าจะราคาเท่าไรแคว้นเซี่ยของข้าก็ยินดีจ่าย!” เซี่ยหยู่จับจ้องไปที่มู่เฉิน

ทว่าเผชิญหน้ากับแววโลภมากของเซี่ยหยู่ มู่เฉินก็ไม่พูดอะไร เขากระทืบเท้าโดยไม่แสดงออกใดๆ รัศมีสีทองลอยอยู่บนฝ่ามือของร่างเทพสุริยะ ก่อร่างเป็นคทาสีทองขนาดใหญ่ในพริบตา

“เปิดเจ็ดตะวัน คทาขวางฟ้า!”

นิ้วของมู่เฉินชี้ออกไป คทาทะลุผ่านมิติราวกับพายุทองคำพุ่งเข้าหาร่างราชันฟากฟ้า

ชัดเจนว่านี่คือคำตอบของเขา

“ไอ้สามหาว! ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าจะซัดแกให้เดี้ยงก่อนแล้วก็เอาทักษะลึกลับของแกมา!” เมื่อเซี่ยหยู่เห็นฉากนี้ใบหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นดุร้ายทันที

ตู้ม!

เขาวาดตราประทับด้วยมือทั้งสองข้าง จุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นข้างหลังพร้อมกับพลังงานไร้ขอบเขตพุ่งเข้าสู่ร่างราชันฟากฟ้า

“ทักษะเทห์สวรรค์ คทาราชัน!”

คลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกพร้อมกับลำแสงนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากร่างราชันฟากฟ้ากลายเป็นคทาเปล่งประกายแวววาวไม่มีที่สิ้นสุด

ทะเลสาบสวรรค์แหวกออกจากกันเมื่อกระบวนท่าโจมตีครั้งใหญ่สองสายปะทะกัน

ครืน! ครืน!

ทันใดนั้นเสียงราวกับฟ้าฟาดก็โหมกระหน่ำไม่รู้จบ คลื่นหลิงรุนแรงพัดออกมาทำให้เกิดคลื่นขนาดหมื่นจั้งในทะเลสาบสวรรค์โดยรอบ

เมื่อผู้ชมเห็นกระบวนท่าฟาดฟันดุร้าย พวกเขาก็อึ้งไปด้วยความตกตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาตระหนักว่าร่างเทห์สวรรค์ที่อยู่ใต้เท้าของมู่เฉินยังคงพราวไปด้วยประกายสีทองโดยไม่จางลงแม้แต่น้อย

“มู่เฉินสามารถสู้กับเซี่ยหยู่ถึงขั้นนี้ได้หรือเนี่ย?!” มีคนอดอุทานออกมาไม่ได้ เพราะตอนนี้เซี่ยหยู่ได้ดึงพลังทั้งหมดออกมารวมทั้งทักษะเทห์สวรรค์ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้เปรียบอย่างชัดเจน

“ร่างเทห์สวรรค์ร่างนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน!” มีคนสายตาเฉียบแหลมสามารถบอกได้เหตุผลสำคัญที่มู่เฉินสามารถต่อสู้กับเซี่ยหยู่ถึงระดับนี้ได้ด้วยพลังระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้น ก็เพราะร่างเทห์สวรรค์ลึกลับของเขา

“ถ้าการต่อสู้ยังดำเนินต่อไปและเซี่ยหยู่ไม่มีกระบวนท่าอื่นๆ อีก เขาก็คงทำอะไรมู่เฉินไม่ได้แล้วจริงๆ…” ใครบางคนถอนหายใจขณะที่มองมู่เฉินด้วยสายตาตกตะลึง เนื่องจากการที่สามารถต่อสู้กับเซี่ยหยู่ได้อย่างทัดเทียมด้วยพลังระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้น บ่งบอกว่ามู่เฉินทรงพลังเพียงใด

“หลังจากการต่อสู้นี้อันดับห้าบนทำเนียบจะเป็นของมู่เฉินแน่นอน”

ขณะที่มู่เฉินและเซี่ยหยู่ต่อสู้กัน

ลำแสงสีทองก็พุ่งทะยานออกมาจากระยะไกล

จาโหลหลัวยืนบนเรือมังกรทองคำโดยสองมือไพล่หลัง กระจกทองแดงลอยคว้างอยู่ แสงหลิงวูบไหวบนกระจกซึ่งแสดงให้เห็นภาพการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและเซี่ยหยู่

“ร่างเทพสุริยะที่มันฝึกฝนแตกต่างจากของข้า ดูเหมือนว่าร่างนั่นมีความลึกซึ้งอย่างแท้จริง ต่อให้การฝึกคล้ายกันแต่ก็ชำระร่างเทห์สวรรค์ที่แตกต่างกัน” จาโหลหลัวมองไปที่ร่างเทพสุริยะในกระจกขณะที่สายตาวูบไหว

“ดูเหมือนเซี่ยหยู่จะต้องใช้เวลาสักพักเพื่อจัดการกับมู่เฉิน เมื่อคลื่นหลิงของเจ้านั่นหมดลงอย่างสมบูรณ์ ข้าก็จะเคลื่อนไหวฆ่ามันได้” จาโหลหลัวยิ้มบาง เขาไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้กับมู่เฉินอย่างยุติธรรมและปะทะกันตรงๆ เขาคิดจะฆ่ามู่เฉินในขณะที่อีกฝ่ายอ่อนแอ

จาโหลหลัวไม่สนใจสำหรับคนนอกจะมองว่าเขาชนะการต่อสู้แบบไร้ศักดิ์ศรี! ในโลกนี้คนที่ยืนหยัดสุดท้ายเท่านั้นที่จะชนะ!

เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นในใจ จาโหลหลัวก็ควบคุมเรือมังกรทองคำเตรียมเข้าสู่สนามรบก่อนที่เซี่ยหยู่จะสังหารมู่เฉิน

ฟิ้ว!

ทว่าสายตาของจาโหลหลัวก็ต้องหดเกร็งทันที สองนิ้วแตะออกไปบนมิติที่ท้องฟ้าเบื้องหน้าขณะที่กระบี่ยาวที่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายเย็นเยือกอย่างน่ากลัว ฉีกท้องฟ้าเข้ามา

เคร้ง!

ดัชนีปะทะกับกระบี่ยาว ทำให้กระบี่แตกเป็นน้ำแข็งชิ้นเล็กชิ้นน้อย ในเวลาเดียวกันภาพเงาก็ปรากฏขึ้นในอากาศอย่างลึกลับ

“หุ่นเงา?” จาโหลหลัวมองไปที่ร่างนั้นพร้อมกับขมวดคิ้ว ก่อนที่จะมองไปยังระยะไกล มีคนคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนเรือมังกรทองคำแล้วพุ่งมาเบื้องหน้าเขาในช่วงสั้นๆ

เมื่อเห็นการมาถึงของคนผู้นี้ คิ้วของจาโหลหลัวก็เลิกขึ้น เนื่องจากเขาพบว่านางก็คือหญิงสาวลึกลับที่อยู่ข้างมู่เฉิน—หลินจิ้ง

“เฮ้ ทำตัวดีๆ หน่อย ไปหาจิตทะเลสาบสวรรค์โน้นไป อย่าวิ่งวุ่นวาย” หลินจิ้งโยนไข่มุกดำที่ปกคลุมไปด้วยอักขระโบราณในมือ ขณะมองไปที่จาโหลหลัวและพูดขึ้น

จาโหลหลัวหรี่ตามองไปที่หลินจิ้ง ก่อนจะหยุดสายตาจ้องไข่มุกดำแล้วม่านตาหดเกร็ง

นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่มาจากไข่มุกนั่น

ไข่มุกชิ้นนี้เป็นอาวุธมหสวรรค์?! ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? ทำไมนางถึงมีของล้ำค่าเช่นนี้เหมือนเป็นของธรรมดาได้?!

สายตาจาโหลหลัววูบไหว จากนั้นก็หยุดการควบคุมเรือพลางยิ้ม “แม้ว่าเจ้าจะหยุดข้าได้ มันก็ตายอยู่ดี”

เซี่ยหยู่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จัดการได้ง่าย แม้จะมีร่างเทพสุริยะมู่เฉินก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

ทว่าเมื่อหลินจิ้งได้ยิน นางก็ยิ้มอ่อน “งั้นเรามาพนันกันหน่อยไหมล่ะ?”

“ฮ่าๆ”

จาโหลหลัวยิ้มแต่ไม่ตอบ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจจะวางเดิมพัน แต่เขาก็หยุดเคลื่อนไหวลงแล้วเนื่องจากเขารู้ว่าต่อให้เขาฝ่าการขัดขวางของหลินจิ้งไปได้ สมรภูมิตรงนั้นก็จบลงแล้ว

“แม้ว่าเจ้าจะขัดขวางข้า แต่ก็ไม่มีใครช่วยเขาได้… เซี่ยหยู่เชิญคนมาช่วยก่อนหน้านี้” จาโหลหลัวเงยหน้าขึ้นมองระยะไกลด้วยความหมายลึกซึ้ง

เวลาเดียวกันอีกสองจุดในทะเลสาบสวรรค์

จู้เยี่ยนก็ปรากฏตัวต่อหน้าเซียวเซียว แต่ไม่ได้ขยับ เขาเพียงแค่หยุดเซียวเซียวไม่ให้ไปยังทิศทางของมู่เฉิน

อีกจุดหนึ่งใบหน้าของจิ่วโยวเย็นชาลงขณะมองไปที่ซูชิงหยิงที่มาปรากฏตัวต่อหน้า ซูชิงหยิงยักไหล่ใส่อย่างไม่ยี่หระ “เซี่ยหยู่จ้างข้าแพงมากเพื่อขัดขวางเจ้า ข้าไม่ต้องการลงมือหนัก ดังนั้นรบกวนเจ้าอยู่ที่นี่ก่อนได้ไหม?”

สายตาของจิ่วโยวเต็มไปด้วยแววเย็นเยือก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขยับ นางจ้องไปที่ซูชิงหยิง “เซี่ยหยู่-ตาย-แน่!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1146 ร่างราชันฟากฟ้า
ครืนๆๆๆ!

ส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์เสียงไร้ขอบเขตสะท้อนออกมาขณะคลื่นยกตัวขึ้น ร่างเทห์สวรรค์ครอบงำควบแน่นอยู่ที่ด้านหลังเซี่ยหยู่ ทำให้มวลน้ำในทะเลสาบกวนตัวขึ้นราวกับพายุทอร์นาโด

แรงกดดันที่ส่งความเย็นเยียบไปตามแนวกระดูกสันหลังแผ่ออกมา ทำให้ผู้ชมฉายความกลัวบนใบหน้า

นั่นเป็นเพราะนี่คือร่างเทห์สวรรค์ที่เซี่ยหยู่ฝึกฝน ร่างราชันฟากฟ้าจัดอยู่ในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างในอันดับที่สี่สิบห้า

แม้จะอยู่ในขั้วอำนาจทรงพลัง ร่างเทห์สวรรค์ระดับนี้ก็ถูกมองเป็นสมบัติล้ำค่าของสำนักต่างๆ ดังนั้นจึงรู้ได้ว่านี่น่ากลัวขนาดไหน

“เซี่ยหยู่สมกับเป็นรัชทายาทแคว้นเซี่ยอย่างแท้จริง ฮ่องเต้เซี่ยให้ความสำคัญกับเขามาก!” บางคนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงออกมาด้วยความอิจฉาพร้อมกับแววริษยาแวบในดวงตา ในแง่ของความคุ้มค่าร่างเทห์สวรรค์เช่นนี้อาจเทียบได้กับวิทยายุทธระดับเสินทงของแท้!

ท่ามกลางดวงตาแดงก่ำนับไม่ถ้วน เซี่ยหยู่ก็ยืนอยู่เบื้องหน้าร่างราชันฟากฟ้าเขม่นมองมู่เฉินอย่างเย็นชา ช่วงเวลาที่เขาเรียกร่างเทห์สวรรค์ออกมา พลังของเขาก็สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ

ในตอนนี้เขาสามารถทำลายจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดได้ด้วยการพลิกฝ่ามือ กระทั่งระยะเต็มก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน แม้กระทั่งฝ่ายตรงข้ามทรงพลังยิ่งกว่าก็ต้องล่าถอยเมื่อเผชิญกับพลังยิ่งใหญ่ของร่างราชันฟากฟ้า

ท้ายที่สุดแล้วการได้รับการจัดอันดับที่สี่สิบห้าก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าทรงพลังเพียงใด

การรับรู้ถึงอากาศครอบงำจากร่างราชันฟากฟ้า แม้แต่มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาอยู่ชั่วครู่ เมื่อตัดสินจากผลกระทบนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ร่างเทห์สวรรค์ธรรมดาที่เขาเคยพบในอดีตจะเทียบเคียงได้

เซี่ยหยู่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงสมกับอันดับสี่ในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว

ถือได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ทรงพลัง

เซี่ยหยู่มองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส แต่ก็ไม่พูดให้มากความ เขากระทืบฝ่าเท้า ร่างราชันฟากฟ้าก็กวาดดวงตาครอบงำไปที่มู่เฉิน

ตู้ม!

ร่างราชันฟากฟ้ายื่นมือออกมาปกคลุมท้องฟ้าพลางเหวี่ยงไปที่มู่เฉิน

ไม่มีทักษะใดอยู่เบื้องหลังฝ่ามือ เพราะพลังที่อยู่เบื้องหลังอย่างเดียวก็สามารถทำร้ายจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้แล้ว ดังนั้นกระบวนท่างดงามทั้งหมดจึงไร้ประโยชน์เบื้องหน้าความแข็งแกร่งที่แท้จริง

เมื่อฝ่ามือกดลงน้ำในทะเลสาบก็ถูกบีบแล้วกระฉอกออกอย่างรวดเร็วกลายเป็นพื้นที่สุญญากาศขนาดใหญ่

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นขณะที่ฝ่ามือโอบล้อมรัศมีหนึ่งพันจั้งปิดผนึกเส้นทางหลบหนีทั้งหมด ทว่าเขาก็ยังคงสงบสติอารมณ์โดยไม่ตื่นตระหนก

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึกก่อนที่มิติจะแปรปรวนอยู่ข้างหลัง จุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็ก้าวออกไปภายใต้สายตาตกใจนับไม่ถ้วน

ครืน!

คลื่นหลิงทรงพลังพุ่งออกมาจากทะเลพลังของเขา ก่อนที่ประกายแสงสีทองจะเบ่งบานระหว่างสวรรค์และโลก จากนั้นทุกคนก็เห็นร่างเงาสีทองขนาดใหญ่ควบแน่นอยู่ด้านหลังมู่เฉิน

ร่างสีทองนั้นมีดวงตะวันทรงกลดอยู่ด้านหลังศีรษะ แม้ว่ามันจะไม่โอ่อ่าเหมือนร่างราชันฟากฟ้า แต่ก็มีความรู้สึกลึกลับเล็ดลอดออกมาซึ่งทำให้คนอื่นรู้สึกไม่อาจหยั่งรู้ได้

เมื่อร่างสีทองปรากฏขึ้นก็โบกมือออกไป คลื่นหลิงรวมตัวกันที่ฝ่ามือมันกลายเป็นแสงสีทองหมื่นจั้งปะทะกับฝ่ามือของร่างราชันฟากฟ้า

ปัง ปัง ปัง!

จังหวะที่ปะทะกัน สวรรค์และโลกก็ราวกับแตกเป็นเสี่ยงๆ เสียงเสียดแก้วหูดังขึ้นโอบล้อมทั่วบริเวณพร้อมกับน้ำพุร้อนดันตัวลอยขึ้นโดยรอบ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

คลื่นกระแทกรุนแรงทำให้ทุกคนต้องหดตาลง พวกเขาหวาดผวาเนื่องจากเห็นว่าร่างเทห์สวรรค์ที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินไม่ได้รับความเสียหายใดเมื่อรับฝ่ามือจากร่างราชันฟากฟ้าของเซี่ยหยู่

“เป็นไปได้ยังไง?! มู่เฉินฝึกร่างเทห์สวรรค์อะไร? ทำไมถึงทรงพลังมากขนาดนี้?!”

“ดูจากพลังที่ปล่อยออกมาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าร่างราชันฟากฟ้าเลย มู่เฉินมีไพ่ตายแท้จริง!”

“แต่ทำไมร่างเทห์สวรรค์นี้ไม่ค่อยคุ้น…”

“…”

ความโกลาหลปั่นป่วน ท้ายที่สุดแล้วร่างเทห์สวรรค์ที่สามารถเทียบเคียงกับร่างราชันฟากฟ้าได้หายากมาก นั่นเป็นเพราะร่างเทห์สวรรค์ใดๆ ที่เหนือกว่าร่างราชันฟากฟ้ามีน้อยมากจนแม้แต่บางขั้วอำนาจระดับสูงยังไม่มีครอบครอง

ดวงตาของเซี่ยหยู่จับจ้องไปที่ร่างเทห์สวรรค์ที่อยู่ด้านหลังมู่เฉินพร้อมกับความตกตะลึงและประหลาดใจปะปนในดวงตา

แม้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินจะไม่คุ้นตา แต่เซี่ยหยูรู้สึกว่ามีความค่อนข้างคุ้นเคยด้วยเหตุผลบางอย่าง ราวกับว่าเขาเคยเห็นมาจากที่ไหนสักแห่ง

“ร่างเทห์สวรรค์นี้…” ดวงตาของเซี่ยหยู่วูบไหว อึดใจหัวใจก็สั่นสะท้าน “ดูคล้ายกับร่างเทห์สวรรค์ลึกลับที่จาโหลหลัวฝึกฝน”

ครั้งหนึ่งเขาเคยสู้กับจาโหลหลัวและได้เห็นร่างเทห์สวรรค์ของอีกฝ่าย นั่นเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่ไม่ได้ถูกจัดอันดับ แต่พลังอำนาจที่มีทำให้แม้แต่เซี่ยหยู่เองก็หวังอยากจะครอบครอง

ตอนที่ปะทะกับจาโหลหลัวเขาก็แพ้ให้กับร่างเทห์สวรรค์นี้ แต่ตอนนี้เขาได้เห็นร่างเทห์สวรรค์ที่คล้ายกันบนร่างมู่เฉิน

ทว่าเซี่ยหยู่ก็มีเพียงความสงสัย แม้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินจะคล้ายกับจาโหลหลัวอยู่บ้าง แต่รัศมีกลับมีความแตกต่าง

“น่าจะไม่ใช่ร่างเทห์สวรรค์เดียวกัน!” ใบหน้าของเซี่ยหยู่เปลี่ยนไป สุดท้ายก็ระงับความคิดที่เป็นไปไม่ได้ทั้งหมด เขาไม่เชื่อว่าด้วยภูมิหลังของมู่เฉินจะสามารถครอบครองร่างเทห์สวรรค์ทรงพลังเช่นนี้ได้

ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เป็นร่างเทห์สวรรค์เดียวกัน คนอย่างเซี่ยหยู่ก็ไม่กลัว เพราะแม้แต่ร่างเทห์สวรรค์ที่เหมือนกันก็ยังแสดงพลังอำนาจที่แตกต่างกันเมื่ออยู่ในมือจอมยุทธ์คนละคน

มู่เฉินสามารถเปรียบได้กับจาโหลหลัวได้เหรอ? นั่นเป็นไปไม่ได้เลยในความคิดของเซี่ยหยู่

เซี่ยหยู่ค่อยๆ ถอนความตกใจบนใบหน้าขณะมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับไอสังหารพล่านในดวงตา “หากนี่คือความมั่นใจของแก ข้าบอกได้เลยว่ายังไม่พอ”

“ก็ลองดูสิ” มู่เฉินตอบกลับแบบใจเย็น

เซี่ยหยู่เค้นเสียงเย็นชาก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนเป็นคมกริบ อึดใจร่างเขาก็เคลื่อนไหวไปปรากฏบนไหล่ของร่างราชันฟากฟ้าก่อนที่จะกระทืบเท้าลงไปอย่างหนักหน่วง

ฮึ่ม

ระลอกคลื่นกระจายออกไปใต้เท้าเทลงสู่ร่างเทห์สวรรค์

มอ!

ลวดลายแสงแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนร่างขนาดใหญ่ ก่อนที่มันจะอ้าปากส่งเสียงคำรามผิดแผกพร้อมกับคลื่นเสียงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทุกคลื่นเสียงก่อตัวเป็นตราศักดิ์สิทธิ์ขนาดร้อยจั้ง

ตราศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นราวกับมงกุฎของราชัน เผด็จการอย่างยิ่งพร้อมกับพลังที่สามารถปราบปรามภูเขาได้

ทุกตราศักดิ์สิทธิ์สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดได้ ด้วยจำนวนดังกล่าวแม้แต่ขั้นเก้าระยะเต็มก็อาจถูกสังหารได้หากประมาท

“ผนึกอมตะราชัน!”

เซี่ยหยู่คำราม ตราศักดิ์สิทธิ์หมุนคว้างออกมาราวกับพายุปกคลุมไปที่มู่เฉิน

สายตาของเซี่ยหยู่เย็นเยือกลง หลายปีที่ผ่านมามีจอมยุทธ์หลายคนสิ้นชีวิตจากกระบวนการโจมตีนี้ของเขา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ยังเคยถูกเขาสังหาร

เนื่องจากผนึกอมตะราชันมีความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ต่อให้ถูกทำลายพวกมันก็จะรวมเข้ากันใหม่และเริ่มการโจมตีไม่หยุดหย่อน เว้นแต่จะถูกทำลายทั้งหมดในครั้งเดียว แต่ก็เป็นสิ่งที่ชัดเจนว่ามู่เฉินไม่สามารถทำได้ด้วยพลังในตอนนี้

ดังนั้นมู่เฉินจะต้องตาย!

โดยปกติเซี่ยหยู่จะไม่ใช้ทักษะนี้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม ทว่ามู่เฉินนั้นผิดประหลาดเกินไป ทำให้เซี่ยหยู่ตัดสินใจที่จะใส่จนเต็มพิกัด

ความผันผวนของการทำลายล้างปกคลุมท้องฟ้า ดวงตามู่เฉินก็หดเกร็ง นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนไม่มีที่สิ้นสุดจากตราศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น

ถ้าเขาถูกปิดล้อมด้วยการโจมตีนั้นก็อาจตายคาที่ ถ้าเขาเลือกที่จะตอบโต้ก็จะเหนื่อยจนแทบขาดใจ

สายตาของมู่เฉินวูบไหวก่อนที่จะยื่นมือออก วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว

ฮึ่ม!

ดวงตะวันสีทองลอยขึ้นมาจากร่างเทพสุริยะก่อนที่จะระเบิดกลายเป็นของเหลวกวาดออกมา

ร่างเทพสุริยะยื่นมือออกมา กระแสสีทองก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็วกลายเป็นกงล้อสีทองที่มีลวดลายโบราณสลักอยู่ราวกับมีพลังเหลือล้น

“เปิดแปดตะวัน กงล้อแสงสวรรค์!”

มู่เฉินคำรามในใจขณะที่เกลียวแสงสีทองไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมาจากกงล้อ

ในเมื่อข้าเผชิญหน้ากับมันไม่ได้ งั้นก็ส่งกลับไปให้เจ้าของดีกว่า ให้เซี่ยหยู่ได้ลิ้มรสผนึกอมตะราชันของตัวเอง!

ครืน!

ตราศักดิ์สิทธิ์ปะทะกับกงล้อสีทอง ทันใดนั้นกงล้อก็หมุนทวนเข็มนาฬิการาวกับว่าเวลาหยุดลงในขณะนั้น

ม่านตาเซี่ยหยู่หดเกร็งลงฉับพลัน เนื่องจากเห็นว่าตราศักดิ์สิทธิ์ที่เล็งเป้าหมายไว้ที่มู่เฉินในตอนแรก หันกลับมาแล้วทะยานเข้ามาในทิศทางของเขาพร้อมกับแรงผลักดันที่ดุร้ายยิ่งขึ้น

“นรกแล้ว!”

ใบหน้าของเซี่ยหยู่เขียวคล้ำทันที

ขณะที่มู่เฉินใช้ทักษะเทห์สวรรค์เปิดแปดตะวันโจมตีเซี่ยหยู่

อีกพื้นที่หนึ่งจาโหลหลัวที่กำลังจับจิตทะเลสาบก็เงยหน้าขึ้นมองไปทิศทางนั้น

“เปิดถึงคลื่นแปดตะวันแล้วรึ?”

จาโหลหลัวคลึงก้อนอัญมณีของจิตทะเลสาบในมือ ก่อนที่มุมปากของเขาจะโค้งขึ้นโดยไม่มีอุณหภูมิใดๆ จากนั้นก็หันกลับพุ่งไปยังทิศทางที่มู่เฉินและเซี่ยหยู่ปะทะกัน

“ถึงเวลากำจัดมันแล้ว”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1145 สู้กับเซี่ยหยู่
“ไสหัวไป!”

ภายใต้การห่อหุ้มของคลื่นหลิง เสียงคำรามเย็นชาของมู่เฉินกวาดออกไปราวกับคลื่นน้ำ กระทั่งน้ำในทะเลสาบก็ยังซัดเป็นคลื่น

ผู้ชมโดยรอบหลบหลีกเกลียวคลื่น ขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาแปลกประหลาดและตกใจ

เห็นชัดพวกเขาไม่คิดเลยว่าเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อย่างเซี่ยหยู่ มู่เฉินจะตอบกลับแบบทั้งตรงและแรงโดยไม่ไว้หน้าเซี่ยหยู่แม้แต่น้อย

นั่นเซี่ยหยู่นะ! องค์รัชทายาทแคว้นเซี่ย จอมยุทธ์รุ่นใหม่อันดับสี่ของทวีปเชียวนะ!

แม้แต่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ในทวีปเทียนหลัวก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถต่อกรกับเซี่ยหยู่ได้ นอกจากนี้ชื่อเสียงของเขาก็ไม่ได้มาจากฐานะ แต่มาจากการต่อสู้เลือดเดือดที่ในอดีต

เมื่อเผชิญกับคนเช่นนี้ แม้แต่จาโหลหลัว ซูชิงหยิงและคนอื่นๆ ก็ต้องต่อสู้อย่างจริงจัง

“มู่เฉินบ้าระห่ำเกินไปแล้ว…” บางคนอดไม่ได้ที่จะพึมพำเสียงต่ำแฝงแววเยาะเย้ย แม้ว่ามู่เฉินจะโดดเด่นขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ แต่ก็ยังขาดอีกเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์เจนสนามอย่างเซี่ยหยู่

“ใช่ แต่มู่เฉินก็ไม่ง่ายเช่นกัน ในเมื่อไปไกลขนาดนี้ได้ตั้งแต่อายุเพียงนี้”

“ฮ่าๆ เขาจะธรรมดาได้อย่างไรในเมื่อรับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ? ถ้าเซี่ยหยู่คิดสู้จริงๆ ข้าคิดว่าชนะหรือแพ้ก็คาดเดาลำบาก” มีคนหลายคนไม่ชอบขี้หน้าเซี่ยหยู่ ดังนั้นจึงมีความคิดเห็นแง่ดีเกี่ยวกับมู่เฉิน

“ตลกล่ะ! ตัวตนของมู่เฉินในฐานะศิษย์ระดับมังกรทองคำจะเทียบกับเซี่ยหยู่ได้ยังไง? ข้าคิดว่าเขาอาจแค่โชคดีพบช่องโหว่ในประตูมังกรทะยานสวรรค์”

“…”

ขณะที่เสียงสนทนาผู้คนดังก้อง เซี่ยหยู่ก็ยืนกอดอกมองไปที่มู่เฉิน ก่อนจะค่อยๆ ถอนรอยยิ้มบนใบหน้าทีละน้อย

“นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้พบพวกเย่อหยิ่งต่อหน้า” เซี่ยหยู่หลุบตาขณะพูดเสียงเบา

“ถ้างั้นเจ้าก็ได้พบแล้ว” มู่เฉินตอบกลับแบบสบายๆ เซี่ยหยู่จ้องหาเรื่องเขามาครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำถ้ามีโอกาสก็จะโจมตีอย่างโหดเหี้ยม ถ้าไม่ใช่ความจริงที่เขาต้องการรับการชำระล้างในทะเลสาบสวรรค์เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาคงซัดเซี่ยหยู่เต็มเหนี่ยวไปแล้ว ยิ่งตอนนี้เซี่ยหยู่ยังพยายามคิดปล้นจิตทะเลสาบ มู่เฉินก็ไม่คิดยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว!

แสงเย็นเยือกวูบวาบในดวงตาของเซี่ยหยู่ก่อนจะพยักหน้า “ดี ในเมื่อแกเรียกร้องความตาย ข้าจะช่วยให้สมหวัง ถึงตอนนั้นข้าจะสงเคราะห์ส่งศพกลับไปที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ให้”

“ยังไม่แน่เลยว่าใครจะส่งศพใครกลับ” มู่เฉินยิ้มขณะตอกหน้า

“ดูเหมือนค่ายกลรอบตัวเหล่านี้จะทำให้แกมีความมั่นใจมากนะ” เซี่ยหยู่เยาะเย้ย ในมุมมองของเขา เหตุผลที่มู่เฉินกล้าท้าทายเป็นเพราะการห้อมล้อมด้วยชั้นค่ายกลจำนวนมาก แต่มันไม่รู้หรือไงว่าฝ่ายตรงข้ามต้องเข้าสู่ขอบเขตค่ายกลถึงจะปลดปล่อยพลังได้?

เผชิญกับหลิงเจิ้นซือที่วางค่ายกลไว้ คนมีสมองก็ไม่คิดทะเล่อทะล่าเข้าไปหรอก ดังนั้นหากมู่เฉินพูดยั่วยุคิดให้เขาพุ่งเข้าไปในค่ายกลก็ผิดคาดไปแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายกลชั้นนอกสุด ทำให้เกิดความหวาดกลัวแม้กระทั่งตัวเขา หากเขาเข้าไปต่อให้เป็นความมั่นใจในตัวเอง เซี่ยหยู่ก็ไม่รู้สึกว่าจะสามารถทำลายค่ายกลได้ง่าย

ประจันหน้ากับการเยาะเย้ยของเซี่ยหยู่ มุมปากมู่เฉินก็เผยรอยยิ้มเหยียดคล้ายกัน “แกกล้าท้าทายข้า แต่กลับขี้ขลาด รัชทายาทแคว้นเซี่ยน่าสังเวชจริงๆ”

ใบหน้าของเซี่ยหยู่เย็นชาลงหลายส่วนพลางจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาคมกริบเหมือนใบมีด ราวกับว่าเขาต้องการสับอีกฝ่ายเป็นพันชิ้น!

ทว่ามู่เฉินไม่ใส่ใจกลับยิ้มบาง “ในเมื่อองค์ชายใหญ่แคว้นเซี่ยอ่อนขนาดนี้ งั้นครั้งนี้ข้าก็จะเสียเปรียบให้หน่อยละกัน ไม่งั้นเดี๋ยวคนอื่นก็หาว่าข้ารังแกเจ้าด้วยค่ายกล”

เมื่อพูดจบเรือมังกรทองคำก็ลอยออกมาจากขอบเขตของค่ายกล

มู่เฉินไม่ได้ประเมินความสามารถของตัวเองสูงล้ำที่ออกจากแนวป้องกันของค่ายกล นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าเซี่ยหยู่ไม่มีความกล้าที่จะเข้ามานี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเสียเวลามาก ซึ่งมู่เฉินไม่ต้องการให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากนี่คือช่วงเวลาทองคำ เขาต้องเก็บทุกวินาทีเพื่อจับจิตทะเลสาบ นอกจากนี้เขาก็ไม่สามารถอยู่ในค่ายกลได้ตลอด หากเขาบังคับเซี่ยหยู่มากเกินไปและทำให้อีกฝ่ายใช้วิธีการชั่วร้ายโดยการดึงดูดจิตทะเลสาบบางส่วนให้เข้ามาปะทะกับค่ายกล งานนี้มู่เฉินอาจจะพังยับเยินก็ได้

ดังนั้นเขาจึงเลือกก้าวออกไป ทิ้งปราการค่ายกลไว้ข้างหลังเพื่อเป็นการปกป้อง

“คึๆ มู่เฉินปล่อยค่ายกลแล้ว…เขามั่นใจอะไรขนาดนั้น” เมื่อผู้ชมเห็นภาพนี้ต่างก็อดอุทานออกมาไม่ได้ เพราะการก้าวออกจากแนวป้องกันที่ดีที่สุดเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ต้องการความกล้าหาญและมั่นใจในตนเองมากจริงๆ

“เป็นเพราะเซี่ยหยู่ขี้แหยนะสิ เขาเป็นรัชทายาทแคว้นเซี่ย แต่กระนั้นก็ยังขี้ขลาด มิน่าเขาถึงด้อยกว่าจาโหลหลัว ซูชิงหยิงและจู้เยี่ยน” มีคนส่ายหัวพลางพูดขึ้น

“ใช่สิ…”

ชัดว่าการกระทำของมู่เฉินทำให้ได้รับคำชม ขณะเซี่ยหยู่ถูกตำหนิ

เมื่อเซี่ยหยู่ได้ยินคำพูดจากที่ไกลเหล่านั้น ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำเล็กน้อย เนื่องจากเขาไม่คิดว่าการที่มู่เฉินก้าวออกมาก่อนจะทำให้เขาตกอยู่ในจุดน่าเกลียดชังเช่นนี้

แม้ว่าเขาจะชนะการต่อสู้ครั้งนี้ แต่คนอื่นๆ อาจบอกว่าเขาไม่สมควรได้รับชัยชนะ และถ้าเขาแพ้ก็จะกลายเป็นหินรองเท้าให้มู่เฉินก้าวขึ้นไป ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรเขาแพ้ไปครึ่งทางแล้ว

“ไอ้เจ้าเล่ห์!” ใบหน้าของเซี่ยหยู่มืดมนลงเนื่องจากไม่คิดว่าความลังเลเล็กน้อยของตนเองจะทำให้ตกอยู่ในแผนของมู่เฉิน แม้ว่ามู่เฉินจะอายุน้อยแต่ก็เจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอก ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมแม้แต่เซี่ยหงก็แพ้คามือ มิหนำซ้ำยังถูกหลอกให้ประทับตราในใบแจ้งหนี้ด้วย

มู่เฉินยิ้มบาง ในเมื่อเซี่ยหยู่ต้องการให้เขาหยุดใช้ไพ่ตาย แกก็ต้องจ่ายราคาในการแลกเปลี่ยนเช่นกัน!

แม้ว่าความคิดเห็นของสาธารณชนจะไม่เป็นที่ชื่นชอบสำหรับเขา แต่เซี่ยหยู่ก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความโกรธในใจ ก่อนที่จะมองมู่เฉินอย่างไม่แยแสพร้อมกับจิตสังหารกะพริบอยู่ในดวงตา

เห็นได้ชัดว่าเซี่ยหยู่วางแผนที่จะทำให้มู่เฉินเป็นง่อยอยู่ที่นี่แล้ว

เซี่ยหยู่ทิ้งแขนลงข้างลำตัว คลื่นหลิงไร้ขอบเขตปะทุออกมาจากร่างกายคล้ายกับภูเขาไฟพร้อมกับกวาดคลื่นออกมาทำให้น้ำในทะเลสาบถูกผลักออกไป พื้นที่รอบตัวกลายเป็นสุญญากาศ

คลื่นหลิงอันทรงพลังถูกปล่อยออกมา

เมื่อผู้ชมรู้สึกถึงแรงกดดันคลื่นหลิง ใบหน้าก็เปลี่ยนไป ระดับของความกดดันอยู่ในขอบเขตระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มและใกล้เคียงกับจุดสูงสุดแล้ว

เซี่ยหยู่คู่ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่จะก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน ดูเหมือนสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยต่อมู่เฉินแล้ว

“ข้าจะสอนให้เจ้ารู้ว่าแผนทุกประเภทเป็นเรื่องตลกต่อหน้าความแข็งแกร่งแท้จริง”

ใบหน้าเซี่ยหยู่ฉายความไม่แยแส จากนั้นก็เหยียดมือตรงก่อนที่จะกระแทกลงไปหามู่เฉินจากระยะไกล

ครืน!

เมื่อมือของเซี่ยหยู่กดลงมา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็รวมตัวกันอยู่ใต้ฝ่ามือกลายเป็นมังกรขนาดใหญ่เอิบอาบด้วยกลิ่นอายสูงส่ง ราวกับว่าเป็นจักรพรรดิ ณ ที่แห่งนี้

“แคว้นเซี่ย ฝ่ามือโอรสสวรรค์!”

ฝ่ามือควบแน่นด้วยกลิ่นอายมังกรของแคว้นเซี่ยซึ่งคล้ายกับจักรพรรดิปกครองโลก แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าธรรมดาความกล้าก็ยังแตกสลายด้วยฝ่ามือนี้

เห็นได้ชัดว่าเซี่ยหยู่เปิดเผยความแกร่งกร้าวทรงพลังทันทีที่ออกกระบวนท่า

ตู้ม ตู้ม!

มังกรตัวใหญ่กลายเป็นตราประทับมังกรแหวกผ่านมิติพุ่งเข้าหามู่เฉิน ช่างดูสูงส่งและครอบงำ

มู่เฉินเงยหน้าขึ้น ฝ่ามือของเซี่ยหยู่อาจดูเรียบง่าย แต่พลังที่รวบรวมอยู่นั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดก็ไม่กล้าเผชิญหน้าตรงๆ

“แคว้นอ่อนแอกล้าที่จะประกาศตัวเองว่าเป็นบุตรแห่งสวรรค์เรอะ?”

ใบหน้าของมู่เฉินสงบลง ถ้าแคว้นเซี่ยสามารถครองทวีปเทียนหลัวได้ทั้งหมดรัศมีก็คงจะน่ากลัว แต่น่าเสียดายที่แคว้นเซี่ยเป็นเพียงผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นในทวีปเทียนหลัวเท่านั้น ซึ่งยังอ่อนหัดเกินไปที่ต้องการกดดันผู้คนด้วยรัศมี

โฮก!

มู่เฉินประกบมือ ทันใดนั้นเกลียวแสงสีทองก็พร่างพราวออกมาจากร่างก่อนที่ทุกคนจะเห็นเงามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏขึ้นด้านหลังมู่เฉิน เมื่อเทพอสูรทั้งสองอุบัติขึ้น พลังอำนาจที่ไม่อาจพรรณนาได้ก็กระจายออกไป

นี่เป็นรัศมีจากมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง จักรพรรดิแห่งเผ่ามังกรและหงส์ฟ้า พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในจุดสูงสุดของมหาพันภพ ดังนั้นพลังอำนาจจึงน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘รัศมีเทียนจื่อ’ ของแคว้นเซี่ย

“ฝ่ามือมังกรหงส์ปกครองสรรพสิ่ง”

มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงสถิตอยู่ในม่านตาของมู่เฉิน ขณะที่เขาผลักฝ่ามือออกไป จิตวิญญาณเทพอสูรทั้งสองที่อยู่ข้างหลังก็รวมตัวเข้าหาฝ่ามือเขา ยิงออกไปในลักษณะของลำแสงสีทอง

ครืน!

ฝ่ามือทั้งสองกวาดข้ามมิติโดยแต่ละฝั่งมีมังกรอยู่ภายใน เปล่งกลิ่นอายสูงส่งขณะที่ปะทะกัน

พลังสองสายที่น่ากลัวปะทะกัน

จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงทะยานออกมาปะทะกับมังกรฝ่ายตรงข้าม

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

ทะเลสาบแปรปรวน แต่ใบหน้าของเซี่ยหยู่กลับไม่น่าดูเอาเลย เนื่องจากเขาเห็นว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง มังกรของเขาอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว

แม้มังกรที่เขาได้รับการฝึกฝนจะทรงพลัง แต่ก็อ่อนแอกว่ามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงอย่างชัดเจน ถ้าไม่ใช่เพราะคลื่นหลิงของเขาแข็งแกร่งกว่ามู่เฉิน มังกรของเขาคงจะพังทลายไปนานแล้ว

“ไม่คิดว่าแกจะมีจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง!” ใบหน้าของเซี่ยหยู่มืดมน แต่ในส่วนลึกกลับปะทุด้วยความโลภ หากเขาได้รับจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและให้มังกรของเขาได้กลืนกินละก็จะต้องเพิ่มพลังในการต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน

“วันนี้มู่เฉินต้องตาย!”

ดวงตาของเซี่ยหยู่เปล่งประกายด้วยเจตนาฆ่า จากนั้นเขาก็โบกมือเรียกมังกรที่อ่อนแอลงอย่างรวดเร็วกลับก่อนที่จะกระทืบเท้าลงไป เกลียวแสงมากมายระเบิดออกข้างหลังก่อนที่ร่างขนาดใหญ่จะควบแน่นอย่างรวดเร็ว

ร่างนั้นสวมเสื้อคลุมจักรพรรดิสีทองพร้อมมงกุฎราวกับเป็นผู้ปกครองที่เปล่งรัศมีสูงส่ง

เมื่อผู้ชมเห็นภาพนี้ม่านตาก็หดลงทันทีขณะที่อุทาน “นั่นคือ…ร่างราชันฟากฟ้า?”

อันดับที่สี่สิบห้าของคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง—ร่างราชันฟากฟ้า!

แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1144 เก็บเกี่ยวยิ่งใหญ่
มู่เฉินยืนอยู่บนเรือมังกรทองคำ

ขณะสายตามองทะเลสาบสวรรค์ที่มีชีวิตชีวา ทว่าเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่เดียวแต่หัวเรือกลับเคลื่อนเข้าไปในส่วนลึก

เขาต้องการทดสอบว่าความคิดของตนเองถูกต้องไหม

เนื่องจากคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต ทะเลสาบสวรรค์จึงเต็มไปด้วยแรงกดดันที่น่ากลัว ยิ่งลึกลงไปแรงกดดันก็จะหนาแน่นมากขึ้น ป้ายศิษย์ธรรมดาไม่สามารถเข้ามาลึกมากได้ แต่โชคดีที่มู่เฉินมีป้ายมังกรทองคำซึ่งทำให้เขาเดินทางได้อย่างอิสระในทะเลสาบสวรรค์

ขณะที่เขามุ่งหน้าไปลึกขึ้น จำนวนผู้คนก็ลดลงเช่นกันก่อนที่เขาจะเลือกสถานที่เงียบสงบปักหลัก

เขานั่งลงบนเรือนิ้วทั้งสิบขยับเบาๆ สัญลักษณ์หลิงยิ่งพวยพุ่งออกจากปลายนิ้วยิงออกไปรวมเข้ากับชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็ว

ในช่วงเวลาสิบกว่าลมหายใจค่ายกลก็ก่อร่างขึ้นที่เบื้องหน้าแล้ว

ค่ายกลนี้ไม่ได้มีความสามารถในการโจมตี เนื่องจากเป็นค่ายกลบรรจบจิต

นี่เป็นเหยื่อล่อที่เขาสร้างขึ้นจับปลาจิตทะเลสาบ

จากการสังเกตเมื่อสักครู่มู่เฉินตระหนักว่าการปรากฏตัวทุกครั้งของจิตทะเลสาบจะเป็นสถานที่ที่มีคลื่นหลิงหนาแน่นมาก เห็นได้ชัดว่าจิตเหล่านั้นมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่มีคลื่นหลิงหนาแน่นโดยสัญชาตญาณเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของมัน

ในเมื่อเป็นเช่นนี้มู่เฉินก็ไม่ต้องออกค้นหาพวกมันอย่างขมขื่น เพราะเขาสามารถตั้งค่ายกลที่มีพลังงานหลิงหนาแน่นเพื่อล่อจิตทะเลสาบเข้ามาในกับดัก

แน่นอนว่าเมื่อมีเหยื่อก็ต้องมีอวน

มู่เฉินมองไปที่ค่ายกลบรรจบจิตก็คลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนที่เส้นสายผนึกจะบินฉวัดเฉวียนออกมารวมเข้ากับชั้นบรรยากาศอีกครั้ง

เมื่อสัญลักษณ์หลิงยิ่งบินออกไปอย่างต่อเนื่อง ค่ายกลก็ถักทอขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทว่ามู่เฉินไม่ได้เปิดใช้งานทันที กลับซ่อนไว้ก่อนที่จะสร้างค่ายกลขึ้นอีกหลายชั้น

ค่ายกลเหล่านี้อยู่ในระดับเทียนเท่านั้น ดังนั้นมู่เฉินต้องชดเชยคุณภาพด้วยปริมาณ แน่นอนว่าหากต้องการจัดการกับจิตทะเลสาบที่เทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแค่ค่ายกลระดับนี้อย่างเดียวก็ไม่เพียงพอ

ดังนั้นหลังจากสร้างค่ายกลระดับเทียนสิบกว่าค่ายกล มู่เฉินก็หายใจเข้าลึกใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกจากมือ เต้นระริกบนท้องฟ้าก่อนที่จะรวมเข้ากับชั้นบรรยากาศด้านนอกค่ายกลค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

ค่ายกลนี้ทำให้มู่เฉินเสียเวลาไปพอสมควร เพราะนี่คือค่ายกลระดับจงซือที่ไม่สมบูรณ์—ค่ายกลย์เก้าเทพมังกรประหาร

เมื่อสัญลักษณ์หลิงยิ่งผนึกสุดท้ายรวมเข้ากับชั้นบรรยากาศ มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าพวกมันเริ่มเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน

เขามองขึ้นไปข้างหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก แม้ว่าสถานที่จะดูสงบ แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่ามีถ้ำมังกรซึ่งแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ไม่สามารถรอดพ้นจากความตายได้

“ตอนนี้ก็มาดูกันว่าจะได้ผลหรือไม่”

ดวงตาของมู่เฉินเป็นประกายด้วยความคาดหวัง จากนั้นก็สะบัดนิ้ว แสงเบ่งบานจากค่ายกลบรรจบจิตที่อยู่ชั้นในสุดก่อนที่แรงดูดจะระเบิดออกมา

ซ่า ซ่า

น้ำในทะเลสาบโดยรอบเริ่มกระเพื่อม คลื่นหลิงที่มองเห็นได้พุ่งไปรวมตัวกันในค่ายกลบรรจบจิตอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากคลื่นหลิงในทะเลสาบสวรรค์มีมหาศาลผลของค่ายกลบรรจบจิตจึงดีมากเช่นกัน ในช่วงเวลาสิบกว่าลมหายใจน้ำทะเลสาบภายในค่ายกลก็ถึงขนาดรวมตัวเป็นผลึกพร้อมกับปล่อยหมอกหลิงออกมา

คลื่นหลิงบริเวณนี้บริสุทธิ์และหนาแน่นกว่าสถานที่อื่นๆ ในทะเลสาบสวรรค์

มู่เฉินพยักหน้ากับภาพนี้ เหยื่อถูกตั้งเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็ได้เวลาดูว่าปลาจะมาติดอวนไหม หากไม่ได้ผลเขาก็ต้องกลับไปใช้วิธีดั้งเดิมในการไล่จับจิตทะเลสาบสวรรค์ซึ่งมีประสิทธิภาพต่ำ

มู่เฉินนั่งรอบนเรือเงียบๆ ก่อนที่จะหลับตาลงช้าๆ สร้างค่ายกลปกปิดคลื่นพลังของตัวเองไว้จากรอบตัว เพื่อที่จิตทะเลสาบสวรรค์จะไม่ค้นพบ

ในส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์ช่างเงียบสงบ มีเพียงเสียงคลื่นเป็นครั้งคราว

ขณะที่เวลาผ่านไป ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น มู่เฉินเริ่มขมวดคิ้วกับภาพนี้ หรือว่าเขาคิดผิด?

“รออีกหน่อยแล้วกัน”

ทว่ามู่เฉินก็ระงับความกังวลในใจและรอต่อไป

สิบนาทีผ่านไป แต่สภาพแวดล้อมที่เงียบสงบก็ทำเอาเขาเริ่มผิดหวัง ขณะที่มู่เฉินกำลังจะยอมแพ้ท่าทางก็เปลี่ยนไปเมื่อสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวจากน้ำในทะเลสาบที่เบื้องหน้า

ซ่า ซ่า

ริ้วแสงปรากฏขึ้นในระยะไกล พุ่งใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว

ความปีติแล่นพล่านในดวงตาของมู่เฉิน เนื่องจากเขารู้ว่านี่คือจิตทะเลสาบสวรรค์

จิตทะเลสาบบินเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับแสงเอิบอาบ ดูเหมือนจะอดทนไม่ได้ขณะพุ่งไปที่ค่ายกล

มู่เฉินดีใจมากในหัวใจ ความคิดของเขาได้ผลจริงด้วย

จิตทะเลสาบบินเข้ามาปรากฏที่นอกค่ายกล แต่ทันใดนั้นมันก็ช้าลงราวกับว่าสัมผัสได้ถึงบางอย่าง

เวลาเดียวกันหัวใจของมู่เฉินก็โลดมาที่คอหอย จิตทะเลสาบดวงนี้เหมือนจะสัมผัสได้ถึงความผันผวนแปลกประหลาดรอบๆ น้ำในทะเลสาบ

มันบินวนไปรอบๆ ค่ายกลด้วยอาการลังเล คลื่นหลิงหนาแน่นที่ปล่อยออกมาจากค่ายกลบรรจบจิตคล้ายกับอาหารอันโอชะที่ยั่วยวน

มันยึกยักอยู่รอบค่ายกลพักหนึ่ง สุดท้ายสติปัญญาน้อยนิดที่มีก็ไม่สามารถละทิ้งสิ่งล่อใจเบื้องหน้า พุ่งเข้าสู่ค่ายกลทันที

ฮึ่ม ฮึ่ม

เมื่อมันเข้ามาได้ก็กลืนกินคลื่นหลิงแข็งแกร่งพร้อมกับเสียงฮึมฮัมเปล่งออกมาราวกับว่ามีความสุข

ขณะที่จิตทะเลสาบกำลังกลืนกินพลังงานอย่างเพลิดเพลิน รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้ามู่เฉิน ในที่สุดปลาก็ติดกับดัก ตอนนี้ได้เวลาเก็บแหแล้ว!

ตู้ม!

เพียงแค่คิดค่ายกลจำนวนมากรอบๆ ค่ายกลบรรจบจิตก็ถูกกระตุ้น ทันใดนั้นลวดลายหลิงก็ปรากฏขึ้นห่อหุ้มค่ายกลบรรจบจิตเอาไว้

การระเบิดของคลื่นหลิงกะทันหันทำให้จิตทะเลสาบตกใจ มันกลายเป็นริ้วแสงพยายามหลบหนี

ทว่าตอนนี้สายเกินไปที่มันจะหนีแล้ว

จิตทะเลสาบชนกับชั้นแรก ค่ายกลระดับเทียนแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที ชั้นที่สอง… ชั้นที่สาม… ก็ตามมา

เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ก็แอบเดาะลิ้น โชคดีที่เขาเตรียมตัวดี ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถดักจิตทะเลสาบสวรรค์ได้

ปัง! ปัง!

ชั้นของค่ายกลแตกสลายภายใต้ผลกระทบ ทว่าความเร็วของจิตทะเลสาบก็ค่อยๆ ช้าลงเช่นกัน เห็นได้ชัดว่ามันเหนื่อยล้าจากค่ายกลระดับเทียน

เพียงหนึ่งนาทีค่ายกลระดับเทียนทั้งหมดก็พังทลายลง

ทว่ามู่เฉินไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะไพ่ตายของเขาคือค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สร้างไว้ชั้นนอกสุด

โฮก!

เมื่อจิตทะเลสาบมาถึงชั้นนอกสุด ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็ถูกกระตุ้น คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกลายเป็นมังกรพุ่งเข้าปะทะ

ปัง!

คลื่นถาโถมจากการปะทะ จิตทะเลสาบได้รับความเสียหายอย่างหนักก่อนที่จะถูกผลักกลับ แม้แต่แสงมันวาวโดยรอบก็จางลง

เห็นได้ชัดว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารแข็งแกร่งกว่าค่ายกลก่อนหน้ามาก

หัวใจของมู่เฉินสงบลงเมื่อเห็นภาพนี้ ตอนนี้จิตทะเลสาบเป็นลูกไก่ในกำมือแล้ว ไม่อาจหนีไปได้อีก

ตู้ม! ตู้ม!

ในเวลาต่อไป มันยังคงโจมตีไม่หยุด แต่ก็ไม่สามารถแข่งกับค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารได้และถูกผลักกลับไปหลายครั้งพร้อมกับแสงมันวาวรอบตัวจืดจางลง

เมื่อการปะทะครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้น จิตทะเลสาบก็หดตัวลงครึ่งหนึ่ง

มู่เฉินลุกขึ้นยืนไปปรากฏตัวขึ้นเหนือจิตทะเลสาบ ด้วยการตบคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออก ผูกจิตทะเลสาบก่อนที่เขาจะกำหมัดแน่นบีบอัดลงย่างรวดเร็ว กลายเป็นก้อนอัญมณี

ก้อนอัญมณีพลิ้วลงในมือมู่เฉินก่อนที่เขาจะโยนมันขึ้นลงด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ จากนั้นสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก็พวยพุ่งออกมา สร้างค่ายกลที่ถูกทำลายไปก่อนหน้าออกมาใหม่

นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่ามีจิตทะเลสาบเข้ามาตามเส้นทางนี้อีกครั้งแล้ว

หนึ่งชั่วโมงถัดมา

จุดที่มู่เฉินอยู่ก็เริ่มคึกคักยิ่งขึ้น จิตทะเลสาบทีละดวง…ทีละดวงถูกล่อลวงและตกหลุมพราง

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกับดัก จิตทะเลสาบที่ไม่ได้มีสติปัญญามากนักก็ตกหลุมพรางด้วยตัวเอง

ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงมู่เฉินก็ได้ก้อนอัญมณีมาสิบสามดวงแล้ว!

แม้แต่มู่เฉินที่มีจิตใจสงบยังอดยิ้มแย้มไม่ได้ ด้วยความเร็วนี้การรวบรวมจิตทะเลสาบสวรรค์สามสิบดวงก็ไม่ใช่เรื่องยาก

แต่ขณะที่มู่เฉินกำลังตั้งใจเก็บเกี่ยวจิตทะเลสาบจำนวนมาก ความผันผวนของค่ายกลก็กระจายออกไป ซึ่งดึงดูดความสนใจของหลายคนเข้ามา

เมื่อพวกเขาเห็นว่ามู่เฉินจับจิตทะเลสาบได้อย่างง่ายดายด้วยการใช้ค่ายกล ดวงตาแต่ละคนก็แทบหลุดออกจากเบ้า ความตกใจและความโลภก็กะพริบในดวงตาพวกเขา

ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้สูญเสียสติเพราะความโลภ พวกเขาสามารถสัมผัสได้ว่าค่ายกลเหล่านั้นน่ากลัวเพียงใด แม้แต่จิตทะเลสาบสวรรค์ที่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มยังไม่สามารถหนีออกมาได้ ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาให้เมื่อยปาก

ดังนั้นแม้ว่าดวงตาของพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ก็ทำได้เพียงมองดูและไม่กล้าที่จะก้าวเข้าไป

แต่ชัดว่านี่ไม่ได้เป็นกับทุกคน

ตู้ม!

มู่เฉินที่ได้รับจิตทะเลบสาบอีกดวงก็สะบัดมือเก็บเข้ามา ทว่าเขาไม่ได้เคลื่อนไหวแต่ยืนขึ้นมองไปที่พื้นที่ห่างไกลด้วยความเฉยเมย

ร่างแสงสีทองพาดผ่านเข้ามาปรากฏที่เบื้องหน้าเขาในเวลาไม่กี่ลมหายใจ

คนคนนั้นยืนอยู่บนเรือมังกรทองคำ ซึ่งเป็นคนหน้าตาคุ้นเคยยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนนั้น

นั่นคือเซี่ยหยู่

เซี่ยหยู่ยืนอยู่บนเรือมองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มพลางปรบมือเบาๆ “ไม่คิดว่าเจ้าจะสามารถจับจิตทะเลสาบสวรรค์ด้วยวิธีนี้ เปิดหูเปิดตาจริงๆ”

มู่เฉินมองเซี่ยหยู่โดยไม่มีสีหน้าใดๆ และไม่ตอบคำพูดของเขา

เซี่ยหยู่ไม่โกรธมู่เฉินกลับยิ้มอ่อนโยน “มอบก้อนจิตทะเลสาบครึ่งหนึ่งที่เจ้าได้ให้ข้าซะ ไม่งั้นข้าจะทำลายค่ายกล แล้วเจ้าจะไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้อย่างราบรื่นอีก”

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าพลางเงยหน้าขึ้นชี้ไปทางอื่น

“ไสหัวไป”

เผชิญหน้ากับการคุกคามของเซี่ยหยู่ มู่เฉินเอ่ยคำตอบแบบตรงและแรงอย่างที่สุด

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1143 จับ
ฮึ่ม ฮึ่ม!

จิตทะเลสาบสวรรค์ราวกับดวงดาวพริบพราวต่อเนื่อง ทำให้เกิดระลอกคลื่นที่ผิวทะเลสาบโดยรอบ เปล่งความผันผวนที่น่ากลัวและครอบงำของคลื่นหลิงออกมา

มู่เฉินมองไปที่จิตทะเลสาบเปล่งประกาย ใบหน้าก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน ความสามารถในการโจมตีของจิตทะเลสาบเหล่านี้ ทำให้เขาผวาอยู่หน่อยๆ

ตามการคาดการณ์ของเขาการโจมตีทุกครั้งคล้ายกับการโจมตีโดยจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากอยู่กลางทะเลสาบ จิตเหล่านี้ก็ยิ่งขยายพลังจนน่ากลัวมากยิ่งขึ้น!

หลังจากได้สัมผัสพลังจิตเหล่านี้ เขาก็รู้ซึ้งว่าการรับการชำระล้างในทะเลสาบสวรรค์ยากเย็นเพียงใด

นั่นเป็นเพราะแม้แต่ขั้นต่ำสุดของการชำระล้างก็ต้องเก็บจิตทะเลสาบให้ได้สามสิบดวง ถ้าต้องการขั้นสมบูรณ์ที่สุดก็ต้องเก็บถึงร้อยดวงเลยทีเดียว!

ตอนนี้กระทั่งจิตดวงเดียวยังยากที่จะจัดการ แล้วถ้าจะเอาสามสิบดวงคงจุกจนพูดไม่ออกแน่

แม้หัวใจจะคร่ำครวญกับพิธีชำระล้างนี้ แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ย่อท้อสักนิด ม่านตาสีดำวูบไหวด้วยความแน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลง เขาผ่านประสบการณ์นับไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นไม่ว่าการชำระล้างในทะเลสาบสวรรค์จะยากเย็นเพียงใด คนอย่างมู่เฉินก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก

ฮึ่ม!

เมื่อดวงตาของมู่เฉินฉายแววใจเด็ด จิตทะเลสาบก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง วินาทีถัดมาก็ระเบิดออกพร้อมแสงกว้างหมื่นจั้งราวกับลูกแสงซัดลงมาหามู่เฉินอย่างดุเดือด

การปะทะที่ดูเรียบง่ายกลับบรรจุไปด้วยความผันผวนรุนแรง ทำให้เวิ้งน้ำโดยรอบสาดซัดออกไป

การปะทะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ไม่กล้าเผชิญหน้าตรงๆ!

“ปล่อยให้มันโจมตีม่านแสงไม่ได้อีกแล้ว”

ดวงตามู่เฉินวาวแสง ป้ายมังกรทองคำเป็นวัตถุเดียวที่สนับสนุนการเดินทางในทะเลสาบสวรรค์ ถ้าถูกทำลายก็หมายความว่ากระบวนการที่นี่จะจบลง

ตู้ม!

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ พื้นผิวร่างกายของมู่เฉินก็ระเบิดออกด้วยแสงสีทองพร่างพราว ขณะเดียวกันเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก็ก้องกังวาน ก่อนที่จุดจื้อจุนไห่จะปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังพร้อมกับคลื่นหลิงจำนวนมหาศาลพุ่งพรวดออกมา

มู่เฉินกำมือแน่น หอกสงครามมังกรแดงเผยขึ้น ปลายหอกสั่นสะท้านด้วยประกายไฟสีแดงที่แล่นแปลบปลาบออกมา ทำให้ดูราวกับมังกรพุ่งเข้าหาจิตทะเลสาบ

ปัง!

พลังสองสายปะทะกันอย่างหนักหน่วง คลื่นกระแทกกระจายออกมาบ้าคลั่ง ทำให้ผิวทะเลสาบใกล้เคียงบีบตัวเป็นสูญญากาศ

ครืน!

แต่ครั้งนี้จิตทะเลสาบไม่สามารถโจมตีมู่เฉินได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าหอกสงครามจะส่งเสียงครวญครางจากการปะทะ แต่ก็ยังสามารถผลักจิตทะเลสาบถอยร่นไปร้อยจั้ง

มู่เฉินไม่มีริ้วความยินดีบนใบหน้า แต่กลับเพิ่มสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นไปอีก นั่นเป็นเพราะเมื่อจิตทะเลสาบถูกกระแทกกลับไป มันก็พุ่งมาข้างหน้าอีกครั้งด้วยท่าทางที่ดุร้ายยิ่งกว่าเดิม!

คราวนี้น้ำเชี่ยวกรากโถมตัวขึ้นราวกับมังกรวารีโฉบลง

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตเทลงไปในหอกสงครามต่อเนื่อง ก่อนหอกจะกลายเป็นลำแสงสีแดงเข้มยิงออกไป

ขณะเดียวกันดวงตาที่สามก็เปิดขึ้นที่กลางหน้าผากของมู่เฉิน แสงสีดำรวมตัวเป็นลำแสงยิงออกไป เล็งไปที่จิตทะเลสาบประสานพลังกับแสงสีแดงเข้ม

ด้วยความช่วยเหลือของอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสอง จิตทะเลสาบก็ถูกผลักร่นไปอีกครั้ง ความสว่างไสวเหมือนจะได้รับผลกระทบจนหม่นแสงลงเล็กน้อย

“จัดการยากจริงๆ” มู่เฉินขมวดคิ้วกับภาพตรงหน้า ไม่คิดว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์สองชิ้นจะทำให้จิตทะเลสาบสูญเสียพลังได้เล็กน้อยเท่านั้น

ซ่า ซ่า!

แต่ก่อนที่มู่เฉินจะได้ไตร่ตรองกับเรื่องนี้ จิตทะเลสาบดูเหมือนจะคลั่งขึ้นจากการถูกตีกลับไปมาหลายครั้ง ยามนี้มันราวกับหมาบ้าพุ่งเข้าหามู่เฉิน

เผชิญหน้ากับความบ้าคลั่งนี้ มู่เฉินก็เปิดการตอบโต้ด้วยหอกสงครามมังกรแดงและเนตรดับชีวิต เพื่อผลักมันออกไปอีก

ปัง! ปัง!

คลื่นกระแทกป่าเถื่อนกวาดออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้น้ำในทะเลสาบหนาแน่นดันตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งสองฝ่ายปะทะกันดุเดือดซึ่งกินเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่ประกายแสงของจิตทะเลสาบจะเริ่มจางและช้าลง

เมื่อเทียบกับก่อนหน้าจิตทะเลสาบดวงนี้มืดมนนัก ซึ่งดูเหนื่อยล้าอย่างมากจากการต่อสู้

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ดีขึ้นมากนัก เขาหายใจกระชั้นขึ้น บนหน้าผากก็มีเหงื่อไหลออกมา

ชัดว่าเขาหมดพลังไปมากในการเผชิญหน้ากับจิตทะเลสาบ แต่โชคดีที่ทะเลสาบสวรรค์เต็มไปด้วยพลังงานหลิง เขาสามารถฟื้นตัวได้ในขณะที่ต่อสู้ ไม่อย่างนั้นเขาคงม่อยไปแล้วเช่นกัน

ฮึ่ม ฮึ่ม

จิตทะเลสาบสวรรค์สั่นไหวไม่หยุด แต่ชัดว่าตอนนี้มันไม่ได้ทรงพลังเหมือนก่อนหน้า ทันใดนั้นก็เปลี่ยนทิศทางหนีไปเนื่องจากตระหนักได้ว่าคู่ต่อสู้แข็งแกร่งเพียงใด หากเป็นเช่นนี้ต่อไปมันจะต้องหมดแรงและถูกจับอย่างแน่นอน

แม้มันจะเป็นเพียงรูปแบบพลังงาน แต่ก็มีสติปัญญาอยู่บ้าง

“จะไปไหน?”

ทว่ามู่เฉินที่เหน็ดเหนื่อยมาหนึ่งชั่วโมงก็ไม่คิดปล่อยให้มันหนีไปได้ง่ายๆ เขาเตรียมการพร้อมไว้แล้ว ดังนั้นลำแสงหลิงห้าสายก็พุ่งออกมาจากปลายนิ้วราวกับตาข่าย พันธนาการรอบจิตทะเลสาบก่อนที่จะดึงกลับมา

จิตทะเลสาบดิ้นรนบ้าคลั่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ถูกมู่เฉินดึงกลับมาก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นกลุ่มแสงแวววาวขนาดเท่ากำปั้นทารกตกลงมาในมือเขา

เมื่อแสงหลิงแวววาวรวมตัวกันก็ก่อตัวเป็นก้อนอัญมณีโปร่งใสในมือของมู่เฉิน อัญมณีนี้ดูเหมือนจะมีของเหลวจากทะเลสาบสวรรค์อยู่ข้างในพร้อมกับความผันผวนที่บริสุทธิ์และไร้ขอบเขตเล็ดลอดออกมา

“นี่คือรูปแบบแท้จริงของจิตทะเลสาบเหรอ?” มู่เฉินจ้องมองก้อนอัญมณีก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ ของขี้ปะติ่วนี้สร้างปัญหาให้เขามากเลยทีเดียว

มู่เฉินเก็บจิตทะเลสาบสวรรค์อย่างระมัดระวัง แม้ว่าสุดท้ายจะได้มา แต่เขาก็ไม่ได้มีความสุขมากนักเนื่องจากไม่พอใจกับอัตราการเก็บเกี่ยวนี่มาก

ในหนึ่งชั่วโมงเขาได้รับเพียงหนึ่งดวงเท่านั้น มิหนำซ้ำยังเหนื่อยมาก อัตรานี้แม้ว่าจะใช้เวลาทั้งวันในการตามล่าก็หาได้ไม่กี่ดวงเท่านั้น ถ้าเขาอยากจะได้สามสิบดวงก็ต้องใช้เวลาห้าถึงหกวัน… และถ้าต้องการได้รับการชำระล้างสมบูรณ์แบบเขาก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน!

ถ้าเป็นเวลาปกติ มู่เฉินก็ไม่สนใจที่จะทำอย่างช้าๆ แต่เขาไม่รู้ว่าทะเลสาบสวรรค์จะเปิดนานแค่ไหน ดังนั้นเขาต้องรวบรวมจิตทะเลสาบเหล่านี้ให้เร็วที่เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้และเริ่มการชำระล้าง

ขณะที่มู่เฉินครุ่นคิดก็เงยหน้าขึ้นเห็นร่างแสงบนท้องฟ้า แต่ละคนบินไล่จับจิตทะเลสาบกันอลหม่าน

ทว่าสภาพดูน่าสมเพชอย่างยิ่ง เผชิญหน้ากับจิตทะเลสาบดุร้ายนอกเหนือจากจอมยุทธ์บางคนแล้ว ส่วนใหญ่ถูกบีบให้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย

ดังนั้นบางคนจึงจับกลุ่มกันเพื่อตามล่า แต่ประสิทธิภาพจะช้าลงและการสูญเสียจะยิ่งมากขึ้น

บางคนยอมแพ้หลังจากล้มเหลวหลายครั้งก่อนที่จะค้นหาสถานที่ฝึกฝน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดชำระล้างอีกและเลือกที่จะเพาะบ่มขุมพลังที่นี่แทน

ตอนนี้ทั้งทะเลสาบสวรรค์คึกคักมากเลยทีเดียว

มู่เฉินเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนสายตาและพึมพำ “ข้าต้องคิดหาวิธีอื่นแล้วแหละ”

หากเขายังใช้วิธีก่อนหน้าต่อไปก็คงจะเกินทนถ้าต้องการรวบรวมจิตทะเลสาบสวรรค์สามสิบดวง

ทว่าหากเขาต้องการจิตทะเลสาบก็ต้องทำให้พลังงานหมดไปก่อนที่จะจับพวกมันได้โดยไม่มีทางเลือกอื่น

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเรื่องที่น่าปวดหัว แต่มู่เฉินไม่ได้ใจร้อน เขานั่งบนเรือล่องลอยบนสายน้ำไปอย่างช้าๆ เขาได้เห็นจิตทะเลสาบเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่ได้เร่งรีบเคลื่อนไหว เขาเลือกที่จะสังเกตอย่างเงียบๆ

จิตทะเลสาบสวรรค์ไม่ใช่รูปแบบพลังงานปกติ พวกมันเกิดจากทะเลสาบสวรรค์โดยมีสติปัญญาอยู่บ้าง ดังนั้นจึงต้องมีรูปแบบอยู่ภายใน

เวลาผ่านไปภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน ก่อนครึ่งวันจะผ่านไปในพริบตา

ถึงจุดหนึ่งที่มู่เฉินจดจ่ออยู่ก็เกิดประกายแวววาวในดวงตา ทันใดนั้นมือเขาก็กำแน่นขณะที่รอยยิ้มแขวนอยู่ที่มุมปาก

เขาโบกมือขณะยืนขึ้นบนเรือและบ่นพึมพำกับตัวเอง “หวังว่าจะได้ผลนะ”

นี่เป็นครั้งแรกที่มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้ามู่เฉินหลังจากเข้ามาที่นี่ หากสิ่งที่เขาสังเกตเห็นมีประโยชน์ก็คงเป็นไปได้ที่จะรวบรวมจิตทะเลสาบสวรรค์สามสิบดวง

อาจมากถึงที่ว่าถ้าเป็นไปอย่างราบรื่นเขาอาจจะคว้าขั้นสมบูรณ์ของการชำระล้างก็ได้!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1142 จิตทะเลสาบสวรรค์
วาบ! วาบ!

ขณะที่เสียงลมสั่นคลอน ร่างแสงนับไม่ถ้วนก็ลอยตัวขึ้นรอบทะเลสาบสวรรค์ แล้วพุ่งเข้ารอยแตกด้วยดวงตาแดงก่ำ

เมื่อผนึกถูกฉีกออก ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานมหาศาลในทะเลสาบสวรรค์ นอกจากนี้คนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่ก็ไม่ธรรมดา พวกเขารู้ดีว่าทะเลสาบแห่งนี้มีความสำคัญต่อวังสวรรค์บรรพกาลเพียงใด มากจนแม้แต่ในสมัยโบราณก็มีเพียงศิษย์ไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์เข้าสู่ทะเลสาบแห่งนี้

ทว่าตอนนี้วังสวรรค์บรรพกาลล่มสลายแล้ว มีเพียงทะเลสาบสวรรค์ที่เหลืออยู่ หากพวกเขาสามารถคว้าโอกาสนี้ได้ก็จะเป็นประโยชน์มหาศาลในการเพาะบ่มพลังในอนาคต อาจทะยานผ่านประตูสวรรค์ในก้าวเดียว กลายเป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่โดดเด่นของทวีปเทียนหลัว

ดังนั้นในขณะนี้จึงไม่มีใครสามารถคงสติไว้ได้ ทุกคนพุ่งไปที่ทะเลสาบสวรรค์เหมือนเอาชีวิตเป็นเดิมพัน…

หากเป็นไปตามกฎเฉพาะคนที่ได้รับคำป้ายยินยอมตำหนักทั้งเก้าเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ทว่า ณ เวลานี้ไม่มีผู้พิทักษ์สายน้ำแห่งนี้อีกต่อไป ดังนั้นเมื่อผนึกถูกทำลายลงคนที่มามือเปล่าก็แอบเข้าไปโดยใช้รอยต่อของช่วงจังหวะนี้

เมื่อทุกคนพุ่งเข้าไป มู่เฉินก็ไม่ลังเลเนื่องจากอยู่ใกล้ทะเลสาบสวรรค์มากที่สุด พวกมู่เฉินจึงเป็นกลุ่มแรกที่มาถึงตรงรอยแตก ก่อนที่ทั้งหมดจะแลกเปลี่ยนสายตากันแล้วทะยานเข้าไป

ฮา!

เมื่อพวกเขาก้าวข้ามรอยแตก รัศมีโบราณก็กวาดเข้ามา ราวกับว่าคงอยู่มานับหมื่นปีพัดผ่านพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนเหม่อลอยไปเล็กน้อย หมอกควบแน่นก่อร่างเป็นทิวทัศน์โบราณ…

ฉากเคลื่อนไหวพร้อมกับร่างทรงพลังเข้าสู่ทะเลสาบ ร่างกายของพวกเขาเอิบอาบไปด้วยรัศมีปกป้องตนเอง ขณะไล่ตามดวงดาวในทะเลสาบ

ฉากนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสี่คนก็ตื่นจากภวังค์ พวกเขาก้มหน้าลงก็สามารถมองเห็นทะเลสาบสวรรค์ระยิบระยับเป็นประกาย ราวกับว่าบรรจุด้วยพลังงานไร้ขอบเขตซึ่งทำให้มิติถึงกับบิดเบี้ยวเมื่อมหาสุมทรกลิ้งตัว น้ำทุกหยดเหมือนจะมีน้ำหนักสักพันชั่ง

ที่ด้านหลังก็มีคนพุ่งเข้ามามากขึ้น เมื่อเห็นทะเลสาบเบื้องหน้า ดวงตาก็ขึ้นริ้วแดงฉานความโลภกระจายเต็มใบหน้า

วาบ!

มีบางคนต่อต้านการล่อลวงไม่ได้ กระโดดตูมลงไปไม่ยั้งคิด

อ้าก!

แต่ทันทีที่คนคนนั้นเข้าไป เสียงกรีดร้องคร่ำครวญก็ดังโหยหวน คลื่นกวาดขึ้นจากทะเลสาบ บดขยี้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดให้กลายเป็นแอ่งเลือด

เสียงร้องดังกึกก้อง ทำให้ใบหน้าทุกคนเปลี่ยนไปก่อนที่จะถอยกันจ้าละหวั่นมองไปที่ทะเลสาบด้วยอาการขนพองสยองเกล้า

ไม่มีใครคิดว่าทะเลสาบสวรรค์จะอันตรายขนาดนี้!

“เกิดอะไรขึ้น?” แม้แต่หลินจิ้งยังสะดุ้ง ถ้านางพุ่งไปไม่ยั้งคิดก็คงได้อยู่ในสภาพน่าสมเพชไปแล้ว

“ทะเลสาบสวรรค์บรรจุไปด้วยพลังน่าสะพรึง ถ้าการกระโดดลงโดยไม่คิดหน้าคิดหลังก็เท่ากับฆ่าตัวตาย” มู่เฉินยังคงนิ่งสงบ ราวกับภาพเบื้องหน้าถูกคาดการณ์เอาไว้แล้ว

“แล้วเราควรทำยังไงดี?” เซียวเซียวมองไปที่มู่เฉิน

มู่เฉินยิ้ม จากนั้นกำมือป้ายมังกรทองคำก็ปรากฏขึ้นในมือ

เขาโยนป้ายลงไปในทะเลสาบ ประกายสีทองก็เบ่งบาน ป้ายขยายขนาดอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเรือที่ห่อหุ้มไปม่านแสงสีทอง

มู่เฉินเหยียบลงบนเรือ เคลื่อนไหวอย่างอิสระบนผิวน้ำ

“อา ป้ายนี่ใช้แบบนี้ได้ด้วย” เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ดวงตาก็สว่างวาบ แต่ละคนเลียนแบบมู่เฉินทันที ป้ายขยายอย่างรวดเร็วปกคลุมไปด้วยม่านแสงกลายเป็นเรือลำน้อย

แต่เนื่องจากความแตกต่างในระดับชั้น เรือแต่ละลำจึงมีสีที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ระดับการป้องกันก็เห็นได้ชัดต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเรือมังกรทองคำของมู่เฉิน

ทะเลสาบบรรจุไปด้วยพลังที่น่ากลัว หากร่างกายสัมผัสโดยตรงก็ตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีเพียงการป้องกันจากป้ายทำให้พวกเขาสามารถอยู่ในทะเลสาบได้ แต่เนื่องจากความแตกต่างในระดับความแข็งแกร่ง ยิ่งระดับสูงเท่าไรก็ยิ่งสามารถเข้าไปในจุดลึกได้

มู่เฉินยืนบนเรือ พรรคพวกสามคนก็ทำตามแบบเดียวกัน พวกนางสงสัยชัดเจนเกี่ยวกับเรือที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า โดยเฉพาะหลินจิ้งที่จับโน้นจับนี่พลางเอานิ้วจิ้มม่านแสงเบาๆ

“เราจะทำอะไรต่อ?” หลินจิ้งถามด้วยความตื่นเต้น

“ที่จริงตราบใดที่เราอยู่ในทะเลสาบสวรรค์ก็ไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่การฝึกฝนที่นี่ก็มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว” มู่เฉินยิ้ม ด้วยคลื่นหลิงไร้ขอบเขตของทะเลสาบ ประสิทธิภาพการฝึกฝนในหนึ่งวันจะมีค่าเท่ากับหนึ่งเดือนที่ด้านนอก

แต่เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่พอใจแค่นี้ ดังนั้นหลังจากหยุดไปชั่วครู่ มู่เฉินก็พูดต่อ “ถ้าต้องการได้รับผลประโยชน์มากขึ้น ก็ต้องเข้าไปในจุดลึกของทะเลสาบ”

“แล้วการชำระล้างล่ะ?” เซียวเซียวถาม จากมุมมองของนางเป็นธรรมดาที่จะไม่สนใจกับผลประโยชน์ทั่วไปที่มู่เฉินบอก มีเพียงวิธีชำระล้างในทะเลสาบสวรรค์ที่ทำให้นางสนใจได้

“ตามกฎเราต้องค้นหาจิตทะเลสาบสวรรค์เพื่อรับการชำระล้าง ต้องรวบรวมให้ได้เพียงพอถึงจะได้รับการชำระล้างที่สมบูรณ์แบบ” มู่เฉินยิ้ม

“จิตทะเลสาบสวรรค์? คืออะไร?” หลินจิ้งรู้สึกเซ็ง ไม่คิดว่าพิธีชำระล้างทะเลสาบสวรรค์จะยุ่งยากขนาดนี้

มู่เฉินยื่นนิ้วชี้ไปที่ส่วนลึกของทะเลสาบ บางครั้งจะมีแสงตะคุ่มราวกับดาวหางพาดผ่าน แม้จะอยู่ในระยะไกลก็ยังสามารถสัมผัสถึงพลังน่ากลัวที่เปล่งออกมาดาวหางเหล่านั้น

“นั่นคือจิตทะเลสาบสวรรค์ แต่ละดวงบรรจุด้วยพลังงานบริสุทธิ์และเป็นแหล่งที่มาของพลังงานในพิธีการชำระล้าง ซึ่งกระบวนการก็แบ่งเป็นสามขั้นคือ ต่ำ-สูง-สมบูรณ์ การชำระล้างขั้นสมบูรณ์ต้องการใช้พลังของจิตทะเลสาบสวรรค์ร้อยดวงน่ะ”

พูดถึงตรงนี้มู่เฉินก็ยักไหล่ “แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ ว่ากันว่าแม้ในสมัยโบราณศิษย์ที่ได้รับการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ก็ยังมีน้อยมาก”

“ถ้างั้นข้าจะลองดู” เมื่อได้ยินคำอธิบายของมู่เฉิน เซียวเซียวกลับรู้สึกสนใจพลางแย้มยิ้ม ด้วยความมั่นใจในตัวเอง นางต้องการผลที่ดีที่สุด

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ลุยกันเลย” มู่เฉินยิ้มกระแทกฝ่าเท้า เรือมังกรทองคำใต้เท้าก็เปล่งแสงระยับ เคลื่อนไปข้างหน้าเข้าไปในส่วนลึกอย่างรวดเร็ว

จิตทะเลสาบสวรรค์อยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแบ่งกันได้ง่ายๆ หากทำงานร่วมกัน ดังนั้นทั้งสี่คนจึงแยกกันไปชั่วคราว

เมื่อพวกเขาเคลื่อนไหว เสียงสาดกระเซ็นก็ดังก้องไปทั่วทะเลสาบอย่างต่อเนื่อง มีจอมยุทธ์จำนวนมากพลิ้วตัวลงบนเรือ แล้วมุ่งหน้าไปหาจิตทะเลสาบสวรรค์ที่ราวกับดวงดาว

ฟิ้ว!

มู่เฉินยืนบนเรือมังกรทองคำตัดผ่านสายน้ำ ม่านแสงสีทองน่าพิศวงนัก ไม่ว่าน้ำในทะเลสาบสวรรค์จะซัดเข้ามามากแค่ไหน ก็ไม่สามารถสั่นคลอนม่านแสงได้แม้แต่น้อย

แต่เมื่อเดินทางเข้าไปในจุดลึกมากขึ้นเรื่อยๆ มู่เฉินก็ค่อยๆ รู้สึกถึงแรงกดดันแม้จะมีม่านแสงปกป้องก็ตามซึ่งทำให้เขาแอบตกใจ หากไม่มีป้ายช่วยปกป้อง ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเข้าสู่ทะเลสาบสวรรค์ส่วนลึกด้วยพละกำลังที่มี

ขณะที่มู่เฉินอึ้งทึ่ง แสงแวววาวก็ผลิบานที่เบื้องหน้าสายตา เขาเงยหน้าขึ้นมองเห็นดวงดาวที่ล่องลอยอยู่พร้อมกับรัศมีพร่างพราวเล็ดลอดออกมา ความผันผวนของคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตทำให้ผิวทะเลสาบกระเพื่อมไหว

นั่นคือจิตทะเลสาบสวรรค์ดวงหนึ่ง

มู่เฉินมองไปก็เคลื่อนเข้าหาด้วยความสนใจ แต่ในเวลาเดียวกันก็ตื่นระวังขั้นสุดไว้ เขารู้สึกได้อย่างเลือนรางถึงภัยคุกคามที่มาจากดวงดาวดวงนี้

ฮึ่ม ฮึ่ม

เมื่อมู่เฉินเข้ามาใกล้ จิตทะเลสาบดวงนี้ก็เหมือนสัมผัสได้ถึงการเข้าใกล้ของเขา มันสั่นแล้วกระโจนใส่มู่เฉินอย่างแรง

มู่เฉินตกใจกับภาพเบื้องหน้า ไม่กล้ารอช้า ร่างกายพรั่งพรูด้วยแสงสีทอง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกลายเป็นกำปั้นพุ่งผ่านม่านแสงสีทองซัดใส่จิตทะเลสาบ

ภายในทะเลสาบคลื่นหลิงดูเหมือนเดินทางได้อย่างอิสระ ดังนั้นเมื่อการโจมตีของมู่เฉินทะลุผ่านม่านแสง มันก็ไม่ได้ถูกยับยั้งกลับพุ่งออกไปเร็วกว่าเดิม

ตู้ม!

กำปั้นปะทะกับจิตทะเลสาบ ทว่าการโจมตีที่ทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ยับยั้งจิตทะเลสาบได้เพียงแวบหนึ่งก่อนจะระเบิดออก

วาบ!

จิตทะเลสาบครางกระหึ่มกวาดเข้ามา กระแทกเข้ากับม่านแสงพลัง

ปัง!

ทั่วทั้งม่านแสงสั่นสะเทือนรุนแรงส่งระลอกคลื่นเป็นวงกว้าง แรงการปะทะทำให้เรือถอยกลับไปหลายร้อยจั้ง

ซื้ด

มู่เฉินมองม่านแสงที่สั่นสะเทือนก็อัดอากาศเย็นเต็มปอด เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าเรือมังกรทองคำใต้ฝ่าเท้าสั่นไหวไปหมด เห็นได้ชัดว่าแม้จะใช้ป้ายมังกรทองคำก็ไม่สามารถทนต่อการโจมตีได้มาก ยิ่งกว่านั้นเมื่อไรที่เรือแตกการเดินทางในทะเลสาบสวรรค์ของมู่เฉินก็จะสิ้นสุดลง

การโจมตีของจิตทะเลสาบน่ากลัวมากจนสามารถเทียบเท่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มเลยทีเดียว!

ฟิ้ว!

ขณะที่มู่เฉินตกตะลึง จิตทะเลสาบที่ราวกับดวงดาวก็พุ่งโจมตีเข้ามาอีกครั้ง

“นรกล่ะ!”

เผชิญหน้ากับการจู่โจมของจิตทะเลสาบสวรรค์ กระทั่งมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่ง ใบหน้าเขาขึงเกร็ง ขณะนี้เขาเข้าใจแล้วว่าการได้รับพิธีชำระล้างในทะเลสาบสวรรค์ยากเข็ญเพียงใด

ซึ่งยากยิ่งกว่าถ้าเขาต้องการได้รับการชำระล้างสมบูรณ์แบบ จะทุกข์ทนยิ่งกว่าก้าวขึ้นสวรรค์ซะอีก

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1141 ทะเลสาบสวรรค์เปิด
ฟู่! ฟู่!

เพลิงโหมกระหน่ำกวาดออกมาระหว่างฟ้าดิน ราวกับท้องฟ้าถูกแผดเผาในเวลานี้โดยมีจู้เยี่ยนยืนตระหง่านราวกับเทพเซียน ปลดปล่อยแรงกดดันน่ากลัวยิ่งยวดออกมา

จู้เยี่ยนเปิดเผยพลังเต็มที่ขณะเคลื่อนไหวและแรงกดดันก็เหนือชั้นกว่าจาโหลหลัวอยู่เล็กน้อย ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาเป็นอันดับหนึ่งในทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัว

แต่เมื่อประจันหน้ากับจู้เยี่ยน ใบหน้าของเซียวเซียวก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ตรงกันข้ามนางกลับจ้องมองจู้เยี่ยนตั้งแต่หัวจรดเท้าพูดอย่างสบายๆ “เจ้าแน่ใจว่าถ้าพ่อข้าไปเยี่ยมที่เผ่าเทพอัคคีจริงๆ พวกเขาจะต้อนรับเขาไหว?”

ย้อนกลับไปตอนที่เทพจักรพรรดิอัคคีท่องยุทธภพ เขาได้ก่อให้เกิดจลาจลใหญ่ในเผ่าเทพอัคคีจนต้องเชิญผู้อาวุโสเฒ่าที่เข้าสมาธิออกมา แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถจับอีกฝ่ายไว้ได้และทำได้เพียงเฝ้ามองชายคนนั้นคว้าเพลิงจักรพรรดิไปเท่านั้น ในเวลานั้นพลังของเทพจักรพรรดิอัคคีก็น่าสะพรึงกลัวอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลย…

หากเทพจักรพรรดิอัคคีไปหาอีกครั้งแม้แต่ผู้อาวุโสเฒ่าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

ยิ่งไปกว่านั้นเทพจักรพรรดิอัคคีก็ไม่ได้มีอำนาจใดๆ ในเวลานั้น แต่ตอนนี้เขาก่อตั้งแค้วนหวู่จิ้งฮั่วจนมั่นคงแล้ว แม้ว่าเผ่าเทพอัคคีจะเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ ซึ่งถ้าดูจากประวัติอันยาวนานก็สามารถข่มแคว้นหวู่จิ้งฮั่วได้ แต่หากพวกเขาประกาศสงครามก็มีโอกาสอย่างน้อยแปดส่วนที่เผ่าเทพอัคคีจะถูกทำลาย

จู้เยี่ยนรู้ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน ทำให้เปลวไฟบนท้องฟ้าหยุดลงชั่วครู่ แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจที่จะยอมรับ แต่เขารู้ดีว่าหากเทพจักรพรรดิอัคคีโกรธขึ้นมาละก็ เผ่าเทพอัคคีของพวกเขาคงทนรับไม่ไหว

ทว่าแม้เทพจักรพรรดิอัคคีจะน่ากลัว แต่จู้เยี่ยนก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาทั่วไป เขาหายใจเข้าลึกพูดว่า “ข้าแค่ขอเชิญเจ้าไปเป็นแขกของเผ่า ไม่คิดทำอันตรายอะไร”

จู้เยี่ยนรู้ว่าไม่สามารถทำอะไรเซียวเซียวได้ แต่ถ้าเขาสามารถเอาชนะนางและพานางกลับไปที่เผ่า ความสำเร็จนี้จะทำให้เขาคว้าตำแหน่งประมุขน้อยได้อย่างแน่นอน

เซียวเซียวยิ้มอ่อนเมื่อได้ยินคำพูดของเขา “กลัวว่าเจ้าจะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพาข้าไปที่เผ่าได้นะสิ”

เผชิญหน้ากับอันดับหนึ่งของจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัว เซียวเซียวก็ไม่ได้กลัวแม้แต่น้อย ในเมื่อบิดาของนางสามารถปราบเผ่าเทพอัคคีได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นในฐานะบุตรสาวแม้ว่านางจะไม่สามารถทำสิ่งเดียวกันได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถจัดการพวกคนรุ่นใหม่ของเผ่าเทพอัคคีได้

พอจู้เยี่ยนเห็นท่าทางสบายๆ ของเซียวเซียว สายตาก็ค่อยๆ เคร่งเครียดลง ด้วยตัวตนของเซียวเซียว ขนาดเป็นคนโง่ยังรู้ว่านางรับมือได้ไม่ง่ายเลย

เผชิญหน้ากับนางแม้แต่จอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างจู้เยี่ยนยังรู้สึกหวาดกลัวในใจ

“ข้าจะสู้กับเจ้าในวังสวรรค์บรรพกาล” จู้เยี่ยนลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะพูด ในเมื่อเขาพบกับเซียวเซียว ก็ต้องระเบิดการต่อสู้ขึ้นอย่างแน่นอน แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดที่จะทำ เพราะทะเลสาบสวรรค์อยู่ตรงหน้า ไม่ว่ายังไงก็ควรทำหลังจากได้โอกาสในทะเลสาบสวรรค์ก่อน

“ตามสบาย” เซียวเซียวยังคงมีท่าทางเกียจคร้าน ราวกับว่าไม่มีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับการท้าทายของจู้เยี่ยน

จู้เยี่ยนมองไปที่เซียวเซียวอย่างลึกซึ้งและไม่พูดอีกต่อไปก่อนที่เขาจะถอยออกไปบนยอดเขาไม่ไกลแห่งหนึ่ง

“มีปัญหาอะไรไหม?” มู่เฉินพูดขึ้นเมื่อจู้เยี่ยนไปแล้ว พลังของอีกฝ่ายไม่ธรรมดาอย่างแท้จริงและไม่สามารถมองข้ามไปได้

เซียวเซียวเล่นกับเสี่ยวไฉ่ขณะยิ้ม “ไม่ต้องกังวล ปล่อยเจ้านั่นเป็นหน้าที่ข้า ข้ารับรองว่าเขาจะไม่มีเวลามาสร้างปัญหากับพวกเจ้า”

นางมองออกว่าพวกมู่เฉินเป็นศัตรูกับจู้เยี่ยนมาก่อนแล้ว ในเมื่อเขากระโดดออกมาปะทะเอง นางก็สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกเพื่อที่จู้เยี่ยนจะได้ไม่มีเวลาไปรบกวนมู่เฉินและคนอื่นๆ

ทั้งสามสามารถบอกถึงความมั่นใจที่ไม่เปลี่ยนแปลงของนางได้จากน้ำเสียง ในฐานะธิดาเทพจักรพรรดิอัคคีนางมีความภาคภูมิใจของตนเอง เผ่าเทพอัคคีรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถเรียกความอัปยศอดสูคืนจากเทพจักรพรรดิอัคคี ดังนั้นพวกเขาจึงวางความคิดไว้ที่นางเพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมาบ้าง ส่วนนางก็ไม่ปฏิเสธที่จะสอนบทเรียนให้พวกเขาอีกครั้ง

คนอื่นๆ ยิ้มและพยักหน้า แม้ว่าจู้เยี่ยนจะทรงพลัง แต่พวกเขาก็เชื่อในตัวเซียวเซียวที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้

จากนั้นทุกคนก็รอคอยอย่างเงียบๆ ต่อ พักใหญ่ก็มีเสียงเหาะเหินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับพวกเขา เพราะนั่นคือซูชิงหยิงที่มู่เฉินพบที่หน้าประตูมังกรทะยานสวรรค์

ซูชิงหยิงยืนอยู่บนแมลงหุ้มเกราะสี่ปีกที่ดูน่ากลัวเดินทางด้วยความเร็วที่น่าทึ่งมากก่อนจะมาหยุดที่นอกทะเลสาบสวรรค์ เมื่อนางเห็นพวกมู่เฉินที่มาถึงก่อนก็อดประหลาดใจไม่ได้

“ฮิๆ ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะเร็วขนาดนี้” ซู่ชิงหยิงมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับดวงตาหรี่ลงก่อนจะเหลือบมองหลินจิ้งและเซียวเซียว

โดยเฉพาะเซียวเซียวที่ทำให้หัวใจนางสั่นสะท้าน ซูชิงหยิงสามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยอันตรายที่มาจากอีกฝ่าย

“เจ้านั่นไปพบจอมยุทธ์ลึกลับแบบนี้จากที่ไหนอีก?” ซูชิงหยิงพึมพำในใจ เซียวเซียวและหลินจิ้งไม่ใช่คนทวีปเทียนหลัวแน่นอน มิฉะนั้นไม่มีทางที่จะไม่คุ้นหน้าพวกนาง

มู่เฉินพยักหน้าอย่างใจเย็นตอบซูชิงหยิงไป แม้ว่านางจะได้รับเพียงป้ายมังกรเขียวจากประตูมังกร แต่มู่เฉินรู้ดีว่าถ้าต้องต่อสู้กันจริงๆ ผู้หญิงคนนี้ต่อกรได้ยากลำบากแน่

ทว่าอารมณ์ของซูชิงหยิงวูบวาบเหมือนลมพัดมักจะเปลี่ยนไปมา ดังนั้นมู่เฉินก็ไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าใกล้นาง กลัวว่าจะมาซึ่งปัญหา

ซูชิงหยิงที่เห็นท่าทางไม่แยแสของมู่เฉินก็เบ้ปาก นางไม่ได้ขยับเข้าไปใกล้พวกเขา สายตาจดจ่อไปที่ทะเลสาบสวรรค์พร้อมกับดวงตากะพริบวิบวับ

หลังจากซูชิงหยิงก็มีคนอีกกลุ่มมาถึงซึ่งก็ไม่ใช่ไม่คุ้นเคย นี่คือพวกแคว้นเซี่ยที่ปะทะกันนอกเกาะมังกร

ทว่ายามนี้ทั้งกลุ่มทุลักทุเลมาก นอกจากนี้ยังสูญเสียคนไปมาก มีเพียงสี่ห้าคนเท่านั้นที่มาถึงที่นี่ แต่ทุกคนก็มีรัศมีที่ทรงพลัง

เมื่อเซี่ยหยู่ปรากฏตัวก็กวาดมองไปที่มู่เฉินอย่างโหดเหี้ยม ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ใส่ใจ ดวงตามู่เฉินยังคงปิดสนิท

เห็นดังนี้เซี่ยหยู่ก็เค้นเสียงขึ้นจมูกเย็นชาก่อนที่จะมองไปที่จาโหลหลัวและจู้เยี่ยน ดวงตาเปล่งประกายเล็กน้อย

หลังจากเซี่ยหยู่มาถึงก็มีเสียงลมแหวกอากาศดังเข้ามาต่อเนื่อง บ่งบอกการมาถึงของจำนวนคนมากขึ้น

คนทั้งหมดไม่ได้อ่อนแอ แม้แต่จอมยุทธ์ที่อ่อนแอที่สุดก็อยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ซึ่งหลายคนได้รับการฟูมฟักจากขั้วอำนาจระดับสูงของเทียนหลัว ขณะเดียวกันก็มีใบหน้าไม่คุ้นเคยที่มาจากนอกทวีปอีกด้วย

ภายในเวลาเพียงสองชั่วโมงสถานที่เงียบสงบก็เต็มไปด้วยผู้คน ความผันผวนนับไม่ถ้วนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าซึ่งพิสูจน์ได้ว่าไม่มีใครที่นี่เป็นมิตร

ซ่า-ซ่า!

เมื่อมีผู้คนมารวมตัวกันมากขึ้น ทะเลสาบสวรรค์ก็ตอบสนอง เสียงน้ำไหลไพเราะดังขึ้น

เสียงน้ำทำให้คลื่นหลิงในร่างกายทุกคนสั่นราวกับกระหายอยาก คลื่นพลังงานกระหายที่จะทำให้บริสุทธิ์และชำระล้างจากทะเลสาบสวรรค์

ฮึ่ม ฮึ่ม

เมื่อเสียงน้ำดังขึ้น มู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าป้ายยินยอมบนหลังมือค่อยๆ ร้อนขึ้นก่อนที่จะกลายเป็นริ้วแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

วาบ! วาบ!

ริ้วแสงยังปรากฏบนร่างคนอื่นที่ได้รับป้ายยินยอมและรวมตัวกันที่นอกทะเลสาบสวรรค์ก่อนที่จะก่อตัวเป็นสัญลักษณ์ขนาดใหญ่

เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ความสุขก็กระจายบนใบหน้า ดูท่าป้ายตำหนักทั้งเก้าจะรวมตัวกันที่นี่แล้ว

สัญลักษณ์โบราณหมุนคว้าง จากนั้นเกลียวแสงก็ยิงไปที่ผนึกของทะเลสาบสวรรค์ ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน พลังงานหลิงระหว่างสวรรค์และโลกกลิ้งไปมา รอยแตกก็ค่อยๆ เปิดขึ้นบนผนึก

ครืน!

เมื่อรอยแตกฉีกออก เสียงกัมปนาทก็ดังกึกก้องก่อนที่พลังหลิงน่าทึ่งจะพัดออกมา ทำให้คลื่นหลิงในฟ้าดินเดือดพล่าน

“ช่างเป็นคลื่นหลิงที่บริสุทธิ์นัก” สัมผัสได้ถึงพลังงานไร้ขอบเขต ใบหน้าของพวกเซียวเซียวก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้

ทะเลสาบสวรรค์ไม่เพียงแต่มีคลื่นหลิงทรงพลัง แต่ยังมีพลังมหัศจรรย์อื่นๆ อีกด้วย ขณะนี้พวกเขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงคลื่นหลิงในร่างกาย แม้แต่ทักษะพลังกาย กระทั่งร่างเทห์สวรรค์ก็คำรามด้วยความหิวกระหาย

หากพวกเขาสามารถรับการชำระล้าง แน่นอนว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์แบบแม้แต่ร่างเทห์สวรรค์ก็จะบริสุทธิ์หมดจด

มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากขณะไฟลุกโชนในดวงตา แม้ว่าพวกเขาจะมีบ่อทองข่ายฟ้าในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ซึ่งเขาเคยใช้ในอดีตเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างเทห์สวรรค์ แต่หากเปรียบเทียบกับทะเลสาบสวรรค์นี้ก็อย่าให้พูดเลย

“ถ้าข้าชำระล้างสำเร็จก็จะสามารถวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับระดับตี้จื้อจุนได้”

มู่เฉินสบตากับพรรคพวก อึดใจทั้งหมดก็พุ่งตัวไปที่รอยแตก ทะเลสาบสวรรค์อยู่ต่อหน้าแล้ว ไม่มีใครอยากยอมแพ้ตอนนี้หรอก

ตู้ม!

การเคลื่อนไหวของพวกเขาไปกระตุ้นจอมยุทธ์คนอื่นๆ ที่หิวกระหาย ทันใดนั้นเสียงลมแหวกอากาศก็ดังลั่น ทุกคนพุ่งไปหารอยแตกของผนึก

บรรยากาศทั่วบริเวณปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1140 ความเป็นปฏิปักษ์
สองสายตาฟาดฟันที่กลางอากาศแม้แต่มิติก็ยังบิดเบี้ยว

สายตาของจาโหลหลัวคล้ายกับเหวเมื่อมองมาที่มู่เฉิน รอยยิ้มบางเบาที่ประดับบนริมฝีปากเสมอเหมือนจะจางหายไป เนื่องจากเขารู้สึกถึงคลื่นผิดแผกในร่างของมู่เฉิน มากจนมิติที่อยู่เบื้องหลังเขาก็สั่นไหวเบาบาง ก่อนจะก่อร่างเป็นภาพเงาขนาดใหญ่

ร่างเทห์สวรรค์ที่เขาฝึกฝนถูกกระตุ้นออกมาโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ

ทว่าสุดท้ายจาโหลหลัวก็สามารถปราบปรามลงได้ ดวงตาเขาจับจ้องไปที่มู่เฉินพร้อมกับจิตสังหารกะพริบอยู่ในส่วนลึกของดวงตา

เมื่อไอสังหารปรากฏขึ้นในดวงตาของจาโหลหลัวคลื่นหลิงที่คล้ายกับภูเขาไฟก็ระเบิดออกจากร่างกาย ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนเป็นมืดมน แรงกดดันเพิ่มขึ้นจากร่างเขา

ภูเขาที่อยู่ใต้เท้าสั่นสะท้านราวกับว่ากำลังกลัวที่จะถูกทำลาย

ฮึ่ม!

เมื่อจาโหลหลัวเปิดเผยเจตนาฆ่า มู่เฉินก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเดียวกัน แสงสีทองเบ่งบานออกมาจากร่างกายพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังออกมา มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนบนแขนของเขา ปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังออกมา

มิติบิดเบี้ยวที่ด้านหลัง จุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นเลือนรางพร้อมกับพลังงานไร้ขอบเขตสั่นสะท้านทั่วขอบฟ้า

ทั้งสองคนแค่สบตากันก็เปิดเผยเจตนาฆ่าออกมา เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่สัมผัสได้ถึงร่างเทพสุริยะของกันและกัน

ในฐานะผู้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะ หากพวกเขาต้องการให้ร่างเทห์สวรรค์เกิดวิวัฒนาการก็จะต้องเอาชนะคู่แข่ง เพราะมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่จะได้รับวิวัฒนาการขั้นสุดท้าย

เมื่อจิ่วโยวเห็นมู่เฉินปลดปล่อยคลื่นหลิง นางก็หมุนเวียนพลังงานโดยไม่ลังเล ผลึกเพลิงพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย

เซียวเซียวและหลินจิ้งก็อึ้งไปชั่วขณะ ชัดว่าทั้งสองคนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ชายสองคนนี้ถึงดูเหมือนจะเปิดศึกมรณะ ทว่าพวกนางก็รู้สึกงงงวยชั่วครู่ ก่อนจะจ้องมองไปที่จาโหลหลัวพร้อมกับคลื่นหลิงน่าอัศจรรย์ผันผวนออกจากร่างกาย

เมื่อเทียบกับมู่เฉินแล้วจาโหลหลัวเป็นคนแปลกหน้า แม้ว่าอีกฝ่ายจะดูเหมือนต่อกรยาก แต่เซียวเซียวและหลินจิ้งก็เลือกที่จะช่วยเหลือสหายอย่างมู่เฉินเต็มกำลัง

ดังนั้นทั้งสามสาวจึงปลดปล่อยคลื่นหลิงออกมาที่เบื้องหลังมู่เฉิน การเคลื่อนไหวของพวกนางระงับคลื่นหลิงที่มาจากจาโหลหลัวอย่างต่อเนื่องจนถึงจุดที่ถูกผลักกลับไปในระยะร้อยจั้งรอบร่างจาโหลหลัว

เมื่อจาโหลหลัวเห็นฉากนี้ดวงตาก็หดลงก่อนที่จะเหลือบเซียวเซียวกับหลินจิ้ง เขาสัมผัสได้ว่าความผันผวนของพลังงานที่มาจากทั้งสองไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตนเอง

หากนี่เป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวเขาไม่เกรงกลัวมู่เฉินสักนิด แต่อีกฝ่ายมีกลุ่มทรงพลัง ถ้าพวกเขาต่อสู้กันชัดว่าเขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

เมื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้จาโหลหลัวก็ไม่คิดที่จะดำเนินการใดๆ ที่ไม่จำเป็น เขาค่อยๆ ดึงจิตสังหารในส่วนลึกของดวงตากลับเข้าไป ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็หดกลับก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มให้มู่เฉิน “ไม่คิดว่าเจ้าก็ฝึกฝนร่างเทพสุริยะเช่นกัน เป็นโชคชะตาที่เราได้เจอกันวันนี้”

แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีการรวมตัวทรงพลัง แต่จาโหลหลัวก็ยังคงนิ่งสงบโดยไม่เปิดเผยความเกรงกลัวใดๆ เพียงแค่จิตใจนี้อย่างเดียวก็ทำให้มู่เฉินยกย่องในใจ จาโหลหลัวไม่ธรรมดาแท้จริงสมกับเป็นผู้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะ

“ชะตากรรม” มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ถ้าเป็นคนไม่รู้อะไรอาจคิดว่าพวกเขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานด้วยซ้ำ แต่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ต้องสังหาร

ดังนั้นพวกเขาไม่ใช่สหาย แต่เป็นศัตรู

แม้ว่าเขาจะรู้ว่าจาโหลหลัวเป็นหนึ่งในศัตรูยิ่งใหญ่ที่สุดในการชิงวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ แต่มู่เฉินก็ไม่คิดใช้ประโยชน์จากสตรีเพื่อกำจัดอีกฝ่ายในตอนนี้ เพราะเขารู้ว่าแม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกัน จาโหลหลัวก็มีหนทางหลบหนีไปได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ ตอนนี้ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือการได้รับพิธีชำระล้างของทะเลสาบสวรรค์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง

แน่นอนว่าแม้เขาจะยังไม่มีความตั้งใจที่จะสู้ในขณะนี้ แต่มู่เฉินก็ยังคงจ้องมองไปที่จาโหลหลัวแบบตื่นระวังในดวงตา

“ฮ่าๆ ข้าเข้าใจแล้ว”

เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน จาโหลหลัวก็ยิ้มสบายอารมณ์ก่อนที่จะถอยหลังหลบฉากออกไป

“ชายคนนั้นเคี้ยวยาก เราประมาทไม่ได้ เจ้าไปแตะกระดานเหล็กแบบนั้นได้ยังไง?” เซียวเซียวมองไปที่จาโหลหลัวที่ถอยห่างออกไปพลางเลิกคิ้วขึ้น ชายคนนั้นทรงพลังมากและยังเก่งบุ๋นและบู๊ ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ นางเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อนแต่ก็ไม่ได้ปะทะกัน ถึงอย่างนั้นนางก็สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของอีกฝ่าย

“นี่เป็นการพบกันครั้งแรก ข้าไม่เคยไปได้ยั่วอะไรเขา” มู่เฉินยักไหล่ก่อนจะพูดต่อ “เพียงแต่ว่าพวกข้าคนเดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ”

ในฐานะผู้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างมู่เฉินและจาโหลหลัวลึกซึ้งยิ่งกว่าเซี่ยหยู่ มู่เฉินรู้ชัดว่าต่อให้เขาต้องการถอย จาโหลหลัวก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเขา ดังนั้นระหว่างพวกเขาสองคนจึงมีเพียงหนึ่งเดียวที่จะมีชีวิตอยู่ได้

“งั้นก็ฆ่าเขาซะ” หลินจิ้งตบไหล่มู่เฉินขณะให้กำลังใจ “แม้ชายคนนั้นจะไม่ธรรมดา แต่เจ้าจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้ยิ้มแน่นอน”

“เชื่อมั่นในตัวข้าขนาดนี้เลยหรอ…” แม้แต่มู่เฉินก็ประหลาดเล็กน้อย

ริมฝีปากของหลินจิ้งโค้งขึ้นขณะตอบ “ท่านแม่ของข้าประเมินเจ้าไว้สูงมากในตอนนั้น ถ้าเจ้าไม่สามารถจัดการกับชายคนนั้นได้ก็น่าอายเกินไป”

มู่เฉินกลอกตากับคำพูดของนาง

จิ่วโยวที่อยู่ด้านข้างก็เม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มล้อเล่น “แต่เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ดูเหมือนสี่อันดับแรกของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ทวีปเทียนหลัวไม่มีความเป็นมิตรให้เจ้าเลยนะ”

มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ เขาเหลือบมองไปที่เซียวเซียวและหลินจิ้ง “ข้าก็ใช่ว่าจะไม่มีเพื่อนสนับสนุน”

เมื่อทั้งสี่ร่วมมือกันกลุ่มของพวกเขาก็ทรงพลังมาก กระทั่งจู้เยี่ยนที่เผชิญหน้ายังทำได้เพียงถอยหนี

เมื่อหญิงสามคนได้ยินคำพูดของเขาก็กลอกตาบน

“ตอนนี้เราจะทำอย่างไรดี? ทะเลสาบสวรรค์อยู่เบื้องหน้า แต่ดูเหมือนว่าจะเข้าไปไม่ได้” เซียวเซียวดึงหัวข้อกลับมาอย่างรวดเร็วขณะมองไปที่ทะเลสาบสวรรค์ขนาดใหญ่

มู่เฉินหรี่ตาลงขณะที่มองไปรอบๆ ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า “ทะเลสาบสวรรค์น่าจะถูกผนึกไว้ ซึ่งเป็นไปสูงที่จัดตั้งไว้โดยจักรพรรดิฟ้า ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะใช้พลังเพื่อเข้าไป”

“ถ้างั้นเราจะทำยังไง?” หลินจิ้งถาม เป้าหมายอยู่ตรงหน้าซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกงุ่นง่านที่ไม่สามารถเข้าไปได้

ทว่ามู่เฉินกลับสงบนิ่งตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องรีบ รอจนกว่าป้ายยินยอมจากเก้าตำหนักมาที่นี่ ผนึกก็จะเปิดออกเอง เมื่อถึงเวลานั้นก็จะเป็นโอกาสให้เข้าไป”

ก่อนเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล เขาได้รับข้อมูลเหล่านี้จากมั่นถัวหลัวมา

เมื่อพวกหญิงสาวได้ยินคำพูดของเขา พวกนางรู้สึกโล่งใจก่อนที่จะนั่งลงบนยอดเขาเริ่มคุยกันเพื่อรอการมาถึงของคนอื่นๆ

พวกเขาไม่รอนานนัก เสียงลมแหวกอากาศก็ดังกึกก้องมาจากระยะไกล ร่างแสงลุกเป็นไฟปรากฏขึ้นหลังจากไม่กี่ลมหายใจ

“หืม เจ้านั่นออกมาแล้วเหรอ? เร็วจริง?” หลินจิ้งมองไปที่ร่างเพลิงก็อุทาน

คิ้วของมู่เฉินกระตุกเมื่อตระหนักได้ว่าคนที่มาถึงก็คือจู้เยี่ยนที่ก่อนหน้านี้ถูกกักไว้ในค่ายกล

จู้เยี่ยนยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับลาวาไหลท่วมร่าง เขารู้สึกได้ถึงสายตาของพวกมู่เฉินก่อนจะจ้องตอบ “ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนรักษาสัญญา”

เขาหมายถึงการที่มู่เฉินดักจับเขาเอาไว้ ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินจะเล่นกลในค่ายกล ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรักษาสัญญาที่จะให้กับดักสลายไปตามเวลาที่ผ่านไป

แม้ว่าเขาจะมีหนทางหลบหนีถ้ามู่เฉินไม่คิดปล่อย แต่อย่างน้อยการรักษาสัญญาเช่นนี้ก็ทำให้เขาไม่คาดคิด

มู่เฉินยิ้มให้จู้เยี่ยน “เจ้ามาที่นี่เร็วกว่าที่ข้าคาดไว้”

จู้เยี่ยนยิ้มบาง “แม้ว่าข้าจะผิดคาดที่เจ้ารักษาสัญญา แต่ข้าก็ไม่คิดจะปล่อยเรื่องนั้นไปง่ายๆ หรอกนะ”

“ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ” มู่เฉินพยักหน้า ในเมื่อเขาเลือกที่จะเคลื่อนไหว เขาก็ไม่เคยหวังว่าเรื่องนี้จะเกิดสันติสุขได้

“เจ้ามาจากเผ่าเทพอัคคีเหรอ?” ที่ด้านหลังเซียวเซียวก็มองไปที่จู้เยี่ยนด้วยความสนใจ รอยยิ้มแฝงรสชาติบางอย่างปรากฏขึ้นบนใบหน้านาง

จู้เยี่ยนปรายตามองไปที่เซียวเซียวพลางขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่มาจากนาง หญิงสาวลึกลับคนนี้มาจากไหน? เขาไม่เห็นนางอยู่กับมู่เฉินตอนนั้น

เซียวเซียวยิ้มอ่อนก่อนที่งูน้อยเจ็ดสีจะเลื้อยมาบนไหล่พลางแลบลิ้นให้จู้เยี่ยน

เมื่อจู้เยี่ยนมองไปที่งูเจ็ดสี ม่านตาก็หดเกร็งพร้อมกับสีหน้าเปลี่ยนไป “อสรพิษกลืนฟ้า? เจ้ามาจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเรอะ? เทพจักรพรรดิอัคคีเป็นอะไรกับเจ้า?!”

ตอนนั้นการเดิมพันระหว่างเทพจักรพรรดิอัคคีและเผ่าเทพอัคคีส่งผลให้เพลิงจักรพรรดิของพวกเขาถูกยึดเอาไป สุดท้ายกระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดจะออกจากสมาธิ แต่ก็ไม่สามารถสยบเทพจักรพรรดิอัคคีได้ นี่เป็นความอัปยศอดสูของเผ่าเทพอัคคี ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีความสัมพันธ์ฉันมิตรต่อกันเพราะพวกเขาจะฟัดกันทุกครั้งที่เจอ หลายปีที่ผ่านมาจอมยุทธ์จากเผ่าเทพอัคคีมากมายพยายามสู้เพื่อชิงเพลิงจักรพรรดิกลับมา

ด้วยเหตุนี้เผ่าเทพอัคคีจึงรู้ตื้นลึกหนาบางแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเป็นอย่างดีและรู้ว่าอสรพิษกลืนฟ้าเป็นสมบัติของนายหญิงแคว้นนี้

ในเมื่อเซียวเซียวมีอสรพิษกลืนฟ้า นางก็ต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายหญิงคนนั้น

“เขาเป็นพ่อข้าน่ะ” เซียวเซียวยิ้มบางโดยไม่คิดปิดบังความจริง

เปลวไฟพวยพุ่งออกจากร่างของจู้เยี่ยนลาวาไหลริน เขาสูดหายใจเข้าลึกจับจ้องไปที่เซียวเซียว ตอนนี้เขาลืมความแค้นที่มีต่อมู่เฉิน มีเพียงเซียวเซียวเท่านั้นที่อยู่ในสายตา

“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ข้าก็ขอเชิญองค์หญิงไปเยี่ยมเยียนเผ่าเทพอัคคีสักหน่อย แล้วให้บิดาเจ้านำเพลิงจักรพรรดิมาเพื่อแลกเปลี่ยน”

ระเบิดเพลิงเชี่ยวกรากพรูออกมาจากร่างจู้เยี่ยนแผดเผาท้องฟ้า

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1139 พบหน้าจาโหลหลัวครั้งแรก
ออกจากเกาะมังกร

พวกมู่เฉินทั้งสี่ใช้ตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำสามคนในการข่มขู่ผู้อื่น แม้ว่าผู้คนจะรู้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะได้รับสมบัติมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าจะโจมตีหรือติดตามไป ขนาดเซี่ยหยู่ยังได้แต่จ้องมองพวกมู่เฉินจากไปโดยไม่กล้าเคลื่อนไหว

หลังจากออกจากเกาะมังกรพวกมู่เฉินก็ไม่ได้สำรวจเกาะอื่นๆ แม้ว่าอาจจะมีสมบัติอื่นอีก แต่เเป้าหมายหลักของพวกเขาในตอนนี้คือทะเลสาบสวรรค์ในตำนาน

เพราะการรับพิธีชำระล้างของทะเลสาบสวรรค์เป็นโอกาสที่หายากมากสำหรับจอมยุทธ์แบบพวกเขาที่ยังไม่บรรลุระดับตี้จื้อจุน แม้แต่คนที่มีสถานะแบบเซียวเซียวและหลินจิ้งยังสนอกสนใจ ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินเลย

หลังจากยืนยันเป้าหมายของกลุ่ม ทั้งสี่คนก็เร่งรุดเดินทางโดยใช้เวลาครึ่งวันผ่านเกาะต่างๆ ด้วยความเร็วเต็มที่

พวกเขาปรากฏตัวบนเกาะโดดเดี่ยวและกวาดสายตาไปรอบๆ

ก่อนจะสังเกตเห็นว่ารัศมีหนึ่งร้อยลี้เริ่มว่างเปล่า ไม่มีเกาะหินลอยอีกให้เห็น พวกเขามาถึงจุดสิ้นสุดของหมู่เกาะหินลอยแล้ว

“ที่นี่อยู่ใกล้กับส่วนลึกของวังสวรรค์บรรพกาลแล้ว”

มู่เฉินมองออกไป ความหนาแน่นของคลื่นหลิงที่นี่ไม่น่าเชื่อ หมอกหลิงลอยไปมากระทั่งเมฆสีรุ้งก็สามารถมองเห็นได้บนท้องฟ้า ซึ่งนี่เกิดจากการก่อตัวขึ้นหลังจากคลื่นหลิงควบแน่นจนน่าตกใจ

เมื่อสายตาพุ่งตรงไปก็สามารถมองเห็นเจดีย์กระดำกระด่างบนยอดเขา บริเวณไกลออกไปอีกก็เห็นเค้าโครงของวังโบราณเลือนราง

ชั้นฟ้าและชั้นดินโอบล้อมด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและเก่าแก่

“หลังจากพ้นแนวเกาะนี้ก็น่าจะใกล้ถึงทะเลสาบสวรรค์แล้ว” มู่เฉินหยิบแผนที่ออกมาดูก่อนที่จะพูดหญิงสาวทั้งสาม

เซียวเซียวพยักหน้าจากนั้นก็มองไปที่ฟ้าดินเงียบงัน แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะดูสงบไม่มีอันตราย แต่นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“เจ้ารู้สึกได้เหรอ?” เมื่อมู่เฉินเห็นท่าทางของนางก็ยิ้มออกมา

“เกิดอะไรขึ้น?” หลินจิ้งถามด้วยความสงสัย นางก็รู้สึกได้เช่นกัน แต่ไม่สามารถหาต้นตอของอันตรายนั้นได้

จิ่วโยวกวาดสายตาไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบต้นตอปัญหาเช่นกัน

“เห็นเสาเหล่านั้นไหม?” มู่เฉินชี้ไปที่เสาแสงขนาดเท่ากำปั้นที่ดูเหมือนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าราวกับลำแสงธรรมดา

เมื่อได้ยินคำเตือนของมู่เฉิน หญิงสาวทั้งสามก็รู้สึกถึงความผันผวนแปลกประหลาดที่มาจากเสาแสงเหล่านั้น

เซียวเซียวสะบัดนิ้วคลื่นหลิงกวาดออกไปปัดก้อนหินเล็งไปที่เสา แต่เมื่อหินสัมผัสกับเสาก็ถูกเฉือนออกเป็นสองท่อนรอยตัดราบเรียบราวกับกระจก เสานี้ช่างนั้นคล้ายกับใบมีดแหลมคม

“หืม?” หญิงสาวทั้งสามประหลาดใจไป

“มีค่ายกลตั้งอยู่ในกลุ่มเมฆเหล่านั้น คลื่นหลิงจะรวมตัวกันและยิงลงมาคล้ายกับตาข่ายห่อหุ้มฟ้าดิน เสาเหล่านั้นแหลมคมมากจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้ายังได้รับบาดเจ็บและเสียแขนขาได้” มู่เฉินชี้ไปที่เมฆล่องลอยขณะอธิบาย

เมื่อทั้งสามคนได้ยินคำ ใบหน้าของพวกนางก็เปลี่ยนไปเบาบาง หากพวกนางพุ่งเข้าไปโดยไม่มีการป้องกันใดๆ ก็ต้องจ่ายราคาสำหรับสิ่งนี้

“ทำไมวังสวรรค์บรรพกาลจึงเต็มไปด้วยกับดักอันตราย?” จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป

“นี่น่าจะเป็นวิธีการป้องกันของวังที่เปิดใช้ตอนจักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกทวีปเทียนหลัว หลังจากนั้นก็ไม่ได้ถูกปิดอีก” มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ เนื่องจากเขาเห็นโครงกระดูกนับไม่ถ้วนที่สวมเกราะและอาวุธหักพังกองอยู่บนพื้นที่ไกลออกไป โครงกระดูกเหล่านั้นเปล่งรัศมีแวววาวจางๆ ซึ่งบ่งบอกว่าก่อนตายพวกเขาต่างเป็นจอมยุทธ์ทรงพลัง

ดูเหมือนในตอนนั้นจะเกิดสงครามดุเดือดที่วังสวรรค์บรรพกาล ถึงได้ทำให้สูญเสียจอมยุทธ์จำนวนมากขนาดนี้

“แต่ทำไมถึงไม่เห็นพวกศพปีศาจเลยล่ะ?” จู่ๆ มู่เฉินก็นึกบางอย่างออก รู้สึกว่าตั้งเข้ามาเขายังไม่เห็นศพปีศาจสักร่างอยู่ที่นี่

“นั่นเป็นเพราะรัศมีปีศาจที่พวกปีศาจฝึกฝนไม่เข้ากันกับมหาพันภพ ดังนั้นหลังจากตายซากศพของพวกมันก็ได้รับการขัดเกลาด้วยคลื่นหลิงในฟ้าดินเมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่เหลือแม้แต่โครงกระดูกไว้ให้เห็น” หลินจิ้งอธิบาย เรื่องพวกนี้จอมยุทธ์ทั่วไปไม่รู้ แต่นางไม่เหมือนพวกเขา ในฐานะธิดาเทพจักรพรรดิสงคราม นางรู้ข้อมูลเกี่ยวกับจักรวรรดิปีศาจไม่น้อย

เมื่อได้ยิน มู่เฉินก็เข้าใจขึ้นมา

“งั้นก็ลุยต่อเถอะ แม้ว่าเสาแสงเหล่านี้จะลำบากสักหน่อย แต่ถ้าระมัดระวังก็หลีกเลี่ยงได้ ” มู่เฉินพูดกับทั้งสามก่อนจะค่อยๆ ทะยานออกไป เมื่อเขาเข้าไปใกล้บริเวณเสาแสงก็ปาดซ้ายปาดขวาหลบหลีก ในเวลาเดียวกันเสาเหล่านั้นก็ไม่ได้ไล่ตามเขา เนื่องจากชัดเจนว่าจะต้องเกิดข้อบกพร่องจากกาลเวลาที่ผ่านไป

เมื่อทั้งสามเห็นว่ามู่เฉินเดินหน้าไปได้อย่างปลอดภัย พวกนางก็รู้สึกโล่งใจติดตามเขาไปอย่างรวดเร็ว

บริเวณนี้ทำให้ความเร็วในการเดินทางลดลง แต่ด้วยคำเตือนของเขา ทั้งสี่ก็ผ่านบริเวณที่อันตรายในตอนแรกไปได้อย่างง่ายดาย

หลังจากผ่านบริเวณเมฆหลิงพวกมู่เฉินก็เร่งความเร็วเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะเริ่มชะลอตัวลง

นั่นเป็นเพราะพวกเขาได้ยินเสียงแปลกดังมาจากระยะไกล

ซ่า-ซ่า!

นั่นคือเสียงน้ำใสกระจ่าง

แต่เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงก็รู้สึกอย่างชัดเจนถึงแรงดึงดูดของคลื่นหลิงในร่างกายที่เริ่มปั่นป่วน สัมผัสช่างคล้ายกับคนที่กำลังจะขาดน้ำตายได้เจอกับบ่อน้ำใส…

ทั้งสี่รับรู้ถึงพลังงานในร่างกายกวนตัววุ่นวาย ก็รีบระงับลงไปอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาชั่วครู่ก่อนที่คลื่นหลิงจะค่อยๆ สงบลง แต่ความตกตะลึงยังคงฉายบนใบหน้าแต่ละคน

นี่เป็นเพียงเสียงน้ำก็ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายปั่นป่วนได้ขนาดนี้ ดังนั้นต้นกำเนิดของเสียงจะต้องเป็นเป้าหมายที่จะไปอย่างแน่นอน!

ทะเลสาบสวรรค์!

ดวงตาทั้งสี่สว่างวาบด้วยความตื่นเต้นฉายบนใบหน้าก่อนที่จะเร่งความเร็วในสิบกว่าลมหายใจก็ผ่านยอดเขาสูงนับไม่ถ้วนไป

เมื่อยอดสูงตระหง่านหายไป วิสัยทัศน์การมองเห็นกว้างขึ้นฉับพลัน ในเวลาเดียวกันแสงแวววาวก็เบ่งบานทำให้พวกเขารู้สึกแสบนัยน์ตา แม้ว่าจะมีการปกป้องเอาไว้ด้วยคลื่นหลิงแล้วก็ตาม ทำให้พวกเขาหรี่ตาลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้

แสงแวววาวอยู่ชั่วครู่ก่อนที่พวกเขาจะคุ้นชิน การมองเห็นก็เริ่มชัดเจนขึ้น ทันใดนั้นพวกเขาก็ต้องสูดลมหายใจอัดอากาศเย็นเข้าปอดอย่างควบคุมไม่ได้

สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าครรลองสายตาคือมหาสมุทรสีฟ้าไร้ขอบเขตที่มีท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวเป็นพื้นหลัง มหาสมุทรเปล่งประกายระยิบระยับท่ามกลางความมืดมัวพร้อมกับเกลียวแสงวูบไหว บางครั้งเมื่อน้ำกลิ้งตัวไปมาจะเกิดสะเก็ดผลึกอัญมณีกวาดขึ้น ทุกชิ้นส่วนได้รับการขัดเกลาด้วยคลื่นหลิงก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นน้ำตกลงสู่มหาสมุทร…

เนื่องจากคลื่นหลิงที่หนาแน่นเหนือมหาสมุทร หมอกหลิงจึงดูคล้ายกับมังกรและหงส์ฟ้าพร้อมกับเทพอสูรมากมายฉวัดเฉวียนออกมา ดูลึกซึ้งประหนึ่งอาณาจักรเล็กๆ

มิหนำซ้ำมหาสมุทรแห่งนี้ยังลอยอยู่บนท้องฟ้า!

มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ที่ขอบมหาสมุทรทำให้เกิดการแปรปรวนเมื่อคลื่นในมหาสมุทรพัดออกไป พวกมู่เฉินสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าแม้ว่ามหาสมุทรจะอยู่เบื้องหน้าแต่ก็อยู่คนละมิติกับพวกเขา

เห็นได้ชัดว่ามหาสมุทรแห่งนี้ถูกปิดผนึกในมิติแยกที่สร้างจากผู้เชี่ยวชาญ

พวกมู่เฉินถูกขู่ขวัญจากท้องทะเลเบื้องหน้าจากนั้นพักใหญ่ก็ค่อยๆ ฟื้นตัว ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความสุข เพราะพวกเขารู้ว่ามหาสมุทรที่ดูเหมือนลอยอยู่บนท้องฟ้า แต่แท้จริงถูกผนึกไว้ในมิติแยกเป็นเป้าหมายที่พวกเขาอยากมาเยือน

ทะเลสาบสวรรค์!

“สมกับเป็นรากฐานสำคัญที่เสริมความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาลอย่างแท้จริง…” เซียวเซียวที่มีสถานะน่าทึ่งยังอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม ทะเลสาบสวรรค์แห่งนี้ยอดเยี่ยมแท้จริง ตอนที่ถูกสร้างขึ้นจักรพรรดิฟ้าแห่งวังสวรรค์บรรพกาลต้องลงทุกลงแรงทำอะไรไปมากกมาย ทรัพยากรยิ่งใหญ่เช่นนี้แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดบางแห่งในมหาพันภพปัจจุบันยังไม่สามารถนำออกมาได้

หลินจิ้งพยักหน้าเห็นด้วย รากฐานของขั้วอำนาจที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าทวีปเทียนหลัวน่าทึ่งอย่างแท้จริง

ขณะที่พูดกัน มู่เฉินก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติถอนสายตาจากทะเลสาบสวรรค์ เมื่อเขากำลังจะพูดความสนใจก็ถูกเบี่ยงเบนจากปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากหัวใจ เขาหันหน้ามองไปยังภูเขาที่ห่างไกล

บนภูเขามีร่างชายสูงโปร่งสวมชุดสีดำยืนเอามือไพล่หลัง ท่าทางประหนึ่งเหวลึกที่หยั่งไม่ถึง ยอดเขาสูงหมื่นจั้งที่อยู่ใต้เท้าควรจะสูงตระหง่าน แต่เมื่อเขายืนอยู่ที่นั่นกลับเหมือนยับยั้งภูเขาลง ทำให้ความสนใจทั้งหมดมุ่งตรงไปที่เขาเท่านั้น

ชายคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน!

มู่เฉินหดดวงตาขณะที่การตั้งระวังโดยไม่อาจอธิบายลุกโชนในส่วนลึกของหัวใจ ร่างกายเกร็งเครียดเข้าสู่สภาวะพร้อมรบ

แม้ว่าเขาจะไม่คุ้นเคยกับผู้ชายคนนั้น แต่มู่เฉินก็สามารถบอกตัวตนอีกฝ่ายได้ทันที

การที่จะทำให้ร่างกายของเขาเข้าสู่สภาวะพร้อมรบได้โดยการสะท้อนกลับ นอกจากจาโหลหลัวที่ครอบครองร่างเทพสุริยะแล้ว ยังจะมีใครอีก?!

ขณะที่มู่เฉินตกตะลึงไปเล็กน้อย ชายคนนั้นก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างดวงตาที่ราวกับเหวลึกพุ่งมาจากระยะไกล

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1138 กดดัน
เสามังกรทองสามเสาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

แผ่รัศมีออกไปเป็นร้อยลี้ ทุกคนต่างอึ้งทึ่งไปเมื่อเห็นเสาเหล่านี้พร้อมกับความตกตะลึงอัดแน่นในดวงตา…

ศิษย์ระดับมังกรทองคำหายากเพียงใด เรื่องนี้พวกเขาเคยผ่านการทดสอบด้วยตนเองมาหมดแล้ว ดังนั้นจึงรู้ว่าการรับตำแหน่งศิษย์ระดับนี้หมายถึงอะไร นั่นหมายความว่าคนที่สามารถได้รับเป็นชั้นสูงของชั้นสูงกระทั่งในวังสวรรค์บรรพกาลที่เคยครอบครองทวีปเทียนหลัว

ทวีปเทียนหลัวในปัจจุบันตามการคาดการณ์ของทุกคนอาจมีเพียงจอมยุทธ์รุ่นใหม่สี่อันดับแรกเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะรับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ แต่…ภาพที่เบื้องหน้านี้ทำให้พวกเขารู้สึกยากจะเชื่อเพราะทั้งสามคนช่างไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย

“พวกเขาสามคนเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำทั้งหมดเลยหรอ?” ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ก่อนที่จะเกิดการอุทานนับไม่ถ้วน

“เป็นไปไม่ได้มั้ง? ศิษย์ระดับมังกรทองคำจะหาง่ายขนาดนี้ได้อย่างไร? หรือว่าพวกเขาจะมีกลโกง?”

“ถ้ามีวิธีหลีกเลี่ยงประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็คงไม่ส่งผลให้ศิษย์ระดับมังกรทองคำหายากขนาดนี้หรอก”

“ทั้งสามคนไม่ธรรมดาแน่นอน”

“…”

ในบรรดาเสียงเหล่านี้ บางคนก็ตั้งข้อสงสัย แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะยอมรับความเป็นจริงเนื่องจากต่างเคยผ่านกับประตูมังกรทะยานสวรรค์มาแล้วและรู้ว่าทรงพลังเพียงใด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบช่องโหว่

ยามนี้ทั่วบริเวณตกอยู่ในความโกลาหล พวกแคว้นเซี่ยก็มีใบหน้าตกตะลึง ส่วนเซี่ยหงดูน่าเกลียดไปเลยทีเดียว นานก่อนที่เขาจะควบคุมตนเองและคำรามใส่มู่เฉิน “แกเนี่ยนะ? แกสามารถรับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำได้เรอะ?!”

ย้อนกลับไปตอนที่พวกเขาต่อสู้กัน มู่เฉินอยู่ในขุมพลังเกือบจะบรรลุรัดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น แม้ว่าจะมีพลังในการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา แต่อย่างมากก็เทียบเคียงกับขั้นเก้าระยะปลายสุดเท่านั้น ทว่าการที่จะเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขั้นเก้าระยะเต็ม นอกจากนี้ยังต้องมีไพ่ตายจำนวนมากถึงจะมีโอกาส

พวกแคว้นเซี่ยเงียบกริบลงเช่นกัน ไม่มีท่าทางกร่างอีกต่อไปเมื่อเผชิญหน้ากับศิษย์ระดับมังกรทองคำสามคน พวกเขาสูญเสียความมั่นใจหมดสิ้น

“หุบปาก!”

เซี่ยหยู่ถลึงตาใส่เซี่ยหงพลางคำรามก่อนที่จะฉายแววตาลึกซึ้งมองเซียวเซียวและหลินจิ้ง ขณะนี้เขารู้สึกถึงอันตรายเลือนรางที่ถูกปล่อยออกมาจากสตรีสองคนนั้น

และมู่เฉินอีกคน…แม้ไอ้นั่นจะดูเหมือนอยู่ในขั้นเก้าระยะต้นเท่านั้น แต่ด้วยการรับรู้ที่เฉียบแหลมเซี่ยหยู่สามารถสัมผัสได้ว่ามู่เฉินก็เป็นคนที่ซ่อนตัวลึกเช่นกัน

คราวนี้…เขาเตะแผ่นเหล็กเข้าอย่างจัง

ใบหน้าของเซี่ยหยู่กระตุกเล็กน้อยด้วยความเสียใจในใจ เขาเสียใจที่ทำไมไม่จัดการด้วยตัวเองเมื่อพบกับมู่เฉินในอุโมงค์เดินทาง ถ้าเขาทำอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถฆ่ามู่เฉินได้

แต่ขณะนี้มู่เฉินไม่รู้ไปหาผู้ช่วยเหลือลึกลับสองคนมาจากไหน เผชิญหน้ากับการรวมตัวนี้แม้แต่ตัวเขาก็ไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ หากต่อสู้กัน

เสามังกรทองคำทั้งสามเสาคงอยู่ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนจะจางหายไป ส่วนมู่เฉิน เซียวเซียวและหลินจิ้งก็เก็บป้ายพลางมองไปที่พวกเซี่ยหยู่ “ตอนนี้เจ้ายังอยากได้สมบัติของพวกข้าอยู่อีกไหม?”

สายตาของเซี่ยหยู่มืดครึ้ม จากนั้นดวงตาก็วูบไหว ก่อนที่จะส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับเซียวเซียวและหลินจิ้ง “แม่นางทั้งสอง ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนมาจากไหน? ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็นเจ้าทั้งสองในทวีปเทียนหลัวมาก่อน ตัวข้าชื่อว่าเซี่ยหยู่เป็นองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างแคว้นเซี่ยของข้ากับมู่เฉิน หากแม่นางไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ แคว้นเซี่ยของข้าจะไม่ลืมพระคุณ”

แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำ แต่เซี่ยหยูก็ยังคงมั่นใจในการรับมือหากหญิงสาวทั้งสองไม่ยุ่งเกี่ยว เพราะตัวเขาก็เป็นศิษย์ระดับเดียวกัน เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะแข็งแกร่งกว่าเขาไปได้

มู่เฉินไม่ได้ห้ามปรามอะไรเซี่ยหยู ตรงกันข้ามเขากลับหรี่ตามองไปที่อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากเขาไม่คิดว่าแค่แคว้นเซี่ยจะสามารถยั่วยุองค์หญิงทั้งสองที่มีภูมิหลังน่ากลัวได้…

ซึ่งก็ตามที่มู่เฉินคาดไว้ เซียวเซียวเหลือบมองเซี่ยหยู่อย่างเย็นชาก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นราวกับว่าไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้

ทันใดนั้นหลินจิ้งก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ นางหยิบม้วนกระดาษสีทองออกมาจากแขนเสื้อโบกไปมา “เจ้าคือองค์ชายใหญ่-รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยเหรอ เยี่ยมเลย น้องชายเจ้าติดหนี้ของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดกับข้าไว้เมื่อไม่นานมานี้และบอกว่าข้าสามารถไปที่แคว้นเซี่ยเพื่อขอได้”

เมื่อเซี่ยหงได้ยินเช่นนี้ใบหน้าก็เขียวคล้ำลงทันที

มุมริมฝีปากของเซี่ยหยู่ก็กระตุกก่อนที่จะปรายตามองไปที่เซี่ยหงด้วยท้าทางที่น่าเกลียด ของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยด? นั่นจะทำให้คลังหลวงของแคว้นเซี่ยร่อยหรอไปเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงเขาแม้แต่บิดาของพวกเขาก็ไม่ยินดีที่จะจ่าย

“ทำไม? แคว้นเซี่ยคิดจะเบี้ยวหนี้เหรอ?” เมื่อหลินจิ้งเห็นสีหน้าของเขา ใบหน้าของนางก็บูดบึ้งไม่น่าดู

เซี่ยหยู่หายใจเข้าลึกตอบว่า “เงินจำนวนนี้มหาศาลมาก ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้ แม่นางคงต้องไปถามท่านพ่อของข้าดู”

เขาไม่มีทางยอมรับหนี้หรอก ถ้าหลินจิ้งกล้าแสดงใบแจ้งหนี้นี้กับบิดาของเขาจริงๆ ละก็ นางอาจถูกเก็บอย่างทันท่วงที ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีไม่กี่คนที่กล้ารีดไถเงินจากแคว้นเซี่ย

เมื่อหลินจิ้งได้ยินคำพูดของเขาก็พยักหน้าราวกับว่าไม่คิดถึงความหมายเบื้องหลังคำพูดของเซี่ยหยู “งั้นข้าจะไปเยี่ยมแคว้นเซี่ยในอนาคตแล้วกัน”

มุมปากของเซี่ยหยู่และเซี่ยหงกระตุกพลางมองไปที่หลินจิ้งด้วยสายตาคล้ายกับมองคนโง่

แต่เมื่อพวกเขามองไปที่หลินจิ้งด้วยแววตาแบบนั้น ฉับพลันพวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามู่เฉินและจิ่วโยวกำลังมองพวกเขาด้วยสายตาที่คล้ายกัน ซึ่งทำให้พวกเขาอึ้งไปและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

แต่มู่เฉินก็ไม่สนใจที่จะอธิบายให้พวกเขาฟัง เนื่องจากพวกเขาจะรู้ว่าตัวเองโง่เขลาเพียงใดในอนาคตเมื่อรับรู้ตัวตนของหลินจิ้ง พี่น้องจอมโง่คู่นี้คิดจริงๆ หรือว่าจะไม่มีใครกล้าไปที่แคว้นเซี่ยเพื่อทวงหนี้?

ถ้าพวกเขากล้าเบี้ยวหนี้ของธิดาเทพจักรพรรดิสงคราม เอาแค่ผู้อาวุโสเล็กๆ ของแคว้นนหวูก็เพียงพอแล้วที่จะสั่งสอนแคว้นเซี่ยว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร

“พี่เซี่ยมีอะไรจะพูดอีกไหม ถ้าไม่เช่นนั้นพวกข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว” มู่เฉินยิ้มให้เซี่ยหยู่

เขาไม่คิดที่จะต่อสู้กับพวกเซี่ยหยู่ที่นี่ เนื่องจากอีกฝ่ายมีคนมากและหากต้องต่อสู้ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมุ่งหน้าไปที่ทะเลสาบสวรรค์และรับพิธีชำระล้าง ส่วนบัญชีกับเซี่ยหยู่ก็จัดการในอนาคตแล้วกัน

เมื่อเซี่ยหยู่เห็นรอยยิ้มของมู่เฉินก็กำหมัดแน่นขึ้นพร้อมกับเปลวไฟโหมกระหน่ำในใจ ตอนแรกมดอย่างมันที่เขาเซี่ยหยูสามารถบี้ได้อย่างง่ายดาย กลับไปมาอย่างสบายต่อหน้าเขา ซึ่งเขายังไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายด้วย

แต่ไม่ว่าจะรู้สึกโกรธแค่ไหน เซี่ยหยูก็ไม่กล้าที่พูดหรือยั่วยุอีกต่อไปเพราะเขารู้ดีว่าหากการต่อสู้เกิดขึ้นพวกเขาไม่ได้เปรียบแน่นอน

จอมยุทธ์แคว้นเซี่ยก็เงียบกริบ เพราะแม้แต่เซี่ยหยู่ยังไม่กล้าพูดแล้วพวกเขาจะกล้าได้ยังไง?

เมื่อทุกคนที่อยู่รอบๆ เห็นสิ่งนี้ก็อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะในใจ ก่อนหน้าเซี่ยหยู่มีท่าทีสูงส่งกับมู่เฉินคิดว่าจะสามารถปราบปรามเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับตาลปัตร ทำให้เขาดูน่าสังเวชมาก

เซี่ยหยู่สัมผัสได้ถึงสายตาทุกคนที่จ้องมองมาอย่างสะใจ ทว่าเขาได้แต่รับไว้ด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ

เมื่อมู่เฉินเห็นพวกเซี่ยหยู่นิ่งเงียบไป เขาก็ยิ้มอ่อนไม่สนใจอะไรทะยานออกไปพร้อมกับหญิงสาวสามคนติดตามไปอย่างใกล้ชิด

ทั้งสี่จากไปท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วน แต่คราวนี้ไม่มีใครหยุดพวกเขาอีก มากจนพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะแย่งสมบัติที่พวกเขาได้รับจากเกาะมังกร

สถานะของศิษย์ระดับมังกรทองสามคนเพียงพอที่จะข่มขู่พวกเขาทั้งหมด

พวกเซี่ยหยู่เฝ้าดูมู่เฉินจากไปอย่างเงียบๆ แต่ไม่มีใครกล้าพูด อากาศที่ครอบงำหายไปอย่างสมบูรณ์ ดูราวกับมะเขือเฉา

“พี่ใหญ่…” เซี่ยหงเปิดปากพูดอย่างไม่พอใจ ตอนแรกเขาคิดว่าจะสามารถจัดการกับมู่เฉินเพื่อแก้แค้นให้กับแขนที่ต้องเสียไป แต่ใครจะคิดว่ามู่เฉินจะทรงพลังมากถึงขนาดที่เซี่ยหยู่ยังกลัวจนไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว

“หุบปาก!” ใบหน้าของเซี่ยหยู่มืดครึ้มขณะถลึงตาใส่เซี่ยหง ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านี่สร้างความขุ่นเคืองกับมู่เฉิน พวกเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสมเพชเช่นนี้ได้อย่างไร?

เผชิญหน้ากับการรวมตัวของพวกมู่เฉิน แม้แต่คนที่ทรงพลังอย่างเซี่ยหยู่ก็รู้สึกกดดัน เนื่องจากเขามั่นใจว่าสามารถจัดการกับมู่เฉินได้ แต่เขาไม่มั่นใจว่าจะจัดการกับหลินจิ้งและเซียวเซียวผู้ลึกลับได้

เมื่อถูกตำหนิใบหน้าของเซี่ยหงก็มีสีเขียวสลับสีขาว อึดใจก็กัดฟัน “เราจะปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างนี้เหรอ? ท่านพ่อย้ำก่อนออกเดินทางหนักหนา ชื่อเสียงของแคว้นเซี่ยจะปล่อยให้จอมยุทธ์กระจ้อยร่อยเหยียบย่ำไม่ได้เด็ดขาด”

ใบหน้าของเซี่ยหยู่มืดมน เขามองไปยังทิศทางที่พวกมู่เฉินไป อึดใจก็ตอบว่า “เรื่องนี้ไม่มีทางจบลงง่ายๆ หรอก หึ แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่ามันได้ผู้ช่วยเหลือที่ทรงพลังสองคนมาจากไหน แต่…มันคิดว่าข้าไม่มีความสัมพันธ์กับคนอื่นเรอะ? ข้าเชื่อว่าจาโหลหลัวและคนอื่นๆ ก็ต้องตั้งระวังสำหรับศิษย์ระดับมังกรทองคำที่ปรากฏตัวมาจากที่ไหนไม่รู้ ในเวลานั้นเราสามารถร่วมมือกับพวกเขากำจัดคนนอกเหล่านี้ ”

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเซี่ยหยู่ก็เปลี่ยนเป็นน่าขนพองสยองเกล้าขณะพูดขึ้นอย่างน่ากลัว “ในเมื่อมู่เฉินกล้าท้าทายแคว้นเซี่ย ก็ขอข้าดูหน่อยสิว่ามันมีความสามารถพอไหม!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1137 เส้นทางศัตรูที่แคบนัก
เมื่อมู่เฉินพุ่งออกมาจากหมอกพิษหนาแน่น

สิ่งที่เขารู้สึกได้อย่างแรกก็คือสายตาเฉียบคมที่จ้องมาหา เขาขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นก็ฟาดฟันสายตากับเซี่ยหยู่พอดี

เซี่ยหยู่เผยรอยยิ้มประดับที่มุมปากแต่ไม่ได้ปกปิดอาการถากถางและเย้ยหยัน เห็นได้ชัดว่าเซี่ยหยู่ ‘ประหลาดใจ’ เล็กน้อยที่เห็นมู่เฉินที่นี่

มู่เฉินก็รู้สึกประหลาดใจไม่แพ้กันที่เห็นเซี่ยหยู่ ก่อนที่จะกลับไปมีท่าทางสงบนิ่ง ทว่าก็มีแสงเฉียบคมวูบไหวในดวงตาเขา

เซี่ยหยูแสดงความคิดดำมืดตั้งแต่ในอุโมงค์เดินทางเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล พยายามทำลายเส้นทางของพวกมู่เฉินหวังว่าจะฆ่าพวกเขาในมิติสับสนวุ่นวาย ซึ่งเป็นเรื่องเลวร้ายอย่างแท้จริง

“ฮ่าๆ พี่มู่ดูเหมือนเจ้าจะเก็บเกี่ยวของดีในเกาะตำหนักมังกรได้นะ ไม่รู้ว่ามาพูดคุยกันหน่อยได้ไหม?” เซี่ยหยูมองมู่เฉินที่อยู่ไกลพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน

จอมยุทธ์หลายสิบที่อยู่รอบเซี่ยหยู่ก็มองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ราวกับกำลังดูเหยื่อที่ตกไปในหลุมพรางที่พวกเขาขุดไว้แล้ว

ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะเกิดความมั่นใจเช่นนี้ ซึ่งเป็นเพราะการรวมตัวของพวกเขาที่มีพลังน่ากลัว เนื่องจากมีจอมยุทธ์ในทำเนียบสิบห้าอันดับแรกของทวีปเทียนหลัวอยู่เกือบสิบคน ซึ่งล้วนมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซี่ยหยู่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรที่อยู่ในอันดับสี่พร้อมกับขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มซึ่งเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่คนรุ่นใหม่

ส่วนมู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นเท่านั้น ซึ่งสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย!

ที่ด้านหลังเซี่ยหยู เซี่ยหงก็เขม่นมองมู่เฉินด้วยแววตาโหดเหี้ยมสะใจ เขากำลังคิดแล้วว่าจะจัดการกับมู่เฉินยังไงดี

ทิศทางอื่นของเกาะเมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็ส่ายหัวมองมู่เฉินด้วยสายตาเวทนา ชายคนนี้ซวยจริงๆ ตกเป็นเป้าของพวกเซี่ยหยู่ตั้งแต่ก้าวออกมา

ด้วยนิสัยของเซี่ยหยู่ไม่ว่ามู่เฉินจะได้รับสมบัติอะไรจากเกาะมังกร เขาคงจะถูกถลกหนังหัวออกมาทั้งเป็นแน่

ท่ามกลางสายตาเห็นใจของผู้คน มู่เฉินก็ยิ้มอ่อนให้เซี่ยหยู่พลางส่ายหน้า “ข้าไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเจ้า อย่าเลยดีกว่า”

พอได้ยินคำตอบของมู่เฉิน เซี่ยหยู่ก็อึ้งไปก่อนจะส่ายหัวพลางหัวเราะออกมา

“ไอ้โง่! แกคิดว่าพี่เซี่ยกำลังถามความคิดเห็นอยู่เรอะ?” จอมยุทธ์หนุ่มคนหนึ่งที่มีคลื่นผันผวนรอบกายก็มองมาที่มู่เฉินด้วยสายตาดุร้ายสาดรอยยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า “ในเมื่อแกไม่เข้ามาดีๆ งั้นข้าก็มา ‘เชิญ’ เป็นการส่วนตัว”

“ตู้ม!”

คลื่นหลิงยิ่งใหญ่ระเบิดออกมาจากร่างชายคนนั้นเมื่อพิจารณาจากระดับก็อยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดแล้ว นอกจากนี้ก็ยังไม่ใช่พวกอ่อน เนื่องจากอยู่ในอันดับที่สิบห้าของทำเนียบ

ชายคนนั้นก้าวออกมาปรากฏตัวเบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมกับแสงหลิงพวยพุ่งจากฝ่ามือใหญ่ แสงขยายขนาดเป็นร้อยจั้งพุ่งออกมาด้วยความตั้งใจที่จะจับตัวมู่เฉิน

เมื่อชายคนนั้นเคลื่อนไหวก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนในบริเวณนี้ “นั่นจอมยุทธ์อันดับที่ห้าสิบบนทำเนียบ—หลูฉิว!”

“พลังกายของหลูฉิวทรงประสิทธิภาพมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยซัดจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าสามคนตายด้วยหมัดของเขา”

“เจ้านั่นไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำกล้าพูดอย่างนั้นกับเซี่ยหยู่ได้ ทีนี้ต่อให้เขาจะถวายสมบัติให้ ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแล้ว”

ภายใต้เสียงอุทาน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่มือใหญ่พร้อมกับแสงเย็นวูบไหวในดวงตา อึดใจแสงสีทองก็พุ่งออกมาจากร่างกาย เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังกึกก้อง มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏบนแขนขวาของเขาพร้อมกับกรงเล็บมังกรและปีกหงส์ฟ้ายื่นออกมาห่อหุ้มนิ้วทั้งห้าของมู่เฉิน

แรงน่ากลัวระเบิดออกมาคล้ายกับกระแสน้ำจากแขนของมู่เฉิน

เขาเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกับใบหน้าไร้อารมณ์ แสงสีทองทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าปะทะกับฝ่ามือที่บีบกดลงมา

“รนหาที่ตาย!”

เมื่อหลูฉิวเห็นว่ามู่เฉินกล้าที่จะปะทะกันตรงๆ เขาก็เผยรอยยิ้มเหี้ยม แต่ทันใดนั้นม่านตาก็ต้องหดแคบลง

นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักได้ว่ามีพลังที่น่ากลัวกำลังแผ่ออกมาจากหมัดของมู่เฉิน

มิหนำซ้ำยังได้ยินเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าอย่างคลุมเครืออีกด้วย

ตู้ม!

คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าระเบิดขึ้นบนท้องฟ้าครอบคลุมรัศมีหนึ่งหมื่นจั้ง ผู้คนที่เห็นผลกระทบก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในอากัปกิริยาราวกับว่าเห็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ

นั่นเป็นเพราะพวกเขาเห็นร่างหลูฉิวได้รับผลกระทบอย่างหนัก ถูกระเบิดซัดออกมาในสภาพที่น่าสมเพช!

หลูฉิวถูกมู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นซัดหน้าหงายปลิวจากหมัดหลุ่นๆ!

“เป็นไปได้ยังไง?!” ผู้คนมีสีหน้าหวาดผวา ชัดว่าไม่อยากจะเชื่อว่าฉากเบื้องหน้าเป็นเรื่องจริง ในความคิดพวกเขาควรเป็นมู่เฉินที่ถูกหลูฉิวซัดจนสิ้นท่า!

ตู้ม!

ทว่าถึงพวกเขาจะรู้สึกไม่เชื่อมากแค่ไหนร่างหลูฉิวก็ปลิวออกไปแล้ว เซี่ยหยู่ก็ดวงตาหดลงกับภาพนี้ ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปด้วยสีหน้าเฉยเมย ร่างหลูฉิวเหมือนได้รับการประคองจากมือขนาดใหญ่ ไม่ขยับออกไปอีก

“ฮะฮา น่าเกรงขามจริงๆ…” เซี่ยหยู่ยิ้มบางให้มู่เฉิน แต่ก็ไม่ได้มีระลอกคลื่นอะไรมาก เนื่องจากมู่เฉินไม่สามารถหลบหนีจากสถานการณ์ปัจจุบันได้

แม้ว่าหลูฉิวจะมีความสามารถ แต่ในกลุ่มของพวกเขา จอมยุทธ์ระดับนี้ยังมีอีกหลายคน

“มอบสมบัติเกาะมังกรมาซะแล้วตัดแขนไถ่โทษ จากนั้นข้าจะปล่อยเจ้าออกไป” เซี่ยหยู่หลุบตาลงขณะที่เขาพูดออกมาแบบไม่ใส่ใจ

มู่เฉินยิ้มอ่อนตอบสนองให้ แม้จะไม่พูดอะไร แต่ท่าทางของเขาบอกถึงการตัดสินใจแล้ว

ไอเย็นเยียบรวมตัวกันในดวงตาของเซี่ยหยู่ ในมุมมองของเขามู่เฉินโง่เง่าอย่างที่สุด ทั้งยังมองไม่เห็นสถานการณ์ปัจจุบันและแสดงท่าทีที่มั่นใจ ซึ่งเท่ากับเรียกร้องความตายจริงๆ

เขายกมือขึ้นตั้งใจที่จะให้คนอื่นจัดการ นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้สึกว่ามู่เฉินมีค่าเพียงพอสำหรับเขาที่จะเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง

แต่ขณะที่เซี่ยหยู่ยกมือขึ้น หมอกพิษก็กระเพื่อมอีกครั้ง เงาร่างอีกสามร่างทะยานออกมาหยุดอยู่ข้างมู่เฉิน

“หุๆ มู่เฉิน เจ้านี่ดึงดูดปัญหาเก่งจริงๆ แค่นำหน้าพวกข้าออกมาก้าวเดียวก็ชนกับปัญหาอีกครั้งแล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นเมื่อเงาทั้งสามปรากฏตัว

หญิงสาวสามคนที่ปรากฏกะทันหันทำให้พวกแคว้นเซี่ยอึ้งไป แต่เมื่อเห็นว่าเป็นแค่หญิงสาวสามคน ก็โล่งใจขึ้นมา

“เฮ้ มีสามสาวงามตามมาด้วย ไอ้เวรแกคิดว่าพวกนางสามารถปกป้องแกได้เหรอ? ข้าว่าแกส่งมอบสมบัติจากเกาะมังกรมาซะจะดีกว่านะ?” ด้านข้างเซี่ยหยู่ จอมยุทธ์ที่มีรูปลักษณ์ขี้เหร่เห็นสาวสะคราญโฉมสามคน ดวงตาก็เปล่งประกายก่อนจะพูดขึ้นมา

เพียงแค่พูดประโยคเดียว แสงเย็นก็วูบวาบในนัยน์ตาของเซียวเซียวก่อนที่นางจะยกมือขึ้นสะบัดไปในอากาศ

เพียะ!

มิติแปรปรวน วินาทีต่อมาชายที่เพิ่งพูดก็โดนตบเข้าที่หน้าอย่างแรง รอยมือแดงก่ำปรากฏบนใบหน้า เขาหมุนตัวไปร้อยแปดสิบองศาจากการตบเดียว

“นังนี่!”

เมื่อจอมยุทธ์แคว้นเซี่ยเห็นภาพนี้ก็มองไปที่เซียวเซียวอย่างโกรธแค้น ไม่มีใครคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือจัดการภายใต้สถานการณ์นี้

ทว่ามีเพียงเซี่ยหยู่เท่านั้นที่หดดวงตาลง เนื่องจากเขาเห็นว่าการตบนั้นลึกลับเพียงใดแม้ว่าจะดูสบายๆ

หญิงสาวสะคราญโฉมผู้นี้ไม่ธรรมดาแน่

“คิกๆ พวกข้าได้รับสมบัติของเกาะมังกรจากความพยายาม ทำไมต้องให้พวกแกด้วย?” หลินจิ้งยิ้มบาง

เซี่ยหงที่มีแขนหายไปจากฝีมือมู่เฉินก็แสยะยิ้มน่ากลัวอยู่ข้างหลังเซี่ยหยู่ “ทำไมต้องให้? ก็เพราะพวกข้าแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าไง พี่ชายข้าเป็นศิษย์มังกรทองคำของวังสวรรค์บรรพกาลนะ!”

คำพูดนี่ทำให้เกิดความปั่นป่วน หลายคนมองไปที่เซี่ยหยู่ด้วยสายตาเคารพ นั่นเป็นเพราะใครก็ตามที่เข้ามาที่นี่จะได้รับป้ายประจำตัว ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าศิษย์ระดับมังกรทองคำมีสถานะอย่างไรในวังสวรรค์บรรพกาล

เซี่ยหยู่ไม่ได้พูด แค่เพียงจ้องไปกลุ่มสี่คนของมู่เฉิน ทว่าก็แอบรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ทั้งสี่มองไปที่เซี่ยหยู่ด้วยความประหลาดใจเนื่องจากไม่คิดว่าเซี่ยหยู่จะได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำซึ่งสูงกว่าซูชิงหยิงอีก…

ทว่าทั้งสี่คนก็ประหลาดใจเพียงสั้นๆ ไม่ได้มีแววเคารพในการสายตาเหมือนคนอื่น ในทางกลับกันพวกเขาสบตากันด้วยสีหน้าพิลึกพิลั่น

“ศิษย์ระดับมังกรทองคำเหรอ?” หลินจิ้งเปิดหัวเราะเป็นคนแรก เมื่อเห็นรอยยิ้มนี้มู่เฉินก็รู้ทันทีว่านางกำลังจะตบหน้าพวกเขาอย่างไม่ไว้หน้าแล้ว

ตามคาดประกายแสงสีทองปรากฏบนมือของหลินจิ้งจากนั้นก็โบกมือเบาๆ ทันใดนั้นเสาสีทองก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยมีมังกรสีทองขดอยู่รอบเสา

เสาสีทองนี้ทำให้จอมยุทธ์แคว้นเซี่ยตกตะลึงก่อนที่จะฟื้นสติมองป้ายสีทองในมือหลินจิ้งด้วยความหวาดผวา

แม้แต่เซี่ยหยู่ก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีหน้าไป

“นะ…นั่นคือป้ายมังกรทองคำ?!”

ผู้คนอุทาน ใครจะคาดคิดว่าสาวสวยคนนี้จะเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำ!

เซียวเซียวกะพริบตาวิบวับกับฉากนี้พลางยิ้มให้เซี่ยหยู่อย่างทรงเสน่ห์ก่อนที่ป้ายสีทองจะปรากฏขึ้นในมือพร้อมกับเสาสีทองทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

เมื่อเห็นการกระทำของสหายทั้งสองคนมู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ เขาเห็นสีหน้าเซี่ยหยู่ไม่น่าดูมากขึ้นและรู้สึกมีความสุขที่ได้ตีสุนัขตัวนี้ให้ล้มลงแล้วตามกระทืบซ้ำ ดังนั้นเขาจึงสะบัดนิ้วออกป้ายสีทองก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ตู้ม!

เสาสีทองสามเสาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากกลุ่มของมู่เฉิน ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นน่าตกใจยิ่งนัก

ในทางกลับกันพวกแคว้นเซี่ยก็ตะลึงพรึงเพริดไปหมดแล้ว แม้แต่ใบหน้าของเซี่ยหงก็ซีดลง เขาคิดเพียงว่าต้องการใช้ตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำเพื่อระงับขวัญกำลังใจของอีกฝ่าย แต่ใครจะคิดได้ว่าไม่เพียง แต่ขวัญกำลังใจของอีกฝ่ายจะไม่ได้รับผลกระทบ พวกเขายังหยิบป้ายมังกรทองคำออกมาให้ดูถึงสามป้าย…

มู่เฉินยิ้มขณะมองไปที่เซี่ยหงที่หน้าซีดเซียวจากนั้นก็เลื่อนสายตาไปที่ใบหน้าไม่น่าดูของเซี่ยหยู เผยรอยยิ้มอ่อน “ศิษย์ระดับมังกรทองคำเหรอ? แหมบังเอิญจริงๆ พวกข้าก็เป็นเหมือนกัน…”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1136 อสรพิษกลืนฟ้า
“ถ้าเป็นค่ายกลก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

พูดจบมู่เฉินก็วาดตราประทับขึ้นในมือ ขณะที่เกลียวแสงพวยพุ่ง ผนึกหลิงยิ่งก็กลั่นตัวยิงเข้าไปในอากาศผสมผสานเข้ากับชั้นบรรยากาศภายใน

ค่ายกลศพวิญญาณไม่ธรรมดา ตามการคาดการณ์อาจถือได้ว่าเป็นค่ายกลระดับจงซือหากอยู่ในสถานะสมบูรณ์ แต่โชคดีที่มันได้รับความเสียหายจากกาลเวลาจนเกิดตำหนิอยู่ภายในมาก นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมั่นใจในการรับมือ

เมื่อผนึกหลิงยิ่งรวมเข้ากับค่ายกลอย่างต่อเนื่องก็ค่อยๆ ผันผวน บางส่วนของขบวนแถวแสงหยุดชะงักจางหายไป

มู่เฉินไม่ได้ทำลายค่ายกลอย่างสมบูรณ์เพราะจะเสียเวลามากเกินไป เขาเลือกวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดซึ่งก็คือทำลายแกนบางส่วนทำให้เกิดการกระจัดกระจายซึ่งจะเสียสมดุลและพังทลายลงเอง

ขณะที่ค่ายกลศพวิญญาณแปรปรวน ดวงตาของเซียวเซียวก็สว่างขึ้นขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความอัศจรรย์ใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่คิดว่ามู่เฉินจะบรรลุเส้นทางศาสตร์ค่ายกลจนมาถึงจุดนี้

ฮึ่ม ฮึ่ม

การสั่นสะเทือนแผ่เป็นระลอกเนื่องจากความผันผวนของคลื่นหลิงที่บิดเบี้ยวมาจากค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุดค่ายกลก็ไม่สามารถยึดติดไว้ได้อีกต่อไป แตกเป็นเสี่ยงๆ จากการระเบิด

คลื่นหลิงกวาดออกไปในท้องฟ้า รัศมีความตายกวาดออกไปพร้อมกับการทำลายล้างของค่ายกล ทำให้สวรรค์และโลกเย็นเยือกลงทันที

แต่โชคดีที่พวกเขาเตรียมพร้อม หมุนเวียนพลังงานเพื่อปกป้องร่างกายไม่ปล่อยให้รัศมีความตายโจมตีเข้ามาได้

คลื่นกระแทกจากรัศมีความตายกินเวลาหลายนาทีก่อนจะสลายไป หญิงสาวทั้งสามมองไปข้างหน้าด้วยความยินดี ยามนี้ค่ายกลศพวิญญาณจางหายไปอย่างสมบูรณ์

“ไม่เลวๆ ไม่ได้เจอกันมาระยะหนึ่ง ท่าทางข้าคงต้องมองเจ้าในแง่มุมใหม่แล้ว” เซียวเซียวยิ้มเบาๆ นางพอใจกับวิธีของมู่เฉินมาก ถ้าต้องทำเองนางอาจต้องใช้วิธีที่ลำบากที่สุดก็คือทำลายค่ายกลอย่างรุนแรง แต่แบบนั้นไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพจะต่ำ ถ้าเกิดทำลายไข่มุกจิตตะมังกรไปด้วย ทุกอย่างก็ไม่คุ้มค่าแล้ว

“ยังมีศพมังกรวิเทศอยู่” มู่เฉินชี้ไปที่มังกรบนพื้น นั่นเป็นตัวปัญหาอีกหนึ่งเนื่องจากรัศมีความตายครอบงำอย่างมาก หากรัศมีความตายบุกเข้าสู่ร่างกายก็จะสร้างความเสียหายให้พวกเขามากแน่นอน

“ให้ข้าจัดการเอง” เซียวเซียวยิ้มบางทำให้ดูงดงามราวกับเทพธิดาปั้นแต่งจากสวรรค์และโลก นางยื่นมือออกไปวางงูเจ็ดสีลงแล้วตบหัวมันเบาๆ

วาบ!

งูเจ็ดสีชูคอขึ้นทันที กลายเป็นริ้วแสงสีรุ้งปรากฏขึ้นเหนือร่างศพมังกรในพริบตา

โฮก!

แม้ว่ามังกรจะไม่มีชีวิตแล้ว แต่ก็ยังมีสัญชาตญาณดังนั้นจึงส่งเสียงคำรามลึกพลางอ้าปากกว้าง รัศมีความตายสีเทาพุ่งออกมา ทำให้พื้นที่ที่ถูกรัศมีความตายกวาดใส่มืดมนลง

ทว่าเจ้างูเจ็ดสีไม่ได้เคลื่อนไหวเมื่อเผชิญหน้ากับรัศมีความตาย เมื่อรัศมีห่อหุ้มเข้ามางูน้อยก็ค่อยๆ อ้าปากแสงสีดำควบแน่นอยู่ภายใน

ซู้ด!

แม้ว่าปากของงูเจ็ดสีจะไม่ใหญ่ แต่ตอนนี้ก็ราวกับหลุมดำ แรงดูดน่ากลัวระเบิดออกมากลืนกินรัศมีความตายรุนแรงเข้าสู่ร่างกายในอึกเดียว

หลังจากกลืนกินรัศมีความตายรุนแรง งูเจ็ดสีก็ไม่แสดงอาการถูกกัดกร่อนยังคงดูร่าเริงมีชีวิตชีวา

เมื่อมู่เฉิน หลินจิ้งและจิ่วโยวเห็นภาพนี้ก็ต้องตกใจ งูเจ็ดสีน่ากลัวถึงขนาดนี้เชียว มันสามารถกลืนกินรัศมีความตายได้เลยเรอะ?

ฟ่อ ฟ่อ!

หลังจากกลืนกินรัศมีความตาย งูเจ็ดสีก็อ้าปากพร้อมส่งเสียงขู่ฟ่อ หลุมดำหมุนคว้างพร้อมกับแสงระยับสีดำพุ่งออกมามัดเข้ากับมังกรก่อนที่แรงดูดจะระเบิดออกค่อยๆ ดึงร่างมังกรเข้าไปในหลุมดำ

แม้ว่ามังกรจะต่อสู้ดิ้นรนรุนแรงก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้เนื่องจากไร้สติปัญญา ในทางตรงกันข้ามเมื่อมันดิ้นแรงขึ้นแรงดูดก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นก่อนจะถูกดึงเข้าไปในหลุมดำที่หมุนคว้าง

ศพมังกรหายไปทันทีหลังจากถูกดึงเข้าไปในหลุมดำ จากนั้นงูเจ็ดสีก็อ้าปากกลืนหลุมดำลงไป งูน้อยปล่อยเสียงเรอดังลั่นแล้วค่อยๆ ลอยกลับมาลงบนมือของเซียวเซียว มุดเข้าไปขดตัวในแขนเสื้อ

ทั้งสามต่างตกตะลึงเมื่อมองฉากนี้ เพียงไม่กี่นาทีศพมังกรวิเทศก็ถูกจัดการจนสิ้นซากแล้วเรอะ? แม้ว่ามังกรตัวนี้จะไม่มีสติปัญญา แต่ก็เทียบได้กับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม หากพวกเขาจัดการก็จะต้องใช้เวลามาก แต่งูเจ็ดสีกลับกินเข้าไปได้อย่างง่ายดายเนี่ยนะ?

“นี่คือเทพอสูรอะไร?” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม

“นี่คืออสรพิษกลืนฟ้าเจ็ดสี… มันไม่ใช่เทพอสูรของมหาพันภพ แต่เมื่อมันเติบโตขึ้นก็จะสามารถเทียบเคียงได้กับมหาเทพอสูรของที่นี่ได้” เซียวเซียวตอบ

หลินจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น “ข้าได้ยินมาจากท่านพ่อว่าหนึ่งในนายหญิงแคว้นหวู่จิ้งฮั่วมีอสรพิษลึกลับที่สามารถกลืนกินสวรรค์และโลก ซึ่งเคยกลืนจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย… มีข่าวลือว่าแม้แต่สมาชิกเผ่ามังกรก็ยังกลัวอย่างมากหากพบอสรพิษตัวนั้น”

“นั่นท่านแม่ข้าเอง” เซียวเซียวเผยรอยยิ้มสดใสขณะพูดต่อ “แต่เจ้างูของแม่ข้าน่ากลัวยิ่งกว่า ที่เสี่ยวไฉ่สามารถกินศพมังกรวิเทศได้อย่างง่ายดาย ก็เพราะมันไม่เหลือสติปัญญาและไม่รู้ว่าจะหลบยังไง ไม่งั้นก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับมันที่จะหลีกเลี่ยงระยะกลืนกิน”

นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินได้ยินเรื่องอสรพิษกลืนฟ้า แต่ตัดสินจากพลังแล้ว มันจะเป็นการดำรงอยู่สั่นสะเทือนโลกาแน่นอนเมื่อเติบใหญ่ขึ้น

แคว้นหวู่จิ่งฮั่วพิเศษแท้จริง แค่นายหญิงคนเดียวก็น่ากลัวเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะน่ากลัวแค่ไหน

เทพจักรพรรดิอัคคีคงได้รับการพิจารณาอยู่ในอันดับสูงสุดแม้ในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสินะ

หลังจากที่เซียวเซียวจัดการกับศพมังกรวิเทศแล้วก็เดินไปที่บัลลังก์และยื่นมือออกไป ไข่มุกค่อยๆ ตกลงมาในมือนาง

เมื่อไข่มุกจิตตะมังกรวางบนมือนาง งูเจ็ดสีก็โผล่หัวออกมาอีกครั้งและกินไข่มุกเข้าไป จากนั้นพวกมู่เฉินก็มองเห็นรัศมีไร้ขอบเขตเล็ดลอดออกมาจากงูน้อย ลวดลายที่อยู่บนตัวมันเหมือนจะสว่างขึ้นเล็กน้อย

หลังจากกินไข่มุกแล้วเจ้างูดูเหมือนจะใช้พลังงานไปไม่น้อย จึงมุดตัวเข้าไปในแขนเสื้อของเซียวเซียวอย่างหมดแรง

มู่เฉินมองไปที่ภาพนี้ก็แอบรู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากเขารู้สึกได้อย่างคลุมเครือว่าหลังจากอสรพิษกลืนฟ้ากินไข่มุกจิตตะมังกรเข้าไป แม้แต่คลื่นหลิงของเซียวเซียวก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้น

ดูเหมือนว่าจะมีการเชื่อมโยงที่น่าอัศจรรย์ระหว่างเซียวเซียวกับอสรพิษกลืนฟ้า ซึ่งช่วยเพิ่มพลังหลิงของเธอด้วยเช่นกัน

รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของเซียวเซียว ดูเหมือนว่าอิทธิพลของไข่มุกจิตตะมังกรค่อนข้างดีเลยทีเดียว นางยกมือขึ้นก็เห็นป้ายแสงปรากฏที่หลังมือซึ่งอยู่ในรูปของมังกร นี่น่าจะเป็นป้ายยินยอมของผู้บัญชาการตำหนักมังกรแน่แล้ว

“ยินดีด้วย” มู่เฉินยิ้ม ด้วยป้ายตำหนักมังกรนั่นก็หมายความว่าเซียวเซียวได้รับสิทธิ์ในพิธีชำระล้าง

“ต้องขอบคุณเจ้านะ” เซียวเซียวยิ้มขณะที่สบตากับมู่เฉิน หากไม่ใช่เพราะมู่เฉินมาทันเวลา นางอาจปะทะหลินจิ้งจนไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ได้ เพราะยังไงหลินจิ้งก็เป็นองค์หญิงแคว้นหวู ไม่มีทางที่จะไม่มีไพ่ตาย

“ไปกันเถอะ ในเมื่อเราได้รับสมบัติแล้วก็มุ่งหน้าไปทะเลสาบสวรรค์กัน” มู่เฉินเอ่ยขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้สำรวจตำหนักอีกเจ็ดแห่ง แต่เขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะค้นหาทั้งหมด เพราะยังไงก็ไม่มีประโยชน์ที่จะรับป้ายยินยอมเพิ่ม มิหนำซ้ำอาจจะดึงดูดความเป็นศัตรูกับกลุ่มอื่นๆ หากพวกเขาสร้างความโกรธเกรี้ยวกับสาธารณชนก็จะเป็นเรื่องลำบากแน่นอน เนื่องจากทุกกลุ่มที่นี่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแท้จริงเป็นภูมิหลัง ถ้าพวกเขายั่วยุมากเกินไปแม้แต่มั่นถัวหลัวก็จะตกที่นั่งลำบาก

หญิงสาวทั้งสามพยักหน้า ในเมื่อได้รับป้ายกันครบแล้ว พวกนางก็ไม่โลภมากที่จะไปเอาสมบัติจากผู้บัญชาการคนอื่นเพิ่มเช่นกัน

ดังนั้นทั้งสี่จึงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งผ่านหมอกพิษหนาแน่นจากไป

ขณะเดียวกันผู้คนก็มารวมตัวกันนอกเกาะมังกรมากขึ้น เพราะมีเกาะลอยจำนวนมากในวังสวรรค์บรรพกาลซึ่งจะใช้เวลานานเกินไปหากค้นหาทีละเกาะ ในเมื่อเกาะมังกรแห่งนี้ถูกเปิดเผยแล้วพวกเขาก็ต้องมารวมตัวกันโดยธรรมชาติ

อีกมุมหนึ่งของเกาะมีกลุ่มขนาดใหญ่อยู่ริมขอบเกาะวางแนวกั้นไม่ให้ใครเข้าใกล้

แม้ว่าผู้คนจะไม่พอใจกับการกระทำของพวกเขา แต่ก็ไม่มีอะไรที่ทำได้ นั่นเป็นเพราะการรวมตัวกลุ่มนี้น่าตื่นตาและน่าตกใจ

ในกลุ่มคนมีจอมยุทธ์หลายสิบคน ซึ่งเกือบสิบคนในนั้นอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด มิหนำซ้ำทั้งหมดยังมีชื่อเสียงในทวีปเทียนหลัวติดอันดับหนึ่งในสิบห้าของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่

โดยเฉพาะชายชุดคลุมสีทองที่อยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้ เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาแฝงความสุขุม ขณะที่ยิ้มก็จะมีแรงกดดันทรงพลังปล่อยออกมาจนคนอื่นตกใจ

ชายคนนี้ก็คือองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย—เซี่ยหยู่!

“องค์ชายใหญ่พวกเราจะไม่เข้าไปเหรอขอรับ?” มีคนพูดที่ด้านข้างเซี่ยหยู่

เมื่อเซี่ยหยู่ได้ยินคำพูดนั่นก็ยิ้มอ่อน “ปล่อยให้คนอื่นเข้าไปค้น หากมีใครออกมาเราก็จะเชิญพวกเขามาพูดคุย”

เมื่อได้ยินคำตอบของเซี่ยหยู่ ทุกคนก็เข้าใจได้ในทันที เซี่ยหยู่เป็นคนโหดเหี้ยมอย่างแท้จริง เพียงแค่เฝ้ารอที่นี่ ไม่ว่าใครจะนำสมบัติออกจากเกาะมังกรก็จะตกอยู่ในมือพวกเขา

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ปล่อยให้คนโชคร้ายเหล่านั้นค้นให้พอใจ

เซี่ยหยู่ยิ้มขณะที่กำลังจะพูดต่อหัวใจเขาก็สั่นไหว เขาหรี่ตาลงมองไปที่หมอกหนาทึบ เขาสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างก่อนที่ภาพเงานั้นจะเหาะเหินออกมา

เมื่อเซี่ยหยูเห็นเงานั่น เขาก็อึ้งไปก่อนที่รอยยิ้มเย้ยหยันจะปรากฏขึ้นที่มุมปาก

นั่นมันไอ้สารเลวมู่เฉิน…ดูท่าโชคของไอ้นั่นจะไม่ดีเลยจริงๆ

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1135 พบเซียวเซียวอีกครั้ง
หญิงสาวชุดสีรุ้งสดใสยืนอยู่บนก้อนหิน

ผมยาวหยักศกพลิ้วไปตามสายลมทำให้ชวนหลงใหล ยิ่งบวกกับรูปร่างหน้าตาก็ยิ่งทรงเสน่ห์มากขึ้น งูตัวน้อยเจ็ดสีพาดอยู่บนหัวไหล่บาง ส่งเสริมให้นางดูมีความงามไปอีกรูปแบบหนึ่ง

ทว่าเมื่อมู่เฉินมองไปที่ร่างสะคราญโฉมนี้ ดวงตาก็เบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นสีหน้าของเขาก็ค่อยๆดูประหลาดขึ้นมา

นั่นเพราะร่างคุ้นเคยที่เบื้องหน้าก็คือไฉ่เซียวซึ่งมู่เฉินเคยพบนางที่เขตหลงเฟิ่ง หรือที่จริงควรจะเรียกนางว่า ‘เซียวเซียว’

นางคือธิดาของเทพจักรพรรดิอัคคีที่มีภูมิหลังน่าสะพรึงเช่นเดียวกับหลินจิ้ง

มู่เฉินไม่คิดว่าตัวปัญหาใหญ่ที่หลินจิ้งพบจะเป็นนาง!

นี่เป็นเรื่องน้ำท่วมวังราชามังกรซะแล้ว!

มู่เฉินตกตะลึงมองไปที่เซียวเซียว หญิงสาวก็เห็นเขาได้ชัดในเวลานี้จึงผงะไปก่อนที่จะคลี่ยิ้มสดใสบนใบหน้า

“เฮ้ มู่เฉิน เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ?” เมื่อหลินจิ้งเห็นว่ามู่เฉินไม่ขยับเขยื้อน นางก็พูดออกมาด้วยความสงสัย

เซียวเซียวลูบไล้งูน้อยบนไหล่และหยอกล้อ “ฮิๆ ไม่ได้เจอกันมาปีกว่า เจ้าเริ่มงานเป็นนักรบรับจ้างตั้งแต่เมื่อไรกัน?”

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง หลินจิ้งและจิ่วโยวก็อึ้งไปก่อนที่ทั้งคู่จะมองไปที่มู่เฉิน “เจ้ารู้จักนางเหรอ?”

มู่เฉินยิ้มขมฝาด “นางเป็นสหายของข้า พวกเราไปที่เขตหลงเฟิ่งด้วยกัน”

เมื่อหลินจิ้งได้ยินคำพูดของเขาก็เบิกตากว้างอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่านางจะไม่ได้พูดแต่ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เพราะสถานการณ์นี้น่าอึดอัดเหลือเกิน นางไม่รู้จะพูดอะไรดี

นางจึงเลือกดึงคลื่นหลิงไร้ขอบเขตรอบตัวกลับมา ในเมื่อหญิงสาวคนนี้เป็นเพื่อนของมู่เฉินก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ด้วย หลินจิ้งมีชาติกำเนิดที่ไม่ธรรมดา แม้ว่าจะเป็นสตรีแต่ก็ใจกว้างเช่นกัน ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกไม่พอใจกับเซียวเซียวเพราะการต่อสู้เมื่อสักครู่

ตุ๊กตาน้ำแข็งที่ซ่อนตัวหาโอกาสโจมตีก็ปรากฏตัวทะยานกลับไปที่ด้านหลังหลินจิ้ง

ขณะที่หลินจิ้งดึงคลื่นหลิงกลับ ไม่คิดสู้ต่อ เซียวเซียวก็กระทำเช่นกัน นางตบงูน้อเบาๆ มันก็หดตัวกลับไปตามไหล่

มู่เฉินรู้สึกโล่งใจในภาพนี้ พวกนางสองคนเป็นเพื่อนของเขา หากพวกนางสู้กันจะเป็นเรื่องปวดหัวสำหรับเขาอย่างแน่นอน

เซียวเซียวเยื้องย่างเข้ามาขณะที่มู่เฉินยิ้มให้ก่อนจะแนะนำให้รู้จักกับจิ่วโยว “นี่จิ่วโยวที่อยู่กับข้าในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นางเป็นสหายเก่าแก่”

จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่หลินจิ้ง “ส่วนนี่คือหลินจิ้ง… ท่านเทพจักรพรรดิสงครามเป็นบิดาของนาง”

พอพูดจบเขาก็หันไปบอกจิ่วโยวและหลินจิ้งว่า “นี่คือเซียวเซียว… ท่านจักรพรรดิอัคคีเป็นบิดาของนาง”

เมื่อมู่เฉินพูดจบ หญิงสาวทั้งสามก็ตกใจพลางมองหน้ากันและกันอย่างตะลึงพรึงเพริด เทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นยอดยุทธ์ที่สามารถสั่นสะเทือนทั้งจักรวาลด้วยการกระทืบเท้า ทว่ายอดยุทธ์ทั้งสองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้พบปะกัน ดังนั้นใครจะคิดว่าบุตรสาวของพวกเขาจะได้พบกันด้วยวิธีนี้

“เจ้าเป็นธิดาของเทพจักรพรรดิสงครามนี่เอง… กระทั่งบิดาข้ายังนับถือเขาด้วยความเคารพอย่างสูง นี่เป็นโชคชะตาแท้จริงที่ข้าได้พบกับองค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวูวันนี้” ใบหน้าของเซียวเซียวอึ้งไปเล็กน้อย เพราะชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิสงครามไม่ได้อ่อนแอไปกว่าบิดาของนางและนางก็รู้ว่าเทพจักรพรรดิสงครามเป็นหนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพที่แม้แต่บิดานางยังให้ความสำคัญมาก

ดวงตาของหลินจิ้งเปล่งประกายขณะที่พูดด้วยความตื่นเต้น “ท่านเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นบิดาของพี่สาวเหรอ ข้าเคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงบิดาพี่หลายครั้ง เขาเป็นวีรบุรุษในใจข้า ถ้าข้ารู้จักตัวตนของพี่สาวก่อนหน้า ข้าต้องยกไข่มุกจิตตะมังกรให้แน่นอน”

หลินจิ้งรักและภูมิใจในตัวบิดามากตั้งแต่รู้ความ ดังนั้นนางจึงให้ความเคารพเทพจักรพรรดิอัคคีที่ยืนอยู่บนจุดเดียวกับบิดาของนางด้วย เมื่อรู้ถึงตัวตนอีกฝ่ายความตื่นเต้นที่ฉายบนใบหน้าของนางก็ไม่ใช่ของปลอม

เซียวเซียวยิ้มบาง นางรู้สึกโชคดีอยู่ในใจที่มู่เฉินมาทันเวลา มิฉะนั้นหากเกิดอะไรขึ้นและพวกนางกางไพ่ตายออกมา ทั้งสองฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน

ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่คุ้มที่จะเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายเพียงเพื่อไข่มุกจิตตะมังกร

มู่เฉินมองหญิงสาวสองคนที่เข้ากันได้ดีก็รู้สึกโล่งใจมาก ทั้งคู่มีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา ต่อให้พวกนางจะมีนิสัยแตกต่างกันไป แต่ก็มีความภาคภูมิใจในตนเองอย่างยิ่ง ดังนั้นมู่เฉินจึงกังวลว่าพวกนางจะมีอารมณ์ไม่พอใจ หากเป็นเช่นนั้นเขาที่อยู่ตรงกลางคงอิหลักอิเหลื่อน่าดู

แต่โชคดีที่ทั้งสองคนมีมารยาทและไม่ใช่ผู้หญิงหน่อมแน้มพวกนั้น

“ทำไมเจ้าถึงมาที่วังสวรรค์บรรพกาล” มู่เฉินมองไปที่เซียวเซียวถามด้วยความประหลาดใจ

“วังนี้ก่อตั้งโดยจักรพรรดิฟ้า ช่วงนี้ข้าออกจากการสมาธิฝึกฝนพอดีก็เลยมาดูซะหน่อย ตอนแรกข้าคิดจะไปภูมิภาคทางเหนือเพื่อหาเจ้า แต่ข้าเชื่อว่างานนี้เจ้าไม่น่าพลาด จึงรีบเดินทางมาที่นี่แทนน่ะ”

เซียวเซียวยิ้ม จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วจริงๆ”

ตอนที่พวกนางอยู่ในเขตหลงเฟิ่ง มู่เฉินอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น เวลาผ่านไปไม่ถึงสองปีเขาก็ก้าวเข้าขั้นเก้าเรียบร้อยแล้ว ความเร็วในการฝึกฝนดังกล่าวทำให้เซียวเซียวตกใจเล็กน้อยในใจ

“ไม่เร็วเท่าเจ้าหรอก” มู่เฉินยักไหล่ เมื่อเขามาถึงที่นี่เซียวเซียวก็ไม่ได้ซ่อนความแข็งแกร่งไว้ การเพาะบ่มพลังของนางไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจู้เยี่ยนซึ่งอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม มิหนำซ้ำนางยังอยู่ในอันดับต้นๆ ของระดับนี้เลยทีเดียว

“นี่คือไข่มุกจิตตะมังกรเหรอ?” มู่เฉินมองไปที่ไข่มุกเหนือบัลลังก์ นี่คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลินจิ้งกับเซียวเซียวจึงต่อสู้กัน

หลินจิ้งและเซียวเซียวสบตากันก่อนที่จะพยักหน้าด้วยความรู้สึกผิด

“แล้วพวกเจ้าจะแบ่งกันยังไง?” มู่เฉินถามเนื่องจากมีไข่มุกมีเพียงชิ้นเดียว มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง ทว่าเห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดจะเป็นคนตัดสินใจให้

เมื่อหลินจิ้งได้ยินคำพูดเขา นางก็ยิ้มพูดขึ้นก่อน “ให้พี่เซียวไปเถอะ นางยังไม่ได้รับป้ายยินยอมและนี่ก็ไม่ได้จำเป็นสำหรับข้าด้วย”

แม้ว่าไข่มุกจิตตะมังกรจะล้ำค่า แต่ด้วยสถานะของนางก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นสมบัติอะไรแบบนี้มาก่อน ในสายตาของนางไข่มุกนี้ไม่มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเซียวเซียว

เมื่อเซียวเซียวได้ยินการเลือกของหลินจิ้ง นางก็ลังเลชั่วครู่ก่อนจะยิ้มขอบคุณ “งั้นต้องขอบคุณน้องหลินจิ้งนะ สิ่งนี้มีประโยชน์มากสำหรับข้า หากจากนี้หากเราพบสมบัติข้าจะชดใช้ให้”

งูเจ็ดสีเลื้อยออกมาจากไหล่ตวัดลิ้นยาวไปที่ไข่มุกจิตตะมังกรด้วยความตื่นเต้น

“พี่เซียวเกรงใจไปแล้ว ไปเอาสมบัติเถอะ” หลินจิ้งหัวเราะเบาๆ

เซียวเซียวพยักหน้าเดินไปที่บัลลังก์ แต่เมื่ออยู่ห่างจากบัลลังก์ประมาณร้อยจั้งมู่เฉินก็ปรากฏตัวข้างๆ และหยุดนางไว้

“หืม?” เซียวเซียวอึ้งไปพลางมองมู่เฉินด้วยความสงสัย หลินจิ้งและจิ่วโยวก็ตามมาดูด้วยความประหลาดใจเช่นกัน

“มีปัญหาเหรอ?” จิ่วโยวเข้าใจมู่เฉินดีที่สุด นางรู้ว่ามู่เฉินไม่มีทางถูกล่อลวงโดยไข่มุกนี้แน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องมีเหตุผลอื่นที่ทำให้เขาหยุดเซียวเซียวไว้

เมื่อเซียวเซียวและหลินจิ้งได้ยินคำพูดของจิ่วโยว ดวงตาของพวกนางก็หดลง

มู่เฉินจ้องไปที่บัลลังก์และพยักหน้าเบาๆ “ มันแปลกนิดหน่อยน่ะ…”

ตอนที่เซียวเซียวขยับใกล้เข้าไป เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนเล็กน้อยที่ซ่อนเร้นอยู่จนแม้แต่เซียวเซียวและหลินจิ้งก็ยังไม่รู้สึกตัว

มู่เฉินย่อตัวลงวางมือลงบนพื้นแล้วหลับตา

เมื่อหญิงสาวทั้งสามคนเห็นภาพนี้ก็กระจายตัวสร้างแนวป้องกันโดยมีมู่เฉินอยู่ตรงกลาง

มู่เฉินอยู่ในท่านี้ครู่หนึ่งก่อนที่จะลืมตาโพลง แสงหลิงวูบไหวอยู่ในฝ่ามือเขา “มีปัญหาจริงๆ นั่นแหละ”

ตู้ม!

เมื่อพูดจบเขาก็ฟาดฝ่ามือลงกะทันหัน ความผันผวนของคลื่นหลิงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่ออกมาจากฝ่ามือ

ปัง ปัง ปัง!

เสียงระเบิดดังก้อง หินก้อนใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนแตกเป็นเสี่ยงๆ พื้นเริ่มพังทลาย

เมื่อพื้นพังทลาย หญิงสาวทั้งสามก็มองเห็นเส้นใยหลิงปรากฏบนพื้นและเชื่อมโยงกันเป็นค่ายกลขนาดใหญ่โดยมีบัลลังก์เป็นรากฐาน

ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทำให้ม่านตาของพวกนางหดเกร็งก็คือใต้พื้นดินที่พังทลายสามารถมองเห็นมังกรขาวขดตัวซึ่งปกคลุมไปด้วยรัศมีความตาย ในดวงตาของมังกรตัวนั้นไม่มีพลังชีวิตแม้แต่น้อย

มังกรขดตัวอยู่ที่นั่นเงียบๆ ราวกับเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ไม่แปลกเลยว่าทำไมหญิงสาวทั้งสามคนถึงไม่รู้สึกถึง เหตุผลที่มู่เฉินสัมผัสได้ เป็นเพราะมีค่ายกลซ่อนอยู่ใต้ดิน

“นี่มันศพมังกรวิเทศ…” แต่ละคนมองมังกรสีขาวที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายก็พูดด้วยความประหลาดใจ

พวกนางไม่ได้กลัวศพมังกรวิเทศตัวนี้มากนัก แต่เป็นค่ายกลที่ทำให้พวกนางรู้สึกว่าถูกคุกคาม

“นี่มันค่ายกลอะไร?” เซียวเซียวถามด้วยความสงสัย นางมีความรู้สึกว่าถ้านางก้าวเข้าไปในค่ายกลโดยไม่มีการเตรียมการใดๆ คงต้องจ่ายราคาไม่น้อย

“นี่คือค่ายกลศพวิญญาณ หากก้าวเข้าไปพลังงานหลิงจะถูกยับยั้ง ดูจากรัศมีความตายที่รวมอยู่ในนั้น แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็จะถูกลดระดับลงเหลือเพียงขั้นเจ็ดเท่านั้น” มู่เฉินตอบ

เซียวเซียวและหลินจิ้งสะดุ้ง หากขุมพลังของพวกนางถูกระงับเหลือเพียงขั้นเจ็ด พวกนางต้องถูกเขมือบโดยศพมังกรวิเทศแน่นอน ไม่คิดว่าที่นี่จะยังมีสิ่งอันตรายซ่อนอยู่ด้วย

“งั้นตอนนี้เราควรทำยังไง?” เซียวเซียวขมวดคิ้ว ถ้านางทำลายค่ายกลรุนแรงอาจส่งผลต่อไข่มุกจิตตะมังกรด้วย

เมื่อมู่เฉินได้ยินความกังวลของนางก็ยิ้มบาง

“ถ้าเป็นค่ายกลก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

**สุภาษิต น้ำท่วมวังราชามังกร วังราชามังกรอยู่ใต้ทะเลเลยเปรียบเหมือนว่าสองสิ่งใหญ่มาชนกัน

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1134 โอกาสของจิ่วโยว
“ตัวปัญหาใหญ่?”

เมื่อมู่เฉินได้ยินใบหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ไพ่ตายของหลินจิ้งบวกกับตุ๊กตาน้ำแข็ง นางสามารถสู้กับคนอย่างจู้เยี่ยนได้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้จู้เยี่ยนยังติดอยู่ในค่ายกลของตำหนักสายลมจากฝีมือพวกเขา แล้วใครกันที่ทำให้หลินจิ้งรู้สึกเป็นปัญหา?

หรือว่าจะเป็นจาโหลหลัว?

สายตาของมู่เฉินหดเกร็ง แม้ว่าจาโหลหลัวจะอยู่อันดับสาม แต่มู่เฉินไม่เชื่อว่าคนอย่างนั้นจะอ่อนแอกว่าจู้เยี่ยนและซูชิงหยิง…

ท่าทางเขาต้องรีบไปดูแล้ว

มู่เฉินมองไปข้างหน้าก็เห็นเปลวไฟที่ลุกโชนพัดเทพสายลมกำลังครางกระหึ่มที่ภายใน แก่นเลือดกลั่นของเขาทิ้งรอยประทับไว้ในลมเหลืองสุดขั้วจนกลายเป็นสีแดงเข้มเรียบร้อยแล้ว

เมื่อรอยประทับถูกสร้างขึ้น มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ทันทีถึงการเชื่อมต่อที่น่าอัศจรรย์กับพัดเทพสายลม ตอนนี้ต่อให้มีคนอื่นมาเอาไปจากเขา แต่แค่ความคิดเดียวของเขาพัดก็จะเริ่มการตอบโต้ สถานการณ์เช่นคนที่ใช้พัดเพื่อจัดการกับเขาจะไม่มีอีกแล้วแน่

มู่เฉินยื่นมือออก เปลวไฟคลื่นหลิงก็หายไป พัดเทพสายลมพลิ้วลงมาในมือ มันให้ความเย็นลื่นเมื่อสัมผัส ทำให้เขาเผยรอยยิ้มพึงพอใจ

หลังจากชำระพัดเทพสายลมสำเร็จ เขาก็สามารถสัมผัสได้อย่างคลุมเครือถึงพลังที่มีอยู่ภายใน แต่ถ้าเขาต้องการใช้เต็มรูปแบบก็ยังต้องดึงคลื่นหลิงจำนวนมหาศาล ซึ่งด้วยขุมพลังของเขาตอนนี้ยังไม่สามารถใช้ได้

ทว่าต่อให้เขายังไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มรูปแบบ แต่อาวุธมหสวรรค์ก็ยังคงเป็นของล้ำค่า ด้วยเหตุนี้ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของมู่เฉินจะทะยานขึ้นแน่นอน ถ้าเขาพบกับจู้เยี่ยนอีกครั้งแม้ว่าจะไม่มีค่ายกล มู่เฉินก็เผชิญหน้าได้ด้วยความช่วยเหลือจากพัดเทพสายลมนี้

มู่เฉินถือพัดในมือดูราวกับบัณฑิตสง่างาม เขาทำท่าพัดไปมาอย่างโอ้อวดก่อนจะเก็บไว้ จากนั้นร่างเงาก็วาบขึ้นไปปรากฏอีกมุมหนึ่งของเจดีย์ จิ่วโยวยังคงยืนอยู่บนท้องฟ้ามีพายุรุนแรงรวมตัวอยู่รอบกายนาง

มู่เฉินจ้องนางด้วยความประหลาดใจในดวงตา นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกได้ว่าแม้จะสามารถพุ่งเป้าไปที่จิ่วโยว แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับรู้สึกว่าถ้าเขาโจมตีนางในตอนนี้ จะไม่สามารถโดนตัวนางได้อย่างแน่นอน

นางราวกับสายลมที่ไม่สามารถคาดเดาได้

เมื่อมู่เฉินมองมา จิ่วโยวก็ลืมตาขึ้น ก้มมองมู่เฉินพร้อมรอยยิ้มคลี่บนใบหน้าเย็นชา

ทว่าเมื่อจิ่วโยวคลี่ยิ้มให้ มู่เฉินก็ต้องหดดวงตา ทันใดนั้นก็หันขวับไปเห็นร่างเงางดงามมาอยู่ที่ข้างหลังแล้ว

“ตอบสนองรวดเร็วจริง” จิ่วโยวมองไปที่มู่เฉินและยิ้ม

มู่เฉินตกใจไปเล็กน้อยขณะมองจิ่วโยว “ความเร็วของเจ้า…”

ความเร็วของจิ่วโยวเกินการรับรู้ของเขาจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาคุ้นเคยกับรัศมีนาง เขาคงไม่สามารถตรวจจับได้

ความเร็วนั้นน่ากลัวอย่างแท้จริง

“กระบวนท่าเรียกสายลมไม่ธรรมดาเลย” สีหน้ามู่เฉินเคร่งเครียดลง แม้ว่าเมื่อก่อนจิ่วโยวจะเร็วมากอยู่แล้ว แต่ความเร็วของนางก็ใกล้เคียงกับมู่เฉินแบบสูสี ทว่าความเร็วในปัจจุบันของนางเตะเขาโด่งออกไปเลย ดังนั้นกระบวนท่าเรียกสายลมนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กธรรมดาไม่มีทางสุดยอดขนาดนี้

“กระบวนท่าเรียกสายลมไม่ธรรมดาจริงๆ…ถ้าพูดให้ถูก กระบวนท่าเรียกสายลมสมบูรณ์ที่ไม่ธรรมดา” จิ่วโยวพยักหน้าเห็นด้วย

“สมบูรณ์?” มู่เฉินอึ้งไป

“กระบวนท่าเรียกสายลมสมบูรณ์ถูกเรียกว่าคัมภีร์เรียกสายลม… อย่าคิดว่าเป็นเพียงคำเพิ่มเติมนะ ว่ากันว่าคัมภีร์เรียกสายลมเป็นหนึ่งในสามสิบหกกระบวนท่าของวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนาน…” ความตื่นเต้นที่ไม่อาจปิดบังได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าจิ่วโยว นางรู้เกี่ยวกับข้อมูลนี้หลังจากที่ได้ฝึกฝนกระบวนท่านี้แล้ว ผลกระทบของข้อมูลรุนแรงสำหรับนางมาก เพราะวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่ามีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วมหาพันภพเลยทีเดียว

จิ่วโยวไม่เคยคิดฝันว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กที่ได้รับมานั้นจะเป็นส่วนต้นของวิทยายุทธในตำนาน

“คัมภีร์เรียกสายลม… หนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า?”

มู่เฉินสูดลมหายใจเย็นลุกสุดปอด ชัดว่าตกตะลึงไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากนี้เขายังไม่คิดว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กจากตำหนักสายลมจะมีต้นกำเนิดที่น่ากลัวเช่นนี้

นั่นเป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า ซึ่งแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังถูกล่อลวง แม้ว่านี่จะไม่ใช่คัมภีร์สมบูรณ์ แต่หากในอนาคตจิ่วโยวมีโอกาสทำให้สมบูรณ์ มูลค่าก็เหลือคณานับ

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมความเร็วของเจ้าถึงน่ากลัวมากหลังจากฝึกฝน…” ถึงตอนนี้มู่เฉินก็เข้าใจจนอดถอนหายใจไม่ได้ โอกาสของจิ่วโยวน่าตกใจอย่างแท้จริง ใครจะรู้ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กจะมีต้นกำเนิดมาจากคัมภีร์เรียกสายลม?

ตามการคาดการณ์ของเขา ถ้าจิ่วโยวหมุนเวียนกระบวนท่านี้อย่างเต็มกำลัง ตราบใดที่นางไม่ได้ปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนตัวจริง นางก็สามารถไปมาได้ตามสบาย

“แม้ว่าความแข็งแกร่งของผู้บัญชาการตำหนักสายลมจะไม่ได้อยู่ลำดับหน้าๆ แต่ข้าเชื่อว่าความเร็วของเขาเป็นอันดับหนึ่ง” จิ่วโยวยิ้ม เห็นได้ชัดว่านางไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นได้หลังจากได้รับสมบัตินี้

มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเจ้าฝึกฝนกระบวนท่าเรียกสายลมนี้ได้แล้ว พวกเราก็รีบไปกันเถอะ หลินจิ้งกำลังเจอปัญหา…”

ขณะเดียวกันเขาก็เล่าถึงสิ่งที่ได้มาจากหลินจิ้งให้จิ่วโยวฟัง

“คนที่กระทั่งหลินจิ้งยังจัดการไม่ได้เหรอ” เมื่อได้ยินจิ่วโยวก็หดดวงตาพูดต่อ “งั้นก็รีบไปกันเถอะ”

การจะทำให้หลินจิ้งรู้สึกลำบากแน่นอนว่าต้องไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นพวกนางต้องรีบเร่งแล้วมิฉะนั้นหลินจิ้งจะเสียเปรียบเอา

มู่เฉินผงกศีรษะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะพุ่งไปในระยะไกล

ขณะที่มู่เฉินกลายเป็นร่างแสง จิ่วโยวก็ยืนเอามือไพล่หลังมีพายุปรากฏอยู่ใต้เท้า นางเดินไปบนสายลมมาปรากฏตัวด้านหลังมู่เฉินอย่างง่ายดาย นอกจากนี้ไม่ว่ามู่เฉินจะเพิ่มความเร็วมากแค่ไหนก็ไม่สามารถสลัดนางออกไปได้

ทั้งสองเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด ดงเกาะวูบผ่านสายตาไป ในเวลาเพียงสิบกว่านาทีพวกเขาก็ค่อยๆ เข้าใกล้เกาะมังกรที่หลินจิ้งส่งข้อความมาบอก

ยังมีผู้คนอออยู่นอกเกาะมังกรมากมาย แต่พวกเขาก็จนหนทางเบื้องหน้าพิษลมปราณมังกรไม่มีใครกล้าแหย่เท้าเข้าไป แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็ยังไม่อยากยอมแพ้จึงทำได้แค่รออยู่เฉยๆ

“พิษลมปราณมังกร?”

มู่เฉินจำหมอกพิษได้เพียงเห็นแวบเดียว แต่ก็ไม่ประหลาดใจอะไร หลังจากเงียบลงชั่วครู่เขาก็ทะยานเข้าไปพร้อมกับจิ่วโยว

เมื่อพวกเขาเคลื่อนตัวเข้าไปในเกาะ เพลิงโปร่งใสก็พวยพุ่งออกมาจากร่างทั้งสองนี่ก็คือเพลิงอมตะ แต่ในแง่ของคุณภาพมู่เฉินด้อยกว่าเล็กน้อย ดังนั้นเพลิงของจิ่วโยวจึงเข้าขั้นบริสุทธิ์กว่า

ทว่ามู่เฉินต้องการเพียงแค่ปิดกั้นหมอกพิษตราบใดที่ใช้งานได้ดีก็ไม่มีปัญหา

ทั้งสองเข้าไปในส่วนลึกของเกาะ หลังจากนั้นไม่นานก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงที่มาจากส่วนลึกซึ่งน่าจะเป็นจุดที่หลินจิ้งอยู่ แต่ตัดสินจากการเคลื่อนไหวดูเหมือนการต่อสู้จะรุนแรงมาก

มู่เฉินและจิ่วโยวพุ่งเข้าไปในจุดที่มีความผันผวนอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าใกล้รอบตัวทั้งสองก็พลุ่งพล่านด้วยคลื่นหลิง ชัดว่าเตรียมลงมือทุกเมื่อ

วาบ!

ทั้งสองคนพุ่งเข้าไปหมอกพิษก็เบาบางลงเนื่องจากการต่อสู้ที่รุนแรงเกิดขึ้น

มู่เฉินกวาดมองก็เห็นการเผชิญหน้าที่รุนแรง ขณะนี้หญิงสาวทั้งสองถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิงทรงพลังพร้อมด้วยเสาหลิงขนาดหมื่นจั้งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

วาบ!

มู่เฉินกำหมัดแน่นหอกสงครามมังกรแดงปรากฏขึ้น ก่อนที่เขาจะเทพลังงานไร้ขอบเขตเข้าไปภายใน แขนของเขาสั่นสะท้าน หอกก็พุ่งออกไปราวกับมังกรที่ตวัดกรงเล็บด้วยความรุนแรง

หอกแทรกผ่านระหว่างหญิงสาวสองคน คลื่นหลิงที่ระเบิดออกก็แยกทั้งสองออกจากกัน

ทั้งสองแยกจากกัน แต่ใบหน้าของหลินจิ้งก็เปล่งประกายด้วยความสุขเมื่อเห็นหอกนี้ นางแผดเสียงร้องทันที “จับนางไว้เร็ว! อย่าปล่อยให้หนีไปได้!”

มู่เฉินปรากฏตัวข้างๆ หลินจิ้งเมื่อเห็นว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ก็รู้สึกโล่งใจก่อนจะมองไปที่ภาพเงาที่อยู่ไม่ไกล เขาต้องการดูว่าใครกันที่สามารถบังคับให้หลินจิ้งอยู่ในสภาพนี้ได้…

มู่เฉินมองไปก็เห็นหญิงสาวชุดสีรุ้งยืนอยู่บนก้อนหินด้วยท่าทางงดงามชวนหลงใหลซึ่งทำให้เขาอึ้งไปเล็กน้อย เขาเลื่อนสายตาขึ้นไป ผ้าคลุมที่ปิดใบหน้าถูกฉีกขาดเป็นริ้วจนไม่สามารถซ่อนรูปลักษณ์ได้ ดังนั้นมู่เฉินจึงสามารถมองเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน

อืม? ช่างงดงามจริง…นี่เป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจของมู่เฉิน

ทำไมนางดูคุ้นจัง? นี่เป็นความคิดที่สองในใจ

มู่เฉินตะลึงงันจ้องมองร่างสะคราญโฉม ทันใดนั้นสมองของเขาราวกับหยุดทำงานไป ทว่าไม่นานก็ฟื้นสติขึ้นมาในช่วงสั้นๆ จากนั้นก็เบิกตากว้างเท่าไข่ห่าน

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1133 การแข่งขันของสองสาว
ทั้งเกาะเต็มไปด้วยซากปรักหัก

พร้อมกับหมอกพิษกระจายไปทั่วฟ้าดิน โดยไม่มีวี่แววของพลังชีวิตสักนิด

ซ่า ซ่า

เสียงฝีเท้าดังก้องในความเงียบงัน ร่างเงาหนึ่งเดินเข้ามาอย่างมีชีวิตชีวา นางกระโดดขึ้นไปบนก้อนหินป้องมือไว้เหนือดวงตามองไปในระยะไกล แต่สภาพแวดล้อมที่เงียบงันทำให้นางต้องเบ้ปาก

“ไม่มีอะไรเลยหลังจากเดินมาตั้งไกล…” หลินจิ้งพึมพำขณะที่เกลียวแสงจางๆ ปกคลุมร่างปกป้องจากพิษ เกาะมังกรแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าเกาะสายลมที่พวกนางเข้าไปอย่างชัดเจน มิหนำซ้ำหมอกพิษยังทำให้ประสาทสัมผัสดิ่งลงจนต้องค้นหาไปทีละก้าว

แต่เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้เก็บเกี่ยวอะไรระหว่างทาง

“ดูเหมือนว่าข้าต้องเปลี่ยนเป็นวิธีอื่นแล้ว…” หลินจิ้งถอนหายใจ แสงรวมตัวกันบนฝ่ามือนางก่อนที่แมลงขนาดเท่ากำปั้นทารกจะปรากฏขึ้น บนหัวแมลงนี้มีหนวดยาวกระดุกกระดิกตลอดเวลา

นี่คือแมลงล่าสมบัติอันล้ำค่าที่สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ ในเวลาเดียวกันแม้แต่ขุมทรัพย์ใต้ดินก็หาออกมาได้ด้วย

ทว่าภายใต้สภาพแวดล้อมนี้ แม้แมลงล่าสมบัติจะสามารถค้นหาได้ แต่มันอาจได้รับบาดเจ็บจากหมอกพิษซึ่งเป็นสาเหตุที่หลินจิ้งไม่คิดใช้ก่อนหน้านี้ แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันหากนางไม่ทำเช่นนี้ก็จะต้องเสียเวลามากมายแน่นอน

“ไปเถอะ”

หลินจิ้งยกมือขึ้น แมลงล่าสมบัติกระพือปีก หมุนคว้างไปรอบๆ ก่อนที่จะบินไปทางขวา เมื่อหลินจิ้งเห็นปฏิกิริยานั่นก็ติดตามอย่างใกล้ชิด

แมลงล่าสมบัติบินไปประมาณสิบกว่านาทีก่อนที่จะพลิ้วลงบนซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง หลินจิ้งอุ้มแมลงขึ้นอย่างระมัดระวัง ทว่าร่างกายของมันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำเนื่องจากหมอกพิษ

“ขอบใจนะ”

หลินจิ้งลูบไล้เนื้อตัวแมลงเบาๆ ก่อนที่จะดึงขวดหยกที่เต็มไปด้วยของเหลวและวางแมลงไว้ข้างใน ของเหลวมีผลในการชำระล้าง ดังนั้นจึงสามารถละลายหมอกพิษที่อยู่ภายในร่างแมลงล่าสมบัติได้

เมื่อจัดการเรียบร้อยหลินจิ้งก็เงยหน้าขึ้นมองไปในระยะไกลด้วยความยินดีในดวงตา

นี่เป็นซากปรักหักพังเมื่อพิจารณาจากร่องรอยจะต้องเป็นตำหนักขนาดใหญ่ ทว่าตอนนี้ได้พังทลายไปหมดแล้ว

หลินจิ้งกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนที่จะพุ่งความสนใจไปที่ศูนย์กลาง มีบัลลังก์กระดูกขาวตั้งตระหง่านพร้อมกับพลังอำนาจที่สถิตบนบัลลังก์ เห็นได้ชัดว่าบัลลังก์นี้ต้องเป็นของจอมยุทธ์ทรงพลังในสมัยโบราณ

หลินจิ้งเหลือบมองไปที่บัลลังก์ ก่อนที่จะขยับสายตาไปที่ด้านบนนางเห็นไข่มุกสุกใสขนาดเท่าหัว

พื้นผิวของไข่มุกเรียบเนียนเปล่งประกายอย่างอ่อนโยน ดูเหมือนจะมีมังกรสีขาวขดอยู่ภายใน นอกจากนี้ยังมีความผันผวนของคลื่นหลิงไร้ขอบเขตถูกปล่อยออกมาจากมัน

“นี่มัน…ไข่มุกจิตตะมังกร?” หลินจิ้งมองไข่มุกที่มีมังกรขาวอยู่ภายใน ดวงตาก็อดเปล่งประกายไม่ได้ ว่ากันว่าคนของเผ่ามังกรสามารถผนึกคลื่นหลิงของพวกเขาให้กลายเป็นไข่มุกจิตตะมังกรเมื่อละสังขาร ซึ่งจะมีคลื่นหลิงบริสุทธิ์หรือแม้แต่สายเลือด หากได้รับสิ่งนี้และปรับแต่งก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการฝึกฝน

ตามการคาดการณ์ของนาง ไข่มุกจิตตะมังกรนี้น่าจะถูกทิ้งไว้โดยผู้บัญชาการตำหนักมังกรซึ่งน่าจะมีขุมพลังเกือบจะบรรลุตี้จื้อจุนขั้นปลายเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นมูลค่าของไข่มุกนี้จึงไม่น้อยไปกว่าพัดเทพสายลมที่มู่เฉินได้รับ

“ในที่สุดก็เจอของดี!” หลินจิ้งยิ้มกว้าง นางเดินโต๋เต๋มานานในที่สุดก็พบสมบัติชิ้นเยี่ยม

นางไม่มีความลังเลสักนิดสะบัดนิ้วออกไป แสงหลิงพุ่งออกมาตั้งใจที่จะคว้าไข่มุกจิตตะมังกรไว้

วาบ!

แต่เมื่อหลินจิ้งเตรียมคว้าไข่มุก คลื่นหลิงสีรุ้งก็พุ่งลงมาจากฟ้า ทำให้พลังงานของนางแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

“ใคร?” หลินจิ้งอึ้งไปเมื่อถูกโจมตีอย่างกะทันหัน อึดใจก็เค้นเสียงเย็น

เสียงตะโกนเยือกเย็นถูกตอบกลับด้วยความเงียบซึ่งไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพหลอน

“คิดว่าซ่อนแล้วข้าจะหาไม่เจอเรอะ?”

หลินจิ้งเค้นเสียงเย็นชาก่อนจะวาดตราประทับแล้วกดลงไปในอากาศที่เบื้องหน้า ทันใดนั้นเกลียวแสงหยกก็กระจายออกมาด้วยความเร็วที่น่าทึ่งใต้ฝ่ามือนาง

แม้แต่หมอกพิษยังกระเพื่อมออกไปเมื่อเกลียวแสงหยกกวาดออกมา ซึ่งราวกับสามารถเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนอยู่ แม้แต่เงาก็ถูกกวาดทิ้ง

เกลียวแสงหยกกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นหลินจิ้งก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของมิติเบาบางบนหินก่อนที่จะเผยให้เห็นภาพเงาภายใต้แสงหยก

หลินจิ้งตะลึงเมื่อเห็นภาพเงานั่น เป็นเพราะนี่คือร่างสะคราญโฉมยืนอยู่เบื้องหน้านาง…

“เจ้าคือใคร?” หลินจิ้งมองไปที่ร่างเงาน่าหลงใหลขณะตั้งคำถาม

“ทำไม? มาหาสมบัติที่นี่ยังต้องแจ้งตัวตนเหรอ?” หญิงสาวชุดสีรุ้งยิ้มอย่างเกียจคร้าน แม้ว่านางจะสวมผ้าคลุมหน้า แต่ก็สามารถจินตนาการถึงรูปลักษณ์งดงามภายใต้ผ้าคลุมนั้นได้

ใบหน้าของหลินจิ้งยังคงเรียบเฉยขณะพูดว่า “ข้าพบไข่มุกจิตตะมังกรนี้ก่อน”

“กฎเปลี่ยนมาเป็นเจอก่อนได้ก่อนตั้งแต่เมื่อไร?” หญิงสาวชุดสีรุ้งพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน ชัดว่านางรู้สึกตลกในคำพูดของหลินจิ้ง

หลินจิ้งยักไหล่ แม้ว่านางจะสวยเหมือนกันแต่อากัปกิริยาก็แตกต่างจากหญิงสาวชุดสีรุ้งคนนี้ ดังนั้นการเคลื่อนไหวนั่นจึงดูทรงเสน่ห์เช่นกัน “ดูเหมือนไม่มีอะไรจะคุยระหว่างเรา…”

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวชุดสีรุ้งก็ให้ความสนใจไข่มุกจิตตะมังกรเช่นกัน ซึ่งนางเองก็ไม่มีทางปล่อยไปได้ง่ายๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก

วาบ!

ทันใดนั้นไอเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้น ร่างเงาลึกลับเผยที่เบื้องหน้าหญิงสาวชุดสีรุ้ง เสือกแทงกระบี่ยาวในมือออกไป

ไอเย็นยะเยือกที่สามารถตรึงอากาศพุ่งเข้ามา แต่หญิงสาวชุดสีรุ้งก็ไม่ขยับ เมื่อกระบี่ยาวพร้อมไอเย็นเยือกอยู่ห่างจากนางเพียงหนึ่งจั้ง หางสีรุ้งก็พุ่งออกมากระแทกเข้ากับกระบี่ ทันใดนั้นกระบี่ยาวที่สร้างจากไอเย็นก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ตุ๊กตาน้ำแข็งก็ได้รับผลกระทบหนักหน่วง กระเด็นออกไปทิ้งรอยยาวไว้ที่พื้นก่อนที่จะทรงตัวได้

เมื่อหลินจิ้งเห็นภาพนี้ดวงตาก็หดลงพร้อมกับความเคร่งเครียดวูบไหวเป็นครั้งแรกขณะมองไปที่หญิงสาวชุดสีรุ้ง งูเจ็ดสีพาดอยู่บนไหล่อีกฝ่าย เจ้างูขดตัวตวัดลิ้นแผล่บๆ ปากนั่นมืดราวกับหลุมดำ ประหนึ่งว่าสามารถกลืนกินสวรรค์และโลกได้

งูตัวนั้นไม่ธรรมดา!

หลินจิ้งสามารถบอกได้ว่างูเจ็ดสีเหมือนจะทรงพลังมากจนอาจจะแข็งแกร่งกว่าตุ๊กตาน้ำแข็งเสียอีก

สิ่งนี้ทำให้หลินจิ้งพึมพำกับตัวเองขณะที่ครุ่นคิดถึงที่มาของหญิงสาวตรงหน้า วิธีการและรากฐานอีกฝ่ายไม่อ่อนแอกว่าซูซิงหยิงเลย แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีคนแบบนี้ในทวีปเทียนหลัวจากมู่เฉิน

แม้ว่านางจะตกใจกับความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม แต่หลินจิ้งคือใคร? นางคือองค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวู ถ้านางไม่สามารถคว้าไข่มุกจิตตะมังกรที่ตนสนใจมาได้ก็เสียหน้าเกินไปแล้ว

ดังนั้นหลินจิ้งจึงรีบดึงความประหลาดใจกลับ ยื่นมือปลดสร้อยข้อมือหยกออก

ตู้ม!

เมื่อถอดข้อมือหยกออก การยับยั้งคลื่นหลิงในร่างกายหลินจิ้งก็ถูกลบออกไป พายุทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับแรงกดดันคลื่นทรงพลังกวาดไปทั่วฟ้าดิน ในขณะนี้แม้แต่หมอกพิษก็ถูกผลักกลับ

“ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม…”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง ดวงตาของหญิงสาวชุดสีรุ้งก็เป็นประกายขณะที่ประหลาดใจกับหญิงสาวคนนี้

ดูเหมือนว่าการคว้าไข่มุกจิตตะมังกรจะไม่ง่ายอย่างที่คิด

เมื่อสัมผัสเรื่องนี้ได้หญิงสาวชุดสีรุ้งก็ไม่ได้ปกปิดความแข็งแกร่งของตัวเองอีกต่อไป ฝ่าเท้าเยื้องย่างออกมา มิติรอบตัวนางแปรปรวน ความผันผวนของคลื่นพลังน่าทึ่งที่ไม่อ่อนแอไปกว่าหลินจิ้งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มอีกคน!

ถ้าคนภายนอกได้เห็นฉากนี้ลูกตาของพวกเขาคงจะถลนออกมาอย่างแน่นอน โดยทั่วไปแล้วจอมยุทธ์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มจะได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่อันดับของทำเนียบจอมยุท์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัว ทว่าทั้งสองสาวไม่ได้อยู่ในสี่อันดับแรก…

หลินจิ้งมองไปที่หญิงสาวชุดสีรุ้งก็เม้มริมฝีปาก ก่อนแถบหยกจะปรากฏขึ้นในมือและถูกบดขยี้

บดขยี้แถบหยกแล้ว หลินจิ้งก็ไม่ลังเล ฝ่าเท้ากระทืบลงไปส่งแรงทะยานไปหาหญิงสาวชุดสีรุ้งพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตแผ่ซ่าน

จังหวะที่หลินจิ้งขยี้แถบหยก

มู่เฉินก็ลืมตาโพลงโดยมีแถบหยกปรากฏขึ้นในมือพร้อมกับเสียงของหลินจิ้งกระจายออกมา

“มู่เฉิน ข้าเจอตัวปัญหาใหญ่ รีบมาช่วยข้าจัดการนางหน่อย!”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1132 เกาะมังกร
เปลวไฟลุกโชนปกคลุมพัดสีฟ้าอมเขียวในพริบตา

อุณหภูมิที่ลุกไหม้ทำให้พื้นที่โดยรอบแปรปรวน แม้แต่มิติก็ยังส่งสัญญาณการแผดเผาออกมา

แต่เมื่อเผชิญกับเปลวไฟลุกโชติช่วง พัดขนนกก็ไม่ได้ขยับเขยื้อน แม้แต่รังสีสีฟ้าอมเขียวยังนิ่งเฉย ราวกับเปลวไฟไม่มีตัวตน

มู่เฉินไม่แปลกใจ หากสามารถชำระอาวุธมหสวรรค์ได้ง่ายดาย เขาคงจะสงสัยว่านี่เป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้หรือไม่

ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไม่ใช่เพราะพัดเทพสายลมอยู่ในสถานะไร้เจ้าของ มู่เฉินคงถูกมันซัดทันทีที่ใช้ไฟเผาแล้ว

มู่เฉินมองไปที่พัดขนนกก็โบกมือสายธารของเหลวจื้อจุนปรากฏขึ้นรอบตัว หมอกหลิงไร้ขอบเขตพลุ่งพล่านเติมเต็มในชั้นเจดีย์นี้

การชำระพัดเทพสายลมไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นมู่เฉินจึงนำของเหลวจื้อจุนจำนวนมากออกมาเพื่อเตรียมใช้ในกระบวนการนี้

เสร็จสิ้นการเตรียมการมู่เฉินก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง เกลียวคลื่นหลิงจากของเหลวจื้อจุนไหลเข้าไปทางนาสิกประสาทของเขา ฟื้นฟูพลังที่อ่อนล้าในร่างกาย

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปท่ามกลางการชำระอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ของเหลวจื้อจุนรอบตัวก็เริ่มเบาบางลง แม้แต่เปลวไฟก็ยังคลุมเครือขึ้น พัดสถิตอยู่ตรงกลางขณะที่หมอกลอยขึ้น พายุทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวขนาดเล็กกวนตัวออกมา

พายุทอร์นาโดสวยงามมาก แต่เมื่อปรากฏขึ้นพื้นที่ทั้งหมดนี้ก็สั่นสะเทือน มวลลมรุนแรงพร้อมกับกรวดหินดินทรายปลิวว่อนในท้องฟ้า…

ดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินเปิดขึ้นพลางมองไปที่พายุทอร์นาโดขนาดเล็กริ้วความสุขวูบวาบในดวงตา

พายุทอร์นาโดนี้เป็นแก่นของพัดเทพสายลม ที่มีเกลียวลมเหลืองสุดขั้วที่ถือกำเนิดจากสวรรค์ทั้งเก้าหลังจากผ่านไปนับพันนับหมื่นปี นี่เป็นเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้พัดเทพสายลมเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้

หากเขาต้องการชำระพัดเทพสายลม เขาก็ต้องทิ้งรอยประทับไว้เบื้องหลังลมเหลืองสุดขั้ว

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึก จากนั้นก็กัดลิ้นตัวเองเลือดกลั่นสายหนึ่งพุ่งออกมาซึ่งบรรจุด้วยคลื่นหลิงบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อเลือดกลั่นพุ่งออกมาใบหน้าของมู่เฉินก็ซีดลง ชัดว่าสูญเสียพลังไปมาก

แก่นเลือดกลั่นนี้มีค่ามาก เนื่องจากได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยคลื่นพลังของเขา หากสูญเสียมากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อรากฐานคลื่นพลัง หากไม่ใช่ขั้นตอนจำเป็นในการชำระอาวุธมหสวรรค์ มู่เฉินก็ไม่คิดทำเช่นนี้แน่นอน

เลือดกลั่นพุ่งไปที่ลมเหลืองสุดขั้ว แต่ไม่ได้รวมเข้ากัน เพียงแค่ลอยอยู่รอบนอก ดูเหมือนจะถูกปิดกั้นโดยบางสิ่งไม่ให้เข้าไป

เมื่อมู่เฉินเห็นใบหน้าก็ยังคงสงบลงพลางหลับตาลงอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มควบคุมเปลวไฟเพื่อปลดปล่อยอุณหภูมิร้อนระอุแผดเผาลมเหลืองสุดขั้ว

ภายใต้การเผาไหม้อย่างช้าๆ แก่นเลือดกลั่นก็เริ่มสามารถหลอมรวมเข้ากับมันได้

แต่กระบวนการนี้ต้องใช้เวลาพอสมควรดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ใจร้อน เขารอคอยเงียบๆ ตราบใดที่แก่นเลือดกลั่นสามารถหลอมรวมเข้ากับลมเหลืองสุดขั้วได้อย่างสมบูรณ์ วางรอยประทับของเขาอยู่ภายในนั้น พัดเทพสายลมก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ในเวลานั้นแม้ว่าคนอื่นจะยึดวัตุถุนี้ไปเว้นแต่จะเป็นจอมยุทธ์ที่มีพลังสูงกว่าเขาหลายขุม มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะลบรอยประทับของเขาออก

มากจนมู่เฉินสามารถควบคุมรอยประทับที่อยู่ภายในเพื่อทำลายแกนกลางของพัดระเบิดตัวอาวุธล้ำค่านี้ได้ พลังระเบิดนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังไม่มีช่วงเวลาที่ดี

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมมู่เฉินต้องการใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการชำระพัดเทพสายลม… เพราะการล่อลวงของอาวุธมหสวรรค์ยิ่งใหญ่เกินไป

ตอนนี้เขาก็แค่รอให้ขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์…

ขณะที่มู่เฉินชำระพัดเทพวายุ

จิ่วโยวก็ยืนอยู่บนท้องฟ้าด้านนอกเจดีย์ นางยืนอยู่เงียบๆ หลับตาลง ความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวสลายไป ก่อนที่นางจะยื่นมือออกไปเพื่อหมุนเวียนกระบวนท่าเรียกสายลม

นางทำความเข้าใจโดยหลับตาลง เกลียวพายุเริ่มควบแน่นกันบนท้องฟ้า ค่อยๆ รวมตัวกันรอบกายนาง

ภายใต้เกลียวพายุที่รวมตัวกัน จิ่วโยวดูเหมือนจะรู้สึกได้ว่าน้ำหนักตัวเองเริ่มเบาลง ความรู้สึกคล้ายกับการทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าประหนึ่งสายลมที่อยู่ทั่วทุกหนแห่ง

ระลอกคลื่นกระเพื่อมในหัวใจนาง แม้ว่าวิชาเรียกสายมนี้จะเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กที่อยู่ในประเภทสนับสนุน ทว่าความลึกซึ้งนั้นน่าทึ่งมาก หากนางสามารถฝึกฝนได้สำเร็จก็อาจเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเลยทีเดียว

แม้แต่คนอย่างจู้เยี่ยนซึ่งอยู่ภายใต้ระดับตี้จื้อจุนไม่มาก ก็ได้แต่กินฝุ่นใต้เท้านางเท่านั้นไม่สามารถแตะต้องนางได้

เมื่อนึกถึงภาพนี้หัวใจของจิ่วโยวก็โลดขึ้นด้วยความคาดหวัง

มู่เฉินและจิ่วโยวยุ่งกับธุระตนเอง

ส่วนหลินจิ้งที่ว่างไม่มีอะไรทำก็ดูน่าเบื่อ หลังจากวนเวียนรอบเกาะไม่เห็นสมบัติใดๆ นางก็กลับมาด้วยอารมณ์ตะบึงตะบอน

เมื่อนางกลับมาเห็นว่ามู่เฉินและจิ่วโยวเข้าสมาธิไม่สามารถรบกวนได้ ดังนั้นนางจึงรออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกจากเกาะไปอย่างเงียบๆ ด้วยนิสัยแสนซน นางตั้งใจจะเดินเล่นรอบๆ และดูว่าจะเจอโอกาสอื่นๆ อีกหรือไม่

หลินจิ้งเดินทางโดยไม่มีเป้าหมายพบกลุ่มคนเป็นครั้งคราว เมื่อพวกเขาเห็นสาวสวยอยู่คนเดียวก็อดเกิดความคิดไม่ดีในใจไม่ได้ แต่ในขณะที่ความคิดเหล่านั้นผุดขึ้นพวกเขาก็เห็นร่างที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีเย็นเยียบติดตามอยู่ด้านหลังหลินจิ้งราวกับเงาตามตัว ไอเย็นที่เปล่งออกมาจากทำให้พวกเขารู้สึกหนาวสั่นไปถึงแกนกระดูก ความคิดทั้งหมดหยุดนิ่งถอยหนีจากนางจ้าละหวั่น

ภายใต้การคุ้มครองของตุ๊กตาน้ำแข็ง การเดินทางของหลินจิ้งก็ราบรื่น ไม่มีใครกล้าที่เคลื่อนไหวจัดการนาง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้นางก็เก็บเกี่ยวดอกผลจากเกาะต่างๆ แต่เมื่อเทียบกับตอนอยู่กับพวกมู่เฉินก็น้อยกว่ามาก

นางไม่พอใจ สมบัติธรรมดาๆ ไม่อยู่ในสายตานาง ดังนั้นการเก็บเกี่ยวสมบัติในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้นางตื่นเต้นอะไร

แต่โชคดีที่ระหว่างค้นหาสมบัติเธอได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับที่ตั้งตำหนักมังกร

ตำหนักมังกรเป็นหนึ่งในเก้าตำหนักที่มีข่าวลือว่าติดอันดับสูงและแข็งแกร่งกว่าตำหนักสายลมที่พวกนางพบมาก่อน

เมื่อได้รับข้อมูลดังกล่าว หลินจิ้งก็เปลี่ยนทิศทางโดยไม่ลังเลพุ่งตัวไปยังเกาะตำหนักมังกร

เมื่อหลินจิ้งมาถึงที่เกาะก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามีจอมยุทธ์จำนวนมากอยู่นอกเกาะและยังมีร่างแสงบินเข้ามาอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องได้รับข้อมูลและรีบมาที่นี่เช่นกัน

สถานที่แห่งนี้คึกคักมากกว่าเกาะสายลม

ทว่าหลินจิ้งก็ตระหนักได้ว่าแม้จะมีผู้คนมากมายอยู่รอบๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไป ตรงกันข้ามพวกเขาส่วนใหญ่หยุดอออยู่ข้างนอกไม่กล้าเข้าไป

หลินจิ้งกวาดสายตามองก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจ เนื่องจากนางพบว่าเกาะนี้ปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆ หมอกไม่แข็งแกร่งเท่าไร แต่หลินจิ้งก็จำมันได้

“พิษลมปราณมังกรนี่เอง… มิน่าถึงไม่มีใครกล้าเข้าไป” หลินจิ้งอุทานแล้วเดาะลิ้น สิ่งที่เรียกว่า ‘พิษลมปราณมังกร’ เป็นพิษร้ายแรงของเผ่ามังกรซึ่งได้รับการขัดเกลาด้วยลมปราณมังกรจึงมีความครอบงำอย่างมาก แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็จะอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชหากหายใจเข้ามากเกินไปและหากประมาทก็ทิ้งชีวิตไปได้

ทว่าหลินจิ้งไม่ได้เศร้าซึมอะไรกับเรื่องนี้ ตรงกันข้ามนางยิ้มบาง แม้พิษนี้จะสามารถขัดขวางผู้อื่นได้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะหยุดนางได้

เมื่อคิดได้นางก็โบกมือเก็บตุ๊กตาน้ำแข็ง จากนั้นน้ำเต้าหยกขาวงดงามก็ปรากฏขึ้นในมือนาง ประกายสีขาวพุ่งออกมาห่อหุ้มร่างนางไว้

เตรียมตัวเสร็จแล้วหลินจิ้งก็เดินเข้าไปในเกาะภายใต้สายตกตะลึงนับไม่ถ้วน

ขณะที่หลินจิ้งเข้าไปที่เกาะมังกร อีกมุมหนึ่งของเกาะร่างเงาหนึ่งก็ย่างกรายเข้าไปแบบสบายๆ ร่างนั้นสวมชุดสีรุ้งเผยให้เห็นรูปร่างน่าทึ่ง ทรวดทรงอ้อนแอ้นอรชรทำให้คนมองถึงกับคอแห้งผาก ผ้าคลุมปกปิดใบหน้างดงามเอาไว้

หญิงสาวคนนี้ปกคลุมไปด้วยความลึกลับน่าหลงใหล ทำให้ผู้คนรู้สึกมึนเมาเพียงแค่มองไป

เมื่อนางเข้าไปในเกาะมังกร งูสีรุ้งตัวเล็กๆ ก็เลื้อยออกมาบนไหล่นางดูดพิษเข้าไป พิษนี้ซึ่งแม้แต่เผ่ามังกรก็หลีกเลี่ยง กลับไม่มีผลกระทบใดๆ ต่องูน้อยตัวนี้…

ขณะที่งูน้อยดูดพิษอย่างเพลิดเพลิน ร่างสะคราญโฉมก็ค่อยๆ เดินเข้าในส่วนลึกของเกาะ

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1131 ผลประกอบการครั้งใหญ่
พัดขนนกสีฟ้าอมเขียวลอยเข้ามาในฝ่ามือของมู่เฉิน

หลังจากได้รับพัดคืนมาเขาก็ไม่ใส่ใจจู้เยี่ยนอีก ขามองไปที่หลินจิ้งและจิ่วโยวด้วยรอยยิ้ม “ถึงเวลาแบ่งสมบัติกันแล้ว”

เขายกพัดเทพสายลมขึ้นพลางเอ่ย “สุภาพสตรีก่อน ชอบชิ้นไหนเอาไปได้เลย”

แม้ว่านี่จะเป็นอาวุธมหสวรรค์ แต่ที่จริงเขาไม่ได้รู้สึกเสียดาย เพราะใช่ว่าจะไม่เคยเห็นอาวุธแบบนี้มาก่อน ท้ายที่สุดเขาก็เคยมอบอาวุธทรงพลังเช่นนี้ไปให้กับมั่นถัวหลัวเช่นกัน

จิ่วโยวและหลินจิ้งมองไปที่พัดเทพสายลมแวบหนึ่งก่อนจะส่ายหัว “เจ้าเป็นคนที่ใช้มันเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ ดังนั้นมันจึงไม่น่ามีเจตนาร้ายใดกับเจ้า เจ้าเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้ครอบครองอาวุธนี้”

สิ่งที่พวกนางพูดไม่ผิด เนื่องจากเขาได้รับผนึกควบคุมจากพัดเทพสายลมจึงทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างคนและอาวุธแล้ว ดังนั้นหากเขาต้องการครอบครอง พัดนี่ก็คงไม่ปฏิเสธเขา

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำตอบของพวกนาง เขาก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มช่วยอะไรไม่ได้ เขาไม่ได้ปฏิเสธพวกนาง ผงกศีรษะพร้อมกับกำพัดไว้ในมือ “งั้นคราวนี้ข้าขอละกัน”

“แล้วนั่นล่ะ?” มู่เฉินชี้ไปที่ม้วนคัมภีร์หยกที่ลอยอยู่กับสระของเหลวจื้อจุน

“ดูก่อนว่าคืออะไร” จิ่วโยวโบกมือ ม้วนคัมภีร์หยกก็ลอยลงมาตกในมือ นางหลับตาตรวจดูสั้นๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ “นี่คือวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กที่เรียกว่ากระบวนท่าเรียกสายลม สามารถเปลี่ยนคลื่นหลิงให้เป็นมวลลม ทำให้ผู้ฝึกสามารถเดินทางไปกับสายลมด้วยความเร็วชนิดเหนือแสง…”

ในฐานะที่เป็นวิหคอนธโลกันตร์ความเร็วของจิ่วโยวเรียกว่ารวดเร็วตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นการได้รับคำชมจากนาง… จะต้องเป็นความเร็วที่น่ากลัวมากแน่ๆ

มู่เฉินก็ประหลาดใจไปเล็กน้อย วิทยายุทธระดับเสินทงนี้เหมือนจะออกแนวเป็นกระบวนท่าสนับสนุน แต่เมื่อเทียบกับวิทยายุทธประเภทโจมตี ชัดว่ามูลค่าของกระบวนท่าเรียกสายลมนี้สูงกว่า

เพราะตราบใดที่ฝึกฝนกระบวนท่านี้ พวกเขาก็จะมีหลักประกันในชีวิต หากพบศัตรูที่ยากลำบาก แม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้ พวกเขาก็ยังสามารถหลบหนีได้

ตามการคาดการณ์ของมู่เฉิน หากเขาฝึกฝนกระบวนท่านี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น เขาก็สามารถหนีไปได้

นี่เป็นสมบัติดีเยี่ยมแท้จริง

แต่เนื่องจากเขารับพัดเทพสายลมแล้ว เขาก็ไม่มีความโลภที่จะรับของเพิ่มอีก ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้หญิงสาวทั้งสองได้เลือก

“วิทยายุทธที่เอาไว้หนีตาย ข้าไม่ชอบเลย” หลินจิ้งจือปากขณะที่พูดด้วยท่าทางไม่แสแย เห็นได้ชัดว่านางไม่สนใจวิทยายุทธระดับเสินทงแบบนี้

จิ่วโยวยิ้มพึงใจให้หลินจิ้ง เนื่องจากนางรู้ว่าหลินจิ้งปล่อยให้โดยตั้งใจ เพราะว่าในบรรดาทั้งสามนางเหมาะกับกระบวนท่านี้ที่สุด ด้วยเหตุนี้ความเร็วของนางจะเพิ่มขึ้นสูงจนน่ากลัว ซึ่งแม้แต่มู่เฉินก็ไม่สามารถตามทันได้

“งั้นถ้าข้าปฏิเสธคงไม่สุภาพ” จิ่วโยวประสานมือกำม้วนคัมภีร์เรียกสายลมไว้ในมือ

“งั้นสระนี่ก็เป็นของข้า” หลินจิ้งยิ้มบางขณะสะบัดนิ้ว ตุ๊กตาน้ำแข็งก็ทะยานออกไปก่อนที่จะใช้กระบี่ยาวขุดสระออกมา จากนั้นหลินจิ้งก็โบกมือเก็บของเหลวจื้อจุนทั้งสระไป

หากสระนี้ถูกกลั่นออกมาก็น่าจะมีมูลค่าหลายสิบล้านหยดของเหลวจื้อจุนซึ่งไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงไม่ได้เสียเปรียบอะไร

หลังจากแบ่งของกันเรียบร้อย มู่เฉินก็พยักหน้าพึงพอใจ พวกเขามีผลประกอบการดีมากในครั้งนี้

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่จู้เยี่ยนที่ติดอยู่ในพายุ ถ้าชายคนนั้นไม่ได้พุ่งเข้ามาหาเรื่อง ทุกอย่างคงสมบูรณ์แบบกว่านี้

“ไปกันเถอะ”

มู่เฉินมองไปที่โถงว่างเปล่าที่เหลือทิ้งไว้ ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป

จิ่วโยวและหลินจิ้งไม่มีคำคัดค้านใดๆ พลางพยักหน้า

ตอนนี้จู้เยี่ยนกำลังนั่งหลับตาอยู่ในพายุ เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการกระจายสมบัติของกลุ่มมู่เฉินเมื่อเห็นสิ่งนี้มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจออกไปพร้อมกับจิ่วโยวและหลินจิ้ง

เมื่อทั้งสามไปแล้ว จู้เยี่ยนก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองไปยังทิศทางที่กลุ่มมู่เฉินออกไปพร้อมกับรอยยิ้มบางที่มุมปาก

“มู่เฉิน…ช่างเป็นคนที่น่าสนใจ เราจะได้พบกันอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเอาคืนทั้งต้นทั้งดอก หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”

ด้านนอกตำหนักสายลม

ทันใดนั้นรอยแตกเล็กๆ ก็ฉีกออกในค่ายกล คนสามคนเยื้องย่างออกมาพร้อมกับพายุเริ่มกวนตัวใหม่อีกครั้ง

ที่เกาะแห่งนี้มีคนหลายกลุ่มสังเกตเห็นแล้ว เสียงลมแหวกอากาศดังอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่ากำลังค้นหาสมบัติ

ในบางครั้งก็จะมีเสียงความสุขแว่วมา ดูเหมือนว่ามีผู้โชคดีได้พบสมบัติบางอย่างที่หลงเหลืออยู่ในวังสวรรค์บรรพกาล

นอกจากนี้ยังมีบางกลุ่มเฝ้าอยู่ด้านนอกโถงใหญ่ แต่สายตาจับจ้องไปที่ค่ายกลที่น่ากลัวซึ่งปกคลุมโถงด้วยความหวาดหวั่น ไม่มีใครกล้าก้าวเท้าเข้าไป

ดังนั้นเมื่อกลุ่มมู่เฉินเดินออกมา ทุกคนก็มองมาด้วยความโลภในดวงตา

ใครก็บอกได้ว่าต้องมีสมบัติอยู่ในโถงนี้ เนื่องจากทั้งสามสามารถเดินออกไปได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บก็แสดงว่าต้องได้รับสมบัติเหล่านั้นมา

วาบ!

แต่ขณะที่ความโลภเพิ่มขึ้นในใจ แสงวาบเย็นก็พุ่งออกมาพร้อมกับความหนาวเย็นสุดขั้วปกคลุมพื้นด้วยชั้นน้ำแข็ง

ทุกคนตกใจก่อนที่จะถอยหนีแสงเย็นอย่างรวดเร็ว สายตามองไปที่หุ่นที่ปกคลุมไปด้วยไอเย็นยะเยือกที่ยืนจังก้าต่อหน้าทั้งสามคน

เมื่อพวกเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากหุ่นเงา ทั้งหมดก็หน้าเปลี่ยนสี

“นั่นเป็นหุ่นเงาระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม…” หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้านเมื่อเห็น จากนั้นก็หลบหลีกออกไปอย่างเด็ดขาด กลุ่มที่สามารถครอบครองหุ่นระดับนี้ไม่ใช่กลุ่มที่พวกเขาสามารถรุกรานได้

“แต่ละคนจมูกแหลมกันน่าดู” เมื่อมู่เฉินมองไปที่ร่างแสงบนท้องฟ้าก็ถอนหายใจ พวกเขาเหมือนจะไม่ได้เข้าไปนานเท่าไร ไม่คิดว่าจะมีคนจำนวนมากพบเจอตำหนักสายลม

โชคดีสมบัติยิ่งใหญ่ที่สุดของตำหนักสายลมอยู่ในมือพวกเขา ทว่าสิ่งเดียวที่ไม่ดีสำหรับพวกเขาก็คือดันไปทำให้จู้เยี่ยนขุ่นเคืองใจ ซึ่งทำให้มู่เฉินเบ้ริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้

เมื่อจิ่วโยวเห็นท่าทางนั่น นางก็เข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางอดยิ้มไม่ได้ “ดูเหมือนว่าสี่อันดับแรกของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ทวีปเทียนหลัวจะไม่เป็นมิตรกับเจ้าเลย เจ้าเป็นพวกตัวปัญหาจริงๆ”

มู่เฉินส่งเสียงขึ้นจมูกล้อเลียนตัวเอง เพราะสิ่งที่จิ่วโยวพูดไม่ใช่เกินจริง เขาตัดแขนเซี่ยหงไปข้างหนึ่งซึ่งเซี่ยหยู่ไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ สำหรับจาโหลหลัวกาหน้าว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับซูชิงหยิงก็เป็นคนที่ไม่เปิดเผยความคิดและมีอารมณ์แปรปรวน ซ้ำตอนนี้… ยังสร้างความไม่พอใจให้จู้เยี่ยนอีกด้วย

ถ้าเป็นคนอื่นแค่ทำให้หนึ่งในนี้ขุ่นเคืองก็คงกลัวจนหลอน แต่เขาทำให้ทั้งหมดขุ่นเคือง กระทั่งมู่เฉินยังต้องชื่นชมความสามารถในการเรียกปัญหาของตัวเอง

แต่ถึงแม้เขาจะรู้สึกช่วยไม่ได้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เสียใจ อย่างจู้เยี่ยนหากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก มู่เฉินก็ไม่ลังเลที่จะใช้วิธีการเดียวกันนี้

เขาสร้างความไม่พอใจให้คนจำนวนมากในเส้นทางการเป็นยอดยุทธ์ แต่สุดท้ายเขาก็เป็นคนที่หัวเราะคนสุดท้ายเสมอ คู่ต่อสู้ในอดีตทั้งหมดถูกทิ้งไว้ด้านหลัง

ในอนาคตมู่เฉินเชื่อว่าก็จะเป็นเช่นเดิม…

มู่เฉินยิ้มบางความกลัวไม่มีในดวงตาแทนที่ด้วยความมั่นใจราวกับกระบี่ออกจากฝัก หากเขาไม่มีแม้แต่ความมั่นใจก็ไม่จำเป็นต้องเดินต่อในเส้นทางของยอดยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่

“ไปกันเถอะ หาที่พักกันสักหน่อย” มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวทั้งสองขณะพูด พวกเขาผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่และเขาได้บีบคั้นคลื่นหลิงออกไปมาก ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพย่ำแย่ต้องการฟื้นฟูให้เร็ว นอกจากนี้ยังต้องชำระพัดเทพสายลมเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นมาขโมยไปจากเขาได้ง่ายๆ อีก

จิ่วโยวพยักหน้า เนื่องจากนางมีความตั้งใจที่จะศึกษากระบวนท่าเรียกสายลมเช่นกัน ส่วนหลินจิ้งก็ไม่ขัดข้องอะไร

ดังนั้นทั้งสามจึงออกจากเกาะตำหนักสายลม ค้นหาเกาะห่างไกลที่ไม่มีพลังงานปกป้อง เป็นเกาะธรรมดาที่คนอื่นๆ มองข้ามไป

ทั้งสามเข้าไปในเจดีย์ปรักหักพังบนเกาะ

มู่เฉินนั่งลงที่ชั้นแรกและสร้างค่ายกลป้องกันขนาดเล็ก เมื่อทำทุกอย่างเสร็จก็หายใจเข้าลึกนำพัดขนนกมาถือไว้ในมือ

มู่เฉินจ้องมองไปที่พัดขนนกสีฟ้าอมเขียว สายตาก็ค่อยๆ ลุกเป็นไฟ หลังจากพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจนี่อาวุธมหสวรรค์ชิ้นที่สองที่เขาได้รับ ทว่าพลังของพัดเทพสายลมน่าจะด้อยกว่าพีระมิดแสงดาว แต่มู่เฉินก็ไม่แปลกใจ เพราะพีระมิดแสงดาวทิ้งไว้โดยท่านจอมพลสี่ ในขณะที่พัดเทพสายลมถูกทิ้งไว้โดยผู้บัญชาการตำหนักสายลม สถานะทั้งสองนี้มีช่องว่างกว้างใหญ่ในวังสวรรค์บรรพกาล

แต่นี่ก็เป็นสาเหตุให้มู่เฉินชื่นชมยินดีในใจ เพราะอย่างไรเขาก็ยังไม่ได้บรรลุระดับตี้จื้อจุน ดังนั้นอาวุธมหสวรรค์ที่ทรงพลังจะไร้ประโยชน์ในมือเขา

ในทางกลับกันเขาน่าจะพอใช้พัดเทพสายลมด้วยขุมพลังในปัจจุบันของเขาได้

ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป คลื่นหลิงพุ่งออกมาราวกับเปลวไฟค่อยๆ ห่อหุ้มพัดเทพสายลม…

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1130 ปะทะครั้งแรก
“ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการไป งั้นก็อยู่ที่นี่ไปเลย”

เมื่อเสียงของมู่เฉินสะท้อนออกไป ใบหน้าของจู้เยี่ยนก็กระตุกเบาๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังค่ายกลขนาดใหญ่ ก่อนจะมองไปที่มู่เฉินด้วยแววตาเคร่งขรึม

เขาไม่คิดว่าคนที่ดูธรรมดาจะมีวิธีการเช่นนี้…

“เจ้าควบคุมค่ายกลได้เรอะ?” จู้เยี่ยนกล่าวช้าๆ โดยไม่สามารถปกปิดน้ำเสียงปรวนแปรได้ เนื่องจากเขารู้สึกว่าไม่น่าเชื่อเลยว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมค่ายกลระดับจงซือได้

มู่เฉินตบเสาหินเบาๆ พลางตอบ “เสาต้นนี้ใช้ควบคุมค่ายกล เมื่อครู่ข้าส่งสัญลักษณ์หลิงยิ่งของตัวเองเข้าไป จึงสั่งการได้ชั่วคราว…”

แน่นอนว่ามีข้อกำหนดประการหนึ่งในการควบคุมค่ายกล นั่นคือการได้รับการยอมรับจากเจ้าตำหนักสายลม ซึ่งทั้งสามคนเพิ่งได้รับก่อนหน้านี้ เพียงแต่เขาไม่ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงนั่น

เขายิ้มให้จู้เยี่ยน “ข้าบอกแล้วว่าคนที่ยิ้มตอนจบอาจเป็นคนโชคดี และบังเอิญว่าข้าเป็นคนโชคดี”

“ตอนนี้…เจ้าช่วยคืนของให้เราได้หรือยัง?” มู่เฉินยื่นมือไปทางจู้เยี่ยนพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน

จู้เยี่ยนมองมู่เฉินอยู่นานก่อนจะถอนหายใจ “นี่เป็นความผิดพลาด ข้าไม่ควรให้เจ้าสัมผัสกับเสานั่น”

ถ้าเขาเคลื่อนไหวก่อนหน้าอาจจะบังคับให้มู่เฉินถอยออกไปได้ ตราบใดที่เขาสามารถดึงมู่เฉินออกจากเสาได้การคุกคามนี้ก็จะได้รับการแก้ไข

มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร เขามองไปที่จู้เยี่ยนด้วยสายตาเสียดแทง

จู้เยี่ยนยักไหล่ “สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีต่อข้าสักเท่าไร แต่…”

สายตาของเขาเปลี่ยนไปทันทีขณะที่พูดต่อ “ไม่เคยมีใครเอาอะไรไปจากมือข้าได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา”

ตู้ม!

ช่วงเวลาที่เขาพูดจบ มิติก็บิดเบี้ยวที่ด้านหลัง จุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง เพียงแค่จุดจื้อไห่ของเขาปรากฏภูเขาไฟก็ปะทุนับไม่ถ้วน คลื่นหลิงรุนแรงรวมตัวกันอยู่ภายใน

แรงกดดันจากคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงพัดออกมาทำให้มิติแปรปรวน

จู้เยี่ยนกระทืบเท้า หินหนืดก็พุ่งออกมาก่อนที่จะกลายเป็นประกายวาววับทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าตั้งใจที่จะแหวกค่ายกล

เห็นได้ชัดว่าจู้เยี่ยนไม่เชื่อว่ามู่เฉินสามารถปลดปล่อยพลังของค่ายกลระดับจงซือนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ตราบใดที่มีช่องโหว่ก็จะเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะหลุดออกไป เมื่อไรที่เขาสามารถออกจากตำหนักนี้ได้ เขาก็ไม่ต้องกลัวมู่เฉิน

เมื่อมู่เฉินเห็นความตั้งใจของจู้เยี่ยนก็ไม่แปลกใจ ถ้าจู้เยี่ยนยอมแพ้อย่างง่ายดาย เขาก็ไม่น่าเป็นเจ้าทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปได้

ทว่าถึงความคิดของจู้เยี่ยนจะถูกต้อง แต่เขาไม่รู้ว่ามู่เฉินเป็นหลิงเจิ้นซือตัวจริงเสียงจริง นอกจากนี้บางทีความสำเร็จอาจไม่ถึงระดับที่คิด แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะควบคุมค่ายกลระดับจงซือด้วยเสากลาง

ดังนั้นครั้งนี้ความคิดของจู้เยี่ยนล้มเหลว

มู่เฉินมองไปที่ประกายไฟแล่นพล่านอย่างไม่แยแสก่อนจะตบเสาเบาๆ อีกครั้ง สัญลักษณ์หลิงยิ่งรวมเข้ากับเสา

ฟู่ ฟู่!

ขณะที่เขาตบเสาลงไป ค่ายกลที่ล้อมรอบตำหนักก็คำราม พายุทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวฉีกผ่านมิติพุ่งไปที่ประกายไฟราวกับมังกรตื่นขึ้น

พายุทอร์นาโดบรรจุด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัว แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็กลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อสัมผัสโดน

เมื่อจู้เยี่ยนเห็นพายุทอร์นาโดใบหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่น่ากลัวในพายุ แม้แต่เขาก็จบไม่ดีแน่หากประมาทเพียงเล็กน้อย

ดังนั้นเขาจึงหยุดจนตัวโก่ง บินฉวัดเฉวียนไปมาบนท้องฟ้าหลบพายุทอร์นาโดเหล่านั้น

มู่เฉินมองภาพเงาบนท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ ชายคนนั้นน่ากลัวจริงๆ ที่สามารถหลบการโจมตีน่ากลัวเช่นนี้ได้

ทว่า… ถ้าจู้เยี่ยนคิดว่าสามารถหลีกเลี่ยงค่ายกลระดับจงซือได้อย่างง่ายดายก็ไร้เดียงสาไปหน่อยแล้ว

ตู้ม!

เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นในใจของมู่เฉิน พายุทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวก็ก่อตัวขึ้นด้านหลังจู้เยี่ยนราวกับแส้ซัดออกไป

มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้านหลังจู้เยี่ยน ทำให้เขารู้สึกหนาวสั่นในกระดูกสันหลังขณะที่สะบัดเสื้อโดยไม่ลังเล เปลวไฟไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมาเผามิติจนถึงจุดที่ทำให้เกิดการบิดเบือนเมื่อปรากฏขึ้นแม้แต่อากาศก็ลุกโชนจากเปลวไฟ

เปลวไฟพวยพุ่งออกมาเหมือนจะก่อตัวเป็นรูปมังกรและปะทะกับพายุทอร์นาโด

ปัง!

ทอร์นาโดและเปลวไฟปะทะกันแล้วระเบิดขึ้นบนท้องฟ้าราวกับดอกไม้ไฟ

ทั้งสองปะทะกัน มังกรเพลิงคงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะระเบิด หางของพายุฟาดเข้ากับแผ่นหลังของจู้เยี่ยนจังใหญ่

ครืน!

จู้เยี่ยนได้รับแรงกระทบหนักหน่วงเต็มๆ ร่างดิ่งพสุธาจากท้องฟ้าทิ้งรอยยาวไว้ที่พื้นก่อนที่เขาจะทรงตัวได้

แต่ตอนนี้เขาไม่มีความสบายเหมือนก่อนหน้า สามารถเห็นบาดแผลที่น่ากลัวที่แผ่นหลังได้ ลาวาไหลบนบาดแผลพยายามที่จะฟื้นฟู แต่ก็ถูกปิดกั้นโดยคลื่นหลิงสีฟ้า

ซี้ด!

เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดบาดลึกบนหลัง จู้เยี่ยนก็หายใจเย็นลึกสุดปอด นี่หรือค่ายกลระดับจงซือ? มิน่าล่ะถึงสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้… ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายที่แข็งแรงของเขา งานนี้อาจตายคาที่ไปแล้ว

“เจ้านั่น…” จู้เยี่ยนขมวดคิ้วขณะเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินที่ยังคงมีท่าทางสงบ เขาคิดผิด ไม่คิดว่าชายหนุ่มคนนี้จะสามารถแสดงพลังของค่ายกลได้ถึงระดับนี้โดยไม่มีช่องโหว่ใดๆ

นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เสียเปรียบขนาดนี้

“พี่จู้เยี่ยนคืนของกลับมาได้หรือยัง?” มู่เฉินมองไปที่จู้เยี่ยนพลางคลี่ยิ้มอีกครั้ง

จู้เยี่ยนไม่มีการแสดงออกใดๆ เพียงแต่หมุนเวียนคลื่นหลิงเพื่อฟื้นตัวจากบาดแผล ขณะที่สมองหมุนเร็วรี่พยายามหาวิธีหลบหนี

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้เวลาแก่อีกฝ่าย เมื่อเขาเห็นว่าจู้เยี่ยนยังไม่ยอมแพ้ เขาก็ตบเสาอีกครั้ง พายุทอร์นาโดขนาดใหญ่บีบกดลงมาจากท้องฟ้าครอบร่างจู้เยี่ยนไว้

ฟู่ ฟู่

พายุน่าสะพรึงกลัวคำรามรอบร่างจู้เยี่ยนซึ่งอัดแน่นด้วยพลังทำลายล้าง ขณะที่พายุคำรามมิติก็แตกเป็นเสี่ยงๆ และเศษชิ้นส่วนมิติจำนวนนับไม่ถ้วนปะปนอยู่ภายในด้วยเช่นกัน

จู้เยี่ยนมองไปที่พายุทอร์นาโดรอบตัวที่ราวกับคุก มุมปากก็กระตุก มู่เฉินระวังตัวแจไม่ให้โอกาสกับเขาเลย

พายุทอร์นาโดตัดเส้นทางหลบหนีของเขา ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ยุ่งยาก

“บังอาจทำตัวเย่อหยิ่ง!” หลินจิ้งรู้สึกพอใจมากที่ได้เห็นภาพนี้ ชายคนนั้นกล้าฉกสมบัติของพวกนางด้วยท่าทีนั้นของเขา ทำให้นางโกรธจนต้องกัดฟัน

ตอนแรกนางวางแผนจะนำไพ่ตายออกมาเพื่อจัดการจู้เยี่ยนให้ต้องจ่ายอะไรบ้าง แต่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะมีวิธีการน่ากลัวเช่นนี้

“มู่เฉิน เจ้าสุดยอดจริงๆ!” ท่ามกลางความยินดีหลินจิ้งก็ตบไหล่มู่เฉินหนักๆ

เท้าของมู่เฉินถึงกับเป๋จากการตบนี้ ขณะกลอกตาอย่างช่วยไม่ได้ คลื่นหลิงในร่างของเขายังอยู่ในสภาพว่างเปล่าจากพัดขนนก มิหนำซ้ำเมื่อครู่ยังควบคุมค่ายกล ตอนนี้พลังงานในร่างกายของเขาแทบไม่เหลือหลอ

เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน หลินจิ้งก็หัวเราะแหะๆ พลางหยิบของเหลวจื้อจุนออกมาช่วยในการฟื้นตัวของมู่เฉิน

มู่เฉินใช้มือข้างหนึ่งรับของเหลวจื้อจุนมาดูดซับแล้วมองไปที่จู้เยี่ยนที่ติดอยู่ในพายุในเวลาเดียวกัน “ตอนนี้เจ้ามีคำตอบหรือยัง?”

จู้เยี่ยนมองไปที่มู่เฉินครู่หนึ่งก่อนจะดึงสายตากลับ มองไม่เห็นอารมณ์บนใบหน้าขณะตอบว่า “เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าตกอยู่ในสถานการ์น่าอนาถเช่นนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา”

“โอ้เป็นเกียรติจริงๆ” มู่เฉินตอบอย่างใจเย็น

จากนั้นจู้เยี่ยนก็พูดว่า “เจ้าต้องการอะไร?”

“ส่งพัดเทพสายลมมา… ข้าจะตั้งค่ายกลที่จะค่อยๆ สลายลงเมื่อพวกข้าจากไป จากนั้นเจ้าก็จะออกมาได้” มู่เฉินยิ้ม

จู้เยี่ยนขมวดคิ้วขณะมองไปที่มู่เฉินโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า “ทำไมข้าต้องเชื่อเจ้า? ถ้าเจ้าขังข้าไว้ที่นี่ตลอดไปจะทำอย่างไร?”

“เจ้าเหมือนจะไม่มีตัวเลือกนะ”

มู่เฉินตอบช้าๆ แล้วพูดต่อ “นอกจากนี้… ข้าไม่คิดว่าแม้ว่าข้าจะผิดสัญญา เจ้าคงไม่ติดอยู่ที่นี่ตลอดไป”

แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจจู้เยี่ยนดีนัก แต่เขาไม่เชื่อว่าจอมยุทธ์ระดับนี้จะไม่มีไพ่ตาย เหตุผลที่จู้เยี่ยนไม่ต้องการใช้อาจเป็นเพราะราคาในการใช้ที่สูงเกินไป

จู้เยี่ยนครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้มบาง “น่าสนใจ… ไม่คิดว่าจะมีคนแบบเจ้าในทวีปเทียนหลัว”

“คราวนี้ถือว่าเจ้าชนะ… แต่ถ้าเราเจอกันครั้งหน้า ข้าก็จะท้าทายอีก”

เมื่อพูดจบจู้เยี่ยนก็สะบัดนิ้ว พัดขนนกบินกลายเป็นแสงฟ้าอมเขียวพุ่งออกไป

มู่เฉินยื่นมือไปคว้าในอากาศ พัดขนนกก็ปรากฏตัวขึ้นในมือเขา จากนั้นเขาก็หมุนมันในมือ

“ขอบคุณที่ให้ข้าชนะ”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1129 จู้เยี่ยน
เมื่อมือลาวาแหวกมิติคว้าพัดขนนกไป

ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะมีคนกล้าขโมยปลาใหญ่จากพวกเขา…

“ไอ้หนูขี้ขโมยตัวไหน? ไสหัวออกมา!” สีหน้าของจิ่วโยวเย็นชาลง หากใครก็ตามที่เห็นว่าการเก็บเกี่ยวที่พวกเขาต่อสู้อย่างหนักไปทำประโยชน์ให้คนอื่น ก็คงไม่มีใครรู้สึกดีเช่นกัน ดังนั้นนางจึงเคลื่อนไหวทันที ขนนกสีม่วงปรากฏเบื้องหน้าลุกโชนด้วยเพลิงโปร่งใส ความผันผวนที่เห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไป ทำให้มิติโดยรอบบิดเบี้ยวลง

วาบ!

ขนสีม่วงพุ่งออกมาปะทะมือลาวา

เมื่อขนนกสีม่วงเข้าใกล้มิติก็ผันผวนอีกครั้ง มือลาวาอีกข้างปรากฏขึ้นจับเพลิงโปร่งใสไว้ เมื่อหินหนืดไหลลงมาก็แผดเผาเพลิงโปร่งใส สุดท้ายก็เป็นมือลาวาแข็งแกร่งกว่าดับเพลิงโปร่งใสได้ในที่สุด

“หืม? ช่างเป็นเพลิงรุนแรงอะไรเช่นนี้… ทรงพลังจริงๆ” แม้ว่าเพลิงโปร่งใสจะดับลง แต่ก็มีเสียงอุทานดังขึ้นตามมา เปลวไฟธรรมดาไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ กับเขา แต่เพลิงโปร่งใสเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามบางเบา หากไม่ใช่เพราะเจ้าของเพลิงด้อยกว่าเขาในแง่ขุมพลังก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะระงับเพลิงเหล่านั้นได้

ขณะที่มิติแปรปรวน ร่างเงาสีแดงเข้มก็เผยขึ้นอย่างช้าๆ ทั้งสามจ้องมองไปก็เห็นชายหนุ่มที่มีเรือนผมสีแดงเพลิง หินหนืดไหลเวียนอยู่บนร่างกายเขา ราวกับภูเขาไฟที่มีความผันผวนรุนแรงและเผาผลาญเอิบอาบออกมา

นอกจากนี้ยังมีรัศมีอันตรายอย่างยิ่ง

เมื่อมู่เฉินเห็นชายคนดังกล่าว ดวงตาก็หดลง ภัยคุกคามที่เขารู้สึกได้จากชายคนนี้เกินกว่าซูชิงหยิงซึ่งพบมาก่อน ในทวีปเทียนหลัวอาจมีเพียงจอมยุทธ์รุ่นใหม่คนเดียวที่อยู่เหนือซูชิงหยิงได้เด่นชัดเพียงนี้…

“ไม่คิดว่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่อันดับหนึ่งทวีปเทียนหลัวจะชอบลักของคนอื่น” เสียงไม่แยแสของมู่เฉินสะท้อนก้องโดยไม่ลังเล

จิ่วโยวไม่แปลกใจ ชัดว่าเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้นานแล้วเช่นกัน

จู้เยี่ยนยิ้มบางขณะถือพัดขนนกโบกไปมา “สมบัติชิ้นนี้เป็นโชคชะตาของข้า เพราะมันเข้ามาสู่สถานะไร้เจ้าของตอนที่ข้ามาพอดี นั่นก็แปลว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิต จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจะเอาไป”

“เชอะ! พวกเผ่าเทพอัคคีทำไมไร้ยางอายอย่างนี้?” หลินจิ้งเค้นเสียงเย็นใส่ สายตาจ้องเขม็งไปที่จู้เยี่ยนพร้อมกับความไม่พอใจอัดแน่นในนัยน์ตา

“เสี่ยวปิงจัดการเขา!”

เมื่อพูดจบนางก็โบกมือ

วาบ!

ตุ๊กตาน้ำแข็งทะยานออกมาอย่างรวดเร็ว ไอเย็นเยือกกวาดออกไปปรากฏตัวข้างหลังจู้เยี่ยนโดยมีหอกที่ทำหน้าที่คล้ายกับอสรพิษเล็งไปที่ด้านหลังศีรษะศัตรู

ตู้ม!

แต่จังหวะที่หอกกำลังจะแทงลงไป จู้เยี่ยนก็ตบฝ่ามือไปข้างหลัง ภูเขาไฟปรากฏขึ้นในฝ่ามือ ก่อนที่คลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวจะพวยพุ่งออกมา

ปัง!

หอกน้ำแข็งสลายไปในทันที ตุ๊กตาน้ำแข็งราวกับได้รับความเสียหายหนัก ปลิวออกไปเป็นพันจั้งถึงสามารถทรงตัวได้ ทว่าก็มีรอยไหม้เกรียมอยู่บนแขนของมันเลือนราง

จู้เยี่ยนเผยให้เห็นพลังที่น่ากลัวเมื่อออกกระบวนท่าโจมตี บังคับให้ตุ๊กตาน้ำแข็งที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มกระเด็นออกไปด้วยฝ่ามือเดียว

มู่เฉินหรี่ตาลง ความแข็งแกร่งของจู้เยี่ยนน่ากลัวอย่างแท้จริง มิน่าล่ะเขาถึงสามารถครองตำแหน่งเจ้าทำเนียบและปราบปรามจอมยุทธ์ชั้นสูงนับไม่ถ้วนของทวีปเทียนหลัวได้ ตามการคาดการณ์จู้เยี่ยนน่าจะอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว ซึ่งอยู่ห่างขุมพลังตี้จื้อจุนอีกครึ่งก้าวเท่านั้น แม้แต่มู่เฉินก็หวั่นเกรงพลังเช่นนั้น

“หืม? ตุ๊กตาน้ำแข็ง? เจ้ามาจากเผ่าเทพน้ำแข็งเรอะ?” ผลักตุ๊กตาน้ำแข็งกลับด้วยฝ่ามือได้ ใบหน้าของจู้เยี่ยนก็เปลี่ยนไปขณะมองหลินจิ้งด้วยความประหลาดใจ

เขารู้ว่ามีเพียงเผ่าเทพน้ำแข็งเท่านั้นที่สามารถปรับแต่งตุ๊กตาน้ำแข็งได้ ในฐานะสมาชิกของเผ่าเทพอัคคี เขารู้ดีเกี่ยวกับไอเย็นสุดขั้วที่ไม่เหมือนใครนี้

“เกี่ยวอะไรกับเจ้า?” สีหน้าหลินจิ้งไม่น่าดู ใบหน้าตึงเกร็ง แสดงให้เห็นว่านางไม่พอใจมากเลยทีเดียว

จู้เยี่ยนไม่ได้เก็บมาใส่ใจทำเพียงยิ้มบาง “ถึงแม้ตุ๊กตาน้ำแข็งจะทรงพลัง แต่ก็ยังไม่ใช่คู่มือข้า”

พูดถึงจุดนี้เขาก็มองไปที่ทั้งสามยิ้มให้ “ดูเหมือนพวกเจ้าไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา บางทีข้าอาจได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ ไม่ทราบว่าพวกเจ้าจะให้หน้าข้ามั่งได้ไหม?”

“หน้าเจ้านี่ใหญ่จริงๆ เลยนะ” จิ่วโยวเค้นเสียง ของมีค่าอย่างอาวุธมหสวรรค์อย่างน้อยก็ขายได้นับร้อยล้านหยดของเหลวจื้อจุน แม้แต่ขั้วอำนาจชั้นยอดยังไม่สามารถคั้นผลรวมนี้ออกมาได้ ดังนั้นจิ่วโยวจึงรู้สึกโกรธมากเมื่อจู้เยี่ยนหน้าด้านขอไปดื้อๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะเกรงพลังของฝ่ายตรงข้าม นางคงขยับตัวจัดการแล้ว

“เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้เรอะ?” ใบหน้าที่เย็นชาของหลินจิ้งเปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบ นางจ้องมองจู้เยี่ยนด้วยท่าทางสงบ

จู้เยี่ยนอึ้งไปชั่วครู่ขณะมองไปที่หลินจิ้ง ไม่รู้เพราะเหตุใดเขารู้สึกได้ถึงอันตรายบางเบาแผ่ซ่านออกมาจากหญิงสาวคนนั้น

เขาหรี่ตาพร้อมกับแสงแวววาวก่อนจะพูดเบาๆ ว่า “ถ้าเจ้าสามคนยืนกรานจะหยุดข้า งั้นก็ลองดูสิ”

ไม่ว่าพวกเขาจะมีไพ่ตายอะไร จู้เยี่ยนก็คือหนึ่งในว่าที่ประมุขน้อยของเผ่าเทพอัคคี ด้วยความภาคภูมิใจที่ฝังลึกในแกนกระดูก หากไม่ใช่เพราะเขาเห็นว่าทั้งสามไม่ใช่ธรรมดา เขาก็คงไม่ใส่ใจที่จะพูดด้วย คงคว้าสมบัติออกไปเลย

ใบหน้าหลินจิ้งไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ นางก้าวออกมาแสงหลิงปรากฏบนปลายนิ้ว

แต่ในเวลาเดียวกันมู่เฉินก็ยื่นมือออกมาขวางหลินจิ้ง นางมองไปที่เขาแต่ไม่ได้พูด เนื่องจากรู้ดีว่าด้วยนิสัยของมู่เฉินเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมแพ้ต่อชื่อเสียงที่จู้เยี่ยนมี

“ปล่อยให้ข้า” ความจริงไม่ผิดจากที่คิด เขายิ้มให้หลินจิ้งพลางเอ่ย

เมื่อได้ยินนางก็ลังเลชั่วครู่เพราะนางเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของมู่เฉิน ถ้าพวกเขาสู้กันจริงๆ มู่เฉินอาจไม่ใช่คู่มือของจู้เยี่ยน ถึงยังไงมู่เฉินก็เพิ่งบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ส่วนจู้เยี่ยนอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว

แต่สุดท้ายหลินจิ้งก็ยังคงพยักหน้า เนื่องจากนางรู้ว่ามู่เฉินไม่ใช่คนชอบโอ้อวด การที่เขาพูดแบบนี้แสดงว่าเขามีความมั่นใจที่จะทำให้สำเร็จ

จู้เยี่ยนมองไปที่มู่เฉินด้วยม่านตาสีแดงเข้มราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในดวงตา เขาตรวจสอบมู่เฉินก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”

ไม่ได้มีเจตนาดูถูกในน้ำเสียงของเขา เขาเพียงบอกข้อเท็จจริงเท่านั้น

ในสายตาเขา นอกจากหญิงสาวน่ารักที่ดูลึกลับนั้น จิ่วโยวกับมู่เฉินไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอันตรายเลย ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจในความกล้าหาญของมู่เฉิน

มู่เฉินไม่โกรธคำพูดนี่ ในทางตรงกันข้ามเขายิ้มตบเสาที่อยู่ตรงหน้าเบาๆ ซึ่งเป็นเสาเดียวที่เหลืออยู่ในโถงทั้งหมด

“สหาย ถ้าเจ้าวางของลงตอนนี้ ข้าจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเจ้าจะสามารถออกจากที่นี่โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ” มู่เฉินยิ้ม

จู้เยี่ยนมองดูมู่เฉินราวกับว่าเป็นเรื่องตลกพลางยักไหล่ “ข้ารู้สึกว่าเป็นตัวเองนะที่ควรพูดคำนี้”

เขารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องตลกที่บางคนที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นพูดคำเหล่านั้นใส่ เขาไม่ได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้มานานแล้วซึ่งเขาคิดว่าตลกมาก

“ก็หมายความว่าเจ้าปฏิเสธข้อเสนอของข้ารึ” มู่เฉินเบ้ปาก

“ใช่ ข้าปฏิเสธ” จู้เยี่ยนพยักหน้าแบบสบายอารมณ์

มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ขณะตบเสาเบาๆ อีกครั้ง “น่าเสียดายจริงๆ… เจ้าทรงพลังอย่างแท้จริง แต่หลายครั้งคนที่ยิ้มคนสุดท้ายมักไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดเสมอไป”

“โอ้?” จู้เยี่ยนยิ้มขณะก้มมองลาวาที่ไหลระหว่างนิ้ว “งั้นคนแบบไหนที่สามารถยิ้มได้เป็นคนสุดท้ายล่ะ?”

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของมู่เฉินขณะตอบว่า “คนโชคดี”

จู้เยี่ยนขมวดคิ้ว

แต่มู่เฉินก็ไม่ได้พูดต่อ เขาตบเสาข้างๆ อีก แต่คราวนี้จู้เยี่ยนเห็นแสงวูบวาบในฝ่ามือของมู่เฉินรวมเข้ากับเสา

ก่อนที่เขาจะทันคิดออก เขาก็รู้สึกได้ว่าทั้งโถงสั่นสะเทือน หินใหญ่น้อยเริ่มร่วงหล่นลงมาจากด้านบน

จู้เยี่ยนตกใจไปกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานก็เห็นว่ารอยแตกเริ่มกระจายก่อนที่เพดานจะถล่มลงมาเผยให้เห็นท้องฟ้าและค่ายกลขนาดใหญ่ปกคลุมทั้งตำหนัก

ค่ายกลนี้ก็กางกั้นตัวเขามาเป็นเวลานาน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเตรียมพร้อมก็คงไม่สามารถเข้ามาในโถงนี้ได้

ขณะนี้เขาก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนไป

นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงที่น่าอัศจรรย์ระหว่างค่ายกลระดับจงซือและมู่เฉิน

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่จู้เยี่ยนพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการไป งั้นก็อยู่ที่นี่ไปเลย”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1128 โชคชะตาของข้า
เมื่อมู่เฉินจับพัดขนนกสีเขียวเอาไว้

คลื่นหลิงในร่างกายก็เพิ่มขึ้นกะทันหัน มิติแปรปรวนอยู่ข้างหลัง จุดจื้อจุนไห่มองเห็นได้เลือนรางพร้อมกับคลื่นสูงหมื่นจั้งซัดสาดแผดเสียงดังกึกก้อง

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ร่างกายของมู่เฉินสั่นสะท้าน เนื่องจากสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงในร่างกายที่ไหลผ่านแขนเทลงไปในพัดขนนก

พัดอันเล็กนี้ราวกับหลุมดำไร้ก้น ไม่ว่าคลื่นหลิงของมู่เฉินจะไหลเข้าไปมากเพียงใด พัดก็เขมือบลงไปโดยไม่ลังเล

แรงดูดนี้ทำให้หัวใจของมู่เฉินกระเด้งขึ้น เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาบ้าง

ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินความต้องการยิ่งใหญ่ของอาวุธมหสวรรค์ต่ำเกินไป

ในทะเลพลังเสาน้ำจำนวนมากพุ่งสูงขึ้น ขณะเชื่อมโยงกับมิติว่างเปล่าราวกับมังกรมหึมา

ภายใต้การดูดระดับน้ำทะเลพลังในจุดจื้อจุนไห่ก็ค่อยๆ ลดลง

จิ่วโยวกับหลินจิ้งก็ตกใจไปกับภาพที่เห็น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นั่นเป็นเพราะพวกนางไม่สามารถเทคลื่นหลิงเข้าไป เนื่องจากเมื่อคลื่นหลิงสูญเสียการควบคุมก็จะสร้างปัญหาใหญ่หลวง!

มู่เฉินหน้าเขียวคล้ำ มือที่จับพัดก็สั่นเทิ้มอยู่ตลอด เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในจุดจื้อจุนไห่ ตัดสินจากภาพนี้อาวุธมหสวรรค์ชิ้นนี้อาจจะดูดเขาจนแห้งเหี่ยวถ้าคิดจะใช้มัน

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตคำรามรอบร่างมู่เฉิน เมื่อคลื่นหลิงหลั่งไหลเข้าไปในพัดขนนกมากขึ้น รัศมีของพัดก็สว่างไสวขึ้นชัดเจน

ในทางกลับกันระดับน้ำทะเลพลังในจุดจื้อจุนไห่ก็ลดลงเรื่อยๆ

นี่เป็นสถานการณ์อันตรายมาก หากคลื่นหลิงในจุดจื้อจุนถูกดูดจนหมด ทะเลพลังจะสูญเสียพลังงานที่จะรองรับหากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย จุดจื้อจุนไห้ก็อาจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งเป็นหายนะสำหรับเขาแน่

“นรกแล้ว!”

มู่เฉินสาปแช่งในใจ เขาระมัดระวังอย่างมากแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องใช้คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลเพียงนี้เพื่อใช้งานอาวุธมหสวรรค์ชิ้นนี้

ตอนนี้เขามีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ซึ่งอยู่ห่างจากขุมพลังตี้จื้อจุนเพียงก้าวเดียว ทว่าก้าวย่างนั้นยากที่จะก้าวผ่านไปยิ่งกว่าหุบเหวหมื่นจั้ง

มู่เฉินเกิดอาการวิงเวียนในศีรษะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาคงจะแห้งเหี่ยวเป็นมัมมี่ ดังนั้นเขาจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ คำรามพร้อมกับกัดฟันกรอด “ควบคุมตัวเองหน่อย ไม่งั้นข้าจะตัดการเชื่อมโยงและถอยออกจากที่นี่ทิ้งเจ้าไว้เพื่อพินาศกับชายคนนั้นเอง!”

เขาเชื่อว่าพัดขนนกเข้าใจสิ่งที่พูดด้วยจิตวิญญาณที่มี

ความจริงก็เป็นเช่นนั้น เมื่อมู่เฉินคำรามการสั่นสะเทือนของพัดขนนกก็อ่อนลง แต่มันก็ส่งเสียงงึมงำอย่างไม่พอใจ ราวกับว่ากำลังตำหนิมู่เฉินที่ไม่สามารถตอบสนองความอยากอาหารได้

“ไปทำงานได้แล้ว กินจนอิ่มแปล้แล้วนี่!” มู่เฉินกัดฟันกรอดพูดขึ้น

ฮึ่ม!

พัดขนนกเปล่งรังสีสีฟ้าอมเขียวอย่างช้าๆ ซึ่งดูอ่อนโยนมาก แต่มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของการทำลายล้างที่ทำให้หนังหัวชาหนึบไปหมด

เมื่อแสงสีฟ้าอมเขียวเบ่งบาน มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงชิ้นส่วนข้อมูลที่มาจากพัดขนนกในมือ ดูเหมือนจะเป็นตราประทับโบราณหลายชิ้น ดูท่าว่าพัดขนนกต้องการให้มู่เฉินใช้ตราประทับประสานงานกันกับมัน ท้ายที่สุดมันก็เป็นอาวุธมหสวรรค์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีคนควบคุมเพื่อที่จะปลดปล่อยพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดออกมา

เมื่อสัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งของตราประทับเหล่านั้น มู่เฉินก็วาดกระบวนท่าด้วยฝ่ามือ

การเคลื่อนไหวของเขาช้าและมั่นคง เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าทุกครั้งที่ตราประทับเปลี่ยนแปลงคลื่นหลิงในร่างกายก็จะหายไปเป็นก้อนใหญ่ เห็นได้ชัดว่าการสร้างตราประทับเหล่านั้นต้องการใช้พลังมหาศาล

สิ่งนี้ทำให้มู่เฉินกัดฟันแน่นขึ้น พัดบ้านี่เป็นหลุมดำ ถ้าตอนนี้เขายังอยู่ในระดับเกือบจะบรรลุขั้นเก้าเขาคงหมดสติไปนานแล้ว

แต่ในเวลานี้เขาทำได้เพียงแค่อดทนต่อสิ่งนี้ ฟันกัดกรอดจนแทบสึก หมุนเวียนคลื่นหลิงที่เหลืออยู่ในร่างกาย ดีที่จากนั้นไม่นานก็สร้างตราประทับสำเร็จจนได้

ตู้ม!

ในช่วงอึดใจสุดท้ายที่เขาสร้างตราประทับ พัดขนนกก็สั่นเทิ้มก่อนที่เขาจะยกมันขึ้น

มันไม่ได้ถูกควบคุมโดยมู่เฉิน แต่มันเป็นคนนำต่างหาก

มู่เฉินจับพัดขนนกแล้วพัดลงไปที่ผู้บัญชาการตำหนักสายลม

“ตราประทับเทพสายลม!”

เสียงเคร่งเครียดดังออกมาจากริมฝีปากของมู่เฉิน แสงสีฟ้าอมเขียวมากมายมหาศาลก็พวยพุ่งออกมาจากพัดราวกับพายุทอร์นาโดฉีกทำลายมิติในเส้นทางที่ผ่าน

พายุทอร์นาโดปิดตัวลงอย่างรวดเร็ว มวลลมน่าสะพรึงกวาดออก มิติแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมกับความผันผวนของการทำลายล้างที่แผ่กระจายออกไป ซึ่งทำให้หนังหัวของมู่เฉินชาวาบไปหมด

เมื่อพายุรวมตัวกัน แสงสีฟ้าอมเขียวเข้มขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ก็ปรากฏขึ้น สามารถมองเห็นตราประทับโบราณที่ส่วนลึก

ตราประทับดูลึกซึ้งมาก มีพายุไม่มีที่สิ้นสุดราวกับว่าเป็นพายุที่เกิดจากการกำเนิดครั้งแรกของฟ้าดินที่เต็มไปด้วยการทำลายล้าง แม้จะดูอ่อนโยนก็ตาม

แรงดูดมหาศาลระเบิดออกจากตราประทับ กลืนกินลมสลาตันสีฟ้าอมเขียว ในเวลาไม่กี่อึดใจลมสลาตันก็หายไปอย่างสมบูรณ์ มีเพียงตราประทับแสงลอยคว้างอยู่บนท้องฟ้า

ฮึ่ม!

ตราประทับแสงกระตุกเบาๆ ก่อนที่ทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

ตู้ม!

เมื่อแสงกวาดผ่าน มิติก็ระเบิดกลายเป็นสะเก็ดจำนวนนับไม่ถ้วน สะเก็ดเหล่านั้นไม่ได้สลายไป แต่รวมตัวกันรอบๆ ตราประทับพุ่งเข้าหาผู้บัญชาการตำหนักสายลมประหนึ่งมังกรทะยาน

โฮก!

เผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่ากลัว ผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็คำราม ชัดว่ารู้สึกได้ถึงพลังทำลายล้างที่อยู่เบื้องหลัง ทันใดนั้นหมอกสีดำก็พัดออกมารวมตัวกันที่เบื้องหน้าเขา กลายเป็นหลุมดำกว้างร้อยจั้งซึ่งดูชั่วร้ายมาก ราวกับว่าสามารถกลืนกินและปนเปื้อนอะไรก็ได้

ตู้ม!

ทว่าตราประทับสีฟ้าอมเขียวกลับไม่สนใจ ชนเข้ากับหลุมดำพร้อมกับสะเก็ดมิตินับไม่ถ้วน

ชี่ ชี่!

ในช่วงเวลาปะทะกันฟ้าดินก็เงียบงันลงชั่วครู่ ก่อนที่แสงสีฟ้าอมเขียวจะกระจายออกมาจากหลุมดำพร้อมกับคลื่นกระแทกที่ไม่สามารถอธิบายได้ระเบิดออก!

ครืน!

คลื่นกระแทกพัดออกมาทำให้หลุมดำสลายไปทันที เสาทั้งหมดในโถงก็ถูกทำลายจนสิ้นซาก ทิ้งรอยแตกไว้บนพื้นแข็งแรง

ทั้งสามคนเคลื่อนไหวหลบหลีกสิ่งนี้ไปไกลๆ เพราะกลัวว่าจะถูกคลื่นกระแทกซัดเอาได้

คลื่นกระแทกที่รุนแรงกินเวลาหลายนาทีก่อนที่จะค่อยๆ สงบลง เมื่อความสงบกลับคืนสู่สถานที่แห่งนี้พวกเขาก็จ้องมองไป

ทั้งโถงวินาศสันตะโร ผู้บัญชาการตำหนักสายลมยังคงลอยตัวอยู่บนท้องฟ้า ทว่ารัศมีสีดำรอบตัวหายไปอย่างสมบูรณ์ เขายืนนิ่งโดยมีรอยแตกปกคลุมพื้นผิวของร่างกาย ไม่ช้าก็กระจายไปทั่วทุกตารางนิ้ว

แคร็ก!

จู่ๆ ชิ้นส่วนร่วงหล่นลงมาคล้ายกับหน้ากากหลุดลอก ชิ้นส่วนหลุดออกไปไปทีละน้อยร่างผู้บัญชาการตำหนักสายลมอีกรูปลักษณ์ก็เผยออกมา…

แต่คราวนี้ความมืดในดวงตาหายไป รัศมีปีศาจก็ไม่เหลือหลอ

ฮึ่ม

ขณะนี้พัดขนนกบินฉวัดเฉวียนไปมารอบตัวผู้บัญชาการตำหนักสายลม ส่งเสียงครางเบาๆ ใส่

“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นผู้บัญชาการตำหนักสายลมตัวจริง…” มู่เฉินเข้าใจสถานการณ์ในทันที ดูท่ารัศมีปีศาจชั่วร้ายจะสลายไปอย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อพิจารณาจากภาพที่ดูโปร่งใส ผู้บัญชาการตำหนักสายลมในปัจจุบันเป็นเพียงร่างดวงจิตที่ในไม่ช้าก็จะจางหายไป

ภายใต้สายตาของพวกเขา ดวงตาของผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็กะพริบด้วยความคมชัด เขามองไปยังโถงวินาศสันตะโร ก่อนจะมองพัดขนนกข้างตัวพลางถอนหายใจเบาๆ

เขาลูบพัดขนนกก่อนที่จะโค้งคำนับให้ทั้งสามราวกับว่ากำลังแสดงความขอบคุณที่ปลดปล่อยเขาจากรัศมีปีศาจชั่วร้าย ทำให้สติเส้นสุดท้ายฟื้นคืนมา

หลังจากทำเช่นนี้ ร่างกายเขาก็ดูโปร่งใสมากขึ้นพร้อมกับประกายแสงกระจายออกจากร่างกาย ราวกับว่ากำลังจะสลายหายไป

พัดขนนกที่อยู่ข้างกายก็มีอาการโศกเศร้า เพราะรู้ว่าเจ้านายกำลังจะหายไปตลอดกาล

ใบหน้าของผู้บัญชาการตำหนักสายลมสงบนิ่ง จากนั้นก็สะบัดมือ ริ้วแสงสามสายบินออกมาพลิ้วลงที่หลังมือของทั้งสามก่อร่างเป็นทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวสามลูกพร้อมกับรัศมีเจ้าตำหนักสายลมเอิบอาบออกมา

นี่คือป้ายยินยอมของเจ้าตำหนักสายลม ด้วยสิ่งนี้พวกเขาจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับการชำระล้างในทะเลสาบสวรรค์

“ขอบคุณผู้อาวุโส!”

ทั้งสามโค้งคำนับแสดงความขอบคุณด้วยมารยาทสูงสุดต่อผู้บัญชาการตำหนักสายลม

ผู้บัญชาการตำหนักสายลมยิ้มบาง จากนั้นร่างก็กระจายเป็นประกายแสง

เมื่อผู้บัญชาการตำหนักสายลมหายไป รัศมีของพัดขนนกก็ลดลงก่อนที่จะลอยอยู่ในอากาศอย่างเงียบๆ เห็นได้ชัดว่าเข้าสู่สถานะไร้เจ้าของ

เมื่อทั้งสามเห็นสิ่งนี้ก็รู้สึกโล่งใจ ดูเหมือนว่าทางเลือกของพวกเขาจะถูกต้อง ไม่เพียงแต่จะได้รับป้ายยินยอมจากเจ้าตำหนักสายลม พวกเขายังได้รับสมบัติอีกด้วย

มู่เฉินก้าวไปข้างหน้า เตรียมจะเก็บพัดขนนกเข้าในแขนเสื้อ

แต่ในทันใดนั้นความผันผวนก็พุ่งมาจากภายนอก มือลาวายื่นออกมาจากมิติคว้าเข้าที่พัดขนนก

ในเวลาเดียวกันเสียงที่คมชัดร้องแรงก็ดังขึ้นในโถง

“มาให้บังเอิญดีกว่ามาให้เร็ว ดูเหมือนว่าพัดเทพสายลมนี้จะเป็นโชคชะตาของข้า…”

**สุภาษิต มาให้บังเอิญดีกว่ามาให้เร็ว ความหมายประมาณว่าแบบมาให้ถูกเวลาดีกว่ามาเร็ว

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1127 การโต้กลับของอาวุธมหสวรรค์
บนท้องฟ้า

ผู้บัญชาการตำหนักสายลมยืนจังก้าในมือถือพัดขนนกสีเขียวพร้อมกับพายุทำลายล้างกวนตัวอยู่บนตัวพัด ทำให้มิติแปรปรวน ดูเหมือนกับใกล้จะแตกเป็นเสี่ยงๆ

“นี่เป็นปัญหาซะแล้ว…”

ใบหน้าของทั้งสามน่าเกลียดจนไม่น่ามอง พวกเขารู้ถึงพลังของอาวุธมหสวรรค์แท้จริง นี่เป็นพลังที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังอยากได้

ถ้าผู้บัญชาการตำหนักสายลมควบคุมพัดขนนกสีเขียวได้ พลังการต่อสู้จะถึงระดับที่ยากต่อกร แม้ว่าจะไม่ถึงจุดสูงสุดของตอนมีชีวิต แต่ก็เทียบเคียงได้กับจอมยุทธ์ที่ก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน

พวกเขาคงไม่มีโอกาสชนะเมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้แบบนี้

แม้แต่เครื่องรางอารักษ์ของหลินจิ้งที่เคยใช้ก็จะไร้ผล เนื่องจากพลังการป้องจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีของผู้บัญชาการตำหนักสายลมได้อีกต่อไป

“ทำยังไงดี?” ใบหน้าของหลินจิ้งและจิ่วโยวเคร่งเครียดพลางมองไปที่มู่เฉินพร้อมกัน

มู่เฉินเม้มปากแน่นก่อนที่ใบหน้าจะมืดครึ้มลง ทว่าตัวเขาเป็นคนเด็ดขาดจึงตัดสินใจทันที “เตรียมถอย!”

สถานการณ์นี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา ถ้ายังเดินหน้าต่อก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับ

แม้ว่าสมบัติจะดึงดูดใจ แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดในใจมู่เฉินคือชีวิต ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะตัดสินใจถอยหนี

แม้ว่าหลินจิ้งและจิ่วโยวจะไม่เต็มใจกับการตัดสินใจนี้ แต่ก็ยังพยักหน้ารับ เนื่องจากพวกนางรู้ว่ามู่เฉินเลือกทางที่ชาญฉลาดที่สุดในตอนนี้

“ข้าจะใช้ตุ๊กตาน้ำแข็งระวังหลัง” หลินจิ้งกล่าว ดูจากท่าทีนางตั้งใจจะสละตุ๊กตาน้ำแข็งเพื่อซื้อเวลา

มู่เฉินถอนหายใจ เนื่องจากครั้งนี้คาดผิดไป ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับสมบัติใดๆ ยังต้องสูญเสียตุ๊กตาน้ำแข็งที่มีค่าไปด้วย

แต่เขารู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาลังเล เขาจึงพยักหน้า ทั้งสามคนก็เริ่มถอยออกไปเงียบๆ

วาบ!

ทันใดนั้นผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของทั้งสาม สายตาน่ากลัวจับจ้องไป พัดขนนกสีเขียวโบกลงพัดไปหาทั้งสาม

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไป ทั้งสามถอยออกไปเร็วขึ้น ขณะที่ตุ๊กตาน้ำแข็งทะยานออกไปภายใต้การควบคุมของหลินจิ้ง พยายามสกัดการโจมตีนั้น

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

คลื่นหลิงมืดมิดเชี่ยวกรากรุนแรงพุ่งออกมาจากร่างผู้บัญชาการตำหนักสายลม ทว่าขณะที่เขาเตรียมพร้อมโจมตี ก็มีบางอย่างเกิดขึ้น

รังสีแวววาวเปล่งออกมาจากพัดขนนกสีเขียว แสงสีฟ้าอมเขียวผันผวนกระจายรัศมีปีศาจบนมือของผู้บัญชาการตำหนักสายลม

โฮก!

เสียงคำรามคล้ายสัตว์ร้ายดังออกมาจากลำคอผู้บัญชาการตำหนักสายลม ราวกับเจ็บปวดร้าวราน ขณะที่เขากำมือแน่นขึ้นดูเหมือนว่าต้องการที่จะจับพัดลมขนนกไว้ให้มั่น

ปัง!

ทว่าพัดลมขนนกกลับเหมือนมีจิตวิญญาณ ดิ้นรนจนหลุดจากมือผู้บัญชาการตำหนักสายลม มันถอยห่างออกมาและพัดใส่อีกฝ่ายอย่างรุนแรง

ตู้ม!

พายุสีฟ้าอมเขียวปรากฏขึ้นราวกับมังกรวายุกวาดกรงเล็บเพื่อฉีกมิติออกจากกัน ปะทะกับผู้บัญชาการตำหนักสายลม

ปัง!

เกิดเสียงดังสนั่นจากผลกระทบ ผู้บัญชาการตำหนักสายลมถลากลับไป ร่างกระแทกเข้ากับผนังหนักหน่วง ทำให้ทั้งโถงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด

การโจมตีจากพัดขนนกสีเขียวรุนแรงน่าดู ไอสีดำรอบร่างผู้บัญชาการตำหนักสายลมจางลงมาก หลังจากได้รับทุกข์ทรมานจากการโจมตี แม้แต่หมอกสีดำไร้ขอบเขตก็จางหายไปบ้าง

ทั้งสามคนที่กำลังถอยก็หยุดตัวเมื่อเห็นสิ่งนี้ มองฉากนี้ด้วยใบหน้ามีสีสันขึ้น

หลินจิ้งขยี้ตา แม้แต่จิ่วโยวก็พูดติดอ่าง “นะ-นี่…เกิดอะไรขึ้น?”

พวกนางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมพัดขนนกถึงโจมตีเจ้าตำหนักสายลม…

มู่เฉินก็อึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนที่จะคิดได้อย่างรวดเร็วพร้อมกับความสุขแล่นพล่านบนใบหน้า “ดูเหมือนว่าผู้บัญชาการตำหนักสายลมจะถูกโต้กลับจากอาวุธมหสวรรค์!”

“โต้กลับ?” จิ่วโยวอึ้งไป

มู่เฉินพยักหน้าหนักแน่น “อาวุธมหสวรรค์เป็นวัตถุที่มีจิตวิญญาณที่รู้วิธีปฏิเสธความชั่วร้ายและแยกแยะความแตกต่าง พัดนี้เป็นของเจ้าตำหนักสายลมก็จริง แต่เป็นของก่อนที่จะตาย ถ้าจะพูดให้ถูกตอนนี้ผู้บัญชาการตำหนักสายลมคือปีศาจร้าย ซึ่งกล่าวแบบลงลึกก็คือเจ้าของเก่าถูกฆ่าโดยตัวเขาในตอนนี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นอาวุธมหสวรรค์ระดับนี้จะปล่อยให้ตัวเองถูกใช้โดยปีศาจชั่วร้ายได้อย่างไร?”

จิ่วโยวและหลินจิ้งเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น จากคำอธิบายของมู่เฉินผู้บัญชาการตำหนักสายลมถูกกัดกร่อนจากรัศมีปีศาจและสูญเสียสติสัมปชัญญะ อาวุธมหสวรรค์ก็จำแนกได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมถึงเกิดการตอบโต้ในกลไกนี้

“ดูเหมือนเราไม่จำเป็นต้องถอยตอนนี้แล้ว” มู่เฉินยิ้นพลางรู้สึกโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะพวกเขาไม่เต็มใจมากหากไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยกลับต้องสูญเสียตุ๊กตาน้ำแข็งไปอีก

จิ่วโยวและหลินจิ้งพยักหน้า เมื่อมองสถานการณ์ปัจจุบันดูเหมือนพวกเขาจะสามารถนั่งชมได้อย่างสบายแล้ว บางทีสุดท้ายอาจจะได้รับรางวัลใหญ่ด้วย

ขณะที่ทั้งสามพูดกัน ผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็ดึงตัวออกจากกำแพง เขาโกรธมากกับการตอบโต้ของพัดขนนกสีเขียว เขาส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราดแล้วกำมือ ฝ่ามือสีดำขนาดใหญ่หลายร้อยปรากฏเหนือพัดขนนก พยายามคว้าเอาไว้

ฟู่ ฟู่!

พัดลมขนนกพัดโบกสร้างพายุอีกครั้งเพื่อตอบสนองการโจมตีของเจ้าตำหนักสายลม พายุสีฟ้าอมเขียวกวาดออกมา ฉีกฝ่ามือนั้นขาดออก

มู่เฉินแอบเดาะลิ้นเมื่อเห็นภาพนี้ นี่คืออาวุธมหสวรรค์ของแท้เหรอ? สามารถปลดปล่อยการโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ได้แม้จะไม่มีใครควบคุมก็ตาม

ตามการคาดการณ์ของเขาแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ยังต้องหลีกเลี่ยงพายุนี้

เมื่อผู้บัญชาการตำหนักสายลมเห็นว่าการโจมตีถูกปิดกั้นก็ยิ่งโกรธมากขึ้น รัศมีปีศาจพุ่งราวกับการยาตราของปีศาจ ไอชั่วร้ายกวาดใส่พัดขนนกในรูปแบบของลำแสง

พัดขนนกตอบโต้การโจมตีโดยไม่ลังเล ดูเหมือนจะเกลียดชังรัศมีปีศาจอย่างที่สุด ดังนั้นจึงปลดปล่อยการตอบโต้อย่างเต็มที่ ทุกครั้งที่พัดโบกก็จะปล่อยพายุทอร์นาโดขนาดใหญ่ ฉีกมิติและทำลายรัศมีชั่วร้ายในเวลาเดียวกัน

ดังนั้นการต่อสู้ดุเดือดเกิดขึ้นในโถง แต่ตัวหลักไม่ใช่พวกมู่เฉิน การต่อสู้กลายเป็นระหว่างเจ้าของตำหนักกับอาวุธประจำตำหนักไปแล้ว…

ทั้งสามคนจากผู้ต่อสู้กลายเป็นผู้ชมพร้อมกับดวงตาลุกโชนมองการเผชิญหน้าดุเดือดตาไม่กะพริบ

ครืน!

พลังทำลายกระจายออกไป บดขยี้เสาหินจำนวนหนึ่งเป็นผุยผง พลังนี้ทำให้หางตาของมู่เฉินกระตุกไม่หยุด

“ใครจะชนะการต่อสู้ถ้าสิ่งนี้ดำเนินต่อไป?” หลินจิ้งกระเถิบเข้ามาใกล้มู่เฉิน อดถามขึ้นมาไม่ได้

มู่เฉินนิ่งไปตอบว่า “แม้ว่าอาวุธมหสวรรค์จะทรงพลัง แต่ก็ไม่มีการควบคุม ดังนั้นน่าจะคงอยู่ได้ไม่นาน”

แม้ว่าอาวุธมหสรรค์จะสุดยอด แต่ก็สามารถแสดงพลังที่แท้จริงได้เมื่ออยู่ในมือของผู้ควบคุม ตอนนี้พัดขนนกพึ่งพาตัวเองในการต่อสู้ เมื่อเสียพลังงานมากไปก็จะเข้าสู่สภาวะนิทราหรือทำลายตัวเอง

“แล้วเราล่ะ?” จิ่วโยวชำเลืองมองมู่เฉิน หากพัดขนนกเลือกที่จะทำลายตัวเองพร้อมกับผู้บัญชาการตำหนักสายลมจะเป็นการสูญเสียยิ่งใหญ่ของพวกนาง นี่เป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้เชียวนะ!

“รอให้เสียพลังไปมากกว่านี้แล้วเราค่อยลงมือ” มู่เฉินยิ้ม เขาไม่คิดยืนดูให้พัดขนนกระเบิดตัวเองหรอก ไม่งั้นหัวใจเขาคงเจ็บปวดน่าดู

ฮึ่ม!

การปะทะกันที่น่าทึ่งระเบิดขึ้นอีกครั้ง พัดขนนกและผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็กระเด็นถอยไป เสาหินในห้องโถงพังทลายตามเส้นทาง

พัดขนนกลอยอยู่บนท้องฟ้า ตอนนี้รัศมีรอบตัวจางลง เห็นได้ชัดว่าหมดพลังจากการปะทะกับผู้บัญชาการตำหนักสายลม

ดังนั้นมันจึงสั่นไหวก่อนที่จะพุ่งไปหามู่เฉิน จิ่วโยวและหลินจิ้ง

วาบ!

พัดขนนกปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วเบื้องหน้ามู่เฉิน โดยที่ด้ามจับหันเข้าหาเขาขณะที่มันสั่นเล็กน้อย

มู่เฉินตกตะลึงกับภาพนี้ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก พัดขนนกต้องการให้เขาใช้รึ? อาวุธชิ้นนี้ต้องการยืมพลังของเขาใช่ไหม?

แต่นี่ทำให้มู่เฉินรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย เนื่องจากเขารู้ว่าต้องใช้คลื่นหลิงมากแค่ไหนในการใช้อาวุธมหสวรรค์ ย้อนกลับไปตอนนั้นเหตุผลที่มู่เฉินมอบพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจให้กับมั่นถัวหลัว เพราะอาวุธนั่นจะสูบเขาจนกลายเป็นมัมมี่ถ้าคิดใช้มัน

ฮึ่ม ฮึ่ม

พัดขนนกสั่นสะเทือนอย่างเร่งเร้าที่หน้ามู่เฉิน

สายตาของมู่เฉินกะพริบตาวาบ อาวุธมหสวรรค์มีจิตวิญญาณ ถ้าเขาปฏิเสธที่จะช่วย เขาอาจจะสูญเสียโอกาสที่ยิ่งใหญ่และอาจได้รับการตอบโต้

ดังนั้นตอนนี้เขาเลือกได้เพียงทางเดียว

แต่มู่เฉินไม่ใช่คนโลเล เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็วพร้อมกับแสงพล่านขึ้นในนัยน์ตา

ตอนนี้เขามีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าซึ่งแข็งแกร่งกว่าเมื่อตอนที่ได้รับพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจมาก ดังนั้นเขาไม่เชื่อว่าพัดขนนกจะสูบเขาจนกลายเป็นแห้งกรอบได้!

ตัดสินใจได้มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไปพลางหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ค่อยๆ ยื่นมือออกมาจับด้ามพัดขนนก

หลังจากนั้นเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงในร่างกายที่พลุ่งพล่านอย่างรุนแรง

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1126 วิธีมั่งคั่งของหลินจิ้ง
วาบ!

ขณะที่มู่เฉินคำรามก็พุ่งออกไปพร้อมกับหอกสีแดงในมือที่สั่นเทารุนแรง เขาเทคลื่นหลิงจำนวนมหาศาลลงไป หอกเปลี่ยนเป็นลำแสงที่มีความยาวร้อยจั้งซัดไปที่หน้าอกของผู้บัญชาการตำหนักสายลม

บวกกับประสิทธิภาพของหอกและชุดเกราะสงครามมังกรแดง การโจมตีของมู่เฉินก็กร้าวแกร่งมากขึ้น กระบวนท่านี้สามารถฉีกร่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดออกจากกันได้อย่างง่ายดาย

ลำแสงขยายใหญ่ขึ้นในม่านตาดำมืดของผู้บัญชาการตำหนักสายลม ก่อนที่แสงแวววาวสีดำจะระเบิดออกจากร่าง ช่างดูคล้ายกับควันพวยพุ่ง น่ากลัวอย่างผิดปกติ

ผู้บัญชาการตำหนักสายลมยื่นมือดำเมื่อมที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีปีศาจคว้าออกไปจับหอก ทำให้มิติตรงหน้าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ฮึ่ม!

มิติแปรปรวนพร้อมกับเสียงครางกระหึ่ม ทว่าหอกแสงที่สามารถแทงร่างจอมยุท์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดได้อย่างง่ายดาย กลับถูกตรึงเอาไว้ด้วยมือสีดำจนไม่ขยับเขยื้อน

สายตาของมู่เฉินดิ่งลงเมื่อเห็นว่าหอกแสงถูกขัดขวางไว้ได้ นั่นเป็นเพราะเขารับรู้ได้ถึงพลังน่ากลัวที่อยู่ในมือนั่น

มือนั่นราวกับหลุมดำ ไม่ว่าคลื่นหลิงจะรุนแรงเพียงใดก็ไม่อาจขยับเขยื้อน จนพลังเบื้องหลังต้องสลายหายไปอย่างสิ้นเชิง

ผู้บัญชาการตำหนักสายลมจ้องมู่เฉินด้วยสายตาชั่วร้าย เผยรอยยิ้มหยันก่อนที่จะกำมือแน่น

ปัง!

ลำแสงถูกทำลายทันควัน

ผู้บัญชาการตำหนักสายลมยกกำปั้นขึ้นจากนั้นก็เหวี่ยงออกไปทางมู่เฉินพร้อมกับรัศมีสีดำวนอยู่รอบหมัด ทำให้มิติเบื้องหน้าระเบิดออก

ตู้ม!

เกลียวแสงสีดำปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉินด้วยความเร็วเหนือแสง กระแทกเข้าที่หน้าอกมู่เฉินจังใหญ่

มู่เฉินได้รับผลกระทบหนักหน่วง ร่างปลิวออกมา เสาที่อยู่ในวิถีทางก็แตกเป็นเถ้าถ่าน

ร่างของมู่เฉินกระเด็นไปนับพันจั้นก่อนที่จะทรงตัวได้ คลื่นหลิงในร่างกายพวยพุ่งสับสนปนเป เขาก้มลงมองก็เห็นบนชุดเกราะสงครามมังกรแดงส่วนหนึ่งยุบลงไป

ภาพนี้ทำให้มู่เฉินหัวใจหวั่นไหว ผู้บัญชาการตำหนักสายลมทรงพลังมาก หากเขาไม่มีชุดเกราะนี้ คงได้รับบาดเจ็บหนักจากหมัดนี้หมัดเดียว

แต่ถึงกระนั้นอวัยวะภายในก็บอบช้ำ ความหวานตีขึ้นในลำคอ

ฮา

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกเพื่อระงับกระแสเลือด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดลงหลายส่วน แต่จากหมัดเมื่อสักครู่เขาก็สัมผัสได้อย่างคลุมเครือถึงพลังของอีกฝ่าย ผู้บัญชาการตำหนักสายลมดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในระดับตี้จื้อจุน แต่ก็ยังเหนือกว่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม ตามการประมาณของเขาขุมพลังน่าจะอยู่ระหว่างสองระดับนี้

ดูเหมือนว่าช่วงเวลานับหมื่นปีทำให้ผู้บัญชาการตำหนักสายลมอ่อนแอลงมาก

นี่ทำให้มู่เฉินรู้สึกโล่งใจ โชคดีที่เขาไม่ใช่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุน มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน แม้จะมีตุ๊กตาน้ำแข็งร่วมสู้ด้วยก็ตาม

วาบ!

ขณะที่มู่เฉินผ่อนคลายในใจ ทันใดนั้นเขาก็ต้องหดดวงตาเมื่อเห็นมิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ที่เบื้องหน้าก่อนที่เกลียวแสงสีดำจะพุ่งออกมาจากรอยแตกมิติ ผู้บัญชาการตำหนักสายลมปรากฏตัวที่หน้าเขา มือสีดำเมื่อมดูคล้ายกับกรงเล็บเทพความตายซัดลงบนศีรษะเขา

“ระวัง!”

เสียงตะโกนของหลินจิ้งดังก้อง ก่อนที่ไอเย็นเยียบจะพัดเข้ามา กระบี่น้ำแข็งสีฟ้าปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของมู่เฉิน พุ่งเข้าปะทะกับฝ่ามือของผู้บัญชาการตำหนักสายลม

ปัง!

เมื่อกระบี่น้ำแข็งสัมผัสกับฝ่ามือก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ฝ่ามือถูกหยุดได้อึดใจเดียว จากนั้นก็ซัดลงมาต่อ

วาบ!

ทว่าขณะที่กำลังจะกดลงไปที่ศีรษะของมู่เฉินก็ทะลุผ่านไป ร่างเขากลายเป็นภาพซ้อน หลบการโจมตีได้อย่างรวดเร็วภายใต้การขัดขวางในอึดใจนั้น

“ตู้ม!”

เกลียวแสงสีทองพร่างพราวระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน ร่างเงาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังพร้อมกับดวงตะวันสีทองลุกโชติช่วงจากร่างเทพสุริยะ

ครืน!

ฝ่ามือของร่างเทพสุริยะมีของเหลวสีทองที่บรรจุด้วยพลังมหาศาลไหลอยู่ เงาฝ่ามือขนาดใหญ่โจมตีร่างผู้บัญชาการตำหนักสายลม

ฝ่ามือนั้นมีพลังต่อสู้เหลือล้นทั้งจากมู่เฉินและร่างเทพสุริยะ

แสงสีทองระเบิดบนร่างผู้บัญชาการตำหนักสายลม ทำให้ร่างถลากลับไป เกลียวแสงสีดำแล่นแปลบปลาบบนร่างเป็นลอน แต่เห็นได้ชัดว่าแม้จะเผชิญหน้ากับการโจมตีรุนแรงเช่นนี้ ก็ไม่อาจทำให้ผู้บัญชาการตำหนักสายลมได้รับบาดเจ็บหนักได้

ฉ่า! ฉ่า!

เมื่อมู่เฉินเปิดการโจมตี เพลิงผลึกใสก็ปรากฏขึ้นล้อมรอบร่างผู้บัญชาการตำหนักสายลม อุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวทำให้รัศมีปีศาจรอบตัวระเหยไป เหมือนมีเสียงคำรามต่ำพร่าดังออกมาเลือนราง

เมื่อเห็นฉากนี้ จิ่วโยวที่มีเพลิงผลึกใสลุกทั่วร่างก็ดีใจ ดูเหมือนว่าเพลิงอมตะของนางจะปราบปรามผู้บัญชาการตำหนักสายลมได้เล็กน้อย

ปุ!

แต่ความปีติยินดีก็คงอยู่วูบเดียว ก่อนที่เกลียวแสงสีดำทะมึนจะพุ่งออกมาจากร่างผู้บัญชาการตำหนักสายลมซึ่งดูราวกับน้ำหมึก เส้นทางผ่านแม้แต่มิติยังกลายเป็นสีดำมืดมิด ดับเพลิงที่ปกคลุมบนร่างกายทันที

เมื่อมู่เฉินและจิ่วโยวเห็นภาพนี้ก็ขมวดคิ้ว ผู้บัญชาการตำหนักสายลมต่อกรยากน่าดู

วาบ!

เกลียวแสงสีดำเชี่ยวกรากพุ่งขึ้นก่อนจะเฉือนลงมา ราวกับดาบขนาดใหญ่ซัดไปทางจิ่วโยว

“เสี่ยวปิงขวางไว้!”

หลินจิ้งตะโกนสั่ง ตุ๊กตาน้ำแข็งก็ปรากฏตัวเหนือร่างจิ่วโยว เบื้องหน้าอากาศเย็นควบแน่นเป็นเกราะน้ำแข็งหนา

หลินจิ้งกำมือแน่นเครื่องรางหยกหลายชิ้นปรากฏบนฝ่ามือ ก่อนที่จะเหวี่ยงออก เครื่องรางหยกเหล่านั้นติดบนร่างตุ๊กตาน้ำแข็ง รวมตัวกันเป็นชั้นหยกห่อหุ้มร่างตุ๊กตาน้ำแข็งไว้

ปัง!

ใบมีดสีดำปะทะเข้ากับตุ๊กตาน้ำแข็ง ชั้นหยกแวววาวแตกออกทีละชั้น แต่การแตกตัวของทุกชั้นใบมีดสีดำก็จะอ่อนลงส่วนหนึ่ง เมื่อโจมตีมาถึงร่างตุ๊กตาน้ำแข็ง ก็เพียงแค่ทิ้งรอยลึกไว้บนชุดเกราะเท่านั้น

เมื่อมู่เฉินกับจิ่วโยวเห็นภาพนี้ก็สูดอากาศลึกสุดปอด พวกเขาตกใจกับข้อเท็จจริงที่ตุ๊กตาน้ำแข็งสามารถต้านทานกระบวนท่าได้และไม่ถูกทำลาย ชัดว่า…ทั้งหมดเกิดจากเครื่องรางหยก

“นั่นคือ…เครื่องรางหยกอารักษ์?”

เปลือกตามู่เฉินกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ ขณะมองไปที่เครื่องรางเหล่านั้น

เขาสามารถรับรู้ได้ว่าเครื่องรางหยกทรงพลังเพียงใด เพียงหนึ่งชิ้นก็สามารถต้านทานการโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้ เครื่องรางเหล่านั้นถือว่าเป็นวัตถุที่สิ้นเปลือง แต่วิธีผลิตก็ยุ่งยาก ดังนั้นราคาจึงไม่ธรรมดา ถ้าคนธรรมดาสามารถครอบครองสักชิ้นหนึ่งในนั้น พวกเขาจะเก็บไว้เป็นไพ่ตายอย่างดี แต่สำหรับหลินจิ้งนางใช้ทีเป็นโหล…

การกระทำที่ฟุ่มเฟือยเหล่านั้นทำให้มู่เฉินรู้สึกปวดใจแทน

หลินจิ้งกลับสงบกับเรื่องแบบนี้ พูดแบบสบายๆ ว่า “การออกมาท่องยุทธภพครั้งนี้ข้าเตรียมการมาพร้อม… ต่อไปพวกเจ้าโจมตีเต็มกำลังเลย ข้าจะใช้ตุ๊กตาน้ำแข็งปกป้องให้ ข้าไม่เชื่อว่าพวกเราจะไม่สามารถจัดการมันได้!”

เมื่อมู่เฉินกับจิ้วโยวได้ยินคำพูดของหลินจิ้ง ทั้งคู่ก็พูดไม่ออกเป็นเวลานานก่อนจะยอมรับความจริงแบบหมดจดพูดพร้อมกันว่า “ยัยหีบทองเคลื่อนที่!”

เมื่อมีหีบทองเข้าร่วมศึกสถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป มู่เฉินกับจิ่วโยวเทหมดหน้าตักโดยไม่สนใจใดๆ ปล่อยการโจมตีไปยังผู้บัญชาการตำหนักสายลมทุกทิศทาง ทำให้เกิดเสียงคำรามขึ้นจากเขา

เผชิญหน้ากับการโจมตีของผู้บัญชาการตำหนักสายลม ตุ๊กตาน้ำแข็งก็ต้านทานได้ทุกครั้ง แต่ราคาที่จ่ายเท่ากับการบริโภคเครื่องรางที่ทรงพลังกองหนึ่ง

ผู้บัญชาการตำหนักสายลมไม่มีสติปัญญาหลงเหลือ จึงไม่รู้จักหลบหลีกตุ๊กตาน้ำแข็ง ดังนั้นเขาจึงไล่โจมตีแต่ตุ๊กตาน้ำแข็งโดยไม่สนว่าร่างอีกฝ่ายปกคลุมไปเครื่องรางที่เหมือนชั้นกระดองเต่า

ดังนั้นเผชิญกับหลินจิ้งที่โยนเครื่องรางหยกออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่จอมยุทธ์ทรงพลังอย่างผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็ไม่สามารถทนต่อความเหนื่อยล้าได้ เกลียวแสงสีดำรอบตัวเริ่มร่วงโรยไปซึ่งเกิดจากฝีมือของมู่เฉินและจิ่วโยว

ถ้าสถานการณ์นี้ยังดำเนินต่อไป สุดท้ายผู้บัญชาการตำหนักสายลมคงจะเสียพลังจนต้องสลายหายไปจริงๆ

มู่เฉินกับจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันพลางถอนหายใจโล่งอก ตอนแรกคิดว่าจะเป็นการต่อสู้เข้มข้น แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเรื่องขบขันไปได้

ครืน!

เมื่อเวลาผ่านไปภายใต้การผลัดกันโจมตีของมู่เฉินกับจิ่วโยว ผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ ทันใดนั้นเขาก็ชะงักก่อนที่จะถอยฉาก ยอมแพ้กับการโจมตีตุ๊กตาน้ำแข็ง

เมื่อมู่เฉินเห็นผู้บัญชาการตำหนักสายลมถอยห่างก็อึ้งไป ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนแปลงรุนแรง เนื่องจากเขาเห็นผู้บัญชาการตำหนักสายลมถอยไปที่ตั้งของพัดขนนกสีเขียว!

ความไม่สบายใจปกคลุมหัวใจของเขา

ขณะที่มู่เฉินรู้สึกไม่ดี ผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็โจนตัวขึ้นบนเสาหิน เขายื่นมือออกไปคว้าพัดขนนกสีเขียวไว้ในมือ

ตู้ม!

ทันใดนั้นพายุที่น่าสะพรึงก็ระเบิดออกจากพัดขนนก ราวกับว่าต้องการฉีกมิติออกจากกัน

นี่คืออาวุธมหสวรรค์ของแท้!

สีหน้ามู่เฉิน จิ่วโยวและหลินจิ้งเปลี่ยนไปมาก ไม่มีใครคิดว่าผู้บัญชาการตำหนักสายลมจะพุ่งไปหยิบอาวุธมหสวรรค์มาใช้

ด้วยพลังของเขาบวกกับอาวุธมหสวรรค์อีก แน่นอนว่าความแข็งแกร่งจะเทียบเคียงระดับตี้จื้อจุนอย่างแท้จริง!

ในเวลานั้นคงไร้ประโยชน์ไม่ว่าหลินจิ้งจะมีเครื่องรางป้องกันกี่ชิ้นก็ตาม

มู่เฉินขมวดคิ้วถอนหายใจ

“นี่เป็นปัญหาซะแล้ว”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1125 ผู้บัญชาการตำหนักสายลม
เมื่อทั้งสามก้าวเข้าไปในโถงสีฟ้าอมเขียว

แสงพร่างพราวก็ทำให้สายตาพวกเขาพร่ามัวไปก่อนที่จะปรับการมองเห็นได้ เบื้อหน้าเป็นโถงที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเก่าแก่และยิ่งใหญ่

โถงปูด้วยหินสีฟ้าอมเขียว เสาสลักที่ดูเหมือนพายุเฮอริเคนขณะที่รองรับเพดานโถงไว้ ตรงกลางเป็นสระน้ำลึกที่มีดอกบัวผุดขึ้นบนผิวน้ำ หมอกสีฟ้าอมเขียวลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาจากบ่อน้ำกระจายไปทั่ว

ทั้งสามหายใจเข้าเล็กน้อยก่อนที่จะเพ่งสายตาพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไป เนื่องจากพวกเขาสังเกตเห็นว่าหมอกนี้บรรจุด้วยคลื่นหลิงบริสุทธิ์และหนาแน่น

“สระน้ำนี่…” ดวงตาของมู่เฉินสว่างวาบเมื่อมองไปที่สระน้ำพลางเลียริมฝีปาก

“นี่คือสระน้ำที่สร้างมาจากของเหลวจื้อจุน!” จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความตกตะลึงในนัยน์ตา นางอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัดกับความมั่งคั่งของตำหนักสายลม แอ่งน้ำบริสุทธิ์เช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องใช้ของเหลวจื้อจุนหลายร้อยล้านหยดในการเติม

แม้ว่าน้ำในสระจะตื้นเขินขึ้นมาก แต่ก็มีไม่น้อยกว่าห้าสิบล้านหยดแน่นอนหากคิดกลั่นออกมา… ซึ่งจำนวนนี้ก็ยังมหาศาลสำหรับอาณาเขตกงเวทสวรรค์

“สมกับเป็นหนึ่งในเก้าตำหนักมั่งคั่งจริงๆ” มู่เฉินกล่าวชื่นชมแต่ไม่ได้ใจร้อนที่จะรวบรวมของเหลวจื้อจุน เขากวาดสายตามองไปรอบโถง

จากนั้นสายตาเขาก็จดจ่อไปในส่วนลึก มีเสาใหญ่โตมากสองเสาพร้อมกับเปล่งปลั่งด้วยเกลียวแสงมาจากด้านบน ซึ่งมีวัตถุสองชิ้นอยู่ในนั้น

พัดขนนกสีเขียวอมฟ้าและม้วนคัมภีร์หยกเขียว

สายตาของมู่เฉินจ้องไปที่พัดขนนกสีเขียวอมฟ้าเป็นชิ้นแรก ดวงตาก็อดหดลงไม่ได้ “นั่นคือ…อาวุธมหสวรรค์?!”

แม้ว่าพัดขนนกจะดูธรรมดา แต่มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่น่ากลัวที่ออกมาจากวัตถุนั้นซึ่งไม่ใช่ระดับอาวุธเสมือนมหสวรรค์แน่นอน

ดังนั้นมันต้องเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้!

ม้วนคัมภีร์หยกเขียวก็ต้องเป็นอะไรที่พิเศษ ไม่งั้นคงไม่ได้วางอยู่ข้างพัดขนนก

“สมชื่อวังสวรรค์บรรพกาล” จิ่วโยวถอนหายใจ ผู้บัญชาการตำหนักสายลมเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นกลับครอบครองอาวุธมหสวรรค์ของแท้ เพียงแค่สิ่งนี้อย่างเดียวก็เพียงพอจะทำให้ขั้วอำนาจสูงสุดในภูมิภาคทางเหนือตาร้อนผ่าว เพราะแม้กระทั่งมั่นถัวหลัวยังได้อาวุธมหสรรค์จากมู่เฉินไปเท่านั้น

“ดูเหมือนว่าการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ไม่น้อยเลยนะ” ดวงตาของหลินจิ้งเปล่งประกายสดใสขณะหัวเราะร่าเริง

“สมบัติเป็นของดี แต่คงไม่ง่ายที่จะได้รับ” มู่เฉินส่ายหัวชี้ไปทางด้านหลังสระน้ำ ซึ่งมีบันไดหินพร้อมกับที่นั่งไล่เรียงสองข้างของบันได มีร่างเงานับไม่ถ้วนนั่งอยู่

แต่ละร่างสวมเสื้อคลุมเย็บปักประณีต บางคนเป็นเจียวเขียว บางคนเป็นเจียวทองคำ นอกจากนี้ยังมีสองมังกรขาวและหนึ่งมังกรเขียว…

ชัดว่าพวกเขาล้วนเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงของตำหนักสายลมที่มีศิษย์ระดับมังกรเขียวอยู่ในอันดับสูงที่สุด ดูจากที่นั่งเขาจะต้องมีสถานะสูงในตำหนักแห่งนี้แน่

ซากร่างของพวกเขาถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี สามารถมองเห็นเนื้อหนังหุ้มโครงกระดูกได้ ทว่าทั้งหมดก็ยังฉายความหวาดกลัวบนใบหน้าแข็งทื่อ

ตอนที่เผ่าปีศาจต่างมิติบุกเข้ามาพร้อมกับรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากเทลงมา พวกเขาน่าจะตระหนักได้ แต่ก่อนที่จะทันป้องกัน ชีวิตก็ถูกพรากไปตลอดกาลแล้ว

“ก็แค่ซากศพเอง” หลินจิ้งไม่ได้สนใจ นางสะบัดมือ มวลลมคลื่นหลิงก็กวาดออก

เมื่อลมพัดผ่านซากศพเหล่านั้นก็กลายเป็นฝุ่นกระจายหายไป

ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจทั้งโถงก็ว่างเปล่า

ทว่าใบหน้าของทั้งสามกลับค่อยๆ เคร่งเครียดลงหลายส่วน เมื่อมองไปที่ปลายบันไดโดยมีร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ร่างนั้นสวมชุดสีฟ้าอมเขียวอยู่ในวัยกลางคนพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดูสง่างาม ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังเล็ดลอดออกมา

ทั้งสามมองไปที่ร่างเงานั้นมุมหางตาก็กระตุก ตามตำแหน่งและรัศมีบอกชัดเจนว่า… นี่คือเจ้าตำหนักสายลม

โถงปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน ทั้งสามก็นิ่งไม่ได้ขยับ แต่สายตาจับจ้องไปที่ผู้บัญชาการตำหนักสายลม นั่นเพราะพวกเขาไม่สามารถยืนยันได้ว่าที่เบื้องหน้าคือคนตายไปแล้ว…หรือติดเชื้อจากรัศมีปีศาจกัน

ไม่นานร่างผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็สั่นเทิ้มภายใต้การจ้องมองของทั้งสาม ดวงตาที่ปิดมานับหมื่นปีเปิดขึ้นอย่างช้าๆ

ดวงตาคู่นั้นมีสีดำสนิทแฝงด้วยสีแดงก่ำดูน่ากลัวยิ่งนัก

“ง่า” หลินจิ้งอดกลอกตาไม่ได้

มู่เฉินและจิ่วโยวมองแรงใส่นางด้วยสายตาเคืองๆ “เจ้านี้ปากอีกาจริงๆ… สิ่งเลวร้ายที่เจ้าพูดดันเป็นจริงซะแล้ว”

ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาที่นี่ หลินจิ้งหวังว่าผู้บัญชาการตำหนักสายลมคงจะไม่กลายเป็นปีศาจร้าย ไม่คิดว่าคำพูดนั้นจะเป็นจริงเมื่อเข้ามา

“งั้นจะเผ่นไหม?” หลินจิ้งบึนปาก

มู่เฉินไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ลองกันก่อนดีไหม?”

เขามองไปที่สระน้ำที่อัดแน่นไปด้วยคลื่นหลิง พัดขนนกสีฟ้าอมเขียวและม้วนคัมภีร์หยกก่อนจะเลียริมฝีปาก

แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังถูกล่อลวงด้วยสมบัติเหล่านี้ ไม่ต้องพูดถึงเขาเลย พวกเขาเข้ามาในวังสวรรค์บรรพกาลเพื่อมองหาโอกาสใหม่และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากยอมแพ้ง่ายเมื่อสิ่งนั้นอยู่แค่เอื้อมมือ

“คิกๆ งั้นลองดูกันสักตั้ง!” ดวงตาของหลินจิ้งกะพริบด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว เห็นได้ชัดว่านางก็ไม่อยากออกไปโดยไม่ได้เก็บเกี่ยวอะไร

จิ่วโยวพยักหน้าเห็นด้วย ในเมื่อทุกคนไม่อยากถอยไปก็รวมพลังลองกันสักตั้ง หวังว่าตอนนี้ผู้บัญชาการตำหนักสายลมจะอ่อนลงจนต่ำกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว

เมื่อทั้งสามเห็นพ้องต้องกัน ดวงตาผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็เล็งมาที่มู่เฉินก่อนจะลุกขึ้นกระทืบเท้า

ตู้ม!

พายุสีดำกวนตัวใต้ฝ่าเท้าเขา ฉีกมิติพุ่งเข้าหาทั้งสามอย่างรวดเร็ว เส้นทางผ่านมิติพังทลาย

วาบ!

เมื่อพายุโจมตีเข้ามา แสงเย็นยะเยือกก็วูบไหว ตุ๊กตาน้ำแข็งของหลินจิ้งมายืนตรงหน้าเสือกแทงพายุด้วยกระบี่ยาว

รัศมีเย็นเยือกร้อยจั้งพวยพุ่งราวกับอสรพิษปะทะกับพายุสีดำจังใหญ่

ปัง!

จังหวะที่ปะทะกันอากาศก็ระเบิดออกพร้อมกับคลื่นกระแทกที่เห็นด้วยตาเปล่ากระหน่ำออกมาทำให้มิติโดยรอบกระเพื่อมพร้อมกับเสียงราวกับฟ้าคำรน

ครืน!

ร่างตุ๊กตาน้ำแข็งสั่นสะท้านก่อนจะถูกคลื่นกระแทกซัดออกไป ชนเข้ากับเสาหินหนาทำให้กลายเป็นฝุ่นผงในพริบตา

แค่กระบวนท่าแรกตุ๊กตาน้ำแข็งซึ่งเทียบได้กับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็เสียเปรียบเต็มประตู

ใบหน้าของทั้งสามคนเปลี่ยนไป พลังของผู้บัญชาการตำหนักสายลมเกินความคาดหมายไป

ตามการคาดการณ์แม้ว่าผู้บัญชาการตำหนักสายลมจะรักษาสภาพร่างกายได้จากรัศมีปีศาจแต่ก็น่าจะอ่อนแอลงมากเพราะผ่านมานับหมื่นปีแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่าแม้อ่อนแอลงก็ยังเกินกว่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มทั่วไป

ฮา

มู่เฉินสูดหายใจลึกสุดปอด ไอเย็นเยือกพรั่งพรูในนัยน์ตา เขากำมือหอกสีแดงก่ำก็ปรากฏอยู่ในมือพร้อมกับชุดเกราะสลักด้วยมังกรเพลิงเหี้ยมหาญสวมลงบนร่างกาย

นี่คือชุดเกราะสงครามมังกรแดงที่ได้มาจากเซี่ยหง ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่นำมาใช้ตั้งแต่ได้รับ

ตู้ม!

สวมชุดเกราะไว้ หอกก็ชี้ปลายลง คลื่นหลิงรอบตัวมู่เฉินก็พวยพุ่งรุนแรง จนถึงจุดที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ยังหวาดกลัว

ตุ๊กตาน้ำแข็งลอยขึ้นไปกลางอากาศ กระบี่ยาวชี้ไปทางผู้บัญชาการตำหนักสายลม

ส่วนรอบร่างจิ่วโยวพลุ่งพล่านด้วยเพลิงผลึกใสสว่างไสว ทำให้อุณหภูมิร้อนระอุในทันที มากจนแม้แต่มิติก็บิดเบี้ยว

ใบหน้าของหลินจิ้งจริงจังขึ้นพร้อมกับเกลียวแสงสีขาวเต้นระริกที่ปลายนิ้วมือ ดูเหมือนจะกลายเป็นอักขระโบราณที่แปลกพิศวงเอิบอาบไปด้วยความผันผวนที่น่ากลัว

สามจอมยุทธ์หนึ่งหุ่นเงาปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลังออกมา ซึ่งกระจายแรงกดดันส่วนใหญ่ที่พลุ่งพล่านมาจากผู้บัญชาการตำหนักสายลมออกไป

โฮก!

เผชิญหน้ากับการรวมตัวแบบนี้ แม้ว่าผู้บัญชาการตำหนักสายลมจะไม่เหลือสติสัมปชัญญะ แต่ก็สัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม ดังนั้นเขาจึงเปล่งเสียงคำรามลั่น รัศมีปีศาจโดยรอบก็แกร่งกร้าวขึ้น

เมื่อรู้สึกถึงพลังงานพลุ่งพล่านในร่างกาย จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็ควบแน่นอยู่ในดวงตาของมู่เฉิน เขาไม่ลังเลกระทืบเท้าลงไป ร่างก็พุ่งออกมาเป็นสาย

“จัดการมัน!”

เวลาเดียวกันเสียงคำรามของมู่เฉินก็ดังก้องในโถงนี้

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1124 ทำลายค่ายกล
“นี่คือที่ตั้งของตำหนักสายลมหนึ่งในเก้าตำหนักเหรอ?”

จิ่วโยวและหลินจิ้งมองเกาะหินธรรมดาที่เบื้องหน้าพร้อมกับความสงสัยกะพริบในนัยน์ตา

ตำหนักทั้งเก้ามีสถานะที่สูงในวังสวรรค์บรรพกาล ซึ่งเป็นรองแค่เจ้าวังและเหล่าจอมพลผู้ดูแลหอเท่านั้น เมื่อเทียบกับขั้วอำนาจต่างๆ ในปัจจุบันก็เท่ากับขั้วอำนาจระดับต้นของทวีปเทียนหลัวเลยทีเดียว แล้วทำไมตำหนักถึงดูแสนธรรมดาขนาดนี้?

“นั่นคือจุดที่ระบุไว้บนแผนที่นะ” มู่เฉินยักไหล่ก่อนจะเคลื่อนเข้าไปใกล้เกาะหิน คลื่นหลิงยิงออกไป แต่เมื่อคลื่นอยู่ห่างจากเกาะหินลอยร้อยจั้ง มิติก็แปรปรวน ปราการพลังปรากฏขึ้นลบคลื่นหลิงออกไป

มู่เฉินเดินเข้าไปใกล้วางฝ่ามือบนปราการแล้วหลับตาลง ระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกจากฝ่ามือ ขยายออกตามปราการที่ห่อหุ้มเกาะหิน

ใช้เวลาไม่นานก่อนที่เขาจะค่อยๆ ลืมตาแล้วยิ้มให้หญิงสาวทั้งสอง “ค่ายกลนี้ยากที่จะจัดการ แต่โชคดีที่มีช่องโหวเกิดขึ้นตามร่องรอยกาลเวลา มิฉะนั้นคงไม่มีทางสำหรับเราที่จะฝ่าไปด้วยกำลังที่มี”

เมื่อพูดจบเขาก็ตบเบาๆ ที่ค่ายกล รอยแยกหนึ่งจั้งปรากฏขึ้น

“สะดวกจริงที่มีหลินเจิ้นซือ” เมื่อหลินจิ้งเห็นว่ามู่เฉินจัดการค่ายกลได้อย่างง่ายดายอย่างไร นางก็อมยิ้มแก้มตุ่ย หากเป็นพวกนางคงได้แต่ใช้กำลังในการทำลายค่ายกล ซึ่งจะเสียเวลามาก

“เชิญพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”

มู่เฉินยิ้มผายมือเชื้อเชิญ จิ่วโยวและหลินจิ้งแลกเปลี่ยนสายตากันพร้อมกับยิ้ม ก่อนที่จะเดินเข้าไปในรอยแตกโดยมีมู่เฉินปิดท้ายที่ด้านหลัง

เมื่อทั้งสามผ่านรอยแตกเข้ามาได้ก็ตระหนักว่าหมอกที่เบื้องหน้าจางหายไป ทั้งสามมองไปก็เห็นเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

เกาะหินที่ตอนแรกดูธรรมดา กลายเป็นเกาะขนาดใหญ่หลายหมื่นจั้งที่มีอาคารมากมายนับไม่ถ้วน! มีหอคอยหินตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเกาะ ตำหนักสีฟ้าอมเขียวล้อมรอบด้วยพายุทำให้มิติบิดเบี้ยวไปมา

“นี่สินะ ตำหนักสายลมที่แท้จริง…” มู่เฉินมองเกาะหินมหึมาที่ยิ่งใหญ่ก็ถอนหายใจโล่งอก ดูท่าแผนที่จะระบุไม่ผิด เกาะหินเบื้องหน้านี้เป็นตำหนักสายลมจริงๆ

ทั้งสามสบตากันแล้วทะยานเข้าไปอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะหยุดที่กลางอากาศมองลงไปที่เกาะ

สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือความจริงที่ไม่มีซากปรักหักพังใดบนเกาะ อาคารต่างๆ ดูราวกับไม่มีความเปลี่ยนทั้งที่ผ่านมานับหมื่นปี

ทว่าในไม่ช้าพวกเขาก็พบสิ่งที่ผิดสังเกต

มีโครงกระดูกมากมาย ซึ่งชัดว่าเป็นของจอมยุทธ์แห่งตำหนักสายลมนี้ ทุกคนมีท่าทางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับความกลัวฉาบบนใบหน้า

ความตายของพวกเขาเหมือนมาในชั่ววูบ สีหน้าถึงได้แข็งค้างไว้เช่นนี้

มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นเช่นกัน ภายในเกาะสามารถมองทะลุปราการคลื่นหลิง ดังนั้นจึงสังเกตเห็นรอยดำบางๆ บนขอบฟ้า แม้รอยนี้จะจางมากแล้ว แต่พวกมู่เฉินก็ยังคงรู้สึกคลุมเครือว่าเผ่าปีศาจต่างมิติน่าจะลงมาจากที่จุดนั้นในสมัยโบราณ…

พร้อมกันนั้นจะต้องมีนักรบปีศาจที่น่าสะพรึงมากมาด้วย ภายใต้รัศมีร้ายกาจนั้นทำให้ทุกคนในตำหนักสายลมซึ่งอยู่ใกล้มากที่สุดถูกฆ่าทันที

“ว่ากันว่าตอนที่เผ่าปีศาจเคลื่อนพลรุกรานทวีปเทียนหลัว มีนักรบราชันปีศาจที่ทรงพลังมาด้วยและสถานะของมันก็ไม่ได้ต่ำ ท่าทางจอมยุทธ์ตำหนักสายลมจะถูกกำจัดโดยนักรบราชันปีศาจนั้น” เสียงของหลินจิ้งดังก้อง

มู่เฉินพยักหน้า วังสวรรค์บรรพกาลเป็นดินแดนของจักรพรรดิฟ้าที่เป็นยอดยุทธ์ในสมัยโบราณ โดยเป็นหนึ่งในจักรพรรดิซึ่งถือได้ว่าเป็นเสาหลักของมหาพันภพ ดังนั้นหากเผ่าปีศาจต่างมิติไม่ส่งสุดยอดนักรบราชันปีศาจมาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะล้างผลาญทวีปเทียนหลัว

“หลังจากสงครามครั้งนั้นจักรพรรดิฟ้าก็หายตัวไปพร้อมกับวังสวรรค์บรรพกาลถูกทำลาย ดูเหมือนว่าสุดท้ายพวกปีศาจจะทำสำเร็จ” จิ่วโยวถอนหายใจ

“นักรบราชันปีศาจที่มาต้องไม่ธรรมดา…” หลินจิ้งมุ่นคิ้วพลางพูดต่อ “ข้าได้ยินไม่ชัดนักจากท่านพ่อว่านักรบราชันคนนี้ได้รับการจัดอันดับสูงในหมู่เผ่าปีศาจต่างๆ ทั้งหมด แต่โชคดีที่มันหายไปพร้อมกับจักรพรรดิฟ้า ข้าว่าพวกเขาคงลากคอกันไปตายพร้อมกัน มิฉะนั้นมหาพันภพจะต้องจ่ายราคาที่มากขึ้นจากสงคราม”

หลินจิ้งไม่คิดพูดถึงสงครามในอดีตต่อ นางกวาดสายตาสำรวจแล้วเปลี่ยนหัวข้อ “ตำหนักสายลมดูเหมือนถูกกวาดจนเหี้ยนเต้ หากผู้บัญชาการตำหนักสายลมสิ้นชีพแล้วก็ไม่ยากที่เราจะคว้าป้ายมา แต่รัศมีชั่วร้ายของเผ่าปีศาจเป็นที่รู้กันดีว่าครอบงำมากและสามารถรุกรานจิตใต้สำนึกของผู้คน เมื่อรัศมีปีศาจบุกเข้ามาจิตใต้สำนึกก็จะกลายเป็นสิ่งชั่วร้าย ดังนั้นหวังว่าผู้บัญชาการตำหนักสายลมจะไม่ได้กลายเป็นปีศาจ…”

“หวังว่าจะไม่ซวยแบบนั้น”

มู่เฉินเบ้ปาก ไม่ว่าอย่างไรผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็ยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แม้ว่าจะผ่านมานับหมื่นปีก็ไม่อาจประมาทได้ หากประหน้ากันจริงๆ ละก็งานนี้ปวดหัวหนักแน่นอน!

“ไปที่โถงกันเถอะ ที่นั่นน่าจะเป็นโถงใหญ่นะ” มู่เฉินมองไปที่เบื้องหน้าจับจ้องไปที่ใจกลางเกาะที่มีตำหนักสีฟ้าอมเขียวล้อมรอบด้วยพายุ ถ้าเขาเดาถูก ป้ายของผู้บัญชาการตำหนักสายลมมีโอกาสปรากฏที่นั่นสูงสุด

จิ่วโยวและหลินจิ้งพยักหน้าไม่ได้คัดค้าน

มู่เฉินทะยานนำออกไป ทว่านี่เป็นการเคลื่อนตัวที่แปลกประหลาดมากเพราะสลับไปมาระหว่างเร็วกับช้า บางครั้งถึงกับเดินวนไปรอบๆ เนื่องจากเขาสามารถตรวจจับความผันผวนของค่ายกลที่ยุ่งเหยิง หากก้าวเข้าไปอาจกระตุ้นการใช้งานการป้องกันและดึงดูดปัญหาเข้ามายกใหญ่

การหลบเลี่ยงเช่นนี้ทำให้ความเร็วทั้งสามลดลง ดังนั้นหลังจากผ่านไปสิบนาทีพวกเขาถึงได้เข้าใกล้โถงหลักซึ่งล้อมไปด้วยพายุและพลิ้วตัวลงไปอย่างระมัดระวัง

“นี่คือค่ายกลระดับจงซือ”

มู่เฉินหยุดเบื้องหน้าโถงแล้วเงยหน้าขึ้นมองพายุสีฟ้าอมเขียว เพราะนี่ไม่ใช่พายุธรรมดา แต่เป็นพายุที่ก่อตัวขึ้นโดยค่ายกลที่ทรงพลัง

ตามการคาดการณ์ของมู่เฉินนี่น่าจะเป็นค่ายกลระดับจงซือของแท้

เมื่อจิ่วโยวและหลินจิ้งได้ยินคำพูดของเขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป สมกับเป็นเขตในวังสวรรค์บรรพกาล แค่ค่ายกลโถงหลักของตำหนักยังอยู่ในระดับจงซือ

“ทำลายได้ไหม?” จิ่วโยวถาม

ด้วยความแข็งแกร่งของกลุ่มเป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายค่ายกลระดับนี้โดยพละกำลัง ดังนั้นจะต้องพึ่งพาความสามารถของมู่เฉินในศาสตร์ค่ายกลอย่างเดียว

มู่เฉินมองไปที่ค่ายกลและนิ่งเงียบอยู่นานก่อนจะตอบว่า “การทำลายเป็นไปไม่ได้เลย แม้ว่าจะผ่านมานับหมื่นปี แต่นี่ก็ยังเป็นค่ายกลระดับจงซือ แต่ข้าสามารถลองตรวจสอบวิถีของมัน ถ้าหาช่องโหว่ได้ก็น่าจะเข้าไปได้ ไม่งั้นคงต้องยอมแพ้”

การตัดสินใจช่างเด็ดขาด เพราะพวกเขาไม่สามารถทำลายด้วยพละกำลัง ไม่งั้นจะต้องจ่ายราคาแพงระยับ แทนที่จะเป็นแบบนั้นก็น่าจะมองหาตำหนักที่เหลืออยู่ดีกว่า

“ระวังให้ด้วย”

มู่เฉินพูดกับทั้งสอง จากนั้นก็นั่งลงสะบัดนิ้วส่งสัญลักษณ์หลิงยิ่งออกไป

เมื่อสายผนึกเหล่านั้นเข้าใกล้ระยะร้อยจั้งที่ด้านหน้าห้องโถง ก็รวมเข้าในมิติปล่อยความผันผวนที่ไม่ธรรมดาออกมาอย่างคลุมเครือ

เมื่อจิ่วโยวและหลินจิ้งเห็นภาพนี้ก็ไปยืนอยู่ข้างหลัง หลินจิ้งโบกมือเรียกตุ๊กตาน้ำแข็งขึ้นมา ทั้งสามก่อตัวเป็นรูปครึ่งวงกลมล้อมรอบมู่เฉินไว้

ภายใต้การปกป้อง การควบแน่นของสัญลักษณ์หลิงยิ่งก็ขยายตัวเร็วขึ้น หลอมรวมเข้ากับมิติอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่ทำก่อให้เกิดความปั่นป่วนขึ้น พายุดูหมือนจะถูกดึงโดยบางสิ่งเสียงโหมกระหน่ำสะท้อนก้อง พร้อมกับเสียงฟ้าร้องคำรามเลือนราง

ขณะเดียวกันแรงกดดันทรงพลังพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงน่าอัศจรรย์ก็แผ่ออกมา ทำให้ใบหน้าของจิ่วโยวและหลินจิ้งเคร่งเครียดลงเรื่อยๆ หากค่ายกลโจมตี พวกนางคงต้องตกอยู่ในสภาพน่าสมเพช

แต่โชคดีที่พายุไม่ได้กระหน่ำทางทิศของพวกนาง ภายต้สายตาวิตกกังวลและความปั่นป่วนก็คงอยู่ชั่วครู่ก่อนทุกอย่างจะสงบลง

ทันใดนี้เองพวกนางก็เห็นมู่เฉินลืมตาขึ้น สีหน้าเขาเคร่งขรึมลง รอยเลือดปรากฏตรงปลายนิ้ว จากนั้นก็วาดลงบนอากาศเบื้องหน้าเบาๆ

ริ้วรอยเลือดปรากฏขึ้นพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนรอบๆ จากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็เห็นปราการแสงสีฟ้าปริแตกออกเล็กน้อยที่ด้านนอกโถง

“ไป!”

มู่เฉินร้องบอกขณะทะยานเข้าไปในรอยแตกโดยที่จิ่วโยวและหลินจิ้งตามมาไม่ห่าง

เมื่อทั้งสามเข้าไป รอยแตกก็ค่อยๆ กลับคืนสภาพปกติ

ทว่าไม่นานหลังจากทั้งสามเข้าไป มิติด้านหลังก็แปรกปรวน เท้าลาวาก้าวออกมา!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1123 เก้าตำหนัก
ป้ายมังกรทองคำนำพามู่เฉินผ่านค่ายกลที่ล้อมรอบวังโบราณ

เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความผันผวนรุนแรงของมิติ จากนั้นแสงวูบไหวที่เบื้องหน้าครรลองสายตา เมื่อมองขึ้นไปเบื้องหน้าวิวทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไป

มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้ากวาดมองภาพรอบด้าน โลกโบราณปรากฏให้เห็นออกมาพร้อมกับรัศมียิ่งใหญ่ ที่ไม่มีที่ใดในเขตชั้นนอกเทียบคียงได้

ทั่วมิติปกคลุมไปด้วยยอดเขาแหลมและแม้จะถูกทิ้งร้างมานับหมื่นปี แต่สถานที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยคลื่นพลังงานยิ่งใหญ่ ดังนั้นสามารถเห็นได้ว่าเป็นสถานที่นี้เหมาะสำหรับการเพาะบ่มพลังเพียงใด

มองเห็นตึกอาคารนับไม่ถ้วนตั้งเรียงรายบนยอดเขาโดยมีน้ำตกขนาดใหญ่คล้ายกับมังกรยักษ์ม้วนตัวลงมาพร้อมกับเสียงก้องกังวาลสะท้อนระหว่างฟ้าดิน

โดยเฉพาะบนท้องฟ้ามีเกาะหินลอยอยู่นับไม่ถ้วนซึ่งเต็มไปด้วยหออาคารแสดงให้เห็นว่าที่นี่เคยรุ่งเรืองมาก่อนขนาดไหน

มู่เฉินมองไปที่ฉากยิ่งใหญ่เบื้องหน้าก็อดถอนหายใจอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อเทียบกับที่นี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ดูเล็กไปเลย

“นี่คือวังสวรรค์บรรพกาลเหรอ?” น้ำเสียงสงสัยของหลินจิ้งดังขึ้นข้างหลังขณะมองไปทางซ้ายทีมองไปทางขวาทีแล้วอุทานขึ้น แม้ว่านางจะเป็นองค์หญิงน้อยของแคว้นหวู นางก็ประเมินสถานที่นี่ไว้สูงเช่นกัน

มู่เฉินพยักหน้ากวาดตาสำรวจไปรอบๆ เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานหลิงที่กระเพื่อมไหวอยู่ในมิตินี้ ซึ่งน่าจะเป็นพวกล่าสมบัติที่เข้ามายังเขตชั้นในได้แล้ว

ความเงียบที่ดำเนินมานับหมื่นปีพังทลายอย่างสมบูรณ์

คนที่เข้ามาได้คล้ายกับโจรปล้นสะดมราวกับว่าต้องการพลิกพื้นดินขึ้นมาสำรวจทุกตารางนิ้ว เพราะแม้แต่คนที่โง่เขลาก็รู้รากฐานของมหาอำนาจยิ่งใหญ่ที่ครอบครองทวีปเทียนหลัวในยุคโบราณนี้น่ากลัวเพียงใด ตราบใดที่พวกเขาได้รับโอกาสก็จะเหมือนปลาคาร์พกระโจนผ่านประตูมังกร สร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งทวีปเทียนหลัว

มู่เฉินหันไปมองสมาชิกจากพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือ ตอนนี้ทุกคนกำลังน้ำลายหกกับภาพขุมทรัพย์ขนาดใหญ่ ท่าทางกระตื้อรือร้นเหมือนจะรอกันไม่ไหวแล้ว

“ทุกคนถ้าต้องการหาสมบัติกันเองก็ไปได้เลย ถ้าเจอกับอันตรายก็ขอความช่วยเหลือได้”

มู่เฉินยิ้ม คนกลุ่มนี้รวมตัวกันแบบหลวมๆ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลา หากทำเช่นนั้นไม่เพียงแต่ทุกคนจะไม่ชอบใจ แต่ยังลำบากหากพบสมบัติอีกด้วย

ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะแยกกันชั่วคราวและคอยติดต่อกันไว้เท่านั้นเอง

เมื่อจอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือที่คันไม้คันมือมานานได้ยิน ความสุขก็ปรากฏบนหน้าและพยักหน้ารับทราบ

มู่เฉินยิ้มก่อนจะเตือนต่อว่า “แม้จะมีสมบัติมากมายในวังโบราณแต่สถานที่แห่งนี้ยังคงมีคลื่นพลังหนาแน่น มิหนำซ้ำบางจุดยังมีคลื่นหลิงเลือนรางซ่อนอยู่ ดังนั้นจงระวังอย่าไปกระตุ้นค่ายกลจนทิ้งชีวิตไป”

ทุกคนพยักหน้าขอบคุณแล้วพุ่งตัวออกไป

“หากไม่มีคนกลุ่มนี้ห้อยตามกันไป ทุกอย่างก็สะดวกขึ้นสำหรับเรา” มุมปากของจิ่วโยวยกขึ้นเมื่อมองกลุ่มคนจากไป ในบรรดาจอมยุทธ์เหล่านี้นอกจากเฉวียนหมิง คนที่เหลือคงช่วยอะไรไม่ได้หากพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งแต่ยังเป็นภาระอีกด้วย แต่ในตอนแรกก็ไม่สามารถปฏิเสธที่จะพาพวกเขา เพราะเบื้องหลังของพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนของภูมิภาคทางเหนือสนับสนุน มิฉะนั้นนี่เพียงอาณาเขตกงเวทสวรรค์แห่งเดียวคงไม่สามารถข่มขั้วอำนาจชั้นนำในทวีปเทียนหลัวได้

มู่เฉินยิ้ม นี่คือเหตุผลที่เขาให้ทุกคนแยกออกจากกลุ่มไป มีสหายสองคนข้างๆ ก็พอแล้ว

“แล้วเราจะทำยังไงต่อ?” หลินจิ้งถามเสียงตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่านางพร้อมที่จะลุยแล้ว

มู่เฉินมองออกไปครุ่นคิดครู่หนึ่ง “วังสวรรค์บรรพกาลกว้างใหญ่ไพศาล นอกจากนี้ในตอนนั้นที่จู่ๆ หายไปทั้งขั้วอำนาจก็เป็นเรื่องแปลกพิสดาร ดังนั้นเราต้องระมัดระวังหน่อย…”

“ตามการคาดการณ์ของข้าชั้นแรกน่าจะเป็นตำหนักทั้งเก้า ถัดจากนั้นก็เป็นเป้าหมายหนึ่งของเราทะเลสาบสวรรค์!”

วังสวรรค์บรรพกาลแบ่งออกเป็นสิบตำหนักและเจ็ดหอ โดยที่นี่ควรเป็นพื้นที่ของตำหนักทั้งเก้าแห่ง

เมื่อได้ยินคำว่าทะเลสาบสวรรค์ ดวงตาของหลินจิ้งก็เปล่งประกายระยิบระยับ “ไม่รู้ว่าตอนนี้ทะเลสาบสวรรค์ของวังสรรค์บรรพกาลยังมีประสิทธิภาพพิเศษเหมือนอดีตหรือไม่?”

“เจ้ารู้ด้วยเหรอ?” มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจแต่แวบเดียวก็เข้าใจได้ทันทีว่า ด้วยบิดาของนางความลับของวังสวรรค์บรรพกาลไม่มีทางที่หลินจิ้งไม่รู้

หลินจิ้งพยักหน้าพลางตอบ “ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินท่านพ่อพูดเรื่องนี้ จักรพรรดิฟ้าเป็นหนึ่งในเหตุผลที่วังสวรรค์บรรพกาลเป็นเจ้าเหนือหัวของทวีปเทียนหลัว แต่ทะเลสาบสวรรค์ก็เป็นอีกหนึ่งในเหตุผลเช่นกัน ในเวลานั้นจุดประสงค์ของอัจฉริยะมากมายที่มาร่วมกับที่นี่ก็คือการได้ทำพิธีชำระล้างในทะเลสาบ”

“ว่ากันว่าการชำระล้างในทะเลสาบสวรรค์สามารถเปลี่ยนร่างกายผู้ฝึกและปรับแต่งคลื่นหลิงในเวลาเดียวกัน มากจนสามารถกล่อมเกลาร่างเทห์สวรรค์จนยกขึ้นอีกระดับ”

“มีข่าวลือกันว่าเคยมีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้บรรลุเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนตอนทำพิธีชำระด้วย”

สายตาของจิ่วโยวสั่นไหว ตัวนางเข้าใกล้ระดับตี้จื้อจุนแล้ว นางรู้ว่ายากแค่ไหนที่จะทำลายห่วงนี้ได้ จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้านับไม่ถ้วนในใต้หล้านี้ล้มเหลว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพัฒนาการนี้ยากเพียงใด

บางทีข่าวลือที่หลินจิ้งพูดอาจจะเกินจริงไปบ้าง แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความหัศจรรย์ของทะเลสาบสวรรค์แล้ว

มู่เฉินยิ้มบาง “แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีคุณสมบัติที่จะรับพิธีชำระล้าง ตามกฎศิษย์ต้องได้รับความเห็นชอบจากเก้าตำหนักและรับป้ายมาเท่านั้นถึงสามารถเข้าสู่ทะเลสาบสวรรค์ได้”

“แม้ว่าวังสวรรค์บรรพกาลจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากในปัจจุบัน แต่ข้าเชื่อว่ากฎยังคงอยู่เหมือนกับประตูมังกรทะยานสวรรค์ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องค้นหาตำหนักทั้งเก้าก่อน ดูสิว่าสามารถได้รับป้ายมาหรือไม่?”

จิ่วโยวพยักหน้า ด้วยจำนวนจอมยุทธ์หัวกะทิมากมายที่เข้ามา ทั้งหมดก็น่าจะมุ่งสู่ทะเลสาบสวรรค์ ในเมื่ออุปสงค์มากกว่าอุปทาน ทุกคนก็ต้องเร่งรีบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

มู่เฉินก็คิดเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่พูดมากโบกมือเป็นสัญญาณทันที “ไปเถอะ เราควรไปได้แล้ว”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองฟ้าดินกว้างใหญ่ ก่อนที่จะกลายเป็นร่างแสงมุ่งหน้าไปยังเกาะหินลอยแห่งหนึ่ง

จิ่วโยวและหลินจิ้งติดตามไปอย่างใกล้ชิดที่เบื้องหลัง เปิดฉากการผจญภัยในวังสวรรค์บรรพกาล

ทั้งสามไม่ได้เก็บเกี่ยวใดๆ ในเกาะหินแห่งแรก เนื่องจากอาคารทั้งหลายกลายเป็นซากปรักหักพัง แม้ว่าจะพบอาวุธโบราณบางอย่าง แต่ก็ซีดจางจนกำลังจะแตกหัก

แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพแวดล้อมบนเกาะ มู่เฉินก็เดาได้ว่าต้องเกิดการสู้รบสะเทือนฟ้าดินขึ้นที่นี่

การค้นหาครั้งแรกล้มเหลว แต่ทั้งสามคนก็ไม่ได้ผิดหวังอะไร ยังคงมุ่งหน้าสำรวจไปรอบๆ

ขณะที่พวกเขาสำรวจเข้าไปลึกขึ้น มู่เฉินก็พบบางอย่างที่ทำให้ปวดหัว เกาะหินลอยเหล่านี้มีบางส่วนถูกล้อมรอบด้วยค่ายกล แม้ว่าค่ายกลจะไม่ได้ทรงพลังเกินไป แต่ก็สามารถปิดกั้นการมองเห็นของพวกเขาได้ เว้นแต่พวกเขาจะทำลายค่ายกล ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ว่าด้านในเกาะเป็นอย่างไร

ทว่ามีเกาะหินลอยเคว้งคว้างในวังโบราณนับพันนับหมื่น หากพวกเขาต้องทำลายค่ายกลและสำรวจทีละเกาะ จะเสียเวลาไปนานเท่าไร?

ทั้งสามรู้สึกจนใจกับเรื่องนี้ แต่ก็ต้องทำลายค่ายกลและตรวจสอบไปทีละเกาะเท่านั้น ทว่าโชคดีที่ความช่วยไม่ได้อยู่ไม่นาน ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับการเก็บเกี่ยวบนเกาะหินแห่งหนึ่งที่ไม่โดดเด่น

มู่เฉินพบม้วนคัมภีร์หยกข้างซากกระดูกโครงหนึ่ง ซึ่งในม้วนคัมภีร์หยกไม่ได้บันทึกทักษะพิเศษอะไรไว้ แต่เป็นแผนที่ธรรมดา

ทว่าในสายตาของเขาแผนที่นี่คือขุมทรัพย์

นั่นเป็นเพราะแผนที่นี้แสดงถึงการแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนของวังสวรรค์บรรพกาล โดยมีจุดที่ตั้งของเก้าตำหนักและห้าหอ

ด้วยสิ่งนี้พวกเขาสามารถละเกาะหินที่ไม่สำคัญตรงไปยังตำหนักทั้งเก้าได้เลย

“มู่เฉิน เจ้าเจ๋งมาก!” หลินจิ้งกระโดดตัวลอย เกาะหินว่างเปล่าก่อนหน้าทำให้นางรู้สึกหดหู่ใจ

มู่เฉินยิ้มกว้างกวาดสายตามองแผนที่จากนั้นก็มองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ “ตามแผนที่นี้ ตำหนักสายลมตั้งอยู่ในทิศทางนั้น เราไปสำรวจกันเถอะ”

ตำหนักสายลมเป็นหนึ่งในเก้าตำหนักที่มีผู้ดูแลเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ดังนั้นจะต้องมีสมบัติแท้จริงให้คว้าแน่นอน

“ไป!”

สายตาของมู่เฉินลุกโชน กลายเป็นร่างแสงทะยานออกไปในทิศทางที่ระบุไว้ในแผนที่โดยไม่ลังเลใดๆ

ภายใต้แผนที่ระบุสถานที่ชัดเจน พวกมู่เฉินใช้เวลาเพียงสิบกว่านาทีก่อนที่จะหยุดตัวลง เกาะหินธรรมดาปรากฏต่อหน้าพวกเขา

ทว่าไม่มีใครคิดว่าเกาะที่ดูธรรมดาแห่งนี้จะเป็นหนึ่งในเก้าตำหนัก—ตำหนักสายลม!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1121 ศิษย์ระดับมังกรทองคำคนที่สี่
เกาะหินโดดเดี่ยวเอิบอาบด้วยรัศมีโบราณ

ล้อมรอบด้วยซากปรักหักพัง ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นที่นี่

ตึก

เสียงฝีเท้าดังกึกก้องพร้อมกับร่างร่างหนึ่งเดินออกจากด้านข้างเกาะหิน เมื่อร่างเงานี้ปรากฏขึ้นก็ทำให้อุณหภูมิในพื้นที่แห่งนี้เดือดพล่าน

ขอบฟ้ากลายเป็นสีแดงเข้ม รอยเท้าของเขาละลายก้อนหินเป็นลาวาพร้อมกับพลังทำลายล้างที่น่ากลัว

คนผู้นี้มีผมสีแดงเพลิงราวกับเปลวไฟลุกโชติช่วงในระยะไกล เขายืนอยู่บนยอดเขาโดดเดี่ยวมองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็อุทานด้วยความประหลาดใจขณะที่หันหน้าออกไปด้านนอกวังโบราณก็เห็นเสาแสงทองคำพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

เขาไม่ประหลาดใจกับลำแสงนี้เพราะเมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งได้รับมาเช่นกัน

“ศิษย์ระดับมังกรทองคำอีกคน? หรือจะเป็นซูชิงหยิง? นางเต็มใจที่ใช้แมลงวิญญาณสู้ด้วยรึ?” เขายิ้มด้วยความประหลาดใจ แต่จากนั้นก็ไม่ใส่ใจอะไรมาก ฝ่าเท้ากระทืบลงไป เสาลาวาก็ทะยานขึ้นไปบนทองฟ้า เงาเขาหายวับไปในลาวา

ในเวลาเดียวกัน

ที่หอหินปรักหักพังอีกมุมหนึ่งของวังโบราณ ร่างสองร่างก็ยืนเผชิญหน้ากัน ความผันผวนของคลื่นหลิงอันน่าอัศจรรย์แผ่ออกมา ทำให้มิติถึงกับแปรปรวนไปหมด

นี่เป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง

ผู้ชายรูปร่างสูงบางสวมชุดสีดำ ใบหน้าหล่อราวกับเทพสลัก ดวงตาลึกซึ้ง รอยยิ้มอ่อนโยนซึ่งทำให้หญิงสาวเคลิบเคลิ้มประดับบนใบหน้า

ยามนี้เขากำลังจ้องมองหญิงสาวงดงามที่อยู่ในระยะไกลด้วยสายตาอ่อนโยน

ร่างสะคราญโฉมสวมชุดสีสันสดใส ผมยาวเป็นลอนทำให้ดูน่าหลงใหล นางมีเอวเล็กคอดกิ่วรับกับช่วงขาเรียวยาว แต่นางกลับสวมผ้าคลุมหน้าบางๆ ปกปิดรูปลักษณ์ที่น่าทึ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงทรงเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ

หญิงสาวแผ่รัศมีเย็นเยือก ทว่าชายหนุ่มไม่ได้สนใจเกี่ยวกับความงามของนาง แต่เป็นความจริงที่นางได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำต่างหาก

“สวัสดี แม่นาง ข้าชื่อจาโหลหลัวแห่งตำหนักเทพปีศาจ ไม่ทราบว่าเจ้ามาจากไหน? ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหญิงงามทรงพลังอย่างเจ้าในทวีปเทียนหลัวเลย” จาโหลหลัวยิ้มบาง

ตอนที่เขาได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ ไม่นานความชื่นชมก็พังทลายและคนที่ทำลายก็เป็นหญิงสาวลึกลับตรงหน้านี้

นี่ทำให้จาโหลหลัวรู้สึกสงสัยจนต้องติดตามนางมาเพื่อพยายามที่จะค้นหาตัวตนของนาง ดูว่าสามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับนางได้ไหม

แต่ตอบสนองต่อคำถามอ่อนโยนของเขา หญิงสาวกลับกวาดสายตาเย็นชาให้และพูดอย่างเฉยเมย “ถ้าเจ้ายังตามก้นข้ามาอีกละก็ ข้าจะแปลความว่าเจ้าต้องการสู้กับข้า”

เมื่อได้ยินคำพูดไม่ไยดีของนาง ท่าทางของจาโหลหลัวก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปพลางเงยหน้าขึ้นมองเสาแสงสีทองที่พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าห่างไกล

“ศิษย์ระดับมังกรทองคำอีกคนเรอะ? จะเป็นซูชิงหยิง? หรือเซี่ยหยู่?” จาโหลหลัวมองแสงสีทองพร้อมกับริ้วความประหลาดใจวูบไหวในดวงตา

หญิงสาวลึกลับก็เหลือบมองไปที่เสาแสงทองคำ แต่นางไม่ได้ให้ความสนใจมาก เท้าแตะพื้นเตรียมเคลื่อนตัวออกไป

“แม่นาง…” จาโหลหลัวร้องออกมาอีกครั้งที่เห็นนางกำลังจะไป

แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ แสงเย็นก็วาววับในนัยน์ตาของหญิงสาวลึกลับ ก่อนที่นางจะสะบัดนิ้ว ลำแสงสีรุ้งก็ยิงออกมาเล็งเป้าไปที่หน้าผากของจาโหลหลัว

การจู่โจมกะทันหันทำให้ดวงตาจาโหลหลัวหรี่แคบลง เขาไม่กล้าชักช้าเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายลึกลับเพียงใด ทันใดนั้นเขาก็ชะงักฝีเท้า แสงสีทองแผ่ซ่านออกมาปกคลุมร่างกายทั้งหมด ทำให้ดูเหมือนไม่สามารถทำลายได้

ปัง!

เมื่อลำแสงอยู่ห่างออกไปจากหน้าผากครึ่งชุ่นก็ถูกขัดขวางโดยแสงสีทอง แต่พลังงานน่าอัศจรรย์ที่บรรจุอยู่ภายในก็ยังทำให้ร่างของจาโหลหลัวกระตุก

เขาอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเงางดงามพุ่งออกไปไกลในพริบตา

“น่าสนใจ” จาโหลหลัวยิ้มบางขณะมองไปที่ทิศทางนั้นด้วยสายตาลึกซึ้ง หญิงสาวลึกลับคนนี้มีภูมิหลังไม่แน่ชัด แต่ความแข็งแกร่งของนางเป็นสิ่งที่ขั้วอำนาจธรรมดาไม่สามารถเลี้ยงดูได้อย่างแน่นอน

ทว่าเขาไม่รู้เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของนางในการมาที่วังสวรรค์บรรพกาล หวังว่าจะไม่ขัดแย้งอะไรกับเขานะ ไม่งั้นคงจะปวดหัวน่าดู

“ท่านประมุขบอกว่าข้าอาจจะได้พบกับจอมยุท์ที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะเช่นกัน ตราบใดที่ข้าสังหารอีกฝ่ายได้ ข้าถึงจะได้รับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ” จาโหลหลัวยืนมือไพล่หลัง เสื้อคลุมสีดำปลิวไปตามสายลม ความเย็นเยียบวูบไหวในดวงตา

“หวังว่าคนที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะจะไม่อ่อนแอเกินไป ไม่งั้นคงจะน่าเบื่อจริงๆ ร่างเทพสุริยะของข้าต้องการเลือดสดของเจ้ามาสังเวย”

จาโหลหลัวส่ายหน้าแบบไม่แยแส ก่อนจะก้าวออกไป มิติสั่นสะท้านร่างเขาก็หายไป

เสาทองคำทะยานขึ้นสู้ท้องฟ้าจากประตูมังกรทะยานสวรรค์ราวกับทะลุผ่านฟ้าดินและมีมังกรตัวใหญ่ขดอยู่รอบๆ ส่งเสียงคำรามของมังกรสะเทือนไปทั่วปฐพี

ผู้คนตกตะลึงเมื่อมองฉากนี้ จากนั้นก็ฟื้นจากความตกใจขึ้นมาพลางอุทานลั่น

“นั่นคือเสามังกรทองคำใช่ไหม?”

“เป็นไปได้ยังไง?! มู่เฉินได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำเรอะ?!”

“แม้แต่ซูชิงหยิงยังทำไม่สำเร็จ มู่เฉินที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าทำได้อย่างไร?”

“เขาเป็นสัตว์ประหลาดแท้จริง!”

“…”

เสียงอุทานดังลั่น ทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้านี้ การระเบิดนี้น่ากลัวเกินไปในสายตาพวกเขา

ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะทำในสิ่งที่ซูชิงหยิงทำไม่สำเร็จได้

ฉินจิงเจ๋อ หลิ่วกุย หวังทงเสียนรวมทั้งจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัวก็มีสีหน้าแข็งทื่อ ความไม่เชื่อพล่านไปทั่วดวงตา

เมื่อพิจารณาจากพลังภายนอกพวกเขาไปไกลกว่ามู่เฉินหลายขุม โดยเฉพาะฉินจิงเจ๋อซึ่งมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด แต่ก็ได้รับการประเมินเป็นศิษย์ระดับเจียวทองคำเท่านั้น

พวกเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่ซูชิงหยิง ขณะนี้หญิงสาวกำหมัดแน่น ความตกตะลึงฉายบนใบหน้า

นางผ่านมาแล้วดังนั้นจึงรู้เกี่ยวกับการทดสอบของประตูและรู้ว่าศิษย์ระดับมังกรทองคำยากแค่ไหน แม้แต่นางก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับ แต่สุดท้ายนางไม่เต็มใจที่จะยอมสูญเสีย ดังนั้นจึงเลือกถอยกลับรับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรเขียวแทน

ทว่านางไม่คิดว่ามู่เฉินจะนำหน้านาง ได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำไป

นั่นหมายความว่ามู่เฉินต้องมีไพ่ตายทรงพลังที่สามารถเผชิญหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้!

“เจ้านั่น!” ซูชิงหยิงกัดฟัดกรอด ครั้งนี้นางมองพลาดไป ตอนแรกนางคิดว่าจะเป็นหญิงสาวอ่อนวัยที่น่ากลัวที่สุด แต่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะน่าเกรงขามเช่นกัน

“เขาได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำจริงๆ”

ขณะที่ทุกคนตกตะลึง หลินจิ้งก็เงยหน้าหัวเราะคิกคัก ท่าทางไม่ได้ดูแปลกใจ เพราะแม้แต่มารดาของนางก็ยังประเมินผู้ชายคนนี้ไว้สูงมาก ดังนั้นหลินจิ้งจึงไม่เชื่อว่าแค่ป้ายมังกรทองคำจะทำให้เขาล้มเหลวได้

จิ่วโยวยิ้มพลางพยักหน้าไม่มีความแปลกใจเช่นกัน

ที่ด้านหลังพวกนางเหล่าจอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือก็อึ้งกิมกี่ราวกับว่าเห็นผี แม้พวกเขาจะรู้ว่ามู่เฉินมีไพ่ตายเต็มแขนเสื้อ แต่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ

เฉวียนหมิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ใบหน้าแข็งทื่อไป หากมู่เฉินได้ตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำด้วยความสามารถที่มี นั่นก็หมายความว่าเขาซ่อนความสามารถไว้ลึกและความแข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏภายนอก

ความจริงนี้ทำให้เขาแตกเหงื่อพลั่ก ก่อนหน้าเขายังต้องการจะเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยนี้ แต่ตอนนั้นมู่เฉินไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะแข่งขัน มิฉะนั้นขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดที่มีคงไม่พอแน่

ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน แสงสีทองบนท้องฟ้าก็คงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆ จางลง เผยให้เห็นภาพเงาของมู่เฉินและรังสีสีทองควบแน่นเป็นป้ายทองคำโบราณเบื้องหน้า

มู่เฉินมองไปที่ป้ายมังกรทองคำก็คลี่ยิ้มก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ ภายใต้สายตาที่กวาดผ่าน ทุกคนก็บ่ายหน้าหลบไม่กล้ามองตรงๆ ที่เขาอีกแล้ว

ฉากนี้บ่งบอกทุกคนว่ามู่เฉินเป็นพวกพยัคฆ์ซ่อน พลังที่เขาครอบครองน่าสะพรึงพอที่จะต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังขั้นเก้าระยะเต็มด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงระยะปลายเลย

ในโลกนี้พลังคือสิ่งที่ได้รับการเคารพเสมอ

ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะดูหมิ่นมู่เฉินที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าอีกแล้ว

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้ความใส่ใจเกี่ยวกับความคิดของผู้คน เขายังไม่ได้เปิดใช้งานป้ายมังกรทองคำกลับมองไปหาหลินจิ้งและจิ่วโยวและพยักหน้าให้พวกนาง

หญิงสาวทั้งสองพยักหน้า พุ่งตัวออกมาในเวลาเดียวกัน ทะยานเข้าสู่ประตูมังกรทะยานสวรรค์

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1120 รูปแบบการต่อสู้เชอหลุนจั้น
โฮก!

ค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบลานประลอง ก่อนที่มังกรตัวมหึมาจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่ใจกลางค่ายกล มังกรสถิตอยู่ในค่ายกลพร้อมกับพายุคลื่นหลิงที่ครอบงำกวาดออกไปเมื่อเกิดการหายใจ

มังกรนี้มีสีเหลืองเข้ม ไม่มีสติปัญญาใดๆ ในดวงตา แต่กลับแผ่กระจายด้วยคลื่นหลิงทรงพลังออกมา มู่เฉินสามารถสัมผัสพลังนี้ได้ถึงความผันผวนของระลอกคลื่นหลิง

นั่นคือขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม!

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลัง มู่เฉินก็โล่งใจมาก ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารสมกับเป็นค่ายกลระดับจงซือ แม้ว่าจะอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ แต่พลังที่สามารถปลดปล่อยออกมาก็ยังคงน่าตกใจอย่างยิ่ง

ตามการคาดเดาของมู่เฉินหากค่ายกลสามารถเปิดใช้งานได้แบบสมบูรณ์ ก็อาจจะสามารถเรียกมังกรระดับนี้ได้ถึงสามหรือสี่ตัว แต่เวลานี้เขายังทำถึงขนาดนั้นไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกพอใจที่สามารถสร้างมังกรได้แม้จะเป็นตัวเดียวก็ตาม

“ถ้าค่ายกลสมบูรณ์แบบ ก็จะมีมังกรขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มเก้าตัว บวกกับการประสานพลังจากค่ายกล แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ยังต้องปวดหัวเมื่อจัดการ!” รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของมู่เฉิน ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารพิเศษจริงๆ

หลังจากเรียกมังกรมหึมาออกมาได้ มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองศิษย์ระดับมังกรทองคำพูดว่า “ชี้แนะด้วย”

สีหน้าของศิษย์ระดับมังกรทองคำเคร่งเครียดลงหลายส่วน เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของค่ายกล

“ตามที่ขอ”

หอกยาววาดขึ้นชี้ไปที่มังกร เงาร่างเขากลายเป็นแสงสีดำในพริบตาก็พุ่งเข้าไปในค่ายกล รังสีแสงขนาดหมื่นจั้งระเบิดออกพร้อมกับหอกซัดไปที่มังกร

โฮก!

มังกรคำรามกระโจนออกไปอย่างไม่เกรงกลัวพร้อมกับกระแสคลื่นหลิงรุนแรงกวาดออก พุ่งไปหาศิษย์ระดับมังกรทองคำ

ตู้ม!

พลังงานสองสายปะทะกันเกิดเสียงกัมปนาทดังกึกก้อง คลื่นหลิงป่าเถื่อนกวาดออก ทำให้มิติแปรปรวนตลอดเวลา

มู่เฉินมองการเผชิญหน้านี้ด้วยความหนักใจและตระหนักได้ว่าเขาประเมินความแข็งแกร่งของศิษย์ระดับมังกรทองคำต่ำเกินไป แม้จะมีมังกรของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารช่วยเหลือ ซึ่งคล้ายกับการมีองครักษ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม แต่ศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ยังได้เปรียบกว่า

ในทางกลับกันหากมู่เฉินไม่เทคลื่นหลิงให้มังกรตัวนั้นอย่างต่อเนื่อง ไม่นานมันก็คงถูกศิษย์ระดับมังกรทองคำแทงทะลุไป

“สมกับเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำ”

มู่เฉินถอนหายใจ จากนั้นก็กระแทกฝ่าเท้า สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนพรั่งพรูสายผนึกออกมาก่อร่างเป็นค่ายกลวงจรดาวสวรรค์!

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ดวงดาวพริบพราวก่อนที่จะตกใส่ร่างศิษย์ระดับมังกรทองคำ!

ตู้ม!

เมื่อฝนดวงดาวร่วงหล่นลงมา ศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ต้องชะลอการโจมตีมังกร ก่อนจะทำให้ฝนดวงดาวเหล่านั้นแตกสลาย

ดังนั้นภายใต้การโจมตีของมู่เฉิน ศิษย์มังกรทองคำต้องทนต้านรับการโจมตีจากทั้งมังกรและค่ายกลอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์เข้าสู่ทางตัน

มู่เฉินมองศิษย์ระดับมังกรทองคำที่ถูกดักเอาไว้ สายตาก็วูบไหวพลางนั่งลงก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ของเหลวจื้อจุนอีกสายไหลเวียนรอบร่าง

เมื่อพิจารณาจากจำนวนแล้ว นี่คือของเหลวจื้อจุนอย่างน้อยหนึ่งล้านหยด

“อึดจริงๆ! ข้าคงต้องใช้กลเม็ดสักหน่อยแล้ว”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองศิษย์ระดับมังกรทองคำก่อนจะยิ้มบาง ตราประทับเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ สัญลักษณ์หลิงยิ่งก็กวาดออกมาอีกครั้ง

ขณะที่มู่เฉินเริ่มหมดพลังในการควบแน่นสัญลักษณ์หลิงยิ่ง ของเหลวจื้อจุนรอบตัวก็เติมเต็มเข้าไปในร่างกายเพื่อลดทอนความเหนื่อยล้า

เมื่อสัญลักษณ์หลิงยิ่งแผ่ออก ค่ายกลขนาดใหญ่ก็ก่อร่างขึ้นช้าๆ นี่ก็คือค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารอีกค่ายกลหนึ่ง!

แต่ค่ายกลที่สองนี้ใช้เวลานานกว่าเนื่องจากต้องอาศัยพลังงานภายนอก ดังนั้นจึงใช้เวลาในการสร้างเป็นสองเท่า

เมื่อค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารค่ายกลที่สองสร้างขึ้นเรียบร้อย มังกรในค่ายกลแรกก็หดลงเหลือครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าได้รับความเสียหายจากการต่อสู้กับศิษย์ระดับมังกรทองคำ

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ดวงตาก็กะพริบวูบไหวก่อนที่มังกรจะคำรามกระโจนเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย ทันทีที่ปะทะกับร่างศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ระเบิดตัวเอง

ตู้ม!

คลื่นกระแทกป่าเถื่อนกวาดออก ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารค่ายกลแรกถูกทำลาย ส่วนร่างศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ได้รับความเสียหายมาก คลื่นหลิงที่ทรงพลังรอบตัวอ่อนแอลงอย่างมาก

แต่ก่อนที่ศิษย์ระดับมังกรทองคำจะฟื้นตัว ก็ได้ยินเสียงมังกรคำรามอีกเสียง มังกรจากค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สองพุ่งเข้าใส่ศิษย์ระดับมังกรทองคำอย่างดุเดือด!

เมื่อมองการพุ่งเข้าใส่ของมังกร ใบหน้าของศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ตะลึงงันไป เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องเจอกับผู้ท้าทายที่หน้าด้านขนาดนี้…

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินคิดจะใช้รูปแบบการต่อสู้แบบเชอหลุนจั้นเพื่อให้เขาเหนื่อยตาย!

เผชิญหน้ากับกลยุทธ์แบบนี้ ต่อให้เขามีพลังในการต่อสู้ไม่ธรรมดา สุดท้ายก็จะหมดแรงไปเองอย่างสมบูรณ์ ส่วนมู่เฉินเพียงแค่เติมของเหลวจื้อจุนให้ตัวเองก็สามารถสร้างค่ายกลออกมาไม่สิ้นสุด!

ภายใต้สถานการณ์ต่อสู้เช่นนี้ ไม่มีใครสามารถไปรบกวนมู่เฉินได้เลย

ดังนั้นการต่อสู้ที่ยากลำบากเลยกลายเป็นขบขัน ในฐานะผู้ท้าชิงมู่เฉินไม่คิดจะเสี่ยงชีวิต กลับซ่อนตัวอยู่ไกลๆ และจัดค่ายกลขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

เขาไม่สามารถควบคุมค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารสองค่ายกลได้พร้อมกัน ดังนั้นเขาจะควบคุมค่ายกลที่สองได้หลังจากที่ค่ายกลแรกถูกทำลาย

ทว่าแม้กลยุทธ์นี้จะเป็นการชกใต้เข็มขัด แต่ก็ยังอยู่ในกฎที่วางไว้ ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ถูกยับยั้งไม่ให้ทำ เมื่อเวลาผ่านไปคลื่นหลิงรอบร่างศิษย์ระดับมังกรทองคำก็อ่อนลงเรื่อยๆ

เมื่อมังกรตัวที่สี่ระเบิดออก ร่างศิษย์ระดับมังกรทองคำก็แตกร้าว แสงซึมออกมาจากรอยแตกเหล่านั้น

เมื่อมู่เฉินที่เหงื่อท่วมตัวเห็นฉากนี้ก็อดรู้สึกโล่งใจไม่ได้ เนื่องจากมือของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะความอ่อนเพลียที่เกิดขึ้นจากการที่เขาสร้างค่ายกลซ้อนกันขึ้นมาตลอดเวลา

เวลานี้เขารู้สึกเวียนหัวไปหมดแล้ว ท้ายที่สุดแล้วการสร้างค่ายกลที่ซับซ้อนจำนวนมาก ไม่เพียงแต่ทำให้คลื่นหลิงหมดลงเท่านั้น หากเขาหมดแรงเกินไปก็จะหมดลมแน่นอน

“ขอโทษด้วย”

มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อสลายค่ายกลที่จัดเตรียมได้ครึ่งหนึ่งออกไป ศิษย์ระดับมังกรทองคำในสภาพเช่นนี้ชัดว่าหมดแรงแล้ว ไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป

ถึงตอนนี้การท้ามายของเขาถือว่าประสบผลแล้ว

ตอนนี้มู่เฉินตระหนักได้ว่าซูชิงหยิงน่าจะมีสิทธิ์ในการรับป้ายมังกรทองคำ ทว่าราคาแพงระยับที่ต้องจ่ายคือการบาดเจ็บล้มตายของแมลงวิญญาณจำนวนมาก ซึ่งนางไม่เต็มใจที่จะทำแบบนั้น

ศิษย์ระดับมังกรทองคำประสานมือให้มู่เฉินกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีที่ได้เป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำของวังสวรรค์บรรพกาล”

ภาพเงาของศิษย์ระดับมังกรทองคำกระจายเป็นจุดแสง ป้ายโบราณถูกควบแน่นที่เบื้องหน้ามู่เฉิน

บนป้ายมีมังกรทองขดตัวอยู่ ปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลัง

ป้ายมังกรทองคำ!

ฮา!

มู่เฉินมองไปที่ป้ายทองอร่ามก็รู้สึกว่าร่างกายเป็นอัมพาต เขาทรุดตัวลงกล้ามเนื้อเจ็บปวดรวดร้าว สั่นระริกไปหมด การสร้างค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารออกมาเป็นชุดแบบนี้ เกินพลังเขาอย่างชัดเจน

นอกจากนี้เขายังใช้ของเหลวจื้อจุนไปถึงสามล้านหยด

แต่ก็คุ้มค่ากับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ

เมื่อมู่เฉินทรุดตัวลง มิติก็ผันผวน จากนั้นแสงสายหนึ่งก็ห่อหุ้มร่างมู่เฉินพาเขาออกจากมิตินี้ไป

มู่เฉินรู้ว่าในที่สุดการทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็จบลงแล้ว

ด้านนอกประตูมังกรทะยานสวรรค์

ทั่วบริเวณตกอยู่ในความสับสน แต่คราวนี้ผู้คนมองไปที่ประตูด้วยความประหลาดใจ เมื่อพวกเขาตระหนักว่ามู่เฉินใช้เวลานานเกินไปแล้ว

ซึ่งเกินกว่าทุกคนก่อนหน้า

นี่ทำให้พวกเขาประหลาดใจและสงสัยอย่างยิ่ง มู่เฉินไปเจออะไรในนั้นถึงได้ใช้เวลานานขนาดนี้? แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเดาอย่างไรก็ไม่เคยคิดว่ามู่เฉินกำลังท้าทายศิษย์ระดับมังกรทองคำอยู่…

มีเพียงซูชิงหยิงที่มุ่นคิ้วขึ้นทีละน้อย รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ขณะที่ทุกคนคาดเดาในใจ ประตูก็เกิดการเคลื่อนไหวในที่สุด ประกายแวววาวพร่างพราวออกมาก่อเป็นร่างสูงโปร่ง

ร่างนี้ก็คือมู่เฉิน

แต่เมื่อพวกเขากวาดสายตาไปที่มู่เฉินก็ต้องหดดวงตาลงทันที เนื่องจากพวกเขาเห็นเสาสีทองขนาดใหญ่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากร่างของมู่เฉิน ฉีกขาดฟ้าดิน

มีมังกรทองพันอยู่รอบเสา

เสียงวุ่นวายหยุดลงทันที ใบหน้าผู้คนแข็งทื่อ จากนั้นไม่นานความไม่เชื่อเข้มข้นและหวาดผวาก็ผุดขึ้นในดวงตา

“นั่น…นั่นศิษย์ระดับมังกรทองคำ? เป็นไปได้อย่างไร?!”

**车轮战 อ่านว่าเชอหลุนจั้น หมายถึงการต่อสู้แบบหลายคนผลัดขึ้นสู้กับคนคนเดียว หรือหลายกลุ่มปะทะคนกลุ่มเดียวเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามแพ้เพราะความเหนื่อย

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1119 บรรลุ
ความแข็งกระด้างของรูปปั้นลดลงอย่างรวดเร็ว

ในช่วงเวลาไม่กี่ลมหายใจก็เผยให้เห็นภาพเงาสีดำถือหอกยาวสีดำที่มีลวดลายโบราณสลักอยู่ที่ส่วนปลาย ทำให้มีมิติสั่นสะเทือนไปด้วยเกลียวแสง

ร่างนั้นยืนอยู่เหนือเสาหินอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียว แต่มีรัศมีข่มขวัญพล่านออกมา

มู่เฉินสัมผัสได้ถึงรัศมีครอบงำที่ตื่นขึ้น มุมหางตาของเขากระตุกไม่หยุด นี่คือศิษย์ระดับมังกรทอง? น่าเกรงขามอย่างแท้จริง จากการประเมินรัศมีที่อีกฝ่ายมีน่าจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มเรียบร้อยแล้ว

อีกก้าวเดียวก็จะได้ชื่อว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน!

มู่เฉินกำหมัดอย่างช้าๆ ในแขนเสื้อพร้อมกับท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน เขารู้สึกว่ารูขุมขนทั่วสรรพางค์กายลุกซู่ ผิวหนังก็ตึงแน่น ร่างกายอยู่ในสภาวะตื่นตัวอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินรู้สึกว่าถูกคุกคามอย่างมากจากศิษย์ระดับมังกรทองคำคนนี้

“ขั้นเก้าระยะเต็ม…”

มู่เฉินถอนหายใจ เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับนี้แม้แต่ตัวเขาก็พบว่ายากที่จะรับมือ แต่โชคดีที่เขาไม่ใช่ทำอะไรไม่ได้…

“ดูท่าจะถึงเวลาลองค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารซะหน่อยแล้ว…”

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบวูบไหว แม้ว่าค่ายกลนี้จะไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นค่ายกลระดับจงซือ หากเขาสามารถสร้างได้ก็น่าจะต่อกรกับจอมยุทธ์ระดับนี้ได้

ทว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดเรียง แม้จะศึกษามาเป็นเวลานาน แต่เขาก็ล้มเหลวหลายครั้งยังไม่ประสบความสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว

ถึงกระนั้นเขาก็ค่อยๆ ปรับแต่งข้อบกพร่องให้สมบูรณ์และลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ตามการคาดการณ์ตราบใดที่คลื่นหลิงในร่างกายหนาแน่นขึ้นอีกนิด เขาก็มีความมั่นใจที่จะจัดเรียงค่ายกลนี้

วิธีเดียวที่จะเพิ่มคลื่นหลิงในร่างก็คือบรรลุขุมพลัง ถ้าสำหรับคนอื่นอาจต้องการค้นหาโอกาสสะสมไปเรื่อยๆ แต่สำหรับมู่เฉินในตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว…

ย้อนกลับไปที่มหาสมุทรเทพสร้าง เขาก็สามารถบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้แล้ว ทว่าตัวเขาพยายามยับยั้งพลังเอาไว้อย่างรุนแรง เนื่องจากเขาต้องการสร้างรากฐานให้มั่นคงก่อน

แต่ตอนนี้… ถึงเวลาที่จะบรรลุอีกครั้งแล้ว

ใบหน้าสงบนิ่ง มู่เฉินก็สูดหายใจลึกแล้วสะบัดมือ ของเหลวจื้อจุนมหาศาลกวาดออกล้อมรอบร่างเข้าไว้ เติมเต็มมิตินี้ด้วยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต

ขณะที่หายใจหมอกสีขาวก็ลอยขึ้นแรงดูดพุ่งออกมา ของเหลวจื้อจุนไร้ขอบเขตแยกออกเป็นสาย เข้าสู่ร่างมู่เฉินจากทางปากและจมูก

ที่เบื้องหลังมิติผันผวน จุดจื้อจุนไห่ปรากฏเลือนราง เหมือนจะเห็นท้องฟ้าแตกออก คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตพรั่งพรูเข้าสู่ทะเลพลัง

มู่เฉินตัดสินใจที่จะบรรลุขั้นเก้าที่นี่!

ศิษย์ระดับมังกรทองคำที่ค่อยๆ ตื่นขึ้นบนเสา ก็กระชับหอกสีดำแน่น ดวงตานิ่งไม่ไหวติง เนื่องจากไม่รู้สึกถึงรัศมีการสู้จากมู่เฉิน ดังนั้นจึงเลือกที่จะไม่ขยับ

เพราะสุดท้ายประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็มีไว้เพื่อทดสอบศักยภาพของศิษย์ ดังนั้นหากศิษย์คนใดเลือกที่จะบรรลุที่นี่ ตามกฎประตูก็จะไม่รบกวนแต่จะปกป้องแทนด้วยซ้ำ

มู่เฉินรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้ดี ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพัฒนาขุมพลังที่นี่

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ของเหลวจื้อจุนที่ห้อมล้อมร่างมู่เฉินก็เบาบางลง เนื่องจากคลื่นหลิงภายในได้รับดูดซับโดยมู่เฉินอย่างสมบูรณ์

ระดับน้ำของทะเลพลังในจุดจื้อจุนไห่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งกว่านั้นทะเลพลังยังดูลึกซึ้งยิ่งขึ้น พร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกกลิ้งผ่านไปมา

ในเวลาเดียวกันแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากร่างกายของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง

ประมาณสิบกว่านาทีต่อมา ของเหลวจื้อจุนหยดสุดท้ายก็ถูกดูดซับไป ทั้งมิติเงียบงันลงโดยมีเพียงมู่เฉินที่ยืนนิ่งราวกับหินผาโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

ทะเลพลังที่อยู่ข้างหลังก็หายไป มู่เฉินดูสงบนิ่งไม่มีระลอกคลื่นเปล่งออกมาแม้แต่น้อย

แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะมา ดังนั้นหลังจากความเงียบดำเนินไปประมาณสิบกว่าลมหายใจ ดวงตาปิดสนิทของมู่เฉินก็เบิกโพลง

ตู้ม!

แสงหลิงพุ่งออกมาจากดวงตาของมู่เฉินพร้อมกับคลื่นกระแทกไร้ขอบเขตกวาดออก ทำให้มิติสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับฟ้าคำรน

แรงกดดันทรงพลังของคลื่นหลิงกระจายออกไปโดยมีมู่เฉินอยู่ตรงกลาง

มู่เฉินค่อยๆ กำกำปั้นแน่น รับรู้ถึงคลื่นหลิงทรงพลังกลิ้งตัวไปมาอยู่ในร่างกายพร้อมกับรอยยิ้มพึงพอใจประดับที่มุมปาก

หลังจากยับยั้งคลื่นพลังในร่างไว้หลายเดือนในที่สุดเขาก็บรรลุสำเร็จ เข้าสู่ขอบเขตของระดับจื้อจุนขั้นเก้าอย่างแท้จริง!

แม้ว่าจะเป็นอีกครึ่งก้าว แต่ก็เป็นการเพิ่มที่ทรงประสิทธิภาพยอดเยี่ยมสำหรับมู่เฉิน

นั่นเป็นเพราะการบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าทำให้เขาสามารถใช้ทักษะที่ทรงพลังที่สุดของเขาได้… อย่างเช่นค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร

“เจ้าผู้ท้าชิงบรรลุเรียบร้อยแล้วหรือยัง?” ขณะที่มู่เฉินกำลังชื่นชมยินดีกับพลังที่เพิ่มขึ้น เสียงแผ่วเบาก็ดังก้องไปทั่ว

มู่เฉินอึ้งไปจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองเห็นศิษย์ระดับมังกรทองคำก้มหัวลงมองมา จอมยุทธ์คนนี้ดวงตาไม่ว่างเปล่าเหมือนคนอื่น มีสติปัญญาแฝงอยู่เล็กน้อย

ดูเหมือนศิษย์ระดับมังกรทองคำจะแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ

มู่เฉินประหลาดใจไปก่อนที่จะยิ้มแล้วพยักหน้า

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็เริ่มกันเลยเถอะ ตราบใดที่เจ้าประสบความสำเร็จก็จะได้เป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำที่มีตำแหน่งสูงของวังสวรรค์บรรพกาล หากล้มเหลวก็เป็นศิษย์ระดับมังกรขาวไป” ศิษย์ระดับมังกรทองคำชี้ปลายหอกมาที่มู่เฉิน แม้จะอยู่ในระยะไกลมู่เฉินก็ยังสัมผัสได้ถึงความเย็นบนผิวหนัง

“ถ้าล้มเหลวไม่มีกระทั่งคุณสมบัติที่จะท้าประลองศิษย์ระดับมังกรเขียวรึ…” มู่เฉินพึมพำ ดูเหมือนว่าประตูมังกรทะยานสวรรค์จะไม่ใช่อาวุธมหสวรรค์ในอดีตอีกต่อไป มีข้อบกพร่องในกฎท้าทายดังกล่าว

แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก หากเขาไม่ได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ จะมังกรขาวหรือมังกรเขียวก็ไม่ต่างกันหรอก

แต่ตามความเห็นของเขาดูเหมือนว่ามีเพียงศิษย์ระดับมังกรทองคำเท่านั้นที่สามารถได้รับวิธีพัฒนาร่างเทพสุริยะ ดังนั้นเขาต้องพยายามเต็มที่เพื่อครอบครองตำแหน่งนี้

ด้วยความคิดนี้มู่เฉินก็ไม่ลังเล สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะวาดตราประทับขึ้นมา เกลียวแสงพุ่งออกมาพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งเข้มข้นนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกมารวมเข้ากับอากาศ

ท่าทางมู่เฉินเคร่งเครียดลงมาก ขณะกลั่นสัญลักษณ์หลิงยิ่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีจำนวนเกินขอบเขตค่ายกลระดับเทียนขั้นสูงที่สร้างก่อนหน้าแล้ว

ศิษย์ระดับมังกรทองคำยังยืนนิ่งอยู่บนเสาหินโดยไม่ได้เริ่มการโจมตี ตามกฎแล้วจะต้องรับกระบวนท่าโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้ท้าชิงก่อนจะประเมินขั้นสุดท้าย

การรอคอยของอีกฝ่ายให้เวลามู่เฉินอย่างเพียงพอในการเตรียมการ

เมื่อสัญลักษณ์หลิงยิ่งจำนวนมากบินฉวัดเฉวียนออกไปรัศมีหลายหมื่นจั้งก็เกิดความผันผวนพร้อมกับสายผนึกแผ่ซ่านออกมา ถักทอกันและกันกลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่

โครงสร้างค่ายกลค่อยๆ สมบูรณ์ เส้นสายแสงกลายเป็นสายผนึกที่หนาแน่นบัดนี้มู่เฉินบรรลุอีกระดับแล้ว หน้าผากของมู่เฉินปกคลุมด้วยเม็ดเหงื่อชื้น ตอนนี้เขาถึงได้พบว่างานนี้ต้องเสียพลังแค่ไหน

ถ้าเขาไม่ได้บรรลุขุมพลังก็คงเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างค่ายกลนี้ ไม่ว่าเขาจะศึกษาหรือทำความเข้าใจมานานแค่ไหนก็ตาม

ในมิตินี้ค่ายกลมหึมาถูกสร้างขึ้นเรื่อยๆ ความซับซ้อนและลึกซึ้งนั้นเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนที่ไม่เข้าใจศาสตร์ค่ายกลเลือดร้อนขึ้นมา

แม้แต่สายตาศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ยังเปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด กระทั่งอากาศครอบงำรอบตัวก็ยังถูกระงับ วงรัศมีหดลงมาเรื่อยๆ

เม็ดเหงื่อหยดลงมาจากหน้าผากมู่เฉินขณะที่ดวงตาจ้องไปที่ค่ายกลและจัดการอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าจะเกิดข้อผิดพลาดใดๆ หากเขาล้มเหลวก็จะไม่สามารถจัดเรียงค่ายกลใหม่ได้อีกในเวลาอันสั้น ซึ่งนั่นจะหมายถึงการท้าทายจบสิ้นลง

แต่โชคดีที่มู่เฉินเคยฝึกฝนหลายครั้งในอดีต ดังนั้นในที่สุดค่ายกลก็ก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ เอิบอาบไปด้วยแรงกดดันที่คลุมเครือ

มู่เฉินมองไปที่ค่ายกลที่กำลังก่อตัวก็ไม่ได้รู้สึกโล่งใจ เขาสะบัดแขนเสื้อแสงสีขาวหลายสายพุ่งเข้าไปในค่ายกล

มองทะลุผ่านแสงสีขาวก็จะเห็นว่านี่คือกระดูกมังกร!

กระดูกมังกรแต่ละชิ้นเปล่งพลังมังกร

ซึ่งกระดูกเหล่านี้จะเป็นใจกลางของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารนี้

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

เมื่อกระดูกมังกรเข้าสู่ค่ายกลก็เกิดการสั่นไหว แสงหลิงนับไม่ถ้วนแปรปรวน สุดท้ายมารวมตัวกันรุนแรงพุ่งไปยังกระดูกมังกร

โฮก!

แสงหลิงไร้ขอบเขตพุ่งทะยาน จากนั้นมู่เฉินก็เห็นว่าก่อร่างเป็นมังกรขนาดมหึมาที่น่ากลัวในค่ายกล

มู่เฉินมองไปที่มังกรก็รู้สึกโล่งอกพร้อมกับความสุขกระจายในนัยน์ตา

ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จในการสร้างค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1118 ค่ายกลวงจรดาวสวรรค์
“ศิษย์ระดับมังกรขาว…”

มู่เฉินมองไปที่รูปปั้นที่ตื่นขึ้น สายตาของเขาก็ค่อยๆ เคร่งเครียดลง แม้แต่ใบหน้าก็ตึงเครียดขึ้นพร้อมกับคลื่นหลิงทรงพลังพลุ่งพล่านอยู่รอบตัว มิติด้านหลังแปรปรวนก่อนที่จุดจื้อจุนไห่จะปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนราง

แม้ว่าป้ายมังกรขาวอยู่ต่ำสุดในบรรดาศิษย์ระดับมังกร แต่ความยากก็ไม่ต้องพูดถึง กระทั่งจอมยุทธ์ทรงพลังแบบฉินจิงเจ๋อก็เป็นแค่ศิษย์ระดับเจียวทองคำเท่านั้น ดังนั้นสามารถคาดการณ์ได้ว่าการท้าทายครั้งนี้ยากเพียงใด

ในวังสวรรค์บรรพกาลสถานะของศิษย์ระดับเจียวทองคำและมังกรขาวมีช่องว่างกว้างใหญ่ ตราบใดที่สามารถก้าวผ่านไปได้ก็จะได้รับการพิจารณาเป็นศิษย์ระดับมังกรที่สูงกว่าระดับเจียวทองคำหลายขุม ทรัพยากรที่จะได้รับคือความแตกต่างของฟ้ากับเหว

จากการประเมินของมู่เฉิน พลังของศิษย์ระดับมังกรขาวคนนี้น่าจะเกินกว่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายทั่วไป อาจสามารถสู้กับขั้นเก้าระยะเต็มได้เลยทีเดียว

นี่เป็นคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังอย่างแท้จริง

สายตามู่เฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขณะที่ดวงตาหลุบลง แต่มือที่อยู่ในแขนเสื้อวูบไหวอย่างเงียบๆ

ตู้ม!

เมื่อความคิดนี้หมุนเวียนในใจของมู่เฉิน ศิษย์ระดับมังกรขาวก็ตื่นขึ้นพร้อมกับรัศมีทรงพลังครอบงำกวาดออกมา ดาบยาวถือไว้ในมือ อากาศแหลมคมระเบิดออกทิ้งร่องรอยของใบมีดไว้ที่พื้นโดยรอบ

ศิษย์ระดับมังกรใช้ดวงตากลวงโบ๋จ้องมองมู่เฉินโดยไม่ลังเลใดๆ จากนั้นก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับนกยักษ์ ดาบยาวฟันลงมา

วาบ!

ใบมีดแสงสีดำราวกับกระแสน้ำครางกระหึ่มข้ามขอบฟ้า แบ่งพื้นที่ออกเป็นสองฝั่ง มิหนำซ้ำยังทิ้งรอยลึกไว้บนลานประลองที่แข็งแกร่ง

ใบมีดแสงสีดำขยายออกอย่างรวดเร็วในดวงตาของมู่เฉิน เขาไม่กล้าชะลอตัวกระแทกเท้าลงไป เรียกร่างเทพสุริยะพร้อมกับดวงตะวันแปดดวงลุกโชติช่วง

เกลียวแสงสีทองระเบิดควบแน่นเป็นกงล้ออีกครั้ง

ตึง!

ใบมีดแสงปะทะกับกงล้อ กงล้อก็หมุนคว้างพร้อมกับรัศมีที่ไร้ขอบเขตระเบิดออกมา ใบมีดแสงชะงักลงครู่หนึ่งก่อนที่จะหันกลับพุ่งไปหาศิษย์ระดับมังกรขาว

ทว่าศิษย์มังกรขาวกลับเฉือนดาบลงมาแบบสบาย หยุดยั้งการโจมตีที่พุ่งเข้ามา ดาบถูกกำแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ยกขึ้นเหนือศีรษะแล้วฟันลงมาอย่างหนักหน่วง

การเคลื่อนไหวดูเชื่องช้า แต่มิติก็ราวกับมหาสุมทรถูกฉีกออกภายใต้ใบมีด

ตู้ม!

ใบมีดสีดำขนาดหลายพันจั้งพุ่งออกมาราวกับมังกรดำเกรี้ยวกราดพร้อมกับการเคลื่อนไหวที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ อะไรก็ตามที่ขวางทางจะถูกทำลายทันที!

ใบมีดสีดำครอบงำปะทะกับกงล้ออีกครั้ง แต่คราวนี้กงล้อไม่สามารถสะท้อนพลังกลับไปได้ ในทางตรงข้ามแสงสีทองถูกดับลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

เศษสีทองกวาดมาที่เบื้องหลัง มู่เฉินมองไปที่ชิ้นส่วนเหล่านั้น ดวงตาก็หดแคบลง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นกงล้อแสงสวรรค์แตกออก นอกจากนี้ยังแหลกเหลวไม่มีชิ้นดีด้วยวิธีสุดโหดอีกด้วย!

พลังที่อยู่เบื้องหลังใบมีดเกินขีดจำกัดสูงสุดของกงล้อ ดังนั้นจึงทำให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

แม้ว่าการป้องกันของกงล้อแสงสวรรค์จะสมบูรณ์แบบ แต่ก็มีข้อจำกัด…

ศิษย์ระดับมังกรขาวยืนนิ่งอยู่ในอากาศพร้อมสายตาว่างเปล่า ก้มหน้าลงมองไปที่มู่เฉินบนร่างเทพสุริยะ ก่อนที่จะยกดาบในมือขึ้นอีกครั้ง เมื่อแสงสีดำควบแน่นก็เฉือนลงมา!

วาบ! วาบ!

หากการเคลื่อนไหวก่อนหน้าเชื่องช้า ครั้งนี้ก็ราวกับสายฟ้าฟาด

ดาบพุ่งเข้ามาพร้อมกับใบมีดสีดำนับไม่ถ้วนตกลงมาราวกับพายุฝนห่อหุ้มรัศมีหมื่นจั้งรอบตัวมู่เฉิน ปิดเส้นทางหลบหนีทั้งหมด

มู่เฉินสูดหายใจลึก จากนั้นก็แตะเท้าลงบนพื้นถอยกลับอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อสัญลักษณ์หลิงยิ่งพุ่งออกมาหลอมรวมเข้ากับท้องฟ้าราวกับห่าฝน

เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวเช่นนี้ ด้วยขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าของมู่เฉินชัดว่ายากในการต่อกร ดังนั้นเขาจึงเลิกใช้ขุมพลังหลิงตัดสินใจใช้ค่ายกลแทน

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

สัญลักษณ์หลิงยิ่งรวมกันเป็นสายผนึกอยู่ในมิติเชื่อมโยงกันและกัน ก่อร่างเป็นค่ายกลมากมาย นั่นเป็นค่ายกลป้องกันอย่างน้อยสิบกว่าค่ายกลที่สามารถสกัดการโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดได้

ปัง! ปัง!

ใบมีดกวาดเข้ามาปะทะกับค่ายกล ทำให้ค่ายกลพังทลายลงเป็นชั้นๆ อย่างรวดเร็ว ใบมีดเสือกแทงเข้าไปค้นหาเป้าหมาย

หลายสิบลมหายใจค่ายกลป้องกันชั้นสุดท้ายก็แตกสลาย เผยให้เห็นภาพเงาของมู่เฉิน

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองร่างกลางอากาศพลางถอนหายใจพูดว่า “ศิษย์ระดับมังกรขาวสมชื่อเสียงแท้จริง”

แม้กระทั่งฉินจิงเอ๋อยังต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำลายค่ายกลของเขา แต่ต่อหน้าศิษย์ระดับมังกรขาวกลับถูกทำลายอย่างรวดเร็ว

“แม้แต่ค่ายกลระดับเทียนขั้นต่ำก็หยุดเจ้าไม่ได้…”

มู่เฉินหรี่ตาลงจากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นแสงหลิงพร่างพราวก็กวาดออกมาจากแขนเสื้อเขา ก่อร่างเป็นสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับพันนับหมื่นพรั่งพรูออกมา

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าก็ขอใช้เจ้าทดสอบพลังของค่ายกลระดับเทียนขั้นสูงซะหน่อยเถอะ”

มู่เฉินยิ้มขณะที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งควบรวมกันในชั้นบรรยากาศ เกลียวแสงแวววาวระเบิดออกมาขณะเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นค่ายกลขนาดหมื่นจั้ง ปรากฏรอบตัวมู่เฉิน ห่อหุ้มร่างศิษย์มังกรขาวเอาไว้ภายใน

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองค่ายกลขนาดใหญ่ที่เหมือนทางช้างเผือกก่อนจะเบนสายตาไปยังร่างศิษย์ระดับมังกรขาว แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่มีสติปัญญา แต่เขาก็ยังส่งรอยยิ้มให้กล่าวว่า “นี่คือค่ายกลระดับเทียนขั้นสูง ค่ายกลวงจรดาวสวรรค์ โปรดชี้แนะด้วย”

ค่ายกลวงจรดาวสวรรค์ ก็คือค่ายกลที่มั่นถัวหลัวจัดหามาให้ ซึ่งถือเป็นค่ายกลระดับสูงสุดที่เขามีในตอนนี้

จากการคาดเดา ค่ายกลระดับเทียนขั้นสูงสามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดได้เลยทีเดียว กระทั่งขั้นเก้าระยะเต็มก็บาดเจ็บหนักได้หากประมาท

แม้ว่าศิษย์ระดับมังกรขาวจะไม่มีสติปัญญา แต่ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความสยองเกล้าจากค่ายกลนี้ ทันใดนั้นร่างกายเขาก็เกร็งแน่น มือกระชับดาบสีดำแน่นเข้าไปอีก

ฮึ่ม!

แสงดาบสีดำระเบิดออก เกลียวแสงสีดำที่มีพลังล้างโลกพุ่งออกมาทำลายมิติ

ทันใดนั้นค่ายกลก็หมุนคว้างบนท้องฟ้า ท้องฟ้าในค่ายกลเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าทางช้างเผือกพร้อมกับดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วนแขวนอยู่สูง ส่องแสงสุกใสในค่ายกลทำให้ดูไม่สามารถทำลายได้

บนท้องฟ้าสูง ดวงดาวสั่นไหว ทันใดนั้นแสงดาวควบรวม ดวงดาวก็หล่นลงมากลายเป็นแสงดาวขนาดพันจั้งพุ่งไปที่ศิษย์มังกรขาว

นั่นราวกับมีดวงดาวจริงๆ พุ่งลงมา

พลังที่บีบกดลงมาสามารถทำลายจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดเลยทีเดียว

ศิษย์ระดับมังกรขาวเงยหน้าขึ้น ค่อยๆ ยกดาบยาวสีดำขึ้นพร้อมกับแสงสีดำควบแน่นอย่างรุนแรงที่ขอบดาบ ราวกับหลุมดำก็มิปาน

ตู้ม!

ดวงดาวปรากฏขึ้นเหนือร่างศิษย์มังกรขาว

วาบ!

ดาบดำในมือเขาก็ซัดลง หลุมดำขยายออกราวกับกรามไร้ก้น

ชี่!

พลังงานสองสายปะทะกันอย่างเงียบๆ แสงสีดำพร้อมกับหลุมดำเฉือนดวงดาวออกจากกัน

แต่เมื่อดวงดาวถูกทำลาย แสงสีดำก็จางลงไปเล็กน้อย

เมื่อดวงดาวถูกทำลาย มู่เฉินก็ยังคงสงบนิ่ง พลางกล่าวชื่นชมเสียงเบา “สมกับเป็นศิษย์ระดับมังกรขาว”

พลังของดวงดาวสามารถสังหารได้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดทั่วไปได้ แต่กลับถูกศิษย์ระดับมังกรขาวเฉือนเอาได้

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ขณะที่ชื่นชมเสร็จ ดวงดาวหลายดวงก็เคลื่อนไหว ก่อนที่จะพุ่งลงมาใส่ร่างศิษย์มังกรขาว

ครั้งนี้มีถึงสี่ดวง!

ค่ายวงจรดาวสวรรค์สามารถกระตุ้นให้ดาวร่วงหล่นลงมาแล้วยิงไปยังกับดักที่วางไว้ พลังการทำลายนั้นสร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่เป็นเป้าหมายได้

ครืน!

ดาวสี่ดวงพุ่งลงมา ศิษย์ระดับมังกรขาวก็ยกดาบขึ้นด้วยสีหน้าไม่แยแส หลุมดำที่ขอบดาบขยายพื้นที่ว่างเปล่าและผันผวนมากขึ้น ก่อนที่จะเฉือนเข้าใส่ดวงดาว

ชี่! ชี่! ชี่!

ดาบส่งเสียงหวีดหวิวเฉือนดวงดาวออกจากกัน มู่เฉินเฝ้าดูสิ่งนี้ด้วยสีหน้าสงบ เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าหลุมดำเริ่มจางลง เมื่อศิษย์ระดับมังกรขาวเฉือนดาวดวงที่สามออกจากกัน

“ขออภัยที่ใช้กลในการต่อสู้ครั้งนี้นะ”

มู่เฉินพูดเบาๆ ชี้นิ้วออกมา ทันใดนั้นดาวดวงที่สี่ก็ปรากฏขึ้นด้านหลังศิษย์ระดับมังกรขาวและพุ่งเข้าหา

ศิษย์มังกรขาวฟันลงไปอีกครั้ง แต่คราวนี้หลุมดำสั่นคลอนแล้วระเบิดภายใต้ดาวดวงที่สี่

ปัง!

หลุมดำแตกสลายทำให้ดาบสีดำแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ร่างศิษย์ระดับมังกรขาวก็สลายเป็นจุดแสง

มู่เฉินมองไปที่ศิษย์ระดับมังกรขาวที่กำลังจางหายไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เนื่องจากเขารู้ว่าไม่ยุติธรรมที่เอาชนะด้วยค่ายกล เพราะศิษย์ระดับมังกรขาวไม่มีสติปัญญา ดังนั้นเขาจึงสามารถดักจับเอาไว้ในค่ายกลได้อย่างง่ายดาย ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ใช่เรื่องง่าย

“แค่ศิษย์มังกรขาวก็หืดจับแล้ว…”

มู่เฉินหลุบตา แค่ศิษย์ระดับมังกรขาวก็บีบให้เขาต้องใช้ค่ายกลวงจรดาวสวรรค์ ถ้าสถานการณ์ดำเนินต่อไปจะยากแค่ไหน?

มู่เฉินค่อยๆ กำหมัดแน่น ดูเหมือนว่า…ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องบรรลุอีกครั้ง มิฉะนั้นการท้าทายจะหยุดลงที่นี่

ขณะที่ความคิดนี้เกิดขึ้นในใจ ลานประลองก็สั่นสะท้านอีกครั้ง จากนั้นมู่เฉินก็หดดวงตาลง อากาศที่ครอบงำระเบิดออกจากเสาแรก รูปปั้นนั้นก็ค่อยๆ ตื่นขึ้น

รูปปั้นนั้นมีภาพมังกรทองทะยาน

มู่เฉินเม้มปากขณะสายตาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขีดสุด

ประตูมังกรทะยานสวรรค์…ให้สิทธ์เขาในการท้าทายศิษย์ระดับมังกรทองแล้ว!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1117 สิทธิ์การท้าทาย
เมื่อซูชิงหยิงมองไปที่หลินจิ้ง

ทุกสายตาก็เลื่อนตามมา ตอนนี้จอมยุทธ์มีชื่อเสียงทั้งหมดที่นี่ทดสอบแล้ว ยกเว้นพวกมู่เฉิน…

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดซูชิงหยิง เขาก็บอกได้ว่านางพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่หลินจิ้ง

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจเกินไป เขามองไปที่ประตูมังกรทะยานสวรรค์ที่เจิดจ้าพลางสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะก้าวไปข้างหน้า

จังหวะที่เขาก้าวออกมา สายตานับไม่ถ้วนก็พุ่งตรงมารวมกระทั่งซูชิงหยิงก็เปลี่ยนความสนใจมาที่มู่เฉิน ทว่าสีหน้าไม่แยแสนั้นเห็นได้ชัดว่านางไม่ได้คาดหวังกับมู่เฉินมากมายนัก

“ข้าไปลองก่อนนะ” มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยวกับหลินจิ้งขณะยิ้ม

จิ่วโยวพยักหน้า ส่วนหลินจิ้งชูกำปั้นเล็กขึ้นมาพูดอย่างร่าเริง “สู้ๆ ต้องให้ได้ป้ายมังกรทองคำมานะ!”

นางไม่ได้ปกปิดเสียงหัวเราะ นี่ทำให้เกิดรอยยิ้มเยาะบนใบหน้าของผู้คน แม้แต่ซูชิงหยิงยังได้แค่ป้ายมังกรเขียว สำหรับมู่เฉินที่อยู่อันดับยี่สิบในทำเนียบ เป็นเรื่องยากแม้แต่จะได้รับป้ายอินทรีทองคำ ไม่ต้องพูดถึงป้ายมังกรทองคำเลย

เผชิญหน้ากับสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นมู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจ เขามองไปที่ประตูร่างเคลื่อนไหวเร็วรี่กลายเป็นร่างแสงสว่างจ้าทะยานออกมา

วาบ!

เมื่อเขาไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าประตู แสงเจิดจ้าก็โอบล้อมและกลืนเขาเข้าไปอย่างสมบูรณ์

เมื่อมู่เฉินเข้าไปภายใน เสียงสนทนาก็กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนไม่ได้ให้ความสนใจกับประตูอะไรมากนัก กลับจ้องมองไปที่เสาแสงสีทองด้วยความเคารพในสายตา

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับอันดับยี่สิบบนทำเนียบที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า

มีเพียงหญิงสาวสองคนที่ยังมองไปที่ประตูนั่นก็คือจิ่วโยวและหลินจิ้ง ด้วยความเข้าใจของพวกนางที่มีต่อมู่เฉินมากกว่าใคร พวกนางรู้ดีว่าไพ่ตายของเขาไปไกลเกินกว่าขุมพลังนัก

แม้แต่จอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือที่เบื้องหลังพวกนางก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก กระทั่งคนอย่างซูชิงหยิงก็เป็นศิษย์ระดับมังกรเขียว ดังนั้นพวกเขาจึงยากที่จะมั่นใจในตัวมู่เฉิน

มู่เฉินไม่รู้เกี่ยวกับความคิดของคนอื่น

เมื่อถูกกวาดเข้ามาในประตูเขาก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนมิติรอบตัว เมื่อแสงเข้มข้นสลายลง เขาก็ปรากฏตัวบนลานขนาดมหึมา

ขอบฟ้าไร้ขอบเขตนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศโบราณที่มีร่องรอยถูกทิ้งเอาไว้บนพื้น ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน

“นี่เป็นลานทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์เหรอ?” มู่เฉินกวาดมองทั่วลานประลอง ก่อนจะมองไปในที่ไกลเบื้องหน้า

เขาเห็นเสาหินสิบกว่าเสาตั้งอยู่ แต่ละเสามีรูปปั้นหินที่ดูกระจ่างสดใสมาก ราวกับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แผ่กระจายความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าทึ่ง

มู่เฉินมองไปที่รูปปั้นหินและรู้ว่าการทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์เกี่ยวกับอะไร เมื่อกวาดมองจากทางขวาไปซ้าย สายตาก็เริ่มตึงเครียด

เนื่องจากเขาสังเกตได้ว่ารูปปั้นหินทางซ้ายให้ความรู้สึกของภัยคุกคามหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะรูปหินทางซ้ายสุด ที่ทำให้เขารู้สึกหนาวสะท้านจับใจ

รูปปั้นนั้นดูอ่อนเยาว์ถือหอกยาวปลดปล่อยอากาศที่น่ากลัวออกมาอย่างคลุมเครือ ทำให้มิติถึงกับแปรปรวน

ฮึ่ม!

ขณะที่มู่เฉินกวาดมองรูปปั้นหิน ความผันผวนผิดปกติก็แผ่กระจายออกมา อึดใจมู่เฉินก็รู้สึกว่า ลานประลองกำลังสั่นสะเทือน

“ผู้ท้าชิงขุมพลังอีกครึ่งก้าวบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า สิทธ์การท้าทาย ศิษย์ระดับอินทรีขาว” เสียงเก่าแก่ดังก้องไปทั่วลานโดยไม่มีสติปัญญาใดๆ ฟังดูช่างว่างเปล่า

“ประตูมังกรทะยานสวรรค์เป็นอาวุธมหสวรรค์ที่มีสติปัญญา แต่ดูจากตอนนี้คงจะถูกทำลายไปแล้ว…” หัวใจมู่เฉินกระตุกเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงที่กลวงเปล่านั่น

“สิทธ์การท้าทาย ศิษย์ระดับอินทรีขาว?” มู่เฉินพึมพำแล้วเงยหน้าขึ้นก็เห็นรูปปั้นหินบนเสาที่สามเคลื่อนไหวก่อนจะเริ่มมีชีวิต จากนั้นก็พุ่งออกมากระแทกลงที่พื้นเบื้องหน้ามู่เฉิน

รูปปั้นหินนี้สวมชุดเกราะหนาหนักราวกับหอคอยเหล็ก พลังที่น่ากลัวสาดออกมาทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

“อีกครึ่งก้าวบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า…” มู่เฉินกวาดมองก็สัมผัสกำลังของรูปปั้นได้ทันที ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ที่แท้ประตูมังกรทะยานสวรรค์จะจำกัดการท้าท้ายของผู้ท้าชิงที่เข้ามาตามขุมพลังที่มี

เช่นด้วยขุมพลังของเขาที่อีกครึ่งก้าวบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ฝ่ายตรงข้ามก็จะเป็นศิษย์ระดับอินทรีขาวที่มีขุมพลังเท่ากัน ถ้าเป็นเช่นนี้ในกรณีนี้ซูชิงหยิง นางคงสามารถท้าทายศิษย์ระดับมังกรได้ตั้งแต่เข้ามา

“อย่าบอกนะว่าข้าจะต้องสู้ขึ้นไปทีละคน?” มู่เฉินพึมพำ

ตู้ม!

ขณะที่เขาพึมพำ ร่างหอคอยเหล็กก็คำรามก่อนจะชกหมัดออกมา ส่งระลอกคลื่นกระเพื่อมบนมิติ

หมัดบรรจุพลังน่าหวาดเสียวขยายตัวอย่างรวดเร็วในม่านตามู่เฉิน แต่สีหน้าเขากลับสงบนิ่ง เมื่อหมัดพุ่งมาถึงเขาก็ก้าวเท้าออกไปชกหมัดหลุ่นๆ ออกมา

ฮึ่ม!

แสงสีทองเปล่งประกายออกจากร่างพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรที่คลุมเครือ

ตู้ม!

หมัดทั้งสองปะทะกัน พื้นดินก็สั่นสะเทือน ร่างมู่เฉินไม่ขยับเขยื้อนออกไปแม้แต่น้อย แต่มีพลังที่น่ากลัวเหลือล้นพวยพุ่งออกมาจากกำปั้น

ภายใต้พลังที่น่าสะพรึงกลัว รูปปั้นหินก็กระเด็นถอยหลังพลางระเบิดออกกลายเป็นประกายลำแสงโปรยปรายกลางอากาศ

เขาซัดรูปปั้นเป็นอากาศธาตุด้วยหมัดหมัดเดียว

สีหน้าของมู่เฉินไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากผลลัพธ์ หากแค่จอมยุทธ์อีกครึ่งก้าวบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้ายังยากที่จะจัดการก็ไม่ควรท้าทายอะไรอีกต่อไป

เมื่อรูปปั้นถูกจัดการด้วยหมัดเดียว ทั่วลานประลองก็เงียบลง ทว่าไม่นานเสียงสั่นสะเทือนก็กระจายออกมาอีกครั้ง

มู่เฉินขยับสายตาขึ้นก็เห็นรูปหินบนเสาที่หกตื่นขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้าง

เขาเป็นชายสวมชุดคลุมสีเทาที่มีภาพเจียวขาวปักไว้ เจียวขาวแยกเขี้ยวกางกรงเล็บเปล่งความดุร้ายออกมา

“ศิษย์ระดับเจียวขาว?”

มู่เฉินหดตาลงกับฉากนี้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยเนื่องจากไม่คิดว่าการท้าทายของเขาจะยกระดับหลายขั้นในครั้งเดียว จากอินทรีขาวกลายเป็นเจียวขาว ดูเหมือนว่าประตูมังกรทะยานสวรรค์จะประเมินพลังการต่อสู้ของเขาว่าเกินระดับขุมพลังที่มีไปไกล จากการที่เขาซัดหมัดเดียวก็จัดการศิษย์ระดับอินทรีขาวได้

ตามการประเมินของมู่เฉิน พลังของศิษย์ระดับเจียวขาวนี้มาถึงระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดแล้ว ซึ่งเทียบเท่ากับหลิ่วกุย หวังทงเสียนและเฉวียนหมิง

ศิษย์ระดับเจียวขาวพลิ้วตัวลงมาปรากฏตัวตรงหน้ามู่เฉิน ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นแสงควบแน่นอยู่ในฝ่ามือทั้งสอง ซึ่งดูราวกับทำมาจากหยกขาว เปล่งอันตรายแต่ก็แฝงความงดงามในเวลาเดียวกัน

มือหยกขวาสร้างตราประทับก่อนที่แสงจ้าจระเบิดออก ร่างสิงโตหยกขาวก่อร่างขึ้นอย่างคลุมเครือ

“ตราประทับสิงโตหยก!”

เสียงไม่แยแสดังออกมาจากปากศิษย์ระดับเจียวขาว กำปั้นซัดออกไปข้างหน้า

โฮก!

แสงจ้าสีขาวครอบงำพื้นที่ก่อนจะก่อร่างเป็นสิงโตหยกขนาดพันจั้งพุ่งตรงเข้าหามู่เฉิน

ทันทีที่ออกกระบวนท่าก็เป็นท่าไม้ตาย ทำให้คนตั้งตัวไม่ทัน

มู่เฉินยังคงรักษาอารมณ์นิ่งสงบก่อนที่จะย่ำเท้า แสงสีทองระเบิดออกมา ร่างเทพสุริยะควบแน่นอยู่ที่เบื้องหลัง

ดวงตะวันสีทองอร่ามลุกโชนรอบร่างมหึมาก่อนจะระเบิดออกกลายเป็นกระแสพลังสีทอง

แสงสีทองรวมกันอย่างรวดเร็วเบื้องหน้าร่างเทพสุริยะ ก่อตัวเป็นกงล้อที่ลึกซึ้ง

“กงล้อแสงสวรรค์!”

มู่เฉินคำราม เขาไม่ได้ถอยแต่หันไปเผชิญหน้ากับการโจมตีเต็มกำลังของศิษย์ระดับเจียวขาว เขาใช้ท่ารุกรับที่สมบูรณ์แบบประสานกัน

ตู้ม!

สิงโตหยกกระโจนเข้ามาปะทะกับกงล้อแสง ทว่าไม่มีเสียงกัมปนาทที่น่าทึ่งใดๆ เพราะเมื่อกงล้อหมุน สิงโตหยกก็หมุนติ้วหันหลัง ฉีกมิติกระโจนกลับไปหาศิษย์ระดับเจียวขาว

ปัง!

พายุพลังงานครอบงำกวาดออก ภายใต้การโจมตีของสิงโตหยก ศิษย์ระดับเจียวขาวก็พังทลาย ก่อนที่จะกลายเป็นประกายแสงพร่างพราว

ศิษย์ระดับเจียวขาวแพ้แล้ว!

มู่เฉินยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะ แสงสีทองรอบร่างค่อยๆ ถอนกลับไป เขาไม่ได้มองไปที่ศิษย์ระดับเจียวขาว แต่หลุบตาลงรอคอยอย่างเงียบๆ

เขาอยากรู้ว่าการท้าทายรอบต่อไปที่ประตูมอบให้คืออะไร

ความเงียบแขวนอยู่ในอากาศหลายสิบลมหายใจ ก่อนที่มู่เฉินจะรู้สึกถึงแผ่นดินไหว จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น รูปปั้นหินบนเสาที่สามจากด้านซ้ายกำลังตื่นขึ้น

มังกรขาวตัวใหญ่ปักอยู่บนแขนเสื้อของรูปปั้นหิน ซึ่งปล่อยแรงกดดันทรงพลัง คล้ายกับคลื่นครอบงำทั่วลานประลอง

นั่นคือ…ศิษย์ระดับมังกรขาว

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1116 สามศิษย์ระดับมังกรทองคำ
แสงสีทองพร่างพราวเปล่งออกมาจากป้ายเจียวทองคำ

ทำให้หลิ่วกุยและหวังทงเสียนที่ได้รับป้ายเจียวขาวดูหม่นหมองเมื่อเทียบกัน

“สวรรค์! นั่นคือป้ายเจียวทองคำ!”

“ฉินจิงเจ๋อน่าเกรงขามอย่างแท้จริง ได้รับเลือกเป็นศิษย์ระดับเจียวทองคำ!”

“สุดยอดจริงๆ”

“…”

ความโกลาหลสะท้อนไปทั่ว หลายคนก็ชื่นชมเขาพร้อมกับความอิจฉาพล่านในดวงตา ภายใต้สถานการณ์ที่มีแต่ป้ายหมาป่าและนกอินทรีออกมานับไม่ถ้วน การปรากฏของป้ายเจียวทองคำล้ำค่านี้ชัดว่าเด่นกว่าสิ่งใด

ทว่าสีหน้าฉินจิงเจ๋อกลับไม่ดีเท่าไรตรงข้ามกับสายตาที่มองมาแบบอึ้งทึ่ง เขาจ้องมองป้ายเจียวทองคำโดยไม่มีความยินดี แต่เป็นความไม่พอใจ

เขาฉินจิงเอ๋อเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของสำนักกระบี่บัวเขียวในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเอาชนะเขาได้ เขามีศักยภาพสูงที่จะบรรลุระดับตี้จื้อจุนทั้งที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนัก แต่เบื้องหน้าประตูมังกรทะยานสวรรค์แห่งนี้ ศักยภาพของเขาได้รับการจัดอันดับศิษย์ระดับเจียวทองคำเท่านั้น

แม้ว่าจะสูงและโดดเด่นในสายตาหลายคน แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับเขา

แต่ไม่ว่าจะไม่ยอมรับแค่ไหน เขาก็ทำอะไรไม่ได้กับผลลัพธ์นี้ เขาทำได้เพียงสายหัวพร้อมกับแววตามืดมน

หลิ่วกุยและหวังตงเสียนค่อนข้างสงบนิ่ง เนื่องจากผลลัพธ์นี้อยู่ในการคาดเดาของพวกเขา นอกจากนี้บวกกับข้อเท็จจริงที่ว่าฉินจิงเจ๋อได้เพียงรับป้ายเจียวทองคำ ก็ถือว่าปลอบขวัญพวกเขาแล้ว

เพราะอันดับของพวกเขาต่ำกว่าฉินจิงเจ๋อมาก

ทั้งสามยืนอยู่บนท้องฟ้า แต่ยังไม่ได้เข้าไปในวังโบราณทันที แต่เลือกที่จะยืนรออยู่ก่อน

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยากดูว่าจะมีใครได้รับการประเมินว่าเป็นศิษย์ระดับมังกรบ้าง!

ในเวลาเดียวกันสายตาของพวกเขาก็เลื่อนไปที่ซูชิงหยิง ถ้าดูจากจอมยุทธ์ที่อยู่ที่นี่ คนที่มีคุณสมบัติจะได้รับป้ายมังกรมากที่สุดก็คือนาง

เมื่อทั้งสามเลื่อนสายตาไป ทุกคนก็มีอาการไม่ต่างกัน ทั้งหมดมีความคิดเดียวกัน

แม้แต่มู่เฉิน จิ่วโยวและพรรคพวกก็มองหาที่ซูชิงหยิงเช่นกัน!

“ซูชิงหยิงจะต้องได้เป็นศิษย์ระดับมังกรแน่นอน” จิ่วโยวพูดเสียงต่ำ แม้ว่านางจะหมั่นไส้ซูชิงหยิง แต่พลังของอีกฝ่ายก็ไม่มีข้อกังขา

มู่เฉินพยักหน้าเห็นด้วย คำถามข้อเดียวคือนางจะได้ป้ายมังกรขาว เขียวหรือว่าทองคำกัน?

ภายใต้สายตาที่จ้องมองมา ซูชิงหยิงก็มองไปที่ประตูพร้อมความสงสัยวูบไหวในดวงตา

เห็นได้ชัดว่านางก็มีความคิดแบบเดียวกัน!

ดังนั้นนางจึงคลี่ยิ้มบางเคาะฝ่าเท้าเบาๆ โดยไม่ลังเลก็กลายเป็นริ้วแสงสีดำปรากฏตัวที่เบื้องหน้าประตูแล้วพุ่งเข้าไป

ร่างซูชิงหยิงหายไปทั่วฟ้าดินก็เงียบกริบลง ทุกคนเบิกตากว้างมองไปที่ประตู พวกเขามีลางสังหรณ์ว่าซูชิงหยิงจะสร้างสถิติทรงพลังที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว

“ไม่รู้ว่าการทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์คืออะไร?” จิ่วโยวมองไปที่ประตูพลางพูด

มู่เฉินส่ายหัว “ประตูมังกรทะยานสวรรค์เป็นอาวุธมหสวรรค์โบราณ ดังนั้นการทดสอบไม่ง่ายแน่”

จิ่วโยวพยักหน้าเห็นด้วยเบาๆ แต่ประตูก็ได้รับความเสียหายรุนแรงตอนที่วังสวรรค์บรรพกาลถูกทำลาย มิฉะนั้นคงไม่ได้มีแค่ประสิทธิภาพในการประเมินผลหรอก

“ต่อไปก็รอดูกันเถอะ”

มู่เฉินมองไปที่ประตูหินโบราณอย่างเงียบๆ

ความเงียบนี้ดำเนินไปสิบกว่านาที เวลาที่นางใช้เกินกว่าทุกคนก่อนหน้า

ทันใดนั้นประตูที่สงบนิ่งก็สั่นไหว หัวใจของทุกคนโลดขึ้นก่อนที่สายตาจะมุ่งเน้นไปประตู

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

เกลียวแสงพุ่งออกมา ก่อนที่ประตูปิดแน่นจะเปิดออกอย่างช้าๆ เกลียวไร้ขอบเขตกวาดออกมา

ความหนาแน่นของแสงแข็งแกร่งกว่าทุกคนที่ทดสอบมาก่อนหน้า

โฮก!

เสาแสงพร่างพราวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับมังกรพันธนาการรอบเสาแผดเสียงคำรามลั่น ซึ่งดังก้องไปมาระหว่างสวรรค์และโลก

ทุกคนหดดวงตาลงกับฉากนี้ ซูชิงหยิงได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรแท้จริง!

แสงสุกใสควบแน่นอย่างรวดเร็ว ร่างซูชิงหยิงปรากฏขึ้นกลางอากาศ ดวงตาจับจ้องไปที่เบื้องหน้า รังสีพราวรวมตัวกันเป็นป้ายโบราณที่มีมังกรเขียวเข้มขดอยู่ สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

ป้ายมังกรเขียว?!

ทุกคนหดดวงตาลงหายใจเข้าลึกก่อนจะยกย่องนางในใจ ไม่คิดว่าซูชิงหยิงไม่เพียงจะได้รับการประเมินเป็นศิษย์ระดับมังกร แต่ยังเป็นป้ายมังกรเขียวด้วย!

ความสำเร็จนี้อาจโดดเด่นแม้แต่ในวังสวรรค์บรรพกาล

ซูชิงหยิงสมกับเป็นจอมยุทธ์อันดับสองในทำเนียบ

ฉินจิงเอ๋อ หลิ่วกุยและคนอื่นๆ มองดูป้ายมังกรสีเขียวเจิดจ้าก็ถอนหายใจ ดูท่าจะมีช่องว่างพลังขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขากับซูชิงหยิงจริงๆ

“ป้ายมังกรเขียวเรอะ?” มู่เฉินเพ่งความสนใจไปที่นาง แต่เขาไม่ได้แปลกใจ เพราะตัวเขาได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

“แต่ถึงจะเป็นนางก็ยังไม่สามารถได้รับป้ายมังกรทองรึ?” มู่เฉินถอนหายใจ ไม่รู้จริงๆ ว่าการทดสอบในประตูมังกรทะยานสวรรค์ยากแค่ไหนกัน

ซูชิงหยิงที่ถูกมองด้วยสายตายกย่องนับไม่ถ้วน กลับมองป้ายมังกรเขียวตรงหน้าแล้วมุ่นคิ้วบาง ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปากพูดสีหน้าก็เปลี่ยนไป นางเงยหน้าขึ้นมองไปที่ขอบฟ้าไกลออกไป

มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างก็มองตามไปที่นั่น เสาแสงสีทองทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า โดยมีมังกรทองคำพันธนาการอยู่รอบๆ

“ป้ายมังกรทองคำ!”

เสียงอุทานดังขึ้น มีบางคนได้รับการประเมินเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำที่ประตูมังกรทะยานสวรรค์อีกบานเรอะ?

“ต้องเป็นจู้เยี่ยนแน่!” มีคนโพล่งออกมาโดยไม่ลังเล ในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว จู้เยี่ยนที่เป็นเจ้าทำเนียบมีคุณสมบัติเช่นนั้น

“ช่างเป็นคนที่น่าเกรงขาม” ใบหน้ามู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน นี่อาจเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำคนแรกหลังจากวังสวรรค์บรรพกาลถูกทำลาย

ทันทีที่คำพูดของมู่เฉินจบลง เสาแสงสีทองอีกเสาก็ทะยานไปสู่ชั้นฟ้าในอีกทิศทางหนึ่ง สามารถมองเห็นได้เลือนรางในระยะไกล

ทุกคนตกตะลึงก่อนจะเกิดความโกลาหลอีกครั้ง ศิษย์ระดับมังกรทองคำอีกคนหรือ?

ถ้าคนก่อนหน้านี้คือจู้เยี่ยน แล้วนี่เป็นใครกัน? แม้แต่ซูชิงหยิงก็เป็นศิษย์ระดับมังกรเขียวเท่านั้น!

มู่เฉินจ้องเขม็งไปที่เสาแสงสีทองเสาที่สอง สัญชาตญาณบอกเขาว่านี่น่าจะเป็นจาโหลหลัว

แม้ว่าอีกฝ่านจะเป็นจอมยุทธ์อันดับสาม แต่มู่เฉินไม่เชื่อว่าผู้ที่ครอบครองร่างเทพสุริยะจะด้อยกว่าซูชิงหยิง

ตามการคาดการณ์ของเขาความแข็งแกร่งของจาโหลหลัวไม่ได้อ่อนด้อยกว่าจู้เยี่ยน

ตู้ม!

ขณะที่ความคิดวนเวียนอยู่ในใจ ดวงตาผู้คนก็หดแคบลง เนื่องจากทุกคนได้เห็นเสาแสงมังกรทองคำอีกเสาปรากฏขึ้น

เสามังกรทองคำเสาที่สาม!

สามศิษย์ระดับมังกรทองคำ!

ในช่วงเวลาไม่กี่สิบลมหายใจ มีศิษย์ระดับมังกรทองคำปรากฏขึ้นถึงสามคน!

ทั่วบริเวณเงียบงันไปด้วยความไม่เชื่อกระจายบนใบหน้า แม้แต่สีหน้าของซูชิงหยิงก็ดูไม่ดีนัก นี่หมายความว่ามีจอมยุทธ์สามคนที่เหนือชั้นกว่านาง แล้วอันดับสองบนทำเนียบคืออะไร?

แม้ว่านางจะเสียเปรียบไปบ้างเนื่องจากต้องพึ่งพาแมลงวิญญาณ แต่ผลลัพธ์ก็ยังเป็นผลลัพธ์ นางเป็นศิษย์ระดับมังกรเขียวเท่านั้น

มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากัน ถ้าเสาแสงมังกรทองคำเสาที่สองเป็นจาโหลหลัว แล้วคนที่สามเป็นใคร? เซี่ยหยู่เรอะ?

มู่เฉินได้ประมือกับเซี่ยหยู่ไปสั้นๆ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ง่ายๆ แต่น่าจะยังไม่เพียงพอสำหรับเซี่ยหยู่ที่จะได้เป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำ

แล้วใครคือศิษย์ระดับมังกรทองคำคนที่สาม?

ซูชิงหยิงถอนสายตาจากนั้นก็มองไปที่ประตูอย่างเกลียดชังและสาปแช่ง “ไอ้ประตูเส็งเคร็ง!”

แม้ว่านางจะไม่พอใจ แต่นางก็ไม่ได้หดหู่อะไร ถ้าไม่ใช่เพราะแมลงวิญญาณได้รับบาดเจ็บ การทดสอบของนางก็อาจจะประสบความสำเร็จมากกว่านี้ก็ได้

ตอนนี้ประตูมังกรทะยานสวรรค์สองแห่งปรากฏศิษย์ระดับมังกรทองคำแล้ว มีเพียงที่นี่ที่ยังไม่มีซึ่งดูไม่ดีเลย หากเป็นเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าคุณภาพของพวกเขาต่ำเหรอ?

เรื่องนี้ทุกคนที่นี่ไม่เห็นด้วยแน่นอน

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ซูชิงหยิงก็เลื่อนสายตาไปที่กลุ่มมู่เฉินก่อนจะยิ้มอ่อน “พี่มู่ พวกเจ้ายืนดูมานานแล้ว ถึงตาที่จะต้องเคลื่อนไหวมั่งแล้วนะ”

แม้ว่าคำพูดจะพุ่งไปกระทบมู่เฉิน แต่สายตากลับจดจ้องอยู่ที่หลินจิ้ง ในสายตานางคนที่มีโอกาสจะเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำน่าจะเป็นหลินจิ้งผู้ลึกลับคนนี้

สำหรับมู่เฉินชัดว่าอยู่นอกสายตานาง

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1115 ศิษย์ระดับเจียวทองคำ
ประตูหินโบราณตั้งตระหง่านเงียบๆ

พร้อมกับจอมยุทธ์ชั้นสูงจากหลากหลายสำนักทั่วทวีปเทียนหลัวจ้องมองไปด้วยสายตาร้อนแรง ความตื่นเต้นอัดแน่นไปหมด ประตูที่เบื้องหน้าพวกเขาเป็นการเริ่มต้นเพื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล เฉพาะคนที่ผ่านไปได้เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปภายใน

ภายใต้สายตาทั้งหมด เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็มีคนทำลายความเงียบด้วยการก้าวออกมา

“ฮ่าๆ! ในเมื่อทุกคนระวังตัวแจกันแบบนี้ งั้นพวกข้าสำนักเคลื่อนบรรพตขอลองเป็นคนแรกแล้วกัน!” เสียงหัวเราะดังกึกก้อง ร่างแสงหลายร่างก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หยุดอยู่ที่ด้านหน้าประตูมังกร

ทุกคนเบนสายตาไปมองทันที

มู่เฉินกวาดมองไปก็เห็นคนสวมชุดสีเทาหลายคน พร้อมกับมีคนคนหนึ่งยืนที่หน้ากลุ่ม เขาเป็นชายร่างสูงกำยำมีลวดลายสีเทาปกคลุมผิวกาย ทำให้ร่างกายเขามีความรู้สึกหนักหน่วง ราวกับไม่ใช่คนแต่เป็นภูเขาตั้งตระหง่าน

เมื่อมู่เฉินเห็นความคิดสายหนึ่งแล่นผ่านใจ “หลินเจี๋ยแห่งสำนักเคลื่อนบรรพต ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า อันดับยี่สิบแปดบนทำเนียบ”

หลินเจี๋ยไม่ใช่จอมยุทธ์ไม่มีชื่อเสียง อันดับนี้สามารถพิสูจน์ถึงความโดดเด่นของเขาในทวีปเทียนหลัวแล้ว

ในเวลาปกติหลินเจี๋ยเป็นจุดรวมสายตาเมื่อปรากฏตัว แต่ที่นี่มีจอมยุทธ์ชั้นสูงจำนวนมากมารวมตัวกัน กระทั่งคนอย่างซูชิงหยิงยังมา ดังนั้นความเจิดจรัสของหลินเจี๋ยจึงลดลง แต่พลังของเขายังคงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถโต้แย้งได้

เมื่อหลินเจี๋ยปรากฏตัวบนกลางอากาศ สายตาร้อนแรงก็จับจ้องอยู่ที่ประตูหินโบราณ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ร่างกายเคลื่อนไหวโดยไม่มีความลังเล เปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไป

ทุกคนต่างจับจ้องไปที่เขา

วาบ!

อึดใจหลินเจี๋ยก็ปรากฏตัวด้านหน้าประตูมังกร ทันใดนั้นแสงก็ส่องมาจากด้านบนของประตู นำพาหลินเจี๋ยหายเข้าไปในประตู

ทุกคนจ้องมองการหายไปอย่างใจจดใจจ่อ

ทั่วบริเวณเงียบงัน สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่ประตูโบราณ ซึ่งกลับสู่ความสงบหลังจากดูดร่างหลินเจี๋ยเข้าไป

ทว่าความเงียบกินเวลาไม่นาน เสียงครางกระหึ่มก็ดังออกมา

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ประตูสั่นสะเทือน แสงไหลเวียนเหนือประตู พร้อมกับอักษรลึกลับกลิ้งไปมา

แคร็ก!

ประตูที่ปิดแน่นหนาแง้มออก แสงสว่างจ้าพรั่งพรูออกมา เผยเงาร่างที่ดูสมเพช นี่ก็คือหลินเจี๋ยที่พุ่งเข้าไปเมื่อครู่

เมื่อหลินเจี๋ยปรากฏตัวขึ้น แสงก็เริ่มควบแน่นที่เบื้องหน้ากลายเป็นป้ายโบราณ

วาบ!

สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่ป้ายโลหะทันที

มู่เฉินก็จ้องมองไปที่ป้ายเห็นภาพอินทรีเขียวบินฉวัดเฉวียนอยู่บนป้าย

“ป้ายอินทรีเขียว!”

หลายคนมีดวงตาเฉียบคม ความโกลาหลจึงระเบิดออก จากนั้นหลายคนก็ผงะไป พวกเขาไม่ได้ตกใจกับผลลัพธ์ของหลินเจี๋ย แต่อึ้งไปที่หลินเจี๋ยมีคุณสมบัติเป็นศิษย์ระดับอินทรีเขียวเท่านั้น ทั้งที่มีความแข็งแกร่งขนาดนี้

ตามการจัดอันดับ อินทรีเขียวถือเป็นระดับปานกลางเท่านั้น

หลินเจี๋ยเป็นหนึ่งในสามสิบของจอมยุทธ์หัวกะทิของทวีปและถือว่าเป็นตัวหลักไม่ว่าจะอยู่ขั้วอำนาจใดก็ตามในทวีปเทียนหลัวซึ่งจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด

“กฎเกณฑ์ของวังสวรรค์บรรพกาลเข้มข้นไปแล้ว” มีบางคนพูดขึ้นด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ พลังของพวกเขาด้อยกว่าหลินเจี๋ยเสียอีก ถ้าพวกเขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างมากก็จะได้รับแค่ป้ายหมาป่ารึไง?

นั่นจัดเป็นศิษย์อันดับต่ำสุดในวังสวรรค์บรรพกาลเลยนะ

“ดูเหมือนศิษย์ระดับมังกรไม่ใช่งานง่ายแล้ว” มู่เฉินพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นก็แลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยว

“อย่าเพิ่งพูดถึงศิษย์ระดับมังกร ข้าว่ากระทั่งศิษย์ระดับเจียวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย วังสวรรค์บรรพกาลสมกับเป็นอดีตผู้ปกครองทวีปเทียนหลัวจริงๆ…” จิ่วโยวเผยรอยยิ้มหมดหนทาง

มู่เฉินพยักหน้า แต่ไม่ได้แปลกใจอะไรกับเรื่องนี้ ด้วยรากฐานของวังสวรรค์บรรพกาล จอมยุทธ์ชั้นสูงธรรมดาก็เป็นศิษย์แบบดาษดื่นเท่านั้น มีเพียงจอมยุท์มากพรสวรรค์จริงๆ ที่จะสามารถโดดเด่นได้

เผชิญหน้ากับสายตาเศร้าสลดของผู้คน หลินเจี๋ยก็มองไปที่ป้ายอินทรีเขียวพลางยิ้มขมขื่น เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจกับผลลัพธ์นี้ แต่ก็ทำได้เพียงถอนหายใจเมื่อนึกถึงการทดสอบโหดหินของประตูมังกรมะยานสวรรค์

หลินเจี๋ยยื่นมือออกคว้าป้ายอินทรีเขียว รังสีสีฟ้าอมเขียวก็เบ่งบานออกมาโอบกอดตัวเขา เปลี่ยนเป็นเกลียวแสงสีอมเขียวพุ่งออกไป

เมื่อเกลียวเส้นสายในค่ายกลสัมผัสกับเกลียวแสงสีฟ้าอมเขียว ค่ายกลก็เปิดออก ร่างหลินเจี๋ยก็หายเข้าไปในค่ายกล

“เข้าไปแล้ว?”

ทุกคนเบิกตากว้างกับภาพที่เกิดขึ้น จากนั้นความสุขก็กระจายบนใบหน้า ตามคาดตราบใดที่พวกเขาได้รับป้ายประจำตัวก็จะสามารถผ่านค่ายกลเข้าไปได้

เมื่อตัดสินจากการหายไปของหลินเจี๋ย สิ่งที่พวกเขาเห็นต่อหน้าบางทีอาจเป็นเพียงภาพลวงตา เมื่อผ่านเข้าไปในค่ายกลได้เมื่อไรก็จะได้เห็นวังสวรรค์บรรพกาลที่แท้จริง

ทันใดนั้นบรรยากาศก็เดือดพล่าน ทุกคนรู้สึกโล่งใจ

วาบ!

สมาชิกสำนักเคลื่อนบรรพตก็พุ่งเข้าไปในประตูมังกรทะยานสวรรค์โดยไม่ลังเล ครั้งนี้ใช้เวลายิ่งสั้นลง เพียงสิบกว่าอึดใจก็กระเด็นออกมาในลักษณะน่าสมเพช

ทั้งหมดได้รับเพียงป้ายหมาป่าเขียว

ชัดว่าผลลัพธ์จากการทดสอบของพวกเขาด้อยกว่าหลินเจี๋ยมาก

เมื่อจอมยุทธ์สำนักเคลื่อนบรรพตเห็นสิ่งนี้ก็ยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะคว้าป้ายพุ่งตัวเป็นร่างแสงเข้าไปในค่ายกล

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

หลังจากได้เห็นสมาชิกสำนักเคลื่อนบรรพตผ่านเข้าไปแล้ว กลุ่มคนอื่นๆ ก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นเสียงลมแหวกอากาศก็ดังก้องไม่หยุด ร่างแสงนับไม่ถ้วนพุ่งสู่ประตูมังกรทะยานสวรรค์

ฮึ่ม ฮึ่ม

แสงสว่างพุ่งออกมาจากประตูอย่างต่อเนื่อง ดูดทุกคนที่เข้าใกล้

ในเวลาต่อไปหน้าประตูก็คึกคักอย่างยิ่ง มีผู้คนพุ่งเข้าไปตลอดเวลาก่อนที่จะกลับออกมาพร้อมกับแสงสีขาวหรือสีเขียว กระทั่งแสงสีทองก็มองเห็นได้

มู่เฉินสังเกตจากภาพทั้งหมด ก็เห็นว่าป้ายระดับสูงสุดที่ปรากฏเป็นเพียงป้ายอินทรีทองคำ คนที่ได้ป้ายอินทรีทองคำอยู่ในลำดับยี่สิบเอ็ดของทำเนียบ ซึ่งต่ำกว่ามู่เฉินเพียงอันดับเดียว

“ถ้าเป็นไปตามการจัดอันดับ อย่างมากข้าคงเป็นได้แค่ศิษย์ระดับอินทรีทองทองคำเท่านั้น” มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากพูดติดตลก

“ขำตายล่ะ…” จิ่วโยวกลอกตาบนเมื่อได้ยินมุกเยาะเย้ยตัวเอง เพราะนางรู้ดีกว่าใครเกี่ยวกับไพ่ตายที่มู่เฉินมี ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า คนอย่างมู่เฉินมีกระทั่งพลังที่จะเผชิญหน้าขั้นเก้าระยะเต็ม

“คนน่าสนใจเคลื่อนไหวแล้ว” หลินจิ้งที่เฝ้าดูก็พูดออก

เมื่อได้ยินมู่เฉินและจิ่วโยวก็หันไปมองเห็นว่าหลิ่วกุย หวังทงเสียนและฉินจิงเจ๋อพุ่งเข้าประตูมังกรทะยานสวรรค์

ชัดว่าพวกเขาก็อดรอต่อไปไม่ไหวแล้ว

ในฐานะจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียง การเคลื่อนไหวของพวกเขาทำให้ทุกสายตาหันมาสนใจ

วาบ!

ทั้งสามคนหายเข้าไปที่หน้าประตูในเวลาใกล้เคียงกัน

นอกเหนือจากเหตุการณ์นี้ ประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็เงียบลงครู่ คนอื่นๆ หยุดกิจกรรม เนื่องจากต้องการเห็นผลลัพธ์ของจอมยุทธ์ทั้งสาม

เวลาไหลไปอย่างรวดเร็ว

ระยะเวลาที่ทั้งสามเข้าไปยาวนานกว่าคนอื่นก่อนหน้าชัดเจน นี่ทำให้ผู้คนหนังตากระตุก เมื่อมองดูแล้วดูเหมือนว่าป้ายอินทรีทองคำที่สูงสุดในตอนนี้จะถูกตีแตกแล้ว

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ขณะที่ทุกคนคาดเดาในใจ ประตูมังกรทะยานสวรรค์ที่เงียบมานานก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง เกลียวแสงแข็งแกร่งพุ่งออกมา

แสงสามสายควบรวมกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ก่อร่างเป็นชายทั้งสามคน

เมื่อทั้งสามปรากฏขึ้นรังสีก็มารวมที่เบื้องหน้าพวกเขา ควบแน่นเป็นป้ายสามป้าย

ทุกสายตาพุ่งตรงไป จากนั้นเสียงโกลาหลก็ดังขึ้น

เจียวสีขาวขดตัวเป็นป้ายที่เบื้องหน้าหลิ่วกุยพร้อมกับความผันผวนทรงพลังกระจายออกมา

“ป้ายเจียวขาว! หลิ่วกุยได้รับการจัดอันดับเป็นศิษย์ระดับเจียวขาว!”

บางคนอุทานออกมา ในที่สุดก็มีคนได้รับการจัดอันดับเป็นศิษย์ระดับเจียวขาวจากการทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์แล้วเรอะ?

“หวังทงเสียนก็เป็นศิษย์ระดับเจียวขาวเช่นกัน!” มีคนสังเกตเห็นป้ายที่เบื้องหน้าหวังทงเสียนที่มีภาพเจียวขาวขดอยู่

“แล้วฉินจิงเจ๋อล่ะ?”

สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่ฉินจิงเจ๋อ ก่อนที่พวกเขาจะเห็นรังสีสีทองถักทอเป็นรูปร่างเจียวทองคำที่ดูเหี้ยมหาญที่เบื้องหน้าเขา

“นั่นคือ…” มู่เฉินมองไปที่ป้ายทองคำก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตา

“ป้ายเจียวทองคำ!”

แม้แต่คนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นแบบฉินจิงเจ๋อก็ได้รับเพียงป้ายเจียวทองคำ ไม่ใช่แม้แต่ป้ายมังกรขาว

กฎเกณฑ์การทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์ยากขนาดนี้เชียวหรือ?!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1114 ปะทะครั้งแรก
ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หญิงสาวชุดขาว

นางประดับด้วยรอยยิ้มเย็นฉ่ำน่ามอง ขณะที่รัศมีร้ายกาจที่เปล่งออกมาจากแมลงสีดำที่อยู่ข้างใต้ทำให้คนอื่นรู้สึกหนาวสั่นกระดูกสันหลัง

ความแตกต่างสุดขั้วยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกแปลกพิกลรอบตัวนาง

ความเงียบสงบดำเนินต่อไปชั่วครู่ก่อนที่จะระเบิดออกด้วยคลื่นเสียงขนาดใหญ่ ทุกคนพากันตกตะลึงและมีความเคารพเกิดขึ้นในแววตาในเวลาเดียวกัน

“นั่นคือซูชิงหยิง!”

“นางหรือซูชิงหยิง? ช่างงดงามจริงๆ แต่ด้วงตัวนั้นดูทรงพลังมาก…”

“พูดอะไรไร้สาระ นางเป็นหลิงฉงซือ! รูปแบบการต่อสู้ของนางก็ใช้แมลงวิญญาณที่ฝึกฝนด้วยตัวเอง แมลงตัวนี้รู้สึกจะมีชื่อว่าด้วงวิญญาณสี่ปีก ซึ่งมีความเร็วมาก เทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มเลยทีเดียว!”

“สมกับเป็นอันดับสอง”

“…”

ความปั่นป่วนกวนตัวไปทั่ว มู่เฉินมองไปที่ซูชิงหยิงด้วยสายตาเคร่งเครียด แม้ว่าเขาจะอึ้งไปกับจริตจะก้านของนาง แต่เขาก็สัมผัสได้อย่างรวดเร็วถึงอันตรายที่เอิบอาบมาจากอีกฝ่าย

รัศมีอันตรายนั้นทำให้มู่เฉินรู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทำให้ตนเองรู้สึกถูกคุกคามอย่างหนัก

ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน

แน่นอนว่าจอมยุทธ์หญิงที่มีอันดับเหนือจาโหลหลัวจะธรรมดาได้อย่างไร? แม้ว่าการจัดอันดับไม่ได้หมายความว่านางแข็งแกร่งกว่าจาโหลหลัว แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นความแข็งแกร่งของนาง

หลินจิ้งมองไปที่ซูชิงหยิงอย่างใคร่รู้ แต่ความสนใจส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ตัวด้วงสีดำที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ดูเหมือนนางมีความสนใจเกี่ยวกับแมลงวิญญาณมาก

บนท้องฟ้าซูชิงหยิงมองไปที่ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นจากตนเองด้วยความเฉยเมย ก่อนที่ดวงตาจะปรายมองจอมยุทธ์ยี่สิบอันดับแรกที่อยู่ที่นี่

เมื่อจอมยุทธ์จอมหยิ่งเหล่านี้รู้สึกได้ว่านางกำลังจับจ้อง พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บบนพื้นผิว ก่อนที่จะแสร้งทำท่าทีสงบหลุบตาลง ความเย่อหยิ่งของพวกเขาถูกลบล้างไปอย่างสมบูรณ์ ดูเหมือนว่ากลัวจะไปกระตุ้นความสนใจของนางเข้า

นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ดีว่าหญิงคนนี้ไม่ได้ดูอ่อนโยนเหมือนรูปลักษณ์ภายนอก นอกจากนี้นางยังมีนิสัยชอบปะทะกับจอมยุทธ์ทรงพลังเพื่อฝึกแมลงวิญญาณอีกด้วย

นอกเหนือจากจู้เยี่ยน จาโหลหลัวและคนอื่นๆ ที่อยู่อันดับต้นๆ คนที่เหลือส่วนใหญ่ถูกใช้ในการทดลองเพื่อฝึกแมลงวิญญาณหลังพบนางกันหมดแล้ว…

การต่อสู้กับแมลงโหดร้ายเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องดีงามอะไรเลย

ซูชิงหยิงหยุดมองหลิ่วกุยและคนอื่นๆ แวบหนึ่งก่อนที่จะหยุดจ้องมองฉินจิงเจ๋อพลางหัวเราะเสียงระรื่น “ฉินจิงเจ๋อ เจ้าอยู่ที่นี่ด้วยหรือ? ครั้งก่อนการประลองระหว่างเจ้ากับแมลงวิญญาณของข้ายังไม่ได้ผลลัพธ์เลยนะ”

เมื่อฉินจิงเจ๋อสังเกตเห็นสายตาซูชิงหยิงจ้องมองมาร่างกายก็แข็งเกร็ง ตอบด้วยสีหน้าแข็งกร้าว “ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาเล่นกับเจ้า ไปหาคนอื่นเถอะ”

ซูชิงหยิงยิ้มหวานก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่มู่เฉิน

“เจ้าคือมู่เฉินที่เอาชนะเซี่ยหงด้วยขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าใช่ไหม?” ซูชิงหยิงถามอย่างสงสัย

ทุกคนพุ่งความสนใจไปมองมู่เฉิน โดยที่เจ้าตัวก็ไม่คิดว่าซูชิงหยิงจะหันมาพูดด้วยทันที เขาอึ้งไปก่อนจะตอบด้วยสีหน้าใจเย็น “ก็แค่โชคดี ไม่สมควรให้แม่นางซูสนใจ”

ตัดสินจากฉินจิงเจ๋อและการแสดงออกของคนอื่น ซูชิงหยิงดูเหมือนไม่ได้ง่ายต่อการจัดการ ดังนั้นมู่เฉินก็ไม่ต้องการไปเกี่ยวข้องอะไรกับนาง

“คิกๆ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ลึกลับ ไม่รู้ว่าจะขอลองสักนิดได้ไหม?” ซูชิงหยิงยิ้มพราว

ทันทีที่พูดจบนางก็โบกมือ ทันใดนั้นลำแสงสีดำก็พุ่งออกมาขยายขนาดกลายเป็นแมลงวิญญาณที่มีขนาดสิบกว่าจั้ง

แมลงมีสีเทาขาวราวกับว่าทำจากหินพร้อมกับขาทั้งสี่ข้างและลวดลายนับไม่ถ้วนบนพื้นผิว เปล่งคลื่นทรงพลังออกมาอย่างคลุมเครือ

ตู้ม!

เมื่อแมลงสีเทาขาวปรากฏขึ้นก็พุ่งเข้าใส่มู่เฉิน จากนั้นก็เหวี่ยงขา ระลอกคลื่นที่มองเห็นด้วยตาเปล่าแผ่กระจายออกไป

การโจมตีของซูชิงหยิงรวดเร็วและมู่เฉินก็ไม่คิดว่านางจะซัดกันตรงๆ แบบนี้ ดังนั้นกว่าเขาจะตั้งตัวได้ แมลงวิญญาณก็เหวี่ยงขาเข้ามาแล้ว สีหน้าเขามืดครึ้มลงทันที

โฮก!

แสงสีทองพราวระยับระเบิดออกมาจากร่างมู่เฉิน ขณะที่เสียงมังกรและหงส์ฟ้าดังสะท้อนจากร่างกาย เขาชกหมัดออกไปโดยมีกรงเล็บมังกรปกคลุมกำปั้น

ครืน!

หมัดของมู่เฉินปะทะกับด้วงวิญญาณสี่ปีกจังใหญ่ ทำให้เกิดเสียงกัมปนาทกึกก้อง คลื่นกระแทกทรงพลังกวาดออก ทำให้เปลือกโลกโดยรอบยุบตัวลง

เมื่อระลอกคลื่นกระจายออกไป แมลงวิญญาณก็ส่งเสียงกรีดร้องแหลม ถูกหมัดส่งข้ามขอบฟ้าไป

โห่!

เสียงวุ่นวายดังก้องเมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ แมลงวิญญาณมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า แต่ไม่คิดว่ามันจะถูกซัดกระเด็นไปด้วยกระบวนท่าเดียว

ทีนี้ทุกคนก็จ้องมองมู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึมลง ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ใช้โชคในการเอาชนะเซี่ยหง เขามีพลังมหาศาลอย่างแท้จริง

“น่าสนใจ”

แสงเปล่งประกายในดวงตาซูชิงหยิง จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ พลางโบกมือ แมลงน้ำแข็งสีฟ้าก็บินออกมา เปล่งรัศมีหนาวเหน็บทะยานเข้าหามู่เฉิน

แมลงตัวนี้ดูจะเป็นปัญหามากกว่าตัวก่อนหน้าเสียอีก

ฟู่! ฟู่!

แต่ขณะที่แมลงพุ่งเข้ามา ผลึกเพลิงใสก็กวาดออกล้อมร่างแมลงทันท่วงที เมื่อเพลิงแผดเผาก็ทำให้แมลงดิ้นรน ก่อนจะร่นถอยกลับไปไม่กล้าพุ่งมาข้างหน้าอีก

ที่ด้านข้างจิ่วโยวมองไปที่ซูชิงหยิงอย่างเย็นชา ผลึกเพลิงใสลุกโชนบนฝ่ามือ นางเค้นเสียงเย็น “โจมตีผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล เจ้านี่ไร้มารยาทจริงๆ”

เห็นชัดว่าจิ่วโยวโกรธซูชิงหยิงที่เคลื่อนไหวไม่เกรงกลัว ดังนั้นนางจึงไม่มีความจำเป็นต้องไว้หน้า ซูชิงหยิงมีเฒ่าหมื่นแมลงให้ท้าย แต่จิ่วโยวก็มีเผ่าวิหคโลกันตร์เป็นภูมิหลังเช่นกัน

“คิกๆ”

สีหน้าของซูชิงหยิงไม่ได้เปลี่ยนเพราะคำพูดของจิ่วโยว นางยิ้มบางก่อนจะสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง รัศมีร้ายกาจพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ทุกคนมองเห็นแมลงสีแดงเข้มบินออกมา

แมลงวิญญาณตัวนี้เหมือนตะขาบที่มีขานับพันไต่บนท้องฟ้า เมื่อปล่อยลมหายใจคลื่นหลิงขนาดใหญ่ก็พัดออกมาก่อร่างเป็นพายุ

เมื่อแมลงตัวนี้ปรากฏขึ้นก็ทำให้หลายคนสีหน้าเปลี่ยนไปพลางอุทานออกมา “นี่คือตะขาบโลหิต ว่ากันว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดยังปวดหัวเมื่อเผชิญกับมัน”

ตู้ม!

ตะขาบโลหิตเคลื่อนผ่านอากาศตรงเข้าไปหาจิ่วโยวด้วยความเร็วที่น่ากลัว

เมื่อมู่เฉินเห็นว่าซูชิงหยิงยังไม่หยุดการกระทำ สีหน้าก็มืดครึ้มจนน่ากลัวพร้อมกับแสงเย็นวูบไหวในดวงตา แขนเสื้อสะบัดไปมาสัญลักษณ์หลิงยิ่งก็ควบแน่นเป็นสายผลึกอย่างรวดเร็ว

ถ้าต้องการปะทะกับคนอย่างซูชิงหยิง เขาก็ต้องใช้ค่ายกล

แต่ขณะที่มู่เฉินกำลังเตรียมสัญลักษณ์หลิงยิ่งเพื่อสร้างค่ายกล หลินจิ้งที่อยู่ข้างๆ ก็ก้าวออกไปพลางยิ้มให้กับตะขาบสีแดงก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ

แสงสีดำพุ่งออกมาขยายขนาดกลายเป็นร่างสีดำเมื่อม นี่ก็คือตุ๊กตาน้ำแข็งที่หลินจิ้งเคยใช้มาเมื่อก่อนหน้า

วาบ!

เมื่อตุ๊กตาน้ำแข็งปรากฏก็ฟันกระบี่ลงมา อากาศเย็นสุดขั้วพัดออกมาทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลงทันที

เมื่อซูชิงหยิงเห็นตุ๊กตาน้ำแข็ง ในที่สุดสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

อากาศเย็นเยือกที่น่าสะพรึงกลัวม้วนตัวพุ่งเข้าใส่ตะขาบโลหิต ทันใดนั้นก็กัดกร่อน ทำให้ตะขาบร้องเสียงหลงขณะถอยกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับคลื่นหลิงที่ลดน้อยลง

ซูชิงหยิงสะบัดแขนเสื้อเก็บตะขาบโลหิตทันที ความเจ็บปวดวูบไหวในดวงตานาง

“คิกๆ พี่สาว ข้าค่อนข้างสนใจแมลงวิญญาณของเจ้า เจ้าเรียกออกมาทั้งหมดเลยไหม ให้ข้าเล่นหน่อยนะ?” หลินจิ้งยิ้มตาหยีขณะมองไปที่ซูชิงหยิงพูดเสียงหวาน

สายตานางวิบวับราวกับคาดหวังในแมลงวิญญาณของซูชิงหยิงจริงๆ

ทั่วบริเวณเงียบกริบ ทุกคนมองไปที่หลินจิ้งด้วยความตะลึงงัน เห็นได้ชัดพวกเขาไม่คิดว่าสาวงามคนนี้จะยากเกินหยั่งถึง

พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามรุนแรงที่มาจากตุ๊กตาของนาง

ซูชิงหยิงหุบรอยยิ้ม มองดูตุ๊กตาน้ำแข็งที่ยืนจังก้าเบื้องหน้าหลินจิ้ง แววตานางเคร่งขรึมลงมาก นั่นเป็นเพราะนางรู้สึกได้ว่าตุ๊กตาตัวนั้นน่าจะมีพลังการต่อสู้ที่น่ากลัวในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว

หากไม่หงายไพ่ทั้งหมดก็ยากที่นางจะเอาชนะ

“แม่นางนี้มาจากที่ไหนกัน…?”

สายตาของนางเปลี่ยนไป จากนั้นก็ยิ้มพลางโบกมือเรียกแมลงทั้งหมดกลับมา ก่อนที่แววตาจะอ่อนโยนลงขณะมองไปที่มู่เฉิน “ก่อนหน้านี้ชิงหยิงเสียมารยาท หวังว่าพี่มู่จะไม่โกรธเคืองกันนะ”

ตอนนี้นางรู้แล้วว่าพวกมู่เฉินไม่ง่ายอย่างที่คิด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ทำให้พวกเขาโกรธเคือง

นางยิ้มลุแก่โทษ ทำให้หลายคนถึงกับแอบเดาะลิ้นขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาพิลึกพิลั่น เนื่องจากไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้ซูชิงหยิงจะยอมรับความผิด

มู่เฉินไม่พูดอะไรเพียงแต่ยิ้มตอบ

แม้ว่าเขาจะไม่ชอบพฤติกรรมของซูชิงหยิง แต่เขาก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับนาง แค่ต่างฝ่ายต่างตั้งระวังกันก็เพียงพอแล้ว

เมื่อทุกคนเห็นว่าทั้งสองฝ่ายถอยกลับไป พวกเขาก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเนื่องจากตอนแรกพวกเขาคิดว่าจะได้เห็นการต่อสู้น่าตื่นตา… แต่พวกมู่เฉินมีความสามารถที่ทำให้ซูชิงหยิงต้องเสียเปรียบไปเล็กน้อย

สายตาที่ตกใจนับไม่ถ้วนกวาดไปที่พวกมู่เฉิน ส่วนกลุ่มชายหนุ่มก็นิ่งเงียบลงมองไปที่ประตูมังกรนิ่ง

เมื่อเวลาผ่านไปก็มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเร่งรุดมาที่นี่ จนสุดท้ายมีบางคนไม่สามารถอดกลั้นเริ่มเคลื่อนตัวไปยังประตูมังกรทะยานสวรรค์…

พวกมู่เฉินก็มุ่งความสนใจไปที่ประตูเช่นกัน

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1113 ซูชิงหยิง
“ประตูมังกรทะยานสวรรค์?”

“นั่นคืออะไร?”

“ดูเหมือนจะเป็นเส้นทางเดียวที่จะไปยังวังสวรรค์บรรพกาลได้”

“…”

ขณะที่มู่เฉินมองไปที่ประตูหินโบราณขนาดใหญ่ เสียงผู้คนกระซิบกระซาบก็กระจายไปทั่ว แต่ละคนเขียนคำว่าประหลาดใจไว้บนใบหน้า

“ไม่คิดว่าประตูมังกรทะยานสวรรค์จะมีอยู่จริง…” มู่เฉินมองไปที่ประตูหินก่อนที่จะถอนหายใจ

“เจ้ารู้เรื่องนี้เรอะ?” จิ่วโยวอึ้งไปกับคำพูดของเขา พรรคพวกก็หันขวับมามองมู่เฉินด้วยความประหลาดใจ

มู่เฉินพยักหน้า เขารู้เกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ จากมั่นถัวหลัวก่อนที่จะมุ่งหน้ามายังวังสวรรค์บรรพกาล มั่นถัวหลัวบอกข้อมูลเกี่ยวกับวังโบราณซึ่งรวมถึงประตูมังกรทะยานสวรรค์ด้วย

“ประตูนี้มีไว้เพื่ออะไร?” หลินจิ้งถามอย่างสนใจ

“ในยุคโบราณจอมยุทธ์ทุกคนที่ต้องการเข้าร่วมจะต้องผ่านประตูนี้ ซึ่งจะเป็นตัวประเมินความแข็งแกร่งและศักยภาพ สุดท้ายจะมอบสถานะที่เหมาะสมให้ สมาชิกที่โดดเด่นบางคนสามารถขึ้นลำดับสูงได้ด้วยประตูนี้ นี่คือเหตุผลที่ถูกตั้งชื่อว่าประตูมังกรทะยานสวรรค์” มู่เฉินกล่าว

“สถานะ?” ทุกคนอึ้งไป

“จำป้ายหมาป่าเขียวเมื่อครู่ได้ไหม? มันเป็นหนึ่งในนั้น”

มู่เฉินพยักหน้าขณะมองไปที่ประตูหินโบราณด้วยความสนใจ จากนั้นก็พูดต่อว่า “ว่ากันว่ามีการสี่ลำดับที่แตกต่างกันสำหรับสมาชิกในวังสวรรค์บรรพกาล เรียงลำดับจากต่ำไปสูงได้แก่ป้ายหมาป่า ป้ายนกอินทรี ป้ายเจียวและป้ายมังกร ส่วนการแบ่งระดับภายในป้ายก็ขึ้นอยู่กับสีไล่เรียงจาก ขาว-เขียว-ทอง”

“โครงกระดูกที่เห็นก่อนหน้านี้ พวกเขาน่าจะเป็นสมาชิกป้ายหมาป่า”

“เล่าขานกันว่าสมาชิกที่ได้รับป้ายมังกรไม่เพียงแต่จะกลายเป็นศิษย์เอกของวังสวรรค์บรรพกาล แต่พวกเขายังได้รับทรัพยากรมหาศาลพร้อมกับมีโอกาสที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสหรือแม้แต่จอมพลก็ตาม”

ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าคนที่ได้รับป้ายมังกรถือว่าทะยานขึ้นฟ้าในก้าวเดียว ดังนั้นประตูทางเข้านี้ก็สมกับชื่ออย่างแท้จริง

“ประตูมังกรทะยานสวรรค์ดูเหมือนจะเป็นทางผ่านเดียวในการเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล คนที่จะเข้าต้องเป็นศิษย์ก่อน” เมื่อมู่เฉินพูดสายตาก็ลุกโชนด้วยเพลิงปรารถนามองไปที่ประตูมังกร อ้างอิงจากคำพูดมั่นถัวหลัวเขาจะต้องเป็นศิษย์ระดับมังกรให้ได้ถ้าประตูยังคงอยู่

นั่นเป็นเพราะมีเพียงศิษย์เอกมังกรเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงส่วนที่ลึกที่สุดของหอคัมภีร์เทพซ่อน

แม้ว่าตอนนี้มู่เฉินจะไม่แน่ใจว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนและกฎกติกานั้นยังคงอยู่หรือไม่ แต่ในเมื่อประตูมังกรทะยานสวรรค์ยังคงอยู่ เขาก็ต้องคว้าป้ายมังกรมาให้ได้

ไม่งั้นถ้าถูกปฏิเสธให้เข้าไปในหอคัมภีร์เทพซ่อน เพราะเหตุที่ป้ายไม่ผ่านเกณฑ์ เขาจะต้องเสียใจภายหลังแน่นอน

เพื่อให้ได้รับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เขาจะต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม

“คิกๆ ชักน่าสนใจ ข้าอยากลองดูว่าจะอยู่ในลำดับไหน… ” ดวงตาหลินจิ้งเป็นประกายสดใสพลางหัวเราะเสียงพลิ้วด้วยความตื่นเต้น

จิ่วโยวมองไปรอบๆ พร้อมกับความตื่นตะลึง นางสังเกตว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็มีจอมยุทธ์ชั้นสูงจำนวนมากมารวมกันที่นี่

“ดูเหมือนเจ้าไม่ใช่คนเดียวที่รู้เกี่ยวกับประโยชน์ของประตูมังกรทะยานสวรรค์นะ” จิ่วโยวพูดเสียงต่ำขณะมองฝูงชนหลั่งไหลเข้ามา

มู่เฉินไม่แปลกใจเนื่องจากขั้วอำนาจอื่นก็ตรวจสอบมาทุกวิถีทางเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาลใชช่วงหลายปีและประโยชน์ของประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร

“ว่ากันว่ามีประตูมังกรทะยานสวรรค์สามประตูอยู่ชั้นนอก ซึ่งที่นี่เป็นหนึ่งในนั้น ไม่งั้นคงได้เห็นคนมากกว่านี้” มู่เฉินยิ้ม

“พวกเราลองตอนนี้เลยไหม?” จิ่วโยวเริ่มจะเครื่องติดขึ้นมาเหมือนกัน

“ไม่ต้องใจร้อน รอดูก่อน” มู่เฉินยิ้มแล้วส่ายหัว มีอัจฉริยะมากมายมารวมตัวกัน เขาชักจะอยากเห็นผลลัพธ์ของคนเหล่านี้

หลินจิ้งกับจิ่วโยวไม่ได้โต้แย้งคำพูดนี้ พวกนางรอคอยด้วยความคาดหวังในหัวใจ เห็นได้ชัดว่าก็อยากรู้ความสามารถของคนอื่นๆ เช่นกัน

ขณะที่รอเสียงลมแหวกอากาศก็ดังไม่หยุด ร่างแสงพลิ้วลงมาราวกับฝนดาวตก ทำให้บริเวณนี้คึกคักยิ่งขึ้น

“หืม นั่นไม่ใช่มือวิญญาณหลิ่วกุยจากสำนักภูตอนธกาลหรือ? เขาก็มาที่นี่เช่นกัน”

เมื่อผู้คนมารวมตัวกันมากขึ้นก็เริ่มมีอัจฉริยะจากขั้วอำนาจชั้นสูงปรากฏตัว ทำให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วบริเวณ

เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ได้ยินประโยคเหล่านั้นก็หันไปมองเช่นกัน

ร่างในชุดสีเทาสิบกว่าร่างพุ่งเข้ามาแล้วพลิ้วตัวลงบนต้นไม้ใหญ่ ผู้นำดูธรรมดามาก แต่ดวงตาที่เป็นสีเทาควันกลับเปล่งรัศมีเยือกเย็น ทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดฮวบลงรวดเร็ว

“มือวิญญาณหลิ่วกุย อันดับสิบเจ็ด ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด” มู่เฉินมองไปที่พวกหลิ่วกุยพร้อมกับข้อมูลวาบขึ้นในใจ

“แล้วก็หวังทงเสียน อันดับสิบหก…” ไม่นานหลังจากการปรากฏตัวของหลิ่วกุย ภาพเงาสวมชุดสีเหลือง ทะยานเข้ามาราวกับกระเรียน ดึงดูดคำอุทานของคนหลายคน

“…”

ผู้คนยังส่งเสียงฮือฮาไม่หยุดหย่อน ภายในไม่กี่นาทีจอมยุทธ์ในยี่สิบลำดับแรกของทำเนียบรายชื่อก็ปรากฏตัวแล้วห้าหกคน

คนเหล่านี้ล้วนมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ทรงพลังยิ่งกว่าเซี่ยหง มิน่าล่ะถึงมีอันดับที่สูงกว่า

เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้ว มู่เฉินที่เพิ่งเข้ามาแทนที่อันดับยี่สิบดูไม่มีนัยสำคัญอะไรเลย

เมื่ออัจฉริยะเหล่านี้ปรากฏตัวก็มองไปที่ประตูมังกรด้วยสายตาลุกโชน แต่พวกเขาไม่รีบเร่งตามแรงกระตุ้น แต่ละคนรอคอยสำหรับเวลาที่ดีที่สุดที่จะลงมือ

“เอ๊ะ?”

ขณะรอ จู่ๆ สีหน้ามู่เฉินก็เปลี่ยนไปกะทันหัน เขาหันหน้ามองไปในทิศทางหนึ่งด้วยสายตาแปลกประหลาด นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงรัศมีกระบี่คมกริบหมุนคว้างเข้ามา

ฟิ้ว!

ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ หลังจากที่มู่เฉินสัมผัสได้ถึง เขาก็เห็นกระบี่สีเขียวพาดผ่านขอบฟ้าก่อนจะพุ่งลงมาบนยอดเขาใกล้ๆ

เมื่อรัศมีจางลง ชายที่สวมชุดสีฟ้าอมเขียวก็เผยตัวพร้อมกระบี่ยาวยาวสีเขียวพาดบนหลัง เขามีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น สายตาจ้องมองเหมือนเหยี่ยวซึ่งทำให้คนอื่นรู้สึกแสบผิว

เขาเปล่งรัศมีกระบี่ทรงพลังออกมารอบตัว ซึ่งทำให้มิติโดยรอบทนรับไม่ไหว ถูกบาดออกเป็นริ้วๆ

เมื่อเขาปรากฏตัวก็ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนทันที โดยเฉพาะจอมยุทธ์มีอันดับที่มาถึงก่อน ใบหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติพร้อมกับความตื่นตัวและความหวาดระแวงอัดแน่นในดวงตา

“เขาคือ…” จิ่วโยวหดดวงตาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ชัดว่ารู้สึกถึงอันตรายจากชายคนนั้น

“ฉินจิงเจ๋ออับดับห้า” มู่เฉินพูดช้าๆ การที่จะสามารถข่มจอมยุท์ยี่สิบอันดับแรกได้จนถึงระดับนี้ จะเป็นใครไม่ได้นอกจากฉินจิงเอ๋ออันดับห้า

แม้ว่าพลังของอีกฝ่ายจะอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด แต่จากการคาดเดาของมู่เฉิน พลังการต่อสู้ของเขาคงเหนือชั้นไปไกลแล้ว

ฉินจิงเจ๋อไม่ใส่ใจกับสายตาผู้คน เขามองไปที่ประตูมังกรทะยานสวรรค์อย่างเฉยเมย

“ดูท่าประตูฝั่งนี้จะมีจอมยุทธ์อันดับต้นๆ มาอยู่ด้วย” มู่เฉินยิ้มเอ่ย ฉินจิงเจ๋อถือเป็นจอมยุทธ์ที่มีอันดับสูงสุดในบรรดาคนที่มาที่นี่ตอนนี้ แน่นอนว่าอันดันห้าก็ถือว่าเป็นจอมยุทธ์ชั้นนำของทวีปเทียนหลัวแล้ว

ด้วยความสามารถนี้ไม่แปลกที่เขาจะมองข้ามคนอื่น บางทีในสายตาของเขาแม้แต่จอมยุทธ์อย่างหลิ่วกุยและคนอื่นๆ ที่มีขั้นเก้าระยะปลายสุดเหมือนกันก็ไม่เข้าตา

หลิ่วกุย หวังทงเสียนและคนอื่นๆ ไม่พอใจกับท่าทางหยิ่งยโสของฉินจิงเจ๋อ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นั่นเป็นเพราะแม้จะมีขุมพลังเท่ากัน พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินจิงเอ๋อ

อันดับห้า ไม่ใช่แค่ตำแหน่งที่เอาไว้เอ่ยเล่น

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ขณะผู้คนมองฉินจิงเจ๋อด้วยความกลัวและเคารพ ทันใดนั้นเสียงกระหึ่มก็ดังก้องระหว่างฟ้าดิน

เสียงที่ทะลวงโสตประสาทก็ทำให้ใบหน้าเฉยเมยของฉินจิงเจ๋อเปลี่ยนไป เขาเงยหน้าขึ้นสายตาจ้องมองท้องฟ้าไกลออกไป

มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงกะทันหันของฉินจิงเอ๋อ เขาหดดวงตาลง คนที่มาคือใครกันถึงสามารถทำให้ฉินจิงเจ๋อฉายความตกใจในดวงตาได้?

หรือว่า?

ใบหน้ามู่เฉินเคร่งขรึมลงหลายส่วนขณะมองไปที่ท้องฟ้าห่างไกล เขาเห็นจุดสีดำเล็กๆ พาดผ่านขอบฟ้าอย่างเร็วรี่ อึดใจก็มาปรากฏตัวในบริเวณนี้

เมื่อจุดสีดำเคลื่อนเข้ามาใกล้ ทุกคนก็สังเกตว่านี่เป็นแมลงสีดำที่มีสี่ปีก เปล่งรัศมีร้ายกาจออกมารอบตัว ดูดุร้ายมาก

มีผู้หญิงชุดขาวผมยาวยืนอยู่บนหลังแมลงสีดำ เรือนผมสีดำขลับปลิวไสวไปตามสายลม ในมือถือขลุ่ยหยก ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม นางดูอ่อนโยนและงดงามมาก

เป็นความแตกต่างมากเมื่อเปรียบเทียบหญิงสาวชุดขาวกับแมลงดุร้ายที่เป็นเหมือนลางร้ายสะกดอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนาง ทำให้คนอื่นถึงกับเหม่อลอย

มู่เฉินมองไปที่สาวงาม สายตาก็เคร่งเครียดลงไปหลายส่วน เขาแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยวก็ต่างเห็นแววกังวลในดวงตาอีกฝ่าย

ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว มีจอมยุทธ์คนเดียวที่มีเอกลักษณ์เช่นนี้และสามารถสร้างความหวาดหวั่นให้กับฉินจิงเจ๋อ

อันดับสองซึ่งเป็นหลิงฉงซือ—ซูชิงหยิง

ไม่คิดว่าจอมยุทธ์ชั้นยอดเช่นนี้จะมาที่นี่เช่นกัน

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1112 ประตูมังกรทะยานสวรรค์
ภูมิภาคแห่งนี้เต็มไปด้วยอากาศแห้งแล้ง

ท้องฟ้ามืดครึ้ม มิติไม่มั่นคง โดยมีรอยแตกมิติปรากฏบนท้องฟ้าเป็นครั้งคราว

พวกมู่เฉินยืนอยู่บนเนินเขามองพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล

มิติทอดยาวออกไปไกลจากเนินเขาและสามารถมองเห็นภูเขาได้ในระยะไกลพร้อมกับตำหนักโบราณบางแห่งตั้งอยู่

เมื่อมองไกลออกไปอีกก็จะเห็นเกาะหินลอยรกร้างอยู่บนท้องฟ้า ทว่าสถานที่แห่งนั้นถูกทิ้งร้าง

มิตินี้ราวกับหลับไหลมานับหมื่นปี

มู่เฉินสูดหายใจเบาๆ แลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยวและหลินจิ้ง สีหน้าทั้งสามก็เคร่งเครียดลง นั่นเป็นเพราะพวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีที่หลงเหลืออยู่ระหว่างสวรรค์และโลก

รัศมีเหล่านั้นละเอียดอ่อนและยากที่จะตรวจจับมีเพียงผู้ที่มีประสาทสัมผัสเฉียบแหลมเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้อย่างคลุมเครือ แม้ว่ารัศมีเหล่านั้นจะเบาบาง แต่ก็ยังทำให้พวกเขารู้สึกกดดันจนบรรยายไม่ได้

สามารถจินตนาการได้ว่ามีจอมยุทธ์ทรงพลังกี่คนที่สามารถเคลื่อนภูเขาได้ด้วยความคิดครั้งเดียวอยู่ที่นี่ มากจนแม้แต่รัศมีที่หลงเหลืออยู่หลังจากผ่านไปหลายหมื่นปียังทำให้พวกเขารู้สึกกดดัน

“สมฐานะวังสวรรค์บรรพกาลแท้จริง”

มู่เฉินถอนหายใจในใจก่อนจะมองไปที่เฉวียนหมิงพลางยิ้มบาง “ไม่ทราบว่าใครมีข้อเสนอแนะบ้าง? ถ้าไม่มีเราเดินหน้าไปก่อนไหม? ตามการคาดการณ์ของข้า เราน่าจะอยู่ในชั้นนอกของวังสวรรค์บรรพกาล”

เฉวียนหมิงมีข้อมูลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาล เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินคำถามของมู่เฉินก็รู้สึกอึดอัดเสไอแห้งๆ พลางพยักหน้า

คนอื่นๆ ก็ไม่มีการคัดค้านพยักหน้ารับกัน

เมื่อเห็นข้อตกลงนี้ มู่เฉินก็ไม่ได้พูดต่อกำหนดทิศทางคร่าวๆ จากนั้นก็เดินทางไปยังตำหนักที่อยู่ไกลออกไป

คนอื่นๆ ก็รีบตามมาที่ด้านหลัง

ระหว่างทางบนท้องฟ้าพวกมู่เฉินก็ก้มสำรวจไปรอบๆ ก่อนที่อากัปกิริยาจะสั่นสะท้าน พวกเขาเห็นเหวนรกมากมายบนพื้นดินซึ่งดูน่าหวดผวานัก

เหวนรกเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่เกิดจากการสู้รบเขย่าโลกในสมัยโบราณ

บางช่วงพบเห็นซากปรักหักพังของเมืองเก่าแต่ทั้งหมดก็พังพินาศ ดังนั้นพวกมู่เฉินจึงไม่ได้ลงมาตรวจดูเมืองเหล่านั้น

เมื่อพวกมู่เฉินไปถึงจุดหมาย เวลาก็ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วโมง ขณะที่พลิ้วตัวลงบนยอดเขาพวกเขาก็สังเกตเห็นเงาทอดลงบนยอดเขาอื่นๆ เช่นกัน

เห็นได้ชัดว่าภาพเงาเหล่านั้นมาจากสำนักอื่น

แต่ไม่มีใครกล้าที่จะเคลื่อนไหวก่อนที่จะสอบสวนสถานการณ์อย่างละเอียด ดังนั้นทุกคนจึงต่างตั้งระวังจากที่ไกลขณะที่สำรวจไปรอบๆ

มู่เฉินถอนสายตามองไปที่ตำหนักพังทลาย เขามองเห็นโครงกระดูกบางส่วนเกลื่อนกลาดอยู่ด้านนอก พวกเขาทั้งหมดอยู่ในท่าทางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาสามารถเห็นความน่ากลัวบนใบหน้าโครงกระดูกเหล่านั้นราวกับว่าเห็นบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวหล่นลงมาจากท้องฟ้า

“นี่น่าจะเป็นกองกำลังป้องกันชั้นนอกของวังสวรรค์บรรพกาล”

มู่เฉินยืนอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ถ้าเขาเดาไม่ผิดเผ่าปีศาจน่าจะปรากฏตัวจากที่นี่และเริ่มการโจมตีเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาลและทวีปเทียนหลัว…

กองกำลังป้องกันชั้นนอกของวังสวรรค์บรรพกาลน่าจะถูกทำลายลงในทันทีจนถึงจุดที่ผู้พิทักษ์เหล่านั้นไม่สามารถหลบหลีกได้ก่อนจะจบชีวิตลง

มู่เฉินมองไปรอบๆ ก่อนจะย่อตัวลงเห็นริ้วแสงที่สะท้อนออกมาจากมือของโครงกระดูก เมื่อแกะมือออกก็เผยให้เห็นป้ายทองแดง

หยิบป้ายขึ้นมาก็เห็นรูปสลักโบราณหมาป่าสีฟ้าอมเขียวบนนั้น

“ป้ายหมาป่าเขียว?”

ขณะที่มู่เฉินพิจารณาอยู่ป้ายก็สลายกลายเป็นขี้เถ้าปลิวหายไป

มู่เฉินตกตะลึงเมื่อมองไปที่โครงกระดูกอื่นก็เห็นว่าถือป้ายทองแดงเช่นกัน แต่ภาพแกะสลักบนป้ายเป็นรูปหมาป่าสีขาว

“นี่น่าจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงฐานะตัวตน” จิ่วโยวพูดจากด้านข้าง

มู่เฉินพยักหน้า เห็นได้ว่าเจ้าของป้ายหมาป่าเขียวน่าจะแข็งแกร่งกว่าเจ้าของป้ายหมาป่าขาว

เนื่องจากเบาะแสมีจำกัด ทุกคนจึงตรวจดูแบบสั้นๆ ก่อนที่จะส่ายหัว แสดงว่าไม่ได้มีผลการเก็บเกี่ยวอะไรเช่นกัน

แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ผิดหวังกับเรื่องนี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปในระยะไกล “ดูเหมือนว่าเราเดินทางมาถูกทางแล้ว”

เขามองไปยังเทือกเขาที่ไม่เห็นจุดสิ้นสุด แต่สามารถมองเห็นภาพวังโบราณขนาดใหญ่อยู่ได้อย่างเลือนราง

“ไป”

มู่เฉินไม่ได้เสียเวลาในการตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาทันที เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากทิศทางนั้น

พวกเขาเพิ่มความเร็วทะยานผ่านเทือกเขา จากนั้นก็เริ่มเห็นเกาะหินลอยบนท้องฟ้าไกลโพ้น

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้าใกล้วังสวรรค์บรรพกาลแล้ว

ฟิ้ว!

พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่จะก้าวสู่พื้นที่บริเวณหนึ่ง มู่เฉินก็หดดวงตาพร้อมกับอาการสั่นสะท้านกระดูกสันหลัง เขาหยุดคำรามออกมาทันที “หยุด!”

จิ่วโยว หลินจิ้งและคนอื่นๆ หยุดลงทันที มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นคนหนึ่งตอบสนองได้ไม่ทันท่วงทีทะยานตัวเข้าไป

ปัง!

มือของมู่เฉินพุ่งออกไปราวกับสายฟ้าฟาด คว้าเข้าที่ไหล่ของจอมยุทธ์นั้นกระชากร่างอย่างแรง

จอมยุทธ์คนนั้นตัวแข็งทื่อ หยุดตัวลงมองไปข้างหน้าที่ห่างออกไปครึ่งชุ่นด้วยความกลัว ตรงนั้นมีเส้นสายคลื่นหลิงจำนวนมากอยู่ แม้จะเหมือนไม่เป็นจริง แต่ถ้ามองให้ละเอียดก็จะพบว่ามันปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า

เส้นนั้นไม่ได้ดูโดดเด่น แต่ไม่รู้ทำไมกลับทำให้ทุกคนสั่นเทิ้มในใจ ราวกับว่าพวกเขาจะถูกทำลายทันทีที่ได้สัมผัส

มู่เฉินดึงร่างจอมยุทธ์คนนั้นกลับมาก่อนที่จะครุ่นคิดสั้นๆ จากนั้นก็หยิบหอกซัดออกไป

ชี่!

ทันทีที่หอกสัมผัสกับเส้นเหล่านั้นก็ถูกหั่นออกเป็นหลายส่วนและสลายกลายเป็นจุดแสงหายไป

ซื้ด

ทุกคนสูดอากาศเย็นเข้าปอด เห็นได้ชัดว่าหอกนั้นเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลาง แต่ก็ถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย

หากพวกเขาพุ่งเข้าใส่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ไม่สามารถรอดพ้นจากความตายได้

“น่ากลัวจริงๆ…” หลินจิ้งอุทานด้วยความหวาดเกรง

ร่างจอมยุทธ์ที่ถูกช่วยไว้ร่างก็ปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็นขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความรู้สึกขอบคุณในสายตา ถ้ามู่เฉินช้ากว่านี้ก้าวเดียว เขาก็คงเป็นเหมือนหอกที่สลายกลายเป็นอากาศธาตุ

“นี่เป็นค่ายกล…”

มู่เฉินมองไปที่เส้นผลึกทึบบนท้องฟ้าพลางพูดด้วยความอัศจรรย์ใจ

เพราะเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคยซึ่งทำให้หนังศีรษะของตนเองถึงกับชาหนึบไปหมด

ค่ายกลนี้อยู่ในระดับจงซือเป็นอย่างน้อยแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังเดือดร้อนกับมัน

“ทำยังไงดี?” เฉวียนหมิงถามด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะมู่เฉินตอนนี้พวกเขาคงบาดเจ็บล้มตายกันแล้ว

“ค้นหาทางเข้า”

มู่เฉินพูดอย่างใจเย็น ตามการคาดการณ์ของเขานี่น่าจะเป็นค่ายกลป้องกันที่อยู่ชั้นนอกวัง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็น่าจะมีทางเข้าสำหรับสมาชิกอยู่

ทุกคนพยักหน้ามองไปที่ค่ายกลขนาดใหญ่ที่ดูไร้ขอบเขต หากหาทางเข้าไม่พบการเดินทางของพวกเขาก็ไปต่อไม่ได้แม้แต่ครึ่งก้าว

เมื่อมีเป้าหมายทุกคนจึงเริ่มค้นหาอย่างรอบคอบ

ขณะที่พวกเขาค้นหา สถานที่แห่งนี้ก็เริ่มเกิดความคึกคัก เสียงลมแหวดอากาศดังก้องขณะที่ร่างแสงหลายร่างเข้ามาใกล้

ทว่าเมื่อร่างแสงเหล่านั้นเข้ามา พวกเขาก็ส่งเสียงร้องโหยหวนเนื่องจากมีคนประมาทบางคนกระแทกเข้ากับค่ายกลจนสลายหายไป ทำให้เกิดเสียงกรีดร้องดังทั่วไปหมด

บริเวณนี้กลายความโกลาหลย่อมๆ แต่พวกเขาก็สังเกตเห็นบางอย่าง จึงถอยออกไปในทันทีไม่กล้าเข้าใกล้ค่ายกลและพยายามค้นหาทางเข้า

ด้วยผู้คนจำนวนมากที่ช่วยกันค้นหาในเวลาเดียวกัน พวกมู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งในหนึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเขารีบพุ่งไปอย่างรวดเร็วจากนั้นก็พลิ้วตัวลงบนก้อนหินมหึมา

บริเวณนี้มีผู้คนมากมายมาออรวมกัน ชัดว่าต่างได้ยินเสียงความวุ่นวาย

ในเวลาเพียงสิบนาทีบริเวณนี้ก็เต็มไปด้วยจอมยุทธ์มากมาย

มู่เฉินกวาดสายตามองไป ดวงตาก็หดลงเล็กน้อย เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังหลายสาย ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเซี่ยหงเลยทีเดียว

เห็นได้ชัดว่านี่ถือป็นการรวมตัวของจอมยุทธ์อัจฉริยะ

ขณะที่คิดสิ่งนี้ในใจ มู่เฉินก็มองขึ้นไปข้างหน้าเห็นประตูขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน ประตูนั้นเก่าแก่มีอักษรลวดลายลึกซึ้งนับไม่ถ้วนสลักอยู่ ตัวอักษรโบราณที่ไม่ชัดเจนสลักอยู่ด้านบน

“นั่นคือ…”

มู่เฉินมองไปที่ตัวอักษรโบราณก็หรี่ตาลง

ประตูมังกรทะยานสวรรค์?

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1111 แอบสู้กันในอุโมงค์
ทันทีที่เข้าสู่อุโมงค์มิติ

พวกมู่เฉินก็รู้สึกเหมือนถูกกลืนกินโดยความมืดมิดที่รุนแรง ซึ่งทำให้เส้นขนทั่วสรรพางค์กายลุกชัน ราวกับพายุที่สร้างหายนะ ซึ่งประหนึ่งต้องการจะทำลายอุโมงค์ให้ราพณาสูร

พวกเขามองไปที่อุโมงค์อย่างกังวล หากอุโมงค์นี้พังทลายลงพวกเขาก็คงโบกมือลาโลกนี้แล้ว

แต่โชคดีที่อุโมงค์ค่อนข้างเสถียรเนื่องจากถูกสร้างขึ้นโดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหลายคน แม้จะตะกุกตะกักแต่ก็ยังทรงตัวและไม่อับปางลง

พวกมู่เฉินรีบเคลื่อนไหวผ่านอุโมงค์ไปอย่างรวดเร็ว

มีรอยร้าวปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว พวกเขาสามารถเห็นภาพดินแดนโบราณและขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง

มิตินี้ราวกับว่ามีการปิดผนึกพื้นที่ไว้ในนั้น

“ระวังด้วย” มู่เฉินมองทุกคนขณะที่เอ่ยเตือน

“เมื่อเราเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาล ทุกคนจงติดตามข้าให้ดี มิฉะนั้นข้าจะไม่สามารถดูแลทุกคนได้” ทันทีที่มู่เฉินพูดจบเสียงเย่อหยิ่งเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ซึ่งก็คือเฉวียนหมิงแห่งตำหนักสุดนภา

เขามองไปที่มู่เฉินโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ แต่ความหมายเบื้องหลังสายตาชัดเจน แพะแก่ตัวนี้กำลังบอกมู่เฉินว่าเขาเป็นหัวหน้ากลุ่มนะ

แม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่พอใจกับความหยิ่งยโสของเฉวียนหมิง แต่เขาก็แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มและเป็นที่พึ่งพาได้มากกว่า

สำหรับมู่เฉินแม้ว่าจะมีชื่อเสียงในภูมิภาคทางเหนือ แต่เขาก็เป็นเพียงจอมยุทธ์หนุ่มขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ดังนั้นจึงน่าจะยังอ่อนแอกว่าเฉวียนหมิง

เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นในใจบางคนก็ขยับเข้าใกล้เฉวียนหมิงมากขึ้น

ใบหน้าของมู่เฉินกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้เมื่อเห็นภาพนี้ แพะแก่ตัวนี้โบราณคร่ำครึแท้จริง ช่างเป็นผู้นำที่เส็งเคร็ง เขาคิดว่าตนต้องการตำแหน่งนั้นจริงๆ หรือ?

มู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยว นางยักไหล่ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เผชิญหน้ากับตาแก่ดื้อรั้นและหยิ่งยโสก็ไม่มีอะไรจะพูด นอกจากนี้เฉวียนหมิงยังใช้อายุข่มได้ดี เขาไม่ได้มองพวกเขาในสายตาสักนิด

มู่เฉินเบ้ปากไม่คิดจะโต้เถียงกับชายชราในเรื่องที่น่าเบื่อเช่นนี้ เพราะยังไงหลังเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาล หากมีโอกาสเขาก็จะนำจิ่วโยวและหลินจิ้งออกจากกลุ่มนี้ไป

เมื่อเฉวียนหมิงเห็นมู่เฉินเงียบลงก็คิดว่าชายหนุ่มเห็นด้วย เขาจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

ผ่านสถานการณ์เล็กน้อยไปได้ คนทั้งกลุ่มก็ออกเดินทางอย่างรวดเร็ว เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็รู้สึกได้ว่ามาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

มู่เฉินกวาดสายตามอง จากนั้นดวงตาก็หดลง เนื่องจากเขาพบว่ามิติรอบตัวผันผวน มีอุโมงค์คล้ายกันกับของพวกเขาปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราวพร้อมกับคนอยู่ภายในนั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาจากขั้วอำนาจอื่นที่มุ่งหน้ามายังวังสวรรค์บรรพกาลเช่นกัน

ในสถานการณ์ที่อุโมงค์ไขว้ทับกัน แต่ละฝ่ายต่างตั้งระวังรักษาระยะห่างจนกว่าจะออกห่างกันถึงจะรู้สึกโล่งใจได้

มู่เฉินมองอุโมงค์เหล่านั้นตัดเข้าด้วยกัน แต่ขณะที่รู้สึกโล่งใจทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสั่นสะท้านลงไปที่กระดูกสันหลัง

เขารู้สึกได้ถึงสายตาอันตรายอย่างยิ่ง

เขาหันหน้าไปทางขวา ก็เห็นอุโมงค์หนึ่งที่มีเงาร่างสิบกว่าร่างอยู่ในนั้น

ท่ามกลางคนเหล่านั้นมู่เฉินเห็นคนรู้จัก องค์ชายสี่แห่งแคงว้นเซี่ย—เซี่ยหง!

เวลานี้อีกฝ่ายดูค่อนข้างน่าอนาถ แขนข้างหนึ่งกุด ใบหน้าซีดขาว เมื่อเขาเห็นมู่เฉินสายตาจึงเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัวก่อนจะหันหัวไปพูดอะไรบางอย่างกับคนด้านข้าง

มู่เฉินเลื่อนสายตาไปที่คนข้างๆ เซี่ยหงก็หรี่ตาลงเล็กน้อย

นั่นเป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีทองท่าทางสุขุมนุ่มลึก ทุกการเคลื่อนไหวและคำพูดที่เปล่งออกมาทำให้ผู้อื่นรู้สึกถูกกดขี่

เซี่ยหงถือได้ว่าเป็นชนชั้นสูงแล้ว แต่เขาดูหม่นหมองลงเมื่อเทียบกับชายด้านข้าง

สายตาอันตรายที่มู่เฉินรู้สึกก็มาจากบุคคลนั้น

“ศัตรูนี่เจอกันบ่อยจริงๆ” มู่เฉินขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าจะได้พบกับพวกแคว้นเซี่ยก่อนที่จะเข้าไปในวังโบราณ นอกจากนี้หากเขาเดาไม่ผิด ชายคนนั้นน่าจะเป็นองค์ชายใหญ่เซี่ยหยู่อันดับสี่บนทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่

มู่เฉินมองไปที่ชายชุดคลุมสีทองก็เห็นว่าเมื่อฟังคำพูดของเซี่ยหงจบ เขาก็กวาดสายตาประหนึ่งจักรพรรดิสูงส่งโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ

เขาเหลือบไปที่มู่เฉินก่อนจะหลุบตาลงโดยไม่สนใจ ทว่าก็ยังคงพยักหน้าเบาๆ

การพยักหน้าของเขาไม่ได้พุ่งไปที่มู่เฉิน เพราะเมื่อเขาทำลงไป ชายสูงวัยสามคนก็เดินหน้าขึ้นมา ทั้งสามมีคลื่นหลิงทรงพลังผันผวนรอบตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉวียนหมิงเลยแม้แต่น้อย

ทั้งสามคนก้าวออกมาแล้วซัดกำปั้นออกไปโดยไม่ลังเล

ครืน!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกไปแล้วม้วนตัวพุ่งไปยังกลุ่มของมู่เฉิน เมื่อเห็นการกระทำนั่นก็บ่งบอกชัดว่าพวกเขาตั้งใจที่จะทำลายอุโมงค์เดินทางของพวกมู่เฉิน

“บ้าเอ้ย!”

“ไอ้สารเลว!”

เมื่อจอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็เขียวคล้ำลงเนื่องจากไม่คิดว่าคนเหล่านั้นจะใจเหี้ยมขนาดนี้ สีหน้าเฉวียนหมิงก็ไม่น่าดู เขาวาดกระบวนท่าขึ้นอย่างรวดเร็ว คลื่นหลิงสีฟ้าน้ำแข็งหลั่งออกมารุนแรงกลายเป็นโล่ปกป้องอุโมงค์ไว้

เนื่องจากเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดคนเดียว คลื่นหลิงระดับขั้นเก้าทั่วไปจะถูกทำลายโดยพายุมิติรุนแรงทันทีที่ออกจากอุโมงค์

ตู้ม!

การโจมตีจากจอมยุทธ์สามคนซัดลงบนโล่หนักหน่วง คลื่นกระแทกป่าเถื่อนกวาดออกไปพร้อมกับเศษน้ำแข็งกระเซ็นไปทุกทิศทางก่อนที่โล่จะพังทลาย

เมื่อโล่แตกออกใบหน้าของเฉวียนหมิงก็เปลี่ยนไป เขาไม่สามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์สามคนที่มีพลังเทียบเท่ากับตัวเองได้พร้อมกัน

โล่แตกสลาย คลื่นกระแทกก็ซัดเข้ามาพยายามโยกคลอนอุโมงค์ของพวกเขา

ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปด้วยความตื่นตระหนก หากมีอะไรเกิดขึ้นพวกเขาตายแน่นอน

แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ มู่เฉินก็ก้าวออกมาพร้อมสะบัดแขนเสื้อ สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนควบแน่นเป็นสายผนึกบินฉวัดเฉวียนออกมารวมเข้ากับมิติโดยรอบอุโมงค์กลายเป็นชั้นค่ายกล

ตอนที่เขาเห็นพวกแคว้นเซี่ย ก็เริ่มกลั่นสัญลักษณ์หลิงยิ่งเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตอนนี้ใช้ได้พอดี

ปัง! ปัง!

แม้ว่าค่ายกลจะไม่ได้อยู่ในระดับสูงสุด แต่ก็เป็นในแง่ปริมาณมากกว่าคุณภาพซึ่งทั้งหมดใช้เพื่อการป้องกัน เมื่อรวมเข้าด้วยกันจำนวนมากก็กลายเป็นโล่ป้องกันชั้นดี

ดังนั้นหลังจากระลอกคลื่นเข้าทำลายค่ายกลไปสิบกว่าค่ายกล พลังงานที่เหลือก็สลายไป

เฮ้อ!

ทุกคนรู้สึกโล่งใจอย่างมากกับภาพเบื้องหน้า

เซี่ยหยู่รู้สึกได้ถึงความล้มเหลว เขาก็เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจมองไปที่มู่เฉิน เขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์ที่เกือบจะบรรลุขั้นเก้าจะสามารถรับการโจมตีจากขั้นเก้าระยะปลายสุดถึงสามคนได้

“หลิงเจิ้นซือเรอะ…”

เซี่ยหยู่พึมพำกับตัวเองก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนให้มู่เฉิน จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงของตนเองผ่านอุโมงค์ทะลุเข้าโสตประสาทของพวกมู่เฉิน “พี่มู่ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ หากเราพบกันในวังสวรรค์บรรพกาล ข้าหวังว่าจะได้ลิ้มรสความแข็งแกร่งของเจ้า”

รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนและเป็นมิตรราวกับว่าคำสั่งโจมตีชั่วร้ายเมื่อครู่ไม่เคยมีมาก่อน

มู่เฉินรักษาสีหน้าไว้โดยไม่ได้แสดงออกอะไร ชายคนนั้นอันตรายกว่าเซี่ยหงหลายเท่า ถ้าเซี่ยหงเป็นหมาป่าที่ดุร้าย เซี่ยหยู่ก็จะเป็นอสรพิษที่ไม่เผยอะไรง่ายๆ แต่ถ้าลงมือก็ถึงชีวิตทันที

ดูเหมือนว่าเขาจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นหากต้องเจอกัน

เมื่อเซี่ยหยู่พูดจบก็โบกแขนเสื้อพาพรรคพวกออกไปโดยมีเซี่ยหงท่าทางไม่พอใจติดตามไปอย่างรวดเร็ว หายไปจากครรลองสายตาในพริบตา

เซี่ยหยู่จากไปอย่างสง่างาม เพราะการไขว้กันของมิติแบบนี้มีเวลาช่วงสั้นๆ เท่านั้น เนื่องจากก่อนหน้าเขามั่นใจมากเกินไปจึงไม่ได้ขยับตัว แม้ว่าตอนนี้ต้องการที่จะจัดการเป็นการส่วนตัวแต่ก็สายเกินไป ดังนั้นเขาจึงจากไปอย่างเด็ดขาด

เมื่ออีกฝ่ายไปแล้วพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็สาปส่ง ก่อนจะประสานมือคารวะไปให้มู่เฉิน

“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านเฉวียนหมิงทำให้การโจมตีของพวกมันอ่อนแอ ข้าก็คงสกัดไม่ได้เช่นกัน” มู่เฉินยิ้มบางตอบแทนความขอบคุณของพวกเขา

เมื่อเฉวียนหมิงได้ยินคำพูดนั่นก็อึ้งไปก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เห็นชัดว่าเขาไม่คิดที่มู่เฉินยกย่องตนเองเช่นนี้

“คลื่นลูกใหม่มาแทนคลื่นลูกเก่าจริงๆ ไม่คิดว่าจอมยุทธ์ชั้นสูงรุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือจะมาถึงระดับนี้” สายตาของเฉวียนหมิงดูอ่อนโยนมากขึ้น ความเย่อหยิ่งก็ลดลงไปหลายส่วน

นั่นเป็นเพราะเขารู้ชัดว่าแม้ตนจะทำให้การโจมตีของอีกฝ่ายอ่อนแอลง แต่คลื่นกระแทกก็ยังไม่สามารถประเมินได้ต่ำ กระทั่งว่าเขาเทหมดหน้าตักก็อาจเสียเปรียบเช่นกัน แต่ไม่คิดว่าจะถูกค่ายกลจำนวนมากที่มู่เฉินสร้างไว้ก่อนขัดขวางไว้

มู่เฉินยิ้มอย่างสุภาพ แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉวียนหมิงจะไม่มาก แต่พวกเขายืนอยู่บนเรือลำเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ความสัมพันธ์ตึงเครียดเกินไป

“อีกไม่นานก็จะถึงจุดหมายแล้ว”

มู่เฉินมองไปที่เบื้องหน้าอุโมงค์ บริเวณนั้นความผันผวนเริ่มสงบลงแล้ว เขามองเห็นรัศมีสีขาวที่ปลายทาง

“จงระวังเมื่อเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาล”

ทุกคนพยักหน้า

ภายใต้การตั้งระวังของทุกคน เส้นทางอุโมงค์ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เกลียวแสงสีขาวพวยพุ่งเข้ามา ร่างพวกเขาก็เดินผ่านทาง

ทันใดนั้นสภาพแวดล้อมที่มืดมิดก็สว่างวาบ พวกเขาหรี่ตาลงก่อนที่ดวงตาพร่าจะกลับเป็นปกติแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ

พวกเขายืนอยู่บนเนินเขา ทั้งภูมิภาคเงียบสงบโดยไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ แต่มีกลิ่นอายโบราณผันผวนระหว่างสวรรค์และโลก

มู่เฉินมองไปที่ฉากโบราณเบื้องหน้าก็ไม่สามารถหยุดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจได้

ในที่สุดเขาก็เข้ามาในวังสวรรค์บรรพกาลได้แล้วเรอะ?

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1110 เข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล
เวลาผ่านไปดินแดนสุดขอบตะวันตกก็คึกคักมากขึ้น

แม้แต่สถานที่แห่งนี้ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็ยังมีขั้วอำนาจอื่นๆ เข้าใกล้ แต่เมื่อรู้สึกถึงการรวมตัวที่ยิ่งใหญ่พวกเขาก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงไป ท้ายที่สุดไม่มีใครอยากสร้างปัญหาในตอนนี้เพื่อที่จะไม่รุกรานศัตรูที่ทำให้ลำบากใจ

ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ห้าวันผ่านไปอย่างเงียบๆ

เมื่อวันที่ห้ามาถึงมู่เฉินที่กำลังฝึกฝนอยู่บนยอดเขาก็สัมผัสถึงบางอย่างจนลืมตาขึ้น เขายืนขึ้นมองไปในระยะไกล

มิติยังคงอยู่ในสภาพรุนแรง แต่ก็เริ่มสงบลงและส่วนแตกร้าวก็แสดงสัญญาณของการฟื้นฟู

มองจากระยะไกลดูเหมือนว่ามีมือขนาดใหญ่กำลังต่อพื้นที่เข้าด้วยกัน

“ฟ้าดินฟื้นฟูด้วยตัวเอง” เสียงของมั่นถัวหลัวดังก้องที่เบื้องหลัง นางยืนอยู่บนก้อนหินสีฟ้าอมเขียว สายลมที่พัดมาทำให้ชุดพลิ้วไหว ร่างเล็กดูราวกับกำลังจะถูกลมหอบออกไป

แต่มีเพียงคนที่รู้จักนางเท่านั้นที่รู้ว่ามีพลังงานที่น่ากลัวอยู่ในร่างเล็กจิ๋วนั่น

มู่เฉินพยักหน้า จากนั้นสายตาก็หดลงขณะมองไปรอบๆ เวลานี้เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวถูกปล่อยออกมาอย่างเงียบๆ จากใจกลางของดินแดนตะวันตกสุดขอบ

พวกเขาน่าจะเป็นผู้นำขั้วอำนาจต่างๆ ที่เฝ้าดูและรอโอกาสที่ดีที่สุด

ซึ่งโอกาสนั้นจะเกิดในวันนี้

ทุกคนจากภูมิภาคทางเหนือก็สามารถสัมผัสได้ถึงมิติที่สงบลง ทันใดนั้นความสุขก็กระจายบนใบหน้า

“ดูเหมือนว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะดำเนินการ” เสียงดังก้องจากด้านหลัง มู่เฉินเหลือบไปมองก็เห็นใบหน้าคุ้นเคยของคนที่พูด เขาก็คือประมุขตำหนักสุดนภา…หลิ่วเทียนเต้า

ตอนนั้นมีความเป็นศัตรูกันระหว่างเขากับตำหนักสุดนภา เพราะทั้งหลิ่วหมิงและหลิ่วเหยียนต่างพ่ายแพ้ในมือเขา

แต่พร้อมกับพลังที่เพิ่มขึ้นของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตำหนักสุดนภาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิมอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่หยิ่งยโสอย่างที่เป็นมา

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการรวมตัวกันของจอมยุทธ์ทั่วทวีปเทียนหลัว ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นของพวกเขาธรรมดามาก จึงต้องพึ่งพาพลังของมั่นถัวหลัว มิฉะนั้นจุดยืนของพวกเขาจะถูกยึดครองโดยผู้อื่นทันที

ขณะที่มู่เฉินกวาดสายตาไปที่หลิ่วเทียนเต้า อีกฝ่ายก็สีมผัสได้ การแสดงออกของเขาดูกระอักกระอ่วนไปเล็กน้อย ใบหน้าของเขากระตุกก่อนที่จะเลื่อนสายตาออกไป

“ข้าเชื่อว่าพวกเจ้ารู้ถึงสถานการณ์ของวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นเราจะผนึกกำลังเพื่อสร้างอุโมงค์มิติเพื่อส่งผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าไป” มั่นถัวหลัวกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา “ทว่าอุโมงค์มิติเช่นนี้ไม่สามารถให้คนผ่านไปได้มาก ดังนั้นจึงมีจำนวนจำกัด อาณาเขตกงเวทสวรรค์ต้องการสามที่”

พันธมิตรในปัจจุบันก่อตั้งขึ้นด้วยห้าขั้วอำนาจเกรียงไกรของภูมิภาคทางเหนือ จากการคาดการณ์น่าจะส่งคนเข้าไปได้เพียงสิบคนเท่านั้น ซึ่งสามที่ที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เอาไปก็ชัดว่าไม่น้อยแล้ว

แต่พวกเขาก็ไม่มีความคิดคัดค้าน เนื่องจากพลังของมั่นถัวหลัวมีคุณสมบัติที่จะได้หลายที่

“มู่เฉิน จิ่วโยวและแม่นางหลินจิ้ง ข้ามอบสามที่ของสำนักให้พวกเจ้า” มั่นถัวหลัวหันไปมองทั้งสามคน

หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นตะลึงไป เพราะในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ซุ่ยนอนน่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากมั่นถัวหลัว ไม่คิดว่ามั่นถัวหลัวจะไม่เลือกเขา

เป็นเรื่องปกติสำหรับมู่เฉินและจิ่วโยว แต่หญิงสาวที่ชื่อหลินจิ้งเป็นใคร?

“ข้าด้วยเหรอ? ขอบคุณมากท่านประมุข!” หลินจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ มู่เฉินก็อึ้งไป จากนั้นก็หายจากตกใจพร้อมกับดวงตาเป็นประกายยิ้มแย้มแจ่มใส

“ข้าเชื่อว่าแม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเรา เจ้าก็สามารถเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาลได้เอง ในเมื่อเป็นแบบนี้ทำไมข้าไม่ให้ความช่วยเหลือเจ้าซะเองล่ะ?” มั่นถัวหลัวยิ้มทันทีที่พูด

แม้ว่าหลินจิ้งจะไม่ใช่จอมยุท์ขมพลังตี้จื้อจุน แต่สัญชาตญาณบอกมั่นถัวหลัวว่ามิติรุนแรงนอกวังสวรรค์บรรพกาลหยุดยั้งแม่นางน้อยคนนี้ไม่ได้

หลินจิ้งหัวเราะเบาๆ กะพริบตาวิบวับ แต่ไม่ได้ตอบคำถามของมั่นถัวหลัว

ขณะที่หลินจิ้งและมั่นถัวหลัวสนทนากัน ขั้วอำนาจอื่นๆ ก็เลือกจอมยุทธ์เรียบร้อย ซึ่งล้วนเป็นผู้อาวุโสในสำนักที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า

คนที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นผู้อาวุโสจากตำหนักสุดนภาที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดและถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนที่จะเข้าไป

“ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดเรอะ?” มู่เฉินประหลาดใจไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าตำหนักสุดนภาจะได้จอมยุทธ์ที่ทรงพลังเช่นนี้ในหนึ่งปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าพวกเขาจ่ายราคาไปมากเลยทีเดียว

“เขาคือเฉวียนหมิงเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าของภูมิภาคทางเหนือ ซึ่งเป็นหมาป่าเดียวดายที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างยิ่ง แต่ครั้งนี้ตำหนักสุดนภาจ่ายราคาสูงลิ่วจนเขายอมเข้าร่วมด้วย” จิ่วโยวพูดเบาๆ ที่ด้านข้างมู่เฉิน

มู่เฉินพยักหน้า

มั่นถัวหลัวมองไปยังทุกคน “ในการเดินทางเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาลทุกคนถือว่าเป็นสหายกัน ดังนั้นหากใครมีปัญหา ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะช่วยกัน ในสถานที่นี้ถ้าใจไม่คิดช่วยกัน คงยากที่จะก้าวไปข้างหน้าได้”

มู่เฉินและคนอื่นๆ พยักหน้ารับทราบคำพูดของนาง

เฉวียนหมิงยกเปลือกตาขึ้นขณะที่กวาดสายตามองไปที่พวกมู่เฉิน “ท่านประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์โปรดวางใจชายชราคนนี้ ข้าจะดูแลเด็กๆ เอง”

แม้จะมีเสียงแหบแห้ง แต่เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยองซึ่งทำให้คนที่ถูกเลือกคนอื่นๆ เบ้ปาก ตาแก่นี่พยายามมากเกินไปที่จะแสดงตัว

มู่เฉินและจิ่วโยวยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ แต่ไม่ได้ว่าอะไร แม้ว่าชายชราจะดูหยิ่งยโส แต่ก็พูดด้วยเจตนาดีดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเคืองใจ

เมื่อเห็นดังนี้ มั่นถัวหลัวก็แค่ยิ้ม จากนั้นพยักหน้าเอ่ยขึ้น “ในเมื่อทุกคนเตรียมพร้อมแล้ว ก็ไปกันได้เลย”

“ไป!”

เมื่อพูดจบร่างนางก็กลายเป็นร่างแสงทะยานออกไป

ผู้นำคนอื่นๆ ตามไปอย่างใกล้ชิดโดยมีคนที่ถูกเลือกตามหลังมา

ขณะที่พวกมู่เฉินเคลื่อนพล คลื่นหลิงมหาศาลและทรงพลังอื่นๆ ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ฟ้าดินถึงกับสั่นสะเทือน

เห็นได้ชัดว่าผู้นำสำนักอื่นๆ ก็เคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน

ฟิ้ว!

ขณะที่พวกเขาเดินตามมั่นถัวหลัวลึกเข้าไปในดินแดนสุดขอบตะวันตก พวกเขาก็เริ่มสัมผัสได้ว่ามิติแตกร้าวน่ากลัวเพียงใด คลื่นพลังงานรุนแรงพัดออกมาทำให้ทุกคนรู้สึกว่าคลื่นหลิงกำลังจะถูกฉีกออกจากร่างกาย

“ช่างเป็นแรงฉีกมิติที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้…” สีหน้าของมู่เฉินกลายเป็นเคร่งเครียด นี่เป็นเพียงระลอกคลื่นถ้าพวกเขาอยู่ภายใน ร่างกายและคลื่นพลังงานของพวกเขาคงจะถูกแยกออกจากกันทันที

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นมิติที่แตกร้าวในระยะไกล รอยแตกแผ่ซ่านออกมาราวกับมังกร ความผันผวนที่มาจากรอยแตกทำให้หนังหัวชาหนึบไปหมด

มั่นถัวหลัวและเหล่าประมุขหยุดอยู่ห่างจากรอยแตกหลายหมื่นจั้ง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตของพวกเขาปะทุออกมาจากร่างซึ่งปกคลุมกลุ่มมู่เฉินปิดกั้นจากผลกระทบของพายุมิติ

ยืนอยู่ตรงหน้ารอยแตกขนาดใหญ่โดยมีความมืดมิดปกคลุมก็ดูราวกับหลุมเหวลึกดำ หากมองใกล้เข้าไปมากขึ้นก็จะตระหนักถึงวังโบราณที่เปล่งประกายความเก่าแก่และลึกลับ

นั่นก็คือทางเข้าของวังสวรรค์บรรพกาล

มั่นถัวหลัวเอี้ยวศีรษะแลกเปลี่ยนสายตากับประมุขคนอื่นๆ ก่อนที่จะออกกระบวนท่าในเวลาเดียวกัน แสงหลิงก่อตัวเป็นรูปธรรมกวาดออกจากร่างพวกเขาพุ่งไปที่รอยแตกสีดำ

ตู้ม! ตู้ม!

เมื่อลำแสงพุ่งออกไป เสียงกัมปนาทก็ดังกึกก้องทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน อุโมงค์ความกว้างสิบกว่าจั้งค่อยๆ ถูกฉีกออก

เมื่อมองไปที่อุโมงค์ที่เปิดออกมู่เฉินก็แอบเดาะลิ้น คนเหล่านี้คู่ควรกับการเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแท้จริง ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าราวกับหิ่งห้อยวูบไหวเบื้องหน้าดวงจันทร์เมื่อเทียบกับพลังหลิงขนาดใหญ่เหล่านั้น

“เข้าไป!” มั่นถัวหลัวส่งเสียงดังลั่น

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นในดินแดนนี้มีลำแสงขนาดใหญ่จำนวนมากทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเปิดเส้นทางในเวลาเดียวกัน

ชัดว่าตอนนี้ขั้วอำนาจชั้นยอดในทวีปเทียนหลัวก็เลือกวิธีเดียวกันเพื่อฉีกเส้นทางเปิดกว้างส่งสมาชิกเข้าไปเป็นตัวเชื่อมกับวังโบราณ

สามารถจินตนาการได้ว่าการแข่งขันจะรุนแรงเพียงใดหลังจากจอมยุทธ์จำนวนมากเช่นนี้เข้าไป

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึก สายตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคมกริบ

“ไป!” เขาคำรามไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างกลายเป็นร่างแสงทะยานเข้าไปในอุโมงค์

จิ่วโยว หลินจิ้งและคนที่เหลือก็ตามหลัง พวกเขาหายเข้าไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเข้าไปในอุโมงค์มิติ ไฟแห่งการต่อสู้ก็ลุกโชนในส่วนลึกดวงตาของมู่เฉิน

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์

ข้ามาแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1109 ป้ายทางทหาร
“ข้าเป็นดอกไม้ดอกหนึ่งที่จักรพรรดิฟ้าปลูกไว้”

มู่เฉินมองไปที่รอยยิ้มของมั่นถัวหลัวก็ตัวแข็งทื่อขึ้นอย่างช้าๆ กับคำพูดของนาง ซึ่งดูตลกมาก

แน่นอนว่าไม่เพียงแต่ภายนอกเท่านั้น กระทั่งหัวใจของมู่เฉินก็กลิ้งเป็นลอนคลื่นขณะมองไปที่มั่นถัวหลัวด้วยความไม่เชื่อ แม้ว่าเขาจะงงงวยว่าทำไมมั่นถัวหลัวถึงรู้ข้อมูลของวังสวรรค์บรรพกาลมากนัก แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่านางจะเป็นดอกไม้ที่จักรพรรดิฟ้าปลูกไว้

ดอกไม้นี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

“ยากที่จะเชื่อหรือ?” มั่นถัวหลัวยิ้มขณะที่ม่านตาสีทองคำมองไปที่วังโบราณที่ปรากฏเลือนรางก็พูดต่อ “ในอดีตความทรงจำของข้าถูกปิดกั้นไว้ แต่เมื่อเข้าใกล้วังสวรรค์บรรพกาลมากขึ้นความทรงจำก็เริ่มกลับมาและตอนนี้เกือบทั้งหมดได้รับการฟื้นฟู”

“แล้วร่างหลักของเจ้าคืออะไร?” หลังจากเงียบไปนานในที่สุดมู่เฉินก็หายจากอาการตื่นตะลึงขณะกลืนน้ำลายเอ่ยถามอย่างยากลำบาก

มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินด้วยความลึกซึ้งในดวงตาพูดช้าๆ “เจ้าน่าจะคุ้นเคยกับมันดี ดูจากชื่อข้าเจ้ายังเดาไม่ได้อีกเหรอ?”

ซี้ด!

มู่เฉินสูดลมหายใจเย็นเข้าปอดอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ร่างหลักของเจ้าคือดอกแมนดาลาโบราณ?!”

มีดอกไม้เทพในมหาพันภพที่ชื่อว่าแมนดาลา ซึ่งเป็นดอกไม้ที่วิเศษและมีสติปัญญาโดยกำเนิด หากเติบโตเต็มที่จะไม่ด้อยไปกว่าเทพอสูร บางทีอาจมีพลังมากกว่าในบางแง่มุม

เพียงแค่จำนวนดอกแมนดาลามีน้อยแสนน้อย ดังนั้นเมื่อปรากฏตัวก็จะดึงดูดความสนใจจากผู้คนนับไม่ถ้วน หากดอกไม้เหล่านี้ถูกนำกลับมาได้รับการเลี้ยงดูก็อาจจะเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้เลย

ตอนนี้มู่เฉินเข้าใจแล้วว่าทำไมสายตาของมั่นถัวหลัวจึงดูแปลกๆ นั่นเป็นเพราะมีหน้ารายการนิรันดร์อยู่ในร่างกายของเขาซึ่งเป็นบันทึกทักษะการฝึกฝนร่างเทพสุริยะพร้อมกับลวดลายศักดิ์สิทธิ์ของดอกแมนดาลา

ในอดีตถ้าไม่ใช่เพราะลวดลายเหล่านั้น มู่เฉินคงถูกจิ่วโยวเขมือบไปแล้ว ร่างเขาจะถูกครอบครองโดยนาง

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เขาก็มีความสัมพันธ์กับดอกแมนดาลาหลายส่วน

“ร่างนี้ของข้าเป็นดอกตูม เมื่อพิจารณาจากระดับหนึ่งข้าไม่ใช่ร่างดวงจิตอย่างที่เจ้าคิดไว้หรอก แต่ว่ามีอยู่จริง” มั่นถัวหลัวยิ้มขณะพูดต่อ “นี่คือส่วนที่น่าอัศจรรย์ของดอกแมนดาลาโบราณ ตราบใดที่ไม่ถูกทำลายจนหมดก็สามารถอยู่รอดได้ในอีกลักษณะอื่น”

มู่เฉินเดาะลิ้น แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่สามารถบรรลุสิ่งนั้นได้

“แค่ร่างรองของเจ้าก็มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้ว แบบนี้ร่างหลักจะทรงพลังแค่ไหน?” มู่เฉินถามคำถามสำคัญทันที สำหรับมนุษย์ถ้าร่างดวงจิตอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ร่างจริงก็น่าจะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนแล้วมั้ง!?

หรือว่าร่างหลักของมั่นถัวหลัวอยู่ในระดับเทียนจื้อจุน?

มั่นถัวหลัวรู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไรอยู่ก็ส่ายหัว “ที่จุดสูงสุดร่างหลักของข้าอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น แต่กาลเวลาที่ผ่านไปทำให้ร่างหลักข้าอ่อนแอลงแน่นอน ทว่าโชคดีที่ข้าไม่ได้ใช้เวลาหลายปีที่ผ่านมาอย่างไร้ประโยชน์ ดังนั้นก็น่าจะชดเชยความสูญเสียและรักษาขุมพลังไว้ได้”

“ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเรอะ…” มู่เฉินถอนหายใจ แค่นั้นก็ทรงพลังในตัวเองมากพอแล้ว เพราะกระทั่งปัจจุบันจอมยุทธ์ระดับนี้ในทวีปเทียนหลัวก็มีน้อยยิ่ง

“ตอนนั้นที่ข้าเพิ่งแยกออกจากร่างหลักก็อยู่ในสภาพอ่อนแอมากบวกกับคำสาป ดังนั้นขุมพลังจึงอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นห้าถึงขั้นหกเท่านั้น ข้าต้องขอบคุณเจ้า ถ้าไม่ใช่เจ้าตอนนี้ข้าก็ยังคงนิทราเพื่อระงับคำสาปในร่างกาย ไม่ต้องพูดถึงการบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ซึ่งถ้าข้าไม่สามารถมาถึงพลังระดับนี้ ข้าก็ไม่กล้ามานี่แม้ว่าวังสรรค์บรรพกาลจะปรากฏขึ้นก็ตาม” มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับความรู้สึกขอบคุณในสายตา

มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากแก้เขิน เนื่องจากไม่รู้ว่าได้ช่วยเหลือมั่นถัวหลัวไว้มากแต่เมื่อคิดลึกซึ้งลงไปก็ถามว่า “ทำไมถึงไม่กล้ามา ถ้าไม่ได้อยู่ในระดับตี้จือจุนขั้นปลาย?”

เขาสัมผัสได้ถึงแรงกระเพื่อมในคำพูดของมั่นถัวหลัว

“เจ้าลืมศัตรูข้าไปแล้วหรือ?” มั่นถัวหลัวเอ่ยขึ้น

หัวใจมู่เฉินสั่นสะท้าน “เจ้าห่วงเรื่องลู่หยวนจากตำหนักเทพปีศาจเรอะ?”

เพราะเหตุนี้นี่เอง ลู่หยวนมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายหากมั่นถัวหลัวไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเผชิญหน้าก็จะดึงดูดปัญหาอย่างแน่นอน

“เจ้านั่นเป็นใครกันแน่?” มู่เฉินพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตามที่มั่นถัวหลัวเคยบอก นางและลู่หยวนมาจากวังสวรรค์บรรพกาล แล้วทำไมต่างฝ่ายถึงมองต่างคนเป็นศัตรูกันจนถึงขั้นสาปแช่ง?

มั่นถัวหลัวหรี่ตาลงพร้อมกับแววอันตรายวูบไหวตอบว่า “มันเป็นเจียวโลหิตโบราณที่เป็นพาหนะของจักรพรรดิฟ้า”

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านและตกตะลึง ลู่หยวนเป็นพาหนะจักรพรรดิฟ้ารึ?

แล้วทำไมมั่นถัวหลัวที่เป็นดอกไม้น้อยถึงได้สู้กับพาหนะจนไม่สนเรื่องความเป็นตายกันแล้ว?

มู่เฉินฉงนไปเลยทีเดียว ไม่ว่าจะยังไงทั้งคู่ก็มาจากวังสวรรค์บรรพกาลไม่ใช่เหรอ?

“ตอนที่จักรพรรดิฟ้าต่อสู้กับนักรบราชันปีศาจ สุดท้ายก็ได้ปิดผนึกสุสานจักรพรรดิฟ้าและวังทั้งหมดถูกทำลายล้างราบเรียบ ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจรายละเอียดแต่ตอนที่คืนสติวังก็ถูกทำลายไปแล้ว ซึ่งตอนนั้นข้ากับลู่หยวนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหลือที่ยังมีสติปัญญาอยู่”

“แต่ตอนที่กำลังตรวจสอบวัง จู่ๆ ลู่หยวนก็โจมตีข้าด้วยคำสาปแช่ง ท้ายที่สุดข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปิดผนึกตัวเองโดยให้ร่างรองหนีออกมา”

“ทำไมมันถึงทำอย่างนั้น?” สีหน้ามู่เฉินเปลี่ยนไป

มั่นถัวหลัวขมวดคิ้วตอบว่า “จอมพลทั้งหมดสิ้นชีพอยู่ในวังโบราณ หากมันได้รับสมบัติและมรดกจักรพรรดิฟ้าก็มีโอกาสที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ข้าว่ามันคงต้องการครอบครองมรดกของวังสวรรค์บรรพกาลทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว”

มู่เฉินผงกศีรษะเนื่องจากประโยคนี่สมเหตุสมผลดี เพราะมรดกของวังสวรรค์บรรพกาลเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดอย่างยิ่ง ความทะเยอทะยานของลู่หยวนไม่น้อยจริงๆ

“ข้าจะพยายามช่วยเจ้าเก็บรายละเอียดระหว่างการเดินทางไปยังวังสวรรค์บรรพกาลครั้งนี้” มู่เฉินกล่าว ไม่ว่ามั่นถัวหลัวในปัจจุบันจะเป็นเพียงร่างรองหรือร่างหลักก็ไม่สำคัญ ถ้าเขาช่วยนางฟื้นร่างหลัก ความแข็งแกร่งของนางก็จะเป็นประโยชน์ต่อเขา

มั่นถัวหลัวพยักหน้า นางไม่แปลกใจกับคำพูดของมู่เฉิน เพราะยังไงก็รู้จักกันหลายปีแล้ว นางไว้วางใจเขามาก มิฉะนั้นนางคงไม่คิดบอกความลับนี้หรอก

“ใช่แล้ว… ช่วยข้าดูหน่อยว่านี่มาจากไหน” ทันใดนั้นมู่เฉินก็นึกถึงป้ายลึกลับที่ได้จากการประมูล เขาหยิบออกมาส่งให้มั่นถัวหลัว ไม่ว่ายังไงมั่นถัวหลัวก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นนางน่าจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้างล่ะมั้ง?

ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวมองไปที่ป้ายลึกลับพร้อมกับความคิดวูบไหวในดวงตา จากนั้นครู่หนึ่งดวงตานางก็เปล่งประกาย

“เจ้ารู้สิ่งนี้หรือ?” เมื่อเห็นปฏิกิริยานาง มู่เฉินก็อึ้งไปพลางถามด้วยความดีใจ

มั่นถัวหลัวยังไม่ตอบอะไร นางหยิบป้ายดูปราดหนึ่งก่อนจะมองไปที่มู่เฉินด้วยแววตาประหลาด “เจ้าไปเอาสิ่งนี้มาจากไหน?”

“เพราะป้ายนี่แหละที่ทำให้เกิดเรื่องกับเซี่ยหงน่ะ” มู่เฉินกล่าว

“ต้องบอกว่าคุ้มค่ามาก” มั่นถัวหลัวพูดช้าๆ พูดต่อว่า “เจ้าโชคดีจนข้ายังอิจฉาเลย”

“แล้วนี่คืออะไร?” หัวใจของมู่เฉินสั่นไหวจากคำพูดของนาง รีบเอ่ยถาม

มั่นถัวหลัวลูบป้ายโบราณอยู่นานก่อนจะพูด “ถ้าข้าเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นป้ายทางทหาร”

“ป้ายทางทหาร?” หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน

“พูดให้ถูกต้องก็คือป้ายบัญชาการกองทัพสังหารวิญญาณภายใต้สังกัดจอมพลสอง ซึ่งเป็นกองทัพชั้นยอดที่เคยสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนมาแล้ว” มั่นถัวหลัวกล่าว

“กองทัพสังหารวิญญาณ? เคยสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน?” หัวใจของมู่เฉินกระเด้งขึ้นเมื่อได้ยินจากนั้นความปีติดีใจก็ปะทุในดวงตา มิน่าล่ะเขาถึงสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่ถูกปกคลุมอย่างคุ้นเคย เมื่อสัมผัสให้ละเอียดก็จะพบว่านี่คือรัศมีจั้นยี่!

แต่ความสุขก็คงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่มู่เฉินจะขมวดคิ้วอีกครั้ง แม้ว่ากองทัพสังหารวิญญาณจะทรงพลัง แต่เวลาผ่านไปหลายหมื่นปีแล้ว ไม่ว่ากองทัพจะน่าเกรงขามขนาดไหน แต่ตอนนี้ก็อาจจะเป็นขี้เถ้า ดังนั้นจะใช้อะไรได้?

มั่นถัวหลัวรู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไรก็ไตร่ตรองชั่วครู่ “นั่นก็ไม่ถูกซะทีเดียว กองทัพวังสวรรค์บรรพกาลได้รับการฝึกฝนทักษะลับที่พิเศษ หลังจากการตายคลื่นหลิงของพวกเขาจะรวมเข้ากับร่างกายกลายเป็นนักรบหุ่นเงาที่ไม่มีสติปัญญาใดๆ หุ่นพวกนั้นฟังคำสั่งของผู้ที่ครอบครองป้ายบัญชาการเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาอาจจะยังดำรงอยู่ในหอสองก็ได้”

สายตาของมู่เฉินวูบไหวพลางพยักหน้า จำคำพูดของมั่นถัวหลัวไว้ในใจ ดูเหมือนว่าถ้าเขาสามารถไปที่หอสองได้ เขาก็ควรให้ความสนใจกับสิ่งนี้ ตราบใดที่เขาสามารถสั่งการกองทัพสังหารวิญญาณได้ แม้ว่าเขาจะเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน เขาก็ยังมีพลังที่จะต่อสู้

พอนึกถึงเรื่องนี้หัวใจของมู่เฉินก็ค่อยๆ ลุกเป็นไฟ

“เมื่อไรเราจะเข้าไปได้?”

มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นมองไปยังมิติแตกร้าวก่อนจะยิ้ม “อีกห้าวัน มิติจะคงที่ขึ้นและเป็นเวลาที่จะส่งพวกเจ้าเข้าไป”

มู่เฉินพยักหน้ามองไปที่วังโบราณที่ปรากฏเลือนรางในมิติแตกร้าวด้วยสายตาเร่าร้อน

รอมาหลายปีในที่สุดวันนี้ก็มาถึง

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1108 ดอกไม้ดอกหนึ่ง
เมื่อเวลาผ่านไป

ดินแดนสุดขอบตะวันตกของทวีปเทียนหลัวก็คึกคักยิ่งขึ้น ทุกเมืองที่อยู่รอบดินแดนอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่มาจากขั้วอำนาจต่างๆ บางครั้งเห็นกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่ปกติพบตัวได้ยาก ซึ่งดึงดูดความสนใจจากผู้คนอย่างมาก

ภายใต้บรรยากาศนี้ มู่เฉินก็ได้รับข่าวว่ากองพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือออกเดินทางมาถึงแล้ว

กองพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือไม่ได้มาที่เมืองซี แต่มุ่งหน้าไปทางสุดขอบตะวันตกซึ่งเป็นสถานที่ที่วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏขึ้น

ว่ากันว่าตอนนี้ขั้วอำนาจชั้นนำทั้งหมดได้กระจายตัวอยู่ในพื้นที่โดยรอบแล้ว

ดังนั้นเมื่อมู่เฉินได้ข่าวก็ออกเดินทางพร้อมกับพรรคพวกเพื่อไปรวมกลุ่มกับกองทัพพันธมิตร หลินจิ้งก็ติดตามมาด้วย เนื่องจากนางชอบสถานที่คึกคัก ยิ่งวังสวรรค์บรรพกาลใกล้จะเปิดออก นางก็ไม่คิดจะพลาดโอกาสนี้

เมื่อกลุ่มของมู่เฉินมาถึง เวลาก็ผ่านไปครึ่งวันแล้ว ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปครึ่งหนึ่ง แสงส่องไปที่ภูเขารกร้างที่กองทัพพันธมิตรตั้งอยู่

เมื่อพวกมู่เฉินเข้ามาใกล้ก็สังเกตเห็นสายตาแหลมคมสิบกว่าคู่ก็พุ่งตรงมาจากหน่วยสอดแนมที่อยู่ใกล้ๆ พวกเขาทั้งหมดมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดและแปดเลยทีเดียว

รู้สึกถึงการจ้องมองเหล่านั้น มู่เฉินก็ประหลาดใจไปเล็กน้อย ดูเหมือนพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือจะส่งจอมยุทธ์ชั้นสูงออกมาทั้งหมดแล้ว

จอมยุทธ์ชั้นสูงเหล่านั้นชัดว่าจำมู่เฉินได้ ดังนั้นจึงละสายตาปล่อยให้พวกเขาขึ้นไปบนยอดเขาโดดเดี่ยว

มู่เฉินเห็นร่างเล็กของมั่นถัวหลัวที่ยอดเขา ดูเหมือนว่านางจะสัมผัสได้ถึงเขานานแล้ว ดังนั้นจึงรอเขาอยู่ที่นี่

“ไม่คิดว่าเพียงไม่กี่วันชื่อของเจ้าจะกระจายไปทั่วทวีปเทียนหลัว” เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นมู่เฉิน ก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ

ท่าทางนางจะได้ยินข่าวการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและเซี่ยหงแล้ว

“กลัวว่าแคว้นเซี่ยจะไม่พอใจที่ข้าทำร้ายเซี่ยหงจนเจ็บหนัก” มู่เฉินเบ้ริมฝีปากออก

“ช่างมันเถอะ ถ้าฮ่องเต้เซี่ยกล้าก็มาที่อาณากงเวทสวรรค์ของข้าได้เลย” มั่นถัวหลัวไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เพราะด้วยพลังในปัจจุบันนางไม่กลัวฮ่องเต้เซี่ยสักนิด

“แต่ด้วยสถานะของฮ่องเต้เซี่ย เขาอาจจะไม่ทำอะไรเจ้า แต่องค์ชายใหญ่ไม่ใช่คนที่ต่อกรได้ง่ายๆ ดังนั้นเจ้าต้องระวังถ้าพบเขา” มั่นถัวหลัวเอ่ยเตือน หากฮ่องเต้เซี่ยไม่ทำอะไรกับมู่เฉิน นางก็ไม่มีเหตุที่จะทำต่อเซี่ยหยู่ หากนางเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของเด็กรุ่นใหม่ก็จะไปเปลี่ยนบางอย่างได้

“ตราบใดที่องค์ชายใหญ่ยังไม่บรรลุระดับตี้จื้อจุน ข้าก็ไม่กลัวเขา” มู่เฉินยิ้มเอ่ยคำพูดมั่นใจ แม้ว่าตอนนี้เขามีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ส่วนองค์ชายใหญ่อาจอยู่ในขั้นเก้าระยะเต็ม ทว่าหากพวกเขาปะทะกัน เซี่ยหยู่ก็ใช่ว่าจะได้เปรียบ

“ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะมากันเยอะนะ?” มู่เฉินมองไปที่ยอดเขาก็เห็นกระโจมกลุ่มหนึ่ง ความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัวถูกปล่อยออกมา ทำให้มิติสั่นสะเทือน

มั่นถัวหลัวพยักหน้า “นอกจากข้าก็ยังมีระดับตี้จื้อจุนระยะต้นอีกห้าคน”

มู่เฉินแอบเดาะลิ้น ด้วยจำนวนดังกล่าวบอกได้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งหมดในภูมิภาคทางเหนือมาอยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าแต่ละขั้วอำนาจจะถูกล่อลวงหนักจากวังสวรรค์บรรพกาล

หากพวกเขารวมตัวกันรูปแบบนี้ อาจจะเผชิญหน้ากับขั้วอำนาจระดับสูงของทวีปเทียนหลัวได้ แม้แต่แคว้นเซี่ยก็ไม่มีจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายหนึ่งกับกับขั้นต้นห้าคนหรอก

ทว่าสิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือการรวมตัวนี้ไม่ได้เป็นของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นพลังในการต่อสู้จะลดลงเนื่องจากทุกคนมีความคิดของตัวเอง แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเมื่อเผชิญกับความท้าทายจากภายนอกซึ่งทำให้ได้ประโยชน์ไม่น้อย

“ใช่แล้ว นี่คือเพื่อนข้า—หลินจิ้ง”

มู่เฉินแนะนำหลินจิ้งที่ยืนอยู่ข้างหลังให้มั่วถัวหลัวรู้จัก

ที่จริงมั่นถัวหลัวสังเกตเห็นหลินจิงตั้งแต่ต้น แต่สิ่งที่ทำให้นางตกใจอยู่บ้างก็คือตอนนางตรวจสอบคลื่นหลิงของอีกฝ่ายก็สัมผัสได้ถึงแรงปฏิเสธ แรงบนพื้นผิวหน้าคลุมเครือมาก แต่ก็ทำให้นางรู้สึกกดดันเล็กน้อย

จะต้องมีตราประทับโดยผู้เชี่ยวชาญทรงพลังสถิตในร่างนางเพื่อปกป้อง

มั่นถัวหลัวพยักหน้าให้หลินจิ้งก่อนที่ม่านตาสีทองคำจะกะพริบ ดูเหมือนว่าเบื้องหลังของหญิงสาวคนนี้จะไม่ธรรมดา ตราประทับนั้นเป็นสิ่งที่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้นที่สามารถทำได้

หลินจิ้งหัวเราะเบาๆ พลางทักทายมั่นถัวหลัว นอกจากนี้นางยังมองอีกฝ่ายด้วยความอยากรู้เนื่องจากนางไม่คิดว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเป็นสาวน้อยน่ารัก

“เราจะเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาลได้เมื่อไร?” มู่เฉินถาม ในเมื่อผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันพวกเขาก็ควรหาวิธีเข้าไปในวังโบราณ

มั่นถัวหลัวส่ายหัวพามู่เฉินไปที่ชายขอบภูเขานชี้ไปที่ไกล

เมื่อมองไปในทิศทางนั้นสีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นดินแดนรกร้างไร้ขอบเขตอยู่เบื้องหลังภูเขา แต่ห้วงมิติในส่วนลึกถูกทำลายลงพร้อมกับสะเก็ดมิติบินว่อน สะเก็ดมีความแหลมคมมาก ใครก็ตามที่อยู่ภายใต้ระดับตี้จื้อจุนอาจถูกผ่าออกเป็นสองท่อนทันทีที่สัมผัสกับพวกมัน

ช่างเหมือนกับสัตว์อสูรดึกดำบรรพ์เกรี้ยวกราดที่ต้องการจะกัดกินทุกคนที่เข้าใกล้

มู่เฉินสามารถมองเห็นตำหนักโบราณในมิติแตกสลายได้อย่างคลุมเครือ แฝงด้วยกลิ่นอายลึกลับและอ้างว้าง

“ตอนนี้ดินแดนรกร้างนั้นเป็นเส้นแบ่ง โดยรอบเต็มไปด้วยขั้วอำนาจชั้นยอด แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไป” มั่นถัวหลัวมองไปที่มิติที่แปรปรวน

“ทำไม?” มู่เฉินประหลาดใจ บางทีชิ้นส่วนมิติเหล่านั้นอาจเป็นอันตรายต่อคนอย่างพวกเขาที่ไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน แต่ด้วยพลังของมั่นถัวหลัวและคนอื่นน่าจะเข้าไปได้ไม่ใช่เหรอ?

“มิติตรงนั้นกำลังจะแตกสลายโดยวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นเมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก้าวเข้าไปก็จะเกินขีดจำกัด มิติจะแตกออกทันที พลังทำลายล้างเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังไม่อาจทนได้ ถ้าโชคร้ายอาจติดแหง็กในนั้นหลงทิศทางในความปั่นป่วนของมิติ คนโชคดีอาจได้พบกับพิภพเขตล่างรอดชีวิตไปได้ แต่คนโชคร้ายตายคาที่แน่นอน” มั่นถัวหลัวพูดด้วยสีหน้าหนักใจ

เมื่อมู่เฉินได้ยินก็แอบเดาะลิ้น กลายเป็นว่าสถานที่แห่งนี้อันตราย แต่ก็ดูค่อนข้างคล้ายกับดินแดนเสินโซ่ ซึ่งไม่อนุญาตให้จอมยุทธ์ทรงพลังเข้าไปได้

“งั้นตอนนี้”

“มีสถานที่แห่งเดียวในวังสวรรค์บรรพกาลที่สามารถให้จอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนเข้าไปได้ นอกจากนี้ยังไม่ทำให้มิติแตกสลายด้วย” มั่นถัวหลัวพูดต่ออย่างช้าๆ

“ที่ไหน?” มู่เฉินอึ้งไป

“สุ-สาน-จักรพรรดิ-ฟ้า” มั่นถัวหลัวพูดย้ำทีละคำ

เมื่อได้ยินมู่เฉินก็ตกใจ เขาสามารถเดาได้จากคำพูด “สถานที่ที่จักรพรรดิฟ้าละสังขารรึ?”

มั่นถัวหลัวพยักหน้า “สุสานจักรพรรดิฟ้าสร้างขึ้นโดยท่านจักรพรรดิเอง ที่นั่นราวกับเป็นอีกโลกหนึ่ง ถ้าจักรพรรดิฟ้าละสังขารก็จะต้องอยู่ที่นั่นแน่นอน”

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย สิ่งที่สามารถล่อลวงพวกเขาได้อาจไม่ใช่อาวุธมหสวรรค์ทรงพลัง แต่เป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานที่จักรพรรดิฝึกฝน…วิชาสามพิสุทธิ์

ซึ่งชัดว่าหากต้องการรับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดก็ต้องลองเสี่ยงโชคในสุสานจักรพรรดิฟ้าเท่านั้น

“ดังนั้นตอนนี้วิธีที่เป็นไปได้มากที่สุดคือให้จอมยุทธ์ทรงพลังเปิดเส้นทางชั่วคราว ส่งคนที่ทนได้เข้าไปข้างใน” มั่นถัวหลัวจ้องไปที่มู่เฉินขณะพูดต่อ “อย่างเจ้า หากเจ้าสามารถไปถึงสุสานจักรพรรดิฟ้าก็ทำลายสิ่งนี้ซะ เราก็จะสามารถใช้เป็นจุดระบุตำแหน่งเพื่อฉีกมิติเข้าไปได้โดยตรง”

ขณะที่พูดมั่นถัวหลัวก็เปิดฝ่ามือ ชิ้นหยกวูบไหวด้วยแสงหลิงปรากฏขึ้น เปล่งคลื่นมิติออกมา

มู่เฉินรับไปก็รู้สึกโล่งใจ หากไม่มีจอมยุทธ์ตี้จื้อจุน การเดินทางในวังโบราณก็จะสะดวกขึ้นอย่างแน่นอน

“เจ้าสนใจวิชาสามพิสุทธิ์ด้วยหรือ? แต่ข้ากลัวว่าการแข่งขันจะหนักอยู่” มู่เฉินลูบหยกขณะพูด

หากวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดปรากฏขึ้น เหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนอาจจะดวงตาแดงก่ำและแข่งขันกันเพื่อเอาชนะ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนในกองทัพพันธมิตรกันเองก็อาจจะขัดขากันและกัน เพราะหากพวกเขาได้มาก็คุ้มค่า แม้ว่าพวกเขาจะต้องละทิ้งรากฐานในภูมิภาคทางเหนือก็ตาม

มั่นถัวหลัวส่ายหัวไม่ได้เป็นไปตามความคาดหมายของมู่เฉิน นางมองไปที่มิติแตกสลาย “วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะได้รับและฝึกได้…”

มั่นถัวหลัวหลุบตาลงพูดเบาๆ “การเดินทางมายังวังสวรรค์บรรพกาลครั้งนี้ เป้าหมายสำคัญที่สุดคือค้นหาร่างหลักของข้า”

ทันใดนั้นม่านตาของมู่เฉินก็หดลงขณะที่มองมั่นถัวหลัวด้วยความหวาดผวา “นี่…นี่ไม่ใช่ร่างหลักของเจ้า?”

ถ้านี่ไม่ใช่ร่างหลัก งั้นทำไมมั่นถัวหลัวในปัจจุบันถึงดูสมจริงขนาดนี้ ไม่เหมือนร่างที่สร้างมาจากคลื่นหลิงเลย?

“ร่างหลักของเจ้าคืออะไร?”

มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉินเผยรอยยิ้ม “ข้าคือดอกไม้ที่จักรพรรดิสวรรค์ปลูกไว้ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่…”

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1107 ตำนาน
แสงกะพริบวิบวับต่อเนื่องบนม้วนหนัง

ข้อความปรากฏที่เบื้องหน้าสายตามู่เฉิน

“อันดับสองซูชิงหยิง ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ศิษย์เอกผู้เฒ่าหมื่นแมลง สถานะหลิงฉงซือ”

แม้ว่าข้อมูลจะดูธรรมดา แต่หัวใจของมู่เฉินก็สั่นไหวเมื่อได้เห็น จอมยุทธ์อันดับสองบนทำเนียบเป็นหลิงฉงซือเหรอ?

ในมหาพันโลกมีเส้นทางฝึกฝนมากมาย ไม่มีใครสามารถอ้างสิทธิ์ได้ว่าใครแข็งแกร่งที่สุด เพราะเมื่อไปถึงจุดสูงสุดทุกเส้นทางก็สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของพีระมิดนี้ได้

เช่นหลิงเจิ้นซือ จั้นเจิ้นซือที่มู่เฉินฝึก รวมถึงหลิงฉงซือนี้ด้วย

มู่เฉินยังจำได้ว่าในอดีตเคยพบศพของหลิงฉงซือที่มณฑลเป่ยหลิงและได้รับขลุ่ยควบคุมแมลงซึ่งช่วยเขาไว้ได้มากในตอนนั้น ไม่คิดว่าสองสามปีต่อมาเขาจะได้พบกับหลิงฉงซือตัวจริง

ว่ากันว่าหลิงฉงซือสามารถเลี้ยงดูแมลงวิญญาณที่ทรงพลังได้ โดยที่แมลงทุกตัวจะดุร้ายมาก บางตัวอาจสามารถเทียบเคียงได้กับระดับตี้จื้อจุนเลยทีเดียว

หลิงฉงซืออาศัยแมลงวิญญาณในการต่อสู้ ซึ่งมีหลากหลายชนิดทำให้ยากที่จะป้องกันตัว

ทว่าจำนวนผู้ฝึกศาสตร์นี้มีน้อยมากจึงทำให้กลายเป็นศาสตร์ลึกลับแขนงหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินได้เห็นอะไรเกี่ยวกับหลิงฉงซือตัวจริง

“แต่จอมยุทธ์คนนี้เป็นศิษย์เอกของเฒ่าหมื่นแมลงเชียว…” เมื่อมู่เฉินเหลือบมองไปที่ชื่อนี้ สายตาก็เคร่งเครียดลง แม้แต่เขาที่อยู่แต่ในภูมิภาคทางเหนือมานานยังเคยได้ยินชื่อนี้

นี่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในทวีปเทียนหลัวที่ได้รับการพิจารณาว่าอยู่ด้านบนสุดของพีระมิดท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ความจริงที่น่ากลัวที่สุดก็คือผู้เฒ่าหมื่นแมลงได้เลี้ยงดูแมลงเทพตัวหนึ่งที่ทรงพลังมาก กระทั่งสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นแม้แต่ผู้นำขั้วอำนาจชั้นยอดอื่นๆ ในทวีปก็หวาดกลัวเขา เพราะถ้าต่อสู้กับเขาก็เทียบเท่ากับปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนถึงสองคน

ผู้เฒ่าหมื่นแมลงมีคุณสมบัติที่จะสร้างขั้วอำนาจของตัวเองด้วยพลังที่มี แต่เขาชอบความสันโดษและรับศิษย์เพียงไม่กี่คน เมื่อพิจารณาจากข้อมูลแล้วซูชิงหยิงคนนี้ดูเหมือนจะเก่งที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ของเขา

แม้ว่าซูชิงหยิงจะไม่มีสำนักสนับสนุน แต่เพียงผู้เฒ่าหมื่นแมลงคนเดียวผลักดันเบื้องหลังก็เกินกว่าอะไรแล้ว

“จอมยุทธ์ในทำเนียบไม่มีใครอ่อนแอเลยจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจวางเรื่องซูชิงหยิงไว้ในจุดสูงขึ้น คนที่สามารถเป็นศิษย์ของผู้เฒ่าหมื่นแมลงจะธรรมดาได้อย่างไร?

“แล้วใครเป็นอันดับหนึ่ง?”

แม้แต่คนอย่างซูชิงหยิงยังอยู่ในอันดับสอง ทำให้มู่เฉินยิ่งอยากรู้ถึงอันดับหนึ่งอย่างมาก เขาเลื่อนสายตาไปข้อความล่างสุด

“อันดับหนึ่ง จู้เยี่ยนประมุขน้อยเผ่าเทพอัคคี ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม ฝึกฝนร่างเทพอัคคีซึ่งอยู่ในอันดับสามสิบสี่หนึ่งในคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์ชั้นยอดของเผ่าเทพอัคคี หลายปีที่ท่องยุทธภพในทวีปเทียนหลัว ไม่เคยแพ้ใคร”

มู่เฉินมองไปที่ข้อความเหล่านั้นเป็นเวลานานก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่คิดว่าจอมยุท์อันดับหนึ่งจะเป็นประมุขน้อยของเผ่าเทพอัคคี ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงทรงพลังมาก

เผ่าเทพอัคคีเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ทรงพลังในมหาพันภพที่มีรากฐานที่ลึกซึ้งและมีผู้เชี่ยวชาญมากพอๆ กับกลุ่มเมฆบนท้องฟ้า ฐานกำลังเกินกว่าทุกขั้วอำนาจในทวีปเทียนหลัว

“ร่างเทพอัคคี…” มู่เฉินเม้มริมฝีปาก นี่อาจเป็นร่างเทห์สวรรค์สูงสุดที่เขาเคยเห็นมา จากการคาดการณ์ที่น่าตกใจหากร่างเทพสุริยะได้รับการจัดอันดับในทำเนียบคัมภีน์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง ก็น่าจะอยู่ในอันดับประมาณสามสิบซึ่งพอๆ กับร่างเทพอัคคีนี้

“ไม่คิดว่าประมุขน้อยเผ่าเทพอัคคีจะท่องยุทธ์และฝึกฝนในทวีปเทียนหลัว” จิ่วโยวถอนหายใจเช่นกัน จู้เยี่ยนทรงพลังอย่างแท้จริง

“จู้เยี่ยนเผ่าเทพอัคคีเหรอ?” หลินจิ้งเงยหน้าขึ้นถามด้วยความประหลาดใจ

“เจ้ารู้จักเขา?” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของนาง มู่เฉินก็อึ้งไปเล็กน้อย

หลินจิ้งเบะปากขณะพูดต่อ “เผ่าเทพอัคคีเป็นศัตรูตัวฉกาจของเผ่าเทพน้ำแข็งซึ่งเป็นของท่านน้าปิงข้า ดังนั้นข้าจึงรู้บางอย่างเกี่ยวกับเขา แต่พูดให้ถูกต้องจู้เยี่ยนเป็นแค่หนึ่งในตัวสำรองที่จะเป็นประมุขน้อยไม่ใช่ตัวจริง ตอนนี้ที่ท่องยุทธภพก็คงเพราะต้องการบรรลุระดับตี้จื้อจุนเพื่อกลับไปแข่งขันที่เผ่า”

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ มีข่าวลือว่าเทพจักรพรรดิสงครามมีฮูหยินสองคน มารดาของหลินจิ้งเป็นหญิงสะคราญโฉมที่เขาเคยพบมาก่อน ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือประมุขเผ่าเทพน้ำแข็ง ท่านน่าปิงที่หลินจิ้งพูดถึง

“เผ่าเทพอัคคีมีความสามารถค่อนข้างมากแต่นั่นก็เท่านั้น ไม่งั้นในอดีตพวกเขาคงไม่แพ้จนสูญเสียเพลิงจักรพรรดิในการเดิมพันกับเทพจักรพรรดิอัคคี แม้แต่ผู้อาวุโสที่เข้าฌาณก็ยังไม่สามารถหยุดเทพจักรพรรดิอัคคีได้” หลินจิ้งอธิบาย ในฐานะที่นางเป็นอยู่ นางจึงไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับเผ่าเทพอัคคีมากนัก

“เจ้ากำลังพูดถึงเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วใช่ไหม?” หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน เซียวเซียวที่เขาเคยพบมาก่อนในมิติหลงเฟิ่งเป็นธิดาของเทพจักรพรรดิอัคคี

“ใช่แล้ว” หลินจิ้งพยักหน้าพูดต่อด้วยความสดใส “เทพจักรพรรดิอัคคีน่าเกรงขามจริงๆ แม้แต่ท่านพ่อข้าก็ประเมินว่าเขาไม่สามารถหยั่งรู้ได้”

“พวกเขาเคยต่อสู้กันมาก่อนเหรอ?” มู่เฉินถามอย่างสงสัย เทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นจอมยุทธ์ที่อยู่บนสุดของพีระมิดแห่งมหาพันภพ ทั้งสองคนมาจากพิภพเขตล่าง แต่ประสบความสำเร็จที่ทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในมหาพันภพยังต้องอับอาย

ไม่มีใครรู้ว่ายอดยุทธ์ทั้งสองใครทรงพลังมากกว่ากัน

หลินจิงยักไหล่ “ตามที่ฟังมาจากท่านพ่อในบางครั้งนะ พวกเขาน่าจะเคยสู้กัน แต่ไม่ได้บอกว่าใครเหนือกว่ากัน ยิ่งไปกว่านั้นแคว้นหวูตั้งอยู่ทางชายแดนใต้สุด ส่วนแคว้นหวู่จิ้งฮั่วตั้งอยู่ชายแดนเหนือสุด เนื่องจากสถานที่ตั้งทั้งสองมีความสำคัญอย่างยิ่ง ปกติท่านพ่อข้าและเทพจักรพรรดิอัคคีไม่สามารถออกจากแคว้นไปได้ง่ายๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีโอกาสที่จะต่อสู้กันเท่าไร”

“ทำไมล่ะ?” มู่เฉินถามด้วยความสงสัย

หลินจิ้งเหลือบมองมู่เฉินตอบว่า “เป็นเพราะที่นั่นเป็นชายแดนติดกับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ”

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านก่อนที่สีหน้าจะกลายเป็นเคร่งขรึมจากนั้นจึงตระหนักว่าทำไมเทพจักรพรรดิทั้งสองจึงตัดสินใจที่จะไม่สร้างฐานมั่นที่ใจกลางมหาพันภพ ที่แท้พวกเขามีความตั้งใจที่จะทำหน้าที่เป็นปราการป้องกันการรุกรานของจักรวรรดิปีศาจ

“พิภพเขตล่างที่ท่านพ่อข้าถือกำเนิดถูกรุกรานโดยเผ่าปีศาจหนึ่งเมื่อในอดีต เพื่อช่วยท่านพ่อ ท่านน้าปิงจุดชนวนเผาตัวเองช่วยให้ท่านพ่อเอาชนะเผ่าปีศาจได้ หลังจากที่พวกท่านมาถึงมหาพันภพ ท่านพ่อก็ใช้พิภพเขตล่างเป็นรากฐานในการสร้างแคว้นหวูและปกป้องบ้านไว้ในเวลาเดียวกัน เขาพยายามหยุดการรุกรานของเผ่าปีศาจด้วยเหตุนี้ จึงสร้างปราการกั้นระหว่างจักรวรรดิปีศาจและมหาพันภพ” หลินจิ้งอธิบาย

“เทพจักรพรรดิสงครามสุดยอดจริงๆ” มู่เฉินอดถอนหายใจไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินข้อมูลบางอย่างมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดมากเท่ากับตอนที่หลินจิ้งเล่า ซึ่งทำให้หัวใจของเขาสั่นสะเทือนมากยิ่งขึ้น

ศึกกับเผ่าปีศาจเป็นอะไรที่ทำให้เกิดสงครามทุกหัวระแหงและเกิดการเสียสละมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อรักษาโลกของเรา ทว่าเทพจักรพรรดิสงครามกลับสามารถเอาชนะเผ่าปีศาจได้ขณะที่อยู่ในพิภพเขตล่าง จากนั้นก็ทะลุผ่านระนาบมิติเดินทางมายังมหาพันภพ ความสำเร็จของเขาถือได้ว่าเป็นตำนาน

“แน่นอนสิ” หลินจิ้งกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ชัดว่านางเคารพนับถือต่อบิดาอย่างมาก

มู่เฉินยิ้มบาง บิดาเช่นนี้ก็สมควรที่หลินจิ้งจะภูมิใจ ที่พวกเขาสามารถฝึกฝนได้อย่างสงบในมหาพันภพก็ต้องขอบคุณยอดยุทธ์อย่างเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีที่ดูแลชายแดน ทำให้เผ่าปีศาจต่างๆ อยู่ในสายตาพวกเขาตลอดเวลา

แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มู่เฉินรู้สึกเคารพ

นอกจากนี้ข้อมูลที่หลินจิ้งให้เพิ่ม มู่เฉินก็สามารถเข้าใจได้อย่างคลุมเครือว่ายอดยุทธ์ในมหาพันภพทั้งหลายรวมตัวกันเป็นเกราะป้องกันทรงพลัง เหมือนกับเทพจักรพรรดิทั้งสอง

ทว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นความลับสุดยอดที่แม้แต่จอมยุทธ์ทั่วไปก็ไม่สามารถรู้ได้ กระทั่งมู่เฉินก็ยังไม่มีคุณสมบัตินั้นในตอนนี้

แต่เขาเชื่อว่าวันหนึ่งจะสามารถสัมผัสไปถึงขั้นนั้นได้ อย่างไรก็ตามเขาต้องการเวลา

มู่เฉินหายใจเข้าลึกระงับความคิดพลุ่งพล่านก่อนที่จะละสายตาจากม้วนหนัง หากเขาต้องการที่จะเดินบนเส้นทางของยอดยุทธ์ เขาก็ต้องได้รับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะให้ได้

เขาลูบไล้ม้วนหนังหยาบกร้านไล่มองชื่อจอมยุทธ์ที่อยู่จุดสูงสุดของทวีปเทียนหลัวพลางแตะนิ้วเบาๆ

เส้นทางของยอดยุทธ์ต้องก้าวข้ามคู่แข่ง ในอดีตเขาเอาชนะอุปสรรคที่เผชิญโดยไม่พ่ายแพ้และครั้งนี้ก็เช่นกัน

มู่เฉินหลุบตาลงส่วนลึกของดวงตาลุกโชนด้วยไฟแห่งการต่อสู้

ให้โลกได้รู้กันว่าจอมยุทธ์อย่างข้าที่เดินทางจากมณฑลเป่ยหลิง สำนักศึกษาเป่ยชางจนเข้าสู่อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมีคุณสมบัติต่อสู้กับพวกเจ้าหรือไม่

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1106 ทำเนียบจอมยุทธ์
ข่าวการประลองที่เมืองซียังคงกระจายไปทั่วต่อให้ผ่านมาหลายวัน

ทำให้จอมยุทธ์ส่วนมากในดินแดนสุดขอบตะวันตกรู้ข่าวว่ามีจอมยุทธ์จากอาณาเขตกงเวทสวรรค์แห่งภูมิภาคทางเหนืออยู่ในเมืองซี

ชื่อของมู่เฉินก็เป็นที่รู้จักของขั้วอำนาจอื่นๆ ไปแล้ว

มู่เฉินไม่สนใจเกี่ยวกับชื่อเสียงของตนเองที่ขจรขจายไปไกล หลังจากเอาชนะเซี่ยหงแล้วเขาก็ไม่รีบร้อนที่จะออกจากเมือง ถึงยังไงที่นี่ก็คือสถานที่รวบรวมข้อมูลและเนื่องจากความพ่ายแพ้ของเซี่ยหงจึงไม่มีใครกล้าก่อปัญหาใดๆ กับเขา สภาพแวดล้อมเงียบสงบนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้

ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ในเมืองไปอีกหลายวัน แต่ในหลายวันนี้พวกเขากลับไม่ได้ทำตัวเด่นเพียงเพราะเอาชนะเซี่ยหง

ภายใต้การไม่ทำตัวเด่นของกลุ่มมู่เฉินก็ทำให้ทุกคนที่ให้ความสนใจค่อยๆ เปลี่ยนไปที่อื่น เพราะยังไงตอนนี้ก็จอมยุทธ์ชั้นสูงจำนวนมากมารวมตัวกันในเมืองซี จึงมีเรื่องต่างๆ นานาเกิดขึ้นตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่สนใจที่จะจับตามองไปที่คนคนเดียว

เพราะท้ายที่สุดคนที่มู่เฉินเอาชนะคือเซี่ยหงไม่ใช่องค์ชายใหญ่—เซี่ยหยู่…

ในสวนเงียบสงบ

ครืน!

ทันใดแสงหลิงขนาดมหึมาก็ระเบิดขึ้นในอากาศ ลวดลายสลับซับซ้อนหลอมรวมกันในชั้นบรรยากาศเชื่อมโยงกันและกันก่อตัวเป็นค่ายกลแสงตระการตา เอิบอาบด้วยความผันผวนที่โบราณและลึกซึ้ง

มู่เฉินยืนอยู่ในค่ายกลขนาดใหญ่ ดวงตาหรี่ลงจ้องมองไปที่ลวดลายแสงซับซ้อนนับไม่ถ้วน อึดใจเขาก็สะบัดแขนเสื้อ แสงสีขาวหลายสายพุ่งออกมาจากมือ

เมื่อแสงสีขาวยิงออกมาก็มีเสียงคำรามเปล่งออกมาด้วย มองให้ละเอียดก็จะพบว่าในแสงสีขาวเป็นโครงกระดูกหยก ซึ่งมีพลังอำนาจมังกรเบาบางแผ่ซ่านออกมา

โครงกระดูกเหล่านั้นก็คือกระดูกมังกร

เมื่อกระดูกมังกรรวมเข้ากับค่ายกล ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พลังงานหลิงน่ากลัวควบแน่นกันรุนแรงบรรจบบนกระดูกมังกร

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

คลื่นหลิงในค่ายกลทวีความรุนแรงมากขึ้น รอยแตกปรากฏที่กระดูกมังกรเหล่านั้นก่อนที่จะระเบิดออก

ตู้ม!

พลังงานหลิงป่าเถื่อนระเบิดขึ้นทำลายค่ายกลทั้งหมดทันที

มู่เฉินถอนหายใจด้วยความผิดหวังเมื่อเห็นภาพนี้จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก่อตัวขึ้นเป็นม่านพลังปิดกั้นคลื่นกระแทกอย่างสมบูรณ์

“ค่ายกลระดับจงซือ ต่อให้ไม่สมบูรณ์ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดเรียง นอกจากนี้ยังซับซ้อนจนเหลือเชื่อ ความผิดพลาดเศษเสี้ยวเดียวก็ยากจะรักษารูปแบบไว้”

สีหน้ามู่เฉินเคร่งขรึมลงมาก เขาพยายามสร้างค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารตลอดหลายวันที่ผ่านมา แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยทำสำเร็จเลยสักครั้ง

มู่เฉินส่ายหัว แต่ไม่ได้รู้สึกท้อแท้เพียงเพราะเหตุนี้ นั่นเพราะเขารู้สึกได้ว่าพร้อมกับความล้มเหลวทุกครั้งจะทำให้สามารถรับรู้ได้ว่าตนเองผิดพลาดตรงไหน ตราบใดที่เขาแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านั้นได้ เขาเชื่อว่าจะสามารถสร้างค่ายกลระดับจงซือนี้ได้สำเร็จ

ทว่านี่ยังต้องใช้เวลา

“ล้มเหลวอีกแล้วเหรอ?” จิ่วโยวที่กำลังฝึกฝนอยู่เบื้องหลังปรือตาขึ้นมองไปที่มู่เฉิน

“นี่เป็นค่ายกลระดับจงซือถึงจะยังไม่สมบูรณ์ก็ยากที่จะเข้าใจ อันที่จริงก็น่านับถือมากแล้วที่สามารถสร้างรูปแบบคร่าวๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น” ในเก๋งหินหลินจิ้งพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองค่ายกลที่สลายไปพร้อมกับความประหลาดใจวูบไหวในดวงตา ขณะที่นางเอนตัวด้วยท่าทางเกียจคร้านในผ้าห่มขนนุ่มมีหนังสือโบราณอยู่ในมือ พิจารณาจากหน้าปกหนังสือเล่มนี้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝน แต่เป็นบันทึกผลไม้แปลกประหลาดและเป็นเอกลักษณ์ นางพลิกหน้ากระดาษไปมาด้วยความสนใจและกระหายอยาก

แม้ว่านางจะไม่ใช่หลิงเจิ้นซือ แต่ก็เคยเห็นค่ายกลระดับจงซือมาแล้ว ดังนั้นสายตาจึงไม่ธรรมดา

ดังนั้นนางจึงรู้ชัดว่าเป็นเรื่องที่น่ายกย่องสำหรับมู่เฉินที่สามารถสร้างค่ายกลระดับจงซือที่ไม่สมบูรณ์ได้ในเวลาเพียงสิบวัน

มู่เฉินยิ้มจากการประเมินของหลินจิง แต่ไม่รู้สึกภาคภูมิใจอะไร

“คนที่ให้ความสนใจเราน่าจะน้อยลงแล้วมั้ง?” มู่เฉินเดินเข้าไปในเก๋งหินถามถานชิวที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ

ถานชิวพยักหน้าพลางยิ้ม “แม้ว่าจะมีบางคนที่ดื้อรั้น แต่ก็ไม่กล้าดูเราแบบหน้าด้านอีกแล้ว”

มู่เฉินพยักหน้า ดูเหมือนว่าการขู่จากความพ่ายแพ้ของเซี่ยหงค่อนข้างได้ผล มิฉะนั้นพวกเขาอาจถูกขั้วอำนาจอื่นๆ รบกวนตลอดก็ได้

“นอกจากนี้เราได้รับข่าวจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ว่ากองทัพพันธมิตรจะมาถึงที่นี่ในอีกห้าวัน” ถานชิวรายงาน

มู่เฉินรู้สึกโล่งใจ ตอนนี้จอมยุทธ์หัวกะทิจำนวนมากมารวมตัวกันในเมืองซี แต่ละคนล้วนมีขั้วอำนาจเป็นภูมิหลัง ถ้ามั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ ยังมาไม่ถึง มู่เฉินก็ต้องอยู่แบบเงียบๆ ต่อ กลัวว่าจะไปดึงดูดความสนใจของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ถึงตอนนั้นถ้าไม่มีใครในระดับเดียวหนุนหลัง งานนี้คงถึงวาระแน่

“นอกจากนี้ก่อนหน้าที่นายท่านมู่สั่งให้เรารวบรวมข้อมูล เราทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” ถานชิวหยิบม้วนหนังส่งให้มู่เฉินด้วยความเคารพ

“ไม่เลว” มู่เฉินยิ้มบางชมเชยก่อนจะรับม้วนหนังไป เขาสั่งให้พวกถานชิวรวบรวมข้อมูลสำคัญในช่วงสองวันที่ผ่านมาเกี่ยวกับการจัดอันดับจอมยุทธ์รุ่นใหม่

ออกจากภาคเหนือเข้าสู่ทวีปเทียนหลัว เขาก็ตระหนักถึงน้ำหนักการจัดอันดับ ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มคนหัวกะทิรุ่นใหม่ ทุกคนได้รับการยกย่องในความสำเร็จที่ไม่อาจประมาทได้

แสงแวววาวแล่นพล่านเมื่อเขาเปิดม้วนหนังซึ่งบนยอดเขียนไว้ว่า ‘ทำเนียบจอมยุทธ์’ จากนั้นคำอื่นๆ ก็เริ่มปรากฏขึ้น

“อันดับยี่สิบ มู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์แห่งภูมิภาคทางเหนือ มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ลึกลับ ความสามารถในการต่อสู้ไม่ธรรมดา เอาชนะเซี่ยหงองค์ชายสี่แคว้นเซี่ยที่เมืองซีทำให้ชื่อเสียงขจรขยาย

มู่เฉินอึ้งไปกับข้อความแรก เนื่องจากเขาไม่คิดว่าชื่อตัวเองจะไปปรากฏในอันดับยี่สิบ เมื่อพิจารณาจากวิธีนี้ การจัดอันดับน่าจะเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง

มู่เฉินจำได้ว่าอันดับของเซี่ยหงอยู่ที่ยี่สิบ ดังนั้นการที่มู่เฉินเอาชนะได้ จึงเข้าแทนที่เซี่ยหงทันที

มู่เฉินส่ายหัวไม่ได้ใส่ใจอันดับตัวเองมากนัก เขาอ่านข้อมูลต่อไป

“อันดับสิบเก้า ลู่ซันศิษย์เอกจากสำนักกำราบภูผา ขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้น ฝึกฝนร่างกำราบภูผา มีพลังมหาศาลสามารถถอนภูเขาได้”

“…”

“อันดับสิบหก หวังทงเสียน…”

“อันดับสิบสาม…”

ข้อความยังคงปรากฏขึ้นและทุกคำต่างเป็นตัวแทนของจอมยุทธ์รุ่นใหม่ในทวีปเทียนหลัว พลังและความสำเร็จสร้างความประหลาดใจให้มู่เฉิน ในแง่ของคุณภาพสูงกว่าจอมยุทธ์เผ่าเทพอสูรที่เคยพบในดินแดนเสินโซ่เสียอีก!

เมื่อข้อความยังปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ สายตาของมู่เฉินก็เคร่งเครียดลง เพราะตอนนี้ชื่ออันดับห้าเผยออกมาแล้ว…

“อันดับห้า ฉินจิงเจ๋อประมุขน้อยแห่งสำนักกระบี่บัวเขียว ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ยอดเยี่ยมของสำนักชื่อว่าร่างกระบี่บัวเขียว อันดับสี่สิบเก้าในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง เคยเผชิญหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดสามคนและไม่พ่ายแพ้”

“สู้แบบสามต่อหนึ่งและไม่แพ้ น่าเกรงขามนัก”

มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แม้ว่าจะไม่ได้ระบุว่าฉินจิงเจ๋อได้รับชัยชนะ แต่การยืนหยัดอยู่ได้อย่างไม่พ่ายแพ้เพียงอย่างเดียวก็พิสูจน์ได้ว่าทรงพลังเพียงใด สมควรได้รับลำดับห้าจริงๆ

ขณะที่ถอนหายใจ มู่เฉินก็มองต่อไปที่ข้อความ จากนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย

“อันดับสี่ เซี่ยหยู่องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์อันดับสี่สิบห้าในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างชื่อว่าร่างราชันฟากฟ้า ว่ากันว่าสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้”

“ร่างราชันฟากฟ้า…”

มู่เฉินหดตาลง ร่างราชันฟากฟ้าทรงพลังมากกว่าร่างอสูรเก้าฉกาจที่เซี่ยหงได้รับการฝึกฝน สมกับเป็นองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย

ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าความสำเร็จจะไม่ชัดเจน แต่เพียงแค่คำพูดที่บอกว่าเทียบได้กับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว

ดูเหมือนว่าเขาจะต้องระมัดระวังเมื่อเผชิญหน้ากันในอนาคต

“อันดับสาม จาโหลหลัวจอมยุทธ์ฟ้าประทานจากตำหนักเทพปีศาจ ฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ลึกลับที่ไม่ได้จัดอยู่ในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างแต่ก็ทรงพลังมาก ครั้งสุดท้ายที่ลงมือคือหนึ่งปีก่อน ซึ่งได้ไล่ล่าผู้อาวุโสขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดและสังหารผู้ทรยศ”

“ตอนนี้เหมือนจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว การประเมินผลไม่อาจหยั่งรู้ได้”

มู่เฉินมองข้อความเหล่านั้นโดยไม่ได้เลื่อนสายตา จาโหลหลัวร้ายกาจแท้จริง เขาสามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ถ้าตอนนี้เข้าสู่ระยะเต็มแล้ว เขาก็คงยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของพีระมิดภายใต้ระดับตี้จื้อจุนเท่านั้น

นี่เป็นคู่ต่อสู้ตัวฉกาจ

ทว่าคนอย่างมู่เฉินก็ไม่ได้กลัว ที่จริงดวงตาเขาลุกโชนด้วยไฟแห่งการต่อสู่อีกต่างหาก เส้นทางของยอดยุทธ์จำเป็นต้องก้าวไปข้างหน้าโดยไม่กลัวคู่ต่อสู้ใดๆ

“คราวนี้เจ้าคือคู่ต่อสู้ของข้า!”

มู่เฉินแตะข้อความเหล่านั้นพร้อมกับดวงตาสาดประกายคมกล้า

หลังจากอึดใจสั้น ๆ เขาก็ระงับไฟการต่อสู้ลงก่อนที่จะมองไปที่ข้อมูลจอมยุทธ์อีกสองคนด้วยความอยากรู้อยากเห็นในใจ เขาอยากรู้มากว่าอัจฉริยะประเภทไหนที่ได้รับการจัดอันดับสูงกว่าคนอย่างจาโหลหลัวอีก?

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1104 ตุ๊กตาน้ำแข็ง
ตู้ม!

หวังกงเคลื่อนไหวโดยไม่เตือนล่วงหน้า รวมทั้งจอมยุทธ์ของแคว้นเซี่ยที่พุ่งเป้าไปที่หลินจิ้ง กระทั่งจิ่วโยวก็ตะลึงพรึงเพริดไปก่อนจะฟื้นคืนสติในวินาทีต่อมาจากเหตุการณ์ที่พลิกผัน

“สารเลว!”

จิ่วโยวคำรามลั่น กำมือเพลิงผลึกโปร่งใสก็ลุกโชนก่อนที่นางจะซัดฝ่ามือออกไปที่แผ่นหลังหวังกง

วาบ!

ทว่าเผชิญกับการโจมตีของจิ่วโยว หวังกงกลับไม่มีท่าทางป้องกันใด แต่เมื่อเพลิงผลึกกำลังจะซัดลงบนร่างสูงวัย ร่างร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาขวางกั้นเอาไว้ให้ด้วยร่างกายของเขา

ปัง!

ร่างเงานั้นถูกซัดออกไป เพลิงผลึกโปร่งใสก็กวาดตัวออก คลื่นหลิงรอบตัวเขาถูกเผาไหม้ ร่างสลายกลายเป็นเถ้าถ่านภายใต้เสียงร้องโหยหวน เขาก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดของแคว้นเซี่ย

ตอนแรกจอมยุทธ์คนนี้ต้องการที่จะช่วยสกัดกั้นเพลิงไว้เล็กน้อยเท่านั้น แต่เขาประเมินความสามารถเพลิงอมตะของจิ่วโยวน้อยไป ดังนั้นการป้องกันจึงไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ตัวเองก็กลายเป็นขี้เถ้าทันที

หวังกงตกใจเมื่อเห็นการตายของผู้ใต้บังคับบัญชา ทว่าสายตาของเขากลับดุร้ายยิ่งขึ้นขณะที่พุ่งเข้าหาหลินจิ้งพร้อมกับจอมยุทธ์อีกสามคนราวกับเหยี่ยวโฉบตัว ตราบใดที่พวกเขาสามารถจับตัวหญิงสาวคนนั้นได้ พวกเขาก็จะสามารถใช้นางเป็นข้อต่อรองกับมู่เฉิน ในเวลานั้นพวกเขาก็จะสามารถช่วยองค์ชายสี่ได้

ทักษะของพวกเขาเร็ว-แรง-ชี้ขาด ดังนั้นจิ่วโยวจึงเสียโอกาสสำคัญไปเพราะไม่ทันตั้งตัว

ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปกับฉากที่ปรากฏด้านล่าง แต่จากนั้นแสงก็วาบขึ้นในดวงตาพลางสงบใจลง

หลินจิ้งอาจจะดูเหมือนอ่อนแอที่สุดในกลุ่ม แต่ถ้าใครคิดว่านางเป็นพวกอ่อนแอก็จะซวยเข้าเอง

องค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวู ธิดาสุดที่รักของเทพจักรพรรดิสงคราม กระทั่งคนไร้สมองยังรู้ว่านางมีไพ่ตายซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเป็นสำรับเลย

ภายใต้สายตากังวลของจิ่วโยว ความสงบนิ่งของมู่เฉินและความตกตะลึงของผู้คนมากมาย จอมยุทธ์แคว้นเซี่ยทั้งสี่ก็ล้อมกรอบหลินจิ้งเอาไว้ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตห่อหุ้มที่มือของพวกเขาพยายามจะจับกุมนาง

ในกระบวนการนี้สิ่งที่ทำให้คนอื่นประหลาดใจก็คือความจริงที่หลินจิ้งคลี่ยิ้มกว้างขณะมองการล้อมจับตัวเอง โดยไม่มีความตื่นตระหนกในสายตา

หากมองใกล้เข้าไปก็สามารถสังเกตเห็นแววเยาะเย้ยในดวงตาของนางได้

นางกะพริบตาวิบวับให้หวังกงก่อนจะกางมือออก หุ่นเงาขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏขึ้นซึ่งปกคลุมไปด้วยลดวลายโบราณ

เมื่อหวังกงเห็นหุ่นเงาสีดำในมือนาง เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมแต่อดไม่ได้ที่จะหดเกร็งดวงตาตามประสบการณ์ที่มี อันตรายที่ไม่อาจอธิบายได้พวยพุ่งขึ้นในใจ

“ถอย!”

เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายรุนแรงแสงก็วูบวาบในดวงตาเขาพลางตะโกนลั่น “ถอยเร็ว!”

ในฐานะที่เป็นคนระวังตัว เขาไม่สามารถละเลยกับความรู้สึกอันตรายได้ นอกจากนี้เขารู้สึกได้ว่าต่อให้พวกเขาจะเคลื่อนไหวแต่ก็อาจไม่มีผลลัพธ์ใดๆ เนื่องจากพวกเขาเลือกเป้าหมายผิดตั้งแต่แรก หญิงสาวที่ดูอ่อนแอท่าทางจะจัดการลำบากที่สุด

หวังกงชะงักร่างอย่างแรงขณะตะโกนพลางถอยกลับไป จอมยุทธ์อีกสามคนรู้สึกงงงวย แต่ทุกคนก็เลือกปฏิบัติตามคำสั่ง

ดังนั้นผู้ชมจึงตกตะลึงเมื่อเห็นหวังกงและลูกน้องล่าถอยไปทันทีหลังจากพุ่งเข้าหาหลินจิ้งประหนึ่งพยัคฆ์ร้ายและอยู่ห่างจากนางเพียงสิบกว่าเมตรเท่านั้น

“ไอ้พวกนี้ทำไรอยู่เนี่ย” ผู้คนต่างสงสัยในการกระทำ

“คิกๆ ในเมื่อเข้ามาแล้วจะถอยทำไมเหรอ?” แต่ตอบสนองต่อการกระทำที่แปลกประหลาดของพวกเขา หลินจิ้งก็เปล่งเสียงหัวเราะอ่อนโยนก่อนที่จะเป่าลมเบาๆ ใส่ตัวหุ่นเงาสีดำในมือ

ฮึ่ม!

รัศมีเย็นสุดขั้วเชี่ยวกรากระเบิดออกจากร่างหุ่นเงาสีดำ รัศมีนี้เป็นสีฟ้าน้ำแข็งขยายออกไปอย่างรวดเร็วในอึดใจ ก่อตัวเป็นเงาสีดำยืนตระหง่านที่ด้านข้างหลินจิ้ง

ร่างเงาสีดำถือหอกยาวไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้า ทว่าร่างกลับปกคลุมไปด้วยลวดลาย ขณะที่ลวดลายกะพริบแสงเย็นยะเยือกที่น่าสะพรึงกลัวก็เข้าครอบงำพื้นที่ทำให้บรรยากาศตกสู่จุดเยือกแข็ง

ในเวลาเดียวกันความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าอัศจรรย์ก็ระเบิดออกมาจากร่างเงาสีดำ

ตู้ม!

ทุกคนสูญเสียสีสันบนใบหน้าจากการระเบิดทรงพลังของความผันผวนคลื่นหลิง แม้แต่ชิ้งหย่าและคนอื่นๆ ก็มองไปที่ร่างเงานั้นด้วยความตกตะลึง

“คลื่นหลิงนี้…ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม?!” มีบางคนอุทานลั่น ไม่มีใครคิดว่าหุ่นเงาในมือของหลินจิ้งจะกลายเป็นนักรบขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม

“นั่นตัวอะไร?” มู่ซันอุทาน

ชิ้งหย่าครุ่นคิดก่อนที่จะอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นั่นคือตุ๊กตาวิญญาณเป็นหุ่นเงาที่หายากมาก วิธีการผลิตสลับซับซ้อนมีเพียงเผ่าที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่รู้ข้อมูลละเอียด นอกจากนี้การสร้างยังยากมาก โดยทั่วไปแล้วถ้าจะสร้างหุ่นวิญญาณระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ต้องให้จอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในการสร้าง แต่ถึงอย่างนั้นโอกาสที่จะล้มเหลวก็มีสูง”

มู่ซันและคนอื่นๆ ดวงตาหดเกร็ง ตุ๊กตาวิญญาณที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม? ผู้หญิงคนนั้นคือใคร? สิ่งของล้ำค่าดังกล่าวเป็นสิ่งที่แม้แต่พวกเขาก็ไม่สามารถครอบครองได้

ท่ามกลางสายตาตกตะลึง หลินจิ้งก็ยิ้มหวานขณะมองกลุ่มผีเฒ่าชุดสีเทา นางเอื้อมมือออกมาแตะร่างสีดำข้างตัวและพูดว่า “นี่คือตุ๊กตาน้ำแข็งที่ท่านน้าปิงมอบให้ข้านะ”

พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดไปชั่วครู่ก่อนที่จะชี้ไปที่หวังกง “กำจัดพวกมันซะ!”

วาบ!

คำพูดเปล่งออกมา ร่างเงาสีดำก็ลืมตาที่อัดแน่นไปด้วยรัศมีเยือกเย็นปะทุเปรียะ จากนั้นก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ตุ๊กตาวิญญาณตัวนี้มีขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม ขณะที่อีกฝ่ายมีเพียงหวังกงที่อยู่ในขั้นเก้าระยะปลายสุดเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีช่องว่างกว้างใหญ่เมื่อเทียบกับหุ่นเงา

ดังนั้นเมื่อร่างเงาสีดำกระโจนเข้ามา ใบหน้าของทั้งสี่ก็เต็มไปด้วยความตกใจก่อนที่จะแยกกันหนี

ฟิ้ว!

แต่ขณะที่พวกเขาแยกกัน จอมยุทธ์แคว้นเซี่ยสามคนก็รู้สึกได้ถึงลมเย็นเยือก คอของพวกเขาเย็นลง เมื่อลดศีรษะมองไปก็เห็นกระบี่ยาวโผล่ออกมาจากลำคอพร้อมกับไอเย็นแผ่ซ่าน ทำให้ทั้งสามคนกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งในทันที

เมื่อหวังกงเห็นทั้งสามคนกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง ไอหนาวเหน็บก็เพิ่มขึ้นในใจ เขาปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่มีโดยไม่ลังเลที่จะหนีไป

ชี่!

แต่เมื่อเขาหมุนความเร็วจนถึงขีดสุด เสียงกระบี่ยาวก็กรีดผ่านเนื้อดังก้อง ร่างกายเขาถูกแช่แข็งทันที เมื่อก้มศีรษะลงก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปลายแหลมของกระบี่โผล่ออกมาจากหน้าอกตนเอง

ด้านหลังเงาดำปรากฏขึ้นช้าๆ

รัศมีเย็นยะเยือกครอบงำแผ่ออกมาปกคลุมร่างหวังกงก่อนที่จะทำให้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง

ทุกคนพูดไม่ออกกับฉากนี้

แต่ละคนตกตะลึงเกินพรรณนากับภาพเบื้องหน้าสายตา ในเวลาไม่กี่ลมหายใจจอมยุทธ์แคว้นเซี่ยทั้งสี่ก็กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึก ความหวาดผวาที่มาถึงยิ่งใหญ่กว่าที่มู่เฉินเอาชนะเซี่ยหงเสียอีก

ไม่มีใครคาดคิดว่าหญิงสาวที่ดูไร้พิษสงคนนี้จะมีวิธีที่น่ากลัวอยู่ในมือเช่นนี้

แม้แต่มู่เฉินที่ยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะก็ยังมีแววตาตะลึงใจขณะมองไปที่ร่างเงาสีดำ สายตาของเขาเคร่งเครียดลงไปหลายส่วน

ความเร็วของตุ๊กตาวิญญาณและความครอบงำของไอเย็นเยือก อันตรายยิ่งนัก ถ้าไอเย็นนั้นเข้าร่างแม้แต่คลื่นหลิงก็คงถูกแช่แข็งทันที

ถ้าคลื่นหลิงในร่างไม่เคยหลอมรวมกับเพลิงชนิดใดๆ คงไม่สามารถต้านไอเย็นที่เข้ามาในร่างได้

เผชิญหน้ากับตุ๊กตาวิญญาณเช่นนี้ ต่อให้เป็นมู่เฉินในตอนนี้ก็ยากที่จะต่อกรด้วย หากต่อสู้กันเขาอาจเอาชีวิตรอดได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายมัน

“สมเป็นองค์หญิงน้อยแคว้นหวูแท้จริง…” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหุ่นเงาที่ทรงพลังเช่นนี้ รากฐานของแคว้นหวูลึกล้ำเกินหยั่งถึง

ในขณะนี้แม้แต่เขาที่มีจิตใจสงบก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา

หากเขามีตุ๊กตาวิญญาณที่ทรงพลังสักตัว เขาต้องสู้กับเซี่ยหงเองซะที่ไหน? สิ่งที่เขาต้องทำคือโยนมันออกไปแล้วให้หุ่นจัดการกับสถานการณ์ทั้งหมด

ขณะที่ถอนหายใจมู่เฉินก็มองไปที่เซี่ยหงที่หวาดผวารุนแรง เมื่อรู้สึกถึงสายตาของมู่เฉินร่างกายเขาก็สั่นสะท้านก่อนจะเงยหน้าขึ้น เขาเห็นจิตสังหารอันเฉยเมยในดวงตาของมู่เฉิน

การออกคำสั่งก่อนหน้านี้ชัดว่าไปกระตุ้นจิตสังหารของมู่เฉินแล้ว

เมื่อรู้สึกถึงไอสังหารของมู่เฉินหัวใจของเซี่ยหงก็เย็นชาลง สายตาเปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็กระแทกฝ่ามือลงบนพื้นผลักร่างกลายเป็นลำแสงพยายามจะหลบหนี

เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ แววตาก็เย็นชาลง มือของร่างเทพสุริยะพุ่งทะลุมิติคว้าตัวเซี่ยหงไว้

ตู้ม!

ภายใต้มือขนาดใหญ่ลำแสงสามสายก็พุ่งออกมาเป็น หอก ชุดเกราะและมุกหิน

นี่ก็คือหอกและเกราะสงครามมังกรแดงและไข่มุกทะเลเดือดที่เซี่ยหงซื้อในการประมูล

เมื่อมองไปที่อาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามที่พุ่งออกมากะทันหัน มู่เฉินก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะหมุนเวียนพลังงานคว้าของทั้งสามไว้ในฝ่ามือ

อ็อก!

ทันใดนั้นเซี่ยหงก็พ่นเลือดออกมาคำหนึ่ง ห่อหุ้มร่างกลายเป็นลำแสงโลหิตพุ่งผ่านมิติด้วยความเร็วไม่อาจอธิบายได้

“ของสามชิ้นนี้ยังไม่พอจ่ายค่าชีวิตแกหรอก!”

สายตามู่เฉินวูบไหว อึดใจเนตรดับชีวิตก็เปิดขึ้นบนหน้าผาก ลำแสงสีดำพุ่งทะลุมิติไล่ตามลำแสงโลหิตและทำลายแขนข้างหนึ่งของเซี่ยหงทิ้ง

อ้ากๆๆๆ!

เสียงร้องแหลมดังก้อง มิติบิดเบี้ยว ลำแสงโลหิตห่อหุ้มเซี่ยหงแล้วหนีไป

“มู่เฉิน ข้าจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ แน่!” เมื่อลำแสงโลหิตหายไป เสียงคำรามน่าอนาถของเซี่ยหงก็ดังก้องระหว่างฟ้าดิน

มู่เฉินยิ้มให้กับเสียงเห่านั่น สุนัขจรจัดไม่เป็นภัยคุกคาม ยิ่งไปกว่านั้นแคว้นเซี่ยก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายในครั้งนี้แล้ว

เขาก้มศีรษะมองไปที่รูปปั้นสิงโตบนลานประลองที่มีม้วนกระดาษสีทองวางไว้

นี่เป็นใบรับรองหนี้ที่เซี่ยหงเขียนไว้ก่อนหน้านี้

ลูกหนี้—แคว้นเซี่ย

เจ้าหนี้—แคว้นหวู

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1103 แปดกงล้อแสงสวรรค์ รุกรับสอดประสาน
ร่างเทห์สวรรค์ทองคำยืนตระหง่านระหว่างฟ้าดิน

เกลียวแสงสีทองเบ่งบานกระจายลงมายังดินแดนแห่งนี้พร้อมกับความลึกลับแต่ไร้ขอบเขตพรั่งพรูออกมา ความกดดันที่ไม่อาจพรรณนาได้ปกคลุมสวรรค์และโลก ทำให้สีหน้าผู้คนเปลี่ยนไป

พวกเขาจ้องมองไปที่ร่างเทห์สวรรค์ทองคำด้วยท่าทางเคร่งเครียด สามารถเห็นดวงตะวันสีทองลอยคว้างบรรจุด้วยพลังที่น่าอัศจรรย์

ครืน!

ขณะที่ดวงตะวันพวยพุ่ง มิติเบื้องหน้าก็บิดเบี้ยว หมัดสีแดงซัดจนมิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่รัศมีร้ายกาจรุนแรงกวนตัวห่อหุ้มพื้นที่เอาไว้ หมัดราวกับว่าปากสัตว์อสูรดุร้ายดึกดำบรรพ์ ทำประหนึ่งต้องการกัดกินฟ้าดิน

มู่เฉินยืนอยู่บนหัวร่างเทพสุริยะพร้อมกับภาพหมัดสะท้อนในดวงตา ต่อให้ยังห่างกันไกล แต่รัศมีร้ายกาจที่กวาดเข้ามาก็ทำให้เสื้อผ้าของเขาเผยิบผยาบขึ้นลง

สายตาของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน เซี่ยหงได้ใช้พลังสูงสุดในการชกครั้งนี้ ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้น กระทั่งระยะปลายสุดก็ยังต้องถอยหนีการโจมตีครั้งนี้

แม้ว่าชายคนนี้จะน่ารังเกียจ แต่ความแข็งแกร่งในการโจมตีไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง

“ถ้าข้าไม่ได้แตะระดับจื้อจุนขั้นเก้าในเวลานี้ คงเป็นเรื่องยากที่จะเผชิญหน้า” มู่เฉินจ้องมองไปที่หมัดสีแดงพลางพึมพำ

ทว่าน่าเสียดาย…

มู่เฉินวาดตราประทับแปลกประหลาด เสียงตะโกนลึกดังกึกก้องภายในหัวใจ สะท้อนราวกับฟ้าร้อง ทันใดเสียงก็ดังกึกก้อง “คลื่นเก้าตะวัน เปิดแปดตะวัน!”

ตู้ม!

ดวงตะวันทองคำทั้งแปดดวงระเบิดกลายเป็นกระแสพลังสีทอง เคลื่อนผ่านร่างไปรวมกันในฝ่ามือของร่างเทพสุริยะ

แสงสีทองส่องกระจาย แม้แต่แสงพระอาทิตย์ก็ถูกบดบัง

“คลื่นเก้าตะวัน แปดกงล้อแสงสวรรค์!”

กระแสสีทองควบแน่นอย่างรวดเร็วบนฝ่ามือยักษ์ของร่างเทพสุริยะ สุดท้ายริ้วแสงสีทองกระจายออกไป ก่อร่างเป็นกงล้อทองคำขนาดหนึ่งร้อยจั้ง

กงล้อทองคำนี้ราวกับเข็มทิศซึ่งปกคลุมไปด้วยลวดลายสลับซับซ้อน ดูโบราณประหนึ่งผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน

กงล้อสีทองลอยคว้างที่เบื้องหน้าของมู่เฉินเสมือนเป็นโล่ป้องกันมู่เฉินเอาไว้

มู่เฉินยืนอยู่ด้านหลังกงล้อด้วยท่าทางสงบอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีระลอกคลื่นใดในดวงตา ขณะจ้องมองภาพหมัดก็ยื่นฝ่ามือออกไปกดที่เบื้องหน้าตนเอง

ฮึ่ม!

กงล้อสีทองหมุนช้าๆ ลวดลายโบราณเปล่งประกายออกมา มิติโดยรอบเริ่มบิดเบี้ยว ราวกับว่าจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

“ปลอมเป็นเทพแกล้งผี!”

เมื่อเซี่ยหงเห็นฉากนี้ก็แสยะยิ้มน่าสะพรึงกลัว เขารู้ว่าหมัดนี้ทรงพลังเพียงใด ไม่ต้องพูดมู่เฉินที่มีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แม้แต่ขั้นเก้าแท้จริงก็ต้องตายอนาถถ้าคิดปะทะกับกระบวนท่านี้!

“ตาย!”

เซี่ยหงคำรามเสียงต่ำ ภายใต้สายตาหวาดกลัวนับไม่ถ้วน ภาพหมัดก็กวาดออกพร้อมกับรัศมีร้ายกาจรุนแรง ราวกับอุกกาบาตสีแดงเข้มปะทะกับกงล้อทองคำจังใหญ่

ตู้ม!

จังหวะที่เกิดการปะทะกัน ทั่วทั้งฟ้าดินก็กลายเป็นเย็นเยือกในอึดใจ ก่อนที่คลื่นกระแทกป่าเถื่อนจะกวาดออก ทำให้มิติโดยรอบรัศมีหมื่นจั้งเกิดการบิดเบือน หุบเหวลึกปรากฏบนพื้นดิน

ทุกคนบนท้องฟ้าถอยหนีกันจ้าละหวั่นเพราะกลัวว่าจะได้รับลูกหลงจากคลื่นกระแทก

เซี่ยหงมองไปที่แสงสีแดงที่ขยายตัวอย่างดุเดือด รอยยิ้มที่น่ากลัวก็เพิ่มเป็นน่าขนพองสยองเกล้า ไอ้โง่มู่เฉินคิดว่าสามารถรับการโจมตีของเขาได้รึ? ปัญญาอ่อนเกินไปแล้ว!

“ตอนนี้ถึงเวลาที่แกจะกลายเป็นเถ้าธุลี!” เซี่ยหงแสยะยิ้มน่าขนลุก

แต่ทันทีที่เขายิ้มดวงตาก็ต้องหดเกร็ง เมื่อเห็นแสงสีแดงซึ่งกำลังขยายดุเดือดเกิดการแข็งตัวขึ้นในเวลานี้

คลื่นกระแทกรุนแรงถูกแช่แข็งราวกับว่าเวลาถูกหยุดชั่วคราว

“เกิดอะไรขึ้น?!”

ไม่เพียงแต่เซี่ยหงที่ตกตะลึงกับฉากนี้ กระทั่งผู้ชมก็หันมาแลกเปลี่ยนสายตากันเนื่องจากการระเบิดที่คาดไว้ในตอนแรกไม่ได้เกิดขึ้น

ภายใต้ทุกสายตา แสงสีทองและแสงสีแดงเลือดก็เริ่มสงบลง พลังทำลายล้างถูกยับยั้งเอาไว้

เมื่อฉากนี้กระจ่างชัดขึ้น ผู้คนก็ต้องหดดวงตา

“นั่นมัน?” สีหน้าของเซี่ยหงเปลี่ยนไปรุนแรงในขณะนี้

มู่เฉินยังคงยืนนิ่งอยู่บนร่างเทพสุริยะในท่าเดิม กงล้อสีทองหมุนคว้างที่เบื้องหน้า หมัดสีแดงเลือดตกอยู่ในสภาพเป็นก้อนแข็งที่ด้านหน้ากงล้อ มากจนแม้แต่คลื่นร้ายกาจยังชะงักไปในจุดนี้

สถานการณ์นี้ราวกับว่าเวลาถูกหยุดลง

“เป็นไปได้ยังไง!” สีหน้าของเซี่ยหงเขียวคล้ำพร้อมกับความหวาดผวาวาบผ่านดวงตา ภาพเบื้องหน้าช่างเกินความคาดหมาย หมัดที่เร้ากำลังภายในทั้งหมดของเขาถูกหยุดลงอย่างง่ายดาย นอกจากนี้เขายังรู้สึกได้ว่าในช่วงเวลานี้ตนเองได้สูญเสียการเชื่อมต่อทั้งหมดในการโจมตี มากจนเขาสูญเสียการควบคุมคลื่นหลิงไปด้วยซ้ำ

ความรู้สึกราวกับว่าหมัดไม่ได้อยู่ในการควบคุมอีกต่อไป

ท่ามกลางสายตาไม่อยากเชื่อ มู่เฉินก็มองเซี่ยหงพลางยิ้มอ่อน “ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะอยู่นอกเหนือการควบคุมขององค์ชายสี่แล้วนะ”

“ข้าคิดว่าตัวเองรับของขวัญจากองค์ชายไม่ไหว ดังนั้นข้าขอคืนให้แทน”

เมื่อพูดจบก็งอนิ้วเปลี่ยนกระบวนท่า

ขณะที่มู่เฉินพลิกมือ กงล้อสีทองก็หมุนทวนไปช้าๆ ทุกคนตะลึงเมื่อเห็นหมัดสีแดงเลือดกลับหลังหันเล็งเป้าไปที่เซี่ยหง

“เขาสามารถโต้ตอบการโจมตีของเซี่ยหงได้อย่างสมบูรณ์แบบขนาดนี้เชียวเรอะ?!” ทุกคนอ้าปากสูดหายใจเย็นกับภาพนี้พลางร้องอุทานลั่น

แม้แต่ชิ้งหย่า มู่ซันและคนอื่นๆ ก็มีใบหน้าหวาดผวา มู่เฉินใช้วิธีอะไรกัน?

มู่เฉินสีหน้าสงบนิ่งมองฉากเบื้องหน้า นี่คือพลังอำนาจของร่างเทพสุริยะ พร้อมกับความเข้าใจของเขาที่ลึกซึ้งขึ้น ทำให้เขาสามารถปลดปล่อยพลังได้มาก กงล้อสีทองมีความสามารถรุกรับสมบูรณ์แบบ ซ้ำยังส่งการโจมตีกลับไปยังแหล่งที่มาได้อีกด้วย

กระบวนท่าที่ยอดเยี่ยมนี้สามารถเทียบเคียงวิทยายุทธระดับเสินทงที่ทรงพลังได้เลย แต่เนื่องจากข้อจำกัดของความแข็งแกร่งมู่เฉิน ผลจึงจำกัดมากเช่นกัน เมื่อเกินขีดจำกัดไปกงล้อก็ถูกทำลาย

แต่โชคดีที่เซี่ยหงยังไม่ไปถึงระดับนั้น

“องค์ชายสี่ถึงตาเจ้ารับกระบวนท่าข้ามั่ง”

มู่เฉินยิ้มให้เซี่ยหงที่มีใบหน้าหวาดผวาพร้อมกับมือผลักออกไป ทันใดนั้นกงล้อทองคำสั่นสะเทือนรุนแรง ก่อนที่ภาพหมัดสีแดงเข้มจะพุ่งออกไปแฝงด้วยรัศมีร้ายกาจอีกครั้ง

แต่คราวนี้มุ่งเป้าไปที่เซี่ยหง!

ครืน!

รัศทีร้ายกาจเชี่ยวกรากครอบงำออกมา ใบหน้าของเซี่ยหงก็เขียวคล้ำจนมีความหวาดกลัวแฝงอยู่ เผชิญหน้ากับหมัดของตนเองที่เทพลังทั้งหมดลงไป เขารู้สึกว่าได้ว่ามันน่าสะพรึงเพียงใด

นั่นเหมือนจะไม่สามารถต้านทานได้

แต่เขาไม่มีเวลาที่จะชื่นชมกับพลังตัวเอง เนื่องจากหมัดได้พุ่งเข้ามาใกล้เขาแล้ว เขาได้แต่กัดฟันแน่นหมุนเวียนพลังทั้งหมดก่อนที่จะเหวี่ยงหมัดจากร่างอสูรเก้าฉกาจออกไป

ปัง!

พลังงานสองสายปะทะกัน แสงสีแดงเข้มโหมราวกับพายุ ทำให้มิติบิดเบี้ยว ผืนดืนพังทลาย

รอยแตกปรากฏขึ้นบนร่างอสูรเก้าฉกาจแล้วกระจายไปทั่ว เมื่อแสงสีแดงเข้มพุ่งออกไปร่างเทห์สวรรค์ที่ทรงพลังก็ระเบิดออก

อ็อก

ร่างเทห์สวรรค์กลายเป็นจุณ ใบหน้าของเซี่ยหงก็เปลี่ยนไปรุนแรงก่อนจะกระอักเลือดเต็มปาก ความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวก็ลดน้อยลง เขากระเด็นออกไปอย่างน่าสมเพช หากไม่ใช่เพราะการปกป้องชุดเกราะเขาคงหมดไปแล้วครึ่งชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนในร่างกายและรู้ว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บหนักแล้ว

ปัง!

เซี่ยหงดิ่งพสุธาลงมา ลากรอยยาวพันจั้งไปบนพื้นดิน รูปปั้นสิงโตหินถูกทำลายในเส้นทางที่เขาผ่านไป

อ็อก

เซี่ยหงกระอักเลือดหลายคำ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยเลือด ดูอนาถอย่างยิ่ง

เมื่อคลื่นกระแทกค่อยๆ สลายไป ทุกคนก็เงียบเมื่อมองฉากนี้ สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสยดสยองขณะมองไปที่ร่างสูงโปร่งที่ยืนอหังการบนร่างเทพสุริยะ เขายังคงมีสีหน้าสงบราวกับว่าไม่รู้สึกถึงอารมณ์จากการเอาชนะเซี่ยหง

ราวกับว่าคาดตอนจบไว้แล้ว

ผู้คนแลกเปลี่ยนสายตากัน เซี่ยหงแพ้แล้วเหรอ?

ชิ้งหย่า มู่ซัน เจียงหลิงและคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าตกตะลึง เมื่อเลื่อนสายตามองไปที่มู่เฉินอีกครั้ง สายตาของพวกเขาเคร่งเครียดมาก พวกเขารู้ว่าหลังจากวันนี้ชื่อมู่เฉินจะเติบโตขึ้นในทวีปเทียนหลัวอย่างแน่นอน อาจจะมีชื่อชายคนนี้ในยี่สิบอันดบแรกของทำเนียบด้วยแล้ว

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน ในที่สุดเซี่ยหงก็ทรงตัวได้และสัมผัสได้ถึงอาการบาดเจ็บหนักในร่างกาย ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวก่อนที่จะมองไปที่จอมยุทธ์แคว้นเซี่ย ตะโกนด้วยเสียงดุร้าย

“ฆ่าพวกมัน!”

หวังกงฟื้นคืนสติจากเสียงตะโกน ดวงตากะพริบด้วยแสงเย็นก่อนที่จะพุ่งออกไปพร้อมกับจอมยุทธ์สามคนที่มีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า

ทว่าเป้าหมายของพวกเขาล้วนเป็นร่างที่งดงาม

นั่นคือหลินจิ้งที่ดูเหมือนจะจัดการได้ง่ายที่สุด

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1102 เปิดแปดตะวัน
รัศมีร้ายกาจไร้ขอบเขตกำจายออกไป

ร่างเทห์สวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ก็ปรากฏขึ้น ราวกับเป็นร่างรวมของสัตว์อสูรยุคดึกดำบรรพ์ ที่ทั้งครอบงำและดุร้าย

ทุกคนเปลือกตากระตุกเมื่อเห็นภาพนี้ ขณะมองไปที่ร่างเทห์สวรรค์สีแดงเข้ม สายตาของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีร้ายกาจที่น่าสะพรึงกลัว

“นี่เป็นร่างอสูรเก้าฉกาจที่เซี่ยหงชำระ ว่ากันว่าต้องใช้วิญญาณสัตว์อสูรดุร้ายเก้าตัว กระบวนการการชำระเป็นอันตรายอย่างยิ่งและเมื่อประสบความสำเร็จก็จะมีรัศมีร้ายกาจคล้ายกับสัตว์อสูรที่สามารถทำลายร่างเทห์สวรรค์ธรรมดาได้” มีคนร้องอุทานออกมาและมีหลายคนรู้สึกอิจฉากับร่างเทห์สวรรค์ของเซี่ยหง

เนื่องจากพวกเขาส่วนใหญ่ชำระร่างเทห์สวรรค์ธรรมดาเท่านั้น บางคนที่โชคช่วยก็อาจได้ชำระร่างลำดับท้ายตาราง แต่เมื่อเทียบกับอันดับที่ห้าสิบเจ็ดก็มีเพียงขั้วอำนาจชั้นสูงที่มีฐานรากลึกซึ่งเท่านั้นที่สามารถครอบครองได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์สามัญทั่วไปสามารถหามาได้ ไม่เช่นนั้นจะนำพาหายนะมาสู่ตัวเองแทน

“แกมีความสามารถจริงที่บีบข้าให้นำร่างเทห์สวรรค์ออกมาทั้งที่มีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น” เซี่ยหงหลุบตาลงขณะพูดด้วยความไม่แยแสภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน

มู่เฉินมองไปที่ร่างเทห์สวรรค์ที่กำลังปลดปล่อยรัศมีร้ายกาจที่รุนแรง ดวงตาก็ฉายแววตกใจ เซี่ยหงมีความสามารถแท้จริงที่ติดอันดับยี่สิบของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว

ด้วยความสามารถที่เขาเปิดเผยในวันนี้ ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้น แม้แต่ระยะปลายสุดก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้

เซี่ยหงลอยตัวขึ้นอย่างช้าๆ พลิ้วลงบนไหล่ของร่างอสูรเก้าฉกาจ จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มโหดร้ายแขวนบนมุมปาก ก่อนจะกระทืบเท้าลงไป

ตู้ม!

รัศมีร้ายกาจเชี่ยวกรากระเบิดออกจากร่างอสูรเก้าฉกาจ ก่อร่างเป็นแม่น้ำที่มีความยาวพันจั้งกวาดเข้าหามู่เฉิน

ด้วยพลังของร่างอสูรเก้าฉกาจการโจมตีของเซี่ยหงจึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก

มู่เฉินมองไปที่แม่น้ำสีแดงเข้มก็หดตาลง มือทั้งสองข้างประสานกัน จากนั้นแสงสีทองก็กำจายออกมา พลางปล่อยหมัดออกไป ฝ่ามือแสงสีทองไร้ขอบเขตก็คำรามพร้อมกับเสียงมังกรเกรี้ยวกราดปะทะกับแม่น้ำ

ปัง!

แต่เวลานี้การโจมตีของเซี่ยหงแข็งแกร่งมาก ดังนั้นเมื่อปะทะกันฝ่ามือทองคำก็ต้านได้เพียงชั่วครู่ก่อนที่จะถูกกลืนกินลงไปในแม่น้ำ

“นำร่างเทห์สวรรค์ของแกออกมาซะก่อนจะหมดโอกาส” เซี่ยหงมองภาพนี้ด้วยความเฉยเมย

มู่เฉินไร้เดียงสาซะจริง ที่คิดจะต้านทานการโจมตีดังกล่าวด้วยพลังในร่างที่มีเท่านั้น

แม่น้ำขยายตัวอย่างรวดเร็วที่เบื้องหน้า มู่เฉินก็เบ้ปากแล้วหลับตาลง เมื่อเปิดดวงตาขึ้นอีกครั้ง แสงสีทองก็ระเบิดออกจากดวงตา ย้อมดวงตาเป็นสีทองอร่าม

ครืน!

คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลทะยานออกจากร่างกายของมู่เฉินราวกับดวงตะวันสีทองลอยขึ้นด้านหลัง เงาร่างสีทองควบแน่น ยักษ์สีทองปรากฏขึ้นที่ด้านหลังมู่เฉิน

ความไร้ขอบเขตและลึกลับเปล่งออกมารอบๆ

เงาร่างสีทองปรากฏขึ้นกระจายความแวววาวสีทองกลายเป็นโล่ขนาดใหญ่ล้อมรอบรัศมีหนึ่งพันจั้งเอาไว้

เมื่อแม่น้ำสีแดงเข้มอยู่ห่างออกไปหนึ่งพันจั้งก็เริ่มแตกกระจายไปอย่างรวดเร็วด้วยชั้นของแสงสีทอง พอมาถึงตัวมู่เฉินก็อันตรธานหายไปหมดแล้ว

ทุกคนหดตาลง ร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินฝึกฝนมาเป็นร่างแบบใดถึงสามารถสลายการโจมตีของเซี่ยหงในลักษณะนี้ได้?

สายตานับไม่ถ้วนจดจ่อไปที่แสงพร่างพราว เมื่อแสงสีทองหม่นลง พวกเขาก็สามารถมองเห็นร่างในนั้นได้อย่างชัดเจน ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเข้าปอด

มีร่างยักษ์สีทองยืนอยู่ข้างหลังมู่เฉิน แสงสีทองไหลเวียนอยู่รอบๆ ตัวราวกับว่าถูกหลอมด้วยทองคำดวงตะวันลอยคว้างอยู่ด้านหลังศีรษะเปล่งแรงกดดันที่ลึกลับและไม่อาจอธิบายได้

“นั่นคือร่างเทห์สวรรค์อะไรกัน?” ทุกคนถามด้วยความสงสัยเนื่องจากไม่คุ้นชินกับร่างนั้นของมู่เฉิน ซึ่งเหมือนไม่ได้อยู่ในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง แต่เมื่อพิจารณาจากพลังของมันก็ดูไม่ธรรมดา

ชิ้งหย่า มู่ซันและคนอื่นๆ ก็มองไปที่ร่างเทห์สวรรค์ทองคำด้วยความสงสัย พวกเขาพากันขมวดคิ้วแน่น “นี่ไม่ใช่หนึ่งในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างแน่ หรือว่าจะไม่ได้รับการจัดอันดับ?”

ด้วยร่างเทห์สวรรค์มีมากมายจึงอาจไม่ได้รวมอยู่ในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์ เนื่องจากยังมีร่างบางส่วนที่ยอดเยี่ยมที่ไม่ได้รับการจัดอันดับ

“ว่าแต่ทำไมร่างเทห์สวรรค์นี้ถึงดูคุ้นเคยนะ?” ชิ้งหย่าถามหลังจากลังเลไปครู่หนึ่ง

มู่ซันและเจียงหลิงผงะไปก่อนที่จะไตร่ตรอง จากนั้นหัวใจพวกเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำ อุทานเสียงสั่นว่า “ดูคล้ายกับร่างเทห์สวรรค์ลึกลับที่จาโหลหลัวแห่งตำหนักเทพปีศาจฝึกฝน”

ชิ้งหย่ามีสีหน้าเคร่งเครียดดูไม่แน่ใจ นางเคยเห็นร่างเทห์สวรรค์ของจาโหลหลัว แม้คล้ายคลึงกัน แต่ก็ไม่เหมือนไปทุกประการ

“ดูคล้าย แต่ข้าก็ไม่แน่ใจ”

มู่ซันและเจียงหลิงครุ่นคิดหนัก “บางทีอาจแค่คล้ายคลึงกัน จาโหลหลัวเป็นใคร? ร่างเทห์สวรรค์ที่เขาปลูกฝังว่ากันว่าทรงพลังและลึกลับ ถึงขนาดที่ว่าจอมยุทธ์ลำดับก่อนหน้าเขายังค่อนข้างครั่นคร้าม แล้วจอมยุทธ์ที่มาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของภูมิภาคทางเหนือเล็กจ้อยจะมีวิธีฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์นี้ได้อย่างไร?”

ชิ้งหย่าฉินหยาพยักหน้าเห็นด้วย บางทีอาจเป็นเพียงความคล้ายคลึงกัน ร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินที่ฝึกฝนก็ไม่ธรรมดา เหมือนจะไม่ได้ด้อยไปกว่าร่างอสูรเก้าฉกาจของเซี่ยหง การเผชิญหน้าระหว่างพวกเขาสองคนเต็มไปด้วยความดุเดือดอย่างแท้จริง

“นี่คือร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินชำระเหรอ?” หลินจิ้งมองร่างเทห์สวรรค์ทองคำอย่างอยากรู้อยากเห็น ย้อนกลับไปตอนที่นางเจอกับมู่เฉินครั้งแรกเขายังไม่ได้ชำระร่างเทห์สวรรค์ ซ้ำยังกำลังรวบรวมของที่จำเป็น แต่ดูจากตอนนี้ร่างเทห์สวรรค์ของเขาไม่ธรรมดา ดูเหมือนว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาก็ได้พัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว!

ภายใต้เสียงกระซิบทั้งหมด เซี่ยหงก็หดดวงตาลงมองไปที่ร่างเทห์สวรรค์ทองคำ ความรู้สึกลึกลับและหนาแน่นที่ส่งมาทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ แต่จากนั้นสายตาของเขาก็เย็นชาลง ไม่ว่ามู่เฉินจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของการต่อสู้ครั้งนี้ได้

“ลากศึกต่อไปไม่ได้แล้ว”

จิตสังหารพวยพุ่งขึ้นในดวงตาของเซี่ยหงก่อนที่จะหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าเย็นชาลง ทันใดนั้นมือทั้งสองก็ประสานเข้าด้วยกัน สร้างตราประทับแปลกประหลาดขึ้น

โฮก!

ทันทีที่วาดตราประทับเสียงคำรามลึกก็แผ่มาจากร่างอสูรเก้าฉกาจที่อยู่ใต้เท้าของเขา เสียงคำรามทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับรัศมีรุนแรง

ลวดลายที่ปกคลุมร่างกายเต้นยุบยับราวกับมีชีวิต ค่อยๆ แยกตัวออกจากร่างอสูรเก้าฉกาจ ดวงตาสีแดงเข้มจับจ้องที่มู่เฉิน ราวกับว่าต้องการเขมือบอีกฝ่าย

โดยไม่มีการแสดงออกใดๆ เซี่ยหงก็วาดตราประทับวูบไหวที่ดูราวกับสัตว์อสูร

“ทักษะเทห์สวรรค์ คัมภีร์อสูรฟ้า พยัคฆ์ปีศาจ!”

เมื่อวาดตราประทับ พยัคฆ์ดำก็ปะทุออกมาด้วยแสงสีแดงเข้ม

“หมีปีศาจ!”

“เต่าปีศาจ!”

“ปีศาจฉลู!”

“…”

เสียงไม่แยแสดังก้องออกมาขณะที่สัตว์อสูรเก้าตัวที่อยู่รอบๆ เซี่ยหงลืมตาขึ้นพร้อมกับแสงรัศมีร้ายกาจที่ครอบงำสวรรค์และโลก

เมื่อชิ้งหย่าและคนอื่นๆ เห็นฉากนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปพร้อมกับความหวาดเกรงฉายในสายตา “เซี่ยหงเทหมดหน้าตักแล้ว ด้วยสัตว์อสูรทั้งเก้าพลังสามารถทำให้พลังของเขาพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ว่ากันว่าเขาเคยใช้กระบวนท่านี้เอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดด้วย”

“มังกรปีศาจ!”

ท่ามกลางสายตาหวาดผวาของทุกคน เสียงเย็นเยียบสุดท้ายก็ดังออกจากปากเซี่ยหง ในเวลาเดียวกันมังกรดำที่กำลังขดตัวก็เปิดดวงตาออก รัศมีร้ายกาจพวยพุ่งสูง

สัตว์อสูรทั้งเก้าลืมตาขึ้น ทั่วบริเวณก็เหมือนถูกดึงกลับไปในยุคดึกดำบรรพ์ ขณะที่คลื่นร้ายกาจอัดแน่นที่ขอบฟ้า

“ทักษะเทห์สวรรค์ คัมภีร์อสูรฟ้า หมัดเก้าอสูรฉกาจ!”

จิตสังหารในดวงตาของเซี่ยหงหนาแน่นขึ้น รัศมีร้ายกาจที่เชี่ยวกรากก็พรั่งพรูออกมาพร้อมกับรัศมีเลือดปกคลุมท้องฟ้า เขาเหวี่ยงหมัดออกไป ขณะที่สายตาน่าขนลุกจับจ้องที่มู่เฉิน

โฮก!

สัตว์อสูรทั้งเก้าปล่อยเสียงคำราม กระโจนออกไปพร้อมกับหมัด กลายเป็นแสงสีแดงฉานบ้าคลั่งหลอมรวมเป็นภาพกำปั้นสีแดงเข้มขนาดใหญ่พันจั้ง

สัตว์อสูรเปล่งเสียงพร้อมกับรัศมีร้ายกาจน่าสะพรึง ราวกับจะกลืนกินท้องฟ้า

พลังของหมัดนี้ ทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนเกิดอาการสั่นสะท้าน พวกเขาทราบดีว่าถ้าหมัดนี้พุ่งมาหา กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ตายคาที่กับการโจมตีนี้

เซี่ยหงเค้นพลังทุกหยาดหยดใส่ลงไปในหมัดนี้

ภาพหมัดเอิบอาบด้วยรัศมีร้ายกาจเชี่ยวกราก สายตาของมู่เฉินที่ยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน ก่อนที่จะหายใจลึกสุดปอด มือทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน

เมื่อยกมือทั้งสองขึ้น ร่างเทพสุริยะซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าก็เปล่งประกายแสงสีทอง จากนั้นผู้คนก็มองเห็นดวงตะวันสีทองลุกโชนขึ้นมาอย่างช้าๆ จากร่างมหึมานั่น

ดวงตะวันโชนแสงขึ้นทีละดวง…ละดวงจนครบแปดดวง!

คลื่นเก้าตะวัน เปิดแปดตะวัน!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1101 ร่างอสูรเก้าฉกาจ
บนลานประลองขนาดใหญ่

เซี่ยหงยืนตระหง่านพร้อมกับคลื่นยักษ์สีแดงเข้มสูงหมื่นจั้งกวาดออกมา ส่งผลให้ชั้นฟ้าและชั้นดินมืดมิดลง

หอกในมือชี้ไปบนพื้นเปล่งประกายด้วยรัศมีสีแดง การเคลื่อนไหวใดๆ ก็ทำให้เกิดรอยลึกเหลือไว้บนพื้นราวกับว่าเฉือนเต้าหู้

พร้อมกับมังกรสีแดงเข้มที่สลักอยู่บนชุดเกราะเปล่งเสียงคำรามแผ่วเบา ความผันผวนของคลื่นหลิงค่อยๆ แผ่ออกมาจากเขา

ตอนนี้รัศมีเซี่ยหงน่าทึ่งมาก

ทุกคนตกตะลึงกับเซี่ยหงในตอนนี้ จากนั้นก็ส่ายหัวด้วยความอิจฉา แคว้นเซี่ยรากฐานหยั่งลึก แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ยังดวงตาแดงก่ำเมื่อมองไปที่ชุดออกรบของเซี่ยหง

นี่เป็นชุดอาวุธเสมือนมหสวรรค์เต็มรูปแบบ อาวุธสามัญอื่นๆ ไม่สามารถเทียบเคียงได้ ด้วยความช่วยเหลือของอาวุธทั้งสองนี้ เซี่ยหงสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดได้เลยทีเดียว

เมื่อจิ่วโยวเห็นภาพเบื้องหน้า สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้ กระทั่งตัวนางก็ยังสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามเข้มข้นที่มาจากเซี่ยหง

“เจ้านี่ไร้ยางอายแท้จริง อาศัยพลังของอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแล้ว” ถานชิวกัดฟันอดไม่ได้ที่จะก่นด่า

แววกังวลวูบไหวในดวงตาพรรคพวกที่เหลือ แม้พวกเขาจะเห็นเหตุการณ์ที่มู่เฉินเอาชนะหลงปี้ แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเซี่ยหงไม่ใช่สิ่งที่หลงปี้จะแข่งขันได้

“ผู้ชนะเท่านั้นที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้ ผู้แพ้ไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถามถึงวิธีการของคนผู้ชนะ” เซี่ยหงควงหอกจ้องมองมู่เฉินอย่างไม่แยแส

ตู้ม!

เมื่อเขาพูดจบลง ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ เขาพุ่งออกมาราวกับสายฟ้าแลบพร้อมกับลำแสงยาวลากออกมาจากหอกกำจายจิตสังหารพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ประหนึ่งจะฉีกทึ้งเส้นขอบฟ้าออกจากกันให้ได้

หอกเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ปรากฏตรงหน้ามู่เฉินในพริบตา ทำเอาเขาตกใจไปเล็กน้อย ด้วยหอกและชุดเกราะนี้ ความเร็วของเซี่ยหงเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

ชี่!

หอกยาวเสือกแทงออกมา มู่เฉินก็ถอยออกไปสองก้าวพลางสะบัดแขนเสื้อ เสียงคำรามมังกรดังกึกก้อง จิตวิญญาณมังกรแท้จริงทะยานขึ้นเปลี่ยนเป็นโล่แสงสีม่วงทองปกป้องมู่เฉินเอาไว้

ฮึ่ม!

หอกซัดลงบนโล่แสงอย่างรุนแรง เกลียวแสงสีแดงเข้มระเบิดบ้าคลั่ง แนวป้องกันจากจิตวิญญาณมังกรแท้จริงยืนหยัดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถูกหอกแทงทะลุ หอกพุ่งตรงไปที่ลำคอของมู่เฉิน

จิตวิญญาณมังกรแท้จริง ต่อให้มีพัฒนาการ พลังก็อยู่ในระยะอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ทว่าการโจมตีของเซี่ยหงเกินขอบเขตขั้นนี้ไปไกล ดังนั้นมันจึงสามารถชะลอการโจมตีได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น

เมื่อหอกกำลังจะแทงทะลุคอมู่เฉิน ทันใดนั้นแสงก็ควบแน่นที่กลางหน้าผากเขา ดวงตาแนวตั้งก็เปิดขึ้นพร้อมกับเกลียวแสงสีดำพุ่งออกมา มิติเบื้องหน้าแตกสลายลงจากแสงนั่น

ปัง!

เกลียวแสงสีดำปะทะหอกเต็มแรง ผลกระทบที่น่ากลัวทำให้หอกหยุดชะงักเวลาสั้นๆ จากนั้นก็ถูกผลักกลับไป

“ที่แท้เจ้าก็มีอาวุธเสมือนมหสวรรค์เหมือนกัน!” เมื่อหอกถูกผลักกลับมา สายตาของเซี่ยหงก็วูบไหวด้วยความประหลาดใจ ขณะจดจ้องไปที่ดวงตาแนวตั้งบนหน้าผากของมู่เฉิน

“แต่ไม่รู้ว่าอาวุธของเจ้าจะเทียบกับของข้าได้หรือไม่?”

เซี่ยหงเค้นเสียงเยือกเย็น ทันใดนั้นมือก็สั่นสะท้าน หอกพุ่งออกมา ระเบิดออกด้วยแสงสีแดงเข้ม กลายเป็นลำแสงขนาดใหญ่ที่มีคลื่นหลิงครอบงำไร้ขอบเขตแผ่ออกไปทั่วพื้นที่

โฮก!

หอกพุ่งลงมาด้วยพลังการทำลายล้างห่อหุ้มร่างมู่เฉินโดยตรง

เผชิญหน้ากับการโจมตีที่ดุเดือดเช่นนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้ายังพบว่าอันตรายอย่างยิ่ง

มู่เฉินมองลำแสงสีแดงเข้มที่ขยายขนาดในดวงตาก็ต้องหดเกร็งดวงตา วินาทีต่อมาแสงสีม่วงทองก็ระเบิดออกจากร่างกาย ปีกหงส์ฟ้าคู่หนึ่งกางออกมาจากแผ่นหลัง

วาบ!

ปีกหงส์ฟ้ากระพือวูบไหว พาร่างมู่เฉินหายไปจากจุดที่ยืนอยู่เดิม

ปัง!

หอกแสงพุ่งลงมากระแทกพื้นเป็นหลุมลึกหลายร้อยจั้ง มีเหวลึกปรากฏขึ้นบนพื้นดิน

“เร็วมาก!”

เซี่ยหงหดดวงตาเมื่อการโจมตีก่อนหน้าพลาดเป้าไป เขาตกใจกับความเร็วของมู่เฉิน เจ้านี่ระงับความเร็วไว้ก่อนหน้าหรือ?

วาบ!

ขณะที่ความคิดวนเวียนในใจเซี่ยหง ร่างเงาหนึ่งก็ปรากฏตัวที่เบื้องหลังเขา เซี่ยหงมีสีหน้าเปลี่ยนไปขณะกำมือแน่น หอกสีแดงเข้มคำรามบินกลับไป

ตู้ม

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้โอกาส หมัดซัดออกพร้อมกับสีหน้าไม่แยแส

โฮก!

เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก้องกังวานพร้อมกับหมัด มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงพันรอบท่อนแขนเขา เปลี่ยนเป็นเกลียวแสงสีม่วงทองทะยานออกไป

ระลอกคลื่นสั่นไหว ราวกับเกลียวสีม่วงทองระเบิดอากาศพร้อมกับเสียงระเบิดดังกึกก้อง หุบเหวลึกฉีกขาดบนพื้นดิน

หมัดของมู่เฉินรวบรวมด้วยพลังจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเอาไว้ พลังทั้งสองสายนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ได้รับบาดเจ็บหนักได้

สัมผัสได้ถึงพลังน่าสะพรึงด้านหลัง ดวงตาเซี่ยหงก็หดเกร็ง เขารู้สึกได้ว่าตอนนี้มู่เฉินทรงพลังมากกว่าก่อนหน้าแล้ว

ด้วยความเร็วนี้ เขาก็ไม่สามารถหลบหมัดที่พุ่งเข้ามาหาได้

ดวงตาของเซี่ยหงวูบไหว เขาเค้นเสียง หอกก็ทะยานออกไปพร้อมกับแสงสีแดงเข้มทรงพลัง เล็งไปที่หัวของมู่เฉิน เตรียมป้องกันด้วยการโจมตี

ตู้ม!

ทว่าเผชิญกับกระบวนท่านี้ มู่เฉินกลับไม่ได้สนใจการจู่โจมของหอก หมัดพุ่งซัดไปเต็มเหนี่ยวบนหลังเซี่ยหง

เคร้ง!

เสียงราวกับโลหะปะทะกันดังก้อง เมื่อหมัดของมู่เฉินกระแทกลงบนชุดเกราะเซี่ยหง ประกายสีแดงเข้มปะทุขึ้นมาจากชุดเกราะ มังกรสีแดงเข้มขยับเขยื้อนอ้าปากกลืนคลื่นกระแทกที่น่ากลัวเข้าไป

เห็นได้ชัดว่าการป้องกันทรงพลังของชุดเกราะสีแดงเกินความคาดหมายของมู่เฉิน

ปัง!

แต่ถึงอย่างนั้นหมัดของมู่เฉินก็ส่งเซี่ยหงกระเด็นไปไกล

เมื่อเซี่ยหงกระเด็นออกไป ลำแสงสีดำก็พุ่งออกมาจากเนตรดับชีวิต ส่งหอกสีแดงถลาไปไกลด้วย

เซี่ยหงแตะเท้าบนอากาศ เขาทรงตัวก่อนที่หอกจะพุ่งกลับมาอยู่ในมือ เขาจ้องมองมู่เฉินอย่างมืดมน หากไม่ได้รับการปกป้องจากเกราะสงครามแล้วละก็ ตัวเขาอาจได้รับบาดเจ็บหนักจากการโจมตีของมู่เฉินแล้ว

ผู้คนมองไปที่การเผชิญหน้าที่ดุเดือด สีหน้าก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน บางคนถึงกับมองไปที่มู่เฉินด้วยความหวาดระแวงในแววตา

ชิ้งหย่า มู่ซัน เจียงหลิงต่างก็สวมสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน เนื่องจากพวกเขาสามารถสัมผัสได้ว่าการเผชิญหน้าระหว่างมู่เฉินและเซี่ยหงอันตรายแค่ไหน ความประมาทเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้น ก็อาจทำให้ต้องจ่ายราคามหาโหดเลยทีเดียว

“หลังจากจบการต่อสู้ครั้งนี้ชื่อของมู่เฉินจะดังเป็นพลุแตกแน่” ชิ้งหย่าถอนหายใจ

บังคับให้เซี่ยหงที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้านำอาวุธเสมือนมหสรรวค์ออกมาด้วยขุมพลังในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าและไม่อยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ ความน่าสะพรึงนี้สามารถเปรียบเทียบได้กับจอมยุทธ์รุ่นใหม่ยี่สิบอันดับแรกในทำเนียบทวีปเทียนหลัวเลย

“แบบนี้ก็ไม่สามารถจัดการกับหินรองส้วมที่น่ารังเกียจอย่างแกได้ ทั้งเหม็นทั้งแข็งจริงๆ” เซี่ยหงมองไปที่ดวงตาแนวตั้งที่ปิดลงบนหน้าผากของมู่เฉินก็พูดโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ

ทว่าก็มีร่องรอยเสียใจผุดขึ้นในใจ หากเขารู้ว่ามู่เฉินจะรับมือยากแบบนี้ เขาจะคิดหาวิธีเพื่อจัดการอย่างสมบูรณ์ ไม่ปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปจนถึงจุดที่เขาถูกบังคับให้ไปสู่เส้นทางที่ไม่มีทางถอยเหมือนในตอนนี้

มาไกลขนาดนี้จะต้องมีผู้ชนะระหว่างเขาและมู่เฉิน มิฉะนั้นเขาจะกลายเป็นหินรองเท้าสำหรับมู่เฉินซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถยอมรับได้แน่

หากข่าวนี้กลับไปที่แคว้นเซี่ยก็จะส่งผลกระทบต่อมุมมองของบิดาที่มีต่อเขา เขาอาจจะสูญเสียความโปรดปรานไปและเปิดช่องให้พี่น้องคนอื่นเหยียบหัวเขาเอาได้

ดังนั้นวันนี้มู่เฉินต้องตาย!

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ จิตสังหารก็ไต่ขึ้นมาบนดวงตาของเซี่ยหง เขาจ้องมองมู่เฉินอย่างน่าขนพองสยองเกล้า ซึ่งทำให้อุณหภูมิระหว่างสวรรค์และโลกลดลง

เซี่ยหงคลายการจับหอกในมือ จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือทั้งสองข้าง

ฮึ่ม!

ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวรุนแรงที่ด้านหลังเซี่ยหง จุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือ คลื่นหลิงของเขาเป็นสีแดงแก่ก่ำราวกับถูกย้อมด้วยไอสังหารเข่นฆ่าเข้มข้น

ตู้ม!

จุดจื้อจุนไห่กลิ้งตัวไม่รู้จบ คลื่นหลิงนับหมื่นจั้งพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ฉีกผ่านจุดจื้อจุนไห่ย้อมท้องฟ้าเหนือลานประลองกลายเป็นสีแดงเลือด

คลื่นหลิงสีแดงเลือดควบแน่นบ้าคลั่งที่ด้านหลังเซี่ยหง ในเวลาไม่กี่อึดใจก็ก่อเป็นร่างเทห์สวรรค์ขนาดหลายพันจั้ง ภายใต้สายตาสั่นไหวของทุกคน

ร่างเทห์สวรรค์นี้มีสีแดงเข้มพร้อมกับรัศมีร้ายกาจและครอบงำกวาดผ่านไปมา ทำเอาผู้คนหายใจแทบไม่ออก มีลวดลายสัตว์อสูรร้ายเก้าตัวที่แขน-ขา-หน้าอก-หลังของร่างเทห์สวรรค์ พลังร้ายกาจและป่าเถื่อนเล็ดลอดออกมาจากลวดลายเหล่านี้ ราวกับยาตรามาจากยุคดึกดำบรรพ์

โหดร้ายและป่าเถื่อน!

เมื่อมองไปที่ร่างเทห์สวรรค์นั่น มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหดดวงตาจ้องมอง ข้อมูลบางอย่างวาบผ่านในหัวสมอง

‘ร่างอสูรเก้าฉกาจ’ ลำดับที่ห้าสิบเจ็ดในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง!

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1100 สู้กับเซี่ยหง
“ไอ้หนุ่มโชคร้าย…”

ขณะที่มู่เฉินกับจิ่วโยวรู้สึกความเห็นใจเซี่ยหงอยู่ในใจ อีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วจากสายตาของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ระงับอารมณ์เบาบางนี้ไว้ในใจ

นั่นเป็นเพราะไม่ว่าจะไตร่ตรองอย่างไร ก็ไม่เห็นความผิดพลาดตรงไหน เนื่องจากเขารู้ว่าทั้งใบรับรองลูกหนี้และคำกล่าวก่อนหน้าของหลินจิ้งที่ได้สาวงามสองคน ทั้งสองฝ่ายคงไม่ยอมรับกันภายหลังอยู่แล้ว

ที่เสนอก่อนหน้าก็เพื่อต้องการมีข้ออ้างที่จะลงมือกับสาวงามทั้งสองหลังจากจัดการกับมู่เฉินเรียบร้อย ตราบใดที่หลินจิ้งและจิ่วโยวอยู่เคียงข้าง เขาก็มีวิธีปราบพยศแม่เสือสาวทั้งสอง

เซี่ยหงตั้งสติก่อนจะมองไปที่หลินจิ้งที่ยิ้มราวกับนางจิ้งจอก ทำเอาไฟปรารถนาถูกจุดในหัวใจ เมื่อไรที่นางตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา องค์ชายคนนี้จะทำให้นางยิ้มจนพอใจ

แต่ก่อนอื่นต้องกำจัดไอ้ตัวเกะกะสายตาก่อน…

แววตาเย็นเยือกราวกับใบมีดของเซี่ยหงหันไปหามู่เฉินอย่างช้าๆ การแลกกระบวนท่าเมื่อครู่เขาเสียเปรียบเล็กน้อยเนื่องจากประเมินมู่เฉินต่ำไป ทว่าเขาจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำสอง ดังนั้นเขาจะพยายามเต็มที่เพื่อกำจัดมู่เฉินให้เร็วที่สุดและบอกให้รู้ว่าจอมยุทธ์ไร้ชื่อจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำตัวหยิ่งผยองในสถานที่แห่งนี้ที่เหล่าจอมยุทธ์ชั้นสูงของทวีปเทียนหลัวมารวมตัวกัน

คลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินเดือดพล่านพร้อมกับระลอกคลื่นกดดันพุ่งไปยังมู่เฉิน ทำให้ผืนดินใต้เท้ามู่เฉินสั่นสะท้านภายใต้แรงกดดัน

ใบหน้าของมู่เฉินสงบ เขารู้ว่าเซี่ยหงทรงพลังเพียงใด แม้ว่าเซี่ยหงจะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นเท่านั้น แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่แท้จริงสูงกว่าหลงปี้มาก ตามการคาดการณ์ของมู่เฉิน เซี่ยหงอาจจะสามารถต่อสู้กับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดได้เลยทีเดียว

มู่เฉินเก็บความคิดทุกอย่าง แขนทั้งสองทิ้งดิ่งลงข้างลำตัว คลื่นหลิงในร่างก็เริ่มไหลเวียน พลังงานรอบตัวเขากวาดไปราวกับมหาสมุทรทำให้มิติบิดเบี้ยวที่เบื้องหลัง จุดจื้อจุนไห่ของเขาปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือ ปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังออกมา

ปัดเป่าแรงกดดันที่มาจากเซี่ยหงจนหมดสิ้น

แม้ว่าเขาจะอยู่ในระยะอีกครึ่งก้าวถึงจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่คลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ของมู่เฉินได้รับการขัดเกลาอย่างเข้มข้นในมหาสมุทรเทพสร้างสองปี ซึ่งนั่นทำให้คลื่นหลิงของเขาหนาแน่นจนถึงขีดสุด

ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากเขาได้กลั่นเพลิงอมตะที่ราชินีวิหคอมตะทิ้งไว้ ซึ่งมอบคุณสมบัติอันเป็นอมตะให้กับคลื่นหลิงของเขา ดังนั้นในแง่ความหนาแน่นและทนทานของคลื่นพลังเพียงอย่างเดียว มู่เฉินก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ในทางกลับกันเขาแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ

“น่าสนใจ…”

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตผิดแผกของมู่เฉินถูกเซี่ยหงสัมผัสได้ ทันใดนั้นดวงตาก็วูบไหวพร้อมกับเค้นเสียงเย็น ก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นเย็นชา

“ปัง!”

คลื่นหลิงทรงพลังระเบิดที่เบื้องหลังเซี่ยหง ขณะเดียวกันร่างเขาก็เปลี่ยนเป็นภาพมายา พริบตาก็มาปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉินซัดหมัดออกมา

ไม่มีทักษะใดอยู่เบื้องหลังหมัดนี้ แต่ก็ถูกควบแน่นด้วยคลื่นหลิงรุนแรง นอกจากนี้เมื่อหมัดซัดออกไปเลือดและรัศมีของเซี่ยหงก็เดือดพล่าน ห่อหุ้มหมัดพร้อมกับเสียงสังหารหมู่ที่ดังออกมา

“นั่นกายาเทพสงครามสังหารของเซี่ยหง!” ชิ้งหย่าอดไม่ได้ที่จะเกร็งดวงตาเมื่อเห็นเลือดและรัศมีที่ระเบิดจากร่างเซี่ยหง นี่เป็นทักษะฝึกฝนพลังกายที่ค่อนข้างครอบงำและน่าขนลุก ซึ่งผู้ฝึกจะต้องผ่านการต่อสู้นองเลือดมานับไม่ถ้วนเพื่อใช้เลือดของศัตรูมาชำระร่าง เพื่อฝึกวิชานี้ให้สำเร็จ เซี่ยหงถึงกับไปร่วมสงคราม ใช้เลือดของศัตรูในการฝึกฝนวิชาพลังกายนี้

“เขาฝึกฝนวิชาพลังกายด้วยเรอะ…”

เจตนาฆ่าพุ่งเข้ามาพร้อมกลิ่นอายโลหิตหนาแน่น นี่ทำให้มู่เฉินรู้สึกเหมือนมีทะเลโลหิตกวาดเข้ามา แต่สิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลใดๆ กับเขา ดวงตาหลุบลง แสงสีม่วงทองระเบิดออกมาจากร่างกาย

กายามังกรหงส์!

แสงสีม่วงทองไหลเวียนบนพื้นผิวของร่างกายมู่เฉินซึ่งทำให้ดูไม่สามารถทำลายได้ เขาชกหมัดออกไปด้วยสีหน้าไม่แยแส

มู่เฉินไม่ได้หลบการโจมตีของเซี่ยหง ความภาคภูมิใจในพลังกายของอีกฝ่ายช่างน่าตลกในสายตาของเขา

หากเซี่ยหงใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นก็อาจจะสร้างปัญหาให้กับมู่เฉินอยู่บ้าง แต่ถ้าเซี่ยหงต้องการที่จะแข่งขันในแง่ของพลังกายก็เป็นเรื่องเพ้อฝันถ้าคิดจะทำให้มู่เฉินได้รับทำอันตรายใดๆ

มู่เฉินที่ฝึกฝนกายามังกรงหงส์และบรรลุถึงระดับจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็มั่นใจอย่างยิ่งกับพลังกายของตนเอง เขาไม่กลัวกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดด้วยซ้ำ

หมัดน่ากลัวทั้งสองฉีกผ่านอากาศ ปะทะซึ่งกันและกันภายใต้สายตาเคร่งเครียดนับไม่ถ้วน

ตู้ม!

อากาศระเบิดขึ้น คลื่นกระแทกเกรี้ยวกราดมองเห็นด้วยตาเปล่ากระจายออก มิติถึงกับบิดเบี้ยว พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองไม่สามารถแบกรับผลกระทบแตกออกในทันที

ทุกสายตาจ้องเขม็งที่ต้นกำเนิดของคลื่นกระแทก อึดใจสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป เพราะพวกเขาเห็นร่างกายของมู่เฉินตั้งมั่นประหนึ่งหินผา ไม่ได้เคลื่อนไหวสักกระผีกจากการปะทะกับเซี่ยหง

กลับกลายเป็นเซี่ยหงที่เหมือนได้รับแรงต้านกลับ ร่างกายสั่นไหวไปทีหนึ่ง

“พลังกายของมู่เฉินน่าสะพรึงมาก!” บางคนอุทานด้วยเสียงต่ำ ด้วยขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า จากการปะทะกับเซี่ยหงในแง่ของพลังกาย มู่เฉินไม่เพียงแต่จะไม่เสียเปรียบ กลับยังได้เปรียบอยู่เล็กน้อยด้วย!

สีหน้าของชิ้งหย่าและคนอื่นๆ ก็เคร่งเครียดลงหลายส่วนกับฉากนี้

ท่ามกลางความโกลาหล สายตาของเซี่ยหงก็วาวด้วยร่องรอยความมืดมน ความแข็งแกร่งของมู่เฉินเกินความคาดหมายของเขาไกลลิบ

“ตู้ม!”

รัศมีสังหารยิ่งใหญ่ปะทุออกมาจากร่างของเซี่ยหง เขากระทืบเท้า ผืนดินแตกสลายที่ใต้ฝ่าเท้า ร่างเงาก็กลายเป็นภาพซ้อนนับไม่ถ้วน ก่อนที่จะหมุนวนรอบร่างมู่เฉินพร้อมกับหมัดซัดใส่จากทุกทิศทาง

การโจมตีนี้เกินกว่าจะหลบหนีไปได้!

ตู้ม! ตู้ม!

เผชิญกับการโจมตีกระหน่ำของเซี่ยหง สีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เขาสะบัดแขนเสื้อ มังกรสีม่วงทองก็ทะยานออกมาล้อมรอบเขาสร้างปราการทรงพลังต้านหมัดเอาไว้

ตึง! ตึง!

เสียงต่ำลึกดังก้องจากลานประลองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พื้นตรงใต้เท้ามู่เฉินก็พังทลายจากแรงกระแทก

ไม่สามารถอธิบายความรุนแรงของการโจมตีของเซี่ยหงได้ สุดท้ายแม้แต่การป้องกันที่สร้างขึ้นจากจิตวิญญาณมังกรแท้จริงก็ไม่สามารถสกัดกั้นการโจมตีทั้งหมดได้ หนึ่งในหมัดนั้นพุ่งตรงไปที่ศีรษะของมู่เฉินหลังจากหาช่องโหว่ได้

ตู้ม!

มือเรียวยื่นออกมาปิดกั้นหมัด ขณะที่คลื่นหลิงโกรธเกรี้ยวระเบิดออกมา

วาบ!

แผ่นดินแตก ทั้งคู่กระเด็นลากเป็นรอยยาวบนพื้นก่อนที่จะทรงตัวได้

สายตานับไม่ถ้วนมองไป ร่างทั้งสองก็คือมู่เฉินกับเซี่ยหงที่ปะทะอย่างดุเดือดเมื่อสักครู่

มู่เฉินอยู่ในท่าฝ่ามือข้างหนึ่งตั้งขึ้น สีหน้านิ่งสงบ ฝ่ามือเป็นสีทองราวกับไม่สามารถทำลายลงได้ บริเวณแขนเสื้อมีรอยฉีกขาด ซึ่งเกิดจากแรงกระแทกในการปะทะก่อนหน้า

ส่วนเซี่ยหงที่อยู่ไกลออกไปก็มีสีหน้ามืดมน การโจมตีก่อนหน้าของเขาสามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าได้รับบาดเจ็บเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงแค่พวกเสมือน แต่เมื่อกระบวนท่าซัดลงบนร่างมู่เฉินก็เพียงฉีกขาดแขนเสื้อได้เท่านั้น

ผลลัพธ์นี้ทำให้หัวใจของเซี่ยหงเต็มไปด้วยความโกรธและจิตสังหาร

“ฮา”

เซี่ยหงสูดหายใจเข้าลึก อารมณ์บนใบหน้าค่อยๆ หายไปจนกลายเป็นไม่แยแส

สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนั่น มู่เฉินก็หรี่ตาลงเริ่มรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามจากเซี่ยหง

เซี่ยหงฉายสายตาไร้อารมณ์ ยื่นมือออกมากำหมัดแน่น

ฮึ่ม!

ประกายสีแดงสดรวมตัวกันอยู่กลางฝ่ามือเขา กลายเป็นหอกสีแดงเข้มที่สลักลวดลาย เพียงแค่ปรากฏขึ้นก็ระเบิดคลื่นหลิงและไอสังหารที่น่าตกใจออกไป

เมื่อมองไปที่หอกสีแดง มู่เฉินก็หดม่านตาลง “อาวุธเสมือนมหสวรรค์?”

ขณะที่มู่เฉินรู้สึกอึ้งเล็กน้อยในใจ เซี่ยหงก็สาดยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า แสงสีแดงเข้มพุ่งออกมาจากร่างเขาอีกครั้งกลายเป็นชุดเกราะสีแดงเข้มที่สลักลวดลายมังกรคำราม ดูทั้งน่ากลัวและดุร้าย

หอกและชุดเกราะชัดว่าเป็นของในชุดเดียวกันเนื่องจากมีรัศมีแบบเดียวกัน เมื่อเซี่ยหงสวมใส่ลงไปความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวก็เพิ่มสูงขึ้นจนน่ากลัว

ตอนนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ต้องเผชิญหน้ากับเขาอย่างจริงจัง

“นั่นคือ…หอกสงครามมังกรแดงและเกราะสงครามมังกรแดง… ชุดอาวุธเสมือนมหสวรรค์ ทั้งชุดนี้สามารถประกาศความเป็นจักรพรรดิในหมู่อาวุธเสมือนมหสวรรค์… เซี่ยหงโหดเหี้ยมแท้จริง ถึงขนาดใช้พวกมัน” เมื่อชิ้งหย่าและคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เคร่งเครียดลง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดเกรง

เผชิญหน้ากับเซี่ยหงที่ใช้ไพ่ตายใบนี้ ต่อให้เป็นพวกเขาก็ต้องหลีกเลี่ยง

เห็นได้ชัดว่าหลังจากไม่ได้ผลในการโจมตีหลายครั้ง จิตสังหารของเซี่ยหงก็ถูกปลุกขึ้นอย่างสมบูรณ์

ทีนี้…มู่เฉินตกอยู่ในอันตรายแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท