บทที่ 1299 เก็บเป็นที่ครอบครอง
ฟู่ ฟู่!
เกลียวลมดำมืดกวนตัวต่อเนื่องในเจดีย์ผลึกใสเมื่อใดที่ลมปะทะกับผนังเจดีย์ ริ้วแสงก็จางลงชัดว่าถูกพายุหลอมวิญญาณกัดกร่อน
ฮึ่ม!
ทว่าขณะที่มวลลมโหมกระหน่ำ เจดีย์ก็เบ่งบาน ผลึกคลื่นหลิงที่ดูราวกับผ้าไหมไขว้พันกันไปรอบๆ พายุหลอมวิญญาณ
ชี่ ชี่!
พลังงานสองสายสัมผัสกัน คลื่นหลิงก็ระเบิดออก พายุหลอมวิญญาณเหมือนกำลังดิ้นรนพยายามที่จะสลัดให้หลุดจากผลึกคลื่นนี่
เนื่องจากมันสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานเอกลักษณ์ที่อยู่ในผลึกพลังงาน ซึ่งทำให้ไม่สามารถสลายคลื่นหลิงได้อย่างง่ายดาย
ผลึกคลื่นที่ผันรอบพายุหลอมวิญญาณก็โดนสะบัดหลุดออกมาจากการดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง ชัดว่าไม่ง่ายที่จะมัดอีกฝ่ายเอาไว้
“มีปัญหาจริงด้วย”
ดวงตาของมู่เฉินกะพริบ แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนเพราะพายุเป็นลมไร้ราก ไม่ได้ไม่มีจุดสิ้นสุด ในทางตรงกันข้ามตัวเขามีคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต ดังนั้นแม้ว่าเขาจะตบลงไปอย่างช้าๆ เขาก็จะสามารถจัดการกับพายุหลอมวิญญาณนี้ได้
เมื่อความคิดนี้พล่านขึ้น มู่เฉินก็ไม่ได้กังวล ผลึกคลื่นหลิงเริ่มห่อหุ้มพายุ แม้ว่าส่วนใหญ่จะถูกย่อยสลายโดยพายุ แต่ก็ยังมีผลึกคลื่นหลิงบางส่วนติดหนึบอยู่กับลม
ภายในเวลาครึ่งชั่วโมง พายุทรงพลังก็เริ่มชะลอตัวลง เนื่องจากบนลมพายุเริ่มกระจายผลึกแวววาวออกมา
แม้ว่าพายุนี้จะมีลักษณะเฉพาะ แต่ก็มีเพียงสัญชาตญาณไม่มีสติปัญญา ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับวิธีของมู่เฉินก็ไม่สามารถหลบหนีได้
สุดท้ายลูกกลมแสงกว้างประมาณหนึ่งร้อยจั้งก็ลอยอยู่ในเจดีย์พร้อมกับลมพายุพัดโชย แต่ทุกครั้งที่สัมผัสกับลูกกลมแสงก็จะเด้งกลับมา พลังการสลายของมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากแล้ว
“ถูกผลึกเรียบร้อยแล้วหรือ?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ภายในเจดีย์มู่เฉินก็โล่งใจก่อนที่จะรีบวาดตราประทับ ฉับพลันมู่เฉินชุดขาวก็ปรากฏตัวขึ้น
เมื่อมู่เฉินชุดขาวปรากฏตัวก็ยื่นมือไปที่เจดีย์เทคลื่นหลิงจากร่างลงไป
พร้อมกับการสนับสนุนของมู่เฉินชุดขาว ลูกกลมแสงก็เริ่มหดตัวลง ทว่าพลังปิดผนึกกลับแข็งแกร่งขึ้น
ในเวลาเพียงไม่กี่สิบลมหายใจ ลูกกลมแสงก็ถูกลดขนาดลงจนเหลือเท่าขนาดศีรษะมนุษย์ พลังปิดผนึกได้ทำให้พายุค่อยๆ สงบลง
“สำเร็จ!”
มู่เฉินเปิดดวงตาฉับพลันพร้อมกับความสุขกะพริบอยู่ภายใน ความบ้าบิ่นของเขาประสบความสำเร็จแล้ว!
“สำเร็จเหรอ?”
เมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของมู่เฉิน ลั่วหลี หลิงซีและหลงเซี่ยงก็ตกใจไปก่อนที่จะอุทานพร้อมกัน
ใบหน้าของมู่เฉินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาพลิกฝ่ามือลูกกลมแสงขนาดของหัวคนก็ปรากฏขึ้น ซึ่งปกคลุมไปด้วยลวดลายที่กำจายพลังปิดผนึกยิ่งใหญ่ไว้
ทั้งสามคนมองมาด้วยความอยากรู้ พวกเขาเห็นพายุหลอมวิญญาณสงบนิ่งอยู่ภายใน พายุซึ่งน่ากลัวต่อคลื่นหลิงใดๆ กลับไม่สามารถฝ่าด่านนี้ออกมาได้
“แม้จะเสียแรงไปบ้างแต่ก็โชคดีที่สำเร็จ ทว่าพายุนี่ก็พยายามสลายพลังปิดผนึกของข้าอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นข้าจำเป็นต้องคงผนึกไว้อย่างต่อเนื่อง มิฉะนั้นมันอาจแตกออกได้น่ะ”
“โชคดีที่สิ่งนี้ไม่เกินกว่าจะเป็นภาระของข้า” มู่เฉินมองลูกกลมแสง รู้สึกชื่นชอบอย่างยิ่ง
หลิงซีเดาะลิ้น นางไม่เคยคิดว่ามู่เฉินจะบ้าระห่ำที่จะปราบพายุหลอมวิญญาณ แม้ว่าเขาจะปิดผนึกส่วนหนึ่งของพายุเท่านั้น แต่ถ้าเขาปลดปล่อยออกมาขณะที่เผชิญหน้ากับศัตรู แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังอยู่ในสภาพน่าสมเพชได้ หากพวกเขาประมาทก็อาจถูกสังหารได้เลยทีเดียว!
นี่เป็นเครื่องจักรสังหารชัดๆ
“ด้วยพายุนี้ ถ้าเผชิญหน้ากับกู้ซือหวงอีก เขาต้องตกไปในประตูนรกทางเดียว” หลงเซี่ยงชื่นชม
“กู้ซือหวงยังไม่คู่ควรให้ข้าใช้พายุหลอมวิญญาณ” มู่เฉินยิ้มบาง ด้วยความสำเร็จปัจจุบันในฐานะหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน แม้ว่าจะไม่พึ่งขุมพลังหลิง เขาก็ยังสามารถทำให้กู้ซือหวงต้องคลานหนีกับการต่อสู้ สำหรับพายุหลอมวิญญาณ ชายคนนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะบังคับให้เขาใช้ได้หรอก
“ตอนนี้เจ้าชักจะโอหังใหญ่แล้ว” หลิงซีกลอกตาใส่มู่เฉิน
ลั่วหลีหัวเราะเบาๆ แววขบขันฉายในดวงตา แม้ว่านางจะรู้ว่ามู่เฉินพูดอย่างนี้เพราะความเชื่อมั่น แต่ก็เป็นเรื่องดีที่หลิงซีจะระงับความเย่อหยิ่งของเขาไว้บ้าง
มู่เฉินได้แต่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
“นายน้อย ในเมื่อพายุนี้ทรงพลังมาก ทำไมเราถึงไม่เอาไปมากกว่านี้?” หลงเซี่ยงพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย ก่อนหน้านี้เขาได้รับความทุกข์ทรมานจากพายุบ้าคลั่งนี่ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่ามันน่ากลัวแค่ไหน ในเมื่อมู่เฉินสามารถบรรจุเอาไว้ได้ ก็ควรคว้าโอกาสและดูดซับให้มากกว่านี้
มู่เฉินส่ายหัว “ด้วยพลังในปัจจุบันของข้า หากเอาไปมากกว่านี้จะเป็นภาระต่อข้า ซึ่งจะทำให้พลังการต่อสู้ลดลง มันไม่คุ้มค่า”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการเก็บพายุเพิ่มอีกนิด แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะผนึกคลื่นหลิงของเขาไม่สามารถบรรจุพลังย่อยสลายของพายุที่ปลดปล่อยออกมาได้อย่างสมบูรณ์ เพียงแค่พายุต้องใช้เวลามากขึ้นในการสลายพลังงานของเขา
ถ้าเขารับมากเกินไป เจดีย์ก็จะไม่สามารถกักเก็บไว้ได้ อาจทำให้เกิดปัญหากับเขาแทน
หน้าผากของหลงเซี่ยงกระตุกเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็เงียบลง
“พายุหลอมวิญญาณกำลังอ่อนลง”
ทันใดนั้นลั่วหลีก็ร้องอุทาน เมื่อเห็นพายุนอกถ้ำเริ่มสงบลง
มู่เฉินและคนอื่นๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็น
“เตรียมไปกันต่อเถอะ”
มู่เฉินกล่าว จากนั้นก็โบกมือเก็บพายุไว้ในเจดีย์
ทั้งสี่รออยู่ช่วงสั้นๆ ไม่กี่นาทีต่อมาพายุหลอมวิญญาณก็กลายเป็นลมอ่อนค่อยๆ จางหายไป
“ไป!”
เมื่อพายุสลายหายไปก็ไม่รอให้ต้องอุทานกับทิวทัศน์ของมิตินี้ กลุ่มมู่เฉินกลายเป็นร่างแสงสี่สายทะยานออกไป
เบื้องหน้าพวกเขาผีเสื้อสีมรกตนำทางอีกครั้ง
เนื่องจากมีเหตุการณ์พายุหลอมวิญญาณมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งระวังมากขึ้น เมื่อมีสิ่งผิดปกติก็จะหยุดการเดินทางหาที่หลบทันที
แต่ดูท่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาได้รับโชค การเดินทางต่อจึงเป็นไปอย่างราบรื่นมาก
แม้ว่าพวกเขาพบกลุ่มบางกลุ่มระหว่างทาง แต่ก็ไม่ได้โต้ตอบกัน เพราะแต่ละฝ่ายคุมเชิงรักษาระยะทาง เพื่อไม่ให้เกิดการต่อสู้ขึ้น
การเดินทางของพวกเขายังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลาเกือบครึ่งวัน ก่อนที่พวกเขาจะตระหนักได้ว่าผีเสื้อมรกตที่นำทางได้กระจายแสงแรงกล้าออกมา
หัวใจของพวกเขาสั่นไหว เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาเข้าใกล้พวกเวินชิงเฉวียนแล้ว
ฟิ้ว!
ขณะที่ทั้งสี่บินข้ามยอดเขาโดดเดี่ยว เทือกเขาแห้งแตกก็ปรากฏเบื้องหน้าครรลองสายตา ทุกยอดเขาดูราวกับใบมีดที่เปล่งรัศมีคมกริบ
ฮึ่ม!
ในเวลาเดียวกันผีเสื้อมรกตก็สั่นสะเทือนก่อนที่จะสลายไป
“พบพวกนางแล้ว!”
ลั่วหลีฉายแววร่าเริงบนใบหน้าขณะที่มองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อผีเสื้อมรกตหายไปแสงก็ลอยไปในทิศทางนั้น นั่นหมายความว่าพวกเวินชิงเฉวียนจะต้องอยู่ที่นั่นแน่!
ทั้งสี่คนเหาะเหินข้ามเทือกเขาก็เห็นพวกเวินชิงเฉวียนในหุบเขาลึกด้านใน
“เดี๋ยวก่อน”
แต่ขณะที่ลั่วหลีตั้งใจจะเข้าไปหาเวินชิงเฉวียน จู่ๆ มู่เฉินก็เอ่ยขัดไว้ สายตาเป็นประกายวูบไหว
“ดูเหมือนพวกนางจะประสบปัญหาบางอย่าง”
ลั่วหลีเพ่งสายตาไปก็เห็นมีกลุ่มคนหนึ่งยืนที่เบื้องหน้ากลุ่มเวินชิงเฉวียน นอกจากนี้ยังสามารถสัมผัสกับความผันผวนของคลื่นหลิงที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังอีกด้วย พวกเขาตั้งแนวขนาบขวางพวกเวินชิงเฉวียนไว้ในหุบเขา
เห็นได้ชัดว่าด้วยเหตุผลบางอย่างพวกเวินชิงเฉวียนถูกหมายตาแล้ว
บทที่ 1298 พายุหลอมวิญญาณ
ฟ้าดินที่นี่แตกสลายอัดแน่นไปด้วยรัศมีโบราณ
ดวงอาทิตย์คล้ายจะตกแตกเอิบอาบด้วยแสงอ่อนจาง
พื้นดินปกคลุมไปด้วยหุบเหวลึกไม่มีที่สิ้นสุดพร้อมสาดความมืดมิดที่ทำให้กระดูกสันหลังเย็นเยือกลง
ราวกับว่ามิติแห่งนี้ถูกทำลายด้วยมือยักษ์ ทำลายทุกสรรพชีวิตให้สิ้นซาก
“นี่คือหนึ่งในสมรภูมิรบระหว่างมหาพันภพกับเผ่าปีศาจต่างมิติรึ?”
พวกมู่เฉินยืนอยู่บนภูเขาขณะที่จ้องมองภูมิประเทศนี้ด้วยใบหน้าตกตะลึง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขามองเห็นภูเขาลอยอยู่ในอากาศจากพายุในระยะไกลก็ทำเอาดวงตาหดเกร็งลง
นั่นเป็นเพราะกฎฟ้าดินถูกทำลาย ทำให้แรงโน้มถ่วงอยู่ในภาวะสับสน
“ความกดดันที่นี่มีมากเกินไป ทำเอาหายใจไม่ออกเลย” ลั่วหลีตอบกลับด้วยท่าทางเคร่งเครียด
แม้แต่การต่อสู้ที่นี่ก็จะทำให้หมดคลื่นหลิงมากกว่าที่อื่นในมหาพันภพ เนื่องจากต้องทนต่อแรงกดดันที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
“มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมากมายสิ้นชีพลงที่นี่ แม้ว่าพวกเขาจะสิ้นชีพไปแล้วแต่ก็ยังมีร่องรอยของรัศมีที่เหลืออยู่หลอมรวมเข้าระหว่างฟ้าดิน ทำให้เรารู้สึกกดดัน” หลิงซีพูดเบาๆ
“สมกับเป็นหนึ่งในดินแดนหายนะของมหาพันภพ” หลงเซี่ยงถอนหายใจ ในสถานที่นี้แม้จะเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนอย่างเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ
มู่เฉินพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะมองไปที่ลั่วหลี “เราไปหากลุ่มของเวินชิงเฉวียนก่อนไหม?”
ในเมื่อเวินชิงเฉวียนมีข้อมูลสุสานของร่างจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนและชักชวนให้ช่วยเหลือกันและกัน มู่เฉินก็ไม่คิดปฏิเสธเรื่องดังกล่าว เนื่องจากพวกเขาเพิ่งเข้ามิติแห่งนี้ ทำให้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้น้อยมาก
ลั่วหลีพยักหน้าก่อนที่จะแบมือออกมา ผีเสื้อมรกตปรากฏขึ้น ภายใต้การควบคุมของลั่วหลีมันก็กระจายแสงสีเขียวบินวนอยู่เบื้องหน้าลั่วหลี จากนั้นก็ทำการสัมผัสก่อนที่จะบินไปในทิศทางตะวันตก
“ตามมันไป แล้วเราก็จะไปพบกับเวินชิงเฉวียน” ลั่วหลียิ้ม
“ไป!”
มู่เฉินตะเบ็งเสียงทะยานออกไปพร้อมกับอีกสามคนติดตามมา
เนื่องจากแดนเซิ่งยวนโบราณเต็มไปด้วยอันตรายทุกประเภท ดังนั้นพวกเขาจึงชะลอตัวเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน ไม่ให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น
และความจริงก็พิสูจน์ว่าความระมัดระวังของมู่เฉินจำเป็นจริงๆ
ฟู่ ฟู่
ลมแผดเสียงอย่างไม่มีที่สิ้นสุดทั่วบริเวณมืดมิด แม้ว่าจะดูไม่ค่อยอันตราย แต่เมื่อใดที่มันสัมผัสกับพลังงานหลิง คลื่นพลังหลิงก็จะละลายกลายเป็นเม็ดทราย
ตอนนี้กลุ่มมู่เฉินซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ ขณะที่มองพายุด้วยความหวาดผวา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลงเซี่ยงที่แขนของเขาเป็นสีเหลืองคล้ำ เป็นเพราะเขาหลบเลี่ยงไม่ทัน จึงถูกลมพัดใส่ทำให้คลื่นหลิงที่แขนของเขาสลายตัว มากจนแขนทั้งข้างยังเกือบจะกลายเป็นทรายไปแล้ว
โชคดีที่มู่เฉินไหวตัวรีบดึงเขาออกมา มิฉะนั้นแม้จะเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน เขาก็ไม่สามารถทนอยู่ได้นาน ก่อนที่จะสลายตัวเป็นทราย
“ช่างเป็นพายุที่น่ากลัวเสียจริง!” หลงเซี่ยงรู้สึกหวาดกลัว เขามีประสบการณ์เพียงพอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ไม่มีสักครั้งที่น่ากลัวมากขนาดนี้ ลองคิดดูว่าเขาเกือบจะกลายเป็นทรายทั้งที่ยังไม่ทันสู้ ยามนี้หลงเซี่ยงรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนของกระดูกสันหลังเลยทีเดียว
“นั่นน่าจะเป็นพายุหลอมวิญญาณ” ลั่วหลีมองไปที่สายลมมืดมิดพลางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“พายุหลอมวิญญาณ?” มู่เฉินและคนอื่นๆ อึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดของนาง
“ก็ข้าไม่ได้เข้าสมาธิฝึกฝนเหมือนเจ้าเลยได้ฟังหลายเรื่องจากท่านชื่อเหยียน ซึ่งจ่ายราคาไปไม่น้อยสำหรับการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแดนเซิ่งยวนโบราณนี้” ลั่วหลีกลอกตาใส่มู่เฉิน
มู่เฉินหัวเราะแฮะๆ เขาให้ความสำคัญกับการฝึกฝนมากเกินพอดี ทำให้ไม่ได้รวบรวมข้อมูล โชคดีที่ลั่วหลีละเอียดลออกว่า
“มีภัยพิบัติที่น่ากลัวมากมายในแดนเซิ่งยวนโบราณและพายุหลอมวิญญาณก็เป็นหนึ่งในนั้น ว่ากันว่าพายุนี้ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ที่ไม่มีพลังงานหลิง แต่สำหรับคนที่มี ช่วงเวลาที่พลังงานหลิงสัมผัสกับมันก็จะสลายกลายเป็นทราย”
“แม้ว่าพี่ใหญ่หลงเซี่ยงจะไม่ได้ใช้คลื่นหลิง แต่ร่างกายพวกเราได้รับการขัดเกลาโดยคลื่นหลิงมาตลอด ดังนั้นจึงมีพลังงานไหลเวียนอยู่ตามธรรมดา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แขนของเขาเกือบจะกลายเป็นทรายน่ะ”
หลงเซี่ยงแอบเดาะลิ้น การพูดแบบนี้ก็หมายความว่าแม้พวกเขาจะถอนคลื่นหลิงแล้ว ก็ไม่สามารถผ่านพายุหลอมวิญญาณไปได้ เนื่องจากร่างกายของพวกเขามีพลังงานไหลเวียนอยู่
“’งั้นเราก็ต้องรอให้พายุผ่านไปก่อนเท่านั้นเหรอ?” หลิงซีถาม
“นั่นเป็นเป็นทางเลือกเดียวของเรา” ลั่วหลีพยักหน้าอย่างจนใจใครจะจินตนาการได้ว่าแค่พายุเพียงอย่างเดียวก็ทำให้พวกนางดูน่าสมเพชขนาดนี้
“แต่โชคดีที่พวกมันก่อตัวไม่นาน เราคงไม่ต้องรอนานนักหรอก”
มู่เฉินพยักหน้า “งั้นก็รอให้มันสลายไป”
ขณะที่พูดเขาก็จ้องมองไปที่พายุหลอมวิญญาณ ถึงแม้ว่านี่จะอันตราย แต่ก็อาจเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยม หากเขาสามารถรวบรวมและปล่อยออกมาเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ซึ่งจะสามารถบรรลุผลแบบจินตนาการไม่ได้เลย
“เจ้าคิดจะเอาพายุหลอมวิญญาณนี่ไปเหรอ?” ลั่วหลีราวกับเห็นผ่านความคิดของมู่เฉินด้วยเพียงเหลือบมองแวบเดียว ม่านตาของนางขยายกว้างขึ้น มู่เฉินชักจะกล้าบิ่นเกินไปแล้ว
หลิงซีและหลงเซี่ยงก็ตกตะลึงไปเช่นกันเมื่อมองไปที่มู่เฉิน หากคนอื่นเห็นพายุหลอมวิญญาณ พวกเขาเลือกที่จะหลีกเลี่ยง แต่มู่เฉินกลับคิดจะเอามันไป?
เมื่อเห็นสายตาตกตะลึงของทุกคน มู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ “แม้ว่าพายุหลอมวิญญาณจะทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรวบรวมไม่ได้นี่น่า”
“ถึงแม้ว่าพายุหลอมวิญญาณจะสามารถสลายคลื่นหลิงได้ แต่ถ้าเราสามารถผนึกมันได้ชั่วคราว เราก็จะรวบรวมเอาไว้ได้”
“ผนึก? ใช้ผนึกต่อต้านความสามารถย่อยสลายรึ?” หลิงซีกับคนอื่นๆ แลกเปลี่ยนสายตากัน ในมหาพันภพถ้าพูดถึงพลังในการปิดผนึกก็ต้องให้เผ่าฝูถูเป็นอันดับแรกเลย
“นายน้อย แม้ว่าผนึกของเผ่าฝูถูจะทรงพลัง แต่ก็มีหลายระดับ ข้ากลัวว่าอำนาจการผนึกแบบธรรมดาจะไม่สามารถทำอะไรกับมันได้” หลงเซี่ยงส่ายหัว เนื่องจากเขามีความรู้เกี่ยวกับทักษะในการผนึกของเผ่าฝูถูดี
“เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนสำหรับพลังผนึกธรรมดา”
มู่เฉินยิ้มก่อนที่แสงตกผลึกจะปรากฏในดวงตา เจดีย์ผลึกแก้วใสพุ่งออกมาลอยอยู่เบื้องหน้าเปล่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์
“แต่พลังการผนึกเจดีย์พุทธะของข้าแข็งแกร่งกว่าเจดีย์ธรรมดามาก”
“ที่แท้ก็เจดีย์พุทธะ!” ดวงตาของหลิงซีสว่างวาบเมื่อเห็นภาพตรงหน้า นางรู้ว่าเจดีย์พุทธะหายากมากในเผ่าฝูถู
หากเป็นเช่นนั้น มู่เฉินก็น่าจะลองดูสักหน่อย
“แต่เจ้าบ้าบิ่นไป ไม่กลัวความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเจดีย์พุทธะนี่รึ?” หลิงซีเม้มริมฝีปาก แม้ว่าสิ่งที่มู่เฉินกล่าวอาจใช้งานได้ แต่ก็ยังคงอันตราย สมาชิกในเผ่าฝูถูถือว่าเจดีย์ของพวกเขาเป็นสิ่งมีค่าที่สุด พวกเขาจะไม่ยอมใช้ง่ายๆ อย่างแน่นอน ไม่เหมือนมู่เฉินที่ตั้งใจจะใช้เพื่อจัดการกับพายุหลอมวิญญาณนี่
ก็เหมือนกับเฉวียนหลัว เขาเองก็มีเจดีย์พุทธะ แต่หลิงซีรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรแบบนี้แน่
แน่นอนว่านี่ก็เป็นเพราะประสบการณ์ที่แตกต่างกันระหว่างเขากับมู่เฉิน เฉวียนหลัวถือตัวว่ามีสถานะสูงส่งเขาจะยอมเสี่ยงแบบมู่เฉินได้อย่างไร?
“อยากได้อะไรก็ต้องเสี่ยง ไม่มีของได้เปล่าในโลกนี้หรอก” มู่เฉินไม่ได้ยึดติดกับเรื่องนี้ เพราะตัวเขาคุ้นชินกับความเสี่ยงอยู่แล้ว บางครั้งเขาก็ต้องมองข้ามความเป็นตายไปบ้าง
“งั้นก็ลองดูกันหน่อย แต่ถ้าสถานการณ์ไม่ดีก็หยุดทันทีนะ”
ลั่วหลีรู้ว่ามู่เฉินตัดสินใจแล้ว ดังนั้นนางจะไม่หยุดเขา ในทางตรงกันข้ามนางจะให้การสนับสนุนที่สุดแก่เขา
มู่เฉินพยักหน้าจากนั้นก็เดินไปสองก้าวออกไปที่หน้าปากถ้ำ สายตามองพายุหลอมวิญญาณด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขายกมือขึ้นเจดีย์พุทธะก็เปล่งประกายแวววาว ทะยานออกจากถ้ำในวินาทีต่อมา
ฮึ่ม!
เมื่อเจดีย์บินเข้าไปในพายุหลอมวิญญาณ เกลียวแสงผลึกใสก็ต่อต้านแรงลม ในเวลาเดียวกันแรงดูดก็ระเบิดออกพร้อมกับมวลลมไร้ขอบเขตกวาดเข้ามาในเจดีย์ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มันดูดซับอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่มู่เฉินจะสะบัดแขนเสื้อ เจดีย์พุทธะก็บินกลับมาพร้อมกับเขาก้าวออกมารับไว้ คลื่นหลิงในร่างกายเขาพุ่งเข้าเจดีย์ทันที
ขั้นตอนต่อไปจะสำคัญที่สุด เนื่องจากเขาจำเป็นต้องใช้พลังปิดผนึกของเจดีย์เพื่อผนึกพายุหลอมวิญญาณ
หากเขาล้มเหลวพายุนี้ก็จะสร้างความเสียหายอย่างมากต่อเจดีย์
ดังนั้นมู่เฉินจะล้มเหลวไม่ได้!
“ผนึกซะ”
บทที่ 1297 เข้าสู่แดนเซิ่งยวนโบราณ
ฟิ้ว!
แสงสีแดงเข้มฉวัดเฉวียนราวกับอุกกาบาตในท้องฟ้ามืดมิด พร้อมกันนั้นสายฟ้าสีดำที่ราวกับอสรพิษเกรี้ยวกราดก็ฟาดลงมาจากชั้นฟ้าเป็นระยะ เมื่อสายฟ้าทำลายล้างพุ่งเข้ามาในรัศมีหนึ่งร้อยจั้งของแสงสีแดงเข้ม อุณหภูมิที่น่ากลัวก็กำจายออกมา ลบสายฟ้าเหล่านั้นออกไป
เมื่อมองผ่านแสงสีแดงเข้มไปจะมองเห็นเป็นน้ำเต้าสีแดง พวกมู่เฉินนั่งอยู่ข้างบนพร้อมกับชื่อเหยียนอยู่เบื้องหน้า
“ในส่วนลึกของทวีปเซิ่งยวนสภาพแวดล้อมเลวร้ายแท้จริง”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองดูสายฟ้าป่าเถื่อนแล่นแปลบปลาบด้วยความเคร่งเครียด ในสถานที่เช่นนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ยังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายหากประมาท
ต้องขอบคุณที่มีชื่อเหยียนเป็นผู้นำ ไม่เช่นนั้นหากมีเพียงพวกเขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบกว่าวันเพื่อผ่าพายุมิติกาลเวลาไป
“นี่ยังน้อย สภาพแวดล้อมในแดนเซิ่งยวนโบราณแย่กว่านี้อีก” เมื่อเห็นสีหน้ามู่เฉินเคร่งเครียด ชื่อเหยียนก็แสยะยิ้ม
เปลือกตาของมู่เฉินกระตุกเมื่อได้ยิน แดนเซิ่งยวนโบราณอันตรายขนาดนั้นเชียวเหรอ?
“มีจอมยุทธ์สุดยอดจำนวนมากสิ้นชีพในแดนเซิ่งยวน แม้พวกเขาจะสิ้นชีพแต่พลังงานหลิงของพวกเขาไม่ได้กระจายไปไหน เนื่องจากพลังงานทรงพลังมากเกินไปจึงก่อตัวเป็นปรากฏการณ์ประเภทต่างๆ”
ชื่อเหยียนยิ้มขณะที่พูดต่อว่า “ดังนั้นสภาพแวดล้อมและปรากฏการณ์ที่รุนแรงอาจเกิดจากการละสังขารของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แล้วจะไม่น่าสะพรึงกลัวได้ยังไง?”
ในขณะที่เขาพูด ทั้งสี่ก็สูดอากาศเย็นลึกสุดปอด ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ละสังขารเหรอ? มิน่าล่ะชื่อเหยียนถึงบอกว่าที่เห็นอยู่นี่ไม่มีอะไรเลย
“นอกจากสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายในแดนเซิ่งยวนโบราณที่พวกเจ้าต้องระวัง ยังต้องระวังกลุ่มอื่นๆ ด้วย จากข้อมูลที่รู้มาพบว่าครั้งนี้มีกลุ่มจำนวนมากขึ้นกว่าครั้งก่อน มากจนแม้แต่เหล่ามือสังหารปีศาจก็มุ่งหน้าไปด้วยเช่นกันๆ ไม่มีใครที่จัดการได้ง่ายๆ” ชื่อเหยียนเตือนทั้งสี่ด้วยท่าทางเคร่งเครียดหลายส่วน
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหดตาลง เนื่องจากมือสังหารปีศาจเหล่านั้นไม่ใช่คนธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมือสังหารปีศาจขั้นสูง จอมยุทธ์เหล่านั้นเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขาม แม้กระทั่งกับประมุขน้อยของเผ่าฝูถูอย่างเฉวียนหลัวและมั่วซิน
ทว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพื่อผ่านพายุมิติกาลเวลาหรือ? เหล่ามือสังหารมีความสามารถนั้นเหรอ?
“ฮ่าๆ มือสังหารปีศาจถือเป็นสมาชิกวังมหาพันภพ ตราบใดที่พวกเขามีคะแนนสังหารเพียงพอ พวกเขาก็จะสามารถเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของวังส่งพวกเขาไปสู่แดนเซิ่งยวนโบราณได้” ชื่อเหยียนอธิบายกับความสงสัยของมู่เฉิน
“คะแนนสังหารปีศาจเป็นของดีทีเดียว”
มู่เฉินยิ้ม ไม่คิดว่าคะแนนสังหารจะสามารถเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาได้ด้วย
“ถ้าเจ้ามีคะแนนมากพอ ไม่ต้องพูดถึงระดับเทียนจื้อจุนธรรมดาเลย แต่เจ้าสามารถเชิญได้กระทั่งราชันสังหารปีศาจฉิงเทียนได้ ฮ่าๆ นั่นระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเชียวนะ แต่เหตุผลของเจ้าต้องชอบธรรม เพราะราชันสังหารปีศาจไม่ช่วยเจ้าไปทำอะไรที่ขัดต่อศีลธรรมหรอก”
มู่เฉินกับลั่วหลีมองหน้ากัน นี่เป็นเรื่องมากเกินไปแล้วจริงๆ ต้องรู้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเป็นการดำรงอยู่สุดยอดในมหาพันภพ
เช่นเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามการพบพวกเขายากยิ่งกว่ายาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเชิญ ใครจะรู้ว่าความโปรดปรานต้องยิ่งใหญ่เพียงใดถึงจะประสบความสำเร็จเป้าหมายได้
ทว่าที่วังมหาพันภพกลับสามารถเชิญได้กระทั่งจอมยุทธ์ระดับนั้น ดูท่าทางวังคงจะจัดเต็มสำหรับคะแนนสังหารปีศาจแล้ว
ขณะที่พวกเขาถอนหายใจ น้ำเต้าสีแดงก็เดินทางผ่านมิติด้วยความเร็วแทบจะคอหักตาย แม้แต่กลุ่มของมู่เฉินยังอดอุทานไม่ได้ เนื่องจากวิธีการของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่ได้เป็นสิ่งที่คนธรรมดาสามารถเข้าใจได้
ภายใต้ความเร็วในการเดินทางของชื่อเหยียน อีกสองชั่วโมงก็ผ่านไป กลุ่มของมู่เฉินรู้สึกว่าความผันผวนของที่นี่ดูเหมือนจะหนาแน่นขึ้น
พวกเขาเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจก็เห็นรอยแตกในมิติพร้อมกับแรงกดดันที่น่ากลัวซึ่งห่อหุ้มหัวใจ ทำให้รู้สึกหายใจไม่ออกเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ชื่อเหยียนยังแสดงสีหน้าเคร่งเครียด เริ่มชะลอความเร็วลง
เมื่อเห็นท่าทางนั้นหัวใจของมู่เฉินและคนอื่นๆ ก็สั่นไหว พวกเขาเข้าใจว่ากำลังจะเข้าถึงส่วนลึกของทวีปเซิ่งยวนแล้ว
“นั่นคือพายุมิติกาลเวลา”
ทันใดนั้นเสียงเตือนภัยของชื่อเหยียนก็ดังกึกก้อง ขณะที่ความคิดนี้แล่นพล่านในใจทุกคน
พวกเขามองไปในระยะไกลก็เห็นชั้นฟ้าและชั้นดินในสภาพที่แตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับพายุสีขาวเงินก่อหายนะระหว่างฟ้าดิน มันยิ่งใหญ่มากจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ไม่มีวัตถุใดในพายุราวกับว่าเป็นดินแดนว่างเปล่า
เบื้องหน้าพายุทอร์นาโดมหึมาเช่นนี้ กลุ่มมู่เฉินตัวเล็กราวกับเศษธุลี พวกเขารู้สึกว่าถ้าเข้าไปก็อาจจะถูกทำลายเป็นอากาศธาตุในทันที
เผชิญกับความผันผวนทำลายล้าง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยังครั่นคราม
ชื่อเหยียนควบคุมน้ำเต้าสีแดงเข้มค่อยๆ ชะลอตัวลงเมื่ออยู่ห่างจากพายุหลายหมื่นจั้ง ในระยะนี้พวกมู่เฉินก็เห็นพื้นที่รอบๆ น้ำเต้าสีแดงเริ่มบิดเบือน
ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่มีสายฟ้าสักสายที่สามารถลดแสงรอบน้ำเต้านี้ลงได้ แต่เมื่อพวกเขามาที่นี่เพียงแค่เข้าใกล้ก็ทำให้แสงสว่างรอบน้ำเต้าบิดเบือนไปหมดแล้ว
ดังนั้นสามารถบอกถึงความสามารถการทำลายล้างที่มีอยู่ในพายุมิติกาลเวลาได้
“อีกหนึ่งก้านธูปจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าสู่พายุ” ชื่อเหยียนมองพายุอย่างเคร่งเครียดแล้วพูดขึ้น
มู่เฉินและคนอื่นๆ พยักหน้า ร่างกายเริ่มตึงเครียด
ขณะที่กำลังรอคอย ลั่วหลีก็เขยิบเข้าหามู่เฉินพูดว่า “เมื่อเราเข้าไปในแดนเซิ่งยวนโบราณแล้วก็รีบติดต่อชิงเฉวียนก่อนนะ ข้าได้ยินมาว่าพวกนางมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสุสานของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนหนึ่ง”
“หืม?”
มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากเขาไม่คิดว่าเวินชิงเฉวียนจะหาข่าวกรองได้เร็วเช่นนี้ ก่อนที่จะเข้าสู่สุดแดนเซิ่งยวนโบราณก็ตั้งเป้าหมายไว้เรียบร้อยแล้ว
“แต่ดูไม่ค่อยเหมาะสมนะที่เราจะเข้าร่วมในเมื่อพวกนางได้ข้อมูลมา?” อึดใจเขาก็ขมวดคิ้วแน่น
ข้อมูลมีค่าอย่างยิ่ง เพราะหากฝ่ายหนึ่งเคลื่อนไหวก่อนพวกเขาอาจได้รับมรดก แล้วพวกเขาจะปล่อยให้คนอื่นมาแบ่งปันไปได้อย่างไร?
ลั่วหลียิ้มบาง “นี่เป็นสิ่งที่ชิงเฉวียนบอกมา เพราะพวกนางไม่ใช่กลุ่มเดียวที่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นอาจมีการแข่งขันรุนแรง ชัดว่าเราเป็นตัวเลือกของผู้ร่วมมือที่ดี”
มู่เฉินเข้าใจพลางพยักหน้า หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ลองดูว่าจะได้รับเบาะแสอะไรเกี่ยวกับวิชาเจดีย์แปดองค์บ้างไหม
“ถ้างั้นเราก็เป็นหนี้บุญคุณนางแล้ว”
มู่เฉินยิ้ม ด้วยมีกลุ่มมากมายในแดนเซิ่งยวน มีหลายกลุ่มที่ดูแข็งแกร่งกว่าพวกเขา และถ้าดูจากภายนอกก็มีหลายกลุ่มที่พวกนางสามารถเลือกร่วมมือได้ แต่เหตุผลที่เวินชิงเฉวียนเลือกพวกเขานั้นเป็นเพราะความสัมพันธ์ฉันมิตรที่มีมานาน
ลั่วหลียิ้มก่อนที่จะพูดอย่างหลักแหลม “บางทีในภายหลังพวกเขาถึงได้รู้ว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องก็ได้”
แม้ในกลุ่มพวกเขาดูเหมือนคนที่ทรงพลังที่สุดก็คือหลิงซีที่เป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน บางทีหลายคนอาจมองข้ามมู่เฉินซึ่งเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่ลั่วหลีรู้ดีว่าใครกันที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มนาง
“เฮ้ ครั้งนี้คนมาเยอะจริงๆ” ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ชื่อเหยียนก็พูดโพล่งออกมาขณะมองไปในระยะไกล
สายตาของกลุ่มมู่เฉินติดตามไปแต่ไม่เห็นเงาร่างใดๆ ทว่าจากการรับรู้ถึงคลื่นพลังงาน พวกเขาสามารถรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากพื้นที่เหล่านั้น
การที่สามารถปลดปล่อยความกดดันทรงพลังเช่นนี้ในพายุ จะไม่มีใครได้นอกจากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน
มู่เฉินสัมผัสคร่าวๆ ก็พบว่ามีแรงกดดันที่น่ากลัวไม่น้อยกว่าสิบสาย นั่นหมายความว่าตามจำนวนการรับรู้ของเขาเพียงอย่างเดียว ก็มีจำนวนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเกินที่นับได้ด้วยสองมือ
นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เนื่องจากจอมยุทธ์ระดับนี้แทบจะไม่เคยเห็นตามปกติกลับมารวมตัวกันที่นี่เพื่อสิ่งเย้ายวนในแดนเซิ่งยวน
ครืน!
ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจ เสียงฟ้าคำรนก็ดังกึกก้องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดิน
เสียงคำรามยิ่งใหญ่สั่นสะท้าน พายุมิติกาลเวลาป่าเถื่อนก็ชะลอตัวลง เปลี่ยนอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเห็นฉากนี้มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็รู้ว่าเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าสู่แดนเซิ่งยวนโบราณมาถึงแล้ว!
“ไป!”
สายตาของชื่อเหยียนวูบไหวก่อนที่จะกระทืบเท้า หินหนืดพุ่งทะลักออกมาจากช่องเปิดของน้ำเต้า
“จำไว้ถ้าต้องการออกจากแดนเซิ่งยวนโบราณให้ทำลายเครื่องรางที่ข้าให้ เจ้าจะกลับออกมาที่ทวีปเซิ่งยวนทันที!”
กลุ่มมู่เฉินพยักหน้าจากนั้นก็ทะยานออกไป เกลียวแสงสีแดงเข้มจากน้ำเต้าฉีกออกแล้วห่อหุ้มพวกเขาไว้
ตู้ม!
ลาวานี้ราวกับมังกร เมื่อส่งคำรามก็พาทั้งสี่คนเข้าไปสู่พายุสีเงินและหายไป
บทที่ 1296 ระดับจงซือขั้นเทียน
ในช่วงเวลาต่อมาเมืองเซิ่งยวนก็ปะทุขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ขั้วอำนาจและกลุ่มต่างๆ ก็เริ่มมาถึงที่นี่
แดนเซิ่งยวนโบราณเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เป็นสนามรบแตกหักระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจต่างมิติในสมัยโบราณ จอมยุทธ์ผู้เชี่ยวชาญมากมายสิ้นชีพลงที่นี่ ดังนั้นมรดกที่อยู่ภายใน ทำให้แม้กระทั่งขั้วอำนาจยิ่งใหญ่ยังต้องเคลื่อนไหวเลยทีเดียว
หากไม่ใช่ว่าเพราะกลัวพายุมิติกาลเวลาในแดนเซิ่งยวน แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็คงอดเคลื่อนไหวไม่ได้ ท้ายที่สุดการล่อลวงของวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดก็เป็นสิ่งที่จะทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนน้ำลายหกได้
ทว่าแม้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่การรวมตัวของขั้วอำนาจต่างๆ ก็ยังคงทรงพลัง ชัดว่าพวกเขาตั้งใจจะลองดูว่าจะมีโอกาสได้รับมรดกจากจอมยุทธ์โบราณเหล่านั้นหรือไม่
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เมืองเซิ่งยวนกลายเป็นจุดรวมตัวของขั้วอำนาจต่างๆ ความคึกคักในครั้งนี้สูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ทว่าขณะที่มีกลุ่มทรงพลังมารวมตัวกัน มู่เฉินก็ไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ ตัวเขามุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนค่ายกลที่มารดาทิ้งไว้ให้
เนื่องจากเขาเริ่มรู้สึกถึงขอบเขตพัฒนาการแล้ว
ตอนนี้ในแดนเซิ่งยวนโบราณถูกล้อมรอบด้วยพายุมิติกาลเวลา ทุกกลุ่มกำลังรอคอยเวลาที่มันอ่อนกำลังลง ก่อนที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในกลุ่มจะส่งพวกเขาเข้าไป พวกเขาจึงต้องรวมตัวกันในเมืองเพื่อรอสำหรับโอกาสที่จะมาถึง
ดังนั้นมู่เฉินจึงตั้งใจที่จะศึกษาค่ายกลระดับจงซือขั้นสูงให้สำเร็จในช่วงเวลานี้!
เพราะเขารู้ว่าจะต้องมีการต่อสู้ดุเดือดรอเขาอยู่ในแดนเซิ่งยวน เพื่อความสำเร็จเขาหวังว่าจะยกระดับความแข็งแกร่งของตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
อาคารในเมืองเซิ่งยวน
ชายชุดฟ้าอมเขียวนั่งเงียบๆ ขณะที่ธูปหัวใจหยกไหม้ไฟส่งกลิ่นหอมฟุ้งทั่วห้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการเพาะบ่มขุมพลัง
เขาเข้าสมาธิสองชั่วโมงก่อนที่จะลืมตาขึ้น “ทำไม? คำเชิญถูกปฏิเสธอีกแล้วเรอะ?”
กู้ซือหวงยืนอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “ประมุขน้อย มู่เฉินหยิ่งผยองนัก เราส่งคำเชิญไปถึงเขาสองครั้ง แต่ว่าก็ถูกปฏิเสธทั้งหมด!”
“โง่จริงๆ มันคิดว่าสามารถทำตามอะไรก็ได้ เพราะว่ามีเผ่าไท่หลิงหนุนหลังเรอะ?!”
ชายชุดฟ้าอมเขียวผู้นี้ก็คือเฉวียนหลัวประมุขน้อนของเผ่าฝูถู เขาส่ายหน้าพลางยิ้ม “ช่างมันเถอะ ตอนแรกข้าว่าจะชี้ทางให้มันสักหน่อย แต่ให้หน้ามันกลับไม่เอา”
แม้ว่าเขาจะยิ้มอ่อนโยน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายเย็นชา
“หึ ไอ้เวรนั่นไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง หากมันส่งวิชาสามพิสุทธิ์ให้กับนายน้อย นายน้อยก็ยังสามารถช่วยเหลือมันได้ ไม่ให้ต้องถูกไล่ล่าโดยเผ่าฝูถูและต้องทนทุกข์ทรมาน” ที่ด้านข้างกู้ซือหวง เหลียงเสียหยูก็พูดขึ้น
เฉวียนหลัวยิ้มด้วยความไม่แยแสในดวงตา “ไม่เป็นไร หากมันไม่ให้เองแต่โดยดี ก็คงไม่สามารถโทษใครได้ว่าทำให้ต้องทนทุกข์”
“ถึงแม้ชื่อเหยียนจะสามารถปกป้องมันในตอนนี้ แต่ไม่มีใครสามารถช่วยมันในแดนเซิ่งยวนโบราณได้ หนูที่ติดกับดักจะวิ่งไปที่ไหนได้?”
เฉวียนหลัวกำกำปั้นแน่นขึ้น แววเยาะเย้ยผุดขึ้นที่มุมปาก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นมู่เฉินอยู่ในสายตาเลย เทียบกับการจับมู่เฉินได้หรือไม่ เขากังวลเรื่องมู่เฉินจะตกไปอยู่ในมือของมั่วซินก่อนหรือไม่มากกว่า
หากมั่วซินได้รับวิชาสามพิสุทธิ์ไป อีกฝ่ายจะเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อเขา
“แต่สิ่งสำคัญคือการได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์จากแดนเซิ่งยวน มู่เฉินเป็นเพียงตัวเสริมเท่านั้น” เฉวียนหลัวหยุดพูดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ในช่วงนี้มีหลายกลุ่มรวมตัวกันในเมืองเซิ่งยวน ข้าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับทุกกลุ่มที่ถูกส่งมาโดยขั้วอำนาจสูงสุด”
แม้ว่าเขาจะมั่นใจในตัวเอง แต่ก็เป็นคนที่ระมัดระวัง เขาต้องการรู้ว่ามีใครที่คุกคามเขาในกลุ่มเหล่านั้นหรือไม่
“รับทราบ!”
กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูตอบด้วยความเคารพ ก่อนที่จะวาบหายตัวไป
พร้อมกับการออกไปของพวกเขา ห้องพักก็กลับมาเงียบสงบ เฉวียนหลัวสะบัดนิ้วเบาๆ พลางเงยหน้ามองไปยังทิศทางหนึ่งของเมืองเซิ่งยวน สายตาเย็นเยือกลงเรื่อย ๆ
บรรยากาศทั่วทั้งห้องเย็นลงพร้อมกับสายตาเขา
“ไอ้โง่ที่ไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง”
ดวงตาของเฉวียนหลัวหลุบต่ำไอสังหารเย็นเยือกกะพริบวูบไหวในนัยน์ตา
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าจะซัดแกให้พิการแล้วลากกลับไปที่เผ่าฝูถู ข้าจะดูสิว่าแม่ของแกจะสามารถปกป้องอะไรแกได้!”
ไม่จำเป็นต้องเมตตาสงสารกับตัวกาลกิณี หากชิงเหยี่ยนจิ้งไม่สามารถนิ่งเฉยและลงมือด้วยความโกรธแค้น นางก็จะทำลายขีดสุดท้ายของเผ่า ในเวลานั้นแม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ต้องใช้พลังอำนาจทั้งเผ่าเพื่อยับยั้งชิงเหยี่ยนจิ้ง
หากชิงเหยี่ยนจิ้งถูกลงโทษหนัก เขาก็จะคว้าชัยชนะรับการสนับสนุนของผู้อาวุโสหลายคน ในเวลานั้นตำแหน่งประมุขเผ่าจะใส่พานมาให้เขาอย่างแน่นอน!
ในเวลาเดียวกันที่สวนอีกฝั่งของเมืองเซิ่งยวน
“คำเชิญของเฉวียนหลัวถูกมู่เฉินปฏิเสธถึงสองครั้งเรอะ”
ชิงเซวียนขมวดคิ้ว “เฉวียนหลัวพยายามทำอะไร? ด้วยนิสัยของเขาเป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงความปรารถนาดีกับมู่เฉิน”
“ใครจะรู้ล่ะเจ้าคะ?” ชิงหลิงยักไหล่เบ้ปาก “เจ้ามู่เฉินนั่นพูดจาซะใหญ่โต แต่ข้าไม่คิดว่าวิธีของเขาคือซ่อนตัวจากเฉวียนหลัว”
ชิงเซวียนมองไปที่หญิงสาวพลางส่ายหัว “เจ้าอย่าดูถูกมู่เฉินเลย”
ชิงหลิงไม่ยอมรับกับสิ่งนี้ได้ ดังนั้นนางจึงแขวะต่อ “ข้าก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเช่นกัน อย่างมากเขาอยู่ในระดับเดียวกับข้า ไม่เห็นมีอะไรโดดเด่นเลย”
ชิงเซวียนยิ้มบาง “เขาสามารถพึ่งพาพละกำลังของตัวเองเข้าถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายตั้งแต่ยังอายุน้อย ได้รับตำแหน่งนักรบทวีปซีเทียน นอกจากนี้ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือเขายังมีความสัมพันธ์กับเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เจ้าคิดว่าคนอย่างเขาจะธรรมดาหรือ?”
เมื่อชิงเซวียนเอ่ยขึ้น ดวงตาของชิงหลิงก็เบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ชิงซวงที่ไม่ได้พูดก็ยังฉายแววเคร่งเครียดในนัยน์ตา
“จริงเหรอเจ้าคะ?” ชิงซวงถาม
ชิงเซวียนพยักหน้าแล้วถอนหายใจ “หลายวันมานี้ข้าใช้แหล่งข่าวมากมายกว่าจะได้ข้อมูลเหล่านี้มา พูดจริงๆ กระทั่งข้ายังตกใจเมื่อได้ยินเลย”
แววตาของนางปรากฏแววชื่นชมพร้อมกับพูดว่า “เจ้าหนุ่มนั่นสมเป็นลูกชายของเสี่ยวจิ้งจริงๆ ด้วยพรสวรรค์ เขาถือเป็นอัจฉริยะยอดคทา ถ้าเขาอยู่ในเผ่าฝูถูตั้งแต่ยังเด็ก เฉวียนหลัวเทียบเขาไม่ติดเลย”
“ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย หากต้องปะทะกับเฉวียนหลัวและมั่วซิน เขาเละตุ้มเป๊ะแน่” ชิงหลิงเบ้ปากเอ่ยเถียง
ชิงเซวียนพยักหน้า ก็จริงที่ถ้ามู่เฉินเผชิญหน้ากับเฉวียนหลัวและมั่วซินในตอนนี้ เขาจะไม่ได้รับข้อได้เปรียบใดๆ
“ตามที่ข้ารู้มา เวลาที่ดีที่สุดในการเข้าสู่แดนเซิ่งยวนคืออีกครึ่งเดือนต่อจากนี้”
ชิงเซวียนมองไปที่ชิงซวง “เมื่อเข้าไปแล้ว เจ้าพยายามปกป้องมู่เฉินหน่อย อย่าให้เฉวียนหลัวและมั่วซินทำอะไรเขาได้ ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นลูกของเสี่ยวจิ้ง ยิ่งกว่านั้นยังมีสายเลือดตระกูลชิงของเราไหลเวียนอยู่ในตัวเขาด้วย”
ชิงซวงพยักหน้า
“ท่านป้าเซวียนวางใจเถอะ ข้าจะไม่อยู่เฉยแน่ถ้าเขามีปัญหาเจ้าค่ะ”
ครึ่งเดือนมาถึงภายใต้ความคาดหวังของทุกคน
เมื่อแสงอาทิตย์ส่องแสงผ่านชั้นเมฆเข้าสู่เมืองเซิ่งยวน ทั้งเมืองก็ระเบิดขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ลำแสงนับไม่ถ้วนพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า เหินทะยานไปยังส่วนลึกของทวีปเซิ่งยวน
ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังเล่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของขั้วอำนาจต่างๆ
เมื่อทั้งเมืองเดือดพล่าน มู่เฉินที่เข้าสมาธิมาครึ่งเดือนก็ลืมตาขึ้นช้าๆ
แสงระยิบระยับมากมายฉายในม่านตาดูราวกับท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว
มู่เฉินกางมือออกคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็รวมตัวกัน เขาสามารถสัมผัสกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งรวมเข้ากับสภาพแวดล้อม
มิติบริเวณนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
ไม่กี่นาที บริเวณฝ่ามือของมู่เฉินก็ปรากฏมิติสีแดงซึ่งเต็มไปด้วยความผันผวนล้างผลาญ
เมื่อมองไปที่มิติสีแดงเข้ม ดวงตาของมู่เฉินก็ค่อยๆ ลุกโชน
“ฮา”
ลมหายใจขาวขุ่นพรูออกมาจากปากตามด้วยรอยยิ้มปลื้มใจฉายที่มุมปาก นี่
เพราะมิติสีแดงนี้คือค่ายกล
ค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง—ค่ายกลเพลิงคำราม!
เห็นได้ชัดว่าหลังจากฝึกฝนทำความเข้าใจในช่วงเวลานี้ ในที่สุดมู่เฉินก็บรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแล้ว!
มู่เฉินลุกขึ้นยืนพร้อมกับรอยยิ้มมองเมืองเซิ่งยวนที่เดือดพล่าน
“เฉวียนหลัว มั่วซิน”
มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อ มิติสีแดงเข้มก็สลายหายไป ร่างของเขาเลือนหาย ขณะที่มีเสียงผันผวนออกมา
“วิชาเจดีย์แปดองค์เป็นของข้าแน่นอน!”
บทที่ 1295 พบปะยามค่ำคืน
เงารัตติกาลโอบล้อมเมืองเซิ่งยวน
แต่ในฐานะเมืองที่คึกคักที่สุดในทวีปเซิ่งยวน ทั้งเมืองก็ยังสว่างไสวแม้แต่ในเวลาค่ำคืน
ค่ายกลขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือเมือง ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในทวีปเซิ่งยวน เป็นที่ที่จะทำให้เหล่านักผจญภัยรู้สึกผ่อนคลายลงได้เมื่อเข้ามา
มู่เฉินนั่งในสวนเงียบสงบพร้อมหลับตาเพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่มารดาทิ้งไว้ให้
ในช่วงเวลานี้ กระทั่งตอนเดินทาง เขาก็ไม่เคยหยุดการฝึกฝนและผลที่ออกมาก็ค่อนข้างน่าพอใจ มู่เฉินรู้สึกได้ว่ายิ่งเขาทำความเข้าใจมากขึ้น พัฒนาการด้านศาสตร์ค่ายกลของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
การบรรลุหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ศึกษาอยู่สองชั่วโมง ดวงตาของมู่เฉินก็เปิดออกช้าๆ มือเหยียดออกไป สัญลักษณ์หลิงยิ่งบินว่อนออกมาจากนิ้วมือ เชื่อมโยงกันกลายเป็นค่ายกลที่ซับซ้อน
ปัง
แต่เมื่อเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ก็เกิดระลอกคลื่นเล็กๆ ทำให้ค่ายกลทั้งค่ายกลสั่นสะเทือนก่อนจะพังทลายลง
เมื่อมองไปที่ค่ายกลที่หายไป มู่เฉินก็ยังคงมีท่าทางสงบ เพราะนี่คือค่ายกลเพลิงคำรามที่มารดาของเขาทิ้งเอาไว้ให้
ช่วงนี้เขากำลังทำการศึกษาค่ายกลนี้เพื่อรับประสบการณ์ ทว่าความพยายามทั้งหมดของเขาล้มเหลว
ท้ายที่สุดค่ายกลระดับสูงเช่นนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถสร้างขึ้นได้โดยง่าย
ทว่ามู่เฉินก็สงบอย่างรวดเร็ว เขาค่อยๆ เข้าใจปัจจัยหลายอย่างของค่ายกลนี้ ตามที่วางแผนไว้ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่เขาจะสร้างค่ายกลนี้ได้อย่างชำนาญ
“หืม?”
ขณะที่มู่เฉินกำลังตรึกตรองภาพความล้มเหลวย้อนหลัง ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ในเมื่อมาแล้วทำไมต้องซ่อนตัวด้วย?”
เมื่อเสียงสิ้นสุดลง มิติก็ผันผวนไปมาขึ้นในระยะไกล ก่อนที่เขาจะเห็นเงาสองเงาเดินทอดหุ่ยอยู่บนท้องฟ้าเหนือขึ้นไป คนแรกสวมชุดขาวนวล โฉมงามเย็นเยือกที่ตามหลังชิงเซวียนของเผ่าฝูถู
ขณะนี้มีหญิงสาวอีกคนอยู่ข้างนาง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นใครบางคนที่อยู่ในกลุ่มชิงเซวียน
“เผ่าฝูถู ตระกูลชิง—ชิงซวง” โฉมงามเย็นยะเยือกปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉินจ้องมองไปที่เขา น้ำเสียงของนางเย็นชาไม่มีระลอกคลื่นใดๆ
“ตระกูลชิง—ชิงหลิง” ผู้หญิงอีกคนก็แนะนำตัวเองเช่นกัน แต่ท่าทางดูยโสกว่า
มู่เฉินยิ้ม “ข้าไม่รู้เรื่องที่พวกเจ้าพูดหรอกนะ”
ไม่มีความดีใจในรอยยิ้มขา ตรงกันข้ามกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา
“มาหาข้าเพื่ออะไรก็ว่ามาซะ แน่นอนว่าถ้าพวกเจ้าต้องการพาข้ากลับไปที่เผ่าในฐานะกาลกิณีก็ต้องดูว่าพวกเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่”
หญิงสาวที่ชื่อชิงหลิงมีความภาคภูมิใจในตัวเองมาก ดังนั้นนางจึงไม่พอใจกับคำพูดเย็นชาของมู่เฉิน “หึ ความเย่อหยิ่งของเจ้ามีมากกว่าขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายของเจ้าซะอีก”
ตัวนางเองก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ซึ่งส่วนตัวคิดว่าไม่ได้อ่อนแอ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง ดังนั้นเมื่อนางเห็นว่ามู่เฉินทำตัวหยิ่งยโสทั้งที่มีขุมพลังนี้ นางจึงรู้สึกไม่พอใจเท่าไร
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจอีกฝ่าย ชัดว่าหญิงสาวเย็นชาเป็นผู้นำ ดังนั้นเขาจึงมองไปที่นาง “ถ้านี่คือสิ่งที่พวกเจ้ามาที่นี่ก็ไปซะ”
ชิงซวงมองไปที่มู่เฉินพูดช้าๆ “ท่านป้าเซวียนสั่งให้ข้ามาหาเจ้า นางอยากให้เจ้าออกจากทวีปเซิ่งยวนตอนนี้”
มู่เฉินขมวดคิ้วตอบกลับโดยไม่ลังเล “ข้าเกรงว่าจะทำไม่ได้”
ชิงซวงมุ่นคิ้ว “ถึงแม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะไม่สามารถเคลื่อนไหวเพื่อจัดการเจ้าได้ตามคำสั่ง แต่เฉวียนหลัวและมั่วซินตั้งใจจะจับเจ้า พวกเขาล้วนเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงของเผ่าฝูถูที่มีความหวังที่จะเข้าสู่ขุมพลังเทียนจื้อจุนในอนาคต ตอนนี้เจ้ามีขุมพลังเท่านี้ ถ้าเผชิญหน้ากับพวกเขา เจ้ายากที่จะหนีไปแน่!”
“เฉวียนหลัวและมั่วซินเรอะ”
สายตาของมู่เฉินวูบไหว ตอนกลับมาจากหอเขารู้ข้อมูลจากหลงเซี่ยงแล้วว่าเฉวียนหลัวและมั่วซินเป็นผู้สมัครหัวกะทิในฐานะประมุขเผ่าฝูถูคนต่อไป
และกู้ซือหวงก็เป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเฉวียนหลัว
แสงวูบไหวในดวงตามู่เฉินลดลง เขาพยักหน้าเบาๆ ไปทางชิงซวง “ขอบคุณสำหรับความปรารถนาดีของพวกเจ้า แต่ข้าจะไม่ไปไหน หากพวกเขาต้องการก็เข้ามาได้เลย”
ถึงแม้ว่าทั้งสองจะทรงพลัง แต่ถ้าคิดว่าเขาเป็นคนที่จัดการได้ง่ายๆ พวกเขาก็คิดผิดไปแล้ว
“เจ้าช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
ชิงหลิงขมวดคิ้วหัวร้อนขึ้นมาทันที “พวกเขาทั้งสองมีตำแหน่งสูงส่งในเผ่าฝูถู แม้แต่พี่ใหญ่ชิงซวงยังขยาดพวกเขา เจ้ายังคิดจะปะทะกับพวกเขาอีก สะกดคำว่าตายไม่เป็นรึไง!?”
“พวกข้าใจดีมาแจ้งให้เจ้าทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้ามีไหวพริบหน่อยไม่ได้หรือไง!”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองชิงหลิงพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ถ้าข้าสะกดคำว่าตายเป็น ข้าคงไม่มาไกลขนาดนี้ได้หรอก”
ตลอดหลายปีที่เขาแสวงหาพลังในการเป็นหนึ่ง มีตอนไหนที่ไม่แขวนชีวิตอยู่ระหว่างความเป็นตายเหรอ? หากเขารู้แต่ซ่อนตัว เขาจะแสวงหาความก้าวหน้าผ่านโอกาสเหล่านั้นได้อย่างไร?
เขาไม่ได้มีทรัพยากรเหมือนคนเหล่านี้ ได้แต่พึ่งพาตนเองเพื่อมาไกลขนาดนี้ ต่อสู้กับไม่ว่าไอ้หน้าไหน
เผชิญกับการตอบกลับเสียงแผ่วเบาของมู่เฉิน ชิงหลิงก็อึ้งไป เพราะแม้แต่นางก็รู้สึกถึงอันตรายจากคำพูดของมู่เฉิน
ประสบการณ์ของชายคนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พวกนางเอามาเทียบได้
ใบหน้าเย็นของชิงหวงก็เกิดระลอกคลื่นในตอนนี้ นางมองไปที่ชายหนุ่ม ภายใต้รอยยิ้มเงียบสงบนั่นมีสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวซ่อนอยู่
แม้ว่าเขาจะมีมารดาทรงพลัง แต่กลับไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ ในทางตรงกันข้ามเขายังต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ก็อย่างที่เขาพูดการที่เขาสามารถมาไกลได้เพียงนี้ทั้งหมดพึ่งพาการทำงานหนักของตนเอง
ชิงซวงถอนหายใจอย่างแผ่วขณะที่พูดว่า “เหตุผลที่พวกข้ามาที่นี่เพื่อแจ้งให้เจ้าทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ สำหรับทางเลือกก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง”
พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดคิดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ถ้าเจ้ายืนกรานดื้อจะอยู่ในทวีปเซิ่งยวนให้ได้ก็จงระวังตัว ถ้าไปปะทะกับเฉวียนหลัวหรือมั่วซินก็มาหาข้าได้ ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวเย็นชา ในที่สุดสายตาก็กระเพื่อมไหว แม้ว่าชิงซวงจะดูเย็นชา แต่นั่นไม่ใช่เนื้อในของนาง
ทว่ามู่เฉินก็ทำเพียงพยักหน้า “ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไปซะเถอะ”
แม้ว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงความหวังดีของพวกนาง แต่เขาก็ยังมีเยื่อบางกั้นในหัวใจเกี่ยวกับเผ่าฝูถู ดังนั้นเขาจึงไม่มีแผนที่จะขอความช่วยเหลือใด
เมื่อได้ยินคำพูดไล่กลายๆ ของมู่เฉิน ชิงซวงก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เหลือบมองไปที่มู่เฉินแวบหนึ่งก่อนจะเดินออกไป ผิดกับชิงหลิงที่กระทืบเท้าระบายอารมณ์ สายตาจ้องมองมู่เฉินด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็สะบัดหน้าตามออกไปเช่นกัน
เมื่อออกจากสวน ชิงหลิงก็ไล่ตามชิงซวงพูดอย่างไม่พอใจ “มู่เฉินหยิ่งผยองพองขน พวกเราอุตส่าห์ใจดีจะช่วยเหลือเขา แต่เขาดันไม่เห็นค่า!”
“เขาไม่รู้ว่าเฉวียนหลัวและมั่วซินทรงพลังเพียงใด แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังไม่ได้เปรียบอะไรเลยเมื่อประหน้าพวกเขา ดังนั้นการปะทะของพวกเขาก็เหมือนเอาไข่กระแทกก้อนหิน!”
ชัดว่าหญิงสาวที่มั่นใจและไว้ตัวมาตลอดแทบไม่เคยเจอคนที่เฉยเมยแบบที่มู่เฉินแสดงออก นอกจากนี้พวกนางยังมาพร้อมกับความปรารถนาดี แต่มู่เฉินกลับไม่ได้แสดงสีหน้าซาบซึ้งใดๆ ซึ่งนี่ทำให้นางขุ่นเคืองใจนัก
ชิงซวงส่ายหน้าเบาๆ “ท่านน้าจิ้งถูกจองจำมาหลายปี แม่กับลูกต้องแยกจากกันมา เป็นเรื่องปกติที่เขาไม่มีความรู้สึกดีกับเผ่าฝูถู มิหนำซ้ำเขาก็เป็นคนภูมิใจ เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเรา”
ชิงหลิงทำปากยื่น “แต่นี่เป็นการฝืนตัวอยู่ไม่ใช่หรอ!”
นางเหลือบตาหันไปมองสวนด้านหลัง “ฝืนตัว? คงไม่ใช่ล่ะ…”
“เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะมีอะไรที่ไม่แน่นอนเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก” ชิงหลิงเหวี่ยงริมฝีปากด้วยความอาการถากถาง
ชิงซวงขมวดคิ้ว “ไม่รู้เพราะเหตุใดข้ารู้สึกถึงรัศมีอันตรายที่มาจากเขาซึ่งเทียบได้กับเฉวียนหลัวและมั่วซินเลยทีเดียว…”
ชิงหลิงตกใจก่อนที่จะพูดว่า “พี่ใหญ่ชิงซวงจะเป็นไปได้ยังไง? เจ้าไม่ได้ประเมินสำหรับเขาสูงเกินไปหรอกหรือ? เขาจะเทียบได้กับเฉวียนหลัวและมั่วซินเจ้าสัตว์ประหลาดสองตัวนั้นได้ยังไง?!”
ชิงซวงเม้มปากพยักหน้าอย่างลังเล บางทีมันอาจเป็นความเข้าใจผิดของนางก็ได้ล่ะมั้ง
เมื่อเทียบกับเฉวียนหลัวและมั่วซิน มู่เฉินก็ดูเหมือนจะด้อยกว่าอยู่จริง
บทที่ 1294 ผู้อาวุโสชิงเซวียน
สายตาของมู่เฉินจ้องมองชิงเซวียนด้วยความตกใจ
ตอนนี้เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่านางมีส่วนที่คล้ายคลึงกับมารดาของเขาอยู่หลายส่วน
อารมณ์ที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้นในใจเขา ตามสถานการณ์นี้เขาควรเรียกนางว่า ‘ท่านป้า’ เหรอ
“นายน้อย ผู้อาวุโสชิงเซวียนมาจากสายเลือดตระกูลชิงและนางมีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเจ้าจริงขอรับ” หลงเซี่ยงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แม้ว่าเผ่าจะขับไล่เขา แต่เขาก็ยังเป็นคนที่มาจากเผ่าฝูถู ดังนั้นเขาจึงรู้ข้อมูลบางอย่างภายใน
“แต่ว่า…” หลงเซี่ยงหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “นายหญิงและตระกูลชิงก็มีรอยร้าวระหว่างกัน…”
แม้ว่าหลงเซี่ยงจะไม่ได้อธิบายกระจ่างชัดเจน แต่มู่เฉินก็สามารถเดาได้ว่าต้องเป็นเพราะเรื่องของเขา หัวใจของเขาจึงค่อยๆ สงบลง ไม่ว่าหญิงคนนี้จะเกี่ยวข้องกับมารดาของเขาจริงหรือไม่ เขาก็ไม่ควรคาดหวังมากเกินไป
ดังนั้นสายตาของเขาจึงค่อยๆ สงบลง
ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกได้ว่านางกำลังเบนสายตามา เขาเงยหน้าขึ้นแลกเปลี่ยนสายตากับนาง ก่อนที่จะถอนออกอย่างเรียบนิ่ง
ชิงเซวียนพิจารณามู่เฉิน ความเย็นชาบนใบหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากมู่เฉินช่างคล้ายคลึงกับมารดาของเขาหลายส่วนเลยทีเดียว!
แต่เมื่อนางเห็นสายตาไม่แยแสของมู่เฉิน สายตานางก็ดิ่งลึกลง แต่ในไม่ช้านางก็กลับคืนสภาพไม่แยแสเช่นกันก่อนที่จะหันไปมองตาเฒ่าทั้งสองคน “ข้าแค่เตือนพวกเจ้าถึงคำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่ ถ้าพวกเจ้าต้องการทำอย่างนั้น ข้าก็จะไม่ขัดขวาง แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็รับผิดชอบกันเองละกันนะ”
เมื่อได้ยินเฮยกวางและมั่วหยิงก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่ชิงเซวียนพูด มีข่าวลือว่าการตัดสินใจไม่ให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้ามามีส่วนร่วมในการจับกุมมู่เฉิน เกิดขึ้นหลังจากผู้อาวุโสใหญ่และชิงเหยี่ยนจิ้งปะทะกัน
ว่ากันว่าชิงเหยี่ยนจิ้งมาถึงสถานะที่น่าสะพรึงกลัวในการบรรลุค่ายกล
แม้ว่าพวกเขาจะสามารถรับมือกับชิงเหยี่ยนจิ้งด้วยรากฐานของตระกูล แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาโหดแน่งานนี้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ทั้งสองก็แลกเปลี่ยนสายตากัน อดรู้สึกขัดเคืองใจไม่ได้ เด็กเลือดผสมของเผ่าฝูถูอยู่ต่อหน้าแท้ๆ แต่พวกเขาก็ทำได้แค่มองแบบทำอะไรไม่ได้ นี่น่าอึดอัดเสียจริง
สุดท้ายพวกเขาก็เค้นเสียงสบถพลางมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา “นับว่าแกยังมีโชคบ้าง แต่ข้าขอบอกให้แกยอมจำนนต่อเผ่าฝูซูซะ แม่ของแกจะได้เลิกทนทุกข์ทรมานซะที!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ไอเย็นเยือกก็วูบไหวในนัยน์ตาของมู่เฉิน เขามองไปที่ตาเฒ่าทั้งสองอย่างไม่เกรงกลัว “วางใจเถอะ ข้าจะไปเยี่ยมที่เผ่าฝูถูแน่นอน แต่ไม่ได้ไปยอมจำนน ข้าจะไปรับท่านแม่และถ้าพวกแกตั้งใจจะขัดขวาง ข้าจะพลิกเผ่าโบราณเลื่องชื่อให้หัวปักดินไปเลย!
คำพูดของเขาทำเอาทั่วบริเวณเงียบกริบลง
ทุกคนตาเบิกกว้างมองไปที่มู่เฉิน ไม่มีใครคิดว่าชายหนุ่มที่เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะมีความกล้าหาญและท้าทายหนึ่งในห้าเผ่าโบราณขนาดนี้
นี่เหมือนกับมดง่ามพยายามเขย่าต้นไม้
“ไอ้หนูนี่ โอหังใช้ได้” แม่เฒ่าเหอจากตระกูลเวินก็เบ้ริมฝีปาก แม้แต่ตระกูลเวินยังหวาดเกรงต่อเผ่าโบราณ สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็เป็นเพียงมดตัวหนึ่งต่อเผ่าฝูถูเท่านั้น
ทว่าที่ด้านข้าง เวินชิงเฉวียนกลับเม้มริมฝีปากพลางมองมู่เฉินด้วยแววตาผิดแผก “ท่านป้าเหอ ท่านรู้ไหมว่า หลายปีก่อนตอนอยู่สำนักศึกษาเป่ยชาง มู่เฉินยังไม่ได้บรรลุระดับจื้อจุนเลย แต่ตอนนี้…เขามาถึงระดับตี้จื้อจุนได้แล้ว”
“บางทีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอาจไม่ได้มีอะไรมากในสายตาท่าน มิหนำซ้ำก็มีช่องว่างระหว่างอัจฉริยะของเผ่าเรา ยิ่งไม่ต้องเปรียบเทียบกับเหล่าประมุขน้อยของเผ่าฝูถู… แต่จากที่ข้ารู้เขาเป็นคนไม่มีอะไรเลย ทั้งกำลังสนับสนุนและทรัพยากรที่น่าอิจฉา สิ่งที่เขาได้มาทุกอย่างใช้พลังของตัวเขาเองทั้งสิ้น”
“ข้าคิดว่า จุดนี้ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะของตระกูลเวินหรือเผ่าฝูถู พวกเขาก็คงไม่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้”
“ดังนั้นอย่าดูถูกเขา มิฉะนั้นจะต้องเสียใจในอนาคต”
“โอ้?” แม่เฒ่าเหอเงียบไปหลังจากได้ยินคำพูดของเวินชิงเฉวียน ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง มู่เฉินคนนี้ก็เป็นต้นกล้าที่น่าตกใจแล้ว
ไม่แน่ในอนาคตเขาอาจจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้จริงๆ
“ฮ่าๆ ความกล้าหาญของเจ้ายอดนัก ตรงกับรสนิยมข้าจริงๆ!” ชื่อเหยียนหัวเราะร่วนขณะตบไหล่ของมู่เฉิน “ถ้าเจ้าไม่มีสายเลือดของเผ่าฝูถูเน่าหนอนนี่ละก็ ข้าจะทำทุกวิธีทางเพื่อเอาเจ้าเข้าเผ่าไท่หลิงแน่ๆ วะฮะฮ่า!”
“ฮึ่ม ไอ้หน้าด้าน!” มั่วหยิงแสดงสีหน้าดูถูกและไม่แยแส
สมาชิกคนอื่นๆ ของเผ่าฝูถูก็มองไปที่มู่เฉิน แต่สายตาส่วนใหญ่เป็นการเยาะเย้ยถากถาง แค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายคนเดียวกล่าวว่าต้องการเหวี่ยงเผ่าฝูถูไปรอบๆ นี่มุกตลกอะไร?
สายตาของมู่เฉินค่อยๆ สงบลง ไม่ได้พูดเถียงกับมั่วหยิง เขาถอยหลังครึ่งก้าวด้วยใบหน้าเฉยเมย
ให้เวลาเป็นตัวบอกว่าเขาโอ้อวดหรือไม่ การพูดมากไปก็สักแต่จะทำให้ผู้อื่นเยาะเย้ย
เขาไม่ใช่เด็กน้อยที่อ่อนแอและต้องซ่อนตัวอยู่ในเงามืดหลบหลีกเผ่าฝูถูอีกต่อไป ตอนนี้เขาสร้างปีกขึ้นมาเองได้แล้ว ต่อให้เผ่าฝูถูจะส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกมา เขาก็มีวิธีที่จะเผชิญหน้ากับพวกมัน ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องหมอบราบให้กับเผ่านี้อีกต่อไป
“ผู้อาวุโสชื่อเหยียน ไปกันเถอะขอรับ” มู่เฉินกล่าวขณะที่หันไปหาชื่อเหยียน
ดวงตาของชื่อเหยียนยิ้มหยีขณะที่พยักหน้าเดินออกไปพร้อมกับมู่เฉิน โดยมีลั่วหลีและพรรคพวกติดตามมา
ตอนที่มู่เฉินเดินผ่านชิงเซวียน เขาก็ชะลอตัวแวบหนึ่ง แต่ไม่หยุดเดินตัดผ่านออกไป
สิ่งที่เรียกว่า ‘ความสัมพันธ์ทางสายเลือด’ ก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าในมุมมองของมู่เฉินเท่านั้น เขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือใดๆ เนื่องจากเขาชินกับการไร้ญาติขาดมิตรตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ชิงเซวียนมองมู่เฉินด้วยแววตาซับซ้อน ก่อนที่นางจะกำกำปั้นในแขนเสื้อเอาไว้แน่น จากนั้นก็ยิ้มขมขื่นในหัวใจ “น้องสาว ลูกของเจ้าดื้อรั้นเหมือนกับเจ้าจริงๆ…”
“หึ มีมารดา แต่ไร้คนสั่งสอน เย่อหยิ่งโง่เขลา ไม่รู้จักฟ้าสูงแฟ่นดินต่ำ!” เมื่อมู่เฉินเดินผละไป มั่วหยิงก็ยังคงหัวร้อนอยู่ เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินราดน้ำมันไปในเพลิงโทสะเพิ่มขึ้น
“ผู้อาวุโสมั่วหยิงระวังคำพูดด้วย ในฐานะผู้อาวุโสเผ่าฝูถูมารังแกเด็กรุ่นใหม่แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องได้หน้าอะไร หากเจ้ากล้าพอก็ไปพูดกับน้องสาวข้าสิ!” เมื่อชิงเซวียนได้ยินคำพูดนั่น นางก็เค้นเสียงออกมา
มั่วหยิงชะงักไปในทันที แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ยังต้องหลบทางให้ชิงเหยี่ยนจิ้ง แล้วถ้าเขาเอาพูดคำนี้ไปพ่นต่อหน้านาง แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ปกป้องเขาไม่ได้
ทุกคนรู้ว่าเมื่อไรที่แม่เสือเข้าสู่โหมดการป้องกัน นางจะน่ากลัวขนาดไหน
ใบหน้าของมั่วหยิงสลับกันไปมาระหว่างเขียวกับขาวขณะเกรี้ยวกราดขึ้น “งั้นเราจะปล่อยให้มันหนีไปอย่างนี้เรอะ?!”
“ฮ่าๆ ผู้อาวุโสมั่วหยิงพูดอะไรเช่นนั้น” ชายชุดฟ้าอมเขียวที่ยืนอยู่ข้างเฮยกวางก็กล่าวขึ้นพร้อมกับหัวเราะเสียงนุ่ม
“คำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่ห้ามแค่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจัดการเท่านั้น ไม่ได้ห้ามจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจัดการนี่น่า”
ชายชุดฟ้าอมเขียวยิ้ม “ไอ้เจ้านั่นเพ้อฝันไปที่คิดจะหลุดจากพันธนาการของเรา”
“วางใจเถอะ เฉวียนหลัวสัญญาว่าเมื่อเราออกจากทวีปเซิ่งยวน เราจะจับไอ้กาลกิณีนั่นไปมอบให้ผู้อาวุโสใหญ่ด้วย” เฉวียนหลัวพูดเสียงอ่อนโยน ไม่มีความผันผวนใดในน้ำเสียงของเขา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มาดูกันว่าใครจะสามารถจับมันได้ก่อน” ขณะเดียวกันชายหนุ่มชุดดำที่ยืนอยู่ข้างหลังมั่วหยิงก็เปล่งเสียงแผ่วเบา
เฉวียนหลัวยักไหล่พลางยิ้ม “ในเมื่อมั่วซินต้องการที่จะแข่งขันด้วย งั้นเรามาดูกันว่าใครจะเป็นคนจับไอ้เจ้านั่นได้”
ทั้งสองพูดจากันอย่างสบาย ชัดว่าไม่เห็นมู่เฉินอยู่ในสายตา สำหรับพวกเขามู่เฉินเป็นเหยื่อเท่านั้น
เมื่อมั่วหยิงและเฮยกวางเห็นเรื่องราวดำเนินไปแบบนี้ก็พยักหน้าช้าๆ หากเฉวียนหลัวและมั่วซินออกโรงเอง ไอ้กาลกิณีนั่นไม่สามารถหลบหนีได้แน่
ชิงเซวียนที่เห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ หัวใจก็ทรุดฮวบลง เฉวียนหลัวและมั่วซินเป็นจอมยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่า หากพวกเขาออกโรงจัดการมู่เฉินจริงๆ ละก็ งานนี้มู่เฉินถึงคราวเคราะห์แน่…
บทที่ 1293 เผ่าฝูถูมาถึง
ในหอหมื่นพัน
กลุ่มสามกลุ่มเข้ามาพร้อมกับแรงกดดันที่ไม่มีรูปร่างครอบคลุมทั่วพื้นที่ ความปั่นป่วนในหอก็เงียบลงทันที
จากนั้นทุกสายตาก็จ้องไปยังคนสามกลุ่มที่เข้ามา
ทั้งสามกลุ่มนำโดยสองชายชราและหนึ่งสตรี ชายชราทั้งสองมีผมสีขาว คนหนึ่งสวมชุดดำ อีกคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีเงิน ร่างกายของพวกเขาเหี่ยวย่นขณะที่เดินทอดน่องเข้ามา
ทว่าไม่มีใครกล้าฉายสายตาเย้ยหยัน ในทางตรงกันข้ามดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัวและความเคารพอย่างหนาแน่น เพราะทุกคนที่ไม่ใช่คนโง่ต่างสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากทั้งสามคน
นอกจากนี้นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาปล่อยออกมาโดยเจตนา แต่เป็นการสะท้อนพลังงานของพวกเขาที่เกิดจากฟ้าดิน
นอกเหนือจากชายชราสองคนแล้ว ยังมีหญิงสะคราญโฉมสวมชุดแบบดั้งเดิมดูเป็นผู้ใหญ่และทรงเสน่ห์ ทว่าตัดสินจากการที่นางเดินเข้ามาพร้อมชายสองคน นางจะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนด้วยเช่นกัน
ถัดจากจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนสามคน ก็ยังมีอีกสามคนที่ได้รับความสนใจอย่างมาก หนึ่งคือชายสวมชุดสีฟ้าอมเขียวที่เดินอยู่ด้านหลังชายชราชุดดำ รอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนใบหน้าของเขา เมื่อเขากวาดสายตาไปรอบๆ ทุกคนที่ประสานสายตากับเขาจะมีความประทับใจที่ดี
ทว่ามีเพียงคนประสาทสัมผัสดีเยี่ยมเท่านั้นที่รู้สึกได้ถึงความเย็นชาและน่าสะพรึงในส่วนลึกสายตาของเขา
ด้านหลังชายชราที่สวมเสื้อคลุมสีเงินเป็นชายสวมชุดสีดำ บุคลิกของเขาแตกต่างจากชายสวมชุดสีฟ้าอมเขียวโดยสิ้นเชิง เขาให้ความรู้สึกไม่แยแสและเย็นเยือก ราวกับอสรพิษร้ายออกล่าเหยื่อ
ด้านหลังหญิงคนนั้นเป็นหญิงสาวสวมชุดขาวที่มีส่วนโค้งเว้างดงามและน่าภาคภูมิใจ แต่ตรงกันข้ามกับร่างอันร้อนแรง ใบหน้าของนางเย็นชาและรัศมีเย็นสุดขั้วก็เล็ดลอดออกมาจากตัวนาง ช่างคล้ายกับภูเขาน้ำแข็งที่ไม่สามารถเข้าใกล้ได้
ด้านหลังพวกเขาเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาว ถึงแม้ว่าจะไม่โดดเด่นเท่ากับสามคนนี้ แต่ก็ยังคงโดดเด่นหากไปยืนอยู่ที่อื่น
“หึๆ หัวกะทิจากเผ่าฝูถูถูกส่งมาถึงสามกลุ่ม ดูเหมือนว่าพวกเขามุ่งมั่นที่จะรับวิชาเจดีย์แปดองค์ไปนะเนี่ย” ชื่อเหยียนมองทั้งสามกลุ่มก็หัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะเหลือบมองไปที่มู่เฉิน
ขณะนี้มู่เฉินไม่ได้แสดงออกสีหน้าใดๆ แต่มีเพียงคนที่รู้จักเขาอย่างลั่วหลีถึงสังเกตเห็นระลอกคลื่นในดวงตาของเขาเมื่อทั้งสามกลุ่มนี้ปรากฏตัว
สายตาของหลิงซีและหลงเซี่ยงก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ขณะที่ทั้งสองก้าวออกไปครึ่งก้าว ปกป้องมู่เฉินไว้ที่เบื้องหลัง
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจากเผ่าฝูถูได้ แต่อีกฝ่ายก็อย่าฝันที่จะทำอะไรมู่เฉินภายใต้สายตาของพวกเขา
ทั้งสามกลุ่มเมินเฉยต่อสายตามากมาย มุ่งหน้ามายังโต๊ะที่อยู่ส่วนลึก
เมื่อพวกเขาเห็นชื่อเหยียนและแม่เฒ่าเหอ ทั้งสามกลุ่มก็ชะลอตัวลง
“ไม่คิดว่าเผ่าไท่หลิงกับตระกูลเวินจะมาถึงที่นี่ก่อน” ชายชราสวมเสื้อคลุมสีเงินเหลือบมองไปที่ชื่อเหยียนและแม่เฒ่าเหอด้วยรอยยิ้ม
ขณะที่พูดสายตาของเทียนจื้อจุนสามคนก็จ้องไปที่คนที่ยืนอยู่เบื้องหลังชื่อเหยียน ก่อนที่จะเบนสายตามาให้ความสนใจกับมู่เฉินพร้อมกัน
ตู้ม!
จังหวะนั้นดวงตาของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามก็ฉายเจดีย์ในม่านตา
เวลาเดียวกันมู่เฉินก็สัมผัสถึงเจดีย์ในร่างกายเขาถูกกระตุ้น เจดีย์ผลึกแก้วใสปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
มู่เฉินตอบสนองอย่างรวดเร็ว ระงับเจดีย์ในทันที ก่อนที่จะถอยหลังสองก้าวด้วยสีหน้ามืดครึ้ม เขาไม่คิดว่าเพียงแค่การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของเผ่าฝูถู เจดีย์ในร่างก็ถูกกระตุ้นโดยไม่อาจควบคุม
“เจดีย์เก้าชั้น!”
จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามคนตกใจ พวกเขามองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง
คนที่ยืนอยู่ข้างหลังก็จ้องมองด้วยความประหลาดใจมาที่มู่เฉินเช่นกัน พวกเขาสัมผัสได้ชัดเจนถึงความผันผวนของเจดีย์จากร่างของมู่เฉิน
ที่ด้านหลังชายชราชุดดำ สายตาของชายชุดฟ้าอมเขียวก็หรี่แคบลงขณะจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยความสนใจ พึมพำกับตัวเองว่า “น่าสนใจ ไม่คิดว่าไอ้กาลกิณีนี่จะมาที่ทวีปเซิ่งยวน อุตส่าห์หาไปทั่วสุดท้ายก็ปรากฏตรงหน้า…”
“ไอ้หนู แกเป็นสมาชิกเผ่าฝูถูด้วยหรือ? ทำไมถึงไปเข้ากับเผ่าไท่หลิงได้? ใครเป็นผู้อาวุโสสายเจ้า? เจ้าเป็นสายเลือดสายไหน?” ชายชราสวมชุดคลุมสีเงินขมวดคิ้วพลางตะเบ็งเสียง
เผชิญกับคำถามนั่นก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้าของมู่เฉิน เขาตอบกลับไปว่า “ข้าไม่ใช่คนจากเผ่าฝูถู”
เมื่อได้ยินชายชราสวมชุดคลุมสีเงินก็อารมณ์พุ่งด้วยความเกรี้ยวกราด “เจ้าฝึกฝนทักษะวิชาของเผ่าฝูถู หากเจ้าไม่มีสายเลือดจะทำสำเร็จได้อย่างไร”
เวินชิงเฉวียนที่ยืนอยู่ข้างๆ มู่เฉินก็ตกใจ เพราะนางไม่เคยคิดว่ามู่เฉินจะมีสายสัมพันธ์กับหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ อย่างเผ่าฝูถูด้วย
“เหอๆ ผู้อาวุโสมั่วหยิง มันไม่ถือว่าเป็นสมาชิกเผ่าฝูถูหรอก เพราะมันคือตัวกาลกิณีไงขอรับ” ขณะที่กลุ่มจากเผ่าฝูถูกำลังประหลาดใจ เสียงถากถางก็ดังก้อง
ร่างหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังชายหนุ่มชุดฟ้าอมเขียว เขาคือคนที่ต่อสู้กับพวกมู่เฉินที่เกาะหัวใจหยก—กู้ซือหวง
“อะไรนะ?!”
คนจากเผ่าฝูถูพากันตกใจเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดนี้ ก่อนที่พวกเขาจะส่งสายตาแปลกๆ ไปที่มู่เฉิน แม้ว่ามู่เฉินจะไม่เคยมาที่เผ่าแต่ทุกคนรู้เกี่ยวกับเขา เนื่องจากสถานะสูงส่งของมารดาเขาในเผ่า
“ที่แท้แกก็คือเด็กกาลกิณีที่ผู้อาวุโสใหญ่พูดถึง!”
มั่วหยิงตกตะลึงชั่วครู่ ก่อนที่สายตาจะจับจ้องไปที่มู่เฉินราวกับเหยี่ยวเอ่ยเย้ยหยัน “ดีจริงๆ แกกล้าปรากฏตัวต่อหน้าข้า งั้นข้าจะจับแกกลับไปส่งให้ผู้อาวุโสใหญ่วันนี้แหละ!”
ขณะที่พูดเขาก็ก้าวออกไป มิติถึงกับสั่นสะเทือน คลื่นหลิงระหว่างสวรรค์และโลกก่อร่างเป็นห่วงห่อหุ้มมู่เฉินเอาไว้ ทำให้หลบหนีไม่ได้
ปัง!
ทว่าจังหวะนั้นเอง มือข้างหนึ่งก็ยื่นเข้ามาทำลายห่วงเหล่านั้น
“ชื่อเหยียนนี่เป็นเรื่องของเผ่าฝูถู เผ่าไท่หลิงมาสะเออะทำไม?” นัยน์ตาของมั่วหยิงหดลง เมื่อมองชื่อเหยียนที่ยืนเด่นปิดกั้นมู่เฉินเอาไว้
ชื่อเหยียนส่ายหัวไปมา “เจ้าอย่าคิดทำอะไรเด็กคนนี้ ไม่งั้นความพยายามทั้งหมดของข้าคงลงแม่น้ำไปหมดแน่”
“ฮึ่ม นี่เป็นเรื่องภายในของเผ่าฝูถู เจ้าไม่มีสิทธิ์มายุ่ง!” มั่วหยิงเค้นเสียงเย็นชาก่อนที่จะหันไปมองชายชราที่สวมชุดดำ “เฮยกวาง เจ้าคิดแต่จะมองไอ้กาลกิณีนี่หลบหนีไปเรอะ? ถ้าเป็นแบบนั้นข้าจะรอดูสิว่าเจ้าจะตอบคำถามผู้อาวุโสใหญ่อย่างไร!”
ชายชุดดำที่ไม่ได้พูดอะไรก็มองไปที่มู่เฉิน ราวกับว่าต้องการมองผ่านอีกฝ่าย
จากนั้นเขาหันไปมองชายหนุ่มชุดฟ้าอมเขียวที่อยู่ด้านหลังที่พยักหน้าให้
มู่เฉินครอบครองวิชาสามพิสุทธิ์ หากพวกเขาสามารถจับมู่เฉินและได้รับวิธีฝึกฝนก็จะเป็นการดีที่สุด
เมื่อได้รับคำตอบจากชายหนุ่มชุดฟ้าอมเขียว เฮยกวางก็ก้าวเท้าออกไป จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคนหันมาประจันหน้ากับชื่อเหยียน แรงกดดันนี้ทำให้ดวงตาเขาเปลี่ยนไป เขากำมือน้ำเต้าสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้น
จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามยืนเผชิญหน้ากัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ใช้คลื่นหลิง แต่ความกดดันที่เกิดขึ้นก็ยังน่ากลัว ทำให้ทุกคนที่นี่ร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
เมื่อชายชราที่อยู่หลังโต๊ะเห็นสิ่งนี้ คิ้วของเขาก็ขมวดแน่น
“ช้าก่อน!”
ทว่าขณะที่เขากำลังจะพูด เสียงไม่แยแสก็ดังก้องขัดขวางจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามไว้
สายตาทุกคู่พุ่งตรงไป พวกเขาก็เห็นว่าเป็นผู้อาวุโสหญิงของเผ่าฝูถูที่พูดออกมา
เมื่อมั่วหยิงเห็น สายตาก็สั่นไหว “ผู้อาวุโสชิงเซวียน ทำไม? เจ้ามีความคิดเห็นเกี่ยวกับการจับไอ้เด็กนี่รึ?”
ผู้อาวุโสหญิงที่มีชื่อว่าชิงเซวียนตอบด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าสองคนจะรีบร้อนอะไรกัน ข้าจำได้ว่าผู้อาวุโสใหญ่เคยสั่งไว้ว่าห้ามจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนลงมือจับเขาไม่ใช่รึ? ที่พวกเจ้ากำลังทำมันผิดกฎน่ะ”
มู่เฉินรู้สึกตกใจขณะมองผู้อาวุโสหญิงคนนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่านางจะช่วยเขา
เฮยกวางหัวเราะเบาๆ “ชิงเซวียน ไอ้เด็กนี่เป็นกาลกิณีทำไมต้องสนใจกฎด้วยล่ะ? ในมุมมองของข้า ไม่ใช่เราที่ต้องกังวล แต่เป็นคนอื่นมากกว่ามั้ง”
มั่วหยิงก็เยาะเย้ย “ข้าลืมไปว่าชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นน้องสาวของเจ้า นั่นหมายความว่าไอ้เด็กคนนี้ก็เป็นหลานของเจ้าสินะ ทำไม? เจ้าคิดจะช่วยมันเหรอ!”
ร่างกายของมู่เฉินสั่นไหว ขณะที่เขาเบนสายตาตกใจมองไปที่ผู้อาวุโสหญิง นางเป็นพี่สาวของท่านแม่เขาเรอะ?!
บทที่ 1292 พบเวินชิงเฉวียนอีกครั้ง
หญิงชราย่างเท้าเข้ามาด้วยใบหน้าเย็นชา
แม้ว่าจะไม่มีความแปรปรวนของคลื่นหลิงรอบตัว แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูถูก ใครก็ตามที่สามารถมีชีวิตรอดในสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้ ต้องมีสายตาบางอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของหญิงชรา
ทว่าสายตามากมายก็ยึดอยู่ที่หญิงชราแวบเดียว ก่อนที่จะหันไปมองเงาร่างเพรียวบาง
นางเป็นสตรีสวมชุดสีม่วงรูปร่างระเหิดระหง โดยเฉพาะช่วงขาที่เดินไข้วไปมาใต้กางเกง ช่างดูงดงามอย่างยิ่ง
รูปลักษณ์ของนางช่างเจิดจรัส ดวงตามีเสน่ห์ดูราวกับดวงดาวเปล่งประกายไม่มีที่สิ้นสุด ผมสีฟ้าถูกเกล้าขึ้นเป็นหางม้า สะบัดไปมาด้วยความมั่นใจขณะที่นางก้าวเดิน
นี่คือหญิงสาวงดงามที่ราวกับวีรสตรี เมื่อนางจือปากก็ช่างเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
สายตานับไม่ถ้วนถูกส่งไปที่หญิงสาวผู้มาใหม่ ถึงแม้ว่าหญิงสาวผมสีเงินจะมีเสน่ห์มากกว่า แต่ความโดดเด่นของหญิงสาวคนนี้ก็น่าดึงดูดเช่นกัน
แต่แม้ว่าพวกเขาจะตกตะลึงกับเสน่ห์นาง แต่ก็ไม่มีใครกล้าล้อเลียนเพราะสายตาของหญิงชราที่กวาดมาราวกับเอาน้ำแข็งราดใส่หัวเลยทีเดียว
มู่เฉินและลั่วหลีก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เมื่อจ้องมองหญิงสาวคนนั้น
เพราะนี่คือเวินชิงเฉวียนที่ทั้งสองคนร่วมมือกันในศึกเบญจภาคี
“ไม่คิดว่านางจะเป็นสมาชิกจากตระกูลเวิน” ลั่วหลีรู้สึกตกใจตระกูลเวินจากเขตเหนือเติบโตขึ้นในช่วงพันปีที่ผ่านมา ในแง่ประวัติศาสตร์ไม่อาจเทียบกับตระกูลลั่วเสิน แต่ด้วยพลังของตระกูลเวินก็ก้าวขึ้นเป็นขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพแล้ว
“ทำไมนางถึงไปที่สำนักศึกษาวั่นหวงทั้งที่มีการสนับสนุนขนาดนี้?” มู่เฉินก็แปลกใจเหมือนกัน
“ข้าได้ยินมาว่าตระกูลเวินจากเขตเหนืออยู่เบื้องหลังสำนักศึกษาวั่นหวงน่ะ” ลั่วหลีตอบ
เท่านี้มู่เฉินก็เข้าใจว่ามีการเชื่อมโยงกัน ไม่น่าแปลกใจเวินชิงเฉวียนถึงได้ไปที่สำนักศึกษาวั่นหวง
ขณะที่พวกเขาพูดคุย กลุ่มผู้มาใหม่ก็เดินมาถึงที่กองสรรหา เวินชิงเฉวียนที่มีท่าทางไม่แยแสมาตลอดทางก็หยุดเดินพร้อมกับสายตาไม่อยากเชื่อจ้องมองมาที่ทั้งคู่
เวินชิงเฉวียนมีผู้ติดตามมาด้วย แต่เห็นได้ชัดเจนว่านางเป็นตัวหลัก ดังนั้นเมื่อนางหยุด พวกเขาก็หยุดตามเช่นกัน
“ชิงเฉวียนเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ชายสวมชุดขาวกล่าวเสียงเบาด้านข้างเวินชิงเฉวียนช่างดูสะดุดตาไม่น้อย ยิ่งเมื่อพิจารณาจากความผันผวนของคลื่นหลิงที่ยิ่งใหญ่ที่แผ่ออกมาจากร่างเขา น่าจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ต้องมีตำแหน่งสำคัญในตระกูลเช่นกัน
ทว่าเวินชิงเฉวียนไม่สนใจเขาเลย สายตาจ้องมู่เฉินกับลั่วหลีด้วยความตกตะลึง ก่อนที่นางจะร้องอุทานขึ้น “ลั่วหลี? มู่เฉิน?!
“ชิงเฉวียน ไม่เจอกันนานเลย” ลั่วหลียิ้ม
“ไม่คิดว่าจะได้พบเจ้าที่นี่” มู่เฉินยิ้ม ย้อนกลับไประหว่างการแข่งขันศึกเบญจภาคี พวกเขาจากคนแปลกหน้ากลายเป็นคนรู้จัก ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ผ่านประสบการณ์กันมากมาย
หลังจากจบการแข่งขัน แต่ละคนก็แยกย้ายตามทางของตัวเอง ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีวันได้พบเจอกันอีก แต่ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันที่นี่วันนี้
“พวกเจ้าจริงๆ ด้วย!”
ดวงตาของเวินชิงเฉวียนเปล่งประกายด้วยความดีใจ นางพุ่งตัวเข้าใส่กอดทั้งสอง แต่ก่อนที่มู่เฉินจะได้ยื่นมือออกมา เวินชิงเฉวียนก็เปลี่ยนใช้ศอกกระแทกที่หน้าอกเขา
มู่เฉินถอยกลับไปสองก้าวพลางเบ้ปากอย่างช่วยไม่ได้
“คิดฉวยโอกาสข้าเหรอ ฝันไปเถอะ”
เวินชิงเฉวียนกลอกตาให้มู่เฉิน ก่อนจะเหยียดแขนโอบกอดลั่วหลีแน่น “ลั่วหลี เจ้างามมากจนข้าไม่กล้าทักเลย”
นางไม่ได้โกหกเนื่องจากลั่วหลีเปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อเทียบกับตอนออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง บวกกับร่างเทพวารีของลั่วเสินทำให้นางมีความงดงามที่โดดเด่นขึ้นอีกหลายส่วน
ลั่วหลีก็เม้มปากยิ้มออกมาเช่นกัน นางรู้สึกมีความสุขที่ได้พบกับเวินชิงเฉวียนที่นี่ เนื่องจากนางมักจะระลึกถึงเวลาที่ใช้ด้วยกันตอนสู้ศึก สหายเหล่านี้สร้างความทรงจำที่มีค่าให้นาง
“ทำไมเจ้าถึงยังอยู่กับมู่เฉินอีก เขาคู่ควรเจ้าซะที่ไหน?!” เวินชิงเฉวียนปรายตามองไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะหันมาพูดกับลั่วหลีด้วยความปวดใจ
เมื่อมู่เฉินได้ยินประโยคนี้ใบหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นดำมืด
ลั่วหลีมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและล้อเล่น
“ชิงเฉวียนนี่เพื่อนเจ้าเหรอ?” ขณะที่เวินชิงเฉวียน ลั่วหลีและมู่เฉินกำลังรำลึกความหลัง เสียงขัดจังหวะจากชายชุดขาวก็ดังขึ้น เขาเดินหน้าเข้ามา มองมู่เฉินและลั่วหลีด้วยรอยยิ้ม
“ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าชื่อเวินจื่อหยู่จากตระกูลเวิน” ชายคนนั้นเปิดเผยสายตาที่อ่อนโยนซึ่งไม่ได้แกล้งทำ ให้ความรู้สึกดีกับผู้อื่น
ขณะที่เขามองเวินชิงเฉวียนอารมณ์ก็ถูกเปิดเผยในดวงตา เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจีบอีกฝ่ายอยู่
มู่เฉินและลั่วหลีรู้สึกประทับใจกับชายคนนี้ ทั้งสองจึงส่งยิ้มให้
“ข้าชื่อมู่เฉิน”
“ลั่วหลี”
เวินชิงเฉวียนเหลือบมองเวินจื่อหยู่ ท่าทางดูไม่สนใจอีกฝ่ายเลย ทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
หญิงชราก็หันมามองลั่วหลีก่อนจะพยักหน้าพูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ “ช่างเป็นเด็กที่งดงามมาก”
จากนั้นก็มองมู่เฉิน แต่นางไม่ได้พูดอะไรก่อนที่จะละสายตาไป ความไม่ใส่ใจในของนางเห็นได้ชัดมาก
ทว่ามู่เฉินไม่ได้โกรธ เพราะเขารู้สึกได้ว่าหญิงชราคนนี้ไม่ได้ตั้งใจทำเฉพาะเขา แต่นางทำกับผู้ชายทุกคน
“ชื่อเหยียน ครั้งนี้เจ้ามาเร็วนัก” หญิงชรามองอย่างไม่แยแสไปที่ชื่อเหยียน
“เฮ้ ยายเฒ่าเหอ บรรพบุรุษของตระกูลเวินไม่ได้อยู่ในแดนเซิ่งยวน ทำไมพวกเจ้าถึงขยันมาที่นี่ทุกครั้งขนาดนี้?” ชื่อเหยียนยิ้มเสียงประหลาด
“ไม่มีใครเป็นเจ้าของแดนเซิ่งยวน ทำไมตระกูลเวินของข้าถึงจะมาคว้าโอกาสที่นี่ไม่ได้ล่ะ?” แม่เฒ่าเหอเค้นเสียงหัวเราะเย็น
ชื่อเหยียนกลอกตาบน แต่เขาก็ไม่คิดจะทะเลาะกับแม่เฒ่าเหอที่ไม่เป็นมิตรกับชายทุกคน
แม่เฒ่าเหอไม่ได้พูดอะไรมากความกับชื่อเหยียน ก่อนที่จะหันไปหาชายชราที่กองสรรหา “ผู้อาวุโสลู่ทงมอบป้ายสังหารปีศาจให้เด็กพวกนี้ด้วย”
ชายชราชุดเทาพยักหน้าพลางโบกมืออย่างเกียจคร้าน จากนั้นครู่หนึ่งป้ายสังหารปีศาจกลุ่มหนึ่งก็บินมาทางพรรคพวกของเวินชิงเฉวียน
รับป้ายมาแล้ว เวินชิงเฉวียนก็มองมู่เฉินกับลั่วหลี “เจ้าสองคนก็มาเพื่อแดนเซิ่งยวนเหรอ?”
มู่เฉินและลั่วหลีพยักหน้า
“เยี่ยมไปเลย! ไม่คิดว่าหลังจากผ่านไปหลายปี เราจะได้ทำงานร่วมกันอีกครั้ง!” เวินชิงเฉวียนหัวเราะเบาๆ
มู่เฉินมองเวินชิงเฉวียนก็พบว่าตอนนี้นางบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าพลังของนางเติบโตขึ้นหลังจากกลับไปที่ตระกูลเวิน
“ดีจริงๆ ที่มีกองกำลังสุดยอดเป็นกองสนับสนุน” มู่เฉินอดถอนหายใจในใจไม่ได้
แต่ดูเหมือนว่าแดนเซิ่งยวนจะดึงดูดผู้คนจากขุมกำลังมากมาย ตอนนี้แดนเซิ่งยวนยังไม่ปรากฏ ไม่รู้ว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะมีกลุ่มทรงพลังโผล่มาเท่าไร
แต่ดูท่าการแข่งขันครั้งนี้จะรุนแรงอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
“ไปกันเถอะ เราไปหาสถานที่พักผ่อนกัน” ชื่อเหยียนหันไปมองกลุ่มมู่เฉินจากนั้นก็โบกมือ เตรียมนำพวกเขาออกไป
มู่เฉินพยักหน้า ขณะที่กำลังจะกล่าวคำอำลากับเวินชิงเฉวียน ความปั่นป่วนก็ดังกึกก้องในหอหมื่นพัน
ความสนใจทั้งหมดในอาคารขนาดใหญ่จ้องมองไปที่ประตูทางเข้าด้วยความตกใจ
มู่เฉินก็สัมผัสได้จึงเงยหน้ามองไปที่คนสามกลุ่มที่เข้ามา ทั้งสามกลุ่มมีท่าทางที่ไม่ธรรมดา จังหวะที่พวกเขาปรากฏตัวแรงกดดันที่มองไม่เห็นก็ปกคลุมทั่วหอ
ภายใต้แรงกดดันนี้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในทวีปเซิ่งยวนยังแสดงความเคร่งเครียดหลายส่วนในสายตา
มู่เฉินมองไปที่ทั้งสามกลุ่ม จากนั้นดวงตาก็หดเกร็งลง นั่นเป็นเพราะมีลวดลายเจดีย์สีดำบนเสื้อคลุม
ซึ่งเจดีย์นั้นเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคย นั่นคือเจดีย์เก้าชั้น!
ในมหาพันภพมีเพียงเผ่าฝูถู หนึ่งในห้าเผ่าโบราณที่ใช้เจดีย์เก้าชั้นเป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา!
เห็นได้ชัดว่ากลุ่มทรงพลังทั้งสามมาจากเผ่าฝูถูแน่นอน!
บทที่ 1291 คนรู้จัก
ชื่อเหยียนลูบเคราพลางทอดถอนหายใจพูดขึ้น
“เวลานี้ฉิงเทียนเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของวังมหาพันภพ ก่อนที่ประมุขคนต่อไปจะปรากฏ เขามีหน้าที่รับผิดชอบทุกอย่างในวัง บางทีในมหาพันภพชื่อของเขาอาจไม่ดังพอกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม แต่ในกลุ่มจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนชื่อเสียงของเขาไม่อ่อนแอกว่าทั้งสองเลย”
ขณะที่พวกมู่เฉินตกตะลึงจากความสำเร็จที่น่าตกใจของราชันสังหารปีศาจ—ฉิงเทียน แม้แต่มู่เฉินและคนอื่นๆ ยังได้ยินความเคารพในน้ำเสียงนั่น
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ แม้ว่าจะไม่เคยได้พบกับราชันสังหารปีศาจฉิงเทียนคนนี้มาก่อน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถมีสถานะสูงส่งเช่นนี้ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ต้องทรงพลังอย่างมากแน่ อาจมากจนเทียบเคียงกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามได้
มหาพันภพเป็นสถานที่ที่มีมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบแท้จริง
“ผู้อาวุโสชื่อเหยียน เราจะได้รับป้ายสังหารปีศาจนี้ได้อย่างไร?” มู่เฉินถาม ชัดว่าผลประโยชน์จากป้ายสังหารปีศาจทำให้เขาสนใจอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ให้สิทธิ์พวกเขาในฐานะอาคันตุกะของวังมหาพันภพ แต่พวกเขายังสามารถใช้แลกเปลี่ยนกับสมบัติต่างๆ ได้อีกด้วย
เพราะตอนนี้นอกเหนือจากวิชาสามพิสุทธิ์ เขาก็ไม่มีวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดอีก หากเขาสามารถได้รับจากวังมหาพันภพก็จะเป็นการเพิ่มศักยภาพได้เป็นอย่างดี
เมื่อเห็นความสนใจที่เพิ่มขึ้นของพวกมู่เฉิน ชื่อเหยียนก็ยิ้มก่อนที่จะหันเดินไปที่ใจกลางเมือง โดยมีทั้งสี่ติดตามมาที่ข้างหลัง
ทั้งกลุ่มเดินเข้าเมืองอย่างรวดเร็ว เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมาชื่อเหยียนก็ชะลอความเร็วลง
ตอนนี้กลุ่มมู่เฉินก็พบว่าพวกเขามายืนอยู่ใต้ศิลาสังหารปีศาจแล้ว มีหอสีดำอยู่ใต้ศิลากระจายแรงกดดันหนักหน่วงออกมา
“นี่คือหอหมื่นพันซึ่งเป็นสาขาของวังมหาพันภพตั้งอยู่ในแดนเซิ่งยวนนี้เพื่อสังเกตการเคลื่อนไหวของเผ่าปีศาจ” ชื่อเหยียนกล่าวขณะที่ชี้ไปที่หอสีดำ
เมื่อชื่อเหยียนพูดจบ เขาก็เดินไปที่หอหมื่นพันพร้อมกับทั้งสี่ติดตามมา
เมื่อทั้งกลุ่มเข้ามาในหอ ทิวทัศน์ก็กว้างขึ้นทันที ชั้นแรกใหญ่โตมากมีอัญมณีใสลอยอยู่บนท้องฟ้า ฉายแสงส่องสว่างไปทั่วบริเวณ
ที่มุมขนาดใหญ่ของหอราวกับเป็นร้านอาหารที่มีผู้คนเข้าออกตามด้วยเสียงทุกประเภท เมื่อมู่เฉินเพ่งสายตาไปก็ต้องหดม่านตาลง
มู่เฉินสามารถบอกได้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่ปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังผันผวน นอกจากนี้ยังมีไอสังหารท่ามกลางความผันผวน ชัดว่าทุกคนต่างเคยผ่านการต่อสู้ด้วยชีวิตและความตายมาแล้ว
เมื่อเข้ามา พวกเขาก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย แต่เห็นได้ชัดว่าความสนใจส่วนใหญ่เน้นไปที่ลั่วหลี
เนื่องจากรูปลักษณ์และกิริยาของลั่วหลี ทำให้นางเป็นที่สนใจในทุกที่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานที่ที่ผ่านการต่อสู้ความเป็นตาย เพียงแค่แตกต่างจากสายตาตกใจหลงใหลทั่วไป สายตาที่นี้ไม่ได้รับการควบคุมมากกว่า
รับรู้สายตาเหล่านั้นคิ้วของลั่วหลีก็เริ่มมุ่นเข้าหากัน
แต่ก่อนที่นางจะพูดอะไร มู่เฉินก็ปราดมายืนตรงหน้าเพื่อปิดกั้นสายตาเหล่านั้น ขณะเดียวกันเขาก็จ้องเขม็งไปที่บริเวณนั้นโดยไม่พูดมากความ ม่านตาสีดำของเขากะพริบด้วยจิตสังหารที่รั่วไหลออกมาจากกึ่งกลางคิ้ว ท่าทางเขาราวกับยมทูตเลยทีเดียว
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มู่เฉินก็มีประสบการณ์การต่อสู้เป็นตายนับไม่ถ้วน จิตสังหารที่อยู่ในส่วนลึกของกระดูกจึงไม่ได้อ่อนแอกว่าจอมยุทธ์ในแดนเซิ่งยวน เพียงแค่ปกติเขาควบคุมไว้เกือบตลอดเวลา ถ้าเขาปลดปล่อยก็สามารถส่งความรู้สึกหนาวสะท้านได้เลย
ตอนแรกผู้คนก็ไม่พอใจที่มู่เฉินปิดกั้นสายตาของพวกเขา แต่หลังจากรู้ถึงไอสังหารที่มาจากเขา ไอเย็นเยือกก็พล่านไปตามสันหลัง พวกเขาถอนสายตาอยากได้ใคร่มีออกไป ทุกคนจ้องมองมู่เฉินด้วยความตกใจ เพราะพวกเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มอ่อนวัยผู้นี้จะมีไอสังหารเข้มข้นปานนี้
“นั่นคือกองสรรหา คนที่ต้องการตามล่าสมาชิกเผ่าปีศาจในแดนเซิ่งยวนมักจะออกกันไปเป็นกลุ่ม ไม่เช่นนั้นโอกาสที่จะมีชีวิตรอดจะน้อยยิ่งนัก”
“ดังนั้นทุกคนที่มาสมัครที่นี่ล้วนมีฝีมือใช้ได้ ไม่เคยขาดจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเลย…” ชื่อเหยียนอธิบายขณะเดินเข้าไปที่ส่วนลึกของหอ มีโต๊ะกั้นพร้อมกับหน้าจอแสงกะพริบอยู่ตลอดเวลา ชัดว่ามีหลักการทำงานเหมือนกับศิลาสังหารปีศาจด้านนอก
ผู้อาวุโสสวมชุดสีเทาคนหนึ่งนั่งขี้เกียจอยู่ที่โต๊ะกั้น ท่าทางง่วงเหงาหาวนอน ราวกับว่าไม่สามารถตื่นได้เกือบตลอดเวลา
“ปัง!”
ฝ่ามือของชื่อเหยียนกระแทกไปบนโต๊ะ เสียงร้องตะโกนออกมาว่า “แพะแก่ขี้เซาหยุดนอน เริ่มทำงานได้แล้ว!”
ชายชราชุดสีเทาสะดุ้งโหยง เปิดตาขึ้นเล็กน้อยมองชื่อเหยียน “แพะแก่ขี้เมา แกตะโกนหาอะไร! ยังไม่ตายอีกเหรอ?”
“ฮ่าๆ ข้าตายหลังแกแน่นอน ฟันธง” ชื่อเหยียนตอบแบบไม่สน ก่อนโบกมือให้พวกมู่เฉินเดินเข้ามา “เอาป้ายสังหารปีศาจให้พวกเขาหน่อย”
“อ่า แพะแก่คนนี้เป็นผู้ดูแลสาขานี้” เวลาเดียวกันเขาก็แนะนำชายชราชุดเทาให้กับพวกมู่เฉินรู้จัก
เมื่อมู่ทั้งสี่ได้ยิน หัวใจก็เต้นไม่เป็นส่ำ ไม่คิดว่าชายแก่ที่ดูไม่สะดุดคนนี้จะเป็นผู้ดูแล หากชื่อเหยียนไม่ได้บอก พวกเขาคงคิดว่าชายชราคนนั้นเป็นพนักงานต้อนรับธรรมดา
แต่ละคนกวาดมองชายชราด้วยความอยากรู้ ทว่าไม่มีความแปรปรวนของคลื่นพลังงานใดๆ จากร่างชายชราเลย เขาดูเหมือนคนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกขุมพลังมาก่อน
แต่ชัดว่าไม่ใช่อย่างที่เห็นแน่นอน…
ถ้าเป็นเช่นนี้การที่สามารถดึงพลังงานกลับคืนจนถึงจุดที่ไม่มีการรั่วไหลใดๆ นี่เป็นสิ่งที่เพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่ทำได้ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่สามารถทำได้
มู่เฉินและคนอื่นๆ แลกเปลี่ยนสายตาด้วยหัวใจสั่นไหว ไม่น่าแปลกใจที่ชื่อเหยียนบอกว่าอย่าถือว่าวังมหาพันภพเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็น่ากลัวเช่นกัน
ชายชราจ้องมองที่กลุ่มมู่เฉิน ก่อนจะมองชื่อเหยียนด้วยความประหลาดใจ “เจ้าแพะแก่ดูเหมือนว่าเจ้ามาตามหาวิชาช่องแสงวิญญาณอีกแล้วสินะ แต่คนทั้งหมดที่เจ้าเลือกท่าทางบ่มิไก๊สักเท่าไรนะ”
ใบหน้าของชื่อเหยียนมืดครึ้มทันที “พูดราวกับว่าคนอื่นประสบความสำเร็จไปแล้ว!”
ชายชราชุดเทายิ้มกริ่ม “ข้าแค่แปลกใจว่าทำไมเจ้าถึงเลือกแม่นางน้อยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นมาเช่นนี้”
เขาบอกได้ทันทีว่าลั่วหลีเป็นคนที่ถูกเลือกโดยชื่อเหยียน ไม่ใช่อีกสามคน
ชื่อเหยียนยิ้มกริ่ม “การได้รับวิชาช่องแสงวิญญาณนั้นไม่ได้พึ่งพาแค่ความแข็งแกร่ง แต่ต้องดูที่พรสวรรค์และโชคชะตา แม่นางน้อยคนนี้เหมาะสมที่สุดที่ข้าเลือกมาเลยทีเดียว”
“เหรอ?” ชายชราชุดทำเสียงกังขา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาโบกมือพวกมู่เฉินก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ปลายนิ้ว ก่อนที่เลือดสี่หยดจะลอยไปหาชายชราชุดเทา
ทั้งสี่อดไม่ได้ที่จะสีหน้าเปลี่ยนแปลง ขณะที่พวกเขามองชายชราชุดเทาด้วยความหวาดผวา ชัดว่าวิธีกลั่นเลือดจากพวกเขาของชายผู้นี้ครอบงำนัก
ชายชราชุดเทาเมินการป้องกันพลังงานของพวกเขาอย่างเต็มที่ ควบคุมเลือดในร่างกายของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
“ฮ่าๆ”
ชายชรายิ้มจากนั้นก็สะบัดนิ้ว แสงหลิงสี่สายบินออกมา ห่อหุ้มเลือดสี่หยดเอาไว้ ก่อนจะรวมตัวเป็นป้ายสี่ป้ายบินกลับไปที่กลุ่มของมู่เฉิน
เมื่อพวกเขารับป้ายมาก็เห็นว่าป้ายนี้มีสีดำที่มีตัวอักษร “สังหารปีศาจ” สีแดงเข้มสลักอยู่บนนั้น ข้างใต้ปรากฏตำแหน่งมือสังหารขั้นต่ำ
“ถ้าเจ้าฆ่าเผ่าปีศาจคนหนึ่งก็ให้ทำลายวิญญาณของพวกมันและนำไปใส่ในป้ายสังหารปีศาจนี่ เพื่อรับคะแนนสังหารที่สอดคล้องกัน นอกจากนี้เนื่องจากป้ายนี้สร้างจากเลือดกลั่นของพวกเจ้า จึงมีเพียงพวกเจ้าเองเท่านั้นที่สามารถตรวจสอบคะแนนที่ได้รับได้ ดังนั้นไร้ประโยชน์มากแม้ว่าคนอื่นจะขโมยไป” ชายชราชุดเทาอธิบาย
ฟังรายละเอียดเกี่ยวกับป้ายสังหารปีศาจ ทั้งสี่ก็ประสานมือคารวะให้ชายชรา “ขอบคุณอาวุโส”
เมื่อเห็นว่าทั้งสี่ได้รับป้ายเรียบร้อยแล้ว ชื่อเหยียนก็หันไปพูดกับชายชราว่า “เจ้าแพะเก่าขี้เซา มีกลุ่มไหนมาที่แดนเซิ่งยวนแล้วมั่ง?”
ชายชรายกเปลือกตาขึ้นหัวเราะเบาๆ “นั่นไง มาแล้วหนึ่ง ไหนข้าดูหน่อยซิ เหมือนจะเป็นสมาชิกตระกูลเวินแห่งเขตเหนือ… ”
ชื่อเหยียนหันกลับไปก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในหอ หญิงชราคนหนึ่งสวมชุดแดงเยื้องย่างเข้ามา ท่าทางที่ชักช้านั้นกลับทำให้ดวงตาของชื่อเหยียนหดลง
“นั่นแม่เฒ่าเหอจากตระกูลเวิน…”
มู่เฉิน ลั่วหลีและคนอื่นๆ ก็เงยหน้าขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น คนที่เข้ามามีรัศมีไม่ธรรมดา เมื่อสายตาของพวกเขามองข้ามผ่านหญิงชราก็เห็นเงาร่างเพรียวบางกระแทกเข้ามาในครรลองสายตา
แม้ว่าจะผ่านมาหลายปี แต่ก็ยังเป็นภาพเงาที่คุ้นเคย
มู่เฉินและลั่วหลีตาโตขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากัน ใบหน้าของทั้งสองแปลกไปเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้พบกับคนคุ้นเคยหลังจากผ่านไปหลายปี…
บทที่ 1290 วังมหาพันภพ ราชันสังหารปีศาจ
“ขั้วอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ?”
หัวใจของพวกมู่เฉินสั่นรัวเมื่อได้ยินประโยคนี้จากชื่อเหยียน แต่ละคนแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ขุมกำลังนี้ทรงพลังยิ่งกว่าเผ่าโบราณทั้งห้าและขั้วอำนาจอื่นๆ ในมหาพันโลกอีกเหรอ?
“ไม่ทราบว่าใครเป็นประมุขวังมหาพันภพ?”
มู่เฉินอดถามขึ้นมาไม่ได้ การที่จะสามารถสร้างขุมกำลังที่น่าสะพรึงกลัวดังกล่าว เจ้าวังจะต้องเป็นสุดยอดจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพันภพล่ะมั้ง?
“ปัจจุบันวังมหาพันภพไม่มีประมุข… แต่ในสมัยโบราณมีอยู่คนหนึ่งซึ่งก็คือเทพจักรพรรดินิรันดร์” ชื่อเหยียนส่ายหัวไปมา
“เทพจักรพรรดินิรันดร์?”
ม่านตาของมู่เฉินหดลงในทันที เนื่องจากตัวเขารู้จักเทพจักรพรรดินิรันดร์จากจักรพรรดิฟ้าที่เคยฝึกฝนร่างมหาเทพนิรันดร์
เพียงแต่มู่เฉินไม่คิดว่าจอมยุทธ์ผู้นี้จะเป็นผู้ก่อตั้งวังมหาพันภพขึ้น
“แต่ทำไมพวกเราไม่ได้ยินเรื่องขั้วอำนาจนี้ในมหาพันภพเลย?” หลิงซีรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงได้เอ่ยถาม
ชื่อเหยียนหัวเราะร่วน “เพราะนี่คือขั้วอำนาจที่จะมีอยู่จริงก็ต่อเมื่อเผชิญหน้ากับการรุกรานของเผ่าปีศาจต่างมิติ ในเวลาที่สงบสุขเช่นนี้วังมหาพันภพก็เป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น”
กลุ่มมู่เฉินเข้าใจถ่องแท้ ที่แท้วังยิ่งใหญ่นี้ก็ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อประจัญบานกับเผ่าปีศาจต่างมิติโดยเฉพาะ แต่ทำไมถึงเป็นขุมกำลังทรงพลังที่สุดในมหาพันภพกัน?
“ตามกฎที่สืบทอดมาตั้งแต่โบราณ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนส่วนใหญ่ในมหาพันภพจะถูกจดบันทึกไว้ในวังแห่งนี้ หลังจากการตรวจสอบ พวกเขาก็จะกลายเป็นอาคันตุกะของวังที่ยิ่งใหญ่นี้”
“และจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโส แต่ถ้าในกรณีที่มหาพันภพต้องเผชิญกับอันตราย อาคันตุกะผู้ทรงเกียรติและผู้อาวุโสของวังก็ไม่จำเป็นต้องรับหน้าที่อะไร”
“การรวมตัวเช่นนี้ถือว่าทรงพลังที่สุดในมหาพันภพหรือยัง?” ชื่อเหยียนมองทั้งสี่แบบล้อเล่น
มุมปากของมู่เฉินกระตุก ที่แท้ฉายาขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดก็ได้มาเพราะเหตุนี้ แต่หลังจากที่คิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง เขาก็รู้สึกได้ว่าวังมหาพันภพน่ากลัวเพียงใด นั่นเป็นเพราะในระดับหนึ่งวังนี้ก็คล้ายกับพันธมิตรมหาพันภพนั่นเอง เมื่อมหาพันภพเผชิญหน้ากับอันตราย พวกเขาก็จะรวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับศัตรู
ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน พลังที่เป็นหนึ่งเดียวกันจะยิ่งใหญ่ที่สุดเสมอ
เผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่แข็งแกร่งอย่างจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ มหาพันภพต้องรวมตัวกันเพื่อต่อกรกับศัตรู ดังนั้นสามารถบอกได้ถึงการมองการณ์ไกลของเทพจักรพรรดินิรันดร์ผู้ก่อตั้งวังแห่งนี้
“แม้ว่าวังมหาพันภพจะเป็นเพียงสัญลักษณ์ในตอนนี้ แต่ก็อย่าประมาท พลังที่ครอบครองยังคงเกินจินตนาการของพวกเจ้า เพียงแค่ปกติไม่ค่อยได้แสดงให้เห็นเท่านั้น”
“นอกจากนี้วังแห่งนี้ยังมีสถานะสูงส่งในมหาพันภพ แม้แต่เผ่าโบราณก็ต้องสุภาพต่อสมาชิก บางครั้งแค่ตำแหน่งอาคันตุกะของวังก็น่ากลัวยิ่งกว่าผู้อาวุโสเผ่าโบราณทั้งห้าซะอีก”
เมื่อพูดถึงอาคันตุกะ ชื่อเหยียนก็ดูภูมิใจ ดูท่าตัวเขาก็คงเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
เมื่อพูดถึงจุดนี้ชื่อเหยียนก็เหลือบมองไปที่มู่เฉิน “ถ้าเจ้าได้เป็นอาคันตุกะของวังนี้ แม้แต่เผ่าฝูถูก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดดังกล่าว เขาก็ส่ายหัวอย่างจนใจ การเป็นอาคันตุกะหมายถึงตัวเขาจะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก่อน และถ้าเขาบรรลุขุมพลังดังกล่าวจริงละก็ เขาจะกลัวเผ่าฝูถูไปทำไม?
ชื่อเหยียนรู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไรอยู่ เขาคลี่ยิ้ม “การเป็นอาคันตุกะของวังไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเสมอไป”
“หืม?”
มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ หมายถึงมีวิธีอื่นเหรอ? ตำแหน่งในวังสูงตระหง่านในมหาพันภพนัก หากสามารถเป็นอาคันตุกะได้และไม่ถูกจำกัด เห็นได้ชัดว่าเป็นบางสิ่งที่เป็นประโยชน์โดยไม่มีอันตรายใดๆ แฝง
ชื่อเหยียนชี้ไปที่ศิลาสังหารปีศาจ
มู่เฉินมองตามไป ก่อนหน้านี้เขาได้แต่ตกใจเมื่อเห็นชื่อวังมหาพันภพ ตอนนี้พอมองไปที่นั่นอีกครั้งถึงได้เห็นรายชื่อที่ปรากฏขึ้นบนศิลา
แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดคือชื่อที่อยู่ด้านบนที่วาววับด้วยแสงสีม่วงทองเปล่งรัศมีที่น่าขนลุกภายใต้แสงอาทิตย์
ราชันสังหารปีศาจ—ฉิงเทียน
ชื่อที่อยู่ด้านบนสุดของแผ่นศิลาประหนึ่งจักรพรรดิ ผู้คนมากมายมองดูชื่อด้วยดวงตาเปล่งประกายด้วยความเคารพ
ใต้ชื่อฉิงเทียนมีชื่อนับไม่ถ้วนกะพริบวูบวาบ
มือสังหารปีศาจขั้นสูง—หลิวตี้เฟิง
มือสังหารปีศาจขั้นสูง—หลู่ซัน
…
มือสังหารปีศาจขั้นกลาง—ลู่หลิงหยู่
…
มือสังหารปีศาจขั้นต้น—หลู่ซู
…
มีชื่อมากมายสลักอยู่บนศิลาสังหารปีศาจ นอกจากนี้เหมือนยังมีชื่อโผล่มาอยู่เรื่อยซึ่งระดับหน้าชื่อก็ได้เปลี่ยนแปลงไป
มู่เฉินมองศิลาสังหารปีศาจเป็นเวลานาน ก่อนจะเหลียวหาชื่อเหยียน ชัดว่าไม่แน่ใจเกี่ยวกับประโยชน์ของมัน
“ทุกคนที่เข้ามาในทวีปเซิ่งยวนจะได้ป้ายสังหารปีศาจจากวังมหาพันภพ ทุกครั้งที่สามารถฆ่านักรบปีศาจได้ ก็จะได้รับรางวัลเป็นคะแนนสังหาร ซึ่งสามารถแลกเป็นสมบัติในวังได้ มิหนำซ้ำตราบใดที่เจ้ามีคะแนนมากพอก็สามารถแลกเปลี่ยนได้กระทั่งวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดหรือร่างเทห์สวรรค์ที่อยู่ในยี่สิบอันดับแรก!”
“สามารถแลกวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอด?” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะตะลึง เขารู้ดีว่าแม้วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดจะไม่ติดในสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน แต่กระนั้นวิชาเหล่านี้ก็ไม่ธรรมดา จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนส่วนใหญ่ก็ใช่ว่าจะมีในครอบครอง
แต่ตอนนี้วังมหาพันภพกลับสามารถให้พวกเขาแลกด้วยคะแนนสังหาร นี่จะไม่ทำให้ผู้คนตกตะลึงได้อย่างไร
ไม่ต้องพูดถึงยี่สิบอันดับแรกของร่างเทห์สวรรค์ที่ยิ่งน่าตกใจกว่าเดิม เพราะร่างเทห์สวรรค์แบบนั้นหายากยิ่งกว่ายาก!
“ตามกฎของวัง ตราบใดที่คะแนนสูงถึงพันคะแนนก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งมือสังหารปีศาจขั้นต้นเป็นขั้นกลาง สามพันคะแนนจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นมือสังหารขั้นสูงและจะสามารถเป็นอาคันตุกะของวังได้ แม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ตาม”
เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายนี้ มู่เฉินก็ได้เข้าใจว่านี่คือสิ่งที่ชื่อเหยียนสื่อถึง ตราบใดที่เขามีคะแนนสังหาร เพียงพอ เขาก็จะสามารถเป็นอาคันตุกะของวังมหาพันภพได้
แต่ดูเหมือนว่าการจะได้รับสามพันคะแนน ไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากมู่เฉินสังเกตเห็นว่าจำนวนมือสังหารขั้นสูงมีไม่เกินยี่สิบคน
“ตามกฎการฆ่าสมาชิกเผ่าปีศาจระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นจะได้รางวัลห้าสิบคะแนนสังหาร หนึ่งร้อยคะแนนสำหรับระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย และสองร้อยคะแนนสำหรับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม… พวกนักรบปีศาจระดับแม่ทัพจอมพลมีค่าสามพันคะแนน นักรบราชันปีศาจที่มีพลังเทียบเท่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนมีห้าพันคะแนน สุดท้ายการสังหารนักรบราชันปีศาจระดับเทียนจะได้ถึงหมื่นคะแนน”
เมื่อได้ยินคำพูดของชื่อเหยียน กลุ่มมู่เฉินก็ตะลึง พวกเขาคาดไว้แล้วว่าคะแนนสังหารคงจะไม่ง่ายต่อการได้รับ แต่พวกเขาไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องยากเพียงนี้
จากการคำนวณ พวกเขาจะต้องสังหารระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นยี่สิบคนหรือระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายสิบคนถึงจะได้ตำแหน่งมือสังหารขั้นกลาง?
สำหรับการไปถึงมือสังหารขั้นสูง พวกเขาจะต้องฆ่าสมาชิกเผ่าปีศาจต่างมิติสิบห้าคนที่มีขุมพลังเทียบเท่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
นี่ปีศาจนะ ไม่ใช่โรงฆ่าไก่ ดังนั้นพวกเขาจะประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร?
ดังนั้นบอกได้เลยว่ายากแค่ไหนที่จะได้ตำแหน่ง ไม่น่าแปลกใจที่มีรายชื่อมือสังหารปีศาจขั้นสูงเพียงยี่สิบคนเท่านั้น ไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาใช้เวลานานแค่ไหนในการสะสมจนถึงตอนนี้
มู่เฉินปาดเหงื่อบนหน้าผากถามว่า “ถ้างั้นต้องมีคะแนนสังหารเท่าไรถึงจะเข้าสู่ตำแหน่งราชันสังหารปีศาจน่ะ?”
“ราชันสังหารปีศาจเหรอ” ชื่อเหยียนถอนหายใจ “จริงๆ แล้วเป็นเรื่องง่ายเพียงมีหนึ่งหมื่นคะแนนสังหาร ก็แค่ฆ่านักรบราชันปีศาจระดับเทียนสักตัว”
พวกมู่เฉินรู้สึกว่าหนังหัวเจ็บจี๊ดไปหมด ฆ่านักรบราชันปีศาจระดับเทียน? พูดฟังดูง่ายเนอะ การมีอยู่ในระดับนั้นเป็นสุดยอดนักรบ การสูญเสียคนหนึ่งจะส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ต่อทั้งมหาพันภพหรือเผ่าปีศาจเลยทีเดียว
“ผู้อาวุโส แล้วฉิงเทียนคนนั้นฆ่านักรบราชันปีศาจระดับเทียนได้เหรอ?” ลั่วหลีอดถามไม่ได้
“ฉิงเทียนเหรอ”
ใบหน้าของชื่อเหยียนเปล่งประกายด้วยความนับถือขณะที่กล่าว “หลายปีก่อนตอนที่ฉิงเทียนยังเยาว์วัยเหมือนพวกเจ้า เขานำทีมเข้าสู่ทวีปเซิ่งยวนเพื่อฝึกฝน แต่เนื่องจากพวกเขาพบสมาชิกเผ่าปีศาจ กลุ่มของเขาถูกฆ่าล้าง ทุกคนเสียชีวิตหมดยกเว้นฉิงเทียนที่รอดมาได้”
“หลังจากนั้นเขาก็อยู่ในทวีปเซิ่งยวนไปตลอดสองร้อยปี ช่วงเวลานั้นเขาเหมือนคนบ้าไปทุกที่ที่มีข่าวการปรากฏตัวของเผ่าปีศาจ”
“ระหว่างสองร้อยปีนั้น เขาก็บรรลุระดับเทียนจื้อจุน หลังจากนั้นเขาก็โชคร้ายถูกส่งไปยังโลกปีศาจ ขณะที่ทุกคนคิดว่าเขาไม่มีโอกาสกลับมา จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวพร้อมกับศพของราชันปีศาจ”
“หลังจากนั้นเขาก็ได้รับตำแหน่งราชันสังหารปีศาจคนแรกตั้งแต่ยุคโบราณ… และไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้”
เมื่อชื่อเหยียนจบคำพูด พวกมู่เฉินก็ตะลึงงันเป็นเวลานาน ก่อนที่จะอดแลกเปลี่ยนสายตากันไม่ได้ พวกเขาเห็นความตกใจในแววตาของกันและกัน
ความสำเร็จเช่นนี้
ราชันสังหารปีศาจผู้นี้เป็นจอมยุทธ์ยอดเยี่ยมแท้จริง!
บทที่ 1289 ทวีปเซิ่งยวน
ทวีปเซิ่งยวนอยู่ทางตะวันตกไกลโพ้นของมหาพันภพ
ในระดับหนึ่งที่นี่ไม่นับว่าเป็นทวีปได้เต็มปาก แต่เป็นพิภพเขตล่างที่พัฒนาขึ้นจนเป็นมิติที่สามารถเชื่อมโยงกับมหาพันภพได้
ในสมัยโบราณทวีปเซิ่งยวนนี้เป็นหนึ่งในสมรภูมิตัดสินเด็ดขาดระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ
ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่ามีจอมยุทธ์กี่คนที่ละร่างไว้ในทวีปเซิ่งยวนแห่งนี้ แม้แต่จำนวนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็เกินมือสองข้างนับ มีวิทยายุทธระดับเสินทงนับไม่ถ้วน แม้แต่อาวุธมหสวรรค์ก็สูญหายไปในนั้น ตลอดช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ทว่าก็มีคนที่โชคดีได้รับมรดกบางอย่างและเปลี่ยนจากคนไม่มีใครรู้จักเป็นจอมยุทธ์โด่งดัง…
เนื่องจากกรณีนี้ในอดีต ทำให้มีผู้คนมากมายในมหาพันภพต้องการลองเสี่ยงโชคดู…
ทว่าแม้ทวีปเซิ่งยวนจะมีปาฏิหาริย์ แต่อันตรายในนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้เช่นกัน เนื่องจากการสงครามสมัยโบราณทำให้มิติที่นี่ไม่มีเสถียรภาพ เกิดสภาพแวดล้อมโหดร้ายทุกประเภท ดังนั้นแม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มที่ประมาทก็อาจถูกทำลายได้
นอกจากนี้ที่อันตรายที่สุดคือยังมีพวกเผ่าปีศาจปรากฏในทวีปแห่งนี้…
ในสมัยโบราณทวีปเซิ่งยวนถูกครอบครองโดยเผ่าปีศาจ ดังนั้นพวกปีศาจจึงมีเส้นทางเข้าไปในทวีปนี้ตามธรรมชาติ
เป้าหมายของพวกมันก็คล้ายกับจอมยุทธ์มหาพันภพ พวกมันก็มีเหล่านักรบชั้นเยี่ยมที่ทิ้งร่างลงในสมัยโบราณ ดังนั้นพวกมันจึงพยายามที่จะค้นหารับมรดกเพื่อทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้ทวีปเซิ่งยวนเป็นสถานที่เชื่อมโยงระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจ ช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายปะหน้ากัน พวกเขาจะฟัดกันไม่ยั้งจนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะตาย…
ในระดับหนึ่งทวีปเซิ่งยวนก็ถือว่าเป็นแนวหน้าของมหาพันภพกับเผ่าปีศาจเลยทีเดียว
เมื่อพวกมู่เฉินมาถึงทวีปเซิ่งยวนเวลาสองเดือนก็ผ่านไปแล้ว
ระยะทางที่ยาวนานนี้แม้แต่มู่เฉินก็อึ้งไปเล็กน้อย
ตลอดทางพวกเขาพึ่งพาการข้ามมิติของชื่อเหยียนในการเดินทาง แม้ว่าจะไม่เร็วเท่าการผ่านค่ายกลเคลื่อนย้าย แต่มีข้อดีที่ไม่ต้องวิ่งวุ่นตามหาค่ายกลเคลื่อนย้าย
แน่นอนว่าวิธีการเดินทางนี้มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอย่างชื่อเหยียนที่สามารถทำได้ หากพวกเขาต้องเดินทางด้วยตัวเอง คงต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอีก
“ที่นี่เหรอทวีปเซิ่งยวน?”
มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขารกร้างขณะมองไกลออกไป มีแต่เพียงความมืดเข้ามาในครรลองสายตา ราวกับว่าบริเวณนี้ถูกบีบกดไว้
คลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินเหมือนดิ่งลง ไม่มีชีวิตชีวาเท่ากับทวีปอื่นๆ ของมหาพันภพ
เมื่อเทียบกับมหาพันภพ เป็นเรื่องยากสำหรับทุกคนที่จะซึมซับคลื่นหลิงที่นี่เข้าไป
สายฟ้าสีแดงเข้มแล่นแปลบปลาบในบางครั้ง รอยแตกพล่านไปทั่วพื้นดิน ซึ่งอัดแน่นด้วยความผันผวนรุนแรงที่อาจทำให้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังหวาดกลัวได้
ทวีปแห่งนี้ดูเหมือนจะถูกห่อหุ้มด้วยความรุนแรง เต็มไปด้วยอันตรายทุกฝีก้าว
“เมื่อนานมาแล้วทวีปเซิ่งหลิงเป็นสถานที่ในการฝึกฝน แต่ต่อมาถูกครอบครองโดยเผ่าปีศาจและถูกปนเปื้อนโดยรัศมีปีศาจ แม้ว่ามหาพันภพจะพยายามที่จะชำระล้างหลายครั้ง แต่ก็ยังคงยากมากสำหรับที่นี่ที่จะกลับคืนสู่สถานะเดิม” ชื่อเหยียนถอนหายใจอยู่ข้างๆ
มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ถอนหายใจด้วย จักรวรรดิปีศาจต่างมิติถือได้ว่าเป็นศัตรูของมวลมนุษย์ในมหาพันภพ เนื่องจากวิธีการของพวกมันครอบงำมากเกินไป ภายใต้การปนเปื้อนของไอปีศาจ แม้แต่คลื่นหลิงก็จะสูญเสียไป เมื่อเวลาผ่านไปคลื่นหลิงในมหาพันภพก็อาจจะสูญพันธุ์
“ผู้อาวุโสแดนเซิ่งยวนอยู่ในทวีปนี่เหรอขอรับ?” มู่เฉินถาม
ชื่อเหยียนพยักหน้า “นี่เป็นเพียงชั้นนอกของทวีปเซิ่งยวน ส่วนแดนเซิ่งยวนอยู่บริเวณใจกลางทวีป ซึ่งมิติบริเวณนั้นได้แตกสลายและถูกห่อหุ้มด้วยพายุมิติกาลเวลา เราต้องรอให้พายุอ่อนตัวลงก่อน ข้าถึงจะส่งพวกเจ้าเข้าไปได้”
แม้แต่ชื่อเหยียนก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียดเมื่อพูดเกี่ยวกับพายุนั้น
มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็แอบเดาะลิ้น เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าพายุนั่นทรงพลังเพียงใดถึงทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหวาดผวาได้
“ที่จริงพลังทำลายล้างพายุเป็นเรื่องรองนะ เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าคือมีความเป็นไปได้ที่จะส่งเราไปยังโลกปีศาจ” ชื่อเหยียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นท่าท่างของทั้งสี่
“ทวีปนี้เป็นจุดตัดระหว่างมหาพันภพกับจักรวรรดิปีศาจ ดังนั้นต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็มีโอกาสตายที่นี่ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว”
ในเวลานี้มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็รู้ว่าทำไมชื่อเหยียนจึงหวาดกลัว เพราะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ทรงพลังยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี หากพวกเขาถูกส่งไปยังโลกปีศาจและเผชิญหน้ากับเหล่าราชันปีศาจอีกด้านหนึ่ง
“ลำดับแรกเราแวะที่เมืองเซิ่งยวนก่อน ที่นั่นเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเซิ่งยวน”
ชื่อเหยียนโบกมือ คลื่นหลิงก็ห่อหุ้มทั้งสี่คนเอาไว้ ก่อนที่พวกเขาจะเปลี่ยนเป็นลำแสงสีแดงเข้มพุ่งทะลุผ่านสายฟ้าหนาสีแดงเข้มไป
แม้ว่าทวีปเซิ่งยวนจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ตราบใดที่พวกเขาไม่พบกับพายุมิติกาลเวลา ชื่อเหยียนก็สามารถพุ่งทะลุผ่านอุปสรรคนานัปการด้วยความแข็งแกร่งที่มี
ภายใต้การนำของชื่อเหยียน ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงทุกคนก็ค่อยๆ เห็นโครงสร้างของเมืองใหญ่ปรากฏในสายตา
เมื่อฟ้าดินที่มืดมิด ทำให้เมืองนี้ดูราวกับสัตว์อสูรมหึมาหมอบบนพื้น ซึ่งปลดปล่อยแรงกดดันที่ไม่อาจพรรณนาได้
ขณะที่พวกเขาเข้าใกล้ มู่เฉินก็พบว่ามีปราการขนาดมหึมาล้อมรอบเมืองทั้งเมือง ก่อให้เกิดความผันผวนของพลังงานหลิงที่น่าสะพรึงกลัว
“นั่นค่ายกลระดับต้าจงซือ!”
หัวใจของมู่เฉินอดสั่นไหวไม่ได้เมื่อมองปราการ จากความสำเร็จในปัจจุบันของเขาในฐานะหลิงเจิ้นจงซือ เขาสามารถบอกได้ว่านี่เป็นค่ายกลระดับต้าจงซือเพียงแค่เหลือบตามองครั้งเดียว
นอกจากนี้ค่ายกลก็ไม่ได้อ่อนแอ แม้แต่ในระดับต้าจงซือก็ตาม
“ค่ายกลนี้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้เฒ่าเทียนเจิ้นในสมัยโบราณ ฮ่าๆ ผู้อาวุโสคนนี้เป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เขาก็อยู่ในอันดับต้นๆ”
“ต่อให้ข้าจะใช้กำลังเต็มที่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายมัน” ชื่อเหยียนยิ้ม
“หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง?!”
ทั้งสี่คนตกตะลึง โดยเฉพาะมู่เฉินกับหลิงซี ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกศาสตร์ค่ายกลพวกเขารู้ว่าบุคคลที่เรียกว่า ‘หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง’ น่ากลัวเพียงใด
เพราะระดับหลิงเจิ้นต้าจงซือก็แบ่งออกได้เป็นสามขั้นเหมือนระดับเทียนจื้อจุนได้แก่ หลิง-เซียน-เซิ่ง สำหรับหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเลยทีเดียว
นั่นคือการดำรงอยู่ของจุดสุดยอดในมหาพันภพ
“ไม่น่าแปลกใจที่ข้าจะอนุมานไม่ได้ ถ้าข้าฝืนหัวใจก็จะอ่อนล้าเต็มที” หลิงซีถอนหายใจ ในฐานะหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน นางสามารถหาช่องโหว่ของค่ายกลทั่วไปได้เพียงมองในแวบเดียว ทว่าหากนางฝืนผ่านค่ายกลนี้ นางอาจจะถูกโจมตีกลับ
“ทวีปเซิ่งยวนเป็นจุดเชื่อมต่อกับจักรวรรดิปีศาจ เมืองเซิ่งยวนนี้มีหน้าที่ในการจับตามองและข่มขู่ ดังนั้นจึงต้องใช้พลังปกป้องที่แข็งแกร่งที่สุด” ลั่วหลีพยักหน้าขณะอธิบาย
“ไปกันเถอะ”
ชื่อเหยียนพยักหน้า จากนั้นเขาก็พาทั้งสี่เข้าไปในเมืองใหญ่อย่างรวดเร็ว ผ่านเข้าสู่ปราการแสงที่ปล่อยความผันผวนรุนแรง
ขณะที่ผ่านแถวแสง มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นลึกล้ำสำรวจร่างกายของเขา ภายใต้การสำรวจความลับใดๆ ที่เขาครอบครองก็จะถูกเปิดเผยทันที
มู่เฉินรู้ว่านี่จะต้องเป็นการตรวจสอบ ถ้าพบเผ่าปีศาจเมื่อไรก็จะเกิดการโจมตีทำลายล้างทันที
เมื่อทั้งหมดร่อนลงในเมือง มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ตระหนักว่าเมืองนี้รุ่งเรืองและคึกคักนักจนคาดไม่ถึง ถนนเต็มไปด้วยเสียงที่พวยพุ่งขึ้นสู่ก้อนเมฆ
นอกจากนี้กลุ่มของมู่เฉินยังตระหนักว่ามีคนมากกว่าครึ่งหนึ่งที่มีความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลัง สามารถระบุได้ว่าพวกเขามาถึงระดับตี้จื้อจุนแล้ว…
แต่ในไม่ช้าเขาก็คิดได้ว่าคนที่กล้ามาที่นี่จะอ่อนแอได้อย่างไร?
สายตาของพวกเขากวาดไปที่ใจกลางเมือง แผ่นศิลาโบราณขนาดมหึมายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ
ศิลากระจายความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง มีอักษรสีแดงเข้มสลักที่จุดสูงสุด วูบไหวด้วยแสงสีแดงสด เปล่งรัศมีเยือกเย็นจนน่าขนลุก
“ที่ประกาศเกียรติคุณ—ศิลาสังหารปีศาจ!”
นอกจากนี้ด้านข้างยังมีตัวอักษรทองคำแถวหนึ่งที่เปล่งออกมาอย่างไม่อาจพรรณนาได้
“จัดตั้งโดยวังมหาพันภพ”
“วังมหาพันภพ?”
สายตาของมู่เฉินสั่นไหวขณะที่พึมพำ “ใช้ชื่อมหาพันภพเลยเหรอ? ขั้วอำนาจอะไรกัน? ครอบงำเชียว”
ชื่อเหยียนเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดสายหนึ่งขณะที่มองชื่อวังมหาพันภพแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “แน่นอนพวกเขาครอบงำนัก เพราะในมหาพันภพนี่คือการดำรงอยู่ที่เหนือล้ำยิ่งกว่าทุกขั้วอำนาจและเผ่าโบราณ…”
“ขั้วอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ…”
บทที่ 1288 สองค่ายกล
อีกหนึ่งเดือนต่อมา
มู่เฉินที่อยู่ในคุกก็เปิดดวงตาขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับเผยความเปล่งประกายที่ดูลึกราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ดวงตาของเขาสั่นไหวก่อนกลับมาเป็นปกติ
ฮา
ลมหายใจขาวขุ่นพรูออกมาจากปาก แต่ก็ไม่ได้จางหาย กลับรวมตัวกันที่เบื้องหน้ากลายเป็นค่ายกลขนาดเล็กจิ๋ว
แม้จะเป็นค่ายกลที่เรียบง่าย แต่นี่ถูกสร้างขึ้นด้วยลมหายใจของมู่เฉิน เพียงแค่นี้ก็สามารถบอกได้ว่ามู่เฉินได้รับพัฒนาการเพิ่มขึ้นมหาศาลกับความสำเร็จด้านค่ายกล
ในอดีตเขาไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน!
“แต่น่าเสียดายที่ยังห่างจากหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนอยู่ครึ่งก้าว”
มู่เฉินมองค่ายกลที่ก่อตัวจากหมอกสีขาวที่ค่อยๆ หายไปก็ถอนหายใจอย่างเสียดาย ทว่าความเสียดายครั้งนี้กินเวลาเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะหายไป
เนื่องจากมู่เฉินสัมผัสได้ถึงการยกระดับอันน่าทึ่งจากความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับค่ายกลในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา นี่ไม่ง่ายอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้ที่จะเข้าไปในขอบเขตหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนได้
แต่เขามีลางสังหรณ์ว่าตราบใดที่เขาเรียนรู้ประสบการณ์ที่มารดามอบให้ไปเรื่อยๆ การบรรลุเป็นหลิงเจิ้นจงซือก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา
ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าเขาจะไม่สร้างความก้าวหน้า แต่เขาก็รู้ว่าตอนนี้ตนเองมีคุณสมบัติใช้ค่ายกลระดับจงซือขั้นสูงได้แล้ว เพียงแต่ว่าโอกาสในการล้มเหลวจะสูงขึ้น
ดังนั้นโดยภาพรวมเขาได้รับประโยชน์มากมายจากครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้สามารถบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนได้ในอีกไม่ช้า แต่เขายังเริ่มเข้าใจถึงทิศทางของการเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซืออีกด้วย นี่จะเป็นประโยชน์มหาศาลและช่วยเขาแก้ปัญหามากมายในอนาคต
ยิ่งกว่านั้นมารดายังทิ้งสิ่งที่สำคัญสองอย่างไว้ให้เขา ภาพค่ายกลสองภาพ
ภาพแรกเป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง—ค่ายกลเพลิงคำราม
ส่วนภาพที่สองน่ากลัวยิ่งกว่าซึ่งเป็นค่ายกลระดับต้าจงซือ
ค่ายกลฆาตตะวัน!
เพียงแค่ชื่อก็ทำให้มู่เฉินต้องแอบเดาะลิ้นแล้ว แต่เขาก็ปรารถนาที่จะรู้ถึงพลังทำลายล้างของค่ายกลนี้เสียจริง
เพราะค่ายกลระดับนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังต้องหวาดกลัว
น่าเสียดายที่เขาสามารถเข้าใจค่ายกลระดับจงซือและลองสร้างได้เท่านั้น ส่วนค่ายกลระดับต้าจงซือ มู่เฉินถึงกับหัวใจสั่นสะท้านตั้งแต่การมอง ไม่ต้องพูดถึงการลองสร้าง กระทั่งวิถีการฝึกก็ยังไม่สามารถมองดูได้
เห็นได้ชัดว่าค่ายกลระดับนั้นยังห่างไกล
ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงต้องปล่อยอยู่ในห้วงจิตไปก่อน รอจนกว่าจะถึงเวลาที่เขาจะศึกษาได้ ตอนนี้สิ่งสำคัญสำหรับเขาก็คือทำความเข้าใจค่ายกลเพลิงทะยาน เมื่อเขาสามารถจัดการได้สำเร็จ ก็ถึงเวลาที่จะบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือแล้ว
ความคิดมากมายวาบผ่านในใจ จากนั้นมู่เฉินก็ก้มลงมองไปที่ก้อนหินสีดำพลางยิ้มให้ “ท่านแม่วางใจเถอะ วันใดที่ข้าบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือก็จะเป็นเวลาที่ข้าไปรับท่านออกจากเผ่าฝูถู!”
ในเวลานั้นเขาก็จะสามารถปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่เคยไกลเกินเอื้อมได้
วางมือลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล เขาก็ไม่อ้อยอิ่งลุกขึ้นยืนหายตัวไปทันที
ในศาลา
มู่เฉินปรากฏตัวเบื้องหน้าลั่วหลีและหลิงซี ดวงตาของพวกนางถึงกับแววแสงแห่งความดีใจ
“เป็นยังไงบ้าง?” หลิงซีถามขณะที่มองมู่เฉิน
“อีกก้าวเดียว” มู่เฉินยิ้ม
เมื่อหลิงซีได้ยินก็ไม่ผิดหวัง นางพยักหน้าเบาๆ ตัวนางมุ่งเน้นอยู่ในเส้นทางการฝึกศาสตร์ค่ายกลเป็นเวลานาน ดังนั้นนางจึงรู้ว่ายากแค่ไหนที่จะบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือ แม้ว่ามู่เฉินจะได้รับความเข้าใจและประสบการณ์ของท่านน้าจิ้ง แต่ข้อมูลเหล่านั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่มู่เฉินจะย่อยได้ในเวลาเพียงสองเดือน
นอกจากนี้มู่เฉินก็เหมือนจะเก็บเกี่ยวไม่น้อย ดูเหมือนเขามั่นใจว่าจะบรรลุระดับนั้นได้ในไม่ช้า
“ที่นี่ไม่สมควรอยู่นาน เรารีบไปกันเถอะ” มู่เฉินมองลั่วหลีกับหลิงซีขณะที่พูด
ที่นี่เป็นเขตของเผ่าฝูถู แม้ว่ากู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูจะหนีไปแล้ว แต่หากทางเผ่ารู้เรื่องเข้าละก็ จะต้องส่งผู้เชี่ยวชาญทรงพลังมากขึ้นกว่าเดิมมาเยี่ยมเกาะนี้ ดังนั้นพวกเขาเดือดร้อนแน่หากอยู่ที่นี่นานเกินไป
แม้ว่าตอนนี้เขาจะแข็งแกร่งขึ้นแต่ก็ไม่ยโส เขารู้ว่าการเผชิญหน้ากับยักษ์อย่างเผ่าฝูถูแบบคนเดียวโดดๆ เป็นวิธีที่โง่เง่าที่สุด
ลั่วหลีกับหลิงซีแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะพูดว่า “เราวางแผนที่จะมุ่งหน้าไปยังแดนเซิ่งยวน”
“แดนเซิ่งยวน?” มู่เฉินอึ้งไป เขาไม่คุ้นเคยกับสถานที่ที่พวกนางพูดถึง
ลั่วหลียิ้มบางเล่ารายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับแดนเซิ่งยวนให้มู่เฉินฟัง ตามด้วยเรื่องที่นางตกลงกับชื่อเหยียนที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง
“เจ้าตกลงกับตาเฒ่านั่นว่าจะลงแข่งตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงเหรอ?” หลังจากได้ยินคำพูดของลั่วหลี มู่เฉินก็ตกใจ เขาไม่ได้สนใจวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนาน กลับรีบถามอย่างกังวล
เขารู้ดีว่าการแข่งขันจะรุนแรงเพียงใดกับตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง
เมื่อเห็นความกังวลของมู่เฉินเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลั่วหลีก็รู้สึกหวานในใจนางยิ้มบาง “เผ่าไท่หลิงมีรากฐานที่ลึกซึ้ง ถ้าข้าได้เป็นธิดาเทพได้ก็จะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับตัวเองเช่นกัน”
แม้ว่านี่คือเหตุผลที่นางให้มา เขาก็เข้าใจดี ในฐานะคนคล้ายคลึงกัน เราสองคนมีทั้งความอิสระและมั่นใจในตัว นางภาคภูมิใจในตัวเอง ดังนั้นแม้ว่านางจะต้องพึ่งพาตัวเองก็สามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งความช่วยเหลือจากภายนอก
ดังนั้นเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่าในการตัดสินใจของนาง อาจเป็นเพราะต้องการให้ความช่วยเหลือเขาในอนาคต
เพราะฉะนั้นเขาจึงมองไปที่ลั่วหลีด้วยสายตาซับซ้อน ขณะที่หญิงสาวยิ้มกุมมือเขาไว้ ชัดว่านางตัดสินใจทำเรียบร้อย
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ดังนั้นจึงเลือกจดจำสิ่งที่ลั่วหลีทำเพื่อเขา ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ เพราะในเมื่อนางตัดสินเช่นนี้ เขาก็จะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อสนับสนุน
“แต่ไม่คิดว่าวิชาเจดีย์แปดองค์และช่องแสงวิญญาณจะอยู่ในแดนเซิ่งยวน วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานที่สามารถสั่นสะเทือนมหาพันภพได้”
ตอนนี้มู่เฉินถึงได้หันเหความสนใจไปวิชาในตำนานทั้งสองแล้วอดที่จะเดาะลิ้นไม่ได้ สำหรับคนที่ฝึกฝนวิชาสามพิสุทธิ์ที่เป็นหนึ่งในสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานอย่างเขา เข้าใจถึงพลังน่าสะพรึงกลัวที่วิชาเหล่านี้มีได้ดี
วิชาเหล่านี้นับเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในมหาภพเลย
การเผชิญหน้ากับวิชายอดเทพเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงเขาแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังถูกล่อลวงไปด้วยเช่นกัน มิฉะนั้นเผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิงคงจะไม่ใช้ความพยายามมากมายในการได้รับวิชาทั้งสองมาครอบครอง
“หากข้าได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์ก็อาจจะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้ขณะที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม”
สายตาของมู่เฉินวูบไหว ช่องว่างระหว่างระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มกับระดับเทียนจื้อจุนยากที่จะเติมเต็ม ทว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานอาจสามารถถมช่องว่างเหล่านั้นได้
“เฮ้ เจ้าช่างคิดดีจริงๆ พวกประมุขน้อยเผ่าฝูถูก็สนใจวิชาเจดีย์แปดองค์เช่นกัน ไม่ง่ายที่เจ้าจะคว้าจากพวกเขามาได้หรอก” ชื่อเหยียนมองเห็นความคิดของมู่เฉินก็หัวเราะเบาๆ
แม้ว่ามู่เฉินจะถือว่าโดดเด่น แต่ก็ขาดการสนับสนุนจากเผ่าฝูถู ดังนั้นเมื่อเทียบกับประมุขน้อยที่ได้เพลิดเพลินไปกับทรัพยากรที่มีในเผ่า เขาก็ยังด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย
แต่ตอบสนองต่อชื่อเหยียน มู่เฉินกลับยิ้ม “เราจะรู้ได้ยังไงว่าใครจะเป็นคนสุดท้ายที่หัวเราะ ถ้าไม่ลอง”
ชื่อเหยียนรู้สึกประหลาดใจต่อปฏิกิริยาของมู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีความคิดสุขุมด้วยวัยเท่านี้
“ไอ้หนู เจ้าใช้ได้เลยทีเดียว หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีสายเลือดเผ่าฝูถู ตาเฒ่าคนนี้ต้องลากเจ้าเข้าร่วมเผ่าไท่หลิงแน่นอน” ชื่อเหยียนลูบเคราเบาๆ
การที่สามารถเข้าถึงระดับปัจจุบันได้ตั้งแต่อายุยังน้อยโดยพึ่งพาตัวเอง ในบางแง่มุม เหล่าประมุขน้อยคนอื่นๆ ของเผ่าฝูถูไม่สามารถทำได้จริงๆ
“ฮ่าๆ ข้าละอยากเห็นปฏิกิริยาพวกเต่าล้านปีในวันที่เจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนจริงๆ… ฮ่าๆ ไอ้ผีเฒ่าพวกนั้นพูดว่าเผ่าไท่หลิงของข้าไม่ยืดตามคำสอนโบราณ ปนเปื้อนสายเลือดอันสูงส่ง ช่างหัวโบราณจริงๆ”
เมื่อเห็นท่าทางของชื่อเหยียน มู่เฉินก็รู้สึกจนใจก่อนจะประสานมือ “ท่านเซียนชื่อเหยียนต้องรบกวนเรื่องพาเข้าสู่แดนเซิ่งยวนด้วยนะขอรับ”
“นี่เป็นเรื่องที่ข้าสัญญาไว้กับลั่วหลี แต่ว่าข้าสามารถส่งพวกเจ้าเข้าไปได้เท่านั้น ไม่ว่าเจ้าสองคนจะได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์และช่องแสงวิญญาณโบราณหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเองแล้ว” ชื่อเหยียนโบกมือ
มู่เฉินพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นเราจะไปกันได้เมื่อไร?”
“เวลาไม่คอยท่า ไปกันเลย!”
ชื่อเหยียนไม่ได้เป็นคนชักช้า จึงไม่พูดมากเพียงโบกมือ น้ำเต้าสีแดงก็ขยายขนาดเร็วรี่จนใหญ่ถึงหนึ่งร้อยจั้ง ก่อนที่เขาจะวาบหายไปปรากฏที่ด้านบนทันที
มู่เฉิน ลั่วหลี หลิงซีและหลงเซี่ยงติดตามกระชั้นชิด ทะยานขึ้นไปบนน้ำเต้าเช่นกัน
“ออกเดินทาง!”
ชื่อเหยียนหัวเราะร่วน ตัวน้ำเต้าก็สั่นไหว มิติเบื้องหน้าบิดเบี้ยวกลายเป็นอุโมงค์มิติ จากนั้นน้ำเต้าก็บินเข้าไป
มู่เฉินนั่งอยู่บนน้ำเต้า มองไปแสงสีเข้มเดินทางมิติ ประกายไฟที่ไม่สามารถอธิบายได้วูบไหวในนัยน์ตา
“ประขุมน้อยเผ่าฝูถูเรอะ”
“ไม่ว่ายังไงข้าไม่ให้วิชาเจดีย์แปดองค์ไปหรอก”
บทที่ 1287 ความลับของแดนเซิ่งยวน
เวลาผ่านไปบนเกาะหัวใจหยกพริบตาก็หนึ่งเดือนแล้ว
ลั่วหลีและหลิงซีนั่งข้างกันในศาลาไม้ไผ่พร้อมกับกระดานหมากรุกวางบนโต๊ะเพื่อใช้ฆ่าเวลา นอกจากนี้ยังมีเสียงหัวเราะพลิ้วหวานดังออกมาเป็นครั้งคราว ช่างเป็นฉากที่งดงามที่ทำให้ศาลาไม้ไผ่ธรรมดานี้ถูกลืมเลือนไป
ในช่วงเวลาที่มู่เฉินเข้าสมาธิเพื่อฝึกฝน หญิงสาวทั้งสองคนก็ตั้งใจรอเขาอยู่บนเกาะแห่งนี้
วาบ
ขณะที่สองสาวกำลังหัวเราะต่อกระซิกกัน ร่างชายสูงวัยก็ปรากฏขึ้นในศาลา ประกายแสงวาบขึ้นใบหน้าบูดบึ้งของชื่อเหยียนก็เผยออกมา เขามองไปที่ลั่วหลี “แม่นางน้อย เจ้าไม่เต็มใจที่จะเป็นธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงของข้าจริงหรือ?”
ตลอดช่วงเดือนนี้ชื่อเหยียนเทียวไล้เทียวขื่อหลายครั้ง แต่คำเชิญก็ถูกปฏิเสธจากลั่วหลี
ครั้งนี้ลั่วหลีก็ยังถอนหายใจหนักขณะเอ่ยขอโทษ “ผู้อาวุโสข้าเป็นจักรพรรดินีตระกูลลั่วเสิน จะให้ข้าละทิ้งราษฎรเพื่อไปเป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิงได้อย่างไร? นอกจากนี้ข้าก็ไม่มีสายเลือดเผ่าไท่หลิงด้วย”
ชื่อเหยียนเกาหัวเอ่ยว่า “เผ่าไท่หลิงไม่เหมือนกับเผ่าโบราณที่ดื้อรั้นอื่นๆ พวกข้าใจกว้างมาก ดังนั้นจึงไม่เคยคำนึงถึงความแตกต่างของสายเลือด แม้ว่าเจ้าจะมีสายเลือดเจือจาง ตราบใดที่เจ้าแสดงความสามารถยอดเยี่ยมก็ยังเป็นธิดาเทพได้ ทางเผ่าไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน”
“ในประวัติศาสตร์ของเผ่า พวกข้ามีธิดาเทพที่โดดเด่นหลายคนที่ได้รับการยอมรับ แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้มาจากเผ่าของข้าก็ตาม”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แม้แต่ลั่วหลีก็ประหลาดใจ เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นกลุ่มคนที่ใจกว้างเช่นนี้ เป็นความรู้สึกเดียวกับผู้นำตระกูลลั่วเสินที่ไม่จำเป็นต้องมีสายเลือดของตระกูลก็ได้
“ลั่วหลีสิ่งที่ผู้อาวุโสพูดนั้นไม่ผิด เผ่าไท่หลิงเป็นชนเผ่าโบราณที่ใจกว้างมากที่สุดเผ่าหนึ่งในมหาพันภพ” หลิงซีพยักหน้าจากด้านข้างแล้วถอนหายใจ “ถ้าเผ่าฝูถูเป็นเช่นนี้ น้าจิ้งคงไม่ต้องแยกจากมู่เฉินมาเป็นสิบๆ ปีหรอก”
ลั่วหลีพยักหน้าเบาๆ แต่ก็ยังไม่ตกลง นางไม่ใช่เด็กสาวอีกต่อไป ดังนั้นจึงรู้ว่าจะต้องมีกลุ่มมากมายในเผ่าโบราณขนาดใหญ่ แค่เพียงตระกูลลั่วเสินก็ทำให้นางปวดหัวทุกวัน ถ้านางไปเป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิงก็คงจะมีการแข่งขันรุนแรง ไม่ว่าเผ่าไท่หลิงจะใจกว้างเพียงใด
น้ำนิ่งไหลลึกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งลั่วหลีไม่ค่อยอยากจะเข้าไปยุ่งด้วย
เมื่อเห็นการตัดสินใจของลั่วหลี ชื่อเหยียนก็รู้สึกสลดหดหู่พลางถอนหายใจเสียงแผ่ว “น่าเสียดายจริงๆ ตอนแรกคิดว่าจะทันเรื่องแดนเซิ่งยวนซะอีก”
“แดนเซิ่งหยวน?!”
ขณะที่เขาจะพูดจบ หลิงซีก็อุทานด้วยดวงตาที่หดลง “แดนหวงห้ามที่มีชื่อเสียงโด่งดังในมหาพันภพ สนามรบแตกหักในยุคโบราณใช่ไหมเจ้าคะ?”
ชื่อเหยียนพยักหน้า “เจ้ามีความรู้ดีนี่ ถูกตัอง แดนเซิ่งยวนนั่นแหละ”
“แดนเซิ่งหยวนตั้งอยู่ท่ามกลางพายุมิติกาลเวลา ไม่สามารถตรวจพบเจอได้ จะแสดงสัญญาณเมื่อกำลังจะปรากฏขึ้นเท่านั้น ไม่คิดว่ามันจะปรากฏตอนนี้” ดวงตาของหลิงซีกะพริบวาบ
“แดนเซิ่งหยวนเหรอ? ข้าเคยได้ยินมาก่อนบ้าง แต่ลือกันว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นที่รู้กันว่าอันตรายและสภาพแวดล้อมก็รุนแรงจนแม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังอาจทิ้งชีวิตในนั้น ทำไม? พี่หลิงซีสนใจแดนนั้นเหรอ?” ลั่วหลีพยักหน้าขณะที่ถาม
“มีข่าวลือว่าสนามรบโบราณแห่งนั้นมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเกือบสิบคนทิ้งร่างไว้และสี่คนในนั้นมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!” หลิงซีกล่าวขึ้น
ในมหาพันภพแม้กระทั่งระดับเทียนจื้อจุนก็ยังถูกแยกออกเป็นขั้นต่างๆ ได้แก่ หลิง-เซียน-เซิ่ง และขั้นเซิ่งก็เป็นจุดสุดยอดของจอมยุทธ์ที่มีอยู่ในมหาพันภพ
“สี่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง?” เมื่อได้ยินใบหน้าของลั่วหลีเปลี่ยนไป นี่เป็นรูปแบบทึ่น่าสะพรึงนัก ถ้าพวกเขาสิ้นชีพก็จะเป็นความสูญเสียมหาศาลของมหาพันภพเลยทีเดียว
ดังนั้นสามารถอนุมานได้จากราคานี้ที่มหาพันภพได้จ่ายเพื่อต่อต้านจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ
“แม้ว่าเราจะประสบกับความสูญเสียใหญ่หลวงในการต่อสู้ครั้งนั้น แต่จักรวรรดิปีศาจก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน พวกมันก็สูญเสียราชันปีศาจระดับเทียนสิบกว่าคนด้วยเช่นกันและสี่คนติดอันดับหนึ่งในสิบห้า” ชื่อเหยียนกล่าวเสริม
ราชันปีศาจระดับเทียนเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของมหาพันภพ พวกที่ติดอยู่สิบห้าอันดับสูงสุด นั่นก็หมายความว่าแม้จะอยู่ในจักรวรรดิปีศาจ เผ่าพวกนั้นก็ต้องดำรงอยู่สูงสุด
“เนื่องจากมีจอมยุทธ์จากทั้งสองฝ่ายละสังขารภายใน ดังนั้นมรดกที่เป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แม้แต่อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมหรือสูงกว่านั้นก็ถูกทิ้งไว้ข้างใน ดังนั้นแม้จะเป็นแดนอันตราย แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายที่ต้องการเข้าไป หากพวกเขาโชคดีพอได้รับมรดกก็เท่ากับทะยานขึ้นสู่ประตูสวรรค์เลยทีเดียว”
“แต่เนื่องจากแดนเซิ่งยวนตั้งอยู่ภายในพายุมิติกาลเวลา จึงมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถส่งผู้คนเข้าไปได้ ธรณีประตูหยุดยั้งคนโลภมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีผู้คนที่มุ่งหน้าไป… แม้กระทั่งเผ่าไท่หลิงของข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”
ขณะที่พูดชื่อเหยียนก็เลียริมฝีปาก เปลวไฟโชนขึ้นในดวงตา “นั่นเป็นเพราะสี่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งที่ทิ้งร่างไว้ คนหนึ่งก็คือบรรพบุรุษของเผ่าไท่หลิง วิชา ‘ช่องแสงวิญญาณ’ ที่เขาฝึกฝนเป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า พลังนั้นช่างไร้ขีดจำกัด แม้แต่ในเผ่าของข้าก็ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นทักษะขั้นยอดเทพ แต่น่าเสียดายที่การเสียชีวิตของบรรพบุรุษทำให้วิชาในตำนานหายไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นนี่เป็นความปรารถนาของเผ่าข้าที่จะค้นหาวิชาเทพนี้”
“ดังนั้นคนที่สามารถค้นหาวิทยายุทธในตำนานได้ก็จะสามารถเอาชนะคู่แข่งคนอื่นๆ ได้รับการสนับสนุนจากทุกคนในเผ่าเพื่อดำรงตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง!”
เมื่อได้ยินถึงจุดนี้ ลั่วหลีก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “ที่แท้ก็ยังมีคู่แข่งชิงตำแหน่งธิดาเทพด้วยหรือ? เฉพาะคนที่สามารถค้นหาวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานเท่านั้นที่จะสามารถขึ้นเป็นธิดาเทพได้เหรอ?”
ไฟบนใบหน้าของชื่อเหยียนแข็งค้าง ท่าทางกระอักกระอ่วนไป “ข้าเป็นเพียงตัวแทนของเผ่าไท่หลิงเพื่อค้นหาผู้สมัครที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งธิดาเทพ”
ลั่วหลีอดไม่ได้ที่จะกลอกตา นางว่าแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดำรงตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง พูดชักแม่น้ำมาตั้งหลายวันก็แค่เป็นผู้สมัครเท่านั้น
เมื่อเห็นสายตาของลั่วหลี ใบหน้าของชื่อเหยียนก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ก่อนที่จะยิ้มเก้อ
ดังนั้นยามนี้ในศาลาจึงจมลงสู่ความเงียบงัน มีเพียงสายตาของหลิงซีที่เปล่งประกายด้วยความคิดก่อนที่นางจะพูดเบาๆ ว่า“ นอกเหนือจากวิชาช่องแสงวิญญาณ รู้สึกจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งของเผ่าฝูถูด้วยใช่ไหมเจ้าคะ?”
ชื่อเหยียนพยักหน้า “ใช่ บรรพบุรุษของเผ่าฝูถูก็ไม่ธรรมดา วิชาเจดีย์แปดองค์ที่เขาฝึกฝนก็เป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานด้วยเช่นกัน ประมุขน้อยหลายคนในเผ่าฝูถูก็ตั้งเป้าที่จะนำวิชานั้นกลับคืน”
“นั่นเป็นเพราะมีกฎของเผ่าว่าใครก็ตามที่สามารถได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์ก็จะได้รับตำแหน่งประมุขคนต่อไป”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ดวงตาของหลิงซีก็วาวโรจน์
ลั่วหลีมองหลิงซีอย่างเข้าใจความตั้งใจของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าหลิงซีต้องการให้มู่เฉินได้รับมรดกวิชาเจดีย์แปดองค์ จากนั้นก็อาจช่วยมารดาจากเผ่าด้วยวิธีที่ว่าได้
ลั่วหลีก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะเป็นเรื่องเขี้ยวลากดินมากที่มู่เฉินใช้วิธีสู้ซึ่งหน้า เนื่องจากรากฐานของเผ่าฝูถูยังคงน่ากลัวอยู่ไม่น้อย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ลั่วหลีก็เข้าสู่ภวังค์ ตอนแรกนางไม่สนใจที่จะเป็นธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงเลย ในแง่ของการสืบทอดนางมีมรดกของลั่วเสินและร่างเทพวารี ซึ่งเพียงพอที่จะเป็นประโยชน์สำหรับตัวเองในการก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน
แต่ถ้านางดำรงตำแหน่งธิดาเทพเผ่าไท่หลิงด้วยละก็ นางจะได้รับการสนับสนุนจากเผ่าโบราณที่น่ากลัวอยู่เบื้องหลัง หากวันนั้นที่ความสัมพันธ์ของมู่เฉินกับเผ่าฝูถูสะบั้นลงอย่างสมบูรณ์ นางก็จะสามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้
ตอนนี้ลั่วหลีเข้าใจว่าการสนับสนุนของตระกูลลั่วเสินไม่สามารถให้ความช่วยเหลือกับมู่เฉินได้มากนัก ถ้านางต้องการช่วยเหลือมู่เฉินจริงๆ นางอาจสามารถใช้เผ่าไท่หลิงเพื่อทำเช่นนั้นได้
จากแง่มุมนางเองไม่ได้สนใจเผ่าไท่หลิง แต่ถ้าทำเพื่อมู่เฉิน… นางยินดีที่จะเป็นธิดาเทพ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็เม้มริมฝีปากขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากับหลิงซี แม้ว่าพวกนางจะไม่พูด แต่ก็เข้าใจความคิดของกันและกัน
ดวงตาของหลิงซีกะพริบด้วยความขอบคุณ เพราะถ้าลั่วหลีทำเช่นนี้ นางจะต้องแข่งขันกับผู้สมัครคนอื่นๆ ของเผ่าไท่หลิงซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องง่าย
ลั่วหลีเพียงยิ้มตอบบางเบา เพื่อนางแล้วมู่เฉินปะทะกับจักรพรรดิสัประยุทธ์โดยไม่ลังเล แล้วจะเป็นอะไรถ้านางจะแข่งขันเพื่อเขาบ้าง?
ในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งสองก็ได้แลกเปลี่ยนความตั้งใจเสร็จสิ้น ลั่วหลีหันมายิ้มให้ชื่อหยวน “ผู้อาวุโส ข้าจะเป็นผู้สมัครตำแหน่งธิดาเทพให้ก็ได้ แต่ท่านต้องสัญญาบางอย่างกับข้าก่อน”
“โอ้?”
ชื่อเหยียนที่นึกว่าไม่มีความหวังก็ตื่นเต้นพลางโบกมือไปมา “ว่ามาเลย”
ลั่วหลีจือปากชี้ไปในทิศทางของมู่เฉินด้วยท่วงท่างดงาม
“ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะสามารถส่งพวกเราทั้งคู่เข้าสู่แดนเซิ่งยวน”
บทที่ 1286 แม่ลูกพบกันอีกครั้ง
“ของขวัญจากท่านแม่?”
สายตาของมู่เฉินเต็มไปด้วยความสุขที่พล่านในส่วนลึกของนัยน์ตา ขณะมองไปที่หลิงซี เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้กระตุ้นความสนใจของเขาเต็มที่
รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านางพร้อมกับโบกมือ หินสีดำเบื้องล่างตัวนางก็เปล่งประกายก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าวพราวแสง
จุดแสงเหล่านั้นราวกับกลายเป็นทางช้างเผือก
สายตาของมู่เฉินตรึงอยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ก่อนที่เขาจะมองดูวิถีโคจรของดวงดาวก็รู้สึกว่ามีความผันผวนลึกซึ้งค่อยๆ แผ่ออกมาอย่างช้าๆ
“ในอดีตน้าจิ้งก็เคยมาฝึกฝนที่เกาะหัวใจหยกแห่งนี้ จึงมีความเข้าใจและประสบการณ์มากมายที่นางทิ้งไว้ในกระจกหัวใจดำชิ้นนี้ นี่คือสิ่งที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยหลิงเจิ้นต้าจงซือตัวจริง ซึ่งเปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าสำหรับหลิงเจิ้นซือทุกคน”
สายตาของหลิงซีก็พร่ามัวเมื่อมองไปที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว นางพูดเบาๆ ว่า “เวลาสามปีที่ผ่านมา ข้าได้ฝึกฝนที่นี่จนกระทั่งเมื่อสองเดือนที่แล้ว ข้าก็สามารถบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนได้”
“พี่หลิงซี เจ้าบรรลุหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแล้วเหรอ?”
มู่เฉินอึ้งไป ตอนที่หลิงซีจากไป นางเป็นเพียงหลิงเจิ้นต้าซือ แต่ตอนนี้นางก้าวเข้าสู่ระดับหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนในเวลาเพียงสามปี!
นี่เป็นสิ่งที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง!
“ก่อนที่ข้าจะสูญเสียความทรงจำ ระดับของข้าเข้าใกล้การเป็นหลิงเจิ้นจงซืออยู่แล้ว… เมื่อได้รับการกู้คืนความทรงจำ พลังของข้าก็ฟื้นตัวขึ้นตามธรรมชาติและเพิ่มขึ้นทบทวีคูณจากประสบการณ์หลายปีที่ฝึกฝน” หลิงซียิ้มขณะที่อธิบาย
มู่เฉินเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังคงทำการย่อยข้อมูลอย่างช้าๆ เนื่องจากหลิงซีมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นในศาสตร์ค่ายกล บวกกับเรื่องที่นางติดตามมารดาของเขาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นจุดเริ่มต้นของนางจึงอยู่ในจุดที่สูงกว่าคนทั่วไป บวกกับการได้ปลีกวิเวกเพื่อทำความเข้าใจประสบการณ์และความรู้ที่มารดาของเขาทิ้งไว้ ดังนั้นจึงไม่ได้เหลือเชื่อเกินเหตุที่นางจะประสบความสำเร็จเช่นนี้
ที่สำคัญกว่านั้นหลิงซีมุ่งเน้นไปที่ศาสตร์ค่ายกลอย่างเดียวซึ่งไม่เหมือนเขา ตัวเขาไม่เพียงศึกษาค่ายกลเท่านั้น เขายังให้ความสนใจกับศาสตร์ค่ายกลสงครามและศาสตร์พลังหลิงด้วยเช่นกัน
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่หลิงซีจะเอาทิ้งห่างเขาหลายขุมในการบรรลุด้านค่ายกล
หลิงซีพยักหน้าคลี่ยิ้ม “ช่วงนี้เจ้าก็อยู่ฝึกฝนที่นี่เถอะ ข้าเชื่อว่านี่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเจ้า แต่จะบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้าแล้ว”
มู่เฉินเลียริมฝีปาก ดวงตาวูบไหวด้วยไฟลุกโชน
หลายปีที่ผ่านมาหลังจากแยกจากหลิงซี เรื่องศาสตร์ค่ายกลเขาก็ได้แต่ทำความเข้าใจด้วยตนเอง แม้ตอนนี้จะถือเป็นหลิงเจิ้นจงซือเช่นกัน แต่ในแง่รากฐานด้านค่ายกล เขาก็ยังด้อยกว่าเมื่อเทียบกับหลิงซีมาก
ตอนนี้เขาสามารถเรียนรู้จากความเข้าใจและประสบการณ์ที่เหลือจากมารดา ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่มีค่าอย่างไม่ต้องสงสัย
บางทีเขาอาจสามารถบรรลุเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนได้จากสิ่งนี้
ในเวลานั้นแม้ว่าเขาจะปะทะกับกู้ซือหวงอีกครั้ง เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่เกล็ดจักรพรรดิเพื่อจัดการกับอีกฝ่ายแล้ว
เมื่อมองเห็นความร้อนแรงในสายตาของมู่เฉิน หลิงซีก็ยิ้มก่อนที่นางจะลุกขึ้นยืน “จากนี้ไปที่นี่เป็นของเจ้า”
มู่เฉินพยักหน้า ไม่ได้เกรงใจอะไร เขาเดินขึ้นหน้าไปนั่งลงบนพื้นสบตากับลั่วหลีสั้นๆ ก่อนจะปิดตาลง
“ไปกันเถอะ ให้เขาดื่มด่ำในการเพาะบ่มในช่วงนี้”
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินเข้าสู่สถานะการเพาะบ่มเรียบร้อย หลิงซีก็ยิ้มให้ลั่วหลีจับมือกันเดินออกจากคุกไป
เมื่อพวกนางจากไป คุกก็กลับมาเงียบงันอีกครั้ง
หัวใจของมู่เฉินสงบลงเหมือนบ่อน้ำลึกที่ไม่มีระลอกคลื่น
แปะ!
ความเงียบกินเวลาอยู่นาน เสียงน้ำหยดหนึ่งก็ดังสะท้อนสร้างระลอกคลื่นในความเงียบ ระลอกคลื่นกระจายออกไป มู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเริ่มเปลี่ยนไป
เขาเหมือนนั่งอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ดาวหางพุ่งผ่านขอบฟ้าราวกับภาพสลักอันงดงาม
ทันใดนั้นแสงดาวก็ส่องลงมาเบื้องหน้ามู่เฉินควบแน่นเป็นร่างเงา เรือนผมถูกเกล้าไว้หลวมๆ รอยยิ้มอ่อนโยนประดับที่มุมปาก นางช่างงดงามและสง่างาม ทำให้มู่เฉินต้องอึ้งไปพักหนึ่ง
“ท่านแม่?”
กระทั่งคนใจเย็นอย่างเขาเมื่อเห็นนางก็ยังตะลึงงันไปไม่ได้ เพราะเขาไม่คิดว่าจะได้พบกับมารดาที่นี่
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงร่างดวงจิต แต่นับตั้งแต่ทวีปเป่ยชางเขาก็ไม่ได้พบมารดาอีกเลย
“ลูกรัก”
ขณะที่มู่เฉินตะลึงงัน ชิงเหยี่ยนจิ้งก็อึ้งไปเมื่อมองมู่เฉิน ครู่หนึ่งต่อมาหยาดน้ำตากลิ้งไปมาในนัยน์ตานาง ก่อนที่นางจะขยับอย่างรวดเร็วสวมกอดมู่เฉินเบาๆ
แม้ว่านางจะเป็นเพียงร่างดวงจิต แต่ก็ยังเชื่อมโยงกับร่างกายหลัก
เมื่อถูกกอด มู่เฉินที่ใจเย็นก็แข็งทื่อ ตั้งแต่เขายังเด็กสิ่งหนึ่งที่ใฝ่ฝันตลอดก็คือการโอบกอดของมารดา แต่ถึงกระนั้นการร้องของ่ายๆ นี้ก็ไม่สามารถเติมเต็มได้
แม้ว่านางจะเป็นเพียงร่างดวงจิต แต่มู่เฉินก็ยังรู้สึกถึงความอบอุ่นที่อธิบายไม่ได้พลุ่งพล่านอยู่ในหน้าอกของเขา
ยามนี้แม้ว่าหัวใจจะถูกขัดเกลามาตลอดหลายปี ดวงตาเขาก็ยังอดแดงขึ้นไม่ได้
“มู่เฉิน เจ้าโตมากขึ้นจริงๆ”
นานกว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะคลายอ้อมกอดจากบุตรชายและเริ่มจ้องมองเขาราวกับว่านางไม่ต้องการที่จะพลาดจุดใดๆ รอยยิ้มประดับบนใบหน้างดงาม
มู่เฉินเกาหัวแล้วยิ้ม
“ในเมื่อเจ้าพบร่างดวงจิตนี้ของข้าได้ แสดงว่าเจ้าไปที่เกาะหัวใจหยกแล้วสินะ” ชิงเหยี่ยนจิ้งลูบบุตรชายอย่างรักใคร่ ขณะที่ยิ้มบาง
มู่เฉินพยักหน้า “พี่หลิงซีบอกว่าท่านแม่ได้ทิ้งของขวัญไว้ให้ที่นี่”
ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม “มีเพียงเจ้าและหลิงซีเท่านั้นที่สามารถเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ ดังนั้นความเข้าใจที่ข้าทิ้งไว้ก็มีเพียงพวกเจ้าที่รับไปได้”
นางกวาดสายตาไปที่มู่เฉินพูดว่า “จงแสดงค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าให้แม่ดูหน่อย”
เมื่อย้อนกลับมาที่หัวข้อหลัก มู่เฉินก็รู้สึกตื่นเต้นในหัวใจ สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนบินออกมาราวกับผีเสื้อ ก่อนที่จะรวมเข้ากับสภาพแวดล้อม
เมื่อสัญลักษณ์หลิงยิงรวมเข้าด้วยกัน ค่ายกลขนาดใหญ่ก็เริ่มก่อตัวขึ้นพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรสะท้อนอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ค่ายกลนี้ก็คือค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดที่มู่เฉินสามารถควบคุมได้ตอนนี้…ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร
กวาดสายตามองค่ายกล ชิงเหยี่ยนจิ้งก็พยักหน้าเบาๆ “ค่ายกลนี้ค่อนข้างน่าสนใจ ไม่คิดว่าความรู้ของเจ้าในศาสตร์ค่ายกลจะมาถึงระดับหลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้แล้ว”
น้ำเสียงของนางฟังดูซาบซึ้ง เพราะมู่เฉินพึ่งพาตนเองปลูกฝังค่ายกลมาไกลได้ปานนี้ ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว
“ด้วยระดับปัจจุบันของเจ้า ก็สามารถพิจารณาว่าได้ลงฐานเกี่ยวกับศาสตร์ค่ายกลได้แล้ว”
เมื่อได้ยินว่าแม้แต่หลิ้งเจิ้นจงซือขั้นตี้สำหรับชิงเหยี่ยนจิ้งยังเป็นเพียงแค่การลงฐานเท่านั้น มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะแอบเดาะลิ้น หากอยู่ในทวีปเทียนหลัว หลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้สามารถสร้างสำนักของตนได้เลยทีเดียว
แต่เมื่อคิดได้ว่ามารดาของตนเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ เขาก็รู้ว่าหลิงเจิ้นจงซือในสายตาของนางอาจเป็นการตั้งหลักบนเส้นทางแห่งค่ายกลเท่านั้น
“เจ้าเริ่มประสบความสำเร็จในด้านค่ายกลแล้ว เพียงว่าเส้นทางในอนาคตของเจ้าอาจไม่คุ้นเคย”
เมื่อได้ยินมู่เฉินก็พยักหน้าเบาๆ เขารู้ว่าชิงเหยี่ยนจิ้งกำลังพูดถึงระดับต้าจงซืออยู่
ระดับนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่มู่เฉินก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย
“โดยทั่วไปคลื่นหลิงทั้งหมดเริ่มต้นจากการเชื่อมโยงสวรรค์และโลก ยืมพลังงานในธรรมชาติเพื่อเรียกลมฝน ซึ่งนี่เป็นระดับที่เจ้าอยู่ตอนนี้”
“ส่วนที่เรียกว่าระดับต้าจงซือ จะไม่เชื่อมโยงกับสวรรค์และโลก แต่จะสร้างโลกขึ้น ค่ายกลก็คือโลกใบหนึ่ง ทุกคนที่เข้ามาจะถูกมองว่าเป็นศัตรู”
ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม จากนั้นก็กำมือ ค่ายกลขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏขึ้น
ค่ายกลนี้วิจิตรบรรจงมาก แต่เมื่อมู่เฉินมองเข้าไปก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด เขาสามารถสัมผัสถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่มีอยู่ในค่ายกลเล็กจิ๋วนี้
หากเขาหลุดเข้าไปในค่ายกลนี้ละก็ ตายคาที่แน่นอน!
“นี่ก็คือการสร้างโลกด้วยค่ายกลของระดับต้าจงซือในตำนาน… ทุกคนที่เข้ามาคือศัตรูของโลกใบนี้”
มู่เฉินมองอย่างหลงใหล คำพูดของชิงเหยี่ยนจิ้งเปิดโลกใหม่ในใจเขา ที่แท้ค่ายกลที่มีอันดับสูงขึ้นมีความลึกซึ้งและยากเกินหยั่งอย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่น่าแปลกใจระดับต้าจงซือสามารถเทียบเคียงกับระดับเทียนจื้อจุนได้!
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินยังคงดื่มด่ำ ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยิ้มบาง ก่อนที่จะเหยียดนิ้วเรียวแตะหน้าผากของมู่เฉิน ข้อมูลไร้ขอบเขตไหลพรวดเข้ามาในห้วงจิตของมู่เฉินกะทันหัน
นี่คือความเข้าใจและประสบการณ์ทั้งหมดของนางในเส้นทางของผู้ฝึกค่ายกล!
ถ้ามู่เฉินสามารถศึกษาและทำความเข้าใจได้ นั่นจะเป็นการเพิ่มขึ้นของความสำเร็จของเขาในศาสตร์ค่ายกลและอาจเป็นรากฐานที่ดีสำหรับเขาในการเข้าถึงการเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ
แสงห่อหุ้มมู่เฉิน แต่เขายังคงนิ่งเฉยราวกับว่าจมลงในนิทรารมณ์
ในเผ่าฝูถูที่ห่างไกล
ร่างหลักชิงเหยี่ยนจิ้งที่นั่งอยู่จู่ๆ ก็สั่นไหวก่อนจะลืมตามองเข้าไปในมิติว่างเปล่าพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแขวนที่มุมปาก
“มู่เฉิน…แม่จะรอวันที่เจ้าก้าวขึ้นเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ”
บทที่ 1285 วิชาเจดีย์แปดองค์
“เจ้าสองคนเจอไอ้กาลกิณีคนนั้นแล้วใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูก็ตัวสั่นไหวขณะที่ผงกหัวหงึกหงัก
“แล้วทำไมไม่บอกข่าวนี้กับข้าก่อน” ชายหนุ่มถามเสียงนิ่ม
แต่เมื่อเผชิญกับน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าของกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูก็ซีดเผือด ก่อนที่พวกเขาจะตอบอย่างขมขื่น “ตอนแรกพวกข้าสองคนคิดว่าจะจับมันก่อน ค่อยมอบให้กับประมุขน้อย นี่เป็นความผิดพลาดของพวกข้าที่ขาดความยั้งคิด โปรดอภัยให้พวกข้าด้วย”
ชายหนุ่มเคาะนิ้วที่หัวเข่าเบาๆ ขณะที่กวาดสายตามองทั้งสอง พวกเขาก็เหงื่อกาฬแตกพลั่ก เขาพูดช้าๆ ว่า “แม้ว่าเจ้าสองคนจะลงมือโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ข้าจะปล่อยเรื่องนี้ไปเพื่อเห็นแก่หน้าที่ติดตามกันมานาน สำหรับผู้อาวุโสใหญ่ข้าจะไปคุยให้เอง เพื่อได้ยกเว้นจากการลงโทษ”
“ขอบคุณประมุขน้อย!”
กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูยินดีเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ต่างรีบแสดงความขอบคุณอย่างรวดเร็ว ความรู้คุณวูบไหวในดวงตา
“ข้าได้ยินมาว่าไอ้กาลกิณีนั่นก็ฝึกฝนเจดีย์พุทธะด้วยเช่นกันหรือ?” ชายชุดสีฟ้ายิ้มบาง
กู้ซือหวงพยักหน้า “ประมุขน้อย ไอ้เจ้านั่นมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม แม้จะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่มันก็สามารถบีบให้ข้าต้องตกอยู่ในสภาพน่าสมเพช จากการหยั่งเชิงมันจะต้องสร้างเจดีย์พุทธะได้แล้วแน่ มิเช่นนั้นมันไม่มีทางครอบครองคลื่นหลิงทรงพลังเช่นนี้ในฐานะจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นปลายได้”
ชายชุดสีฟ้าอมเขียวยิ้มด้วยตาหรี่แคบลง “สมกับเป็นลูกชายของชิงเหยี่ยนจิ้งอย่างแท้จริง ไม่คิดว่าแม้จะไม่มีทรัพยากรของเผ่า เขาก็สามารถมาได้ไกลขนาดนี้”
เหลียงเสียหยูตอบด้วยความเกลียดชัง “แม้ว่าไอ้กาลกิณีนั่นจะมีความสามารถ แต่มันก็คล้ายกับหิ่งห้อยเมื่อเทียบกับดวงจันทร์สุกใสแบบประมุขน้อย”
“นั่นแน่นอน ประมุขน้อยเป็นอัจฉริยะพันปีของเผ่าฝูถู ในอนาคตท่านจะได้ปกครองเผ่า มู่เฉินต้องดูหม่นแสงเมื่อเทียบกับท่าน” กู้ซือหวงพยักหน้าหงึกหงักขณะที่ตอบรับแบบพินอบพิเทา
ขณะที่พูด กู้ซือหวงก็หยุดลังเลชั่วครู่ “แต่ตอนที่พวกข้าต่อสู้กับมัน ข้าพบว่ามันมีร่างรองสองร่างที่มีการฝึกฝนเหมือนกับร่างหลักเปี๊ยบ ซึ่งยากมากที่จะจัดการ ข้าเกือบตายเพราะตั้งตัวไม่ทัน”
“ร่างรองสองร่างที่มีพลังพอกับร่างหลักเหรอ?”
ดวงตาของชายชุดสีฟ้าอมเขียวกะพริบ เขาครุ่นคิดอยู่นานก่อนที่การแสดงออกจะกลายเป็นความหวั่นไหว “หรือจะเป็น…วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน—วิชาสามพิสุทธิ์!”
จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนชุดดำสีหน้าเปลี่ยนไปชั่วครู่ขณะพยักหน้า “ร่างดวงจิตธรรมดาที่สร้างจากพลังงานหลิงสามารถครอบครองพลังหนึ่งส่วนสิบของร่างหลักได้เท่านั้น หากต้องการครอบครองโดยสมบูรณ์จะต้องเป็นวิชาสามพิสุทธิ์ในตำนานเท่านั้น”
“แต่วิชาสามพิสุทธิ์สูญหายไปนานแล้ว ข้าไม่คิดว่าไอ้เด็กกาลกิณีจะมีโชคลาภที่น่าตกใจเช่นนี้”
ขณะพูดดวงตาของชายชุดดำก็เปิดเผยความโลภ วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่า น่าดึงดูดใจแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแบบเขา
“มีเพียงประมุขน้อยเท่านั้นที่คู่ควรที่จะได้รับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานทรงพลังเช่นนี้ ไอ้กาลกิณีนั่นจะครอบครองได้ยังไง?!” กู้ซือหวงพูดกระแทกกระทั้น พยายามยั่วยุชายชุดฟ้าอมเขียวให้แก้แค้นแทนพวกเขา
ทว่าชายชุดฟ้าอมเขียวยังคงมีสีหน้าสงบไม่ได้สั่นคลอนแต่อย่างใด “วิชาสามพิสุทธิ์ดึงดูดใจอย่างแท้จริง แต่ข้าไม่มีเวลาที่จะตามหาเขาตอนนี้”
ชายชุดดำพยักหน้าเช่นกัน “ประมุขน้อยพูดถูกต้อง แดนเซิ่งยวนใกล้เปิดแล้ว เรื่องสำคัญตอนนี้คือนายน้อยต้องดำเนินการอย่างสวยงามที่นั่น หากนายน้อยสามารถได้รับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดที่สูญหายมายาวนานของเผ่าเรา—วิชาเจดีย์แปดองค์ นายน้อยก็จะสามารถเอาชนะคู่แข่งคนอื่นได้ กลายเป็นประมุขคนต่อไป!”
“วิชาเจดีย์แปดองค์?!”
หัวใจของกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูสั่นไหวขณะที่ร้องอุทาน “ใช่วิชาเจดีย์แปดองค์วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าใช่หรือไม่?”
ชายชุดฟ้าอมเขียวคลี่รอยยิ้มกล่าวว่า “มีอะไรที่ต้องตกใจ? วิชาเจดีย์แปดองค์เป็นวิชาของเผ่าเราอยู่แล้ว เพียงแค่บรรพบุรุษที่เป็นผู้สร้างได้จบชีวิตไปอย่างน่าเสียดายในการต่อสู้กับจอมปีศาจระดับเทียนของเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นวิชาเจดีย์แปดองค์จึงหายไป ตลอดเวลานี้เผ่าพยายามค้นหา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ”
“แดนเซิ่งยวนเป็นสมรภูมิรบระหว่างมหาพันภพกับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ สภาพแวดล้อมที่นั่นเลวร้ายจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็อาจตายแบบไม่เหลือซากหากพวกเขาประมาท”
ชายชุดดำถอนหายใจ “น่าเสียดายที่ดินแดนนั่นมีแรงปฏิเสธทรงพลังเกินไป ที่นั่นเป็นจุดตัดระหว่างมหาพันภพและเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นหากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้าไปก็จะทำให้เกิดความปั่นป่วน หากไม่ระวังก็อาจจะถูกโยนไปยังดินแดนของเผ่าปีศาจได้”
เมื่อกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูได้ยินประโยคเหล่านั้นร่างกายก็สั่นเทิ้ม แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็อาจจะตายอย่างช้าๆ หากถูกโยนเข้าไปในดินแดนของเผ่าปีศาจและหากไปดึงดูดความสนใจจากระดับราชันปีศาจเข้าละก็ งานนี้คงถึงวาระแน่นอน
“ในเผ่าตอนนี้ประมุขน้อยคนอื่นก็กำลังเตรียมเข้าสู่แดนเซิ่งยวน ชัดว่าเป้าหมายของพวกเขาก็คือวิชาเจดีย์แปดองค์ หากพวกเขาได้รับไป กระทั่งนายน้อยก็จะตกเป็นเบื้ยล่างทันที”
ขณะที่พูดชายชุดดำก็มีสีหน้าเคร่งเครียด เพราะเขารู้ว่าผลที่ตามมาน่ากลัวขนาดไหน
กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูพยักหน้า เมื่อเปรียบเทียบกับสถานะประมุขน้อยของพวกเขาแล้ว การจัดการกับไอ้ตัวกาลกิณีหยุดวางไว้เฉยๆ ก่อนได้
“แต่ถึงแม้ตอนนี้เราจะวางความสนใจไว้กับเรื่องแดนเซิ่งยวน เราก็คงยังต้องใส่ใจกับการเคลื่อนไหวของไอ้กาลกิณีนั่น ข้าสนใจวิชาสามพิสุทธิ์ในตำนานมากเลยทีเดียว” ชายชุดฟ้าอมเขียวยิ้มบางขณะที่พูดต่อ
“ถ้าข้าสามารถได้รับทั้งวิชาเจดีย์แปดองค์และสามพิสุทธิ์ แม้ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ข้าก็สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้”
พลังอำนาจของวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าสองวิชาเป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการนัก
“นายน้อยความคิดหลักแหลมนัก มีเพียงท่านเท่านั้นที่ควรค่าแก่สมบัติเช่นนี้ สำหรับไอ้กาลกิณีนั่นมันเป็นโชคลาภที่ท่านใช้ผ่านมันไป” กู้ซือหวงรีบเอ่ยทันที
ชายหนุ่มชุดฟ้าอมเขียวยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ส่งคนเกาะรอยไอ้กาลกิณีนั่นไว้ หลังจากการเดินทางเพื่อไปยังแดนเซิ่งยวนเสร็จเรียบร้อย ข้าจะเดินทางไปเยี่ยมเขาเป็นการส่วนตัว”
“ถ้าเขายอมส่งวิชาสามพิสุทธิ์มาให้ดีๆ ข้าก็อาจช่วยเขาพูดกับผู้อาวุโสใหญ่ให้หน่อย”
“แน่นอนว่า ที่สำคัญถ้าสามารถจับเขาเป็นลูกไก่ในกำมือ บางทีอาจใช้เป็นไพ่ในการรับมือกับชิงเหยี่ยนจิ้งได้ด้วย ถึงตอนนั้นถ้าสามารถดึงให้นางมาสนับสนุนฝั่งเรา กำลังของเราก็มากกว่าเพียงพอแล้ว”
ชายชุดดำพยักหน้าขณะที่พูดต่อ “แม้ว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะถูกจองจำมานานหลายปี แต่ก็ยังมีผู้สนับสนุนเบื้องหลัง ดังนั้นพลังของนางจึงไม่สามารถประมาทได้ หากเราสามารถทำให้พวกเขาเอนเอียงมาทางเรา ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับพวกเรา”
ชายหนุ่มชุดฟ้าอมเขียวพยักหน้ามองเข้าไปในความลึกของหมู่เมฆด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ดูเหมือนว่าไอ้กาลกิณีนั่นจะเป็นดาวนำโชคของข้านะ”
ในคุกมืดมิด
มู่เฉินมองหญิงสาวที่เรียบเย็นก็รู้สึกโล่งใจ มองจากท่าทางแล้วหลิงซียังดูดีเลยทีเดียว
หลิงซีเงยหน้าขึ้นมองไปที่ชายหนุ่ม ช่วงเวลาสั้นๆ รอยยิ้มกว้างยินดีปรีดาก็เผยบนริมฝีปากของนาง
เมื่อเทียบกับในอดีตมู่เฉินเติบโตขึ้นเป็นชายชาตรีอย่างสมบูรณ์ ความอ่อนโยนหายไปแทนที่ด้วยหัวใจที่มั่นคงซึ่งไม่อาจสั่นไหว
เขายังคงดูหล่อเหลาแต่ก็มีเสน่ห์ของชายเต็มวัยขึ้นมาเล็กน้อย
มองไปที่มู่เฉิน รอยยิ้มของหลิงซีก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ชายหนุ่มเพิ่งเริ่มโตในอดีต…กลายเป็นคนที่ยืนหยัดเผชิญหน้ากับโลกใบนี้ได้แล้ว
เขาไม่ต้องการการปกป้องของนางอีกต่อไปและไม่ต้องการให้ท่านน้าจิ้งเป็นห่วงอีกแล้ว
นางเข้าใจดีถึงเรื่องนี้ตั้งแต่เห็นว่าเขาก้าวย่างอย่างไม่กลัวเกรงมาที่เกาะหัวใจหยกนี้ ชายหนุ่มเติบโตจนถึงจุดที่เขาไม่กลัวพายุร้ายใดอีกต่อไป
“ท่านน้าจิ้ง… ในที่สุดมู่เฉินก็เติบโต ท่านสามารถปลดภาระได้แล้ว ข้าเชื่อว่าไม่นานจากนี้เผ่าฝูถูก็ไม่สามารถใช้เขาเพื่อขู่ท่านได้อีกต่อไป”
“พี่หลิงซี”
มู่เฉินมองหลิงซีด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อกระแทกฝ่ามือไปที่คุก พยายามจะทำลาย
ฮึ่ม
ทว่าคุกก็ยังคงยืนอย่างมั่นคง
“เอ่อ”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะมองด้วยความประหลาดใจ ในเวลานี้เขาก็ตระหนักว่าคุกนี้สร้างจากค่ายกล ตัดสินจากระดับไม่ได้อ่อนไปกว่าค่ายกลที่ปกป้องเกาะเลย
มู่เฉินเกาหัวอย่างเงอะงะ ดูเหมือนว่าความพยายามของเขาที่จะทำตัวเท่ล้มเหลวแล้ว
คิก คิก
ลั่วหลีไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะได้ขณะที่ยืนข้างหลัง แม้แต่หลิงซีก็เม้มปากแน่นแล้วส่งยิ้มให้ จากนั้นนางก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ความผันผวนของคลื่นหลิงที่เกิดจากใต้ดินเริ่มหายไป
“หลิงซี ที่แท้เจ้าก็สามารถควบค่ายกลนี้ได้แล้ว!” หลงเซี่ยงอดอึ้งไปไม่ได้เมื่อเห็นภาพนี้
“ค่ายกลที่นี่เป็นสิ่งที่น้าจิ้งตั้งขึ้นเอง ดังนั้นข้าจึงสามารถควบคุมได้โดยธรรมชาติ หลังจากอยู่ที่นี่มาสามปี ดังนั้นแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่มา กู้ซือหวงก็ทำอะไรข้าไม่ได้” หลิงซียิ้มบาง
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ทั้งสามคนก็แลกเปลี่ยนสายตากันก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น
มองแต่ละคนที่จนคำพูด หลิงซีก็ยิ้ม “แต่พี่สาวก็ยังคงมีความสุขที่มู่เฉินมาช่วยนะ”
รอยยิ้มของนางช่างมีเสน่ห์มาจากส่วนลึกของหัวใจ
“แต่…ดูเหมือนว่าเจ้าจะโชคดีที่มาที่นี่”
หลิงซีมองมู่เฉินที่ดูงงงวย ก่อนที่มือนางจะแตะเบาๆ บนหินสีดำเหมือนกระจกเรียบที่ส่องแสงประหนึ่งดวงดาว
ประโยคต่อมาของนางทำให้ดวงตามู่เฉินเบิกกว้าง
“เพราะ…มีของขวัญจากน้าจิ้งทิ้งไว้ให้เจ้าที่นี่”
บทที่ 1284 ท่านเซียนชื่อเหยียน
ผลัวะ!
มือคล้ายกับหัตถ์เทพอัดแน่นด้วยพลังสูงล้ำไม่มีใครขวางได้
แต่เมื่อมือนั้นกำลังจะโอบล้อมพื้นที่เอาไว้ มิติที่เบื้องหน้ามู่เฉินก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ น้ำเต้าสีแดงบินฉวัดเฉวียนออกมาอย่างแปลกประหลาด
เมื่อน้ำเต้าปรากฏขึ้น ก็กำจายแสงสีแดงเข้มดูราวกับว่าเป็นแหล่งกำเนิดของภูเขาไฟ เกลียวสีแดงเข้มประหนึ่งเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง ทุกจุดของแสงสีแดงเข้มเหมือนเป็นมหาสมุทรเพลิง
อุณหภูมิในบริเวณนี้เพิ่มสูงขึ้นกะทันหัน กระทั่งรอบด้านยังต้มเดือด
ตู้ม!
เกลียวแสงสีแดงเข้มไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ปะทะกับมือใหญ่ จังหวะนั้นทั้งบริเวณก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เมฆหมอกนับไม่ถ้วนลุกโชนออกจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น
ตึง!
ภายใต้แสงสีแดงเข้ม มือใหญ่ก็แห้งลงอย่างรวดเร็ว รอยแตกปกคลุม อึดใจต่อมาก็ถูกแสงสีแดงเข้มจนแข็งเป็นหิน
ครืน!
มือใหญ่แหลกสลาย ก่อนจะกลายเป็นเศษหินนับไม่ถ้วนร่วงกราวลงมาจากท้องฟ้า ยกคลื่นที่น่าตกใจขึ้นในเวิ้งทะเลนี้
เมื่อกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูเห็นมือพังทลายลง ความหวาดหวั่นก็วูบไหวในดวงตาพร้อมกับความกลัวปรากฏบนใบหน้า
เห็นได้ชัดว่าฉากนี้ทำให้พวกเขาตกใจไปหมดแล้ว
กระบวนท่านี้เป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ทว่าการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวกลับได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดาย แบบนี้ฝ่ายตรงข้ามจะน่ากลัวแค่ไหนกัน?!
ต่อหน้าจอมยุทธ์ระดับนี้ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ราวกับเป็นแค่มดปลวกเท่านั้น
ฮา
เมื่อน้ำเต้าแดงทำลายมือนั้นก็บินกลับไปพลิ้วลงไม่ไกลจากกลุ่มมู่เฉินภายใต้สายตาตกตะลึง
ตอนนี้เองพวกเขาก็พบว่าชายชราคนหนึ่งในชุดธรรมดา ไม่รู้มาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไร
ชายชรายิ้มตาหยีก่อนที่จะจับคว้าน้ำเต้าแดงบิออกมาคำหนึ่ง ขณะนั้นเองมู่เฉินและคนอื่นๆ ก็เห็นของเหลวสีแดงเข้มเหนียวหนืดไหลเข้าสู่ปากของชายชรา
แม้จะไม่ได้สัมผัส กลุ่มมู่เฉินก็รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่น่ากลัว พวกเขารู้ว่าตนเองไม่มีความสามารถดื่มลาวาราวกับสุราเหมือนอย่างที่ชายชราทำแน่นอน
มู่เฉินและลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขามองเห็นความตกใจในสายตากันและกัน ตัดสินจากการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ ชายชราผู้นี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนตัวจริงเสียงจริงแน่!
ทว่าพวกเขาไม่เข้าใจทำไมจอมยุทธ์ระดับนี้ที่ไม่รู้จักกันถึงช่วยเหลือพวกเขา
อย่างไรก็ตามชายชราไม่ได้ใส่ใจกับความตกใจของพวกเขา หลังจากดื่มไปอึกหนึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นมองอุโมงค์มิติด้านหลังกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูด้วยรอยยิ้ม “ยังไงก็เป็นคนมีชื่อเสียงในเผ่าฝูถู ทำไมต้องลดสถานะตนเองมากลั่นแกล้งคนรุ่นใหม่ด้วย?”
กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูใบ้กินจากความกลัว อุโมงค์ที่อยู่ข้างหลังยังคงนิ่งสงบก่อนที่จะมีเสียงพูดเปล่งออกมา “ที่แท้ก็เซียนเฒ่าชื่อเหยียนเผ่าไท่หลิง แต่เผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิง ต่างคนต่างอยู่ไม่แส่เรื่องกันเละกัน ทำไมแกต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเผ่าข้าด้วย”
ชายชราที่ถูกเรียกว่าเซียนชื่อเหยียนยิ้มพลางส่ายหัว “ที่นี่มีเมล็ดพันธุ์ที่ข้าค้นหามานาน ดังนั้นข้าจะปล่อยให้เผ่าฝูถูทำลายได้ยังไง?”
“หึ ไอ้เด็กกาลกิณีนี่มีเชื้อสายของเผ่าข้า หากเผ่าไท่หลิงต้องการจะพามันไป ข้ากลัวว่าแรงกระทบจะไม่ใช่สิ่งที่แม้แต่แกก็สามารถทนได้!” เสียงโกรธแค้นดังขึ้นจากอุโมงค์มิติขณะที่สะท้อนก้องออกไป
ชื่อเหยียนกลอกตาชี้ไปที่ลั่วหลีแล้วก็มู่เฉิน “เมล็ดพันธุ์ที่ข้าบอกคือนาง ไม่ใช่เขา”
เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ก็ได้แต่ยักไหล่อย่างเซ็งๆ เท่านั้น
อีกด้านหนึ่งของอุโมงค์มิติก็รู้สึกโล่งใจก่อนที่จะพูดอีกครั้งว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เจ้าก็พานางออกไปซะ แต่ไอ้เด็กกาลกิณีต้องอยู่ที่นี่!”
เมื่อลั่วหลีได้ยินคำพูดนั่น นางก็พูดขึ้นทันที “ถ้ามู่เฉินอยู่ ข้าก็อยู่!”
จบคำพูด นางก็หันไปหาชื่อเหยียน “ขอบคุณที่ผู้อาวุโสให้ความสำคัญเจ้าค่ะ”
เมื่อชื่อเหยียนได้ยินคำพูดของนาง เขาก็ไม่โกรธแต่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะหันไปมองอุโมงค์มิติ “ดูเหมือนว่าข้าจะปล่อยให้เด็กคนนี้อยู่ไม่ได้ หากเจ้าไม่ยอมปล่อย ข้าก็คงต้องขอลองชิมพลังอำนาจของเผ่าฝูถูซะหน่อยแล้ว”
ขณะที่พูดน้ำเต้าสีแดงก็ค่อยๆ เปล่งประกายแสงสีแดงออกมา ก่อนที่อุณหภูมิน่าสะพรึงจะพัดระหว่างสวรรค์และโลก
เมื่อเห็นการตัดสินใจเด็ดขาดของชื่อเหยียน ฝั่งในอุโมงค์มิติก็เงียบไป จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจากเผ่าฝูถูโกรธจัดอย่างเห็นได้ชัด เรื่องของวันนี้เป็นสิ่งที่เขาทำภายใต้ความคิดของตนเอง หากคนในตระกูลรู้เรื่องนี้เข้าจะทำให้เขาเดือดร้อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูชิงเหยี่ยนจิ้ง ด้วยนิสัยของนางคงจะอาฆาตแค้นไม่เลิกแน่ ผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรที่แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ยังไม่สามารถปราบไว้ได้ ดังนั้นเขาจะต้องเป็นคนที่รับทุกข์ทั้งหมดแน่นอน
ขณะที่ในอุโมงค์มิติยังคงเงียบสงบ ชื่อเหยียนก็หันไปมองมู่เฉิน ดวงตาวูบไหวพลางถอนหายใจ “เด็กคนนี้ก็เป็นเมล็ดพันธุ์ยอดเยี่ยม เผ่าโบราณของเจ้าใช้ชีวิตอย่างอุดมสมบูรณ์โดยไม่เห็นคุณค่า หากเด็กคนนี้ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง เขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในอนาคตแน่นอน แต่กระนั้นพวกเจ้าก็ยังปฏิบัติต่อเขาในฐานะตัวกาลิกิณี ตลกแท้จริง”
ได้ยินการประเมินของชื่อเหยียนเกี่ยวกับมู่เฉิน เสียงที่ไม่สามารถระบุอารมณ์ได้ก็เค้นดังออกมาจากอีกด้านหนึ่งของอุโมงค์มิติ แต่เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไร “ในเมื่อไอ้เซียนเฒ่าอย่างแกต้องการแทรกแซงเรื่องนี้ งั้นก็แล้วแต่ แค่หวังว่าแกจะรับผลที่ตามมาได้!”
“นี่เป็นเรื่องของข้า พวกเจ้าไม่ต้องสะเออะสอน” ชื่อเหยียนหัวเราะเบาๆ
จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจากเผ่าฝูถูรู้ดีว่าคงไม่มีความคืบหน้าในเรื่องนี้แล้ว คลื่นหลิงก็กวาดออกดูดร่างกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูเข้าไปในกระแสมิติ
ความผันผวนของห้วงมิติกระจายออกแล้วค่อยๆ หายไป
การหายไปของกระแสมิติ ทำให้ความกดดันน่าสะพรึงที่ล้อมรอบบริเวณนี้ก็ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว แสงส่องลงมายังสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง
มู่เฉิน ลั่วหลีและหลงเซี่ยงรู้สึกโล่งใจอย่างมาก เนื่องจากแรงกดดันที่มาจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทรงพลังเกินไป การดำรงอยู่แบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถจัดการได้ในขณะนี้
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือท่านผู้อาวุโส”
มู่เฉินหันกลับประสานมือก้มศีรษะให้ชื่อเหยียน
ชื่อเหยียนโบกมือขณะที่เขามองมู่เฉินพร้อมกับรอยยิ้มแปลกประหลาด “ไอ้หนู แม้ไม่มีชายชราคนนี้ ข้าเชื่อว่าวันนี้ก็ไม่มีใครทำอะไรกับเจ้าได้”
เขาเหลือบไปที่หินสลักที่ยังอยู่ในมือของมู่เฉิน สัมผัสได้ถึงรัศมีทรงพลังที่กำจายเบาบาง แม้กระทั่งคนอย่างเขายังแขยงอยู่หน่อยๆ เลย
มู่เฉินยิ้มบางก่อนจะแลกเปลี่ยนสายตากับลั่วหลีพูดว่า “ผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าท่านตามหาตัวลั่วหลีด้วยเรื่องอะไร?”
เขายังไม่ได้เก็บหินสลัก ปล่อยให้ชื่อเหยียนสัมผัส ซึ่งนี่เป็นรูปแบบการข่มขู่อย่างหนึ่ง นั่นเป็นเพราะเขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับความตั้งใจของชื่อเหยียนกับลั่วหลี ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล มู่เฉินก็จะบอกให้รู้ว่าแม้ว่าเขาจะไม่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำอะไรไม่ได้
ในโลกนี้การยืมพลังของคนอื่นก็ถือเป็นจุดแข็งเช่นกัน
ลั่วหลีกวาดม่านตาแก้วใสไปที่ชื่อเหยียนด้วยความสงสัย เมื่อชายชรามองลั่วหลี เขายิ้มตาหยี “ที่จริงแล้วเหตุผลที่ตาแก่คนนี้มาหานางเป็นเรื่องง่าย… ข้าต้องการให้นางไปเป็นธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงน่ะ”
“ธิดาเทพอีกแล้วเหรอ?!”
ใบหน้าของมู่เฉินและลั่วหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“อะแฮ่ม ธิดาเทพเผ่าไท่หลิงไม่เหมือนกับตำหนักซีเทียนนะ!” เมื่อชื่อเหยียนเห็นสายตาระแวดระวังของพวกเขาก็อธิบายทันที
ดูท่าเขารู้เรื่องที่จักรพรรดิสัประยุทธ์พยายามจะเกี้ยวลั่วหลีให้รับตำแหน่งธิดาเทพ
“ผู้อาวุโส ข้าเป็นจักรพรรดินีตระกูลลั่วเสิน นอกจากนี้ข้าก็ไม่ได้เป็นคนจากเผ่าไท่หลิง ดังนั้นข้าขอสำนึกบุญคุณของท่านไว้ในใจ” นางส่ายหัวปฏิเสธความหวังดีของชื่อเหยียน แม้ว่าเผ่าไท่หลิงจะเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณของมหาพันโลก แต่นางก็ไม่มีแผนที่จะภักดีต่อพวกเขา
เมื่อเห็นว่าลั่วหลีปฏิเสธโดยไม่ลังเล ชื่อเหยียนก็ตะลึงงัน เผ่าไม่หลิงมีชื่อเสียงเลื่องลื่อในมหาพันภพ ไม่มีใครที่ไม่ต้องการเชื่อมสัมพันธ์กับพวกเขาในทางปฏิบัติ แต่ในสายตาของลั่วหลีไม่ได้สนใจสักนิด
เผชิญกับผลลัพธ์นี้ ชื่อเหยียนก็มีใบหน้าเปรี้ยวฝาดไป
มู่เฉินและลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะเลิกสนใจชายชรา
มู่เฉินหันไปมองที่ส่วนลึกของเกาะหัวใจหยกพูดกับลั่วหลีว่า “ไปช่วยพี่หลิงซีกันก่อนเถอะ”
ลั่วหลีพยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็มุ่งหน้าไปที่ยังส่วนลึกของเกาะ ปล่อยชื่อเหยียนให้ยืนทึ่มทื่อตรงนั้นด้วยสีหน้าขมขื่น
เวลาเดียวกันที่เผ่าฝูถู
ชายชราชุดดำมองไปที่กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูที่กำลังตัวสั่นเทาพูดด้วยเสียงเย็น “เจ้าสองคนช่างกล้า เครื่องรางของข้าไม่ได้ให้ไว้เพื่อจัดการกับไอ้ตัวกาลกิณี!”
ใบหน้าของกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูดิ่งลง ไม่กล้าแก้ตัวอะไร
เมื่อเห็นท่าทางทั้งสองไร้ประโยชน์ ชายชราสวมชุดดำก็เค้นเสียงดวงตากะพริบวูบไหว “เจ้าสองคนติดตามข้าไปเยี่ยมเยียนประมุขน้อย รายงานทุกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับไอ้กาลกิณีนั่น เพื่อให้เขาตัดสินใจ”
เมื่อพูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อออกไป เมื่อกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูเห็นก็รีบติดตามไปด้วยเช่นกัน
ทั้งสามเดินผ่านอาคารหลายหลัง ก่อนจะมาถึงลานหินที่สร้างขึ้นบนหน้าผาสูงชันเมฆล้อมรอบลาน ชายหนุ่มชุดสีฟ้าอมเขียวนั่งเงียบๆ อยู่ที่นั่น รัศมีของเขาลึกพอกับก้นบึ้งไม่อาจหยั่งรู้ เจดีย์ผลึกใสสามารถมองเห็นผ่านดวงตาที่เปิดออก
ชายชราชุดดำมายืนที่เบื้องหลังชายหนุ่ม ส่วนกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูก็คุกเข่าทำความเคารพ
“คารวะประมุขน้อย!”
ชายหนุ่มชุดสีฟ้าอมเขียวเปิดตาอย่างช้าๆ มองทะเลเมฆผ่านรอยยิ้มจางๆ ก่อนที่เสียงจะดังก้องเนิบนาบโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ
“เจ้าสองคนเจอไอ้กาลกิณีคนนั้นแล้วใช่ไหม?
บทที่ 1283 น้ำเต้าแดง
วาบ!
กระบี่แก้วเจาะทะลุมิติทันที เฉือนลงไปในทิศทางของกู้ซือหวง การจู่โจมกะทันหันนี้ช่างเต็มไปด้วยกลยุทธ์มากมาย แม้จะมีขุมพลังนี้ กู้ซือหวงก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีนี้ได้ เขาได้เพียงแต่ยืนมองกระบี่กวาดผ่านไปด้วยสีหน้าหวาดผวา
วินาทีนั้นแม้แต่วิญญาณก็หลุดออกจากร่าง เขาสามารถรู้สึกได้ว่ากระบี่ในมือของมู่เฉินชุดขาวเปล่งประกายรัศมีที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวออกมา
รัศมีนี่เป็นเอกลักษณ์ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน!
ในอดีตเจ้าของกระบี่เล่มนี้จะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริงแน่นอน!
ดังนั้นเมื่อกระบี่เคลื่อนผ่าน แม้แต่กู้ซือหวงก็รู้สึกหวาดผวา ทั้งๆ ที่เขามีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม เขาไม่เคยคิดเลยว่ามู่เฉินจะมีอาวุธที่น่ากลัวเช่นนี้
กระบี่แก้วนั่นจะต้องอยู่เหนือระดับอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงแน่
เมื่อกระบี่ฟาดลงมาก็รู้สึกราวกับว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ในฐานะจอมยุทธ์มากประสบการณ์ อึดใจสุดท้ายกู้ซือหวงก็ขยับศีรษะเล็กน้อยในมุมแปลกประหลาด
ชี่!
กระบี่เฉียดใบหูเฉือนลงบนไหล่ของเขา แม้ว่าจะมีร่างกายทรงพลัง กู้ซือหวงก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดรุนแรงที่อธิบายไม่ได้มาจากตรงที่โดนฟัน
อ๊าก!
กู้ซือหวงร้องเสียงหลง เกือบครึ่งหนึ่งของร่างกายส่วนบนจากไหล่พาดลงมาราวกับสะพายแล่ง นอกจากนี้ยังมีแสงผลึกวูบไหวบนร่างกาย แม้จะมีการฟื้นตัวอันแข็งแกร่งของเขาในฐานะจอมยุทธ์ตี้จื้อจุน ก็ไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ เลือดปกคลุมทั่วร่างดูน่าสมเพชอย่างไม่น่าเชื่อในขณะนี้
ปัง!
ด้วยความหวาดหวั่นใหญ่หลวง กู้ซือหวงก็ถอยกลับอย่างลนลานโดยไม่สนใจบาดแผลของตนเอง หนีไปไกลหมื่นจั้ง ก่อนที่จะหยุดมองไปที่มู่เฉินชุดขาวด้วยความตะลึงพรึงเพริด
“น่า-เสีย-ดาย”
มู่เฉินชุดขาวจับกระบี่เกล็ดจักรพรรดิมองไปที่กู้ซือหวงพลางส่ายหัวอย่างเสียดาย ด้วยร่างหลักและร่างรองร่างหนึ่งที่เป็นเหยื่อล่อก็ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของกู้ซือหวง ดังนั้นร่างรองอีกร่างจึงสามารถซ่อนตัวเพื่อลอบโจมตีที่ไม่คาดคิดได้
ผลลัพธ์ค่อนข้างดีทีเดียว แม้แต่กู้ซือหวงก็ไม่สามารถหลบได้ เพียงแต่สุดท้ายหลบจุดตายได้ มิฉะนั้นต่อให้กู้ซือหวงไม่ตาย เขาก็จะสูญเสียพลังในการต่อสู้ทั้งหมด
มู่เฉินชุดขาวสะบัดเลือดบนกระบี่ออก ก่อนที่เบนสายตาไปกระบี่แก้ว เขาสามารถสัมผัสถึงพลังงานส่วนที่เหลือภายในหายไปอีกส่วน
ตามการประเมินกระบี่เล่มนี้อาจจะใช้งานได้อีกสองครั้งก่อนที่จะหมดประโยชน์อย่างแท้จริง ในเวลานั้นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิจะไม่มีพิษสงเช่นนี้อีกต่อไป
“แต่พลังการต่อสู้ของกู้ซือหวงก็น่าจะลดลงหกถึงเจ็ดส่วนแล้ว เขาไม่ได้เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป”
มู่เฉินชุดขาวมองร่างหลัก เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า เขาจึงพุ่งเข้าไปอีกครั้ง แสงกะพริบวูบวาบบนกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ ในเวลานี้กู้ซือหวงตกอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุด ดังนั้นเขาจะปล่อยโอกาสดีเช่นนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อเห็นมู่เฉินชุดสีขาวพุ่งตรงมา กู้ซือหวงก็ถอยจ้าละหวั่น เห็นได้ชัดว่าเขากลัวกระบี่เล่มนั้นมาก
ฮึ่ม!
เมื่อมู่เฉินที่ยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะนิรันดร์เห็นสิ่งนี้ เขาก็เร้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ รหัสเทพอมตะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่จะทำการโจมตีกู้ซือหวง
กู้ซือหวงในตอนแรกได้เปรียบทุกประตูก็ตกเป็นเบี้ยล่าง เขาหลบหนีการไล่ล่าของมู่เฉินชุดขาวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังต้องป้องกันการโจมตีของมู่เฉิน ยามนี้รอบด้านถูกล้อมไปด้วยอันตรายแล้ว
ขณะที่กู้ซือหวงตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เหลียงเสียหยูที่ตึงมืออยู่กับหลงเซี่ยงและลั่วหลีก็สังเกตเห็นภาพนั้นเช่นกัน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาไม่เคยคิดว่ากู้ซือหวงจะถูกบีบอยู่ในจุดนั้น
“บ้าเอ้ย ไอ้เด็กกาลกิณีนั่นมีทักษะแบบนี้ด้วยหรือ?!”
หัวใจของเหลียงเสียหยูสั่นไหวด้วยความตื่นตระหนก หากกู้ซือหวงพ่ายแพ้ เขาก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ดีกว่าแน่
ดังนั้นเขาต้องไปช่วยเหลือพรรคพวก!
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ!”
ทว่าขณะที่สมาธิแตกซ่าน เสียงหัวเราะร้ายกาจก็ดังก้อง หลงเซี่ยงมาปรากฏตรงหน้าแล้วซัดหมัดออกมา นี่เป็นหมัดที่มาพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรพลายที่บรรจุด้วยพลังของสัตว์อสูรทั้งสองไว้อย่างล้นหลาม กระแทกลงบนม่านพลังที่เบื้องหน้าเหลียงเสียหยู
ปัง!
ม่านแข็งแกร่งแตกออก เหลียงเสียหยูก็ถลาออกไปพร้อมกับใบหน้าสลับไปมาระหว่างสีขาวกับสีเขียว ขณะที่เขาพยายามระงับคลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านในร่างกาย เขาก็เห็นหลิงเซี่ยงพุ่งมาอีกครั้ง ดังนั้นเขาได้แต่ตั้งสมาธิจัดการหลงเซี่ยงและลั่วหลีที่อยู่ตรงหน้า
ขณะที่เหลียงเสียหยูกำลังติดพันการต่อสู้ ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตที่ถูกขังอยู่ค่ายกลก็มองไปที่กู้ซือหวงด้วยสีหน้ามืดมน จากนั้นเขาก็จ้องมองที่กระบี่ในมือมู่เฉินด้วยริ้วความหวาดหวั่นในดวงตา
เมื่อครู่เขาเห็นมู่เฉินชุดขาวที่ถือกระบี่เกือบสังหารกู้ซือหวงได้แล้ว
“ไอ้เด็กเหลือขอนั่นแปลกประหลาดเหลือเกิน มันเป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น แต่กลับมีร่างรองสองร่างที่มีขุมพลังเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นกระบี่แก้วนั่นต้องเป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอย่างแน่นอน!”
“หรือว่ามันมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหนุนหลังอยู่?”
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ทำให้หัวใจของผู้อาวุโสอสรพิษมรกตเย็นยะเยือก เขาเป็นจอมยุทธ์อิสระ ไม่มีการสนับสนุนที่ทรงพลังอย่างเผ่าฝูถู ถ้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินปรากฏตัวขึ้นละก็ แม้ว่าเขาจะสร้างปัญหาให้เผ่าฝูถูไม่ได้ แต่จะทำอะไรกับคนอย่างเขาไม่ได้เชียวเหรอ?
กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูมีเผ่าฝูถูสนับสนุน แต่เขาไม่มีอะไรเลย!
“ไอ้หมาแก่ แกลากข้าเข้าไปในเรื่องวุ่นจริงๆ ไอ้เด็กประหลาดนั่นดูเหมือนคนที่ไม่มีเบื้องหลังตรงไหน?!”
ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตสาปแช่งในใจ สถานการณ์นี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่กู้ซือหวงพ่นบอกก่อนหน้า
“ข้าอยู่ต่อไม่ได้แล้ว นี่เป็นเรื่องระหว่างไอ้เด็กเหลือขอกับเผ่าฝูถู คนอย่างข้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้”
ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตกัดฟันกรอด กระดาษรางสีทองปรากฏในมือทำให้เกิดความผันผวนในมิติ
นี่คือกระดาษรางโบราณเป็นสิ่งที่เขาได้รับจากซากอารยธรรมโบราณ ตราบใดที่ใช้มันเขาก็จะสามารถหลุดพ้นจากสถานการณ์อันตรายใดๆ ได้
ตอนแรกเขาก็ไม่ต้องการใช้ แต่ถ้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินปรากฏตัว เขาก็ไม่มีทางหนีได้อีกแล้ว
ด้วยความคิดนี้ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตก็ไม่ลังเล นิ้วสะบัดออกไป กระดาษรางลุกโชติช่วง ทำให้เกิดระลอกคลื่นมิติผันผวนเข้มข้น ก่อร่างเป็นวังวนทำลายพันธนาการของค่ายกลสะเก็ดดาวไหลเวียนสวรรค์
“อสรพิษมรกต เจ้าคิดจะทำอะไร?!” เมื่อสัมผัสถึงความผันผวนมิติที่รุนแรง กู้ซือหวงที่สังเกตเห็นก็ตะคอกลั่น
แต่ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตไม่ตอบสนองอะไร เขาก้าวเข้าไปในอุโมงค์มิติหายวับไปกับตา
“ไอ้เวร!”
เฝ้ามองการหนีของผู้อาวุโสอสรพิษมรกต กู้ซือหวงก็โกรธจนแทบคลั่ง หากไม่มีอีกฝ่ายคอยช่วยต้านค่ายกล หลิงซีก็จะใช้ค่ายกลประสานแรงเข้าช่วย เผชิญหน้ากับค่ายกลทรงพลังนี้ ไม่มีความหวังใดๆ สำหรับเขาที่หลังชนฝาแล้ว
ฮึ่ม ฮึ่ม
ความคิดนี่ไม่ผิดเลย ทันทีที่ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตหลบหนีค่ายกลสะเก็ดดาวไหลเวียนสวรรค์ที่ล้อมรอบเกาะก็เริ่มเคลื่อนไหว แสงดาวพุ่งลงมาจากท้องฟ้าพยายามกักขังเขา
เมื่อกู้ซือหวงเห็นแสงดาวเหล่านั้นก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบไปหมด ค่ายกลนี้สามารถจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ ถ้าเขาอยู่ในสภาพเต็มร้อยก็ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่นี่ไม่เพียงเขาได้รับบาดเจ็บหนัก เขายังต้องเผชิญกับการโจมตีที่ดุเดือดของมู่เฉิน ถ้าเขาติดอยู่ในค่ายกลบวกกับมู่เฉินใช้กระบี่อีกครั้ง งานนี้ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแล้ว
เพียงแค่คิดความตายก็ทำเอากู้ซือหวงรู้สึกกลัวไม่รู้จบ ก่อนที่เขาจะกัดฟันคำราม “ไอ้สารเลว แกบังคับข้าเองนะ!”
ขณะที่คำรามก็ถือแผ่นหยกบดขยี้ลงไป
ปัง!
แผ่นหยกที่ถูกขยี้ก็กำจายแสงหลิงไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อตัวเป็นวังวนขนาดใหญ่เกิดความผันผวนน่าสะพรึงกลัว
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป ความผันผวนของคลื่นหลิงช่างลึกซึ้งและไม่อาจหยั่งรู้ แค่รู้สึกสั้นๆ ก็ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง
“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน!”
ม่านตามู่เฉินหดลง เขาไม่คิดว่ากู้ซือหวงจะสามารถเชิญจอมยุทธ์ระดับนี้ของเผ่าฝูถูมาได้
ทันใดนั้นหินสลักอักขระชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา หากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจากเผ่าฝูถูมาถึงจริง เขาก็จะต้องใช้ความช่วยเหลือครั้งสุดท้ายเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมา
ความปั่นป่วนนี้ทำให้สนามรบฝั่งลั่วหลีหยุดลง เหลียงเสียหยูก็เคลื่อนไหวไปปรากฏตัวข้างกู้ซือหวงมองวังวนขนาดใหญ่ “ตาเฒ่า เจ้าไม่รู้หรือไงว่าท่านผู้อาวุโสใหญ่พูดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนห้ามเข้ายุ่งเกี่ยวกับการจัดการไอ้เด็กนี่”
“ตอนนี้ข้าไม่สนอะไรแล้ว!”
กู้ซือหวงกัดฟันขณะพูดต่อ “ผู้อาวุโสเฮยกวางอยู่ข้างเรา แค่ซ่อนเรื่องให้ดี ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่รู้หรอก”
เหลียงเสียหยูได้แต่พยักหน้าตามคำพูดไป
“ทำลายอุโมงค์มิติ!”
มู่เฉินคำราม หากพวกเขาสามารถทำลายช่องทางนี้ได้ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็จะไม่สามารถมาที่นี่ได้
เมื่อมู่เฉินคำราม แสงดาวนับไม่ถ้วนจากค่ายกลก็ตกลงมาราวกับอุกกาบาตมุ่งไปทางอุโมงค์มิติ
มู่เฉินสั่งร่างเทพสุริยะนิรันดร์ รหัสเทพอมตะก็ทะยานขึ้นไปพุ่งเข้าหาอุโมงค์มิตินั่น
แม้แต่หลงเซี่ยงและลั่วหลีก็ออกกระบวนท่า พวกเขาปลดปล่อยการโจมตี พยายามทำลายอุโมงค์นั้น
แต่เผชิญหน้ากับการกระทำของพวกเขา กู้ซือหวงก็ยิ้มเย้ยหยันเท่านั้น
อุโมงค์มิติขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อการโจมตีพุ่งไปถึง เสียงแก่ชราก็ดังกึกก้องพร้อมด้วยแรงกดดันมหาศาลเดินทางผ่านมิติห่างไกลสะท้อนออกมาในภูมิภาคนี้
“ไอ้พวกโอหัง แกกล้าที่จะไร้มารยาทต่อหน้าชายชราคนนี้เหรอ?!”
ตู้ม!
มือคลื่นหลิงที่จินตนาการไม่ได้ยื่นออกมาจากมิติ สลายการโจมตีทันทีก่อนที่จะโอบล้อมเกาะทั้งหมดไว้
ใบหน้าของหลงเซี่ยงขาวซีด เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน พวกเขาไม่สามารถต้านทานได้เลย
สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม เขามองฝ่ามือตั้งใจจะบดขยี้หินสลัก
แต่ทันใดนั้นมิติเบื้องหน้าพวกเขาก็แตกออก น้ำเต้าสีแดงบินออกมาอย่างแปลกประหลาด
“เฮ้ ชายชราคนนี้อุตส่าห์พบเมล็ดพันธุ์ชั้นดี ถ้าโดนเผ่าฝูถูของพวกเจ้าทำลาย เผ่าไท่หลิงโบราณของข้าจะไม่จบเรื่องง่ายๆ แน่!
เมื่อน้ำเต้าสีแดงบินออกมา เสียงหัวเราะลั่นก็ดังที่ด้านข้างกลุ่มมู่เฉิน
บทที่ 1282 ราชสีห์เทวโลกพินาศ
ฮึ่ม ฮึ่ม
การปะทะกันจากคลื่นเสียงค่อยๆ กระจายออกไป ทำให้เกิดคลื่นยกตัวขึ้นรอบเกาะหัวใจหยก ซึ่งดูราวกับวันโลกาวินาศ
ยืนอยู่บนร่างราชสีห์เทวโลกใบหน้าของกู้ซือหวงก็มืดมนถึงขีดสุด พลังที่มู่เฉินแสดงให้เห็นทำให้เขาตะลึงพรึงเพริด ขณะเดียวกันจิตสังหารรุนแรงก็เพิ่มขึ้นในหัวใจ
แม้ว่ามู่เฉินจะมีมารดาที่เป็นยอดยุทธ์แบบชิงเหยี่ยนจิ้ง แต่เขากลับไม่เคยใช้ทรัพยากรสักอย่างเดียวของเผ่าฝูถู ถึงกระนั้นเขาก็ยังสามารถเข้าถึงระดับสูงดังกล่าวได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
ดังนั้นในแง่ของพรสวรรค์มู่เฉินไม่ด้อยกว่าประมุขน้อยเฉวียนหลัว อัจฉริยะของเผ่าในรอบพันปีเลยทีเดียว
หากวันหนึ่งมู่เฉินสามารถกลับไปยังเผ่าได้ละก็ เขาจะกลายเป็นคู่แข่งที่ทรงพลังที่สุดที่จะชิงชัยตำแหน่งประมุขคนใหม่กับประมุขน้อยของพวกเขา
สายตาอัดแน่นด้วยความตั้งใจฆ่าหนาแน่น อึดใจกู้ซือหวงก็สูดหายใจลึก มือวาดตราประทับโดยไม่ลังเล
ตู้ม!
ขณะที่กระบวนท่าวูบไหว โลกก็สั่นสะเทือน เนื่องจากร่างราชสีห์เทวโลกเปล่งความกดดันที่น่ากลัว
เวลานี้แม้แต่มิติทั้งหมดยังโยกคลอน
โฮก โฮก!
เสียงคำรามอันน่าตื่นตะลึงระเบิดจากร่างราชสีห์เทวโลก ทุกเสียงคำรามพัดพาพายุไปทั่วบริเวณ เมื่อเสียงคำรามทวีความรุนแรงแสงสีดำก็รวมตัวกันที่หน้าผากร่างราชสีห์เทวโลก
เมื่อมู่เฉินมองดูแสงสีดำ ม่านตาก็หดแคบลง เขารู้สึกถึงอันตรายใหญ่หลวง ทันใดนั้นคลื่นหลิงในร่างกายก็ไหลเวียนอย่างรุนแรง ขณะที่เข้าสู่สภาวะการป้องกันสูงสุด
เมื่อผู้อาวุโสอสรพิษมรกตที่ติดอยู่ในค่ายกลที่เห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เขาเข้าใจกู้ซือหวงค่อนข้างดี เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามทำอะไรในตอนนี้
“กู้ซือหวงจะใช้กระบวนท่านี้จริงหรือ? ไอ้เด็กเหลือขอนั่นจัดการยากขนาดนั้นเชียว?”
สายตาของผู้อาวุโสอสรพิษมรกตวูบไหว ตัวเขาเคยปะทะกับกู้ซือหวง ดังนั้นจึงรู้ว่ากระบวนท่านี้น่ากลัวแค่ไหน แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่กล้ารับซึ่งหน้า
แต่ตอนนี้กู้ซือหวงกลับใช้กระบวนท่าดังกล่าวเพื่อจัดการกับมู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ซึ่งดูจะมากไปหน่อย…
ทว่าผู้อาวุโสอสรพิษมรกตก็เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ระวังตัวแจเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงบอกได้ว่าไม่ใช่เพราะกู้ซือหวงต้องการจะใช้กระบวนท่านี้ แต่ทักษะอื่นไม่เพียงพอที่จะจัดการกับมู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
“สถานการณ์นี้ไม่ค่อยจะดีแล้วสิ”
ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตพึมพำกับตัวเอง ด้วยนิสัยของเขาฉลาดแกมโกงราวกับงูพิษ สาเหตุที่เขามาช่วยกู้ซือหวงเพราะเขาไม่รู้สึกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะเป็นภัยคุกคาม
แต่เมื่อมองจากตอนนี้ชายหนุ่มคนนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
นอกจากนี้…
เขามองไปอีกทางหนึ่งที่เกิดการต่อสู้เช่นกัน ในเวลานี้เหลียงเสียหยูกำลังตกอยู่ในภาวะชะงักงันเนื่องจากคู่ต่อสู้ของเขาทั้งคู่ยากจัดการได้อย่างน่าประหลาดใจนัก
แม้ว่าหลงเซี่ยงจะมีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เขาก็มีพละกำลังที่น่าสะพรึงกลัว แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็อาจต้องทนทุกข์เมื่อเผชิญหน้ากับเขา
สำหรับหญิงสาวสะคราญโฉมปานล่มเมือง นางทำให้เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อยิ่งกว่า แม้ว่าจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ก็ทำให้ใบหน้าของผู้อาวุโสอสรพิษมรกตเปลี่ยนไป เมื่อเขาเห็นร่างเทห์สวรรค์ของนาง
เขาจำได้ว่านี่เป็นร่างเทพวารีของลั่วเสินที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ!
ด้วยพลังร่างเทห์สวรรค์ของลั่วเสิน แม้ว่าลั่วหลีจะได้แต่สนับสนุนหลงเซี่ยง แต่การโจมตีบางครั้งของนางก็ทำให้เหลียงเสียหยูมีปัญหาไป จนไม่สามารถตั้งสมาธิจัดการหลงเซี่ยงได้เต็มกำลัง
แม้ว่าการรวมตัวของพวกเขาจะดูหรูหราด้วยจำนวนจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคน แต่ตอนนี้กลับไม่มีข้อได้เปรียบในการต่อสู้แล้ว…
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ใบหน้าขอผู้อาวุโสอสรพิษมรกตก็ดิ่งลง ดวงตาวูบไหว ไม่รู้คิดอะไรอยู่
ขณะที่ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตตกอยู่ในความภวังค์คิด แสงสีดำก็ควบแน่นบนหน้าผากของร่างราชสีห์เทวโลก มองดูราวกับหลุมดำ
สายตาหนาวเหน็บของกู้ซือหวงจ้องเขม็งที่มู่เฉิน เสียงน่ากลัวดังก้อง
“หลายปีที่ผ่านมาคนที่ทำให้ข้าต้องใช้วิชานี้ล้วนเป็นจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั้งสิ้น นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าใช้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย!”
“ดังนั้นครั้งนี้ถึงเวลาตายแล้ว!”
เมื่อพูดจบสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเป็นชั่วร้าย กระบวนท่าในฝ่ามือหมุนควงเร็วรี่ เสียงคำรามดังสะท้อน
“ทักษะเทห์สววรรค์ ราชสีห์เทวโลกพินาศ!”
เมื่อเขาคำราม หลุมดำบนหน้าผากร่างราชสีห์เทวโลกก็หมุนคว้างรุนแรง ลำแสงสีดำพุ่งถัดออกมา
ลำแสงสีดำก่อตัวเป็นสิงโตสีดำขนาดใหญ่หลายสิบจั้งที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกล้ำพร้อมกับรัศมีทำลายล้างเล็ดลอดออกมา
ขณะที่สิงโตเคลื่อนไหว ทุกอย่างในเส้นทางก็พังทลายลง พลังชีวิตทั้งหมดสูญสลาย
มองร่างสิงโตสีดำใบหน้าของมู่เฉินก็เคร่งขรึมลงหลายส่วน จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทรงพลังอย่างแท้จริง ความสามารถของทักษะดังกล่าวนิยามได้ด้วยคำว่าน่าสะพรึงกลัวเท่านั้น
พลังความสามารถของทักษะเทห์สวรรค์นี้เป็นสิ่งที่วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็มบางวิชายังไม่อาจเทียบเคียง!
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึก เขารู้ว่ากู้ซือหวงได้นำกระบวนท่าขั้นสุดยอดออกมาแล้ว หากเขาไม่สามารถปิดกั้นได้ เขาจะต้องพ่ายแพ้ในวันนี้ แม้ว่าจะได้รับการคุ้มครองจากร่างสุริยะนิรันดร์ก็ตาม
ดังนั้นเขาจึงกระทืบเท้า เทคลื่นหลิงทุกหยาดหยดลงในร่างสีม่วงทอง
ฮึ่ม ฮึ่ม
ดังนั้นรหัสเทพอมตะก็เริ่มขดตัวรอบตัวเขาราวกับมังกรสีม่วงทองขนาดใหญ่
ในเวลาไม่กี่อึดใจ จำนวนก็มาถึงห้าสิบห้าลวดลาย!
นี่เป็นขีดจำกัดปัจจุบันของมู่เฉิน
มองดูลวดลายทั้งห้าสิบห้าลวดลาย กู้ซือหวงก็หัวเราะในใจ เขารับรู้ถึงพลังของรหัสเทพอมตะผ่านการแลกกระบวนท่าก่อนหน้า แต่ห้าสิบห้าลวดลายนี้ยังไม่สามารถสกัดการสังหารของเขาได้!
“ถ้านี่คือทั้งหมดที่มีก็นอนง่อยอยู่ที่นี่แล้วกัน!”
กู้ซือหวงยิ้มเหี้ยม ขณะที่สิงโตสีดำเพิ่มความเร็วพุ่งเข้าหาร่างสีม่วงทอง
ขณะที่สิงโตเข้าประชิด มู่เฉินก็เม้มปาก ตัวเขารู้ดีว่ารหัสเทพอมตะห้าสิบหน้าลวดลายยังไม่เพียงพอ…
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…”
สายตาของมู่เฉินวูบไหวขณะที่วาดตราประทับ ครู่ต่อมามิติที่ด้านข้างก็ผันผวน ก่อนที่เงาร่างหนึ่งจะปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ
นี่คือมู่เฉินชุดดำ!
เมื่อกู้ซือหวงเห็นมู่เฉินปรากฏขึ้นอีกคน เขาก็จ้องเขม็งด้วยความไม่เชื่อ เพราะเขารู้สึกได้ว่ามู่เฉินคนนี้ก็มีคลื่นหลิงทรงพลังไม่แพ้กัน
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอีกคน!
“เป็นไปได้ยังไง?!” กู้ซือหวงอุทานลั่น
ทว่ามู่เฉินไม่สนใจ เมื่อมู่เฉินชุดดำปรากฏตัวก็วางมือบนร่างสุริยะนิรันดร์ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพุ่งออกมาจากร่างเขาเข้าสู่ร่างสีม่วงทอง
ด้วยแหล่งพลังงานอื่นร่างสีม่วงทองก็ผันแสงเรืองรอง ควบแน่นเป็นรหัสเทพอมตะที่มากขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจรหัสเทพอมตะที่รอบตัวก็เพิ่มขึ้นถึงแปดสิบลวดลาย!
ลวดลายทั้งหมดล้อมรอบมู่เฉิน เปล่งความผันผวนที่น่าสะพรึงออกมา ทำให้มิติโยกคลอนไปหมด
มองดูจำนวนของรหัสเทพอมตะ มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจก่อนที่จะโบกมือ รหัสทั้งหมดก็พุ่งออกมา
“รหัสเทพอมตะ แปรเปลี่ยน โล่อมตะ!”
ลวดลายทั้งแปดสิบลวดลายถักทอกันเป็นโล่สีม่วงทองขนาดพันจั้งที่เบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมกับรัศมีอมตะที่ทำให้ดูเหมือนไม่สามารถทำลายได้
ด้วยการป้องกันแบบนี้ แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญกับกระบวนท่าขั้นสุดยอดของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ก็คงสามารถต้านทานได้บ้าง
ตู้ม!
เมื่อโล่ถูกสร้างขึ้นสิงโตสีดำก็มาถึง แม้จะมีขนาดเล็กกว่าโล่ แต่ดวงตาของมู่เฉินก็ถึงกับแคบลงทันทีที่เกิดการชนกัน
นั่นเพราะเขาพบว่าตนเองก็ยังประเมินกระบวนท่านี้ของกู้ซือหวงต่ำไป!
ครืน!
เสียงสะท้อนขนาดใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อดังก้อง พายุใหญ่คลื่นหลิงกวาดออกในบริเวณโดยรอบ ทำให้มิติแตกสลาย
รัศมีสีดำพัวพันบนโล่ ภายใต้การกัดกร่อนของรัศมีหายนะ รอยแตกก็เริ่มปรากฏขึ้นบนโล่
“ไอ้เด็กเวร แกต้องการหยุดกระบวนท่าข้าด้วยสิ่งนี้เรอะ? ฝันไปแล้ว!” กู้ซือหวงคำรามด้วยเสียงหัวเราะ
ปัง!
เมื่อเสียงหัวเราะดังขึ้นตัวโล่ก็มาถึงขีดจำกัดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อึดใจถัดไปพลังที่เหลือก็ห่อหุ้มไปในทิศทางของมู่เฉิน
ใบหน้าของกู้ซือหวงเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา แม้โล่จะต้านพลังส่วนใหญ่ไว้ได้ แต่พลังที่เหลืออยู่ก็ยังสามารถทำร้ายมู่เฉินได้
แสงสีดำกระจายหายไป ทิศทางมู่เฉินก็เห็นได้ชัดขึ้น
เมื่อกู้ซือหวงมองไปใบหน้าก็ดิ่งลง เนื่องจากเขาเห็นว่ามู่เฉินยังคงยืนอยู่บนไหล่ของร่างสีม่วงทองโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ทว่าใบหน้าของมู่เฉินชุดดำซีดเผือดลง คลื่นหลิงรอบตัวเขาก็ลดลงสูญเสียพลังในการต่อสู้ไป
เห็นได้ชัดว่าในวินาทีสุดท้ายมู่เฉินชุดดำดูดซับความเสียหายทั้งหมด เพื่อที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อมู่เฉิน
“เจ้าเล่ห์เหลือเกิน!”
ใบหน้าของกู้ซือหวงเย็นชาขณะที่แสยะยิ้ม “แต่ก็ช่าง ร่างเสมือนของแกบาดเจ็บหนักแล้ว ข้าจะดูสิว่าแกจะทำอะไรได้อีกบ้าง”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำร้ายมู่เฉิน แต่เขาก็จัดการกับมู่เฉินชุดดำ ตอนนี้มู่เฉินไม่สามารถยืมพลังได้อีกต่อไป
ทว่าเผชิญหน้ากับเสียงหัวเราะบ้าคลั่งของกู้ซือหวง มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มผิดแผก
“ใครบอกแกว่าข้ามีร่างรองแค่ร่างเดียว?”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ม่านตาของกู้ซือหวงก็แคบลง ภัยคุกคามคลุมเครือห่อหุ้มหัวใจเขาไว้ เขาหันหลังควับ ทันใดนั้นก็เห็นสิ่งน่าสะพรึงกลัว มิติด้านหลังเขาฉีกขาดจากกันเงาสีขาวปรากฏขึ้น
นี่คือมู่เฉินชุดขาว ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายได้ถือกระบี่แก้วโบราณเอาไว้
เมื่อกู้ซือหวงมองไปที่กระบี่ วิญญาณของเขาก็แทบจะหลุดออกจากร่าง เพราะเขารู้สึกถึงรัศมีของจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนบนกระบี่เล่มนั้น!
เห็นสายตาสิ้นหวังของกู้ซือหวง มู่เฉินชุดขาวก็ยิ้มอ่อน พริบตากระบี่แก้วใสในมือก็ตัดผ่านมิติ เฉือนลงไปที่หัวของกู้ซือหวงในลักษณะที่ไม่อาจหลบหนีได้
“ไอ้แก่ ตายซะเถอะ…”
บทที่ 1281 จิตสังหาร
ตู้ม!
ฝ่ามือและกำปั้นปะทะกันพลังทำลายล้างก็ทำให้มิติรอบด้านทั้งสองพังครืนลง ราวกับว่ากลายเป็นหลุมดำกลืนกินแสงสว่างทั้งหมด
รอยยิ้มร้ายกาจแขวนบนริมฝีปากกู้ซือหวง เขาเหมือนจะเห็นฉากพิการของมู่เฉินในเวลาต่อมาแล้ว
ปัง!
เสียงแสบแก้วหูสะท้อนก้องไปมา แต่เมื่อดังออกมาใบหน้าของกู้ซือหวงก็เปลี่ยนไปรุนแรง ความตะลึงพรึงเพริดพล่านในนัยน์ตา
นั่นเป็นเพราะทันทีที่เกิดการปะทะกัน เขาก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังที่มาจากกำปั้นของมู่เฉินนั้นเกินกว่าขอบเขตระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย!
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายควรมี!
ตึง!
คลื่นกระแทกที่มองเห็นด้วยตาเปล่ากวาดออก สรรพสิ่งในรัศมีหนึ่งพันลี้ก็ถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง แม้แต่รอยแตกก็ถูกทิ้งไว้ในมิติโดยรอบ
โคลนสาดกระเซ็น ร่างมู่เฉินก็สั่นสะท้านก่อนจะพัดกลับไปจากผลกระทบ เขาก้าวถอยหลังไปร้อยกว่าแต่ละก้าวทิ้งรอยเท้าลึกไปบนพื้น
ส่วนกู้ซือหวงก้าวถอยหลังไปยี่สิบกว่าก้าว แม้ว่าอาจดูเหมือนว่าได้เปรียบ แต่ใบหน้าของเขากลับมืดครึ้ม
สายตาจ้องมู่เฉินเขม็งด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยว เขาไม่เคยคิดเลยว่าในการประจันหน้ากันตรงๆ มู่เฉินจะต้านการโจมตีของเขาได้
มู่เฉินรับการโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายรึ?
ในเวลานี้กู้ซือหวงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ฝ่ามือของเขาไม่ต้องพูดถึงตี้จื้อจุนขั้นปลายเลย แม้แต่จอมยุทธ์เกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแบบหลงเซี่ยงก็อาจได้รับบาดเจ็บหนักหากประมาท
ทว่ามู่เฉินยังสามารถกระโดดไปมาหลังจากรับฝ่ามือจากเขา โดยไม่แสดงอาการบาดเจ็บใด
ขณะที่กู้ซือหวงรู้สึกตกใจ มู่เฉินก็ลูบกำปั้นด้วยความตกตะลึงเช่นกัน จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทรงอำนาจแท้จริง แม้ว่าหมัดเขาเมื่อสักครู่อาจจะดูธรรมดา แต่ก็มีการผสมผสานระหว่างมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบวกกับคลื่นหลิงที่ขยายผ่านเจดีย์ผลึกแก้วใส อาจกล่าวได้ว่าแม้กระทั่งหลงเซี่ยงก็ยังไม่สามารถรับหมัดนี้จากเขา
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เสียเปรียบเล็กน้อยเมื่อปะทะกับกู้ซือหวง ดังนั้นนี่บอกได้ว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มทรงพลังเพียงใด
ทว่าการเผชิญหน้ากับศัตรูในระดับนี้ ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่แสดงความกลัว แต่ดวงตากลับเปล่งประกายแทน เส้นทางสู่ยอดยุทธ์จำเป็นต้องท้าทายขีดจำกัดของตนเองอย่างต่อเนื่อง กู้ซือหวงจะได้รับเกียรติเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มคนแรกที่เขาจะเปิดศึกด้วย
มู่เฉินเอียงศีรษะพลางโบกมือเบาๆ ให้ลั่วหลีและหลงเซี่ยง เพื่อให้พวกเขาประสานกำลังจัดการกับจอมยุทธ์อีกคน
ลั่วหลีและหลงเซี่ยงพยักหน้า ก่อนที่จะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า สายตาจับจ้องไปที่เหลียงเสียหยู
“คึๆ จอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มกับขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น พวกแกกล้าที่จะท้าทายข้าด้วยการรวมตัวกันเนี่ยนะ รนหาที่ตายแล้ว” เหลียงเสียหยูแสยะยิ้ม
“ตาเฒ่ากู้ ข้าจะไปช่วยเจ้าหลังจากจัดการพวกมันเรียบร้อย!”
เหลียงเสียหยูหัวเราะก่อนที่จะพุ่งไปในทิศทางของลั่วหลีและหลงเซี่ยง
“หึ มันก็แค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ราวกับลูกไก่ในกำมือข้าที่จะจัดการ” กู้ซือหวงเค้นเสียงขึ้นจมูก ชัดว่ารู้สึกถูกลูบคม
ขณะที่พูดสายตาเย็นชาของเขาก็จับจ้องไปที่มู่เฉินราวกับอสรพิษร้าย คลื่นหลิงไร้ขอบเขตผันแปรจากร่างกาย ประหนึ่งขอบเขตที่ดูใหญ่โตไม่มีที่สิ้นสุด
สามารถบอกได้ว่ากู้ซือหวงถอนอาการดูถูกเหยียดหยามและเริ่มใช้พลังเต็มที่
รับรู้ถึงความกดดันที่น่ากลัวจากกู้ซือหวง สายตาของมู่เฉินก็กะพริบวูบไหว วินาทีต่อมาเขาก็สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ก่อนที่มือจะวาดกระบวนท่าตราประทับเร็วปานสายฟ้า
ฮึ่ม!
แสงไม่มีวันจบสิ้นพล่านขึ้นจากด้านหลังมู่เฉิน รัศมีสีม่วงทองแปรสภาพเป็นร่างเวทสวรรค์ นี่คือร่างเทพสุริยะนิรันดร์!
พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของการเพาะบ่มขุมพลัง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็เพิ่มขนาดขึ้นพันจั้ง ทว่าก็ยังเล็กมากเมื่อเทียบกับร่างเวทสวรรค์อื่นๆ ที่มีขนาดหลายหมื่นหรือหลายแสนจั้ง
ทว่าเมื่อมองไปที่ร่างเวทสวรรค์ขนาดเล็กบางนี้ กู้ซือหวงก็ไม่ได้เยาะเย้ย กลับมองอย่างเคร่งเครียดลงหลายส่วน เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อมู่เฉินเรียกร่างสีม่วงทองขึ้นมา แม้แต่เขาก็รู้สึกถึงอันตรายเบาบางเล็ดลอดมาจากมัน
“ร่างเวทสวรรค์นี้คืออะไร?”
กู้ซือหวงขมวดคิ้ว ร่างเวทสวรรค์นี้ต้องเป็นของหายากมาก ดังนั้นแม้แต่เขาก็ยังจำไม่ได้ แต่เขาสามารถยืนยันได้ว่าในแง่ของการจัดอันดับร่างสีม่วงทองนี้อยู่ในยี่สิบอันดับแรกแน่นอน!
ร่างเวทสวรรค์ระดับนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่เขาที่เป็นสมาชิกเผ่าฝูถูโบราณก็ไม่สามารถครอบครองได้
“หึ ไม่ว่าแกจะครอบครองร่างเวทสวรรค์อะไร พลังของแกก็ยังมีอย่างจำกัด!” กู้ซือหวงเค้นเสียงเย็นชา ก่อนที่จะก้าวออกไป ทันใดนั้นแสงหลิงก็มารวมตัวกัน อึดใจหลังจากนั้นก็สร้างร่างเวทสวรรค์ขนาดแสนจั้งขึ้นมา
ร่างเวทสวรรค์นี้เปล่งแสงสีเงินดูหยาบกระด้างและที่น่าตกใจก็คือหัวของมันเป็นหัวสิงโต
รัศมีชั่วร้ายปลดปล่อยจากร่างเวทสวรรค์นี้ ทำให้อุณหภูมิในบริเวณนี้ลดฮวบลงทันที
เมื่อมองไปที่ร่างหัวสิงโต สายตาของมู่เฉินก็วูบไหว “อันดับสี่สิบเอ็ดในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง ร่างราชสีห์เทวโลก?”
ร่างเทห์สวรรค์นี้ชัดว่าไม่ใช่ธรรมดา
เมื่อปรากฏขึ้นใบหน้าของกู้ซือหวงก็ถึงกับเคร่งขรึม รัศมีอันตรายที่ปล่อยออกมาก็ถึงขีดจำกัดเลยทีเดียว
“มู่เฉิน แกจงภาคภูมิใจที่บีบข้าให้นำร่างเวทสวรรค์ออกมาทั้งที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น”
กู้ซือหวงพุ่งตัวขึ้นไปบนไหล่ของร่างเวทสวรรค์ ก่อนที่จะก้มมองมาที่มู่เฉิน เสียงที่ไม่แยแสสะท้อนออกมา
ในอดีตเว้นแต่ว่าต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ที่มีขุมพลังเดียวกัน ไม่อย่างนั้นกู้ซือหวงก็จะไม่นำร่างเวทสวรรค์ออกมา แต่วันนี้เขากลับนำมาใช้จัดการกับมู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกไม่สบายใจกับอีกฝ่าย
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจคำพูดนั่น เขากระทืบเท้าพร้อมกับฝ่ามือประสานกันเร็วรี่ แสงสีม่วงทองเข้มลึกก็ปรากฏบนร่างเทพสุริยะนิรันดร์อย่างรวดเร็ว
รหัสเทพอมตะ!
เมื่อรหัสเทพเริ่มควบแน่น แต่ละลวดลายก็ราวกับมังกรสีม่วงขดตัวรอบร่างมู่เฉิน ในไม่กี่อึดใจจำนวนที่ได้มาก็ถึงระดับห้าสิบลวดลายอย่างน่าทึ่ง!
ย้อนกลับไปตอนที่มู่เฉินสู้กับหลิงจั้นจื่อ เขาเร้ารหัสเทพได้ยี่สิบสามลวดลายก็ถึงขีดจำกัด ทว่าเมื่อเขาบรรลุขุมพลังอีกขั้น รหัสเทพอมตะก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ขณะที่รหัสเทพห้าสิบลวดลายล้อมรอบมู่เฉินก็กำจายความผันผวนที่น่าสะพรึงออกมา ทำให้มิติโดยรอบสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากแรงกดดัน
เผชิญหน้ากับศัตรูขุมพลังดังกล่าว เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินไม่มีความตั้งใจที่จะอุ่นเครื่อง เขาโจมตีโดยไม่ลังเลทันที
“ไป!”
มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อ รหัสเทพอมตะห้าสิบลวดลายก็บินออกไป ก่อตัวเป็นหมุดสีทองที่มีความคมชัดไม่มีใครเทียบยิงไปทางกู้ซือหวง
มองไปที่หมุดที่กำลังพุ่งมาในทิศทางของตน ดวงตากู้ซือหวงก็หดลง จากนั้นเค้นเสียงเย็น เขากระทืบเท้าลงบนพื้น ร่างเวทสวรรค์เปิดปากคำราม
“เสียงคำรามราชสีห์เทวโลก!”
สิงโตดึกดำบรรพ์แผดเสียงดังกึกก้อง คลื่นกระแทกแรงกล้าและพลังพินาศอันตรายกวาดออก
การโจมตีด้วยคลื่นเสียงนี้มีความครอบงำอย่างมาก ซึ่งสามารถเพิกเฉยต่อการป้องกันส่วนใหญ่ได้ ถ้าเป็นพวกจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นยืนอยู่เบื้องหน้ากู้ซือหวง การคำรามนี้อาจทำให้คู่ต่อสู้ตัวฉีกขาดออกจากกันเลยทีเดียว
ปัง ปัง!
หมุดถูกขัดขวางไว้ก่อนที่จะกระเด็นกลับโดยคลื่นเสียงกดขี่ แต่โชคดีเนื่องจากความลึกซึ้งของรหัสเทพจึงไม่แตกสลาย
เสียงคำรามยังคงพุ่งมาใส่มู่เฉิน
“สมกับเป็นระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแท้จริง”
มู่เฉินถอนหายใจ กู้ซือหวงเชี่ยวชาญในการโจมตีด้วยคลื่นเสียง การโจมตีดังกล่าวเป็นเรื่องยากที่จะป้องกัน ถ้าคลื่นเสียงเข้ามาในจิตใจละก็ จะทำให้คลื่นหลิงของเขาผันผวน ซึ่งมู่เฉินจะถือว่าแพ้ในการต่อสู้นี่เลย
แต่น่าเสียดายที่การโจมตีแบบนี้ไม่สามารถปราบคนแบบมู่เฉินได้ง่ายๆ เนื่องจากลักษณะการเปลี่ยนแปลงของรหัสเทพ ทำให้มู่เฉินไม่กลัวการโจมตีที่แปลกประหลาดใดๆ
มือของมู่เฉินประสานกัน ในเวลาต่อมารหัสเทพห้าสิบลวดลายที่กระเด็นกลับก็เปล่งแสงอันน่าตื่นตาพลางรวมกันอย่างรวดเร็ว
“รหัสเทพอมตะ แปรเปลี่ยน ระฆังเทพทองคำ!”
ฮึ่ม!
ระฆังสีม่วงทองขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นก่อนที่จะแกว่งไปมา คลื่นวงแหวนโบราณดังก้องกังวานไปทั่วปะทะกับเสียงสิงโตคำราม
ปัง ปัง ปัง!
ชั้นมิติพังทลายอย่างต่อเนื่อง จุดที่ปะทะกันมิติถึงกับแตกสลาย
เมื่อเห็นว่าคลื่นเสียงของตนถูกสลายไป ใบหน้าของกู้ซือหวงก็มืดครึ้ม เขาไม่คิดเลยว่าลวดลายสีม่วงทองจะเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความต้องการของมู่เฉิน นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างก็จะนำการโจมตีที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในระดับเดียวกับทักษะเทพ!
นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเขาที่จะได้สัมผัสกับวิธีการที่ลึกซึ้งเช่นนี้
ใบหน้าของกู้ซือหวงมืดมนลง ไอสังหารพล่านในดวงตา ยิ่งมู่เฉินแสดงตัวตนโดดเด่นมากเท่าไรก็ยิ่งไม่สามารถปล่อยให้มีชีวิตได้ เพราะมารดาของมู่เฉินมีสถานะสูงส่งในเผ่าฝูถู มิหนำซ้ำยังมีผู้สนับสนุนอยู่บางคน เพียงแต่ว่าทุกคนเลือกเงียบพร้อมกับกับจองจำของนาง
หากมีวันหนึ่งมู่เฉินสามารถไปยังเผ่าฝูถูได้ เขาจะเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งสำหรับประมุขน้อยต่อไป
นี่คือสิ่งที่กู้ซือหวงไม่ต้องการเห็น!
“ไอ้เด็กเหลือขอตัวนี้ต้องถูกจัดการในวันนี้ แม้ว่าข้าจะไม่สามารถฆ่ามันได้ ข้าก็ต้องทำลายเจดีย์พุทธะของมันให้ได้!”
ด้วยความคิดนี้ไอสังหารในหัวใจของกู้ซือหวงก็เพิ่มสูงขึ้นถึงขีดสุด
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1280 สู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ในคุกมืดมิด
หญิงสาวทรงเสน่ห์ในชุดขาวนั่งเงียบๆ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าสายตาสามารถมองทะลุผ่านชั้นต่างๆ จ้องมองเงาร่างบนท้องฟ้าได้
“มู่เฉิน…”
รอยยิ้มกระจายบนใบหน้านาง เมื่อครู่ที่นางเข้าควบคุมค่ายกลป้องกัน นางก็ได้กระจายการรับรู้ออกไปทั่วบริเวณ
ดังนั้นนางจึงสามารถเห็นมู่เฉินที่กลายเป็นชายชาตรีไม่เหลือเค้าความเป็นเด็กอีกต่อไป
เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเติบโตขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
“มู่เฉิน ข้าจะช่วยเจ้าจับหนึ่งในพวกมันเอาไว้ แต่อีกสองคนต้องพึ่งพวกเจ้าเองนะ” หลิงซีพึมพำ ด้วยค่ายกลที่ชิงเหยี่ยนจิ้งทิ้งไว้ ต่อให้ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม หลิงซีก็มั่นใจว่าสามารถจับเอาไว้ได้
แต่นี่เป็นขีดจำกัดของนางแล้ว สำหรับกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยู พวกมู่เฉินก็ต้องพึ่งพาตัวเอง
“ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้าเติบโตขึ้นมากถึงระดับไหน…”
หลิงซีมองไปในความมืด เสียงต่ำดังก้องอยู่ในคุกที่เงียบสงบ
บนเกาะหัวใจหยก
เมื่อค่ายกลสะเก็ดดาวไหลเวียนสวรรค์เปลี่ยนเป้าหมายไปกลายเป็นกับดักขังผู้อาวุโสอสรพิษมรกตเอาไว้ หลงเซี่ยงก็ตะลึงงัน เขาไม่คิดว่าสถานการณ์จะเกิดการพลิกผันเช่นนี้
“ค่ายกลนี้น่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของพี่หลิงซีแล้ว” มู่เฉินยิ้ม เขาไม่แปลกใจเลย นั่นเป็นเพราะเมื่อค่ายกลปรากฏขึ้น เขาก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนที่มาจากหลิงซี
คนอื่นอาจไม่สามารถรับรู้ได้ แต่นี่หนีไม่พ้นจากมู่เฉินหรอก เพราะตัวเขาก็เป็นหลิงเจิ้นซือเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงไม่ตอบโต้เมื่อกู้ซือหวงต้องการใช้ค่ายกลเพื่อจับเขา เนื่องจากเขารู้ว่าผลลัพธ์จะเปลี่ยนไป
“หลิงซี?” หลงเซี่ยงตะลึงงัน “นางประสบความสำเร็จขนาดนี้ได้อย่างไร?”
มู่เฉินมองไปที่เกาะหัวใจหยก “ท่านเคยบอกว่าเกาะนี้เป็นสถานที่ฝึกฝนของแม่ข้าไม่ใช่หรือ? นางอาจทิ้งอะไรไว้บ้างและพี่หลิงซีก็อาจจะแอบฝึกฝนตอนที่ถูกขังอยู่ที่นี่…”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หลงเซี่ยงก็ตกใจพูดขึ้นว่า “ว่าแล้ว ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมหลิงซีถึงตั้งใจตกหลุมพรางที่นี่ ปล่อยให้กู้ซือหวงจับนางเอาไว้ได้ ที่แท้นางมีเป้าหมายอื่นนี่เอง!”
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะเหลียบมองผู้อาวุโสอสรพิษมรกตที่หน้าเขียวคล้ำ “ในเมื่อพี่หลิงซีช่วยเราจัดการไปตัวหนึ่งแล้ว เราก็มาจัดการอีกสองตัวที่เหลือกัน”
หลงเซี่ยงยิ้มฝืดเมื่อได้ยิน แม้ว่าผู้อาวุโสอสรพิษมรกตจะติดกับดัก แต่สองคนที่เหลือยังคงเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ดังนั้นพวกเขาสามคนจะเอาชนะได้อย่างไร?
“พี่ใหญ่หลงเซี่ยง ท่านกับลั่วหลีรวมพลังกันน่าจะสามารถเผชิญหน้ากับหนึ่งในนั้นได้”
หลงเซี่ยงอึ้งไปก่อนที่จะหันขวับไปมองลั่วหลี เขามีความเข้าใจต่อลั่วหลี รู้ว่าอีกฝ่ายปลูกฝังร่างเทพวารีของลั่วเสิน ทำให้พลังในการต่อสู้ยากจะจินตนาการ แม้ว่านางจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ตัวเขาเองยังประสบปัญหาที่จะมีตำแหน่งได้เปรียบ
หากพวกเขาทำงานร่วมกัน ก็เป็นไปได้ที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินจะต้องจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มด้วยตัวคนเดียวเรอะ?
“พี่ใหญ่หลงเซี่ยง ไม่ต้องไปกังวลแทนเขา ในเมื่อเขาวางแผนเช่นนี้ เขาก็ต้องมีความมั่นใจในการลงมือ” ลั่วหลียิ้มขณะที่พูดกับหลงเซี่ยงที่ลังเล
เห็นได้ชัดว่านางเต็มไปด้วยความมั่นใจสำหรับมู่เฉิน
หลงเซี่ยงทำได้แค่ผงกหัวยิ้มขมขื่น “หากสถานการณ์ไม่ดี เราจะถอยก่อน กู้ซือหวงไม่กล้าทำอะไรหลิงซีหรอก”
มู่เฉินยิ้ม ไม่ได้ตอบรับ
ขณะที่พวกเขาพูดกัน กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูก็มีสายตามืดมน พวกเขาคิดหาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงฉับพลันในค่ายกลนี้ได้แล้ว
“อสรพิษมรกตไม่ต้องกังวล โจมตีค่ายกลเต็มกำลังเลย ให้นังแพศยานั่นไม่สามารถควบคุมค่ายกลทำอย่างอื่นได้ เมื่อไรพวกข้าจับพวกมันสามคนได้ เราจะช่วยเจ้าออกมาทันที” กู้ซือหวงมองไปที่อสรพิษมรกต ก่อนที่จะพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตเค้นเสียงขึ้นจมูก แต่สีหน้าสงบนิ่งลง เห็นได้ชัดว่าถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ ด้วยพลังของกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูการจัดการกับสามคนนั่นก็ใช้เวลาแค่กะพริบตา
นี่ทำให้ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตสงบใจลงได้ กู้ซือหวงเขม่นมองมู่เฉินอย่างเยือกเย็น สายตาเย็นเยือกลง ลดอุณหภูมิระหว่างสวรรค์และโลก
“แกคิดว่าตัวเองจะรอดด้วยความช่วยเหลือของนังนั่นเรอะ?”
“วันนี้ต่อให้แกจะงอกปีกได้ ก็ไม่สามารถหนีจากข้าไปได้!”
ตู้ม!
เมื่อเสียงของกู้ซือหวงจบลง คลื่นหลิงน่าสะพรึงก็เปล่งออกมาราวกับพายุพร้อมกับพวยพุ่งบ้าคลั่งปกคลุมทั่วบริเวณนี้
เหลียงเสียหยูยิ้มน่าขนลุก ขณะที่ก้าวเท้าออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงที่ไม่อ่อนแอกว่ากู้ซือหวงพลุ่งพล่าน
รัศมีหลายหมื่นลี้กลับกลายเป็นความมืด ภายใต้แรงกดดันคลื่นพลังสองสายที่น่ากลัวก็ทำให้มิติโดยรอบกระเพื่อมไหว ขณะที่สัตว์อสูรในมหาสมุทรนับไม่ถ้วนหนีกันจ้าละหวั่น ไม่มีใครกล้าที่จะอยู่ในน่านน้ำของเกาะหัวใจหยกแล้ว
เมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั้งสองปลดปล่อยรัศมีของพวกเขา ใบหน้าของหลงเซี่ยงและลั่วหลีก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
ในทางตรงกันข้ามสายตาของมู่เฉินก็คมชัดขึ้น มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ปรากฏอยู่ใต้ผิวหนัง แม้ว่าพวกมันจะอยู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่เนื่องจากมีสายเลือดบริสุทธ์ของเทพอสูรซึ่งมีศักดิ์ศรีโดยธรรมชาติ ดังนั้นรัศมีหลิงที่มาจากจอมยุทธ์สองคนนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้
มู่เฉินจ้องมองกู้ซือหวง ทันใดนั้นแสงวาวโรจน์ก็ลุกโชนในดวงตา ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงทำได้เพียงหลบหนีเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนี้
แต่เนื่องจากเขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ช่องว่างระหว่างพลังที่มีก็ค่อยๆ เติมเต็มลง
ขุมพลังที่เหมือนไกลเกินเอื้อมในสายตาของเขาในอดีตก็ไม่ได้สูงส่งอีกต่อไป
ตู้ม!
ดวงตาของมู่เฉินลุกโชนด้วยไฟการต่อสู้ อึดใจเขาก็ทะยานออกไปพุ่งเข้าใส่กู้ซือหวง
การเคลื่อนไหวฉับพลันของมู่เฉิน ทำให้ดวงตาของกู้ซือหวงกระตุกก่อนจะแสยะยิ้มน่าขนลุก “ไอ้เด็กไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ในเมื่อเรียกร้องความตาย ข้าจะตอบสนองความต้องการนั่นเอง!”
เมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาสามัญเผชิญหน้ากับเขา ใครบ้างจะไม่หวาดกลัว? แต่ไม่เพียงมู่เฉินจะไม่กลัว เขายังเปิดการโจมตีก่อนด้วยซ้ำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เท่ากับการท้าทายอำนาจของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ตู้ม!
ร่างของมู่เฉินพุ่งออกมา ไม่กี่ลมหายใจเขาก็ปรากฏตัวต่อหน้ากู้ซือหวง จากนั้นก็สูดหายใจลึก เสียงคำรามดังก้องออกมาจากร่างกาย
ปัง!
ไม่มีสีหน้าใดๆ เขาเหวี่ยงหมัดออกไป
เมื่อหมัดขว้างออกมามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ปรากฏบนท่อนแขนของเขา เปล่งเสียงคำรามพร้อมกับริ้วแสงสีทองปกคลุมทั่วแขนเขาราวกับถุงมือ
แต่แม้ว่าเขาจะใช้มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะจัดการกับจอมยุทธ์ระดับนี้!
ดังนั้นเมื่อพลังของเทพอสูรทั้งสองทะลักออกมา เจดีย์ผลึกใสก็ปรากฏขึ้นจากส่วนลึกของดวงตา เขาเทพลังงานลงไปในเจดีย์ อึดใจต่อไปคลื่นหลิงอัญมณีก็พวยพุ่งออกมา
ตอนที่มู่เฉินอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น คลื่นหลิงในร่างกายเขาก็สามารถต้านทานระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้แล้วหลังจากเปลี่ยนแปลง ยิ่งตอนนี้เขาบรรลุขั้นปลายแล้ว ผลที่ตามมาก็น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
ตู้ม!
ผ่านการแปลงพลังงานที่ไร้ขอบเขตที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย ม่านตาสีดำของมู่เฉินก็เปล่งประกายราวกับอัญมณี
ขณะเดียวกันแสงระยิบระยับบนกำปั้น ราวกับว่าทั้งกำปั้นกลายเป็นกำปั้นอัญมณีใสในเวลานี้
กำปั้นแตกสลายมิติ แม้กระทั่งเศษเสี้ยวมิตินับไม่ถ้วนยังพังยับเมื่อสัมผัสกับกำปั้น
รับรู้ถึงพลังน่าทึ่งที่ระเบิดออกจากร่างของมู่เฉิน แม้แต่กู้ซือหวงก็ต้องหดม่านตาลง เนื่องจากเขารู้สึกไม่สบายใจจากพลังงานหลิงนั่น
“ไอ้เด็กเวรนั่นสามารถสร้างเจดีย์พุทธะได้อย่างแท้จริง!”
จิตสังหารพวยพุ่งในดวงตาของกู้ซือหวง ในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของเผ่าฝูถู เขารู้ดีถึงการเสริมพลังของเจดีย์ ทว่าการเสริมพลังงานของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายให้ถึงระดับนี้เป็นสิ่งที่สามารถทำได้กับเจดีย์พุทธะเท่านั้น!
“หึ ต่อให้แกมีเจดีย์พุทธะ แต่แกก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจ้อยร่อย ข้าไม่เชื่อว่าแกะหลุดรอดจากมือข้าไปได้!”
กู้ซือหวงเค้นเสียงเย็นชาพร้อมกับกวาดสายตาโหดเหี้ยม ก่อนที่ฝ่ามือจะสร้างตราประทับแล้วกระแทกออกไป
“ตู้ม!”
จังหวะที่ฝ่ามือผลักออกมา ริ้วแสงแวววาวก็ระเบิดออกมาจากฝ่ามือของเขา ดูราวกับดวงอาทิตย์ ปะทะกับหมัดอัญมณีของมู่เฉิน
“ข้าจะใช้ฝ่ามือนี่สั่งสอนแกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มอยู่ยงคงกระพันขนาดไหน!”
“เบื้องหน้าฝ่ามือข้า ทักษะการต่อสู้ใดๆ ก็ไร้ประโยชน์!”
กู้ซือหวงคำราม ฝ่ามือกระแทกออกไป อึดใจต่อมาพลังทำลายล้างก็พุ่งชนกำปั้นของมู่เฉินจังใหญ่
ในช่วงเวลาที่สัมผัสกัน รอยยิ้มชั่วร้ายก็โค้งขึ้นบนริมฝีปากของกู้ซือหวง เขารู้ว่าอึดใจต่อไปมู่เฉินจะต้องบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ก็ตาย
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1279 ยึดค่ายกล
เสียงราบเรียบของมู่เฉินก้องไปทั่ว
สะท้อนในเกาะหัวใจหยกเป็นเวลานาน
เมื่อได้ยินคำพูดหยิ่งยโสของมู่เฉิน กู้ซือหวงก็ขมวดคิ้วขณะที่มองเงาร่างที่ยืนอยู่บนเกลียวคลื่นด้วยรอยยิ้มบาง “จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายกล้าใช้คำพูดเช่นนี้กับข้า แกช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ”
ตู้ม!
ขณะที่คำพูดสุดท้ายระเบิดออกพร้อมกับคลื่นกระแทกที่มองเห็นด้วยตาเปล่ากวาดตัวรุนแรงเข้าหามู่เฉิน
คลื่นเสียงนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาปะทะเข้าละก็ พวกเขาอาจเลือดสาดกระจายหรือไม่ก็รับบาดเจ็บหนัก
แต่สำหรับมู่เฉินที่สามารถครอบครองสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น เห็นได้ชัดคนอย่างเขาเอาไปรวมกับคำว่า ‘สามัญ’ ไม่ได้
ดังนั้นเผชิญกับการโจมตีเช่นนี้ มู่เฉินจึงก้าวออกไปพร้อมกับอ้าปาก เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังกึกก้อง
โฮก!
คลื่นเสียงรุนแรงพร้อมด้วยแรงกดดันของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงกวาดปะทะกับคลื่นเสียงของกู้ซือหวง ทำให้เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องเมื่อกระแทกกัน
คลื่นขนาดใหญ่ใต้ฝ่าเท้าของมู่เฉินและลั่วหลีแตกออก กลายเป็นพายุฝนปกคลุมเกาะหัวใจหยกไว้
พอเห็นว่าคลื่นเสียงของตนถูกปิดกั้นง่ายดายเพียงใด ดวงตาของกู้ซือหวงก็หดลง แม้ว่านี่จะเป็นการหยั่งเชิงมู่เฉิน แต่ตัวเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นเพียงคลื่นเสียงก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะสามารถปิดกั้นได้
ทว่ามู่เฉินกลับทำสำเร็จ
“หึ เจ้ามีความสามารถเหมือนกันนี่ ไม่น่าแปลกใจที่กล้าทำหยิ่งยโสมาชิงคนที่เกาะหัวใจหยกของข้า” กู้ซือหวงเค้นเสียงขึ้นจมูก
“ไม่ว่ามันจะมีความสามารถแค่ไหนก็ยังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย”
เหลียงเสียหยูแสยะยิ้มขณะจ้องมองมู่เฉินด้วยแววตามืดมนลง “เฮ้ ไอ้หนูกาลกิณีนั่นใช่ไหม? แม้ว่าพรสวรรค์จะใช้ได้ แต่ก็ยังยังด้อยกว่าประมุขน้อย ผู้อาวุโสกู้ ท่านไม่ระวังมากไปหน่อยเหรอ?”
ในเผ่าฝูถู เขาและกู้ซือหวงเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนประมุขน้อย เมื่อไม่นานมานี้เขาได้รับข่าวจากกู้ซือหวงว่าไอ้กาลกิณีตัวนี้อาจจะเป็นภัยคุกคามของประมุขน้อย ดังนั้นเขาจึงดั้นด้นมาไกลและตั้งใจจะกำจัดภัยนี้ให้สิ้นซาก
เมื่อกู้ซือหวงได้ยินคำพูดนั่น เขาก็ยิ้มบาง “ไม่ว่าอย่างไรก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาสร้างเจดีย์พุทธะได้ ความจริงเพียงอย่างเดียวนี้เราไม่สามารถปล่อยให้เขาเติบโตได้ เขาอาจเป็นปัจจัยไม่แน่นอนในอนาคต”
แม้ว่าในสายตาเขาจะไม่มีใครสามารถเทียบได้กับประมุขน้อย แต่กู้ซือหวงที่ระมัดระวังเสมอก็ไม่ต้องการทิ้งเสี้ยนหนามเอาไว้รอบตัว ดังนั้นหากมีโอกาสก็เป็นการดีที่สุดที่จะกำจัดภัยคุกคามนี้
เหลียงเสียหยูเบ้ปาก แตก็ไม่ได้หักล้างอะไร เพราะนี่ก็สมเหตุสมผลที่กู้ซือหวงจะต้องระวัง
พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสนับสนุนประมุขน้อยของพวกเขาให้ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขคนต่อไปของเผ่า แต่ถ้าพวกเขาวางเดิมพันผิดก็อาจจะส่งผลให้ถูกปราบปรามเสียเอง ดังนั้นพวกเขาจะต้องช่วยประมุขน้อยกำจัดอุปสรรคบางอย่าง
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ปล่อยให้ไอ้กาลกิณีนี่หนีรอดไปไม่ได้แล้ว”
เหลียงเสียหยูหยุดพูดไปอึดใจก่อนที่จะพูดต่อ “ถึงแม้ผู้อาวุโสใหญ่จะพูดว่าให้จับเป็นไอ้เด็กนี่ แต่อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นการทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้อาวุโสใหญ่ก็คงเข้าใจได้”
กู้ซือหวงพยักหน้า ฝั่งเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มถึงสามคน ดังนั้นไม่ว่ามู่เฉินจะมีกลยุทธ์แบบไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหนีไปจากพวกเขา
หลงเซี่ยงถอยกลับไปในเวลานี้ ก่อนที่จะปรากฏตัวข้างมู่เฉินและลั่วหลีด้วยสีหน้าน่าเกลียด “ระวังให้ดีกู้ซือหวงเชิญพรรคพวกมาอีกสองคน ตอนนี้ฝั่งพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนเลยทีเดียว!”
เผชิญหน้าจอมยุทธ์ระดับนี้สามคน แม้แต่หลงเซี่ยงก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด
ด้วยพลังที่มี ถ้าลองเสี่ยงดูเขาอาจจะสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มคนเดียวได้ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ถ้าเขาต้องการชัยชนะก็เป็นเรื่องยากยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายมีตั้งสามคน!
นี่คือสิ่งที่เกินความคาดหมายของเขา
แต่เมื่อเทียบกับหลงเซี่ยงแล้ว มู่เฉินค่อนข้างสงบ เนื่องจากเขาคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าเกาะหัวใจหยก อาจไม่ได้มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเพียงคนเดียว
“ไอ้กาลกิณีมู่เฉิน วันนี้แกหนีไม่พ้นแน่ ยอมแพ้ซะดีๆ ข้าสามารถปล่อยคนที่เหลือไปได้” กู้ซือหวงกล่าวขึ้น
“โอ้? งั้นแกมาลองดูก่อนสิ?”
มู่เฉินยิ้มไม่มีความอบอุ่นในดวงตาสักริ้ว แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคน แต่เขาก็ไม่ได้หมดปัญญา
ทั้งสามคนตกใจ คิดว่าทำไมมู่เฉินถึงไร้ความกลัวเช่นนี้ พวกเขาเป็นผีเฒ่าที่มีประสบการณ์มายาวนาน ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถบอกได้เลยมู่เฉินไม่ได้แกล้งทำ
ทว่าพวกเขาคิดไม่ออกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะสามารถรับมือกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนได้อย่างไร
“ดื้อด้านซะจริง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะโยนความสิ้นหวังใส่แกเอง”
สายตาของกู้ซือหวงวูบไหว จากนั้นเขาก็ยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า เมื่อเขาโบกมือเกลียวคลื่นหลิงนับไม่ถ้วนก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากทั่วเกาะหัวใจหยก
เกลียวเหล่านั้นพันไขว้กันก่อร่างเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบพื้นที่เอาไว้ รัศมีน่ากลัวเล็ดลอดออกมาจากมัน
“นี่…ค่ายกลสะเก็ดดาวไหลเวียนสวรรค์?! แกสามารถควบคุมค่ายกลนี้ได้ยังไง?” หลงเซี่ยงมองค่ายกลขนาดใหญ่ที่ล้อมเกาะหัวใจหยกไว้ทั้งหมด ใบหน้าก็เปลี่ยนไปรุนแรง
คิ้วของมู่เฉินขมวดหากันก่อนจะอุทาน เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคยในค่ายกลนี้
“ฮ่าๆ ตอนแรกข้าก็ทำไม่ได้หรอก แต่ครั้งนี้พี่เสียหยูนำป้ายหมื่นค่ายกลมาจากเผ่า ทำให้ข้าสามารถบุกเข้าในจุดศูนย์กลางของค่ายกลเพื่อควบคุมได้”
กู้ซือหวงมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยบนหน้า “ค่ายกลนี้เป็นสิ่งที่แม่ของแกชิงเหยี่ยนจิ้งทิ้งเอาไว้ บางทีนางคงไม่เคยจินตนาการว่าหลังจากผ่านไปหลายปีค่ายกลนี้จะถูกใช้เพื่อจัดการกับลูกชายตัวเอง! ฮ่าๆๆๆ สุขใจอะไรอย่างนี้”
มู่เฉินหดตาลง มิน่าล่ะเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยค่ายกลนี้ ที่แท้มารดาของเขาเป็นคนสร้างนี่เอง
“กู้ซือหวงไม่อายรึไงที่ใช้ค่ายกลปกป้องพร้อมกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคน!” หลงเซี่ยงคำราม
“ผู้ชนะได้ทุกอย่าง ไม่มีใครสนใจวิธีการหรอก” กู้ซือหวงเค้นเสียง
แสงเย็นวาบขึ้นในดวงตาของมู่เฉินพร้อมกับรังสีสังหาร เขารู้สึกโกรธเคืองที่กู้ซือหวงใช้สิ่งที่มารดาของเขาทิ้งไว้มาจัดการกับเขา
“ช่างเถอะ ข้าไม่อยากคุยกับพวกแกอีกต่อไป ข้าจะจับแกมาซะก่อน!”
กู้ซือหวงสะบัดแขนเสื้อ ค่ายกลที่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ก็หมุนคว้าง ก่อนที่แสงดาวแปลกประหลาดสิบกว่าดวงจะเปล่งออกมาในช่วงเวลาต่อไป กลายเป็นอุกกาบาตยิงไปยังทิศทางของมู่เฉิน
ด้วยความระวัง กู้ซือหวงและคนอื่นๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวเองทันที กลับเลือกใช้ค่ายกลเพื่อบังคับให้มู่เฉินแสดงไพ่ตาย พวกเขาจะได้เตรียมการทันท่วงที
“ระวัง!”
หลงเซี่ยงคำรามด้วยความร้อนใจ
แต่มู่เฉินกลับเหยียดมือออกไปห้ามเขาไว้ สายตาวูบไหวขณะมองแสงดาว เขาไม่ได้ป้องกันตัวอะไรเลย
“โง่เง่า แกคิดหรือว่าค่ายกลจะแยกคนได้” กู้ซือหวงเย้ยหยันกับฉากนี้
ทว่ามู่เฉินก็ยังไม่ตอบสนอง เขามุ่งความสนใจไปที่แสงดาว ไม่เพียงแต่ไม่ได้ขัดขวางกลับยังมีประกายแสงแปลกประหลาดวาบขึ้นในนัยน์ตาของเขา
ฟิ้ว ฟิ้ว!
แสงดาวครอบคุลมลงมา ขณะที่จะสัมผัสกับร่างของมู่เฉิน แสงดาวก็หันกลับอย่างน่าพิศวง ยิงกลับไปท่ามกลางสายตาหวาดหวั่นของพวกกู้ซือหวง แสงดาวพุ่งกลับมาก่อร่างเป็นกรงขังผู้อาวุโสอสรพิษมรกตที่หลบหนีไม่ทันเอาไว้
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้ทุกคนประหลาดใจ นอกเหนือจากมู่เฉินแม้แต่กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูก็ตาแทบถลน
“กู้ซือหวง แกทำอะไร?!” ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตก็ตกใจคำรามลั่น
“ข้าไม่ได้ทำ!” ใบหน้าของกู้ซือหวงเขียวคล้ำ จากนั้นเขาก็กำมือ ป้ายสีฟ้าอมเขียวปรากฏขึ้น เขาพยายามสั่งให้ค่ายกลละลายพื้นที่ที่จับอสรพิษมรกตเอาไว้
ทว่าเขาก็พบว่ามีแรงต่อต้านที่มาจากส่วนลึกของเกาะ ยึดการควบคุมค่ายกลไว้
“เวรเอ้ย การควบคุมค่ายกลนี้ถูกยึด!”
ใบหน้าของกู้ซือหวงมืดครึ้มไป ก่อนที่เขาจะจ้องมองด้วยความโกรธฝังลึก ฟันขบแน่น
“อีนังตัวดี!”
ขณะที่เขาโกรธเกรี้ยว ความสงสัยก็โหมกระพือในใจ เขาไม่รู้ว่าหลิงซีสามารถควบคุมค่ายกลนี้ได้อย่างไร!
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าเรื่องวันนี้ค่อยๆ หลุดจากการควบคุมของเขาทีละน้อย…
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1278 จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคน
ทวีปวั้นเต่า
บนเกาะใหญ่โต ค่ายกลเคลื่อนย้ายมหึมาในเมืองเจริญเปล่งเสียงมหาศาล เหนือขึ้นไปเห็นเงาแสงนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวไปมา
มู่เฉิน ลั่วหลีและหลงเซี่ยงเดินออกจากค่ายกล
เมื่อออกมามู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงลมทะเลที่พัดผ่านพร้อมกับกลิ่นคาวปกคลุมไปทั่วบริเวณ มากจนแม้แต่คลื่นหลิงก็ยังชื้นขึ้น
“นี่คือทวีปวั้นเต่ารึ…”
มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเมืองคึกคักแห่งนี้ ความนิยมที่นี่ไม่น้อยไปกว่าทวีปซีเทียนเลย ว่ากันว่าทะเลครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปนี้ โดยมีหมู่เกาะขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วมหาสมุทร
ไม่มีขั้วอำนาจสูงสุดในทวีปวั้นเต่าแต่ความวุ่นวายที่นี่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าทวีปเทียนหลัวเลย เกาะแต่ละแห่งประกาศสงครามกัน ดังนั้นความขัดแย้งจึงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับที่นี่
“นี่คือเกาะหมัวหลัว ผู้ปกครองของเกาะนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ซึ่งมีชื่อเสียงในทวีปนี้พอสมควร” หลงเซี่ยงกล่าว ชัดว่ารู้ข้อมูลทวีปวั้นเต่าดี
มู่เฉินพยักหน้าถามว่า “เกาะหัวใจหยกอยู่ที่ไหน?”
“ห่างจากที่นี่ระยะหนึ่ง ต้องใช้เวลาประมาณสองวันในการเดินทาง” เมื่อหลงเซี่ยงพูดก็ดูลังเลในช่วงสั้นๆ “นายน้อย กู้ซือหวงไม่ได้จัดการง่ายๆ ดังนั้นเจ้าต้องระวังตัว”
มู่เฉินยิ้ม “วางใจเถอะ ตราบใดที่ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เขาก็ไม่สามารถทำอะไรข้าได้ แม้ว่าเขาจะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ตาม”
แม้ว่ามู่เฉินจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น แต่หากต้องการหนีเขาก็มั่นใจว่าทำได้ แม้ว่าจะเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มในฐานะคู่ต่อสู้
หลงเซี่ยงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเคลื่อนไหวร่างเปลี่ยนเป็นแสงทะยานไปทางมหาสมุทรกว้างใหญ่
มู่เฉินและลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่จะติดตามไปอย่างรวดเร็ว
ทวีปวั้นเต่าเต็มไปด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาตินับไม่ถ้วน ในมหาสมุทรคลื่นหลิงและความเย็นไม่รู้จบรวมตัวกันเป็นพายุหิมะ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังต้องเผชิญกับอันตรายเช่นกัน
แต่โชคดีที่มีหลงเซี่ยงเป็นผู้นำ ทำให้พวกเขาไม่พบอุปสรรคมากมาย สองวันต่อมาพวกเขาก็ค่อยๆ เข้าใกล้จุดหมายปลายทาง…
ร่างเงาสามร่างยืนอยู่เหนือมหาสมุทร
มู่เฉินมองไปไกล แววตาวูบไหว ภาพวิวทิวทัศน์ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
เกาะสีเขียวมรกตนี้ตั้งอยู่บนมหาสมุทรที่ห่างไกล ห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิงหนาแน่น ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่านี่เป็นแดนสวรรค์ที่หายากยิ่ง
แม้จะอยู่ในระยะไกลมู่เฉินก็ยังรู้สึกถึงคลื่นหลิงบนเกาะ ความหนาแน่นนั้นแข็งแกร่งกว่าเกาะใดๆ ที่มู่เฉินเคยเห็นในทวีปวั้นเต่า
“สมกับเป็นเผ่าฝูถู ครอบครองแดนสวรรค์ดังกล่าวแล้วยังไม่มีใครกล้ามาแย่งชิง”
มู่เฉินถอนหายใจ ถ้าเป็นขั้วอำนาจอื่นๆ ควบคุมดินแดนนี้ละก็ แม้จะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็อาจจะต้องเผชิญกับปัญหา
ทว่าที่นี่ไม่มีความขัดแย้งในรัศมีหลายหมื่นลี้เลย เห็นได้ชัดว่าดินแดนเหล่านั้นล้วนเป็นของเกาะหัวใจหยก ดังนั้นกลุ่มอื่นๆ จึงไม่กล้าที่จะแช่มือลงมา
“ข้าจะเข้าไปและหาโอกาสช่วยหลิงซีก่อน เพื่อที่นางจะได้ไม่ถูกกู้ซือหวงใช้เป็นตัวประกันข่มขู่เจ้า” หลงเซี่ยงมองมู่เฉิน
“ลั่วหลีกับข้าจะซ่อนตัวที่ก้นมหาสมุทร ท่านระวังตัวด้วย”
มู่เฉินพยักหน้า หากพวกเขาสามารถช่วยชีวิตนางได้โดยไม่ต้องไปปะทะกัน ก็จะเป็นการดีที่สุดอย่างแน่นอน
สำหรับหลงเซี่ยง ขุมพลังเกือบตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ประมาทไม่ได้ แม้ว่ากู้ซือหวงจะตรวจพบ เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับหลงเซี่ยงได้ทันที
หลงเซี่ยงพยักหน้าก่อนที่จะหายใจลึกกลายเป็นลำแสงทะยานไปที่เกาะหัวใจหยก
ส่วนมู่เฉินและลั่วหลีก็ทิ้งตัวจมลงไปในมหาสมุทร ถอนรัศมีของพวกเขา ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาเกาะจากใต้น้ำ
ฟิ้ว!
หลงเซี่ยงพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็เข้าไปใกล้เกาะหัวใจหยก เขาไม่ได้ประสบกับสิ่งกีดขวางใดๆ ดังนั้นจึงไปปรากฏตัวเบื้องหน้าเจดีย์สีดำในพริบตา
กู้ซือหวงนั่งเงียบๆ อยู่ใต้เงาเจดีย์เหมือนเมื่อตอนหลงเซี่ยงออกไป ดวงตาเขาลืมขึ้นเมื่ออีกฝ่ายมาถึง
เขาคลี่รอยยิ้มมองหลงเซี่ยง “ภารกิจของเจ้าเสร็จสิ้นแล้วหรือ?”
หลงเซี่ยงตอบเสียงสงบกลับไป “มู่เฉินได้รับตำแหน่งนักรบทวีปซีเทียน ตอนที่เขาอยู่ในขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้แล้ว ตอนนี้เขาเข้าขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย กระทั่งข้าก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้”
“ถ้าต้องการจับเขา เจ้าคงต้องลงมือเองแล้วล่ะ”
กู้ซือหวงที่ได้ยินคำพูดของหลงเซี่ยงก็ไม่ได้แสดงท่าทางโกรธเคืองอะไร แต่กลับพยักหน้ายิ้มตาหยี เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่าพูดด้วยรอยยิ้มประหลาด “งั้นก็ทิ้งเรื่องนี้ไว้ให้ข้า เจ้าไม่ต้องสนใจอีกต่อไป”
“จริงสิ มีคนจากเผ่ามาที่เกาะหัวใจหยก ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก”
เมื่อได้ยินคำพูดของกู้ซือหวง หลงเซี่ยงก็ดวงตาหดแคบลงทันที
“ฮ่าๆ ไม่เจอกันนานแล้วนะหลงเซี่ยง”
ภาพเงาหนึ่งเดินออกมาจากทางด้านขวาสวมเสื้อคลุมสีแดง เส้นผมเป็นสีขาว ภาพวาฬเพชฌฆาตปักบนเสื้อคลุมซึ่งดูผิดแผกแตกต่าง
เมื่อเห็นคนผู้นี้ใบหน้าของหลงเซี่ยงก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ก่อนที่เขาร้องอุทาน “เหลียงเสียหยู? ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?!”
เหลียงเสียหยูเป็นสมาชิกของเผ่าฝูถู มิหนำซ้ำยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มซึ่งไม่อ่อนแอกว่ากู้ซือหวง หลงเซี่ยงไม่คิดเลยว่ากู้ซือหวงจะเรียกตัวอีกฝ่ายมาด้วย
“ฮ่าๆ ดูเหมือนเจ้าจะประหลาดใจมากนะ?” กู้ซือหวงหัวเราะร่วน สายตาวูบไหวมองไปทางด้านซ้ายมือด้วยรอยยิ้ม “สหายเก่าของข้าไม่ได้มาแค่คนเดียว”
หัวใจของหลงเซี่ยงสั่นไหว ก่อนที่จะหันไปมองทางซ้าย เขาเห็นชายชราสวมเสื้อสีเขียวปรากฏขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ชายชราคนนี้ดูราวกับมัมมี่แห้งกรังพร้อมกับสายตาจ้องมองอย่างเย็นชา ลวดลายอสรพิษปักอยู่บนเสื้อคลุม
นอกจากนี้ยังปลดปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังออกมา ชัดว่าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอีกคน!
“ผู้อาวุโสอสรพิษมรกต!”
หลงเซี่ยงหายใจเข้าลึกๆ แม้ว่าชายคนนี้จะไม่ได้มาจากเผ่าฝูถู แต่ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักกันดีในทวีปวั้นเต่า ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมาก
ไม่คิดว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่ด้วย
นี่เท่ากับมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคน!
กู้ซือหวงยิ้ม “เฮ้อ คนเรายิ่งอายุมากก็จะยิ่งระวังตัวมากขึ้นน่ะ ข้าวางกับดักสำหรับไอ้กาลกิณีไว้แล้ว ก็เป็นธรรมดาที่ข้าต้องเป็นห่วงว่าอาจมีรูโหว่ ดังนั้นข้าจึงเชิญสหายเก่าให้มาช่วยเหลือ”
“หลงเซี่ยง เจ้าคิดว่าไง?” กู้ซือหวงมองไปที่หลงเซี่ยง
หลงเซี่ยงสีหน้ามืดครึ้มก่อนที่จะผงกหัวโดยไม่มีอารมณ์ใด ไอ้เฒ่านี่เจ้าเล่ห์นักและเต็มใจจ่ายราคาดังกล่าวเพื่อจัดการกับมู่เฉิน ดูเหมือนว่าเรื่องในวันนี้จะไม่ใช่ง่ายที่จะแก้ไข
กู้ซือหวงตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ในเมื่อเป็นแบบนี้ทำไมเจ้าไม่เชิญเด็กสองคนนั่นมาพบหน่อยล่ะ”
ดวงตาของหลงเซี่ยงสั่นไหวขณะมองไปที่กู้ซือหวงอย่างเยือกเย็น ที่แท้ไอ้เฒ่านี่ก็สัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของมู่เฉินกับลั่วหลีแล้ว
“โฮก!”
หลงเซี่ยงปลดปล่อยเสียงคำรามที่ฟังดูราวกับมังกรและช้าง สะท้อนก้องในมิติรอบด้าน
เสียงคำรามเต็มไปด้วยคำเตือนบอกเป็นนัยถึงมู่เฉินถึงการดำรงอยู่ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั้งสาม
เมื่อผู้อาวุโสอสรพิษมรกตเห็นสิ่งนี้ก็ขมวดคิ้วพลางสะบัดแขนเสื้อ เสียงขู่ฟ่อดังกึกก้องออกมาคุลมเสียงคำรามของหลงเซี่ยงไว้
กู้ซือหวงยืนขึ้นมองไปรอบเกาะหัวใจหยก เสียงของเขาดังก้องระหว่างสวรรค์และโลก “ไอ้ตัวกาลกิณีมู่เฉิน! ในเมื่อมาแล้วทำไมถึงไม่แสดงตัว ไม่งั้นข้าจะส่งหลงเซี่ยงและหลิงซีกลับไปยังเผ่าเพื่อรับโทษทัณฑ์!”
เสียงดังก้องในมิติ ดันคลื่นใหญ่ขึ้นโดยรอบ
ครืนๆๆๆ!
เมื่อเสียงของเขากระจายออก ทันใดนั้นคลื่นก็รวมตัวกันเป็นคลื่นยักษ์ขนาดมหึมากวาดเข้ามาในทิศทางของเกาะหัวใจหยก
คลื่นยักษ์มาพร้อมกับเงามหีมา ปรากฏเหนือท้องฟ้าเกาะหัวใจหยก
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั้งสามเพ่งสายตาไปบนยอดคลื่นขนาดใหญ่
มองเห็นร่างสองร่างยืนอยู่บนนั้น หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่มที่มีสายตาคมกริบกำจายรัศมีเสียดแทง ราวกับเขาเป็นสุดยอดกระบี่ที่ยากจะเปรียบ ทำให้เกิดความกลัวในจิตใจของผู้คน
มู่เฉินยืนอยู่บนเกลียวคลื่นมองลงมาที่ตาเฒ่าทั้งสามก่อนที่จะหยุดอยู่ที่กู่ซือหวง น้ำเสียงราบเรียบดังก้อง
“ปรากฏตัวแล้ว ไอ้แก่อย่างแกจะทำอะไรได้ล่ะ?”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1277 ความนุ่มนวล
ภูเขาด้านหลังวังลั่วเสิน
ตู้ม ตู้ม!
เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่วเทือกเขา ฝุ่นควันแผ่กว้าง แผ่นดินสั่นสะเทือน เงาร่างสองร่างกำลังโรมรันพันตู ทุกการปะทะปล่อยระลอกคลื่นทำลายล้างออกมา
ขณะที่ทั้งสองกำลังต่อสู้กันภูเขานี้ก็ถูกทำลายจนราพณาสูร
ปัง!
การปะทะกันดุเดือดอีกครั้ง ก่อนที่ร่างทั้งสองจะกระเด็นออกไปพร้อมกับเท้าลากไปบนพื้น ทำให้ภูเขากลายเป็นกองเถ้าถ่าน
“ฮ่าๆ เยี่ยมสุดๆ!” มู่เฉินยืนนิ่งขณะที่ถูกำปั้นแดงก่ำ รอยยิ้มยินดีปรากฏบนใบหน้า การแลกกระบวนท่าเมื่อครู่สะใจยิ่งนัก
หลงเซี่ยงปรากฏตัวตรงข้ามกับเขา แต่เมื่อเทียบกับความพอใจของมู่เฉินแล้ว สายตาของหลงเซี่ยงเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
นั่นเป็นเพราะในหลายวันที่ผ่านมาขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มของเขาถูกใช้เป็นคู่มือให้กับมู่เฉิน เนื่องจากมู่เฉินเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นเขาจึงต้องการคู่ต่อสู้เพื่อให้คุ้นเคยกับพลังที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตัวเลือกที่ดีที่สุดก็คือหลงเซี่ยง
หลงเซี่ยงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องเป็นคู่ฝึกให้ เพราะเขาต้องการทราบถึงขีดจำกัดพลังของมู่เฉิน
แต่เมื่อลองเขาก็ต้องตกใจ
ตอนแรกเขายังรู้สึกได้ว่าการไหลเวียนของคลื่นพลังมู่เฉินค่อนข้างเชื่องช้า เนื่องจากยังไม่คุ้นชินกับคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งขึ้น
ในเวลานั้นหากพวกเขาปะทะกันในแง่ของพลังงาน หลงเซี่ยงอาจยังได้รับข้อได้เปรียบเล็กน้อย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป มู่เฉินก็ค่อยๆ ชินกับขุมพลังที่มี ดังนั้นพลังในการต่อสู้ของเขาก็เริ่มเพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าตกใจ
ไม่กี่วันหลงเซี่ยงก็ตระหนักว่าในแง่ความบริสุทธิ์ของความแข็งแกร่ง เขาไม่สามารถได้รับประโยชน์อีกต่อไป เมื่อปะทะกับมู่เฉิน
นั่นทำให้เขาตกตะลึงอย่างยิ่งยวด เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นจอมยุทธ์ที่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม มิหนำซ้ำทักษะการฝึกฝนก็มุ่งเน้นความแข็งแกร่งทางกายภาพ
ดังนั้นต่อให้เป็นบรรดาคู่ต่อสู้ในขุมพลังเดียวกัน เขาก็ไม่ได้อ่อนแออย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้เขากลับถูกปราบปรามโดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้นแล้วเขาจะไม่ตกตะลึงได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินก็ยังไม่ได้เผยไพ่ตายใดๆ… หลงเซี่ยงมีความรู้สึกว่าถ้าเขาปะทะแบบเดิมพันชีวิตกับมู่เฉิน คนที่ตายจะเป็นเขาแน่นอน
“นายน้อยลึกซึ้งยากหยั่งถึงจริงๆ ข้านับถือจริงๆ”
หลงเซี่ยงถอนหายใจ มู่เฉินสามารถทำสิ่งนี้ได้ด้วยขุมพลังที่มี ดังนั้นเขาจึงเชื่อมั่นในตัวมู่เฉินมาก
มองใบหน้าของมู่เฉิน ริ้วความเชื่อมั่นในหัวใจของหลงเซี่ยงก็ยิ่งเกิดขึ้น บางทีด้วยความแข็งแกร่งของมู่เฉิน อาจจะสามารถช่วยเหลือหลิงซีจากเกาะหัวใจหยกได้จริงๆ
ได้เห็นความชื่นชมของหลงเซี่ยง มู่เฉินก็เพียงยิ้มเท่านั้น สาเหตุที่ทำให้เขาต่อกรกับหลงเซี่ยงได้ ไม่เพียงเพราะเกิดจากร่างกายที่ทรงพลังของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง เมื่อเทพอสูรทั้งสองผสานกันก็ปลดปล่อยออกมา ซึ่งนี่ไม่ได้เป็นสมการง่ายๆ ของหนึ่งบวกหนึ่ง
จากการประเมินของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้คลื่นหลิง แต่เขาก็สามารถยืนอยู่บนยอดพีระมิดท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ มากยิ่งกว่านั้นหากเขาได้พบกับจอมยุทธ์ขุมพลังเดียวกับหลงเซี่ยง เขาก็ยังสามารถรักษาที่มั่นของตนเองไว้ได้
แน่นอนว่าสิ่งนี้เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะจัดการกับจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ด้วยความคิดเหล่านี้กวนตัวในใจ มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นเงาที่คุ้นเคยยืนอยู่บนเนินเขาที่อยู่ไกลออกไป มองมาที่เขา
“นายน้อย ข้าขอตัวก่อน” หลงเซี่ยงยิ้มเมื่อเห็นลั่วหลี
มู่เฉินพยักหน้า “เราจะเดินทางอีกสามวันข้างหน้าไปยังเกาะหัวใจหยก”
“รับทราบ!”
หลงเซี่ยงตอบกลับด้วยความเคารพก่อนหันจากไป
เมื่อเห็นหลงเซี่ยงจากไปแล้ว ร่างของมู่เฉินก็เคลื่อนไหวไปปรากฏตัวต่อหน้าลั่วหลี
วันนี้ลั่วหลีเข้าร่วมประชุม นางจึงสวมชุดสีม่วงงดงามที่ดูสูงศักดิ์และสง่างามนัก
เอวของนางคอดกิ่ว การแต่งกายเช่นนี้ยิ่งเน้นย้ำส่วนโค้งที่น่าประทับใจ รูปร่างหน้าตาสมบูรณ์แบบทำให้คนอื่นต้องหันมาจ้องมองนาง สายลมพัดผ่านเรือนสีเงินก็พลิ้วไหว ยามนี้นางช่างดูงดงามหมดจด
รอยยิ้มอ่อนโยนเผยบนใบหน้าของมู่เฉินเมื่อเห็นหญิงสาวคนรัก แม้แต่ร่างกายเกร็งเครียดของเขาก็ผ่อนคลาย
อยู่ต่อหน้านาง เขาสามารถละทิ้งหน้าที่และรับความสงบสุขที่หายากได้เสมอ
ทว่าสายตาที่มองลั่วหลีก็ร้อนแรงขึ้น
เมื่อรู้สึกถึงสายตาชัดเจนของเขา ลั่วหลีก็รู้สึกสะเทินอายก่อนที่ส่งสายตาค้อนไปให้ แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรมู่เฉินก็ก้าวเข้ามา
กลิ่นของมู่เฉินโชยอ่อน ทำให้ลั่วหลีถอยกลับจากปฏิกิริยาตอบสนอง แต่อึดใจนางก็หยุด แขนแกร่งเอื้อมเข้ามาโอบรอบเอวไว้ ดึงตัวนางพุ่งเข้าใส่อ้อมกอดของเขา
สัมผัสคนรักในอ้อมแขน มองใบหน้าที่ขึ้นริ้วแดงของนางพร้อมกับริ้วความประหม่าในดวงตางดงาม มู่เฉินก็กดอารมณ์ในหัวใจไม่ไหว เขาก้มลงจูบนาง
ร่างกายของลั่วหลีแข็งเกร็งไป แต่ไม่ช้านางก็ตอบสนอง เรียวแขนโอบรอบคอมู่เฉินพร้อมกับหลับตาพริ้ม
สายลมอ่อนโยนพัดผ่านมา ขณะที่คู่รักกอดกันแน่น ปลดปล่อยความรักความคิดถึงที่พรากจากกันมานาน
ทั้งสองตระกองกอดกันไว้ไม่รู้นานเท่าไร ในที่สุดลั่วหลีก็แพ้ลงด้วยใบหน้าเขินอายซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดของมู่เฉินราวกับนกกระจอกเทศ ท่วงท่าเขินอายนี้ไม่เหมือนกับจักรพรรดินีตระกูลลั่วเสินเลยสักนิด
ภาพนี้ทำให้ดวงตาของมู่เฉินลุกโชนยิ่งขึ้น ลมหายใจของเขาเริ่มกระชั้นถี่ มือกดหญิงสาวลงบนพื้นหญ้า
แต่ก่อนที่เขาจะก้าวต่อ มือเรียวก็ยื่นมาดันที่หน้าอกเขา ครั้นเขาก้มศีรษะลงก็เห็นสายตาเอียงอาย
“ไม่เอา” ลั่วหลีกัดริมฝีปากสีแดงชาดแน่น
มู่เฉินได้สติขึ้นมา ไฟปรารถนาในดวงตาก็ลดลง เขายิ้มเนือยๆ เขารู้ว่าอารมณ์ถูกกักเก็บมานานหลายปี ดังนั้นจึงยากจะควบคุม
นี่เป็นภูเขาด้านหลังวังลั่วเสินจะมีหน่วยลาดตระเวณมาตรวจตราเป็นครั้งคราว หากพวกเขาเห็นว่าจักรพรรดิถูกมู่เฉินรังแก พวกเขาอาจมองข้ามความแตกต่างของพลัง พุ่งเข้ามาแบบสู้ตาย
พอเห็นมู่เฉินหยุดการกระทำ มือของนางก็เลื่อนออกจากแผ่นอก ใบหน้างดงามยังคงแดงซ่าน ก่อนหน้านางรู้สึกตกใจไปกับความรู้สึกที่ปะทุของมู่เฉิน ดังนั้นจึงปฏิเสธโดยการตอบสนองตามธรรมชาติ แต่ถ้าเราสองอยู่ในที่รโหฐาน นางอาจไม่มีความกล้าที่จะหยุดมู่เฉิน
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ทำให้ใบหน้าของนางแดงเป็นหัวผักกาด
เมื่อมองท่าทางน่ากินของนาง มู่เฉินก็ถอนหายใจ “ข้าดันปล่อยเนื้อหงส์ให้บินออกจากปากซะนี่”
ลั่วหลีที่ได้ยินคำพูดของเขาก็กำมือทุบหลังไหล่ของมู่เฉินรัวๆ นางกัดฟันก่อนที่จะพูดเสียงต่ำ “ระ…รอจนกว่าเจ้าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนและช่วยมารดาเจ้าได้ ขะ…ข้า…จะให้เจ้าทำตามที่ปรารถนา”
เมื่อพูดถึงตอนท้าย แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ยังสั่นเทา ชัดว่าเขินอายสุดขีด
มู่เฉินเบิกตา เขาไม่เคยคิดว่าลั่วหลีจะใช้วิธีนี้เพื่อล่อลวงเขา ดังนั้นเขาจึงเชิดหน้าขึ้นพูดว่า “ข้าดูเหมือนจะเป็นคนหื่นกามงั้นเหรอ?”
ทว่าเลือดที่เดือดพล่านและผิวแดงก่ำพิสูจน์ได้ว่าเขาพูดโกหก
ด้วยความรู้ทันของลั่วหลี นางสามารถบอกได้ว่าเขาแกล้งทำ ดังนั้นนางจึงเบ้ปาก ผลักเขาออกไป ลุกขึ้นนั่งกอดเขาพลางปัดเส้นผมที่ระบนใบหน้าออก “ก็ได้ งั้นถือว่าข้าไม่เคยพูดมาก่อนละกัน”
“เอ่อ”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะพูดเสียงตะกุกตะกักว่า “เจ้าคือจักรพรรดินีแห่งตระกูลลั่วเสิน คำพูดกษัตริย์มีน้ำหนักมหาศาล จะเปลี่ยนแปลงอย่างง่ายดายได้ยังไง”
ขณะที่พูดเขาก็สังเกตเห็นรอยยิ้มหยอกเย้าบนริมฝีปากของนาง ดังนั้นจึงกระโจนใส่ทันที
“เจ้ากล้าหลอกข้าเหรอ!”
“คิกๆ!”
บนผืนหญ้าทั้งคู่กลิ้งเกลือกไปมาพร้อมกับเสียงหัวเราะสดใส พวกเขาเครียดตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและนี่เป็นช่วงเวลาที่หายากยิ่งสำหรับทั้งสอง
สิ่งนี้กินเวลานานพอสมควร ก่อนที่พวกเขาจะลุกขึ้นไปนั่งบนเนินเขามองพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน
“เจ้าตั้งใจจะไปเกาะหัวใจหยกใช่ไหม?” ศีรษะของลั่วหลีเอนซบลงบนไหล่ของมู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้า “พี่หลิงซีอยู่ที่นั่น ข้าต้องไปช่วยนาง”
แม้ว่าเกาะหัวใจหยกจะเป็นถ้ำเสือ แต่มู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกนอกจากมุ่งหน้าไป เพราะหลิงซีเคยช่วยเหลือเขามามาก ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างพวกเขา
“เจ้าจะไม่บอกมั่นถัวหลัวให้รู้หน่อยเหรอ?”
ถ้ามั่นถัวหลัวไปด้วยจะทำให้การเดินทางนี้ปลอดภัยยิ่งขึ้น
ทว่ามู่เฉินกลับส่ายหัว “ตำหนักมู่เพิ่งก่อตั้ง แม้ว่าเราจะปกครองภูมิภาคเหนือทั้งหมด แต่ก็ยังมีกองกำลังชั้นยอดมากมายในทวีปเทียนหลัวที่จับตาเรา ดังนั้นมั่นถัวหลัวต้องอยู่ที่นั่น ไม่เช่นนั้นอาจมีความเป็นไปได้ที่ภูมิภาคทางเหนือที่เพิ่งเป็นปึกแผ่นจะถูกแยกอีก”
ลั่วหลีพยักหน้าพลางยิ้ม “งั้นครั้งนี้ข้าจะไปด้วย”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะมองลั่วหลี ตอนแรกเขาคิดว่าลั่วหลีจะออกจากตระกูลลั่วเสินไม่ได้ เพราะตอนนี้ตระกูลลั่วเสินต้องการนาง
ทั้งสองแยกจากกันเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นเขาจึงอยากจะอยู่กับนางตลอด ทว่าเขารู้ว่าบางทีตนเองก็ต้องแบกรับความเหงาเพื่อปกป้องคนที่รัก
ในเมื่อลั่วหลีตัดสินใจไปกับเขาครั้งนี้ ชัดว่านางให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นสายตาประหลาดใจที่จ้องมองมาของมู่เฉิน ลั่วหลีก็ยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ “ตอนนี้ตระกูลลั่วเสินมีความมั่นคงแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากนี้…ในอดีตเจ้าแบกรับคนเดียวมาตลอด ครั้งนี้ข้าอยากช่วยแบ่งเบาภาระบ้าง”
มู่เฉินรู้สึกซึ้งใจกับคำพูดของนาง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่ามีอันตราย เพราะนั่นไม่ได้มีผลกับหญิงสาวคนนี้
ดังนั้นเขาเอื้อมมือออกกอดเอวนางพร้อมกับเสียงหัวเราะสะท้อนก้อง
“เอาล่ะ งั้นไปดูกันเถอะว่าถ้ำเสือจะจับเราไว้ได้ยังไง!”
บทที่ 1276 ตกลงไปในกับดัก
“หลงเซี่ยงทักทายนายน้อย”
ขณะที่ชายวัยกลางคนคุกเข่า มู่เฉินซึ่งเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ก็อึ้งไปทันที แม้แต่ลั่วหลีและคนอื่นๆ ก็ตะลึงไปตามกัน พวกเขาตกใจกับการเปลี่ยนแปลงฉับพลันที่เกิดขึ้นนี้
พวกเขาไม่คิดเลยว่าชายวัยกลางคนที่ดูดุดันในไม่กี่นาทีที่ผ่านมาจะแสดงท่าทางเช่นนี้
นอกจากนี้พวกเขายังสามารถบอกได้ว่าความเคารพบนใบหน้ามาจากใจจริง ไม่มีการเส้แสร้งแต่อย่างใด
ลั่วหลีและคนอื่นๆ แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาเห็นความงุนงงในสายตาของกันและกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายวัยกลางคน…
มู่เฉินอึ้งไปชั่วอึดใจก็ฟื้นคืนสติ ทว่าความตื่นระวังของเขาไม่ลดลงเมื่อมองไปที่หลงเซี่ยง “เจ้าเป็นสมาชิกเผ่าฝูถูใช่ไหม?”
“ใช่!” หลงเซี่ยงพยักหน้า
“งั้นเจ้าก็น่าจะทราบถึงความคิดของเผ่าฝูถูที่มีต่อข้า” มู่เฉินยิ้มบางสายตาคมกริบจ้องมองหลงเซี่ยง “เผ่าฝูถูไม่ปฏิบัติกับข้าอย่างนี้แน่นอน”
เมื่อเห็นความสงสัยของมู่เฉิน หลงเซี่ยงก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งในเผ่าฝูถู แต่หากไม่ใช่เพราะนายหญิงข้าคงกลายเป็นกองกระดูกไร้ค่า นายหญิงมอบชีวิตใหม่ให้ข้า ในใจของข้าตำแหน่งของนางนั้นยิ่งใหญ่กว่าเผ่าโบราณนัก”
“นายหญิงของเจ้าคือใคร?” สายตาของมู่เฉินวูบไหว
หลงเซี่ยงยิ้ม “ท่านแม่ของเจ้า—ชิงเหยี่ยนจิ้ง”
มู่เฉินจับจ้องไปที่หลงเซี่ยง อีกฝ่ายก็ไม่ได้หลบสายตาเขา นอกจากนี้เมื่อหลงเซี่ยงพูดถึงชิงเหยี่ยนจิ้งก็เห็นความเคารพจากใจ
หลังจากลังเลครู่หนึ่ง เขาก็ลดความตื่นระวัง ด้วยสถานะและการกระทำของเผ่าฝูถูไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องลดตัวและหลอกลวง คนเหล่านี้ทรงพลัง ดังนั้นพวกเขาสามารถส่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มออกมาหรือกระทั่งเทียนจื้อจุนเพื่อทำให้สิ่งต่างๆ ง่ายขึ้นสำหรับพวกเขา
ดังนั้นเขาจึงก้าวออกไปประคองหลงเซี่ยงขึ้น “พี่ใหญ่หลงเซี่ยงลุกขึ้นเถอะ ถ้าไม่ว่าอะไรก็เรียกข้าว่ามู่เฉินเลย ข้าไม่คู่ควรกับการเป็นนายน้อย”
หลงเซี่ยงส่ายหัวตอบ “มารดาของเจ้าเป็นนายหญิงของข้า ดังนั้นเจ้าก็ต้องเป็นนายน้อย”
น้ำเสียงดื้อรั้นไม่ยอมงอ ชัดว่าจะไม่เปลี่ยนในเรื่องนี้
มู่เฉินก็ได้แต่เกาหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาพึ่งพาตนเองมาตลอดหลายปี ถึงมารดาของเขาจะเป็นคนจากเผ่าฝูถูโบราณ มิหนำซ้ำยังเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ ทว่าตัวเขาไม่เคยมีความสุขกับการอยู่ในตำแหน่งนั้นหรือใช้ทรัพยากรของพวกเขาสักครั้ง ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับการเป็นคนธรรมดา เมื่อมีจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มมาเรียกเขาว่านายน้อย นี่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
แต่เมื่อเห็นว่าหลงเซี่ยงดื้อแค่ไหน มู่เฉินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คำพูดข้าเมื่อสักครู่ อย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะ”
ตอนแรกเขาคิดว่าเผ่าฝูถูส่งหลงเซี่ยงมาหยั่งเชิง ดังนั้นเขาจึงไม่มีความสุภาพเมื่อพูด
หลิงเซี่ยงยิ้มด้วยความยินดี “นายน้อยสมเป็นลูกของนายหญิงอย่างแท้จริง ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นเช่นนี้ ที่สำคัญเจ้ายังสามารถไปถึงระดับนี้ได้ แม้จะไม่มีความช่วยเหลือจากนายหญิง ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
คำพูดของเขามาจากก้นบึ้งของหัวใจ เนื่องจากมู่เฉินประสบความสำเร็จด้วยวัยนี้ก็น่าตกตะลึงอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่ชายหนุ่มจะเป็นนักรบทวีปซีเทียน ตอนนี้ยังบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้วอีกด้วย ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือการเผชิญหน้ากับมู่เฉินที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แม้แต่คนอย่างหลงเซี่ยงยังไม่รู้สึกว่าจะเอาชนะได้
“ถ้านายน้อยเติบโตในเผ่าฝูถูละก็ ข้าเกรงว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้สมัครชั้นดีของตำแหน่งประมุขคนต่อไป เจ้าจะไม่อ่อนแอกว่านายน้อยเฉวียนหลัวตอนนี้เลย” หลงเซี่ยงถอนหายใจ
มู่เฉินยิ้ม ไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร เขาพึ่งตัวเองมาตลอด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้โลภมากในทรัพยากรของเผ่าฝูถู
“พี่ใหญ่หลงเซี่ยง… ท่านแม่ข้าเป็นยังไงบ้าง?” แม้ว่าเขาจะไม่สนใจทรัพยากรของเผ่าโบราณ แต่เขาก็กังวลว่ามารดาเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ ในอดีตเขาไม่มีความผูกพันกับเผ่าโบราณนี้ ดังนั้นในเมื่อตอนนี้เขาได้พบผู้ใต้บังคับบัญชาของมารดา เขาก็ต้องถามอย่างละเอียด
“นายหญิงถูกจองจำ แต่นางไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็มีแต่คิดถึงเจ้าและบิดาเจ้ามากเท่านั้น” หลงเซี่ยงยิ้มพูดอย่างภาคภูมิ “พลังของนายหญิงลึกซึ้งและไม่อาจหยั่งรู้ แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่กล้าคุกคามมากเกินไป หากไม่ใช่นายหญิงไม่ต้องการให้นายน้อยติดร่างแหไปละก็ ข้าคิดว่าพวกเขาคงไม่สามารถควบคุมนางไว้ได้”
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจเมื่อรับรู้ แม้ว่าเผ่าฝูถูจะเป็นเผ่าโบราณ การพยายามจัดการกับหลิงเจิ้นต้าจงซือก็ยังคงต้องจ่ายราคาแพงระยับ ซึ่งอาจทำร้ายรากฐานเผ่าพันธุ์
แต่เมื่อคิดได้ว่าเขาเป็นเหตุผลที่ทำให้มารดาถูกจองจำ มู่เฉินก็รู้สึกเสียใจและโทษตัวเอง
“นายน้อยไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเอง ข้าแน่ใจว่านายหญิงต้องพึงพอใจมากเมื่อเห็นความสำเร็จของเจ้า” ราวกับว่าเขารู้เกี่ยวกับการตำหนิตนเองของมู่เฉิน หลงเซี่ยงก็เอ่ยปลอบใจ
มู่เฉินพยักหน้า เขาไม่ใช่คนที่ติดอยู่ในความเศร้าโศก ไม่มีประโยชน์ในการตำหนิตัวเองตอนนี้ เขาเพียงแต่ต้องพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงจุดที่เผ่าฝูถูไม่สามารถพาเขาไปเป็นตัวประกันเพื่อขู่มารดาของเขาได้อีกต่อไป
ในห้องโถงเมื่อลั่วหลีและคนอื่นๆ เห็นว่าความเป็นปรปักษ์หายไปก็รู้สึกโล่งใจ สถานการณ์บอกพวกเขาแล้วว่าชายวัยกลางคนนี้เป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู
“นายน้อยได้รับตำแหน่งนักรบทวีปซีเทียน ทำให้ชื่อขจรขจายออกไป ผู้คนในเผ่าฝูถูเริ่มให้ความสนใจกับเจ้า” หลงเซี่ยงเอ่ยเตือนเมื่อจ้องมองมู่เฉิน
มู่เฉินไม่แปลกใจกับสิ่งนี้ เนื่องจากเขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนตัวจากขอบเขตของเผ่าฝูถูไปตลอดกาล แต่ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มอ่อนแออีกต่อไป แม้ว่าเขาจะประหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม เขาก็สามารถต่อสู้ได้
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเผ่าฝูถูจะตัดสินใจที่จะส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกมา เขาก็สามารถต่อต้านได้เช่นกันโดยการเรียกกำลังเสริม
พูดโดยรวมก็คือตอนนี้เขามีกำลังในการปกป้องตัวเอง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเผ่าฝูถูจะใช้ไม้ไหนในการจับเขาไปคุกคามมารดาของเขา
“ข้าจะระวังตัว” มู่เฉินยิ้ม แม้ว่าเขาจะไม่กลัวเผ่าฝูถูอีกต่อไป แต่เขาก็ยังต้องระวัง เพราะอย่างไรพวกเขาก็เป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณที่ยิ่งใหญ่
หลงเซี่ยงพยักหน้าให้ ดวงตาวูบไหวเหมือนต้องการพูดอะไร แต่สุดท้ายเขาก็กลืนคำพูดที่มาถึงลำคอกลับลงไป
ทว่าทันใดนั้นก็มีคนเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าลั่วหลี “องค์จักรพรรดินีมีคนส่งข้อความมาที่วัง เราไม่รู้ว่ามาจากใคร”
ขณะที่พูดเขาก็หยิบชิ้นหยกออกมา
ลั่วหลีอึ้งไปวูบหนึ่ง ก่อนที่ยื่นมือดึงชิ้นหยกเข้ามา เมื่อสัมผัสโดนใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไปและมองไปที่มู่เฉิน
“มีอะไรรึ?” มู่เฉินถาม
ลั่วหลีลังเลสั้นๆ ก่อนที่นางจะเติมคลื่นหลิงเข้าไปในชิ้นหยก ทันใดนั้นชิ้นหยกก็เรืองแสง หน้าจอพุ่งออกมามีภาพชายชราสวมเสื้อคลุมสีเทาปรากฏขึ้น
ชายชรานั่งอยู่เบื้องหน้าเจดีย์สีดำ สายตาราวกับทะลุผ่านมิติจับจ้องมาที่มู่เฉิน ก่อนที่เสียงของเขาจะดังกึกก้อง “ไอ้กาลกิณีมู่เฉิน ตอนนี้หลงเซี่ยงคงได้พบกับเจ้าแล้ว แต่ไม่ว่าเขาจะจับตัวเจ้าหรือไม่ ข้าก็มีบางอย่างที่จะบอกให้รู้”
“หากเจ้าต้องการช่วยเหลือหญิงสาวคนนี้ก็ให้มาที่เกาะหัวใจหยกในทวีปวั้นเต่า ไม่งั้นข้าจะส่งนางไปยังเผ่า พวกเขาคงไม่สงสารหญิงสาวที่มีชนักติดหลังหรอก”
เมื่อสิ้นเสียงเขา ภาพคุกก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอพร้อมกับหญิงสาวสวมชุดขาวนั่งอยู่เงียบๆ
“พี่หลิงซี!”
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพหญิงสาว ดวงตาของเขาแคบลง รังสีสังหารแน่นหนาพล่านจากดวงตาของเขา
“หากเจ้าไม่ต้องการเห็นนางตาย ข้าจะรออยู่ที่เกาะหัวใจหยก”
ชายชรายิ้มไม่แยแส สะบัดแขนเสื้อหน้าจอก็หายไป ส่วนชิ้นหยกก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
ทั้งโถงเงียบกริบ โดยที่ใบหน้าของมู่เฉินมืดครึ้ม
เขาไม่คิดเลยว่าหลิงซีซึ่งขาดการติดต่อจะถูกขังอยู่ในเกาะหัวใจหยก
มู่เฉินหันไปหาหลงเซี่ยงถามว่า “พี่ใหญ่หลงเซี่ยง ชายคนนั้นพูดความจริงรึเปล่า?”
หลังจากลังเลครู่หนึ่งหลงเซี่ยงก็พยักหน้า “หลิงซีถูกขังอยู่ในเกาะหัวใจหยก กู้ซือหวงใช้นางข่มขู่ให้ข้าพาเจ้าไปที่เกาะหัวใจหยก”
“ตอนแรกข้าตั้งใจจะกลับไปแอบช่วยหลิงซีหลังจากพบเจ้าแล้ว แต่ข้าไม่คิดว่าไอ้เฒ่านั่นจะส่งคนตามหลังมา เพื่อแจ้งข่าวนี้กับเจ้า…”
“ดูเหมือนว่าไอ้เฒ่านั่นจะรู้ว่าถึงเราจะพบกันแต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะจับเจ้าไป”
“นายน้อย ไอ้เฒ่าคนนั้นเลวทรามต้องการให้เจ้าตกหลุมพราง เขาดูแลเกาะหัวใจหยกมาหลายปีแล้ว และที่นั่นก็เป็นป้อมปราการที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังมีปัญหา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกู้ซือหวงเองก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม!”
หลงเซี่ยงพยายามเกลี้ยกล่อม แม้ว่ามู่เฉินจะทรงพลัง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนั้นในสายตาของเขา
ได้ฟังคำพูดโน้มน้าว มู่เฉินก็ยิ้มพลางพยักหน้า เสียงเอ่ยออกมาอย่างนิ่งสงบ
“พี่ใหญ่หลงเซี่ยง ข้ารู้ว่าเขาต้องการให้ข้าตกลงไปในกับดัก… แต่เขาคงไม่เคยคิดว่า…”
“กับดักของเขา…เล็กไปหน่อย”
“บางครั้ง…ถ้ากับดักแตกนักล่าก็จะกลายเป็นคนถูกล่า…”
มู่เฉินพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่เย็นชาสาดไอเข่นฆ่าเข้มข้น ทำให้แม้แต่หลงเซี่ยงยังตัวสั่น
บทที่ 1275 นายน้อย
ในวังลั่วเสิน
ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมบางนั่งบนเก้าอี้โดยไม่มีอารมณ์ใดๆ ร่างกายไม่เคลื่อนไหว แม้แต่การหายใจก็แผ่วเบาจนไม่ได้ยิน หากไม่ใช่แสงหลิงที่วาบผ่านดวงตาเป็นครั้งคราวละก็ ทุกคนคงจะคิดว่าเขาเป็นรูปปั้นแล้ว
ชายคนนี้นั่งอยู่ที่นี่ตลอดทั้งเดือนโดยไม่เคลื่อนไหว!
คิ้วของลั่วหลีขมวดแน่น ตั้งแต่ชายคนนี้แจ้งความจำนง เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก ดังนั้นนางจึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าเขาเป็นมิตรหรือศัตรู
แต่มีบางอย่างที่นางมั่นใจได้ ชายคนนี้น่าจะมาจากหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ ซึ่งก็คือเผ่าฝูถู
เนื่องจากลั่วหลีตระหนักถึงภาพปักเจดีย์สีดำที่แขนเสื้อเขา ในมหาพันภพมีเพียงเผ่าฝูถูเท่านั้นที่ถือว่าเป็นขั้วอำนาจพิเศษ
“ท่านแม่ของมู่เฉินก็มาจากเผ่าฝูถู”
ลั่วหลีเคยพบชิงเหยี่ยนจิ้งเมื่อในอดีต ดังนั้นนางจึงรู้อะไรบางอย่าง แต่นางก็มั่นใจว่าเพราะเผ่าฝูถูทำให้มู่เฉินและมารดาของเขาไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้
นั่นหมายความว่ามู่เฉินไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเผ่าฝูถู
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ลั่วหลีก็หันไปหาชายวัยกลางคน “ท่านอยู่ที่นี่มานานแล้ว อยู่ต่อไปก็ไม่เกิดผล ดังนั้นไปซะเถอะ“
“มู่เฉินจะไม่กลับมาที่นี่อีก”
ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นพูดว่า “ดูเหมือนเจ้าจะส่งข่าวไปแล้วสินะ”
เมื่อเขาพูดออกมาก็ดูเหมือนว่าเสียงมังกรและช้างจำนวนมหาศาลคำรามออกมาจากร่างกายเขา ปลดปล่อยความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัว ทำให้แผ่นหินโดยรอบบนพื้นแตกกลายเป็นเถ้าถ่าน
เผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนคนนี้ ลั่วหลีก็ไม่แสดงความหวาดกลัวในสายตา เกลียวแสงหลิงยิ่งใหญ่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของนาง ร่างเวทสวรรค์ก่อตัวขึ้นอย่างเลือนรางที่เบื้องหลัง
แม้ว่านางจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่นางก็สามารถปะทะได้ชั่วครู่ด้วยร่างเทพวารี นอกจากนี้หากอีกฝ่ายยังจะเคลื่อนไหวในตระกูลลั่วเสินก็เหมือนกับการท้าทายกฎของตำหนักซีเทียน เมื่อถึงเวลานั้นผู้พิทักษ์ตำหนักซีเทียนก็จะเคลื่อนพลมาเช่นกัน
แต่ชายวัยกลางคนไม่ขยับ เขาแค่จ้องมองลั่วหลีพลางถอนหายใจด้วยความผิดหวัง “ไม่คิดเลยว่าเขาจะเลือกหนี ช่างเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง”
“เขาคิดว่าจะซ่อนตัวได้ตลอดกาลเรอะ? ด้วยพลังอำนาจของเผ่าฝูถูก็เป็นเรื่องของเวลาที่จะต้อนเขาเข้ามุม เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะทำอะไรได้อีก?”
ได้ยินน้ำเสียงผิดหวังและเยาะเย้ยของอีกฝ่าย ลั่วหลีก็รู้สึกโกรธ ทว่าขณะที่นางจะอธิบาย เสียงคุ้นเคยก็ดังก้องขึ้นมาจากประตูห้องโถง
“จอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้ามู่เฉินหวาดกลัวหรอก เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไป”
ลั่วหลีเงยหน้าขึ้นมามองประตู ภายใต้แสงตะวัน ร่างเงาสูงโปร่งของชายหนุ่นก็ยืนอยู่พร้อมกับรอยยิ้ม ริ้วความเย็นชากระจายบนใบหน้าเขา
เมื่อมู่เฉินปรากฏตัว ลั่วหลีก็รู้สึกโล่งใจในเวลาเดียวกัน ด้วยพลังของมู่เฉิน เขาเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ในการชำระล้างครั้งนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นแม้เขาจะไม่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เช่นกัน
ยืนอยู่ด้านหลังลั่วหลี จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนอื่นก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงเมื่อมู่เฉินปรากฏตัว นั่นเป็นเพราะชายวัยกลางคนคนนี้มาหามู่เฉิน ตอนนี้สถานการณ์อาจอยู่นอกเหนือการควบคุมทันทีที่มู่เฉินแสดงตัว
การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม พวกเขารู้สึกถูกกดดันอย่างมาก
ชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาคมกริบก็จ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน เมื่อเขาเห็นใบหน้าสดใส ดวงตาของเขาก็สั่นระริก
“เจ้าคือมู่เฉินเหรอ?” ชายวัยกลางคนถาม
“อยู่ก็ชื่อมู่เฉิน ตายก็ชื่อมู่เฉิน ข้าไม่เคยเปลี่ยนชื่อแซ่” มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ดี ถ้าเจ้าไม่กล้าเผชิญหน้ากับข้าวันนี้ ข้าก็รู้สึกว่าสิ่งที่มารดาเจ้าทำเพื่อปกป้องเจ้าไม่คุ้มค่าเลย” ชายวัยกลางคนกล่าว
มู่เฉินส่ายหน้าอีกครั้ง “ก่อนหน้าข้าพูดไปแล้วว่าขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังไม่มีความสามารถทำเช่นนั้น”
เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เผ่าฝูถู เขาไม่มีความประทับใจที่ดี ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอีกฝ่าย
ชายวัยกลางคนผงกหัวแต่ไม่พูดอะไร ทว่าขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกโล่งใจ ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน
โฮก!
เสียงคำรามของมังกรและช้างดังออกมา เขาก้าวออกมาหนึ่งก้าว เงาร่างก็หายไปปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมกับชกหมัดออกไป
แม้ว่าหมัดนี้จะดูเรียบง่าย แต่แสงหลิงที่ไร้ขอบเขตก็ส่องแสงราวกับว่ามังกรและช้างคำราม ปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัว
หมัดนี้บรรจุด้วยพลังดุดัน ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาคงตายคาที่เลยก็ได้
ทว่าไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้าของมู่เฉิน เนื่องจากเขาไม่แปลกใจกับการจู่โจมกะทันหันของชายวัยกลางคน เขาสูดลมหายใจลึก เกลียวแสงหลิงพร่างพราวระเบิดออกจากดวงตาของเขาเช่นกัน
โฮก!
เขากำกำปั้นแน่น มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏขึ้นบนแขน พวกมันเปล่งเสียงคำรามพร้อมกับแรงกดดันที่ห่อหุ้มออกมา
ผ่านการชำระล้างมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็เข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเรียบร้อย พวกมันรวมพลังเอาไว้ในหม้ดนี้
แม้ว่าพวกมันจะยังอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่พลังของเทพอสูรทั้งสองจริงบวกกับมู่เฉินก็สามารถต่อกรระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้เลยทีเดียว
มากเสียจนสามารถทำร้ายหลิงจั้นจื่อได้แบบหนักหน่วง!
ตู้ม!
หมัดสองหมัดอัดแน่นด้วยพลังน่าสะพรึงปะทะกันราวกับอุกกาบาตสองลูก
ปัง!
เสียงน่าขนลุกดังออกมา แต่น่าประหลาดใจที่ไม่มีพลังทำลายล้างเกิดขึ้นจากการเผชิญหน้าที่น่ากลัวนี้ ทว่าผู้ที่มีสายตาแหลมคมจะตระหนักได้ว่าแผ่นหินในรัศมีสิบกว่าจั้งกลายเป็นขี้เถ้าไปจนหมด โดยมีเหวลึกไร้ก้นอยู่ใต้กองเถ้าถ่านเหล่านั้น
มิติบิดเบี้ยวรุนแรงจากการปะทะกันระหว่างหมัดทั้งสอง ก่อนที่ร่างทั้งสองจะสั่นสะเทือนในวินาทีถัดไป
ร่างของมู่เฉินถอยหลังไปหลายสิบก้าว ส่วนชายวัยกลางคนถอยไปสิบกว่าก้าว แต่โดยรวมแล้วพวกเขาทั้งสองเสมอกันในการเผชิญหน้าครั้งนี้!
ทุกย่างก้าวของพวกเขาทิ้งรอยเท้าดำเมื่อมไว้บนพื้น เนื่องจากฝ่าเท้าของพวกเขาฝังลงไปในพื้นดินลึก
นี่เป็นเพียงชั่วขณะที่ทั้งสองปะทะกันและถอยกลับ ลั่วหลีลุกขึ้น ม่านตาเย็นชาของนางมองไปที่ชายวัยกลางคน ตั้งใจจะเรียกร่างเทพวารีออกมา
ถ้านางกับมู่เฉินร่วมมือกัน แม้ว่าคนคนนี้จะเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม เขาก็ต้องหยุดอยู่ที่นี่ในวันนี้
ที่เบื้องหลังลั่วหลี จอมยุทธ์คนอื่นๆ รวมถึงลั่วเทียนเสินลั่วเทียนหลงก็ต่างตกตะลึง แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามู่เฉินเอาชนะหลิงจั้นจื่อและพลังของเขาไม่ธรรมดา
แต่ชายคนนี้ไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่เป็นขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว พลังนี้ใกล้เคียงกับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ในแง่ของพลังไม่ใช่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุดจะเทียบเคียงได้
แต่ใครจะจินตนาการได้ว่ามู่เฉินไปถึงจุดที่สูสีในการเผชิญหน้ากระบวนท่าเมื่อครู่!
เห็นได้ชัดว่าภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปีพลังของมู่เฉินก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัย!
ชายวัยกลางคนทรงตัวไว้ได้ เขาก็เกิดสีหน้าตะลึงงันเช่นกัน เขาไม่คิดว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่ล่าถอยแต่ยังซัดใส่เขาด้วยพลังที่มี!
นอกจากนี้ก็ไม่ได้เสียเปรียบจากการปะทะนี้!
ต้องรู้ว่าทักษะการฝึกฝนของเขาเพิ่มความแข็งแกร่งเพียงใด ดังนั้นกำปั้นที่บรรจุพลังของมังกรพลายนี้จึงกดขี่อย่างมหาศาล
แต่จากการปะทะกันของพวกเขา เขาสามารถรู้สึกได้ว่าพลังที่เขาภูมิใจจมดิ่งในแรงกดดันที่ไม่รู้จัก ราวกับว่าพลังของมู่เฉินสูงกว่าระดับของเขา
อีกมุมหนึ่งมู่เฉินก็ลูบกำปั้นด้วยสีหน้าตกใจ เขาอึ้งไปกับความแข็งแกร่งที่ชายวัยกลางคนนี้ครอบครอง
หากไม่ใช่มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่บุกทะลวงมาถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น เขาคงต้องทนทุกข์อย่างมากจากการปะทะกันครั้งนี้
“พลังของชายคนนี้น่าสะพรึงกลัวนัก ในแง่ของพลังแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแท้จริง ก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าเขา” ดวงตาของมู่เฉินกะพริบไหว เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ไม่ใช่จอมยุทธ์เกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดา หากพวกเขาต้องต่อสู้กันที่นี่ ก็คงไม่ใช่การต่อสู้ที่ง่ายดาย
ดังนั้นใบหน้าของมู่เฉินจึงเคร่งเครียดลง คลื่นหลิงเพิ่มขึ้นในร่างกายขณะที่จับจ้องชายวัยกลางคนด้วยความตื่นตัว
ทว่าภายใต้การรออย่างเคร่งเครียด ชายวัยกลางคนกลับยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“สมกับเป็นลูกของนายหญิง ช่างโดดเด่นด้วยวัยเท่านี้”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขาซึ่งปกคลุมด้วยความอบอุ่นและความสุข มู่เฉินก็อึ้งไป
แต่ก่อนที่จะมีปฏิกิริยา ชายวัยกลางคนก็คุกเข่าข้างหนึ่งลง สีหน้าที่ไม่มีอารมณ์แต่เดิมแสดงความเคารพจากใจภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคน
“หลงเซี่ยงทักทายนายน้อย!”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1274 บรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย!
แนวคิดเกี่ยวกับเวลาหายไปในมิติเย็นเยือกนี้
เวลาช้ามากจนรู้สึกเหมือนเป็นนิจนิรันดร์ ราวกับว่าสติสัมปชัญญะแช่อยู่ในความมืด ขณะที่รอบตัวให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในครรภ์มารดา
ภายใต้ความเงียบนี้การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดก็เกิดขึ้นอย่างช้าๆ
ท่ามกลางหมู่ดาวโบราณ ร่างเงาหนึ่งนั่งอยู่ราวกับก้อนหินพร้อมกับมีคลื่นหลิงโบราณก่อตัวขึ้นเป็นวงรัศมีอยู่รอบตัวเขา แสงสาดส่องลงมาบนร่าง ภายใต้ความมันวาวนั้นกระทั่งร่างกายของเขาก็เปล่งแสงลึกล้ำขณะที่เคลื่อนเข้าไปในเนื้อ กระดูกและเลือด ชำระร่างกายให้สมบูรณ์แบบ
เมื่อเวลาผ่านไปคลื่นหลิงโบราณและคลื่นหลิงของมู่เฉินก็ค่อยๆ เชื่อมโยงกัน เมื่อรวมเข้าด้วยกันได้คลื่นหลิงในร่างกายของเขาก็หนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่เป็นพัฒนาการลึกซึ้งยิ่งขึ้นของคลื่นหลิง ในแง่ของคุณภาพพลังงานนี้น่าจะสูงกว่าเมื่อก่อนอย่างน้อยก็หนึ่งระดับ
คลื่นหลิงที่แข็งแกร่งไหลเวียนอยู่ในร่างกายเขา ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนภายในอย่างผันผวนไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับว่าทุกริ้วความผันผวนจะทำให้มันเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้น
การเสริมพลังนี้แรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังสะสมรอจังหวะปะทุขึ้นเพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ทวีปซีเทียน เมืองลั่วเสิน โถงวังลั่วเสิน
ลั่วหลีนั่งอยู่พร้อมกับเพ่งมองไปที่ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ชายคนนั้นดูผอมบางแต่ความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวเขาราวกับว่ากำลังแบกภูเขาไว้บนหลัง
นี่เป็นบุคคลอันตรายอย่างยิ่ง!
นี่คือการประเมินจากลั่วหลี แม้ว่านางจะเสร็จสิ้นการชำระล้างและพลังก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย แต่นางก็ไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ตอนนี้นางอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นระยะปลายสุด
เวลานี้นางอาจจะต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อได้เลยทีเดียว
ทว่าชายวัยกลางคนผู้นี้มีพลังมากกว่าหลิงจั้นจื่อ จากการคาดเดาเขาอาจจะแตะระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว แม้ว่ายังไม่ได้เข้าไปอย่างเต็มตัว แต่อย่างน้อยก็อยู่ในขุมพลังเสมือนระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว
แม้ว่าจะเป็นเพียงเกือบบรรลุ แต่ก็ยังอยู่ในอีกระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย
ลั่วเทียนเสิน ลั่วเทียนหลงและผู้อาวุโสอื่นๆ ของตระกูลลั่วเสินก็ปรากฏตัว สายตามองไปที่ชายวัยกลางคนด้วยความหวั่นเกรงและตื่นตัว
“ท่านผู้อาวุโส มู่เฉินไม่อยู่ที่นี่ ถ้าท่านต้องการเจอเขาโปรดไปที่อื่นเถิด” ลั่วหลีพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ไม่กี่วันที่ผ่านมาชายวัยกลางคนคนนี้มาที่ตระกูลลั่วเสินเพื่อตามหามู่เฉิน ทว่าตอนนี้มู่เฉินยังคงอยู่ในกระบวนการชำระล้าง นอกจากนี้ต่อให้เขาอยู่ ลั่วหลีก็ไม่ต้องการให้คนคนนี้พบกับมู่เฉิน ก่อนที่นางจะยืนยันเป้าหมายของเขาได้
เผชิญหน้ากับคำพูดของลั่วหลี ชายวัยกลางคนก็ส่ายหัว “เขาจะต้องมาแน่นอนในเมื่อข้ามาที่นี่”
ลั่วหลีมุ่นคิ้ว “เจ้าตามหามู่เฉินเพื่ออะไร?”
“จะเชิญเขาไปที่แห่งหนึ่ง” ชายวัยกลางคนพูดอย่างไม่มีริ้วกระเพื่อมในน้ำเสียง
คิ้วของลั่วหลีขมวดกันมากยิ่งขึ้นขณะมองไปที่ชายวัยกลางคนอย่างลึกซึ้ง “ข้ากลัวว่าท่านจะไม่สามารถเชิญเขาไปได้”
ด้วยความเข้าใจของนางเกี่ยวกับมู่เฉิน หลังจากการชำระล้างพลังของมู่เฉินจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ในอดีตเขาสามารถต่อกรกับหลิงจั้นจื่อซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุดด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น
หลังจากการชำระล้างแม้ชายวัยกลางผู้นี้จะมีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็คงไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้
เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินคำพูดของลั่วหลี เขาก็ยิ้มตาหยีพลางหลุบตาลง “หากเป็นเช่นนั้นข้าก็อยากลองดู ข้าหวังว่าเขาจะไม่ทำให้ผิดหวัง”
‘ไม่เช่นนั้นก็เป็นการสิ้นเปลืองความพยายามของนายหญิงที่ปกป้องเขา’
ประโยคสุดท้ายเสียงต่ำลงจนไม่สามารถได้ยิน
เวลาไหลผ่านไปในความมืด
ไม่มีใครรู้ว่าความเงียบงันกินเวลานานแค่ไหน ทันใดนั้นริ้วสติก็กระเพื่อมไหวก่อนที่จะค่อยๆ ตื่นขึ้นจากสมาธิระดับลึก
ขณะเดียวกันแสงริ้วสุดท้ายก็เข้าสู่ร่างกายของมู่เฉินเรียบร้อย
ร่างกายที่ถูกแช่แข็งของเขาฟื้นคืนขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อเขาลืมตาแสงลึกล้ำก็กะพริบวาบในม่านตาสีดำของเขา
แม้ว่าจะไม่ได้มีรัศมีอลังการอะไร แต่ก็หมายความว่ามู่เฉินได้มาถึงระดับใหม่ของการควบคุมคลื่นหลิง
มู่เฉินเหยียดแขนออกเงียบๆ
ครืน!
ทันใดนั้นกระดูกก็ส่งเสียงลั่นเปรียะ เสียงดังกึกก้องราวกับเสียงฟ้าคำรามในร่างกายของเขา
นอกจากนี้ทุกเสียงคำรามก็ทำให้มิติรอบตัวผันผวนไปหมด
มู่เฉินลุกขึ้นยืนเส้นผมกระจัดกระจายไปทั่ว อึดใจคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ไม่ถูกยับยั้งอีกต่อไป มันปลดปล่อยตัวเองออกมาราวกับคลื่นยักษ์
ตู้ม!
คลื่นหลิงเชี่ยวกรากกวาดออกไปพร้อมกับแรงกดดันไม่รู้จบล้อมรอบมิติทั้งหมดนี้
นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของคลื่นหลิงยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่กี่อึดใจก็มาถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นระยะปลายสุด
ทว่าก็ไม่มีสัญญาณว่าจะหยุดลง!
เสื้อผ้าของมู่เฉินเผยิบผยาบ กระทั่งผิวหนังของเขาก็ยังสั่นระริก ขณะที่คลื่นหลิงแล่นพล่านราวกับงูใต้ผิวหนัง
เพียงสิบกว่าลมหายใจ ลำแสงหลิงขนาดแสนกว่าจั้งก็ยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า
ปัง!
เสียงฟ้าลั่นคำราม ความผันผวนของคลื่นหลิงขยายตัว หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจก็ทะลุผ่านขอบเขตก้าวเข้าระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตหวีดหวิวรอบร่างตัวมู่เฉิน ความหนาแน่นนั้นแข็งแกร่งกว่าตอนที่เขาอยู่ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายหลายเท่า!
ประกายคลื่นหลิงรอบร่างมู่เฉินเริ่มหดลง ก่อนที่เขาจะก้มศีรษะลงอย่างช้าๆ มองไปที่ฝ่ามือตนเองซึ่งถูกปกคลุมด้วยพลังงานไร้ขอบเขต ในช่วงเวลานี้กระทั่งหัวใจของเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น
“ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย”
ด้วยการชำระล้างนี้ เขาก้าวกระโดดครั้งสำคัญจากระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเข้าสู่ขั้นปลายเป็นที่เรียบร้อย!
“กระบวนการครั้งนี้กินเวลาถึงสามปี”
ทว่าการเพิ่มขึ้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นรวดเร็ว ใช้เวลาสามปีเต็มในการทำให้สำเร็จ!
ที่จริงนี่ไม่ได้เป็นเวลาสามปีในมหาพันภพแต่เป็นในมิตินี้ พลังงานชำระล้างที่ลึกซึ้งทำลายเวลาทำให้ไหลช้าลง ดังนั้นในมหาพันภพเวลาน่าจะผ่านไปเพียงไม่ถึงครึ่งปี
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจ ในช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมาความเร็วในการฝึกฝนของเขาไม่ช้า ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มการเพาะบ่มมากเกินไปและสร้างความเสียหายต่อรากฐาน ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้มู่เฉินสามารถวางรากฐานได้ดียิ่งขึ้น
เห็นได้ชัดว่าการชำระล้างนี้สมกับความคาดหวังของมู่เฉิน ไม่เพียงแต่สามปีที่ช่วยให้เขาไปถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่ยังทำให้เขาวางรากฐานแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
ด้วยสิ่งนี้จะไม่มีผลกระทบใดๆ ที่อาจส่งผลต่อพัฒนาการของเขาในการบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มหรือกระทั่งระดับเทียนจื้อจุน
มู่เฉินยิ้มพอใจก่อนที่คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกันในฝ่ามือ เขารู้สึกได้ว่าคลื่นหลิงในตอนนี้แตกต่างจากในอดีต
คลื่นหลิงในปัจจุบันของเขาทั้งมีชีวิตชีวาและหนาแน่นยิ่งขึ้น
“เล่าลือว่าคลื่นหลิงในร่างของจอมยุทธ์เทียนจื้อจุน ทุกหยดสามารถเปลี่ยนเป็นแม่น้ำ มีความหนาแน่นเท่ากับภูเขา”
มู่เฉินครุ่นคิด ดูเหมือนว่าคลื่นหลิงโบราณจะมีการเชื่อมโยงกับการพัฒนาในอนาคตสู่ระดับเทียนจื้อจุน
แม้ว่าเขายังมีระยะทางค่อนข้างไกลจากระดับเทียนจื้อจุน แต่เขาก็มีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับเส้นทางนี้แล้ว
“การชำระล้างพลังงานทวีปวิเศษจริงๆ”
มู่เฉินยิ้มบาง เขายินดีกับการเก็บเกี่ยวของตนเอง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเทพจักรพรรดิอัคคีพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อคว้าโอกาสนี้สำหรับเขา
มู่เฉินเลื่อนสายตาไปยังทิศทางของลั่วหลี แต่เขาหานางไม่พบ ดูเหมือนว่านางจะเสร็จสิ้นกระบวนการก่อนแล้วออกจากที่นี่ไปแล้ว
“หืม?”
ทันใดนั้นมู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงแสงหลิงในทิศทางของลั่วหลี เขาโบกมือดึงมันเข้ามาก่อนที่เสียงลั่วหลีจะก้องดังในโสตประสาท
“มู่เฉินมีคนกำลังรอเจ้าอยู่ที่ตระกูลลั่วเสิน ข้าไม่รู้จุดประสงค์ของเขา แต่เจ้าต้องระวังตัวเมื่อออกจากการชำระล้างแล้ว”
“นอกจากนี้…ถึงแม้ว่าข้าจะไม่มั่นใจที่มาของเขา แต่ข้าเดาว่าเขาน่าจะมาจากเผ่าฝูถู”
เมื่อมู่เฉินได้ยินชื่อนี้ม่านตาก็หดแคบลงพร้อมกับรังสีสังหารกระจายอย่างช้าๆ บนใบหน้า
“เผ่าฝูถู”
เขาพึมพำกับแสงเย็นกะพริบในม่านตาสีดำ
“ในที่สุดก็มาหาแล้วหรือ?”
ภาพเงามู่เฉินเคลื่อนไหวหายวับไปจากมิติโบราณ เหลือเพียงเสียงเย็นของเขาสะท้อนไปทั่วบริเวณ
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1273 หลงเซี่ยง
ตึง!
เสียงฝีเท้าลึกดังก้องในป่าไผ่ ทุกย่างก้าวทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน
ทว่าคนผู้นี้ไม่ได้มีโครงสร้างที่แข็งแรง เขากลับเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสวมเสื้อผ้าสีดำ
ชายคนนี้เดินออกจากป่ามาถึงเจดีย์ เขาหยุดลงเมื่อเห็นชายชรา เสียงของเขาดังก้องไม่มีความรู้สึกใดๆ “ผู้อาวุโสกู้เรียกข้ามามีธุระอะไร?”
ผู้อาวุโสกู้เงยหน้าขึ้น ดวงตายิ้มแย้มมองไปที่ชายวัยกลางคน “ยินดีด้วยหลงเซี่ยง ดูเหมือนว่าเจ้าบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว”
รัศมีของชายวัยกลางคนลึกล้ำราวกับว่าแบกน้ำหนักภูเขานับไม่ถ้วนไว้ ทุกการเคลื่อนไหวทำให้เกิดความผันผวนของพลังงานกระเพื่อม ทำเอามิติรอบตัวสั่นสะเทือน
“ข้ามาได้ครึ่งทางเท่านั้น ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม” หลงเซี่ยงตอบเสียงเบา
ผู้อาวุโสกู้ยิ้ม “ด้วยความสามารถของเจ้า ตราบใดที่ก้าวไปได้ครึ่งก้าว การไปถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา”
ทว่าหลงเซี่ยงไม่ได้ตอบสนองคำถามนี้ เพราะตัวเขามั่นใจอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องของเวลาที่จะทำให้ตนเองบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้
“มีเรื่องอะไรให้ข้าทำ ผู้อาวุโสกู้?”
แต่เขาไม่ได้พูดในเรื่องนี้มากนักถามขึ้นว่า
ผู้อาวุโสกู้พยักหน้าพร้อมกับดวงตาหรี่ลง “ข้ามีภารกิจให้เจ้าทำ”
“โอ้?”
“ตามล่าคนคนหนึ่งซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น” ผู้อาวุโสกู้สะบัดนิ้ว หน้าจอก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับภาพชายหนุ่มฉายออกมา นี่ก็คือมู่เฉินนั่นเอง
หลงเซี่ยงขมวดคิ้ว “ทำไมถึงเรียกข้าไปจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นตัวจ้อยด้วย?”
“ฮ่าๆ เขาไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นธรรมดา เขาได้ตำแหน่งนักรบทวีปจากสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายของทวีปซีเทียน แม้แต่ศิษย์เอกของจักรพรรดิสัประยุทธ์ยังพ่ายแพ้ต่อเขา ดังนั้นเจ้าเด็กคนนี้มองข้ามไม่ได้” ผู้อาวุโสกู้หัวเราะเบาๆ
“ในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ข้าเกรงว่าจะมีไม่มากที่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้ ดังนั้นข้าจึงต้องมอบภารกิจให้เจ้าซึ่งเป็นจอมยุทธ์เสมือนระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม”
พอได้ยินถ้อยคำนี้ หลงเซี่ยงก็หรี่ตาแคบพลางพยักหน้า “งั้นเป็นคนไม่ธรรมดาจริงๆ”
สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่จะบรรลุความสำเร็จดังกล่าวช่างน่าทึ่งนัก แม้ว่าเขาจะมีสายเลือดของตระกูลฝูถูโบราณ เพราะจอมยุทธ์หัวกะทิของเหล่ารุ่นใหม่ในตระกูลก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จนี้ได้
“เขาคือใคร? ทำไมถึงต้องไปตามจับ?” หลงเซี่ยงถามขณะที่มองผู้อาวุโสกู้
ผู้อาวุโสกู้ยิ้ม “นี่เป็นคำสั่งจากผู้อาวุโสใหญ่”
ม่านตาของหลงเซี่ยงหดลง ดูเหมือนว่าจะหวนนึกบางสิ่งได้ เขาหันขวับไปหาผู้อาวุโสกู้กล่าวว่า “คนที่ผู้อาวุโสใหญ่สั่งประกาศจับเหรอ?”
“เจ้ากาลกิณีคนนั้นนั่นแหละ” ผู้อาวุโสกู้ตอบอย่างแผ่วเบา
ตู้ม!
เมื่อได้ยินแววตาของหลงเซี่ยงก็เย็นเยือกลง คลื่นหลิงน่ากลัวระเบิดออกมาจากร่างก่อตัวขึ้นในบรรยากาศที่น่ากลัวกวาดออกไปในทิศทางของผู้อาวุโสกู้
โฮก!
เผชิญหน้ากับรัศมีที่น่าทึ่งของหลงเซี่ยง สายตาของผู้อาวุโสกู้ก็เฉียบคม แสงสีทองรวมตัวกันอยู่ข้างหลังก่อร่างเป็นสิงโตทองคำ สิงโตทองคำกู่คอคำราม สวรรค์และโลกก็สั่นสะเทือน ความกดดันอันน่าสะพรึงกลัวแตกสลาย
ทั้งสองปะทะกันกะทันหัน ร่างกายของหลงเซียงก็สั่นเทาถอยกลับไปครึ่งก้าว ส่วนร่างของผู้อาวุโสกู้ก็สั่นเทิ้มเล็กน้อย
การประจันหน้าดังกล่าวทำให้ผู้อาวุโสกู้ขมวดคิ้ว แม้ว่าหลงเซี่ยงจะเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น แต่เขาเกิดมาพร้อมกับพลังที่ยิ่งใหญ่และได้รับการฝึกฝนทักษะเทพมังกรพลาย ดังนั้นพลังของเขาจึงน่ากลัวอย่างยิ่ง หากต้องต่อสู้กันแล้ว แม้แต่ตนก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับเพื่อชนะ
“หลงเซี่ยงคิดจะไม่ฟังคำสั่งของเผ่าเรอะ?” ผู้อาวุโสกู้จ้องไปที่หลงเซี่ยง ขณะรวบรวมพลังบนร่างกาย ช่างดูคล้ายกับราชสีห์ร้ายนัก
สายตาของหลงเซี่ยงวูบไหวพร้อมกับแววเหี้ยมเกรียม แต่เขาก็ดึงรัศมีกลับเล็กน้อยพูดอย่างเย็นชาว่า “เขาเป็นลูกของนายหญิง เขาไม่ใช่กาลกิณี กู้ซือหวงคำนึงถึงคำพูดตัวเองด้วย!”
“หึ แม้ว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะเป็นเจ้านายเก่าของเจ้า แต่ตอนนี้นางเป็นคนบาปที่ไม่เชื่อฟังกฎของเผ่า ทำให้สายเลือดอันสูงส่งของเผ่าฝูถูด่างพร้อย นางมีโทษมหันต์สำหรับอาชญากรรมที่ยิ่งใหญ่นี้!” กู้ซือหวงเอ่ยต่อ
“ถ้าเจ้ามีข้อกังขากับเรื่องนี้รายงานขึ้นไปที่สภาสิ หากพวกเขาเปลี่ยนใจ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้”
หลงเซี่ยงยิ้มอย่างเย็นชา “ข้าไม่อยากคุยกับเจ้า ข้าไม่ไป!”
ดวงตาของกู้ซือหวงหลุบต่ำ “ไม้ไผ่หัวใจหยกที่นี่กำลังจะเติบโต ข้าต้องปกป้องสถานที่แห่งนี้ หากเจ้าไม่ไปข้าจะรายงานข่าวนี้กลับไปยังเผ่า ในเวลานั้นข้าก็ไม่รู้ว่าจะเป็นใครที่ถูกส่งออกไป…”
“หลงเซี่ยงเราเพียงแต่ต้องการจับไอ้…เด็กนั้นไว้แบบมีชีวิตอยู่ หากเจ้าออกหน้าเองก็ยังสามารถรักษาชีวิตเขาไว้ได้ แต่ถ้าผู้อาวุโสใหญ่โกรธขึ้นมาส่งคนอื่นไปละก็ ความเป็นตายของเด็กนั่นก็จะไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าอีกต่อไป”
มองไปที่กู้ซือหวงสายตาของหลงเซี่ยงก็กะพริบก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ได้ ข้าไปก็ได้!”
ถ้าเขาไปอย่างน้อยก็ไม่ทำอะไรรุนแรงกับลูกนายหญิง แต่ถ้าส่งคนที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับนางไปละก็ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงจะไม่แน่นอน
เมื่อกู้ซือหวงได้ยินคำตอบก็ยิ้ม “เป็นเรื่องดีที่เจ้าเข้าใจ”
พูดถึงจุดนี้เขาก็หยุดชั่วครู่ก่อนที่จะยิ้มอีกครั้ง “แต่หลงเซี่ยง ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่กลับมามือเปล่า หากเป็นเช่นนั้นข้าอาจจะมอบหญิงสาวที่ถูกขังอยู่ที่นี่กลับเผ่า ในเวลานั้นข้าเกรงว่านางจะไม่สามารถรับโทษได้”
ใบหน้าของหลงเซี่ยงเปลี่ยนไปในพลางจ้องมองกู้ซือหวงด้วยสายตามืดมน ก่อนที่จะพูดช้าๆ “กู้ซือหวง ข้าขอเตือนว่าอย่าทำอะไรเกินเลย แม้ว่าตอนนี้นายหญิงจะถูกจองจำ แต่เจ้าก็ทราบดีว่านางเป็นคนอย่างไร แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่สามารถทำอะไรกับนางได้ ถ้าเจ้าทำให้นางโกรธจริงๆ ข้ากลัวว่าจะไม่มีใครในตระกูลปกป้องเจ้าได้”
“ในสายตานายหญิง เจ้าเป็นเพียงสุนัขแก่ที่สามารถฆ่าได้ด้วยการพลิกฝ่ามือ!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นใบหน้ากู้ซือหวงก็บิดเบ้อย่างไม่สามารถควบคุมได้ เขาจ้องอีกฝ่ายด้วยความเยาะเย้ย “หึ ข้าไม่เชื่อว่าเผ่าจะให้นางทำตามที่ต้องการ!”
แม้ปากจะพูดเช่นนี้แต่น้ำเสียงก็ไม่ได้เฉียบคมอย่างเดิม เพราะเขารู้ว่าถ้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนต้องการจัดการเขา ก็มีวิธีการมากมายที่จะทำเช่นนั้น
สายตาดูถูกเหยียดหยามของหลงเซี่ยงสาดออก เขาไม่พูดอะไรก่อนจะหันหลังออกไป
เมื่อเห็นหลงเซี่ยงไปแล้ว กู้ซือหวงก็กัดฟันกรอด “ปล่อยให้แกผยองไปก่อนเถอะ ตราบใดที่ประมุขน้อยขึ้นเป็นประมุข เผ่าฝูถูก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา ในเวลานั้นเราจะไม่ลังเลเหมือนผู้อาวุโสใหญ่ นอกจากนี้เมื่อไรที่เราจับไอ้กาลกิณีนั่นได้ ข้าไม่เชื่อว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะไม่ฟังคำสั่งเรา!”
เมื่อหลงเซี่ยงออกจากเจดีย์ เขาไม่ได้รีบจากไป แต่เดินไปอีกทางหนึ่งที่มีเจดีย์สีดำ เขาเดินเข้าไป
ที่นี่มืดและวังเวงมีคุกสีดำอยู่ในส่วนลึกของเจดีย์ คุกนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยหินสีดำและมีเกลียวแสงหลิงบางเบาวูบไหวออกมา ก่อร่างเป็นค่ายกลขนาดใหญ่
เมื่อมาถึงเบื้องหน้าคุกหลงเซี่ยงก็จ้องมองไปที่หญิงสาวในชุดขาว
ผมยาวของนางแผ่กระจายออกไปอย่างนุ่มนวลพร้อมกับคิ้วตวัดขึ้นบ่งบอกถึงกิริยาท่าทางงดงาม แต่ไม่มีความตื่นตระหนกในสายตาของนางเลย ตรงกันข้ามกลับมีเพียงความสงบ
ถ้ามู่เฉินอยู่ที่นี่เขาจะต้องตกใจอย่างแน่นอน เพราะนางก็คือหลิงซีที่ขาดการติดต่อหลังจากแยกกันที่สำนักศึกษาเป่ยชาง!
“หลิงซี”
จ้องมองหญิงสาวในคุกรอยยิ้มก็ปรากฎบนใบหน้าของหลงเซี่ยง เพราะเขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้นับวันยิ่งคล้ายกับนายหญิงของเขา
หลิงซีเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มเมื่อเห็นหลงเซี่ยง “พี่หลงเซี่ยง”
หลงเซี่ยงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้พลางคลี่รอยยิ้มขมขื่น “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ เจ้ารู้อยู่แล้วที่นี่เป็นดินแดนของเผ่าฝูถู ซึ่งมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเฝ้าดูอยู่”
ตอนนั้นจู่ๆ หลิงซีก็บุกเข้ามาที่เกาะหัวใจหยก ตามคาดนางถูกจับขังไว้ที่นี่โดยกู้ซือหวงมานานสามปีเต็มแล้ว
หลิงซีเม้มริมฝีปาก ม่านตาสีดำเปล่งประกายด้วยรอยยิ้มบนริมฝีปาก “เป็นเพราะท่านน้าจิ้งเคยอยู่ที่นี่”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ หลงเซี่ยงก็อดกลอกตาไม่ได้ เขาพูดไม่ออกจริงๆ
“พี่หลงเซี่ยงมีเรื่องอะไรเหรอเจ้าคะ?” หลิงซียิ้ม
หลงเซี่ยงลังเลสั้นๆ ก่อนจะพยักหน้า “ข้าได้รับข่าวเรื่องนายน้อย”
หลิงซีเงยหน้าขึ้นฉับพลัน จากนั้นหลงเซี่ยงก็เห็นความสุขที่ไม่อาจปกปิดบนดวงหน้าของนางที่ไม่เคยแสดงอารมณ์ใดๆ ในช่วงสามปีที่ผ่านมา
“มู่เฉิน…ในที่สุดก็มีข่าวจากเจ้า…”
นางก้มหน้าแย้มยิ้ม
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1272 ความโกลาหล
หนึ่งเดือนหลังจากศึกนักรบทวีปจบลง
ไม่เพียงแต่ข่าวจะไม่หายไปเท่านั้น ยังระเบิดแล้วกระจายออกไปทั่วทวีปซีเทียนเข้าสู่มหาพันภพ
นักรบทวีปเป็นฉายาที่เลื่องลือในมหาพันภพ เนื่องจากนักรบทวีปทุกทวีปเป็นอัจฉริยะที่สมบูรณ์พร้อมศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน…
แม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรการได้รับตำแหน่งมาก็เป็นการพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพของพวกเขา ไม่มีใครมั่นใจว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนต่อไปในมหาพันภพจะเป็นใครในนักรบทวีป…
ความจริงที่ว่าทำให้ข่าวเกี่ยวกับนักรบทวีปได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าทวีปซีเทียนจะไม่โด่งดังในโลกมหาพันภพก็ตาม
ดังนั้นเมื่อข่าวนี้แผ่กระจายออกไป ก็ดึงดูดความสนใจจากขั้วอำนาจจำนวนมาก ทว่าไม่มีใครมีความคาดหมายที่ดี เพราะส่วนใหญ่คิดอยู่ว่าพวกเขาสามารถตักนักรบทวีปออกจากทวีปซีเทียนได้หรือไม่ เพราะนักรบทวีปทุกคนมีศักยภาพในการบรรลุระดับเทียนจื้อจุน หากพวกเขาสามารถดึงคนเหล่านี้มาได้ ก็จะเสริมกำลังให้ ถ้านักรบทวีปเหล่านี้สามารถมีความก้าวหน้าในอนาคต
เมื่อขั้วอำนาจจำนวนมากได้รับข้อมูลของนักรบทวีปซีเทียนก็เกิดความตื่นตระหนกลูกใหญ่
เพราะพวกเขาพบว่าคนที่ชิงความเป็นใหญ่ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น!
“ใครคือมู่เฉิน? เขาสามารถผงาดขึ้นในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเรอะ?”
“จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในทวีปซีเทียนอ่อนแอขนาดนี้เลยเหรอ?!”
“ดูเหมือนมู่เฉินไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน มีข่าวลือว่าเขามีความสัมพันธ์กับเทพจักรพรรดิอัคคีหรือเขาจะเป็นศิษย์ของเทพจักรพรรดิอัคคีกัน?”
“…”
ในขณะที่กลุ่มหลายกลุ่มตกตะลึงกับความสำเร็จของมู่เฉิน การคาดเดาทุกประเภทก็เริ่มกระจายออกไป
“นักรบทวีปสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ไม่ธรรมดา! นางปลูกฝังร่างเทพวารีของลั่วเสิน!”
“ช่างเป็นหญิงที่งดงามนัก นี่เป็นร่างเทห์สวรรค์ที่สวยงามที่สุดตอนที่ลั่วเสินยังมีชีวิต มิหนำซ้ำยังอยู่อันดับสิบเอ็ดบนทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างด้วยใช่ไหม?!”
“ศักยภาพของนางก็ไม่มีขอบเขตเช่นกัน นางอาจจะสามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้!”
“…”
หลังจากมู่เฉิน ลั่วหลีก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย เพราะร่างเทพวารีโดดเด่นเกินไป ความงามที่เลิศล้ำนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกมัวเมา
ยิ่งไปกว่านั้นพรสวรรค์ที่ลั่วหลีแสดงออกมาก็ทำให้อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ พวกเขาราวกับเห็นภาพเทพธิดาผู้ยิ่งใหญ่ของโลกในสมัยโบราณที่มีเสน่ห์ดึงดูดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนนับไม่ถ้วน
เมื่อเปรียบเทียบกับมู่เฉินและลั่วหลี ไม่มีใครให้ความสนใจกับหลิงตงมากนัก เพราะพวกเขาได้รับข้อมูลว่าจอมยุทธ์ผู้นี้ได้รับการดูแลจากจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน ดังนั้นเขาจะต้องจงรักภักดีต่อเจ้านายมาก ไม่ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะแย่งชิงมา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ให้ความสนใจคนผู้นี้มากนัก
แต่ไม่ว่าอย่างไรนักรบทวีปทั้งสามจากทวีปซีเทียนก็ได้สร้างความโกลาหลในมหาพันภพ ดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษในเวลาเดียวกัน
มุมหนึ่งของมหาพันภพ
ชายชราสวมเสื้อผ้าธรรมดาถือไม้เท้าห้อยน้ำเต้าแดงไว้ที่เอว ขณะเดินทอดหุ่ยบนถนน แต่ไม่ว่าสถานที่นี้จะแออัดแค่ไหน ก็ไม่มีใครสามารถแตะต้องเขาได้ ราวกับว่าเขาอยู่ในมิติอื่น
ทันใดนั้นชายชราก็หยุดมองไปที่มุมหนึ่ง ซึ่งเป็นจอภาพคลื่นหลิงที่มีฉากการต่อสู้
การต่อสู้ในระดับนั้นไม่มีค่าอะไรในสายตาของเขา แต่เมื่อเขาจ้องมองไปที่หน้าจอ ดวงตาก็เบิกบาน
เขาจ้องมองร่างเงาที่งดงามหาใดเปรียบเป็นเวลานานก่อนที่จะยิ้มกริ่ม หยิบน้ำเต้าที่คาดเอวขึ้นมา “สวรรค์ไม่ทำให้คนที่พยายามผิดหวัง ช่างเป็นต้นกล้าที่ดีอะไรเช่นนี้…”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันจากไป แค่หันตัวไปอีกทางเขาก็หายไปแล้ว
ทวีปวั้นเต่า
นี่เป็นทวีปที่แปลกประหลาด เนื่องจากมันเกิดจากเกาะนับไม่ถ้วน ทว่าแม้จะเป็นเกาะ แต่เกาะเกาะหนึ่งก็มีขนาดกว้างใหญ่เป็นพิเศษ เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดไม่ได้ด้อยไปกว่าทวีปขนาดเล็กเลย
มีเกาะขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยต้นไผ่ในศูนย์กลางของทวีปวั้นเต่า เมฆปกคลุมทั่วเกาะนี้ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตมารวมตัวกัน เห็นได้ชัดว่านี่เป็นดินแดนการฝึกฝนที่หายาก
แต่เมื่อมองใกล้เข้าไปก็จะตระหนักได้ว่าต้นไผ่เหล่านี้ราวกับหยกสีเขียวมรกตที่เปล่งประกายแวววาวจางๆ และมีกลิ่นหอมสามารถทำให้จิตใจสงบ ทำให้คลื่นหลิงว่องไวขึ้นมา
ไผ่มรกตเหล่านั้นมีชื่อว่าไผ่หัวใจหยก ซึ่งสามารถนำมาทำเป็นธูปหัวใจหยก ไม่เพียงแต่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการเพาะบ่มพลัง แต่ยังสามารถป้องกันไม่ให้เกิดการอาละวาดได้อีกด้วย
นี่เป็นสมบัติธรรมชาติที่หายากสำหรับผู้ฝึก มีข่าวลือว่าธูปหัวใจหยกหนึ่งก้านสามารถขายได้เกือบหมื่นหยดของเหลวจื้อจุน ทว่าบนเกาะนี้กลับเต็มไปด้วยไผ่หัวใจหยก ถ้าเปลี่ยนเป็นของเหลวจื้อจุนมีค่าไม่น้อยกว่าของเหลวจื้อจุนพันล้านหยดเลยทีเดียว…
นี่เป็นจำนวนที่น่าสะพรึง แม้กระทั่งบางขั้วอำนาจสูงสุดก็ยังยากที่จะแจกจ่าย ต่อให้บิดจนตัวแห้งก็ตาม
โดยทั่วไปดินแดนประเภทนี้จะดึงดูดคนโลภนับไม่ถ้วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปวั้นเต่าซึ่งมีผู้คนมากมายที่ตั้งตนเป็นผู้นำและกดขี่ข่มเหงคนไปทั่ว แต่ถึงกระนั้นขั้วอำนาจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ยังไม่กล้าที่จะคิดไปยุ่งกับเกาะหัวใจหยกนี้
เพราะเกาะแห่งนี้เป็นของหนึ่งในห้าเผ่าโบราณของมหาพันภพ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของเผ่าฝูถู!
เผ่าฝูถูเป็นหนึ่งในเผ่าที่เก่าแก่ที่สุดในมหาพันปีภพโดยที่มีรากฐานลึกล้ำจนไม่มีใครสามารถคาดเดาต้นกำเนิดได้ แม้แต่กลุ่มสุดยอดที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยังหวาดกลัวเผ่าโบราณเหล่านี้
ดังนั้นด้วยชื่อเสียงของเผ่าฝูถูนี้จึงทำให้เกาะแห่งนี้เป็นหนึ่งในเกาะที่ปลอดภัยที่สุดในทวีปวั้นเต่า ทุกคนที่มาที่นี่เต็มไปด้วยมารยาท ไม่กล้าเปิดเผยความโลภหรือความเป็นศัตรู
นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าในสายตาของยักษ์ใหญ่อย่างเผ่าฝูถูโบราณ พวกเขาเป็นเพียงมดปลวก ถ้าทำให้โกรธขึ้นมา เพียงแค่ส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมา พวกเขาหรือกระทั่งขั้วอำนาจของตนก็จะถูกล้างบางทันที
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นลำแสงก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ฉีกผ่านค่ายกลไปถึงใจกลางเกาะ ตรงไปยังภูเขามรกตที่มีเสน่ห์เหลือล้น
มีเจดีย์โบราณจำนวนหนึ่งตั้งในป่าไผ่ เงาร่างนั้นก็ทะยานเข้าไปที่เจดีย์ด้านในสุดทันที
ใต้เจดีย์มีชายชราคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีเทานั่งเงียบๆ พร้อมกับคลื่นหลิงพลิกผันรอบร่างอย่างแผ่วเบา แต่แรงกดดันมหาศาลเลือนรางที่เล็ดลอดออกมาให้ความรู้สึกลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้
ร่างเงานั้นร่อนลงเบื้องหน้าชายชรา คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ทว่าก็ไม่มีการตอบสนอง เขาไม่แม้แต่จะลืมตา มีเพียงเสียงสงบนิ่งดังก้องขึ้นจากท้อง
“ข้าสั่งแล้วว่าไม่ให้รบกวนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไม่ใช่รึ?”
ชายที่ตรงหน้าตัวสั่นก่อนที่จะตอบอย่างรวดเร็ว “ข้ามาที่นี่เพื่อรายงานว่าเราเหมือนจะพบไอ้กาลกิณีที่อยู่ในบนกระดานรางวัลแล้วขอรับ”
ปัง!
ทันใดนั้นคลื่นหลิงน่าทึ่งก็ระเบิดออกมาจากร่างชายชรา ดวงตาเบิกโพลงทันที ก่อนที่เขาจะจ้องชายที่เบื้องหน้าด้วยสายตาลึกล้ำ “ไอ้เด็กกาลกิณีบนกระดานรางวัลรึ? เด็กที่ผู้อาวุโสใหญ่พูดถึงใช่ไหม?”
“น่าจะเป็นมันคนนั้น!”
ชายคนนั้นพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะหยิบป้ายหยกออกมา แสงแวววาวก่อตัวเป็นหน้าจอคลื่นหลิง
บนหน้าจอฉายภาพการต่อสู้รุนแรงระหว่างมู่เฉินและหลิงจั้นจื่อ
เมื่อมู่เฉินเรียกเจดีย์ผลึกแก้วใสขึ้นมา สายตาชายชราชุดเทาก็จ้องเขม็ง ใบหน้าถึงกับกระตุก จากนั้นครู่หนึ่งเขาก็หายใจเข้าลึก พูดด้วยความตกตะลึง “นั่นคือ…เจดีย์พุทธะรึ?!”
ไม่แปลกใจที่เขาจะตกใจ เพราะแม้แต่ในเผ่าฝูถู เจดีย์พุทธะก็ยังไม่ค่อยจะได้พบเห็น มีเพียงคนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดเท่านั้นที่มีโอกาสได้ปรับแต่ง
ในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าฝูถูมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่สร้างเจดีย์พุทธะได้ เด็กคนนั้นเป็นพรจากสวรรค์ที่ยากจะพบในรอบพันปี นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าผู้อาวุโสหลายคนกำลังดูแลเขาเพื่อขึ้นเป็นประมุขคนต่อไป
แต่เด็กตรงหน้าที่สามารถสร้างเจดีย์พุทธะได้ ไม่ใช่คนเดียวกันกับอัจฉริยะของเผ่า!
“เด็กคนนี้ไม่คุ้นหน้า แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนในกลุ่มของเรา แต่เนื่องจากเขาสามารถปรับแต่งเจดีย์พุทธะได้นั่นหมายความว่าเขามีสายเลือดเผ่าเราไหลเวียนอยู่ในร่าง เขาจะต้องเป็นตัวกาลกิณีที่ผู้อาวุโสใหญ่พูดถึงแน่…”
ชายชราหรี่ตาแคบลงประกายแสงวูบไหวในนัยน์ตา ในเผ่ามีตระกูลสาขาหลากหลาย โดยตัวเขาอยู่ในกลุ่มสนับสนุนอัจฉริยะในตระกูล ซึ่งพวกเขาพยายามอย่างดีที่สุดที่จะขัดเกลาอัจฉริยะเพื่อให้เป็นประมุขคนต่อไป หากพวกเขาประสบความสำเร็จ พวกเขาก็จะได้รับอำนาจมหาศาล
แต่จู่ๆ ก็มีคนสามารถปรับแต่งเจดีย์พุทธะได้เช่นกัน แม้ว่าเด็กคนนี้จะเป็นหอกข้างแคร่ แต่พวกเขาไม่ต้องการเห็นอุบัติเหตุใดๆ โดยคิดไม่ถึง
ด้วยความคิดนี้ ริ้วเหี้ยมเกรียมก็วาบในสายตา อุณหภูมิลดฮวบลง ก่อนที่เขาจะโบกมือพูดด้วยเสียงเย็นชาดังๆ
“เรียกผู้พิทักษ์หลงเซี่ยงมาที่นี่…”
บทที่ 1271 พิธีชำระล้าง
แสงแวววาวไร้ขอบเขตเบ่งบานบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว
คลื่นหลิงโบราณไม่ได้อ่อนโยนเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป พลังที่น่าสะพรึงกลัวเล็ดลอดออกไป ทำให้มิติทั้งหมดแช่แข็ง
ท่ามกลางมิติที่แช่แข็ง เวลาก็เหมือนจะเคลื่อนช้าลง
ร่างกายของหลิงตงแข็งทื่อด้วยความโกรธ ทว่าเนื่องจากมิติแช่แข็งทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
แต่ถึงอย่างนั้นสายตาก็จ้องเขม็งไปที่มู่เฉินด้วยความไม่เชื่อ เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงฉับพลันที่เกิดขึ้น
เขาไม่เคยคิดเลยว่าในโค้งสุดท้ายการตอบโต้ของมู่เฉินจะดุร้ายขนาดนั้น กระบี่เล่มนั้นบรรจุรัศมีของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไว้แน่นอน
ทว่าหลังจากที่ประมือ พลังอำนาจของมันก็ไม่ถึงระดับที่หลิงตงคิดไว้ แม้ว่ากระบี่เล่มนั้นจะทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง หากประมาทอาจต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่ทำให้เขาตื่นตระหนก เหตุผลที่เขาตอบสนองเช่นนั้นก็คือเขาถูกทำให้ตกใจจากรัศมีเทียนจื้อจุนที่อยู่บนกระบี่
เขากลัวว่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะทิ้งไพ่ตายไว้ให้มู่เฉิน ไพ่ตายที่เตรียมไว้โดยจอมยุทธ์เทพเช่นนั้นเป็นสิ่งที่สามารถจัดการคนอย่างเขาได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นในเวลานั้นเขาจึงถอนคลื่นหลิงทั้งหมด สร้างการป้องกันเพื่อรักษาชีวิตตนเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้สุดท้ายเขาจะต่อต้านได้ แต่ก็สูญเสียส่วนแบ่งของการชำระล้างที่เขาต่อสู้ มิหนำซ้ำยังสูญเสียเพิ่มไปอีกหนึ่งส่วนด้วย!
ตอนนี้เขามีส่วนแบ่งเพียงสามส่วนเท่านั้น!
นี่ต่ำกว่าที่จัดสรรกันอย่างเหมาะสมซะอีก!
“บ้าเอ้ย! นรกเลย! ไอ้เจ้าเล่ห์นั่น!”
หลิงตงสาปแช่ง ขณะที่รู้สึกเสียใจอย่างมาก เขาไม่ควรหยิ่งผยองมากเกินไป หากเขาเตรียมการไว้ก่อนก็คงไม่ถึงขนาดตกใจกลัวกระบี่ของมู่เฉินจนสูญเสียทั้งหมดไปหรอก
ขณะที่หลิงตงรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำกับฉากนี้ ในขณะเดียวกันก็จ้องมู่เฉินด้วยสายตาประหวั่นพรั่นพรึง
กระบี่ก่อนหน้าบรรจุด้วยรัศมีเทียนจื้อจุนอย่างแท้จริง
แต่นั่นไม่ได้เป็นของเทพจักรพรรดิอัคคี นี่เป็นรัศมีที่ลึกล้ำและไม่อาจเข้าใจได้… หากเจ้าของรัศมีอยู่ในระดับสูงสุด กระทั่งเขาก็ไม่สามารถแข่งขันกับจอมยุทธ์ระดับนั้นได้
“เทพจักรพรรดิอัคคีบอกว่ามู่เฉินได้รับมรดกของจักรพรรดิฟ้า หากข้าเดาไม่ผิดละก็ กระบี่นั่นจะต้องเป็นของที่จักรพรรดิฟ้าทิ้งไว้ให้และนั่นคือวิธีที่เขานำส่วนแบ่งกลับคืนมาได้” สายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์วูบไหว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะมีไพ่ตายซ่อนเอาไว้อีก
ยิ่งกว่านั้นความอดทนของมู่เฉินก็น่ากลัวอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับหลิงตง เขาก็ยังคงสงบรอจนถึงวินาทีสุดท้าย ก่อนที่จะปล่อยไพ่ตายดึงส่วนแบ่งที่สูญหายคืน!
ความอดทนแบบนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าอะไร
จักรพรรดิสัประยุทธ์หายใจลึกๆ และถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ได้สนใจหลิงตงอีกต่อไป หันหลังกลับจากไป
ผลลัพธ์กำหนดแล้ว หลิงตงสูญเสียโอกาสสุดท้าย ดังนั้นแผนการที่เขาวางไว้ก็ถูกแก้ไขโดยมู่เฉินทั้งหมด
พลังงานได้เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว ดังนั้นหากไม่ได้ใช้พลังของจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนเพื่อขัดขวางกระบวนการ เขาก็ไม่สามารถแทรกแซงการชำระล้างของมู่เฉินได้
แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้นก็จะผิดกฎมากไป ซึ่งจะสร้างความเหยียดหยามนับไม่ถ้วนหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ในฐานะที่เป็นคนกังวลมากต่อชื่อเสียง จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่สามารถทนได้หากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
ไม่ต้องพูดถึงว่ามู่เฉินมีเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามหนุนหลัง ดังนั้นถ้าเขาทำอย่างนั้น เขาอาจทำให้เทพจักรพรรดิอัคคีซึ่งพูดคุยกับเขาเมื่อไม่นานหันมาจัดการเขา
ชัดว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคานั้นเพื่อจัดการกับมู่เฉิน
“ต่อให้เป็นนักรบทวีปแล้วยังไง? ตำแหน่งนี้แค่เพิ่มโอกาสสูงขึ้นเล็กน้อยในการบุกเข้าไปในระดับเทียนจื้อจุนเมื่อเทียบกับคนธรรมดาทั่วไป แต่คนเก้าส่วนก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้”
เมื่อความคิดนี้วูบไหวขึ้นในใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์ เขาก็ยิ้มบางแล้วหายไป ตราบใดที่ไม่ใช่ระดับเทียนจื้อจุน ไม่ว่าจะเป็นระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นหรือขั้นเต็ม ก็ไม่ต่างอะไรกับมดในสายตาของเขา
เมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์ออกไป รอยยิ้มเจตจำนงในสายตาของมู่เฉินก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขาพอใจกับผลลัพธ์นี้จริงๆ
สิ่งที่เขายืมมาก็คือพลังกระบี่เกล็ดจักรพรรดิที่จักรพรรดิฟ้ามอบให้เขาเอาไว้ รัศมีที่จักรพรรดิฟ้าทิ้งไว้บนใบมีดเป็นรัศมีระดับเทียนจื้อจุนที่แท้จริง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หลิงตงกลัวจนตัวสั่น
ทว่าผู้อาวุโสไม่ทราบว่าพลังงานบนกระบี่ส่วนใหญ่หมดไปแล้ว เมื่อตอนที่จักรพรรดิฟ้าสังหารจอมปีศาจทุนเทียน พลังงานที่เหลือสามารถให้มู่เฉินใช้งานได้ไม่กี่ครั้งเท่านั้น
ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ มู่เฉินจึงเลือกที่จะเคลื่อนไหวในวินาทีสุดท้าย ด้วยวิธีนี้เมื่อถึงเวลาที่s]b’ตงได้สติกลับมา ผลลัพธ์ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว
และผลลัพธ์ก็เป็นไปตามความคิดของมู่เฉิน มากจนเกินความคาดหวังของเขาไปด้วย
ตอนแรกเขาคิดแค่จะเอาส่วนของเราสองคนกลับมาเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าจะคว้าอีกหนึ่งส่วนจากหลิงตงมาด้วย
เห็นได้ชัดว่าเขาประเมินการข่มขวัญของรัศมีเทียนจื้อจุนที่มีต่อหลิงตงต่ำไป
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ก่อนที่สายตาจะกวาดไปทางลั่วหลี ตอนที่เขายึดเขตแดนกลับมา ลั่วหลีก็แบ่งเขตแดน ทว่านางรับพลังไปเพียงสามส่วนยกสี่ส่วนให้กับมู่เฉิน
“ยัยคนนี้”
มู่เฉินรู้สึกจนหนทาง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นั่นเป็นเพราะเขามีมู่เฉินชุดดำและชุดขาวอยู่ด้วย นี่เป็นสิ่งที่เขาทำโดยมีเจตนา เพราะเขาต้องการให้ร่างรองทั้งสองคนได้รับการชำระล้างด้วย
“เริ่มกันเถอะ”
มู่เฉินหลับตาพลางพึมพำในใจ
ฮึ่ม!
ราวกับว่ามิตินี้ได้ยินเสียงของเขา คลื่นหลิงโบราณก็เริ่มเปล่งประกายแวววาวสดใส ก่อนที่จะกวาดไปทั่วเขตแดนของเขา ห่อหุ้มร่างมู่เฉินทั้งสามไว้
เมื่อแสงครอบคลุม มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงโบราณที่ไหลสู่ร่างกายในทันที ทุกอณูคำรามตอบรับด้วยความตื่นเต้น ขณะที่กลืนกินพลังงานโบราณอย่างเมามัน
คล้ายกับทารกกินนมจากถันมารดาด้วยความกระหายจากส่วนลึกของสัญชาตญาณ
เมื่อพลังงานโบราณเข้ามาในร่างกายของมู่เฉินและสัมผัสกับคลื่นหลิง ก็เป็นความรู้สึกคล้ายกับน้ำหมึกเข้มข้นหยดลงในบ่อน้ำใส ยามนี้มู่เฉินสามารถบอกได้ว่าคลื่นหลิงของตนเองเริ่มข้นหนืดขึ้น
ภายใต้การชำระล้างมู่เฉินรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อ กระดูก เลือดและแม้แต่คลื่นหลิงก็เริ่มเปลี่ยนแปลง
โฮก!
ขณะที่กระบวนการเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นภายในร่างกาย ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคำรามของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่ไม่ได้ออกมานานปรากฏในร่างกายเขา
นับตั้งแต่มู่เฉินบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ไม่ได้มีพัฒนาการ ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถให้ความช่วยเหลืออย่างมีนัยสำคัญในการต่อสู้ ตัวเขาก็เริ่มลืมเลือนไป
แต่ตอนนี้ภายใต้การชำระล้างมังกรและหงส์ฟ้าก็ได้ตื่นขึ้น พวกมันกินอย่างตะกละตะกลาม ขณะที่กลืนกิน มู่เฉินรู้สึกได้ว่าพลังของพวกมันเข้าใกล้ระดับตี้จื้อจุนมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยความเร็วนี้อาจใช้เวลาไม่นานที่พวกมันจะบรรลุระดับตี้จื้อจุน
เมื่อถึงเวลานั้นประโยชน์ของพวกมันที่มีต่อมู่เฉินก็จะเผยให้เห็นอีกครั้ง
“นักรบทวีปเต็มไปด้วยผลประโยชน์ไม่รู้จบ”
เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในร่างกาย แม้แต่มู่เฉินก็กลั้นความสุขเอาไว้ไม่ได้ ไม่น่าแปลกใจที่หลิงตงวิตกกังวลมาก ที่แท้พลังก็มหัศจรรย์เพียงนี้นี่เอง
“การชำระล้างรุนแรงเกินไป ทำให้มิติแช่แข็งไปเลย ดังนั้นเวลาที่นี่จึงแตกต่างจากภายนอก ตามเวลาที่นี่การรับการชำระล้างอาจกินเวลาเป็นปีแต่ภายนอกคงผ่านไปไม่กี่เดือนเท่านั้น”
ขณะที่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย มู่เฉินก็สัมผัสได้ว่าเวลารอบตัวชะลอตัวลง เห็นได้ชัดว่าพลังงานแห่งการชำระล้างได้เปลี่ยนกฎของเวลาในสถานที่มิตินี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการชำระล้างครั้งนี้จะยาวนาน
เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงนี้มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ ความเร็วในการฝึกฝนของเขาเกินกว่าคนธรรมดา แม้ว่าพรสวรรค์ของเขาจะยอดเยี่ยม แต่บางครั้งเขาก็ต้องใจเย็นและขัดเกลาไปทีละน้อย
ไม่ว่าอัญมณีที่ยังไม่เจียระไนจะยอดเยี่ยมเพียงใด ช่างก็ต้องแกะสลักด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด บางครั้งจำเป็นต้องใช้เวลาในการถนอมกล่อมเกลา
ดวงตาของมู่เฉินค่อยๆ ปิดลง จิตใจก็นิ่งสงบเข้าสู่การฝึกฝนลึก ท่ามกลางการชำระล้างนี้ เขาก็ต้องขัดเกลาพัฒนาการของตนดีๆ
ภายใต้การสะสมลึกล้ำเท่านั้นถึงจะทำให้เขาบรรลุได้อีกครั้ง!
แสงไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง เวลาและมิติก็ตกลงสู่จุดเยือกแข็ง มีเพียงเงาทั้งห้าที่ถูกห่อหุ้มด้วยแสงยังคงปล่อยพลังชีวิตออกมา
ส่วนเวลาก็เลื่อนไหลไปภายใต้ความเงียบนี้
บทที่ 1270 หนึ่งกระบี่
ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกโดยมีร่างหลิงตงอยู่ใจกลาง ท้ายที่สุดก็พุ่งเข้าไปโจมตีขอบเขตของมู่เฉินและลั่วหลี
ปัง!
ภายใต้การโจมตี มู่เฉินกับลั่วหลีก็ตัวสั่นสะท้าน อึดใจร่างเวทสวรรค์ก็ระเบิดออกมาพร้อมกับคลื่นหลิงที่ไม่มีที่สิ้นสุดก่อตัวเป็นแนวตั้งรับ แต่ก็ยังค่อยๆ สึกกร่อน
ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีความโดดเด่นในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นและมีแม้กระทั่งมีความสามารถก้าวข้ามขึ้นไปต่อสู้ในขั้นที่สูงกว่า แต่หลิงตงไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ทว่าอยู่ในขั้นเต็มต่างหาก!
จอมยุทธ์ระดับนี้สามารถปราบปรามทั้งสองด้วยคลื่นหลิงเพียงอย่างเดียว
และโชคดีที่พวกเขาใช้คลื่นหลิงเพื่อรุกรานและยึดครองขอบเขตเท่านั้น หากพวกเขาต่อสู้แม้แต่มู่เฉินกับลั่วหลีรวมพลังกันก็ไม่สามารถจัดการกับผู้อาวุโสตงได้
เพราะไม่ว่าอย่างไร ช่องว่างระหว่างขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นกับขั้นเต็มก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเติมเต็มได้
หลิงตงมองไปที่เขตแดนมู่เฉินและลั่วหลีที่ถูกยึดครองก็เค้นเสียงเยือกเย็น ตามความเร็วนี้เขาอาจจะครอบครองได้ถึงเจ็ดหรือแปดส่วนเมื่อถึงเวลาที่กำหนด!
แค่คิดเกี่ยวกับการได้ครอบครองพลังงานชำระล้างถึงแปดส่วน ในใจของหลิงตงก็อดไม่ได้ที่จะปลื้มปีติ
“ของขวัญจากสวรรค์แท้จริง!”
หลิงตงหัวเราะในใจ หากไม่ใช่เป็นมู่เฉินและลั่วหลีที่ได้รับตำแหน่งนี้ไป จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็อาจไม่ให้โอกาสนี้แก่เขา เพราะตามกฎในอดีตเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของจอมยุทธ์ระดับอื่น พลังชำระล้างจะถูกจัดสรรอย่างเป็นธรรมโดยจักรพรรดิสัประยุทธ์
ในขณะที่หลิงตงกำลังสุขล้น ลั่วหลีก็ขมวดคิ้วก่อนที่หันไปมองมู่เฉินพลางส่งเสียงออกไป “มู่เฉิน เราควรจะทำยังไง? ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปข้าเกรงว่าเราจะไม่มีเหลืออะไรแล้ว”
มู่เฉินสูดหายใจลึก รู้สึกประหลาดใจจากแรงกดดันที่หลิงตงกำจายมาให้ เห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ต่อให้เป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะอย่างหลิงจั้นจื่อ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ทรงพลังกว่ามาก
ทว่าไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะฉกพลังงานชำระล้างซึ่งเป็นของพวกเขา!
ด้วยความคิดนี้ แสงเย็นก็วาบขึ้นในดวงตาของมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะเริ่มวาดตราประทับ มิติเบื้องหลังเกิดความผันผวน เงาร่างสองร่างปรากฏขึ้นพวกเขาก็มู่เฉินชุดดำและชุดขาว
เมื่อมู่เฉินทั้งสองปรากฏขึ้น พวกเขาก็นั่งลงทันที คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกมา ช่วยต่อต้านการรุกรานของหลิงตง
ด้วยการเข้าร่วมของเหล่ามู่เฉิน ความเร็วในการรุกรานของผู้อาวุโสตงก็ช้าลง บางครั้งก็ต้องใช้เวลานานสำหรับผลลัพธ์เกี่ยวกับขอบเขตเล็กๆ นี่
“ไอ้ตัวปัญหา!”
หลิงตงขมวดคิ้วในสถานการณ์นี้ เนื่องจากเขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นจะทำให้เขาเดือดร้อนปานนี้
ถ้าตอนนี้ทั้งสองสู้กันซึ่งหน้า หลิงตงก็ไม่ต้องกลัวมู่เฉิน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีร่างดวงจิตถึงสองร่าง แต่หลิงตงก็ยังมั่นใจในชัยชนะ
แต่ตอนนี้พวกเขากำลังแย่งชิงปริมาณพลังชำระล้าง ถ้าเขาปราบอีกฝ่ายในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็จะดูไม่ค่อยเหมาะสม
ดังนั้นหลิงตงจึงไม่ได้เปรียบอย่างสมบูรณ์เมื่อเผชิญหน้ากับมู่เฉินและลั่วหลีในขณะนี้
“หึ แต่ข้อได้เปรียบก็ยังอยู่ที่ข้า เพียงแค่ทำให้กระบวนการช้าลง หากสิ่งนี้ดำเนินต่อไปข้าก็ยังคงได้รับถึงเจ็ดส่วน”
หลิงตงเยาะเย้ยในหัวใจ แม้ว่ามู่เฉินจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อต่อต้านและหยุดยั้งการยึดพลังถึงแปดส่วน แต่ได้รับเจ็ดส่วนก็ทำให้เขาพอใจมากแล้ว
ด้วยความคิดนี้ผู้อาวุโสตงก็ระงับความกังวลในใจ ค่อยๆ เริ่มฮุบเขตแดนของทั้งสองต่อ
เมื่อเห็นมู่เฉินหยุดสถานการณ์ไว้ได้ ลั่วหลีก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงเคร่งเครียด เนื่องจากนางรู้สึกได้ว่าแม้จะมีการกีดขวางนี้ ส่วนแบ่งของพวกนางก็ยังคงถูกกลืนหายอย่างช้าๆ โดยผู้อาวุโสตง ซึ่งเป็นเพียงการชะลอตัวลงเท่านั้น
“หากสิ่งนี้ดำเนินต่อไปข้ากลัวว่าจะสามารถรักษาได้เพียงสามส่วน นี่น้อยเกินไปสำหรับเราสองคน” ลั่วหลีกัดฟันแน่น นางตัดสินใจว่าหากสิ่งนั้นเกิดขึ้น นางจะทิ้งการจัดสรรปล่อยให้มู่เฉินได้รับไป มิฉะนั้นถ้าต่ำกว่าสามส่วนจะไม่เพียงพอสำหรับการชำระล้างที่สมบูรณ์แบบ
มู่เฉินไม่รู้ความคิดของนาง แต่ท่าทางของเขาสงบมาก เขาไม่แสดงความวิตกกังวลหรือความโกรธจากสถานการณ์นี้
ราวกับว่าเขาได้ทิ้งความหวังไปแล้ว
หลิงตงเย้ยหยันด้วยความดูถูก มู่เฉินฉลาดเฉลียว รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองจะแข่งขันกับเขา
“เห็นว่าเจ้ารู้สถานการณ์ดี ข้าจะเหลือพลังให้สักสามส่วน เดี๋ยวคนอื่นหาว่าข้ารังแกเด็ก” หลิงตงยิ้มกริ่ม
จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่อยู่ภายนอกก็เห็นภาพนี้ก็กลับขมวดคิ้ว จากความเข้าใจของเขามู่เฉินไม่ใช่คนอ่อนแอ ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งเพียงใด คนอย่างมู่เฉินใส่เต็มเสมอ ไม่เช่นนั้นมู่เฉินคงไม่แม้แต่จะขี้เกียจแสดงความเคารพต่อผู้มีอำนาจเช่นเขาหรอก
แต่เผชิญหน้ากับหลิงตง ทำไมเขาถึงทำแค่ป้องกันเท่านั้น?
“เขายอมแพ้จริงๆ หรือ…เขายังมีไพ่ตายอีกนี่?” สายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์วูบไหว แต่เขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่ามู่เฉินจะแข่งขันกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างไร
เวลาค่อยๆ ผ่านไปขณะที่จักรพรรดิสัประยุทธ์อยู่ในภวังค์
เวลาหนึ่งก้านธูปใกล้จะหมดลงแล้วและตอนนี้โดยประมาณเจ็ดส่วนของเขตแดนก็ถูกครอบครองโดยผู้อาวุโสตง คลื่นหลิงโบราณไร้ขอบเขตไหลเวียนอยู่ในเขตแดนของเขา
“ฮ่าๆ!”
เมื่อใกล้จะถึงเวลาที่กำหนด ผู้อาวุโสตงก็ไม่สามารถระงับความตื่นเต้นในใจได้ เขาหัวเราะลั่น ด้วยการรับการชำระล้างถึงเจ็ดส่วน ตอนนี้เขามีความมั่นใจในการบุกทะลวงระดับเทียนจื้อจุนในอนาคตแล้ว
ลั่วหลีกำกำปั้นมองไปที่มู่เฉิน ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ
เวลาไหลไป คลื่นหลิงโบราณก็ค่อยๆ เปล่งประกายออกมา เห็นได้ชัดว่ากำลังจะเกิดการชำระล้างในไม่ช้านี้แล้ว
นิ้วมู่เฉินเคาะที่เข่าเบาๆ ทันใดนั้นเมื่อเขารู้สึกว่าช่วงเวลาสุดท้ายมาถึง ม่านตาสีดำก็พราวแสงขึ้น
เขาลุกขึ้นยืนทันทีพร้อมกับกระบี่โบราณในมือ
ขณะที่ถือกระบี่ไว้ก็ปล่อยรัศมีทรงพลังออกมาราวกับเทพเซียน จากนั้นก็กรีดผ่านไปในทิศทางของหลิงตง!
ฟิ้ว!
ลำแสงพุ่งทะลุบินไปหาหลิงตง
ไม่มีเสียงใดๆ แต่แค่กระบี่นี้ก็ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิงตงหยุดชะงัก วินาทีต่อมาความสิ้นหวังก็ลุกโชนขึ้นในหัวใจ ความกลัวคืบคลานบนใบหน้า
นั่นเป็นเพราะเขาสามารถรู้สึกถึงความผันผวนที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้จากกระบี่เล่มนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เขารู้สึกเมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิสัประยุทธ์!
นั่นคือรัศมีเทียนจื้อจุนที่แท้จริง!
“ระดับเทียนจื้อจุน?!”
หลิงตงร้องลั่นวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เขาถอยห่างออกไปทันที คลื่นหลิงที่กำลังแผ่ขยายก็ดีดกลับ สร้างการป้องกันรอบตัว
ปัง ปัง ปัง!
ทว่าการป้องกันก็พังครืนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ใบหน้าของเขาซีดลง เมื่อผลึกแสงกระบี่กำลังจะตกมาถึง เขาก็คำรามปลดปล่อยคลื่นหลิงในร่างทั้งหมด เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ทันใดนั้นกระแสเย็นเยือกสีน้ำเงินก็พุ่งออกมาจากปาก
แม้ว่ากระแสเย็นนี้ไม่ได้ดูน่าทึ่ง แต่ดวงตาเขาก็หม่นแสงลงชัดว่าทุ่มพลังทั้งหมดแล้ว
ปัง!
กระแสเย็นและกระบี่ปะทะกันและเป็นกระแสเย็นที่ทรุดลงก่อน แต่เมื่อกระแสถล่มมลง แสงกระบี่ก็จางลงก่อนที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เช่นกัน
ชี่
แสงกระบี่แตกสลายทิ้งบาดแผลลึกไว้ที่หน้าอกของผู้อาวุโสตง แต่เขากลับอึ้งไป เขาสกัดการโจมตีที่มีรัศมีเทียนจื้อจุนไว้ได้หรือ?
เมื่อครู่นี้ เขารู้สึกว่ากำลังจะตายภายใต้คมกระบี่นั่น!
แต่ดูเหมือนว่าแม้จะมีอันตราย แต่กระบี่นั้นก็ไม่น่ากลัวเท่าที่เขาจินตนาการ
หลิงตงตกใจช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะฟื้นตัวและเงยหน้าขึ้น จากนั้นเขาก็ต้องใจแทบขาดเมื่อเห็นว่าตอนที่เขาถูกข่มด้วยกระบี่ มู่เฉินได้เร้าคลื่นหลิงเข้ายึดครองเขตแดนที่เขาฮุบไว้ก่อนหน้านี้!
ตอนนี้ตัวเขาเหลือเขตแดนสามส่วนเท่านั้น!
“สารเลว!”
ผู้อาวุโสตงคำราม คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกวาดออกมา ทว่าขณะที่เขากำลังจะตอบโต้ คลื่นหลิงโบราณก็พลุ่งพล่าน ริ้วแสงปกคลุมแล้วแช่แข็งมิติเอาไว้ แม้แต่หลิงตงก็ยังแข็งทื่อเหมือนยุงในอำพัน
ร่างกายแข็งเกร็ง เขาค่อยๆ บิดคอมองไปทางมู่เฉินด้วยความโกรธเคือง ก่อนจะเห็นรอยยิ้มเยาะบนใบหน้าอีกฝ่าย
บทที่ 1269 แย่งส่วนชำระล้าง
เมื่อเสียงโกรธเกรี้ยวของลั่วหลีดังก้อง
บรรยากาศก็แข็งค้างไปพร้อมกับแรงกดดันทรงพลัง ส่งผลให้มิติถึงกับสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
“สามหาว!” ในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ หลิงตงก็คำรามลั่น สายตาคมกล้าจ้องเขม็งไปที่ลั่วหลีที่กล้ารุกรานเจ้านายของตน
มู่เฉินขมวดคิ้ว ปราดเข้ามาปกป้องลั่วหลี หินสลักอักขระโบราณกำไว้ในมือ เมื่อไรที่เขาบดขยี้ของชิ้นนี้ เขาก็จะสามารถเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมาได้
แม้ว่านี่จะเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายที่อยู่ในมือ มู่เฉินก็ไม่ลังเล ถ้าจักรพรรดิสัประยุทธ์คิดรังแกพวกเขาจริง เขาก็จะเชิญหลินต้งมาจัดการซะให้เฮี้ยนเต้ไปเลย ในเวลานั้นเขาจะดูว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์จะจัดการปัญหาอย่างไร
จักรพรรดิสัประยุทธ์ท่าทางสงบนิ่งหันมามองลั่วหลี “ข้าคนนี้ทำอะไรเกินไป?”
แม้จะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิสัประยุทธ์ผู้เป็นใหญ่ในทวีป ลั่วหลีก็ไม่แสดงอาการหวาดกลัว นางขมวดคิ้ว “ทำไมจักรพรรดิสัประยุทธ์ต้องแสร้งไม่รู้ไม่เห็น? พลังงานการชำระล้างมีปริมาณจำกัด ในอดีตสิ่งนี้ถูกแจกจ่ายตามกฎ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นและขั้นปลายจะได้คนละสามส่วน ขณะที่ขั้นเต็มจะได้สี่ส่วน”
“แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์กลับไม่สนใจเรียกร้องให้เราต่อสู้แย่งชิงกันเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วหลีในที่สุดมู่เฉินก็เข้าใจว่าปกติพลังงานการชำระล้างจะได้รับการแบ่งสรรอย่างเป็นธรรมและยุติธรรม เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแข็งแกร่งกว่าอีกสองคน ดังนั้นถ้าเกิดแย่งชิงพลังงานส่วนใหญ่ก็จะตกเป็นของอีกฝ่าย
ตามการประเมินของมู่เฉิน หลิงตงอาจยึดการชำระล้างได้ถึงหกส่วนและทิ้งสี่ส่วนหรือน้อยกว่านั้นไว้ให้พวกเขา
พลังงานทวีปเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีในการสะสม ดังนั้นความแตกต่างในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็จะมีผลที่แตกต่างกันไป
เห็นได้ชัดว่าแม้จักรพรรดิสัประยุทธ์จะยอมรับพวกเขาสองคนที่โผล่มาแย่งพลังชำระล้าง แต่เขาก็ต้องทำอะไรขัดขวางบ้าง
เมื่อได้ยินสิ่งที่ลั่วหลีพูด จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่มีความผันผวนในดวงตาพลางยิ้ม “การจัดสรรแตกต่างกันทุกที่ ผู้ปกครองทวีปเป็นคนตัดสินใจเองเสมอ ดังนั้นข้ามีสิทธิ์ที่จะแจกจ่ายด้วยวิธีนี้ เรื่องนี้ต่อให้เจ้าเรียกเทพจักรพรรดิอัคคีมา ข้าก็มีเหตุผล”
“ในเส้นทางการฝึกยุทธ์ คนอ่อนแอก็จะตกเป็นเหยื่อของคนแข็งแกร่งอยู่เสมอ หากพวกเจ้าไม่สามารถแย่งพลังงานชำระล้างได้อย่างเพียงพอ นั่นหมายความว่าปัญหาเกิดขึ้นที่เจ้าสองคน หากเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ต่อให้เป็นนักรบทวีป เจ้าก็เข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนไม่ได้”
ได้ยินคำพูดน่าทุเรศของจักรพรรดิสัประยุทธ์ ลั่วหลีก็ขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะโต้แย้ง นางก็ถูกหยุดลงโดยมู่เฉิน
“แม้เรื่องที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ทำจะดูใจแคบ แต่สิ่งที่ท่านพูดสมเหตุสมผลดี” มู่เฉินยิ้ม
เมื่อได้ยินการเสียดสีซ่อนอยู่หลังคำพูดของมู่เฉิน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เลิกคิ้วขึ้น แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม เขาเพียงแค่จ้องมองมู่เฉินอย่างประหลาดใจ “หมายความว่าเจ้าไม่คัดค้านวิธีการจัดสรรของข้าเรอะ?”
มู่เฉินพยักหน้าพลางยิ้ม “ไม่มีความยุติธรรมแท้จริงในโลก คนเราต้องพุ่งไปอย่างหาญกล้าผ่านเส้นทางเพื่อเป็นหนึ่ง หากไม่มีความสามารถเพียงพอจนทำให้เสียโอกาส ก็ทำได้เพียงตำหนิตนเองเท่านั้น”
ลั่วหลีหันไปมองมู่เฉิน แม้นางจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเห็นด้วยกับการจัดสรรที่ไม่ยุติธรรมนี้ แต่นางก็ยังคงเงียบเพราะเชื่อใจเขา
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่ค้าน สายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็วูบไหว เผชิญหน้ากับมู่เฉินที่คาดเดาไม่ได้ แม้แต่เขาก็ไม่กล้าดูถูกชายหนุ่มคนนี้
“ในเมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์ตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดสรรแล้ว งั้นข้ามีคำถามอื่นอีกนิด หากผลลัพธ์ไม่ใช่สิ่งที่ท่านหวัง ท่านจะขัดขวางอีกหรือไม่?” มู่เฉินยิ้ม
จักรพรรดิสัประยุทธ์ขมวดคิ้วพูดด้วยสีหน้าบิดเบ้ “เจ้าคิดอย่างไร?”
หากเขามีเหตุผลเพียงพอที่จะเปลี่ยนกฎการจัดสรรก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้ว่าเรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไป แต่ถ้าเขาแทรกแซงผลที่ตามมาก็ต้องถูกรังเกียจเหยียดหยามแน่นอน ซึ่งเป็นผลกระทบต่อชื่อเสียงเขาอย่างมาก
เมื่อเห็นการตอบสนองนั่น มู่เฉินก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าก็วางใจ งั้นเรามาเริ่มกันเลยไหม?”
เมื่อไม่เห็นความกังวลใดๆ ในนัยน์ตาของมู่เฉิน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ได้แต่ขมวดคิ้วแน่นขึ้น เขาไม่รู้หรอกว่ามู่เฉินกำลังแกล้งทำไหม แต่ไม่ว่าอย่างไรจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มไม่ได้หรอกมั้ง?
ความคิดนี้เกิดขึ้นในใจ สีหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ดีขึ้น เขามองไปที่หลิงตงที่พยักหน้าตอบมา
หลิงตงเข้าใจความตั้งใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์ นั่นคือให้เขาไม่ต้องออมมือ พยายามแย่งชิงพลังให้ได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ประโยชน์ตกอยู่กับมู่เฉิน
เผชิญกับคำขอนี้หลิงตงก็ไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร ตรงกันข้ามเขาดีใจในใจอย่างเหลือล้น เพราะโดยปกติการจัดสรรในอดีตตัวเขาจะได้รับสี่ส่วน แต่ถ้าพึ่งพาความสามารถทั้งหมดที่มีละก็ เขามั่นใจว่าจะได้รับเพิ่มอย่างน้อยอีกคนละหนึ่งส่วนจากมู่เฉินและลั่วหลี นั่นหมายความว่าเขาจะสามารถได้รับเป็นหกส่วน นี่เท่ากับส้มทั้งเข่งหล่นลงมาจากท้องฟ้าเลยทีเดียว
บอกเป็นนัยกับหลิงตงแล้ว จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็โบกมือ “ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไรงั้นก็เริ่มเลย พวกเจ้าต้องจำไว้ว่ามีเวลาเพียงหนึ่งก้ามธูปในการแบ่งปริมาณชำระล้าง หลังจากการชำระล้างเริ่มขึ้น ภายใต้สภาวะนั้นจะไม่สามารถแย่งชิงได้อีกต่อไป”
สายตาของมู่เฉินวูบไหว นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องกำหนดปริมาณของการชำระล้างภายในเวลาหนึ่งก้านธูป เมื่อถึงเวลาปริมาณพลังที่ครองก็จะถูกชำระเข้าตัว
วาบ!
มู่เฉินกับลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่ทั้งสองจะทะยานเข้าสู่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว หลังจากนั้นร่างหลิงตงก็ตามมาช้าๆ
ไม่กี่ลมหายใจทั้งสามคนก็ปรากฏตัวในท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว
วาฬว่ายช้าๆ ต้นไม้โบราณสะบัดกิ่งก้านใบ แต่พวกมันก็เป็นเพียงภาพลวงตา เมื่อสัมผัสร่างพวกเขาก็ทะลุผ่านไป
ทว่ามู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานหลิงบริสุทธิ์และเก่าแก่เป็นพิเศษในตัวพวกมัน นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินไม่เคยรู้สึกมาก่อนราวกับว่ามันมีอยู่ในสมัยโบราณเท่านั้น
ฮึ่ม!
ขณะที่มู่เฉินจมลงไปในความรู้สึก กระแสหลิงทรงพลังก็พวยพุ่งเข้าหาทั้งสี่ทิศทาง ความผันผวนกลายเป็นม่านพลังแยกพลังงานในท้องฟ้าออกจากกันทันที
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองหลิงตงที่ปลดปล่อยคลื่นหลิงของตนเพื่อจัดสรรพื้นที่
มู่เฉินและลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว คลื่นหลิงระเบิดออกมาจากร่างในเวลาเดียวกัน โดยไม่ลังเลก็กระจายคลื่นพลังงานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในเวลาเริ่มต้นพวกเขาไม่ได้ปะทะกับหลิงตง หลีกเลี่ยงอีกฝ่ายเพื่อกางเขตแดนที่หลิงตงไม่ได้แตะต้อง
ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาทีทั้งสามคนก็แบ่งเขตแดนเรียบร้อย
ในช่วงเวลานี้หลิงตงครอบครองพลังงานการชำระล้างอย่างหยาบๆ ประมาณห้าส่วน แม้ว่ามู่เฉินกับลั่วหลีจะผสานงานกัน ทั้งสองก็ยังได้รับไว้ห้าส่วนเท่านั้น
“หึ!”
หลิงตงตะเบ็งเสียง คลื่นหลิงเชี่ยวกรากก็พุ่งออกไปในเขตแดนของมู่เฉินกับลั่วหลี
เห็นได้ชัดว่าเขาเริ่มแย่งการจัดสรรของทั้งสองแล้ว
ประจันหน้ากับหลิงตง มู่เฉินกับลั่วหลี่ก็ประสานพลังกัน คลื่นหลิงก่อร่างเป็นม่านพลังพยายามจะสกัดกั้นอีกฝ่าย
ทว่าก็ตามที่จักรพรรดิสัประยุทธ์คาดไว้มู่เฉินกับลั่วหลี่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แม้ว่าพวกเขาจะรวมพลังเข้าด้วยกัน ก็ยังเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถเผชิญหน้าได้
ดังนั้นการป้องกันของพวกเขาจึงถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเขตแดนก็ถูกยึดโดยหลิงตง
ในเวลานี้หลิงตงได้รับผลรวมหกส่วนแล้ว!
เมื่อได้เห็นภาพนี้ ความโลภก็วาวขึ้นในดวงตา เขาต้องการมากกว่านี้เพราะนี่จะเพิ่มโอกาสในการบรรลุระดับเทียนจื้อจุน
“ในเมื่อเจ้าสองคนไม่มีโชคชะตาก็ให้ชายชราคนนี้รับแทนแล้วกัน!” หลิงตงเย้ยหยันไม่ลังเลอีกต่อไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพัดพาลอนคลื่นไปในทิศทางเขตแดนของมู่เฉินกับลั่วหลี
เผชิญหน้ากับความโลภนี้ ใบหน้าของลั่วหลีก็เย็นชาลง นางเรียกร่างเทพวารีออกมาทันที
สายตาของมู่เฉินเปล่งประกายก่อนที่จะนำร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา
ทั้งสองสาดสายตาเย็นชาไปยังหลิงตง แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เขาก็ฝันกลางวันแล้วที่จะยึดสิ่งที่เป็นของพวกเขาไป!
เมื่อเห็นสายตาของทั้งสอง รอยยิ้มเหยียดหยามก็ลุกขึ้นตรงมุมปากของผู้อาวุโสตง
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสองคนพยายามขัดขวางเขา ช่างไม่ประมาณตนจริงๆ!
“ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็น ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะแค่ไหน พวกเจ้าก็ทำได้แค่เพียงก้มหน้าต่อพลังเท่านั้น!”
หลิงตงเย้ยหยันพลางกางมือทั้งสองออก ทันใดนั้นคลื่นหลิงเชี่ยวกราก็กวาดออกมา
บทที่ 1268 แบ่งสรรการชำระล้าง
ในจัตุรัส
เมื่อลั่วหลีปรากฏตัว ความโกลาหลขนาดใหญ่ก็เปลี่ยนเป็นเงียบงัน สายตาลุ่มหลงนับไม่ถ้วนมองไปที่หญิงสาว
นอกจากนี้หลังจากผ่านการต่อสู้ในสนามรบเมื่อสักครู่ ทุกคนรู้ว่านางไม่เพียงแต่มีความงามเกินใครเทียบเคียง แต่ยังมีความสามารถเทียบเท่ากับความงามที่มี
รัศมีใสกระจ่างของนาง ทำให้หลายคนรู้สึกละอายใจที่ดูต่ำต้อย
เผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางก็ยังสงบนิ่งขณะที่มองไปรอบๆ เมื่อเห็นมู่เฉินอยู่กับลั่วเทียนเสิน นางก็ยิ้มกว้าง
รอยยิ้มของนางทำให้ทุกสรรพสิ่งหม่นหมอง สายตาอิจฉาพุ่งตรงไปที่มู่เฉินด้วยความเกลียดชัง
ถ้ามู่เฉินไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่น่าตกใจละก็ คงมีบางคนขยับเข้าใส่เขาในตอนนี้แล้วก็ได้
มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ตอบสนองสายตาเหล่านั้น ยามนี้เขาเข้าใจถ่องแท้ว่ามีหญิงสาวประเภทหนึ่งในโลกที่มีความงามเป็นหายนะ
ลั่วหลีขจัดความไร้เดียงสาที่มีมาแต่ก่อนก้าวสู่ความงามเลิศล้ำ หลังจากนางฝึกฝนร่างเทพวารี
โชคดีที่ความงามนี้เป็นของเขาแล้ว… ดังนั้นเขาจะแบกรับภัยพิบัตินั่นเอง!
“อะแฮ่ม!”
ทันใดนั้นเสียงกระแอมไอก็ดังก้องจากบัลลังก์ ทำลายช่วงเวลางดงามของมู่เฉินและลั่วหลี ทุกคนกวาดสายตาไปก็เห็นใบหน้าไร้ความริ้วอารมณ์ของจักรพรรดิสัประยุทธ์ พวกเขาสามารถบอกได้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่ได้รู้สึกดีใจในตอนนี้
แน่นอนว่าก็ไม่มีใครมีความสุขหลังจากเห็นตำแหน่งสองในสามหายวับไปกับตา
ทว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่สามารถทำอะไรกับลั่วหลีได้ ในเมื่อนางทำตามขั้นตอน เข้าร่วมโดยใช้คุณสมบัติของตระกูลลั่วเสิน นอกจากนี้ลั่วหลียังแข็งแกร่งกว่าหลิงเฟยจื่ออย่างแท้จริง
ระงับความทุกข์ในใจลง เสียงของเขาก็ประกาศก้อง “นักรบทวีปซีเทียนได้รับการพิจารณาแล้ว”
“สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม หลิงตง”
“สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย มู่เฉิน”
“และสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น ลั่วหลี”
สิ้นเสียงประกาศของจักระพรรดิสัประยุทธ์ ร่างสามร่างก็ปรากฏขึ้นที่ใจกลางจัตุรัส เสียงโห่ร้องดังสะเทือนเลื่อนลั่น แม้ว่าจะมีผู้ชนะเพียงสามคน แต่ในฐานะผู้ชมที่ได้เห็นการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาก็ให้ความเคารพต่อทั้งสามคน
บนจัตุรัส หลิงตงที่มีรูปลักษณ์ชายเฒ่าไม่มีอะไรน่าดูเลย ดังนั้นสายตาส่วนใหญ่จึงมองไปที่มู่เฉินกับลั่วหลีเป็นหลัก
ชายหนุ่มยืนตัวตรงพร้อมด้วยริ้วอ่อนโยนในแววตา แต่เมื่อเขาหรี่ตาลงก็จะมีรัศมีสังหารที่ไม่สามารถประเมินได้กระจายออกมา
หญิงสาวสวมเสื้อผ้าสีดำซึ่งเผยรูปร่างทรงเสน่ห์ ริมฝีปากสีแดงชาดคลี่ยิ้มราวกับราชินีผู้สูงศักดิ์
ชายหนุ่มหญิงสาวที่โดดเด่นคู่นี้เปรียบได้กับกิ่งทองใบหยก ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก แม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคียังพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกับคู่รักที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
“ในเมื่อพวกเจ้าสามคนได้รับชัยชนะก็มีคุณสมบัติเป็นนักรบทวีป ตอนนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปรับการชำระล้างจากพลังงานทวีป” จักรพรรดิสัประยุทธ์เอ่ยขึ้น
เมื่อพูดจบไม่เพียงแต่ดวงตาของลั่วหลีกับมู่เฉินจะสว่างวาบ แม้แต่ใบหน้าของหลิงตงก็สั่นสะท้านด้วยความกระหายที่ไม่อาจปกปิดได้
จอมยุทธ์ในระดับหลิงตงอีกก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน แต่ความยากลำบากนั้นสูงเทียมฟ้าเลยทีเดียว
ในมหาพันภพ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็เป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดที่สมบูรณ์แบบแล้ว แต่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่จะรู้จักในนามยอดยุทธ์
ตราบใดที่พวกเขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน พวกเขาก็จะสามารถครองทวีปมีจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนอยู่ภายใต้คำสั่ง เช่นเดียวกับทวีปซีเทียน จำนวนของจอมยุทธ์ที่คล้ายคลึงกับหลิงตงสามารถนับได้ด้วยสองมือ หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิสัประยุทธ์ช่วยผลักดันละก็ เขาคงมีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะได้ตำแหน่งมา
ความแตกต่างระหว่างระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มและระดับเทียนจื้อจุนต่างกันราวกับสวรรค์และโลก
ดังนั้นการเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนจึงเป็นความฝันของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มที่เหมือนกับหลิงตง แต่เขารู้ว่าด้วยพรสวรรค์ของตนเองไม่สามารถก้าวขึ้นไปได้ถ้าไม่มีโอกาสที่ดี
และตอนนี้การชำระล้างจากพลังงานทวีปเป็นโอกาสสำหรับเขา!
แม้ว่าไม่ใช่นักรบทวีปทุกคนที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้ แต่โอกาสของพวกเขาก็สูงกว่ามาก แค่นี้ก็เพียงพอที่จะล่อลวงผู้อาวุโสตง
ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิสัประยุทธ์ แม้แต่หลิงตงก็ระงับความตื่นเต้นในใจไว้ไม่ได้
ผู้ชมต่างมองร่างเงาของผู้ชนะทั้งสามบนจัตุรัสด้วยความอิจฉาเนื่องจากโอกาสหายากในรอบหลายร้อยปีอยู่ในมือพวกเขาทั้งสาม
“เทพจักรพรรดิอัคคีสนใจจะไปดูการชำระล้างของทวีปซีเทียนไหม?” จักรพรรดิสัประยุทธ์หันไปมองเซียวเหยียนพลางเอ่ยถาม
เมื่อได้ยินเซียวเหยียนก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “การชำระล้างแต่ละทวีปเป็นความลับ ดังนั้นข้าไม่ขอเข้าไปยุ่ง”
พื้นที่ดังกล่าวคือการบรรจบกันของพลังงานทวีป ซึ่งสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นรากฐานของทวีป ดังนั้นโดยทั่วไปจะไม่ให้คนนอกเข้าเนื่องจากนี่เป็นความลับ
“ขอบคุณสำหรับคำเชิญจักรพรรดิสัประยุทธ์ หากมีโอกาศภายภาคหน้าแวะมาที่แคว้นหวู่จิ้งฮั่วของข้าได้นะ” เซียวเหยียนยิ้ม
“ข้าได้ยินชื่อเสียงของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วมานานแล้ว ถ้ามีโอกาสข้าจะไปเยี่ยมแน่นอน” จักรพรรดิสัประยุทธ์พยักหน้า แม้ว่าพวกเขาจะเป็นขั้วอำนาจสูงสุดเช่นเดียวกัน แต่เขาก็รู้ว่ารากฐานของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักซีเทียนจะสามารถนำมาเปรียบเทียบได้
เซียวเหยียนยิ้มจากนั้นก็มาปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉินและลั่วหลี “มู่เฉิน ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก”
มู่เฉินประสานมือด้วยความเคารพ ขณะที่ลั่วหลีก็ทักทายด้วยมารยาทเช่นกัน
“หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสเซียว ข้ากลัวว่าจะไม่ได้รับสิทธิ์เช่นนี้ ผู้น้อยคนนี้จะจดจำบุญคุณเอาไว้ไม่ลืมแน่นอน” มู่เฉินกล่าวอย่างจริงจังเนื่องจากเขารู้ว่าหากไม่ใช่เซียวเหยียน จักรพรรดิสัประยุทธ์คงไม่อนุญาตให้เขาเข้าร่วมการประลองอย่างแน่นอน
เซียวเหยียนโบกมือยิ้มให้ “อย่าแกล้งเด็กขณะที่เขายังเด็ก นี่คือสิ่งที่ข้าประสบมากับตัว ดังนั้นแล้วข้าจะผิดพลาดได้อย่างไร? มู่เฉินข้าเชื่อว่าสักวันเจ้าจะยืนอยู่ที่ระดับเดียวกับข้า”
เมื่อเห็นความสำคัญที่เซียวเหยียนวางไว้ให้ มู่เฉินก็เขินอายเล็กน้อย แม้ว่านั่นจะเป็นเป้าหมายของเขาก็ตาม
“ในเมื่อการแข่งขันจบลงแล้ว ข้าก็ต้องกลับไปแคว้นหวู่จิ่งฮั่วแล้ว หากเจ้าสนใจก็สามารถไปเยี่ยมเยือนที่แคว้นข้าได้ ข้าเชื่อว่าเซียวเซียวคงดีใจที่ได้พบเจ้า” เซียวเหยียนยิ้ม คำเชิญของเขานั้นเป็นกันเองยิ่งกว่าที่เขาพูดกับจักรพรรดิสัประยุทธ์เสียอีก
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็พยักหน้า
เซียวเหยียนไม่คิดอ้อยอิ่งอยู่ต่อ เขาโบกมือก่อนที่ร่างจะเลือนหายไป
“ตามข้ามา”
หลังจากที่เห็นเทพจักรพรรดิอัคคีไปแล้ว จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็กวาดมองผู้ชนะทั้งสามแล้วโบกมือ แสงหลิงก็ล้อมรอบตัวทั้งสามคน อึดใจร่างทั้งสี่คนก็หายไป
เมื่อทั้งสี่คนไปแล้ว เสียงถอนหายใจก็ดังก้องทั่วบริเวณ ทุกคนเริ่มแยกย้ายไปเช่นกัน ดังนั้นบอกได้ว่าข่าวศึกนักรบทวีปจะแพร่กระจายไปอย่างไร บางทีคงไม่ใช้เวลานานสำหรับชื่อทั้งสามที่จะดังก้องไปทั่วมหาพันภพ
เมื่อวิสัยทัศน์ชัดเจนขึ้น
มู่เฉินก็ตระหนักได้ว่าสภาพแวดล้อมมืดสนิทราวกับท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว ความเงียบช่างน่ากลัวอย่างยิ่ง
สัมผัสเย็นฉ่ำยื่นเข้ามาจับมือเขาเบาๆ มู่เฉินก็จับมือนั้นไว้ก่อนที่จะหันไปมองลั่วหลีที่อยู่ข้างกาย
ตอนนี้ความมืดเริ่มจางหาย เบื้องหน้าพวกเขาสามารถมองเห็นท้องฟ้าพร่างพราวเต็มไปด้วยดวงดาว
ท้องฟ้านี้ดูแปลกประหลาดมาก บางครั้งมีวาฬขนาดใหญ่ กระเรียนใหญ่และต้นไม้ใหญ่โต ทั่วทั้งบริเวณราวกับอยู่ในโลกดึกดำบรรพ์
ในที่แห่งนี้มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานหลิงบริสุทธิ์โบราณที่ไม่เหมือนโลกภายนอก ราวกับว่าคลื่นหลิงมีต้นกำเนิดมาในยุคโบราณ
เก่าแก่และบริสุทธิ์
“นี่คือจุดรวมคลื่นหลิงของทวีปซีเทียน ฉากนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการรวมกันหลายร้อยปีและการชำระล้างก็จะเกิดขึ้นที่นี่”
“ตอนนี้เจ้าสามคนจะเข้าไปซึมซับ สำหรับผลลัพธ์นั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเจ้าเอง” จักรพรรดิสัประยุทธ์เอ่ยเสียงแผ่วเบา
มู่เฉินไม่ได้รู้สึกอะไรเมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์กล่าวสิ่งนี้ แต่สายตาลั่วหลีกลับวูบไหวพูดขึ้นว่า “จักรพรรดิสัประยุทธ์กำลังบอกว่าเราต้องพึ่งพาความสามารถของตนเองในการรับการชำระล้างหรือ?”
จักรพรรดิสัประยุทธ์พยักหน้าตอบ
สายตาของลั่วหลีวาวโรจน์ด้วยความโกรธ นางขมวดคิ้วเข้าหากัน “จักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอ?”
เมื่อมู่เฉินสังเกตเห็นท่าทางของลั่วหลี เขาก็ขมวดคิ้วฉับ สายตาจับจ้องที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ดูเหมือนชายคนนี้กำลังวางแผนบางอย่างอีกแล้ว
บทที่ 1267 ลั่วหลีชนะ
ซ่า ซ่า!
แสงกระบี่เติมเต็มชั้นฟ้าและชั้นดินพร้อมกับเสียงน้ำกระเซ็น
สีหน้าเย็นเยือกของหลิงเฟยจื่อถูกแทนที่ด้วยความเคร่งเครียด ริ้วความกลัวพลุ่งพล่านในดวงตา นางไม่เคยคิดว่ากระบี่ของลั่วหลีจะน่ากลัวขนาดนี้
เมื่อกระบี่กวัดแกว่ง แสงกระบี่ก็อัดแน่นไปทั่วทุกมุมของสวรรค์และโลก เผชิญหน้ากับกระบี่นี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยง
“แย่ล่ะ!”
หลิงเฟยจื่อกัดฟันแววตาเย็นยะเยือก ในเมื่อมาไกลขนาดนี้ก็ไม่มีทางหนีให้นางแล้ว นางอยากดูด้วยว่าจะยังมีรอยยิ้มบนใบหน้าของลั่วหลีหรือไม่ หากนางต้านกระบี่นี้ได้
“เจ้าคิดจริงๆ หรือร่างมหาจักรพรรดินีของข้าจะปราบได้ง่าย?!”
หลิงเฟยจื่อกัดลิ้นตัวเอง ในปากเลือดกลั่นไหลพล่านซึ่งอัดแน่นไปด้วยคลื่นหลิงน่าเหลือเชื่อ
หลิงเฟยจื่อใบหน้าซีดขาว ชัดว่ากลุ่มเลือดนี้ทำให้นางเสียคลื่นหลิงไปมหาศาล
กลุ่มเลือดพุ่งออกไปโปรยลงบนดวงจันทร์ของร่างมหาจักรพรรดินี ทันใดนั้นเลือดสดก็ย้อมสี ดวงจันทร์ที่เปล่งประกายเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มพร้อมกับรัศมีน่ากลัวค่อยๆ แช่แข็งพื้นที่โดยรอบ
ฮึ่ม!
ดวงจันทร์สีแดงเข้มสั่นไหวพุ่งออกมาจากมือร่างมหาจักรพรรดินี ปลดปล่อยแสงสีแดงเข้มเชี่ยวกราก สุดท้ายกลายเป็นรัศมีแสงสีแดงเข้มพุ่งทะลุมิติ ทะยานเข้าใส่แสงกระบี่อย่างรวดเร็ว
ริ้วแสงสีแดงเข้มเปล่งประกายไอเย็นเยือก แม้แต่คลื่นหลิงในฟ้าดินก็กลายเป็นน้ำแข็งทันทีที่สัมผัสมัน จากนั้นก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า
ตู้ม!
ภายใต้สายตาที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน แสงกระบี่และดวงจันทร์สีแดงเลือดก็ปะทะกันในอึดใจต่อมา
ทันทีที่เกิดการกระทบ แสงแวววาวก็อัดแน่นทุกซอกมุมของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น เทือกเขาสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นภายใต้แสงนี้
ทุกคนที่อยู่รอบรัศมีหลายพันลี้หนีกันจ้าละหวั่นพร้อมกับความสยองขวัญบนใบหน้า เพราะพวกเขารู้ว่าหากคลื่นกระแทกซัดเข้าละก็ ต่อให้ไม่ตายพวกเขาก็จะได้รับบาดเจ็บหนักแน่
แคว๊ก แคว๊ก!
ท่ามกลางสายตาตกตะลึง ดวงจันทร์สีแดงเลือดก็ฉีกเงากระบี่ออกเป็นชิ้นๆ ทว่าเมื่อแสงกระบี่ลดลง ดวงจันทร์สีแดงเข้มก็จางลงเช่นกัน
เคร้ง!
ทันใดนั้นเมื่อดวงจันทร์สีแดงเข้มกำลังตัดผ่าน กระบี่ยาวก็พุ่งเข้ามาสัมผัสกับดวงจันทร์
เสียงคมชัดดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า
แต่ใบหน้าของหลิงเฟยจื่อเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันที ความกลัวพล่านในสายตา
แกร็ก!
เนื่องจากนางเห็นรอยแตกเริ่มกระจายไปบนดวงจันทร์สีแดงเข้ม เพียงสิบกว่าอึดใจรอยแตกก็พล่านไปทั่วแล้ว
ปัง!
ในที่สุดดวงจันทร์ก็มาถึงขีดสุดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ลั่วหลีแตะนิ้วอย่างเรียบเฉยในอากาศ ความผันผวนกระจายออกไป
วาบ!
กระบี่ยาวที่แทงทะลุดวงจันทร์หายไปอีกครั้ง
หลิงเฟยจื่อเหมือนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางรีบล่าถอยออกมาทันทีโดยควบคุมร่างมหาจักรพรรดินี ม่านคลื่นหลิงจำนวนมากถูกรวมขึ้นเป็นแนวการป้องกัน
ชี่!
ทว่าเสียงเสียดแก้วหูก็ดังขึ้น ขณะที่นางถอยกลับทำเอาร่างกายนางแข็งทื่อไปเลย นางค่อยๆ ก้มศีรษะลงด้วยความยากลำบาก มองเห็นกระบี่ยาวแทงทะลุผ่านหน้าอกของร่างมหาจักรพรรดินี
แสงกระบี่คมกริบทำให้เกิดการระเบิดขึ้นภายในร่างทันที
ปัง!
ร่างมหาจักรพรรดินีระเบิดภายใต้แสงกระบี่ กระจายคลื่นหลิงลงมาราวกับพายุฝน
อ็อก!
หลิงเฟยจื่อได้รับบาดเจ็บหนัก กระอักเลือดเต็มปากก่อนที่ร่างจะกระแทกกับภูเขา จนภูเขาทั้งลูกพังทลายเป็นหน้ากลอง
แสงกระบี่เริ่มจางหาย
บนร่างเทพวารีลั่วหลีก็ค่อยๆ ดึงมือกลับอย่างเงียบๆ สายตาจ้องมองบนภูเขาที่ถล่มลงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ้าแพ้แล้ว”
โห
ทุกคนในสนามรบตกตะลึง ไม่มีใครคิดว่ากระทั่งทุ่มไปหมดหน้าตักหลิงเฟยจื่อก็ยังไม่สามารถต้านทานการโจมตีของลั่วหลีได้
เห็นได้ชัดว่าลั่วหลีเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย
ปัง
หินน้อยใหญ่กลิ้งหล่นลงมาจากภูเขา ก่อนที่ร่างของหลิงเฟยจื่อจะปรากฏขึ้นพร้อมรอยเลือดที่มุมปาก ดวงตาของนางวาววับด้วยความไม่เต็มใจพลางกัดฟันกรอด “ข้ายังไม่แพ้!”
ทว่าลั่วหลีไม่ได้สนใจอีกฝ่าย นางโบกมือคลื่นหลิงก็พล่านออกไป ป้ายสัประยุทธ์บินออกจากแขนเสื้อของหลิงเฟยจื่อ
เมื่อหลิงเฟยจื่อเห็นสิ่งนี้นางก็รู้สึกโกรธจนกระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง นางได้รับบาดเจ็บหนักไม่มีพลังพอที่จะต่อกรกับลั่วหลีได้อีกต่อไป
เมื่อป้ายสัประยุทธ์ถูกยึดไป สภาพแวดล้อมรอบตัวหลิงเฟยจื่อก็เริ่มผันผวน นางกำลังจะถูกเตะออกจากสนามรบ สายตาแสดงความเกลียดชังจ้องเขม็งที่ลั่วหลีกัดฟันพูด “ลั่วหลีรอก่อนเถอะ! สักวันข้าจะเอาชนะแกได้แน่!”
ทว่าลั่วหลีไม่ได้ใส่ใจคำพูดของนางแม้แต่น้อย
ในที่สุดร่างของหลิงเฟยจื่อก็หายไปในกระแสมิติ ชัดว่านางสูญเสียคุณสมบัติไปแล้ว
หลังจากเอาชนะหลิงเฟยจื่อได้ ลั่วหลีก็กวาดสายตาไปยังค่ายหลิงเฟยจื่อ แตะฝ่าเท้าลง ร่างเทพวารีทะยานออกไปพร้อมกัน กระบี่แหลมคมพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าล้อมรอบจอมยุทธ์จากสำนักสู่ไว้
เผชิญหน้ากับการโจมตีของลั่วหลี จอมยุทธ์สามคนจากสำนักสู่ก็ยิ้มขมขื่น หลังจากต่อต้านไปพักหนึ่ง พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าแม้จะร่วมมือกันก็ไม่สามารถต่อสู้กับร่างเทพวารีนี้ได้
“พวกข้ายอมแพ้!”
หลังจากตระหนักถึงความเป็นจริงอันโหดร้าย ทั้งสามคนก็ยกมือยอมแพ้ พวกเขาเข้าใจแล้วว่าลั่วหลีไม่ใช่คนที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นจะสามารถเผชิญหน้าได้ ตอนนี้นางคือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อขั้นต้นที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปซีเทียน!
มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างนางกับพวกเขา
พวกเขายิ้มอย่างขมขื่นกับความจริงนี้ พวกเขาถือตัวว่าเป็นอัจฉริยะ แต่หลังจากได้เห็นลั่วหลี พวกเขาก็เข้าใจว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าอยู่เสมอ
เมื่อทั้งสามคนยอมจำนน ลั่วหลีก็หยุดยืนอยู่บนร่างเทพวารีแล้วมองไปที่พวกเขา ทั้งสามคนโยนป้ายสัประยุทธ์ทั้งหมดมาให้ด้วยท่าทางเศร้าซึม
เมื่อหลู่เฟิ่งเซียน เถิงขุยและหยูหู่เห็นว่าลั่วหลีสามารถทำให้อีกฝ่ายยอมจำนนได้อย่างง่ายดาย ใบหน้าของพวกเขาถูกฉาบด้วยแววซับซ้อน
หญิงสาวสะคราญโฉมคนนี้เป็นยอดอัจฉริยะอย่างแท้จริง พวกเขาที่ปกติมักถูกเรียกเป็นอัจฉริยะ ในวันนี้ได้รู้ซึ้งแล้วว่าเป็นเรื่องน่าตลกเพียงใด
เผชิญหน้ากับหญิงสาวที่งดงามปานล่มเมือง แม้กระทั่งคนที่มีความภาคภูมิใจอย่างหลู่เฟิ่งเซียนก็ยังรู้สึกละอายใจที่ด้อยกว่า สตรีเช่นนี้ใครจะคู่ควรกับนางได้?
หยูหู่ก็ยิ้มขมขื่นระงับความชื่นชมในหัวใจไว้
“ไม่รู้ว่ามู่เฉินโชคดีอะไรขนาดไหนถึงได้รับความรักจากนาง?” พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันจากนั้นก็ถอนหายใจในใจ ตอนนี้พวกเขารู้สึกอิจฉามู่เฉินเกินจะบรรยาย
“ใครยังต้องการต่อสู้อีก” ขณะที่ทั้งสามคนถอนหายใจ ลั่วหลีก็หันไปมองจอมยุทธ์ค่ายหลิงเฟยจื่อ เสียงที่ดังนุ่มนวลกลับทำให้ใบหน้าของผู้คนจำนวนมากเปลี่ยนเป็นสีเทา
มาถึงตอนนี้ทำไมพวกเขาจะไม่รู้ว่าตนเองยืนอยู่ฝั่งผิด? ความพ่ายแพ้ของหลิงเฟยจื่อ ทำให้พวกเขาต้องจ่ายราคากับการยืนผิดข้าง
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์นี้ หลายคนก็หัวใจเย็นสะท้าน แต่พวกเขาก็ต้องส่งป้ายสัประยุทธ์ออกจากสนามรบไป
ไม่กี่นาทีค่ายหลิงเฟยจื่อก็เหลือคนสามสิบคนเท่านั้น พวกเขาเป็นคนที่ไม่ต้องการยอมแพ้และพยายามหนี
ลั่วหลีโบกมือ จอมยุทธ์กว่าหนึ่งร้อยคนทะยานออกมา ในเวลาชั่วก้านธูปคนเหล่านั้นก็ถูกกวาดล้างหมด
ตอนนี้มีเพียงสมาชิกค่ายลั่วหลีที่ยังอยู่ในสนามรบ พวกเขาเอาป้ายสัประยุทธ์ที่ได้มาซึ่งมีจำนวนหลายร้อยออกมาลอยอยู่บนท้องฟ้า
ลั่วหลีก็นำป้ายออกมาเช่นกัน นางมองไปรอบๆ และยิ้ม “ในเมื่อได้รับรางวัล เราก็จะแจกจ่ายตามผลงาน”
ทุกคนพยักหน้า ผลงานของพวกเขาถูกบันทึกไว้ทั้งหมด ดังนั้นพวกเขารับจำนวนป้ายที่พวกเขามีสิทธิ์
หลายสิบลมหายใจต่อมาก็มีเพียงป้ายสัประยุทธ์แปดสิบกว่าป้ายลอยอยู่บนท้องฟ้าซึ่งเป็นของลั่วหลี
ทว่านางไม่ได้แตะป้ายเหล่านั้น นางโบกมือกระจายป้ายส่งออกไป
ทุกคนไม่แปลกใจกับการกระทำของนาง เพราะพวกเขารู้ว่านี่หมายถึงอะไร ลั่วหลียกรางวัลในป้ายสัประยุทธ์ให้ เนื่องจากนางต้องการตำแหน่งนักรบทวีปเท่านั้น
ไม่มีใครคัดค้านเรื่องนี้เพราะนี่เป็นสิ่งที่คาดไว้อยู่แล้ว นอกจากนี้ก็มีเพียงลั่วหลีเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะได้รับตำแหน่งไปจากพลังของนางเอง
หากไม่ใช่ลั่วหลี พวกเขาคงถูกหลิงเฟยจื่อเตะออกจากสนามรบไปนานแล้ว จะได้รับป้ายสัประยุทธ์มามากมายเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นสมบัติได้อย่างไร?
ดังนั้นทุกคนจึงเงยหน้ามองลั่วหลีพูดด้วยเสียงแสดงความเคารพ “เราขอบคุณต่อจักรพรรดินีลั่ว!”
หลังจากแลกเปลี่ยนสมบัติแล้ว ทุกคนก็เริ่มออกจากสนามรบ จนสุดท้ายทั้งสนามรบเหลือเพียงลั่วหลีคนเดียว
เห็นได้ชัดว่าผู้ชนะของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นถูกตัดสินแล้ว
ลั่วหลีเงยหน้าขึ้นมองความว่างเปล่าแล้วแย้มยิ้ม นี่เป็นรอยยิ้มที่งดงามที่สามารถล่มเมืองได้ แม้ว่านางจะไม่รู้ข่าวเกี่ยวสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่นางรู้สึกได้ว่า…
มู่เฉินน่าจะชนะแล้ว
เพราะนางมั่นใจในตัวเขามาตั้งแต่แรก
บทที่ 1266 พลังอำนาจของลั่วหลี
ร่างเงาก่อตัวขึ้นด้านหลังลั่วหลี
แสงพริบพราวมหาศาลระเบิดออกรวมตัวกันเป็นเงาร่างตระการตา
ร่างเงานั้นดูเหมือนกับลั่วหลีทุกประการ เพียงแค่มีรัศมีเทพที่ทำให้นางดูราวกับเทพธิดาก็มิปาน
ร่างเงานั้นมีความงดงามหาที่เปรียบมิได้ราวกับว่าคือความงามของโลก
เมื่อแสงแวววาวไร้ขอบเขตระเบิดออกมา ก็ทำให้การโรมรันพันตูโดยรอบสงบลง สายตามั่วเมานับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปที่หญิงสาวที่มีเรือนผมสีเงินยวง
“ช่างเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่งดงามจริงๆ”
ผู้คนนับไม่ถ้วนพึมพำ
แม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคีและจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ยังอึ้งไปในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่พวกเขาจะถอนหายใจ “สมกับเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่ลือกันว่างดงามที่สุดในโลก”
ร่างเทพวารีมีชื่อเสียงด้านความงามมาตั้งแต่โบราณกาล
ว่ากันว่ามีข้อกำหนดเข้มงวดในการฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์นี้ ประการแรกผู้ฝึกจะต้องเป็นสาวพรหมจารีพร้อมด้วยพรสวรรค์และรูปลักษณ์ที่ไม่มีใครเทียบได้
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้รับการปลูกฝังแล้ว ร่างเทห์สวรรค์และร่างผู้ฝึกก็จะเปลี่ยนไป
ในสมัยโบราณลั่วเสินพึ่งพิงสิ่งนี้ขึ้นเป็นเทพธิดาแห่งมหาพันภพโดยมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่โดดเด่นมากมายอยู่ใต้อาณัติของนาง ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าเทพธิดาแห่งมหาพันภพเปี่ยมเสน่ห์แค่ไหน
ดังนั้นแม้กระทั่งจอมยุทธ์อย่างเทพจักรพรรดิอัคคีและจักรพรรดิสัประยุทธ์ยังอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานด้วยความชื่นชม เมื่อพวกเขาเห็นร่างเทห์สวรรค์ของลั่วเสินนี้
ขณะที่พวกเขาร้องอุทานชื่นชม ดวงตาของทุกคนก็จ้องมองหญิงสาวด้วยความมึนเมา อดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำว่า “งดงามจริงๆ”
ขณะที่ทุกคนกำลังปลาบปลื้มกับร่างเทพวารีที่น่าทึ่ง
หลิงเฟยจื่อก็กัดริมฝีปากแน่นมองไปที่ลั่วหลีด้วยความอิจฉาตาร้อน
“ร่างเทพวารี? หึ ก็เป็นแค่ร่างเทห์สวรรค์ที่ชนะแค่รูปลักษณ์ภายนอก ไม่คู่ควรกับอันดับเลย!” หลิงเฟยจื่อเอ่ยเยาะเย้ย
บนตารางทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง ร่างเทพวารีอยู่ในอันดับที่สิบเอ็ดซึ่งเป็นการจัดอันดับที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เพราะร่างเทห์สวรรค์ระดับนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่ตำหนักซีเทียนก็ไม่ได้ครอบครอง
ฮึ่ม!
ยามนี้หลิงเฟยจื่อไม่ต้องการให้ลั่วหลีได้รับความสนใจทั้งหมด ดังนั้นนางจึงวาดตราประทับ ทันใดนั้นแสงหลิงนับไม่ถ้วนก็ระเบิดออกมา ก่อร่างเวทสวรรค์ขึ้น
น่าตกใจนักที่ร่างเวทสวรรค์ของหลิงเฟยจื่อก็มีรูปร่างเหมือนสตรีที่มาพร้อมกับดวงจันทร์สุกสกราวประดับอยู่ด้านหลังศีรษะ
“นี่คืออันดับที่สามสิบในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง…ร่างมหาจักรพรรดินีรึ?!”
เมื่อหลิงเฟยจื่อเรียกร่างเทห์สวรรค์ออกมาก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนทันที แม้ว่าอันดับร่างนี้จะด้อยกว่าร่างเทพวารี แต่ก็มีชื่อเสียงอย่างเหลือเชื่อ เนื่องจากอยู่ในอันดับสามสิบ! ซึ่งเป็นสิ่งที่มีเพียงตำหนักซีเทียนเท่านั้นที่จะครอบครองได้
หลิงเฟยจื่อยืนบนร่างมหาจักรพรรดินีพลางก้มมองลั่วหลีด้วยสายตาเย็นชาเอ่ยเย้ยหยัน “วันนี้ข้าจะให้ทุกคนเห็นว่าร่างเทพวารีของเจ้าเป็นเพียงเปลือกเปล่าไม่มีพลังอะไร!”
ฮึ่ม!
โดยไม่ลังเล ฝ่าเท้าของนางก็แตะลงไป ดวงจันทร์ที่แขวนอยู่ด้านหลังร่างมหาจักรพรรดินีก็ระเบิดแสงจันทร์มหาศาล
แสงจันทร์พุ่งทะลุผ่านมิติกวาดไปที่ร่างเทพวารี ในเส้นทางผ่านของแสงที่ดูอ่อนโยนกลับทิ้งร่องรอยมากมายไว้
ขณะที่แสงจันทร์บรรจุด้วยไอสังหารครอบคลุมพื้นที่ ลั่วหลีก็เงยหน้ายกมือขึ้นเบาๆ ร่างเทพวารียกมือขึ้น กลุ่มแสงหลิงเข้มข้นแตกออกเป็นกลีบดอกไม้นับไม่ถ้วน
เมื่อกลีบดอกไม้เหล่านั้นล่องลอยไปมาและสัมผัสกับแสงจันทร์ กลีบดอกไม้ก็กลายเป็นดอกไม้ตูมล้อมแสงจันทร์เอาไว้
ในเวลานี้ภาพกลีบดอกไม้ตระการตาฉายบนท้องฟ้า
ผู้คนอุทานออกมาในการเผชิญหน้าที่สวยงามเช่นนี้ แต่พวกเขารู้ว่านี่อันตรายแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นกลีบดอกไม้หรือแสงจันทร์ก็เต็มไปด้วยไอมรณะอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อหลิงเฟยจื่อเห็นว่าลั่วหลีสามารถแก้ไขการโจมตีของนางได้อย่างง่ายดาย ใบหน้านางก็ดิ่งลงหลายส่วน แม้ว่าหัวใจจะเต็มไปด้วยความอิจฉา แต่นางก็ไม่ใช่คนโง่ การปะทะก่อนหน้าทำให้นางเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นแล้ว
“ดูเหมือนว่าทักษะทั่วไปจะไม่สามารถทำอะไรกับนางได้”
หลิงเฟยจื่อขบฟันพร้อมกับไอเย็นยะเยือกวาบผ่านในดวงตา นางไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างมหาจักรพรรดินียื่นมือเรียวบางออกมา ทว่าไม่ได้เคลื่อนที่ไปในทิศทางของลั่วหลี แต่เอื้อมไปยังดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่ด้านหลัง
เมื่อมือสัมผัสกับดวงจันทร์รัศมีเย็นเยือกน่าอัศจรรย์ก็ปะทุออกมา ราวกับอาวุธเทพที่สามารถแยกสวรรค์และโลกออกเป็นสองส่วน
คว้าดวงจันทร์อยู่ในมือ หลิงเฟยจื่อก็วาดกระบวนท่าเร็วรี่ก่อนที่เสียงเย็นจะเปล่งสะท้อนออกมา “ทักษะเทห์สวรรค์ เทพธิดาจันทรา!”
ชี่!
ร่างมหาจักรพรรดินีกุมดวงจันทร์ไว้แล้วเหวี่ยงลง แสงจันทร์ปกคลุมทั่วบริเวณ รัศมีใบมีดกว้างนับหมื่นจั้งพวยพุ่งออกมาจากดวงจันทร์ซัดเข้าใส่ลั่วหลี
ภายใต้รัศมีแหลมคม กระทั่งมิติก็ถูกเฉือนแยกออกเป็นชิ้นๆ จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนรู้สึกถึงความเย็นเยือกเจาะกระดูก ใบหน้าของแต่ละคนเปลี่ยนไป
รัศมีคมชัดราวกับสายฟ้าฟาด ปรากฏที่เบื้องหน้าร่างเทพวารีในอึดใจต่อมา
ลั่วหลียังคงมีท่าทางสงบนิ่งโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้จะเกิดการโจมตีที่น่ากลัว ความสง่างามนี้ทำให้นางดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
เมื่อรัศมีคมชัดฟันลงมา ร่างเทพวารีก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว แสงหลิงระเบิดออกที่เบื้องหน้า แม่น้ำระยิบระยับไหลลงไปเกิดเป็นคลื่นเชี่ยวกรากปะทะกับรัศมีคมชัด
ปัง!
แผ่นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น คลื่นถูกฉีกออกขณะที่รัศมีแหลมคมก็แตกสลายไป
แววตาของหลิงเฟยจื่อเย็นเยือกลง นางหมุนมือ อึดใจต่อมารัศมีแหลมคมหลายร้อยสายก็ระเบิดออกมาราวกับพายุฝนที่มาพร้อมกับไอสังหารล้อมรอบลั่วหลี
ซ่า ซ่า!
คลื่นที่ไม่มีที่สิ้นสุดของแม่น้ำแสงยังคงไหลออกมาจากมือร่างเทพวารีแล้วรวมตัวกัน ก่อร่างเป็นแม่น้ำที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่ารัศมีคมชัดจะเฉือนลงมาอย่างไร ก็ถูกคลื่นซัดทำลายจนไม่เหลือหลอ
ในเวลาไม่กี่นาทีหลิงเฟยจื่อก็ปล่อยกระบวนท่านับร้อยแล้ว แต่ละครั้งก็สามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้เลยทีเดียว
แต่สุดท้ายการโจมตีเหล่านั้นก็ไม่สามารถเจาะผ่านแม่น้ำที่ปกคลุมรอบร่างเทพวารีได้
สายตาตกตะลึงใจพุ่งตรงไปที่การต่อสู้ดุเดือดระหว่างหญิงสาวสองคน การโจมตีเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังมีท่าทางเปลี่ยนไป หญิงสาวทั้งสองคนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแน่นอน มากจนสามารถเผชิญหน้ากับระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้เลยทีเดียว
แต่ตัดสินจากสถานการณ์ตอนนี้ แม้การโจมตีของหลิงเฟยจื่อจะทรงพลัง แต่ก็ไม่สามารถผ่านการป้องกันของร่างเทพวารีได้
“แกรู้จักแต่วิธีป้องกันเท่านั้นรึ?”
เมื่อเห็นว่าความพยายามของตนไร้ประโยชน์ ใบหน้าของหลิงเฟยจื่อก็ไม่น่าดู นางไม่คิดว่าร่างเทพวารีจะมีการป้องกันที่แข็งแกร่งเช่นนี้ แม้แต่การโจมตีของนางก็ไม่สามารถผ่านการป้องกันนั้นได้
“ข้าแค่ต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของร่างมหาจักรพรรดินีน่ะ” ลั่วหลียิ้มขณะพูดต่อ
“แต่ดูเหมือนว่าถึงจะไม่ธรรมดาก็ไม่มีอะไรที่น่าทึ่งเลย”
หลิงเฟยจื่อรู้สึกโมโหจนต้องหัวเราะ “นังหน้าด้าน!”
ลั่วหลียิ้มไม่ใส่ใจที่จะเถียงกับหลิงเฟยจื่อ มือของนางเริ่มวาดกระบวนท่า
ซ่า ซ่า
แม่น้ำแสงพราวไหลบ่าราวกับมังกรวารีขนาดใหญ่ขดตัวไปรอบๆ ร่างเทพวารี
ร่างเทพวารียื่นมือออกมาอย่างช้าๆ คว้าแม่น้ำที่ส่องประกาย ก่อร่างเป็นกระบี่ยาวทันที
เมื่อร่างเทพวารีวาดกระบี่ รัศมีกระบี่คมชัดก็ทะยานสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้แต่ภูเขาที่อยู่เบื้องล่างก็แยกออกเป็นสองส่วน!
“ให้มาไม่ให้กลับจะเสียมารยาท ในเมื่อเป็นแบบนี้เจ้าก็รับเพลงกระบี่ของข้าด้วย หากเจ้ารับได้ ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้เอง” ลั่วหลียิ้มบางพูดด้วยท่าทางสง่างามและมั่นใจ
“งั้นก็เตรียมพ่ายแพ้ได้เลย!”
หลิงเฟยจื่อหัวเราะด้วยความโกรธ ก่อนที่จะกัดฟันเยาะเย้ย
แม้จะพูดไปแบบนั้น ดวงตานางก็เคร่งเครียดลง เนื่องจากนางรู้สึกถึงอันตรายร้ายแรงในขณะนี้
ลั่วหลียิ้มสดใจก่อนที่กระบี่ยาวจะเสือกแทงออกมาพร้อมกับแสงกระบี่ไร้ขอบเขตกวาดไปทั่วสวรรค์และโลก
“ทักษะเทห์สวรรค์ กระบี่แม่น้ำลั่ว!”
ในอดีตลั่วหลีฝึกฝนวิทยายุทธเทพที่รู้จักกันในชื่อเพลงกระบี่ลั่วเสิน แม้ว่าชื่อจะคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันมาก
เมื่อเสียงของลั่วหลีดังก้อง แสงกระบี่ไม่มีที่สิ้นสุดก็เปล่งประกายออกมา ทั่วทั้งฟ้าดินเหมือนเต็มไปด้วยเสียงน้ำสดชื่น ทว่าในเสียงนี้ก็อัดแน่นด้วยรัศมีคมกริบที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
ทุกคนที่เฝ้ามองก็สีหน้าเปลี่ยนแปลงรุนแรง เมื่อพวกเขามองไปที่คลื่นเชี่ยวกราก หัวใจก็สั่นไหว
รัศมีกระบี่กินพื้นที่สามหมื่นลี้ แสงกระบี่สาดส่องไปทั่ว
ยามนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมร่างเทพวารีถึงอยู่ในอันดับสิบเอ็ดบนทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง
บทที่ 1265 สองสตรีสู้กัน
ลมกระโชกแรงกวนตัวบนเทือกเขา
คนสองกลุ่มพากันเร้าคลื่นหลิงทรงพลัง แม้แต่เมฆก็ถูกฉีกขาดจากแรงกดดันนี้
ทั้งสองกลุ่มยืนอยู่คนละฟากของเทือกเขา ความเป็นปฏิปักษ์อัดแน่นในดวงตา
เงาร่างหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าค่ายทางด้านขวา นางสวมเสื้อผ้าสีดำที่เน้นรูปร่างและผิวสีขาวไข่มุก นางมีรูปลักษณ์งดงามชวนตะลึงเมื่อสายตาจ้องมองไปที่ดวงหน้า
นอกจากนี้ยังมีความน่าเกรงขามที่ทำให้นางประหนึ่งจักรพรรดินี
นอกเหนือจากลั่วหลีก็ไม่มีใครโดดเด่นในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นอีกแล้ว
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นกว่าหนึ่งร้อยคนยืนอยู่ข้างหลัง มองมาที่นางด้วยความเคารพ
ตอนที่หลิงเฟยจื่อเริ่มลงมือกวาดล้าง ผู้คนจำนวนมากก็หนีกันกระเจิดกระเจิง แม้ว่าจะมีคนกล้าลุกขึ้นสู้ แต่ผลลัพธ์ก็จบลงที่ถูกเตะโด่งออกจากสนามรบ
ภายใต้สภาวะที่น่ากลัวนี้ ลั่วหลีลุกขึ้นรวบรวมสมัครพรรคพวกอย่างรวดเร็ว จากนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีของค่ายหลิงเฟยจื่อก็ถอยทัพกลับมาได้
หลังจากเหตุการณ์นั้นพวกนางก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและดึงผู้คนที่มีความไม่พอใจกับหลิงเฟยจื่อ นอกจากนี้ด้วยเสน่ห์โดดเด่นของนาง ยังสามารถดึงจอมยุทธ์ทรงพลังที่เป็นกลางเข้าร่วมด้วย ทำให้ตอนนี้ค่ายของพวกนางไม่ได้อ่อนแอไปกว่าค่ายของหลิงเฟยจื่อเลย
ในเวลาเพียงครึ่งเดือนลั่วหลีเริ่มต้นจากการไม่มีอะไรจนมีค่ายใหญ่ที่ไม่อ่อนแอกว่าหลิงเฟยจื่อ วิธีดังกล่าวทำให้ผู้คนต้องถอนหายใจชื่นชมไม่หยุด
ดังนั้นทุกคนที่นี่จึงรู้สึกเคารพลั่วหลี ไม่มีใครดูถูกความเป็นสตรีเพศของนาง
มีชายสวมเสื้อสีเขียวอมฟ้าที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นและไม่ธรรมดายืนอยู่ข้างหลังลั่วหลี เขากวาดมองทุกคนที่พลุ่งพล่านด้วยเจตนาการต่อสู้ก็ยิ้ม “จักรพรรดินีลั่วเก่งกล้าสมชื่อนัก ครึ่งเดือนก่อนเรามีกองกำลังเพียงสิบคน ตอนนี้กลับสามารถประกาศสงครามกับหลิงเฟยจื่อได้เลยทีเดียว”
ชายคนนี้ชื่อว่าหลู่เฟิ่งเซียน เขามีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นในทวีปซีเทียน ว่ากันว่าภายในสองสามปีนี้เขาก็จะสามารถโจมตีระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้แล้ว
เขาเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนที่เข้าร่วมกับลั่วหลี
“หลิงเฟยจื่อเจ้ายศเจ้าอย่างและพึ่งพาชื่อเสียงของตำหนักซีเทียน ในแง่ของความสามารถข้าไม่คิดว่านางจะเปรียบกับจักรพรรดินีลั่วได้” ข้างหลู่เฟิ่งเซียน ชายร่างกำยำก็พูดออกมา
เขามีชื่อว่าชื่อเถิงขุยที่มีความสามารถรองลงมาจากหลู่เฟิ่งเซียนเท่านั้น
“เมื่อไรที่จักรพรรดินีลั่วออกคำสั่ง ข้าก็จะบุกทะลวงค่ายพวกมัน!” ยืนอยู่ด้านหลังเถิงขุยเป็นชายร่างสมส่วน ริ้วแสงสีทองวูบไหวที่กลางหว่างคิ้ว ซึ่งบางครั้งเปล่งเสียงคำรามของพยัคฆ์ออกมาด้วย
ขณะที่พูดเขาก็จ้องมองที่หลู่เฟิ่งเซียนด้วยการยั่วยุในดวงตา แต่เมื่อหันไปมองร่างที่ยืนอยู่ด้านหน้าเขาก็เผยความชื่นชมในแววตาออกมา
ชื่อของเขาคือหยูหู่หรือที่รู้จักกันในฉายาราชันพยัคฆ์แห่งทวีปซีเทียน เขามีพละกำลังมาก เมื่อไรที่เขาต่อสู้ แม้แต่หลู่เฟิ่งเซียนก็ไม่สามารถจัดการกับเขาได้
ทั้งสามคนมีชื่อเสียงล้นเหลือในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นและตอนนี้ทั้งหมดยอมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของลั่วหลี โดยกำลังรอคำสั่งจากนาง
หลู่เฟิ่งเซียนสัมผัสได้ถึงการยั่วยุในดวงตาของหยูหู่ก็อดแสยะยิ้มไม่ได้ เขาเหลือบมองร่างลั่วหลี แม้แต่คนอย่างเขาที่ปฏิบัติต่อผู้หญิงเหมือนต้นหญ้าก็ยังไม่สามารถทนต่อการดึงดูดของลั่วหลี ไม่น่าแปลกใจที่แม้แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์ยังคิดมอบตำแหน่งธิดาเทพให้กับนาง
ดังคำกล่าววีรบุรุษชอบสาวงาม ผู้คนจำนวนมากอยู่ภายใต้คำสั่งของลั่วหลี มีอย่างน้อยครึ่งหนึ่งถูกดึงดูดด้วยเสน่ห์ ทว่าส่วนใหญ่รู้สึกละอายใจที่ด้อยกว่านางทุกทาง ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าแสดงออก
เมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขาลั่วหลีก็หันมาพลางคลี่ยิ้ม “พวกเจ้าสามคนไม่ต้องทะเลาะกันหรอก ณ จุดนี้เราใช้แม่ทัพต้านแม่ทัพ ใช้กองทัพต้านกองทัพ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ”
“เรายินดีรับฟังคำสั่งของเจ้า!”
พวกหลู่เฟิ่งเซียนต่างประสานมือตอบรับ
จอมยุทธ์ที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอก็ตอบรับเช่นกันทำให้ดูตระการตามาก
“นังแพศยานั่น!”
เมื่อได้ยินขวัญกำลังใจของค่ายลั่วหลี ใบหน้าของหลิงเฟยจื่อก็เย็นเยือกลงขณะกัดฟันกรอด
ในฐานะศิษย์เอกของจักรพรรดิสัประยุทธ์ นางประหนึ่งเจ้าหญิงแห่งทวีปซีเทียน ในอดีตไม่รู้ว่ามีใครกี่คนที่ห้อมล้อมตัวนาง แต่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อลั่วหลีปรากฏตัว ชื่อนี้ก็เริ่มติดอยู่บนริมฝีปากของจอมยุทธ์ชั้นสูงเหล่านั้น
มิหนำซ้ำเมื่อไม่นานมานี้จักรพรรดิสัประยุทธ์ยังออกราชโองการ ให้ลั่วหลีดำรงตำแหน่งธิดาเทพซึ่งมีตำแหน่งสูงส่งกว่านาง
เรื่องนี้ปลุกความอิจฉาในหัวใจของหลิงเฟยจื่อ ดังนั้นเป้าหมายหนึ่งเดียวของนางในการเข้าสู่สนามรบครั้งนี้ก็คือปราบลั่วหลีและสร้างความอับอายให้
นางต้องการให้ทุกคนในทวีปซีเทียนรู้ว่าลั่วหลีเป็นรองนาง!
“สู่หยู สู่กว่าง สู่เฉิน ข้าจะปล่อยหลู่เฟิ่งเซียน เถิงขุยและหยูหู่ให้พวกเจ้าสามคนจัดการ” หลิงเฟยจื่อสูดหายใจลึกๆ ก่อนที่ปรายตามองจอมยุทธ์สามคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง
ทั้งสามมาจากสำนักสู่ซึ่งเป็นขั้วอำนาจชั้นยอดที่ได้รับการสนับสนุนจากตำหนักซีเทียนและทั้งสามคนเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ พวกเขามีชื่อเสียงมากกว่าหลู่เฟิ่งเซียนและคนอื่นๆ เสียอีก
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงเฟยจื่อ ทั้งสามคนก็เบะปากแต่ก็พยักหน้าในที่สุด ถึงยังไงหลิงเฟยจื่อก็เป็นศิษย์เอกของจักรพรรดิสัประยุทธ์ ดังนั้นนางจึงมีสถานะสูงส่ง
“หึ ข้าขอดูหน่อยว่าคนที่ลั่วหลีดึงมารวมตัวแบบรีบเร่งจะแข่งกับตำหนักซีเทียนยังไง!” หลิงเฟยจื่อเค้นเสียง ในแง่คุณภาพนางแข็งแกร่งกว่าเนื่องจากกลุ่มของนางเป็นการรวมตัวของผู้สนับสนุนจากตำหนักซีเทียน ดังนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงให้ทรัพยากรพวกเขาตามสมควร ทำให้ชื่อเสียงและพลังของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าฝ่ายลั่วหลีโดยธรรมชาติ
เมื่อพูดจบนางก็โบกมือ ร่างกลายเป็นลำแสงทะยานออกไปพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ตามหลังมา ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจสั้นๆ ทั้งสองฝ่ายก็มาประจันหน้ากันแล้ว
ลั่วหลีเงยหน้าขึ้นสายตาเย็นชามองหลิงเฟยจื่อนิ่ง ก่อนที่หญิงสาวทั้งสองจะยกมือเรียวขึ้น จากนั้นก็สะบัดลงเบาๆ พร้อมกัน
“ลุย!”
เมื่อเสียงของพวกนางดังขึ้น คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ร่างหลายร้อยบินฉวัดเฉวียนออกมาพร้อมกับซัดพลังโจมตีนับไม่ถ้วน
ตู้ม ตู้ม!
การประจัญบานรุนแรงทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
วาบ วาบ!
จอมยุทธ์ทรงพลังบางคนในค่ายทั้งสองบินผ่านคลื่นกระแทก เข้าปะทะกับศัตรูที่หมายตัวไว้แล้วปลดปล่อยกระบวนท่าออกมาทันทีโดยไม่ลังเล
ส่วนพวกหลู่เฟิ่งเซียนก็ถูกจอมยุทธ์ทรงพลังสามคนของฝ่ายตรงข้ามขัดขวาง ทั้งสองฝ่ายต่างเรียกร่างเทห์สวรรค์ออกมาต่อสู้ โดยไม่พูดให้มากความ
ลูกเพลิงระเบิดขึ้นบนท้องฟ้า ทุกลูกเต็มไปด้วยอันตราย พลังทำลายล้างทำให้เทือกเขาพังทลายลง
เมื่อลูกเพลิงปกคลุมทั่วท้องฟ้า ลั่วหลีและหลิงเฟยจื่อก็ยืนประจันหน้ากัน
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีวิธีรวบรวมพวกขี้แพ้เอาไว้” หลิงเฟยจื่อพูดเสียงเย็นขณะที่จ้องมองลั่วหลี
“เจ้าเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการมากเกินไป ดังนั้นจึงมีคนที่เกลียดเจ้าเยอะแยะ พูดถึงเรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณที่ทำให้ข้าสามารถรวบรวมคนได้อย่างรวดเร็ว” ลั่วหลียิ้มอ่อน
“ก็แค่กลุ่มบัดซบ” หลิงเฟยจื่อขมวดคิ้ว นางไม่อยากเห็นท่าทางไม่แยแสของลั่วหลีจึงพูดขึ้นทันที “หึ ข้าว่าตอนนี้มู่เฉินคงคุกเข่าร้องขอชีวิตที่เบื้องหน้าพี่ใหญ่หลิงจั้นจื่อแล้ว”
นางรู้ว่าลั่วหลีเป็นกังวลกับมู่เฉินมาก ดังนั้นนางรู้ว่าสามารถกวนอารมณ์อีกฝ่ายโดยเริ่มต้นจากชายคนนั้น
อย่างที่นางคาดไว้ รอยยิ้มของลั่วหลีหุบลงอย่างช้าๆ ขณะจ้องมองหลิงเฟยจื่อด้วยดวงตานิ่งสงบ
ภายใต้สายตาที่ดูสงบนั้น หลิงเฟยจื่อกลับรู้สึกถึงไอเย็นยะเยือก นางรู้ว่าคำพูดของตนทำให้อีกฝ่ายโกรธมากเลยทีเดียว
“บางครั้งการพูดสิ่งที่ผิดและการทำสิ่งที่ผิดก็มีราคาต้องจ่าย… ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถจ่ายไหวนะ”
เสียงเรียบนิ่งของลั่วหลีดังขึ้นโดยไม่มีความผันผวน แต่เมื่อเสียงดังก้องออกไปคลื่นหลิงทรงพลังก็ระเบิดออกมาจากร่างของนางปกคลุมทั่วท้องฟ้า
ในเวลาเดียวกันร่างงดงามก็ปรากฏขึ้นด้านหลังพร้อมกับแรงกดดันที่ไร้รูปแบบปกคลุมมิติทั้งหมดนี้
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ ดวงตาก็หดลง ก่อนที่เขาจะยิ้มเสียงเบา
“ร่างเทพวารี… ดูเหมือนว่าหลิงเฟยจื่อทำให้ลั่วหลีโกรธซะแล้ว…นางซวยแน่”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1264 สนามรบของหญิงสาวสองคน
มิติบิดเบือนถึงขีดสุด
มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวน เมื่อภาพเบื้องหน้าสว่างขึ้น เขาก็ได้ยินเสียงโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
มู่เฉินกวาดสายตาออกไปก็พบว่าตนเองยืนอยู่ในจัตุรัสที่อัดแน่นด้วยความเคารพและสายตาพุ่งตรงมาจ้องมองที่เขา
ตอนที่มู่เฉินเข้าสู่สนามรบไม่มีใครให้ความสนใจเขาเลย ในเวลานั้นมีเพียงเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม หลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินเท่านั้นที่เป็นจุดสนใจของผู้คน
แม้ว่ามู่เฉินจะมีชื่อเสียง แต่ในสายตาหลายคน ผลลัพธ์ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่กล้าไปสู้ในสนามรบขั้นปลายมีทางเดียว นั่นก็คือถูกเตะออกมาราวกับลูกหนัง
ดังนั้นหลายคนจึงมองมู่เฉินอย่างขบขันตอนที่เขาก้าวเข้าสู่สนามรบ
ทว่าใครจะคิดว่าดาวฤกษ์น้อยนี้จะทำให้ทุกคนตกตะลึงกับความไม่เชื่อครั้งแล้วครั้งเล่า
มากจนแม้แต่คนที่มีพลังอย่างหลิงจั้นจื่อยังพ่ายแพ้ให้มู่เฉิน กลายเป็นหินรองเท้าให้มู่เฉินก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย
ขณะนี้เมื่อทุกคนมองมาที่มู่เฉินอีกครั้ง แม้แต่จอมยุทธ์ชั้นยอดก็ยังรู้สึกหวาดกลัวในใจ เพราะพวกเขารู้ว่าอนาคตของคนอย่างมู่เฉินไม่มีขีดจำกัด มากจนอาจมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน
ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะไม่ไปแหย่สัตว์ประหลาดแบบนี้
สำหรับผู้ที่เข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายที่สูญเสียตราสัประยุทธ์ให้กับมู่เฉิน ก็ได้แต่ระงับความทุกข์และความเป็นปฏิปักษ์ไว้ในใจ
อย่าได้เป็นศัตรูกับจอมยุทธ์เช่นนี้เลย
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่จ้องมองมาด้วยความเคารพ มู่เฉินก็สงบใจก่อนที่จะมองขึ้นไปบนบันไดก็เห็นร่างผู้ยิ่งใหญ่สองคนพุ่งสายตามายังเขา
สายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ยังคงไม่แยแสเหมือนเดิม แม้มู่เฉินจะแสดงศักยภาพน่าทึ่งในการต่อสู้ ซ้ำยังได้รับตำแหน่งนักรบทวีปของสนามรบตี้จื้อจุนขั้นปลายด้วย
ความสำเร็จดังกล่าวถือได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ แต่สำหรับจอมยุทธ์อย่างจักรพรรดิสัประยุทธ์ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงมากได้ เพราะมีจอมยุทธ์อัจฉริยะมากมายในมหาพันภพ แต่ก็มีไม่กี่คนที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้
ตราบใดที่มู่เฉินยังไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แม้ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่มีอะไรในสายตากับคนแบบจักรพรรดิสัประยุทธ์
ทว่าเผชิญหน้ากับสายตาไม่แยแสของจักรพรรดิสัประยุทธ์ มู่เฉินก็ไม่สนใจเพราะเขารู้ว่าจอมยุทธ์ชั้นยอดก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีความคิดและสายตากว้างไกลเช่นเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม
นอกจากนี้เขายังไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะให้จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนมองเขาอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบีบบังคับ เพราะมู่เฉินเชื่อว่าวันหนึ่งเขาจะไปไกลเกินกว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ รอแค่เพียงเวลาที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น
ไม่ได้ใส่ใจกับสายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ เซียวเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มพยักหน้าให้มู่เฉิน รอยยิ้มช่างพอใจอย่างยิ่ง เพราะตัวเขาเป็นคนแนะนำมู่เฉินให้เข้าร่วมการแข่งขัน แม้ว่าเขาจะไม่คิดว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จได้เต็มร้อย แต่ผลลัพธ์ก็พิสูจน์ได้ว่าสายตาของเขาไม่ได้แย่
มู่เฉินเคารพเซียวเหยียนมาก ดังนั้นเขาจึงประสานมือโค้งคำนับ “ผู้น้อยคนนี้โชคดีพอที่จะยืนหยัดเป็นคนสุดท้าย ไม่ได้ทำให้ท่านผู้อาวุโสเสียหน้า”
เซียวเหยียนยิ้ม “เจ้าต้องขอบคุณความใจกว้างของจักรพรรดิสัประยุทธ์ เพราะตำแหน่งนักรบทวีปของเจ้ามาจากทวีปซีเทียน”
มู่เฉินยิ้มพยักหน้าหันไปหาจักรพรรดิสัประยุทธ์พลางประสานมือ “ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์”
ริมฝีปากของจักรพรรดิสัประยุทธ์กระตุก เมื่อคิดว่าหนึ่งในสามของตำแหน่งนักรบทวีปจะตกอยู่ในมือของมู่เฉิน เขาก็รู้สึกปวดใจ
นั่นคือนักรบทวีปที่มีโอกาสบรรลุระดับเทียนจื้อจุนของมหาพันภพ!
แม้ว่าจะไม่ใช่นักรบทวีปทุกคนที่สามารถเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน แต่โอกาสของพวกเขาก็สูงกว่าคนอื่น
พิธีชำระล้างเป็นสิ่งที่สามารถทำได้หลังจากรอมาหลายร้อยปี เดิมทีเขาต้องการที่จะมอบให้กับผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของเขา ซึ่งจะทำให้พลังของตำหนักซีเทียนเพิ่มขึ้น หากมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนปรากฏตัวขึ้นในอนาคต
ดังนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จะสบายใจได้ยังไงที่มู่เฉินคว้าเอาไป?
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องกลืนความไม่พอใจลงไป เมื่อปะหน้ากับเทพจักรพรรดิอัคคี หากเขารู้เรื่องนี้ก็คงไม่คิดจะรับยาเทวะมังกรหงส์ตั้งแต่ต้นแล้ว
แม้ว่าเม็ดยาจะมีค่า แต่เมื่อเทียบกับตำแหน่งนักรบทวีปก็ยังด้อยกว่า
ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับคำพูดของมู่เฉิน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ได้แต่พยักหน้าโดยไร้ซึ่งอารมณ์ใด “ในเมื่อเจ้าชนะด้วยความสามารถที่มี ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด รอจนกว่าการแข่งขันทั้งหมดจะสิ้นสุดลง ข้าก็จะบอกเจ้าเกี่ยวกับการรับชำระล้าง”
มู่เฉินรู้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์รู้สึกไม่พอใจในหัวใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจในน้ำเสียง เขาถอยออกจัตุรัสด้วยรอยยิ้ม กลับไปหาลั่วเทียนเสิน
ลั่วเทียนเสินจ้องมองเขาด้วยดวงตาระยิบระยับเป็นเวลานานก่อนที่จะตบไหล่ของมู่เฉินแย้มยิ้ม “ทำได้ดีมาก หลานสาวข้าสายตาดีจริงๆ”
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะจ้องมองลึกซึ้งไปที่ลั่วเทียนเสินบอกเป็นนัยว่าตอนนั้นที่สำนักศึกษาเป่ยชางท่านไม่ได้พูดอย่างนี้น้า
เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน ลั่วเทียนเสินก็อดไม่ได้ที่จะอึดอัดจนกระแอมไอออกมา “เจ้าจัดการกับเสี่ยหลิงจื่อช่างเป็นบุญคุณใหญ่หลวงกับตระกูลลั่วเสินนัก… ลั่วหลีต้องรู้สึกขอบใจเจ้ามากเช่นกัน”
เมื่อพูดจบสายตาของเขาก็ดิ่งลง ในอดีตบิดาของลั่วหลีก็ตายด้วยน้ำมือเสี่ยหลิงจื่อ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส
มู่เฉินตอบเสียงเบา “เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้หรอก ในอนาคตตระกูลลั่วเสินจะกลับมายิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้งแน่”
ลั่วเทียนเสินระงับอารมณ์พลางพยักหน้า ตระกูลลั่วเสินตอนนี้อยู่ภายใต้การปกครองของลั่วหลีบวกกับนางได้รับมรดกของลั่วเสิน ในอนาคตนางอาจจะกลายเป็นเทพธิดาลั่วคนที่สอง เมื่อถึงเวลานั้นตระกูลลั่วเสินก็จะกลับมาผงาดอีกครั้ง
“อีกสองสนามรบยังไม่มีผลหรือขอรับ?” มู่เฉินเปลี่ยนหัวข้อ
“สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มจบไปนานแล้ว ผู้ชนะก็ไม่ได้เป็นคนแปลกหน้า เขาคือผู้เฒ่าตงแห่งตำหนักซีเทียน” ลั่วเสินเทียนบอก
“เขารึ?” มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะเดาะลิ้น หากไม่ใช่เขากับลั่วหลีเข้าร่วมการแข่งขัน ตำแหน่งทั้งสามคงตกอยู่ในมือตำหนักซีเทียนทั้งหมดเลยมั้ง?
“แล้วสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นล่ะ?” มู่เฉินถาม
“ยังไม่มีผลลัพธ์ตอนนี้ เพราะมีจอมยุทธ์มากมายเข้าร่วม แต่ก็ไม่ได้น่าสนใจน้อยไปกว่าสนามรบของเจ้าหรอก” พอพูดถึงสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นดวงตาของลั่วเทียนเสินก็โค้งเป็นรอยยิ้ม
“ทำไมรึ?” มู่เฉินถามอย่างสงสัย
“ต่างจากการต่อสู้ชุลมุนในสนามรบของเจ้า ตอนนี้ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแบ่งออกเป็นสองค่าย มีจอมยุทธ์นับร้อยคนในแต่ละค่าย… ” ลั่วเทียนเสินกล่าวด้วยดวงตาแคบลงเป็นรอยยิ้ม
“สองค่าย?” มู่เฉินอึ้งไป มีเพียงหนึ่งตำแหน่งเดียวในสนามรบ ดังนั้นทำไมถึงมีสองค่าย? ตำแหน่งจะจัดสรรยังไง?
“ผู้นำค่ายหนึ่งคือหลิงเฟยจื่อ พอนางเข้าสู่สนามรบก็เริ่มสรรหาคนโดยใช้ชื่อของตำหนักซีเทียน เริ่มฉกฉวยแย่งชิงป้ายสัประยุทธ์ของคนจำนวนมาก”
“ภายหลังมีหลายคนเดือดดาลกับการกระทำหลิงเฟยจื่อ พวกเขาเริ่มร่วมมือกัน แต่นั้นก็ยังพ่ายแพ้ต่อหลิงเฟยจื่อหลายต่อหลายครั้ง”
“แต่ในเวลานั้นลั่วหลีก็เริ่มชักชวนผู้คนที่มีเรื่องกินแหนงแคลงใจกับหลิงเฟยจื่อ จัดตั้งค่ายที่ไม่อ่อนแอกว่าขึ้นมา”
ดวงตาของมู่เฉินวูบไหวก่อนที่จะยิ้ม “หลิงเฟยจื่อทำเช่นนี้ก็คงเพื่อจัดการกับลั่วหลี ซึ่งนางจะต้องรู้สึกเช่นกัน ดังนั้นนางจึงนำการโต้ตอบที่คล้ายกันมาใช้”
หลิงเฟยจื่ออคติต่อลั่วหลีตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นก็เป็นปกติที่นางไม่ต้องการเห็นลั่วหลีเจิดจรัสในสนามรบ ดังนั้นจึงเลือกใช้มาตรการแบบนี้
นอกจากนี้นางน่าจะยังไม่มีความมั่นใจในการจัดการกับลั่วหลี ดังนั้นนางจึงเลือกวิธีการดังกล่าวเพื่อผูกมัดผู้คนเพื่อจัดการแทน
ทว่าลั่วหลีไม่ใช่คนอ่อนแอ หลังจากรับรู้ถึงแผนการของหลิงเฟยจื่อ นางก็เริ่มตอบโต้
แม้ว่าหลิงเฟยจื่อจะใช้ชื่อตำหนักซีเทียนเพื่อดึงหลายคนเข้ามา แต่ก็ประเมินลั่วหลีต่ำเกินไป ลั่วหลีเลือกที่จะหมอบต่ำปล่อยให้หลิงเฟยจื่อวิ่งวนไปรอบๆ ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจกับผู้อื่น ก่อนที่นางจะเริ่มดึงคนเข้ามา ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ทุกคนคุยกันว่าสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นกลายเป็นเวทีสำหรับหญิงสาวสองไปแล้ว” ลั่วเสินเทียนไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือยิ้มดี การต่อสู้ชุลมุนกลับกลายเป็นการสู้กันระหว่างค่ายของหลิงเฟยจื่อและลั่วหลี
“แต่ดูจากสถานการณ์ก่อนหน้า การต่อสู้ครั้งสุดท้ายก็ใกล้จะถึงแล้ว เพราะตอนนี้นอกเหนือจากสองค่ายนี้ก็ไม่มีใครอยู่ในสนามรบอีกแล้ว”
มู่เฉินพยักหน้าขณะที่กำลังจะพูดนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าจอขนาดใหญ่เหนือจัตุรัส
ในหน้าจอฉายภาพสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น
ตอนนี้ในสนามรบ ทั้งสองฝ่ายกำลังทะยานขึ้นไปบนภูเขาซึ่งแยกฝั่งกันอย่างชัดเจน
มู่เฉินกวาดสายตาก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นร่างคุ้นเคยยืนอยู่ด้านหน้า นี่เป็นสมรภูมิรบของสตรีสองคนแล้วจริงๆ
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1263 ผู้ชนะเลิศ
ตึง!
หลิงจั้นจื่อเหวี่ยงหมัดออกมา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็มารวมตัวกัน ก่อร่างเป็นกำปั้นขนาดหมื่นจั้ง อำนาจยิ่งใหญ่ตระการตาสั่นสะเทือนสวรรค์และโลก
ขณะที่แย็บหมัด ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อก็ซีดลงทันที แต่มีความภาคภูมิใจพล่านอยู่ในสายตา เพราะพลังที่อยู่เบื้องหลังกำปั้นนี้มาถึงขีดสุดของเขาแล้ว
การโจมตีครั้งนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุดยังต้องหลีกเลี่ยง!
“หลังจากกำปั้นนี้แล้ว แม้ว่าข้าจะหมดเรี่ยวแรงต่อสู้ ข้าก็จะลากมู่เฉินออกจากสนามรบด้วย ในเวลานั้นตำแหน่งก็ยังจะเป็นของตำหนักซีเทียน ข้าเชื่อว่าอาจารย์จะชดเชยความสูญเสียให้อย่างแน่นอน”
สายตาของหลิงจั้นจื่อวูบไหว เขารู้ว่าตนเองไม่สามารถได้รับชัยชนะเหนือกว่ามู่เฉินได้ต่อไป สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือเสี่ยงชีวิตลากมู่เฉินออกจากสนามรบไปพร้อมกัน ในกรณีนี้เขาจะสามารถกำจัดศัตรูที่หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อไม่สามารถเผชิญได้
หากเขาประสบความสำเร็จก็จะมีส่วนสำคัญมาก ในเวลานั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่เพียงแต่จะไม่ตำหนิ ยังจะมอบรางวัลให้สำหรับการกระทำของเขา
ด้วยความคิดนี้ หลิงจั้นจื่อก็มองมู่เฉินอย่างเย็นชา แต่เขากลับเห็นว่ามู่เฉินไม่แสดงอาการหลบหลีก ความเย้ยหยันเยือกเย็นก็ผุดขึ้นที่มุมปาก
“ไอ้ยโส คิดว่าชัยชนะอยู่ในมือตัวเองแล้วรึ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาเยาะเย้ย มู่เฉินก็ไม่ได้สนใจอะไร เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าเมื่อมีการสร้างค่ายกลรบสามกำลังขึ้น มู่เฉินชุดดำและชุดขาวก็ตัวสั่นสะท้านและรัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากรุนแรงพวยพุ่งสูงขึ้นบนท้องฟ้า ก่อนที่จะขยายขอบเขตเป็นมหาสมุทรไร้ที่สิ้นสุดเหนือท้องฟ้า
รัศมีจั้นยี่แข็งแกร่งกว่ากองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจรวมตัวกันซะอีก!
“รัศมีจั้นยี่ของสองคนกลับแข็งแกร่งกว่ากองทัพชั้นยอดทั้งสองซะอีก ค่ายกลรบสามกำลังลึกซึ้งอย่างแท้จริง” ดวงตาของมู่เฉินเปล่งประกายด้วยความดีใจ พลังของค่ายกลรบนี้เกินความคาดหมายของเขาไปไกล
ด้วยความปีติยินดีเต็มหัวใจ มู่เฉินก็หัวเราะเสียงดังลั่น เขามองกำปั้นขนาดมหึมาที่ห่อหุ้มเข้ามา มือข้างหนึ่งก็วาดตราประทับขึ้น
ฟู่ ฟู่!
เมื่อตราประทับสร้างขึ้น มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ก็คำรามลั่น ชั่วขณะต่อมาทุกคนก็ต้องตกใจที่เห็นมือขนาดใหญ่เอื้อมคว้าออกมาจากมหาสมุทร
นี่เป็นมือที่มีขนาดใหญ่กว่ากำปั้นของหลิงจั้นจื่อเสียอีก นอกจากนี้สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดก็คือมันปกคลุมด้วยลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วน
“นั่นคือ…วิญญาณสงคราม?!”
หลิงจั้นจื่ออุทานด้วยความไม่อยากเชื่อ ดวงตาถึงกับหดลง นั่นเป็นเพราะขณะนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้กองทัพทั้งสองที่มี ดังนั้นพลังการต่อสู้ที่ทรงพลังนี้มาจากที่ไหนกัน?
สายตาหวาดผวามองไปที่มู่เฉินอีกสองคน แล้วก็ตระหนักได้ว่ารัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตนั่นมาจากทั้งสอง
“เป็นไปได้ยังไง?! เขาบัญชารัศมีจั้นยี่ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ยังไง?!”
ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อราวกับเห็นผี ทุกคนรู้ว่ายิ่งผู้ฝึกมีพลังมากขึ้น รัศมีจั้นยี่ที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งทรงพลัง ทำให้ยากที่จะควบคุมมากนัก
การที่จะสั่งรัศมีจั้นยี่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเป็นสิ่งที่มีเพียงเชียนวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือเท่านั้นที่สามารถทำได้ แต่มู่เฉินไม่ได้อยู่ในระดับนั้นอย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้นไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่แม้กระทั่งจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ยังต้องหวาดกลัว
ครืน!
เผชิญหน้ากับความหวาดผวาของอีกฝ่าย มู่เฉินไม่คิดจะอธิบายใดๆ ก่อนที่ฝ่ามือจะกวาดลงมา อึดใจกำปั้นของหลิงจั้นจื่อก็ถูกคว้าโดยฝ่ามือภายใต้สายตาตกตะลึงของผู้คนทั้งหมด
พลังสองสายปะทะกัน ทว่าฝ่ามือไม่ได้ขยับเขยื้อนแต่เริ่มบีบแน่น กำปั้นครอบคุลมไปด้วยรอยแตกก่อนที่จะระเบิด
ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ความสิ้นหวังวาบขึ้นในดวงตา เขาไม่เคยคิดเลยว่าการโจมตีเสี่ยงชีวิตของตนจะถูกทำลายอย่างง่ายดายโดยมู่เฉิน
คลื่นกระแทกทรงพลังกวาดออก มู่เฉินไม่แม้แต่จะกะพริบตา เขาสะบัดแขนเสื้อ มือใหญ่โตที่หม่นแสงลงเล็กน้อยก็เคลื่อนไหว พุ่งทะยานไปยังทิศทางของหลิงจั้นจื่อ
ก่อนที่ฝ่ามือจะกดลงบนพื้นดิน แผ่นโลกก็ทรุดตัวลงแล้ว
ความผันผวนที่น่าสะพรึงบีบกดลงมา ทำให้หลิงจั้นจื่อฟื้นคืนจากอาการตื่นตะลึง ร่างกายของเขาเย็นเยือก เขารับรู้ได้ว่ามู่เฉินไม่มีท่าทางที่จะหยุด ถ้าเขาปะทะกับกระบวนท่านี้ได้ตายคาที่แน่!
ขณะที่ความตายคืบคลานในหัวใจ หลิงจั้นจื่อก็เผยความกลัวในสายตา
ตู้ม!
แต่ขณะที่ฝ่ามือนั่นกำลังจะขยี้ลงมา ทันใดนั้นมิติก็แตกออกรอบตัวหลิงจั้นจื่อ ก่อตัวขึ้นเป็นรอยแตกมิติกลืนกินเขาเข้าไป
เมื่อรอยแยกมิติดูดร่างหลิงจั้นจื่อเข้าไป ป้ายสัประยุทธ์ก็บินออกมาพร้อมกับคลื่นละเอียดห่อหุ้มมือขนาดใหญ่ ทำให้มันแตกเป็นเกลียวแสงทันที
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยกับฉากนี้ นอกจากจักรพรรดิสัประยุทธ์จะมีใครเล่าที่จะช่วยหลิงจั้นจื่อและทำลายการโจมตีของเขาได้
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่เต็มใจที่จะเห็นศิษย์เอกตายคามือมู่เฉิน
ณ จัตุรัสใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์มืดครึ้ม มิติแตกออกที่เบื้องหน้า ก่อนที่ร่างหลิงจั้นจื่อจะกลิ้งออกมา
เมื่อเห็นฉากนี้ความปั่นป่วนก็ระเบิดออกมา เนื่องจากทุกคนรู้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นคนช่วยชีวิตหลิงจั้นจื่อเอาไว้
“ไม่ได้เรื่อง!” จักรพรรดิสัประยุทธ์มองหลิงจั้นจื่ออย่างโกรธเกรี้ยว เขาไม่คิดว่าลูกศิษย์คนนี้ที่เขาให้ความหวังสูงจะพ่ายแพ้น่าอนาถ มิหนำซ้ำยังต้องได้รับการช่วยเหลือให้รอดด้วยซ้ำ
ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อซีดเผือดพร้อมกับอาการหดหู่
อย่างไรก็ตามจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่คิดสนใจอีกฝ่ายต่อ ดวงตาเขายังคงจับจ้องไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ เขามองไปที่เงาร่างเหมือนกันทั้งสามพร้อมกับแววตาประหลาดใจ “เล่าลือกันว่าในสมัยโบราณจักรพรรดิฟ้ามีวิชาระดับเสินทงขั้นสุดยอดชื่อว่าสามพิสุทธ์ แต่วิชานี้หายสาบสูญหายไปนับหมื่นปี ไม่คิดว่าจะตกอยู่ในมือของมู่เฉิน เขาช่างโชคดีจริงๆ”
จักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ซึ่งมีประสบการณ์มาก ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดช่วงสั้นๆ เขาก็รับรู้ถึงต้นกำเนิดของร่างพิมพ์ของมู่เฉินได้
ขณะที่พูดเสียงก็ร้อนแรงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่า วิชาสามพิสุทธิ์เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดอย่างยิ่งแม้แต่กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน
“ฮ่าๆ สายตาไม่เลว ตอนที่มู่เฉินได้รับมรดกจากจักรพรรดิฟ้า เทพจักรพรรดิสงครามและข้าก็อยู่ที่นั่น ซ้ำพวกข้ายังได้รับการฝากจากจักรพรรดิฟ้าให้ช่วยดูแลมู่เฉินแทนเขาด้วย” เซียวเหยียนยิ้มบาง
พอได้ยินคำพูดนั่น จักรพรรดิสัประยุทธิ์ก็หัวใจสั่นไหว เขาจะฟังไม่ออกได้อย่างไรว่าเทพจักรพรรดิอัคคีเตือนเขากลายๆ ว่าอย่าได้คิดฉกชิงวิชาสามพิสุทธิ์ของมู่เฉิน มิฉะนั้นจะถือว่าคุกคามทั้งเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม
ในมหาพันภพหากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามร่วมมือกัน แม้แต่เผ่าโบราณก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ดี
ดังนั้นไฟที่โหมกระพือในดวงตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ค่อยๆ มอดลง ถึงแม้ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดจะเยี่ยมปานใด เขาก็ไม่มีวาสนาที่จะได้เพลิดเพลิน ถ้าสร้างความไม่พอใจให้กับเทพจักรพรรดิทั้งสอง
แม้ว่าตอนนี้เทพจักรพรรดิอัคคีจะดูอ่อนโยน แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายแค่ให้หน้าเขา ท้ายที่สุดแล้วพลังของตำหนักซีเทียนยังไม่สามารถต่อกรกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่วได้
ขณะที่เซียวเหยียนและจักรพรรดิสัประยุทธ์กำลังสนทนากัน ความโกลาหลก็ระเบิดจากในจัตุรัส ผู้คนถอนหายใจกับผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมาย
ใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็แดงก่ำ เขารู้สึกไม่เชื่อในเวลานี้ นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าหลิงจั้นจื่อจะแพ้มู่เฉิน
“เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น… หากเขาก้าวเข้าสู่ขั้นปลายละก็ คงไม่มีใครหน้าไหนในขั้นเดียวกันสามารถต่อกรกับเขาได้” ใบหน้าของลั่วเทียนเสินวูบไหวขณะมองเงาร่างของมู่เฉินด้วยสายตาที่ซับซ้อน หลายปีก่อนตอนที่พวกเขาพบกัน เขาไม่เคยคิดเลยว่ามู่เฉินที่อ่อนแอจะก้าวมาเป็นดาวจรัสแสงในช่วงเวลานี้
“สายตาของลั่วหลีดีกว่าตาแก่คนนี้จริงๆ…”
แม้แต่ลั่วเทียนเสินก็ไม่รู้ว่าตนเองพูดประโยคนี้ซ้ำไปกี่ครั้ง
ขณะที่ผู้คนกำลังเผชิญกับความโกลาหลจากความพ่ายแพ้ของหลิงจั้นจื่อ มู่เฉินก็ถอนรัศมีจั้นยี่ออก ยกเลิกค่ายกลรบสามกำลังก่อนที่จะมองไปอีกสองทิศทาง
ตอนนี้หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อยังคงโรมรันพันตูกับซูมู่และฉู่เหมินที่ถูกปราบปรามอย่างสมบูรณ์
ทว่าพวกเขาก็ต้องตัวสั่นเทาเมื่อสายตาของมู่เฉินถูกส่งมา พวกเขาถอยกลับทันทีมองมู่เฉินด้วยความกลัวและหวาดระแวง
สามมู่เฉินเคลื่อนไหวมองไปที่หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “พวกเจ้ายังต้องการสู้อีกเรอะ?”
สายตาจ้องมองอย่างเย็นชาของมู่เฉินสามคน ทำเอาหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อรู้สึกว่าหัวใจเย็นสะท้านไปหมด ในเมื่อพวกเขาได้เห็นความพ่ายแพ้ของหลิงจั้นจื่อแล้ว ดังนั้นความกลัวที่พวกเขามีต่อมู่เฉินเรียกว่าถึงสุดขีดไปเลยทีเดียว
พวกเขารู้ว่าผลลัพธ์ถูกตัดสินตั้งแต่หลิงจั้นจื่อล้มเหลวแล้ว
“แกสองคนก็แค่โชคดี!”
หลิงหลงจื่อและหลิงเจี้ยนจื่อจ้องซูมู่และฉู่เหมินด้วยความฝืนใจ หากไม่ใช่เพราะมู่เฉินพวกเขาก็จะได้รับชัยชนะในการต่อสู้ในอีกไม่ช้า
พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันโยนป้ายสัประยุทธ์ทั้งหมดไว้ถอยออกจากสนามรบไป
เผชิญหน้ากับมู่เฉิน พวกเขาไม่มีความต้องการที่จะต่อสู้เลย
หลังจากเห็นหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อถอยหนี ซูมู่และฉู่เหมินก็รู้สึกโล่งใจ ก่อนที่จะมองมู่เฉินด้วยสายตาที่ซับซ้อน พวกเขาไม่คิดเลยว่าผู้ช่วยที่พวกเขาได้รับในนาทีสุดท้ายจะดุดันและยังเอาชนะหลิงจั้นจื่อได้
“พี่มู่พิเศษอย่างแท้จริง ครั้งนี้เราเป็นคนที่ได้รับประโยชน์จากเจ้า… ข้าคิดว่าคงมีเพียงคนอย่างพี่มู่เท่านั้นที่สมควรกับตำแหน่ง” ซูมู่และฉู่เหมินเข้าใจสถานการณ์อย่างดี ตำแหน่งมีเพียงหนึ่งเดียว แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะมอบให้กับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจยอมแพ้ ด้วยสิ่งนี้พวกเขาอาจจะสามารถกระชับความสัมพันธ์กับมู่เฉินได้แนบแน่นขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสอง รอยยิ้มอบอุ่นก็กระจายบนใบหน้าของมู่เฉิน เขาเผยยิ้มสุภาพให้ทั้งสอง “หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าสองคน ผลลัพธ์วันนี้ก็ยากที่จะคาดการณ์”
ขณะที่พูดมู่เฉินก็สะบัดนิ้ว ป้ายสัประยุทธ์ที่หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อโยนทิ้งไว้ก็บินไปหาทั้งสอง
“ใช้ป้ายเหล่านี้เลือกสมบัติสำหรับตัวเจ้าเพื่อการเดินทางครั้งนี้จะไม่เปล่าประโยชน์”
ในเมื่อทั้งสองฉลาดเลือก มู่เฉินก็ต้องให้ประโยชน์กับพวกเขา
เมื่อเห็นจำนวนป้ายเหล่านั้น ซูมู่และฉู่เหมินก็เปิดเผยท่าทางยินดีปรีดา เนื่องจากพวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนสมบัติบางอย่างที่หมายตาเอาไว้
“ขอบคุณความใจกว้างของพี่มู่!”
ทั้งสองไม่ได้มากมารยาท แต่ละคนใช้ป้ายแลกเปลี่ยนสมบัติในคลังสัประยุทธ์อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ใช้ป้ายทั้งหมดเรียบร้อย ร่างของพวกเขาก็เริ่มเลือนหายไปและถูกส่งออกจากสนามรบ
ขณะที่กำลังจะไปทั้งสองก็ประสานมือให้มู่เฉินด้วยรอยยิ้ม “เราขอแสดงความยินดีกับพี่มู่ที่นี่ที่ได้รับตำแหน่งนักรบทวีป”
เมื่อคำพูดสิ้นสุด พวกเขาก็หายไป
เมื่อพวกเขาจากไป มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจก่อนที่จะเห็นว่ามิติแห่งนี้เริ่มบิดเบือน เขารู้ว่านี่คือสัญญาณของการต่อสู้ที่สิ้นสุดลง
ดังนั้นมู่เฉินจึงเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้ายิ้มบาง “นักรบทวีป… ตอนนี้ข้าตั้งตารอเชียวแหละ”
บทที่ 1262 พลังอำนาจวิชาสามพิสุทธิ์
ปัง!
ร่างหลิงจั้นจื่อทะยานออกจากหลุม จากนั้นก็มองไปยังมู่เฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ
เขาไม่เคยคิดว่าในวิกฤตสุดท้ายมู่เฉินจะปลดปล่อยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตออกมาได้เช่นนี้!
สายตามองข้ามเส้นขอบฟ้าก่อนที่ดวงตาจะหยุดลงตรงไหล่ร่างสีม่วงทอง ฉับพลันรูม่านตาของเขาก็หดลง
นั่นเป็นเพราะภายใต้ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำมีเงาร่างสามร่างที่มีรูปลักษณ์เหมือนกันอยู่บนไหล่ร่างสีม่วงทอง!
มู่เฉินสามคน!
“ร่างดวงจิต?”
หลิงจั้นจื่ออุทานด้วยความไม่เชื่อ แต่ไม่ช้าเขาก็ลบล้างสิ่งนี้ออกไป เนื่องจากเขาสามารถรู้สึกได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงจากเงาสีดำและสีขาวไม่ได้อ่อนแอไปกว่าร่างหลักอย่างมู่เฉิน!
เป็นไปไม่ได้ที่ร่างดวงจิตจะบรรลุถึงระดับนั้น
แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นร่างดวงจิต แล้วพวกเขาจะเป็นอะไร? ตอนนี้แม้แต่หลิงจั้นจื่อยังรู้สึกสมองว่างเปล่าไปหมดแล้ว
ขณะที่ผู้คนนับไม่ถ้วนกำลังตกตะลึง มู่เฉินในชุดสีขาวก็ก้มมองหลิงจั้นจื่อด้วยรอยยิ้มบาง “คิดจะแย่งป้ายสัประยุทธ์…”
มู่เฉินในชุดสีดำยิ้มแจ่มใสพูดต่อ “เจ้าถามพวกข้ารึยัง?”
“แกสองคนเป็นใคร! ที่นี่ไม่อนุญาตให้มีคนมาช่วยจากภายนอก!” ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อเขียวคล้ำขณะที่พูด
เขาไม่สามารถยืนยันตัวตนของมู่เฉินชุดดำและชุดขาวได้ ดังนั้นเขาจึงบอกได้แค่ว่าพวกเขาเป็นความช่วยเหลือจากภายนอก… หรือว่าจะเป็นพี่น้องฝาแฝด?
เผชิญหน้ากับคำพูดของหลิงจั้นจื่อ มู่เฉินชุดดำและชุดขาวก็ยิ้มแล้วเหยียดมือออกแล้ววางลงบนไหล่ของมู่เฉิน ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตในร่างกายก็หลั่งไหลเข้าไปในร่างของมู่เฉิน
เมื่อคลื่นหลิงเทเข้ามาในร่าง ม่านตาที่หมองหม่นของมู่เฉินก็แวววาวขึ้นพร้อมกับคลื่นหลิงผันผวนทรงพลังที่ค่อยๆ กำจายออกมาจากร่างของเขา
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านภายในร่างกาย มู่เฉินก็ยืนขึ้นมองหลิงจั้นจื่อที่กำลังตกตะลึงด้วยรอยยิ้มอ่อน “ดูเหมือนว่าแกไม่ใช่คนหัวเราะตอนจบนะ”
“แก!”
หลิงจั้นจื่อมองไปที่มู่เฉินที่ฟื้นพลังอย่างรวดเร็วด้วยความไม่อยากเชื่อ นั่นเป็นเพราะพลังงานในร่างกายของผู้อื่นอัดแน่นไปด้วยเจตจำนงของเจ้าของ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกดูดซับและใช้โดยผู้อื่น ทว่ามู่เฉินสามารถดูดซับคลื่นหลิงจากพรรคพวกทั้งสองเพื่อเติมเต็มตนเอง
นั่นหมายถึงว่าทั้งสามคนเป็นหนึ่งเดียว
พวกเขาไม่ได้มาจากภายนอก แต่เป็นสิ่งที่มู่เฉินสร้างขึ้น!
“แต่…เป็นไปได้ยังไง?” หลิงจั้นจื่อยังคงไม่เชื่อกับความจริงข้อนี้ ด้วยทักษะนี้หมายความว่ามู่เฉินสามารถแยกตัวออกเป็นสามคน โดยที่ทั้งสามคนมีขุมพลังเหมือนกันหรือ? หากเป็นเช่นนี้ถ้าใครต่อสู้กับมู่เฉิน ก็จะเท่ากับการเผชิญหน้ากับมู่เฉินที่ทรงพลังสามคนรึ?
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ทำเอาหลิงจั้นจื่อปวดกบาล มู่เฉินแค่คนเดียวเขาก็ตึงมือไปหมดแล้ว แต่นี่มีมู่เฉินถึงสามคน เขาจะจัดการกับไอ้ตัวพวกนี้อย่างไร?
แม้อารมณ์จะแปรปรวน หลิงจั้นจื่อก็หายใจลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ “ไม่คิดว่าแกจะยังคงมีไพ่ตายที่น่าตกใจอยู่บนในแขนเสื้อ… แต่ไม่รู้ว่านี่ดูปลอมและฉูดฉาดเกินไปหรือไม่!”
ไพ่ตายใบนี้น่ากลัวเกินกว่าจะยอมรับได้ ดังนั้นหลิงจั้นจื่อไม่มีทางเลือกนอกจากสงสัยว่ามู่เฉินกำลังเล่นเหลี่ยมอะไรกับเขาและพยายามข่มขู่คู่ต่อสู้ให้ยอมแพ้
สามมู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตา รอยยิ้มประหลาดยกขึ้นบนริมฝีปาก “งั้นก็ต้องให้แกมาช่วยตรวจสอบหน่อยแล้วล่ะ”
ตู้ม!
หลังจากพวกเขาพูดจบก็เร้าพลังออกมาในเวลาเดียวกัน ร่างกลายเป็นลำแสงสามสายพุ่งเข้าหาหลิงจั้นจื่อ
เมื่อเห็นทั้งสามคนทะยานเข้ามา หลิงจั้นจื่อก็ไม่กล้าลังเล เขาผลักฝ่ามือออกไป คลื่นหลิงบรรจบกันในฝ่ามือราวกับพายุกลายเป็นมังกรคลื่นหลิงพุ่งเข้าหามู่เฉินทั้งสาม
ครืน!
มู่เฉินชุดดำและชุดขาววาดกระบวนท่าในเวลาเดียวกัน ผลึกคลื่นหลิงกวาดออกไป จากนั้นก็ปะทะกับมังกรคลื่นหลิง
ปัง!
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันผลึกคลื่นหลิงก็แตกกระจาย ทำลายกระบวนท่าของหลิงจั้นจื่อ
“อะไรน่ะ?!”
เมื่อเห็นว่ากระบวนท่าถูกลบล้างไปทันที หลิงจั้นจื่อก็ตกใจ แม้ว่ามู่เฉินจะมีกลยุทธ์มากมาย แต่ก็ยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาดวลกันก็เป็นมู่เฉินที่ยากลำบากในแง่ของพลังงาน แต่เมื่อปะทะกันตอนนี้คนที่ลำบากกลับเป็นเขา
“บ้าเอ้ย นี่เป็นไปได้ยังไง?! แม้ว่าไอ้ชุดดำชุดขาวจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะมาร่วมมือกันลบล้างการโจมตีของข้าได้อย่างง่ายแบบนี้!”
หลิงจั้นจื่อเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุด ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสองคน ต่อให้เพิ่มอีกหลายคนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับเขา แต่ตอนนี้เพียงมู่เฉินสองคนก็ทำสำเร็จ ทำให้เขาเสียเปรียบไป
“อย่าเพิ่งฟุ้งซ่านไปตอนนี้”
ขณะที่หลิงหลิงจั้นจื้อสติหลุด เสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังก้องจากด้านหลัง ร่างหลักมู่เฉินปรากฏตัวขึ้น เขาเหวี่ยงหมัดเรียบง่ายออกไป
“หมัดปีศาจพลีชีพ!”
คลื่นหลิงระเบิดออกทันทีพร้อมกับรัศมีเสียสละตนเองที่ทำให้หลิงจั้นจื่อรู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมด ทว่าเขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนกมาก เขากระแทกฝ่ามือออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขต ก่อนหน้านี้ต้องใช้มู่เฉินสองคนเพื่อทำลายการโจมตี แต่ตอนนี้มีมู่เฉินแค่คนเดียว
ปัง!
กำปั้นและฝ่ามือซัดกัน คลื่นหลิงรุนแรงที่สร้างหายนะก็กวาดออก แต่ทันทีที่ปะทะก็ทำให้ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อเปลี่ยนไปอย่างมาก เนื่องจากเขารู้สึกว่ามู่เฉินแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก!
คลื่นกระแทกกวาดออกไป ร่างของมู่เฉินก็สั่นไหวก่อนจะถอยกลับไปหลายก้าว ส่วนหลิงจั้นจื่อถึงกับสะบักสะบอมก้าวไปหลายสิบก้าวเลยทีเดียว ทิ้งรอยเท้าลึกลงไว้บนพื้นทุกย่างก้าว
“แก! แกแข็งแกร่งขึ้นแบบนี้ได้ยังไง?!” หลิงจั้นจื่อมองไปที่ร่างหลักของมู่เฉินด้วยความหวาดผวา คลื่นหลิงของมู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าจากตอนเริ่มการต่อสู้!
มู่เฉินยิ้ม หลังจากที่ร่างรองของเขามาถึง พวกเขาก็สร้างการเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเพื่อให้หนึ่งในนั้นสามารถปลดปล่อยพลังของทั้งสามคนรวมกันได้ บวกกับที่ร่างหลักและร่างรองของเขาเชื่อมต่อกันในระดับลึกการขยายคลื่นพลังก็ยิ่งน่าตกใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวที่จะปะทะกับหลิงจั้นจื่อในแง่ของคลื่นพลังงานอีกต่อไป
ตู้ม!
ทว่าไม่จำเป็นที่มู่เฉินต้องบอกอะไรกับหลิงจั้นจื่อ เมื่อคิดมู่เฉินทั้งสามก็กระโจนออกมาพร้อมด้วยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต ห่อหุ้มหลิงจั้นจื่อเอาไว้
แม้ว่าหลิงจั้นจื่อจะใช้ทุกอย่างที่มี แต่เขาก็ยังต้องถอยจากการต่อสู้กับมู่เฉินทั้งสามอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดูน่าอนาถและเสียเปรียบนัก
ปัง!
การปะทะกันของคลื่นพลังงานเกิดขึ้นอีกครั้ง หลิงจั้นจื่อกระเด็นออกไป ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปรุนแรง ก่อนที่เขาจะตะเบ็งเสียงลั่น “หลิงเจี้ยนจื่อ หลิงหลงจื่อมาช่วยข้าตอนนี้เลย!”
ในเวลานี้เขาไม่สนใจกับชื่อเสียงแล้ว เขาได้แต่หวังว่าหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อจะมารวมพลังจัดการกับมู่เฉินร่วมกับเขาได้
เมื่อหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อได้ยินเสียงแผดลั่น ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป จากนั้นกัดฟันเตรียมจะพุ่งไปให้ความช่วยเหลือ เพราะพวกเขารู้ว่าถ้าหลิงจั้นจื่อแพ้ พวกเขาก็จะไม่สามารถขัดขวางมู่เฉินได้
ทว่าซูมู่และฉู่เหมินก็เข้ามาขัดขวางทันควัน เมื่อพวกเขากำลังจะไปช่วย
“ฮ่าๆ ถามพวกข้ายังว่าจะให้ไปรึเปล่า?” ซูมู่และฉู่เหมินรู้สึกดีจนแทบบ้า เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเขาถูกทั้งสองเยาะเย้ย แต่เมื่อเห็นสถานะปัจจุบันพวกเขาก็รู้สึกสะใจอย่างมาก
หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อไม่ได้พูดอะไร แต่การโจมตีดุเดือดขึ้นทันที ตอนนี้พวกเขาไม่สนใจที่จะเก็บงำปล่อยไพ่ตายทั้งหมดออกมา ทำให้สามารถปราบซูมู่และฉู่เหมินไว้ แต่ทั้งสองก็กัดฟันรับแรงกดดันพยายามขัดขวางแม้จะต้องจ่ายด้วยราคาบาดเจ็บหนัก
อีกฝั่งสถานการณ์ของหลิงจั้นจื่อก็อันตรายอย่างยิ่ง
ตู้ม!
พายุคลื่นหลิงกวาดออกไป เส้นผมของหลิงจั้นจื่อยุ่งเหยิงไปหมด รอยเลือดไหลออกมาจากมุมปาก ขณะเขามองไปที่มู่เฉินทั้งสามที่ย่างสามขุมเข้ามาหา ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที คล้ายกับสัตว์ที่ถูกบีบให้จนมุม
“มู่เฉิน ต่อให้วันนี้ข้าจะต้องพ่ายแพ้ ข้าก็ไม่ยอมให้แกมีช่วงเวลาดีๆ แน่!”
หลิงจั้นจื่อคำราม ริ้วโหดเหี้ยมวาววับในดวงตา เขากัดลิ้นเลือดกลั่นพุ่งออกมา ก่อตัวเป็นเปลวไฟสีแดงเข้มห่อหุ้มเขาไว้
ฟู่ ฟู่!
เปลวไฟเหล่านั้นจุดชนวนเลือดในร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างเขาลุกโชติช่วง คลื่นหลิงรุนแรงพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับสัญญาณควัน
“จุดชนวนแก่นเลือด?”
สายตาของมู่เฉินกะพริบกับฉากตรงหน้า หลิงจั้นจื่อเป็นคนที่โหดเหี้ยมไม่เพียงแต่กับศัตรู แต่กลับตนเองก็เช่นกัน การที่เขาจุดชนวนแก่นเลือดก็หมายความว่าจะใช้เวลาอีกนานสำหรับเขาที่จะกู้คืนสภาพเดิม นอกจากนี้ยังทิ้งผลกระทบไว้เบื้องหลัง ขัดขวางการพัฒนาในอนาคต
“มู่เฉิน แกต้องออกจากสนามรบไปกับข้า! ตำแหน่งนี้จะต้องเป็นของตำหนักซีเทียนเท่านั้น!”
หลิงจั้นจื่อหัวเราะราวกับคลุ้มคลั่ง เขาละทิ้งชีวิตเพื่อลากมู่เฉินออกจากสนามรบ เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อที่จะเอาชนะซูมู่และฉู่เหมิน
ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตครางกระหึ่มรอบร่างหลิงจั้นจื่อก่อตัวเป็นพายุทอร์นาโด เขาดูราวกับเทพปีศาจ สายตาจับจ้องไปที่มู่เฉิน ทันใดนั้นเขาก็วาดตราประทับแล้วซัดหมัดออกมา
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม หมัดจักรพรรดิสัประยุทธ์!”
เมื่อเขาเหวี่ยงกำปั้นออกไป ท้องฟ้าก็มืดมิด กระทั่งเหล่าผู้ชมในจัตุรัสยังมีสีหน้าเปลี่ยนไปมาก หมัดนั่นเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของหลิงจั้นจื่อ นอกเหนือจากการใช้ร่างเทห์สวรรค์!
เห็นได้ชัดว่าหลิงจั้นจื่อถูกบีบเข้ามุมอับแล้ว
ทว่าขณะที่หลายคนเปลี่ยนสีหน้า พวกเขาก็เห็นมู่เฉินซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าหลิงจั้นจื่อส่งเสียงหัวเราะก้องฟ้า จากนั้นก็ก้าวออกมาขณะที่ร่างรองทั้งสองถอยกลับไป แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะดูสบายๆ แต่พวกเขาก็สร้างค่ายที่ลึกซึ้งขึ้นทันที
มู่เฉินก้าวไปข้างหน้า ราวกับเมินเฉยต่อหมัดของหลิงจั้นจื่อ เสียงเขาดังก้องท่ามกลางพายุที่กวาดล้างฟ้าดิน
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ให้แกเป็นคนแรกที่เสียสละทดลองค่ายกลรบสามกำลังซะเลย!”
บทที่ 1261 ปรากฏ
ตู้ม ตู้ม!
เสียงคำรามของหลิงจั้นจื่อดังก้องราวกับฟ้าฟาดทั่วมิติ พร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตถูกปลดปล่อยอย่างต่อเนื่อง ทำให้มิติโดยรอบผันผวน
ยามนี้ดวงตาของหลิงจั้นจื่อเปล่งประกายแวววาวและดูไม่อ่อนล้าเหมือนเมื่อครู่อีก เห็นได้ชัดว่าเขาใช้ประโยชน์จากการสังเวยการต่อสู้เพื่อฟื้นฟูคลื่นหลิงของตนเอง
พลังงานที่หมดไปเติมเต็มร่างกายของเขาอีกครั้ง
หลิงจั้นจื่อยืนอยู่บนร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จ้องมองไปที่มู่เฉิน ในที่สุดเขาก็เอาชนะได้ในนาทีสุดท้าย เพราะตอนนี้มู่เฉินที่เหนื่อยล้า ไม่เป็นอันตรายในสายตาเขาแล้ว
ผู้ชมส่ายหน้า ใครจะคิดว่าหลิงจั้งจื่อยังมีทักษะนี้ทำให้พลิกสถานการณ์พลิกกลับมาได้อีกครั้ง
“หลิงจั้นจื่อเหี้ยมจริงๆ เขายอมจ่ายราคาดังกล่าวเพื่อตำแหน่ง” บางคนถึงกับถอนหายใจ
“ราคาแค่นั้นไม่นับเป็นอะไรได้ ตราบใดที่เขาเป็นนักรบทวีปและได้รับการชำระด้วยพลังงานทวีปของทวีปซีเทียนก็จะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงระดับเทียนจื้อจุน เมื่อเปรียบเทียบแล้ว กองทัพล้านคนก็ไม่นับเป็นอะไรหรอก”
“แต่ถ้าแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นเกียรติอะไรแม้เขาจะชนะ มู่เฉินเสียเปรียบตั้งแต่เข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายด้วยพลังขั้นต้น ตอนนี้หลิงจั้นจื่อยังใช้วิธีขี้โกงเช่นนี้อีก” ก็เป็นปกติที่จะมีคนรู้สึกไม่ยุติธรรมสำหรับมู่เฉิน เพราะพลังที่อีกฝ่ายแสดงออกมาก่อนหน้าทำให้หลายคนยอมรับเขาแล้ว
“ลิขิตฟ้ามักโหดร้าย ในโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม… แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่มู่เฉินจะมาไกลขนาดนี้ด้วยขุมพลังของเขา พรสวรรค์และพลังของเขาจะสร้างโอกาสในอนาคตอย่างแน่นอน”
“…”
ในขณะที่เสียงหลากหลายดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ผู้คนก็อดเสียดายแทนมู่เฉินไม่ได้ เขามีศักยภาพที่ลากทึ้งหลิงจั้นจื่อลงมาจากเจ้าเหนือหัวในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายของทวีปซีเทียน แต่น่าเสียดายที่เขาล้มเหลวในที่สุด
“ดูเหมือนพวกแกจะไม่มีโอกาสแล้ว” มองไปที่หลิงจั้นจื่อ หลิงเจี้ยนจื่อก็ยิ้มเยาะให้กับซูมู่
ใบหน้าของซูมู่มืดครึ้ม เป็นเรื่องเหนือคาดที่มู่เฉินสามารถบรรลุผลสำเร็จได้ขนาดนี้ ทว่าก็ไม่มีใครคิดว่าหลิงจั้นจื่อเหี้ยมเกรียมปานนี้
“ไม่ได้ตำแหน่งก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็สามารถทำลายความเย่อหยิ่งของพวกแกได้ หึ พี่ใหญ่เทพจอมยุทธ์ ศิษย์เอกของจักรพรรดิสัประยุทธ์ถูกบีบให้มาถึงจุดนี้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ข้าจะดูสิว่าพวกแกจะยังกล้าผยองต่อชื่อเสียงตัวเองในอนาคตหรือไม่” ซูมู่เค้นเสียงเยาะ
ดวงตาของหลิงเจี้ยนจื่อจมลงในความโกรธ เขารู้ว่าคำพูดของซูมู่ไม่ผิด แม้ว่าหลิงจั้นจื่อจะชนะมู่เฉินในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่นั่นจะไม่เพิ่มชื่อเสียงของเขา กลับฉายแสงให้มู่เฉินแทน
เพราะเป็นเรื่องตกตะลึงมากที่มู่เฉินทำสิ่งนี้สำเร็จด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น
“ผู้ชนะก็คือผู้ชนะ ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร ผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง” หลิงเจี้ยนจื่อเย้ยหยัน
ขณะที่ทั้งสองเปิดศึกน้ำลายใส่กัน มู่เฉินก็มองหลิงจั้นจื่อ เขาอดไม่ได้ที่จะเบะปาก หลิงจั้นจื่อจัดการยากเย็นจริงๆ
เพื่อจัดการกับคนผู้นี้ มู่เฉินควักไพ่ตายออกมาเกือบหมดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถมีชัยเหนือกว่าได้ ไม่แปลกใจเลยที่หลิงจั้นจื่อเป็นเทพจอมยุทธ์อันดับหนึ่ง ชายคนนี้มีปัจจัยที่โดดเด่นนัก
“สมกับถูกสอนโดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน” มู่เฉินถอนหายใจ
“ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ต้องเชิญแกออกจากสนามนี้” หลิงจั้นจื่อตอบอย่างไม่แยแส ตอนนี้เขาปฏิบัติต่อมู่เฉินอย่างจริงจังและรู้สึกครั่นคราม ดังนั้นจึงไม่มีน้ำเสียงดูถูกที่เคยมีอีกแล้ว
ตู้ม!
หลังจากสะบักสะบอมจากน้ำมือมู่เฉิน หลิงจั้นจื่อก็ฉลาดพอที่จะไม่ให้เวลามู่เฉินอีกต่อไป เขากระแทกฝ่าเท้า คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออก ก่อตัวเป็นภาพมายาก่อนจะทะยานออกไป
ทุกคนบอกได้เลยว่าหลิงจั้นจื่อต้องการยุติการต่อสู้แล้ว!
ลำแสงวาบผ่านไปพร้อมด้วยคลื่นหลิงไร้ขอบเขตครอบคลุมพื้นที่ เพียงอึดใจเดียวเงาร่างของหลิงจั้นจื่อก็มาปรากฏต่อหน้ามู่เฉินซึ่งอยู่บนบ่าของร่างเทพสุริยะนิรันดร์
ตอนนี้คลื่นหลิงของมู่เฉินหมดลงอย่างสมบูรณ์ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์จึงสูญเสียความสุกสว่าง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป ดังนั้นเมื่อหลิงจั้นจื่อปรากฏตัวต่อหน้าก็ไม่ได้ทำการโจมตีใดๆ
“เอาป้ายสัประยุทธ์มา!”
หลิงจั้นจื่อคำรามเสียงเย็นพร้อมกับฝ่ามือกระแทกออกไป ทำลายมิติพุ่งไปที่หน้าอกของมู่เฉิน
แม้ว่ามู่เฉินดูเหมือนจะไม่มีพลังในการตอบโต้ แต่หลิงจั้นจื่อก็ยังระวัง ตัดสินใจใช้เพลงฝ่ามือจัดการมู่เฉินให้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เฮ้อ เฮ้อ
ทุกคนถอนหายใจกับฉากนี้ ดูเหมือนว่าคราวนี้มู่เฉินจะแพ้แล้ว
ฝ่ามือขยายใหญ่ในดวงตาของมู่เฉิน แต่เขาไม่ได้ตกใจอะไร บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มจางๆ แทน
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั่น ม่านตาของหลิงจั้นจื่อก็สั่นกระเพื่อม ความไม่สบายใจเพิ่มขึ้นในหัวใจ แต่ในฐานะจอมยุทธ์ที่เหี้ยมและเด็ดขาด เขาก็อัดคลื่นหลิงในร่างกายลงไปเพิ่ม ฝ่ามือก็ยิ่งคมชัดมากขึ้น ไม่ว่ามู่เฉินจะเคลื่อนไหวหรือไม่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหนีจากโจมตีของคลื่นหลิงในระยะแค่นี้
ตึง!
มิติผันผวน พริบตาฝ่ามือของหลิงจั้นจื่อก็ปรากฏเบื้องหน้ามู่เฉิน ทว่าขณะกำลังจะปะทะกับหน้าอก ฉับพลันก็มีมือข้างหนึ่งเหยียดออกกระแทกใส่กับฝ่ามือของหลิงจั้นจื่อ
ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตแปรปรวน ร่างกายของหลิงจั้นจื่อก็สั่นไหว ฝ่ามือถูกปิดกั้น แต่ไม่รอให้เขาตั้งสติ ลูกเตะที่มาพร้อมกับคลื่นหลิงก็พุ่งเข้าหาหน้าอกเขา
ปัง!
อากาศโดยรอบแตกออก หลิงจั้นจื่อที่ไม่ทันตั้งตัวก็ปลิวถลาไปบนพื้น ทำให้เกิดรอยแยกขนาดใหญ่ทุกที่ที่ผ่าน
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ดังนั้นหลังจากที่หลิงจั้นจื่อกระเด็นออกไปไกล ผู้ชมถึงได้หายจากอาการตกใจ ใบหน้าก็อัดแน่นด้วยความหวาดผวา
“เกิดอะไรขึ้น?”
“มู่เฉินยังมีคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ยังไง?!”
ความปั่นป่วนเกิดขึ้น สายตาไม่อยากเชื่อมองไปยังมู่เฉิน เมื่อเห็นทั่วทั้งจัตุรัสก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ
ทุกคนอ้าปากตาค้างด้วยความตกใจราวกับว่าเห็นผี
เนื่องจากพวกเขาเห็นร่างเงาสองร่างยืนจังก้าอยู่ข้างมู่เฉิน ร่างในชุดสีดำและสีขาวกำจายคลื่นผันผวนทรงพลังรอบตัว
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงที่สุด ไม่ใช่คลื่นหลิงที่ผันผวน แต่เป็นเพราะทั้งคู่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมู่เฉินเปี๊ยบ!
“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“ทำไมมีมู่เฉินเพิ่มอีกสองคน! พวกเขาเป็นพี่น้องแฝดกันหรือ?”
“ไร้สาระ พวกเขาต้องเป็นร่างดวงจิตแน่!”
“เป็นไปได้ยังไง?! มู่เฉินอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น เขาจะสร้างร่างพิมพ์ในระดับเดียวกับตัวเขาได้ยังไง!”
“…”
ความปั่นป่วนเกิดขึ้น ทุกคนมีความไม่เชื่อเขียนบนใบหน้า พวกเขาตกตะลึงกับฉากนี้ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าการต่อสู้จะจบลงแล้ว แต่ใครจะคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น…
หลิ่วซิงเฉินก็ผงะไปกับฉากนี้ โดยธรรมชาติเขาไม่เชื่อว่าร่างทั้งสองที่คล้ายคลึงกันนั่นจะเป็นพี่น้องแฝดของมู่เฉิน ดังนั้นใจเขาเอนเอียงไปยังแนวคิดเรื่องร่างดวงจิต แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือทำไมร่างดวงจิตของมู่เฉินถึงได้ทรงพลังเพียงนี้…
นอกจากนี้ร่างดวงจิตก็ดูสมจริงมาก! พวกเขาไม่ได้แตกต่างจากร่างหลักเลย!
ภายใต้ความปั่นป่วนใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ตื่นตะลึง ก่อนที่เขาจะผุดลุกขึ้นยืนมองดูเงาร่างทั้งสองในทันที
บางทีคนอื่นคงไม่สามารถบอกอะไรได้ แต่เขาในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าทั้งสองไม่ได้เป็นร่างดวงจิต แต่เป็นร่างจริง!
นอกจากนี้ทั้งสามยังมีรัศมีเดียวกัน กระทั่งคลื่นหลิงก็เหมือนกัน ร่างทั้งคู่นั่นไม่มีร่องรอยของการเป็นร่างดวงจิตเลย!
การที่ร่างดวงจิตสมจริงเช่นนี้เป็นสิ่งที่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่ทำได้ แต่มู่เฉินเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น!
นอกจากนี้พลังของร่างดวงจิตที่สร้างโดยคลื่นหลิงก็จะด้อยกว่าร่างหลักอย่างแน่นอน แต่ร่างดวงจิตของมู่เฉินนั้นมีขุมพลังเหมือนกับร่างหลัก!
นี่คือสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังทำไม่ได้!
เทพจักรพรรดิอัคคีเงยหน้ามองไปที่ร่างเงาของมู่เฉินในเวลานี้ เขาเบ้ปากถอนหายใจในใจ “ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะประสบความสำเร็จในการฝึกได้จริงๆ…”
“หลายหมื่นปีต่อมา ในที่สุดวิชาสามพิสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง”
เขารู้อยู่ในเรื่องที่มู่เฉินได้รับมรดกของจักรพรรดิฟ้า รวมถึงวิชาสามพิสุทธิ์ที่เป็นคัมภีร์ระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็สามารถฝึกฝนได้ แต่มู่เฉินทำสิ่งนี้สำเร็จ
เมื่อมองไปที่เงาทั้งสามเซียวเหยียนก็หันไปมองจักรพรรดิสัประยุทธ์ตามด้วยเสียงหัวเราะ ทำเอาใบหน้าอีกฝ่ายอดกระตุกไม่ได้
“ดูเหมือนว่าปาฏิหาริย์ยังคงปรากฏในตอนท้ายเสมอ… ฮ่าๆ ข้าต้องขอบคุณจักรพรรดิสัประยุทธ์แทนมู่เฉินกับรางวัลใหญ่ครั้งนี้ด้วย”
บทที่ 1260 สัตว์ประหลาด
ตู้ม!
ดัชนีทั้งสองพุ่งทะลุขอบฟ้าปะทะกันจังใหญ่ ช่วงเวลาที่ชนกันทั่วบริเวณก็เหมือนแช่แข็งไปชั่วขณะ…
คลื่นหลิงในฟ้าดินกระเจิดกระเจิงไปในทุกทิศทาง ราวกับกลัวจะถูกทำลายจากพลังการทำลายล้าง
ตู้ม ตู้ม!
ฟ้าดินค้างสนิท ก่อนที่แสงสว่างแสบตาจะปกคลุมลงมา ส่องไปทั่วทุกมุม
แสงนั้นแสบตามาก กระทั่งผู้ชมที่อยู่ในจัตุรัสนอกสนามรบยังรู้สึกแสบตาจนต้องหรี่ตาลง
ครืนๆ!
หลังจากแสงส่องไปทั่ว พายุคลื่นหลิงที่มองเห็นด้วยตาเปล่าก็กวาดออกจากจุดปะทะอย่างป่าเถื่อน ฉีกพื้นดินในเส้นทางที่ผ่าน
ป่าใหญ่ราพณาสูร ทุกสรรพชีวิตถูกลบล้างภายใต้คลื่นกระแทก…
ทุกคนตะลึงกับพลังแห่งการทำลายล้าง รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายติดอยู่ในคลื่นกระแทกเหล่านี้ พวกเขาก็น่าจะทิ้งชีวิตไว้ภายใน
“นี่…พวกเขาสองคนไม่น่ากลัวไปหน่อยเหรอ? นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายกับขั้นต้น ทำไมถึงได้น่าสะพรึงขนาดนี้?!” มีจอมยุทธ์ที่เฝ้ามองเหตุการณ์นี้ด้วยสีหน้าขมขื่น การเผชิญหน้าในระดับนี้เกินจินตนาการ ทำให้พวกเขารู้สึกใจหายใจคว่ำไปหมดแล้ว
“สัตว์ประหลาด…” ผู้คนถอนหายใจ “แค่ไม่รู้ว่าใครจะเหนือกว่าในการเผชิญหน้ากันครั้งนี้”
“น่าจะเป็นหลิงจั้นจื่อมั้ง ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์น่ากลัวเกินไป มิหนำซ้ำเขายังได้รับการสนับสนุนจากรัศมีจั้นยี่ของกองทัพนับล้าน! แม้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินจะลึกลับ แต่เขาก็ยังเป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น คงไม่สามารถต้านรับหลิงจั้นจื่อได้”
“ใครจะรู้… มู่เฉินน่ะเป็นสัตว์ประหลาดยิ่งกว่าหลิงจั้นจื่อซะอีก หากมู่เฉินอยู่ในขุมพลังเดียวกัน แม้แต่หลิงจั้นจื่อก็สู้เขาไม่ได้”
ประโยคนี้ทำให้หลายคนตกอยู่ในภวังค์ความคิด พลังการต่อสู้ที่มู่เฉินแสดงออกมาน่าสะพรึงเกินไป ตัวเขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ก็สามารถบังคับให้หลิงจั้นจื่อตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ถ้าเขาเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้วจะน่าพรั่นพึงแค่ไหน?
ในเวลานั้นหรือว่าเขาจะสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ด้วย?
ทุกคนรู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมดพลางส่ายหัวกับความคิดนี้ แม้ว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มดูเหมือนจะเป็นเหนือกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแค่คำเดียว แต่ความแตกต่างระหว่างทั้งสองขั้นรุนแรงมาก
ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเป็นที่รู้จักในฐานะประตูเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ที่ใกล้เคียงกับระดับตำนาน ทุกคนล้วนไม่ธรรมดา
นี่คือสิ่งที่สามารถเห็นได้จากจำนวนคนในสนามรบทั้งสาม ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นมีผู้แข่งขันหลายร้อยคน ขั้นปลายมีผู้เข้าแข่งขั้นสองร้อยคน และขั้นเต็มมีผู้แข่งขันไม่ถึงสิบคน…
ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มน่าหวาดกลัวเพียงใด ตราบใดที่จอมยุทธ์ระดับนี้ไม่ได้แหย่หนวดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน พวกเขาก็ไร้เทียมทานในมหาพันภพ
ดังนั้นหลายคนจึงปฏิเสธความคิดที่ว่ามู่เฉินสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้เมื่อเขามีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย…
ขณะที่ความคิดของผู้ชมกำลังวุ่นวายไปหมด จักรพรรดิสัประยุทธ์และเทพจักรพรรดิอัคคีก็จ้องมองไปที่หน้าจอ…
“มู่เฉินมีความสามารถจริงๆ… ร่างเทห์สวรรค์ของเขาสามารถติดสิบห้าอันดับแรก ไม่แปลกใจที่เขาบีบบังคับให้หลิงจั้นจื่อมาถึงจุดนี้ได้” จักรพรรดิสัประยุทธ์กล่าวอย่างช้าๆ ขณะนี้เขาเห็นแล้วว่าร่างสีม่วงทองนั่นทรงพลังเพียงใด นอกจากนี้ก็เริ่มยอมรับในความแข็งแกร่งของมู่เฉิน
“ในแง่ของร่างเทห์สวรรค์ ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ด้อยกว่าอย่างแท้จริง”
เซียวเหยียนยิ้ม “แล้วเจ้าคิดว่าใครจะชนะ?”
เงียบไปชั่วครู่จักรพรรดิสัประยุทดธ์ก็กล่าวว่า “ในการต่อสู้ครั้งนี้ข้าคิดว่าทั้งสองคนจะไม่มีใครได้เปรียบกัน ผลลัพธ์สุดท้ายน่าจะได้รับบาดเจ็บทั้งคู่…”
แม้ว่าเขาจะไม่อยากยอมรับว่าหลิงจั้นจื่อถูกมู่เฉินบังคับให้มาไกลขนาดนี้ แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่ใช่คนใจแคบอะไรขนาดนั้น เพราะเขารู้ว่าเทพจักรพรรดิอัคคีมองขาดกว่าตนเอง
ทว่าอึดใจเขาก็หรี่ตาลงพูดว่า “แต่ถึงแม้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินจะทรงพลัง แต่เขาก็เสียเปรียบในด้านขุมพลัง หลังจากการปะทะกันกระบวนท่านี้คลื่นหลิงของเขาก็จะหมดลง กลับกันหลิงจั้นจื่อยังสามารถสู้อีกต่อไปได้ ดังนั้น… แม้ว่าจะไม่ได้รับชัยชนะอย่างยุติธรรม แต่หลิงจั้นจื่อก็ยังคงยืนหยัดเป็นคนสุดท้ายได้”
จักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นสายตาจึงเกินกว่าคนอื่นโดยธรรมชาติ ขณะที่คนอื่นยังไม่สามารถตัดสินผลลัพธ์ได้ เขาก็เห็นขาดไปแล้ว
เซียวเหยียนเผยรอยยิ้มบางพลางพยักหน้า “ที่จักรพรรดิสัประยุทธ์พูดมาไม่ผิด… แต่ข้ากลัวว่าการเอาชนะมู่เฉินไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิดน่ะสิ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มลึกลับแขวนอยู่บนริมฝีปากของเซียวเหยียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็รู้สึกว่ามุมปากกระตุกไม่หยุดพร้อมกับความไม่สบายใจเพิ่มขึ้นในใจ
หรือว่ามู่เฉินยังมีไพ่ตายอื่นอีก?!
เป็นไปได้ยังไง!
ขณะที่ทุกคนกลั้นหายใจจดจ้องหน้าจอแบบลุ้นระทุก
ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายพายุคลื่นหลิงก็จางหายสถานการณ์เริ่มกระจ่างชัด
สิ่งแรกที่พวกเขาสังเกตเห็นก็คือผืนป่าราบเป็นหน้ากลอง ในรัศมีพันลี้พื้นโดยรอบมีรอยแตกที่น่ากลัวพล่านไปทั่ว
พื้นดินแยกออกเป็นสองส่วน ทางซ้ายมือเป็นร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่มีขนาดหมื่นจั้ง ส่วนข้างขวาเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์…
ร่างเวทสวรรค์ทั้งสองยืนอยู่คนละฝั่ง
ครืนๆ!
ทว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้กินเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทุกคนจะเห็นร่างเวทสวรรค์ทั้งสองหัวเข่าข้างหนึ่งกระแทกลงบนพื้นด้วยเสียงดังก้อง
ทั้งสองร่างมืดมนลงอย่างรวดเร็วจากความอ่อนล้าของคลื่นหลิง
ผู้ชมที่เฝ้ามองก็ต้องตะลึงเพราะนี่หมายความว่าการเผชิญหน้านี้จบลงด้วยทั้งสองได้รับบาดเจ็บ!
เมื่อทั้งสี่คนเห็นมู่เฉินและหลิงจั้นจื่อจากระยะไกล พวกเขาก็ตกใจกับภาพเบื้องหน้า เนื่องจากผลลัพธ์นี้เกินความคาดหมายนัก
ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะสู้กับหลิงจั้นจื่อได้!
“ไอ้หนูนั่นร้ายกาจมาก!”
หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อพึมพำด้วยความกลัวในดวงตา เพราะตอนนี้มู่เฉินยังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ถ้าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แม้แต่หลิงจั้นจื่อก็ไม่สามารถต่อสู้กับเขาได้
ภายใต้สายตาที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อก็มืดครึ้ม เขายืนบนไหล่ร่างต้นจักรพรรดิสัปประยุทธ์จ้องมองไปที่มู่เฉิน สายตาราวกับใบมีด
ไม่เพียงแต่คนอื่นตกใจเท่านั้น ตัวเขาเองก็ตกใจกับผลลัพธ์นี้
“ร่างบ้าบอนั่นคืออะไร?! ทำไมน่าสะพรึงนัก!” หลิงจั้นจื่อกำหมัดแน่น เขาบอกได้ว่าที่มู่เฉินสามารถสู้กับเขาจนได้ผลลัพธ์นี้ทั้งหมดเป็นผลมาจากร่างเทห์สวรรค์ลึกลับนั้น
สายตาของหลิงจั้นจื่อมืดมน แต่ไม่นานเขาก็คิดได้พลางมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา “ไม่คิดว่าจะมีสักวันที่ข้าหลิงจั้นจื่อจะดูสะบักสะบอมแบบนี้ มู่เฉิน ข้าต้องยอมรับว่าแกแน่จริงๆ”
มู่เฉินที่ยืนอยู่บนไหล่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์มีสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย การปะทะกันกระบวนท่าเมื่อครู่ทำให้เขาเหนื่อยล้ามาก
เขายิ้มตอบหลิงจั้นจื่อไป “ขอบคุณสำหรับคำชม”
ดวงตาหลุบลง สายตาของหลิงจั้นจื่อเต็มไปด้วยความเย็นชาขณะพูดช้าๆ “แต่แกยังมีคลื่นหลิงเพียงพอที่จะควบคุมร่างเทห์สวรรค์ต่อไหม? ถ้าไม่มีร่างนั่นแกยังสามารถสู้กับข้าได้ไหม?”
“แกเองก็หมดแรงเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” มู่เฉินยิ้มตอบ
หลิงจั้นจื่อพยักหน้าก่อนที่จะเงยหัวขึ้นมองลูกทรงกลมทั้งสาม แสงโหดเหี้ยมสายหนึ่งวาบขึ้นในดวงตา
“สังเวยการต่อสู้!”
หลิงจั้นจื่อกระทืบเท้า กัดที่ปลายนิ้ว จากนั้นก็วาดตราประทับโลหิตในอากาศเบื้องหน้าพลางคำรามลั่น
เมื่อเสียงของเขาดังก้อง กองทัพนับล้านในลูกทรงกลมแสงก็กระแทกอก เลือดไหลออกมาจากปาก
เลือดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจุดชนวนก่อนจะก่อตัวเป็นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมเข้ากับร่างกายของหลิงจั้นจื่อ
ตู้ม!
ด้วยแก่นโลหิต คลื่นหลิงที่ลดน้อยลงของหลิงจั้นจื่อก็เพิ่มขึ้นทันที เขากลับไปสู่สภาวะสูงสุดในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
เมื่อผู้คนเห็นสิ่งนี้ใบหน้าของพวกเขาก็หวาดผวา เนื่องจากไม่มีใครคิดว่าหลิงจั้นจื่อจะโหดเหี้ยมปานนี้ เขาใช้วิธีบ้าเลือดที่สุด ดึงพลังงานจากกองทัพเพื่อกู้คืนสภาพ แม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้เขาฟื้นฟูพลังได้ แต่กลับสร้างความเสียหายหนักให้กับกองทัพ เขาอาจต้องเตรียมกองทัพใหม่ทั้งหมดก็เป็นได้…
ชัดว่าเพื่อตำแหน่งนักรบทวีป หลิงจั้นจื่อไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้ได้แล้ว
ภายใต้สายตาตกตะลึง หลิงจั้นจื่อก็มองมู่เฉินด้วยดวงตาแดงก่ำ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งอยู่รอบตัวพร้อมกับเสียงคำรามดังก้องไปทั่ว
“มู่เฉิน ครั้งนี้…แกจะสู้กับข้าได้อย่างไรอีก!
“แกยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเอาตำแหน่งนักรบทวีปไปจากข้า!
“ดังนั้น…ไสหัวออกจากสนามรบไปซะ!”
บทที่ 1259 ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปะทะร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ที่เบื้องหลังร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ลูกทรงกลมแสงทั้งสามระเบิดริ้วแสงนับไม่ถ้วน ทำเอามู่เฉินตกตะลึงไปเมื่อได้เห็นร่างเงาในลูกทรงกลมนั่น…
“นั่นคืออะไร?!”
ม่านตาของมู่เฉินหดแคบลงขณะที่เขาจ้องมองไปที่รูปทรงกลมสามลูก คลื่นหลิงรวมตัวกันในดวงตา ก่อนจะเพิ่มวิสัยทัศน์ในการมอง
ซี้ด!
หลังจากเห็นชัดเจน มู่เฉินก็หายใจลึก เนื่องจากพบว่าลูกทรงกลมทั้งสามเต็มไปด้วยร่างเงาในชุดเกราะหนัก พวกเขานั่งอยู่ภายในรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตอันพลุ่งพล่าน
นี่เป็นกองทัพขนาดใหญ่!
“รูปทรงกลมนี้ก่อตัวเป็นมิติขนาดเล็กที่สามารถเก็บกองทัพทหารจำนวนมากไว้รึ?” ใบหน้ามู่เฉินเปลี่ยนไปเมื่อสังเกตเห็นว่าร่างเหล่านั้นมีพลังชีวิตเล็ดลอดออกมา ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ใช่หุ่นเงา!
“ที่แท้นี่ก็คือความลึกซึ้งของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์!”
“โดยการเก็บกองทัพไว้ในลูกทรงกลมเหล่านั้น กองทัพก็จะจัดเตรียมรัศมีจั้นยี่เพื่อหลอมรวมเข้ากับคลื่นหลิงของผู้ใช้ ผลิตคลื่นหลิงจั้นที่ไม่มีวันสิ้นสุด!”
ตอนนี้มู่เฉินเข้าใจแล้วว่าทำไมหลิงจั้นจื่อถึงสามารถครอบครองรัศมีจั้นยี่ทรงพลังได้ แม้ว่าจะไม่ได้บัญชากองทัพ ที่แท้เขาก็ซ่อนกองทัพไว้ในลูกทรงกลมเหล่านั้นนี่เอง!
“ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์สมคำร่ำลือจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นร่างเทห์สวรรค์ที่อัศจรรย์ใจเช่นนี้
หลิงจั้นจื่อยืนอยู่บนหัวของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ เขารู้ว่ามู่เฉินมองเห็นความลึกซึ้งของร่างเวทสวรรค์ของเขา เมื่อเห็นมู่เฉินจ้องมองไปที่ลูกทรงกลมเขม็ง
“ตาแหลมดี”
น้ำเสียงไม่แยแสดังก้องกังวานโดยไม่มีเจตนาที่จะซ่อน เขากระทืบเท้าริ้วแสงที่ซ่อนกองทัพก็ค่อยๆ หายไป เผยด้านในให้เห็น
“ในมิตินี้ ข้ามีทหารจำนวนหนึ่งล้านคนที่จะให้รัศมีจั้นยี่ไม่มีที่สิ้นสุด…” หลิงจั้นจื่อตอบเบาๆ
แม้ว่าคุณภาพหนึ่งล้านนี่จะไม่อาจเทียบกับกองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจของมู่เฉิน แต่ก็มากด้วยปริมาณ นอกจากนี้พวกเขายังเพาะบ่มพลังในมิติร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นประจำ ดังนั้นรัศมีจั้นยี่จึงเข้ากันได้กับหลิงจั้นจื่อมาก อำนาจนี้สามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังรู้สึกหวาดกลัว
“ในปัจจุบันมีไม่กี่คนหรอกที่สามารถบังคับให้ข้าเปิดเผยความลึกซึ้งของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ได้…” หลิงจั้นจื่อจ้องมองมู่เฉิน ไม่มีระลอกคลื่นใดในสายตา ทว่าไอสังหารกลับเข้มข้นขึ้น
“แต่ทุกคนที่เห็นสุดท้ายก็ใช้หัวเป็นรางวัลของข้าและแกก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!”
เมื่อสิ้นเสียงหลิงจั้นจื่อ กองทัพทหารล้านคนก็ระเบิดด้วยเสียงคำรามทำเอาแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง ดวงตาเต็มไปด้วยความต้องการสู้ รัศมีจั้นยี่ทรงพลังพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
รัศมีจั้นยี่ของพวกเขาเทเข้าไปในร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ เมื่อเกิดการผสมผสานของรัศมีจั้นยี่แล้ว ร่างต้นก็เริ่มปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวิน แรงกดดันสุดพรรณนาครอบครองไปทั่วบริเวณนี้
มู่เฉินหดตาลงกะทันหันเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้าหลิงจั้นจื่อยังไม่เต็มใจที่จะเผยให้เห็นการดำรงอยู่ของทหารเหล่านี้ แต่ขณะนี้เขาไม่ใส่ใจอะไรแล้ว ดังนั้นภายใต้การควบคุมอย่างเต็มที่ เขาจึงเร้ากำลังเต็มของกองทัพออกมาเลยทีเดียว
ความกดดันน่าสะพรึงกลัวปกคลุมดินแดนนี้ พื้นดินเบื้องล่างเริ่มพังทลาย ต้นไม้ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ แล้วสลายกลายเป็นกองขี้เถ้า
แรงกดดันน่าตกตะลึง กระทั่งสี่คนที่กำลังต่อสู้อยู่ห่างออกไปก็ได้รับผลกระทบ สายตาของพวกเขากวาดมองมายังทิศทางนี้ด้วยความตกใจ
เมื่อหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อเห็นสถานการณ์ของหลิงจั้นจื่อ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ พวกเขาประหลาดใจที่หลิงจั้นจื่อถูกบังคับให้เปิดเผยความลับทั้งที่แค่ต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น
ในฐานะศิษย์เอกของจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน พวกเขารู้ดีว่าร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ทรงพลังเพียงใด ทว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่ประสบผลในการฝึก ในบรรดาศิษย์ทั้งสี่คนมีเพียงหลิงจั้นจื่อที่ประสบความสำเร็จไปได้
ในอดีตจอมยุทธ์ที่บังคับให้หลิงจั้นจื่อมาไกลถึงขนาดนี้ล้วนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนเข้าใกล้ขั้นเต็ม แต่ครั้งนี้ศัตรูเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น…
“มู่เฉินเป็นเสือที่แกล้งเป็นเหยื่อจริงๆ!” ดวงตาของหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อวูบไหว จากนั้นก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ถ้ามู่เฉินไม่ได้จัดการยาก ไม่มีทางที่หลิงจั้นจื่อจะเปิดเผยความลับของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์
เมื่อเปรียบเทียบกับความตกใจของพวกเขา แม้ว่าซูมู่และฉู่เหมินจะตกตะลึงกับความแข็งแกร่งที่มู่เฉินเปิดเผย แต่พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจในใจ ก่อนหน้านี้พวกเขากังวลว่ามู่เฉินอาจจะพ่ายแพ้แบบนกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ เวลานั้นหลิงจั้นจื่อจะเข้ามายุ่งในการปะทะของพวกเขาเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ไล่พวกเขาทั้งสองออกจากสนามรบไป
แต่ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะจัดการกับหลิงจั้นจื่อจนอยู่หมัด
“ต้องใช้เวลานี้รีบตัดสินผลแพ้ชนะ” ความคิดเดียวกันปรากฏขึ้นในใจของซูมู่และฉู่เหมิน ในเมื่อมู่เฉินช่วยพวกเขาซื้อเวลาได้ พวกเขาก็ต้องจัดการคู่ต่อสู้ของตนแบบเบ็ดเสร็จ จากนั้นก็จะสามารถไปช่วยเหลือมู่เฉินได้
เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังไม่คิดว่ามู่เฉินสามารถเอาชนะหลิงจั้นจื่อได้
ด้วยความคิดนี้ซูมู่และฉู่เหมินก็ปลดปล่อยคลื่นหลิงออกมาเต็มพิกัด การโจมตีของพวกเขาคมชัดขึ้นในขณะนี้
“ฮ่าๆ คิดจะจัดการให้เร็วเพื่อไปช่วยไอ้เด็กเหลือขอนั่นเหรอ?” หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อเข้าใจความตั้งใจนี้ทันที พวกเขาจึงเอ่ยล้อเลียน
“ดูเหมือนว่าการอุ่นเครื่องของพวกข้า ทำให้แกคิดว่าพวกข้าเป็นคนอ่อนแอ ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกข้าก็จะแสดงให้เห็นว่าความจริงที่โหดร้ายนั้นเป็นอย่างไร!”
เผชิญหน้ากับการโจมตีรุนแรงของซูมู่และฉู่เหมิน หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อก็หัวเราะร่วน ขณะที่พวกเขาเริ่มการตอบโต้แรงขึ้น คลื่นหลิงบ้าคลั่งครอบคลุมทั่วบริเวณ ร่างทั้งสี่ปะทะกันอย่างดุเดือด
มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับความผันผวนภายนอก
ความสนใจของเขามุ่งเน้นไปที่หลิงจั้นจื่อและร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ หลังจากที่หลิงจั้นจื่อควบคุมกองทัพล้านคนและหลอมรวมรัศมีจั้นยี่เชื่อมกับคลื่นหลิง ก็ทำให้ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์เกิดการเปลี่ยนน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นจนถึงจุดที่มู่เฉินรู้สึกว่าเป็นอันตรายร้ายแรง
แม้แต่มู่เฉินก็ต้องยอมรับว่าหลิงจั้นจื่อเป็นคู่ต่อสู้ที่ต่อกรยาก
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกนั่งลงบนไหล่ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ จากนั้นก็วาดกระบวนท่า เผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อที่ดุดัน เขาก็ต้องสู้เต็มที่แล้ว
หลิงจั้นจื่อมองมู่เฉินอย่างเฉยเมย เมื่อพลังของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์พุ่งสูงขึ้นจนถึงขีดสุด ในที่สุดเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว
เขาสะบัดแขนเสื้อ ร่างต้นจักรพรรดิก็ระเบิดออกมาด้วยแสงแวววาวนับไม่ถ้วน ก่อนที่จะเปิดปาก รัศมีจั้นยี่ไม่รู้จบก่อร่างเป็นเสาแสงขนาดใหญ่พุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
ในเวลาเดียวกันลวดลายจั้นเหวินบนร่างกายมันก็แยกตัว ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพุ่งเข้าใส่เสาขนาดใหญ่
เหมือนจะมีคลื่นทำลายล้างเล็ดลอดออกมาเลือนราง
ผู้ชมในจัตุรัสตกใจเมื่อเห็นเสาแสง แม้ว่าจะมองผ่านหน้าจอ พวกเขาก็ยังรู้สึกถึงความผันผวนที่น่ากลัว
ใบหน้าของหลิ่วซิงเฉินเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดกับฉากนี้ ตอนที่เขาพ่ายแพ้ หลิงจั้นจื่อยังไม่ได้ใช้กระบวนท่านี้ เห็นชัดที่มันไม่คิดว่าเขาหลิ่วซิงเฉินมีคุณสมบัติที่จะใช้
แต่นั่นหมายความว่ามู่เฉินจะตกอยู่ในอันตราย เนื่องจากหลิ่วซิงเฉินไม่คิดว่ามู่เฉินจะมีโอกาสเผชิญหน้ากับการโจมตีของหลิงจั้นจื่อ
สายตาประหลาดใจจ้องมองมาจากข้างนอก แต่หลิงจั้นจื่อกลับมองมู่เฉินอย่างไม่แยแส ก่อนที่ฝ่ามือจะเริ่มวาดตราประทับช้าๆ
ฮึ่ม!
เมื่อสร้างตราประทับเสร็จ เสาสูงตระหง่านก็เปลี่ยนเป็นดัชนีขนาดมหึมากำจายด้วยรัศมีโบราณ
ดัชนีนี้ดูสมจริงอย่างไม่น่าเชื่อ ครอบคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วน รัศมีจั้นยี่ที่เชี่ยวกรากกวาดไปทั่วสวรรค์และโลก แม้แต่ท้องฟ้าก็มืดและสั่นสะเทือนจากแรงกดดัน
สายตามืดครึ้มมองไปที่มู่เฉิน รอยยิ้มน่าขนพองสยองเกล้าผุดขึ้นตรงมุมปากของหลิงจั้นจื่อ อึดใจต่อมาเสียงของเขาก็ดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน
“ทักษะเทห์สวรรค์ ดัชนีจักรพรรดิฉีกฟ้า!”
“มู่เฉิน วันนี้เป็นวันตายของแก!”
ตู้ม!
เมื่อเสียงของเขาดังก้อง ชั้นเมฆก็ยุบตัวลงท้องฟ้าถูกฉีกขาด หลุมดำก่อตัวขึ้นพร้อมด้วยสะเก็ดมิติ ราวกับว่าดัชนีนี้สามารถทำลายทุกสรรพสิ่ง
บริเวณที่มู่เฉินยืนอยู่ก็ทรุดตัวลงเช่นกัน เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางดัชนีขนาดใหญ่ด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน จากนั้นเขาก็หายใจลึกๆ ตราประทับในมือเปลี่ยนไปเร็วรี่
ฮึ่ม ฮึ่ม!
พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของตราประทับ ริ้วแสงสีม่วงทองก็รวมตัวกันในร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ก่อตัวเป็นรหัสสิบห้าลายในไม่กี่อึดใจ
เมื่อมองไปที่รหัสเทพ มู่เฉินก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะเขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อต้านกระบวนท่าของหลิงจั้นจื่อ ด้วยรหัสเทพอมตะสิบห้าลายเหล่านี้
ผลึกแสงวาววับในดวงตาของมู่เฉิน ก่อนที่เจดีย์ผลึกแก้วใสจะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจากภายในร่างกาย ดึงคลื่นหลิงของเขาออกมาเพื่อแปลงและทำให้แข็งแกร่งขึ้น
การดึงคลื่นหลิงอย่างบ้าคลั่ง ทำให้แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อ
แต่ภายใต้การสกัดที่รุนแรงนี้ แสงสีม่วงทองก็ระเบิดออกมาจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์พร้อมกับการก่อร่างของรหัสอมตะ
สิบหก…สิบแปด…ยี่สิบ…ยี่สิบสาม!
เมื่อก่อร่างรหัสเทพได้ยี่สิบสามลาย ดวงตาของมู่เฉินก็เริ่มมืดดำ ชัดว่าเขามาถึงขีดจำกัดแล้ว
“แต่…ก็น่าจะพอแล้ว”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองดัชนี รหัสเทพอมตะยี่สิบสามลายเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ในตอนนี้แล้ว
“มาดูกันว่าทักษะเทห์สวรรค์ของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ของเจ้ากับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของข้า ใครจะยืนหัวเราะเป็นคนสุดท้าย!”
มู่เฉินพึมพำ จากนั้นด้วยเจตจำนง รหัสเทพยี่สิบสามลายก็พวยพุ่งออกมา ริ้วแสงสีม่วงทองทำให้เกิดประกายระยิบระยับไปทั่วขอบฟ้า ยามนี้รหัสเทพทั้งยี่สิบสามลายก่อตัวเป็นดัชนีเช่นกัน
“รหัสเทพอมตะ ดัชนีอมตะแปรเปลี่ยน!”
ขณะที่เสียงคำรามดังกึกก้องจากในหัวใจของมู่เฉิน ดัชนีก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยรัศมีลึกลับอันเป็นอมตะ จากนั้นก็ปะทะกับดัชนีขนาดใหญ่ที่กดลงมา ภายใต้สายตาหวาดผวานับไม่ถ้วน
ในเวลานี้แม้แต่เวลาก็เหมือนถูกแช่แข็ง
บทที่ 1258 ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์
ครืนๆ!
เมื่อเสียงของหลิงจั้นจื่อดังขึ้น คลื่นหลิงรุนแรงก็ไหลมาบรรจบกันอยู่ข้างหลัง ร่างเงาขนาดใหญ่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจร่างใหญ่โตก็ควบแน่นปรากฏต่อสายตาของทุกคน ดึงดูดความตกตะลึงนับไม่ถ้วน
นี่เป็นร่างสีดำที่สูงใหญ่มาก มีลูกทรงกลมสามลูกอยู่ด้านหลังศีรษะซึ่งหมุนตลอดเวลาด้วยแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้กวาดออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มิติเกิดการบิดเบือนจากแรงกดดัน
เมื่อร่างเวทสวรรค์นี้ปรากฏขึ้น ก็ทำให้เกิดความโกลาหลในเมืองซีเทียนจั้น ความเคารพและอิจฉาพล่านในดวงตาของทุกคน
เพราะพวกเขารู้ที่มาของร่างเวทสวรรค์นี้
ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธธ์อันดับยี่สิบสี่บนทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง
ในสมัยโบราณมียอดยุทธ์ที่รู้จักกันในชื่อปฐมจักรพรรดิสัประยุทธ์ เขาสามารถสร้างคลื่นหลิงจั้นซึ่งเกิดจากการผสมผสานระหว่างรัศมีจั้นยี่และคลื่นหลิง ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขาน่ากลัวเกินบรรยาย ทำให้ตัวเขาอยู่ในอันดับต้นๆ แม้ในสมัยโบราณ
แต่เมื่อปฐมจักรพรรดิสัประยุทธ์สิ้นชีพลง มรดกของเขาก็หายสาบสูญไป แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งทวีปซีเทียนกลับโชคดีพบเข้า ด้วยการรับมรดกนั่นทำให้จักรพรรดิสัประยุทธ์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้
ส่วนร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยปฐมจักรพรรดิสัประยุทธ์ แต่เงื่อนไขในการฝึกฝนเข้มงวดมาก ในบรรดาเทพจอมยุทธ์ทั้งสี่มีเพียงหลิงจั้นจื่อเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก
เพราะไม่ใช่ขั้วอำนาจใดๆ ที่จะสามารถครอบครองร่างเทห์สวรรค์อันดับยี่สิบสี่ได้
“ร่างเวทสวรรค์ของมู่เฉินคืออะไรกัน? ทำไมข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“ฮ่าๆ ร่างเวทสวรรค์สูงเพียงไม่กี่ร้อยจั้ง จะสามารถบรรจุคลื่นหลิงได้เท่าใด?”
“เปรียบเทียบได้กับดาวแคระและดาวยักษ์อย่างแท้จริง… ข้ากลัวว่าร่างเวทสวรรค์นั่นจะถูกบดทันทีที่เคลื่อนไหว”
“…”
ขณะที่เสียงกระซิบกระซาบอัดแน่นทั่วฟ้าดิน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็มองภาพเบื้องหน้าด้วยดวงตาแคบลง ทว่าเขาไม่ได้สนใจร่างเวทสวรรค์ของหลิงจั้นจื่อ แต่กลับให้ความสนใจร่างสีม่วงทองของมู่เฉิน
บางทีคนอื่นอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ด้วยการรับรู้ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน จักรพรรดิสัประยุทธ์สามารถสัมผัสได้ถึงพลังน่าสะพรึงกลัวที่มีอยู่ในร่างเล็กนั่น
“ร่างเวทสวรรค์ของมู่เฉินเหมือนจะไม่ธรรมดา” จักรพรรดิสัประยุทธ์เอ่ยอย่างช้าๆ แม้เขาจะมีประสบการณ์มาก แต่ก็แค่รู้สึกคุ้นกับร่างเวทสวรรค์ของมู่เฉิน ไม่อาจบอกได้ว่ามันมีประวัติความเป็นมาอย่างไร
ทว่าถึงแม้เขาจะไม่สามารถบอกต้นกำเนิดได้ แต่เขารู้ว่าร่างเวทสวรรค์ของมู่เฉินไม่ได้อ่อนแอไปกว่าร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์เลย
“มู่เฉินโชคดีจริงๆ ที่ได้รับร่างเวทสวรรค์นี้… มิน่าเทพจักรพรรดิอัคคีถึงให้ความสำคัญกับเขา”
จักรพรรดิสัประยุทธ์มองไปที่เทพจักรพรรดิอัคคีพลางยิ้ม “ด้วยร่างเวทสวรรค์นี้ เขาอาจมีกำลังพอที่จะต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อ แต่ถ้าเขาต้องการที่จะชนะ ข้ากลัวว่าจะไม่ง่าย”
แม้จะมีความแข็งแกร่งที่มู่เฉินแสดงออกมา แต่ก็ยังมีข้อจำกัดจากการฝึกฝนของเขาในขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะก้าวข้ามความแตกต่างด้านขุมพลัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหลิงจั้นจื่อเป็นหัวกะทิในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเลย
ถ้ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย จักรพรรดิสัประยุทธ์อาจต้องยอมรับว่าเขามีโอกาสสูงที่จะตีหลิงจั้นจื่อจนจุกได้ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีคำว่า ‘ถ้า’ ในโลกนี้
เซียวเหยียนไม่ได้โต้คำพูดของอีกฝ่าย แค่มอบรอยยิ้มตอบ
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั่น จักรพรรดิสัประยุทธ์กลับรู้สึกไม่สบายใจ เพราะทุกครั้งที่เทพจักรพรรดิอัคคีเผยรอยยิ้มแบบนี้ มู่เฉินจะนำไพ่ตายที่น่าตกใจออกมาเสมอ
“ไอ้หนูนั่นยังมีไพ่ตายที่ทรงพลังกว่านี้อีกรึ?”
จักรพรรดิสัประยุทธ์มองไปที่มู่เฉิน ขณะที่คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน
“ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์เรอะ”
ยืนอยู่บนร่างสีม่วงทอง มู่เฉินก็มองเงาขนาดใหญ่โตด้วยสายตาวูบไหว เขาแปลกใจนิดหน่อยที่หลิงจั้นจื่อฝึกฝนร่างเวทสวรรค์ระดับสูงเช่นนี้
ไม่น่าแปลกใจที่หลิงจั้นจื่อจะเพิกเฉยต่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายส่วนใหญ่ ด้วยร่างเวทสวรรค์นี้ก็ไม่มีจอมยุทธ์ทั่วไประดับเดียวกันคนไหนสามารถทำอะไรเขาได้
“ในสนามรบแห่งนี้ มีเพียงหลิ่วซิงเฉินเท่านั้นที่บังคับให้ข้านำร่างเวทสวรรค์ออกมา แต่เขาต้องจ่ายในราคาแพงระยับ ไม่รู้ว่าแกจะต้องจ่ายในราคาเท่าไร?” หลิงจั้นจื่อปรากฏตัวบนร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์พลางก้มมองลงไปที่มู่เฉิน
ฮึ่ม!
เมื่อพูดจบลง ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ระเบิดแสงพราว ริ้วแสงขึ้นไปรวมตัวกันบนท้องฟ้า ก่อตัวเป็นหอกมากมายที่มีลวดลายจั้นเหวินปกคลุม กำจายด้วยรัศมีจั้นยี่อันเชี่ยวกราก
เพียงหอกเดียวก็สามารถฉีกร่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ ยิ่งด้วยจำนวนดังกล่าวแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ยังไม่สามารถหนีรอดได้
ช่างเป็นฉากที่ตระการตานัก
“ทักษะเทห์สวรรค์ พายุหอกสงคราม”
ฟิ้ว ฟิ้ว!
หลิงจั้นจื่อสะบัดนิ้ว หอกก็ทะยานออกมาราวกับห่าฝน ดูคล้ายกับก้อนเมฆสีดำขนาดใหญ่ห่อหุ้มมู่เฉินและร่างสีม่วงทอง เสียงเจาะโสตประสาทดังก้องไปทั่วขอบฟ้า
เมื่อมองเงาที่เกิดจากหอก ท่าทางของมู่เฉินก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน ดวงตาของเขาหดเกร็งก่อนที่มือจะประสานกันอย่างรวดเร็ว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ใต้ฝ่าเท้าก็ระเบิดด้วยแสงสีทองม่วง
“แสงอมตะ!”
แสงสีม่วงทองแปรปรวนโดยรอบ ดูราวกับเป็นเปลือกไข่สีม่วงทองห่อหุ้มมู่เฉินและร่างเทพสุริยะนิรันดร์ไว้
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์เป็นวิวัฒนาการของร่างเทพสุริยะ ดังนั้นความสามารถในการป้องกันจึงมากขึ้นตามไปด้วย แสงอมตะนี้ทำให้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์มีการป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
เคร้ง เคร้ง
ขณะที่แสงสีม่วงทองพวยพุ่งออกมา หอกก็กระแทกกับแสงก่อนที่จะชะลอลงและแข็งตัวเมื่ออยู่ห่างจากร่างสีม่วงทองไม่กี่เมตร
เมื่อมองจากที่ไกลร่างสีม่วงทองถูกปกคลุมด้วยหอกราวกับตัวเม่น
“ไปให้พ้น!”
มู่เฉินเบิกตากว้าง แสงสีม่วงทองก็กวาดออกมาก่อนที่เขาจะตบฝ่าเท้าลงไป ร่างเทพสุริยะนิรันดร์คำราม คลื่นเสียงกระเพื่อมออกมาราวกับพายุเฮอริเคนพัดหอกกลับไป
ปัง ปัง!
หอกถูกกวาดกลับไปในทิศทางของหลิงจั้นจื่อ
“หึ!”
หลิงจั้นจื่อวาดกระบวนท่าเร็วรี่ หอกละลายในรัศมีจั้นยี่ก่อนที่จะกลายเป็นจุดแสงห้อมล้อมรอบตัว
ตู้ม!
ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์กระทืบเท้า ร่างกายมหึมาก็กระโจนออกไปพร้อมกับหมัดที่อัดแน่นด้วยคลื่นหลิงเชี่ยวกรากซัดเข้าใส่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์อย่างป่าเถื่อน
ปัง!
พื้นดินที่อยู่ใต้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์พังทลายลง แต่มู่เฉินก็ไม่แสดงสัญญาณจะถอยเมื่อเผชิญหน้ากับร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ เขาควบคุมร่างสีม่วงทองเคลื่อนไหวออกไปเช่นกัน
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
เงาร่างสองร่างโรมรันพันตูกันในป่า ทุกครั้งที่ซัดหมัดออกไปก็มีคลื่นหลิงมหาศาลกวาดออก ทำให้มิติแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พื้นดินพังทลายเหวขนาดมหึมากระจายออกไปทั่วฟ้าดิน
ผู้ชมในจัตุรัสตะลึงงัน ขณะที่พวกเขาจ้องมองร่างสองร่างฟัดกันนัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเห็นว่าร่างสีม่วงทองของมู่เฉินสามารถทนต่อการโจมตีทำลายล้างของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ได้อย่างไร ดวงตาแต่ละคู่แทบถลนออกมานอกเบ้า
นั่นคือร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์นะ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ไม่สามารถต้านทานแม้แต่หมัดเดียวได้ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่สามารถทำอะไรกับร่างเวทสวรรค์ที่ลึกลับของมู่เฉินได้รึ?
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าหลังจากที่หลิงจั้นจื่อเรียกร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์สถานการณ์จะกลายเป็นพับกระดานสู้ด้านเดียว แต่ในความเป็นจริง…ร่างเวทสวรรค์ลึกลับของมู่เฉินไม่ได้อ่อนแอไปกว่าร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์เลย!
ครืนนนน!
การต่อสู้ที่สะเทือนโลกาสร้างหายนะในป่า เนินเขาราพณาสูรในเส้นทางที่เงาทั้งสองพุ่งผ่านไป
ตู้ม!
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์และร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ปะทะกันอีกครั้ง คลื่นพลังงานมหาศาลก็กวาดออก มิติแตกสลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยบินว่อน
ร่างทั้งสองกระเด็นออกจากกัน เงาขนาดใหญ่ก็พังทลายภูเขาเสียราบเตียน
หลิงจั้นจื่อยืนอยู่บนไหล่ของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์พร้อมกับใบหน้าดำคล้ำลง เขาไม่เคยคิดว่ามู่เฉินจะสามารถเผชิญหน้ากับเขาได้ถึงระดับนี้
ร่างเวทสวรรค์ลึกลับนั่นยากในการรับมือนัก
“เจ้านั่นฝึกฝนร่างเวทสวรรค์อะไร? ทำไมถึงไม่ได้อ่อนแอกว่าร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์เลย?”
ความไม่เต็มใจวาบขึ้นในดวงตาของหลิงจั้นจื่อ เขากวาดศัตรูจำนวนมากที่อยู่ในระดับเดียวกันด้วยร่างเวทสวรรค์นี้ แต่วันนี้เขากลับไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้
“เจ้านี่ประหลาดมาก ไม่ฉลาดที่จะลากการต่อสู้ออกไป ถึงเวลาจบแล้ว!”
ดวงตาของหลิงจั้นจื่อวูบไหวเมื่อมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับริ้วความเคร่งขรึม ไม่เหลืออาการดูถูกอีกต่อไป
เผชิญหน้ากับมู่เฉิน หลิงจั้นจื่อก็รู้อย่างชัดเจนว่าไม่สามารถออมมือหากต้องการชนะ
เขาไม่ลังเลอีกต่อไป สูดหายใจเข้าลึก แสงเย็นเยือกโหดเหี้ยมวาบในนัยน์ตา เขากระทืบเท้า ฝ่ามือเริ่มวาดตราประทับ
เมื่อกระบวนท่าเปลี่ยนแปลง ลูกแสงทรงกลมทั้งสามด้านหลังร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ระเบิดออกด้วยแสงแพรวพราวทันที มู่เฉินสังเกตเห็นว่าในลูกทรงกลมเหล่านั้นเหมือนจะเต็มไปด้วยเงาร่าง
ม่านตาของเขาก็หดลงทันที
เนื่องจากมีกองทัพชั้นยอดซ่อนอยู่ในลูกทรงกลมเหล่านั้น!
บทที่ 1257 เผชิญหน้าแบบสุดยอด
บนท้องฟ้าของป่ากว้างใหญ่
หลิงจั้นจื่อยืนตระหง่านพร้อมกับคลื่นหลิงทรงพลังพัดอยู่รอบตัวราวกับพายุ ลวดลายจั้นเหวินวูบวาบบนแขน ทำให้เขาดูราวกับเทพสงครามในขณะนี้ ช่างเต็มไปด้วยการขู่ขวัญนัก
หลิงจั้นจื่อมองอย่างไม่แยแสไปที่วิญญาณสงครามเต่าสีดำที่กระเด็นออกไป รวมถึงค่ายกลที่ถูกทำลาย รอยยิ้มเย้ยหยันเผยบนใบหน้าของเขา “ถ้านั่นเป็นทั้งหมดของเจ้า ข้าผิดหวังนัก”
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ บนใบหน้าของมู่เฉิน แต่แววตากลับเคร่งขรึมลง หลิงจั้นจื่อเป็นจอมยุทธ์ที่มีอำนาจมากที่สุดที่เขาเคยพบในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอย่างไม่ต้องสงสัย
ตามการประเมินของเขา หลิงจั้นจื่อน่าจะอยู่ที่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุด ซึ่งห่างจากขั้นเต็มอีกก้าวเดียวเท่านั้น
“สมกับเป็นศิษย์เอกของจักรพรรดิสัปประยุทธ์…”
มู่เฉินพึมพำจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น ไม่มีความกลัวใดๆ ในสายตา เขาคลี่ยิ้ม “ในเมื่อเจ้าอยากรู้ก็เข้ามาลองเลย ข้าเชื่อว่าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”
แม้ว่าหลิงจั้นจื่อจะทรงพลัง มู่เฉินก็ไม่ใช่คนธรรมดา ผู้ชนะในวันนี้ยังไม่ถูกตัดสิน
“จริงเหรอ? หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ไม่งั้นก็น่าเบื่อเกินไปแล้ว”
ตู้ม!
พูดจบหลิงจั้นจื่อก็ร่างเปลี่ยนเป็นภาพมายาพุ่งออกมา
เขาพยักหน้าเบาๆ ก็มาปรากฏตัวตรงหน้ามู่เฉินในพริบตา หมัดแย็บออกพร้อมกับแสงแวววาวระเบิดจากลวดลายจั้นเหวินบนแขนของเขา ทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ จากกำปั้นนี้
กำปั้นของหลิงจั้นจื่อขยายใหญ่ขึ้นในดวงตาของมู่เฉิน แต่เขาก็ไม่ได้หลบหลีก นั่นเพราะเขาต้องการจะรู้ว่าคลื่นหลิงของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุดทรงพลังเพียงใด
เจดีย์ผลึกแก้วใสส่องประกายในส่วนลึกของดวงตา แปลงคลื่นหลิงในร่างให้กลายเป็นผลึก ก่อนที่เขาจะกำมือแน่นแล้วเหวี่ยงกำปั้นออกไป
กำปั้นนี้แล่นแปลบปลาบด้วยประกายแสงอัญมณี คลื่นหลิงในร่างกายก็พวยพุ่งออกมาโดยไม่มีการยับยั้งใดๆ กลั่นตัวเข้าไปในแขนฉาบด้วยผลึกใสรอบกำปั้น
ตู้ม!
เมื่อหมัดทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง ความผันผวนที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็กระเพื่อมเป็นระลอก ต้นไม้ที่อยู่ภายในรัศมีหมื่นจั้งของป่าเบื้องล่างทั้งสองถูกบดขยี้กลายเป็นเถ้าถ่าน…
ขณะที่เศษไม้ปลิวว่อนร่างของมู่เฉินก็สั่นไหว เขากระเด็นออกไปเกิดร่องลึกยาวหลายพันจั้งบนพื้น…
เมื่อมู่เฉินทรงตัวได้มั่นคง ใบหน้าก็แดงขึ้นในเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะสงบลง เขารู้สึกเจ็บที่หมัดขณะจ้องมองหลิงจั้นจื่อด้วยสายตาลุกโชน “คลื่นหลิงทรงพลังอะไรอย่างนี้ นี่คือพลังของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุดสินะ”
หลิงจั้นจื่อก็ถอยออกไปหลายสิบก้าว แต่เมื่อเทียบกับมู่เฉินเขาอยู่ในสภาพที่ดีกว่ามาก ทว่าสายตาของเขากลับมืดครึ้มลงเล็กน้อย
แม้ว่ามู่เฉินจะโดนกำปั้นสอยออกไปหลายพันจั้ง แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
หลิงจั้นจื่อก้มศีรษะลงมองกำปั้นก็เห็นชั้นผลึกแวววาว นี่เป็นเศษคลื่นหลิงของมู่เฉิน ตอนที่กำปั้นของเขาปะทะกับกำปั้นของมู่เฉิน ผลึกคลื่นหลิงของมู่เฉินก็รุกเข้ามาในแขนของเขา
ที่ทำให้หลิงจั้นจื่อตกใจก็คือเขาตรวจพบว่าคลื่นหลิงจั้นที่อยู่ในเส้นทางของผลึกคลื่นหลิงถูกผนึกเอาไว้
แต่โชคดีที่เขาหมุนเวียนพลังงานอย่างรวดเร็วเพื่อระงับและขับไล่ผลึกพลังงาน แต่เพราะเหตุนี้ก็ทำให้พลังหมัดได้รับผลกระทบไปหลายส่วนเลยทีเดียว
ดังนั้นหมัดที่เขาตั้งใจจะเอาชีวิตของมู่เฉิน กลับได้ผลเพียงส่งให้อีกฝ่ายถอยออกไป
“คลื่นหลิงของเจ้านั่นแปลกขนาดนี้เชียว แม้แต่คลื่นหลิงจั้นของข้าก็ได้รับผลกระทบด้วย” หลิงจั้นจื่อขมวดคิ้วเบาๆ คลื่นหลิงจั้นของเขาอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับคลื่นหลิงสามัญ แต่ก็ยังได้รับผลกระทบจากคลื่นหลิงของมู่เฉิน แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าผลึกคลื่นหลิงที่มู่เฉินเพาะบ่มนั้นยอดเยี่ยมกว่าคลื่นหลิงจั้นรึ?
“หึ ถึงแกจะมีกลยุทธ์ในแขนเสื้ออยู่บ้าง แต่เพียงสิ่งนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์!”
หลิงจั้นจื่อจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา แม้ว่าผลึกคลื่นหลิงของมู่เฉินจะผิดแผก แต่มู่เฉินก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น
“น่าสนใจ ข้าอยากเห็นว่าคลื่นหลิงของแกจะช่วยได้สักกี่น้ำ”
หลิงจั้นจื่อกล่าวเสียงเย็นชาก่อนที่จะหายใจเข้าลึก ลวดลายจั้นเหวินมากขึ้นปรากฏบนแขน รัศมีอันตรายเล็ดลอดออกมาจากร่างกาย
เมื่อมู่เฉินสัมผัสได้ถึงอันตราย สายตาก็แข็งเกร็ง ดูเหมือนว่าหลิงจั้นจื่อตัดสินใจที่จะปะทะแบบจริงจังแล้ว
ฟู่ ฟู่!
หลิงจั้นจื่อยืนอยู่บนท้องฟ้า เมื่อลวดลายจั้นเหวินปรากฏมากขึ้นบนแขน พายุป่าเถื่อนก็ระเบิดขึ้นไปทั่ว เมื่อปั่นป่วนถึงขีดจำกัด ประกายแสงก็ส่องแวววับในดวงตาของเขา
เขาค่อยๆ ยกฝ่ามือขึ้น จากนั้นก็เริ่มขยายขนาดใหญ่ขึ้นในเวลาไม่กี่ลมหายใจ
มือมหึมาปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วน รัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากมารวมตัวกัน เวลานี้มือดูราวกับเป็นหัตถ์เทพสงครามที่กดลงมาจากท้องฟ้า
ทันใดนั้นก็ส่งผลให้คลื่นหลิงทั่วบริเวณเดือดปุด
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม ล้านหัตถ์โอบสวรรค์!”
หลิงจั้นจื่อมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะกระแทกฝ่ามือ เสียงเย็นยะเยือกแฝงไอสังหารสะท้อนทั่วบริเวณนี้
ขณะที่ฝ่ามือบีบกดลงมาความโกลาหลก็ดังขึ้นในหมู่ผู้ชม
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็มรึ?!”
“หลิงจั้นจื่อโหดเหี้ยมมาก เขาตั้งใจจะฆ่าแล้ว!”
“ตอนนี้มู่เฉินอยู่ในจุดอันตรายซะแล้ว”
จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนจ้องมองไปที่หน้าจอแสงด้วยความตกใจ การโจมตีของหลิงจั้นจื่อเป็นสิ่งที่จะทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังรู้สึกหนังหัวด้านชาไปหมด
หลิ่วซิงเฉินที่อยู่ในจัตุรัส ความเข็ดขยาดก็โหมกระพือในดวงตาเมื่อเห็นมือใหญ่นั่น
เพราะในการปะทะกับหลิงจั้นจื่อ เขาเสียเปรียบในกระบวนท่านี้
ในมือใหญ่นี้เหมือนมีลวดลายจั้นเหวินนับล้านลายบวกกับคลื่นหลิงที่มี ช่างดุร้ายเกินคณนาแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็อาจพังพาบได้หากประมาท
หลิ่วซิงเฉินมองดูเงาเล็กใต้มือนั่นพูดพึมพำว่า “มู่เฉิน… เจ้าจะรับได้ไหม…”
มู่เฉินมองมือใหญ่โตนิ่ง
เขาไม่คิดว่าหลิงจั้นจื่อจะสามารถใช้วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็มได้ด้วย
“สมกับเป็นศิษย์เอกจักรพรรดิสัประยุทธ์ ไพ่ลับช่างเยอะนัก” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะอุทาน
ดวงตาของหลิงจั้นจื่อเปล่งประกายเย็นชาพร้อมด้วยสีหน้าไม่แยแสโดยไม่มีคำพูดใดๆ ก่อนที่มือจะบีบกดลงมาในทิศทางของมู่เฉิน
ตู้ม!
เมื่อฝ่ามือบีบกดลงมา พื้นดินก็พังทลายลงเป็นหลุมขนาดใหญ่
เงาขนาดใหญ่คลี่ออก มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปก่อนจะหายใจออกแรงๆ มือประสานเข้าด้วยกัน
ฮึ่ม!
คลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกจากร่าง อึดใจร่างเงาขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นด้านหลังมู่เฉิน
เงาสีทองยืนตระหง่านเบื้องหลังมู่เฉินพร้อมกับแสงสีม่วงทองเปล่งประกายทำให้ดูลึกลับนัก
เห็นได้ชัดว่าเมื่อเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อ มู่เฉินก็ไม่กล้าที่จะออมมือ นำร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมาทันที
ซ่า!
เมื่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปรากฏขึ้นคลื่นหลิงก็ก่อตัวขึ้นเป็นแม่น้ำ แม่น้ำสีม่วงทองพร่างพราวแวววาวด้วยประกายสีทอง ก่อนที่จะก่อตัวขึ้นเป็นลวดลายลึกลับสิบสองลายอย่างรวดเร็ว…
กระบวนท่าของมู่เฉินเปลี่ยนไป ลวดลายสิบสองลายก็พวยพุ่งสูงขึ้น ก่อนที่จะมารวมกันเป็นร่มสีม่วงทองขนาดมหึมา
“รหัสเทพอมตะ แปรเปลี่ยน!”
“ร่มม่วงทอง!”
มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อร่มขนาดใหญ่ก็ปะทะกับมืออันใหญ่โต
ครืน!
เมื่อปะทะกัน เสียงครางกระหึ่มก็ดังขึ้นระหว่างสวรรค์และโลก ร่มโค้งงอลงราวกับกำลังจะหัก
แต่เมื่อทุกคนคิดว่าร่มกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ลวดลายสีม่วงทองก็เปล่งประกายแวววาว แสงสีม่วงทองลึกลับกวาดไปทั่วขอบฟ้า
ปัง!
ร่มที่โค้งลงราวกับลวดสปริง ดีดกลับอย่างแรงพร้อมกับแรงน่าสะพรึงกลัวเทลงบนมือ
ครืนๆๆๆ!
เสียงดังก้องขึ้น จากนั้นทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าลวดลายจั้นเหวินบนมือใหญ่เริ่มแตกสลาย
ปัง ปัง ปัง!
ในเวลาไม่กี่ลมหายใจมือก็กระเด็นกลับไป หดลงจนมีขนาดเท่าปกติ
ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม มือของเขาสั่นเทิ้มปรากฏริ้วเลือด เห็นได้ชัดว่ามือนี้ได้รับบาดเจ็บจากแรงสะท้อนกลับ
“น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ…” สายตาของหลิงจั้นจื่อจ้องมองร่างเทพสุริยะนิรันดร์ใต้ฝ่าเท้าของมู่เฉิน นี่คือร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินฝึกฝน ซึ่งเป็นร่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้นไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน!
มู่เฉินยืนอยู่บนไหล่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์จ้องมองหลิงจั้นจื่อพูดช้าๆ ว่า “นำร่างเวทสวรรค์ของเจ้าออกมา มิฉะนั้นก็อย่าหวังว่าจะทำอะไรข้าได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน หลิงจั้นจื่อก็ไม่ได้เยาะเย้ย เนื่องจากกระบวนท่าเมื่อสักครู่ทำให้เขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจัดการมู่เฉิน ตราบใดที่มู่เฉินมีร่างสีม่วงทองยิ่งใหญ่นี่
ต้องใช้ร่างเทห์สวรรค์เผชิญหน้ากันเท่านั้น
หลิงจั้นจื่อจ้องไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชาพูดว่า “มู่เฉิน วันนี้ต่อให้แกแพ้ก็จงภูมิใจที่บังคับให้ข้านำร่างเวทสวรรค์ออกมาได้!”
ตู้ม!
เมื่อพูดจบ แสงพร่างพราวก็ปะทุขึ้นที่ด้านหลังเขาพร้อมกับเสียงคำรามสะเทือนสวรรค์และโลก
ร่างมหึมาค่อยๆ ก่อตัวขึ้นด้านหลังหลิงจั้นจื่อ แรงกดดันทรงพลังค่อยๆ รวมตัวทั่วภูมิภาคในเวลานี้
ขณะที่ความกดดันแผ่ขยายออกไป เสียงลึกซึ้งของหลิงจั้นจื่อก็ดังทั่วฟ้าดิน
“ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์…ปรากฏ!”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1256 พลังอำนาจของหลิงจั้นจื่อ
เงาจอมยุทธ์ทั้งหกยืนประจันหน้ากันในฟ้าดินกว้างใหญ่
พายุทรงพลังกวาดไปทุกทิศทาง ทำให้ท้องฟ้าถึงกับส่งเสียงครวญครางเบาบาง
แรงกดดันอันทรงพลังปกคลุมสวรรค์และโลก ทำให้บรรยากาศตึงเครียดจนถึงจุดที่แม้แต่เสียงโห่ร้องในจัตุรัสยังเงียบลงทันที
ทุกคนพุ่งมองไปที่หน้าจออย่างตื่นเต้น เนื่องจากพวกเขารู้ว่าหลังจากผ่านการคัดออกไปหลายครั้ง สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายก็มาถึงเวลาตัดสิน หนึ่งในหกคนนี้จะได้รับฉายานักรบแห่งทวีปไป
แต่เห็นได้ชัดว่าคนส่วนใหญ่โอนเอียงไปทางเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม เพราะไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือความสำเร็จ พวกเขาก็เหนือกว่าพวกมู่เฉิน
สำหรับมู่เฉินที่แทนตำแหน่งหลิ่วซิงเฉิน พวกเขาแค่คิดสั้นๆ และรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อแม้ว่าจะมีไพ่ตายไม่น้อย เพราะขนาดหลิ่วซิงเฉินยังแพ้ให้หลิงจั้นจื่อเลย
ดูเหมือนว่าแค่ตัดสินจากการรวมตัว เทพจอมยุทธ์ทั้งสามคนก็ชนะขาดแล้ว
“เฮ้อ… ดูเหมือนว่าพวกเขาสามคนจะกลับมามือเปล่าแล้ว” บางคนถอนหายใจ เทพจอมยุทธ์ตำหนักซีเทียนทรงพลังเกินไปและหาที่เปรียบไม่ได้ท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังเดียวกัน
“สรรพสิ่งในโลกล้วนไม่แน่นอน ใครจะรู้ว่าอาจมีเรื่องคาดไม่ถึงเกิดขึ้นก็ได้… มีเรื่องเหนือคาดมากมายเกิดในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแห่งนี้แล้ว” แต่ก็มีคนที่มีมุมมองอื่นและไม่คิดว่าเทพจอมยุทธ์จะเป็นฝ่ายชนะแน่นอน เพราะต่อให้เทพจอมยุทธ์จะทรงพลัง แต่พวกมู่เฉินก็ไม่ใช่ว่าจะจัดการได้ง่ายๆ
“แต่ไม่ว่าอย่างไรการต่อสู้ครั้งนี้คงจะต้องเข้มข้นถึงใจ… แค่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนสุดท้ายที่ยืนหยัด”
ประโยคนี้ทำให้เหล่าผู้ชมสะท้อนไปด้วย เพียงแค่ความจริงที่ทั้งหกคนสามารถอยู่จนถึงวินาทีนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าพวกเขาโดดเด่นขนาดไหน
บนท้องฟ้า
สายตาหกคู่จ้องมองกันพร้อมกับรัศมีเย็นเยือกเจาะกระดูกกำจายออกมา
“ฮ่าๆ ลูกหนูสามตัวมารวมกันที่นี่แล้วสินะ?”
หลิงเจี้ยนจื่อเอ่ยทำลายความเงียบขณะมองศัตรูคล้ายกับนักล่ามองเหยื่อ
“อย่าคิดว่าตัวเองเป็นนักล่าเสมอไป นอกจากนี้แม้แต่นักล่าก็ยังมีโอกาสถูกเหยื่อกัดตาย” ซูมู่ยกเปลือกตาขึ้นมองหลิงเจี้ยนจื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“โอ้? จริงเหรอ?”
หลิงเจี้ยนจื่อยักไหล่ ยิงฟันแสยะยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็หักแขนขาของเหยื่อซะให้กุด เพื่อที่พวกมันจะไม่มีแรงตอบโต้”
ขณะที่หลิงเจี้ยนจื่อกกับซูมู่เชือดเฉือนวาจาใส่กัน ไอสังหารก็พวยพุ่งในดวงตา เห็นชัดว่าทั้งสองคนเป็นศัตรูคู่แค้นกันอยู่แล้ว
เมื่อหลิงเจี้ยนจื่อและซูมู่เผชิญหน้ากัน หลิงจั้นจื่อก็มองอย่างเฉยเมยมาที่มู่เฉินก่อนจะยิ้ม “ป้ายสัประยุทธ์ของหลิ่วซิงเฉินคงอยู่ในมือเจ้าใช่ไหม”
มู่เฉินพยักหน้าตอบรับอย่างนิ่งเรียบ
“เอามาให้ข้าแล้วไสหัวไป เจ้าเป็นคนที่เทพจักรพรรดิอัคคีเลือก ข้าไม่อยากให้เจ้าสร้างความอับอายขายหน้ากับตัวเองและเขา” หลิงจั้นจื่อแบมือออกแล้วยิ้มให้มู่เฉิน ทว่าไม่มีความอบอุ่นในรอยยิ้มมีแต่ความไม่แยแส
เผชิญหน้ากับสายตาไม่แยแส รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมู่เฉินจากนั้นส่ายหัว “ไม่”
“ฮ่าๆๆๆ!”
คำตอบง่ายๆ ของมู่เฉินทำเอาฉู่เหมินระเบิดเสียงหัวเราะสาแก่ใจ แม้ว่าคำพูดของหลิงจั้นจื่อจะฟังดูอ่อนโยน แต่การดูถูกเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ต้องโกรธ ทว่าการตอบกลับอย่างจริงจังของมู่เฉินได้เปลี่ยนการพูดจาครอบงำของหลิงจั้นจื่อเป็นมุกตลกไป
หลิงจั้นจื่อจ้องมองมู่เฉินพลางพยักหน้า “งั้นก็ห้ามโทษข้าที่ไม่ให้หน้าท่านเทพจักรพรรดิอัคคีซะล่ะ”
“การให้หน้าเทพจักรพรรดิอัคคี… บางทีจักรพรรดิสัประยุทธ์อาจมีคุณสมบัติที่จะพูดคำเหล่านั้น สำหรับเจ้า…แม้ว่าจะเป็นศิษย์ที่ได้รับการดูแลจากจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เหมือนฝุ่นเมื่อเทียบกับเขา” มู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
มู่เฉินไม่ชอบน้ำเสียงเสแสร้งของหลิงจั้นจื่อ ดังนั้นเขาจึงหักหน้าไม่ยั้งโดยไม่คิดจะไว้หน้าอีกฝ่ายแต่อย่างใด
สำหรับหลิงจั้นจื่อการโต้แย้งของมู่เฉินปีนเกลียวน่าดู ดังนั้นเขาจึงจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินครู่หนึ่งก่อนที่จะนวดหว่างคิ้วตัวเอง “ท่าทางแกรนหาที่ตายนะ”
เสียงของเขาสงบ แต่ใครๆ ก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารในคำพูดนี้
หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของหลิงจั้นจื่อ จากนั้นพวกเขาก็มองมู่เฉินด้วยความสงสาร นั่นเป็นเพราะพวกเขาเข้าใจในตัวหลิงจั้นจื่อเป็นอย่างดี เมื่อใดที่หลิงจั้นจื่อคิดจะสังหาร เขาก็จะนวดหว่างคิ้วตัวเอง และผลลัพธ์สุดท้ายของศัตรูเหล่านั้นก็น่าอนาถอย่างยิ่ง
อีกครู่มู่เฉินก็จะรู้ราคามหาศาลที่ต้องจ่ายสำหรับการท้าทายหลิงจั้นจื่อ
“เลือกคนเถอะ”
หลิงจั้นจื่อมองไปที่หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อก็พูดขึ้น
หลิงเจี้ยนจื่อหัวเราะก่อนจะทะยานไปยังภูเขาที่ห่างไกล รัศมีกระบี่คมกริบพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงหัวเราะ “ซูมู่มาดูกันสิว่าเจ้าสามารถรักษาชื่อของตัวเองในฐานะกระบี่เทพไว้ได้ไหมหลังจากวันนี้!”
“คิดว่าข้ากลัวเรอะ?!”
ซูมู่เค้นเสียงก่อนที่ทะยานออกไปราวกับกระเรียนยักษ์ รัศมีกระบี่ที่ไร้ขอบเขตพุ่งตรงไปยังเทือกเขา
เมื่อเห็นว่าหลิงเจี้ยนจื่อปะทะซูมู่แล้ว สายตาของหลิงหลงจื่อก็กวาดไปที่ฉู่เหมินที่มีรูปร่างกำยำพลางยิ้ม “เราไปเล่นมั่งไหม?”
“ตามขอ!”
ฉู่เหมินทะยานออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงรุนแรงอัดแน่นทั่วบริเวณ
หลิงหลงจื่อก็คำรามแล้วไล่ตามไป
ทั้งสี่หายไป ในป่ากว้างใหญ่ก็เงียบสงบเหลือเพียงมู่เฉินกับหลิงจั้นจื่อยืนเผชิญหน้ากัน ไอสังหารเริ่มก่อตัวในสายตาของพวกเขา
โฮก!
มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ นำกองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจออกมา จากนั้นก็กลั่นรัศมีจั้นยี่ก่อตัวเป็นวิญญาณสงครามเต่าดำ ควบคุมให้พุ่งเข้าใส่หลิงจั้นจื่อ
เผชิญหน้ากับวิญญาณสงครามเต่าดำที่ทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาหวาดกลัว หลิงจั้นจื่อกลับไม่มีระลอกคลื่นใดๆ ในสายตา เขายื่นมือออกมาพลางกระทืบฝ่าเท้าพื้นดิน เงาร่างทะยานออกไป
ตู้ม!
อึดใจเดียวเขาก็ไปปรากฏเบื้องหน้าวิญญาณสงครามเต่าดำ ฝ่ามือทั้งสองยื่นปะทะเข้าไปจังใหญ่
ปัง ปัง!
คลื่นกระแทกรุนแรงที่เกิดจากการเผชิญหน้าของพลังสองสายผันผวนไปทั่วบริเวณ
ดวงตาของมู่เฉินหดลง เนื่องจากเขาเห็นว่าหลิงจั้นจื่อราวกับหินผา ไม่ว่าวิญญาณสงครามเต่าดำจะปล่อยพลังรุนแรงยังไงก็ไม่สามารถผลักอีกฝ่ายกลับไปได้
แคว๊ก!
แขนเสื้อของหลิงจั้นจื่อฉีกขาดจากคลื่นกระแทกเผยให้เห็นรอยลึกนับไม่ถ้วนที่ปกคลุมแขน
เมื่อมองที่ร่องรอยเหล่านั้นหัวใจของมู่เฉินก็สั่นไหว เนื่องจากเขาพบว่านั่นคือลวดลายจั้นเหวินทั้งหมด!
ทว่าลวดลายจั้นเหวินที่ควรปรากฏในวิญญาณสงครามกลับเผยขึ้นบนร่างกายของหลิงจั้นจื่อ!
“เป็นเพราะคลื่นหลิงจั้นของจักรพรรดิสัประยุทธ์เรอะ?” ดวงตามู่เฉินกะพริบวูบไหว ว่ากันว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์สามารถหลอมรวมคลื่นหลิงของตนเองและรัศมีจั้นยี่ให้กลายเป็นคลื่นหลิงที่ไม่เหมือนใครหรือที่รู้จักในชื่อคลื่นหลิงจั้น!
ร่างของหลิงจั้นจื่อเล็กมากเมื่อเทียบกับวิญญาณสงครามเต่าดำขณะที่ทั้งสองปะทะกัน ลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วนแล่นแปลบปลาบบนแขนเขา จากนั้นเสียงคำรามก็ดังก้อง
“ไสหัวไป!”
ขณะที่เขาแผดเสียง แสงก็ระเบิดออก วิญญาณสงครามเต่าสีดำกระเด็นกลับมาสร้างรอยไถลหลายหมื่นจั้งบนพื้น
หลิงจั้นจื่อยืนบนอากาศพร้อมกับคลื่นหลิงที่น่าเกรงขามและดุร้ายซึ่งระเบิดออกจากร่างเขา ยามนี้เขาราวกับเทพสงครามก็มิปาน
สายตาของเขาวูบไหวขณะมองมู่เฉินพูดด้วยเสียงเย็น “เจ้ายังอ่อนไปที่คิดจะใช้รัศมีจั้นยี่กับข้า!”
พูดจบเขาก็ก้าวไปข้างหน้า ร่างกลายเป็นภาพมายาโจนตัวเข้าใส่มู่เฉิน
แต่เมื่อเขาอยู่ห่างจากมู่เฉินหนึ่งพันจั้ง คลื่นหลิงก็คำรามทั่วบริเวณ ค่ายกลขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น มังกรเก้าตัวทะยานออกมา
ทว่าเผชิญหน้ากับค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร หลิงจั้นจื่อก็ไม่แสดงสัญญาณถอยกลับ เขาซัดหมัดลงไปบนมังกรทุกตัวที่ปรากฏเบื้องหน้า
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
เสียงระเบิดดังก้อง ทุกเพลงหมัดของเขาทรงพลังน่าสะพรึงกลัว ทำให้มิติแตกสลาย มังกรถูกทำลาย
เมื่อหมัดที่เก้าแย็บออกไป ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็ถูกทำลาย
ขณะนี้หลิงจั้นจื่อไร้เทียมทานยิ่งนัก!
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดไปกับภาพตรงหน้า แม้ว่าเขาจะไม่ชอบหลิงจั้นจื่อ แต่ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายถือได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในบรรดาระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายที่มู่เฉินเคยพบเจอ
เมื่อผู้ชมที่ภายนอกเห็นฉากนี้ พวกเขาก็ตะลึงงัน ชัดว่าตกใจกับการเคลื่อนไหวของหลิงจั้นจื่อที่ซัดวิญญาณสงครามเต่าดำถลาออกไป หลังจากนั้นก็เหวี่ยงหมัดจัดการมังกรอีกเก้าตัวเพื่อทำลายค่ายกล
ขณะนี้ในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าผู้นำในหมู่เทพจอมยุธ์ตำหนักซีทรงพลังเพียงใด!
แม้แต่ใบหน้าของลั่วเทียนเสินยังเต็มไปด้วยความกลัวและความกังวลในสายตา เขารู้ว่าการเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อ แม้แต่มู่เฉินก็ตกอยู่ในอันตราย
บทที่ 1255 ศึกชี้ชัด
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เมื่อซูมู่วาดกระบี่ขึ้นรัศมีกระบี่ที่น่าสะพรึงก็ระเบิดออกอาละวาดไปมาระหว่างสวรรค์และโลก รอยบากที่น่าทึ่งทิ้งไว้ที่ด้านหลัง
เขามองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตาวูบไหว ความอบอุ่นที่เคยมีมาก่อนถูกลบออกไปหมดแล้ว
การทูตก่อนความรุนแรง ในเมื่อพวกเขาเจรจากันจบแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาสำหรับความรุนแรง… เนื่องจากพวกเขาต้องการทดสอบพลังของมู่เฉิน หากมู่เฉินไม่ผ่านการพิจารณา พวกเขาก็จะยึดป้ายสัประยุทธ์กลับมาทันที
ความเท่าเทียมกันระหว่างพวกเขาถูกสร้างขึ้นบนบรรทัดฐานของความแข็งแกร่ง
ถ้ามู่เฉินต้องการได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียม เขาก็ต้องแสดงพลังให้เป็นที่ประจักษ์
มู่เฉินรู้ชัดเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ “งั้นโปรดชี้แนะข้าด้วย”
เมื่อเห็นว่าไม่มีความกลัวใดบนใบหน้าของมู่เฉิน ซูมู่ก็พยักหน้าเบาๆ เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของมู่เฉินมาก่อน ดังนั้นอีกฝ่ายคงต้องมีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง
แต่ตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับเทพจอมยุทธ์ ทั้งสามคนนั่นมีชื่อเสียงเลื่องลือในทวีปซีเทียน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องตรวจสอบว่ามู่เฉินมีความแข็งแกร่งพอหรือไม่ มิฉะนั้นแม้ว่าพวกเขาปะทะกับทั้งสามคนนั่น มู่เฉินก็จะเป็นคนที่สูญเสียเร็วที่สุด ทำลายแผนการของพวกเขาไป
ถ้าเป็นกรณีนั้นพวกเขายึดป้ายสัประยุทธ์จากมู่เฉินซะยังจะดีกว่า เพื่อแลกเปลี่ยนสมบัติและออกจากสนามรบไป
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูมู่ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาดึงกระบี่ออกจากฝักแล้วควงเบาๆ
ฮึ่ม
กระบี่กวัดแกว่ง ระลอกคลื่นก็สั่นสะเทือนทั่วมิติราวกับสายน้ำ อึดใจต่อมากระบี่คมกริบก็ขยายขนาดยาวถึงหนึ่งพันจั้งฉีกท้องฟ้าออกจากกัน ขณะที่พุ่งไปทางมู่เฉิน
กระบี่ดูราวกับแยกสรรพสิ่งออกจากกันได้ เผชิญหน้ากับกระบี่แหลมคมเช่นนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ต้องหลบและไม่กล้าที่จะปะทะตรงๆ
เห็นได้ชัดว่าซูมู่ไม่คิดออมมือในกระบวนท่านี้!
“กระบี่เทพหมาป่าสมชื่อเสียงแท้จริง”
มู่เฉินชื่นชมรัศมีกระบี่ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดตัวออกมาพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า กลายเป็นวิญญาณสงครามเต่าดำคำรามลั่นป้องกันเขาเอาไว้
วาบ!
กระบี่พุ่งชนวิญญาณสงครามเต่าดำ มันร้องคำรามพร้อมด้วยรัศมีจ้นยี่ที่พลุ่งพล่าน ขณะที่พยายามปิดกั้นไว้ แต่อึดใจต่อมารัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตก็ถูกเฉือนออกทิ้งรอยไว้บนร่างวิญญาณสงครามที่เกือบจะแยกออกจากกัน
รัศมีกระบี่ของซูมู่ตัดแนวป้องกันของวิญญาณสงครามเต่าดำได้!
แต่เมื่อทะลุผ่านแนวป้องกันไป กระบี่ก็จางและช้าลง แต่ก็ยังคงทะยานไปหามู่เฉินราวกับว่าจะไม่หยุดจนกว่าจะได้ลิ้มรสเลือด
เมื่อกระบี่ขยายอย่างรวดเร็วในดวงตาของมู่เฉิน กำลังจะเข้าสู่รัศมีหนึ่งร้อยจั้ง ค่ายกลก็ปรากฏรอบตัวมู่เฉิน มังกรเก้าตัวคำรามปล่อยลมปราณออกมาปะทะกับกระบี่
ปัง ปัง!
ดาบพุ่งเข้ามาทำลายลมปราณมังกรอย่างต่อเนื่อง แทงทะลุผ่านค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารมาปรากฏต่อหน้ามู่เฉิน มุ่งหน้าไปที่กึ่งกลางของคิ้ว
“น่าเกรงขามนัก”
เมื่อเห็นว่าแม้แต่วิญญาณสงครามเต่าดำและค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารยังไม่สามารถหยุดกระบี่ของซูมู่ได้ มู่เฉินก็กล่าวชื่นชมก่อนที่ผลึกใสจะสั่นไหวในม่านตาของเขา
วาบ!
เมื่อกระบี่มาถึง ทว่าขณะที่กำลังจะเจาะลงตรงหว่างคิ้วของมู่เฉิน ผลึกแสงก็ยิงออกมาจากหน้าผากของมู่เฉิน ก่อตัวเป็นเจดีย์ผลึกแก้วใสที่งดงาม
กระบี่และเจดีย์ปะทะกันจังใหญ่
เคร้ง!
ภูเขาที่มู่เฉินนั่งอยู่ถูกตัดเป็นก้อนหินน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนก่อนที่จะกลิ้งตกลงมา
ผลึกแสงแวววาวโอบล้อมกระบี่ ทำให้กระบี่ค่อยๆ สลายหายไป
เมื่อกระบี่หายไปเจดีย์ผลึกแก้วใสก็กลับไปสถิตในหว่างคิ้วของมู่เฉินเช่นเดิม ก่อนที่เขาจะโบกมือสลายวิญญาณสงคราม จากนั้นก็ยิ้มกว้างให้ซูมู่ “กระบี่เทพหมาป่าคู่ควรกับชื่อเสียงเจ้าจริงๆ”
มู่เฉินไม่ได้โกหก กระบี่เล่มนี้แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายซูมู่ก็ยังเป็นจอมยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม รัศมีกระบี่นั่นเป็นสิ่งที่กระทั่งวิญญาณสงครามและค่ายกลยังไม่สามารถต้านได้
“กระบี่เล่มนั้นดูเหมือนจะไม่ธรรมดา”
มู่เฉินมองกระบี่ของซูมู่ แม้ว่าจะดูไม่โดดเด่น แต่จากการคาดเดาอาจเทียบเคียงได้กับพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจของมั่นถัวหลัวซึ่งเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลางได้เลยทีเดียว
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่ได้รับอันตรายอะไร ซูมู่ก็หดตาลงก่อนจะแลกเปลี่ยนสายตากับฉู่เหมิน ต่างก็มองเห็นความเคร่งเครียดในสายตาของกันและกัน
แม้ว่าเพลงกระบี่นี้จะไม่ใช่วิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของซูมู่ แต่เขาก็ไม่ได้ออมมือ ทว่าการโจมตียังถูกสกัดได้โดยมู่เฉิน ที่สำคัญที่สุดมู่เฉินยังมีพลังงานเก็บกักเอาไว้อีกด้วย
นั่นหมายความว่ากระบี่ของเขายังไม่เพียงพอที่จะบังคับให้มู่เฉินนำไพ่ตายออกมา สิ่งที่พวกเขาเห็นตอนนี้เป็นเพียงไพ่ที่มู่เฉินเคยเปิดเผยต่อหน้าทุกคนมาแล้วเท่านั้น
ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ซูมู่และฉู่เหมินรู้สึกถึงความไม่อาจหยั่งรู้จากมู่เฉิน
“ตอนนี้ข้ามีคุณสมบัติรึยัง?” มู่เฉินมองทั้งสองก่อนจะยืดตัวพลางยิ้ม
ซูมู่พยักหน้า แม้แต่การแสดงออกของฉู่เหมินก็ดูเป็นมิตรมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าพลังของมู่เฉินได้รับการยอมรับ
“ไม่น่าแปลกใจที่ชื่อเสียงของพี่มู่เติบโตอย่างรวดเร็ว การได้เห็นด้วยตาตัวเอง ข่าวลือไม่ผิดเลย” ซูมู่และฉู่เหมินเดินเข้ามาหามู่เฉินขณะที่ยิ้มแป้น
มู่เฉินยิ้มตอบอย่างสุภาพก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อ “ไม่รู้ว่าต่อจากนี้เจ้าทั้งสองวางแผนอะไรไว้บ้าง”
ที่เขาพูดก็คือแผนการจัดการกับเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม
ฉู่เหมินแลกเปลี่ยนสายตากับซูมู่ก็พูดว่า “จากการประเมินของพวกเรา เทพจอมยุทธ์น่าจะกำลังกวาดล้างสนามรบอยู่ในตอนนี้ อีกไม่นานก็คงเหลือเพียงพวกเราสามคนที่จะอยู่ในสนามรบแห่งนี้”
“พวกมันคิดจะสู้ศึกสุดท้ายแล้ว” สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เทพจอมยุทธ์ทั้งสามตั้งใจที่จะล้างบางที่นี่ เพื่อจะไม่มีใครหาผลประโยชน์ได้อีก
“ถ้าเราต้องเผชิญหน้ากับพวกมันในการต่อสู้ตัดสิน ใครจะจับคู่กับใคร?” มู่เฉินถามอีกครั้ง
ฉู่เหมินเกาหัวตอบว่า “ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับพี่หลิ่ว ข้าจะปะทะกับหลิงหลงจื่อที่มีร่างกายทรงพลัง พวกข้าอยู่บนเส้นทางการฝึกฝนแบบเดียวกัน ดังนั้นน่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกันได้”
“ส่วนพี่ซูจะปะทะกับหลิงเจี้ยนจื่อ เนื่องจากพวกเขาทั้งสองได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพกระบี่ที่โด่งดัง มิหนำซ้ำพวกเขายังเป็นศัตรูกันในอดีตด้วย ครั้งนี้พวกเขาตั้งใจจะชำระหนี้แค้นกันทั้งหมด”
ขณะที่พูดฉู่เหมินและซูมู่ก็มองไปที่มู่เฉินอย่างกระอักกระอ่วน หากเป็นในกรณนี้จอมยุทธ์ที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาสามเทพจอมยุทธ์ซึ่งก็คือหลิงจั้นจื่อจะเป็นหน้าที่ของมู่เฉิน
“ถ้าพี่มู่ไม่ไหว ข้าจะรับมือหลิงจั้นจื่อเอง” ซูมู่ครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะกัดฟันตอบ
เขารู้ดีว่าหลิงจั้นจื่อทรงพลังเพียงใดในหมู่พวกเขา ขนาดหลิ่วซิงเฉินที่ว่าแน่ยังพ่ายแพ้ให้ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อก็ไม่มีโอกาสชนะ เขาทำได้เพียงลากเวลาออกไปรอให้มู่เฉินและฉู่เหมินคว้าชัยชนะมาก่อนที่จะพลิกสถานการณ์
หลังจากคิดสักพักมู่เฉินก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่ในเมื่อข้าได้รับป้ายสัประยุทธ์ของพี่หลิ่ว ข้าก็ต้องสืบทอดเจตนารมณ์ของเขา”
“นอกจากนี้…ข้าคว้ารางวัลของหลิงจั้นจื่อมา ดังนั้นมันคงไม่ปล่อยข้าไปแน่”
มู่เฉินไม่ได้รับความปรารถนาดีของซูมู่ เขายังไม่เชื่อใจอีกฝ่ายมากนัก เพราะพวกเขากำลังจะดวลเดือดแบบสามต่อสาม ดังนั้นหากมีอะไรเกิดขึ้นกับซูมู่แผนการทั้งหมดก็จะล้มเหลวไม่เป็นท่า นี่คือสิ่งที่มู่เฉินไม่ต้องการเห็น
ถ้าเป็นแบบนี้เขาเป็นคนปะทะกับหลิงจั้นจื่อเองดีกว่า เพราะตรงข้ามกับความกลัวและความไม่สบายใจที่ทั้งสองมี เขาไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวหลิงจั้นจื่อแม้แต่น้อยและหวังที่จะต่อสู้กับอีกฝ้าย
เนื่องจากหลิงจั้นจื่อเป็นหินลับมีดชั้นดีสำหรับเขาที่จะทดสอบขีดจำกัดของตน!
เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมู่เฉิน ซูมู่และฉู่เหมินก็อึ้งไป พวกเขาสัมผัสได้ว่ามู่เฉินไม่มีร่องรอยความกลัวหลิงจั้นจื่อเลยสักนิด
“บางที…เขาอาจจะต่อกรกับหลิงจั้นจื่อได้จริงๆ ล่ะมั้ง?”
ทั้งสองที่รับรู้อารมณ์ของมู่เฉินก็รู้สึกสบายใจ ความคาดหวังเพิ่มขึ้นในใจ
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราก็รออยู่ที่นี่ให้การดวลครั้งสุดท้ายมาถึง”
มู่เฉินยิ้มให้ทั้งสองก่อนที่จะทะยานตัวไปนั่งลงบนยอดต้นไม้โบราณ
ซูมู่และฉู่เหมินก็ทะยานขึ้นไปนั่งบนภูเขาสองลูกที่อยู่ใกล้เคียง สายตาของพวกเขาสั่นไหว คลื่นหลิงที่ผันผวนอยู่รอบร่าง แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่ไม่สงบ
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ภายใต้การรอคอยของพวกเขาหนึ่งวันก็ผ่านไป
ต่อให้นั่งเงียบอยู่ที่นี่ ทว่าทั้งสามก็รู้สึกได้ว่าทั่วมิติว่างเปล่าและเงียบสงบกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าสนามรบแห่งนี้ถูกกวาดล้างเรียบร้อยแล้ว
เมื่อดวงอาทิตย์ลุกโชติช่วงพุ่งขึ้นบนขอบฟ้า แสงอาทิตย์ส่องลงมาดวงตาของมู่เฉิน ซูมู่และฉู่เหมินก็เปิดออก
พวกเขาเงยหน้ามองไปทางท้องฟ้าทิศตะวันตก ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยว ร่างแสงสามร่างพุ่งผ่านขอบฟ้าทะยานเข้ามา
พริบตาเงาทั้งสามก็มาปรากฏห่างออกไปหมื่นจั้งจากพวกเขาทั้งสาม
เมื่อมองไปที่เงาร่างเหล่านั้นพวกมู่เฉินก็ยืนขึ้นช้าๆ ประจันหน้ากับศัตรูทั้งสาม
ขณะนี้แม้แต่ท้องฟ้ายังมืดมิดลง
บทที่ 1254 ซูมู่และฉู่เหมิน
จัตุรัสเมืองซีเทียนจั้น
ช่วงเวลาที่มู่เฉินทะยานขึ้นสู่ยอดบนสุด หน้าจอแสงโดยรอบก็สว่างวาบพร้อมกับอันดับในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเปลี่ยนแปลง เมื่อทุกคนเห็นชื่อมู่เฉินครองอันดับหนึ่ง ความปั่นป่วนก็เกิดขึ้น
“สวรรค์เกิดอะไรขึ้น?! มู่เฉินกระโดดจากที่เจ็ดมาเป็นที่หนึ่งได้อย่างไร?”
“โอ้ หลิ่วซิงเฉิน! เขาหายไป! ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะได้ป้ายสัประยุทธ์ของเขา!”
“คึๆ หยิบชิ้นปลามันโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ”
“มู่เฉินหลักแหลมแท้จริง หลิ่วซิงเฉินได้รับบาดเจ็บหนักจากการต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อและความแข็งแกร่งก็ลดลงอย่างมากก่อนที่จะมาพบเขา!”
“แต่ข้าว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร การทำแบบนี้หลิงจั้นจื่อโกรธแน่นอน มู่เฉินเดือดร้อนในไม่ช้าแน่”
“…”
เสียงกระซิบดังก้องไปทั่ว ทว่าแทบทุกคนมองว่าการได้อันดับหนึ่งของมู่เฉินเป็นภัย เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของหลิงจั้นจื่อ แม้แต่จอมยุทธ์อย่างหลิ่วซิงเฉินก็ยังพ่ายแพ้
แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นม้ามืด แต่เมื่อเทียบกับหลิงจั้นจื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชื่อเสียง รากฐานเขาก็ยังด้อยกว่า
ลั่วเทียนเสินมองดูตารางจัดอันดับด้วยคิ้วที่ขมวดกันยุ่ง ตอนแรกเขาคิดว่าด้วยนิสัยของมู่เฉินก็อาจจะรอจนกว่าทั้งหกต่อสู้กันก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนไหว
แต่การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้มู่เฉินขึ้นสู่จุดสูงสุด นี่จะดึงดูดความเป็นปฏิปักษ์ของหลิงจั้นจื่อทันที
ในฐานะทึ่รู้ว่าหลิงจั้นจื่อทรงพลังเพียงใด แม้ว่าลั่วเทียนเสินจะมีความมั่นใจในตัวมู่เฉิน แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
“ฮ่าๆ มู่เฉินขึ้นไปที่หนึ่งแล้ว ความประหลาดใจนี้เป็นเรื่องคาดไม่ถึงจริงๆ” เมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์เห็นสิ่งนี้เขาก็ยิ้มเยาะเย้ยให้เซียวเหยียน
บางทีคนอื่นอาจไม่รู้ แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์และเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นใคร? พวกเขารู้ดีว่ามู่เฉินไม่ได้สู้กับหลิ่วซิงเฉิน เหตุผลที่มู่เฉินได้รับป้ายสัประยุทธ์มาเพราะโชคดี
แต่บางครั้งการเลือกผลประโยชน์ในสนามรบอาจดึงดูดปัญหา
เมื่อได้ยินคำพูดเยาะเย้ย เซียวเหยียนก็ยิ้ม “มู่เฉินตั้งใจจะเป็นที่หนึ่งตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาไม่มีทางปฏิเสธป้ายสัประยุทธ์ที่มาถึงมือ หากเป็นคนอื่นพวกเขาอาจไม่มีความกล้าที่จะหยิบขึ้นมาก็ได้”
จักรพรรดิสัประยุทธ์หัวเราะพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “หวังว่าเขาจะสามารถรักษาตำแหน่งนั้นไว้ได้”
พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย
ชายที่ดูธรรมดาเปิดหน้าจอก็เห็นชื่อมู่เฉินครอบครองป้ายสัประยุทธ์มากกว่าสี่สิบป้าย คิ้วของเขาขมวดขึ้นหัวเราะเสียงเบา
“น่าสนใจ… ไม่คิดว่าจะมีสักวันที่ข้าหลิงจั้นจื่อจะถูกแย่งผลประโยชน์จากคนอื่น”
ชื่อของหลิ่วซิงเฉินหายไปจากตารางจัดอันดับ ซึ่งหมายความว่าเขาออกจากสนามรบแล้ว ดังนั้นเมื่อครุ่นคิดสักเล็กน้อยก็จะสามารถเข้าใจได้ว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์จากการต่อสู้ระหว่างเขากับหลิ่วซิงเฉินไป
“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าเจ้าจะมีวันแบบนี้ด้วย”
เสียงหัวเราะดังขึ้นก่อนที่เงาร่างสองร่างจะทะยานเข้ามาหยุดอยู่ข้างเขา ทั้งสองก็คือเทพจอมยุทธ์ของตำหนักซีเทียน
หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อ
หลิงจั้นจื่อเหลือบมองไปที่ทั้งสองก็ยิ้ม “ข้าได้ยินข่าวลือว่าหลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อจัดการกับพวกเรา ตอนนี้หลิ่วซิงเฉินถูกข้าจัดการแล้ว สองคนนั่นพวกเจ้าก็รับผิดชอบเองละกัน”
หลิงเจี้ยนจื่อตอบกลับอย่างสบายๆ ว่า “กระบี่เทพหมาป่า ข้าอยากพบเขามานานแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะมีสีหน้าแบบไหนหลังจากที่ถูกข้าหักกระบี่ทิ้ง”
หลิงหลงจื่อรูปร่างกำยำก็ยิ้มเผยฟันออกมา “ข้าก็อยากทดสอบดาบทรราชเช่นกัน”
หลิงจั้นจื่อหัวเราะ “สนามรบนี้ใกล้ปิดฉากแล้ว ข้าขอแนะนำให้เราจัดการแมลงตัวอื่นๆ ที่นี่ซะ ก่อนที่จะจัดการกับพวกเขาทั้งสามคน จากนั้นพวกเราก็มาสู้กันเพื่อตัดสินผู้ชนะ”
อีกสองคนพยักหน้า แม้ว่าจะเป็นคู่แข่งกัน พวกเขาก็ต้องช่วยกันกำจัดคนอื่นก่อน ไม่งั้นถ้าหากตำแหน่งตกเป็นของคนอื่นละก็ พวกเขาคงต้องรับแรงโกรธเกรี้ยวของจักรพรรดิสัประยุทธ์แน่
หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อดำเนินการอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ตัดสินใจร่างก็ทะยานหายไปในขอบฟ้า
เมื่อมองไปที่ร่างเงาที่หายไป หลิงจั้นจื่อก็มองชื่อบนสุดด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะปล่อยให้แกฝันหวานอีกสักครู่ เมื่อพวกแมลงหมดไป ข้าจะเหยียบเจ้าลงจากตำแหน่งด้วยตัวเองเลย”
พูดจบเขาก็โบกมือ หน้าจอหายไป จากนั้นร่างเขาก็หายไปอย่างช้าๆ
“ที่หนึ่งมาอย่างง่ายดาย…”
ขณะที่ด้านนอกปั่นป่วน มู่เฉินก็ยักไหล่พลางยิ้ม บางทีในสายตาของคนอื่นอันดับของเขาเป็นส้มหล่นแท้จริง
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เพราะทุกอย่างจะถูกเปิดเผยว่าเขาพึ่งโชคหรือพลัง
“แบบนี้ข้าก็ไม่ต้องวิ่งยึดป้ายสัประยุทธ์แล้ว รอให้ถึงตอนสุดท้ายก็พอ”
มู่เฉินขยับตัวไปปรากฏบนภูเขาก่อนที่จะนั่งลงอย่างสงบ ช่วงเวลานี้เขาไม่ต้องหาป้ายสัประยุทธ์อีกต่อไป เขารู้ว่าตอนจบจะไม่เริ่มโดยไม่มีเขาไม่ได้
มู่เฉินหลับตาลงดำดิ่งศึกษาค่ายกลรบสามกำลังต่อไป ทว่าก็อยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากเขาสัมผัสถึงคลื่นหลิงสองสายที่พุ่งมาในทิศทางของเขา
เขาเปิดตามองไปในทิศทางนั้นก็เห็นร่างเงาสองร่างยืนอยู่บนท้องฟ้า
หนึ่งในนั้นสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอมเขียวสะพายกระบี่ไว้บนหลัง เอิบอาบด้วยรัศมีคมกริบ กระทั่งทำให้ดวงตาต้องเจ็บปวดเมื่อจ้องมองไป
อีกคนรูปร่างกำยำปล่อยผมยาวพลิ้วไหว ท่าทางดูนักเลงและเผด็จการมาก
“กระบี่เทพหมาป่า—ซูมู่ ดาบทรราช—ฉู่เหมิน” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นยิ้ม เขาไม่แปลกใจที่ทั้งสองมาหาเขา
“เจ้าเป็นคนที่เอาป้ายสัประยุทธ์ของพี่หลิ่วไปรึ?” ฉู่เหมินมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาคมกริบ
“ข้าบังเอิญพบกับเขามา” มู่เฉินยิ้มบาง
ฉู่เหมินชักรู้สึกหัวร้อนพูดว่า “พี่หลิ่วกำลังรอพวกข้าสองคนมาช่วยฟื้นฟูพลัง ในเวลานั้นพวกข้าจะสามารถต่อสู้กับเทพจอมยุทธ์สามคนของตำหนักซีเทียน แต่เจ้ากลับใช้ความได้เปรียบเรื่องอาการบาดเจ็บเตะเขาออกไป!”
มู่เฉินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนั่น “ทุกคนต่างเป็นศัตรูกันในสนามรบ ทำไมข้าต้องปล่อยหลิ่วซิงเฉินไป? ข้อตกลงของพวกเจ้ามาเกี่ยวอะไรกับข้า?”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ดวงตาของซูมู่ก็วูบไหว “ดูเหมือนว่าพี่หลิ่วจะเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังแล้ว”
กวาดมองทั้งสองอย่างรวดเร็ว มู่เฉินตอบว่า “หลิ่วซิงเฉินต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อจนได้รับบาดเจ็บรุนแรง เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อได้อีก ดังนั้นเขาจึงส่งป้ายสัประยุทธ์ให้กับข้า แต่เขาไม่ได้ทำด้วยความหวังดี เขาต้องการให้ข้าเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจือ”
“ช่างโอ้อวดจริงๆ!”
ฉู่เหมินแสดงทัศนคติเผด็จการ ใบหน้ามืดครึ้มลง “จองหองจริง พูดแบบนี้จะบอกว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อเรอะ!”
แม้แต่หลิ่วซิงเฉินยังพ่ายแพ้ แต่มู่เฉินมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น ดังนั้นคำพูดของเขาจึงดูตลกนัก
“เจ้าไม่ใช่คนที่จะมาตัดสินคุณสมบัติของข้า” มู่เฉินยิ้ม
“เจ้า!” ฉู่เหมินถึงกับเดือดขึ้นเลยทีเดียว
ซูมู่หันมาหยุดฉู่เหมินแล้วมองไปที่มู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พี่มู่ พวกข้าไม่ได้สนใจว่าพี่หลิ่วมอบป้ายให้กับเจ้าหรือเจ้าฉกมา ข้าแค่อยากบอกว่าถ้าพี่มู่ตั้งใจจะแลกเปลี่ยนสมบัติแล้วออกไป พวกข้าคงต้องขอป้ายคืน”
มู่เฉินตอบด้วยเสียงสงบเรียบว่า “เป้าหมายของข้าคือตำแหน่ง”
เมื่อได้ยินคำตอบของมู่เฉิน ซูมู่ก็รู้สึกโล่งใจและยิ้มแย้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้พี่มู่ทราบสถานการณ์ปัจจุบันของการแข่งขันหรือไม่?
“พวกเทพจอมยุทธ์กำลังกวาดล้างผู้คน ถ้าเป็นไปตามที่คาดไว้พวกเขาจะเป็นสามคนสุดท้ายในสนามรบ ถ้าพวกข้าถูกกวาดออกไปพี่มู่จะสามารถต่อสู้กับพวกเขาสามคนด้วยตัวเองหรือไม่? แล้วจะชิงตำแหน่งมาได้ไหม?
ดวงตามู่เฉินวูบไหว “เจ้ากำลังพยายามจะพูดอะไร?”
ซูมู่ยิ้ม “ข้าแค่หวังว่าพี่มู่จะสามารถแทนที่พี่หลิ่ว พวกเราสามคนจะร่วมมือกันเผชิญหน้ากับเทพจอมยุทธ์ ไม่เช่นนั้นเราคงไม่มีโอกาสในตำแหน่งแน่”
“ได้” มู่เฉินพยักหน้าตกลงทันที เนื่องจากเขาต้องการผู้ช่วยเพื่อหยุดเทพจอมยุทธ์อีกสองคนอยู่แล้ว มิฉะนั้นถึงเขาจะใช้วิชาสามพิสุทธิ์ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้กับทั้งสามคน
ซูมู่ไม่แปลกใจที่มู่เฉินเห็นด้วย ตราบใดที่มู่เฉินต้องการรั้งอันดับหนึ่ง เขาก็ต้องการผู้ช่วยเหลืออย่างแน่นอน และในสนามรบตอนนี้มีเพียงเขาและฉู่เหมินเท่านั้นที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ตามต้องการ
ทันใดนั้นซูมู่ก็ยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็เยี่ยมมาก… แต่เราจำเป็นต้องยืนยันบางสิ่งก่อน”
“อะไร?” มู่เฉินเงยหน้าขึ้น
ซูมู่ยิ้มกระชับด้ามกระบี่ก่อนที่รัศมีน่าสะพรึงจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ากวาดล้างไปทั่วบริเวณ
“ตรวจสอบว่า… พี่มู่มีคุณสมบัติที่จะทำงานร่วมกับพวกเราได้หรือไม่”
บทที่ 1253 หลิ่วซิงเฉิน
หลังจากเห็นหลิ่วซิงเฉินและหลิงจั้นจื่อไปแล้ว
มู่เฉินก็ลังเลเล็กน้อย เขารู้ว่าจะต้องเกิดการต่อสู้รุนแรงระหว่างสองคนนั่น แต่เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะไล่ตามไปเพื่อหาผลประโยชน์ ทั้งสองคนไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นเขาอาจไปดึงดูดความเป็นศัตรูแทน หากคิดติดตามไป
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่คิดมีส่วนร่วมในการต่อสู้ของทั้งสองและจากไปในทิศทางอื่น เขารู้ว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้หนึ่งในนั้นจะถูกส่งออกไปจากสนามรบ แต่ไม่ว่าผู้ชนะจะเป็นใครก็จะเพิ่มความเร็วในการกำจัดของการแข่งขันนี้ ฉากจบสุดเข้มข้นของศึกนักรบทวีปกำลังจะอุบัติขึ้น
เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้ในใจ มู่เฉินที่กำลังทะยานอยู่บนอากาศก็หยุดชะงักมองไปในระยะไกล เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนคลื่นหลิงป่าเถื่อนพวยพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า
ความผันผวนทรงพลังมากจนมู่เฉินก็รู้สึกถึงได้แม้อยู่ตรงนี้ เมื่อมองจากที่ไกลกระทั่งมิติก็ยังแสดงให้สัญญาณการบิดเบือน
มู่เฉินรู้ว่าทุกคนในสนามรบนี้คงสัมผัสถึงความผันผวนที่น่ากลัวเช่นกัน
“หลิงจั้นจื่อและหลิ่วซิงเฉินสุดยอดจริงๆ” มู่เฉินส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม เมื่อมองจากความผันผวนของคลื่นหลิง จอมยุทธ์ทั้งสองแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ ที่เขาเคยพบมาก่อนหน้า
หากเขาปะทะกับสองคนนี่ ก็ยากที่จะได้รับผลประโยชน์ใดๆ ถึงแม้จะมีกองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจก็ตาม
มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า ขณะรับรู้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัว เขาตั้งใจจะรอให้การต่อสู้จบลง เพราะเขาอยากรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ
ภายใต้การรอของเขาความผันผวนพลังก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น บริเวณนั้นดูเหมือนจะวินาศสันตะโร มืดมิดไม่มีแสงสว่างใด
สถานการณ์นี้ดำเนินไปสองชั่วโมงเต็มก่อนที่มู่เฉินจะรู้สึกถึงคลื่นหลิงที่รุนแรงลดลงอย่างรวดเร็ว
“สู้กันเสร็จแล้วรึ?”
สายตาของมู่เฉินเปล่งประกายก่อนที่ป้ายสัประยุทธ์ของตนเองจะปรากฏขึ้นในมือพร้อมหน้าจออันดับเผยต่อหน้า หากเกิดผลลัพธ์ในการต่อสู้ครั้งนี้หนึ่งในพวกเขาจะมีป้ายสัประยุทธ์เพิ่มขึ้น
“หืม?”
แต่มู่เฉินก็ต้องประหลาดใจ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ กับจำนวนป้ายสัประยุทธ์บนตาราง
“หรือว่าพวกเขาเสมอกัน?” มู่เฉินพูดพึมพำในความสับสน ดูเหมือนว่าหลิงจั้นจื่อและหลิ่วซิงเฉินจะไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ พวกเขาเลยไม่ได้รับป้ายสัประยุทธ์
“ทวีปซีเทียนเป็นสถานที่ที่มีมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบแท้จริง”
มู่เฉินถอนหายใจ เขารู้สึกประหลาดใจกับความจริงที่ว่าหลิ่วซิงเฉินสามารถถอยไปได้อย่างปลอดภัยเมื่อเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อ ถึงยังไงหลิงจั้นจื่อก็เป็นจอมยุทธ์ที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากจักรพรรดิสัประยุทธ์
ด้วยคำแนะนำของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนบวกกับทรัพยากรมากมายของตำหนักซีเทียน การฝึกฝนของหลิงจั้นจื่อเป็นสิ่งที่แม้แต่คนอย่างมู่เฉินยังต้องถอนหายใจ เนื่องจากตัวเขาพึ่งพาแต่ตัวเองเสมอมา
มู่เฉินไม่คิดอ้อยอิ่งอีกต่อไปมุ่งหน้าต่อไปในระยะไกล ด้วยจำนวนคนที่น้อยลงเขาต้องลองเสี่ยงโชค ดูว่าจะสามารถหาคนที่ซ่อนตัวเพื่อแย่งป้ายสัประยุทธ์มาได้หรือไม่
ทว่าเขาไม่ได้เก็บเกี่ยวอะไรมากมายหลังจากเหาะไปทั่ว คนพวกนั้นเกิดฉลาดหนีไปทันทีเมื่อปะทะกับคนที่มีป้ายจำนวนมาก
นอกจากนี้มู่เฉินยังรู้สึกได้ว่ามีผู้คนส่วนหนึ่งเริ่มแลกเปลี่ยนวัตถุจากคลังสัประยุทธ์และออกจากสนามรบไป
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นเลือกแลกเปลี่ยนสมบัติและจากไปอย่างเด็ดขาด เพราะพวกเขารู้ว่าไม่มีโอกาสในการแข่งขันครั้งนี้
แต่นี่ทำให้เป็นเรื่องยากขึ้นสำหรับมู่เฉินที่จะออกล่าป้ายสัประยุทธ์ ท้ายที่สุดเขาต้องเลิกความคิดนี้ไป เพราะเขารู้ว่าเมื่อมาถึงจุดนี้การต่อสู้จะไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป
หากเขาต้องการชนะ เขาจะต้องพุ่งความสนใจไปยังคนที่ติดอันดับ
มู่เฉินหยุดลงสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด จากนั้นสายตาก็โชนแสง เนื่องจากเขาตัดสินใจปรับสภาพก่อนที่จะทำการต่อสู้กับผู้แข่งขันอันดับต้นๆ
“มาพักกันสักหน่อย”
มู่เฉินพลิ้วตัวลงบนภูเขา แต่เมื่อเขาเข้าไปในเทือกเขา สายตาก็ต้องหดลง เขามองเข้าไปที่ส่วนลึกของเทือกเขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่คลุมเครือ
ซึ่งเป็นคลื่นหลิงที่ค่อนข้างคุ้นเคย
สายตาของมู่เฉินวูบไหว ก่อนที่ร่างจะเปลี่ยนเป็นลำแสง หลังจากนั้นสิบกว่าลมหายใจเขาก็มาปรากฏตัวในส่วนลึกของเทือกพลางกวาดมองไปรอบๆ เขาเห็นชายสวมเสื้อคลุมดำที่มีผมขาวนั่งอยู่เงียบๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ นี่ก็คือเจ้าตำหนักแสงดาว—หลิ่วซิงเฉิน!
ใบหน้าของอีกฝ่ายซีดเผือดปกคลุมไปด้วยเลือดที่มาจากอาการบาดเจ็บครั้งใหญ่บนร่างกายของเขา ซึ่งทำให้เขาหมดสภาพอ่อนโยนในอดีต
เมื่อมู่เฉินเห็นอาการบาดเจ็บของอีกฝ่าย หัวใจก็สั่นสะท้าน บาดแผลของหลิ่วซิงเฉินถูกทิ้งไว้โดยหลิงจั้นจื่อจากการต่อสู้ก่อนหน้า
หลิ่วซิงเฉินรับรู้ถึงการมาถึงของมู่เฉิน เขาเปิดเปลือกตายิ้มขมขื่นฉายบนใบหน้า
เมื่อมองไปที่หลิ่วซิงเฉินที่บาดเจ็บสาหัส รอยยิ้มของมู่เฉินก็พิลึกไปก่อนที่จะพูดว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะดวงดีแล้ว มีเนื้อย่างตกลงมาจากท้องฟ้า”
หลิ่วซิงเฉินยิ้มตามคำพูดของมู่เฉินพลางถอนหายใจ “สมกับเป็นศิษย์เอกของจักรพรรดิสัประยุทธ์ เขาเป็นคนที่พิเศษจริงๆ ตอนแรกข้าคิดว่าตัวเองน่าจะสามารถเผชิญหน้ากับเขาได้ แต่ดูท่าข้าจะประเมินตัวเองสูงไปและประเมินเขาต่ำเกินไป”
“ดูเหมือนว่าการปะทะเมื่อครู่เจ้าจะแพ้ แต่สุดท้ายก็หนีมาได้” มู่เฉินเข้าใจแล้วหลิ่วซิงเฉินและหลิงจั้นจื่อไม่ได้เสมอกัน แต่เป็นหลิ่วซิงเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสและหนีมา ไม่น่าแปลกใจที่หลิงจั้นจื่อจะไม่ได้รับป้ายสัประยุทธ์ของอีกฝ่าย
หลิ่วซิงเฉินถอนหายใจด้วยรอยยิ้มขมขื่นและพยักหน้า “หลิงจั้นจื่อโหดเหี้ยม ดูเหมือนว่าข้าล้มเหลวในข้อตกลงของพี่ซูและพี่ฉู่”
“พันธมิตร?”
หัวใจของมู่เฉินเต้นไม่เป็นส่ำ ที่หลิ่วซิงเฉินกำลังพูดน่าจะหมายถึงซูมู่และฉู่เหมิน ไม่คิดว่าพวกเขาจะสร้างพันธมิตรกันขึ้นมาด้วย
“ไม่นับว่าเป็นพันธมิตรหรอก แต่เป็นเหมือนข้อตกลง พวกข้าสามคนไม่ชอบเทพจอมยุทธ์ทั้งสามของตำหนักซีเทียน ดังนั้นจึงต้องการที่จะเห็นว่าใครเก่งกว่ากันในสนามรบแห่งนี้ ดังนั้นเราจึงมีข้อตกลงที่จะร่วมมือกันเผชิญหน้ากับพวกเขา แต่ตอนนี้ข้าได้รับบาดเจ็บหนักจากฝีมือหลิงจั้นจื่อ คงต้องทำให้พวกเขาผิดหวังแล้ว” หลิ่วซิงเฉินกล่าว
มู่เฉินเข้าใจทันที ที่แท้หลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินกลัวเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างพันธมิตรลับขึ้น แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้หลิ่วซิงเฉินได้รับบาดเจ็บหนัก ถ้าเทพจอมยุทธ์ทั้งสามรวมตัวกันละก็ คนอื่นๆ ก็จะหมดสิทธิ์ในการชิงตำแหน่งนักรบทวีปเลย
“แล้วทำไมเจ้าต้องบอกเรื่องนี้กับข้า? เจ้าอยากให้ข้าถอยไปเรอะ?” มู่เฉินยิ้มมองหลิ่วซิงเฉิน ด้วยอาการบาดเจ็บความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็ลดฮวบลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเขาค่อนข้างมั่นใจในความสามารถของตนที่จะคว้าป้ายสัประยุทธ์มาได้
ได้ยินคำพูดนี้ หลิ่วซิงเฉินก็หัวเราะ “ตรงกันข้ามข้าตั้งใจจะให้ป้ายสัประยุทธ์ด้วยซ้ำ แต่กลัวว่าเจ้าจะไม่กล้าเอาไปละสิ”
“ทำไม?”
หลิ่วซิงเฉินยิ้ม “ข้าอ่อนล้าลงมาก กว่าจะฟื้นตัวเต็มที่การต่อสู้ก็สิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ ที่อยู่ตอนนี้ก็เพื่อไม่ให้หลิงจั้นจื่อได้ป้ายสัประยุทธ์ของข้าไป หากเจ้ามีความกล้าข้าก็ยินดีที่จะให้ป้ายทั้งหมดนี้แก่เจ้า”
“แต่หลิงจั้นจื่อเห็นข้าเหมือนเหยื่อ แล้วใครจะกล้าขโมยเหยื่อของเขาล่ะ? หากป้ายสัประยุทธ์ของข้าตกอยู่ในมือเจ้า อันดับของเจ้าจะก้าวกระโดดแซงเขาพุ่งขึ้นสู่อันดับหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นเขามาตามล่าเจ้าแน่นอน”
“ต้องเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อแบบนั้น เจ้าคิดจะรับป้ายสัประยุทธ์ของข้าหรือไม่ล่ะ?”
หลิ่วซิงเฉินยิ้มให้มู่เฉิน ราวกับว่าต้องการเห็นความกลัวบนใบหน้าของมู่เฉิน
แต่เขาก็ต้องประหลาดใจกับการแสดงออกของมู่เฉินที่ยังคงสงบนิ่งไม่มีระลอกคลื่นใด ซ้ำยังยิ้มหลังจากที่เขาพูดจบ “ทำไมจะไม่ล่ะ? ข้าตั้งใจจะคว้าตำแหน่งอยู่แล้ว ดังนั้นแม้จะไม่มีป้ายสัประยุทธ์ของเจ้า ข้าก็จะจัดการหลิงจั้นจื่ออยู่ดี”
หลิ่วซิงเฉินอึ้งไปเมื่อมองมู่เฉิน ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปทีละน้อย เขาไม่เห็นความกลัวใดๆ ในสายตานั่น นอกจากนี้ความมั่นใจของมู่เฉินก็ไม่ใช่แสร้งทำ
นั่นหมายความว่ามู่เฉินตั้งใจจะสู้กับหลิงจั้นจื่อจริงๆ
หลิ่วซิงเฉินเคยได้ยินเรื่องของมู่เฉินมาบ้าง การประสบความสำเร็จเช่นนั้นแสดงว่ามู่เฉินไม่ใช่คนที่อวดดีและโง่เขลา ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วเขายังกล้าพูดเช่นนี้ก็หมายความว่ามู่เฉินมีความเชื่อมั่นในการต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อ
“ตอนแรกข้าคิดว่ามีเพียงตนเองที่สามารถเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อได้ แต่ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินความสามารถของตัวเองมากเกินไป” พักใหญ่หลิ่วซิงเฉินก็ถอนสายตา
มู่เฉินยิ้ม “งั้นเจ้าตัดสินใจว่ายังไง?”
หลิ่วซิงเฉินหัวเราะดังลั่นก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ป้ายสัประยุทธ์บินไปหามู่เฉิน “เอาเถอะ ถึงหลิงจั้นจื่อจะเอาชนะข้าได้ แต่ในเมื่อสร้างปัญหาให้มันได้ก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่”
“มู่เฉินถ้าเจ้ามีความกล้าก็จงรับป้ายเหล่านี้ซะ ข้าจะรอดูการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับหลิงจั้นจื่อที่ข้างนอก หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
มองไปที่ป้ายสัประยุทธ์มู่เฉินก็กวาดมือเก็บทั้งหมดไว้ ก่อนจะประสานมือ “งั้นก็ขอให้พี่หลิ่วรอดูเลย”
หลิ่วซิงเฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนที่ร่างจะค่อยๆ จางหายไปจากมิติสนามรบ
เมื่อหลิ่วซิงเฉินออกไปแล้ว ป้ายสัประยุทธ์ในมือมู่เฉินก็กะพริบ เขาทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดของการจัดอันดับทันที
อันดับหนึ่ง มู่เฉินรวมสี่สิบสามป้าย!
ทันใดนั้นไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอกสิ่งนี้ก็ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างมีนัยสำคัญ
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1252 กวาดผ่าน
หลังจากการต่อสู้ระหว่างเสี่ยหลิงจื่อและมู่เฉิน
ชื่อเสียงของมู่เฉินก็ขจรขจายทั่วสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ทำให้เกิดคลื่นความตื่นตระหนกยิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนเสียอีก
เนื่องจากครั้งนี้มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายต้องทิ้งลมหายใจไปนิรันดร์!
ในมหาพันโลกทุกคนรู้ซึ้งถึงพลังชีวิตแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน บางทีถึงแม้พวกเขาจะพ่ายแพ้ แต่การฆ่าพวกเขายากเกินกว่าอะไร เว้นแต่ว่าถูกปราบปรามไว้อย่างสมบูรณ์
ทำไมเทพจอมยุทธ์ทั้งสามของตำหนักซีเทียนจึงมีชื่อเสียง? เหตุผลหลักๆ ก็เพราะพวกเขาประสบความสำเร็จในการฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มไม่ใช่รึ?
แต่ตอนนี้สิ่งนี้กลับทำสำเร็จโดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น
ดังนั้นความตกใจครั้งนี้จึงยิ่งใหญ่กว่าของเทพจอมยุทธ์ทั้งสามเสียอีก
เพราะเหตุนี้ไม่มีใครกล้ามาแหยมมู่เฉิน คำพูดเพื่อปราบปรามคนนอกจากเขาก็หายไปในขณะนี้
ล้อเล่นรึเปล่า? เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเป็นคนโหดเหี้ยมกระทั่งฆ่าเสี่ยหลิงจื่อโดยไม่ลังเล เขาเป็นคนชำระหนี้แค้นด้วยตัวเองแน่นอน คงต้องทุกข์ทรมานแน่ถ้าไปยั่วยุเขา
ดังนั้นในเวลาสองสามวันต่อมาจึงไม่มีใครไปหาเรื่องมู่เฉินอีก
เวลานี้มู่เฉินจึงสามารถศึกษาค่ายกลรบอย่างสงบ ค่อยๆ เข้าใจในรายละเอียด เพราะความยากลำบากในการสร้างค่ายกลไม่ได้ยากมาก แค่มีข้อกำหนดที่เข้มงวด
หลังจากได้รับการควบคุมขั้นต้นของค่ายกลรบ มู่เฉินก็ก้าวเข้าสู่สมรภูมิอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้ตั้งค่ายกลเพื่อรอเหยื่ออีกแล้ว เขาเลือกที่จะโจมตี
เขานำพากองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจยาตราไปทั่วสนามรบ ทุกที่ที่ก้าวผ่านจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายที่เขาพบจะถูกกวาดล้างจากรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตที่เข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้
ทว่าการต่อสู้ส่วนใหญ่จบลงด้วยมู่เฉินชนะ เพียงแค่กองทัพทั้งสองอย่างเดียวก็ทำให้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้แล้ว
ในการต่อสู้เขาได้ใส่คลื่นหลิงผลึกใสลงในร่างศัตรู เมื่อถึงเวลาศัตรูของเขาตอบสนอง พลังงานส่วนหนึ่งจะถูกผนึกไว้ ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น
เผชิญหน้ากับคนแพ้ มู่เฉินก็ไม่ได้โหดเหี้ยมมากเหมือนกับตอนที่ทำกับเสี่ยหลิงจื่อ เนื่องจากชายคนนั้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตของลั่วหลี ซ้ำยังพยายามใช้แผนอุบาทว์เพื่อจัดการเขาหลายครั้ง ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ยอมอ่อนข้อให้โดยธรรมชาติ
ทว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นแบบเดียวกันกับคนอื่นๆ เขาไม่มีความแค้นเคืองกับพวกเขาและก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แม้ว่าเขาจะฆ่าคนเหล่านี้ไป เพราะตำหนักมู่ไม่ได้อยู่ในทวีปซีเทียน แต่ขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังจอมยุทธ์เหล่านี้จะมีปัญหากับตระกูลลั่วเสินอย่างแน่นอน เวลานั้นตระกูลลั่วเสินจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่
นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินไม่ต้องการเห็น
ดังนั้นหลังจากที่อีกฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ มู่เฉินก็แค่ยึดป้ายสัประยุทธ์ปล่อยให้พวกเขาออกจากสนามรบอย่างปลอดภัย
ภายใต้การกวาดล้างนี้ชื่อเสียงดุร้ายของมู่เฉินก็ทวีความรุนแรงขึ้นไปจนถึงจุดที่คนอื่นๆ จะแตกฮือทันทีเมื่อพวกเขาได้เห็นรัศมีจั้นยี่จากระยะไกล
ขณะนี้ทุกคนบอกได้เลยว่ามู่เฉินคือม้ามืดแห่งสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ซึ่งจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดปกคลุมทั่วท้องฟ้าทำให้ทั่วบริเวณสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยคลื่นจากรัศมีจั้นยี่
เป้าหมายของรัศมีจั้นยี่คือชายสวมชุดสีฟ้าอมเขียว เขาไม่คิดเลยว่าตนเองจะโชคร้าย ครึ่งวันก่อนเขาปะหน้ากับหลิ่วซิงเฉินเจ้าตำหนักแสงดาว เขากลัวจนต้องรีบเผ่นหนี ท้ายที่สุดก็หนีมาได้ แต่ดันต้องมาเผชิญหน้ากับยมทูตตัวนี้ต่อ
ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนนั้นปลายยามนี้ ทุกคนรู้ว่ามู่เฉินควบคุมกองทัพสองกองทัพที่จัดการจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมการแข่งขันไปไม่น้อยกว่าสิบคน ความสำเร็จน่าอัศจรรย์ใจนัก
ชายชุดฟ้าอมเขียวนี้ก็เป็นคนมีชื่อเสียงในทวีปซีเทียนอยู่บ้าง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขต เขาก็รู้ว่าตัวเองไม่มีโอกาสมากนัก
นอกจากนี้เขายังสัมผัสได้ว่ามีคลื่นผันผวนที่อันตรายยิ่งกว่าซ่อนอยู่ในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ นั่นไม่ใช่รัศมีจั้นยี่ แต่เป็นพลังที่ครอบงำยิ่งกว่า
ดังนั้นหลังจากความพยายามซัดกระบวนท่าออกไปสองสามครั้ง เขาก็รู้ตัวว่าไม่สามารถหลุดพ้นจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไปได้ จึงยกมือขึ้นยอมแพ้ประกาศว่า “ข้ายอมแพ้!”
เมื่อเสียงสิ้นสุดลง มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ก็แยกออกจากกัน ร่างเงาสูงโปร่งเดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
ชายชุดฟ้าอมเขียวยิ้มขมขื่นก่อนจะส่ายหัว เขาไม่คิดพูดมากโยนป้ายสัประยุทธ์ทั้งสี่ให้มู่เฉินไป
พอได้รับป้ายมามู่เฉินก็ประสานมือให้อีกฝ่าย “ขอบคุณสำหรับชัยชนะ”
“เจ้าแข็งแกร่งนัก ไม่ใช่ความอยุติธรรมที่ข้าแพ้ แต่แค่ไม่รู้ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องไปเปรียบกับเทพจอมยุทธ์ทั้งสามแห่งตำหนักซีเทียน รวมทั้งหลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมิน… เจ้าจะต้องต่อสู้กับพวกเขาแน่นอน ข้าจะรอดูการดวลนี้อยู่ข้างนอก” ชายชุดฟ้าอมเขียวไม่ได้ยึดติดกับเรื่องนี้มากนัก เมื่อรู้ว่าไม่มีโอกาสในการชิงตำแหน่งก็เอ่ยยิ้มๆ
หลังจากที่พูดจบเงาร่างของเขาก็เริ่มจางหายไปอย่างรวดเร็ว
มู่เฉินหรี่ตาลง ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปจำนวนผู้แข่งขันในสนามรบก็ลดลง ทุกคนที่เหลืออยู่ที่นี่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงทั้งสิ้น
จอมยุทธ์หกคนที่ถูกกล่าวถึงโดยชายชุดฟ้าอมเขียวเป็นตัวเกร็งในการแข่งขันศึกนักรบทวีปครั้งนี้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาเป็นสิ่งที่แม้แต่มู่เฉินยังยำเกรง
ยิ่งไปกว่านั้นคงไม่ง่ายที่เขาจะคว้าตำแหน่งจากมือพวกเขา
ด้วยความคิดที่แล่นพล่านอยู่ในใจ มู่เฉินก็ส่ายหัวสงบใจลงก่อนที่จะโบกมือหน้าจอสว่างปรากฏขึ้นตรงหน้า
มีตารางการจัดอันดับปรากฏบนหน้าจอ อันดับหนึ่งหลิงจั้นจื่อตำหนักซีเทียนจำนวนป้ายสัประยุทธ์สามสิบป้าย!
รองลงมาก็คือหลิ่วซิงเฉินเจ้าตำหนักแสงดาวจำนวนป้ายสัประยุทธ์ยี่สิบห้าป้าย
จากนั้นก็เป็นเทพจอมยุทธ์สองคนของตำหนักซีเทียน ซูมู่และฉู่เหมิน จำนวนป้ายสัประยุทธ์ไม่แตกต่างกันเท่าไร
ส่วนมู่เฉินอยู่อันดับสิบเจ็ดจำนวนป้ายสัประยุทธ์สิบแปดป้าย
“คนพวกนั้นไล่ตามยากจริง”
มู่เฉินมองหน้าจอ เหลือเพียงสิบคนเท่านั้น นั่นหมายความว่าหากการกำจัดยังคงดำเนินต่อไป ในไม่ช้าเขาจะเผชิญหน้ากับทั้งหกคน
นั่นจะเป็นการต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่านแน่
ทว่ามู่เฉินไม่มีความกลัวในดวงตาสักริ้ว ตรงกันข้ามดวงตาของเขากลับสว่างไสวด้วยไฟการต่อสู้ บางทีพวกเขาทั้งหกอาจมีชื่อเสียงในทวีปซีเทียน แต่เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างมู่เฉินจะยอมแพ้
นั่นเพราะเขายังมีไพ่ตายที่ยังไม่เปิดเช่นกัน
ทันทีที่เขาเปิดเผยวิชาสามพิสุทธิ์ มู่เฉินมั่นใจว่าต่อให้ไม่ได้ใช้กองทัพหรือค่ายกล เขาก็ยังมีความแข็งแกร่งที่จะก้าวข้ามขอบเขตการต่อสู้กับบางคนที่มีขุมพลังสูงกว่า
“หืม?”
ขณะที่ความคิดแล่นอยู่ในหัว จู่ๆ มู่เฉินก็รู้สึกถึงบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นเห็นร่างแสงพุ่งออกมาจากระยะไกล ก่อนที่จะหยุดอยู่ตรงหน้า
นี่เป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีดำปักภาพดวงดาว ผมของเขาเป็นสีขาว รูปลักษณ์เหมือนบัณฑิตทรงภูมิที่เปล่งรัศมีอบอุ่น
เมื่อจ้องมองไปที่ชายคนนั้น มู่เฉินก็หดตาลงรัศมีจั้นยี่รอบตัวคำราม เนื่องจากชายวัยกลางคนนี้ก็คืออันดับสองของตารางยอดนิยม—หลิ่วซิงเฉินเจ้าตำหนักแสงดาว
ทว่าขณะที่มู่เฉินเข้าสู่สภาพพร้อมรบ หลิ่วซิงเฉินก็ก้มศีรษะลงมองไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต รอบตัวมู่เฉินด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
สัมผัสถึงความตั้งใจเป็นมิตรที่มาจากหลิ่วซิงเฉิน มู่เฉินก็อึ้งไปก่อนที่จะเก็บรัศมีจั้นยี่เข้าไปเล็กน้อย
หลิ่วซิงเฉินไม่พูดอะไร เขาประสานมือให้มู่เฉินก่อนที่จะมองไปอีกทิศทางหนึ่ง จากนั้นร่างก็ขยับกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในระยะทาง
มองร่างที่กำลังจากไป มู่เฉินก็ขมวดคิ้ว
วาบ!
ทว่าก่อนที่เขาจะไขปริศนาจากการกระทำของหลิ่วซิงเฉินได้ ความผันผวนกวาดมาจากระยะไกล มู่เฉินก็เห็นภาพเงาพุ่งเข้ามา อึดใจเดียวก็มาปรากฏที่เบื้องบน ชายคนนี้มีรูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่กลับมีรัศมีอันตรายเล็ดลอดออกมาจากร่างกาย
เมื่อเห็นอีกฝ่าย ดวงตามู่เฉินก็หดลง
เพราะนั่นคือหลิงจั้นจื่อเทพจอมยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน!
เมื่อหลิงจั้นจื่อปรากฏตัวขึ้นก็มองไปที่มู่เฉิน แต่เขาไม่ได้กระโจนเข้าใส่ ร่างทะยานออกไปทิ้งร่องรอยไว้เบื้องหลัง ไล่ตามหลิ่วซิงเฉินไป
เมื่อเห็นปฏิกิริยาจากทั้งสองใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
งานนี้เห็นชัดว่าหลิงจั้นจื่อกำลังไล่บี้หลิ่วซิงเฉิน
การต่อสู้ของอันดับหนึ่งและสองกำลังเริ่มขึ้นในไม่ช้า
นั่นก็หมายความว่าศึกนักรบทวีปกำลังดำเนินถึงขั้นคัดออกช่วงสุดท้ายแล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนหัวเราะคนสุดท้ายระหว่างหลิงจั้นจื่อกับหลิ่วซิงเฉิน
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1251 รับค่ายกลรบ
ขณะที่ทุกคนยังตกตะลึงกับการตายของเสี่ยหลิงจื่อ
จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็หรี่ตาแคบลง ขณะที่จ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์บนหน้าจอ
แม้ว่าสีหน้าเขาจะคงความสงบได้ แต่ก็มีริ้วความประหลาดใจวูบไหวในส่วนลึกของดวงตา เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกประหลาดใจกับการที่มู่เฉินสามารถฆ่าเสี่ยหลิงจื่อได้
“ดูท่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะมีสายตาเฉียบแหลมจริงๆ มู่เฉินมีคุณสมบัติเหมาะสมแท้จริงในการเข้าร่วมสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย” จักรพรรดิสัประยุทธ์เอ่ยหัวเราะเบาๆ
ตัวเขาเป็นจอมยุทธ์เทียนจื้อจุน ดังนั้นจึงไม่ใช่คนไร้เหตุผลแม้จะภาคภูมิใจในตนเอง ดังนั้นหากเขาเลือกที่จะเพิกเฉยต่อพลังของมู่เฉินก็ดูใจแคบไปหน่อยแล้ว
ทว่าเขาก็ยังคงคิดว่ามู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในสมรภูมินี้เท่านั้น แต่ยังคงไม่เชื่อว่ามู่เฉินมีพลังจะได้ตำแหน่งไป
เซียวเหยียนยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดดี อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดจะโต้เถียงกับอีกฝ่าย “งั้นมาดูต่อว่าเขาจะทำให้เราประหลาดใจได้อีกหรือไม่”
จักรพรรดิสัประยุทธ์ลูบพนักเก้าอี้พลางพยักหน้า
“งั้นข้าขอดูว่าเขาจะทำให้เราประหลาดใจอีกตามที่เจ้าพูดหรือไม่”
เหนือมหาสมุทรที่พลุ่งพล่าน
มู่เฉินโบกแขนเสื้อ เจดีย์ผลึกแก้วใสก็หายไป ลำแสงสามสายกะพริบวาบ ก่อนที่จะตกลงไปในมือ นั่นก็คือป้ายสัประยุทธ์นั่นเอง
มือจับป้ายทั้งสามไว้ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า ดูเหมือนว่าการเก็บเกี่ยวของเสี่ยหลิงจื่อจะไม่เลวเลยทีเดียว จำนวนป้ายทั้งสามนี้ในที่สุดเขาก็สามารถแลกเปลี่ยนค่ายกลรบสามกำลังจากคลังสัประยุทธ์ได้
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะแลกเปลี่ยน
เก็บป้ายทั้งสามไป มู่เฉินก็กวาดสายตาเย็นชาไปไม่ไกล ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารแตกสลายเรียบร้อยไปแล้ว แต่อาจารย์ผีที่ยืนอยู่ที่นั่นก็มีใบหน้าสลับไปมาระหว่างขาวกับเขียว เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน เขาก็รู้สึกเย็นเยือกทั่วสรรคพางค์กาย ความกลัวพวยพุ่งในดวงตา
เขาหวาดผวามากกับการตายของเสี่ยหลิงจื่อ
เขาไม่เคยคิดว่าด้วยความสามารถและทักษะที่เสี่ยหลิงจื่อมีไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินได้ กลับยังถูกฆ่าตายแทน
แม้จะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ความแข็งแกร่งของมู่เฉินน่ากลัวกว่ามาก
“ฮ่าๆ พี่ชายน้อยมู่เฉินเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ ข้าตาบอดด้วยความโลภและติดกับเสี่ยหลิงจื่อ หวังว่าเจ้าจะใจกว้างนะ!” เมื่อระลึกได้ว่ามู่เฉินฆ่าเสี่ยหลิงจื่ออย่างไร อาจารย์ผีก็รู้สึกหัวใจเย็นเยือก รีบเผยรอยยิ้มลุแก่โทษทำใจดีสู้เสือ
พิจารณาจากพลังการต่อสู้ของมู่เฉิน ต่อให้อาจารย์ผีจะเป็นหลิงเจิ้นจงซือ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเผชิญหน้ากับมู่เฉิน ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าถ้าเขายอมรับความพ่ายแพ้เอง
เมื่อมองท่าทางของอาจารย์ผี มู่เฉินก็ยิ้ม “เจ้าคิดว่าง่ายที่จะลบความจริงที่โจมตีข้ารึ?”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นใบหน้าของอาจารย์ปีศาจก็กระตุก เขาอึกอักครู่ก่อนจะยิ้มขมขื่น “ไม่รู้ว่าเจ้าต้องการอะไร?”
มู่เฉินเหยียดมือออกด้วยสีหน้าเฉยเมย “ป้ายสัประยุทธ์สามป้าย”
ใบหน้าของอาจารย์ผีเปลี่ยนไปขณะกัดฟัน “จะไม่โหดไปหน่อยเหรอ?”
เขาเพิ่งรวบรวมป้ายสัประยุทธ์ได้สี่ป้ายเท่านั้น ตอนแรกยังคิดจะนำไปแลกเปลี่ยนเป็นภาพค่ายกลระดับจงซือ หากเขาส่งสามป้ายไป ความพยายามทั้งหมดก็ไม่ไร้ประโยชน์ไปหรือ?
มู่เฉินไม่ได้พูดอะไร ทว่าวิญญาณสงครามเต่าดำกลับมองลงมา จ้องไปที่อาจารย์ผีนิ่ง รัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตก่อตัวเป็นแรงกดดันที่มองไม่เห็น
เมื่อแรงกดดันที่น่ากลัวบีบลง อาจารย์ผีก็รู้สึกได้ทันทีว่าร่างกายเริ่มถ่วงลงจากแรงกดดันมหาศาล ยิ่งเมื่อเห็นสายตาเย็นชาของมู่เฉิน เขาก็รู้ว่าถ้างานนี้ไม่เห็นด้วย เขาอาจจะเป็นอย่างเสี่ยหลิงจื่อก็ได้
แม้ว่าเขาอยากสู้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับมู่เฉินด้วยพลังของตัวเองคนเดียว
ใบหน้าของอาจารย์ผีเปลี่ยนแปลงไปมาต่อเนื่อง จากนั้นไม่นานก็ก้มหน้าโบกแขนเสื้อ ป้ายสัประยุทธ์สามป้ายบินไปหามู่เฉิน
ในเมื่อไม่สามารถเอาชนะหรือหนีไปได้ ทางเลือกเดียวก็คือยอมแพ้ซะ
“ไอ้สารเลวเสี่ยหลิงจื่อ! ตายก็ตายไปแล้ว ยังมาลากข้าลงนรกอีก มาดูกันว่าฉันจะจัดการกับตระกูลเสี่ยเสินยังไง!” อาจารย์ผีแทบกระอักเลือดพลางคำรามอยู่ในใจ
เมื่อประจันหน้ากับมู่เฉินเขาไม่กล้าทำอะไร แต่เขาสามารถใส่ความโกรธแค้นไปยังตระกูลเสี่ยเสินได้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อปราศจากเสี่ยหลิงจื่อตระกูลเสี่ยเสินก็จะอ่อนแอลงเหมือนแกะอ้วนพี
รับป้ายทั้งสามมา มู่เฉินก็ผงกหัวอย่างพอใจ แม้ว่าเขาจะเปิดเผยไพ่ตายอีกใบ แต่ในการต่อสู้ครั้งนี้การเก็บเกี่ยวของเขาค่อนข้างดีเลยทีเดียว
“ไสหัวไปซะ”
มู่เฉินโบกมือให้อาจารย์ผีกล่าวไม่ไว้หน้า
เขาไม่มีความรู้สึกที่ดีกับชายชราคนนี้ที่ชอบรอคว้าผลประโยชน์ ถ้ามู่เฉินไม่กังวลเกี่ยวกับฝูงชนที่อยู่รอบๆ เขาคงไม่สนที่จะเตะส่งอาจารย์ผีออกจากสนามรบ
อาจารย์ผีไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางของมู่เฉิน เขาหันหลังจากไปทันที ด้วยเกรงว่ามู่เฉินจะกลับคำพูดมาจัดการเขา
เมื่อเห็นอาจารย์ผีไปแล้ว มู่เฉินก็มองไปรอบๆ พูดเสียงเบาว่า “ถ้ามีใครอยากได้ป้ายสัประยุทธ์ของข้าก็เชิญเข้ามาได้เลย”
เมื่อเสียงของมู่เฉินดังสะท้อนทั่วบริเวณกลับเงียบงัน แม้ว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ ที่ต้องการจะฉกป้ายสัประยุทธ์ในมือมู่เฉิน แต่พวกเขาก็ขยาดกับฉากการตายของเสี่ยหลิงจื่อ ขณะเดียวกันพวกเขาก็เข้าใจถึงความไร้ความปรานีที่มู่เฉินมี
เป็นการดีที่จะไม่รุกรานคนที่โหดเช่นนี้
เมื่อความคิดผุดขึ้นในสมอง พวกเขาก็พุ่งตัวขึ้นสูง กลายเป็นลำแสงแยกย้ายกันไปในทันที
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเลิกคิดที่จะจัดการมู่เฉิน
เมื่อเห็นแต่ละคนหายหัวไปอย่างรวดเร็ว มู่เฉินก็เค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก ถ้าเขาแสดงจุดอ่อนให้เห็น คนพวกนั้นก็จะกลุ้มรุมเข้ามาเหมือนฝูงหมาป่าหิวโซ
เผชิญหน้ากับพวกเหล่านี้ เขาต้องแสดงความโหดเหี้ยมที่มีเพื่อข่มขู่ไว้ก่อน
เมื่อเห็นคนจากไป มู่เฉินก็เรียกกองทัพทั้งสองกลับคืนมา ก่อนที่จะกลายเป็นร่างแสงพุ่งออกจากสถานที่แห่งนี้ไปเช่นกัน
หลังจากที่ออกมาได้พักใหญ่และรู้สึกว่าไม่มีใครตามมา เขาก็พลิ้วตัวลงมาป้ายสัประยุทธ์ของตัวเขาปรากฏขึ้นในมือ
เขาเร้าป้ายสัประยุทธ์ รายชื่อสมบัติในคลังสัประยุทธ์ก็วิ่งเร็วจี๋ที่เบื้องหน้า เนื่องจากมีสิ่งที่สนใจไว้แล้ว ดังนั้นด้วยการตวัดมือครั้งเดียวป้ายสี่ป้ายที่มีในการครอบครองก็หายไป ลูกแสงหนึ่งบินออกมาลอยอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน
นี่เป็นม้วนทองสัมฤทธิ์โบราณที่เปล่งความมันวาวออกมาก่อตัวเป็นเงาร่างสามร่าง
เมื่อมองดูม้วนภาพนี้ดวงตามู่เฉินก็ลุกโชน นี่คือค่ายกลรบที่เขาโหยหา!
หากเขาสามารถฝึกฝนสำเร็จก็จะเท่ากับติดปีกพยัคฆ์ให้วิชาสามพิสุทธิ์ของเขา!
“ในที่สุดข้าก็รับได้มา”
มู่เฉินยิ้มกริ่มคว้าม้วนทองสัมฤทธิ์ เทคลื่นหลิงเข้าไปภายใน ทันใดนั้นข้อมูลมหาศาลก็ปลดปล่อยอยู่ในห้วงแห่งจิตของเขา
เขาหลับตาเพื่ออ่านข้อมูลเป็นเวลานานก่อนที่จะลืมตาขึ้นด้วยความอัศจรรย์ใจ
“ค่ายกลรบสามกำลังเป็นทักษะพิเศษอย่างแท้จริง”
มู่เฉินเอ่ยชื่นชม แม้ว่าจะไม่ใช่ค่ายกลรบชั้นสูงที่มีประสิทธิภาพรุนแรง แต่เงื่อนไขในการฝึกฝนและความลึกซึ้งนั้นก็น่าตกตะลึงอย่างแท้จริง
“มิน่าล่ะผู้อาวุโสที่คิดค้นวิชานี้ถึงสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้” หลังจากถอนหายใจลึกซึ้ง เขาก็เก็บม้วนภาพไว้ วิธีการฝึกฝนสำหรับค่ายกลรบสามกำลังไม่ยากนัก แค่ว่ามีข้อกำหนดที่เข้มงวดซึ่งต้องการให้คนสามคนเชื่อมโยงจิตใจกัน ซึ่งจุดนี้มู่เฉินบรรลุได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เพราะร่างรองจากวิชาสามพิสุทธิ์เป็นตัวเขาเอง การเชื่องโยงจิตใจเหนี่ยวแน่นยิ่งกว่าฝาแฝด
ค่ายกลนี้มู่เฉินน่าจะใช้งานได้อย่างสมบูรณ์หลังจากฝึกฝนไประยะหนึ่ง
เมื่อคิดได้ขนาดคนสงบนิ่งแบบมู่เฉินยังอดไม่ได้ที่จะกลั้นรอยยิ้ม พูดพึมพำว่า “ในเมื่อได้รับค่ายกลรบสามกำลังมาแล้ว เป้าหมายต่อไปคือตำแหน่ง”
ในสมรภูมิตำแหน่งนักรบทวีปเป็นอะไรที่ทำให้มู่เฉินน้ำลายสอนัก
บทที่ 1250 การตายของเสี่ยหลิงจื่อ
เจดีย์ผลึกแก้วใสตั้งเงียบๆ บนฝ่ามือของมู่เฉิน
ร่างเงาโลหิตอมตะและเสี่ยหลิงจื่อที่ใบหน้าปกคลุมด้วยความตกใจถูกกักขังไว้อยู่ภายใน
เขาไม่เคยคิดว่าแค่ไม่ใส่ใจวูบเดียว ตัวเองก็จะถูกกักขังอยู่ในเจดีย์ผลึกแก้วใสของมู่เฉินแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเจดีย์นี้มีความสามารถอะไร แต่เขาสัมผัสถึงอันตรายหนาแน่นได้ ทันใดนั้นเขาจึงปลดปล่อยคลื่นหลิงออกมาโดยไม่ลังเล ควบคุมร่างเงาโลหิตอมตะหมายจะทำลายเจดีย์
“ในเมื่อเข้าไปแล้วก็อย่าหวังว่าจะได้ออกมาอีก”
ทว่าเผชิญหน้ากับการดิ้นรนนี้ มู่เฉินกลับแย้มยิ้มสดใสกระบวนท่าในมือเปลี่ยนแปลงวูบไหว ผลึกเพลิงกวาดออกภายในเจดีย์ ติดบนร่างเงาโลหิตอมตะทันที
ผลึกเพลิงลุกโชน ใบหน้าเสี่ยหลิงจื่อก็เปลี่ยนไปรุนแรง เขาตระหนักได้ว่าพร้อมกับการเผาไหม้ของผลึกเพลิง ร่างเงาโลหิตอมตะก็ลดลงอย่างรวดเร็วและเริ่มเหือดหาย
นี่ให้ความรู้สึกราวกับว่าคลื่นหลิงที่สนับสนุนร่างเงาโลหิตอมตะได้สูญเสียประสิทธิภาพไป
หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากคลื่นหลิง แม้แต่ร่างเวทสวรรค์ที่ทรงพลังก็จะสลายไปโดยไม่มีความสามารถในการต่อสู้
“เพลิงเหล่านี้…ผนึกคลื่นหลิงของข้าไว้รึ?!”
ทว่าทันใดนั้นเสี่ยหลิงจื่อก็หาเหตุผลได้ ใบหน้าของเขาถูกปกคลุมด้วยความขนพองสยองเกล้า คลื่นหลิงเป็นต้นกำเนิด ช่วงเวลาที่คลื่นของเขาถูกผนึกไว้จะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม
ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ถ้าสูญเสียการคุ้มครองของคลื่นหลิงก็จะอ่อนแออย่างยิ่ง
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจอาการตกใจนั่น เพลิงในเจดีย์ถูกสร้างขึ้นจากคลื่นหลิงผลึกใส ความสามารถในการปิดผนึกเป็นสิ่งที่ครอบงำโดดเด่น ดังนั้นเมื่อเสี่ยหลิงจื่อติดอยู่ภายในก็ไม่มีหวังที่จะหนีออกมาได้ตลอดกาล
แม้ว่าเจดีย์ผลึกแก้วใสจะครอบงำ ก็เป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะจับเสี่ยหลิงได้ ถ้าเขาระมัดระวังตัวมาก
การก้าวผิดครั้งเดียวทำให้แพ้ศึกทันที!
ผลึกเพลิงวูบวาบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนที่ร่างเงาโลหิตอมตะจะสลายตัวในเวลาไม่กี่สิบอึดใจ ร่างเสี่ยหลิงจื่อเปิดเผยออกมาทันที
การหายไปของร่างเงาโลหิตอมตะ ทำให้เสี่ยหลิงจื่อรู้สึกหวาดกลัว เขาไม่เคยคิดเลยว่าร่างเงาโลหิตอมตะที่มู่เฉินทำอะไรไม่ได้ในโลกภายนอก จะถูกจัดการง่ายดายในเจดีย์นี้
ตู้ม!
ดังนั้นเสี่ยหลิงจื่อจึงไม่กล้าที่จะอยู่ที่นี่ต่อ คลื่นหลิงระเบิดออกจากร่าง แม่น้ำโลหิตครางกระหึ่มไปรอบๆ กระแทกกำแพงทั้งสี่ด้านของเจดีย์
ฮึ่ม!
ทันใดนั้นผลึกเพลิงก็พัดเข้ามาปะทะกับแม่น้ำโลหิตที่ไร้ขอบเขต ในช่วงเวลาที่สัมผัสก็คล้ายกับแม่น้ำเจอกับลาวา จางลงไปอย่างรวดเร็ว เกิดหมอกเลือดระเหยออกไป
ทั่วสรรพางค์กายเสี่ยหลิงจื่อเย็นเยือกลงด้วยความกลัวจับใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าเจดีย์ผลึกใสของมู่เฉินจะสามารถครอบงำได้ขนาดนี้ ตราบใดที่ติดแหง็กอยู่ภายในก็ไม่มีทางที่จะหนีออกไปได้
ฟู่ ฟู่!
เมื่อผลึกเพลิงห่อหุ้มเขาจากทุกทิศทาง เสี่ยหลิงจื่อก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าคลื่นหลิงในร่างกายถูกผนึกอย่างรวดเร็ว หากสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไป อีกไม่นานคลื่นพลังในร่างกายก็จะถูกผนึกไว้อย่างสมบูรณ์ เวลานั้นเขาก็จะสูญเสียพลังในการต่อสู้ไป
“มู่เฉิน ถ้าเจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะมอบป้ายสัประยุทธ์ให้ทั้งหมด! นอกจากนี้ยังจ่ายค่าทดแทนให้เจ้าเป็นของเหลวจื้อจุนห้าร้อยล้านหยดจากตระกูลเสี่ยเสินด้วย!” เมื่อเผชิญหน้ากับความตายในที่สุดเสี่ยหลิงจื่อก็สูญเสียความสงบ เริ่มที่จะขอร้อง
“ของเหลวจื้อจุนห้าร้อยล้านหยด?”
มู่เฉินยกคิ้วขึ้น เสี่ยหลิงจื่อยอมจ่ายจริงๆ จำนวนนี้อาจทำให้แม้แต่ตระกูลเสี่ยเสินสิ้นเนื้อประดาตัวเลยทีเดียว
นี่เป็นราคาที่สามารถซื้ออาวุธมหสารรค์ขั้นกลางได้เลย
ทว่ามู่เฉินยังคงไม่เคลื่อนไหว เพราะเสี่ยหลิงจื่อเป็นพวกเจ้าเล่ห์เลวทราม ตอนนี้เขาได้โอกาสดีที่จะกำจัดภัยคุกคามนี้ แล้วจะให้ปล่อยให้เสือกลับไปภูเขาได้อย่างไร?
ดังนั้นเขาจึงเผยรอยยิ้มไม่แยแส กระบวนท่าในมือก็เปลี่ยนไป เพลิงในเจดีย์ผลึกแก้วใสลุกโชนขึ้นทีละน้อย เปลวไฟร้อนแรงเผาไหม้คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตรอบตัวเสี่ยหลิงจื่อ
ในเวลาไม่กี่นาที เสี่ยหลิงจื่อก็ดูสิ้นหวังเนื่องจากไม่สามารถรู้สึกถึงคลื่นหลิงในร่างกาย
ตามความรู้สึกเขาจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อให้พลังงานฟื้นขึ้น ส่วนมู่เฉินก็สามารถฆ่าเขาได้นับหมื่นครั้งในเวลาดังกล่าว
“มู่เฉิน ถ้าแกกล้าฆ่าข้าก็จะจุดชนวนความเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลเสี่ยเสินแน่นอน! ในเวลานั้นตระกูลเสี่ยเสินของข้าจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตระกูลลั่วเสิน ทำให้ตระกูลลั่วเสินต้องจ่ายราคาแพงระยับเช่นกัน!” เสี่ยหลิงจื่อคำรามด้วยน้ำเสียงโหดร้ายและสิ้นหวัง
“งั้นแบบนี้…”
มู่เฉินยิ้มกับคำพูดของอีกฝ่าย “ถึงเวลานั้นค่อยล้างบางตระกูลเสี่ยเสินเอาก็แล้วกัน”
พูดจบเขาก็ไม่ลังเลอีกแล้ว เขารู้สึกว่าคลื่นหลิงของเสี่ยหลิงจื่อได้รับการผนึกอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะฆ่าอีกฝ่าย
แค่คิดผลึกเพลิงก็ระเบิดภายในเจดีย์ ก่อนที่จะควบแน่นเป็นมือใหญ่โตจับเสี่ยหลิงจื่อเอาไว้
ตู้ม!
ผลึกเพลิงกัดกร่อนร่างกายของเสี่ยหลิงจื่อ เมื่อสูญเสียการป้องกันของคลื่นหลิง ร่างเขาก็ไม่ได้ทรงพลังเหมือนเมื่อก่อน เริ่มละลายภายใต้เปลวไฟเสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วพื้นที่
อ๊าก!
เสียงเขย่าประสาทดังก้อง
ทว่าเสียงร้องก็คงอยู่ไม่กี่สิบลมหายใจ ก่อนที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์ ร่างเสี่ยหลิงจื่อเหลือเพียงขี้เถ้าในเจดีย์ไว้ดูต่างหน้า
โชคดีที่คลื่นหลิงของเสี่ยหลิงจื่อถูกผนึก ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับมู่เฉินที่จะฆ่าเขา เนื่องจากพลังชีวิตของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายทรงพลังเกินไป ต่อให้ร่างกายของพวกเขาจะละลายไปหมด พวกเขาก็สามารถใช้คลื่นหลิงฟื้นฟูกลับมาใหม่ได้
แต่น่าเสียดายนักแม้แต่พลังแข็งแกร่งก็ยังอ่อนแอเมื่ออยู่ในเจดีย์ผลึกแก้วใส
“เจดีย์นี้ครอบงำจริงๆ”
มู่เฉินถอนหายใจในใจ ไม่น่าแปลกใจว่าเผ่าฝูถูสามารถมีรากฐานเช่นนี้ในมหาพันภพ พลังแห่งสายเลือดนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
ยามนี้เสียงกรีดร้องของเสี่ยหลิงจื่อยังสะท้อนไปทั่วมหาสมุทร ทำให้ใบหน้าเหล่าผู้ชมเปลี่ยนไปเมื่อจ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาหวาดกลัวหนาแน่น
ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะน่าสะพรึงกลัวที่สามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในเวลาเพียงสิบกว่านาทีเท่านั้น!
พวกเขารู้ว่าเสี่ยหลิงจื่อถูกฆ่าหมดจดโดยไม่เหลือร่องรอยพลังชีวิต เนื่องจากพวกเขาไม่รู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานเสี่ยหลิงจื่อได้อีกต่อไป
สังหารจอมยุทธ์ระดับนี้ในช่วงเวลาอันสั้น มู่เฉินน่าสะพรึงกลัวขนาดไหนกัน?
ในเวลานี้พวกคนที่ตอนแรกยังมีความคิดที่จะจัดการกับมู่เฉินก็รู้สึกว่าหนังหัวาหนึบไปหมด แต่ละคนถอนสายตาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้พวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ามู่เฉินเปรียบได้กับหมาป่าห่มหนังแกะ!
หากพวกเขาต้องการเลือกอีกฝ่ายเพราะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น คงเป็นพวกเขาที่อาจตกลงไปในนรกแทน!
“ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะมีคุณสมบัติสู้เพื่อตำแหน่งจริงๆ”
ผู้ชมพากันถอนหายใจในใจ
จัตุรัสเมืองซีเทียนจั้น
เสียงกรีดร้องของเสี่ยหลิงจื่อทำให้ความปั่นป่วนด้านนอกเงียบลง สายตาจำนวนมากจ้องมองร่างอ่อนเยาว์บนหน้าจอด้วยความกลัว
พวกเขาไม่คิดว่าเสี่ยหลิงจื่อที่ปราบมู่เฉินได้เมื่อไม่นานจะลงเอยด้วยสถานการณ์เช่นนี้และสิ้นชีพลง
นอกจากนี้พวกเขารู้ว่าเสี่ยหลิงจื่อตายจริงแน่นอน จากน้ำเสียงโหยหวนที่เปล่งร้องยาวออกมา
นี่เป็นผลลัพธ์ที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงมาก เพราะนี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย! แม้แต่ในมหาพันภพก็ยังถือว่าเป็นยอดยุทธ์!
ในทวีปซีเทียนคนเหล่านี้สามารถเป็นถึงผู้นำภูมิภาค ได้รับความจงรักภักดีจากผู้คนนับไม่ถ้วน
แต่เบื้องหน้าสายตาพวกเขา บุคคลเช่นนี้ถูกฆ่าโดยจอมยุทธ์หนุ่มขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น
หลายคนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ เมื่อพวกเขามองดูร่างอ่อนเยาว์บนหน้าจอก็มีร่องรอยของความกลัวในสายตา หากใครยังคิดว่ามู่เฉินเดินอยู่บนปากขอบนรกเมื่อเขาเข้าสู่สนามรบ ตอนนี้พวกเขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่ามู่เฉินมีความสามารถแท้จริง
นอกจากนี้พวกเขายังต้องยอมรับว่ามู่เฉินกลายเป็นม้ามืดเจิดจรัสที่สุดในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย
หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้คงไม่มีใครกล้าประมาทเขาอีกเลย
ในขณะที่ทุกคนจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยความเคารพ ลั่วเทียนเสินก็อึ้งไปเมื่อมองมู่เฉิน ครู่ต่อมาเขาใช้ความพยายามอย่างมากในการเรียกสติกลับมา ก่อนที่เขาจะพึมพำจนริมฝีปากสั่น “เสียหลิงจื่อ…ตายแล้ว?”
ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เสี่ยหลิงจื่อเป็นศัตรูตัวฉกาจของตระกูลลั่วเสินและลั่วเทียนเสินก็อยากฆ่าอีกฝ่ายมานานแสนนาน แต่เขาไม่สามารถทำได้สำเร็จจนถูกพิษเอง หากไม่ได้เป็นเทพจักรพรรดิอัคคี ตอนนี้เขาคงต้องตายจากพิษไปแล้ว
ตอนแรกเขายังคิดว่าอาจต้องรอจนกว่าลั่วหลีเติบใหญ่กว่านี้เพื่อสังหารเสี่ยหลิงจื่อ ทว่าเขาไม่เคยคิดเลยว่าเสี่ยหลิงจื่อจะมาตายด้วยน้ำมือมู่เฉินในวันนี้
เขาเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
“ถ้าลั่วหลีรู้เรื่องนี้ นางจะต้องดีใจอย่างแน่นอน”
บทที่ 1249 วิญญาณสงครามเต่าดำ
ครืนๆๆๆ!
ท่ามกลางค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร คลื่นหลิงที่แปรปรวนรุนแรงกวาดออกมาขณะที่มังกรพยายามดิ้นรนต่อสู้ ทว่าพวกมันก็ถูกผูกมัดไว้อย่างแน่นหนาด้วยโซ่ตรวน แสงเย็นเยือกวูบวาบบนหนามแหลมกลืนกินคลื่นหลิงในร่างของมังกรเหล่านั้นไป
ขณะที่ถูกกลืนกิน ทุกคนสามารถรู้สึกได้ว่าค่ายกลก็อ่อนกำลังลง
ในตอนนี้มู่เฉินที่ถูกเสี่ยหลิงจื่อโรมรันพันตูไม่หยุดก็ไม่สามารถแบ่งสมาธิออกมาควบคุมค่ายกลได้ ทำให้อาจารย์ผีพบช่องโหว่และทำลายค่ายกลได้ง่าย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้คงอีกไม่นานค่ายกลก็จะแตกเป็นเสี่ยงๆ
เมื่อมู่เฉินเห็นก็ขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเสี่ยหลิงจื่อเทหมดหน้าตักและตัดสินใจที่จะจัดการเขา แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นภัยคุกคามต่อเขาไม่น้อย
“ทำไมไม่หยิ่งอีกต่อไปล่ะ?” เมื่อเห็นสีหน้าของมู่เฉิน เสี่ยหลิงจื่อก็เยาะเย้ยพร้อมกับความสะใจพลุ่งพล่านในดวงตา
เขายอมจ่ายราคาแพงเพื่อฆ่ามู่เฉิน ดังนั้นนี่บอกได้ว่าเขาเกลียดมู่เฉินขนาดไหน
ทว่าเผชิญกับการเยาะเย้ยของเสี่ยหลิงจื่อ มู่เฉินก็แค่สะบัดแขนเสื้อ การโจมตีของวิญญาณสงครามทั้งสองบ้าคลั่งขึ้น ทำให้ร่างเงาโลหิตอมตะสั่นสะเทือนไม่หยุด
ชัดว่ามู่เฉินต้องการฆ่าเสี่ยหลิงจื่อก่อนที่อาจารย์ผีจะทำลายค่าลกลได้
ทว่าร่างเงาโลหิตอมตะไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง มันสามารถเปลี่ยนสถานะของสสารได้ หากได้รับการโจมตีรุนแรงก็จะเปลี่ยนเป็นภาพลวงตาเพื่อลบล้างความเสียหายบางส่วน
แต่ถ้ามันโจมตีก็จะมีรูปแบบแท้จริง มีความสามารถทั้งรุกและรับยากที่จะจัดการนัก
“ฮ่าๆ แกคิดจะจัดการข้าก่อนเรอะ? เป็นไอ้หนูที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ ร่างเงาโลหิตอมตะของข้าเป็นสิ่งที่แกจะทำลายได้เรอะ?” เสี่ยหลิงจื่อล้อเลียนหลังจากเห็นความตั้งใจของมู่เฉิน
จอมยุทธ์ที่เฝ้ามองโดยรอบก็ส่ายหัว ร่างเงาโลหิตอมตะของเสี่ยหลิงจื่อยุ่งยากเป็นพิเศษในการจัดการ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ยังต้องเผชิญกับความยากลำบาก
แม้ว่ามู่เฉินจะมีวิญญาณสงครามทรงพลังเคียงข้าง แต่ชัดว่ายังไม่ถึงระดับที่สามารถปราบร่างเงาโลหิตอมตะได้
สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีต่อมู่เฉินมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
มู่เฉินก็รู้สึกเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงโบกมือเรียกอสรพิษและเต่าให้มาอยู่รอบตัว
“จะยอมแพ้รึ?” เสี่ยหลิงจื่อเค้นเสียง ในที่สุดมู่เฉินก็รู้แล้วว่าตนเองพยายามอย่างไร้ประโยชน์
มู่เฉินเหลือบมองเสี่ยหลิงจื่ออย่างไม่แยแส จากนั้นฝ่ามือก็วาดตราประทับ วิญญาณสงครามทั้งสองกวาดลงมากลายเป็นมหาสมุทรพลังหนาแน่น
คลื่นก่อต่อขึ้นเหนือมหาสมุทรอย่างต่อเนื่อง กระแสน้ำวนมหึมาก็ปรากฏ ทุกคนรู้สึกได้ว่ารัศมีจั้นยี่ของกองทัพทั้งสองพยายามรวมเข้าด้วยกันในเวลานี้
ความผันผวนที่น่าอัศจรรย์ของรัศมีก็กระเพื่อมออกไป
“หืม?”
เมื่อเสี่ยหลิงจื่อเห็นฉากนี้ ดวงตาก็หดลงก่อนที่จะเค้นเสียง “ที่แท้แกก็คิดจะหลอมรวมรัศมีจั้นยี่ของกองทัพทั้งสองเข้าด้วยกัน นั่นเป็นความคิดที่ดีทีเดียว แต่แกก็ไร้เดียงสาเช่นกัน”
ผลลัพธ์ไม่ธรรมดาแน่หากรัศมีจั้นยี่ทั้งสองกองทัพสามารถหลอมรวมเข้าด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้สำเร็จ
ถ้ามู่เฉินเป็นคนที่สร้างกองทัพทั้งสองขึ้นมาเอง อาจเป็นไปได้ที่จะหลอมรวมรัศมีจั้นยี่ของพวกเขาไว้ด้วยกัน แต่เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินไม่มีความสามารถในการสร้างกองทัพดังกล่าว ดังนั้นจึงยากที่เขาจะทำได้
ผู้ชมก็พากันส่ายหัว ชัดว่ามองการกระทำมู่เฉินเป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายโดยที่มีโอกาสล้มเหลวสูง
ซ่า ซ่า
ภายใต้ความสนใจ มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ก็กระเพื่อมไหวอย่างต่อเนื่อง รัศมีทั้งสองสายเริ่มติดต่อกัน ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เกิดความพยายามที่จะหลอมรวมก็จะเกิดการปฏิเสธซึ่งกันและกัน ทำให้ล้มเหลว
“ดูเหมือนว่าแกจะล้มเหลวแล้ว” รอยยิ้มเย้ยหยันของเสี่ยหลิงจื่อหนาแน่นขึ้น ขณะที่ดวงตาหรี่แคบลง
มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้น “จริงเหรอ?”
ทันใดนั้นมือของเขาก็กำแน่น กระบี่แก้วปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นเขาก็เฉือนไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่
“หลอมรวม!”
เสียงคำรามดังก้อง ลำแสงกระบี่ถูกยิงเข้าสู่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ ทำให้มหาสมุทรเดือดพล่านสงบลง พลังงานที่แตกต่างกันสองสายเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกัน ราวกับแม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน
ตู้ม!
ช่วงเวลานั้นทุกคนก็ได้เห็นการหลอมรวมของรัศมีจั้นยี่สุดจะพรรณนาพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและปกคลุมทั่วทั้งภูมิภาคด้วยแรงกดดัน
ทุกคนตกตะลึงเมื่อเห็นวังวนรัศมีจั้นยี่หมุนคว้าง ก่อนที่สัตว์ประหลาดตัวมหึมาจะยาตราออกมาอย่างช้าๆ
รูปร่างคล้ายเต่าแต่ช่วงกรามดูเหี้ยมโหดขึ้นมาก ส่วนหางเป็นอสรพิษขดอยู่รอบๆ กระดอง มันส่งเสียงขู่ดังลั่นขณะที่กระจายรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตออกไป
ร่างกายเป็นเต่า หางเป็นอสรพิษ นี่ก็คือเทพอสูรเต่าดำ
ร่างมหึมาของเต่าดำถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวินที่หนาแน่นซึ่งมีจำนวนถึงหกล้านลาย!
วิญญาณสงครามที่ทรงอำนาจนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังเกรงกลัว
เมื่อรัศมีจั้นยี่ของกองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจควบรวมเป็นวิญญาณสงครามใหม่ ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็แข็งค้างก่อนที่จะพึมพำด้วยความกลัวและสิ้นหวัง “เป็นไปได้ยัง?! เป็นไปได้ยังไง?!”
เขาไม่เคยคิดว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จ นี่เป็นสิ่งที่มันไม่ควรทำได้!
แต่ต่อให้จะไม่เชื่อขนาดไหน เรื่องมันก็เป็นจริงแล้ว
เสี่ยหลิงจื่อรู้สึกถึงไอคุกคามจากวิญญาณสงครามเต่าดำ แม้แต่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย วิญญาณสงครามที่มีลวดลายจั้นเหวินราวหกล้านลายก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุด
“อาจารย์ผีทำลายค่ายกลเร็วเข้า!”
เวลานี้เสี่ยหลิงจื่อได้แต่คำรามอย่างรีบร้อน
อาจารย์ผีที่กำลังทำลายค่ายกลอย่างสบายๆ ก็ต้องตกใจ ก่อนที่สีหน้าจะเคร่งเครียดลงหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะบรรลุเป้าหมายเช่นนี้
เขาสูดหายใจเข้าลึกไม่กล้าลากเวลาอีกต่อไป สัญลักษณ์หลิงยิ่งมากมายพุ่งออกมาจากแขนเพิ่มความเร็วในการเจาะทำลายค่ายกล
เขารู้ว่าถ้าเสี่ยหลิงจื่อพ่ายแพ้ในมือของมู่เฉิน ตัวเขาคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มคนนี้
ภายใต้สายตาไม่อยากเชื่อมากมาย มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจเมื่อมองวิญญาณสงครามเต่าดำ ที่จริงก็เป็นไปตามที่เสี่ยหลิงจื่อคาดการณ์ไว้ ปัจจุบันตัวเขายังไม่ได้มีความสามารถในการหลอมรัศมีจั้นยี่ของสองกองทัพเพื่อสร้างวิญญาณสงครามใหม่
แต่โชคดีที่เขามีกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ… และสิ่งนี้มีรัศมีของจักรพรรดิฟ้าเคลือบอยู่ ดังนั้นเขาจึงใช้รัศมีนี้เพื่อบังคับให้เกิดการหลอมรวม
แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ประสบความสำเร็จ
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองเสี่ยหลิงจื่ออย่างเย็นชา อีกฝ่ายไม่มีท่าทางอวดดีโดยที่ใบหน้าซีดเผือดไปหมดแล้ว
“ฉีกมันเป็นชิ้นๆ ซะ!”
มู่เฉินยิ้มเหี้ยม มือโบกลง วิญญาณสงครามเต่าดำแผดเสียงเปิดปากกว้าง กระแสรัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่กวาดออก ซึ่งภายในมีเสียงคำรามแห่งการเข่นฆ่าไม่มีที่สิ้นสุด
“ปราการแม่น้ำโลหิต!”
เผชิญหน้ากับวิญญาณสงครามเต่าดำ เสี่ยหลิงจื่อก็ไม่กล้าชักช้า ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงวูบไหว ร่างเงาโลหิตอมตะก็เปิดปาก แม่น้ำสีแดงเลือดขนาดใหญ่พุ่งออกมากลายเป็นแนวป้องกัน
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ปะทะกับปราการ ทำให้ปราการละลายเป็นชั้นๆ ทันที จากนั้นก็เจาะทะลุกระแทกร่างเงาโลหิตอมตะจังใหญ่
ในช่วงเวลาวิกฤต เสี่ยหลิงจื่อควบคุมร่างเงาโลหิตอมตะเปลี่ยนแปลงเป็นภาพลวงตาทันที ดังนั้นแม้ว่ากระแสรัศมีจ้นยี่จะปะทะเข้ามา แต่ส่วนใหญ่ก็ทะลุผ่านไป หลังจากที่กลายเป็นภาพลวงตา
ด้วยเหตุนี้กระแสรัศมีจั้นยี่ที่ตอนแรกสามารถทำร้ายร่างเงาโลหิตอมตะได้อย่างหนักหน่วงก็ทิ้งรอยหลุมแผลเอาไว้เท่านั้น ซึ่งมันได้เริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
เมื่อเสี่ยหลิงจื่อเห็นฉากนี้ ร่างกายที่เกร็งเครียดก็ผ่อนลง ดูเหมือนว่ากระทั่งรัศมีจั้นยี่ที่รวมตัวกันก็ไม่สามารถจัดการกับร่างเงาโลหิตอมตะของเขาได้อย่างง่ายดาย
ตู้ม!
ทว่ามู่เฉินยังเผยท่าทางสงบก่อนที่จะสะบัดนิ้ว กระแสรัศมีจั้นยี่ครางกระหึ่มพุ่งออกไปปะทะกับร่างเงาโลหิตอมตะอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเสี่ยหลิงจื่อเห็นการโจมตีนี้ เขาก็เข้าสู่สถานะการป้องกันเปลี่ยนร่างเงาโลหิตอมตะให้กลายเป็นภาพลวงตาเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายร้ายแรง
ตอนนี้เขาต้องลากเวลาให้กับอาจารย์ผีเพื่อทำลายค่ายกล พวกเขาจะได้ร่วมมือกันจัดการ ในเวลานั้นแม้จะมีรัศมีจั้นยี่ มู่เฉินก็ถึงวาระต้องตาย!
รัศมีจั้นยี่ส่งเสียงหวีดหวิวในท้องฟ้า สถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นมาก ทว่าจอมยุทธ์ที่เฝ้ามองอยู่ก็ต้องขมวดคิ้ว เนื่องจากพวกเขาตระหนักว่าถึงแม้จะมีการครอบงำของเต่าดำ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลกับร่างเงาโลหิตอมตะของเสี่ยหลิงจื่อสักเท่าไร
ด้วยสิ่งนี้เสี่ยหลิงจื่อสามารถลากเวลาออกไปได้ ขณะที่ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเริ่มทลายลงแล้ว
“ตู้ม!”
เกิดการกระแทกกันอีกครั้ง แต่ร่างเงาโลหิตอมตะที่อยู่ในสภาวะลวงตาก็ส่งผลกระทบออกไปเกือบทั้งหมด เสี่ยหลิงจื่อยืนอยู่ด้านบนอดไม่ได้ที่จะกลั้วเสียงหัวเราะ “ไอ้เด็กเหลือขอ แกจะพยายามอย่างไร้ประโยชน์ไปถึงเมื่อไร? โง่หรือเปล่าเฮอะ?”
ได้ยินเสียงตะเบ็งของเสี่ยหลิงจื่อ รอยยิ้มเย้ยหยันก็โค้งขึ้นบนใบหน้าสงบนิ่งของมู่เฉิน ขณะที่จ้องมองอีกฝ่าย “ไร้ประโยชน์จริงเหรอ?”
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั่น เสี่ยหลิงจื่อก็อึ้งไปก่อนที่จะก้มหัวลงมองร่างเงาโลหิตอมตะ แสงหลิงรวมเข้าด้วยกันในดวงตา วินาทีต่อมาใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปรุนแรง เขาเห็นลูกแก้วผลึกแสงนับไม่ถ้วนในร่างเงาโลหิตอมตะ โดยที่เขาไม่รู้ตัว พวกมันบินว่อนคล้ายกับหิ่งห้อย
เมื่อมองไปที่ผลึกเหล่านั้น เสี่ยหลิงจื่อก็คิดบางอย่างออก ใบหน้าซีดเผือดไปเลยทีเดียว
ขณะที่ใบหน้าเขาไร้สี มู่เฉินก็ยิ้มบางก่อนที่จะวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว เสียงดังก้องขึ้นในใจ
“ผนึก”
เมื่อเสียงของเขาจบลง ลูกแก้วผลึกแสงก็เปล่งประกาย ปกคลุมร่างเงาโลหิตอมตะไว้ทั้งหมด อึดใจต่อมาเสี่ยหลิงจื่อก็ต้องตะลึงหวาดหวั่นเมื่อเห็นว่าสูญเสียการควบคุมร่างเงาโลหิตอมตะ ทำให้มันมืดลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังหดตัวไม่ว่าเขาจะพยายามเทพลังงานเข้าไปเท่าใดก็ตาม
“นั่นเป็นคลื่นหลิงที่ผิดปกติของมัน!”
“บุกเข้าร่างเงาโลหิตอมตะตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
“ช่วงเวลาที่ทะลุผ่านร่างไปเรอะ?!”
ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนไปรุนแรง ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินจึงยังโจมตีไม่ยั้งแม้ร่างเงาโลหิตอมตะจะไม่ได้รับผลอะไรก็ตาม ที่แท้มู่เฉินไม่ได้ตั้งใจจะทำลายร่างเงาโลหิตอมตะของเขาโดยรัศมีจั้นยี่ กระบวนท่านี้ เขาแค่ต้องการอัดคลื่นหลิงที่ผิดปกติลงไป!
“ข้าต้องสร้างร่างเงาโลหิตอมตะใหม่!”
เสี่ยหลิงจื่อกัดฟันแน่นตัดสินใจลบการเชื่อมโยงกับร่างนี้อย่างเด็ดขาด ทว่าทันใดนั้นม่านผลึกก็บีบลงมาหาเขา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเจดีย์ผลึกแก้วใสขนาดใหญ่กดลงมา จากนั้นก็กลืนทั้งเขาและร่างเงาโลหิตอมตะเข้าไป
เจดีย์หดตัวลงอย่างรวดเร็วแล้วลอยลงมาบนฝ่ามือของมู่เฉิน
ผู้ชมต่างตกตะลึงกับฉากนี้ แม้แต่อาจารย์ผีก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก
ไม่มีใครคาดว่าเสี่ยหลิงจื่อและร่างเงาโลหิตอมตะที่ยืนตั้งมั่นก่อนหน้าจะถูกกักขังไว้ในเจดีย์ผลึกแก้วใสของมู่เฉินในพริบตา
มู่เฉินไม่สนใจสายตาเหล่านั้น เขาก้มมองเสี่ยหลิงจื่อที่ตื่นตระหนกอยู่ในเจดีย์ มุมปากเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจฆ่าก่อนเสียงจะดังก้อง
“ไอ้หมาแก่ ไหนแกลองวิ่งให้ข้าดูอีกครั้งสิ?!”
บทที่ 1248 กองทัพดับปีศาจ
บนผิวน้ำ
ร่างเงาหลายพันร่างยืนอยู่ราวกับก้อนหินขณะที่นิ่งไม่ไหวติง ไม่มีพลังชีวิตใดๆ เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของพวกเขา แต่ทุกร่างเปล่งรัศมีจั้นยี่ที่น่ากลัว ทำเอาผู้ชมหัวใจสั่นคลอน
ข้อมูลหลักของมู่เฉินเป็นสิ่งที่ทุกคนทราบดี ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่านอกจากจะเป็นหลิงเจิ้นจงซือ มู่เฉินยังเป็นจั้นเจิ้นซือด้วย
ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้แปลกอะไร เพราะจั้นเจิ้นซือเป็นแขนงหนึ่งของหลิงเจิ้นซืออยู่แล้ว ถ้าต้องการเป็นจั้นเจิ้นซือก็ต้องมีพื้นฐานของหลิงเจิ้นซือมาก่อน
แต่ผู้ฝึกยุทธ์โดยส่วนใหญ่มักเลือกที่จะก้าวไปบนเส้นทางเดียว ทว่ามู่เฉินกลับฝึกฝนทั้งสองศาสตร์และบรรลุความสำเร็จทั้งสองศาสตร์อีกด้วย
“กองทัพนั่นโผล่มาจากไหนอีกเนี่ย?”
“รัศมีจั้นยี่น่าตกตะลึงนัก ในทวีปซีเทียนคงมีเพียงตำหนักซีเทียนเท่านั้นที่สามารถนำกองทัพระดับนี้ออกมาได้!”
“ภูมิหลังไอ้เด็กนั่นทรงพลังอะไรเช่นนี้!”
“…”
เมื่อกองทัพดับปีศาจปรากฏตัวขึ้น ความโกลาหลก็กวนตัวรอบบริเวณ ชัดว่าจอมยุทธ์ที่แอบเฝ้ามองอยู่ต่างตะลึงไปกับไพ่ตายของมู่เฉินใบนี้
นั่นเป็นเพราะรัศมีจั้นยี่ที่เกิดขึ้นจากกองทัพดับปีศาจ ทำให้แม้แต่พวกเขายังรู้สึกว่าถูกคุกคามมากนัก
ขณะที่ผู้ชมตกตะลึง ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็ไม่น่าดูอย่างมาก เขาจ้องเขม็งกองทัพดับปีศาจด้วยความเย็นเยือกในหัวใจ
เขาไม่เคยเห็นมู่เฉินใช้กองทัพลึกลับนี่มาก่อน ดังนั้นนี่ต้องเป็นไพ่ตายแน่ เมื่อมู่เฉินเปิดเผยการข่มขู่นี้ก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจนัก
“ไอ้หนูนี่เป็นใครมาจากไหนกันแน่ กองทัพระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็มีได้!” ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนไป ในมหาพันภพจั้นเจิ้นซือเป็นศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมีพลังน่าสะพรึงกลัว แม้ว่าจะไม่ได้พึ่งพาพลังของตนเองก็ตาม
ทว่าข้อบกพร่องอย่างหนึ่งของจั้นเจิ้นซือก็คือความยากลำบากในการเลี้ยงดูกองทัพชั้นยอด นั่นเป็นเพราะจะต้องมีความมั่งคั่งและกำลังคนขนาดใหญ่ ดังนั้นจั้นเจิ้นซือจึงต้องการการสนับสนุนจากขั้วอำนาจยิ่งใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้นกองทัพทั้งสองในมือของมู่เฉินยังเป็นกองทัพหุ่นเงารบซึ่งหายากยิ่งกว่า! นั่นเป็นเพราะมีเพียงนักรบชั้นสูงที่ใช้ทักษะลับถึงสามารถรักษาร่างของพวกเขาให้เป็นหุ่นไว้ได้ นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะล้มเหลวมาก นั่นหมายความว่ากองทัพใหม่ที่มีจำนวนนักรบเกือบหนึ่งพัน อย่างน้อยก็ต้องนักรบนับหมื่นคนตอนที่พวกเขายังมีชีวิต!
แล้วแนวคิดของกองทัพจำนวนมากกว่าหมื่นคนคืออะไร? ทั่วทั้งทวีปซีเทียนคงมีเพียงตำหนักซีเทียนเท่านั้นที่สามารถบำรุงกำลังเช่นนี้ได้
ดังนั้นเสี่ยหลิงจื่อจึงคิดไม่ออกว่ามู่เฉินมีอำนาจน่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไรทั้งที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น
“ทำไม? ไม่หยิ่งต่อแล้วเหรอ?”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพลางยิ้มมองไปที่เสี่ยหลิงจื่อ
มุมปากของเสี่ยหลิงจื่อกระตุก สายตาเย็นชาลง “ไอ้เวร อย่าหยิ่งนัก ถึงแกจะมีกองทัพสองกองทัพที่แตกต่างกันลึกซึ้ง ข้าก็ไม่เชื่อว่าแกจะสามารถควบคุมทั้งสองกองทัพได้!”
แม้ว่าเสี่ยหลิงจื่อจะไม่รู้ว่ามู่เฉินได้รับกองทัพทั้งสองมาได้อย่างไร แต่เขาก็มั่นใจได้ว่านักรบเหล่านี้ไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากมู่เฉินอย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่ง่ายที่เขาจะบัญชารัศมีจั้นยี่
มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดนั่น โดยทั่วไปกองทัพหุ่นเงารบจะคงความปราถนาของตอนมีชีวิตไว้ ดังนั้นการได้มาก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถควบคุมได้ แต่นี่ไม่เหมือนกันสำหรับมู่เฉิน แม้กองทัพดับปีศาจจะเป็นของจอมพลหนึ่ง แต่มู่เฉินเป็นคนที่ได้รับมรดกสืบทอดของจักรพรรดิฟ้า แทบจะเหมือนมีสถานะประมุขรุ่นสองแห่งวังสวรรค์บรรพกาล จึงไม่มีปัญหาใดๆ สำหรับเขาที่จะสั่งการกองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจนี้
ดังนั้มู่เฉินจึงเหยียดมือโบกเบาๆ
ตู้ม!
ทันใดนั้นกองทัพทั้งสองก็ระเบิดรัศมีจั้นยี่ขึ้นปกคลุมท้องฟ้า
ทั่วบริเวณกลายเป็นสีเหลืองคล้ำ เสียงคำรามของการสังหารดังขึ้น ราวกับว่าพวกเขายาตราจากยุคโบราณผ่านเข้าสู่พื้นที่แห่งนี้
รัศมีจั้นยี่ที่ยิ่งใหญ่สองแห่งเปลี่ยนเป็นมหาสมุทร ขณะที่หมุนรอบร่างมู่เฉิน ทุกครั้งที่เคลื่อนไหวจะทำให้มิติโดยรอบสั่นสะเทือน
ร่างใหญ่สองร่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ วิญญาณสงครามของกองทัพสังหารวิญญาณเป็นอสรพิษยักษ์ที่มีลวดลายจั้นเหวินอัดแน่นอยู่บนร่างถึงหนึ่งล้านห้าแสนลาย!
ขณะที่วิญญาณสงครามของกองทัพดับปีศาจเป็นเต่ายักษ์ตัวมหึมาที่ดุร้ายแสยะเขี้ยวแหลมคม หนามผุดขึ้นจากกระดองเต่าพร้อมกับลวดลายจั้นเหวินถึงสี่ล้านลาย!
กองทัพดับปีศาจเป็นกองทัพชั้นยอดของวังสรรค์บรรพกาล ในอดีตพวกเขาเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถต่อกรกับการรุกรานของเผ่าปีศาจมิติได้ แม้ว่าจำนวนนักรบจะลดลงเหลือไม่ถึงพัน แต่พวกเขาก็ยังคงแข็งแกร่งกว่ากองทัพสังหารวิญญาณ
ฟ่อ!
วิญญาณสงครามอสรพิษส่งเสียงขู่บนท้องฟ้าก่อนที่จะพุ่งออกมา ฉีกมิติซัดเข้าหาเสี่ยหลิงจื่อไม่ยั้ง
เผชิญหน้ากับวิญญาณสงครามอสรพิษ สายตาของเสี่ยหลิงจื่อก็มืดครึ้มลง ก่อนที่มือจะประสานกันคำรามลั่น “ร่างเงาโลหิตอมตะ!”
เหมือนมีแม่น้ำโลหิตพรั่งพรูออกมาจากร่างเสี่ยหลิงจื่อ ทันใดนั้นร่างโลหิตขนาดใหญ่หลายหมื่นจั้งก็ก่อตัวขึ้นข้างหลัง
ร่างนี้ดูลึกซึ้งมาก ดูทั้งลวงตาและสมจริงในเวลาเดียวกัน ช่างให้ความรู้สึกแปลกประหลาดนัก
นี่คือมรดกสืบทอดร่างเทห์สวรรค์ของตระกูลเสี่ยเสิน อันดับสามสิบแปดในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง
ประจันหน้ากับกองทัพชั้นยอดของมู่เฉินสองกองทัพ เสี่ยหลิงจื่อก็ไม่กล้าออมมืออีกต่อไป เขาเร้าร่างเวทสวรรค์ออกมาทันที ด้วยกลัวตนเองจะตกอยู่ในความล้มเหลวอย่างน่าสังเวช
ตู้ม!
เมื่อร่างเงาโลหิตอมตะเผยออกมา มือสีแดงเข้มก็ตบลงมาพร้อมกับแม่น้ำโลหิตไหลมาบรรจบกันบนฝ่ามือ กระแทกใส่วิญญาณสงครามอสรพิษเต็มเหนี่ยว
ปัง!
มิติผันผวน อสรพิษก็ถูกกระแทกด้วยฝ่ามือโลหิต ท้ายที่สุดวิญญาณสงครามอสรพิษที่มีลวดลายจั้นเหวินหนึ่งล้านห้าแสนลายก็สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นต้นได้เท่านั้น ยังไม่เพียงพอที่จะสู้กับตี้จื้อจุนขั้นปลาย
“บดมัน!”
ส่งวิญญาณสงครามอสรพิษกลับไปด้วยพลังฝ่ามือ เสี่ยหลิงจื่อก็มุ่งมั่นที่จะทำลายวิญญาณสงครามนี้ เพราะแบบนี้กองทัพสังหารวิญญาณจะได้รับผลกระทบด้วย
ดังนั้นมือโลหติจึงเปลี่ยนเป็นหมัดพุ่งไปยังวิญญาณสงครามอสรพิษทันที
วาบ!
ทว่าในช่วงเวลานั้นก่อนที่กำปั้นจะซัดใส่อสรพิษ เงาขนาดใหญ่ก็ทะยานมาจากด้านข้าง เต่าแสงเปล่งประกาย ปล่อยให้กำปั้นชกลงบนกระดอง
ครืนๆๆๆ!
คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากวาดออก ยอดเขาจำนวนมากที่ยื่นออกมาจากพื้นผิวมหาสมุทรแตกเป็นฝุ่นพร้อมกับคลื่นม้วนตัวออกไป
บนอากาศ เต่าสั่นเทิ้มเล็กน้อย แต่ก็สามารถต่อต้านการชกรุนแรงของเสี่ยหลิงจื่อได้ นอกจากนี้ในจังหวะสุดท้ายมันยังเปิดปากกัดมือโลหิตเต็มแรง
เต่ายักษ์ที่ถูกสร้างขึ้นจากกองทัพดับปีศาจมีจำนวนลวดลายจั้นเหวินถึงสี่ล้านลาย ซึ่งเป็นจำนวนมากพอที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เสี่ยหลิงจื่อจะได้เปรียบเหมือนตอนที่จัดการวิญญาณสงครามอสรพิษ
ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อมืดครึ้มลง การควบคุมอย่างชำนาญของมู่เฉินในรัศมีจั้นยี่เกินความคาดหมายของเขา
โฮก!
ทว่ามู่เฉินไม่ปล่อยโอกาสให้เขาเคลื่อนไหวอีกต่อไป วิญญาณสงครามอสรพิษและเต่าปะทุขึ้นในเวลาเดียวกัน เปิดการโจมตีใส่ร่างเงาโลหิตอมตะไม่ยั้ง
ตู้ม ตู้ม!
ด้วยเหตุนี้รัศมีจั้นยี่เกรี้ยวกราดและคลื่นหลิงสีแดงเข้มปะทะใส่กันอย่างต่อเนื่องบนท้องฟ้า ทุกครั้งที่ปะทะจะทำให้มิติโดยรอบแตกออกเป็นลอนคลื่น หุบเหวมากมายหลายร้อยจั้งฉีกข้ามมหาสมุทรที่เบื้องล่าง
ความรุนแรงของการดวลกันครั้งนี้เกินจะอธิบาย
ผู้ชมมีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อมองดูการต่อสู้ดุเดือดในท้องฟ้า
ท่ามกลางวิญญาณสงครามทั้งสองที่ภายใต้การบัญชาของมู่เฉิน วิญญาณสงครามอสรพิษอ่อนที่สุด เนื่องจากมีพลังเทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น ส่วนวิญญาณสงครามเต่าสามารถเผชิญหน้ากับระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้เลยทีเดียว
ถ้าสู้กันตัวต่อตัว ร่างเงาโลหิตอมตะก็ทรงพลังยิ่งกว่าด้วยซึมซับคลื่นหลิงไม่มีที่สิ้นสุดจากเสี่ยหลิงจื่อ ทว่ามู่เฉินสามารถใช้ประโยชน์จากการบัญชาสมบูรณ์แบบ เขาใช้วิญญาณสงครามอสรพิษและเต่าประสานพลังเข้าด้วยกัน สลายการโจมตีจากร่างเงาโลหิตอมตะไว้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
นอกจากนี้วิญญาณสงครามทั้งสองยังโจมตีใส่ตอนเสี่ยหลิงจื่อเผลอโดยไม่ทันตั้งตัว
การโรมรันพันตูรุนแรงผิดปกติ
เมื่อเผชิญหน้ากับการปะทะนี้ ผู้ชมก็ตกตะลึงไปเพราะไม่มีใครคิดว่า ต่อให้ไม่มีค่ายกลมู่เฉินก็ยังสามารถสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้
บนมหาสมุทรเสี่ยหลิงจื่อมองไปที่วิญญาณสงครามที่กำลังพุ่งเข้าหาอย่างรุนแรงด้วยสีหน้าไม่น่าดู สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น แม้ว่าคลื่นหลิงระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายจะทรงพลัง แต่พลังที่มู่เฉินใช้คือรัศมีจั้นยี่ ซึ่งตราบใดที่กองทัพไม่ถูกทำลายพลังงานก็จะมีไม่สิ้นสุด ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปจะเป็นตัวเขาเองที่ต้องเสียเปรียบ
เขาต้องพลิกสถานการณ์ให้เร็ว!
ดวงตาเขาเป็นประกายวูบไหวก่อนที่จะกัดฟันคำราม “อาจารย์ผีทำลายค่ายกลซะแล้วรีบมาช่วยข้า เสร็จสิ้นการสังหารนี้ป้ายสัประยุทธ์ทั้งหมดของมันจะเป็นของเจ้า รวมทั้งข้าจะจ่ายเพิ่มอีกสองป้ายด้วย!”
เสียงคำรามนี้ทำให้ผู้ชมสั่นหัว ดูเหมือนว่าเสี่ยหลิงจื่อหลังชนฝาแล้ว
ดวงตาของอาจารย์ผีวาวโรจน์ก่อนที่จะหัวเราะร่วน “ช่างเป็นคนใจกว้างจริงๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ขอเวลาสักครึ่งก้านธูปเพื่อจัดการค่ายกลนี้!”
พูดจบสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ โซ่ที่ผูกกับมังกรทั้งเก้าก็มีหนามโผล่ออกมาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเขมือบคลื่นหลิงของมังกรเหล่านั้น
เมื่อคลื่นหลิงหายไป ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็เริ่มพังทลายลง
เมื่อเห็นฉากนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ชมในสมรภูมินี้หรือจัตุรัสก็ต่างตกตะลึงไป
เมื่อลั่วเทียนเสินเห็นฉากนี้ ใบหน้าของเขาก็เขียวคล้ำ แววกังวลวูบไหวในดวงตา
หากค่ายกลถูกทำลายและอาจารย์ผีเข้าช่วยรุม มู่เฉินแพ้แน่นอน!
บทที่ 1245 เผยแพร่ชื่อเสียง
มู่เฉินยิ้มกริ่มในมือมีม้วนคัมภีร์สีแดง
ตอนนี้ราชันเมฆเพลิงหายไปแล้ว เขาถูกเตะออกจากการแข่งขันเนื่องจากการสูญเสียป้ายสัประยุทธ์ไป
ด้วยการข่มขู่จากมู่เฉิน ทำให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย เขาได้รับวิชาเพลิงกระโจนมาตามต้องการ
นี่ไม่ยากเกินไปที่จะทำสำเร็จ เนื่องจากชะตากรรมของราชันเมฆเพลิงอยู่ในมือเขา ในสมรภูมิแบบนี้ความตายเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นไม่มีใครสามารถพูดอะไรได้แม้ว่ามู่เฉินจะฆ่าคนก็ตาม
บางทีราชันเมฆเพลิงอาจมีไพ่ตาย แต่เขาคงต้องจ่ายราคาด้วยการได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือแม้กระทั่งมีผลสะท้อน ดังนั้นเมื่อเลือกระหว่างชีวิตกับคัมภีร์วิชา ราชันเมฆเพลิงเลือกชีวิตแบบไม่ต้องคิดเลย
“วิชาเพลิงกระโจน…”
มู่เฉินเทคลื่นหลิงลงไปในม้วนคัมภีร์ ข้อมูลมหาศาลก็หลั่งไหลเข้ามาในห้วงจิต วิชานี้เป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นต่ำเท่านั้น ในแง่ของการจัดลำดับก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินถูกล่อลวง ทว่าวิชานี้มีความเร็วและความสามารถทะลวงผ่านปราการของค่ายกลได้ นี่ทำให้มู่เฉินเกิดความสนใจอย่างมาก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่บีบเอามาจากราชันเมฆเพลิงหรอก
ต้องมีคลื่นหลิงที่มาจากไฟเพื่อฝึกฝนวิชานี้ โชคดีคลื่นหลิงของมู่เฉินหลอมรวมกับเพลิงอมตะแล้ว ซึ่งนี่ถือว่าเหมาะเหม็งเลยทีเดียว
มู่เฉินเก็บม้วนคัมภีร์รู้สึกค่อนข้างพอใจกับการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เขาได้ป้ายสัประยุทธ์สองป้าย เขายังได้รับอาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำและวิชาเพลิงกระโจนอีกด้วย
“ป้ายสัประยุทธ์สามป้าย ป้ายหนึ่งเป็นของข้า ดังนั้นหมายความว่าข้าต้องการอีกสองป้ายเพื่อแลกเปลี่ยนกับค่ายกลรบสามกำลัง” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง
“แต่ตอนนี้ในเมื่อข้ามีสามป้ายก็คงไม่จำเป็นต้องไปหา ปล่อยให้พวกเขามาหาข้าเอง ดังนั้นข้าแค่เตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรอคนมาเท่านั้น…”
มู่เฉินยิ้มกริ่มก่อนที่เหาะเหินขึ้นไปบนท้องฟ้าบินออกไปไกล สถานที่นี้วินาศสันตะโรอย่างมีนัย ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะตั้งค่ายกล เขาต้องมองหาสถานที่อื่น
เมืองซีเทียนจั้น
เมื่อฉากการต่อสู้ของมู่เฉินจบลง หน้าจอเหนือจัตุรัสก็หายไป ทว่าผู้คนยังคงจ้องมองอย่างอึ้งทึ่งอยู่ที่จุดที่หน้าจอหายไป
ไม่กี่อึดใจก่อนหน้าพวกเขายังเห็นราชันเมฆเพลิงไล่ล่ามู่เฉิน แต่ใครจะคิดว่าจะกลับตาลปัตรแบบนี้ มู่เฉินใช้ค่ายกลทรงพลังบังคับให้ราชันเมฆเพลิงต้องถอยตัวโก่งแล้วหนีไป แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดมู่เฉินยังออกจากค่ายกลไล่ตามอีกฝ่ายไป ด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่มี!
ตอนที่เห็นฉากนี้ ผู้คนจำนวนมากเยาะเย้ยมู่เฉินเพราะเขาประเมินความสามารถของตัวเองมากเกินไปและมองข้ามจุดที่ได้เปรียบ แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้พูดเยาะอะไรเพิ่ม ดวงตาของพวกเขาก็แทบถลน เมื่อเห็นราชันเมฆเพลิงไร้พลังในกำมือของมู่เฉินในสิบกว่าอึดใจเท่านั้น…
ไม่นานหลังจากหน้าจอหายไป พวกเขาก็ฟื้นจากอาการตะลึงงัน พากันแลกเปลี่ยนสายตาก็เห็นริ้วความเคร่งเครียดและความกลัวอยู่ในแววตาของกันและกัน
หากก่อนหน้าพวกเขายังรู้สึกว่ามู่เฉินใช้อุบายบางอย่างเพื่อเอาชนะสงป้า จากการต่อสู้ครั้งนี้คนเดียว มู่เฉินแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่สามารถคุกคามคุกคามจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้
“ไม่คิดว่ามู่เฉินจะเชี่ยวชาญสูงในศาสตร์ค่ายกล… ค่ายกลเมื่อครู่อยู่ในระดับจงซือขั้นกลางแน่นอน” บางคนแอบถอนหายใจ จากข้อมูลที่ได้รับมาพวกเขารู้ว่ามู่เฉินเคยแสดงศักยภาพทางศาสตร์ค่ายกลที่ไม่ธรรมดาตอนที่อยู่ในตระกูลลั่วเสิน แต่ตอนนี้พลังของมู่เฉินเพิ่มขึ้นทบทวีอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับก่อนหน้า
“ชายคนนี้แปลกจริงๆ เขามีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น แต่กลับมีความสามารถไม่ได้ด้อยกว่าขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ไม่แปลกใจที่เขากล้ากระโดดเข้าร่วมสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายนี้”
“ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นม้ามืดตัวจริง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถไปไกลได้แค่ไหน เพราะดูจากสถานการณ์ตอนนี้เขายังค่อนข้างห่างจากกลุ่มคนอันดับต้นๆ…”
“ใช่แล้ว หลิงจั้นจื่อได้รับป้ายสัประยุทธ์หกป้ายแล้วตอนนี้…”
“…”
เสียงซุบซิบดังก้อง แต่คราวนี้ไม่มีเสียงพูดเยาะเย้ยอีกแล้ว เนื่องจากทุกคนเข้าใจแล้วว่ามู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะอยู่ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้
ลั่วเทียนเสินรู้สึกโล่งใจในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะรู้เกี่ยวกับวิธีของมู่เฉินบ้าง แต่เขาก็ค่อนข้างตกใจเมื่อเห็นว่ามู่เฉินเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้
จากการคาดการณ์ กระทั่งเขายังมีโอกาสสูงที่จะพ่ายแพ้มู่เฉินเลย
การคาดการณ์นี้ทำให้เขายิ้มขมขื่น หวนคิดถึงหลายปีก่อนตอนที่พบกับมู่เฉินครั้งแรก ชายหนุ่มไม่มีอะไรโดดเด่นในสายตาของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ดูถูก แต่ก็ไม่ได้เอามู่เฉินมาใส่ใจ
แต่ใครจะคาดได้ว่าไม่กี่ปีต่อมาชายหนุ่มที่ทำอะไรไม่เป็นคนนั้นจะเติบโตได้ไกลขนาดนี้
ลั่วเทียนเสินถอนหายใจ ระงับอารมณ์ที่ซับซ้อนในหัวใจ ก่อนที่จะพึมพำ “ต่อไปก็ต้องดูว่าเจ้าหนุ่มนี่จะไปได้ไกลแค่ไหน…”
บนบัลลังก์เบื้องหน้าตำหนัก จักรพรรดิสัประยุทธ์จ้องมองหน้าจอที่แสดงฉากการต่อสู้ของมู่เฉินก็ยิ้มบาง “มิน่าล่ะเทพจักรพรรดิอัคคีถึงให้มู่เฉินเข้าสู่สมรภูมิตี้จื้อจุนขั้นปลาย ที่แท้ตัวเขาเป็นหลิงเจิ้นต้าซือขั้นตี้ด้วยนี่เอง”
“แต่นั่นพิสูจน์ได้ว่าเขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายทั่วไปได้เท่านั้น ข้ากลัวว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะคว้าชัยชนะ”
น้ำเสียงของจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่แยแส หากตัวตนของหลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้เป็นไพ่ตายสำหรับมู่เฉินแล้ว งั้นเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับตำแหน่งนักรบทวีปแน่นอน
เนื่องจากหลิงจั้นจื่อและคนอื่นๆ ต่างเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะสามารถพึ่งพาค่ายกลเพื่อจัดการกับราชันเมฆเพลิง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะคุกคามหลิงจั้นจื่อและคนอื่นๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิสัประยุทธ์ เซียวเหยียนก็ยิ้ม “ข้ารู้สึกว่ามู่เฉินจะไม่ปล่อยให้ข้าสูญเสียยาเทวะมังกรหงส์เปล่าประโยชน์แน่นอน”
จักรพรรดิสัประยุทธ์หรี่ตามองที่หน้าจอพลางพยักหน้าด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “งั้นขอข้าดูหน่อย หวังว่าเจ้าเปี๊ยกนี่จะไม่ทำให้เทพจักรพรรดิอัคคีผิดหวังนะ…”
ในมุมมองของเขาดีมากแล้วถ้ามู่เฉินสามารถคงอยู่จนถึงช่วงสุดท้าย แต่ถ้าคิดจะคว้าชัยชนะ ฮ่าๆ เทพจอมยุทธ์ทั้งสามของตำหนักซีเทียนจะสอนมันให้รู้ถึงขอบเขตของตัวเอง
หลังจากมู่เฉินออกจากพื้นที่ก่อนหน้า
เขาก็ค่อยๆ ชะลอตัวลง จำนวนป้ายสัประยุทธ์สามป้ายทำให้ตำแหน่งของเขาปรากฏบนป้ายของผู้เข้าแข่งขันคนอื่น เขารู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นหลิงหลากหลายที่พุ่งมาในทิศทางของเขา ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
“มาเร็วดีแฮะ”
มู่เฉินพูดพึมพำก่อนที่จะพลิ้วตัวลงมาอย่างรวดเร็ว แขนเสื้อของเขาสะบัดพรึบพรับ สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก็บินฉวัดเฉวียนออกมายราวกับผีเสื้อ รวมเข้ากับมิติทันที
แม้ว่าเขาจะสามารถตั้งค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สมบูรณ์แบบได้สำเร็จ แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้ ดังนั้นเขาจะต้องเตรียมการล่วงหน้า ศัตรูคงไม่ให้เวลาเขาในการจัดการตอนที่ต่อสู้หรอก
ตามคาดมู่เฉินผิดพลาดสองครั้งก่อนที่จะสามารถจัดตั้งค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารได้สำเร็จอีกครั้ง
เขานั่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเริ่มหมุนคว้าง ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังเล็ดลอดออกมา ทำให้ระลอกคลื่นคำรามเสียงลั่น
คราวนี้เขาไม่ได้ซ่อนค่ายกลเหมือนที่ทำเมื่อก่อนหน้าในการล่อราชันเมฆเพลิง แต่ครั้งนี้ศัตรูมาเคาะประตูหน้าบ้านแล้ว
พวกเขาจะต้องระมัดระวังมาก ดังนั้นค่ายกลยิ่งใหญ่นี้จะถูกค้นพบไม่ว่าจะพยายามซ่อนขนาดไหนก็ตาม
ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องซ่อน เขาเผยให้รู้ทันทีเพื่อดูว่าใครกล้าพอที่จะท้าทาย
หลังจากที่ตั้งค่ายกลเสร็จ มู่เฉินก็หลับตารอศัตรูเข้ามา
การรอคอยไม่ได้กินเวลานาน เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังสี่สาย ซึ่งกวาดข้ามมาจากสี่ทิศทางที่แตกต่างกัน ก่อนที่พวกเขาจะหยุดในท้องฟ้าที่ห่างไกล
พวกเขาทั้งสี่รู้สึกถึงกันและกัน ดังนั้นแต่ละคนก็เฝ้าระวังกัน ในการแข่งขันทุกคนถือเป็นศัตรู
พวกเขาถอนสายตาอย่างรวดเร็ว มองไปที่มู่เฉินในป่าจากนั้นก็อึ้งไป
“ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น?”
“ไอ้นอกคอก มู่เฉิน…”
“เขาตั้งค่ายกลไว้รอบตัว ที่แท้เขาเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้ด้วย ไม่แปลกใจที่เขากล้าที่จะเข้าสู่สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย”
เมื่อพวกเขาเห็นมู่เฉิน สายตาก็วูบไหวด้วยความคิดที่แตกต่างกัน
“ใครอยากได้ป้ายสัประยุทธ์ของข้า ก็เข้ามาแย่งได้เลย”
ขณะที่ผู้มาใหม่จ้องมองมู่เฉินจากระยะไกล เขาก็เปิดตาขึ้นพร้อมกับระเบิดหัวเราะเสียงสดใสดังกังวาน
เมื่อได้ยินคำพูดท้าทายของมู่เฉิน ทั้งสี่ก็ขมวดคิ้ว แต่ไม่มีใครกล้าขยับตัวเพราะพวกเขารู้สึกถึงไอคุกคามที่มาจากค่ายกลทรงพลังรอบตัวมู่เฉิน
นอกจากนี้พวกเขายังรักษาระวังซึ่งกันและกัน กลัวว่าจะมีคนรอเก็บผลประโยชน์ขณะที่คนอื่นทำงานอยู่
“ถ้าไม่มีใครกล้าก็ออกไปอย่ามาเสียเวลา” เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีท่าทางเคลื่อนไหว มู่เฉินก็โบกมือ
“ฮึ่ม ไอ้จอมหยิ่ง!”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ชายเสื้อคลุมสีม่วงก็หัวเราะเสียงเยือกเย็น สายตาจับจ้องไปที่ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารรอบร่างมู่เฉิน ก่อนที่จะมองจอมยุทธ์อีกสามคน “ถ้าพวกเจ้าไม่มีความตั้งใจที่จะเคลื่อนไหว งั้นข้าขอแล้วกันนะ แต่ว่าพวกเจ้าคงต้องออกไปก่อน”
ทั้งสามคนกะพริบตาก่อนที่จะยิ้ม “นี่คงเป็นเจ้าสำนักจื่อซัน พวกข้าได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วว่าเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำลายค่ายกล ในเมื่อเจ้าหมายตาเขาไว้ ก็เอาไปเลย”
พูดจบทั้งสามก็ถอยออกไปทันที เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่ามู่เฉินแกล้งทำหรือไม่ หากเป็นเรื่องจริงพวกเขาคงไม่มีเวลาง่ายดายแน่นอน หากเป็นเรื่องโกหกพวกเขาก็ใช้เจ้าสำนักจื่อซันปะทะกับมู่เฉิน รอจนกระทั่งทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บ…
ทว่าทั้งสามกระจ่างแจ้งว่าเจ้าสำนักจื่อซันจะต้องกันพวกเขาทั้งสามคนไว้แน่ ดังนั้นพวกเขาจึงไปจากที่นี่ตามที่สัญญา
เมื่อสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงสามสายเคลื่อนตัวห่างไกลออกไปแล้ว เจ้าสำนักจื่อซันก็มองมู่เฉินอย่างเยือกเย็นเค้นเสียงขึ้นว่า “ไอ้เด็กโง่ แกคิดจริงๆ หรือว่าค่ายกลนี้สามารถปกป้องตัวเองได้? ข้าจะให้แกดูว่าข้าคนนี้จะทำค่ายกลของแกยังไง!”
พูดจบก็พุ่งเข้าไปในค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ภายใต้รอยยิ้มไม่เชิงยิ้มของมู่เฉิน
จอมยุทธ์สามคนหยุดเคลื่อนไหวหลังจากอยู่ไกลออกมาก่อนที่ปิดตา พวกเขาสัมผัสถึงความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงพวยพุ่งมาจากสถานที่แห่งนั้น
“เจ้าสำนักจื่อซันเคลื่อนไหวแล้ว ไอ้เหลือขอนั่นซวยแน่นอน…”
ทั้งสามยิ้มรอคอยให้เจ้าสำนักจื่อซันได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะหาโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์
การรอเวลาของพวกเขาใช้เวลาหนึ่งก้านธูป ก่อนที่การแสดงออกจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว
“เสร็จแล้วรึ? รวดเร็วขนาดนี้เชียวเหรอ?”
ทั้งสามตกใจไปก่อนที่ใบหน้าจะมืดครึ้มลง ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะแกล้งข่มขู่พวกเขาแล้ว
“สิ่งที่เป็นประโยชน์ตกไปในมือเจ้าสำนักจื่อซันเลย” ทั้งสามสาปแช่ง ก่อนที่จะเพิ่มความเร็วพุ่งเข้าไปเพื่อดูว่าตนเองจะได้รับประโยชน์ใดๆ บ้าง
ไม่นานพวกเขาก็เข้าใกล้ป่าบริเวณนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกทำลายเป็นวงกว้าง แต่ละคนยืนอยู่บนท้องฟ้าก่อนที่จะยกสายตาไปข้างหน้า ฉับพลันดวงตาก็แคบลง
พวกเขาเห็นเงาร่างนั้นนั่งเงียบๆ บนต้นไม้ใหญ่ แม้ว่าค่ายกลรอบตัวจะขาดรุ่งริ่งไปบ้าง แต่ก็ยังคงหมุนคว้าง
เมื่อทั้งสามคนเห็นชายหนุ่ม แววหวาดผวาก็วาบขึ้นในดวงตา พวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะเป็นคนที่ยืนอยู่ที่นี่!
ในทางกลับกันไม่มีร่องรอยของเจ้าสำนักจื่อซัน นั่นหมายความว่าการดวลนี้มู่เฉินเป็นผู้ชนะ!
ความกลัวและเคร่งเครียดลุกลามขึ้นมาในดวงตาทั้งสาม
พลังของพวกเขาทัดเทียมกับเจ้าสำนักจื่อซัน ในเมื่อมู่เฉินสามารถจัดการกับเจ้าสำนักจื่อซันได้อย่างรวดเร็ว นั่นก็หมายความว่าคงจะใช้เวลาไม่นานสำหรับเขาที่จะจัดการกับพวกเขาเช่นกัน
“เจ้าสามคนอยากลองดูด้วยหรือ?” มู่เฉินเล่นป้ายสัประยุทธ์ที่เพิ่งได้มาในมือ ขณะที่ยิ้มให้ทั้งสามคน
ทว่าขณะที่เขาเผยรอยยิ้มก็ต้องตะลึงไปเพราะจอมยุทธ์ทั้งสามหนีไปโดยไม่ลังเลใดๆ พริบตาก็หายไปในเส้นขอบฟ้าแล้ว
เมื่อมองทั้งสามที่หนีไป มู่เฉินก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะยืนขึ้นมองไปที่ป้ายสัประยุทธ์ในมือพร้อมถอนหายใจ
“ต่อไปคงไม่ง่ายที่จะเจอพวกโง่แล้ว…”
เขารู้ว่าทั้งสามคนนี้จะเผยแพร่ชื่อเสียงให้กับเขาในสนามรบแห่งนี้แน่นอน
บทที่ 1244 เริ่มสู้ยกที่หนึ่ง
มังกรเก้าตัวบินฉวัดเฉวียนบนท้องฟ้า
ปลดปล่อยคลื่นหลิงน่าสะพรึงกระจายไปทั่ว เสียงคำรามราวกับลูกคลื่น ทำให้มิติโดยรอบบิดเบี้ยวจากแรงกดดันนี้
ชายเสื้อคลุมเพลิงสีหน้าน่าเกลียดลงเมื่อเผชิญหน้ากับมังกรเก้าตัว ก่อนที่จะมองมู่เฉินที่ยืนยิ้มกริ่มบนภูเขา เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าตนเองตกหลุมพรางของมู่เฉินแล้ว
การวิ่งหนีจ้าละหวั่นของมู่เฉินเมื่อก่อนหน้านี้เป็นการแกล้งทำทั้งหมด!
“เจ้าเล่ห์เหลือเกินนะ!” ชายเสื้อคลุมเพลิงสบถด้วยสีหน้ามืดมน
มู่เฉินยิ้ม ขี้เกียจคุยด้วยมากนัก ดังนั้นจึงพูดวัตถุประสงค์อย่างตรงไปตรงมา “ส่งป้ายสัประยุทธ์มาซะ”
“ฝันไปเถอะ! เจ้าคิดว่าสามารถเอาชนะข้าราชันเมฆเพลิงด้วยค่ายกลเดียวเนี่ยนะ?” ราชันเมฆเพลิงยิ้มเยาะ แม้ว่าค่ายกลนี้จะดูไม่ธรรมดา แต่มู่เฉินก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น อย่างมากก็แค่ลากการต่อสู้ออกไป เวลานั้นก็ไม่ง่ายที่จะเป็นไปตามที่มู่เฉินต้องการ
ตู้ม!
ทันใดนั้นคลื่นกระแทกหลิงสีแดงเข้มก็ระเบิดออกจากร่างของราชันเมฆเพลิง ทั้งแผ่นฟ้าจวนเจียนจะลุกไหม้ อุณหภูมิในบริเวณนี้ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
มู่เฉินยิ้มให้กับภาพนี้ ถ้าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารของเขายังอยู่ในสถานะมังกรเจ็ดตัว นั่นจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
แต่ตอนนี้…ค่ายกลมาถึงสภาวะที่สมบูรณ์แบบแล้ว
มู่เฉินล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนกว่าจะสร้างค่ายกลให้สำเร็จ สุดท้ายเขาต้องใช้เจดีย์ผลึกใสเพื่อปรับแต่งและขยายคลื่นหลิงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้
ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นกลาง ดังนั้นรูปแบบที่สมบูรณ์สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ นอกจากนี้… ยังมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากมู่เฉิน ทำให้พลังอำนาจไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
โฮก!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มู่เฉินก็สะบัดแขนเสื้อ เร้าค่ายกลขนาดใหญ่ทันที อึดใจมังกรเก้าตัวก็คำรามลั่นชั้นฟ้า จากนั้นก็เปิดปาก ลมหายใจทั้งเก้าพ่นไปในทิศทางของราชันเมฆเพลิง
มิติแตกออกจากลมหายใจทั้งเก้าสายที่เคลื่อนผ่าน ซึ่งแสดงความครอบงำทำลายล้าง
แม้ว่าราชันเมฆเพลิงจะพูดเชิงเหยียดหยามออกไป แต่เขาก็ไม่กล้าประมาทค่ายกลระดับนี้ เขาโบกมือเมฆเพลิงก็ถอนตัวออกจากภูเขามาไหลเวียนรอบตัวเขา ไฟลุกโชติช่วง มิติก็บิดเบี้ยวจากอุณหภูมิสูง
ปัง ปัง!
ลมปราณมังกรกวาดเข้ามากระทบเมฆเพลิง ประกายไฟบินออกไปพร้อมกับความผันผวนกระจายตามไป
“หึ เจ้าคิดจะทำลายม่านเมฆเพลิงของข้าด้วยพลังแค่เนี่ยรึ?” เมื่อเห็นว่าลมปราณมังกรถูกกั้นกาง ราชันเมฆเพลิงก็เค้นเสียงเยาะ เปลวไฟมารวมตัวกันอยู่ใต้ฝ่าเท้า เขาตั้งใจจะหนีโดยใช้คัมภีร์เพลิงกระโจนก่อน
ยามนี้เขาไม่คิดจะฉกป้ายสัประยุทธ์ของมู่เฉินแล้ว เนื่องจากมู่เฉินอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยค่ายกลที่มี ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะดันทุรังสู้ต่อไป
“นั่นอาวุธมหสวรรค์ประเภทป้องกันขั้นต่ำ…”
มู่เฉินประหลาดใจเมื่อเห็นม่านเมฆเพลิงรอบกายราชันเมฆเพลิง แม้ว่าการโจมตีของอาวุธระดับนี้จะอ่อนแอ แต่ก็มีประสิทธิภาพในการป้องกันอย่างไม่น่าเชื่อ
“ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นกลาง ข้ากลัวว่าอาวุธจ้อยร่อยของเจ้าไม่เพียงพอที่จะปกป้องได้” มู่เฉินยิ้มสายหนึ่งพร้อมกับมือวาดตราประทับ
“ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร รวมเป็นหนึ่ง เทพมังกรกลืนกิน!”
เมื่อตราประทับในมือมู่เฉินเปลี่ยนไป มังกรทั้งเก้าก็ระเบิดเป็นแสง พวกมันเริ่มรวมตัวกัน
มังกรทั้งเก้าตัวหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจมังกรตัวเล็กสีรุ้งก็ปรากฏขึ้นภายในค่ายกล
มังกรสีรุ้งช่างละลานตาราวกับอัญมณี ทว่ากลับทำให้ใบหน้าของราชันเมฆเพลิงเปลี่ยนไปรุนแรงกับภาพนี้
เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสถึงคลื่นหลิงที่น่ากลัวที่อยู่ภายในร่างมังกรตัวเล็ก พลังนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอย่างเขายังรู้สึกหวาดกลัว
“มู่เฉินเป็นเพียงจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ประสบความสำเร็จสูงในศาสตร์ค่ายกล เขาเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้แน่นอน! สัตว์ประหลาดแท้จริง!” ใบหน้าของราชันเมฆเพลิงมืดมน ความกลัวกะพริบในดวงตา
“ต้องไปจากที่นี่!”
ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจราชันเมฆเพลิง เปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากเท้า เขาตั้งใจที่จะหลบหนีไปจากค่ายกล
วาบ!
ทว่าเมื่อเปลวไฟวูบวาบอยู่ใต้ฝ่าเท้า มังกรงดงามก็แวบหายไป ที่จริงมันไม่ได้หายไป แต่กลายเป็นริ้วแสงพุ่งผ่านมิติด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
เพียงลมหายใจเดียว ไม่รอให้เปลวไฟห่อหุ้มร่างราชันเมฆเพลิง เสียงแตกโพละก็ดังก้อง เมฆเพลิงแตกเป็นรู ริ้วสายรุ้งก็พุ่งเข้ามาปรากฏเบื้องหน้าราชันเมฆเพลิง แล้วขยำแขนของเขา
ฉวับ!
มังกรกัดฉีกทึ้งท่อนแขนข้างหนึ่ง เลือดสดพุ่งกระฉูดออกมาจากบาดแผล
อ๊าก!
ราชันเมฆเพลิงร้องเจ็บปวด แต่ก็ไม่สนใจแขนที่แหลกเหลว เปลวไฟเข้าโอบล้อม ร่างเขากลายเป็นเปลวไฟพุ่งหายไป เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็อยู่ห่างไปหลายหมื่นจั้ง หนีออกมาจากระยะของค่ายกลได้
เมื่อหนีออกมาจากค่ายกลได้ ราชันเมฆเพลิงก็หันไปมองค่ายกลที่ล้อมรอบภูเขาด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะมองแขนที่หายไปขณะกัดฟันกรอด
แม้ว่าการบาดเจ็บทางร่างกายไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่ก็น่าอายสำหรับเขาที่จะถูกบังคับให้เข้าสู่สถานการณ์เช่นนี้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น
“เจ้าสามารถวิ่งหนีได้กระทั่งเป็นแบบนี้… น่าทึ่งมาก”
ภายในค่ายกลมู่เฉินก็ถอนหายใจออกเมื่อเห็นราชันเมฆเพลิงหนีไป จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายไม่ใช่คู่มือที่ง่ายจะต่อกร
ด้วยคัมภีร์เพลิงกระโจน ตราบใดที่ราชันเมฆเพลิงไม่ได้ปะทะกับพวกอยู่เหนือสุด เขาก็สามารถไปมาได้ตามที่ต้องการ
“ไอ้เวร ข้าจะจดบัญชีไว้ แค้นนี้ไม่หายแน่!” ราชันเมฆเพลิงแผดเสียงใส่ไปยังทิศทางของมู่เฉิน
ปัง!
ทว่าทันทีที่พูดจบ มู่เฉินก็ทะยานออกจากค่ายกลพุ่งเข้ามาหา
“หืม?”
ราชันเมฆเพลิงอึ้งไป เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะยอมออกจากค่ายกล ต้องรู้ว่าเพราะค่ายกลนี้มู่เฉินถึงสามารถบังคับเขาให้อยู่ในสภาพน่าสมเพชได้ แต่หากปราศจากค่ายกลแล้ว มู่เฉินก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นในสายตาเขาเท่านั้น!
“ไม่ใช่ ไอ้เด็กนี่ฉลาดแกมโกง ต้องมีเหตุผลว่าทำไมมันถึงไม่กลัว!”
แต่ราชันเมฆเพลิงก็เรียกสติกลับมาได้ทันที ความผิดปกติจะต้องมีปัญหา หลังจากที่ประสบกับความสูญเสียเขาก็ระมัดระวังมากขึ้น เขาไม่ต้องการตกอยู่ในกับดักของมู่เฉินอีกครั้ง เขากัดฟันกรอดแล้วหนีไปไม่สนใจมู่เฉินที่ออกจากค่ายกลเพื่อไล่ตามเขามา
“โอ้ ฉลาดแล้วเหรอนั่น? แต่เจ้าหนีไปได้หรอก” เมื่อเห็นราชันเมฆเพลิงหนีจ้าละหวั่น มู่เฉินก็เลิกคิ้วก่อนที่รอยยิ้มแปลกๆ จะโค้งขึ้นที่มุมปาก ขณะที่เขายื่นมือไปยังทิศทางของราช้นเมฆเพลิงแล้วกำหมัดลง
เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน ราชันเมฆเพลิงก็ตื่นตกใจใน เขาเร้าวิชาเพลิงกระโจนสุดพลังโดยไม่ลังเล
“ผนึก”
ทันใดนั้นเสียงทุ้มต่ำก็ดังก้องจากมู่เฉิน
เมื่อสิ้นสุดเสียงลง ผลึกแสงมันวาวก็แล่นแปลบปลาบไปบนบาดแผลของราชันเมฆเพลิง เปลวไฟที่ลุกโชนบนร่างของเขาก็หายไปอย่างผิดปกติ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้ราชันเมฆเพลิงตกตะลึงและฉายแววหวาดผวาบนใบหน้า นั่นเป็นเพราะในขณะนี้เขารู้สึกได้ว่ามีคลื่นหลิงที่ราวกับผลึกแก้วบุกรุกเข้ามาในร่างกายและผนึกคลื่นหลิงของเขาเอาไว้
“ให้ตายเถอะ คลื่นหลิงของมันเข้ามาในร่างข้าตั้งแต่เมื่อไร?” ราชันเมฆเพลิงอุทานด้วยความไม่เชื่อ ก่อนหน้าเขาพยายามป้องกันความสามารถที่ผิดปกตินี้ไว้แล้ว แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายก็ยังโดนเข้า
แต่ไม่นานเขาก็คิดถึงบาดแผล ดวงตาของเขาหดลง ที่แท้มังกรสีรุ้งได้บรรจุคลื่นหลิงของมู่เฉินและพลังงานส่วนนั้นก็ได้บุกเข้าสู่ร่างกายเขาเมื่อแขนถูกกัดฉีกขาด
“คิดออกแล้วรึ?”
ขณะที่ราชันเมฆเพลิงเข้าใจทุกอย่าง เสียงหัวเราะก็ดังกึกก้อง มู่เฉินมาปรากฏเบื้องหน้าราชันเมฆเพลิงแล้ว
สีหน้าราชันเมฆเพลิงเปลี่ยนไป เขาพยายามผลักคลื่นหลิงด้วยพลังงานที่มี เพราะเขาพบว่าแม้คลื่นหลิงผลึกแก้วมีความสามารถในการปิดผนึก แต่เนื่องจากไม่มีส่วนมาเสริม ดังนั้นจึงสามารถผนึกเขาได้ไม่ถึงสิบลมหายใจเท่านั้น
แปะ!
ทว่ามือเรียวกลับแตะลงบนไหล่ของเขาเบาๆ เมื่อเขาพยายามที่จะปัดเป่าคลื่นหลิงผลึกแก้วในร่างกาย จากนั้นคลื่นหลิงผลึกแก้วมหึมาก็ไหลบ่าเข้าสู่ร่างกาย
ทันใดนั้นใบหน้าของราชันเมฆเพลิงก็ซีดลง
มืออีกข้างของมู่เฉินเอื้อมออกมา
ราชันเมฆเพลิงดิ้นรนก่อนที่จะส่งป้ายสัประยุทธ์สองป้ายออกไป ด้วยการผนึกคลื่นหลิงไว้ ถ้ามู่เฉินตั้งใจจะฆ่าละก็ จะสร้างความเสียหายหนักให้กับเขาอย่างแน่นอน
เมื่อได้รับป้ายสัประยุทธ์สองป้าย มู่เฉินก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นเขาก็เหยียดมือตบร่างราชันเมฆเพลิงอีกครั้ง ลำแสงวาบออกมากลายเป็นเมฆเพลิงอยู่ในมือมู่เฉิน
ราชันเมฆเพลิงรู้สึกว่าหัวใจถูกฉีกขาดเป็นชิ้น แม้ว่าวัตถุชิ้นนี้จะเป็นเพียงอาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำ แต่ก็มีความสามารถในการป้องกันที่ไม่ธรรมดา ช่วยเหลือเขามานับครั้งไม่ถ้วน
ราชันเมฆเพลิงกัดฟันจ้องมองมู่เฉิน “ทีนี้พอใจรึยัง?”
เมื่อเห็นการแสดงความเกลียดชังนี่ มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจแย้มยิ้ม “วิชาเพลิงกระโจนของเจ้าดูน่าสนใจดีนะ…”
“แก ไอ้ปีศาจ!”
เมื่อเสียงของมู่เฉินสิ้นสุดลง เสียงคำรามของราชันเมฆเพลิงก็กึกก้องทันที
บทที่ 1243 ชายเสื้อคลุมเพลิง
ฟิ้ว!
พื้นที่กว้างใหญ่ขมุกขมัวระหว่างฟ้าดิน เงาลุกโชติช่วงพุ่งผ่านขอบฟ้า เขาเป็นชายแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีแดงที่มีเปลวไฟเต้นระริกอยู่บนร่างกาย
นี่เป็นเอกลักษณ์จากคลื่นหลิงเพลิงทรงพลังที่เขาฝึกฝน ทำให้คลื่นหลิงที่ปล่อยออกมาเหมือนเสื้อเพลิงห่อหุ้มเขาไว้
ขณะนี้เขากำลังกวาดมองไปรอบๆ ราวกับเหยี่ยวออกล่า
สายตากวาดไปมาค้นหาเหยื่อ เมื่อพบใครที่อ่อนแอกว่าก็จะเข้าไปจัดการและแย่งป้ายสัประยุทธ์มาเป็นของตน
ทว่าสถานะระหว่างเหยื่อกับนักล่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาในสนามรบแห่งนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก ถ้าพบว่าอีกฝ่ายทรงพลังเกินไปก็จะหลบหนีไปทันที
ด้วยทักษะการหลบหลีกขั้นเทพที่ไม่เหมือนใคร ทำให้เขามั่นใจว่ามีจอมยุทธ์ที่ขุมพลังเดียวกันไม่มากที่สามารถตามจับเขาได้
นอกจากนี้หากคู่ต่อสู้ไล่ตาม เขาสามารถใช้สถานการณ์เพื่อทำให้คู่ต่อสู้อ่อนล้าและชิงความได้เปรียบในการต่อสู้
ก่อนหน้านี้เขาได้ใช้กลยุทธ์ที่ศัตรูไล่ล่าและตนหลบหนี ชิงป้ายสัประยุทธ์มาได้ป้ายหนึ่งแล้ว
ตอนนี้เขามีป้ายสัประยุทธ์สองป้ายที่กำลังหมุนช้าๆ เหนือฝ่ามือ เขายิ้มบางเนื่องจากรู้ว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับตนเองที่จะครองอันดับหนึ่งในสถานที่ซึ่งมีจอมยุทธ์มากมายมารวมตัวกัน ดังนั้นตำแหน่งนักรบทวีปจึงไม่ได้เป็นเป้าหมายของเขา แต่ทำเพื่อใช้ป้ายเหล่านี้แลกเปลี่ยนของบางอย่างจากคลังสัประยุทธ์
เขาสามารถถอนตัวออกจากการแข่งขันเมื่อได้สมบัติที่ต้องการ ส่วนตำแหน่งก็ปล่อยให้คนอื่นๆ ต่อสู้กันไป…
“หืม?”
ขณะที่เกิดความคิด จู่ๆ ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป ดวงตาหรี่ลงมองไปที่เทือกเขาที่อยู่ห่างไกล เขารู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานบางจางที่กำลังแอบหนีอย่างเงียบๆ ในขณะนี้
เจ้าของคลื่นพลังกำลังพยายามอย่างที่สุดเพื่อปกปิดคลื่น แต่ชายเสื้อคลุมเพลิงก็ยังรู้สึกถึงคนคนนั้นได้อยู่
เปลวไฟรวมตัวในดวงตาของเขา วิสัยทัศน์ก็ย่นระยะมองเห็นร่างเงาที่อยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาทันที
“จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น?”
เมื่อชายเสื้อคลุมเพลิงเห็นร่างอ่อนเยาว์ เขาก็อึ้งไปก่อนที่รอยยิ้มจะโค้งขึ้นบนริมฝีปาก “มู่เฉินเหรอ?”
ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายมีจอมยุทธ์หนึ่งเดียวที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น นั่นก็คือมู่เฉิน
เมื่อชายเสื้อคลุมเพลิงรู้สึกถึงการมีอยู่นั้น อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้สึกเช่นกัน เขาพุ่งหนีทันที ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานข้ามภูเขาอย่างต่อเนื่องเพื่อพยายามหลบหนี
“เฮ้ ป้ายสัประยุทธ์ที่ส่งมาถึงหน้าบ้านจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง?”
ชายเสื้อคลุมเพลิงยิ้มกว้าง ก่อนที่จะกระทืบเท้า เปลวไฟปะทุออกมาจากนั้นร่างก็หายไป เขาไปปรากฏขึ้นเหนือเทือกเขา ซัดฝ่ามือลงมา
เขาเป็นคนระวังตัว เนื่องจากเคยได้ยินเรื่องการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับสงป้า ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเป็นการดีที่สุดที่คลื่นหลิงของเขาจะไม่สัมผัสกับมู่เฉิน
ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะเข้าใกล้มู่เฉินในการปะทะกันตัวต่อตัว เลือกที่จะระดมยิงคลื่นหลิงจากระยะไกล
ตู้ม!
ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยคลื่นหลิงเพลิง โอบล้อมป่าในเทือกเขาทำให้ป่าไม้กลายเป็นทะเลเพลิงทันที
ปัง!
ทว่าเงาของมู่เฉินกลับสามารถหลบหนีไปได้ในช่วงเวลาสำคัญ แต่คลื่นกระแทกรุนแรงก็ทำให้เขาดูน่าสมเพช
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับสภาพตอนนี้ เขายังคงวิ่งต่อไป
“คิดหนีเรอะ?”
ชายเสื้อคลุมเพลิงหัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้วิ่งไล่ทันที สายตาของเขากวาดไปทั่วภูเขา หลังจากค้นพบว่าไม่มีคลื่นหลิงอื่นใดรอบตัว เขาก็เปลี่ยนร่างเป็นลำแสงและไล่ล่าอีกฝ่ายไป
ในสนามรบแห่งนี้ ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายคนไหนที่จัดการได้ง่าย การพยายามที่จะได้รับป้ายสัประยุทธ์จากพวกเขายากมาก ดังนั้นจอมยุท์ตี้จื้อจุนขั้นต้นจึงเปรียบเสมือนอ้อยเข้าปากช้าง
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องระมัดระวัง เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ตกลงไปในกับดัก…
เมื่อเกิดความคิดนี้ ชายเสื้อคลุมเพลิงก็ไล่ล่ามู่เฉินโดยเว้นระยะห่าง ส่งการโจมตีทำลายล้างเป็นครั้งคราวเพื่อทำให้มู่เฉินหมดแรงให้จงได้
ดังนั้นยามนี้เทือกเขาตลอดทางจึงกลายเป็นทะเลเพลิงอย่างต่อเนื่องพร้อมร่างเงาวิ่งหลบหนีอยู่ที่เบื้องหน้า…
จัตุรัสเมืองซีเทียนจั้น
เหล่าผู้ชมมองไปที่หน้าจอด้านบนที่ฉายฉากมากมาย
แต่ละหน้าจอฉายฉากที่จอมยุทธ์กำลังเกิดการต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่าน
ชัดว่าหน้าจอเหล่านี้สะท้อนให้เห็นภาพสถานการณ์ในสนามรบทั้งสาม
ตราบใดที่มีการต่อสู้เกิดขึ้นก็จะมีการฉายภาพขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้ดู
“หลิงจั้นจื่อน่ากลัวมาก… ผ่านไปไม่นานเขาก็เอาชนะคนสามคนได้แล้ว!”
“หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อก็ไม่ได้ด้อยกว่า พวกเขาชนะคนไปสองคนแล้ว…”
“จุ๊ๆ ลั่วหลีไร้เทียนทานในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นนัก…”
“ความสำเร็จของหลิงเฟยจื่อก็น่าตกใจไม่แพ้กัน…”
“…”
ขณะที่ผู้ชมเฝ้าดูก็จะมีเสียงไชโยโห่ร้องและอุทานดังออกมาเป็นครั้งคราว
ลั่วเทียนเสินก็กำลังเฝ้าดูพร้อมกับฝูงชนด้วยสีหน้าปีติยินดีนัก เมื่อเห็นหลานสาวโผทะยานไปทั่วสนามรบ
แม้ว่าลั่วหลีจะเพิ่งบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่เนื่องจากได้รับมรดกของลั่วเสิน รากฐานของนางจึงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง นอกจากนี้นางยังมีวิธีมากมายที่แม้แต่ผู้เป็นปู่ก็ไม่ทราบ เห็นได้ชัดว่ามาจากการสืบทอดมรดกของลั่วเสินที่นางได้รับ
“ลั่วหลียังไม่ได้ใช้ร่างเทพวารี หากนางใช้ละก็จะมีคนไม่มากที่สามารถคุกคามนางในสนามรบได้” ลั่วเทียนเสินลูบเครา สายตามองไปยังหน้าจออื่น จากนั้นคิ้วเขาก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย
เนื่องจากช่วงเวลานี้เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของมู่เฉิน ซึ่งนั่นหมายความว่ามู่เฉินยังไม่ได้เริ่มการเคลื่อนไหวใดๆ ประสิทธิภาพเช่นนี้ต่ำกว่าพวกหลิงจั้นจื่อมาก
ทว่าลั่วเทียนเสินรู้ดีว่าด้วยขุมพลังระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นของมู่เฉินเป็นเรื่องยากมากที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นเขาจึงได้แต่ภาวนาว่ามู่เฉินจะมีหนทางราบรื่น
“ฮ่าๆ นั่นไม่ใช่มู่เฉินเหรอ?”
“ทำไมเขาถึงหนีอย่างน่าสมเพชเช่นนั้น… ดูเหมือนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะแรงไปสำหรับเขานะ”
“เขาหยิ่งผยองและกล้าดูถูกทวีปซีเทียนเอง หึ ตอนนี้เขาจะได้รู้ซึ้งถึงพลังที่แท้จริงของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเมื่อลงมือสู้…”
ทันใดนั้นเสียงดังขึ้นกะทันหันก็ดึงดูดความสนใจของลั่วเทียนเสิน เขาหันไปที่หน้าจอนั่นทันที เขาเห็นเปลวเพลิงสีแดงเข้มลุกโชนเป็นทางตามเทือกเขา เงาร่างหนึ่งกำลังหลบหนีซึ่งก็คือมู่เฉินนั่นเอง!
ผู้คนโดยรอบก็เห็นภาพนี้ แต่ละคนหัวเราะกันเอิ้กอ้าก ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้ยินว่ามู่เฉินเป็นคนพิเศษเพียงใด แต่จากที่ดูเขาตอนนี้ เหมือนจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้ว
ทว่าลั่วเทียนเสินกลับหรี่ตาแคบลง แต่ก็ไม่ได้กังวล เนื่องจากตัวเขาเข้าใจวิธีของมู่เฉินดี ด้วยความแข็งแกร่งที่มีมู่เฉินไม่มีทางอยู่ในสภาพน่าสมเพชจากการไล่ล่าของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายคนเดียวแน่นอน…
ดังนั้น…มีเหตุผลเดียวที่เขาทำเช่นนี้
แสดงความอ่อนแอเพื่อล่อลวงศัตรูให้ติดกับดัก
ตู้ม!
ภายใต้ฝ่ามือเพลิงภูเขาหนึ่งลูกก็ลดจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ชายสวมเสื้อคลุมเพลิงมองมู่เฉินที่แม้จะดูน่าสมเพช แต่ก็ยังสามารถวิ่งหลบซ้ายป่ายขวาได้ไม่หยุด เขาเริ่มขมวดคิ้วรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นเล็กน้อย
“ข้าลากการต่อสู้นี้ไม่ได้อีกแล้ว ถ้าดึงดูดคนอื่นเข้ามาอาจทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน” สายตาชายสวมเสื้อคลุมเพลิงเคร่งขรึมลงเมื่อมองไปยังมู่เฉินที่หนีไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่ง เขาไม่ลังเลอีกต่อไปโบกแขนเสื้อทันที เมฆเพลิงยิงออกมากลายเป็นม่านล้อมรอบภูเขาที่มู่เฉินอยู่
หลังจากปิดผนึกเทือกเขาทั้งหมด ชายสวมเสื้อคลุมเพลิงก็กลายเป็นร่างแสงทะยานออกมาก่อนที่จะปรากฏขึ้นเหนือเทือกเขาแห่งนี้ สายตาจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง
“ทำไมไม่วิ่งต่อแล้วล่ะ?” ชายสวมเสื้อคุลมเพลิงเยาะเย้ยด้วยสายตาเย็นชา
ทว่ามู่เฉินกลับเหยียดเอวเมื่อเผชิญหน้ากับการเยาะเย้ย เขาเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มประดับบนใบหน้า “ก็เจ้าระมัดระวังตัวแจ ข้าเลยต้องวิ่งอ้อมซะไกลเพื่อลดความระแวงของเจ้า…”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ชายเสื้อคลุมเพลิงก็รูม่านตาหดเกร็ง เปลวเพลิงระเบิดออกมาจากฝ่าเท้าโดยไม่ลังเล ทันใดนั้นเขาก็เร้าวิชาเพลิงทะยานเพื่อหลบหนี
ไม่ว่าคำพูดของมู่เฉินจะใช่เรื่องจริงหรือไม่ ที่เขาระวังตัวก็เพราะต้องการความปลอดภัยไว้ก่อน อย่างมากถ้าพบว่ามู่เฉินโกหก เขาก็แค่ไล่ตามต่อ
ผลัวะ!
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปฏิกิริยารวดเร็วของชายเสื้อคลุมเพลิง มู่เฉินก็ยิ้มบางก่อนจะเหยียดมือออกมาพร้อมกับเสียงโปร่งดังสะท้อน
ตู้ม!
ทันทีที่เสียงดังขึ้น ทั้งเทือกเขาก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เสาคลื่นหลิงนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ถักทอเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบพื้นที่ทั้งหมดในทันที
ค่ายกลที่ก่อตัวนี้ประกอบไปด้วยมังกรคลื่นหลิงเก้าตัวภายใน พวกมันจ้องมองอย่างดุเดือดบนร่างชายสวมเสื้อคลุมเพลิง
มู่เฉินมองสีหน้าไม่น่าดูของอีกฝ่ายก็ยิ้มอ่อน “นี่คือสภาพสมบูรณ์แบบของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ลองลิ้มชิมรสดูหน่อยนะ”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1242 ค่ายกลรบสามกำลัง
ผ่านวังวนเข้ามา
มู่เฉินก็ลืมตาขึ้น ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าถูกย้อมด้วยสีเหลืองคล้ำ พระอาทิตย์ตกเหมือนเป็นสีเลือด ทั้งมิติราวกับตกอยู่ในความรกร้าง
“นี่คือสนามรบครั้งนี้เหรอ?” มู่เฉินมองความขมุกขมัวก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นมิติขนาดเล็กที่จักรพรรดิสัประยุทธ์สร้างขึ้น ตอนนี้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ทั้งหมดได้เข้ามาอยู่ในมิตินี้ การต่อสู้ดุเดือดกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
เป็นการต่อสู้ที่ไม่มีใครหน้าไหนได้รับการยกเว้น
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ตื่นเต้น เขาครุ่นคิดสั้นๆ ไม่คิดรีบจะเดินทาง เขากำมือแล้วแบออกป้ายสัประยุทธ์ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
ป้ายนี้มีความสำคัญสำหรับทุกคนที่เข้าร่วมการศึกนักรบทวีป เพราะถ้าสูญเสียป้ายก็จะหมายถึงความล้มเหลว พวกเขาจะถูกลบออกจากมิตินี้ทันที
นอกจากนี้ป้ายสัประยุทธ์ยังเชื่อมโยงกับคลังสัประยุทธ์ ซึ่งเป็นคลังสมบัติของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นสมบัติทุกชั้นในนั้นจึงมีค่ามหาศาลแบบไม่ต้องสงสัยแน่นอน
มู่เฉินจับป้ายแล้วเทคลื่นหลิงเข้าไป ก่อนที่หน้าจอแสงจะยิงออกจากป้ายเพื่อแสดงรายการสมบัติล้ำค่าทุกประเภท แม้จะไม่ได้เป็นภาพจริง แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงรัศมีสมบัติที่ถูกปลดปล่อยออกมา
“คัมภีร์ระดับเสินทงขั้นเต็ม ทักษะดาวประกายพรึก… สิบป้ายสัประยุทธ์”
“อาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำ พลองร้อยมังกร… สี่ป้ายสัประยุทธ์”
“อาวุธมหสวรรค์ขั้นกลาง ป้ายหินโกฏิวิญญาณ…สิบสามป้ายสัประยุทธ์”
“ลำดับเจ็ดสิบเก้าของคัมภีร์ร่างเทห์สรรค์เก้าสิบเก้าร่าง ร่างพระวิญญาณ…เก้าป้ายสัประยุทธ์”
“…”
เมื่อมองรายการสมบัติ มู่เฉินก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ ในดวงตาอัดแน่นได้ด้วยความโหยหา คลังสมบัติของจักรพรรดิสัประยุทธ์สมกับเป็นการสะสมของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริง ทุกชิ้นมีค่ามหาศาลในมหาพันภพเลยทีเดียว
ทว่าวันนี้จักรพรรดิสัปะระยุทธ์กลับยอมปล่อยพวกมันเพื่อผลประโยชน์ ผู้คนต้องถอนหายใจกับฐานะที่ร่ำรวยของเขาจริงๆ
“ป้ายหินโกฏิวิญญาณอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลาง…”
มู่เฉินมองไปที่สมบัติที่เรียกน้ำลายเกือบสอ ต้องรู้ว่าพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจที่อยู่ในมือมั่นถัวหลัวก็แค่ขั้นกลางเช่นกัน
ส่วนตัวเขาก็ได้ครอบครองแค่พัดสายลมและป้ายขวางสมุทรซึ่งอยู่ในขั้นต่ำทั้งคู่
“แต่สิ่งแลกเปลี่ยนก็คือสิบสามป้ายสัประยุทธ์…นั่นหมายความว่าต้องได้ป้ายจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสิบสามคน” ทว่าแม้เขาจะถูกล่อลวง แต่ก็ต้องถอนหายใจจนใจจากเงื่อนไข เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำสำเร็จ
“แพงเกินไป…”
มู่เฉินมองรายการอยู่นานก่อนที่จะถอนหายใจ มีสมบัติมากมายที่เขาสนใจ แต่เงื่อนไขช่างสูงลิบลับ
ตามสถานการณ์ปกติจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายทั่วไปที่มีความสามารถและโชคช่วยก็น่าจะได้รับป้ายหกเจ็ดป้าย ซึ่งยังไม่เพียงพอสำหรับอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลางเลย…
นอกจากนี้หากเป็นไปตามที่เขาคาดไว้ การแลกเปลี่ยนสมบัติก็หมายความว่าเขาจะสูญเสียโอกาสที่จะได้อันดับหนึ่ง
เนื่องจากนักรบทวีปจะต้องเป็นของผู้ที่มีป้ายสัประยุทธ์มากที่สุด…
เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่มีความทะเยอทะยานที่จะได้รับตำแหน่งนี้ก็คงไม่เต็มใจที่จะแลกเปลี่ยนสมบัติจากคลัง แม้ว่าพวกเขาจะถูกล่อลวงก็ตาม
นั่นหมายความว่าคลังสัประยุทธ์คล้ายกับรางวัลปลอบใจสำหรับคนที่ไม่สามารถชิงตำแหน่งได้
“ไม่มีของดีราคาถูกมั่งเลยเหรอ?” มู่เฉินเบ้ปาก นิ้วเลื่อนหน้าจอพลางส่ายหัว จากนั้นก็เตรียมปิด
“หืม?”
ทว่าขณะที่เขาคิดจะปิด ทันใดนั้นเขาก็เห็นของสิ่งหนึ่ง มือของเขาหยุดชะงักชั่วคราว
“ค่ายกลรบสามกำลัง… “
สายตาของมู่เฉินจ้องเขม็งตรงภาพกระบวนทัพสงครามที่หายาก ที่สำคัญยังใช้จำนวนคนเพียงสามคนเท่านั้น
นี่เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดเนื่องจากค่ายกลสงครามเป็นของจั้นเจิ้นซือ ซึ่งกองทัพที่พวกเขาควบคุมต้องมีอย่างน้อยในหลักพันถึงหลายหมื่น คนที่โดดเด่นกว่านั้นจะมีเป็นหลักแสนหรือล้านเลยทีเดียว
แล้วค่ายกลสงครามรูปแบบสามคนนี้คืออะไรกัน?
ความประหลาดใจแวบเข้ามาในดวงตา ก่อนที่เขาจะแตะเบาๆ ทันใดนั้นก็มีข้อมูลมหาศาลไหลเข้ามาในสมอง ความแปลกประหลาดก็วาบบนใบหน้าเมื่อรับข้อมูล
ที่แท้ค่ายกลรบสามกำลังถูกสร้างขึ้นโดยจั้นเจิ้นซือสมัยโบราณที่สามารถสร้างลวดลายจั้นเหวินได้ห้าล้านลวดลาย บุคคลเช่นนี้ถือได้ว่าโดดเด่นแม้จะอยู่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ตาม
ทว่าจั้นเจิ้นซือผู้นี้แปลกมาก กองทัพของเขาไม่ได้มีจำนวนหลักพันหรือหลักหมื่น แต่มีเพียง…จอมยุทธ์สองคน
พูดให้ชัดเจนก็คือเป็นแฝดสองคนของเขา
ทว่าทั้งสองคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
โดยทั่วไปแล้วเป็นไปไม่ได้ที่ไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือจะใช้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสองคนเป็นแหล่งกำเนิดของรัศมีจั้นยี่ เนื่องจากแต่ละคนทรงพลังเกินไป คลื่นรัศมีจั้นยี่ของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ถ้าไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือพยายามควบคุมก็จะได้รับผลกระทบจากการตอบโต้ของรัศมีจั้นยี่
แต่แตกต่างกันสำหรับพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นแฝดสาม ดังนั้นหัวใจของพวกเขาจึงเชื่อมโยงกันและยอมรับรัศมีจั้นยี่ของกันและกันได้ ดังนั้นพี่น้องทั้งสองจึงเปรียบได้กับทหารนับล้านหรือแม้กระทั่งหลายสิบล้านคน
ด้วยการเชื่อมโยงที่อัศจรรย์ใจนี้ บวกกับความลึกซึ้งของการสร้างค่ายกลรบสามกำลัง ไป่วั่นเหวินจั้นเจินซือผู้นี้สามารถท้าทายจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มและสังหารลงได้!
โดยทั่วไปแม้ว่าจะเป็นการผนึกกำลังของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสามคน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ทว่าไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือคนนี้กลับสามารถสังหารจอมยุทธ์ระดับนี้ร่วมกับพี่น้องทั้งสอง ด้วยค่ายกลรบสามกำลังผลลัพธ์นี้ก่อให้เกิดความตกใจกับผู้คนนับไม่ถ้วน
“ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ในโลก”
ใบหน้าของมู่เฉินเต็มไปด้วยริ้วความตะลึงจากข้อมูล เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินมาว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสองคนสามารถเป็นกำลังให้ไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือได้
แต่ก็เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ผู้อื่นจะทำเลียนแบบ เนื่องจากพวกเขาเป็นพี่น้องฝาแฝดที่มีหัวใจเชื่อมโยงกัน จึงสามารถควบคุมพลังอำนาจยิ่งใหญ่ของรัศมีจั้นยี่ที่รวมกันโดยไม่ตอบโต้กัน
แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญที่พวกเขาสามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ก็เพราะค่ายกลรบสามกำลัง
ความลึกซึ้งของค่ายกลสงครามนี้ได้รวมพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง มิหนำซ้ำยังขยายพลัง ทำให้พวกเขาบรรลุความสำเร็จที่น่าตื่นตาได้ในที่สุด
ทว่า…
สิ่งที่คนอื่นไม่สามารถบรรลุได้ ไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินทำไม่ได้…
มู่เฉินมองค่ายกลรบสามกำลังด้วยดวงตาลุกโชน
แม้เขาจะไม่มีพี่น้องแฝด แต่เขามีวิชาสามพิสุทธิ์!
อีกสองคนเป็นร่างรองของเขา ดังนั้นความเชื่อมโยงระหว่างพวกเขาจึงแข็งแกร่งกว่าพี่น้องฝาแฝด เมื่อพูดในระดับหนึ่งความเข้ากันได้ที่เขามีกับค่ายกลรบสามกำลังสามารถชนะแม้กระทั่งพี่น้องแฝดสามได้!
ค่ายกลรบสามกำลังสร้างขึ้นมาสำหรับเขาจริงๆ!
มู่เฉินเลียริมฝีปากด้วยความปรารถนาวูบไหวตา แม้ว่านี่จะเป็นเพียงการคาดเดาตอนนี้ แต่เขาจะต้องได้รับค่ายกลรบสามกำลังนี้!
ด้วยการเสริมพลังของค่ายกลนี้ พลังของวิชาสามพิสุทธิ์จะยิ่งเพิ่มขึ้นทบทวี!
ดังนั้นมู่เฉินเลื่อนสายตาไปด้านหลัง ซึ่งได้แสดงราคาเอาไว้
ค่ายกลรบสามกำลัง สี่ป้ายสัประยุทธ์
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจกับราคานี้ ถึงแม้ว่าค่ายกลรบสามกำลังจะลึกซึ้ง แต่เงื่อนไขเข้มงวดเกินไป ในโลกนี้ไม่มีแฝดสามมากมาย ซ้ำหนึ่งในนั้นต้องเป็นจั้นเจิ้นซืออีกด้วย
ดังนั้นราคาของค่ายกลรบสามกำลังจึงเปรียบได้กับอาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำเท่านั้น
ทว่าสำหรับมู่เฉินแล้ว มูลค่าค่ายกลนี้สูงยิ่งกว่าคัมภีร์ระดับเสินทงขั้นเต็มเสียอีก
มู่เฉินแตะเบาๆ บนหน้าจอ จากนั้นก็กำกำปั้นเก็บป้ายไป เขาเงยหน้าขึ้นมองขอบฟ้าด้วยรอยยิ้ม
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องหาป้ายสัประยุทธ์สี่ป้ายอย่างรวดเร็ว ไม่งั้นจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับเขาถ้ามีคนอื่นมาแลกไป
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…”
มู่เฉินกำมือด้วยรอยยิ้มพลางพึมพำ “ต่อไปถึงเวลาการออกล่าของข้าแล้ว…”
พูดจบเขาก็ยิ้มเสียงเบา ไม่มีอาการลังเลอีกต่อไปก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ เปลี่ยนเป็นร่างแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในสนามรบ
เป้าหมายแรกของเขาคือได้ป้ายสัประยุทธ์ทั้งสี่ป้ายโดยไม่คำนึงถึงวิธีการใด!
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1241 ผลประโยชน์จากจักรพรรดิสัประยุทธ์
เจดีย์ผลึกแก้วใสในร่างสั่นไหว
แม้ว่าสีหน้ามู่เฉินจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็มีริ้วความตื่นตะลึงวาบขึ้นในส่วนลึกของดวงตา เขาไม่คิดเลยว่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะทรงพลังขนาดนี้ สามารถสัมผัสเจดีย์ในร่างกายของเขาได้เพียงมองปราดเดียว
“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนจะสามารถสัมผัสได้หรือ?”
มู่เฉินขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขาเพราะถ้าสิ่งนี้ไปดึงดูดเผ่าฝูถูก็สร้างปัญหาให้กับเขาไม่น้อย
แต่ในไม่ช้าเขาก็ล้มล้างความคิดออกไป เพราะเขารับรู้ได้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่สามารถตรวจพบการสถิตอยู่ของเจดีย์ในร่างกายของเขาได้
นั่นก็หมายความว่าไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนครอบครองความสามารถที่น่ากลัวนี้ นอกเหนือจากบุคคลที่อยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคี…
ทว่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีมีน้อยมากในมหาพันภพ ดังนั้นจึงไม่ใช่บุคคลที่สามารถพบได้ง่ายๆ
เมื่อคิดแล้ว มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ เทพจักรพรรดิอัคคีคอยดูแลเขา ไม่น่าที่จะเปิดเผยแม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงเจดีย์ในร่างกายของเขาก็ตาม
ขณะที่ความคิดเหล่านี้หมุนวนอยู่ในใจของมู่เฉิน เซียวเหยียนก็ถอนสายตาออกด้วยความประหลาดใจ
“เจดีย์นั่น…ดูเหมือนว่าเป็นวัตถุเอกลักษณ์ของเผ่าฝูถู…” เซียวเหยียนคิดก่อนที่จะยิ้มบางพลางพึมพำในใจ ‘ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะมีภูมิหลังที่น่าสนใจ’
การชำระเจดีย์จะต้องมีสายเลือดของเผ่าฝูถู แต่ไม่มีสมาชิกจากเผ่านี้อยู่รอบตัวมู่เฉิน นอกจากนี้ดูเหมือนว่ามู่เฉินจงใจพยายามหลบซ่อนการมีอยู่ของเจดีย์ไว้โดยเฉพาะ
นี่เป็นการประทำที่ควรต้องไตร่ตรอง
เซียวเหยียนยิ้ม เก็บเรื่องนี้ลงไปในสมอง ในเมื่อมู่เฉินพยายามซ่อนก็ต้องมีเหตุผลสำหรับเขาที่จะทำเช่นนั้น ตนก็จะไม่เปิดเผยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากมู่เฉินอยู่แล้ว
“แต่เจดีย์นั่นดูเหมือนจะไม่ธรรมดา…” เซียวเหยียนเคยได้พบกับสมาชิกเผ่าฝูถูมาก่อน เขาแทบไม่เคยเห็นเจดีย์ใดที่มีรัศมีศักดิ์สิทธิ์แบบเดียวกับมู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าระดับเจดีย์ของมู่เฉินนั้นไม่ธรรมดา
“ในเดือนเดียวก็มีพัฒนาการเพียงนี้ ดีเยี่ยมจริง” เซียวเหยียนเผยรอยยิ้มพอใจ ดูเหมือนว่าสายตาของเขาจะไม่ถั่วสินะ
“เทพจักรพรรดิอัคคี เจ้าคิดว่าทวีปซีเทียนของข้าเป็นยังไง?” ขณะนี้เองจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ยิ้มให้อีกฝ่าย
เมื่อมองไปที่จัตุรัสและฝูงชนที่ดูหรูหราเป็นพิเศษ เขาก็พยักหน้า “ทวีปซีเทียนเป็นสถานที่ที่มีจอมยุทธ์อัจฉริยะซ่อนเร้น”
จักรพรรดิ์สัประยุทธ์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ “แต่ก็ยังด้อยกว่าเมื่อเทียบแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว”
เขาพูดจากกันบึ้งของหัวใจ จักรพรรดิสัประยุทธ์อาจจะหยิ่งยโส แต่เขาไม่ใช่คนหยิ่งผยอง ชื่อเสียงและพลังของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วในมหาพันภพไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักซีเทียนของเขาสามารถนำมาเปรียบเทียบได้
“จักรพรรดิสัประยุทธ์ถ่อมตัวเกินไป” เซียวเหยียนปลอบด้วยรอยยิ้ม
จักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่ได้คงหัวข้อสนทนานี้ไว้ เขามองไปที่จัตุรัสก่อนที่จะเห็นมู่เฉินกับลั่วหลี จากนั้นก็โบกมือ
วาบ!
แสงสี่สายทะยานเข้ามา ทั่งสี่คุกเข่าคำนับเบื้องหน้าองค์จักรพรรดิ “คารวะเจ้าตำหนักซีเทียน!”
ทั้งสี่คนดึงดูดความสนใจของผู้คนในทันที หากหลายคนรู้สึกกลัวหลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็หวาดผวาในเวลานี้
เนื่องจากทั้งสี่ก็คือเทพจอมยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน
จอมยุทธ์บนตารางยอดนิยมที่ถูกวางตัวจะชนะในศึกนักรบทวีปครั้งนี้
“นั่นคือเทพจอมยุทธ์อีกสามคนเรอะ?”
สีหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน เมื่อจดจ่ออยู่กับร่างทั้งสาม เขารู้สึกถึงรัศมีคุกคามมาจากพวกเขา
“เจ้าต้องระวังทั้งสามคนนี้ด้วย” ลั่วหลีเตือนเสียงอ่อนด้วยท่าทางที่เครียดจัด
มู่เฉินพยักหน้า พวกเขาจะต้องมีพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครในเมื่อสามารถเป็นถึงอันดับต้นๆ บนตารางยอดนิยม ซึ่งเป็นบางสิ่งที่สามารถบอกได้จากสายตาที่หวาดกลัวจากผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ
เมื่อมู่เฉินมองไปที่เทพจอมยุทธ์ทั้งสาม หลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินก็มีสายตาครั่นคร้ามเช่นกัน ก่อนที่พวกเขาจะแลกเปลี่ยนสายตากัน มีแววบางอย่างวาบผ่านในดวงตา จากนั้นก็กดอารมณ์ให้สงบ
“ฮ่าๆ เทพจักรพรรดิอัคคีคิดว่าพวกเขาทั้งสี่เป็นยังไง?” จักรพรรดิสัประยุทธ์มองทั้งสี่ จากนั้นก็หรี่ตาถามด้วยรอยยิ้ม
กวาดสายตามองทั้งสี่ เซียวเหยียนหยุดชะงักที่หลิงจั้นจื่อ ก่อนที่จะพูดว่า “จักรพรรดิสัประยุทธ์สั่งสอนพวกเขาได้ดี ทั้งสี่คนนั้นล้วนไม่ธรรมดา”
สายตาจักรพรรดิสัประยุทธ์เหลือบมองมู่เฉินถามว่า “เทพจักรพรรดิอัคคีคิดว่าพวกเขามีโอกาสที่จะชนะในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายหรือไม่?”
เซียวเหยียนยิ้มเพราะทราบถึงความตั้งใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์ในการถามคำถามนี้ เขาตอบอย่างนิ่งเฉยว่า “พวกเขาต่างมีโอกาสสูง แต่ทุกเรื่องล้วนมีความไม่แน่นอน บางทีอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ…”
สายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์เปล่งประกาย เขาจะไม่รู้สึกถึงความมั่นใจที่เทพจักรพรรดิอัคคีมีต่อมู่เฉินได้อย่างไร ทันใดนั้นเขาก็หันหน้ามาทางเทพจอมยุทธ์ทั้งสามและยิ้ม “ในเมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีกล่าวว่าอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น พวกเจ้าก็จงระวังให้มาก อย่าให้ล้มเหลวล่ะ”
“รับทราบ!”
หลิงจั้นจื่อ หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อเปล่งแสงวาบในดวงตา พวกเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเทพจักรพรรดิอัคคี แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเปิดเผยท่าทางไม่สุขใจใดๆ เมื่อเผชิญกับจอมยุทธ์ระดับนี้
จักรพรรดิสัประยุทธ์พยักหน้ามองไปที่จัตุรัสเสียงเรียบเฉยดังก้อง “บัดนี้ได้เวลาแล้ว ดังนั้นเตรียมตัวเข้าสู่สนามรบได้”
เขาโบกมือ ลำแสงนับไม่ถ้วนก็ทะยานไปตกอยู่เบื้องหน้าผู้เข้าแข่งขันทุกคน
ลำแสงสายหนึ่งพลิ้วลงมาที่เบื้องหน้ามู่เฉิน จากนั้นกลายเป็นรูปแกะสลักของกองทัพยิ่งใหญ่ซึ่งทำให้เกิดความผันผวนอันเป็นเอกลักษณ์
“ทุกคนนี่คือป้ายสัประยุทธ์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของเจ้า หากป้ายของใครถูกยึดก็จะเท่ากับล้มเหลว ต้องออกจากสนามรบ”
“สุดท้ายจอมยุทธ์ที่มีป้ายสัประยุทธ์มากที่สุดก็จะได้รับตำแหน่งนักรบแห่งทวีปซีเทียน”
จักรพรรดิสัประยุทธ์มองทุกคน “นอกจากนี้เพื่อเพิ่มกำลังใจในการต่อสู้ของทุกคน ข้าจะให้ประโยชน์บางอย่างกับพวกเจ้า หลังจากเข้าสู่สนามรบพวกเจ้าสามารถเทคลื่นหลิงลงไปในป้ายสัประยุทธ์เพื่อตรวจสอบคลังสัประยุทธ์ ภายในนั้นมีอาวุธมหสวรรค์ คัมภีร์ระดับเสินทง หรือแม้แต่ภาพค่ายกลให้พวกเจ้าได้เลือก”
คำพูดนี่ทำให้ความโลภพวยพุ่งในสายตาของหลายคนทันที
คลังสัประยุทธ์? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องมีสมบัติล้ำค่ามหาศาลอยู่แน่ ถ้าได้มาสักชิ้นจะทำให้การเดินทางเข้าสู่สนามรบคุ้มค่าเลย
“ในสนามรบหากต้องการแลกสมบัติก็ต้องใช้ป้ายสัประยุทธ์เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน… ดังนั้นหากใครต้องการสมบัติวิธีที่ดีที่สุดก็คือยึดป้ายผู้อื่นมา”
“นอกจากนี้เพื่อความสะดวกในการหาเป้าหมาย ตราบใดที่มีคนครองป้ายได้มากกว่าสองป้ายที่ตั้งก็จะปรากฏให้เห็น… ”
พูดถึงจุดนี้ ประกายล้อเลียนก็วูบไหวบนใบหน้า เพราะสิ่งนี้จะจุดประกายการแข่งขันมากขึ้น
ทุกคนสาดความโลภ มองคนอื่นด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“จักรพรรดิสัประยุทธ์อยากให้ทั้งสนามรบวุ่นวายจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ อำนาจของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนช่างห่างไกลอย่างแท้จริง คำสั่งจากพวกเขาอาจทำให้จอมยุทธ์อื่นๆ ตกอยู่ในความโกลาหล
ทว่า…คลังสัประยุทธ์… ช่างเป็นเรื่องล่อใจขึ้นมาหน่อยๆ แล้วแฮะ
หลังจากที่โยนสิ่งล่อใจออกไป จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่สนบรรยากาศที่เริ่มเดือดพล่าน เขาโบกมือ ท้องฟ้าก็บิดเบี้ยวรุนแรง วังวนปรากฏขึ้นสามแห่ง
“ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเข้าไป”
เมื่อเสียงจักรพรรดิสัประยุทธ์ดังออกมา ร่างแสงทั้งแปดก็ระเบิดตัวพุ่งเข้าไปในวังวน
“โอ้ มีคู่แข่งแปดคนในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น…” ทุกคนมองไปด้วยความอิจฉา ต้องรู้ว่ามีจอมยุทธ์มากกว่าสองร้อยคนในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายและจำนวนสูงขึ้นในขั้นต้น
แต่ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้เนื่องจากจอมยุทธ์ระดับนี้มีจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อยแม้แต่ในตำหนักซีเทียน
“ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย…”
เมื่อสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเปิดออกแล้ว ลำแสงหลายร้อยก็ทะยานเข้าไปในวังวน
“ข้าไปก่อนนะ” มู่เฉินส่งยิ้มให้ลั่วหลี
“สู้ๆ ระวังตัวด้วยนะ” ลั่วหลีพยักหน้าส่งรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ให้มู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้าร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงติดตามผู้แข่งขันคนอื่นก็เข้าสู่วังวน
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเข้าสู่สนามรบเรียบร้อย จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็เข้ามาในวังวนเป็นลำดับสุดท้าย
เมื่อทุกคนหายตัวไปในวังวนทั้งสามแห่ง จัตุรัสก็เริ่มเดือดพล่าน ผู้คนนับไม่ถ้วนเงยหน้าขึ้นสูง
ลั่วเทียนเสินก็อยู่ท่ามกลางฝูงชน เขามองวังวนที่หายไปก็หายใจลึกพร้อมกับความคาดหวังวูบไหวบนใบหน้าแก่ชรา
ศึกนักรบทวีปได้เริ่มขึ้นแล้ว
บทที่ 1240 ศึกมาถึงแล้ว
ไม่กี่วันบรรยากาศในเมืองซีเทียนจั้นก็เดือดพล่าน
เนื่องจากศึกที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนั้นทั้งเมืองจึงร้อนระอุด้วยความคาดหมาย
นอกจากนี้ยังมีข่าวมากมายแพร่สะพัดไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตารางความนิยมซึ่งกลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งเมือง
แต่ภายใต้บรรยากาศนี้ก็มีจอมยุทธ์ที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงเริ่มเผยให้เห็นความสามารถ พวกเขาปิดบังตัวตนไว้เพื่อศึกนักรบทวีป ด้วยความตั้งใจที่จะทะยานขึ้นบนท้องฟ้าด้วยความสำเร็จครั้งเดียว
ภายใต้บรรยากาศนี้ข่าวที่มู่เฉินซัดสงป้ากระเด็นออกไปด้วยหมัดเดียวก็แพร่กระจายออกไป ดึงดูดความสนใจไว้ได้อย่างรวดเร็ว
เป็นเพราะเหตุนี้จำนวนเงินเดิมพันของมู่เฉินก็พุ่งขึ้นเป็นของเหลวจื้อจุนหนึ่งร้อยล้านหยด เข้าสู่สิบอันดับแรกของตาราง ทว่า…
แปดสิบล้านหยดเป็นการลงทุนของเขาเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไรการต่อสู้กับสงป้าได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม อย่างน้อยก็ไม่มีใครกล้ามาท้าทายเขาให้ต้องปวดหัว
ส่วนใหญ่เป็นเพราะราคาหนึ่งหมัดของมู่เฉินเท่ากับแปดสิบล้านหยดของเหลวจื้อจุนนั่นเอง… นี่เป็นราคาที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ไม่เต็มใจที่จะจ่าย ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นพวกเขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุผลตามที่ต้องการหลังจากจ่ายไปแล้วไหม
เนื่องจากมีสงป้าเป็นตัวอย่างไปก่อนหน้า กำปั้นของมู่เฉินแปลกประหลาดเกินไป ขนาดสงป้ายังไม่มีหน้าที่จะอยู่ในเมืองต่อไป ดังนั้นหลายคนไม่รู้ว่ามีความลับอะไรอยู่เบื้องหลังกำปั้นของมู่เฉินที่ทำให้เกิดความทุกข์ยากยิ่งขึ้นสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
ธรรมชาติของมนุษย์มักกลัวสิ่งที่ไม่รู้จัก
ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องมู่เฉิน ทำให้เกิดความสงบสุขไปอีกหลายวัน
เวลาผ่านไปในพริบตา ท่ามกลางการอคอยของผู้คนศึกนักรบทวีปก็มาถึง
เมื่อวันเปิดศึกมาถึงเมืองซีเทียนจั้นก็อึกทึกด้วยเสียงกลองที่ดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก กลองเหล่านั้นอัดแน่นด้วยรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตที่ทำให้ไฟแห่งการต่อสู้ลุกโชนขึ้น
เมื่อเสียงกลองสะท้อนก้อง เสียงแหวกอากาศก็ปกคลุมไปทั่ว เหล่าจอมยุทธ์โผทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทุกความผันผวนช่างทรงพลังมาจากทั่วสารทิศ ถ้าเป็นที่อื่นพวกเขาจะเป็นจุดรวมความสนใจแน่นอน แต่วันนี้พวกเขาเป็นเพียงหยดน้ำในมหาสมุทรเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้สามารถบอกได้ว่ามีจอมยุทธ์มากเพียงใดที่รวมตัวกันเพื่อศึกนักรบทวีปครั้งนี้
ตำหนักซีเทียนตั้งอยู่ใจกลางเมืองมีจัตุรัสที่ทำจากหยกขาว ขณะนี้ทั่วจัตุรัสแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
กลองในจัตุรัสดังก้องอยู่ตลอดเวลา เสียงกลองที่ดังไปทั่วเมืองก็มาจากที่นี่
วาบ วาบ!
ยามนี้ร่างแสงพุ่งเข้ามาในท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง เหล่าจอมยุทธ์ก็พลิ้วตัวลงมาบนจัตุรัสด้วยมือไพล่ไว้ด้านหลัง แต่ละคนฉายท่าท่างเคร่งเครียดน่ากลัว ไม่แสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิที่มีอีกต่อไป
ที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับตำหนักซีเทียนและยอดยุทธ์ที่อยู่ข้างในก็ปลดปล่อยรัศมีออกมาเลือนราง เบื้องหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนพวกเขาไม่กล้าทำตัวยโสแม้แต่น้อย
มู่เฉินกับลั่วหลีก็พลิ้วลงมาเคียงข้างกัน
เมื่อทั้งสองมาถึงสายตาหลายคู่ก็พุ่งเป้ามา ทว่าส่วนใหญ่มุ่งไปที่ลั่วหลีที่ยืนอยู่ข้างๆ มู่เฉิน
วันนี้ลั่วหลีสวมชุดยาวเผยรูปร่างยั่วยวน ทำให้เกิดบรรยากาศสง่างามรอบตัวนาง ผมยาวสีเงินยวงปล่อยระบั้นเอว แม้ว่าใบหน้าจะคลุมไว้ด้วยผ้าคลุม ดวงตาที่ถูกเปิดเผยก็ตรึงตาทุกคนที่จ้องมองมา
“สมกับเป็นทายาทเทพธิดาลั่วเสินแห่งมหาพันภพ…”
หลายคนถอนหายใจ ลั่วหลีขัดเกลาความนุ่มนวลลงโดยสิ้นเชิง ดูแล้วทรงเสน่ห์อย่างมากในขณะนี้
ไม่เพียงแต่นางจะกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบนอก แม้แต่ผู้เข้าร่วมการแข่งขันก็เบนสายตามองไป ตอนนี้ทุกคนรู้สึกรำคาญมู่เฉินที่ยืนอยู่ข้างกายนาง
“ไอ้บ้าพวกนี้”
มู่เฉินสบถด้วยรอยยิ้มเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมา ทว่าลั่วหลีก็คุ้นเคยกับสิ่งนี้อยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงยิ้มตาหยีหันไปหามู่เฉิน อากัปกิริยานี้ทำให้หลายคนตกตะลึงพรึงเพริด
วาบ วาบ!
ทันใดนั้นเสียงแหวกอากาศสามสายก็ดังขึ้น ก่อนที่เงาร่างสามร่างจะเผยตัวบนจัตุรัสดึงดูดสายตาจำนวนมากไป
มู่เฉินเพ่งสายตามอง เขารู้สึกถึงไออันตรายที่มาจากทั้งสามคน
มู่เฉินกวาดสายตามองไปก็เห็นในร่างทั้งสาม มีชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำ ลวดลายดวงดาวปักบนเสื้อคลุม เขาดูเหมือนอยู่ในช่วงกลางคน แต่ผมกลับเป็นสีขาว ทำให้ดูอ่อนโยนราวกับเป็นบัณฑิตทรงภูมิ
คนที่สองสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอมเขียว กระบี่โลหะคร่ำเครอะพาดอยู่ข้างหลัง ร่างกระจายรัศมีคมชัดทิ้งรอยไว้บนพื้นอย่างต่อเนื่องจากรัศมีกระบี่
คนที่สามมีโครงสร้างแข็งแรง เส้นผมยุ่งเหยิง เขาดูดิบเถื่อนเมื่อยืนอยู่ เปล่งแสงรัศมีครอบงำไม่สามารถอธิบายได้ออกมา
มู่เฉินมองดูทั้งสามคนก็ครุ่นคิด หากการเดาถูกต้องทั้งสามคนคงจะเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในทวีปซีเทียนที่ลั่วหลีเคยพูดถึง
เจ้าตำหนักแสงดาว—หลิ่วซิงเฉิน
กระบี่เทพหมาป่า—ซูมู่
ดาบทรราช—ฉู่เหมิน
“พวกเขาไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง” สายตาของมู่เฉินกะพริบวูบไหว เขาสามารถสัมผัสได้ถึงดวงตาของผู้คนจำนวนมากที่เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดด้วยความกลัวที่มีต่อทั้งสามคน
สำหรับทั้งสามก็ยังคงความสงบหลังจากปรากฏตัว ไม่ได้แสดงท่าทางกดดันเหมือนคนอื่นๆ ชัดว่าไม่ธรรมดา
ตึง!
เมื่อผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่จัตุรัส จู่ๆ เสียงกลองก็ดังก้อง ทุกคนเงยหน้าขึ้นก็เห็นบัลลังก์สีทองสองตัวปรากฏขึ้นบนตำหนักใหญ่ มีร่างสง่างามสวมเสื้อคลุมสีทองนั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวหนึ่ง
เมื่อเขาปรากฏตัวทั่วบริเวณก็ถูกห่อหุ้มด้วยแรงกดไม่มีรูป เสียงเงียบลงทันควัน สายตาเคารพนับถือก็จ้องมองไปที่ร่างเงานั้น
“คารวะจักรพรรดิสัประยุทธ์!”
เสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพนับถือดังก้อง ทุกคนประสานมือโค้งคำนับ
นั่นเป็นเพราะชายผู้นี้คือผู้ปกครองทวีปซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน!
เฝ้ามองทุกคน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะมองไปในอากาศแล้วยิ้ม “น่ายินดีอย่างยิ่งที่เทพจักรพรรดิอัคคีมาเยี่ยมเยือนตำหนักซีเทียนของข้า”
“ในเมื่อเจ้าเชิญมา ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร?”
มิติบิดเบี้ยวเปลวไฟพวยพุ่งแล้วกวาดออก ก่อนจะก่อตัวเป็นร่างสูงบนท้องฟ้า
ร่างนั้นลุกโชติช่วงด้วยเปลวไฟ ทุกคนรู้สึกได้ว่าความกดดันที่มาจากจักรพรรดิสัประยุทธ์หายไปอย่างรวดเร็ว
“นั่นคือ…เทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว?!”
หลายคนเงยหน้าขึ้นทันควัน จ้องมองร่างเงานั้นด้วยความตกใจและเทิดทูนในดวงตา เพราะชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิอัคคียิ่งใหญ่นักในมหาพันภพ
แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์จะเป็นยอดยุทธ์ในมหาพันภพ แต่ก็ยังด้อยกว่าคนอย่างเทพจักรพรรดิอัคคี
บางทีแม้แต่ตัวจักรพรรดิสัประยุทธ์เองก็ยังต้องยอมรับความจริงข้อนี้
แต่โดยปกติแล้วจอมยุทธ์แบบนี้ยากที่จะพบเจอ ต่อให้ตอนนี้เขาจะเป็นเพียงร่างสำเนาเท่านั้น แต่ทำไมเขาถึงมาดูศึกนักรบทวีปแห่งนี้?
บางคนเหลือบมองไปในทิศทางของมู่เฉิน เนื่องจากเป็นมู่เฉินเคยเชื้อเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีมาตอนที่ตระกูลลั่วเสินตกอยู่ในอันตรายทำให้จักรพรรดิสัประยุทธ์ต้องกลับไปมือเปล่า…
ยิ่งกว่านั้นมีลือกันว่าเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นคนต่อรองให้จักรพรรดิสัประยุทธ์มอบสิทธิ์เข้าร่วมศึกนักรบทวีปนี้ให้…
ชัดว่างานนี้เทพจักรพรรดิอัคคีมาที่นี่เพราะมู่เฉิน
“ไอ้เด็กเหลือขอนั่นมีภูมิหลังแบบนั้นเชียวเหรอ? ไม่น่าแปลกที่เขาไม่กลัวตำหนักซีเทียน…” หลายคนถอนหายใจด้วยความอิจฉาในใจ เพราะเป็นเรื่องยากมากที่จะมีความสัมพันธ์ใดกับเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งมหาพันภพคนนี้
ท่ามกลางสายตาเคารพนับถือเกินคณนา ร่างสำเนาของเซียวเหยียนก็นั่งลงไปบนบัลลังก์สีทองข้างจักรพรรดิสัประยุทธ์
เมื่อนั่งลง เซียวเหยียนก็กวาดสายตายิ้มให้มู่เฉิน
เมื่อเห็นสายตานั่น มู่เฉินก็ยิ้มพลางโค้งคำนับ
“หืม?”
สายตาของเซียวเหยียนหยุดชะงักเมื่อมองที่มู่เฉิน เสียงอุทานแผ่วเบาดังขึ้นในใจ
ขณะที่เซียวเหยียนอุทานในใจ มู่เฉินก็รู้สึกถึงเจดีย์ผลึกแก้วใสในร่างกายสั่นไหว เขารู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งทำให้รู้สึกตกใจในใจไม่น้อย
“มองปราดเดียว… ก็สามารถตรวจพบเจดีย์ผลึกแก้วในร่างข้าได้เหรอ?”
บทที่ 1239 เดิมพัน
ในอาคาร
ร่องลึกลากยาวจากโถงไปถึงประตู ทุกคนสาดสีหน้ามืดเคร่งครึ้มลง
ภาพจากเมื่อครู่ผิดปกติมากเกินไป พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลย
กำปั้นของสงป้าเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขขั้นปลายยังต้องเผชิญหน้าด้วยความแข็งแกร่งเต็มที่ ทว่ามู่เฉินเพียงยกมือขึ้นปิดกั้นเท่านั้น ผลลัพธ์ทำเอาคลื่นหลิงของสงป้าอันตรธานหายไปกะทันหันและถูกชกจนกระอักเป็นเลือด
ช่างเป็นฉากที่ผิดปกติไม่ว่าจะมองอย่างไร
ดังนั้นแต่ละคนจึงจ้องมองด้วยความประหลาดใจไปที่มู่เฉินที่มีท่าทางสงบ พวกเขาไม่คิดว่าสงป้าจะแกล้งทำ จึงมีเพียงข้อสรุปเดียว มู่เฉินใช้วิธีที่พวกเขาไม่สามารถตรวจจับได้เอาชนะสงป้า
แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม… พวกเขาก็เข้าใจจากฉากสูญเสียของสงป้าแล้ว ถึงแม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่เขามีความสามารถพิเศษและมีคุณสมบัติในการเข้าร่วมสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย
บางคนที่ไม่พอใจมู่เฉินก่อนหน้าก็นิ่งลงจดจำชื่อเขาไว้ นั่นเป็นเพราะพวกเขาเริ่มรู้สึกถูกคุกคามจากมู่เฉินแล้ว
หากพวกเขายังไม่ระวังเมื่ออยู่ในสนามรบ ผลลัพธ์ของสงป้าก็จะเป็นตัวอย่างของพวกเขา…
ขณะที่ทุกคนมีความคิดวนเวียนในใจ สงป้าก็ตะเกียกตะกายยืนขึ้น ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง คลื่นหลิงรุนแรงที่ก่อนหน้าหายไปก็พวยพุ่งออกมาอีกครั้ง
หน้าอกของเขาหายดีขึ้นทันตา เนื่องจากมู่เฉินไม่ได้มีเจตนาจะฆ่ากัน ดังนั้นจึงทำให้คลื่นเขายุ่งเหยิงไปเท่านั้น แต่ก็ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต
ทว่า…ตัวเขาอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แม้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากก็ตาม
สงป้าแผดเสียงขณะที่มองมู่เฉินด้วยดวงตาแดงก่ำ “ไอ้เวร แกใช้อุบายอะไร?!”
ความหดหู่ในหัวใจสงป้าสะสมจนถึงจุดสุด เขาไม่เคยคิดว่าจะสูญเสียการควบคุมพลังงานในร่างกายที่มี ซึ่งนี่เป็นวิธีการของมู่เฉินอย่างแน่นอน
เผชิญหน้ากับเสียงคำราม มู่เฉินก็ไม่สนใจมือคว้าขวดหยกเอาไว้ “ทักษะเจ้าด้อยกว่าข้าเอง”
“ข้าไม่ยอม!”
สงป้าตะเบ็งเสียงขณะที่กระทืบเท้าส่งแรงพุ่งออกไป
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการเคลื่อนไหวนี้ มู่เฉินก็ยกเปลือกตาขึ้นพูดอย่างเฉยเมยว่า “อีกหมัดเหรอ? งั้นก็เอาของเหลวจื้อจุนอีกแปดสิบล้านหยดมาจ่ายก่อน”
วาบ!
สงป้าชะงักท่าอยู่กลางอากาศ จ้องมองมู่เฉินแบบจะกินเลือดกินเนื้อคำรามลั่น “จะเอาอีกเรอะ? ฝันไปเถอะ!”
มู่เฉินยิ้ม “ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะให้ผู้อาวุโสขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มของตำหนักมู่ตามมาเก็บหนี้กับเจ้า ข้าเชื่อว่าเหตุผลแบบนี้จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็คงแทรกแซงไม่ได้หรอก”
ใบหน้าสงป้าเขียวคล้ำ กำปั้นสั่นเทิ้ม ความโกรธในใจเขาเกือบทำให้อดใจฆ่ามู่เฉินไม่ได้ แต่เขาก็ระงับความโกรธลง เนื่องจากชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าไม่ใช่ธรรมดา เขามีพลังและความสัมพันธ์กับยอดยุทธ์ที่ไม่สามารถมองข้ามได้
“จำไว้เลย!”
ใบหน้าของสงป้าเปลี่ยนไปรุนแรง ก่อนที่จะพูดทิ้งไว้ภายใต้สายตาเย้ยหยันของทุกคน
เมื่อเสี่ยหลิงจื่อเห็นว่าสงป้าเผ่นหนีไป ใบหน้าเขาก็ดูน่าเกลียดขึ้นก่อนที่จะจ้องมองมู่เฉิน เขาไม่คิดว่าแม้แต่สงป้าก็ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้
“ไอ้เด็กเหลือขอนี่แกร่งขึ้นอีกแล้ว!”
เสี่ยหลิงจื่อกัดฟันกรอด ถึงเดือนที่แล้วมู่เฉินจะแสดงศักยภาพที่ไม่ธรรมดา แต่เสี่ยหลิงจื่อก็มั่นใจว่าตอนนั้นมู่เฉินยังไม่สามารถต่อกรการโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้อย่างง่ายดายขนาดนี้
แต่ภายในหนึ่งเดือนกำลังของมู่เฉินก็เติบโตขึ้นอย่างมาก
“ครั้งหน้าถ้าอยากสู้ก็อย่าใช้ประโยชน์จากคนอื่น” มู่เฉินมองเสี่ยหลิงจื่ออย่างเย็นชา
เขารู้ได้โดยธรรมชาติว่าสงป้าถูกยุแยงโดยเสี่ยหลิงจื่อเพื่อสร้างปัญหาให้เขา
เสี่ยหลิงจื่อเค้นเสียงเย็นตอกกลับว่า “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าแกเล่นกลอะไร แต่หลายคนที่นี่จะหาทางป้องกันวิธีการของแกเมื่อเข้าสู่สนามรบ ในเวลานั้นแกจะไม่มีช่วงเวลาที่ดี”
แม้ว่าเสี่ยหลิงจื่อจะร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ แต่เขาไม่ได้ตาถั่ว เขาบอกได้ว่าสงป้าแพ้เพราะคลื่นหลิงเข้าไปสัมผัสกับมู่เฉิน ถ้าป้องกันในจุดนี้ในอนาคตไพ่ตายของมู่เฉินจะมีประสิทธิภาพน้อยลงแน่
“ไอ้ตัวน่ารังเกียจ!”
ลั่วเทียนเสินกัดฟันแน่น เขาโกรธเสี่ยหลิงจื่อถึงขีดสุด
มู่เฉินสงบนิ่งขณะที่มองเสี่ยหลิงจื่อด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเราได้เจอกันอีก ข้าจะบอกให้รู้ว่ายังมีไพ่ตายอื่นๆ อยู่ในสำรับอีกเยอะ…”
หัวใจของเสี่ยหลิงจื่อสั่นไหวเมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉินจากนั้นก็เค้นเสียงในลำคอ “เหรอ? ข้าจะรอดู แต่แกก็ระวังเถอะ ถ้าถูกข้าฆ่าในสมรภูมิ แม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคีก็แก้แค้นให้แกไม่ได้”
มู่เฉินหัวเราะ “ลมเน่าๆ อย่างแกมีความสามารถแบบนั้นซะที่ไหน”
เส้นเลือดบนหน้าผากของเสี่ยหลิงจื่อถึงกับกระตุกจากการดูถูกของมู่เฉิน ทว่าเขาก็กล้ำกลืนจ้องมองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนลุก ก่อนที่จะสะบัดแขนเดินออกไป
หลังจากเสี่ยหลิงจื่อและสงป้าไปแล้ว บรรยากาศในอาคารก็ค่อยๆ คืนกลับมา แต่หลังจากการต่อสู้นี้ทุกคนที่มองไปที่มู่เฉินก็เกิดความกลัวมากขึ้นและดูถูกน้อยลง
ดูเหมือนว่ามู่เฉินบรรลุเจตนารมณ์กับสงป้าเรียบร้อย อย่างน้อยก็ไม่มีใครมายุ่งกับเขา
หากแม้ต้องการก็ต้องคิดก่อนว่าพวกเขาสามารถจ่ายได้ไหม…
เมื่อหลิงเฟยจื่อก้มมองสงป้าที่จากไปจากชั้นสาม ใบหน้านางก็เขียวคล้ำเปล่งเสียงเกรี้ยวกราด “สวะ!”
นางจ่ายของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดเพราะต้องการเห็นสงป้าบดขยี้ความมั่นใจของมู่เฉิน เพื่อจะได้ใช้โอกาสนี้กระทบกระเทียบลั่วหลี ทว่านางไม่คิดว่าสงป้าจะไร้ประโยชน์เช่นนั้น ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้ แต่ยังส่งของเหลวจื้อจุนถึงมือมู่เฉินด้วย
แม้ในฐานะที่เป็นเทพจอมยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน นี่ก็ยังเป็นจำนวนเงินที่มากสำหรับนาง
“แม่นางหลิงเฟยจื่อ ถ้าเจ้าเบื่อจริงๆ ทำไมไม่ไปเตรียมตัวอะไรเพิ่ม เมื่อเราอยู่ในสนามรบข้าจะเล่นกับเจ้าถึงใจเลยทีเดียว”
ขณะที่หลิงเฟ่ยซี่กำลังคั่งแค้น ลั่วหลีก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่อีกฝ่ายอย่างเย็นชา ก่อนที่เสียงจะดังก้อง
เสียงลั่วหลีสะท้อนออกไป ทุกคนก็หันเหความสนใจมาที่นาง ดูเหมือนว่าเรื่องที่หลิงเฟยจื่อพยายามใช้สงป้าจัดการกับมู่เฉิน ทำให้จักรพรรดินีตระกูลลั่วเสินโกรธเคืองใจแล้ว
ในตอนนี้ลั่วหลีโกรธมากแล้ว นางจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าหลิงเฟยจื่อไม่เป็นมิตรกับนางอย่างมาก นางสามารถเพิกเฉยกับสิ่งนี้ได้ แต่นางไม่ยอมต่อความจริงที่หลิงเฟยจื่อพยายามสร้างปัญหากับมู่เฉิน
ดังนั้นนี่คือเหตุผลว่าทำไมนางถึงตอกกลับหลิงเฟยจื่อทันควัน
บนชั้นสามหลิงเฟยจื่อไม่คิดว่าลั่วหลีจะฟาดตรงๆ นางอึ้งไปวูบหนึ่งก่อนที่เค้นเสียงด้วยความโกรธ “เอาเลย ข้าจะไล่ล่าเจ้าจนจบ มาดูกันว่าใครจะชนะ!”
เมื่อจบคำพูดนางก็ไม่คิดอยู่ต่อ สะบัดแขนเสื้อจากไป
“เจ้าต้องระวังผู้หญิงคนนั้น” มองไปที่เงาของหลิงเฟยจื่อ มู่เฉินก็เอ่ยเตือนลั่วหลี บางครั้งการประลองระหว่างผู้หญิงก็โหดยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก
หลิงเฟยจื่อเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา
ลั่วหลียิ้มบางกับคำเตือนของคนรัก “ข้ารู้ แต่ข้าก็ไม่ได้อยู่เฉยตลอดหลายปีเช่นกัน…”
มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า ในเมื่อลั่วหลีสามารถนำพาตระกูลลั่วเสินฝ่าคลื่นลมมาได้ทั้งหมดด้วยตนเอง นางก็ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน บางทีถึงหลิงเฟยจื่ออาจไม่ใช่ธรรมดา แต่มู่เฉินไม่รู้สึกว่านางจะเหนือกว่าเมื่อเผชิญหน้ากับลั่วหลี
“ไปกันเถอะ”
ลั่วเทียนเสินเอ่ย เตรียมพาทั้งสองคนไปพัก
“ช้าก่อน”
จู่ๆ มู่เฉินก็ยิ้มมองตารางยอดนิยม จากนั้นก็ส่งขวดของเหลวจื่อจุนแปดสิบล้านหยดให้กับผู้ดูแลด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะขอเดิมพันของเหลวจื้อจุนทั้งหมดนี่”
“ไม่ทราบว่าต้องการเดิมพันใคร?” ผู้ดูแลอึ้งไปในเวลาสั้นๆ
มู่เฉินยิ้มกริ่ม ในเมื่อทุกคนในทวีปซีเทียนไม่พอใจเขา ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัว
เขาจึงยิ้มเอ่ยอีกครั้ง “ข้าเดิมพันว่าตัวเองชนะ”
ทันใดนั้นหัวใจของทุกคนก็สั่นไหว ความตกตะลึงวูบไหวในดวงตา มู่เฉินเดิมพันตัวเองชนะในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเรอะ?
ชายหนุ่มคนนี้…กล้าหาญอย่างแท้จริง
หรือว่างานนี้จะมีม้ามืดในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายที่ไม่มีใครคาดคิด?
บทที่ 1238 หนึ่งหมัด
“รับกำปั้นโดยไม่หลบ…”
เสียงของมู่เฉินดังก้องทำให้หลายคนต้องแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็ฉายแววเยาะเย้ย เนื่องจากคำตอบนั้นเกินความคาดหมายของทุกคน
เขาไม่เพียงแต่ยอมรับการท้านี้เท่านั้น ซ้ำยังบอกอีกด้วยว่าจะไม่หลบและจะรับกำปั้นตรงๆ
ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอนสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่จะรับการโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย…
บนชั้นสามสายตาของหลิงเฟยจื่อก็กะพริบวูบไหว ก่อนที่ริมฝีปากจะโค้งขึ้น นางหัวเราะเบาๆ “ไม่คิดว่าจะพบวีรบุรุษผู้กล้า ข้าคงต้องมองเจ้าใหม่ ราชาหมีในเมื่อเขาขอ เจ้าก็ทำให้ความปรารถนาเขาเป็นจริงที”
หลายคนแอบหัวเราะเยาะในใจ เวลาผู้หญิงโหดขึ้นมานี่น่ากลัวแท้จริง คำพูดของนางปิดกั้นทุกทางถอยสำหรับมู่เฉิน ตอนนี้ต่อให้ไม่ยินยอม มู่เฉินก็ต้องกลืนคำพูดเข้าไปทางเดียว
หากมู่เฉินพูดด้วยความอวดดี ตอนนี้เขาต้องทุกข์แล้ว
ทว่าที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือท่าทางของมู่เฉินไม่ได้เปลี่ยนไปจากคำพูดของหลิงเฟยจื่อ เขายังคงสงบซึ่งทำให้ทุกคนสงสัยว่าเขามีไพ่ตายซ่อนอยู่จริงหรือ?
ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเลยนะ
ใบหน้าของสงป้าปกคลุมไปด้วยรังสีน่ากลัวก่อนที่จะมองมู่เฉินอย่างดุดัน เขาไม่คิดว่าตนเองจะถูกมู่เฉินดูถูกเพียงนี้
เจ้าโง่นี่ไม่รู้หรือไงว่าสงป้าเป็นจอมยุทธ์ที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ซึ่งหน้า? แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายบางคนยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับพลังป่าเถื่อนแบบจังๆ
“ไอ้หนู ดูเหมือนว่าแกเหนื่อยกับการมีชีวิตนะ!” ดวงตาแดงก่ำของสงป้ามองมู่เฉินราวกับอสูรร้าย
มู่เฉินขมวดคิ้ว “เลิกพล่ามไร้สาระซะที ตกลงเจ้าจะเอารึเปล่า?”
สงป้ารู้สึกคัวนออกหู แต่สุดท้ายก็กัดฟันระงับเอาไว้ “ดี ข้าจะสนองความต้องการของแกวันนี้เอง!”
ตู้ม!
ร่างกายของสงป้าลั่นเปรียะด้วยรัศมีรุนแรง ทำให้เกิดรอยแตกในมิติโดยรอบ
คลื่นหลิงของเขาอัดแน่นด้วยความป่าเถื่อน เหมือนจะสะท้อนเสียงคำรามของหมีอย่างเลือนรางออกมาด้วย
ร่างของเขาพองตัวเป็นยักษ์ทันที ใบหน้าก็บิดเบี้ยวไป เขาดูเหมือนมนุษย์ครึ่งหมีที่ดิบเถื่อนในขณะนี้
ในอาคารผู้คนมากมายหรี่ตาแคบลงกับฉากนี้
“ว่ากันว่าทักษะที่สงป้าฝึกฝนต้องใช้เลือดหมีโลหิตแตกฟ้าซึ่งเป็นเทพอสูรโบราณ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องหลอมรวมกับคลื่นหลิงของเขา ทำให้คลื่นหลิงของเขามีความรุนแรงอย่างมากพร้อมกับพลังที่ทำลายสวรรค์ได้” มีคนอุทานออกมา
แม้แต่ท่าทางของลั่วเทียนเสินก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม เขาอดไม่ได้ที่จะกังวลว่าสงป้าอาจฆ่ามู่เฉินตายในหมัดเดียว
มู่เฉินหรี่ตาแคบลง ท่ามกลางเสียงร้องของฝูงชน เขาสัมผัสถึงคลื่นหลิงรุนแรงที่ระเบิดออกมาจากร่างสงป้า ดวงตาก็วูบไหว
โฮก!
คลื่นหลิงในร่างสงป้ากวาดออกมาเป็นลอน วินาทีต่อมาเขาก็หมุนวนคลื่นหลิงไปยังจุดสูงสุด คำรามก้องฟ้า คลื่นเสียงกระเพื่อมจากเสียงคำรามของเขาทำให้มิติแตกสลาย
ปัง!
คลื่นหลิงเชี่ยวกรากผันผวนภายในร่างกาย สายตาเขาก็จับจ้องมู่เฉิน อึดใจเขาก็กระแทกฝ่าเท้า ระเบิดพื้นที่แข็งแกร่งใต้ฝ่าเท้าให้กลายเป็นฝุ่น
ร่างกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกไป ขณะเดียวกันก็เหวี่ยงกำปั้นขวาออกไปอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นหมีตัวใหญ่ตัวหนึ่งก็ปรากฏอยู่ข้างหลัง อุ้งตีนหมีซ้อนทับรวมกันกับกำปั้นของสงป้า
ปัง ปัง!
พายุสีแดงกวาดออกทำให้มิติรอบด้านแตกเป็นเสี่ยงๆ ประกายไฟแล่นแปลบปลาบเมื่อสัมผัสกับหมัด
“กำปั้นปีศาจแยกฟ้า!”
สงป้าคำรามขณะที่เหวี่ยงหมัดออกไป ภาพนี้ทำให้ใบหน้าผู้คนเปลี่ยนแปลงไปมาก พวกเขาตกใจกับการเคลื่อนไหวของสงป้า
กำปั้นนี้เค้นพลังทั้งหมดของสงป้า แม้ว่าชายคนนี้จะดูเหมือนพวกสมองกล้ามเนื้อ แต่ก็ยังมีไหวพริบ เขากลัวว่ามู่เฉินจะมีทักษะบางอย่างในแขนเสื้อ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้วิธีการที่ตรงที่สุดเพื่อเอาชนะมู่เฉิน ด้วยพลังหลิงยิ่งใหญ่ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
การโจมตีนี้อาจดูงุ่มง่าม แต่เป็นเส้นทางพลังยิ่งใหญ่แท้จริง
ต่อให้แกมีทักษะมาก ข้าก็สามารถทำลายสิ่งกีดขวางให้หมดสิ้น!
ถึงยังไงมู่เฉินก็มีขุมพลังเท่านี้ ดังนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตของสงป้าในฐานะจอมยุทธ์อีกขั้นก็สามารถทำลายการป้องกันของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นนี้ได้
ดังนั้นเมื่อสงป้าชกหมัดออกไป หลายคนก็ชื่นชม เพราะสิ่งที่ดีที่สุดที่ต้องทำเมื่อเผชิญกับการโจมตีครั้งนี้คือการหลบ ทว่ามู่เฉินบอกไว้แล้วว่าจะไม่หลบ นี่ก็เท่ากับบีบตัวเองให้ต้องตายนั่นเอง
มุมปากของหลิงเฟยจื่อเพิ่มโค้งเยาะเย้ยมากขึ้น เนื่องจากนางรู้ว่ามู่เฉินต้องจ่ายราคาแพงระยับสำหรับความเย่อหยิ่งของตนเอง
ขณะที่ทุกคนกำลังเฝ้าดูฉากนี้ด้วยความดีใจกับความทุกข์คนอื่น มู่เฉินก็หายใจลึกสุดปอดกางขาออกเล็กน้อย จากนั้นก็เหยียดฝ่ามือออก ตั้งท่าจะรับกำปั้นอีกฝ่าย
ทว่าไม่มีใครสังเกตเห็นการวูบไหวของแสงอัญมณีที่กะพริบในส่วนลึกของดวงตามู่เฉิน คลื่นหลิงของเขาหลั่งไหลลงในเจดีย์ผลึกใส เปลี่ยนเป็นคลื่นหลิงแก้วใส…
เมื่อแสงอัญมณีบางจางก็เริ่มกำจายทั่วร่างมู่เฉิน จังหวะนั้นกำปั้นรุนแรงของสงป้าก็มาถึง
“ตาย!”
สงป้าคำรามด้วยท่าทางน่ากลัว รัศมีร้ายกาจห่อหุ้มเขาไว้ จากนั้นก็ชกไปที่ฝ่ามือของมู่เฉินภายใต้สายตาที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน
ตู้ม!
เมื่อกำปั้นและฝ่ามือปะทะกัน เสียงดังกึกก้องก็กระจายไปทั่ว ทุกคนเห็นเสื้อผ้าของมู่เฉินกระพืออย่างรุนแรง
ขณะนี้ฝ่ามือมู่เฉินเปลี่ยนเป็นสีแดง เหมือนมีหยดเลือดซึมออกมาด้วย เนื่องจากคลื่นหลิงรุนแรงของสงป้า
คลื่นหลิงสีแดงกวนตัวเป็นพายุเฮอริเคนห่อหุ้มทั้งสองไว้
“ข้าจะฉีกร่างแกเป็นชิ้นๆ!” สงป้าหัวเราะร่วน อึดใจต่อมาคลื่นหลิงสีแดงเข้มก็พลุ่งพล่านเข้าสู่ร่างกายของมู่เฉินอย่างป่าเถื่อน เขาตั้งใจจะทำลายร่างมู่เฉินจากภายในสู่ภายนอก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาใช้กระบวนท่าที่โหดร้าย เขาเคยทำสิ่งนี้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสองคนให้กลายเป็นแอ่งเลือด
ตู้ม!
ทว่าเมื่อคลื่นหลิงสีแดงเข้มเทลงไปในร่างกายมู่เฉิน สงป้าก็เห็นรอยยิ้มเย้ยบนใบหน้าของอีกฝ่าย
“จะตายอยู่แล้วยังเสแสร้งอีกเรอะ?!” สายตาสงป้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม คิดจะจุดประกายพลังงานรุนแรงภายในร่างของมู่เฉิน
แต่ทันใดนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงด้วยความหวาดผวา เมื่อพบว่าตนเองสูญเสียการเชื่อมต่อกับคลื่นหลิงที่กระแทกใส่ร่างกายของมู่เฉินไป
นี่ให้ความรู้สึกราวกับว่าร่างกายของมู่เฉินเป็นหลุมดำที่สามารถกลืนกินและย่อยสลายพลังงานทุกชนิดที่เข้าไป
“เป็นไปได้ยังไง?” ใบหน้าของสงป้าเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
ตรงกันข้ามมู่เฉินกลับยิ้มเย็นชา แท้จริงแล้วคลื่นหลิงของสงป้ารุนแรงมาก แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินไม่กลัวคลื่นหลิงที่บุกเข้ามาในร่างกายของเขา
เนื่องจากตอนนี้คลื่นหลิงแก้วใสคำรามอยู่ภายในร่างกาย เมื่อคลื่นหลิงสีแดงที่บุกเข้ามาสัมผัสกับมันก็เงียบลงทันที ถูกผนึกอย่างสมบูรณ์…
ยามนี้ทุกคนรู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทำให้ใบหน้าถึงกับเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกได้ว่าไม่ว่าสงป้าจะพยายามจุดชนวนคลื่นหลิงของเขาในร่างกายของมู่เฉินเท่าไร ก็ไม่มีอาการปั่นป่วนสักเล็กน้อยออกมาจากร่างกายของอีกฝ่าย แม้แต่เท้าก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้?!” ทุกคนมีท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน ความตกใจผุดขึ้นในใจของพวกเขา
ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงไป มู่เฉินก็ยิ้มให้สงป้า “อยากได้คลื่นหลิงกลับไปเหรอ? งั้นเอาคืนไปเลย”
เขากำมืออีกข้างหนึ่ง คลื่นหลิงสีแดงก็พุ่งออกมาก่อตัวเป็นลูกแสงสีแดงกว้างเกือบร้อยจั้ง
ภายในบรรจุคลื่นหลิงที่มีความรุนแรง
มู่เฉินถือลูกแสงจากนั้นก็ขว้างใส่สงป้า
เผชิญหน้ากับการกระทำของมู่เฉิน สงป้าก็หัวเราะเสียงดัง เพราะเมื่อวงแสงคลื่นหลิงสีแดงเข้มสัมผัสกับร่างเขาก็รวมเข้าสู่ร่างอย่างรวดเร็วราวกับว่าน้ำไหลลงทะเล
“ฮ่าๆ เจ้าโง่ คิดจะใช้คลื่นหลิงของข้าเพื่อโจมตีข้าเนี่ยนะ? เพ้อฝันจริงๆ!” สงป้าระเบิดเสียงหัวเราะ
“งั้นเหรอ?” มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด
เมื่อพูดจบใบหน้าของสงป้าก็เปลี่ยนไปรุนแรง เพราะเขาตระหนักว่าคลื่นพลังงานที่ดูดซึมเข้าไปส่งผลกระทบต่อคลื่นหลิงในร่างทั้งหมดของเขา ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมทันที…
ในช่วงเวลาไม่กี่ลมหายใจคลื่นหลิงที่หนาแน่นรอบตัวเขาก็อันตรธานหายไป
“คลื่นหลิงของข้า?!” ดวงตาของสงป้ากะพริบด้วยความหวาดผวาเข้มข้นกับสถานการณ์นี้
“แกก็ลองรับหมัดข้าหน่อยละกัน”
ทว่าก่อนที่เขาจะได้ทันตรวจสอบร่างกาย มู่เฉินยิ้มพลางก้าวออกไป หมัดกระทุ้งเข้าไปที่หน้าอกของสงป้าที่สูญเสียพลังงานทั้งหมดไปแล้ว
ปัง!
สงป้ารับผลกระทบหนักหน่วง ร่างบินออกไปสร้างรอยครูดยาวบนพื้น ก่อนที่เลือดจะกบปาก หน้าอกยุบตัวลง
ทั่วบริเวณตกอยู่ในความเงียบงัน แม้จะมีจอมยุทธ์มากมายที่นี่ แต่ทุกคนก็ต่างอ้าปากตาค้างไปหมด เนื่องจากพวกเขาไม่คิดว่าไม่เพียงแต่กำปั้นของสงป้าจะไม่ทำอันตรายให้กับมู่เฉิน เขายังสูญเสียการควบคุมคลื่นหลิงทั้งหมดไปและถูกมู่เฉินซัดจนมีสภาพน่าอนาถเช่นนี้
มู่เฉินถอนกำปั้นออก ภายใต้สายตาที่จ้องมาก็คลี่ยิ้ม จากนั้นก็เงยหน้ามองหลิงเฟยจื่อที่หน้าเขียวคล้ำ
“ขอบใจสำหรับของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดนะ…”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1237 แปดสิบล้านต่อหมัด
เสียงของมู่เฉินดังก้อง
ทั้งอาคารก็เงียบกริบขณะสายตาอึ้งทึ่งมากมายจ้องไปที่เขา
ไม่มีใครคิดว่าชายหนุ่มที่ดูอ่อนโยนคนนี้จะกล้าพูดไม่ไว้หน้าสงป้าออกมา
นั่นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายนะ!
นอกจากนี้สงป้ายังมีชื่อเสียงในทวีปซีเทียน ซึ่งรู้จักกันในฉายาราชาหมี เขาเป็นคนโหดเหี้ยมและเผด็จการมาก มีข่าวลือว่าเขาได้ฉีกร่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสองคนให้กลายเป็นแอ่งเลือดเมื่อในอดีต
แต่ถึงกระนั้นมู่เฉินยังกล้าสร้างความอับอายให้เขา
คำอุทานมากมายดังก้องอยู่ในอาคาร ดวงตาของสงป้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำอัดด้วยไอสังหาร ขณะที่เขาจ้องมองมู่เฉินก็แสยะฟันขาวออกมา “ไอ้หนู กล้าพูดแบบนี้กับข้าคิดหาที่ตายรึ?”
เผชิญหน้ากับสงป้าที่โกรธแค้น มู่เฉินก็ยังคงยิ้มเฉยเมย “ข้าเป็นประมุขตำหนักมู่ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า เจ้าเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ข้าพูดแบบนี้ด้วยแล้วจะทำไม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ทุกคนก็อึ้งไปก่อนจะจำได้ว่ามู่เฉินไม่เพียงแต่เป็นประมุขสำนักเท่านั้น เขายังมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา การรวมตัวเช่นนี้เทียบเท่ากับขั้วอำนาจชั้นยอดในทวีปซีเทียนเลยทีเดียว
ด้วยภูมิหลังสนับสนุนเช่นนี้ เขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับสงป้า
สงป้าหวนนึกถึงเรื่องนี้ ใบหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเค้นเสียงเย็น “แล้วไง? แกคิดจะร้องแรกแหกกระเฌอให้ทุกคนช่วยรุมข้าไง? มาดูกันว่าตำหนักซีเทียนจะยอมให้เจ้าทำเช่นนั้นไหม!”
แม้ว่าจะพูดอย่างเกี้ยวกราด ทุกคนก็สามารถบอกได้ว่าน้ำเสียงของเขาไม่ได้บีบคั้นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“เชอะ แม้ว่าแกจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา แต่แกจะให้นางเข้าไปที่สมรภูมิแทนรึไง?” เสี่ยหลิงจื่อช่วยสงป้าสาดโคลนทันที
ทันใดนั้นดวงตาของสงป้าก็เป็นประกายขณะยิ้ม “ใช่สิ แกมันฉลาดแกมโกงจริงๆ ข้าแค่มีข้อกังขากับคุณสมบัติของแกที่จะเข้าร่วมสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับผู้ใต้บังคับบัญชาเลย”
“ข้าว่าแกคงกลัวจนบ้าไปแล้ว ถึงได้หาข้ออ้างแบบนี้ หากมีความสามารถพอก็รับกำปั้นข้าสักครั้ง หากรับได้ไม่เพียงแต่ข้าจะขอโทษเท่านั้น นอกจากนี้ยังไม่สร้างเรื่องยุ่งยากให้ในอนาคตอีกด้วย… แต่หากไม่ก็ส่งสิทธิ์ของแกมา จะได้ไม่ต้องไปตายในสมรภูมิ” สงป้ายิ้มกว้าง แม้ว่าเขาจะมีร่างกำยำ แต่ในสมองก็ไม่ได้มีแค่กล้ามเนื้อจึงเอ่ยกล่าวออกมาโดยไม่หวังดี
เขามีวัตถุประสงค์ชัดเจนก็คือสิทธิ์ของมู่เฉิน นั่นเพราะการตัดสินจากทัศนคติที่ไม่พึงพอใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่มีต่อมู่เฉิน ถ้าเขาแย่งสิทธิ์ของมู่เฉินมาได้ จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็จะต้องยอมรับในสิ่งนี้ ต่อให้เขาไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าร่วมในตอนแรก มิหนำซ้ำอาจจะยังชื่นชมเขาอีกด้วย
เขาพิจารณาเรื่องนี้มานานแล้ว นั่นคือเหตุผลที่เขาร่วมมือกับเสี่ยหลิงจื่อเพื่อมาหาเรื่องมู่เฉิน
“ไอ้หนู แกกล้าไหม?”
สงป้ามองมู่เฉินพลางตะแบงเสียง
เสียงสะท้อนก้องในอาคาร มีหลายคนที่สนับสนุนความคิดสงป้า ถึงยังไงมู่เฉินก็เป็นคนนอก ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายรู้สึกอับอายใจที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามารถเข้าร่วมกับพวกเขาได้
ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกมีความสุขที่จะได้เห็นมู่เฉินเสียสิทธิ์นี้ไป
เมื่อลั่วเทียนเสินและลั่วหลีรู้สึกถึงความคิดของคนอื่น ทั้งสองก็ขมวดคิ้ว พวกเขาประเมินการไม่ต้อนรับมู่เฉินของทวีปซีเทียนต่ำเกินไป
ทั้งหมดนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเพราะจักรพรรดิสัประยุทธ์
มู่เฉินคงไม่มีความสงบสุขตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจกับสงป้า แต่ก็ต้องมีบางคนที่มีความคิดคล้ายกันมาหาเรื่องเขาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลต่อพลังงานของเขา
มู่เฉินสัมผัสกับสิ่งนี้ได้เช่นกัน เขาจึงหรี่ตาลงจ้องมองสงป้าพลางตอบด้วยเสียงสงบ “เจ้าจะวัดกำปั้นกับข้าเหรอ?”
พอได้ยินคำตอบที่เหมือนจะมีแววรับคำท้า ดวงตาของสงป้าก็วูบไหวด้วยความดีใจ “เจ้าตอบตกลงเรอะ?”
มู่เฉินยิ้ม “เจ้าคำนวณเข้าข้างตัวเองไปไหม ถ้าข้าแพ้ก็ต้องส่งสิทธิ์ แต่เจ้ากลับแค่ขอโทษเท่านั้น คำขอโทษของเจ้ามีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ?”
สงป้าขมวดคิ้ว “แล้วเจ้าต้องการอะไร?”
มู่เฉินยักคิ้วยิ้ม “ข้าจะยอมรับเงื่อนไขของเจ้าก็ได้ แต่ในราคา…ของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านต่อหนึ่งหมัด”
หนังตาสงป้ากระตุกไม่หยุดพลางคำราม “ของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านต่อหนึ่งหมัด? แกคุ้มกับราคานี่เรอะ?!”
หลายคนกลั้นเสียงหัวเราะ นี่เป็นราคาที่สามารถซื้ออาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำได้เลย ราคาที่มู่เฉินเสนอเอาเรื่องน่าดู
“ข้าไม่คุ้มหรอก แต่สิทธิ์เข้าร่วมศึกนักรบทวีปคุ้มกับราคานี้” มู่เฉินยิ้ม อึดใจสายตาก็เย็นเยือกลง “ถ้าเจ้าไม่สามารถจ่ายได้ราคานี้ ก็ไสหัวไป หยุดสร้างความอายให้ตัวเองซะ!”
ดวงตาของสงป้าเปลี่ยนเป็นแดงฉาน รัศมีร้ายกาจปกคลุมรอบตัว ของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดไม่ใช่ปริมาณเล็กน้อย กำลังทรัพย์ของเขาก็ไม่ได้ดีนัก ทำให้ไม่สามารถจ่ายได้ในเวลานี้
สงป้ามองเสี่ยหลิงจื่อก็สังเกตเห็นท่าทางอึดอัดใจของอีกฝ่าย ตระกูลเสี่ยเสินจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อจัดการตระกูลลั่วเสิน ดังนั้นแม้ว่าเขาจะพอจ่ายของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดได้ แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะใช้กับสงป้า เรื่องนี้สิ้นเปลืองเกินไป มิหนำซ้ำเสี่ยหลิงจื่อก็มีประสบการณ์ตรงกับความแปลกประหลาดของมู่เฉิน ในเมื่อมู่เฉินกล้าที่จะรับการท้าทาย ดังนั้นเสี่ยหลิงจื่อก็ต้องระมัดระวังเพื่อที่จะไม่ต้องเสียของเหลวจื้อจุนไปโดยเปล่าประโยชน์
พอเห็นท่าทางอึกอักของเสี่ยหลิงจื่อ สงป้าก็รู้สึกโกรธมาก ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาไม่คิดว่าตนเองจะอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้จากการตอกกลับของมู่เฉิน
เมื่อเห็นท่าทางอับอายของสงป้า มู่เฉินก็ยิ้มบาง เหตุผลที่เขาเรียกราคาสูงเช่นนั้นก็เพื่อทำให้เกิดปัญหากับสงป้าพร้อมกับสร้างกำแพงรอบตัวในเวลาเดียวกัน เขาต้องการให้คนอื่นรู้ว่าถ้าพวกเขาตั้งใจจะมาชิงสิทธิ์จากเขาจริงๆ ละก็ พวกเขาจำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะจ่ายของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยด มิฉะนั้นถ้ามีคนมาท้าไม่หยุด แม้แต่จอมยุทธ์ไร้เทียมทานก็คงเอาไม่อยู่
ทุกคนรู้สึกผิดหวังกับท่าทางของสงป้า เนื่องจากตอนแรกพวกเขาต้องการใช้สงป้าเพื่อทดสอบมู่เฉิน แต่ดูเหมือนตอนนี้สงป้าจะไม่สามารถทำตามความคาดหวังของพวกเขาได้
“ฮ่าๆ ของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดใช่ไหม? เรียกราคาสูงจริงๆ เลย แต่ช่างเถอะ ข้าจะจ่ายให้เอง”
ทว่าขณะที่ทุกคนคิดว่าเรื่องจะจบลงเท่านี้ เสียงหัวเราะเร้าใจก็ดังขึ้น สายตาทุกคนยกขึ้นไปบนชั้นสาม เงาร่างอรชรเดินออกมาเบื้องหหน้าครรลองสายตาทุกคน
“เทพจอมยุทธ์สี่—หลิงเฟยจื่อ!”
“ทำไมนางถึงมายุ่งเรื่องนี้”
“ฮ่าๆ หลิงเฟยจื่อเล็งเป้ามาที่ลั่วหลีแน่ คึๆ การแข่งขันของอิสตรี บางครั้งโหดยิ่งกว่าบุรุษซะอีก”
“…”
พร้อมกับการปรากฏตัวของร่างทรงเสน่ห์ เสียงกระซิบก็กระจายไปในอาคาร
หลิงเฟยจื่อจ้องมองไปที่ลั่วหลีขณะที่ปรากฏตัว เมื่อรู้สึกถึงแววตาท้าทายลั่วหลีก็เงยหน้าขึ้น ประกายไฟแล่นแปลบปลาบจากการจ้องมองของพวกนาง
เมื่อเห็นท่าทางของหญิงทั้งสอง ทุกคนก็รู้ซึ้งทันทีว่าการแข่งขันของจอมยุทธ์หญิงยอดนิยมทั้งสองในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นได้เริ่มขึ้นแล้ว
หลิงเฟยจื่อโบกมือ ขวดหยกก็บินไปหาสงป้า ก่อนที่นางจะหัวเราะเสียงพลิ้ว “นี่คือของเหลวแปดสิบล้านหยด หวังว่าราชาหมีจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังใช่ไหม?”
สงป้าคว้าขวดด้วยความปีติยินดีบนใบหน้าจากนั้นก็หัวเราะ “แม่นางหลิงเฟยจื่อโปรดวางใจ ข้าจะทำให้มันซึ้งจนกระอักที่เข้ามาในทวีปซีเทียนของเรา!”
หลิงเฟยจื่อหัวเราะ ของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดไม่ใช่ปริมาณเล็กน้อยสำหรับนางเช่นกัน แต่ถ้านางสามารถใช้เพื่อกำจัดมู่เฉินได้ นางก็จะได้ช่วยองค์จักรพรรดิของนางระบายความโกรธที่มี มิหนำซ้ำยังสามารถทำให้ลั่วหลีอับอาย ดังนั้นถือว่าคุ้มค่าสำหรับนางนัก
นางยิ้มมองไปที่ลั่วหลี ทว่าความสงบที่อีกฝ่ายแสดงออกทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจก่อนที่จะเค้นเสียงเยาะเย้ย นางจะรอดูว่าลั่วหลีจะรักษาหน้ายังไงหลังจากที่มู่เฉินแพ้!
สงป้าคว้าขวดหยกมองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ไอ้หนูมาดูสิว่าแกจะหาข้อแก้ตัวครั้งนี้ได้อย่างไร!”
ในความคิดของเขา มู่เฉินแค่พยายามทำให้เรื่องต่างๆ ยุ่งยากไปเท่านั้น
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะมองหลิงเฟยจื่อ ด้วยสายตาเฉียบแหลมเขาสามารถบอกได้ว่าหลิงเฟยจื่อตั้งใจมาหาเรื่องลั่วหลีโดยเฉพาะ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ไม่มีเหตุผลที่ถอยแล้ว
ดังนั้นภายใต้สายตาจอมยุทธ์มากมาย มู่เฉินก็ก้าวออกมายื่นมือท้าทายสงป้า สิ่งที่พูดออกมาทำให้ผู้คนตกตะลึงไปอีกครั้ง
“ในเมื่อมีคนรวยขนาดนี้… ข้าจะยืนอยู่ที่นี่ รับกำปั้นโดยไม่หลบเลย”
บทที่ 1236 ผู้ที่มีโอกาสชนะสูงสุด
เมื่อมู่เฉินและลั่วหลีไปถึงเมืองซีเทียนจั้น
ที่นี่ก็เต็มไปด้วยผู้คน สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงที่สุดก็คือความผันผวนของคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ระลอกคลื่นทุกเส้นสายอยู่ในระดับตี้จื้อจุน
“แหล่งรวมยอดยุทธ์จริงๆ”
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ฉากนี้อลังการยิ่งกว่าการเปิดวังสวรรค์บรรพกาลเสียอีก
“นี่คือการแข่งขันชิงตำแหน่งนักรบทวีป ในมหาพันภพตำแหน่งนักรบทวีปเทียบเท่ากับตั๋วเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนใดที่สามารถต้านทานสิ่งล่อใจนี้ได้ ถ้าไม่ใช่ว่าทุกขั้วอำนาจถูกจำกัดไว้เพียงหนึ่งสิทธิ์ ข้าเองก็อยากเข้าไปลองขอทดสอบโชคชะตามั่ง” ลั่วเทียนเสินกล่าวด้วยยิ้ม
แม้ว่าตระกูลลั่วเสินเพิ่งจะตั้งหลักได้ แต่ลั่วเทียนเสินก็ยังเป็นคนพามู่เฉินและลั่วหลีมายังเมืองซีเทียนจั้นด้วยตนเอง เนื่องจากราชโองการของจักรพรรดิสัประยุทธ์ทำให้ผู้คนคุกคามมู่เฉิน ดังนั้นเขาจึงติดตามมาด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยในกรณีที่มีอะไรเกิดขึ้น
“ด้วยกำลังของท่านปู่ ถึงแม้ว่าจะเข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ไม่สามารถเอาชนะได้หรอกนะ” ลั่วหลีกล่าวยิ้มๆ
วันนี้ลั่วหลีสวมชุดสีดำพอดีกับรูปร่างที่บอบบางของนางซึ่งช่วยขับเน้นรูปร่าง ทว่านางกลับสวมผ้าคลุมหน้า ตั้งแต่นางได้รับมรดกร่างเทพวารี รูปลักษณ์ของนางก็ยิ่งสวยสะดุดตามากยิ่งขึ้น มากจนกระทั่งมู่เฉินก็ยังลุ่มหลงเมื่อจ้องมองนาง ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นนางจึงเลือกสวมผ้าคลุมหน้าไว้
แต่นางไม่รู้ว่ารูปลักษณ์ที่คลุมเครือกลับยิ่งดึงดูดผู้คนขึ้นมาก
เมื่อลั่วเทียนเสินได้ยินคำพูดขวานผ่าซากของหลานสาว เขาก็ฮึดฮัดขึ้น “ไอ้หนูมู่เฉินก็เข้าร่วมสนามระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายด้วยพลังแค่นี้ ทำไมเจ้าไม่ว่ากระทบเขามั่ง?”
“แม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคียังรู้สึกว่าเขาจะชนะ สายตาของข้าจะไปเปรียบเทียบกับผู้อาวุโสเซียวเหยียนได้อย่างไร?” ลั่วหลีหัวเราะเบาๆ
“ชิ ลิ้นชักคมใหญ่แล้วนะยัยหนู!”
ลั่วเทียนเสินกลอกตา ก่อนจะจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยความหมั่นไส้ จากนั้นก็พุ่งไปยังเมื่อซีเทียนจั้นแบบงอนๆ
มู่เฉินยักไหล่ขณะที่ลั่วหลีขยิบตา อากัปกิริยานี้ทำให้หัวใจของเขาพองโต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือจับมือนุ่มของนาง
ลั่วหลีขัดขืนเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้ปล่อยให้เขาจับมือพร้อมกับใบหน้าเห่อแดง ภายใต้สายตาอิจฉามากมาย ทั้งสองก็ทะยานตามหลังลั่วเทียนเสินไป
ทั้งสามเข้าสู่เมืองมุ่งหน้าไปยังอาคารทางตะวันตกเฉียงใต้ นี่เป็นจุดรวมตัวของผู้เข้าร่วมศึกนักรบทวีป
ทั้งสามคนใช้เวลาระยะหนึ่งก่อนที่จะมาถึงอาคารพร้อมกับความตกตะลึง นั่นเพราะพวกเขาสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าในอาคารแห่งนี้มีความผันผวนของคลื่นหลิงหลายร้อยสายมาบรรจบและปะทะกัน
นั่นก็หมายความว่ามีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนไม่ต่ำกว่าร้อยคนในอาคารนี้ ดูเหมือนว่าจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนส่วนใหญ่ของทวีปนี้จะมารวมตัวกันที่นี่
ขณะเดียวกันกับที่เกิดความตกใจพวกเขาก็เข้าไปด้านใน พื้นที่ภายในดูกว้างขวางมากพร้อมเสียงดังก้องตลอดเวลา
ทั้งสามกวาดสายตาหยุดที่บนแผ่นศิลาตรงกลางโถงที่วูบไหวด้วยแสงไฟซึ่งถูกล้อมรอบด้วยผู้คน
“นั่นอะไร?” ลั่วหลีถามอย่างสงสัย
“ตารางยอดนิยมของผู้มีโอกาสชนะศึกนักรบทวีป” ลั่วเทียนเสินมองไป ก่อนจะหันมาหยอกล้อมู่เฉิน
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของเขาก็รู้สึกสนใจ ทั้งสามเดินเข้าไปกวาดสายตามอง เมื่อพวกเขาเห็นชื่อแรกบนตารางของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เนื่องจากอันดับแรกเป็นชื่อของลั่วหลี
มีตัวเลขกะพริบอยู่ข้างหลังชื่อของนาง ซึ่งเหมือนจะเป็นสองร้อยสามสิบล้าน ซึ่งมีหน่วยเป็นของเหลวจื้อจุน
“นั่นหมายความว่ามีของเหลวจื้อจุนรวมสองร้อยสามสิบล้านหยดวางเดิมพันข้างลั่วหลีในฐานะผู้ชนะของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น” ลั่วเทียนเสินยิ้มตาหยี
มู่เฉินพยักหน้าก่อนจะเลื่อนสายตาลงไป ที่สองก็มองข้ามไม่ได้ โดยมีของเหลวจื้อจุนสองร้อยล้านหยดตามชื่อของหลิงเฟยจื่อ
“หลิงเฟยจื่อหนึ่งในสี่เทพจอมยุทธ์น่ะรึ?” มู่เฉินพยักหน้าหงึกหงัก ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมนางถึงเป็นรองจากลั่วหลี
ไม่ช้าสายตาของเขาก็ย้ายไปที่ตารางยอดนิยมของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย จิตสังหารรุนแรงกวาดเข้าใส่ การแข่งขันสมรภูมินี้ดุเดือดยิ่งกว่าขั้นต้นหลายเท่า
พี่ใหญ่เทพจอมยุทธ์หลิงจั้นจื่อยืนหนึ่งด้วยจำนวนของเหลวจื้อจุนจำนวนสี่ร้อยล้านหยด ทำให้มู่เฉินแอบเดาะลิ้นเลยทีเดียว ย้อนกลับไปที่ทวีปเทียนหลัวองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์เซี่ยก็ถึงกับใบหน้าดำคล้ำเมื่อถูกกรรโชกทรัพย์เป็นของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดจากหลินจิ้ง จำนวนสี่ร้อยล้านหยดเป็นสิ่งที่แม้ว่าขั้วอำนาจระดับสูงจะจ่ายออกมาทั้งหมดก็ไม่อาจรวบรวมถึง
ถัดลงมาก็เป็นเทพจอมยุทธ์อีกสองคนคือหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อที่มีของเหลวจื้อจุนรวมกันถึงห้าร้อยล้านหยดเลยทีเดียว
“เทพจอมยุทธ์ทั้งสี่มีชื่อเสียงแท้จริง” เมื่อเห็นสามอันดับสูงสุดที่เทพจอมยุทธ์ครอบครอง มู่เฉินก็อดถอนหายใจไม่ได้
จากนั้นชื่อคุ้นหูอีกส่วนก็ไล่ตามมา หลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินที่ลั่วหลีบอกเอาไว้ก่อนหน้า
ยอดรวมของการเดิมพันของพวกเขาไม่ได้ด้อยกว่าหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อรวมกัน เห็นได้ชัดว่าหลายคนรู้สึกว่าพวกเขาสามารถแข่งขันกับเทพจอมยุทธ์ทั้งสามแห่งตำหนักซีเทียนได้
การวางเดิมพันลดลงอย่างมากหลังจากนั้น เนื่องจากส่วนใหญ่ถูกรวบรวมในหกอันดับแรก
“เฮ้ เจ้าเห็นชื่อตัวเองยัง?” ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจกับการวางเดิมพัน ลั่วเทียนเสินก็หัวเราะเบาๆ ด้วยความประสงค์ร้าย
มู่เฉินไล่สายตาลงไปจากนั้นมุมปากก็กระตุก นั่นเป็นเพราะเขาเห็นว่าชื่อตนเองเป็นชื่อสุดท้ายบนตารางโดยมีของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดเป็นเดิมพัน
เมื่อเปรียบเทียบกับการเดิมพันคนอื่นๆ แล้วดูเขาน่าสงสารเหลือเกิน
ลั่วหลีอดไม่ได้ที่จะยิ้ม จากนั้นก็เปล่งเสียงปลอบโยน “คนเหล่านี้ตาบอดจริงๆ…”
มู่เฉินถูจมูก ไม่ได้สนใจมากนั้น “ข้าคิดว่าคงไม่มีใครโง่พอที่จะเดิมพันกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่ลงแข่งขันในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้วจะเป็นผู้ชนะหรอก”
“เฮ้ ดูเหมือนเจ้ารู้จักตัวเองดีนี่”
ทว่าทันใดนั้นเสียงมากวัยก็ดังขึ้นหลังจากมู่เฉินเอ่ยเยาะตัวเอง
มู่เฉิน ลั่วหลีและลั่วเทียนเสินขมวดคิ้วเมื่อเห็นเสี่ยหลิงจื่อจ้องมาทางพวกเขาด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ
“ก็ว่าเป็นใคร หมาจนตรอกนี่เอง” สีหน้าของลั่วเทียนเสินเย็นชาลง สาเหตุที่เขาว่ากระทบมู่เฉินก็เพราะพวกเขาหยอกล้อกันเล่นแบบปู่หลาน ตอนนี้พอเสี่ยหลิงจื่อโผล่มากัดมู่เฉินไม่ปล่อยก็ทำให้เขาทนไม่ได้
ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อดิ่งลงก่อนที่จะเค้นเสียงเย็น หันกลับไปพูดกับคนด้านหลัง “ฮ่าๆ พี่สงป้า เจ้าสนใจมู่เฉินคนนี้ไม่ใช่เหรอ? เขานี่แหละ”
“เด็กเหลือขอที่ไม่ประมาณตนเอง อาศัยเทพจักรพรรดิอัคคีมองข้ามหัวจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในทวีปของข้า วันนี้เขาจะได้เข้าร่วมสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายด้วยขุมพลังกระจ้อยร่อย ช่างน่าตลกนัก”
เสี่ยหลิงจื่อไม่ออมเสียง ไม่ช้าก็ดังสะท้อนไปทั่วอาคาร ทำให้เกิดความปั่นป่วน ทุกคนกวาดสายตามาที่มู่เฉิน
“เขาคือมู่เฉินเหรอ?”
“เขาดูเด็กมาก…โดดเด่นแท้จริง แต่ก็หยิ่งยโสนัก สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายไม่ใช่ที่ที่เขาสามารถเข้าร่วมได้ในตอนนี้”
“ฮ่าๆ การมีกองหนุนทรงพลังเป็นสิ่งที่ดี ได้กระทั่งสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันนักรบทวีป”
“…”
เสียงนินทาดังกึกก้อง พวกเขาส่วนใหญ่ไม่พอใจที่มู่เฉินเข้ามาแทรกในการแข่งขันศึกนักรบทวีปของทวีปซีเทียนนัก
ชายร่างกำยำที่ด้านหลังเสี่ยหลิงจื่อก็สาดสายตาดุร้ายไปที่มู่เฉินพลางตะคอกเสียงเย็นชา “เป็นเด็กเหลือขอที่ใช้สิทธิ์เปล่าประโยชน์สิ้นเชิง!”
เสียงของเขาอัดแน่นด้วยความขุ่นเคือง เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายที่เพิ่งจะสวามิภักดิ์ต่อตำหนักซีเทียน ดังนั้นเขาจึงไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมได้ ทว่ามู่เฉินที่เป็นคนนอกที่ไม่มีฐานอะไรในตำหนักซีเทียน กลับได้รับสิทธิ์ให้เข้าร่วม ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าช่างไม่ยุติธรรม
“ไอ้หนู แกกล้าที่จะสู้กับข้าไหม? หากแกแพ้ก็ยกสิทธิ์ให้ข้า จะได้ไม่ต้องเอาชีวิตไปทิ้งในสนามรบ” สงป้ามองมู่เฉินด้วยสายตาที่ดุร้าย
ทว่ามู่เฉินเพียงยกคิ้วเมื่อเผชิญกับการยั่วยุของสงป้า สีหน้าดูนิ่งสงบแต่แล้วคำพูดของเขากลับทำให้อาคารทั้งหลังเงียบกริบลง
“แกเป็นใครมีสิทธิ์อะไรที่จะมาขอที่ข้า?”
บทที่ 1235 เตรียมเปิดศึก
ยิ่งเวลาผ่านไปทวีปซีเทียนก็ยิ่งร้อนระอุ
หัวข้อสนทนาทั้งหมดมุ่งไปที่ศึกนักรบทวีปที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
ในบางแง่มุมนี่อาจเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่สุดของทวีปซีเทียนในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้
นอกเหนือจากการคุ้มครองที่ตำหนักซีเทียนมีให้พวกเขา เหตุผลสำคัญอีกอย่างที่ทำไมขั้วอำนาจต่างๆมอบความจงรักภักดีให้กับตำหนักซีเทียนก็เป็นเพราะศึกนักรบทวีปนี้!
นี่เป็นแรงดึงดูดอย่างมากต่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคน
เพราะในมหาพันภพปัจจุบันมากกว่าครึ่งหนึ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมีความคล้ายคลึงกันในเรื่องพวกเขาเคยได้รับตำแหน่งนักรบทวีปมาแล้ว!
ความจริงข้อนี้เพียงอย่างเดียวก็สามารถสร้างความบ้าคลั่งให้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้มากมาย เพราะขุมพลังเทียนจื้อจุนเป็นระดับที่พวกเขาฝัน หากพวกเขาสามารถเข้าถึง พวกเขาก็จะเทียบเท่าหนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพเลยทีเดียว
การเคลื่อนไหวของบุคคลเช่นนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในมหาพันภพ
ดังนั้นหากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้ครอบครองทวีป จัดตั้งขุมกำลังก็จะมีสำนักมากมายรวมตัวกันเพื่อมอบความจงรักภักดีต่อพวกเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาต้องการสิทธิ์ในการชิงตำแหน่งนักรบทวีป
และทวีปซีเทียนก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นเช่นกัน
เมืองซีเทียนจั้น
สำหรับทวีปซีเทียน เมืองแห่งนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจละเมิดได้ แต่โดยทั่วไปจะไม่มีใครอยู่ที่นี่นอกเหนือจากวันสำคัญที่เหล่าผู้นำและจอมยุทธ์ของขั้วอำนาจทั้งหลายจะมารวมกันที่นี่
เพราะพวกเขาแต่ละคนเป็นเจ้าเหนือหัวในดินแดนของตนเอง แต่เมื่อพวกเขาอยู่ในเขตแห่งนี้ แม้แต่มังกรก็ต้องหมอบพยัคฆ์ก็ต้องคุกเข่า
เนื่องจากเมืองนี้เป็นที่พักอาศัยของจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน!
แต่ในช่วงเวลานี้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นจุดสนใจของทั้งทวีป
เพราะศึกนักรบทวีปกำลังจะอุบัติขึ้นที่นี่
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเมืองถึงร้อนเดือดเมื่อทุกคนมารวมกัน ทุกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าร่วมในศึกนักรบทวีปต่างมารวมตัวกันที่นี่ ไม่ใช่แค่กลุ่มท้องถิ่นของทวีปซีเทียน แม้แต่กลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในทวีปก็มารวมตัวกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสิทธ์เข้าร่วม แต่พวกเขาก็สามารถชมได้ พวกเขาจะได้มีประสบการณ์ไว้บ้างเผื่อได้เข้าร่วมในอนาคต
ดังนั้นเมืองซีเทียนจั้นจึงดูอลังการอย่างมากในวันนี้
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่มักถือตัวพบได้ทั่วในเมืองซีเทียนจั้น ทำให้ผู้ที่มาชมศึกนักรบทวีปต้องส่งเสียงอุทาน ขณะเดียวกันพวกเขาก็ตื่นเต้นกับศึกที่จะเกิดนี้มากขึ้น
ผลกระทบของศึกนักรบทวีปในทวีปซีเทียนยิ่งใหญ่มาก ตราบใดที่นักรบทวีปถูกยืนยันตัว ชื่อของพวกเขาก็จะกระจายไปทั่วมหาพัภพ
โดยทั่วไปแล้วมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะสร้างชื่อไปทั่วมหาพันภพ
วังหลวง
สถานที่งดงามแห่งนี้ตั้งตระหง่านบนภูเขาสูงที่ใจกลางเมืองทำให้มองเห็นได้ทั่วสารทิศ
ที่นี่คือตำหนักซีเทียน
ภายในมีห้องโถงใหญ่ซึ่งตอนนี้ตกอยู่ในความเงียบสงบ เงาร่างทั้งสี่คุกเข่าข้างหนึ่งลง โดยมีร่างสง่างามร่างหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ ขณะที่แรงกดดันแผ่ออกมาจากเขา ทำให้ทั้งสี่คนก้มศีรษะลงด้วยความยำเกรง
ร่างสง่างามนี้ก็คือจักรพรรดิสัประยุทธ์นั่นเอง ตอนนี้ดวงตาของเขาปิดลงราวกับว่ากำลังพักผ่อนหย่อนใจ แม้ว่าสี่คนที่คุกเข่าเบื้องหน้าจะมีสถานะสูงในตำหนักซีเทียน แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดรบกวนจักรพรรดิสัประยุทธ์
“หลิงจั้นจื่อ หลิงเจี้ยนจื่อ หลิงหลงจื่อ”
ความเงียบดำเนินไปเป็นเวลานานในที่สุดจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เปิดดวงตาพร้อมกับเสียงทรงเกียรติดังก้อง
“ศิษย์อยู่นี่ขอรับ!”
สามในสี่ตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพ
ชายคนแรกสวมชุดสีดำ เขาดูธรรมดา แต่มองเห็นไฟแห่งการต่อสู้วูบไหวในดวงตา เป็นความรู้สึกราวกับว่ามีสัตว์อสูรดุร้ายซ่อนอยู่ ภาพลักษณ์ปกติที่ปรากฏทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงอันตรายจากแกนกระดูกเลยทีเดียว
เบื้องหลังมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสะพายกระบี่ไว้บนหลัง คิ้วคมขณะที่เปล่งรัศมีกระบี่คมกริบออกมา ราวกับว่าเขาเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบ ด้วยกระบี่นี้สามารถตัดผ่านทุกสรรพสิ่งได้
เยื้องจากทั้งสองเป็นชายร่างกำยำราวกับหอคอยเหล็ก เงาของเขาบดบังคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า เหมือนมีเกล็ดมังกรบนพื้นผิวของร่างกาย เสียงคำรามของมังกรเลือนรางเปล่งอย่างป่าเถื่อน ทำให้เขาดูเหมือนมังกรปีศาจ
ทั้งสามคนก็คือเทพจอมยุทธ์ของตำหนักซีเทียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทวีปซีเทียน
ทว่าเมื่ออยู่เบื้องหน้าจักรพรรดิสัประยุทธ์ ทั้งสามก็ดูมีมารยาทและให้เกียรติอย่างมาก
จักรพรรดิสัประยุทธ์มองพวกเขาพูดออกมาช้าๆ “พวกเจ้าสามคนจะเข้าสู่สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย เพื่อรับตำแหน่งเดียว…”
“ข้าไม่สนใจว่าใครในพวกเจ้าที่จะได้ตำแหน่งไป แต่ข้าขอบอกไว้เลยว่าตำแหน่งนี้จะต้องตกเป็นของตำหนักซีเทียนเท่านั้น”
“เข้าใจไหม?”
ทั้งสามพยักหน้าหนักแน่น
จักรพรรดิสัประยุทธ์พูดต่อ “จงอย่าประมาท แม้ว่าเจ้าสามคนถือว่าอยู่ในระดับดีของขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ยงคงกระพัน”
“โดยเฉพาะหลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมิน พวกเขาทั้งสามยอมสวามิภักดิ์ต่อตำหนักซีเทียนก็เพื่อตำแหน่งนี้ พวกเขาจึงเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามที่พวกเจ้าต้องเผชิญ”
หลิงจั้นจื่อพยักหน้าอย่างเงียบๆ ขณะที่หลิงเจี้ยนจื่อคลี่ยิ้ม “ข้าอยากประลองกับกระบี่เทพหมาป่ามานานแล้ว ข้าว่าหลังจากครั้งนี้เขาจะไม่กล้าใช้ฉายากระบี่เทพอีกแล้ว”
หลิงหลงจื่อยิ้มกว้างด้วยสีหน้าน่ากลัว “อาจารย์วางใจเถอะ เราจะให้พวกเขารู้ที่ยอมจำนนต่อตำหนักซีเทียนอย่างเชื่อฟัง การคิดทำอะไรตุกติกเป็นการรนหาที่ตาย”
จักรพรรดิสัประยุทธ์พยักหน้า ก่อนจะตบที่เท้าแขนบนพนักบัลลังก์พลางเงียบไปอึดใจ “และคนสุดท้ายเป็นไอ้เด็กเหลือขอที่ชื่อมู่เฉิน…”
“ในเมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีให้เขาเข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย มันก็ต้องมีความสามารถบางอย่าง ดังนั้นจงระมัดระวังถ้าเจอ”
สายตาของทั้งสามกะพริบตามคำพูดของจักรพรรดิ พวกเขารู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตระกูลลั่วเสินและเด็กเหลือขอที่ชื่อมู่เฉิน ชายคนนั้นทำให้เจ้าวังของพวกเขากลับมาพร้อมกับความล้มเหลวแท้จริง ซึ่งไม่ดีต่อชื่อเสียงสักนิด
ด้วยความเข้าใจ สิ่งนี้จะต้องเป็นปมในหัวใจเขาแน่นอน แต่เนื่องจากสถานะของเขาและเทพจักรพรรดิอัคคีจึงไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำกับมู่เฉินได้ ดังนั้นทั้งสามจึงเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของจักรพรรดิของตน
ดูเหมือนว่าถ้าพวกเขาพบกับมู่เฉินในสนามรบ พวกเขาควรจัดการสอนเพื่อนคนนั้นว่ามีบางอย่างในโลกที่เขาไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้
เมื่อมองไปที่แววตาของพวกเขา จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่พูดอะไรอีกต่อไป เขามองไปที่จอมยุทธ์คนสุดท้าย “หลิงเฟยจื่อจงทำงานหนักในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น”
จอมยุทธ์คนสุดท้ายเป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์ที่มีเรือนร่างเย้ายวนทำให้ผู้คนมึนเมา โดยเฉพาะไฝที่มุมหางตา ทำให้นางโดดเด่นยิ่งนัก
นี่คือเทพจอมยุทธ์คนที่สี่หลิงเฟยจื่อ นางเป็นอิสตรีหนึ่งเดียว เพียงแต่ว่าเวลาฝึกฝนของนางไม่ได้นานเท่ากับคนอื่น ดังนั้นนางจึงเข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นที่สอดคล้องกับพลังในปัจจุบัน
สายตาของหลิงเฟยจื่อเป็นประกายเมื่อมองไปที่จักรพรรดิ ความรักลึกซึ้งฉายในดวงตา “วางใจเถิดเจ้าค่ะอาจารย์ เฟยจื่อจะนำตำแหน่งในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นมาให้ได้”
จักรพรรดิสัประยุทธ์ยกยิ้ม “แต่เดิมเจ้าน่าจะสามารถชนะเลิศในสมรภูมิตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ แต่ตอนนี้มีการเพิ่มตัวแปรเข้าไป ลั่วหลีได้รับมรดกร่างเทพวารีของลั่วเสิน ไม่อาจประมาทได้”
เมื่อเอ่ยถึงลั่วหลีน้ำเสียงของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ผิดแผกไปเล็กน้อย
ด้วยประสาทสัมผัสของสตรี หลิงเฟยจื่อรู้สึกได้ ความอิจฉาวูบไหวในดวงตาก่อนที่นางจะผงกหัว “ศิษย์จะจำไว้เจ้าค่ะ”
จักรพรรดิสัประยุทธ์สั่งการเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะให้ทั้งสี่คนออกไป
ทั้งสี่ออกจากวังไปอย่างเคารพ เมื่อห่างออกไปหลิงเจี้ยนจื่อก็ถอนหายใจ “ข้าได้ยินมาว่าลั่วหลีรับร่างเทพวารีมา ทำให้ความงามของนางเรียกว่าล่มเมืองได้ ในอนาคตนางจะกลายเป็นเทพธิดาลั่วคนที่สองอย่างแน่นอน ไม่น่าแปลกใจที่แม้แต่นายท่านก็กลับมามือเปล่า”
พอได้ยินคำพูดนี่แม้แต่หลิงหลงจื่อที่ไม่สนใจเรื่องสตรีก็พยักหน้า พวกเขารู้ชัดถึงทักษะและเสน่ห์ของอาจารย์ แต่ไม่คิดว่าจะไปล้มเหลวเรื่องของลั่วหลี
“ถ้าศิษย์พี่สองสนใจทำไมพวกไม่ลองดูล่ะ ใครจะรู้เจ้าคนใดคนหนึ่งอาจตรงกับความชื่นชอบของนางก็ได้นี่?” เสียงหัวเราะพลิ้วไหวดังขึ้นขณะที่หลิงเฟยจื่อตอบ
หลิงเจี้ยนจื่อกระแอมไอขณะที่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฮ่าๆ เฟยจื่อของเราก็ไม่ธรรมดา ครั้งนี้ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น ข้าคิดว่าสตรีทั้งสองคงได้ต่อสู้กันดุเดือดแน่”
หลิงเฟยจื่อยิ้ม “ข้าอยากพบนางนะ แค่กลัวว่าจะมีหลายคนเกลียดข้าถ้าไปตะกุยหน้าสวยๆ ของนาง”
เมื่อทั้งสามคนเห็นนางใช้พูดคำอาฆาตแค้นด้วยรอยยิ้ม พวกเขาก็ขนลุกชัน ความหึงหวงของผู้หญิงน่ากลัวจริงๆ
ดูเหมือนว่าจะมีศึกน่าสนใจในสนามรบตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1234 เจดีย์ผลึกใสทรงพลัง
บนภูเขาด้านหลังของวังลั่วเสิน
มู่เฉินที่นั่งอยู่บนยอดเขาสูงสุดก็ลืมตาขึ้นหลังจากเข้าสมาธิมาสิบวัน แต่ขณะนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัวที่กวนตัว
“เส้นยาแดงผ่าแปด…”
มู่เฉินปาดเหงื่อบนหน้าผากออก สถานการณ์เมื่อครู่อันตรายมาก แม้ว่าจะเป็นเสี้ยวหนึ่งของเขาที่แอบเข้าไปในดินแดนโบราณของเผ่าฝูถู แต่ถ้าถูกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจับได้ก็จะสามารถสัมผัสตำแหน่งของเขา เวลานั้นเขาจะไม่มีทางหนีรอดไปได้เลย
แต่โชคดีที่มารดาออกมาช่วยในช่วงเวลาสำคัญ มิฉะนั้นเขาคงตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
“ท่านแม่”
หวนคิดถึงการเปลี่ยนแปลงในค่ายกลที่ปกป้องเขา ความรู้สึกอบอุ่นก็ไหลเวียนอยู่ในใจ แม้ว่าครั้งนี้เราแม่ลูกจะไม่ได้พบกัน แต่มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงความผูกพันทางสายเลือด
บางทีมารดาคงคาดว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ตั้งแต่นางมอบคัมภีร์ต้าฝูถูไว้ให้ ดังนั้นจึงได้สร้างช่องโหว่ในค่ายกลเอาไว้ ซึ่งเป็นบางสิ่งที่สามารถให้ความคุ้มครองมู่เฉิน เมื่อสัมผัสถึงรัศมีของเขา
เห็นได้ชัดว่าชิงเหยี่ยนจิ้งไตร่ตรองไว้อย่างรัดกุม
“ท่านแม่วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่เด็กอ่อนแอเหมือนแต่ก่อนแล้ว” มู่เฉินพึมพำพร้อมกับมือกำแน่น ในเวลานี้ไม่เพียงแต่เขาบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุน เขายังสร้างขั้วอำนาจของตนเองและมีความเชื่อมโยงที่ทรงพลังเช่นกัน
มิหนำซ้ำยังมีหินสลักจากเทพจักรพรรดิสงคราม ดังนั้นต่อให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเผ่าฝูถูมาตามจับเขา เขาก็ไม่ได้หมดหนทางแท้จริง
นอกจากนี้เขายังพยายามเต็มที่ที่จะเสริมพัฒนาการ เขาเชื่อว่าต้องมีสักวันที่เผ่าฝูถูไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ต่อให้เขาจะไม่พึ่งความช่วยเหลือจากภายนอก
หลังจากความคิดเดือดพล่านในใจครู่หนึ่ง มู่เฉินก็ค่อยๆ สงบลงและเริ่มมองย้อนกลับไปถึงการเก็บเกี่ยวครั้งนี้จากดินแดนโบราณของเผ่าฝูถู
เขาสามารถสัมผัสเจดีย์ผลึกใสที่ลอยอยู่ในร่างกาย
เมื่อเปรียบเทียบกับเจดีย์ก่อนหน้าก็งดงามยิ่งกว่าเดิม ซ้ำยังเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์และลึกลับออกมาอีกด้วย
มู่เฉินไตร่ตรองไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเร้าเจดีย์ผลึกใส จากนั้นเขาก็เห็นร่องรอยของเพลิงที่ปรากฏภายในเริ่มลุกโชน
ช่างเป็นเพลิงผลึกงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ ทว่ามู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนอันตรายอย่างยิ่งที่มาจากมัน
ในอดีตแม้ว่าเจดีย์ของเขาจะสร้างเพลิงพุทธะที่ทำลายร่างเทห์สวรรค์ของศัตรูได้ ทว่าเพลิงผลึกนี้ก็มีผลเช่นเดียวกัน มิหนำซ้ำยังทรงพลังมากกว่า
มู่เฉินสัมผัสได้ถึงพลังของเพลิงผลึกก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว กระแสคลื่นหลิงในร่างกายกวาดออกมาเทลงไปในเจดีย์ผลึกใส
วูบ วูบ
คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาในเจดีย์ มู่เฉินก็สัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงกำลังเปลี่ยนเป็นเหมือนแก้วใส
ในอดีตคลื่นหลิงของมู่เฉินมีสีม่วงเนื่องจากการหลอมรวมกับเพลิงอมตะ แต่เมื่อผ่านเจดีย์ผลึกใสก็ราวกับเปลี่ยนเป็นคลื่นหลิงลึกซึ้งอีกชนิด
เมื่อสัมผัสคลื่นหลิงที่เปลี่ยนเป็นแก้วใส มู่เฉินก็ลังเลครู่หนึ่งแล้วหมุนเวียนพลังทั้งหมดภายในร่างกายเข้าสู่เจดีย์
ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจร่างของมู่เฉินก็เต็มไปด้วยคลื่นหลิงสีแก้วใส
มู่เฉินลุกขึ้นยืน ร่างของเขาเปล่งความแวววาวออกมา เมื่อยกมือขึ้นคลื่นหลิงที่ราวกับแก้วใสก็รวมตัวกันไหลเวียนอย่างช้าๆ
“คลื่นหลิงแข็งแกร่งขึ้นแล้ว!”
รู้สึกถึงพลังที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ในร่างกาย แม้แต่มู่เฉินที่ใจเย็นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง นั่นเป็นเพราะจากการคาดการณ์คลื่นหลิงในร่างกายของเขาได้รับการเสริมสร้างขึ้นหลายเท่าเลยทีเดียว
ตัดสินจากคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต เขาเทียบเท่าระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นระยะปลายสุดเลยทีเดียว!
“เจดีย์ผลึกใสมีความสามารถที่ทรงพลังสองอย่างคือการแปลงและเสริมความแข็งแกร่ง” มู่เฉินตะลึงไม่หยุด ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ถูกล่อลวงจากความสามารถทั้งสองนี้
ทว่าตอนนี้มู่เฉินกลับรู้สึกไม่คุ้นเคยกับคลื่นหลิงแก้วใส ถ้าคลื่นหลิงที่หลอมรวมกับเพลิงอมตะในอดีต สามารถเผาผลาญไม่รู้จบ งั้นคลื่นหลิงนี้ก็เพิ่มรัศมีศักดิ์สิทธิ์และลึกลับเข้ามา
ฟิ้ว!
ขณะที่มู่เฉินเพ่งสมาธิไปที่คลื่นหลิงแก้วใสที่ไม่คุ้นเคย เสียงลมอัดอากาศหวีดหวิวก็ดังขึ้นที่เบื้องหน้า ก่อนที่ลั่วหลี ลั่วเทียนเสินและลั่วเทียนหลงจะพุ่งตัวมาปรากฏขึ้น
พวกเขาอึ้งไปเมื่อมองมู่เฉิน พวกเขารู้สึกว่าคลื่นหลิงของชายหนุ่มไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“เจ้า…ทำไมคลื่นหลิงถึงทรงพลังมากขึ้นขนาดนี้!” ลั่วเทียนเสินพูดขึ้นเป็นคนแรกขณะที่มองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง เขารู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งคลื่นหลิงของมู่เฉินทรงพลังมากกว่าเมื่อสิบวันก่อนหลายเท่า
ความเร็วในการเสริมความแข็งแกร่งนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ!
ลั่วเทียนหลงก็มองมู่เฉินด้วยความประหลาดใจ ส่วนลั่วหลีกลับมองด้วยความสนใจ ชัดว่านางไม่แปลกใจอะไรกับสิ่งใดที่เกิดขึ้นกับมู่เฉิน
“ทำไมคลื่นหลิงของเจ้าถึงเปลี่ยนไป?” ลั่วเทียนเสินมองมู่เฉินด้วยความไม่เชื่อ เนื่องจากเขาตระหนักได้ว่าคลื่นหลิงภายในร่างกายชายหนุ่มแตกต่างไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง ต้องรู้ว่ายากแค่ไหนที่จะปลูกฝังใหม่ ทว่ามู่เฉินแค่เข้าสมาธิไปสิบวัน ทำไมคลื่นหลิงถึงเปลี่ยนไปหมด?
ด้วยการรับรู้ของลั่วเทียนเสินในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย เขาสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าคุณลักษณะคลื่นหลิงของมู่เฉินในตอนนี้แตกต่างจากที่เคยเป็นมาก่อน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ทั้งสาม ก่อนที่จะหันไปหาลั่วเทียนหลง “ท่านลุงเทียนหลงช่วยข้าทดสอบคลื่นหลิงใหม่หน่อยได้ไหมขอรับ”
ลั่วเทียนหลงรู้ว่ามู่เฉินกำลังขอใช้เขาเป็นผู้ทดสอบ ทว่าเขาก็เดินหน้าขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจพลางพูดเสียงดังว่า “ไหนขอข้าดูหน่อยว่าคลื่นหลิงของเจ้าพิเศษเพียงใด”
มู่เฉินยิ้มพลางเหยียดมือจับข้อมือของลั่วเทียนหลง จากนั้นก็เทคลื่นหลิงแก้วใสของตนเองใส่ร่างกายของอีกฝ่าย
ลั่วเทียนหลงปล่อยให้คลื่นหลิงของมู่เฉินเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นก็ตั้งท่าจะขับไล่ ทว่าทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าคลื่นหลิงตนเองแข็งค้างเมื่อสัมผัสกับคลื่นหลิงของมู่เฉิน แม้ว่าเขาจะพยายามหมุนเวียนก็ไร้ประโยชน์นัก
ในเวลาสิบกว่าลมหายใจคลื่นหลิงทรงพลังภายในร่างกายเขาก็หยุดชะงักลง ไม่มีความผันผวนใดๆ เกิดขึ้นเลย ราวกับว่าเขาเป็นคนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อน
ลั่วเทียนหลงที่สูญเสียการควบคุมพลังงานของตนเองก็รู้สึกตะลึงขณะมองมู่เฉินด้วยความอึ้งทึ่ง
ลั่วเทียนเสินสังเกตเห็นเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเหยียดมือวางไหล่ของลั่วเทียนหลงสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ครู่หนึ่งเมื่อสัมผัสถึงได้เขาก็อุทานลั่น “พลังงานของเจ้าถูกผนึก!”
“ผนึก?” คราวนี้แม้แต่มู่เฉินก็ออกเสียงอย่างประหลาดใจ
ลั่วเทียนเสินพยักหน้าเคร่งเครียด ก่อนที่คลื่นหลิงทรงพลังของเขาจะพุ่งเข้าสู่ร่างกายของลั่วเทียนหลงเพื่อช่วยละลายคลื่นหลิงแก้วใสออกไป ไม่นานคลื่นหลิงที่ทรงประสิทธิภาพของลั่วเทียนหลงก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ทว่าแม้จะได้รับการแก้ไขแต่ลั่วเทียนหลงก็ยังคงมองมู่เฉินอย่างตกตะลึงพร้อมกับใบหน้าซีดลง เขารู้สึกผวาหน่อยๆ จากความรู้สึกที่เหมือนกลายเป็นคนพิการ
“ไม่เพียงแต่เจดีย์ผลึกใสจะปรับเปลี่ยนและเสริมสร้างคลื่นหลิงของข้าเท่านั้น แต่ยังมอบพลังผนึกให้อีกด้วย”
มู่เฉินตกตะลึงไป เขาไม่คิดเลยว่าเจดีย์จะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงการเปลี่ยนแปลงและการยกระดับ แม้จะเป็นเพียงตัวช่วยเสริม แต่ก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง ส่วนความสามารถในการผนึกนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าอีก เพราะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังถูกผนึกคลื่นหลิงไว้ถ้าโดนคลื่นหลิงเขาบุกเข้าไปในร่าง เวลานั้นพวกเขาจะกลายเป็นลูกแกะให้เขาสังหารโดยง่าย
“มีคลื่นหลิงประเภทที่มีความสามารถในการผนึกในมหาพันภพด้วยหรือ?” ลั่วเทียนหลงพูดด้วยความไม่เชื่อ
ลั่วเทียนเสินครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะมองมู่เฉินด้วยสายตาผิดแผก “จากที่ข้ารู้… มีข่าวลือว่าเผ่าฝูถูโบราณเก่งกาจในการผนึก… คลื่นหลิงของพวกเขามีผลต่อการผนึก ทำให้ยากที่จะจัดการ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ลั่วเทียนหลงก็ตกตะลึงพลางมองมู่เฉิน หรือว่าชายหนุ่มจะมีความสัมพันธ์กับเผ่าฝูถูโบราณ?
ดวงตามู่เฉินกะพริบวูบไหว เขาไม่คิดว่าลั่วเทียนเสินจะมีความรู้มาก ขนาดสามารถคาดเดาถึงเผ่าโบราณได้อย่างรวดเร็ว… แต่เมื่อเผชิญหน้ากับครอบครัวของลั่วหลี เขาก็ไม่อยากโกหกอะไร ดังนั้นเขาจึงตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ดีล่ะ ในเมื่อมู่เฉินมีทักษะเพิ่มขึ้น ก็มีโอกาสในการแข่งขันนักรบทวีปมากขึ้น” ลั่วหลียิ้มบางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
มู่เฉินจ้องมองคนรักอย่างขอบคุณก่อนที่จะดึงคลื่นพลังกลับออกมา จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่าเมื่อคลื่นหลิงออกจากเจดีย์ผลึกใสก็เปลี่ยนกลับสู่คลื่นหลิงชนิดเดิมของเขา
เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์ มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะอุทานชื่นชม มิน่าล่ะเผ่าฝูถูที่ถึงเป็นหนึ่งในเผ่าโบราณแห่งมหาพันภพได้ วิธีการลึกซึ้งเช่นนี้น่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง
“อีกสิบวันก็จะถึงการเข้าร่วมการประลอง อีกสองสามวันเราก็จะเดินทางไปยังตำหนักซีเทียน” ลั่วหลียิ้มให้กับมู่เฉิน
เมื่อได้ยินคำพูดของนางหัวใจของมู่เฉินก็สั่นไหว “เจ้าจะเข้าร่วมด้วยเหรอ?”
ลั่วหลีหัวเราะเบาๆ “ตระกูลลั่วเสินอยู่ในทวีปซีเทียนนานยิ่งกว่าตำหนักซีเทียนอีกนะ ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติเข้าร่วมเป็นธรรมดา แต่ว่าข้าไม่ใช่คนโหดอะไรเหมือนเจ้า ดังนั้นข้าเข้าร่วมในสนามรบตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ แม้ว่าลั่วหลีเพิ่งบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่นางมีร่างเทพวารีที่ไม่สามารถมองข้ามได้ นางต้องเป็นคู่แข่งที่ทรงพลังสำหรับผู้ที่อยู่ในสนามรบเดียวกันแน่นอน
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…”
มู่เฉินยิ้มให้ลั่วหลี “เราสองคนก็รับสิทธิ์นักรบทวีปทั้งสองตำแหน่งไปเลย ในเมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์ทำให้เราไม่มีความสุข เราก็จะทำแบบเดียวนี้กับเขาด้วย!”
“ต้องทำแบบนั้นอยู่แล้ว” ลั่วหลีพยักหน้าขณะหัวเราะ
ลั่วเทียนเสินและลั่วเทียนหลงมองคู่รักที่มีความมั่นใจก็แลกเปลี่ยนสายตาพลางส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น ดูเหมือนว่าทั้งสองจะไปสร้างความโกลาหลในศึกนักรบทวีปของทวีปซีเทียนครั้งนี้แล้ว
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1233 สังหารและช่วยเหลือ
เสียงเกรี้ยวกราดดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดินประหนึ่งฟ้าคำรน
ความผันผวนของคลื่นหลิงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระเพื่อมไหวออกมา
ขณะที่คลื่นหลิงกำลังผันผวน มือใหญ่ที่แห้งกรังก็โอบเข้าหามู่เฉินราวกับภูเขามหึมา
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้มู่เฉินหวาดกลัว เขารีบเรียกเจดีย์ผลึกใสกลับมาและหนีไปโดยไม่ลังเล
ร่างดวงจิตมู่เฉินรีบเผ่นเข้าไปในเจดีย์และกระตุ้นมัน ทันใดนั้นแสงวววาวราวกับอัญมณีก็แผ่ขยายออกไปพร้อมกับรัศมีเทพที่ก่อตัวกลายเป็นกระแสน้ำวน
เมื่อกระแสน้ำวนก่อตัวขึ้น มู่เฉินก็คือกระตุ้นสิ่งนี้เพื่อหนีไป
“เจ้าหัวขโมย คิดหนีเรอะ?!”
ทว่าทันใดนั้นเสียงเกรี้ยวกราดก็ดังก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง อึดใจก็สามารถมองเห็นดวงดาวนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า ซึ่งถ้ามองให้ละเอียดก็จะพบว่ามันคือสัญลักษณ์หลิงยิ่งที่เชื่อมโยงกัน ก่อตัวเป็นค่ายกลจองจำขนาดใหญ่
เมื่อค่ายกลปรากฏขึ้น มู่เฉินก็รู้สึกได้ทันทีว่าดินแดนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของใครบางคน ดังนั้นเขาจึงรู้ว่านี่เป็นสถานการณ์เข้าตาจนแล้ว
“จองจำ!”
เสียงเย็นดังก้อง มู่เฉินก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ากระแสน้ำวนข้างหลังหยุดนิ่ง นอกจากนี้ร่างดวงจิตซึ่งอยู่ในเจดีย์ผลึกใสก็ถูกตรึงไว้ด้วย
ความรู้สึกราวกับว่าเวลาและมิติแห่งนี้ถูกคุมขัง เขาเหมือนยุงในอำพันที่ไม่สามารถกระตุกกระดิกได้
เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ กระทั่งคนอย่างมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวัง แต่เขาไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงกัดฟันตั้งใจจะทำลายเจดีย์ผลึกใสไปพร้อมกับร่างดวงจิตของตนเอง
แต่ถ้าเป็นกรณีนี้ เขาจะต้องสูญเสียใหญ่หลวง ไม่ต้องพูดถึงความยากลำบากในการสร้างเจดีย์ผลึกใสนี้ มู่เฉินรู้สึกว่านี่อาจเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต หากเขาพลาดไปก็จะไม่สามารถสร้างเจดีย์ผลึกใสนี้ได้อีกในอนาคต
ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือถ้าเขาไม่ทำลายร่างดวงจิตของตนเอง จอมยุทธ์เผ่าฝูถูอาจใช้สิ่งนี้ในการตรวจหาร่างจริงเขา เมื่อตัวตนเขาถูกเปิดเผยก็จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากทำลายเจดีย์ผลึกใสไปพร้อมกับร่างดวงจิต
“ระเบิด!”
“หืม?”
มู่เฉินกัดฟันแน่นทำใจที่จะทำลาย ทว่าทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีสัญลักษณ์หลิงยิ่งเริ่มปรากฏขึ้นในพื้นที่นี้ สายผนึกเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลทรงพลัง แต่พวกมันไม่ได้ถูกควบคุม เนื่องจากได้แยกการเชื่อมโยงออกจากกัน
เหตุนี้ทำให้การคุมขังในบริเวณนี้หายไป ร่างดวงจิตมู่เฉินสามารถควบคุมเจดีย์ผลึกใสได้อีกครั้ง
ทุกอย่างเกิดขึ้นฉับพลัน มากจนมู่เฉินยังไม่ได้ฟื้นตัวเต็มที่ แต่โชคดีที่เขาตอบสนองว่องไว เขาส่งเจดีย์ผลึกใสไปที่กระแสน้ำวนทันที
“ทำไมค่ายกลพิทักษ์บรรพบุรุษถึงมีช่องโหว่?!”
คนที่เคลื่อนไหวร้องอุทานเมื่อเห็นว่ามู่เฉินกำลังจะหนีเข้าไปในกระแสน้ำวน เขาคำรามลั่น “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ตู้ม!
ทันใดนั้นมือแห้งกรังก็ตบลง ชั้นฟ้าและชั้นดินดูเหมือนจะพังทลายลงมา พลังอันน่าทึ่งและน่าสะพรึงกลัวถูกฉีกขาดมิติบดขยี้มู่เฉินไว้จากด้านบน
สถานการณ์เช่นนี้เขาก็ไม่คิดจะจับเป็นแล้ว หัวขโมยแบบนี้ ต่อให้ต้องฆ่าก็ปล่อยให้มันหนีไปไม่ได้!
คลื่นพลังงานน่าสะพรึงบดขยี้ลงมาอีกครั้ง ทำให้มู่เฉินรู้สึกขนลุกขนพองไปหมด ถ้ามีเวลาอีกสามลมหายใจเขาก็จะสามารถหลบหนีไปได้!
แต่การโจมตีครั้งนี้โหดเหี้ยมไม่ให้โอกาสเขาสักเสี้ยววินาที
ถึงเป็นสามลมหายใจสั้นๆ แต่ขณะนี้หมายถึงความเป็นตายเลยทีเดียว
มู่เฉินได้แต่มองพลังทำลายล้างกวาดเข้ามา ทว่าทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง
ฮึ่ม ฮึ่ม
สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนปรากฏรอบตัวมู่เฉิน พวกมันกระตุ้นค่ายกลพิทักษ์บรรพบุรุษ ถักทอเป็นม่านบางเหนือร่างมู่เฉิน
ปัง!
แม้ว่าม่านจะแตกสลายในทันที แต่ก็ซื้อเวลาได้ถึงสามอึดใจพอดี
มู่เฉินควบคุมเจดีย์ผลึกใสทะยานเข้าไปในกระแสน้ำวน จังหวะนั้นเขาก็มีเวลาที่จะหันกลับไปมองดูเส้นสายผนึกที่เกิดขึ้นเหล่านั้น เขาสัมผัสได้ถึงความใกล้ชิดที่มาจากพวกมัน
ทันใดนั้นเขาก็รับรู้ หัวใจของเขาเต้นเป็นกลองรัว
“ท่านแม่…เป็นท่านใช่ไหม?”
ดวงตาของมู่เฉินแดงก่ำ มารดาของเขาช่วยแก้ไขสถานการณ์เป็นตายให้เขาเป็นครั้งที่สองแล้ว
ในเผ่าฝูถูมีเพียงมารดาของเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือเขาได้
“ท่านแม่รอข้านะ ข้าจะมาช่วยท่าน แล้วเราจะกลับไปหาท่านพ่อด้วยกันแน่นอน!”
กระแสน้ำวนมืดมิดลงแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่มู่เฉินพึมพำในใจ
เมื่อร่างดวงจิตและเจดีย์ผลึกใสของมู่เฉินเข้าสู่กระแสน้ำวน พลังงานทำลายล้างก็หายไปทันที ไม่กี่อึดใจผู้อาวุโสที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีประสบการณ์สูงก็ปรากฏตรงจุดที่กระแสน้ำวนหายไป
เขายื่นมือออกสัมผัสมิติบริเวณนี้ พยายามที่จะมองหาทิศทางตามรัศมีที่หลงเหลือไว้
ทว่าเขาก็ต้องหดมือกลับ ใบหน้าของเขามืดครึ้มเพราะเขาพบว่าร่องรอยมิติที่นี่ถูกลบไปหมดแล้ว
ทำได้อย่างหมดจดจนเขาไม่รู้สึกถึงร่องรอยแม้แต่น้อย
ชายชราเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าขณะที่ใบหน้ามืดครึ้ม
ร่างเงาหนึ่งนั่งอยู่ในเจดีย์
ทันใดนั้นนางก็เบิกตากว้าง รอยยิ้มคลุมเครือผุดตรงมุมปากขณะมองไปในระยะไกล
ทว่าก็กินเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะหายไป
ฮึ่ม ฮึ่ม
มิติมืดมิดบิดเบือนยามนี้มีใบหน้าแก่หงำปรากฏขึ้นพร้อมกับความโกรธมองร่างเงาในเจดีย์
“ชิงเหยี่ยนจิ้ง เมื่อกี้เจ้าทำอะไรลงไป?!”
ชิงเหยี่ยนจิ้งปรายตามองไปที่ใบหน้าสูงวัยก็ตอบว่า “ข้าไม่รู้ว่าท่านผู้อาวุโสกำลังพูดอะไร”
ใบหน้าอาวุโสอัดแน่นด้วยความกรุ่นโกรธขณะที่คำราม “มีคนแอบเข้าไปในดินแดนโบราณเพื่อขโมยรัศมีตกทอด ที่สำคัญในช่วงเวลาสุดท้ายยังเกิดปัญหาขึ้นกับค่ายกลพิทักษ์บรรพบุรุษ ช่วยเจ้าหัวขโมยหลบหนีไป!”
“แล้วเกี่ยวกับข้าตรงไหน?” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มบาง
“หึ! เกี่ยวข้องกับเจ้ายังไงเรอะ? เจ้าเป็นหนึ่งในคนสร้างค่ายกลพิทักษ์บรรพบุรุษ! จะยากแค่ไหนถ้าเจ้าต้องการทิ้งบางอย่างเอาไว้? เจ้าคิดว่าข้าเป็นตาแก่ขี้หลงขี้ลืมรึ? เจ้าโจรที่มาขโมยรัศมีตกทอดจะต้องเป็นเชื้อสายต่ำตมที่เจ้าทิ้งไว้ข้างนอกแน่?!” ผู้อาวุโสใหญ่ตะคอกอย่างเย็นชา
“งั้นเหรอ?” ชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ได้ยอมรับคำพูดของเขา
ผู้อาวุโสใหญ่เค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก “ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินไอ้เด็กเหลือขอน้อยไป เพียงไม่กี่ปีก็เติบโตได้ขนาดนี้ นอกจากนี้ยังมีรายงานมาว่าเขาสามารถสร้างเจดีย์พุทธะได้ ท่าทางคงได้รับการถ่ายทอดสายเลือดไปจากเจ้า ในเมื่อเป็นกรณีนี้เราคงต้องส่งผู้อาวุโสออกไปจับเขามา!”
ชิงเหยี่ยนจิ้งที่สงบนิ่งเสมอ ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วจ้องมองผู้อาวุโสใหญ่ก่อนที่จะพูดช้าๆ ว่า “ถ้าท่านกล้าส่งหน้าไหนออกไป อย่าโทษข้าไม่ไว้หน้าแล้วกัน!”
ผู้อาวุโสในเผ่าฝูถูมีสถานะสูงส่ง แต่ละคนมีขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสิ้น เมื่อไรที่พวกเขาเคลื่อนไหวจะเป็นเรื่องน่าสะพรึงสำหรับมู่เฉินแน่
“เจ้าจะทำอะไรได้?” ผู้อาวุโสใหญ่พูดด้วยสีหน้ามืดครึ้ม เห็นชัดว่าเขาไม่พอใจกับความขัดขืนของชิงเหยี่ยนจิ้ง
ชิงเหยี่ยนจิ้งปรายตามองไปก่อนที่จะค่อยๆ ปิดตา
ทันทีที่ดวงตาปิดสนิท เจดีย์ก็สั่นสะท้าน จากนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็ตกใจเมื่อเห็นผนึกที่ปราบปรามชิงเหยี่ยนจิ้งเริ่มพังทลายลง
ในเวลาเดียวกันผู้อาวุโสใหญ่ยังสัมผัสได้ถึงความโกลาหลใหญ่เผ่าฝูถู ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปรุนแรง เนื่องจากค่ายกลผู้พิทักษ์ที่ควบคุมโดยสภาผู้อาวุโสเริ่มถูกกระตุ้น
“เจ้า!”
ผู้อาวุโสใหญ่มองอย่างเกรี้ยวกราดไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งพูดต่อ “ความสำเร็จของเจ้าในด้านค่ายกลไปไกลขนาดนี้เชียวรึ? เจ้าสามารถควบคุมค่ายกลผู้พิทักษ์จากระยะไกลได้?!”
ชิงเหยี่ยนจิ้งลุกขึ้น ก่อนที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนจะเปล่งประกายราวกับดวงดาวรอบตัวนาง จากนั้นก็มองไปที่ผู้อาวุโสใหญ่ “ท่านผู้อาวุโสใหญ่ เหตุผลที่ข้ายอมรับการลงโทษในตอนนั้นไม่ใช่เพราะกลัวพวกท่าน ข้าแค่ไม่ต้องการให้ลูกมาติดร่างแหด้วย แต่ถ้าท่านกำลังจะข่มขู่ข้าด้วยลูกชายของข้า พวกท่านจะต้องคิดให้ถ้วนถี่กับราคาที่ต้องจ่ายออกมา”
ยามนี้ชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ได้สงบเยือกเย็นเหมือนเมื่อก่อน นางแสดงให้เห็นถึงด้านดุร้ายราวกับเสือแม่ลูกอ่อนที่ปกป้องลูกน้อย หากใครแตะต้องดวงใจของนาง พวกมันก็ต้องเผชิญหน้ากับความดุร้ายและบ้าคลั่งด้วย
เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตนางก็คือลูกรัก…มู่เฉิน
ใบหน้าของผู้อาสุโสใหญ่เปลี่ยนไปเมื่อเผชิญกับชิงเหยี่ยนจิ้งที่อยู่ในสภาพอันตราย เขาสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของนาง ถ้าเขาส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกไปจริงๆ ละก็ชิงเหยี่ยนจิ้งคงจะก่อกบฏทันที แม้ว่าพวกเขาจะสามารถปราบปรามนางได้ด้วยรากฐานของเผ่าฝูถู พวกเขาก็ต้องจ่ายราคาสูงแน่นอน
ซึ่งราคานั้นอาจเป็นความตายของจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนเลยทีเดียว
สำหรับเผ่าฝูถูนี่เป็นการระเบิดครั้งใหญ่ เนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับทุกขั้วอำนาจในมหาพันภพ
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ผู้อาวุโสใหญ่ก็กล่าวช้าๆ ว่า “ข้าจะไม่ส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกไป แต่ลูกของเจ้าจะต้องถูกจับกลับมา”
เสียงของเขาเคร่งขรึมไร้ข้อกังขา เขายอมถอยหนึ่งก้าวไม่ส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกไป แต่เขาสามารถส่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนออกไป
ชิงเหยี่ยนจิ้งสงบลงหลังจากได้ยินคำพูดนั่น เนื่องจากนางรู้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเผ่าโบราณที่จะถอย ตัวนางก็ไม่อยากตัดความสัมพันธ์กับเผ่าอย่างเด็ดขาด ถึงยังไงนางก็มีสายเลือดของเผ่าโบราณไหลเวียนอยู่ในร่างกายเช่นกัน
สำหรับจอมยุทธ์ที่อยู่ระดับต่ำกว่าระดับเทียนจื้อจุน แม้จะกังวลอยู่บ้าง แต่นางก็ยอมรับพอได้ นั่นเป็นเพราะถ้ามู่เฉินสร้างเจดีย์พุทธะได้แล้วจริงๆ นั่นก็หมายความว่าเขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนแล้ว ดังนั้นเขาปกป้องตัวเองได้อย่างแน่นอน
นางเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในความว่างเปล่า สายตาราวกับทะลุผ่านห้วงมิติห่างไกลไปยังร่างเงาที่นางรักอย่างสุดหัวใจ นางเผยรอยยิ้มน่ายินดี ในเวลาเดียวกันก็ถอนหายใจอย่างนุ่มนวล
“ลูกรัก แม่ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อเจ้าแล้ว ต่อไปเจ้าต้องพึ่งพาพลังของตนเองแล้วนะ”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1232 รัศมีตกทอดจากบรรพบุรุษ
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน
จากนั้นก็ค่อยๆ สงบลงหลังจากผ่านอาการตกตะลึงพรึงเพริด เขาเริ่มเดาเหตุผลบางอย่างได้อย่างคลุมเครือ
ก่อนหน้านี้เขาทำความเข้าใจเชิงลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับวิชามหาเจดีย์ โดยใช้พลังจากการทำลายเจดีย์ของตนเพื่อมาถึงที่นี่ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จะต้องเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับเผ่าฝูถู
“ถึงแม้ว่าวิชามหาเจดีย์ในอดีตจะพิเศษแล้ว ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับระดับตี้จื้อจุน แต่ในเมื่อวิชานี้เป็นทักษะการวางรากฐานของเผ่าฝูถูดังนั้นจึงต้องมีเคล็ดลับสำคัญ ซึ่งจะต้องมีระดับเข้าใจและวิวัฒนาการที่สูงขึ้น”
วิวัฒนาการที่ว่าอาจเกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้หรือพูดให้ถูกต้องคือเกี่ยวกับเจดีย์โบราณนี้
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ สายตาของมู่เฉินก็จดจ่อที่เจดีย์โบราณ เขาลังเลสั้นๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้
ยิ่งเมื่อเดินเข้าไปใกล้ เขาก็ต้องตกใจเมื่อตระหนักถึงขนาดที่แท้จริงของเจดีย์โบราณนี้ที่มีความสูงหลายแสนจั้ง ทำให้คนคล้ายกับมดเมื่อเปรียบเทียบกัน ดังนั้นผลกระทบที่เขาได้รับก็น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
“ช่างเป็นเจดีย์ที่น่าสะพรึงอะไรอย่างนี้”
มู่เฉินพึมพำในใจ เขารู้สึกได้ว่าแรงกดดันคลุมเครือที่เปล่งออกจากเจดีย์นั้นแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์เสียอีก
ความกดดันเต็มไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่ ราวกับมีร่องรอยของกาลเวลา ภายใต้แรงกดดันดังกล่าวไม่ต้องสงสัยว่าแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์เพียงใด
ด้วยการรับรู้ของมู่เฉิน เมื่อเทียบกับแรงกดดันของเจดีย์โบราณนี้อาจมีเพียงเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามที่ต่อกรได้
ขณะนี้มู่เฉินรู้อย่างลึกซึ้งมากว่าการเป็นหนึ่งในเผ่าโบราณแห่งมหาพันภพน่ากลัวเพียงใด
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ขณะที่มู่เฉินตกตะลึง เจดีย์ก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเขา มันส่งเสียงครางกระหึ่ม
มู่เฉินตกใจกับการเคลื่อนไหวฉับพลัน เกือบจะดึงแบบร่างดวงจิตกลับ เพราะสุดท้ายเจดีย์ลึกลับนี้ก็น่าสะพรึงเกินไป ถ้าเกิดการเคลื่อนไหวก็อาจเป็นหายนะครั้งใหญ่สำหรับเขาเลย
ลำแสงสีดำส่องลงมาจากเจดีย์โบราณ ห่อตัวมู่เฉินไว้ภายใน
ช่วงเวลานั้นมู่เฉินสัมผัสได้ถึงความผันผวนอย่างลึกซึ้งกวาดผ่านร่างดวงจิต… ซึ่งมากเกินพรรณนาจนทำให้มู่เฉินรู้สึกว่ามันกำลังสำรวจตรวจสอบร่างกายของเขาที่นั่งนิ่งในภูเขาด้านหลังวังลั่วเสินด้วย
หัวใจของเขาสั่นเบาๆ เนื่องจากกลัวว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นกับร่าง
แต่โชคดีที่แสงจางลงหลังจากการตรวจสอบ ทันใดนั้นมู่เฉินก็รู้สึกว่ามิตินี้เหมือนจะให้การยอมรับตัวเขาแล้ว
เขาอึ้งไปแต่ในไม่ช้าก็คิดออก การตรวจสอบจากเจดีย์เมื่อสักครู่น่าจะเพื่อดูว่าเขามีสายเลือดของเผ่าฝูถูหรือไม่
หากเป็นคนที่ไม่มีสายเลือดอาจถูกกำจัดโดยเจดีย์โบราณทันที
โชคดี… มารดาของเขาเป็นสมาชิกเผ่าฝูถู ดังนั้นเขาจึงมีสายเลือดโบราณไหลเวียนอยู่ในร่างกายเช่นกัน!
“เกือบซวยไหมล่ะ…”
มู่เฉินรู้สึกโล่งอกจากอันตรายที่มาเยือน โชคดีที่เขาผ่านการตรวจสอบไม่เช่นนั้นผลลัพธ์คงจะตกที่นั่งลำบาก
ขณะที่หัวใจของมู่เฉินยังอบอวลด้วยความหวาดกลัว รัศมียิ่งใหญ่ก็พุ่งออกมาจากด้านบนของเจดีย์โบราณ ห่อหุ้มมู่เฉินไว้อีกครั้ง
รัศมีลึกลับดูเหมือนว่ามาจากยุคโบราณที่เก่าแก่มาก แต่มู่เฉินรู้สึกถึงความใกล้ชิดที่มาจากมัน
ให้ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขามาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน
“นี่คือรัศมีตกทอดจากบรรพบุรุษ?!”
ทันใดนั้นมู่เฉินก็เข้าใจอะไรบางอย่าง บางทีรัศมีลึกลับนี้อาจเป็นรัศมีตกทอดที่บทสวดของเผ่าฝูถูพูดถึง!
“กลั่นรัศมีตกทอดเพื่อเจดีย์อันเป็นนิรันดร์!”
เสียงท่องไหลเวียนอยู่ในหัวใจของมู่เฉินอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ประสานมือเข้าด้วยกัน แสงเข้มข้นระเบิดออกจากร่างกาย ตัวเขาก็ราวกับวาฬกินเหยื่อ ดูดซับรัศมีตกทอดบรรพบุรุษเอาไว้
ขณะที่ดูดซับรัศมี มู่เฉินก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นสะเทือน กระแสเลือดเดือดพล่าน แม้แต่พลังในสายเลือดที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของร่างกายก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ยามนี้แสงสีดำระเบิดออกจากร่างดวงจิตมู่เฉินคล้ายกับหลุมดำ ดูดซับรัศมีตกทอดจากเจดีย์โบราณอย่างเมามัน
ภายใต้การกลืนกินรัศมี เจดีย์ที่มีขนาดสิบกว่าจั้งก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในแสงสีดำ
นี่เป็นเจดีย์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับที่เคยชำระไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากม้นเป็นสีขาวปลอด นอกจากนี้เมื่อรัศมีตกทอดไหลหลั่งเข้ามาที่ตัวเขามากขึ้น เจดีย์ก็เริ่มโปร่งใสราวกับว่ากำลังชำระล้างสิ่งสกปรกออก
ฟู่ ฟู่!
เมื่อเจดีย์สีขาวปรากฏขึ้น มู่เฉินไม่ได้สังเกตว่าเลือดในร่างกายเริ่มเผาไหม้จนกลายเป็นเปลวไฟสีดำห่อหุ้มร่างกายไว้
นี่เป็นเหตุจากสายเลือดเผ่าฝูถูถูกกระตุ้น
ชี่!
เมื่อเปลวไฟปรากฏขึ้นบนร่างมู่เฉิน เพลิงสีดำก็เริ่มลุกไหม้บนเจดีย์สีขาว ทำให้โปร่งใสมากขึ้นเรื่อยๆ
มู่เฉินให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด แม้จะไม่คุ้นเคยกับเจดีย์สีขาวนั้น แต่สัญชาตญาณก็บอกว่ายิ่งเจดีย์โปร่งใสมากขึ้นก็ยิ่งเป็นเรื่องดีสำหรับเขา
เมื่อมีความคิดนี้เขาก็ไม่ลังเล ปล่อยร่างดวงจิตควบคุมเพลิงสีดำให้ลุกโชติช่วงยิ่งขึ้น ดูดซับรัศมีตกทอดมากยิ่งขึ้น
นั่นเป็นเพราะเขาพบว่ารัศมีตกทอดลึกลับนี้เป็นส่วนผสมหลักในการปรับแต่งเจดีย์สีขาวนี้
เจดีย์โบราณก็เหมือนถูกกระตุ้น ปลดปล่อยรัศมีล้ำค่าออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดช่วยมู่เฉินในการปรับแต่งเจดีย์สีขาวของเขา
ภายใต้เพลิงสีดำเจดีย์สีขาวมีความโปร่งใสและบริสุทธิ์มากขึ้น ด้วยความเร็วนี้อีกไม่นานเจดีย์ก็จะกำจัดสิ่งสกปรกทั้งหมดออกไป
เผ่าฝูถู
ร่างสูงวัยสองร่างนั่งอยู่บนแท่นบูชา กำจายรัศมีสูงวัย
ทว่ามิติรอบด้านก็ถึงกับแตกเป็นเสี่ยงๆ จากลมหายใจของทั้งสอง แสดงให้เห็นว่าร่างสูงวัยทั้งสองน่ากลัวเพียงใด
ดวงตาพวกเขาปิดลงราวกับว่ากำลังนอนหลับอยู่
แต่ทันใดนั้นเมื่อทั้งสองรู้สึกอะไรบางอย่าง ดวงตาก็เบิกโพลงพร้อมกับริ้วความสงสัยกระจายเต็มใบหน้า นั่นเป็นเพราะในขณะนี้พวกเขารู้สึกถึงความผันผวนที่แปลกประหลาดที่มาจากดินแดนโบราณ
“เกิดอะไรขึ้น?”
ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อคลื่นหลิงรวมตัวที่เบื้องหน้าก่อร่างเป็นกระจกฉายภาพในดินแดนโบราณ
กระจกกะพริบวูบวาบ ฉากพุ่งไปที่เจดีย์โบราณ
พวกเขากวาดสายตาก็เห็นเจดีย์โปร่งใสราวกับว่าสร้างจากแก้วผลึกลอยอยู่นอกเจดีย์โบราณ
เมื่อเห็นเจดีย์โปร่งใสที่มีความผันผวนของไอศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองคนก็อึ้งไปก่อนที่จะร้องอุทาน “นี่…นี่คือเจดีย์พุทธะหรือ? เรามีสมาชิกที่สามารถปรับแต่งเจดีย์พุทธะได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ไม่ธรรมดาจริงๆ”
ทว่าทันใดนั้นพวกเขาก็นึกถึงบางสิ่งใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปรุนแรง
นั่นเป็นเพราะพวกเขาเป็นผู้พิทักษ์ดินแดนโบราณ ดังนั้นหากใครต้องการเข้าไปในดินแดนโบราณเพื่อกลั่นรัศมีตกทอดปรับปรุงเจดีย์ก็จะต้องทำการเปิดโดยพวกเขา
แต่…พวกเขาไม่ได้เปิดทางเข้าสู่ดินแดนโบราณ แล้วเขาคนนั้นเข้าไปได้ยังไง?!
เผชิญกับสถานการณ์นี้ กระทั่งคนสูงวัยอย่างพวกเขาก็ยังสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขาคำรามขึ้นทันที “เร็วเข้า เปิดดินแดนโบราณ!”
ความสนใจของมู่เฉินจมจ่อมอยู่ในเจดีย์ใส
ขณะนี้กระบวนการกำลังค่อยๆ มาถึงความสมบูรณ์แบบโดยรัศมีตกทอด
ตอนนี้มันช่างโปร่งใสราวกับเพชร ในเวลาเดียวกันก็ส่งผลให้เกิดความลึกซึ้งอย่างไม่อาจบรรยายได้
มู่เฉินมีความรู้สึกว่าเจดีย์ผลึกใสนี้ไม่ธรรมดา เจดีย์ที่เขาเคยชำระไว้ก่อนหน้าไม่สามารถเทียบได้กับสิ่งนี้เลย
ทว่าขณะที่มู่เฉินกำลังยินดีปรีดาในหัวใจ พายุรุนแรงก็พัดเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ จากนั้นเขาก็เห็นกรงเล็บทอดยาวมาในทิศทางของเขา
ในเวลาเดียวกันเสียงกรี้ยวกราดก็ดังก้องทั่วมิติ
“ใครบังอาจเข้ามาขโมยรัศมีรัศมีตกทอดในดินแดนโบราณของเผ่าฝูถู!”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1231 ดินแดนโบราณ
บนยอดเขาด้านหลังวังลั่วเสิน
มู่เฉินนั่งอยู่บนก้อนหินสีเขียวต้อนรับสายลมพลิ้วไหวที่พัดผ่านเสื้อผ้าไป
ดวงตาทั้งสองข้างปิดสทิท ฝ่ามือวาดตราประทับ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตส่งเสียงหวีดหวิวโดยรอบ ดูราวกับสายธารที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของมู่เฉินที่เหมือนกับเป็นหลุมลึก
เมื่อเข้าสู่ขุมพลังตี้จื้อจุน ปริมาณคลื่นหลิงที่มู่เฉินสามารถกักเก็บได้นั้นเกินคณนา ก่อนขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคนสามารถกักเก็บคลื่นพลังไว้ในจุดจื้อจุนไห่เท่านั้น แต่พอหลังจากบรรลุจุดจื้อจุนไห่ก็รวมเข้ากับร่างกาย ทุกส่วนของร่างกายจึงคล้ายกับทะเลพลัง ดังนั้นความสามารถในการบรรจุจึงเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ
หลังจากเข้าสมาธิสองชั่วโมงความปั่นป่วนทั้งหมดก็ค่อยๆ สงบลง มู่เฉินลืมตาขึ้น แสงหลิงในดวงตาจางหายไป
สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตซึ่งไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย มู่เฉินก็หายใจออกเบาๆ แต่สายตาก็ต้องเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเมื่อย้อนนึกถึงข้อมูลที่ลั่วหลีกล่าวไว้
“เทพจอมยุทธ์สี่คนของตำหนักซีเทียน”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ตามรายงานของลั่วหลี เทพจอมยุทธ์สามคนแรกเคยสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจประมาทได้
เขารู้ถึงความแตกต่างอย่างมากระหว่างการเอาชนะและสังหาร เนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคนมีพลังชีวิตที่สุดยอด ต่อให้ครึ่งหนึ่งของร่างกายจะถูกทำลายก็ยังสามารถฟื้นตัวกลับมาได้
การสังหารหมายถึงจะต้องทำลายพลังชีวิตทุกอณูให้สิ้นซาก เช่นเดียวกับที่มู่เฉินได้สังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นของตระกูลเสี่ยเสินไป
แต่การทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสำเร็จ เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ต่อให้สู้ไม่ได้ก็สามารถหนีไปได้ เว้นแต่อีกฝ่ายจะมีความแข็งแกร่งท่วมท้น
ในเมื่อเทพจอมยุทธ์ทั้งสามของตำหนักซีเทียนสามารถสังหารได้ นั่นหมายความว่าพลังของพวกเขาไม่อยู่ในขอบเขตธรรมดา
ครั้งนี้ทั้งสามจะเป็นอุปสรรคใหญ่ในการแข่งขันชิงตำแหน่งนักรบทวีปแน่นอน
ที่สำคัญที่สุดคือเขาสร้างความขุ่นเคืองให้กับจักรพรรดิสัประยุทธ์ แม้ว่าอีกฝ่ายจะลงมือเองไม่ได้เพราะมีเทพจักรพรรดิอัคคีกันไว้อยู่ แต่เทพจอมยุทธ์ทั้งสามคนจะต้องเปิดการปะทะกับเขาแน่ หากพวกเขาเผชิญหน้ากันในสนามรบ
ดังนั้นจึงไม่มีการประนีประนอมระหว่างมู่เฉินกับเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม
เมื่อเทียบกับพวกเขา หลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินยังด้อยกว่าไปเลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีประวัติของการเอาชนะที่คล้ายคลึงกัน
แต่ผลสำเร็จนี่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม
“ทวีปซีเทียนเป็นแหล่งมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบแท้จริง” มู่เฉินถอนหายใจ แม้ว่าทวีปซีเทียนจะไม่ได้เป็นมหาทวีป แต่ก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าทวีปเทียนหลัวด้วยการดำรงอยู่ของจักรพรรดิสัประยุทธ์
ดังนั้นหากเขาต้องการรับหนึ่งในตำแหน่งนักรบทวีป การต่อสู้ดุเดือดเป็นสิ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
เป็นเพราะข้อมูลดังกล่าวทำให้มู่เฉินรู้สึกว่าถูกคุกคามเล็กน้อยในใจ ทว่าความมุ่งมั่นที่มีก็ไม่ทำให้หวั่นไหวเนื่องจากโอกาสนี้เป็นสิ่งที่เทพจักรพรรดิอัคคีช่วยต่อรองเพื่อเขา ดังนั้นเขาไม่สามารถยอมแพ้ได้
ฮา
มู่เฉินสูดลมหายใจลึกสุดปอด ดวงตาหลุบลงก่อนที่มือทั้งสองจะประสานกัน ระลอกความผันผวนปลดปล่อยออกจากร่างกาย เขาสามารถสัมผัสได้ถึงร่างรองทั้งสองในทะเลสาบสวรรค์
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเชื่อมโยงที่น่าอัศจรรย์ มู่เฉินก็รู้สึกสบายใจขึ้น แม้ว่าเทพจอมยุทธ์ทั้งสามจะทรงพลัง แต่เขาก็ไม่ได้อ่อนแอ
วิชาสามพิสุทธิ์เป็นหนึ่งในไพ่ตายของเขาที่จะใช้จัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
เขาไม่เคยใช้วิชาสามพิสุทธิ์ตั้งแต่เริ่มฝึกฝน แต่เขามีลางสังหรณ์ว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน
ทว่าแม้เขาจะมีวิชาเทพที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่มู่เฉินก็ยังไม่ได้นิ่งนอนใจ เพื่อความปลอดภัยเขาต้องมีทักษะมากขึ้นเพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จ
“ทักษะที่มากขึ้น”
มู่เฉินหลับตาไตร่ตรองอยู่นาน ก่อนที่จะลืมตาโพลงพร้อมกับความลังเลวูบไหวในนัยน์ตา นั่นเป็นเพราะเขานึกถึงทักษะที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้นาน
วิชามหาเจดีย์ที่มารดาของเขาทิ้งเอาไว้ให้
นี่เป็นวิชาวางรากฐานของเผ่าฝูถู ซึ่งลึกซึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ มู่เฉินฝึกฝนช่วงสั้นๆ เมื่อในอดีต แต่เนื่องจากเขากลัวที่จะเปิดเผยตัวตน ดังนั้นจึงเก็บซ่อนเอาไว้ แต่ตอนนี้เขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนแล้ว ถือว่ามีความสามารถในปกป้องตัวเอง บางทีอาจถึงเวลาที่เขาจะต้องเริ่มฝึกอีกครั้ง
เผ่าฝูถูเป็นหนึ่งในเผ่าโบราณของมหาพันภพที่มีรากฐานที่น่ากลัว พวกเขาเป็นยักษ์ใหญ่ของแท้ ดังนั้นวิชามหาเจดีย์จะต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน เพียงแต่ว่าในอดีตพลังของเขาไม่เพียงพอดังนั้นจึงไม่สามารถตีความได้อย่างลึกซึ้ง
แต่ในขณะนี้มู่เฉินเชื่อว่าการตีความจะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ด้วยความคิดนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไปมือประสานเข้าด้วยกันทันที เสียงบทสวดคัมภีร์ต้าฝูถูดังกึกก้องอยู่ในใจ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตในร่างกายเคลื่อนผ่านเส้นสายภายในวิชามหาเจดีย์
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ยามนี้มู่เฉินหมุนวนวิชามหาเจดีย์ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกมาจากภายใน เมื่อพลังงานรวมตัวกันเจดีย์สีดำน่าเกรงขามก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในร่าง
จิตใจมู่เฉินก็ค่อยๆ ดำดิ่งภายในบทสวดโบราณ
ลางสังหรณ์นี้ไม่ได้ทำให้มู่เฉินผิดหวัง ตั้งแต่เขาก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน ส่วนของข้อมูลที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ในอดีตก็ถูกลบล้างออกไปทันที ให้ความรู้สึกน่าอัศจรรย์ใจ
ความรู้สึกนี้ราวกับว่าเปิดม่านทักษะที่ลึกซึ้งนี้ออก เริ่มเข้าใจอย่างลึกซึ้งมากขึ้น
เวลาเคลื่อนผ่านไปโดยที่มู่เฉินดำดิ่งอยู่ข้างใน
หลายวันผ่านไปโดยที่เขาไม่รับรู้ ส่วนร่างเขาก็ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวราวกับเป็นก้อนหิน
เมื่อลั่วหลีที่มาถึงเห็นมู่เฉินอยู่ในการฝึกฝนก็ไม่ได้รบกวน นางนั่งลงข้างกายอยู่นานก่อนที่จะผละไป
เวลาสิบวันผ่านไปในพริบตา
ในวันที่สิบร่างกายของมู่เฉินก็สั่นสะท้าน บทสวดของวิชามหาเจดีย์ที่ไหลเวียนอยู่ในห้วงแห่งจิตก็แยกออกจากกัน จากนั้นเนื้อหาคำพูดฝึกยุทธ์ที่ไม่คุ้นเคยก็ผุดขึ้นในใจ
“จงทำลายและใช้หัวใจนำทาง กลั่นรัศมีตกทอดเพื่อเจดีย์อันเป็นนิรันดร์”
มู่เฉินท่องในใจซ้ำๆ ก่อนที่จะเข้าใจ
“ที่แท้เป็นอย่างนี้รึ”
มู่เฉินพึมพำ เจดีย์สีดำก็เริ่มปรากฏรอยแตกร้าว ลำแสงพุ่งผ่านรอยแตกออกมา
เขาทำลายเจดีย์แล้ว!
รอยแตกพล่านปกคลุมไปทั่วเจดีย์ ในที่สุดก็ระเบิดออก แสงสีดำกวาดออกมาสาดส่องทั่วสรรพางค์กายของมู่เฉิน
“ใช้หัวใจนำทาง…”
บทสวดดังกึกก้องในใจ มู่เฉินปล่อยให้แสงส่องเข้าห้วงแห่งจิตจนเริ่มพร่าเลือน ทว่าภายใต้สภาวะสมาธิลึกนี้ ทันใดนั้นกระแสน้ำวนก็ก่อตัวขึ้นจากตรงตำแหน่งแตกของเจดีย์
มู่เฉินมองไปที่กระแสน้ำวนเกิดความลังเลใจ แต่ไม่นานก็โยนความลังเลใจทิ้งแล้วให้ร่างดวงจิตก้าวเข้าไป
ความมืดอยู่ตรงหน้าเพียงชั่วครู่ ทว่าชั่วครู่นั้นกลับทำให้มู่เฉินรู้สึกเกิดความผิดเพี้ยนของเวลาและสถานที่ ราวกับว่าร่างดวงจิตของเขาถูกส่งผ่านไปยังสถานที่ไกลแสนไกลจนไม่อาจบรรยายได้
ความมืดหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมู่เฉินลืมตาขึ้น ดวงตาก็อดกระเพื่อมรุนแรงไม่ได้พร้อมกับพึมพำด้วยความตกตะลึงดังขึ้นภายในใจ
“นี่มันที่ไหน?”
ร่างดวงจิตลอยอยู่ในอากาศ ดินแดนโบราณปรากฏเบื้องหน้าสายตา มีร่องรอยกาลเวลาถูกทิ้งไว้ในฟ้าดิน ทว่าสิ่งที่ทำให้หัวใจของมู่เฉินสั่นไหวที่สุดไม่ใช่ดินแดนโบราณแห่งนี้ แต่เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่เงียบๆ ตรงกลาง
เจดีย์ดูเก่าแก่และลวดลายบนพื้นผิวก็ลึกซึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ดูเหมือนจะก้าวข้ามกาลเวลาและมิติ ซึ่งดำรงความเป็นนิรันดร์
ร่างดวงจิตของมู่เฉินจ้องมองไปที่เจดีย์โบราณ เขาสามารถสัมผัสถึงรัศมีที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าระดับเทียนจื้อจุนแผ่ซ่านมาจากมัน
“ที่นี่ที่ไหนกันแน่?”
หัวใจของมู่เฉินสั่นไหว เขาไม่รู้ว่าทำไมทางเชื่อมนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อเขาทำลายเจดีย์
ทว่าขณะที่ร่างดวงจิตของมู่เฉินหลุดเข้าไปในดินแดนโบราณ ในเผ่าฝูถูที่ห่างออกไป ร่างที่นั่งนิ่งสงบอยู่ในเจดีย์สีดำก็เปิดดวงตาขึ้นมาทันที
ดวงตานางที่มักไม่มีระลอกคลื่นคลอคลองด้วยหยาดน้ำตาในเวลานี้ นางเงยหน้าขึ้นมองไกลออกไปด้วยความรู้สึกปลื้มใจและคิดถึง
“มู่เฉิน…ลูกรัก เจ้าถึงขั้นที่สามารถเข้าสู่ดินแดนโบราณแล้วหรือ?”
บทที่ 1230 เทพจอมยุทธ์ทั้งสี่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตระกูลลั่วเสินค่อยๆ สงบลง
ทว่าข่าวข้อมูลในวันนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วทวีปซีเทียนในเวลาไม่กี่วัน ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างมาก
เพราะไม่ว่าจะเป็นเทพจักรพรรดิอัคคีและจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่ปรากฏตัวก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนตกใจ
ดินแดนซีเทียนเล็กเป็นเพียงมุมหนึ่งของทวีปซีเทียน แม้ว่าสี่ตระกูลเทพที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้จะไม่อ่อนแอ แต่พวกเขาก็นับว่าธรรมดาเมื่อเทียบกับทวีปซีเทียนทั้งหมด
ทว่าใครจะคิดว่าเหตุการณ์เล็กๆ ในสายตาของผู้คนจะทำให้เทพจักรพรรดิอัคคีและจักรพรรดิสัประยุทธ์ปรากฏตัว…
เป็นเพราะเหตุผลนี้ขั้วอำนาจอื่นๆ จึงให้ความสนใจในเรื่องนี้มากและสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม
ผลการสืบสวนทำให้พวกเขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เนื่องจากเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น
ทว่าถึงแม้มู่เฉินจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ตำหนักมู่ของเขาไม่เพียงแต่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นหลายคน ซ้ำยังมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอีกด้วย!
ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม!
แม้แต่ในทวีปซีเทียน การดำรงอยู่ของจอมยุทธ์ระดับนี้ก็ด้อยกว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนเสี้ยวเดียวเท่านั้น ณ ทวีปแห่งนี้พวกเขาสามารถขึ้นเป็นผู้นำของขั้วอำนาจทรงพลังและได้รับความเคารพจากคนมากมาย ทว่าจอมยุทธ์ระดับนี้กลับยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉินและยอมเข้าร่วมตำหนักมู่!
นี่ทำให้ผู้คนในทวีปซีเทียนสับสน ในเวลาเดียวกันก็ทำให้มู่เฉินดูลึกลับซับซ้อนยิ่งขึ้น ต้องมีบางสิ่งที่พิเศษกับมู่เฉิน ในเมื่อเขาสามารถบัญชาการจอมยุทธ์สูงล้ำกว่าตนเองได้
ขณะที่ทุกคนอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของมู่เฉิน ตำหนักซีเทียนก็ประกาศข่าวที่เพิ่มแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทวีปมากยิ่งขึ้น
จักรพรรดิสัประยุทธ์ประกาศด้วยตัวเองว่ามู่เฉินจะเข้าร่วมในการแข่งขันเพื่อตำแหน่งนักรบทวีปและจะเข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย!
ช่วงเวลาที่ข่าวแพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งทวีปก็ร้อนระอุ หลายคนไม่ค่อยพอใจจากเรื่องที่ว่ามู่เฉินเข้ามาเบียดตำแหน่งนักรบทวีปทำให้พวกเขาเกิดอาการกรุ่นโกรธเข้าไปใหญ่
ในฐานะบุคคลภายนอก มู่เฉินไม่เพียงแต่เข้ามามีส่วนร่วมเท่านั้น เขายังเข้าร่วมสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ทั้งที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น
มู่เฉินคิดว่าตัวเองอยู่ยงคงกระพัน ดูถูกจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายของทวีปซีเทียนรึ?
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจำนวนมากถึงกับหัวร้อนในเรื่องนี้ แม้ว่ามู่เฉินจะแสดงความแข็งแกร่งไม่ธรรมดาเป็นที่ประจักษ์ในตระกูลลั่วเสินซึ่งสามารถจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถข้ามขั้นไปต่อสู้ได้
ระดับตี้จื้อจุนแต่ละขั้นห่างไกลกันเป็นโยชน์ ก็เหมือนกับภูมิภาคทางเหนือ เมื่อมั่นถัวหลัวก้าวเข้าสู่ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ไม่เพียงแต่นางสามารถทำลายหมู่ตึกเทวะได้ นางยังบีบให้ขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก่อตั้งพันธมิตรกับนาง ทั้งหมดนี่ทำได้ด้วยพลังของนาง
จากเรื่องนี้ทำให้เห็นได้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายทรงพลังเพียงใด
แต่ตอนนี้มู่เฉินจะเข้าไปเดินในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายของทวีปซีเทียน ในสายตาของคนอื่นๆ มู่เฉินดูถูกต่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในทวีปแห่งนี้อยู่
ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้เกิดความเกรี้ยวกราดของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายหลายคน พวกเขาเตรียมทำให้มู่เฉินเสียใจที่ดันมาแหยมทวีปซีเทียนโดยใช้การแข่งขันนี้ในการสั่งสอน
ในวังลั่วเสิน
“ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธ์จำนวนมากเท่าไรคิดเก็บเจ้าหลังฟังข่าวนี้…” ลั่วหลีมองมู่เฉินด้วยสายตาเป็นกังวลเมื่อรับรายงานข้อมูลนี้
ทว่ามู่เฉินก็ไม่เก็บมาใส่ใจกลับยิ้มกว้างมากขึ้น นักรบทวีปเป็นตำแหน่งที่เข้าถึงยาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนจะเกลียดเขา เมื่อเขาได้เข้าร่วม
แต่เขากลับให้ความสนใจกับความไม่พอใจที่จักรพรรดิสัประยุทธ์แอบแฝงอยู่เมื่อประกาศเรื่องนี้ ดังนั้นจะต้องมีผู้ที่พยายามสร้างความดีความชอบแก่จักรพรรดิสัประยุทธ์และตั้งเป้าหมายมาที่เขาไว้
ซึ่งนี่เป็นความตั้งใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์แน่นอน เพราะด้วยสถานะเขาไม่สามารถจัดการกับมู่เฉินได้ตรงๆ แต่เมื่อแสดงเจตนารมณ์ตนเองเพียงเล็กน้อย ก็จะมีผู้คนจำนวนมากเต็มใจที่จะเคลื่อนไหวเพื่อเขาแทน
ดังนั้นการแข่งขันนักรบทวีปครั้งนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างแน่นอน
“จักรพรรดิสัประยุทธ์หน้าไหว้หลังหลอกนัก” ลั่วเทียนหลงอดที่จะพูดออกมาไม่ได้ เขาเกิดความพอใจอย่างยิ่งกับมู่เฉินตลอดเวลาที่ได้สนทนากัน นอกจากนี้ด้วยความสัมพันธ์ของมู่เฉินกับลั่วหลีก็เป็นธรรมดาที่เขาจะเข้าข้างมู่เฉิน
ขณะที่พูดเขาก็มองไปที่มู่เฉิน “ข้ากลัวว่าสิ่งนี้อาจเป็นไปไม่ได้ เจ้ายอมแพ้ดีกว่าไหม?”
เขาไม่ได้ดูถูกมู่เฉิน หากมู่เฉินเข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น เขาเชื่อว่าชายหนุ่มสมควรได้รับตำแหน่ง ทว่าที่จะเข้าร่วมคือสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย…
ดูเป็นไปไม่ได้ที่คิดจะคว้าตำแหน่งนี้จากมือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจำนวนมาก
มู่เฉินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม เทพจักรพรรดิอัคคีอุตส่าห์ช่วยเหลือ ดังนั้นเขาไม่สามารถยอมแพ้ได้อย่างง่ายดาย
“เจ้าเด็กดื้อ!” ลั่วเทียนหลงถลึงตา จากนั้นก็มองไปที่ลั่วหลี “ทำไมเจ้าไม่กล่อมเขาซะ ตอนนี้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายทั้งหมดในทวีปซีเทียนคงรอมารุมสอนบทเรียนให้เขา”
ลั่วหลีเม้มปากยิ้ม ม้วนหยกปรากฏขึ้นในมือนาง จากนั้นก็ส่งไปให้มู่เฉิน “นี่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายทั้งหมดในทวีปซีเทียน หากเจ้าจะเข้าร่วมก็ควรรู้ข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
มู่เฉินดีใจ แม้ว่าเขาจะไม่กลัวคนเหล่านี้ แต่เขาก็ไม่ได้โอหัง ดังนั้นข้อมูลจึงจำเป็นมาก
ลั่วเทียนหลงเค้นเสียงขึ้นจมูกอย่างหงุดหหงิด เมื่อเห็นว่าลั่วหลีไม่กล่อมมู่เฉินยังไปรวบรวมข้อมูลเพื่อสนับสนุนอีกด้วย
ลั่วเทียนเสินได้แต่ยิ้มพลางส่ายหัว “เรื่องของเด็กก็ให้พวกเขาจัดการกันเอง”
เขาค่อนข้างมองในแง่ดี เนื่องจากเขารู้ว่ามู่เฉินไม่ได้มีนิสัยประมาท ในเมื่อมู่เฉินตัดสินใจเข้าร่วมในการแข่งขันก็ต้องมีความมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว
แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อและยากเกินไปสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย เขาก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวมู่เฉินเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้านี้
เมื่อได้ยินที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคุยกัน ลั่วหลีก็หัวเราะเสียงพลิ้วให้มู่เฉิน ความงดงามช่างสั่นสะท้านหัวใจ ดวงตาของเขาจับจ้องดวงหน้านาง ซึ่งทำให้นางมองมาอย่างเขินอายก่อนจะพูดว่า “มีจอมยุทธ์มากมายที่สวามิภักดิ์ต่อตำหนักซีเทียน แต่มีสามคนในหมู่พวกเขาที่เจ้าควรระวัง”
“โอ้?” เมื่อพูดถึงเรื่องเป็นทางการ มู่เฉินก็สำรวมลงขณะที่ตอบอย่างหนักแน่นว่า “สามคนใครบ้าง?”
“เจ้าตำหนักแสงดาว—หลิ่วซิงเฉิน”
“กระบี่เทพหมาป่า—ซูมู่”
”ดาบทรราช—ฉู่เหมิน”
เมื่อได้ยินชื่อทั้งสามคนใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็เปลี่ยนเป็นจริงจังพลางพยักหน้า “ทั้งสามคนนั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในทวีปซีเทียน ซึ่งมีข้อเหมือนกันอย่างหนึ่งก็คือต่างเคยเอาชนะจอมยุทธ์ในระดับขุมพลังเดียวกัน”
“แม้ว่าข้าจะหายดีแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับทั้งสามคนก็คงได้แค่ป้องกันตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย”
“หลิ่วซิงเฉิน… ซูมู่… ฉู่เหมิน …” มู่เฉินพึมพำ สายตาเปลี่ยนไป แม้แต่ลั่วเทียนเสินยังยอมรับความแข็งแกร่งของทั้งสาม พวกเขาก็จะต้องมีความสามารถอย่างแท้จริง
“แต่พวกเขาก็ยังไม่ใช่ที่สุด คนที่มีหวังจะได้คว้าตำแหน่งมากที่สุดไม่ใช่พวกเขา” เสียงของลั่วหลีดังขึ้นกะทันหัน ทำให้ดวงตาของมู่เฉินหดลง ทั้งสามคนทรงพลังมากแล้วก็ยังไม่ถือว่าเป็นที่สุดเรอะ?
ลั่วเทียนเสินถอนหายใจ “แม้ว่าทั้งสามคนนั้นจะทรงพลัง แต่พวกเขาก็ยังอ่อนแอกว่าเหล่าจอมยุทธ์ที่ฟ้าประทาน”
“จอมยุทธ์ฟ้าประทาน?” มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะพูดคำนี้ออกมา
ลั่วหลีพยักหน้า “มีเทพจอมยุทธ์สี่คนในตำหนักซีเทียนได้แก่ พี่ใหญ่—หลิงจั้นจื่อ พี่รอง—หลิงเจี้ยนจื่อ พี่สาม—หลิงหลงจื่อและน้องสี่—หลิงเฟยจื่อ”
“สามคนแรกจะเข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากตำหนักซีเทียนเพื่อการเป็นนักรบทวีปนี้!”
“พวกเขามีชื่อเสียงอย่างมากในทวีปซีเทียน ซึ่งก็มีจุดเหมือนอย่างหนึ่ง…” ม่านตาของลั่วหลีสั่นไหวอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ใบหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของลั่วหลี ดวงตามู่เฉินก็แคบลงอีกพลางถามว่า “เหมือนกันในเรื่องอะไร?”
ลั่วหลีและลั่วเทียนเสินแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่หญิงสาวจะพูดว่า “พวกเขาเคยสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายมาก่อน…”
“สังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย!”
แม้แต่มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกใจกับข่าวนี้ ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดลงหลายส่วน ตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่ายากเพียงใดที่เขาจะได้เป็นนักรบทวีป…
บทที่ 1229 วิธีของลั่วหลี
การกลับไปของจักรพรรดิสัประยุทธ์
ทำให้เมฆสีดำเหนือตระกูลลั่วเสินจางหายจนหมดสิ้น ขณะนี้ทุกคนรู้ว่าหายนะที่เกิดขึ้นในตระกูลลั่วไม่มีหลงเหลืออีกแล้ว
ดังนั้นขณะที่ทุกคนกำลังส่งเสียงโห่ร้องยินดี เสี่ยหลิงจื่อก็นำจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินหนีออกจากเมืองทันที
หลังจากทะยานออกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาก็เริ่มชะลอตัวพลางแลกเปลี่ยนสายตากัน ตอนนี้ขวัญกำลังใจทุกคนตกต่ำหมดแล้ว
ครั้งนี้จอมยุทธ์ทั้งหมดของตระกูลเสี่ยเสินออกมาโดยตั้งใจที่จะทำลายตระกูลลั่วเสินให้ราบคาบ แต่พวกเขาไม่คิดว่าสถานการณ์เข้าตาจนของตระกูลลั่วเสินจะตาลปัตรกลับมาแบบนี้
“ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้สารเลวมู่เฉินนั่น!” จอมยุทธ์คนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจ หากไม่ใช่การปรากฏตัวของมู่เฉิน ตระกูลเสี่ยเสินของพวกเขาจะกลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวันนี้
แต่ตอนนี้ตัดเรื่องชัยชนะออกไปเลย ตระกูลเสี่ยเสินประสบความสูญเสียใหญ่หลวง หากพวกเขาไม่รีบหนีไปให้เร็วที่สุด สิ่งที่รออยู่ต่อไปอาจเรียกว่านรก
ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อมืดครึ้มขณะกัดฟันกรอด หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อมู่เฉิน เขารู้ว่าเป็นเพราะมู่เฉินทำให้พวกเขาสูญเสียโอกาสในการทำลายตระกูลลั่วเสิน ซึ่งโอกาสเช่นนี้จะไม่มีในอนาคตอีกแล้ว
แม้แต่ลั่วเทียนเสินที่ได้รับพิษโลหิตปีศาจก็สามารถกู้คืนสภาพเดิมได้อย่างสมบูรณ์ด้วยความช่วยเหลือของเทพจักรพรรดิอัคคี เพียงพักผ่อนอีกไม่นาน ความแข็งแกร่งของเขาก็จะฟื้นตัวเต็มที่
นอกจากนี้ยังมีเรื่องลั่วหลีและมู่เฉินที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ
ลั่วหลีได้รับมรดกของเทพธิดาลั่วเสินและปลูกฝังร่างเทพวารี พรสวรรค์และศักยภาพของนางทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว ด้วยการคงอยู่ของลั่วหลีตระกูลลั่วเสินจะเป็นปึกแผ่นอย่างแท้จริง ในอนาคตตระกูลลั่วเสินจะแตะยากราวกับแผ่นเหล็ก ไม่มีโอกาสสำหรับพวกเขาในอนาคตอีกแล้ว
นอกจากนี้ยังมีมู่เฉินที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าลั่วหลี…
ความแข็งแกร่งของมู่เฉินไม่เพียงแต่จะน่ากลัว เขายังเป็นประมุขตำหนักมู่ซึ่งทรงพลังยิ่งกว่าตระกูลเสี่ยเสินและยังเชื่อมโยงอย่างเหนียวแน่นในการเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามมาได้
ด้วยความช่วยเหลือนี้ไม่มีใครในดินแดนซีเทียนเล็กกล้าที่จะยั่วตระกูลลั่วเสินอีกต่อไป
สายตาของเสี่ยหลิงจื่อวูบไหวด้วยไอเย็นเยือกและไม่พอใจ สุดท้ายเขามองกลับไปในทิศทางของเมืองลั่วเสินพลางพูดเสียงโหดร้าย “ปล่อยให้ไอ้เด็กเวรนั่นชะล่าใจไปก่อน เมื่อมันเข้าสู่สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายของนักรบทวีป ข้าจะทำให้มันเสียใจสุดซึ้งกับเรื่องในวันนี้!”
“ไป!”
เสี่ยหลิงจื่อโบกมือ นำกลุ่มคนหนีตายจากไป…
เมื่อตระกูลเสี่ยเสินหนีไป ขั้วอำนาจอื่นก็จากไปเช่นกัน แต่ละคนยับยั้งความตั้งใจที่มีก่อนหน้าทั้งหมดลง
กลุ่มที่มีสัมพันธ์เชิงดีกับตระกูลลั่วเสินก็ปรากฏตัวแสดงความยินดีกับลั่วเทียนเสิน พยายามแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดี
เพราะจากสถานการณ์ในวันนี้ทุกคนบอกได้ว่าตระกูลลั่วเสินจะกลับมาผงาดในอนาคต พวกเขาอาจกลายเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของทวีปซีเทียนเลยทีเดียว
หลังจากมู่เฉินและลั่วหลีสารภาพรักกัน ทั้งสองก็พลิ้วลงมาที่พื้นที่ของพวกราชวงศ์ย่อย
เมื่อเห็นการมาถึงของลั่วหลี พวกตระกูลสาขาก็มือไม้อ่อนทันที พวกเขาคุกเข่าลง แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งสามก็ยังมีสีหน้าซีดเซียวเนื้อตัวสั่นเทา
พวกเขารู้ว่าการลงทุนล้มเหลวลงหมดแล้ว
“พวกเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับตระกูลเสี่ยเสิน คิดทรยศตระกูลตัวเอง มีอะไรจะพูดอีกไหม?” ท่าทางของลั่วหลีเย็นชาลงหลายส่วน เมื่อนางมองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสาม
ทั้งสามมีท่าทางสิ้นหวัง จากนั้นก็ตอบด้วยเสียงแหบแห้ง “พวกข้าโง่เขลาที่ถูกล่อลวงโดยตระกูลเสี่ยเสิน พวกข้ายินดีที่จะรับการลงทัณฑ์ แต่สมาชิกสาขาส่วนมากไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หวังว่าจักรพรรดินีจะยกเว้นโทษพวกเขา”
พวกเขารู้ว่าตนเองสมควรตาย หากลั่วหลีต้องการลงโทษก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาแทรกแซงแน่ แม้แต่ทุกคนในราชวงศ์ย่อยที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็คงสาปแช่งพวกเขาในใจตอนนี้
เคร้ง!
ลั่วหลีประจันหน้ากับทั้งสามโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ ก่อนที่กระบี่ลั่วเสินจะเปล่งประกายแสงเย็น จากนั้นนางก็ชี้ไปที่ทั้งสามคน ทำให้พวกเขาดิ่งลงไปในสิ้นหวังไม่สามารถปีนกลับมาได้
แต่ก่อนที่กระบี่จะอ้างสิทธิ์ในชีวิตของพวกเขา ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นลั่วหลีโบกมือ เม็ดยาสีเงินตกลงในมือพวกเขาทั้งสามคน
“พวกเจ้าสมควรตาย แต่พลังของพวกเจ้ามาจากทรัพยากรของตระกูลลั่วเสิน หากพวกเจ้าตายที่นี่จะไม่เท่ากับทรัพยากรสูญเปล่าไปเหรอ?”
“ถึงแม้ว่าโทษตายจะละเว้นได้ แต่ก็ยังต้องรับการลงทัณฑ์พิษแม่น้ำลั่วและทำงานตอบแทน เจ้าสามคนเต็มใจหรือไม่?”
เสียงเยือกเย็นของลั่วหลี ทำให้ทั้งสามตะลึง ก่อนที่พวกเขาจะคุกเข่ากลืนเม็ดยาลงไปทันที เสียงร้องตะโกนดังขึ้น “พวกข้าขอบคุณจักรพรรดินีลั่ว สำหรับการให้อภัยโทษครั้งนี้ เราน้อมรับทุกสิ่ง!”
พวกเขารู้ว่าพิษแม่น้ำลั่วทรงประสิทธิภาพเพียงใด ถ้ากินเข้าไปก็ต้องได้รับยาแก้พิษเป็นประจำทุกปีจากลั่วหลี มิฉะนั้นพิษแม่น้ำลั่วทำลายร่างกายของพวกเขา
ดังนั้นเพื่อซื้อชีวิต พวกเขาจะต้องทำตามคำสั่งของลั่วหลีทุกอย่าง แต่พวกเขาก็พอใจกับผลลัพธ์นี้มากแล้ว เพราะถึงยังไงการมีชีวิตอยู่ก็ดีกว่าตายถมเถ
ลั่วหลีกวาดสายตาเย็นชาไปยังทั้งสาม พวกเขาสมควรตาย แต่นางก็สามารถระงับความโกรธในใจลงได้ แม้ว่าตระกูลลั่วเสินจะรอดพ้นจากภัยพิบัติแล้ว แต่ก็ยังอ่อนแอในแง่ของจำนวนจอมยุทธ์ระดับสูง ดังนั้นหากฆ่าทั้งสามคน ก็เหลือเพียงลั่วเทียนเสิน ลั่วเทียนหลิงและนางที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมาก
ดังนั้นนางไม่สามารถฆ่าพวกเขาเพื่อผลประโยชน์ระยะยาวของตระกูล
ทว่านางก็ไม่สามารถให้อภัยได้ บ้านเมืองต้องมีกฎ ไม่อย่างนั้นจะไม่ส่งผลดีต่อการพัฒนาตระกูลลั่วเสิน
ลั่วหลีมองไปที่สมาชิกตระกูลสาขา แม้ว่าผู้บงการเรื่องนี้จะเป็นทั้งสามคนนี่ แต่ก็เป็นทัศนคติของตัวแทนผู้คนทั้งหมด
“สำหรับราชวงศ์ย่อยทั้งหมดจะถูกลดขั้นไปเป็นตระกูลธรรมดา แต่หากสร้างคุณูปการในอนาคตก็สามารถกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมได้!”
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วหลีเหล่าสมาชิกราชสงศ์ย่อยก็มีสีหน้าซีดเซียว การถูกลดระดับก็จะเป็นการลบสถานะของพวกเขาในฐานะราชวงศ์ นี่เป็นการระเบิดที่ร้ายแรงสำหรับพวกเขาอย่างแน่นอน
แต่พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของลั่วหลีได้ ต้องก้มหน้ายอมรับไว้เท่านั้น ทว่าสายตามากมายก็ยังสาดความแค้นไปยังผู้อาวุโสทั้งสาม
พวกเขาไม่กล้าที่จะนำความเกลียดชังไปให้ลั่วหลี ดังนั้นจึงได้แต่เทใส่ทั้งสามคนที่คบคิดกับตระกูลเสี่ยเสินลากทั้งครอบครัวลงนรกไปตามกัน
รับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองมาทั้งสามก็มีสีหน้าขมขื่น พวกเขารู้ว่าลั่วหลีทำเช่นนี้ก็เพื่อให้พวกเขาสูญเสียความภักดีของผู้ใต้บังคับบัญชา ในอนาคตพวกเขาต้องฟังคำสั่งของลั่วเหลืออย่างเชื่อฟังเท่านั้น
ลั่วเทียนเสินไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของลั่วหลี เขาเพียงยิ้มอย่างพอใจกับวิธีจัดการของหลานสาว
“ฮ่าๆ คนรักตัวน้อยของเจ้ามีวิธีจัดการดีกว่าเจ้าตำหนักมู่มากเลยนะ” มั่นถัวหลัวล้อเลียนขณะที่เอ่ยชมเชยวิธีที่ลั่วหลีสามารถจัดการตระกูลสาขาและยังได้รับผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคน ยิ่งกว่านั้นนางยังแยกทั้งสามออกจากตระกูลสาขา ทำให้พวกเขาขาดการสนับสนุน
มู่เฉินถูจมูกอย่างช่วยไม่ได้เพราะเขาไม่เก่งเรื่องการบริหารคน เมื่อเทียบกับลั่วหลี เขาก็ด้อยกว่าแท้จริง
“ฮ่าๆ ประมุขมู่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว นี่เรียกว่าการจัดการแบบอิสระ” คนอื่นๆ รีบเข้ามาช่วยมู่เฉิน ที่จริงแล้วพวกเขาก็ตกตะลึงกับวิธีการของลั่วหลี ลองคิดดูว่าถ้านางกลายเป็นเจ้าตำหนักมู่ ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาคงต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน
ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาน่ากลัวมากที่ได้พบประมุขที่มีความสามารถจัดการ
มั่นถัวหลัวชำเลืองมองพวกเขาก็หัวเราะเบาๆ นางรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ในเมื่อเสร็จเรื่องนี้ข้าจะพาพรรคพวกกลับไปทวีปเทียนหลัวในอีกสองวันจากนี้ ถึงยังไงตำหนักมู่ก็เพิ่งก่อตั้ง ข้ากลัวว่าเป็นไปไม่ได้ที่วั้นเซิ่งจะจัดการปัญหาทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง” มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้า แม้เขาจะจัดการไม่เก่งเรื่องแต่ตำหนักเพิ่งถูกสร้างขึ้นมา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้มั่นถัวหลัวและผู้อาวุโสคนอื่นๆ กลับไปดูแล สถานการณ์ของทวีปเทียนหลัวอันตรายกว่าตระกูลลั่วเสิน เพราะไม่มีขั้วอำนาจไหนที่สามารถปกครองทั้งทวีปได้ ดังนั้นความผิดพลาดเล็กน้อยก็อาจทำให้ขั้วอำนาจระดับสูงถูกทำลายได้เช่นเดียวกับตำหนักเทพปีศาจ
“ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้” มู่เฉินยิ้ม
มั่นถัวหลัวกลอกตาใส่ “เจ้าเป็นผู้นำ พวกข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นเรื่องปกติที่เราจะฟังคำสั่งของเจ้า”
นางหยุดพูดชั่วครู่ก่อนจะเตือน “แต่เจ้าต้องระวังระหว่างการแข่งขันนักรบทวีปด้วย…”
นางรู้ว่ามู่เฉินยังมีไพ่ตายที่ยังไม่ได้เปิดเผย แต่เขาก็ไม่ได้ลงประลองในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแต่เป็นขั้นปลาย
ที่นั่นเป็นสถานที่ที่จอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายมารวมตัวกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะโดดเด่นในหมู่คนเพื่อคว้าชื่อนักรบทวีปมา
“ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเทพจักรพรรดิอัคคีถึงให้เจ้ารับสิทธิ์นี้…” มั่นถัวหลัวมองไปที่เซียวเหยียนที่กำลังสนทนากับลั่วเทียนเสินก็บ่นเบาๆ
มู่เฉินยิ้มพลางส่ายหัว เขาไม่มีความข้องใจเกี่ยวกับการจัดการของเซียวเหยียน ตรงกันข้ามเขากลับเต็มไปด้วยความกตัญญูรู้คุณ เพราะเขารู้ว่าเซียวเหยียนต้องการให้เขาปรับปรุงตัวเองผ่านการต่อสู้
ก็คล้ายกับการเจียระไนอัญมณี
แม้ว่าตอนนี้เขาจะได้เคียงข้างกับลั่วหลีแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะหยุดทำงานหนัก เพราะ…มารดาของเขายังคงถูกกักขังอยู่ในเผ่าฝูถู
ตอนนี้เขาทรงพลังแล้วก็จริง แต่ถ้าเขาต้องการช่วยมารดา เขาก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น เพราะพลังในตอนนี้ยังไม่เพียงพอ…
ดังนั้นเขาต้องไปสมรภูมิของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย!
ตำแหน่งนักรบทวีปเขาก็ต้องคว้ามาให้ได้!
บทที่ 1228 จักรพรรดิมู่
เมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิสัประยุทธ์
เซียวเหยียนก็ยิ้มบาง “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ต้องขอขอบคุณจักรพรรดิสัประยุทธ์ด้วย”
จักรพรรดิสัประยุทธ์โบกมือพูดเชื้อเชิญออกไป “การแข่งขันสำหรับนักรบทวีปจะเริ่มขึ้นในเดือนหน้า ข้ายินดีต้อนรับเทพจักรพรรดิอัคคีที่ตำหนักซีเทียนเพื่อเข้าชม”
เซียวเหยียนยิ้มผงกศีรษะรับ “ข้ามาแน่นอน”
“งั้นข้าจะต้องตารอ วันนี้ขอตัวก่อน” จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้มไม่คิดจะอยู่ต่อ เขาประสานมือคำนับเซียวเหยียน แสงสีทองเบ่งบาน รัศมีสีทองก็พุ่งเข้าปกคลุมหลิงตง จากนั้นทั้งสองก็หายไปจากสายตา
นับตั้งแต่การปรากฏตัวของเทพจักรพรรดิอัคคี เขาก็ไม่พูดถึงเรื่องลั่วหลีที่จะให้รับตำแหน่งธิดาเทพอีก เพราะเขารู้ว่าตนเองไม่สามารถข่มคนเหล่านี้ได้ด้วยพลังที่มีอีกต่อไป ในเมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีอยู่ที่นี่ด้วย
ต่อให้มู่เฉินเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ซึ่งเป็นอะไรที่เขาสามารถสังหารได้เพียงพลิกฝ่ามือ ทว่ายังมีพลังหลายประเภทในโลกนี้
แม้จะเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแต่มู่เฉินก็รู้จักวิธียืมมือ… ถึงว่าจะฟังดูง่าย แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์รู้ดีว่าการยืมมือคนอื่นทำได้ยากเพียงใด
ทว่ามู่เฉินก็สามารถยืมมือของเทพจักรพรรดิอัคคีได้ด้วยขุมพลังระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น ซึ่งอธิบายได้ว่ามู่เฉินพิเศษเพียงใด จะมีกี่คนในมหาพันภพที่จะบรรลุความสำเร็จเช่นนี้?
นอกจากนี้เขายังสามารถยืมมือเทพจักรพรรดิสงครามได้อีกด้วย
ดังนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงรู้ว่าตนเองไม่สามารถข่มมู่เฉินได้อีกต่อไปด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนที่มี
หากเขาฝืนทางมากเกินไป เขาอาจสร้างความขุ่นเคืองกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม เวลานั้นแม้แต่คนอย่างเขาก็จะต้องจ่ายราคาแพงระยับ
ดังนั้นเขาจำใจต้องยอมเลิกรากับตำแหน่งธิดาเทพของลั่วหลีแห่งตำหนักซีเทียน ทั้งหมดเป็นเพราะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่อ่อนแอ
แม้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่จะรู้สึกไม่พอใจว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเป็นคนบีบให้เขาต้องล่าถอย แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมมู่เฉินอยู่ในใจ
นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายสามารถบังคับให้เขาต้องถอยกลับแม้จะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น สุดท้ายยังทำให้เขาต้องจ่ายราคาสำหรับสิทธิ์ในการแข่งขันนักรบทวีปด้วย
วิธีและความคิดของมู่เฉินเป็นสิ่งควรค่าแก่การยกย่อง จักรพรรดิสัประยุทธ์เริ่มเข้าใจว่าทำไมคนอย่างเทพจักรพรรดิอัคคีถึงดูแลมู่เฉินอย่างมาก เพราะมู่เฉินมีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นมังกรยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
การจากไปของจักรพรรดิสัประยุทธ์ ทำให้ความกดดันที่ล้อมรอบเมืองลั่วเสินหายไป คนตระกูลลั่วเสินพากันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะระเบิดเป็นเสียงโห่ร้อง
นั่นเป็นการส่งเสียงดีใจที่รอดจากความตายมาได้
วันนี้มีเรื่องราวพลิกตาลปัตรไปมามากมาย พวกเขารู้สึกสิ้นหวังหลายครั้งจนคิดว่าตระกูลลั่วเสินคงถึงคราวล่มสลายแล้ว
แต่ใครจะคาดว่าสถานการณ์จะพลิกผันหลายครั้งเช่นนี้ ท้ายที่สุดตระกูลลั่วเสินไม่เป็นอันตรายและยังได้รับประโยชน์ที่ดีที่สุดด้วย
ผู้คนในตระกูลลั่วเสินมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา เพราะพวกเขารู้ว่าหลังจากภัยพิบัติวันนี้ตระกูลลั่วเสินจะพลิกโฉมครั้งใหม่!
ลั่วหลีได้รับมรดกของลั่วเสินซึ่งเป็นการยอมรับจากบรรพบุรุษ เห็นได้ชัดว่าตระกูลลั่วเสินจะมีจักรพรรดินีทรงอำนาจในอนาคต พวกเขาอาจกลับคืนสู่ยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ภายใต้การนำของนาง
จากนั้นพวกเขาก็หันมองร่างเงาอ่อนเยาว์ ดวงตาเต็มไปด้วยความขอบคุณและความเคารพ
พวกเขารู้ว่าปัญหาในวันนี้ถูกแก้ไขโดยชายหนุ่มคนนี้แทบทั้งหมด
เพราะเขานำจอมยุทธ์ทรงประสิทธิภาพเข้ามาช่วยตระกูลลั่วเสิน ระงับความทะเยอทะยานของตระกูลเสี่ยเสิน เขาแทรกแซงเมื่อตำหนักซีเทียนพยายามที่จะนำจักรพรรดินีของพวกเขาไป มิหนำซ้ำยังสามารถเชิญเทพจักรพรรดิอัคคี เมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้…
หากมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยในวันนี้ตระกูลลั่วเสินคงถึงกาลอวสานอย่างแน่นอน ทว่าเรื่องราวกลับได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างสมบูรณ์โดยชายหนุ่มผู้นี้
กล่าวได้ว่าศักยภาพที่มู่เฉินแสดงสามารถครองหัวใจคนตระกูลลั่วเสินได้ บางทีคงมีเพียงชายหนุ่มผู้โดดเด่นคนนี้ที่คู่ควรกับจักรพรรดินีของพวกเขา!
“จักรพรรดิมู่!”
“จักรพรรดิมู่!”
เสียงร้องสรรเสริญดังก้องทั่วเมืองลั่วเสินกระจายออกไปทุกซอกมุมอย่างน่าอัศจรรย์ ผู้คนตระกูลลั่วเสินจำนวนมากมีใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อร้องตะโกน ขณะนั้นแม้แต่ชั้นฟ้าและชั้นดินก็สะเทือนเลื่อนลั่นด้วยเสียงคำรามนี้
“จักรพรรดิมู่! จักรพรรดิมู่!”
ลั่วชิงหยา ลั่วซิวและเหล่าจอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินมองไปที่ประชาชนที่ตื่นเต้นก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ปัจจุบันตระกูลลั่วเสินมีเพียงจักรพรรดินี แต่เมื่อนางมีคนรัก และอีกฝ่ายก็ได้รับการยอมรับจากทั้งตระกูล คนรักของนางก็จะดำรงจักรพรรดิตระกูลลั่วเสิน
เห็นได้ชัดว่าตระกูลลั่วเสินไม่ได้ตาบอด พวกเขาสามารถบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างลั่วหลีและมู่เฉินได้ นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดศักยภาพที่มู่เฉินแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ทำให้ทุกคนเชื่อมั่น ดังนั้นทุกคนจึงแสดงความตื่นเต้นในใจออกมาผ่านคำพูดสรรเสริญนี้
นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนใฝ่ฝัน
ลั่วชิงหยา ลั่วซิวและเหล่าจอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินถอนหายใจ จากนั้นก็มองหน้ากันแล้วตะโกนออกมาสุดเสียงเช่นกัน
นั่นเป็นเพราะไม่เพียงแต่ประชาชนที่เชื่อมั่นเท่านั้น เหล่าทหารหาญก็เชื่ออย่างนั้นในเวลานี้เช่นกัน
จะมีกี่คนในโลกที่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนโดยไม่เกรงกลัว มิหนำซ้ำยังสามารถตอบโต้ได้ด้วย?
ลั่วเทียนเสินไม่สามารถกลั้นยิ้มเมื่อได้ยินเสียงตะโกน เขามองไปที่ชายหนุ่มบนท้องฟ้าพลางถอนหายใจ เขานึกถึงตอนที่พาลั่วหลีออกไปจากสำนึกศึกษาเป่ยชางเมื่อไม่กี่ปีก่อน…
ในเวลานั้นชายหนุ่มทั้งเด็กและอ่อนแอคล้ายกับลูกเหยี่ยวน้อย แม้ว่าจะเฉียบคมแต่ก็เด็กเหลือเกิน ในเวลานั้นลั่วเทียนเสินไม่ได้ให้ความสำคัญกับชายหนุ่ม เพียงแค่คิดว่าเป็นผู้โชคดีที่ได้รับหัวใจของลั่วหลี
ตอนนั้น… เขาไม่คิดเลยว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าชายคนนั้นจะปรากฏตัวเบื้องหน้าเขาในฐานะผู้กอบกู้
ชายหนุ่มสลายความอ่อนแออย่างสมบูรณ์ในหลายปีที่ผ่านมา เปล่งประกายความคมชัดที่ทำให้คนอื่นตกตะลึง
“สายตาลั่วหลีดีจริงๆ” ลั่วเทียนเสินถอนหายใจ ที่ผ่านมาลั่วหลีได้รับแรงกดดันอย่างมากในตระกูล แม้ว่าทุกคนจะสงสัยในตัวนาง นางก็ไม่เคยหวั่นไหว
ขณะที่เสียงโห่ร้องดังสะท้อนไปทั่วขอบฟ้า ความไว้สง่าของลั่วหลีก็จางหายไปหมด ยามนี้ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับ ใบหน้าขึ้นริ้วสีแดง นางก้มศีรษะลง ท่าทางเขินอายนี่ทำให้หัวใจของผู้คนมากมายผันผวน
นั่นเป็นเพราะนางรู้ว่าการเรียกขานเช่นนี้หมายถึงอะไร
นี่เป็นการยอมรับสูงสุดสำหรับมู่เฉินและก็หมายความว่าตระกูลลั่วเสินยอมรับความสัมพันธ์ของนางกับมู่เฉินด้วย
นางมองไปที่ลั่วเทียนเสิน ขณะนี้อีกฝ่ายก็ผงกหัวด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน
เผชิญหน้ากับเสียงไชโยโห่ร้อง มู่เฉินก็เกาหัวก่อนที่จะหันไปมองหญิงสาวที่เขินอายข้างกายด้วยหัวใจที่พลุ่งพล่าน
“ลั่วหลี…”
มู่เฉินเรียกเสียงเบาขณะมองดวงตาของหญิงสาว เขาเก้อเขินอายไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า “คำสัญญาที่ข้าให้ไว้กับเจ้าก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะโอ้อวดไปหน่อย…”
ย้อนกลับไปตอนนั้นเขาสัญญากับนางว่าตัวเองจะเป็นยอดยุทธ์และปกป้องนางเธอจากลมฝน…
ลั่วหลีมองใบหน้าหล่อเหลาเบื้องหน้า ดวงตาก็ขึ้นริ้วแดง บางทีคนอื่นอาจคิดว่าคำสัญญานั้นช่างน่าหัวเราะ ทว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่างานหนักที่เขาทำเพื่อสัญญายากเย็นขนาดไหน
เส้นทางของยอดยุทธ์เต็มไปด้วยขวากหนามนานัปการ สามารถเปลี่ยนคนที่มีจิตใจตั้งมั่นได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นนางจึงรู้ว่าเขาทำงานหนักอย่างไร ต้องผ่านสถานการณ์เป็นตายมากี่ครั้ง
แค่คิดก็ทำให้นางรู้สึกปวดใจ
“เจ้าลำบากไปแล้ว” ลั่วหลีกัดริมฝีปาก ก่อนที่จะพูดด้วยดวงตาบวมแดง
มู่เฉินยิ้มบาง “ลั่วหลี เจ้ายังจำคำสัญญาที่ข้าให้ไว้ได้ไหม ตอนที่เจ้าจากมา…”
ลั่วหลีพยักหน้าเบาๆ นางยังจดจำคำพูดของมู่เฉินได้แจ่มชัด ทุกประโยคดังก้องในโสตประสาทของนาง
“ลั่วหลี ข้ารักเจ้า แม้ตระกูลลั่วเสินอาจไกลมากเกินไปในตอนนี้ ข้าก็ไม่สามารถทำให้ท่านปู่และตระกูลเจ้ายอมรับได้ นอกจากนี้พวกเขายังอาจเกิดความสงสัยในสายตาและรู้สึกว่าเจ้าตาบอดมารักชายที่ธรรมดาเท่านั้น แต่…”
“เชื่อข้าจะต้องมีสักวันที่ข้าจะไปที่ตระกูลลั่วเสิน ในเวลานั้นข้าจะให้พวกเขารู้ว่าเจ้าไม่ได้คว้าก้อนกรวดในทะเลทราย แต่เป็นเพชรที่เจิดจรัส…”
มู่เฉินจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าพลางยิ้มบาง
“หลายปีที่ผ่านมาข้าได้พยายามในสิ่งนี้….”
ทันใดนั้นลั่วหลีก็อดกลั้นอารมณ์ที่พวยพุ่งในหัวใจไม่ได้ หยาดน้ำตาหลั่งรินออกมาทันที
บทที่ 1227 นักรบทวีป
“ตำแหน่งสำหรับนักรบทวีป?”
คิ้วจักรพรรดิสัประยุทธ์ถึงกับขมวดแน่นขณะที่ตอบโดยไม่ลังเล “เป็นไปไม่ได้! เจ้าก็รู้ดีว่าตำแหน่งนักรบทวีปทรงคุณค่าเพียงใด นั่นอาจถือเป็นจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว ด้วยขนาดปัจจุบันของทวีปซีเทียน แม้ว่าทวีปนี้จะนิ่งมาหลายร้อยปี ก็สามารถสร้างนักรบทวีปได้เพียงสามคนเท่านั้น!”
จักรพรรดิสัประยุทธ์ปฏิเสธเด็ดขาดเพราะทรัพยากรเหล่านี้มีค่ามากเกินไป
มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถควบคุมพลังทวีปได้ ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่ตำหนักซีเทียนเอาไว้ล่อจอมยุทธ์หลากหลายให้เข้าสวามิภักดิ์
ยิ่งกว่านั้นตามกฎของตำหนักซีเทียนมีเพียงขั้วอำนาจและจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมเป็นเวลาสิบปีแล้ว ถึงจะมีคุณสมบัติในการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งนักรบทวีปนี้
นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังถูกดึงดูด
ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินเกี่ยวกับความตั้งใจของเทพจักรพรรดิอัคคีจึงเผยการแสดงออกเช่นนี้
ท้ายที่สุดแล้วนักรบทวีปทุกคนล้วนมีศักยภาพที่จะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน อย่างน้อยโอกาสประสบความสำเร็จจะสูงเมื่อเทียบกับคนอื่น
“นักรบทวีปคืออะไร?” มู่เฉินรู้สึกงงขณะที่ถามลั่วหลี
ลั่วหลีมีความรู้ในเรื่องนี้โดยธรรมชาติ ดังนั้นนางจึงอธิบายให้มู่เฉินฟังโดยละเอียด นี่ทำให้เขาตะลึงไป
เขาไม่เคยคิดเลยว่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะยื้อยุดโอกาสเช่นนี้สำหรับเขา
“เทพจักรพรรดิอัคคีแคว้นหวู่จิ้งฮั่วกว้างใหญ่และมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมากกว่าหนึ่งคน เจ้าสามารถสร้างนักรบทวีปได้มากกว่าทวีปซีเทียน ทำไมเจ้าถึงวางความตั้งใจไว้ที่ข้า” จักรพรรดิสัประยุทธ์กล่าวน้ำเสียงแข็งกร้าว
เซียวเหยียนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “แคว้นหวู่จิ้งฮั่วเพิ่งเป็นเจ้าภาพไปเมื่อร้อยปีก่อน พลังงานทวีปหมดลงแล้ว คงต้องใช้เวลาอีกร้อยปีในการฟื้นฟู”
“แต่อย่าเพิ่งด่วนปฏิเสธ ข้าแค่ต้องการสิทธิ์ที่จะต่อสู้เพื่อตำแหน่งนี้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของมู่เฉินเองว่าจะได้รับไหม ถ้าเขาแพ้ก็เป็นปัญหาของเขาเอง”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ เซียวเหยียนก็ล้อเลียน “หรือว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์คิดว่าจอมยุทธ์ในทวีปเจ้าอ่อนแอกว่ามู่เฉิน?”
จักรพรรดิสัประยุทธ์เค้นเสียงเย็นเงียบๆ พลางเหลือบมองมู่เฉิน “ก็แค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น เขาไม่สามารถทำสร้างแรงกระเพื่อมใดๆ ในทวีปซีเทียนได้ ไม่ต้องพูดถึงการแย่งชิงตำแหน่งนักรบทวีปเลย”
“งั้นเจ้าเป็นห่วงอะไร?” เซียวเหยียนยิ้มตาหยี
จักรพรรดิสัประยุทธ์เอ่ยเสียงขึ้นจมูก “ทุกเรื่องไม่มีความแน่นอน ไอ้เด็กนี่มีกลยุทธ์หลายอย่าง ถ้าเกิดมันสำเร็จขึ้นมาจะทำอย่างไร? ข้าไม่สูญเสียครั้งใหญ่เลยเรอะ?”
“นอกจากนี้กลุ่มต่างๆ และจอมยุทธ์ภายใต้ตำหนักซีเทียนจ่ายความภักดีของพวกเขาเพื่อการแข่งขันชิงตำแหน่งนักรบทวีป พวกเขาทำหลายสิ่งเพื่อทวีปซีเทียนของข้า ถ้าข้าให้ไอ้เด็กนี่เข้าร่วมการแข่งขันจะไปอธิบายกับพวกเขาอย่างไร?”
“ดังนั้นเจ้าไม่ต้องสุมไฟซะให้ยาก ข้าไม่ให้สิทธิ์เขาหรอก”
เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ เขาก็กดเสียงต่ำลงพูดกับเซียวเหยียนว่า “ข้าซาบซึ้งกับความตั้งใจของผู้อาวุโส ในเมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่เต็มใจ ก็อย่าสามารถบังคับเขาเลย”
แม้ว่านักรบทวีปจะดึงดูด แต่เขาไม่ต้องการให้เทพจักรพรรดิอัคคีขอร้องให้ มิฉะนั้นเขาจะติดหนี้บุญคุณยิ่งใหญ่เกินไป
เซียวเหยียนยิ้มบาง “ข้าช่วยให้เจ้าได้รับโอกาสนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องส่วนตัวอะไร ข้าหวังว่าจะมีจอมยุทธ์ระดับข้าปรากฏในมหาพันภพขึ้นอีกคน และเจ้ามู่เฉินมีคุณสมบัตินี้”
“แม้ว่ามหาพันภพจะสงบสุข แต่เผ่าปีศาจต่างมิติก็รอคอยโอกาสเสมอ พลังของพวกมันเป็นสิ่งที่เจ้าไม่สามารถจินตนาการได้ มากจนข้ารู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นเราต้องการจอมยุทธ์ทรงพลังในมหาพันภพมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์นั้นเกิดขึ้น…”
“ตอนนี้ในบรรดาทวีปที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็มีเพียงทวีปซีเทียนเท่านั้นที่จะมีการชิงตำแหน่งนักรบทวีป ดังนั้นเราไม่สามารถปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปได้”
มู่เฉินอึ้งไป อย่างแรกเนื่องจากเขาไม่คิดเลยว่าเซียวเหยียนจะมองเขายิ่งใหญ่และรู้สึกว่าเขามีคุณสมบัติที่จะไปถึงยอดพีระมิด อย่างที่สองเขารู้สึกชื่นชมเซียวเหยียนมาก เพราะชายผู้นี้ช่วยเขาขนาดนี้เพื่อการอยู่รอดของมหาพันภพ
เซียวเหยียนโบกมือก่อนที่จะมองจักรพรรดิสัประยุทธ์ “ข้าไม่ได้ขอสิทธิ์ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสำหรับมู่เฉิน แต่เป็นสิทธิ์ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย”
ใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์เปลี่ยนไปจากคำพูดเหล่านี้ ก่อนที่เขาจะมองมู่เฉินเอ่ยล้อเลียนว่า “เทพจักรพรรดิอัคคี เจ้ามองเด็กนั่นสูงเกินไป”
มีสนามรบสามแห่งสำหรับนักรบทวีป ซึ่งแบ่งออกเป็นระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น-ปลาย-เต็ม
หมายความว่าผู้เข้าร่วมการแข่งขันจะได้รับสิทธิ์ตามขุมพลังที่มี
ทุกสนามรบจะมีตำแหน่งนักรบทวีปหนึ่งที่ ในเวลาเดียวกันก็เป็นตัวแทนของสามขั้นในระดับตี้จื้อจุน เพราะถ้าสู้รวมกันตำแหน่งทั้งสามคงถูกครองโดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ซึ่งส่วนมากต่างผ่านช่วงเวลาที่มุ่งมั่นไปแล้ว ทำให้โอกาสในการบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนต่ำกว่าจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นต้น ขั้นปลายเสียอีก ดังนั้นการชิงตำแหน่งนักรบทวีปจึงมีกฎเช่นนี้ขึ้น
ขุมพลังของมู่เฉินอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น ดังนั้นก็ควรเข้าสู่สนามรบสำหรับขั้นนี้ ทว่าเซียวเหยียนกลับกล่าวว่าจะขอสิทธิ์เข้าร่วมของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ซึ่งเป็นเรื่องตลกในสายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์
ท้ายที่สุดแม้ว่าทักษะของมู่เฉินจะทำให้ตัวเขาไปอยู่ในอันดับต้นๆ ของระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่เขาก็ยังขาดไปเมื่อเทียบกับระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย
ดังนั้นเสี่ยหลิงจื่อและจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนส่วนใหญ่จึงมองไปที่มู่เฉินด้วยความประหลาดใจ ทั้งหมดมีความคิดเดียวกัน เทพจักรพรรดิอัคคีประเมินความสามารถของมู่เฉินสูงเกินไป
“หึ เทพจักรพรรดิอัคคีมองมู่เฉินสูงเกินไป ไม่กลัวเขาจะร่วงลงมาตายเรอะ ตราบใดที่ไอ้เวรนี่เข้าสู่สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ก็คงไม่เหลือแม้แต่ซาก!” เสี่ยหลิงจื่อหัวเราะเยาะเย้ยในหัวใจ แต่ลึกๆ ในใจเขาภาวนาให้มู่เฉินได้รับอนุญาตเข้าสู่สนามรบระดับนี้ เพราะตัวเขาก็จะเข้าร่วมด้วย เมื่อถึงเวลานั้นถ้าเขาพบมู่เฉิน เขาก็สามารถฆ่ามู่เฉินทิ้งซะ เพราะหากมู่เฉินถูกฆ่าตายในสนามรบ ก็ได้แต่ตำหนิตัวเองที่ไร้ความสามารถเกินไป
“จักรพรรดิสัปะระยุทธ์คงรู้สึกสบายใจขึ้นที่ให้มู่เฉินไปอยู่ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายนะ? ถ้ามู่เฉินยังได้ตำแหน่งนี้… ข้าเชื่อว่าก็เป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ” เซียวเหยียนยิ้ม
สายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์วูบไหว การปฏิเสธในใจแผ่วเบาลง ด้วยพลังในปัจจุบันของมู่เฉิน อาจมีโอกาสสูงที่จะได้รับตำแหน่งหากเข้าสู่สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ถ้าเขาถูกโยนเข้าไปในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายละก็ แม้แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะทำอะไรได้
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายคนไหนที่ไม่ฉลาดแกมโกงและทรงพลังบ้าง? การขว้างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นอย่างมู่เฉินเข้าไป ก็เหมือนกับการโยนกระต่ายไปในถ้ำของหมาป่า
กลับกันนี่เป็นสิ่งที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ปรารถนาที่จะเกิดขึ้น แม้ว่าครั้งนี้เทพจักรพรรดิอัคคีจะทำให้สิ่งต่างๆ ผ่อนคลายลง เขาก็ยังคงโกรธแค้นต่อมู่เฉิน
แต่ด้วยเทพจักรพรรดิอัคคียื่นมือปกป้องมู่เฉินก็ไม่มีอะไรที่ทำได้ในตอนนี้ แต่ถ้ามู่เฉินเข้าสู่สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย เขาก็เผยความตั้งใจในการจัดการ มู่เฉินก็ต้องยอมแพ้และถอยออกมาในสภาพน่าสมเพช
เมื่อคิดถึงฉากนั้น จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็รู้สึกมีความสุขมากขึ้นในหัวใจ
แม้ว่าเขาจะคลายความตั้งใจ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่คุยกันได้ง่ายๆ เขาครุ่นคิดสั้นๆ พลางส่ายหัว “ข้าอยากให้หน้ากับเทพจักรพรรดิอัคคี แต่สิทธิ์มีค่ามากเกิน…”
เซียวเหยียนยิ้มแล้วสะบัดนิ้ว ลำแสงสายหนึ่งบินจากแขนเสื้อลอยไปที่เบื้องหน้าจักรพรรดิสัประยุทธ์ นี่เป็นเม็ดยาขนาดผลลำไย
เม็ดยาดูโปร่งใส รัศมีไหลเวียนอยู่รอบๆ เผยภาพมังกรและหงส์ฟ้า กลิ่นหอมอ่อนกำจายออกมา ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงคลื่นหลิงในร่างกายที่เข้มข้นขึ้น
“นี่คือ…” จักรพรรดิสัประยุทธ์มองเม็ดยานี้ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ เขาอดอุทานด้วยความประหลาดใจไม่ได้ “ยาเทวะมังกรหงส์?!”
นี่เป็นเม็ดยาเทพที่หายาก ซึ่งมีผลอย่างมากแม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เม็ดยาดังกล่าวมีความต้องการสูงในตลาดแต่ก็ไม่มีที่ซื้อขาย เวลาที่ปรากฏก็จะเกิดการแย่งชิงเลือดตาแทบกระเด็นจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนนับไม่ถ้วน
ทุกคนที่นี่มองเม็ดยาด้วยดวงตาแดงก่ำ ในมหาพันภพใครก็รู้ว่าไม่ใช่พลังของเทพจักรพรรดิอัคคีที่ทำให้คนอื่นอิจฉา แต่เป็นทักษะการเล่นแร่แปรธาตุที่หาใดเปรียบของเขา
ทุกสิ่งที่ผลิตโดยเทพจักรพรรดิอัคคีมีคุณภาพยอดเยี่ยม!
หลายคนแสวงหาเม็ดยาที่กลั่นโดยเทพจักรพรรดิอัคคี ดังนั้นนี่จึงทำให้แม้แต่ดวงตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ยังยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อเม็ดยาปรากฏที่เบื้องหน้า
“ด้วยยาเม็ดนี้ ข้าว่าเจ้าคงไม่ปฏิเสธใช่ไหม?” เซียเหยียนหัวเราะเบาๆ
จักรพรรดิสัประยุทธ์เบ้ปากคว้าเม็ดยาเทวะมังกรหงส์ ยาเม็ดนี้ช่างล่อลวงนัก แต่ปัจจัยสำคัญก็คือเทพจักรพรรดิอัคคียอมถอยให้บ้าง ดังนั้นหากเขายืนกรานปฏิเสธก็อาจทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจ ตัวเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเทพจักรพรรดิสงคราม ถ้าเขาทำสิ่งที่เลวร้ายยิ่งขึ้นกับเทพจักรพรรดิอัคคีอีกคนละก็ งานนี้คงมีแต่จบเห่เท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงเก็บเม็ดยาไว้ สายตาไม่แยแสมองไปที่มู่เฉินก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ให้เทพจักรพรรดิอัคคี
“ข้าอนุญาตให้ไอ้หนูนี่มีส่วนร่วมในการแข่งขันสำหรับนักรบทวีปตามคำขอของเจ้า แต่สนามรบเต็มไปด้วยอันตราย หากเขาโชคร้ายตายที่นั่นก็เป็นความซวยของเขา โทษใครไม่ได้…”
บทที่ 1226 ความแค้น
“เทพจักรพรรดิสงคราม—หลินต้ง”
ทุกคนเห็นใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์เปลี่ยนเป็นดำมืด เมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีพูดชื่อนั้นออกมา ก่อนที่พวกเขาจะแลกสายตากันด้วยความสงสัย
โดยธรรมชาติพวกเขารู้เรื่องเกี่ยวกับเทพจักรพรรดิสงคราม เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ไม่กี่คนในมหาพันภพที่ถือได้ว่าเทียบเท่ากับเทพจักรพรรดิอัคคี
ตำนานประวัติของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพจักรพรรดิอัคคี
เทพจักรพรรดิสงครามหลินต้งมีต้นกำเนิดมาจากพิภพเขตล่าง แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือเขาเป็นผู้นำกองทัพจอมยุทธ์ของโลกใบนั้นขับไล่การรุกรานของเผ่าปีศาจยี่หมัว ซึ่งเป็นหนึ่งเผ่าของจักรวรรดิปีศาจ
แม้ว่าเผ่าปีศาจเผ่านั้นจะไม่ถือว่ายิ่งใหญ่ แต่ก็ทรงพลังพอที่จะกวาดล้างพิภพเขตล่าง ทว่าสุดท้ายทั้งหมดกลับตายด้วยฝีมือของหลินต้ง ดังนั้นทุกคนจะไม่ตกใจกับข้อมูลที่รู้มานี่ได้ยังไง?
หลังจากนั้นที่มาถึงมหาพันภพ หลินต้งก็ท้าทายเผ่าเทพน้ำแข็งและสถาปนาแคว้นหวูซึ่งกลายเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ เรื่องราวของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพจักรพรรดิอัคคีเลย
ทว่าแม้เทพจักรพรรดิสงครามจะเป็นตำนานเช่นกัน แต่เขาก็น่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับเทพจักรพรรดิอัคคี ทุกคนจึงได้แต่งงว่าทำไมเทพจักรพรรดิอัคคีถึงบอกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ถ้าเทพจักรพรรดิสงครามมาที่นี่แทนเขา
มู่เฉินและลั่วหลี่ก็แลกเปลี่ยนสายตากันชั่วแวบหนึ่ง
“ย้อนกลับไปตอนที่หลินต้งมุ่งหน้าไปยังเผ่าเทพน้ำแข็ง เขาต้องการยืมรูปปั้นเทพน้ำแข็งเพื่อชุบชีวิตฮูหยินของเขา ทว่าเผ่าเทพน้ำแข็งปฏิเสธอย่างไม่ไยดี ซ้ำยังเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนถึงสามคนไปช่วย หนึ่งในนั้นก็คือจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน”
เสียงเบาหวิวของเซียวเหยียนสะท้อนขึ้นในโสตประสาทของมู่เฉินและลั่วหลี
“จักรพรรดิสัประยุทธ์มีชื่อเสียงเรื่องหลงใหลความงาม ดังนั้นเมื่อเขาเห็นจิตวิญญาณของฮูหยินหลินต้ง เขาจึงขอนางกับเผ่าเทพน้ำแข็ง…”
“แต่เขามั่นใจในตัวเองเกินไป ซ้ำยังดูถูกหลินต้งที่มาจากพิภพเขตล่าง ดังนั้นเขาจึงบอกเรื่องนี้กับหลินต้งด้วยและให้อีกฝ่ายยอมถอยกลับไป”
เมื่อมู่เฉินได้ยินเรื่องนี้หางตาก็กระตุก เนื่องจากเคยได้พบกับหลินต้งมาก่อน จึงรู้ว่าเขาเป็นคนประเภทที่น่าเกรงขามขนาดไหน ดังนั้นเขาจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปได้อย่างไรในเมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์กล้าพูดคำเหล่านั้นต่อหน้าเขา?
ตามคาดเสียงของเซียวเหยียนยังคงเล่าต่อไป “ฮ่าๆ หลินต้งถึงกับเลือดเดือด จากนั้นก็พุ่งชนค่ายกลของเผ่าเทพน้ำแข็ง ทำให้ผู้อาวุโสของเผ่าได้รับบาดเจ็บหนัก จากนั้นเขาก็เข้าต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนด้วยตัวเองเป็นเวลาสามวันสามคืน บีบให้สองในสามต้องหลบหนี ขณะไล่ล่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ตลอดทั้งเดือน…”
“จากนั้นเป็นต้นมาจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็จะหลบเลี่ยงทุกที่ที่เทพจักรพรรดิสงครามไป กระทั่งตำหนักซีเทียนก็ตั้งออกมาไกลจากแคว้นหวู ถ้าคนที่เจ้าเชิญมาเป็นเทพจักรพรรดิสงครามละก็ คงเป็นเรื่องยากสำหรับจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่จะอยู่อย่างสันติสุขอีกต่อไป”
มู่เฉินอ้าปากค้าง ที่แท้นี่ก็คือความแค้นที่เซียวเหยียนกล่าวถึง…
ในที่สุดมู่เฉินก็เข้าใจว่าเหตุใดใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงบิดเบี้ยวไม่น่าดูเมื่อได้ยินชื่อของเทพจักรพรรดิสงคราม สำหรับประโยคสุดท้ายที่เซียวเหยียนกล่าวมานั้น เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ท้ายที่สุดเทพจักรพรรดิอัคคีและจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่ได้มีความขุ่นเคืองใดๆ แก่กัน ดังนั้นตราบใดที่เรื่องราวไม่ได้ใหญ่โต พวกเขาก็ไม่คิดต่อสู้กันจริงจัง อย่างมากก็พยายามทำให้อีกฝ่ายถอยกลับ
หากเขาเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมา สถานการณ์ก็จะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยนิสัยของหลินต้งที่ถือว่าบุญคุณต้องทดแทนแค้นต้องชำระ คงม้วนแขนเสื้อแล้วพุ่งเข้าใส่จักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่ยั้งตั้งแต่เจอหน้า
ในเวลานั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์คงไม่ได้เผชิญหน้ากับวิธีอ่อนโยนของเทพจักรพรรดิอัคคี ต่อให้จักรพรรดิสัประยุทธ์ต้องการถอย เทพจักรพรรดิสงครามก็ไม่ให้ถอยไปแน่นอน…
คงหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการต่อสู้ครั้งใหญ่
นอกจากนี้ผลลัพธ์สุดท้ายน่าจะจบลงด้วยจักรพรรดิสัประยุทธ์ถูกตอกจนหน้าหงาย เพราะขนาดในอดีตเทพจักรพรรดิสงครามยังสามารถไล่ล่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ตลอดทั้งเดือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่พลังล้ำลึกยิ่งกว่าเดิม
มู่เฉินกับลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตาก็เห็นแววดีใจของอีกฝ่าย ถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริงตระกูลลั่วเสินอาจติดร่างแห เว้นแต่ว่าเทพจักรพรรดิสงครามจะสังหารจักรพรรดิสัประยุทธ์ซะ
ขณะที่เซียวเหยียนอธิบายให้พวกเขาฟัง ใบหน้าที่ดำคล้ำของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดเสียงเหี้ยมว่า “ต่อให้ไอ้เด็กนั่นจะเชิญเทพจักรพรรดิมาได้ แต่ข้าคนนี้ก็ไม่กลัวเขา!”
ทว่าแม้เขาจะพูดอย่างแข็งขัน แต่ทุกคนก็ได้ยินเสียงแปลกๆ แฝงในน้ำเสียง กระทั่งเสียงที่เคยหนักแน่นก็ไม่หนักเมื่อเทียบกับก่อนหน้า
ครั้งนี้เซียวเหยียนให้หน้ากับเขา เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีความแค้นต่อกัน แต่ถ้าเป็นหลินต้งมาถึงอาจจะไม่มีการพูดคุยอะไรสักคำ จากนั้นก็พับแขนเสื้อเข้าโรมรันพันตูกันทันที หากไม่ได้รับการจัดการที่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นหวูกับตำหนักซีเทียน ซึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มู่เฉิน เจ้าช่วยเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมาหน่อยเถอะ ข้าเชื่อว่าเมื่อเขามา เขาจะชดเชยบุญคุณให้เจ้าทันทีแน่นอน” เซียวเหยียนยิ้ม
มู่เฉินกำกำปั้นทันที หินสลักอักขระปรากฏขึ้น เขาทำท่าตั้งใจที่จะบดขยี้ลง
“เดี๋ยวก่อน!”
แต่ขณะที่มู่เฉินกำลังจะบดขยี้ลงไป เสียงคำรามก็ดังขึ้น ทำเอามู่เฉินรู้สึกหนังหัวชาไป เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์สลับสีเขียวกับขาวก่อนที่จะกัดฟันพูด “ได้ ครั้งนี้ข้าเห็นแก่เทพจักรพรรดิอัคคี ไม่เอาเรื่องที่เจ้าเด็กนี่ไร้มารยาทก็ได้!”
ทุกคนรู้สึกโล่งใจกับคำพูดของจักรพรรดิสัประยุทธ์ แม้เป็นเรื่องยากที่จะเกิดการต่อสู้ระหว่างระดับเทียนจื้อจุน แต่พวกเขาไม่ต้องการเป็นพยาน เพราะนั่นเท่ากับจะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้แน่นอน
ทว่าตอนนี้ก็มีหลายคนที่มองมู่เฉินด้วยสายตาหวาดผวา จากการสนทนานี้พวกเขารู้ว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินจะสามารถเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีมาได้ เขายังสามารถเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมาได้ด้วย…
ตำนานมีชีวิตทั้งสองของมหาพันภพมีความสัมพันธ์กับเขา!
ความสัมพันธ์ที่มีน่ากลัวอะไรเพียงนี้?!
เสี่ยหลิงจื่อและพรรคพวกหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ ขณะนี้เมื่อพวกเขามองดูมู่เฉิน พวกเขาก็รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ทั้งลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ ไม่ควรที่จะไปแตะต้องและยั่วยุ
กลุ่มอื่นๆ ที่มองตระกูลลั่วเสินก็สงบความประสงค์ร้ายในใจลง พวกเขารู้ว่าหลังจากวันนี้คงไม่มีใครกล้ามาแหยมตระกูลลั่วเสิน แม้กระทั่งตำหนักซีเทียน
เพราะเซียวเหยียนได้บอกอย่างชัดเจนแล้วว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อตระกูลลั่วเสิน ถ้าใครหน้าไหนกล้าที่จะแตะต้องตระกูลลั่วเสินก็หมายถึงการไม่ไว้หน้าเทพจักรพรรดิอัคคี ในเวลานั้นบางทีแคว้นหวู่จิ้งฮั่วอาจจะแสดงความหมายของคำว่าหวาดกลัวให้ได้ดู
ไม่ต้องพูดถึงที่มู่เฉินมีความสัมพันธ์กับลั่วหลี ด้วยการมีพันธมิตรเหนียวแน่นเช่นนี้ ตระกูลลั่วเสินจะปลอดภัยจากความล่มสลาย ยิ่งเมื่อลั่วหลีได้รับมรดกของเทพธิดาลั่วเสิน ศักยภาพของตระกูลลั่วเสินก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้
“จักรพรรดิสัประยุทธ์ใจกว้างมาก”
เซียวเหยียนชื่นชมก่อนที่จะพูดบางอย่างขึ้น “แต่ข้ามีเรื่องอื่นอีก”
จักรพรรดิสัประยุทธ์ขมวดคิ้ว ท่าทางมืดครึ้มลงก่อนที่จะถามว่า “เรื่องอะไร?”
เซียวเหยียนยิ้ม “จากสายข่าวของข้า เวลาของนักรบทวีปกำลังจะมาถึงในไม่ช้าใช่ไหม?”
ใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์เปลี่ยนไปทันที เขามองไปที่เซียวเหยียนด้วยความระมัดระวัง “นี่เกี่ยวอะไรกับเจ้า?”
นักรบทวีปเป็นชื่อฉายาที่ได้รับจากมหาพันภพ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผู้ที่จะไปถึงระดับเทียนจื้อจุน ตามการประเมินปกติจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนส่วนใหญ่ในมหาพันภพเคยได้รับตำแหน่งนี้ในอดีต
ว่ากันว่าทวีปที่ทรงพลังมีพลังงานอันเป็นเอกลักษณ์ นั่นก็คือพลังงานทวีป ซึ่งเป็นพลังมหัศจรรย์ที่ไม่เพียงแต่สามารถเปลี่ยนแปลงร่างกาย ยังสามารถสร้างรากฐานให้สมบูรณ์แบบ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือยอมให้ผู้แข่งขันเปรียบได้กับสวรรค์มากขึ้น ให้โอกาสสูงกว่าในการเข้าถึงระดับเทียนจื้อจุน
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของจอมยุทธ์ทุกคนในระดับตี้จื้อจุน
แต่พลังงานทวีปสามารถใช้งานได้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้น ดังนั้นนักรบทวีปส่วนใหญ่จะปรากฏตัวเฉพาะในทวีปที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน สำหรับทวีปเทียนหลัวแม้จะเป็นหนึ่งในมหาทวีป แต่ก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาจึงไม่มีนักรบทวีปปรากฏขึ้น
แต่ทวีปซีเทียนต่างออกไป เนื่องจากการดำรงอยู่ของจักรพรรดิสัประยุทธ์ จอมยุทธ์ทุกคนที่เป็นสมาชิกตำหนักซีเทียนล้วนมีคุณสมบัติที่จะต่อสู้ เพื่อชิงสิทธิ์ของการเป็นนักรบทวีป
นักรบทวีปทุกคนจะมีศักยภาพและสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนในอนาคต ดังนั้นจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับขั้วอำนาจต่างๆ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงตั้งระวังเมื่อเขาได้ยินเซียวเหยียนถามถึงนักรบทวีปนี้
เมื่อเซียวเหยียนเห็นใบหน้าตื่นตัวของอีกฝ่ายก็ยิ้มพลางชี้ไปที่มู่เฉิน
“ข้าต้องการตำแหน่งสำหรับมู่เฉินเพื่อลงชิงชัยในการแข่งขันนี้สำหรับทวีปซีเทียน…”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1225 เทพจักรพรรดิอัคคีปะทะจักรพรรดิสัประยุทธ์
เมื่อเสียงของจักรพรรดิสัประยุทธ์ดังก้อง
หลายคนก็รู้สึกว่าแผ่นหลังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ หนังหัวก็ชาหนึบไปหมด แต่ละคนตั้งท่าพร้อมที่จะหนีตลอดเวลา
จักรพรรดิสัประยุทธ์คือยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ ส่วนเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นยอดยุทธ์ในตำนาน พวกเขาทั้งสองคนอยู่ในระดับเทียนจื้อจุน ดังนั้นการต่อสู้คงเรียกว่าสะเทือนฟ้าสะท้านปฐพีแท้จริง เวลานั้นดินแดนซีเทียนเล็กได้รับผลกระทบกันถ้วนทั่วแน่นอน
การปะทะในระดับนั้นมาพร้อมพลังทำลายล้างอยู่แล้ว
เมื่อเซียวเหยียนได้ยินคำตอบของอีกฝ่ายก็ยิ้มด้วยดวงตาหรี่ลง “บางครั้งเรื่องแบบนี้ไม่ให้ก็ต้องให้”
แม้ว่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะให้ความรู้สึกอ่อนโยนและเป็นอิสระ แต่ช่วงเวลาที่เขาปลดปล่อยอำนาจก็สามารถปราบปรามจักรพรรดิสัประยุทธ์ได้
“โอ้?”
คิ้วของจักรพรรดิสัประยุทธ์เลิกขึ้น ขณะที่แววตาคมชัดจดจ้องที่เซียวเหยียน “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าเทพจักรพรรดิอัคคีได้รวบรวมเปลวไปนานาชนิดในใต้หล้าสร้างเพลิงจักรพรรดิ ซึ่งครอบงำอย่างยิ่ง วันนี้อยากจะขอคำชี้แนะซะหน่อย”
ทำไมเขาจะไม่รู้ชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิอัคคีได้? บางทีในสายตาของคนอื่นตัวเขาด้อยกว่าเทพจักรพรรดิอัคคี ซึ่งนี่ทำให้เขาไม่สุขใจ เขามีความมั่นใจในตัวเอง ดังนั้นเขาไม่คิดว่าตนเองจะอ่อนแอกว่าอีกฝ่าย
ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนอื่น บางทีจักรพรรดิสัประยุทธ์คงยอมลงให้บ้าง แต่เนื่องจากนี่เป็นเทพจักรพรรดิอัคคี ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
มิฉะนั้นคนอื่นจะบอกว่าเขากลัวชายคนนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทนไม่ได้
“ข้าก็ได้ยินมานานเกี่ยวกับความสำเร็จของจักรพรรดิสัประยุทธ์ในมหาพันภพ คลื่นหลิงที่สามารถหลอมรวมกับรัศมีจั้นยี่ ไหนๆ วันนี้ก็ได้พบกันแล้ว ข้าขอคำชี้แนะด้วยละกัน” เผชิญหน้ากับคำพูดจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในการต่อสู้และการท้าทาย เซียวเหยียนก็ยิ้มบาง เขาไม่ได้ปฏิเสธ ตรงกันข้ามกลับยอมรับคำท้าทาย
นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าจากนิสัยของอีกฝ่ายเป็นไปไม่ได้ที่จัดการเรื่องนี้ด้วยวาจา
เมื่อเสียงสิ้นสุดลง เซียวเหยียนก็ยกมือขึ้น เปลวเพลิงงดงามพวยพุ่งออกมาก่อนที่จะรวมตัวบนฝ่ามือ
นี่เป็นเปลวเพลิงที่บรรจุสีสันหลายพันสีที่มีคลื่นพลังน่ากลัว
ทุกคนตกใจเมื่อเห็นเปลวไฟงดงามนี้ พวกเขารู้สึกได้ว่าหากเปลวไฟเหล่านี้ตกใส่ รัศมีหลายแสนลี้จะกลายเป็นมหาสมุทรเพลิง สิ่งมีชีวิตทุกอย่างจะถูกทำลายจนราพณาสูร
เปลวไฟพลุ่งพล่านขึ้น มิติก็พังทลายทีละชิ้น…ละชั้น
เปลวไฟย่อขนาดลงอย่างรวดเร็ว ก่อร่างเป็นดอกบัวอยู่ในมือ
ดอกบัวพร่างพราวมากจนทุกคนที่จ้องมองก็รู้สึกว่าไม่สามารถดึงสายตาออกมาได้
“อย่ามองมาก มิฉะนั้นคลื่นหลิงของพวกเจ้าจะถูกเผาได้” ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของเซียวเหยียนก็ดังกึกก้อง ปลุกทุกคนให้ตื่นจากการถูกไฟครอบงำ
เมื่อผู้ชมตื่นขึ้นก็รู้สึกถึงคลื่นความร้อนภายในร่างกาย ใบหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปทันที พลังงานหลิงเดือดปุดแสดงสัญญาณถูกเผาไหม้เป็นไอ
ทุกคนหวาดผวาไม่กล้าที่จะจ้องมองที่ดอกบัวนั่นอีกต่อไป พวกเขาเบนสายตาทันควัน คลื่นหลิงในร่างกายก็เริ่มสงบลง
ทุกคนสูดหายใจเย็นเข้าลึกสุดปอดกับฉากนี้ เทพจักรพรรดิอัคคีทรงพลังแท้จริง แค่เพียงมองพลังงานของเขาก็เกือบจะทำให้คลื่นหลิงของทุกคนถูกแผดเผาไปแล้ว หากไม่ใช่การเตือนของเขา ร่างพวกเขาคงจะลุกเป็นมนุษย์เพลิงไปแล้ว
เซียวเหยียนยิ้มให้จักรพรรดิสัประยุทธ์ จากนั้นก็สะบัดนิ้ว ดอกบัวลอยขึ้นบินไปหาอีกฝ่าย
การเคลื่อนที่ของดอกบัวเอื่อยเฉื่อยมาก แต่ก็ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าไม่สามารถหนีพ้นไปได้ ราวกับว่าเพลิงนี้จะติดตามพวกเขาไป ไม่ว่าจะวิ่งไปที่ใดหรือจะเคลื่อนทะลุผ่านมิติก็ตาม
เมื่อมองไปที่ดอกบัว ใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ฉายแววความเคร่งขรึม เขารู้สึกถึงการคุกคามจากเปลวไฟ
“ชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิอัคคีสมฐานะอย่างแท้จริง!”
จักรพรรดิสัประยุทธ์พึมพำ จากนั้นก็ไม่รอช้ามือประสานกันสร้างตราประทับ แสงสีทองแวววาวก่อร่างเป็นดวงอาทิตย์สีทองลุกโชน ท่ามกลางดวงอาทิตย์เหมือนจะมีร่างเงาคนอยู่
ฮึ่ม!
ดวงอาทิตย์สีทองผันผวนด้วยคลื่นพลังงานหลิงขนาดใหญ่ ทำให้ชั้นฟ้าและชั้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
มู่เฉินจ้องมองดวงอาทิตย์สีทอง สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความแปรปรวนของรัศมีจั้นยี่จากคลื่นหลิงสีทองนั่น
จักรพรรดิสัประยุทธ์สามารถหลอมรวมคลื่นหลิงเข้ากับรัศมีจั้นยี่!
นี่เป็นความสำเร็จที่ไม่น่าเชื่อจริงๆ เนื่องจากรัศมีจั้นยี่มีต้นกำเนิดจากเจตจำนงทรงพลังแตกต่างจากคลื่นหลิงโดยพื้นฐาน แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจั้นเจิ้นซือ แต่เขาก็ไม่สามารถหลอมรวมคลื่นหลิงและรัศมีจั้นยี่เข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้
นั่นเป็นเพราะไม่ว่ารัศมีจั้นยี่จะทรงพลังแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่พลังของเขา
แต่ในตอนนี้จักรพรรดิสัประยุทธ์กลับทำสำเร็จ ดังนั้นมู่เฉินจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
ขณะที่มู่เฉินตกตะลึง ดวงอาทิตย์สีทองก็ถักทอเป็นหม้อกลั่นขนาดใหญ่ เงาจำนวนนับไม่ถ้วนสลักอยู่บนนั้น ราวกับว่าเป็นกองทัพหนึ่งเลยทีเดียว
“หม้อกลั่นสงครามไร้พ่าย!”
จักรพรรดิสัประยุทธ์แผดเสียง หม้อสีทองก็พุ่งลงมากลืนกินดอกบัวเพลิงงดงาม
หม้อกลั่นลอยอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงคำรามนับไม่ถ้วนดังก้องออกมา
“หม้อกลั่นของข้ามีกองทหารนับล้าน ยิ่งเมื่อรวมเข้ากับพลังงานหลิง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็จะติดอยู่ข้างใน” เสียงของจักรพรรดิสัประยุทธ์ดังขึ้นอย่างภาคภูมิ
“ไม่ธรรมดาจริงๆ” เซียวเหยียนพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะยิ้ม “แต่แม้ว่าหม้อใหญ่นั่นจะทรงพลัง แต่ก็ไม่สามารถทนความร้อนจากเพลิงได้…”
ทันใดนั้นทุกคนก็แหงนมองเงาบนหม้อกลั่นที่เริ่มหายไปด้วยเพลิงที่คืบคลานเข้าไปอย่างรวดเร็ว แสงสีทองไร้ขอบเขตราวกับหิมะที่ถูกไฟละลาย
จักรพรรดิสัประยุทธ์หดตาแคบลงกับภาพนี้
ฟู่ ฟู่!
เพลิงพวยพุ่งอย่างต่อเนื่อง อึดใจถัดมาของเหลวสีทองในหม้อกลั่นก็รั่วไหล
โห่
ความโกลาหลแผ่กระจายขณะที่ทุกคนตกใจ ไม่มีใครคิดว่าการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคนจะแสดงผลลัพธ์รวดเร็วขนาดนี้
ยามนี้กระทั่งพวกเขาก็บอกได้ว่าเพลิงจักรพรรดิของเทพจักรพรรดิอัคคีครอบงำมากกว่า
จักรพรรดิสัประยุทธ์อึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะมองเทพจักรพรรดิอัคคีด้วยสายตาที่ซับซ้อน “ที่แท้เจ้าไปถึงระดับนั้นแล้ว…”
การปะทะระหว่างทั้งสองไม่มีฉากทำลายล้างเหมือนที่ทุกคนคิด แต่ทันทีที่ผลการต่อสู้เผยออกมา จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็รู้ว่าตนเองไม่สามารถเอาชนะเทพจักรพรรดิอัคคีได้
“ทรงพลังอย่างแท้จริง…ไม่น่าแปลกใจแม้แต่หมัวเฮอเทียนเผ่าหมัวเฮอก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้”
“ก็แค่ชนะแบบเส้นยาแดงผ่าแปดน่ะ” เซียวเหยียนไม่แสดงอาการเย่อหยิ่งขณะที่ยิ้มบาง
จักรพรรดิสัประยุทธ์โบกแขนเสื้อ “แพ้ก็คือแพ้ ข้าจะไม่เอาเรื่องกับตระกูลลั่วเสินอีก”
เซียวเหยียนมองไปที่จักรพรรดิสัประยุทธ์พลางยิ้มให้ “เจ้าลืมมู่เฉินไปรึเปล่า”
เซียวเหยียนเป็นใคร จะไม่รู้ความหมายเบื้องหลังคำพูดจักรพรรดิสัประยุทธ์ได้อย่างไร เขาพูดเพียงว่าไม่เอาเรื่องกับตระกูลลั่วเสิน แต่เขาไม่ได้รวมกลุ่มมู่เฉินไปด้วย
จักรพรรดิสัประยุทธ์ขมวดคิ้ว “เจ้าหนุ่มนั่นพาสมาชิกตำหนักมู่เข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องของทวีปซีเทียน ไม่เคารพต่อตำหนักซีเทียน ข้าจะไม่ลงโทษเขาได้ยังไง?”
เซียวเหยียนไม่โกรธกลับยิ้ม “หยุดทำเรื่องยุ่งยากซะ มู่เฉินไว้หน้าเจ้าโดยการแค่เชิญข้ามา”
ตอนที่เขาพูด ไม่เพียงแต่จักรพรรดิสัประยุทธ์จะขมวดคิ้ว แม้แต่คนอื่นก็งงไปตามกัน
“ฮ่าๆ เป็นเกียรติที่เทพจักรพรรดิอัคคีมาที่ทวีปซีเทียนของข้า” จักรพรรดิสัประยุทธ์เค้นเสียงเย็น เห็นชัดว่าคิดว่าเซียวเหยียนกำลังโอ้อวดตนเอง
เซียวเหยียนส่ายหัวด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะชี้ไปที่มู่เฉิน “มู่เฉินมีวัตถุอีกชิ้นที่สามารถเชิญผู้ช่วยคนอื่นได้ คนที่มีแค้นฝังลึกกับเจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าคงไม่ต้องการเห็นคนคนนั้น”
“โอ้?” จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้มด้วยดวงตาหรี่ลง “งั้นข้าคนนี้ขอทราบหน่อยว่าใครในมหาพันภพที่ข้าไม่อยากเห็นหน้า?”
เซียวเหยียนจ้องไปที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ด้วยรอยยิ้มที่ลึกล้ำตอบอย่างช้าๆ ว่า “เทพจักรพรรดิสงคราม—หลินต้ง”
เมื่อเขาพูดจบทุกคนก็เห็นใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์มืดครึ้มลงทันที
บทที่ 1224 เทพจักรพรรดิอัคคีปรากฏตัว
“เทพจักรพรรดิอัคคี—เซียวเหยียน?!”
เมื่อเสียงตกตะลึงของจักรพรรดิสัประยุทธ์ดังก้อง ในดวงตาทุกคนก็เผยความหวาดผวาขณะมองชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉินด้วยความไม่เชื่อสายตา
นั่นเป็นเพราะทุกคนในมหาพันภพรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี
นี่คือตำนานมีชีวิตที่แท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือความสามารถในสร้างแคว้นหวู่จิ้งฮั่วในเวลาเพียงไม่กี่ร้อยปีด้วยรากฐานที่เหนือกว่าเผ่าโบราณบางเผ่า แคว้นหวู่จิ้งฮั่วกลายเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพที่แม้แต่ชนเผ่าโบราณก็ไม่กล้าดูถูก
แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์จะมีชื่อเสียง แต่ทุกคนก็รู้ว่ามีช่องว่างระหว่างเขากับเทพจักรพรรดิอัคคีผู้นี้
ก็คล้ายกับยอดยุทธ์และตำนานในหมู่ยอดยุทธ์สุดยอด
บุคคลเช่นนี้ไม่ใช่สามารถพบเจอได้บ่อยครั้ง แต่ตอนนี้…มู่เฉินกลับเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีในตำนานมาได้
ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ที่จ้องมู่เฉินก็เปลี่ยนไป ซึ่งเป็นความหวาดกลัวรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อมองมั่นถัวหลัว
เสี่ยหลิงจื่อที่ก่อนหน้ากำลังดีอกดีใจกับสถานการณ์นี้ก็มีใบหน้าพิลึกจนน่าตลก ไม่เพียงแต่เขา แม้แต่จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินก็มีใบหน้าซีดเผือด เหงื่อกาฬแตกพลั่ก
พวกเขาตัวสั่นขณะที่มองมู่เฉินด้วยความกลัว
เสี่ยหลิงจื่อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ขณะที่รู้สึกวิงเวียนกับอารมณ์กลับตาลปัตรในใจ เขาไม่คิดว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่สามารถจัดการกับมู่เฉินได้ ไอ้หนูปีศาจนี่เชิญตำนานของมหาพันภพมาเลยทีเดียว
“มู่เฉิน…ภูมิหลังเขาเป็นมายังไงกันแน่?!”
เสี่ยหลิงจื่อคำรามในใจ หากเขารู้ว่ามู่เฉินจะเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีมา เขาก็ไม่กล้าหยิ่งผยองแม้ว่าจะเก่งกาจกว่านี้ถึงร้อยเท่า
แต่ตามความเป็นจริงก็เป็นไปไม่ได้ที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นจะเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมา แม้ว่าจะใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดก็ตาม!
ก็เหมือนกับว่ามดไม่สามารถเรียกช้างได้!
ขณะที่เสี่ยหลิงจื่อและคนอื่นๆ สั่นไหวด้วยความตกใจ สายตาของสมาชิกตระกูลลั่วเสินก็จรัสแสง
พวกเขามองมู่เฉินด้วยสายตานับถือ หากก่อนหน้านี้พวกเขารู้สึกอิจฉาความสัมพันธ์ของมู่เฉินกับลั่วหลี ตอนนี้พวกเขาเชื่อมั่นอย่างเปี่ยมล้นแล้ว
มู่เฉินไม่เพียงแต่โดดเด่นเท่านั้น เขายังมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นที่สามารถเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาได้
บางทีต้องผู้ชายคนแบบนี้ถึงคู่ควรกับจักรพรรดินีของพวกเขา
เซียวเหยียนยืนเอามือไพล่หลัง ไม่มีรัศมีครอบงำใดที่แผ่ออกมาจากร่าง แต่ทุกคนก็รู้สึกว่าแรงกดดันที่มาจากจักรพรรดิสัประยุทธ์สลายไปอย่างรวดเร็วจากการดำรงอยู่ของเขา
ในเวลาไม่กี่อึดใจทุกคนก็รู้สึกว่าแรงกดดันที่น่ากลัวหายไปหมดสิ้น
เซียวเหยียนที่ปรากฏตัวไม่ได้สนใจกับสายตาตกตะลึงที่พุ่งเข้าใส่ เขามองไปรอบๆ เมืองลั่วเสินด้วยรอยยิ้มรำลึกถึง “ไม่คิดว่าจะกลับมาที่เมืองลั่วเสินหลังจากผ่านมาหลายปี”
“ผู้อาวุโสเซียวเคยมาที่ตระกูลลั่วเสินในอดีตด้วยหรือขอรับ?” มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะถามด้วยความประหลาดใจ
“ฮ่าๆ ข้ามีความสัมพันธ์เก่าแก่กับตระกูลลั่วเสินน่ะ” เซียวเหยียนหัวเราะก่อนที่จะมองไปที่ลั่วเทียนเสินด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสลั่วไม่เจอกันนานหลายปีแล้วนะขอรับ”
ลั่วเทียนเสินตกตะลึงขณะที่มองดูเซียวเหยียน เขาถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนพลางยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าไม่ใช่เด็กหลงทางอีกต่อไปแล้ว”
นานมาแล้วตอนที่เซียวเหยียนเพิ่งเข้ามาในมหาพันภพ เขามาอยู่ในตระกูลลั่วเสิน ช่วงเวลานั้นเซียวเหยียนเพาะบ่มขุมพลังโดยใช้คลื่นโต้วชี่ที่ยังไม่ได้หลอมรวมเป็นคลื่นหลิง ดังนั้นเขาจึงอ่อนแอมาก ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่คุ้นเคยกับมหาพันโลก เขาจึงได้แต่หลงทางอยู่ในเมืองลั่วเสินแห่งนี้
ตอนนั้นลั่วเทียนเสินเป็นประมุขตระกูลลั่วเสิน ด้วยความบังเอิญเขาได้พบกับเซียวเหยียน กระทั่งให้ความช่วยเหลือ แต่เซียวเหยียนก็ต้องจากไปอย่างรวดเร็ว เพราะต้องตามหาฮูหยินและสหาย
หลังจากนั้นลั่วเทียนเสินก็ได้ยินข่าวบางอย่างเกี่ยวกับเซียวเหยียน รู้ว่าเขาได้สถาปนาแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว บรรลุระดับเทียนจื้อจุนของมหาพันภพ
เขาเคยมีความคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว แต่ก็ละความคิดนั้นไป เพราะเขาไม่แน่ใจว่าจะสามารถเชิญเซียวเหยียนได้จากบุญคุณเล็กน้อยนั่นไหม
เพราะตอนนี้เซียวเหยียนเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในมหาพันภพแล้ว
ในระดับความสูงนั้น บางทีเซียวเหยียนอาจลืมตระกูลลั่วเสินไปนานแล้ว นอกจากนี้ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือตอนนั้นลั่วเทียนเสินก็แค่ช่วยเหลือนิดๆ หน่อยๆ ตามความสามารถที่มี ซึ่งเป็นเรื่องเพ้อฝันที่คิดจะเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจากเรื่องเล็กน้อยนั่น
ท้ายที่สุดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็อยู่ห่างไกลจากพวกเขาเหลือเกิน
ทว่าเมื่อเซียวเหยียนได้ยินคำพูดก็มาปรากฏตัวตรงหน้าด้วยใบหน้าที่จริงจัง เขายื่นมาคว้าฝ่ามือของลั่วเทียนเสินไว้พลางเอ่ยเสียงขรึม “คำพูดของผู้อาวุโสลั่วกำลังจะทำให้ข้าเซียวเหยียนเนรคุณนะ ตอนนั้นถ้าไม่ใช่ท่านที่ช่วยให้ข้าเปลี่ยนคลื่นโต้วชี่กลายเป็นคลื่นหลิง ใครจะรู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ หากเป็นเช่นนั้นเมื่อถึงคราวตามหาฮูหยินและสหายข้าคงต้องทนทุกข์มหาศาล”
จากที่เซียวเหยียนพูดก็รู้ได้ว่าตอนนั้นฮูหยินและสหายของเขาคงจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแน่ หากเขาไปไม่ทันเวลาผลที่ตามมาก็คงไม่ใช่ภาพที่น่าเห็น
ลั่วเทียนเสินไม่คิดว่าความช่วยเหลือที่เคยให้ต่อเซียวเหยียนจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้จึงอึ้งไปทันที จากนั้นรอยยิ้มปลื้มใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขาลังเลสั้นๆ ก่อนที่จะถอนหายใจตบมือเซียวเหยียนเบาๆ
“ผู้อาวุโสลั่วบาดเจ็บรึ?” เซียวเหยียนสังเกตเห็นใบหน้าหมองคล้ำของลั่วเทียนเสินก็รู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายอีกฝ่ายทันที
ลั่วเทียนเสินยิ้ม “ก็แค่พิษโลหิตปีศาจ”
พิษนี่เกิดจากเสี่ยหลิงจื่อ ตอนที่พวกเขาสู้กันในอดีต ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายเขาอ่อนกำลังลง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาคงจะถูกพิษเข้าแทรกเส้นลมปราณธาตุไฟแตกตายแน่นอน
แต่พิษนี้ก็ครอบงำมาก บวกกับสะสมอยู่ในร่างกายของเขาเป็นเวลานาน ดังนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ยังต้องใช้เวลามากที่จะกำจัดพิษให้เขา
เซี่วเหยียนยิ้ม “ไม่ใช่ปัญหา”
เขาตบแขนลั่วเทียนเสินเบาๆ เกลียวไฟหลายสายก็ถูกฝังเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย อึดใจใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เลือดเหม็นคาวหยดออกมาจากรูขุมขนและระเหยออกไป
ไม่กี่อึดใจใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็เปลี่ยนกลับมาน่าดู คลื่นหลิงก็สะอาดหมดจด นี่ทำให้มุมปากของเขาอดไม่ได้ที่จะกระตุก เขาไม่คิดว่าพิษโลหิตปีศาจที่รบกวนเขามาเป็นเวลานานจะถูกกำจัดออกไปอย่างง่ายดายขนาดนี้
ขณะที่เซียวเหยียนกำจัดพิษให้ลั่วเทียนเสิน เสี่ยหลิงจื่อก็เหงื่อแตกพลั่กใบหน้าซีดเซียวลง เขาไม่คิดว่าไม่เพียงมู่เฉินจะสามารถเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีมาได้ แต่จอมยุทธ์ในตำนานผู้นี้ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับลั่วเทียนเสินด้วย!
สถานการณ์ที่พัฒนาไปอย่างฉับพลันนี้ ทำให้แขนขาของเขาสั่นพั่บๆ หากเขารู้ว่าตระกูลลั่วเสินมีความสัมพันธ์กับเทพจักรพรรดิอัคคี เขาจะกล้ามาแหย่เสือหลับได้อย่างไร?
“ผู้อาวุโสลั่วเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลลั่วเสินรึ?” หลังจากกำจัดพิษให้ลั่วเทียนเสินแล้ว เซียวเหยียนก็มองเห็นถึงสถานการณ์ เขาถามด้วยรอยยิ้มพร้อมกับดวงตาหรี่แคบลง
ลั่วเทียนเสินลังเลในเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะอธิบายรายละเอียด
“แค่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะเชิญเจ้ามาที่นี่…” ลั่วเทียนเสินยิ้มอย่างขมขื่น
เซียวเหยียนพยักหน้าขณะที่หันไปหามู่เฉินและยิ้มให้ “โชคดีที่มู่เฉินเชิญข้ามา มิเช่นนั้นข้าคงจะเป็นคนอกตัญญูแล้ว”
มู่เฉินเกาหัว ตัวเขาอยู่ในสถานการณ์จนตรอก ดังนั้นจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากเซียวเหยียน แต่ไม่คิดว่าจะได้รับการขอบคุณจากเซียวเหยียนในเรื่องนี้
“ปล่อยเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง”
เซียวเหยียนยิ้มให้ลั่วเทียนเสิน ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองไปที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่กำลังปลดปล่อยแรงกดดันน่าสยดสยองอยู่บนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนมานานแล้ว ไม่คิดว่าจะได้พบเจ้าที่นี่วันนี้”
จักรพรรดิสัประยุทธ์มองไปที่เซียวเหยียนอย่างเคร่งขรึมก่อนจะพูดช้าๆ “ข้าก็เคยได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามาเช่นกัน”
“เดิมทีข้าไม่ควรแทรกแซงเรื่องในทวีปซีเทียน แต่ตระกูลลั่วเสินมีความสัมพันธ์อันดีกับข้า ดังนั้นจะสะดวกไหมถ้าข้าขอความอนุเคราะห์เจ้าที่จะไม่ทำให้เรื่องนี้ต้องยุ่งยากสำหรับตระกูลลั่วเสินและมู่เฉิน” เซียวเหยียนยิ้มบาง
จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้มด้วยดวงตาที่หรี่แคบลง ชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิอัคคีเลื่องลือไปทั่วมหาพันภพ มิหนำซ้ำแคว้นหวู่จิ้งฮั่วก็ไม่ใช่ที่จะยั่วยุได้ แต่ในฐานะจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งตั้งแต่เมื่อใดที่เขากลัวผู้อื่น?
ตระกูลลั่วเสินเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าข่าวลือกระจายไปว่าเขาจักรพรรดิสัประยุทธ์กลัวเทพจักรพรรดิอัคคี ชื่อเสียงของเขาจะต้องเสียหายใหญ่หลวง
ดังนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงเม้มปาก ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา ทว่าคำพูดกลับทำให้ผู้คนใจสั่นเลยทีเดียว
“ถ้าข้าบอกว่า…ไม่อยากให้ความสะดวกกับเรื่องนี้ล่ะ?”
บทที่ 1223 การมาถึงของจักรพรรดิสัประยุทธ์
เสียงทรงอำนาจราวกับเทพยาตรามาจากสวรรค์ทั้งเก้า
ทำให้โลกสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น หลายคนมีเหงื่อผุดออกจากร่างกาย พวกเขารู้สึกราวกับว่าความโกรธของเทพตกใส่
ร่างเงาสีทองยืนอยู่บนท้องฟ้าสองมือไพล่หลังพร้อมกับรัศมีผู้ปกครองกำจายออกมา
ภายใต้แรงกดดันจอมยุทธ์สามัญได้แต่คุกเข่าลง มากจนถึงจุดที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหลายคนยังอยู่ถูกข่มด้วยแรงกดดันมหาศาล ไม่กล้าที่จะแหงนเงยขึ้นมอง
ไม่มีใครคาดคิด… จักรพรรดิสัประยุทธ์จะมาด้วยตนเอง!
ภายใต้แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว ลั่วหลีก็มองร่างน่าเกรงขาม แม้ว่านางจะตัวสั่นเทาจากแรงกดดัน แต่ก็ไม่มีความกลัวบนใบหน้าเลย
นางมองไปที่ร่างเงาสีทอง เสียงดังก้องขึ้น “ขอบคุณสำหรับความโปรดปรานของจักรพรรดิสัประยุทธ์ แต่ข้าไม่คิดจะเป็นธิดาเทพ โปรดเลือกคนอื่นเถิด”
เสียงของนางทำให้หลายคนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอด้วยความไม่อยากจะเชื่อ พวกเขาไม่คิดเลยว่าลั่วหลีจะกล้าหาญขนาดนี้
ขณะเดียวกันเสี่ยหลิงจื่อกลับมีริ้วความสุขกะพริบในดวงตา ตอนแรกเขาคิดว่าตระกูลลั่วเสินจะมีอำนาจเพิ่มขึ้น แต่ใครจะไปคิดได้ว่าลั่วหลีไม่สนใจที่จะรับการอวยยศของตำหนักซีเทียน นอกจากนี้เหมือนจะยังต่อต้านด้วยซ้ำ
หากจักรพรรดิสัประยุทธ์โกรธเพียงเล็กน้อย ตระกูลลั่วเสินถึงกัลปาวสานแน่
“บังอาจ!”
เมื่อได้ยินที่ลั่วหลีพูด หลิงตงก็คำราม “ลั่วหลี เจ้ารู้ถึงราคาที่ต้องจ่ายในการปฏิเสธจักรพรรดิหรือไม่? แล้วเจ้ารู้ไหมว่าตระกูลลั่วเสินจะต้องจ่ายราคาประเภทใดสำหรับการกระทำนี้?”
ทันใดนั้นสายตาลั่วหลีก็เปลี่ยนเป็นคมกริบ นางจ้องมองหลิงตงพูดว่า “ก็แค่ตาย สำหรับตระกูลลั่วเสินถ้าข้าต้องทนรับความอัปยศเพื่อปกป้องตระกูลในฐานะจักรพรรดินีตระกูลยอมถูกทำลายล้างมากกว่าจะขายชื่อเสียงของบรรพบุรุษ…เทพธิดาลั่วเสิน!”
เสียงแน่วแน่ของนางดังไปทั่วชั้นฟ้า สมาชิกตระกูลลั่วเสินถึงกับเลือดเดือดพล่าน บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ ไม่ว่าจะด้านชื่อเสียงหรือพลังจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนก็ด้อยกว่าเมื่อเทียบกัน ดังนั้นพวกเขาจึงมีความภาคภูมิใจซึมลึกถึงแกนกระดูก พวกเขาเชื่อมั่นในตัวลั่วหลี หากตระกูลลั่วเสินเลือกให้ลั่วหลีต้องทนรับความอัปยศอดสูเพื่อความอยู่รอด พวกเขายอมถูกล้างบางแทนดีกว่า!
พวกเขาไม่ขออยู่รอดด้วยความอัปยศอดสู!
สมาชิกของตระกูลลั่วเสินเงยหน้าขึ้นโดยไม่มีความกลัวใด พวกเขาจ้องมองหลิงตงด้วยความเกรี้ยวกราด
หลายคนตกใจขณะมองไปที่ลั่วหลี แม้ว่านางจะเป็นหญิง แต่ความกล้านี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจนัก
สีหน้าของหลิงตงเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด เขาไม่คิดเลยว่าการข่มขู่ของเขาจะไปกระตุ้นความภาคภูมิใจของตระกูลลั่วเสินเข้า ดูเหมือนว่าเขาประเมินความกล้าหาญและความดึงดูดใจของลั่วหลีต่ำไป
“ฮ่าๆ สมกับเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากลั่วเสิน…”
จักรพรรดิสัประยุทธ์ปรบมือเบาๆ คำพูดของลั่วหลีไม่ได้ทำให้เขาโกรธ ในทางตรงกันข้ามเขามองไปที่นางด้วยความชื่นชมอีกหลายส่วน
จากนั้นเขาก็หันไปหาหลิงตง “ความรักเป็นเรื่องของความเต็มใจ ข้าคนนี้เคยบังคับใครด้วยหรือ?”
หลิงตงโน้มตัวรับผิดทันที
เมื่อเห็นการยอมลงให้ของจักรพรรดิสัประยุทธ์ ผู้คนมากมายก็พยักหน้าด้วยความรู้สึกชื่นชมด้วยจิตใจเช่นนี้ สมกับเป็นเป็นผู้ปกครองของทวีปซีเทียน
มู่เฉินหรี่ตาแคบลงกับภาพตรงหน้า เขาไม่คิดว่าผู้นำตำหนักซีเทียนจะยอมปล่อยเรื่องนี้ลงได้อย่างง่ายดาย
หลังจากตำหนิหลิงตงแล้ว จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็มองที่ลั่วหลี “ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจ ข้าก็จะไม่บังคับ แต่ข้าจะเก็บตำแหน่งธิดาเทพไว้ห้ ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจสามารถมาหาได้ทุกเมื่อ”
ลั่วหลีตอบอย่างใจเย็น “บางทีท่านจักรพรรดิสัประยุทธ์คงต้องผิดหวัง”
จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้มจากนั้นก็หันไปทางมั่นถัวหลัว “ปล่อยเรื่องธิดาเทพของเจ้าไปก่อน แต่ดอกแมนดาลาโบราณกล้าท้าทายศักดิ์ศรีของตำหนักซีเทียน สมควรได้รับการลงโทษ”
ทุกคนตกใจกับคำพูดของเขา ก่อนที่จะหันไปมองมั่นถัวหลัว ไม่มีใครคิดว่าร่างจริงของนางจะเป็นดอกแมนดาลาโบราณ
หัวใจของมู่เฉินและลั่วหลีดิ่งลง แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์บอกว่าจะพักเรื่องธิดาเทพไว้ก่อน แต่การที่เขาหาเรื่องมั่นถัวหลัวก็เห็นได้ว่าไม่พอใจในใจ
“ท่านจักรพรรดิสัประยุทธ์ ด้วยสถานะของท่าน ถ้าทะเลาะกับเรื่องแค่นี้ มันไม่ดูไม่สมควรไปหน่อยหรือ?” ลั่วหลีพูดออกมา
จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้ม “ถ้าข้าปล่อยเรื่องนี้ไปโดยง่าย คนอื่นจะไม่คิดว่าตำหนักซีเทียนอ่อนแอรึ? วางใจเถอะข้าจะพาสองคนนี้กลับไปที่ตำหนักซีเทียน จองจำพวกเขาสักหลายปีแล้วจะปล่อยไป ข้าสัญญาว่าจะไม่สังหารพวกเขา”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ใบหน้าของลั่วหลีก็เย็นชาลง จักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่เพียงตั้งใจจะพามั่นถัวหลัวไป แต่ยังวางแผนที่จะทำเช่นเดียวกันกับมู่เฉินด้วย
“ตู้ม!”
ก่อนที่ลั่วหลีจะพูดอะไรได้อีก จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ แสงสีทองกวาดออกมา ก่อตัวขึ้นเป็นมือขนาดใหญ่พุ่งไปโอบล้อมมู่เฉินและมั่นถัวหลัว
“ทวีปซีเทียนของข้า ไม่ใช่ที่ที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามารถหยิ่งผยองได้!” เสียงที่ไม่แยแสดังก้อง ภายใต้การห่อหุ้มของมือสีทองแม้แต่คลื่นหลิงก็หยุดเคลื่อนไหว
เมื่อทุกคนมองไปที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่เคลื่อนไหว พวกเขาก็รู้สึกเห็นใจมั่นถัวหลัวและมู่เฉิน การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ไม่ว่ามู่เฉินจะมีไพ่ตายมากเท่าไรก็ยากที่จะหนีไปได้
“ไอ้หนู ขอข้าดูสิว่าแกยังสามารถกระโดดโลดเต้นไปได้ไหม!” ดวงตาของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะที่กัดฟัน แววตาวูบไหวด้วยความสะใจ ตระกูลเสี่ยเสินได้เตรียมไพ่ตายมากมายเพื่อจัดการกับตระกูลลั่วเสิน แต่ทั้งหมดก็ถูกมู่เฉินทำลาย ทว่าตอนนี้กระทั่งจักรพรรดิสัประยุทธ์ยังเคลื่อนไหว เขาไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะหลุดรอดไปได้
“ผู้อาวุโสช่วยพามู่เฉินหนีไปตอนนี้เลย!” ลั่วหลีกัดฟันขณะที่มองมั่นถัวหลัว ยามนี้มีเพียงมั่นถัวหลัวเท่านั้นที่สามารถพามู่เฉินหนีไปได้ เพราะจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่มาเป็นเพียงร่างดวงจิต
ทว่าเผชิญหน้ากับคำขอของลั่วหลี มั่นถัวหลัวก็ส่ายหัวพลางหันไปหามู่เฉิน
ช่วงเวลานี้ลั่วหลีก็ตระหนักได้ว่ามู่เฉินยังคงสงบไม่มีร่องรอยของความสิ้นหวังใดเลย
เมื่อเห็นสายตาของลั่วหลี มู่เฉินก็เผยรอยยิ้มพลางพลิกมือ ตะเกียงโบราณปรากฏขึ้น
มู่เฉินแตะตะเกียงถอนหายใจด้วยความเสียดาย “ไม่คิดว่าจะต้องใช้ความช่วยเหลือเร็วขนาดนี้ เฮ้อ…”
เขาสะบัดมือคลื่นหลิงก็พุ่งเข้าไปในตะเกียงจุดไฟขึ้นอย่างรวดเร็ว
มือทองคำบีบลงมา ภายใต้สายตาของทุกคนก็ห่อหุ้มมั่นถัวหลัวและมู่เฉินเอาไว้ นี่ทำให้หลายคนถึงกับส่ายหัวเลยทีเดียว
ยามนี้แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ไม่สามารถหลบหนีได้แล้ว
จักรพรรดิสัประยุทธ์มองภาพนี้แบบไม่แยแส ถ้าเขาสามารถพามั่นถัวหลัวและมู่เฉินไปได้ ลั่วหลีก็ต้องไปที่ตำหนักซีเทียนอย่างแน่นอนและยอมรับตำแหน่งธิดาเทพ เวลานั้นเขาจะมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์กับนาง เขาเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปลั่วหลีจะต้องหลงเสน่ห์ของเขา ถึงตอนนั้นนางก็จะเต็มใจ
ดังนั้นนี่จึงไม่ขัดกับกฎของเขา
ที่จริงเมื่อถึงระดับเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องความงามมากนัก แต่ลั่วหลีแตกต่างออกไป เนื่องจากนางได้รับการสืบทอดร่างเทพวารีของลั่วเสิน หากเขาได้เสพสังวาสผ่านคัมภีร์กับนางละก็ เขาจะได้รับประโยชน์มหาศาลแน่นอน
ตอนแรกเขาคิดว่าแค่เผยใบหน้าให้เห็นถึงเสน่ห์ก็ไม่ยากที่จะได้รับความประทับใจจากนาง ทว่าเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะเข้ามาในแผนนี้ มิหนำซ้ำยังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนาง ทำให้นางปฏิเสธคำพูดเขาทั้งหมด
ดังนั้นในเวลานี้เขาต้องใช้วิธีแยบยลมาช่วย
‘ลั่วหลี เจ้าจะเข้าใจว่าข้ามีความโดดเด่นแค่ไหนในอนาคต มีเพียงข้าที่เทียบเคียงเจ้าได้ ส่วนมู่เฉินเป็นเพียงสายลมพัดผ่านเข้ามาในชีวิตของเจ้า เขาไม่คู่ควร… ข้าทำสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อประโยชน์ของเจ้า’
จักรพรรดิสัประยุทธ์คิดสิ่งนี้ในใจ จากนั้นก็เหลือบมองมือสีทองที่ไม่มีการขัดขืนใดๆ ดูเหมือนว่ามั่นถัวหลัวจะยอมแพ้ไปแล้วเหมือนกัน
“ฉลาด” เขายิ้มขณะที่โบกมือเตรียมเก็บมู่เฉินและมั่นถัวหลัวไป
ทว่าควันกลับลุกโชนในฝ่ามือทองคำ เปลวไฟพร่างพราวพวยพุ่งออกมาละลายฝ่ามือทองคำไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นฉากที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เปลี่ยนไปรุนแรง ร้องอุทานว่า “เป็นไปได้ยังไง?!”
กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่สามารถต้านทานกระบวนท่านี้ได้ แล้วจะถูกทำลายด้วยเปลวไฟได้ยังไงกัน?
ทุกคนตกตะลึงกับภาพนี้เช่นกัน
ขณะที่เปลวไฟงดงามลุกโชน ไม่กี่ลมหายใจก็ละลายมือทองคำอย่างสมบูรณ์ ทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็ฉายแววตกใจขณะมองไป
มู่เฉินและมั่นถัวหลัวยืนอยู่บนท้องฟ้าโดยไม่มีอันตรายใดๆ ทว่าม่านตาของทุกคนก็หดแคบลง เมื่อพวกเขาเห็นผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน
ชายผู้นี้มีรูปร่างสูงตระหง่านยืนเอามือไพล่หลัง รอยยิ้มเกียจคร้านแขวนอยู่บนใบหน้า แม้เขาจะไม่ได้ดูแข็งแกร่ง แต่ก็สามารถรู้สึกได้ถึงความกดดันที่เป็นของจักรพรรดิสัประยุทธ์ผงะถอยกลับอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขายืนอยู่ที่นั่น
เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ ทุกคนก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด นั่นเป็นเพราะกระทั่งคนโง่ก็ยังรู้ว่ามีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจุนเท่านั้นที่สามารถเผชิญหน้ากับแรงกดดันแบบนี้ได้
นั่นหมายความว่ามู่เฉินเชิญจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนมาด้วย!
ท่ามกลางสายตาหวาดผวามากมาย ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉินก็ยิ้ม “จักรพรรดิสัประยุทธ์แกล้งเด็กแบบนี้ ไม่ลดสถานะของตัวเองไปหน่อยรึ?”
บนท้องฟ้าจักรพรรดิสัประยุทธ์จำชายที่ยืนอยู่ตรงหน้ามู่เฉินได้ ม่านตาเขาหดแคบลง สีหน้าเปลี่ยนไปพลางอุทานออกมา
“เทพจักรพรรดิอัคคี—เซียวเหยียน?!”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกวิงเวียน มู่เฉินไม่เพียงแต่เชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาเท่านั้น… เขายังเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีผู้ยิ่งใหญ่มาด้วย!
จากผู้แปล ขออธิบาย
เซียวเหยียน—เทพจักพรรดิอัคคีแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว
กับ…
หลินเหยียน-น้องสามของหลินต้งหรือเสี่ยวเหยียนผู้เคร่งขรึม
>>> เป็นคนละคนกัน
บทที่ 1222 ธิดาเทพ?
เมืองลั่วเสิน
เมื่อเสียงประกาศของหลิงตงดังก้อง ความวุ่นวายก็ระเบิดขึ้นทั่วเมือง สายตาอิจฉาพุ่งไปหาลั่วหลี
ไม่มีใครคิดว่าจักรพรรดิสุประยุทธ์จะมีราชโองการเป็นการส่วนตัว การดำรงอยู่ของตำหนักซีเทียนเป็นความยืนยง แม้กระทั่งบรรดาผู้อาวุโสอย่างหลิงตงก็ต้องให้ความเคารพ
ทว่าใบหน้าของลั่วเทียนเสินกลับไม่น่าดู เนื่องจากทุกคนรู้ว่าจักรพรรดิแห่งตำหนักซีเทียนมีฝ่ายในขนาดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยสตรีงดงาม ทักษะการฝึกฝนของเขาเรียกว่าคัมภีร์ต้าตี้เน่ยซึ่งเป็นการฝึกฝนแบบเสพสังวาส ดังนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงมีชื่อเสียงด้านนี้ฉาวโฉ่นัก
ที่ผ่านมาลั่วเทียนเสินพอได้ข่าวมาว่าตำหนักซีเทียนกำลังให้ความสนใจกับลั่วหลี ทว่าตอนนั้นลั่วหลีไม่เป็นที่รู้จักมาก แต่ด้วยชื่อเสียงของนางที่เพิ่มพูนขึ้นในหลายปีนี้ก็คงจะไปเข้าหูตำหนักซีเทียนเข้า
ยิ่งตอนนี้ลั่วหลีปลูกฝังร่างเทพวารี ซึ่งเป็นเรื่องของเวลาก่อนที่นางจะดึงดูดความสนใจของตำหนักซีเทียน แต่เขาก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะมาถึงเร็วนัก
ในทวีปซีเทียนและเขตแดนที่ตำหนักซีเทียนปกครอง ไม่รู้มีหญิงสาวเท่าไรที่ใฝ่ฝันเป็นที่จับตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์เพื่อจะได้รับน้ำทิพย์เข้าสู่ร่าง เพราะด้วยพลังและรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายก็เพียงพอที่จะทำให้หญิงสาวตกหลุมรัก
ฝ่ายในของจักรพรรดิสัประยุทธ์ ไม่มีใครที่ถูกบังคับ พวกนางต่างเต็มใจ แต่ลั่วเทียนเสินรู้ว่าหลานสาวของเขาไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น…
ด้วยความภาคภูมิใจ นางจะไม่ชายตามองใครเลย นอกจากคนที่ชอบ ไม่ใช่แม้แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์
ดังนั้นลั่วหลีอาจไม่เห็นด้วยที่จะเป็นธิดาเทพ นั่นจะทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมา ราชโองการของจักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นสิ่งที่สามารถปฏิเสธได้เรอะ?
เขาเป็นผู้ปกครองของทวีปซีเทียนนะ!
เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจุนที่มีชื่อดังก้องไปทั่วมหาพันภพ!
ลั่วเทียนเสินยิ้มขมขื่น มู่เฉินก็ขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน เขาก็สามารถคาดเดาได้จากการแสดงออกของลั่วเทียนเสิน
“ฮ่าๆ ขอแสดงความยินดีกับธิดาเทพคนใหม่ ในอนาคตเจ้าก็เป็นธิดาเทพของตำหนักซีเทียนแล้ว” หลิงตงยิ้มบาง จากนั้นก็ส่งราชโองการไปทางลั่วหลี “รับราชโองการเถอะ”
ทว่าลั่วหลีไม่ได้รับ นางชายตามองหลิงตงอยู่นานก่อนที่จะตอบ “ข้าขอปฏิเสธ”
เสียงของนางดังก้อง ทั่วเมืองก็เงียบกริบลง หลายคนเบิกตากว้างขณะที่มองลั่วหลีด้วยความไม่เชื่อ
นางปฏิเสธคำสั่งของผู้ปกครองของทวีปซีเทียน!
นั่นคือราชโองการของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนนะ!
ตรงกันข้ามเสี่ยหลิงจื่อซึ่งกำลังหวาดผวากับสิ่งนี้ก็เกิดความปีติยินดีเมื่อได้ยินคำตอบของลั่วหลี
เขาไม่คิดเลยว่าหญิงสาวจะกล้าหาญชาญชัยขนาดนี้!
หลิงตงอึ้งไปก่อนจะขมวดคิ้ว “นี่เป็นราชโองการขององค์จักรพรรดิ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลที่ตามมาของการปฏิเสธเป็นเช่นไร?”
แม้แต่ลั่วหลียังรู้สึกกดดันจากคำพูดของหลิงตง แต่สุดท้ายนางก็เงยหน้าขึ้น ความแวววาวแล่นในส่วนลึกของดวงตา
ขณะที่นางเผชิญหน้า เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นข้างกาย เขาจับมือนางภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน
นี่คือมู่เฉิน เขามองไปที่ลั่วหลี นางก็มองมาด้วยรอยยิ้ม
โห่
การกระทำระหว่างทั้งสองทำให้เกิดความปั่นป่วนทันที ขณะนี้ทุกคนรู้แล้วว่ามู่เฉินและลั่วหลีเป็นคู่รักกัน!
เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะมู่เฉิน ลั่วหลีถึงปฏิเสธตำแหน่งธิดาเทพของตำหนักซีเทียน
มู่เฉินจับมือลั่วหลีเงยหน้าขึ้นมองหลิงตงโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ “ตั้งแต่เมื่อไรที่ตำหนักซีเทียนต้องมาบังคับให้คนอื่นเป็นธิดาเทพ?”
“ไอ้หนู บางอย่างไม่ใช่สิ่งที่จะพูดเล่นๆ แบบนี้นะ!” หลิงตงกล่าวเคร่งขรึม ขณะเดียวกันแรงกดดันก็แผ่ออกมาจากร่างเขาพุ่งเข้าหามู่เฉิน
ทันใดนั้นมั่นถัวหลัวก็ปรากฏตัวตรงหน้ามู่เฉิน แสงสีดำเปล่งประกายบนร่างนาง คล้ายกับหลุมดำกลืนกินแรงกดเย็นเยือกเข้าไปหมด
นางมองหลิงตงกล่าวอย่างไม่แยแสปนเย้ยหยัน “พูดหน่อยก็ไม่ได้เรอะ? ตำหนักซีเทียนเผด็จการขนาดนี้เชียวหรือ?”
คำพูดนางยิ่งไม่เกรงใจเข้าไปใหญ่ แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่นางเคยติดตามจักรพรรดิฟ้ามาหลายปี ดังนั้นนางไม่มีความกลัวต่อตำหนักแค่นี้แน่นอน
ใบหน้าของหลิงตงเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม เขาจ้องมองมั่นถัวหลัว “ดูเหมือนเจ้าตัดสินใจยืนคนละฝั่งกับตำหนักซีเทียนแล้วสินะ?”
“แล้วจะทำไม?” มั่นถัวหลัวหัวเราะเย้ยหยันอย่างหาญกล้า
“สามหาว!” หลิงตงเกรี้ยวกราดขณะที่คำราม เขาโบกมือผลึกดาวก็ปรากฏขึ้น เหมือนจะดูดอุณหภูมิในพื้นที่นี้ทั้งหมด อากาศเริ่มแช่แข็งอย่างรวดเร็ว
“ฮึ่ม!”
ดาวกลายเป็นกระแสคลื่นเย็นพุ่งออกไป พริบตาก็ขยายตัวกลายเป็นดาวน้ำแข็งขนาดใหญ่พุ่งไปหามั่นถัวหลัว
นี่คือพลังทำลายล้าง
“หึ!”
มั่นถัวหลัวเค้นเสียงเย็นชาก่อนที่จะอ้าปาก ลำแสงมหาศาลบินว่อนออกมาก่อตัวเป็นพีระมิด นี่คือพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจที่มู่เฉินมอบให้นาง
ฟิ้ว!
พีระมิดระเบิดด้วยแสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วน ขณะที่พุ่งออกไปปะทะกับดาวน้ำแข็งจังใหญ่และบดขยี้กัน
ดาวน้ำแข็งถูกทำลาย หลิงตงก็กระอักเดินถอยหลังไปหลายก้าวด้วยสีหน้าที่ไม่น่าดู เห็นได้ชัดว่าเขาเสียเปรียบในการปะทะยกนี้
“ดี! ดี!”
หลิงตงสูดหายใจลึก จากนั้นก็ยกราชโองการทองคำขึ้น เขากัดลิ้นพ่นเลือดคำหนึ่งบนม้วนคำสั่ง
ฮึ่ม ฮึ่ม
เมื่อเลือดหยดลง ม้วนคำสั่งก็ระเบิดออกมาด้วยแสงสีทอง แรงกดดันที่น่ากลัวราวกับกษัตริย์กระจายออกมา
ภายใต้แรงกดดันที่น่าหวาดกลัว ทุกคนที่อยู่ภายใต้ระดับตี้จื้อจุนก็ทรุดเข่าลงทันที พวกเขาไม่สามารถเงยหัวขึ้น ร่างกายสั่นสะท้าน
นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่ารัศมีนี้หมายถึงอะไร… ในทวีปซีเทียนมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีแรงกดดันนี้
ประมุขแห่งตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ผู้เป็นตำนาน!
ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเคร่งเครียดลงหลายส่วน ม้วนราชโองการน่าจะสามารถเรียกร่างดวงจิตของอีกฝ่ายได้ แต่ถึงจะเป็นเพียงร่างดวงจิตก็กดดันอย่างมาก
มู่เฉินรู้สึกได้ว่าลั่วหลีจับมือตัวเองแน่นขึ้น
“ไม่ต้องกลัว” มู่เฉินพูดกับนางเบาๆ
ลั่วหลีหันกลับมาก็รู้สึกประหลาดใจ แม้ว่าสายตาของมู่เฉินจะเคร่งเครียด แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นตกใจ นางยิ้มอย่างขมขื่นก่อนที่จะตอบว่า “หากมีโอกาสเจ้ารีบหนีไปนะ”
“แล้วเจ้าล่ะ?”
ลั่วหลียิ้มตอบ “ไม่ว่ายังไงข้าก็จะไม่เป็นธิดาเทพ”
มู่เฉินมองรอยยิ้มนั่นก็เห็นความแน่วแน่บางอย่าง นางไม่มีวันเป็นธิดาเทพเนื่องจากนางที่ภาคภูมิใจจะขู่ด้วยชีวิต
“ลั่วหลี…”
มู่เฉินจ้องที่คนรักพูดเบาๆ “จำที่ข้าบอกเจ้าได้ไหม?”
“ข้าบอกแล้วว่าครั้งต่อไปที่เราพบกัน ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครพาเจ้าไปจากข้าอีก” เขาจ้องมองม่านตาแก้วใสพูดต่อว่า “รวมถึงจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนด้วย”
แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์จะทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินจะไม่มีวิธีจัดการกับอีกฝ่าย
ลั่วหลีตกใจ นางไม่รู้ว่าเขาเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ในเมื่อนางเข้าใจมู่เฉิน นางจึงรู้ว่าเขาไม่ใช่คนโอ้อวด เมื่อเขากล้าพูดก็ต้องมั่นใจ
สิ่งนี้ทำให้หัวใจที่ตึงเครียดของนางคลายลง
“ดูเหมือนเจ้าจะผ่านประสบการณ์มากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา” ลั่วหลียิ้ม รอยยิ้มนี้ทำให้ดวงตาของมู่เฉินสว่างไสว เขาอยากโอบกอดนางไว้
แต่สุดท้ายเขาก็ระงับแรงปรารถนาเงยหน้าขึ้นมองม้วนทองคำ ร่างเงาสีทองค่อยๆ ปรากฏเบื้องหน้าสายตาพวกเขา
“ถวายบังคมองค์จักรพรรดิ”
หลิงตงมองร่างเงานั่นพลางคุกเข่า
บนท้องฟ้า ร่างเงาสีทองนั่นมีผมสีทองอร่าม รูปลักษณ์ราวกับแกะสลัก ดวงตาทรงเสน่ห์เปี่ยมอำนาจ โดยไม่มีผู้ใดสามารถลบลืมได้
ทว่าแรงกดดันสง่างามที่กระจายออกมาจากเขาถึงเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจมากที่สุด
ทุกคนสั่นสะเทือนภายใต้แรงกดดันนี้
เมื่อร่างเงานั้นปรากฏขึ้นก็มองไปที่ลั่วหลี ก่อนที่เสียงก้องกังวานจะดังขึ้น
“ลั่วหลี เจ้าจะปฏิเสธจริงๆ เหรอ?”
บทที่ 1221 เทพธิดาแห่งมหาพันภพ
“จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?”
เสียงหวาดกลัวของลั่วเทียนเสินและเสี่ยหลิงจื่อดังก้อง ทำให้เกิดความปั่นป่วนทั่วบริเวณอย่างมาก หลังจากนั้นทุกคนก็มองไปที่ร่างเงาข้างมู่เฉินด้วยความตกใจหวาดผวา
มิติด้านข้างมู่เฉินยังคงผันผวน โดยมีร่างเงาเล็กๆ ยืนท้าทุกสายตา นั่นทำให้ทุกคนถึงกับตะลึงงันไป
“สาวน้อยตัวเล็กคนนั้น… เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเหรอ?” มีคนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
“ไอ้โง่ จอมยุทธ์ในระดับนี้จะเป็นสาวน้อยจริงๆ ได้ยังไง?” ทว่ายังมีคนที่ตั้งสติได้ ไม่ได้สับสนกับรูปลักษณ์ของมั่นถัวหลัว
“มู่เฉินเป็นใคร? เขาเก่งขนาดนี้เลยเหรอ สามารถเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มมาด้วย!” มีคนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา นั่นเป็นเพราะแม้แต่ในทวีปซีเทียน จอมยุทธ์ระดับนี้ก็ได้รับการพิจารณาว่าเป็นเพชรยอดพีระมิด ถ้าต้องการเชิญอีกฝ่ายมาไม่เพียงแต่สายสัมพันธ์เชื่อมโยงที่มี พวกเขายังต้องจ่ายราคามหาศาลอีกด้วย
แม้แต่ตระกูลเสี่ยเสินยังจ่ายเงินแพงระยับเพื่อเชิญหลิงตงมา แต่ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มมาด้วย
นี่เป็นสิ่งที่เสี่ยหลิงจื่อและลั่วเทียนเสินไม่เคยคาดคิดมาก่อน
โดยเฉพาะเสี่ยหลิงจื่อ ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวไปหมดเมื่อมองดูร่างเงาเล็กข้างมู่เฉิน ความรู้สึกวิงเวียนตีขึ้น
เขาไม่เคยคิดว่าไพ่ตายที่อุตส่าห์เตรียมไว้ ไม่เป็นผลอะไรกับมู่เฉินเลย
“มู่เฉินเป็นใครกันแน่?!”
คำถามนี้เกิดขึ้นในใจของเสี่ยหลิงจื่อ การเชิญจอมยุทธ์ระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ขั้วอำนาจใดๆ ก็สามารถทำได้
ตอนนี้ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเพราะเหตุใดหลิงตงถึงบอกว่าไม่สามารถฆ่ามู่เฉินได้
“ผู้เฒ่าตง…” เสี่ยหลิงจื่อตัวสั่นขณะมองหลิงตง เขาจ่ายเงินมากมายเพื่อเชิญอีกฝ่ายมา ถ้าไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ พวกเขาก็สูญเสียจนต้องร้องไห้แล้วจริงๆ
ทว่าเผชิญกับสายตาที่จ้องมองมา หลิงตงก็ไม่แยแสก่อนที่จะมองมั่นถัวหลัวพูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า “เจ้าเป็นคนนอกทวีปซีเทียนใช่ไหม? การมายุ่งเกี่ยวสงครามภายในทวีปถือว่าละเมิดกฎของตำหนักซีเทียนนะ”
หลิงตงขยายเสียงโดยเฉพาะตรงคำว่าตำหนักซีเทียน เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวน่าจะรู้ความหมายนี้ ตำหนักซีเทียนเป็นผู้ปกครองทวีปซีเทียน ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างมั่นถัวหลัวยังไม่กล้าที่จะแหยม
นั่นเป็นเพราะผู้นำของตำหนักซีเทียนก็คือจักรพรรดิสัประยุทธ์ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน!
มั่นถัวหลัวเข้าใจคำเตือนโดยธรรมชาติ ทว่านางก็เบะปากออก “มู่เฉินเป็นเขยขวัญของตระกูลลั่วเสิน ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์สู้ในสงครามนี้ ในเวลาเดียวกันเขาก็เป็นผู้นำตำหนักมู่ ในฐานะสมาชิกตำหนัก จะให้เรายืนมองพวกเจ้าทำร้ายเขาหรือ?”
ความโกลาหลระเบิดออก แม้แต่หลิงตงก็มองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง
คำพูดของมั่นถัวหลัวกำลังบอกว่านางเป็นหนึ่งในสมาชิกของตำหนักมู่และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉินรึ?
สิ่งนี้ทำให้หลายคนรู้สึกไม่เชื่อ นั่นเพราะในความเข้าใจของพวกเขามีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะออกคำสั่งกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา!
มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถอยู่เหนือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มและควบคุมอีกฝ่าย
ทว่ามั่นถัวหลัวบอกว่านางเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น? นั่นไม่น่าเชื่อเลย!
แต่ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม นางไม่มีทางพูดเล่นตลกแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้สึกว่านางล้อเล่นแน่นอน
เสี่ยหลิงจื่อเขียนคำว่าไม่เชื่อบนใบหน้า แม้แต่รากฐานของตระกูลเสี่ยเสิน ยังไม่สามารถรับสมัครจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่มู่เฉินดันทำได้เรอะ?
“ไอ้เด็กนี่ ทำไมโชคดีขนาดนี้?!” ยามนี้เสี่ยหลิงจื่อรู้สึกอิจฉามาก หากตระกูลเสี่ยเสินมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มใต้บัญชาละก็ พวกเขาคงครอบครองดินแดนซีเทียนเล็กนี้ไปนานแล้ว
เผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น มู่เฉินก็แค่ยักไหล่ ที่จริงเขาอยากบอกว่าตำแหน่งนี้มั่นถัวหลัวเป็นคนยัดมือเขา เนื่องจากนางไม่สนใจ
แต่ในเมื่อมั่นถัวหลัวให้หน้าเขา มู่เฉินจึงได้แต่ยิ้มแย้มอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อสร้างภาพลักษณ์ไม่อาจหยั่งรู้
หลิงตงจ้องมองมู่เฉินอย่างลึกซึ้ง ถ้านั่นเป็นเรื่องจริงภูมิหลังของชายหนุ่มคนนี้ก็ต้องยิ่งใหญ่เลยทีเดียว
เขาเข้าใจถึงความเย่อหยิ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ดี เพราะตัวเขาก็อยู่ในระดับนี้ ในมุมมองของเขาหากมู่เฉินไม่ได้มีภูมิหลังที่ยอดเยี่ยม ก็เป็นไปไม่ได้ที่มั่นถัวหลัวจะยอมเชื่อฟังคำสั่ง
“วันนี้พวกข้ามาเพื่อช่วยเหลือตระกูลลั่วเสิน หากเจ้าต้องการช่วยตระกูลเสี่ยเสินก็ประลองกันเลย” มั่นถัวหลัวไม่ได้ใส่ใจกับความคิดของพวกเขา นางพูดขึ้นอย่างเกียจคร้าน
หลิงตงยิ้มก่อนที่จะตอบช้าๆ “ราคาที่ตระกูลเสี่ยเสินจ้างมา ไม่เพียงพอที่จะสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มหรอก”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่นใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที
ลั่วเทียนเสินและคนอื่นๆ โล่งใจอย่างมาก แม้ว่ามู่เฉินจะมีผู้ช่วยเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่พวกเขาก็ยังหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่สู้กัน ถึงยังไงหลิงตงก็เป็นผู้อาวุโสของตำหนักซีเทียน
และในทวีปซีเทียนก็ไม่มีใครที่กล้าข่มผู้อาวุโสของตำหนักซีเทียนหรอก
มู่เฉินมองไปที่หลิงตงด้วยความสงสัย เขาไม่เชื่อว่าชายชราจะพักเรื่องนี้ไปอย่างง่ายดาย…
“ฮ่าๆ แต่ชายชราคนนี้มีภารกิจอื่น การเชิญจากท่านเสี่ยหลิงจื่อก็แค่เรื่องติดมือเท่านั้น” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของหลิงตง
พอได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็กระตุก ตระกูลเสี่ยเสินจ่ายราคาแพงระยับเพื่อเชิญหลิงตงมา แต่อีกฝ่ายมาเพราะมีภารกิจอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าราคาที่ตระกูลเสี่ยเสินจ่ายใช้ได้จึงรับงานนี้มาด้วย
มู่เฉินหรี่ตาลงมองหลิงตงพูดช้าๆ ว่า “ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่ายังมีเรื่องอะไรอีก?”
ทว่าหลิงตงไม่ได้ตอบ เพียงแต่หรี่ตามองลั่วหลีที่กำลังประสบภัยพิบัติหลิงด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนาง ดังนั้นข้าต้องรอคำตอบของนาง”
แววตามู่เฉินดิ่งลง รู้สึกถึงความไม่สบายใจ ขณะที่กำลังจะพูดเขาก็เห็นมั่นถัวหลัวส่ายหน้า ดังนั้นเขาจึงนิ่งเงียบก่อนที่จะหันหลังกลับมองไปที่ลั่วหลี
ตู้ม ตู้ม!
ตอนนี้ลั่วหลีก็ยังคงนั่งอยู่บนแท่นอย่างเงียบๆ ทว่าความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังที่รายล้อมรอบตัวนางไปไกลเกินกว่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว
เมฆรวมตัวกันบนขอบฟ้าพร้อมด้วยสายฟ้าพุ่งเข้าหาลั่วหลี
อย่างไรก็ตามสายฟ้าเหล่านี้ถูกปิดกั้นจากม่านขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นจากแม่น้ำลั่วเมื่อเข้าใกล้ระยะร้อยจั้ง
แม่น้ำลั่วปกป้องลั่วหลีไว้
ภายใต้การคุ้มครองนั้นภัยพิบัติหลิงที่โหดร้ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ในที่สุดก็ค่อยๆ สลายหายไป
ทันทีที่ภัยพิบัติหายไป คลื่นหลิงทรงพลังก็ระเบิดออกจากร่างลั่วหลี ดันระลอกคลื่นหมื่นจั้งในแม่น้ำลั่วขึ้น
สายตาอิจฉานับไม่ถ้วนมองมาที่ลั่วหลี เนื่องจากพวกเขารู้ว่าในเวลานี้ลั่วหลีผ่านภัยพิบัติก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นที่แท้จริงแล้ว!
ดวงตาที่ปิดสนิทของลั่วหลีเปิดขึ้นพร้อมกับดวงดาวรวมตัวกันในดวงตาของนาง ในเวลาเดียวกันนางก็วาดตราประทับขึ้น แม่น้ำลั่วไร้ขอบเขตก็พลุ่งพล่านอยู่ข้างหลัง
เมื่อแม่น้ำรวมตัว ทุกคนก็เห็นร่างเงาขนาดใหญ่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังของนาง
ร่างอรชรเปล่งแสงราวกับหยก รูปลักษณ์ที่ปรากฏค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างลั่วหลี โดยมีอักขระแม่น้ำสีเงินประทับบนหน้าผากมน ช่างเป็นแม่น้ำที่ลึกล้ำซับซ้อนยิ่งนัก
เมื่ออักขระถูกสร้างขึ้น ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงความงามอันน่าทึ่งที่เปล่งออกมาจากร่างเงานั้น
อักขระยังปรากฏบนหน้าผากของลั่วหลี นางเปลี่ยนแปลงโดยมีความงามที่ทำให้ผู้คนมึนเมา
ความงามนั้นราวกับว่านางคือเทพธิดาลงมาจากสวรรค์
“นี่คือเทพธิดาลั่วแห่งมหาพันภพ!” ทุกคนได้แต่มึนเมากับความงามล้ำนี้
เปรียบเทียบกับพวกเขา ลั่วเทียนเสินและผู้อาวุโสของตระกูลลั่วเสินที่มองดูร่างเงานี้ก็อุทานด้วยความไม่เชื่อว่า “นะ…นั่นคือร่างเทพวารี!”
เล่าลือกันว่าร่างเทพวารีเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่งดงามที่สุดในมหาพันภพ เมื่อฝึกฝนสำเร็จก็จะเชื่อมโยงกับเจ้าของ บรรพบุรุษของพวกเขา—ลั่วเสินในตอนนั้นได้ฉายาเทพธิดาแห่งมหาพันภพก็เพราะเหตุนี้
ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่าลั่วหลีจะเป็นคนที่สองที่ฝึกฝนร่างเทพวารีสำเร็จ!
“ว่ากันว่าเงื่อนไขในการฝึกฝนเข้มงวดมาก ผู้ฝึกไม่เพียงแต่ต้องมีความงามที่สมบูรณ์แบบ แต่ยังต้องมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม…ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาในตระกูลลั่วเสินคงมีแต่ลั่วหลีที่ตรงตามเงื่อนไขนี้” ลั่วเทียนเสินค่อยๆ คืนสติก่อนที่จะรู้สึกดีใจมาก เขารู้ว่าลั่วหลีได้รับมรดกของลั่วเสินแล้ว ในอนาคตตระกูลลั่วเสินอาจได้กลับมาผงาดอีกครั้ง
ร่างเบื้องหลังลั่วหลีค่อยๆ จางหายไป จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นยิ้มไปให้มู่เฉิน
สายตาอิจฉานับไม่ถ้วนจ้องเขม็งมาที่มู่เฉินทันที ถ้าไม่ได้เป็นพลังที่เขาแสดงให้เห็น อาจมีใครบางคนในที่นี่ขอท้าประลองกับเขาแล้ว
สัมผัสกับความเป็นศัตรูจากสายตาเหล่านี้ มุมปากของมู่เฉินก็กระตุก ตอนนี้เขาเชื่อแล้วว่าความงามล่มเมืองเป็นหายนะ
หลิงตงกวาดมองมู่เฉินกับลั่วหลี่ก็ยิ้มบาง “สมกับเป็นทายาทตระกูลลั่วเสิน ฉายาเทพธิดาแห่งมหาพันภพได้เจ้าของอีกครั้งแล้ว”
ลั่วหลีหันมาหาหลิงตง คำนับด้วยท่าทางนุ่มนวลกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่ามาที่ตระกูลลั่วเสินของข้าเพื่อเรื่องใด”
หลิงตงยิ้มก่อนที่จะหยิบของออกจากแขนเสื้อ นี่เป็นม้วนผ้าสีทองที่บรรจุด้วยรัศมีเลิศล้ำ ทำให้ทั่วบริเวณเงียบกริบลง
หลิงตงเปิดม้วนผ้าเสียงแหบแห้งก็ดังก้อง
“ราชโองการจากจักรพรรดิสัประยุทธ์ ขออวยยศดำรงตำแหน่งธิดาเทพแห่งตำหนักซีเทียนให้จักรพรรดินีตระกูลลั่วเสิน”
ทันใดนั้นใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็เปลี่ยนไปรุนแรงจากคำพูดของหลิงตง
บทที่ 1220 ผู้เฒ่าตง
มู่เฉินยืนเอามือไพล่หลัง
ที่เบื้องหลังคลื่นหลิงมหึมาระเบิดออก ก่อนที่มิติจะบิดเบี้ยว ร่างเงากลุ่มหนึ่งเยื้องย่างออกมายืนอยู่ด้านหลังมู่เฉินภายใต้สายตาเบิกกว้าง
นั่นคือร่างเงาห้าคน
ทั้งห้าปลดปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังพร้อมกับความกดดันที่น่าสะพรึงกลัวกระจายออกไปฉีกเมฆบนท้องฟ้า
พวกเขาทั้งหมดเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น!
เมื่อการปรากฏตัวนี้เกิดขึ้น แรงกดดันจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นหกคนก็ถูกระงับทันที ในทางตรงข้ามพวกเขาเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่ากลัวที่ห่อหุ้มมาจากท้องฟ้าฝ่ายตรงข้าม
ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที ความกลัวที่ไม่อาจคาดการณ์ได้เพิ่มขึ้นในสายตา
“จะ…จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นห้าคน?! พวกเขามาจากตำหนักมู่หมดเลยรึ? ความแข็งแกร่งของตำหนักมู่ทรงพลังขนาดนี้เชียว?”
มีบางคนหายจากอาการตกตะลึง พวกเขามองฉากนี้แบบไม่อยากเชื่อ แม้แต่ในดินแดนซีเทียนเล็กทั้งหมด อาจมีเพียงตระกูลเสี่ยเสินเท่านั้นที่มีจำนวนขนาดนี้ แต่ตำหนักมู่ที่พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนมีพลังเช่นนี้เหมือนกันรึ?
นอกจากนี้พวกเขายังสามารถบอกได้ว่าจอมยุทธ์ทั้งห้าที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉินมีสายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพ นั่นก็หมายความว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉินจริงๆ
ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมู่เฉินจึงไม่กลัวเมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลเสี่ยเสิน เป็นเพราะเขามีพลังและคุณสมบัติที่จะต่อสู้ แม้แต่เสี่ยหลิงจื่อก็ยังต้องถอยเมื่อเผชิญหน้ากับการรวมตัวดังกล่าว
หากเขาต้องการที่จะสู้ แม้ว่าเขาจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ก็รังแต่ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายต้องทนทุกข์ทรมาน
“เจ้าหนูนี่…”
ลั่วเทียนเสินก็ตกใจกับฉากนี้เช่นกัน ครู่ต่อมาเขายิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัวไปมา การแสดงศักยภาพของมู่เฉินกินขาดเลยจริงๆ แต่เขาไม่เคยคาดหวังว่าชายหนุ่มจะซ่อนมือไว้ในแขนเสื้ออีกด้วย
ไม่เพียงแต่เขาจะเป็นจอมยุทธ์ทรงพลัง เขายังรวบรวมจอมยุทธ์ทรงพลังที่มีเช่นนี้ได้อีกด้วย
จากการประเมินของลั่วเทียนเสิน ด้วยพลังปัจจุบันของมู่เฉิน เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลลั่วเสินเลย…
เมื่อเทียบกับสิ่งนี้สายตาลั่วเทียนเสินยิ่งลุกโชนเมื่อมองไปที่มู่เฉิน ชายหนุ่มคนนี้เป็นปาฏิหาริย์แท้จริง บางทีถ้าเขาและลั่วหลีตกร่องปล่องชิ้นกัน ก็อาจนำสิ่งมหัศจรรย์มาสู่ตระกูลลั่วเสินได้…
“คารวะท่านประมุข!”
ภายใต้สายตาตกละลึงนับไม่ถ้วน ทั้งห้าคนก็ไม่ได้ใส่ใจ พวกเขาประสานมือแสดงมารยาทต่อมู่เฉิน
มองท่าทางของพวกเขาคิ้วของมู่เฉินก็เลิกขึ้น ในอดีตแม้ว่าพวกเขาจะเอ่ยถึงเขาในฐานะเจ้าตำหนัก เขาก็บอกได้ถึงความอึดอัดใจที่พวกเขามีให้ แต่ครั้งนี้มู่เฉินสัมผัสได้ว่าพวกเขาพูดจากส่วนลึกของหัวใจ
เขามองไปที่ทั้งห้าด้วยสายตาลึกซึ้งและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าความสำเร็จของเขาไม่เพียงแต่ข่มขู่ตระกูลเสี่ยเสินได้เท่านั้น แต่ยังทำให้คนเหล่านี้ยำเกรงขึ้นด้วย
นี่เป็นผลที่คาดไม่ถึง มู่เฉินยิ้มบาง เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะทำให้จอมยุทธ์ที่เคยเป็นผู้ปกครองภูมิภาคทางเหนือยอมรับเขาได้
“ท่านประมุขจัดการไปแล้ว ที่เหลือก็ทิ้งไว้ให้กับพวกเราเถอะ” โยวมิ่งยิ้ม เขาเป็นคนแน่วแน่ ในเมื่อยอมรับตำแหน่งของมู่เฉินแล้ว เขาก็จะวางตัวเองให้ดีทำหน้าที่ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา
คนอื่นๆ ก็พยักหน้าพลางมองไปที่ฝั่งศัตรู
เผชิญหน้ากับทั้งห้าคน พวกเสี่ยถงก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด แม้ว่าพวกเขาจะได้เปรียบจากจำนวน แต่มู่เฉินก็ทำให้บาดเจ็บไปเกือบครึ่ง หากพวกเขาต้องสู้ งานนี้ประสบความสูญเสียครั้งใหญ่แน่
ผู้อาวุโสทั้งสามของสาขาตระกูลลั่วเสินก็รู้สึกขมขื่นในใจ พวกเขาไม่คิดเลยว่าไม่เพียงแต่ชายหนุ่มคนนี้มีพลังที่ทรงศักยภาพ สำนักที่เรียกว่าตำหนักมู่ก็ยิ่งน่ากลัวไปกว่าเนื่องจากมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นถึงห้าคน!
การรวมตัวทรงพลังนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตระกูลเสี่ยเสินเลย!
เนื่องจากการปรากฏตัวของชายหนุ่มคนนี้ ทำให้สถานการณ์ของตระกูลลั่วเสินเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ภายใต้การคุ้มครองของเขา ลั่วหลีจะสามารถรับมรดกได้สำเร็จ ตำแหน่งของนางในตระกูลไม่มีทางสั่นคลอนในอนาคตอีกเลย
ความล้มเหลวของพวกเขาราวกับถูกกำหนดแล้ว
พวกเขามองไปที่เสี่ยหลิงจื่อด้วยความตื่นตระหนก ขณะนี้เขามีสีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน การปรากฏตัวของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นห้าคนทำให้เขาตกใจอย่างมาก แต่เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นจึงสามารถระงับอารมณ์เอาไว้
เขามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดมนพูดช้าๆ ว่า “ข้าเสี่ยหลิงจื่อได้พบกับผู้คนมามากมาย ไม่คิดว่าจะมามองพลาดที่แก”
น้ำเสียงของเขาไม่มีการดูถูกเหยียดหยามอีกต่อไป เขาเริ่มมองมู่เฉินเป็นคนในระดับเดียวกัน สถานะของมู่เฉินในฐานะผู้นำตำหนักมู่เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
มู่เฉินยิ้มให้กับคำพูดนี่
เสี่ยหลิงจื่อครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะพูดว่า “ข้าจะปล่อยเรื่องที่เจ้าฆ่าผู้อาวุโสตระกูลเสี่ยเสินและจะมอบของเหลวจื้อจุนให้เจ้าสามร้อยล้านหยด ที่ข้าขอคือให้เจ้าจากไปโดยสามารถพาลั่วหลีไปกับเจ้าได้!”
คำพูดของเขาทำให้เกิดความปั่นป่วนในทันที เนื่องจากไม่มีใครคิดว่าเสี่ยหลิงจื่อจะเด็ดขาดเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ไล่ล่ามู่เฉิน เขายังเต็มใจที่จะจ่ายค่าชดเชยและปล่อยลั่วหลีไป
แต่ถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้นตระกูลลั่วเสินพินาศแน่นอน
สายตาทุกคนมองไปที่มู่เฉิน เพราะจำนวนสามร้อยล้านหยดไม่น้อยเลย แม้แต่ตระกูลเสี่ยเสินยังต้องเทคลังทั้งหมดเพื่อสิ่งนั้น พลเมืองตระกูลลั่วเสินมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับตัวสั่นงันงก สำหรับพวกเขาจำนวนนั่นไม่อาจจินตนาการได้เลย กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังหวั่นไหว
ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาทราบดีถ้ามู่เฉินปฏิเสธ เขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ข้อดีข้อเสียเห็นได้อย่างชัดเจน
“ฮ่าๆ เป็นข้อเสนอที่ดึงดูดนัก” มู่เฉินทึ่งกับความกล้าได้กล้าเสียของเสี่ยหลิงจื่อ เขาหัวเราะเบาๆ มองไปที่ลั่วเทียนเสิน “ท่านประมุขลั่วคิดเห็นว่าอย่างไร?”
ลั่วเทียนเสินนิ่งเฉยหลังจากได้ยินคำถามโดยไม่มีความกังวล ไม่ใช่เพราะเขาเชื่อในมู่เฉิน ลั่วหลีต่างหากที่เป็นคนที่เขาเชื่อ สายตาของนางไม่เลือกคู่ครองที่ถูกดึงดูดด้วยเงินหรอก…
เมื่อเห็นท่าทางลั่วเทียนเสิน มู่เฉินก็เบ้ปากยิ้มให้เสี่ยหลิงจื่อ “ยังมีวิธีอะไรอีกก็ใช้มาซะ”
ประโยคนี้บอกคำตอบของเขาแล้ว
เมื่อเสี่ยหลิงจื่อได้ยิน เขาก็ไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย ชัดว่าคาดไว้แล้ว แต่สายตากลับเย็นเยือกลง อึดใจก็พูดอย่างใจเย็นว่า “ในเมื่อให้ทางแล้วพวกแกไม่ไป งั้นก็โทษข้าไม่ได้แล้ว”
ทันใดนั้นเขาก็หันกลับมาตะโกนด้วยความเคารพว่า “ผู้เฒ่าตงโปรดแสดงตัว!”
พร้อมกับเสียงของเสี่ยหลิงจื่อ ท้องฟ้าที่ไกลออกไปก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยือกด้วยเกล็ดหิมะโปรยปราย แช่แข็งดินแดนเอาไว้ทันที
เกล็ดหิมะลอยล่องมารวมกันเบื้องหน้าเสี่ยหลิงจื่อ เผยร่างชายชราสวมเสื้อคลุมสีขาว คิ้วและเคราขาวโพลน รูปร่างผอมบาง บนใบหน้าที่ไม่มีการแสดงออกใดๆ ปรากฏลวดลายเกล็ดหิมะคลุมเครือ
เมื่อทุกคนมองไปที่ชายชรา สีหน้าบางคนก็เปลี่ยนไปรุนแรง เสียงอุทานดังก้องออกมา
“นั่น…นั่นผู้เฒ่าหลิงตง?!”
“สวรรค์ทำไมเขามาที่นี่!”
ทุกคนฉายสีหน้าหวาดผวาบนใบหน้า สมาชิกตระกูลลั่วเสินใบหน้าซีดเป็นขี้เถ้าทันที แม้แต่ลั่วเทียนเสินก็มีเหงื่อหยดลงจากหัวเมื่อมองดูชายชราคนนี้
นั่นเป็นเพราะชายชราคนนี้เป็นคนมีชื่อเสียงในทวีปซีเทียนและเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม!
แน่นอนว่าสิ่งที่น่ากลัวมากกว่านี้คือ เขามาจากตำหนักซีเทียน!
“กะ…แกเชิญคนจากตำหนักซีเทียนมาเรอะ?!” ลั่วเทียนเสินมองเสี่ยหลิงจื่อด้วยดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าเสี่ยหลิงจื่อจะวางแผนขนาดนี้เพื่อจัดการกับตระกูลลั่วเสิน!
เสี่ยหลิงจื่อยิ้ม เขาจ่ายราคามหาศาลเพื่อเชิญจอมยุทธ์ผู้นี้มา ครั้งนี้ไม่ว่ามู่เฉินจะกระโดดโลดเต้นยังไง ก็ต้องตายแน่นอน!
“ก่อนหน้านี้ข้าให้ทางลงแล้ว แต่แกปฏิเสธ ตอนนี้สายไปแล้ว!” เสี่ยหลิงจื่อมองมู่เฉินอย่างเย็นชา รังสีสังหารพล่านในดวงตาของเขา
นั่นเป็นเพราะหากผู้เฒ่าหลิงตงเผยตัวตระกูลเสี่ยเสินจะต้องจ่ายราคามหาศาล ตอนแรกเสี่ยหลิงจื่อไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายเผยตัวด้วยซ้ำ…
เสี่ยหลิงจื่อหันมาทางหลิงตงกล่าวเสียงเคารพ “ท่านผู้เฒ่าช่วยลงมือกำจัดไอ้หนูจอมหยิ่งนั่นด้วย”
หลิงตงมองไปที่มู่เฉินโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ เกล็ดหิมะรอบตัวเขากวนตัวยิ่งขึ้น แม้แต่มิติยังถูกฉีกขาดออกจากกัน
ทว่าขณะที่ทุกคนรู้สึกว่ามู่เฉินจะต้องตาย หลิงตงก็ส่ายหัวตอบด้วยความเฉยเมยว่า “ข้าไม่สามารถฆ่าเขาได้”
เสี่ยหลิงจื่ออึ้งไปกับคำพูดนี่ คิดว่าได้ยินผิด ทันใดนั้นเขาก็ยิ้ม “ท่านผู้เฒ่าตงล้อเล่นแน่ๆ ท่านเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แค่พลิกมือก็สามารถฆ่าเขาได้ง่ายๆ ไม่ใช่เหรอ?”
ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ลั่วเทียนเสินและคนอื่นๆ ก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความประหลาดใจ
“ฮ่าๆ เขาพูดถูก เมื่อมีข้าอยู่ด้วย เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้…”
ขณะที่ทุกคนสับสน เสียงหัวเราะพลิ้วหวานนุ่มนวลก็ดังขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะเห็นร่างเงาเล็กปรากฏอยู่ข้างมู่เฉิน
เมื่อร่างเล็กปรากฏขึ้นดินแดนที่ถูกแช่แข็งก็กลับมาเป็นปกติ…
ลั่วเทียนเสิน เสี่ยหลิงจื่อและคนอื่นๆ ม่านตาหดเกร็ง ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปที่เงาละเอียดอ่อนด้วยความหวาดผวา เสียงตกใจหวาดกลัวดังก้องจากริมฝีปากของพวกเขา
“จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?”
บทที่ 1219 ไม่เป็น?
ปากหลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในแม่น้ำลั่ว
ซึ่งตัดการไหลผ่านของน้ำไป เสื้อผ้าของเสี่ยโส่วขาดรุ่งริ่ง ขณะที่นอนพะงาบในหลุม คลื่นหลิงดิ่งลง เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
ส่วนเสี่ยถงก็ยังนอนพังพาบอยู่อีกมุมหนึ่งของแม่น้ำ ซึ่งดูน่าสมเพชพอกัน
ขณะนี้หมอกเลือดที่เกิดจากร่างเสี่ยยีก็จางหายไปหมดแล้ว…
ทั้งเมืองเงียบกริบ ทุกคนอ้าปากตาค้างกับฉากนี้ ขณะนี้ไม่ว่าตระกูลเสี่ยเสินหรือตระกูลลั่วเสิน แม้กระทั่งจอมยุทธ์คนอื่นๆ ที่เฝ้าดูการต่อสู้ ทุกคนต่างสูดหายใจเข้าลึกในใจด้วยความหวาดกลัว
นั่นเป็นเพราะความสำเร็จนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว
ด้วยตัวคนเดียวมู่เฉินสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสามคน ฆ่าไปคนหนึ่งและบาดเจ็บหนักสองคน!
ยามนี้พวกเขายอมที่จะเชื่อว่ามู่เฉินเป็นระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายที่ซ่อนความแข็งแกร่งไว้ แต่ความจริงก็ย่อมโหดร้าย ถ้ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายตัวจริง พวกจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยทั้งสามคงไม่กล้าท้าทาย แม้จะให้ความกล้ากับพวกเขาเพิ่มขึ้นก็ตาม…
ดังนั้นความจริงคือมู่เฉินผู้สร้างผลงานชิ้นโบแดงสำเร็จเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเหมือนกับทั้งสามคนนั่น!
ทุกคนมองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตาที่เริ่มฉายแววเคารพยำเกรง
มู่เฉินแสดงสีหน้านิ่งสงบ เขาไม่ได้รู้สึกดีใจมากแม้จะประสบความสำเร็จ ราวกับว่าควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
ถ้าเป็นในอดีตหลายคนอาจรู้สึกว่าเขาอวดเก่ง แต่หลังจากบรรลุผลดังกล่าวทุกคนรู้สึกว่าความสงบของเขาลึกซึ้งและไม่อาจหยั่งรู้ได้
ท่ามกลางความเงียบสงบในทั่วฟ้าดิน แม้แต่จอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินยังมองร่างเงานั้นด้วยความสุขในส่วนลึกของดวงตา
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นี้เกินความคาดหมายพวกเขาไปมาก
ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามู่เฉินจะถูกสังหารโดยจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินทั้งสาม แต่สุดท้ายกลับเป็นตระกูลเสี่ยเสินที่พ่ายแพ้ นี่เป็นแสงความหวังสำหรับพวกเขาที่สิ้นหวังไปก่อนหน้า
บางทีชายหนุ่มที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับจักรพรรดินี อาจสามารถกอบกู้ตระกูลลั่วเสินได้จริงๆ
ลั่วซิวและลั่วชิงหยาแลกเปลี่ยนสายตากัน ยามนี้พวกเขาหมดแรงจูงใจในการแข่งขัน พวกเขาหวังอย่างแท้จริงว่ามู่เฉินจะช่วยลั่วหลีพาตระกูลลั่วเสินออกจากสถานการณ์สิ้นหวังนี้ได้
บางทีพวกเขาอาจมีข้อสงสัยก่อนหน้านี้ แต่ในเวลานี้พวกเขาเชื่อว่ามู่เฉินสามารถทำได้…
บนเจดีย์ ลูกกระเดือกของเหล่าผู้อาวุโสตำหนักมู่ก็ขยับขึ้นลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อพวกเขามองไปที่เสี่ยถงและเสี่ยโส่วซึ่งบาดเจ็บหนัก
จากนั้นก็มองมู่เฉินอีกครั้งด้วยความเคารพที่มีในระดับเดียวกับมั่นถัวหลัว ขณะนี้พวกเขามั่นใจในความแข็งแกร่งของมู่เฉินแล้ว
นั่นเป็นเพราะพลังที่มู่เฉินแสดงออกมาทำให้พวกเขายำเกรง ยิ่งกว่านั้นมู่เฉินยังอ่อนเยาว์มากซึ่งหมายความว่าเขามีศักยภาพในการเติบโตขึ้นไปอีก
ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าในอนาคต มู่เฉินจะไปได้ไกลกว่ามั่นถัวหลัว ในเวลานั้นตำหนักมู่ก็จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากเจ้าตำหนักอย่างมู่เฉิน
และพวกเขาก็สามารถพึ่งพามู่เฉินเพื่อให้ได้ตำแหน่งและทรัพยากรอย่างคาดไม่ถึง
“ประมุขมู่เป็นอัจฉริยะที่ได้รับพรจากสวรรค์มีศักยภาพเหลือล้น ในอนาคตเราทุกคนจะต้องดีใจสำหรับการเลือกนี้” หลิ่วเทียนเต้าถอนหายใจด้วยความเคารพ
ครั้งนี้เขาเรียกมู่เฉินว่าประมุขจากส่วนลึกของหัวใจ
เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่าหลิ่วเทียนเต้ายอมแพ้กับความกินแหนงแคลงใจที่มีต่อมู่เฉิน กระทั่งเอ่ยประจบสอพอขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่ชอบใจ แต่ถึงจะมีความคิดนี้ในใจพวกเขาก็ยังพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของหลิ่วเทียนเต้า
พอเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นริมฝีปากของมั่นถัวหลัวก็โค้งขึ้น เนื่องจากนางรู้ว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตาเฒ่าเหล่านี้จะยอมรับมู่เฉินได้อย่างแท้จริง
นั่นหมายความว่าจากนี้พวกเขาจะสละความเย่อหยิ่งและเคารพมู่เฉินในฐานะผู้นำ จนยอมสวามิภักดิ์ทั้งใจกาย…
“เจ้าหนูนี่…”
ภายใต้สายตาตกใจมากมาย ลั่วเทียนเสินก็อึ้งไปขณะมองแม่น้ำลั่วที่มีสภาพวุ่นวายก่อนที่จะหันไปมองมู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน
เขาตกตะลึงมากกับความสำเร็จนี้เช่นกัน
ด้วยขุมพลังที่เหมือนกัน มู่เฉินสามารถสังหารไปคนหนึ่ง อีกสองคนก็บาดเจ็บหนัก ผลลัพธ์ดังกล่าวเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนพูดไม่ออก
เกี่ยวกับเรื่องนี้ลั่วเทียนเสินรู้สึกถึงความซับซ้อนที่สุดในหัวใจ เพราะเขาเคยได้เห็นว่ามู่เฉินอ่อนแอและไร้ประโยชน์แค่ไหนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
แต่ในเวลานั้นลั่วเทียนเสินก็สามารถบอกได้ถึงความดื้อรั้นและความเพียรที่ชายหนุ่มมี
ตอนนั้นเขารู้สึกได้เลือนรางว่ามู่เฉินน่าจะเติบโตอย่างทรงพลัง…
และเป็นอย่างที่คาดไว้มู่เฉินเติบโตอย่างแกร่งกล้า แต่ที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือมู่เฉินจะสามารถบรรลุผลได้รวดเร็วเพียงนี้…
เขาใช้เวลาไปเพียงสี่ปี!
ชายหนุ่มที่ไม่แม้แต่จะก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนในตอนนั้นกลับพุ่งแรงยิ่งกว่าดาวฤกษ์ก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน นอกจากนี้ยังมีทักษะและความแข็งแกร่งที่ทรงพลังเช่นนี้อีกด้วย!
เมื่อมองไปทางมู่เฉิน แม้แต่คนอย่างลั่วเทียนสินยังผวาหน่อยๆ เขารู้สึกโชคดีที่ไม่ได้ขัดขาหรือรังแกชายหนุ่มคนนี้มากเมื่อตอนที่อ่อนแอ มิฉะนั้นเขาจะถูกวางให้อยู่ในตำแหน่งที่น่าอึดอัดใจ
“ยอมมีเรื่องกับตาแก่ ดีกว่ามีเรื่องกับเด็กหนุ่ม” ลั่วเทียนเสินถอนหายใจด้วยอารมณ์หนักหน่วง
เนื่องจากความสำเร็จของมู่เฉิน จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งสามคนของตระกูลสาขาก็หยุดชะงักไปเช่นกัน พวกเขาต่างเห็นความกลัวบนใบหน้าของกันและกัน เมื่อมองดูสภาพของเสี่ยถงและเสี่ยโส่ว
“ฮ่าๆ น่าเกรงขามอะไรอย่างนี้!”
ดวงตาของลั่วเทียนหลงแจ่มใส เขาระเบิดเสียงหัวเราะร่วน “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลั่วหลีรักอย่างมั่นคง สายตาของนางไม่ธรรมดาเหมือนกับพรสวรรค์เลย!”
ในขณะที่พูดก็มองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสามพลางเย้ยหยันอย่างเยือกเย็น “ดูเหมือนต้นขาของตระกูลเสี่ยเสินไม่ได้หนาอย่างที่แกคิดไว้นะ”
ทั้งสามคนนั้นแสดงออกด้วยท่าทางน่าเกลียด แต่ก็ยังพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “ต่อให้เด็กเหลือขอนั่นจะทรงพลัง แต่ตอนนี้ก็คงถึงขีดสุดแล้ว”
ลั่วเทียนหลงล้อเลียนด้วยรอยยิ้ม ไม่ใส่ใจพวกเขาอีก สายตามองไปที่มู่เฉินด้วยความพอใจอย่างยิ่ง วิธีการของชายหนุ่มถูกใจเขามากเลยทีเดียว
ทุกคนต่างตกตะลึงชื่นชมไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะหันมองไปที่เสี่ยหลิงจื่อที่ตอนนี้ใบหน้ามืดมนลงหลายส่วนพร้อมกับรังสีสังหารวาบขึ้นในดวงตาขณะจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน
ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม ทุกคนสามารถจินตนาการได้ถึงความโกรธในใจเขา
“ไอ้ขี้กลาก! ขยะสามชิ้น! ถูกเด็กเหลือขอซัดจนถึงจุดนี้ พลังที่พวกแกฝึกฝนไปอยู่ในร่างสุนัขหมดเลยเรอะ?!”
เสี่ยหลงจื่อขบฟันขณะที่คำราม ความโกรธแค้นถูกระบายไปที่เสี่ยถงและเสี่ยโส่ว ซึ่งทำให้ทั้งสองละอายใจนัก
ทั้งสองคนตัวสั่นสะท้าน พวกเขารู้ว่าคงมีแต่เสียงหัวเราะเยาะเย้ยในอนาคตหากมีข่าวว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสามคนพุ่งชนมู่เฉินแต่สุดท้ายกลับล้มเหลว ตายหนึ่งคน บาดเจ็บสองคน
“พวกเจ้าลงมือให้หมดฆ่าไอ้เด็กเหลือขอนั่น!”
สายตาของเสี่ยหลิงจื่อมืดมน เขาไม่เพียงแต่มองไปที่เสี่ยถงและเสี่ยโส่งเท่านั้น ยังหมายรวมไปที่จอมยุทธ์อีกสองคนของตระกูลเสี่ยเสินด้วย
ถึงแม้ใบหน้าจะซีดเซียว เสี่ยถงและเสี่ยโส่วก็ยังตะเกียกตะกายยืนขึ้นอย่างช้าๆ
“และพวกแกด้วย สามคนยังจัดการคนเดียวไม่ได้ หากไม่ต้องการมีชีวิตแล้ว ข้าจะช่วยสนองให้!” เสี่ยหลิงจื่อหันกลับมาอย่างเย็นชาขณะที่มองผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลลั่วเสินสาขา
“ไปจัดการพร้อมกัน หากไอ้เด็กเหลือขอนั่นไม่ตาย วันนี้พวกแกลงนรกแทนแน่!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ทั้งสามคนก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นไม่น่าดูอย่างยิ่ง พวกเขารู้สึกถึงไอสังหารในสายตาของเสี่ยหลิงจื่อ ทว่าพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะลบล้างคำพูดเหล่านั้น ทำได้เพียงขบฟัน ก่อนสองคนจะแยกไปปรากฏข้างๆ เสี่ยถงและเสี่ยโส่ว
จอมยุทธ์อีกสองคนของตระกูลเสี่ยเสินก็มาถึงเช่นกัน ทีนี้ก็มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเตรียมประจัญบานกับมู่เฉินถึงหกคน
แม้ว่าเกือบครึ่งหนึ่งของพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ การรวมตัวนี้ก็ยังคงน่ากลัว
โห!
เผชิญหน้ากับวิธีไร้ยางอายของตระกูลเสี่ยเสิน ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นในเมืองลั่วเสิน บางขั้วอำนาจที่เฝ้าดูสิ่งนี้ก็ได้แต่สาปแช่ง ตระกูลเสี่ยเสินละทิ้งใบหน้าของพวกเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว…
จอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินกัดฟันกรอด แต่ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้
“ผู้ชนะคือกฎ หากมัวใส่ใจกับมุมมองของคนอื่น ตระกูลเสี่ยเสินก็จะไม่มีโอกาสลุกขึ้นแล้ว”
ทว่าเสี่ยหลิงจื่อไม่ได้ใส่ใจกับสายตามากมายขณะที่เอ่ยเยาะเย้ย เขามองมู่เฉินอย่างโหดเหี้ยม “ไอ้หนู แกมีไพ่ตายเยอะไม่ใช่เรอะ? มาลองใหม่อีกสิ หากสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งหมดตระกูลเสี่ยเสินจะยอมจำนนต่อตระกูลลั่วเสินเลย!”
มู่เฉินยิ้มอ่อน “หมาในเหมือนแกฆ่าให้ตายเลยจะดีกว่า ไม่ต้องมาจำนนอะไรหรอก”
“ดื้อด้าน รนหาที่ตาย!” สายตาของเสี่ยหลิงจื่อเย็นชาลง
มู่เฉินยักไหล่ก่อนที่จะมองไปที่จอมยุทธ์ทั้งหกคนพลางแย้มยิ้ม “แกแน่ใจหรือว่าวันนี้ข้าจะเป็นคนตาย?”
“โอ้?” มุมโค้งเย้ยหยันผุดขึ้นที่มุมปากของเสี่ยหลิงจื่อ “แกสามารถรับมือกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหกคนได้เชียวรึ?”
มู่เฉินยิ้มด้วยดวงตาที่หรี่ลงขณะมองคนทั้งหกพูดขึ้นว่า “ดูเหมือนแกจะลืมสิ่งที่ข้าพูดไปแล้ว”
เสี่ยหลิงจื่อขมวดคิ้ว เค้นเสียงเย็น “อะไร? แกยังแกล้งทำอยู่เหรอ?”
มู่เฉินหลุบตาลงตอบเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าชื่อมู่เฉินเป็นประมุขตำหนักมู่”
เสี่ยหลิงจื่อหัวเราะเสียงเย็นเยือก “ตำหนักมู่อะไร ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้าง เมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่ายเสี่ยหลิงจื่อก็รู้สึกไม่สบายใจทันที
“ในเมื่อข้าเป็นประมุข แกคิดว่าทั้งสำนักมีข้าคนเดียวรึ?”
“กำลังเสริม แกคิดว่าข้าเรียกไม่เป็นรึไง?”
พูดจบมู่เฉินก็ยกมือขึ้นแล้วกวาดลงเบาๆ
เมื่อมือของเขากวาดลง ทุกคนก็เห็นห้วงมิติบิดเบือนรอบตัวมู่เฉิน ร่างเงาจำนวนหนึ่งที่มาพร้อมกับความผันผวนของพลังงานที่ไร้ขอบเขตก้าวออกมาปรากฏอยู่ด้านหลัง ภายใต้สายตาตื่นตะลึงงันนับไม่ถ้วน
ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนไปรุนแรง เขาหายใจเข้าลึกด้วยความไม่เชื่อ ความกลัวพวยพุ่งจากหัวใจไปยังหัวทำเอาหนังหัวลุกชันเลยทีเดียว…
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1218 ความสำเร็จ
เหนือแม่น้ำลั่ว
หมอกเลือดลอยเคว้างคว้าง ทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบ ราวกับว่าถูกความกลัวที่มองไม่เห็นปกคลุมไปทั่ว
ทุกคนงุนงงเมื่อมองหมอกเลือด หากพวกเขาไม่ได้เห็นกับตาแน่นอนว่าไม่มีทางจะเชื่อว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจะถูกฆ่าต่อหน้าเช่นนี้…
นั่นคือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนนะ!
ยอดยุทธ์ของมหาพันภพที่สามารถเป็นชนชั้นสูงแม้แต่ในชนเผ่าโบราณ!
ในบางพื้นที่พวกเขาสามารถเป็นชนชั้นปกครองครอบครองทั้งดินแดนในฐานะผู้ปกครองได้เลย
ทุกคนรู้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทรงพลัง เพราะพลังชีวิตถูกยกขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น เมื่อถึงระดับนั้นจุดจื้อจุนไห่จะแตกสลายและวิวัฒนาการหลอมรวมเข้ากับร่างกายอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นแม้ว่าร่างกายส่วนใหญ่ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจะถูกทำลาย ตราบใดที่ยังมีพลังเหลืออยู่เพียงน้อยนิด พวกเขาก็จะสามารถฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้
ถ้าต้องการฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ก็ต้องลบพลังที่มีอยู่ในทุกอณูทิ้งออกไป!
นี่เป็นเรื่องยากที่จะบรรลุความสำเร็จนี้ เว้นแต่ว่าเป็นการปราบปรามสมบูรณ์
สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่จะสังหารจอมยุทธ์ในระดับเดียวกันก็ยิ่งยากขึ้นไปใหญ่
ทว่าภาพนี้ก็เกิดขึ้นที่เบื้องหน้าสายตาพวกเขา…
เอื๊อก
หลายคนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนคนอื่นที่แอบสังเกตตระกูลลั่วเสินอยู่ก็รู้สึกหวาดผวาในใจ
บนเจดีย์ที่อยู่ห่างไกลพวกหลิ่วเทียนเต้ามองหน้ากันก็เห็นความกลัวในดวงตาแต่ละคน ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะมีความสามารถในการสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นแบบไม่เหลือซากได้
เมื่อหลิ่วเทียนเต้านึกย้อนถึงการดวลของตนกับมู่เฉิน เขาก็รู้สึกว่าเหงื่อไหลโชกมาจากแผ่นหลัง โชคดีที่มู่เฉินไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเขา ไม่งั้นผลลัพธ์ของเขาคงไม่ดีไปกว่าจออมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินคนนี้แล้ว
ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาประเมินประมุขตำหนักมู่ต่ำไป…เนื่องจากชายหนุ่มที่เคยถูกมองว่าเป็นมดในอดีตได้ก้าวข้ามพวกเขาไปแล้วอย่างแท้จริง
ดวงตาของพวกเขาสั่นไหวขณะถอนหายใจ พวกเขาเริ่มแก้ไขจุดยืนของมู่เฉินในใจ อย่างน้อยพวกเขาก็รู้สึกเคารพต่อผู้นำหนุ่มคนนี้เพิ่มอีกหลายส่วน
มั่นถัวหลัวไม่ได้พูดอะไร นางทำเพียงเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาอย่างใจเย็น ครั้งนี้ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะข่มขู่ตระกูลเสี่ยเสินได้เท่านั้น แต่เขายังทำให้พวกหัวสูงตื่นจากฝันด้วย
ขณะนี้บางทีพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าถึงมู่เฉินจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากนาง เขาก็สามารถดำรงตำแหน่งผู้นำตำหนักมู่ได้อย่างมั่นคง
นอกจากนี้ในฐานะคนเข้าใจที่ดีที่สุด มั่นถัวหลัวรู้ว่ามู่เฉินยังไม่ได้หงายไพ่ทั้งหมด เพราะเขายังมีวิชาสามพิสุทธิ์ไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่อีกด้วย…
ไม่เช่นนั้นไม่ต้องพูดถึงเสี่ยยี ต่อให้จอมยุมธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นของตระกูลเสี่ยเสินทั้งสามคนโจมตีพร้อมกันก็ไม่มีทางได้เปรียบใดๆ จากวิชาสามพิสุทธิ์ของมู่เฉิน
แต่เห็นชัดว่ามู่เฉินยังไม่ต้องการเปิดเผย ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเล่นกับเสี่ยยีนานแบบนี้…
“ไอ้เด็กเหลือขอ! ข้าจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ!”
ขณะที่ทั่วบริเวณเงียบกริบ ไม่นานเสียงคำรามโกรธแค้นก็ดังกึกก้องพร้อมกับจิตสังหารรุนแรง
ดวงตาของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ คลื่นหลิงน่าสยดสยองก่อตัวเป็นมหาสมุทรโลหิตกระจายไปทั่ว
เขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะเหี้ยมขนาดฆ่าเสี่ยยีโดยไม่ลังเล!
นี่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับตระกูลเสี่ยเสิน แค่คิดก็ทำให้เสี่ยหลิงจื่อคั่งแค้นในหัวใจนัก
ตู้ม!
ภายใต้ความโกรธ เสี่ยหลิงจื่อเกือบจะสูญเสียการควบคุมตนเองขณะที่เคลื่อนไหว นิ้วเหยียดออก สายธารเลือดพุ่งออกมา ซึ่งอัดแน่นด้วยใบหน้าที่น่ากลัวนับไม่ถ้วน
ปัง!
ทว่าคลื่นหลิงขนาดใหญ่อีกสายหนึ่งก็เข้าครอบงำสายธารเลือดออกไป นี่คือการสกัดจากลั่วเทียนเสิน
ลั่วเทียนเสินหันมามองมู่เฉินอย่างซับซ้อน ก่อนจะหันไปที่เสี่ยหลิงจื่อพูดจาเยาะเย้ยว่า “แกคิดว่าข้าเป็นแจกันดอกไม้เท่านั้นหรือ?”
“ลั่วเทียนเสิน ตราบใดที่แกส่งไอ้เด็กบ้านี่มา ข้ารับประกันว่าจะไม่ยุ่งกับตระกูลลั่วเสินอีกต่อไป!” เสี่ยหลิงจื่อกัดฟัน ขณะนี้ความเกลียดชังที่มีต่อมู่เฉินพวยพุ่งขึ้นถึงขีดสุด
แต่เผชิญกับข้อเสนอนี้ ลั่วเทียนเสินกลับยิ้มเย้ยหยัน จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ร่างเวทสวรรค์เบื้องหลังระเบิดคลื่นหลิงน่ากลัวออกมา ปิดกั้นเสี่ยหลิงจื่อไม่ให้โจมตีมู่เฉินได้
“ดี! ดี! ลั่วเทียนเสิน แกจะต้องเสียใจกับสิ่งนี้!”
เมื่อเห็นคำตอบของลั่วเทียนเสิน ท่าทางของเสี่ยหลิงจื่อก็น่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วนขณะที่ขู่ฟ่อ สายตาเย็นชาไม่สิ้นสุดมองมู่เฉินจากระยะไกล ราวกับว่าเขากำลังกดดันอีกฝ่ายอยู่
ทว่ามู่เฉินไม่ใส่ใจสายตาที่จ้องมองอย่างเย็นชา เขาปัดมือเบาๆ พลางมองเสี่ยถงที่ถูกขังอยู่ในค่ายกล
ยามนี้ภายใต้การโจมตีของเสี่ยถง ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารใกล้จะล่มสลายลงแล้ว มังกรเจ็ดตัวลดลงเหลือสามตัวเท่านั้น
ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นด้วยค่ายกลระดับจงซือที่ไร้ผู้ควบคุม
แต่ถึงเวลาจบเรื่องนี้แล้ว
มู่เฉินยิ้มอ่อนให้กับเสี่ยถงที่อยู่ในค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ร่างเงาของเขาเคลื่อนไปปรากฏอย่างรวดเร็วภายในค่ายกลแล้วนั่งลง
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินพลิ้วตัวลงมานั่งในค่ายกล ใบหน้าของเสี่ยถงก็เปลี่ยนไปรุนแรง เนื่องจากเขารู้ชัดเจนว่าตราบใดที่หลิงเจิ้นซือเข้าควบคุมค่ายกลด้วยตนเอง พลังอำนาจก็จะเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ
“ไม่เลวเลย ที่สามารถทำลายค่ายกลจนอยู่ในลักษณะนี้ได้…”
มู่เฉินมองค่ายกลที่เกือบจะแตกสลายก็ยิ้มบาง ดวงตาส่องประกายเย็นชาพลางโบกมือ สัญลักษณ์หลิงยิ่งพวยพุ่งออกมาจากมือรวมเข้ากับค่ายกลเบื้องหน้า
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เมื่อมู่เฉินเริ่มเคลื่อนไหว ค่ายกลที่กำลังจะแตกสลายก็ได้รับการกู้คืนอย่างสมบูรณ์ในเวลาไม่กี่สิบลมหายใจ!
เสี่ยถงกัดฟันกรอดกับภาพนี้ เขาใช้ความพยายามมากในการสร้างความเสียหายให้กับค่ายกล แต่มู่เฉินเรียกคืนค่าได้ในทันที
“ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก่อนหน้าเป็นเพียงการป้องกัน ตอนนี้เจ้ามาลองอีกสักหน่อยไหม?”
มู่เฉินมองไปที่เสี่ยถงด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขาหรี่แคบลงขณะที่มือสร้างตราประทับ
โฮก!
เสียงคำรามของมังกรดังออกมาจากค่ายกล จากนั้นทุกคนก็เห็นมังกรทีละตัว…ละตัวถูกสร้างขึ้นภายในอีกครั้ง
ไม่กี่อึดใจจำนวนมังกรก็กลับมาเป็นเจ็ดตัวอีกครั้ง!
นอกจากนี้เมื่อมังกรทั้งเจ็ดก่อตัวขึ้น แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดแรงกล้ากว่าเดิมหลายเท่า!
ค่ายกลที่มีจำนวนมังกรเหมือนกัน แต่ภายใต้การควบคุมของมู่เฉินพลังที่แท้จริงก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างสมบูรณ์
เมื่อรับรู้ถึงแรงกดดัน ใบหน้าของเสี่ยถงก็บิดเบี้ยวไม่น่าดู ความกลัววูบไหวในส่วนลึกของดวงตา
เนื่องจากในเวลานี้เขารู้สึกถูกคุกคามโดยค่ายกลจริงๆ แล้ว
ถ้าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก่อนหน้าสามารถดักจับเขาได้เท่านั้น คราวนี้ถ้าเขาไม่ระวังก็มีโอกาสที่จะถูกฆ่าเหมือนเสี่ยยีแน่!
“ข้าไม่มีเวลามากพอที่จะจัดการกับเจ้าเพราะยังมีลูกหมาอีกตัวต้องไปจัดการ ถ้าเจ้าสามารถรอดไปได้ ก็ถือว่ามีความสามารถ”
มู่เฉินมองเสี่ยถงอย่างเย็นชา โดยไม่ลังเลตราประทับก็วาดวูบไหว มังกรทั้งเจ็ดตัวแผดเสียงกึกก้องฟ้าดินพลางพุ่งเข้าหาเสี่ยถงพร้อมเพรียงกัน
เสาแสงระเบิดออกมาจำนวนมหาศาลจากร่างมังกรทั้งเจ็ด จากนั้นพวกมันก็หลอมรวมกันกลายเป็นมังกรขนาดแสนจั้ง ปลดปล่อยความผันผวนขณะที่พุ่งเข้าหาเสี่ยถง
เผชิญหน้ากับการโจมตีน่ากลัวนี้ ใบหน้าของเสี่ยถงก็เปลี่ยนไปรุนแรง เขาเร้าร่างเวทสวรรค์โดยไม่ลังเล กางไพ่ตายทั้งหมดออกมาทันที
ตู้ม ตู้ม!
อึดใจมังกรก็พุ่งตัวลงมาอย่างรุนแรง คลื่นหลิงระเบิดออก คลื่นกระแทกที่มองเห็นกระจายออกไปทำให้มิติโดยรอบถูกฉีกออกจากกัน
แม้แต่ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็ยังไม่สามารถรองรับพลังทั้งหมดได้ สายผนึกแตกหักเป็นเสี่ยงๆ…
ทว่าเมื่อค่ายกลแตกสลาย ร่างเวทสวรรค์ขนาดใหญ่ก็ปริแตกออกจากกัน เงาที่ดูน่าเวทนากระเด็นออกไปหลายหมื่นจั้ง ถลาข้ามแม่น้ำลั่วไปเลยทีเดียว
มู่เฉินไม่ได้สนใจค่ายกลที่ล่มสลายลง เขาเพียงแต่มองไปที่เสี่ยถงอย่างเสียดาย นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกว่าแม้ว่าเสี่ยถงจะได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ก็ไม่ตาย
ยกที่สองจบลงด้วยเสี่ยถงบาดเจ็บสาหัส!
มู่เฉินไม่สนใจเสียงหายใจเข้าเย็นเยือกของผู้คน แต่หันกลับพุ่งเข้าไปในกองทัพสังหารวิญญาณ
เขาจะต้องจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนที่สาม ขณะที่กองทัพสังหารวิญญาณยังอยู่ในสภาพสูงสุด
จังหวะที่มู่เฉินเข้ามาในกองทัพสังหารวิญญาณ รัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากก็ครางกระหึ่ม ทำให้ผู้คนที่มองหนังหัวลุกชันเลยทีเดียว
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
รัศมีจั้นยี่ดุเดือดระเบิดขึ้น ก่อนที่มู่เฉินจะโบกมือเก็บกองทัพสังหารวิญญาณ สายตาเย็นชามองไปที่หลุมในแม่น้ำลั่วที่มีเสี่ยโส่วนอนพังพาบอยู่ภายใน
ยกที่สามจบลงด้วยเสี่ยโส่วบาดเจ็บสาหัส!
เวลานี้ทั่วทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1217 ร่วงตาย
ทุกคนมองกาสายะสีแดงก่ำที่ห่อหุ้มมู่เฉินด้วยท่าทางเคร่งเครียด
แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังมีปัญหาหลังจากถูกขังไว้ภายใน แม้ว่ามู่เฉินจะไม่ธรรมดา เขาก็คงต้องใช้เวลาไม่น้อยในการหลุดพ้น
พวกเขามองไปที่เสี่ยถงและเสี่ยโส่วที่กำลังระเบิดคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัว เผชิญกับการโจมตีบ้าคลั่งนั้น ค่ายกลและกองทัพก็เหมือนจะอ่อนกำลังลง
หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปแบบนี้ มู่เฉินอาจจะต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสามคนโดยไม่เว้นช่องว่าง
ในเวลานั้นทั้งสามที่เคยเสียเปรียบมาแล้วจะไม่ให้โอกาสมู่เฉินได้จัดการทีละคนอีกแน่นอน เผชิญกับการทั้งสามในเวลาเดียวมู่เฉินยากที่จะต่อกรแน่
บางคนถึงกับถอนหายใจ ดูเหมือนว่าตระกูลเสี่ยเสินจะพลิกสถานการณ์กลับมาแล้ว
สิ่งนี้สังเกตเห็นโดยจอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินเช่นกัน พวกเขาแสดงความกังวลออกมาในแววตา
ในทางตรงข้ามเสี่ยหลิงจื่อกลับรู้สึกโล่งใจ แต่ก็ต้องกัดฟันกรอด เขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นจะทำให้ตระกูลเสี่ยเสินตกอยู่ในสถานการณ์น่าอนาถเช่นนี้ แม้ว่าพวกเขาจะชนะในวันนี้ก็จะถูกเหยียดหยามจากคนอื่นอย่างแน่นอน เพราะการสู้แบบสามต่อหนึ่งกลับได้ผลลัพธ์แย่แบบนี้
แต่โชคดีที่ไอ้หนูที่รังเกียจจะต้องตายในวันนี้!
ฮา
เสี่ยยีที่ยืนอยู่บนร่างกาสายะโลหิตก็รู้สึกโล่งใจ เขามองไปที่ผ้าจีวรสีแดงเข้มด้วยสายตาน่ากลัว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตกอยู่ในสภาพน่าสมเพช โดยจอมยุทธ์ที่มีขุมพลังเดียวกัน
“หึ แต่ไม่ว่าแกจะผยองขนาดไหน อย่าคิดว่าจะมีช่วงเวลาดีๆ ตอนที่ติดอยู่ในกาสายะโลหิตปีศาจ!” เสี่ยยีเค้นเสียงเยาะ แต่เขารู้ว่าแม้จะมีสิ่งนี้การสังหารหมู่เฉินก็คงเป็นเรื่องยากมาก โชคดีที่เขาต้องการเพียงซื้อเวลา ตอนที่มู่เฉินได้รับอิสระก็จะได้เผชิญหน้ากับการโจมตีของจอมยุทธ์สามคน
เมื่อคิดถึงผลลัพธ์นี้ เสี่ยยีก็รู้สึกสบายใจ แต่ขณะที่เขากำลังรอเวลาที่จะมาถึง สีหน้าก็ต้องเปลี่ยนไป
“หืม?”
เสี่ยยีขมวดคิ้ว มองไปที่กาสายะโลหิตปีศาจ เขาเหมือนจะรู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานหลิงที่แปลกประหลาด แต่ก่อนที่เขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็เห็นปลายแหลมคมกรีดออกมาอย่างช้าๆ
แสงสีม่วงทองระเบิดออกมาพร้อมกับรัศมีคมชัดเหลือเชื่อกวาดออก แม้แต่มิติโดยรอบยังถูกเจาะเป็นรู
ความคมชัดนั้นราวกับว่าสามารถทะลุผ่านทุกสิ่งได้!
กีด กีด!
ยามนี้กาสายะโลหิตปีศาจปล่อยเสียงกรีดร้องโหยหวน
แคว๊ก!
ใบหน้าของเสี่ยยีเปลี่ยนไปรุนแรง ความสยองขวัญเพิ่มขึ้นบนใบหน้าเขา นั่นเป็นเพราะตอนนี้เขาได้ยินเสียงแสบแก้วหูที่ทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือดไป
ภายใต้สายตาตกตะลึงจำนวนมาก แสงสีม่วงทองก็เจาะทะลุกาสายะโลหิต ฉีกมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“เป็นไปได้ยังไง” สายตาของเสี่ยยีเต็มไปด้วยความกลัวและไม่เชื่อขณะที่พึมพำ
หลายคนอ้าปากค้างเพราะไม่มีใครคิดว่ากาสายะโลหิตที่สร้างปัญหาให้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนมามากมายหลายคนจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที
“นั่นคืออะไร?”
ทุกคนมองดูแสงสีม่วงทองก็รู้สึกตะลึงงัน เนื่องจากพบว่าแสงสีม่วงทองนี้เป็นหมุดขนาดใหญ่!
ทว่าความคมกริบของหมุดนี้ส่งอาการหนาวสะท้านลงมาตามสันหลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นรู้สึกหวาดกลัว พวกเขารู้สึกว่าหากหมุดนี้ตอกใส่เข้าละก็ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสามารถทนได้ด้วยพลังกายที่มี
ฟิ้ว!
หมุดเจาะทะลุกาสายะโลหิตเพิ่มความเร็ว พุ่งไปในทิศทางของเสี่ยยี
ยามนี้เสี่ยยีรู้สึกถึงแสงสีม่วงทองพุ่งทะลุท้องฟ้า ทันใดนั้นเขาก็ราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างพลางแผดเสียงลั่น ร่างกาสายะโลหิตใต้เท้าระเบิดแสงโชติช่วงสร้างเป็นชั้นตาข่ายเลือด ทว่าตอนนี้การป้องกันของเขาลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อใช้วิชากาสายะโลหิตปีศาจไป
ชี่ ชี่!
หมุดเจาะทะลุตาข่ายเลือดไปชั้นๆ แต่ตาข่ายพวกนี้ก็มีลักษณะพิเศษ เมื่อแตกสลายก็จะมีโลหิตเหนียวหนืดพุ่งออกไปเพิ่มความทนทานให้กับตาข่ายชั้นหลังๆ
ไม่กี่อึดใจเมื่อหมุดเจาะถึงตาข่ายชั้นสุดท้าย ซึ่งเหนียวจนกระทั่งเหมือนปราการเลือดข้น แม้แต่หมุดที่คิมกริบก็เจาะทะลุได้ช้าลง
เสี่ยยีมองหมุดที่ยังสามารถเจาะทะลวงเข้ามา แม้เขาจะใส่พลังทั้งหมดที่มีเข้าไปในการป้องกัน เขาก็ต้องกัดฟันกรอดก่อนจะเปิดปากปล่อยลำแสงสีแดงเข้มออกไป
“ธงโลหิตปีศาจ!”
ลำแสงขยายอย่างรวดเร็วภายในธงรวมเข้ากับตาข่ายเลือด ฉับพลันหมุดก็ติดขัดไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป
เห็นได้ชัดว่าธงโลหิตปีศาจเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำ!
ในที่สุดก็หยุดหมุดได้ด้วยความช่วยเหลือของธงโลหิต เสี่ยยีรู้สึกโล่งใจมากยามนี้แผ่นหลังเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อหมดแล้ว
วาบ!
ทว่าขณะที่เขากำลังรู้สึกโล่งใจ แสงก็วูบไหวที่เบื้องหน้า มู่เฉินทะยานเข้ามามองเสี่ยยีด้วยยิ้มตาหยี พัดขนนกสีเขียวปรากฏขึ้นในมือ
ฮึ่ม!
เมื่อพัดโบกลมพายุขนาดใหญ่ก็กวาดไปทั่วบริเวณ พายุไซโคลนสีฟ้าอมเขียวพุ่งออกมา ตาข่ายเลือดและธงโลหิตก็ปลิวออกไป
ทันใดนั้นรูม่านตาของเสี่ยยีก็หดแคบลง ขณะที่รู้สึกว่าหนังหัวกำลังกรีดร้องด้วยอันตราย เขาถอยหนีจ้าละหวั่น
หลังจากเป่าแนวป้องกันออกไปได้ มู่เฉินก็กำมือเข็มปรากฏขึ้น แสงสีม่วงทองเปล่งประกายกลายเป็นของเหลวบินวนรอบปลายนิ้วของมู่เฉิน
ส่วนร่างเขาก็หายวาบไป
วาบ!
วินาทีต่อมาร่างมู่เฉินก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าเสี่ยยีด้วยความเร็วที่น่ากลัว ทำให้ความขนพองสยองเกล้าปรากฏบนใบหน้าของเสี่ยยี
เวลานี้เขารู้สึกถึงปากเหวนรกแล้ว
“เราเสียเวลามามาก คงพอได้แล้วมั้ง?”
มู่เฉินมองเสี่ยยีด้วยท่าทางเย็นชา ชายคนนี้เกือบทำให้ลั่วหลีต้องจบชีวิตลง มิหนำซ้ำความต้องการสังหารในใจเขาก็มาถึงขีดสุดแล้ว
ทว่าไม่ง่ายที่จะฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ดังนั้นเขาก็ต้องรอโอกาส…เช่นตอนนี้
มู่เฉินฉายสายตาไม่แยแส นิ้วราวกับเคลื่อนผ่านมิติกระแทกบนหน้าอกของเสี่ยยี เจาะทะลุเป็นรูเลือด
ปัง!
แต่ขณะที่ดัชนีของมู่เฉินเจาะทะลุหน้าอกไป เสี่ยยีก็กัดฟันระเบิดแขนตัวเอง เส้นใยเลือดแวววาว ร่างเขาหายไปอย่างลึกลับ ห่างออกไปหลายหมื่นจั้งในพริบตา
เขาใช้วิธีทำร้ายตัวเองเพื่อใช้โอกาสช่วงสั้นๆ ในการถ่ายโอนมิติและหลบหนีการสังหารของมู่เฉินไป
ใบหน้าของเสี่ยยีซีดลงเมื่อมองไปที่มู่เฉิน สายตาน่ากลัวฟันขบกันกรอด “ไอ้เวร แกไร้เดียงสาไปแล้ว ที่คิดจะฆ่าข้า!”
ชีวิตของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคงกระพัน เว้นแต่จะเป็นสถานการณ์การปราบปรามที่สมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นก็เป็นเรื่องยากที่จะถูกฆ่า
เมื่อมองเสี่ยยีที่หลบหนีไป รอยยิ้มเย้ยหยันบางจางก็ปรากฏบนใบหน้าเฉยเมยของมู่เฉิน
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั่น เสี่ยยี่ก็รู้สึกถึงไอเย็นยะเยือกสะท้อนในใจ จากนั้นเมื่อก้มหน้าลง ก็เห็นแผลบนหน้าอกมีของเหลวสีม่วงทองฝังอยู่ในเนื้อ
ของเหลวสีม่วงทองนั้นคล้ายกับปรอทแพร่กระจายไปทั่วร่างในพริบตา
เสี่ยยีหวาดกลัวอย่างมากกับภาพที่เห็น เนื่องจากตระหนักได้ว่าของเหลวได้ปิดผนึกคลื่นหลิงเอาไว้ ทำให้คลื่นหลิงในส่วนที่ปนเปื้อนของร่างกายถูกระงับ
“ไม่!”
รัศมีแห่งความตายโอบล้อมขณะที่เสี่ยยีแผดเสียงออกมา
“รหัสเทพอมตะ แปรเปลี่ยน”
มู่เฉินจ้องมองด้วยสายตาเฉยเมยพลางสะบัดนิ้วเบาๆ
ชี่ ชี่!
ทันทีที่เสียงมู่เฉินดังออกมา ร่างกายของเสี่ยยีก็ถูกเจาะออกมาด้วยหมุดสีม่วงทองจำนวนมากราวกับเป็นตัวเม่น เสียงร้องดังก้องไปทั่วขอบฟ้า
“ไอ้เวร แกช่างกล้า!” เสี่ยหลิงจื่อตกใจกับภาพนี้เช่นกัน เมื่อเขาฟื้นคืนสติก็เห็นสภาพที่น่าสังเวชของเสี่ยยี ทันใดนั้นก็คำรามลั่น
ทว่าตอบโต้ต่อเสียงคำรามมู่เฉินก็มองอย่างเฉยเมยไปที่เสี่ยหลิงจื่อก่อนที่จะดีดนิ้วเบาๆ
ปัง!
ทันใดนั้นร่างของเสี่ยยีก็ระเบิดออกมา แสงสีม่วงทองครอบงำทั่วสรรพางค์กาย พลังทำลายล้างทำลายทุกอณูของเสี่ยยี
นี่เป็นการทำลายให้สิ้นซากจากภายในสู่ภายนอกอย่างแท้จริง
บนท้องฟ้า ละอองเลือดกระจายไปทั่ว ทุกคนมองไปที่ละอองเลือดด้วยความหวาดผวา พวกเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังชีวิตของเสี่ยยีถูกลบอย่างสมบูรณ์แล้ว
นี่หมายความว่า…
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นคนนี้ของตระกูลเสี่ยเสินถูกสอยร่วงแล้ว!
ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ขั้วอำนาจอื่นหรือตระกูลลั่วเสิน แม้แต่พวกหลิ่วเทียนเต้าที่มองจากที่ไกลก็ตะลึงกับฉากนี้ จากนั้นพวกเขาค่อยๆ เบนสายตามองไปที่มู่เฉิน ความเย็นเยือกห่อหุ้มร่างกายของพวกเขา
ในที่สุดพวกเขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าชายหนุ่มคนนี้…
น่าสะพรึงกลัวอะไรขนาดนี้!
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1216 ถึงเวลาที่จะสิ้นหวังแล้ว
ฟิ้ว!
ลูกแก้วโลหิตพุ่งทะลุขอบฟ้าบินไปหาเสี่ยยี ขณะที่อีกฝ่ายสีหน้าเปลี่ยนไปและถอยหนีออกไปอย่างบ้าคลั่ง เนื่องจากเขารู้สึกถึงความเชื่อมโยงที่ถูกตัดขาด
ดังนั้นแม้ว่าในลูกแก้วจะมีมหาสมุทรนรกโลหิตของเขาอยู่ เขาก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ ขณะนี้มันคงจดจำเขาไม่ได้ว่าเป็นเจ้าของอย่างแน่นนอน
นั่นคือระเบิดที่อันตรายอย่างยิ่ง การสัมผัสเพียงเล็กน้อยก็นำไปสู่ความตาย
เสี่ยยีรู้ดีว่ากระบวนท่านี้มีความสามารถในการกัดกร่อนที่ยอดเยี่ยมสำหรับร่างเวทสวรรค์ เมื่ออยู่ในมือตนเองก็จะเป็นอาวุธยอดเยี่ยม แต่เมื่อไปอยู่ในมือคนอื่นก็น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ตัวอย่างเช่นตอนนี้…
เผชิญกับลูกแก้วโลหิต เขาได้แต่ทำตัวราวกับกำลังห้ำหั่นกับศัตรูที่ยิ่งใหญ่ หลบหนีภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน ไม่กล้าที่จะปะทะกับมัน
ฝั่งมู่เฉินกลับมองไปที่ภาพนี้อย่างสงบ เขารู้ว่ามหาสมุทรนรกโลหิตน่าหวาดกลัวเช่นไร สิ่งนี้สามารถสร้างความเสียหายอย่างมากต่อร่างเวทสวรรค์อย่างมีนัย จากการประเมินของเขาถ้าร่างเทห์สวรรค์ยังเป็นเพียงร่างเทพสุริยะอยู่ละก็ คงจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน
แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย…ว่าร่างเทห์สวรรค์ของเขาพัฒนาสู่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้ว!
ร่างนี้สามารถเผชิญหน้ากับสิบอันดับแรกของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างได้เลยทีเดียว!
ดังนั้นพลังของมันชัดเจนมาก
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์มีรัศมีอมตะของแท้ ซึ่งสามารถต้านทานการกัดกร่อนทั้งหมดได้ ดังนั้นกล่าวอีกทางก็เป็นภูมิคุ้มกันต่อพลังการกัดกร่อน
เช่นมหาสมุทรนรกโลหิต…
มันสามารถกลืนกินมหาสมุทรโลหิตได้โดยไม่ทำร้ายตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถบีบอัดจนเป็นลูกแก้วและตัดการเชื่อมโยงกับเจ้าของได้อีกด้วย
ตอนนี้มู่เฉินก็สัมผัสถึงพลังของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้อย่างลึกซึ้งแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างเทห์สวรรค์อันดับหลังๆ ไม่สามารถจินตนาการได้
“ข้าจะให้เจ้าเป็นคนแรกที่สละชีวิตเพื่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์…”
มู่เฉินพึมพำ นับตั้งแต่เขาฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ในการประจันหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังระดับเดียวกัน ซึ่งเขาพอใจกับผลลัพธ์มาก
เขามองเสี่ยยีที่ถอยหนีก็ดีดนิ้วมือเบาๆ
ปัง!
เมื่อเสียงดีดนิ้วดังกึกก้อง ทันใดนั้นเสี่ยยีก็หดดวงตาแคบลง ลูกแก้วโลหิตบินเข้าด้วยความเร็วที่มากขึ้น อึดใจก็มาถึงด้านหลังเขาแล้วระเบิดออก
ในช่วงเวลานั้นมหาสมุทรโลหิตไหลเชี่ยวกวาดเข้าใส่ร่างเสี่ยยีและร่างเวทสวรรค์ของเขา
เสี่ยยีคำรามกระบวนท่าในมือเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ ร่างกาสายะโลหิตระเบิดด้วยลำแสงเลือดนับไม่ถ้วน ก่อตัวเป็นกำแพงอย่างรวดเร็ว
ปัง! ปัง!
มหาสมุทรโลหิตปะทะกับม่านพลังอย่างรวดเร็ว ทำลายม่านพลังจนมองเห็นความบางลงได้อย่างชัดเจน จากนั้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนที่มหาสมุทรโลหิตจะพุ่งชนกับร่างกาสายะโลหิตจังใหญ่
ชี่ ชี่!
พลังสองสายปะทะกัน หมอกเลือดก็ถั่งโถมพร้อมกับเสียงกรีดร้องของเสี่ยยี
ฮึ่ม!
คลื่นหลิงมหาศาลพรวดพราดออกมาจากร่างกาสายะโลหิต ในที่สุดก็หนีออกจากบริเวณมหาสมุทรโลหิต จากนั้นเสี่ยยีรีบหยิบขวดสีแดงเข้มออกมาอย่างเร่งร้อน ดึงส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งของมหาสมุทรนรกโลหิตกลับไป
เมื่อมหาสมุทรนรกโลหิตระเบิดออก รัศมีอมตะที่ห่อหุ้มมันอยู่ก็จางหาย นี่คือเหตุผลว่าทำไมเสี่ยยีจึงสามารถเรียกคืนมหาสมุทรกลับไปได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก
ร่างกาสายะโลหิตจางลงพร้อมกับบาดแผลบนร่าง ถ้าไม่ใช่คุณลักษณะคลื่นหลิงของเสี่ยยีที่ใกล้เคียงกับมหาสมุทรนรกโลหิตละก็ เขาคงต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก
แต่กระนั้นร่างเวทสวรรค์ของเขาก็อ่อนแอลง ความแวววาวสุกใสจางหายไป
ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตาเมื่อเห็นสิ่งนี้…
ไม่มีใครคิดเลยว่าวิทยายุทธเทพของเสี่ยยีนอกจากจะไร้ประโยชน์กับมู่เฉิน กลับยังโดนศัตรูใช้สิ่งนี้โต้กลับมาได้จนทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพน่าอนาถ
ทว่าเหล่าจอมยุทธ์ทรงพลังบางส่วนกลับพากันมองไปที่ร่างเวทสวรรค์ของมู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยามนี้หากใครยังคิดว่าร่างลึกลับนี้มีขนาดเล็กเพราะคลื่นหลิงไม่พอก็โง่เกินไปแล้ว
แต่ที่ทำให้พวกเขาสับสนงงงวยก็คือไม่สามารถจดจำร่างเวทสวรรค์ลึกลับของมู่เฉินได้…
พวกเขามองไปที่มู่เฉินที่ยังคงสงบนิ่งบนไหล่ของร่างสีม่วงทองก็รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ลึกซึ้งจนไม่อาจหยั่งรู้ได้…
เสี่ยยีมองมู่เฉินด้วยใบหน้าซีดขาวและมืดมน จากนั้นปลายหางตาก็มองไปทางเสี่ยถงกับเสี่ยโส่ว ขณะนี้ทั้งสองได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดเพื่อทำลายค่ายกลและกองทัพ พยายามที่จะสลัดตัวให้พ้นอย่างรวดเร็ว
ตัดสินจากความก้าวหน้าของทั้งสองนั่น พวกเขาอยู่ในตำแหน่งได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด… ดูเหมือนว่าการเดาของเขาจะถูกต้องแล้ว โดยไม่มีการควบคุมค่ายกลระดับจงซือและกองทัพทหารชั้นยอดไม่สามารถดักจับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนไว้ได้นาน
เสี่ยยีรู้สึกโล่งใจกับความคิดนี้ จากนั้นก็หันมามองมู่เฉินอย่างเยือกเย็นพลางขบฟัน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องขัดขวางมู่เฉินเอาไว้ที่นี่!
ด้วยการตัดสินใจในใจ เสี่ยยีก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขานั่งบนไหล่ร่างกาสายะโลหิต ก่อนที่จะสร้างตราประทับอย่างรวดเร็วพร้อมกับร่างเวทสวรรค์
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ลำแสงสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนยิงออกมาจากร่างกาสายะโลหิตพร้อมกับเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นท่วงทำนองที่กระตุ้นเจตนาการฆ่าและความกระหายเลือดของมนุษย์
ดวงตาของเสี่ยยีเปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นเลือดก็ซึมออกจากร่างกาย ภายใต้เสียงคำราม ฉากที่น่าตกใจก็ปรากฏขึ้น ชั้นผิวหนังของเขาลอกออก
ฮึ่ม!
เมื่อผิวหนังลอกออก ร่างกาสายะโลหิตก็คำราม ก่อนที่ผ้าจีวรจะพุ่งเข้ามาห่มลงบนผิวของเสี่ยยี ก่อตัวขึ้นเป็นผิวหนังขนาดใหญ่สีแดงเลือด…
มีใบหน้าที่น่ากลัวมากมายฝังอยู่บนผ้าจีวรนี้…
รัศมีโลหิตหลั่งไหลออกไปทั่วบริเวณ
“ทักษะเทห์สวรรค์ กาสายะโลหิตปีศาจ!”
เสี่ยยีที่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือดมองเฉินอย่างน่ากลัว เสียงคำรามหยาบกระด้างของเขาดังกึกก้อง
ฟิ้ว!
ผิวผ้าจีวรปลิวออกไป ราวกับมีม่านสีแดงเข้มห่อมู่เฉินและร่างเทพสุริยะนิรันดร์เอาไว้ เมื่อผ้าจีวรปิดลงก็กลายเป็นถุงขนาดใหญ่ใส่มู่เฉินเอาไว้ภายใน
ผู้คนที่รู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ต่างแอบเดาะลิ้น กาสายะโลหิตปีศาจเป็นกระบวนท่าไม้ตายของเสี่ยยี การห่อด้วยถุงนี้จะสร้างปีศาจโลหิตไม่สิ้นสุด ทำให้คนติดต้องว่ายวนอยู่ในแอ่งเลือด
แต่เสี่ยยีจะอ่อนแอลงอย่างมากทุกครั้งที่ใช้ทักษะนี้ ดังนั้นโดยปกติเขาจะไม่ใช้โดยง่ายดาย แต่ตอนนี้เพื่อจะขัดขวางมู่เฉิน เขาก็ไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้ได้แล้ว
“ครั้งนี้ข้าจะดูสิว่าแกจะทำลายกาสายะโลหิตยังไง!”
เงาสีแดงเข้มปิดบังสายตาของมู่เฉิน เขาเงยหน้าขึ้นมองถุงเลือด ขณะนี้เลือดจำนวนมหาศาลหลั่งไหลออกมาจากในถุงก่อร่างเป็นปีศาจ ปีศาจเหล่านั้นไม่มีตัวตนแท้จริง สามารถบุกทะลวงการป้องกันได้ แม้แต่คลื่นหลิงก็อาจหมดลงได้
“ไม่เลว… แต่ตอนนี้ตาข้าบ้างล่ะ”
มู่เฉินยิ้มตาหยี จากนั้นก็นั่งลงบนไหล่ของร่างม่วงทอง ตราประทับวาดขึ้นวูบไหว ริ้วแสงสีม่วงทองรวมตัวกันเป็นอักขระขณะที่บิดตัวเบื้องหน้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์
นี่คือหนึ่งในทักษะของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ รหัสเทพอมตะ!
มู่เฉินมองรหัสเทพอมตะพลางเปลี่ยนแปลงตราประทับอีกครั้ง คลื่นหลิงในร่างกายพุ่งทะลักเข้าสู่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ไม่มีที่สิ้นสุด
เห็นได้ชัดว่ารหัสเทพนี้ยังไม่เพียงพอที่จะจัดการกับเสี่ยยีแบบเด็ดขาด
เมื่อมู่เฉินเทคลื่นหลิงลงในร่างมากขึ้น แสงม่วงทองก็เปล่งแสงสว่างยิ่งขึ้น ไม่นานรหัสเทพอีกหลายลวดลายก็ถูกก่อขึ้น
ย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในวังสวรรค์บรรพกาล มู่เฉินสามารถสร้างรหัสอมตะได้สองลวดลายเท่านั้น แต่หลังจากฝึกปรือร่วมกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ในช่วงหลายเดือน เขาก็มีความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับทักษะเทห์สวรรค์นี้มากขึ้น…
รหัสเทพก่อขึ้นเรื่อยๆ…
ขณะที่มู่เฉินมุ่งเน้นไปที่การสร้างรหัสเทพ ปีศาจโลหิตก็ทะยานเข้าใส่ ทว่าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ระเบิดแสงเจิดจ้าพร้อมกับรัศมีอมตะที่ทำให้ปีศาจโลหิตกระเด็นกลับไป
สิบกว่าลมหายใจต่อมามู่เฉินก็ลืมตาขึ้น พร้อมกับรหัสเทพอมตะหกลวดลายอยู่เบื้องหน้าเขา!
“รหัสเทพอมตะ แปรเปลี่ยน!”
มู่เฉินพลิกนิ้วด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ลวดลายทั้งหกก็รวมตัวกัน แสงแวววาวสีม่วงทองปะทุออก อึดใจรหัสเทพทั้งหกก็ก่อร่างเป็น…หมุดอมตะยักษ์!
เมื่อมองไปที่หมุดอมตะมู่เฉินก็โบกมือ หมุดกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าใส่ถุงเลือด
มู่เฉินจ้องมองหมุด จากนั้นก็เอามือไพล่ไว้ด้านหลังเผยรอยยิ้มบาง
“ข้าเล่นกับแกมาตั้งนาน ตอนนี้ถึงเวลาที่จะสิ้นหวังแล้ว…”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1215 มหาสมุทรนรกโลหิต
ระลอกคลื่นรุนแรงดันตัวขึ้นในแม่น้ำลั่ว
ก่อนที่ทั่วบริเวณจะโยกคลอน
สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งสามของตระกูลเสี่ยเสิน หนึ่งคนถูกขังในค่ายกล หนึ่งคนอยู่ในวงล้อมกองทัพชั้นยอด ส่วนเสี่ยยีเป็นคนเดียวที่ยืนประจันหน้ากับมู่เฉิน
แต่ในตอนนี้เสี่ยยีกลับไม่อยากเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงนี้เลย
เงาสีม่วงทองยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉิน ไม่ใช่ร่างเวทสวรรค์ที่ดูใหญ่โตอะไร แต่กลับเปล่งรัศมีลึกลับเป็นอมตะออกมา
นี่ก็คือร่างเทพสุริยะนิรันดร์
มู่เฉินยืนอยู่เบื้องหน้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์โดยไม่มีการแสดงออกใดๆ เขามองไปที่เสี่ยยี “เจ้าเป็นคนบอกให้ข้าหยุดวิ่งไม่ใช่หรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉินใบหน้าของเสี่ยยีก็สลับไปมาระหว่างขาวกับเขียว เขาโมโหจนเกือบคลั่งกับการล้อเลียนของมู่เฉิน แต่เขาก็ตกใจอย่างมากกับการที่มู่เฉินเป็นทั้งหลิงเจิ้นซือและจั้นเจิ้นซือ ไม่กี่อึดใจเสี่ยยีก็ถูกระงับโดยแรงกดดันจากมู่เฉิน
“ไอ้โง่จับมันไว้สิ! เมื่อไรเสี่ยถงกับเสี่ยโส่วเป็นอิสระก็จะเป็นเวลาตายของมัน!”
ขณะที่เสี่ยยีโมโห เสียงคำรามก็ดังขึ้นจากเสี่ยหลิงจื่อ
เมื่อได้ยินเสียงคำรามของเสี่ยหลิงจื่อ เสี่ยยีก็ฟื้นจากอาการตกตะลึง เขาหลุดจากแรงกดดันของมู่เฉินไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่มีประสบการณ์มาก แม้ว่าจะอึ้งกับทักษะของมู่เฉินแค่ไหน แต่ก็กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็วจากการเตือนของประมุข
มู่เฉินเป็นคนที่ไม่สามารถมองข้ามได้ มากจนเขาสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่และค่ายกลพร้อมกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรมู่เฉินก็ตัวคนเดียว!
หากเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่การควบคุม ค่ายกลและกองทัพชั้นยอดจะสามารถระงับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ทำให้ได้รับประโยชน์มาก
แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถมุ่งเน้นไปที่การควบคุมอย่างเต็มที่ในขณะนี้ได้
ดังนั้นเมื่อไม่มีการควบคุมก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจับตัวจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสองคนไว้ได้นาน
การเผชิญหน้ากับพลังทั้งหมดของเสี่ยถงและเสี่ยโส่ว ค่ายกลและกองทัพคงจะอยู่ไม่นานอย่างแน่นอน… เมื่อไรที่ทั้งสองหลุดเป็นอิสระ พวกเขาสามคนก็สามารถร่วมมือกัน เวลานั้นไม่ว่ามู่เฉินจะมีกลยุทธ์มากเท่าไรก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่แน่นอน
เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะจัดการกับจอมยุทธ์สามคนที่มีขุมพลังเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงหันไปใช้ค่ายกลและกองทัพชั้นยอดเพื่อลดความได้เปรียบของพวกเขา
นั่นหมายความว่าตราบใดที่เขาสามารถรั้งมู่เฉินไว้ได้จนเสี่ยถงและเสี่ยโส่วหลุดพ้นจากกับดัก พวกเขาก็จะสามารถเอาชนะมู่เฉินได้
เมื่อคิดได้ในเรื่องนี้ ท่าทางของเสี่ยยีก็ดูเย็นเยือกลง ความตื่นตระหนกก่อนหน้าหายไปอย่างสิ้นเชิง เขาเงยหน้าขึ้นมองดูมู่เฉินอย่างเย็นชา “ดูเหมือนแผนการของแกจะไม่สมบูรณ์แบบที่คิดนะ”
“แกแน่ใจนะว่าจะยืนหยัดอยู่ได้จนถึงตอนนั้น”
มู่เฉินมองเสี่ยยีที่มีความมั่นใจ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าพลางเอ่ยเสียงเบา
ท่าทางของเสี่ยยีดิ่งลงขณะที่เย้ยหยัน “ค่ายกลและกองทัพทำให้ข้าขนพองสยองเกล้าอย่างแท้จริง ตอนนี้ข้าไม่มีความคิดที่จะเอาชนะแก แต่ถ้าจะรั้งไว้ ข้ากลัวว่าแกประเมินตัวเองสูงเกินไป”
ฮึ่ม!
คลื่นหลิงสีแดงเข้มเชี่ยวกรากระเบิดออกมาจากร่างเสี่ยยี ก่อตัวเป็นเงาขนาดใหญ่หลายหมื่นจั้งอยู่ข้างหลัง
ร่างนี้ดูเหมือนกำลังสวมไตรจีวรสีแดงเข้ม ห่อหุ้มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด รัศมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนทำให้เกิดรอยแตกปรากฏขึ้นในมิติโดยรอบ
นี่คือร่างเทห์สวรรค์ที่เสี่ยยีฝึกฝน ร่างกาสายะโลหิตเป็นหนึ่งในร่างเทห์สวรรค์ที่ดีที่สุดของตระกูลเสี่ยเสิน ซึ่งอยู่ในอันดับห้าสิบเอ็ดของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง
เห็นได้ชัดว่าความมั่นใจของเสี่ยยีได้รับการสนับสนุนจากความแข็งแกร่ง
ร่างเวทสวรรค์ยืนตระหง่านพร้อมกับรัศมีโลหิตดุเดือดพลุ่งพล่าน ย้อมท้องฟ้าจนเป็นสีแดงเข้ม เมื่อเปรียบเทียบกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของมู่เฉินก็ดูเล็กจ้อยไปเลยทีเดียว
เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็อดพึมพำไม่ได้ เพราะร่างเวทสวรรค์ขึ้นอยู่กับพลังงานหลิง โดยทั่วไปแล้วยิ่งร่างที่ทรงพลังก็จะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น เนื่องจากจะกินพลังงานหลิงได้มากขึ้น
เสี่ยยีขยับไปยืนบนไหล่ของร่างกาสายะโลหิตมองอย่างเย็นชาไปที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของมู่เฉิน “ดูเหมือนว่าแกจะหมดแรงไปมากจากค่ายกลและการควบคุมกองทัพ”
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์มีน้อยยิ่ง ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเป็นเพราะความเหนื่อยล้าของคลื่นหลิงในร่างมู่เฉิน ทำให้ร่างเวทสวรรค์มีขนาดเล็กลง
มู่เฉินยิ้มตอบเพราะไม่ได้คิดจะเตือนศัตรู เขาเคาะเท้าพลิ้วลงบนไหล่ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ยิ้มตาหยี “รีบๆ หน่อยเถอะ”
อากัปกิริยาของเขาทำให้เสี่ยยีโกรธแค้น นานมากแล้วที่เขาถูกประเมินค่าต่ำ
“ถ้างั้นให้ข้าดูว่าแกจะรักษาความเย่อหยิ่งหลังจากพวกข้าหลุดเป็นอิสระได้ไหม”
เสี่ยยีแผดเสียงหัวเราะ จากนั้นมือก็วาดตราประทับ เขาเปิดปากทันใดนั้นกระแสเลือดที่ไหลเชี่ยวก็ไหลออกมาจากปากเขาก่อตัวเป็นมหาสมุทรสีแดงเข้ม
มหาสมุทรสีแดงเข้มเกลื่อนไปด้วยกระดูกสีขาว ราวกับว่ามีวิญญาณนับไม่ถ้วนร้องโหยหวนออกมา ขณะที่ปล่อยรัศมีน่าขนลุก
“มหาสมุทรนรกโลหิต!”
เสี่ยยี่มองไปที่มู่เฉินอย่างโหดร้ายขณะที่โบกมือ มหาสมุทรโลหิตทะลักออกมา เขาไม่กล้าประมาทมู่เฉินแม้แต่น้อย งัดไพ่ตายออกมาทันทีที่เริ่มปะทะกระบวนท่าแรกเลยทีเดียว
มหาสมุทรนรกโลหิตมีชื่อเสียงมากในตระกูลเสี่ยเสิน เนื่องจากจะต้องทำการสังหารหมู่เพื่อฝึกฝนทักษะนี้โดยสร้างมหาสมุทรด้วยเลือดของผู้อื่นก่อนที่จะกลั่นออกมา ซึ่งมีความสามารถในการกัดกร่อนที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เป็นอันตรายต่อร่างเวทสวรรค์มาก
เสี่ยยีอาศัยกระบวนท่านี้เพื่อกัดกร่อนร่างเวทสวรรค์ของคู่ต่อสู้มานักต่อนัก
เมื่อมองเห็นมหาสมุทรสีแดงเข้มก็ทำเอาเปลือกตาของหลายคนกระตุก เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้เกี่ยวกับวิทยายุทธเทพของตระกูลเสี่ยเสินดี
มหาสมุทรเคลื่อนลงมาห่อหุ้มร่างมู่เฉินอย่างสมบูรณ์
สีหน้าของทุกคนตึงแน่นกับภาพนี้ คนที่รู้เกี่ยวกับพลังของวิชานี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในสีหน้า เนื่องจากมีจอมยุทธ์จำนวนมากที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากกระบวนท่าโหดเหี้ยมนี้ของตระกูลเสี่ยเสิน
“ฮ่าๆ โอหังนัก!”
หลังจากที่เห็นมู่เฉินและร่างเวทสวรรค์ของเขาถูกห่อหุ้มด้วยมหาสมุทรโลหิต เสี่ยยีก็ระเบิดเสียงหัวเราะ เขาพึ่งพากระบวนท่านี้คว้าความได้เปรียบในหมู่จอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันมามาก คนที่ประเมินกระบวนท่านี้ต่ำไปสุดท้ายต่างได้รับความเสียหายหนักหนาสาหัส
ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะมีความมั่นใจเกี่ยวกับวิธีการของตนเอง ดังนั้นเขาจึงไม่แม้แต่จะพยายามหลีกเลี่ยงจนถูกจับไว้ในมหาสมุทรโลหิต ไอ้โง่นี่จะต้องเสียใจในความเย่อหยิ่งของตน
ซ่า ซ่า!
ขณะที่เสี่ยยีหัวเราะ มหาสมุทรก็แผดเสียงดัง ความสามารถในการกัดกร่อนเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด ทำให้แม้แต่ท้องฟ้าบริเวณนี้ยังแตกเป็นเสี่ยงๆ
มหาสมุทรพลุ่งพล่าน แต่รอยยิ้มของเสี่ยยีก็เปลี่ยนไปเป็นแข็งค้าง เนื่องจากรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ มหาสมุทรโลหิตหดตัวลงอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่มองเห็นได้
“หืม? เกิดอะไรขึ้น?”
สีหน้าของเสี่ยยีเปลี่ยนไป ในสายตาเต็มไปด้วยความสงสัย เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะกัดฟันพยายามเรียกมหาสมุทรนรกกลับเข้าร่าง เขาทำงานอย่างหนักเพื่อหล่อเลี้ยงจนมาถึงระดับนี้ ถ้ามันเสียหายไปเขาจะต้องเจ็บปวดแน่
ทว่าขณะที่เสี่ยยีใช้ทักษะลับเพื่อเรียกคืน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงพลังดูดดึงมหาศาลจากมหาสมุทร
ภายใต้แรงดูดมหาสมุทรนรกก็ถูกดึงออกไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลาไม่กี่อึดใจมหาสมุทรก็ลดขนาดลง จนสุดท้ายมู่เฉินและร่างสีม่วงทองค่อยๆ ปรากฏในครรลองสายตาทุกคนอีกครั้ง
ยามนี้มู่เฉินยังคงยืนอยู่บนไหล่ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ด้วยรอยยิ้ม
ร่างสีม่วงทองที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาเปิดปากอยู่ ซึ่งเป็นที่มาของแรงดูดนั้น เวลานี้มหาสมุทรขนาดใหญ่กำลังถูกกลืนกินโดยมัน
โห!
เมื่อมองฉากนี้ผู้คนก็แทบตาถลนออกจากเบ้า
ไม่มีใครคิดว่าไม่เพียงแต่มหาสมุทรนรกจะไม่สามารถทำลายร่างเวทสวรรค์ของมู่เฉินได้ แต่กลับถูกกลืนกินเข้าไปแทนด้วย
ใบหน้าของเสี่ยยีซีดเผือดไปกับภาพนี้
เสี่ยหลิงจื่อก็มองด้วยสายตาตกตะลึงไม่แพ้กัน เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจไม่น้อย
หลังจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์กลืนกินมหาสมุทรนรกโลหิต มันก็คายลูกแก้วโลหิตที่ห่อหุ้มแสงสีทองออกมา มู่เฉินรับเอาไว้ในมือ
มู่เฉินหยิบลูกแก้วที่บรรจุมหาสมุทรสีแดงก่ำ ก่อนจะมองเสี่ยยีที่มีใบหน้าซีดเซียวแล้วเหวี่ยงมันออกไป
“สิ่งนี้สำคัญกับแกมากใช่ไหม? งั้นก็เอาคืนไป”
ทว่าเมื่อเสี่ยยีมองเห็นลูกแก้วโลหิตที่ถูกขว้างเข้ามา สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปรุนแรง เส้นผมของเขาลุกชันทุกเส้นเสียงกรีดร้องดังโหยหวน จากนั้นทุกคนก็ตะลึงเมื่อเห็นเสี่ยยีวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง
นั่นเป็นเพราะเสี่ยยีรู้สึกว่าการเชื่อมต่อของเขากับมหาสมุทรนรกโลหิตขาดออกจากกันแล้ว!
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1214 ความน่าสะพรึงกลัว
ตู้ม!
ลำแสงสีเลือดสามสายทะยานผ่านสายตาสมาชิกชั้นสูงตระกูลลั่วเสินไป พวกเขาจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาโหดเหี้ยม
เบื้องล่างมีร่องสามร่องบนแม่น้ำลั่วเกิดขึ้นภายใต้ความเร็วสูงนั่น
พวกเขาทั้งสามเข้าใกล้มู่เฉินในพริบตา
สายตาทุกคู่พุ่งความสนใจไป แม้พวกเขารู้สึกว่ามู่เฉินชะตาขาดแล้ว ทว่าพวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นการแสดงออกที่สงบนั่น หรือว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีไพ่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ?
วาบ!
ขณะที่ผู้คนเกิดความคิด ในที่สุดมู่เฉินก็เคลื่อนไหว แต่เขาไม่ได้ไปเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ทั้งสาม กลับพุ่งไปทางขวามือ
“ฮ่าๆ ไอ้เวร เมื่อครู่โอหังนักไม่ใช่รึ? วิ่งหนีตอนนี้ทำไม?” เมื่อเห็นมู่เฉินทะยานไปอีกทิศทางหนึ่งผู้อาวุโสตระกูลเสี่ยเสินก็ระเบิดเสียงหัวเราะเยาะเย้ย
การกระทำของมู่เฉินไม่แตกต่างไปจากการยอมรับความอ่อนแอในสายตาของพวกเขา
คนตระกูลลั่วเสินอดรู้สึกผิดหวังกับฉากนี้ไม่ได้ จากนั้นก็เยาะเย้ยตัวเอง เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทุกคนที่ต้องเผชิญหน้ากับจอมุยทธ์สามคนก็คงต้องหนีไปอยู่แล้ว
ทว่ามู่เฉินยังคงมีท่าทีสงบเมื่อเผชิญกับการเยาะเย้ยของผู้อาวุโสและสายตาผิดหวังของผู้คน เขาพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง ทำให้ระยะห่างระหว่างเขากับตาเฒ่าสามคนนี้ยืดออกไปเรื่อยๆ
เสี่ยยีเคลื่อนไหวเร็วสุด ช้ากว่ามู่เฉินเพียงเล็กน้อย โดยมีเสี่ยถงและเสี่ยโส่วติดตามอยู่ข้างหลังตามลำดับ
“ไอ้เวร ถ้าขืนแกยังวิ่งต่อไป พวกข้าย้อนไปจัดการนังลั่วหลีแน่” เสี่ยยีรู้สึกหงุดหงิดขณะที่คำรามเมื่อเห็นไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างไร ก็ไม่สามารถเข้าใกล้มู่เฉินได้
คำพูดนั่นดูมีประสิทธิภาพเนื่องจากมู่เฉินหยุดยืนเหนือแม่น้ำแล้วหันกลับมา ทว่าเสี่ยยีก็ต้องตกใจเมื่อเห็นการเยาะเย้ยบนใบหน้าของมู่เฉิน
“พวกแกคิดว่าข้ากำลังหนีจริงๆ หรือ?” มู่เฉินยิ้ม
ก่อนที่เสี่ยยีจะตอบกลับ ทุกคนก็เห็นฝ่ามือของมู่เฉินประสานกันสร้างตราประทับที่ลึกซึ้งขึ้น
“ตู้ม!”
ทันทีที่มู่เฉินวาดกระบวนท่า เสี่ยยีก็ได้เห็นแสงแวววาวไร้ขอบเขตระเบิดจากแม่น้ำลั่วพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรดังก้อง
เสี่ยยีหันกลับไปทันที ดวงตาก็ต้องหดลงเมื่อเห็นแม่น้ำลั่วถูกแยกออกจากกันโดยสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนที่รวมเข้าด้วยกัน สายผนึกถักทอกลายเป็นค่ายกล
ค่ายกลประกอบด้วยมังกรเจ็ดตัวถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวเอิบอาบออกมา ขณะนี้เสี่ยถงที่อยู่ข้างหลังเขาถูกขังไว้โดยค่ายกลเรียบร้อย
โห!
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้เกิดเสียงอุทานดังลั่น ทุกคนตกตะลึง พวกเขาสามารถรู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นพลังที่แข็งแกร่งอย่างมากที่มาจากค่ายกล
“นี่คือค่ายกลระดับจงซือ!”
“สวรรค์ มู่เฉินเป็นหลิงเจิ้นจงซือด้วยเหรอนี่?!”
ทุกคนเบิกตากว้าง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นคนนี้จะเป็นหลิงเจิ้นจงซือด้วย!
“ที่แท้เขาก็ไม่ได้วิ่งหนี เขาตั้งใจสร้างระยะห่างระหว่างตัวเขากับสามคนนั่นและใช้แม่น้ำลั่วช่วยปกปิดการจัดวางค่ายกล มิหนำซ้ำยังกระตุ้นค่ายกลขังเสี่ยถงให้ติดอยู่ในนั้นด้วย!”
ในที่สุดก็มีคนเข้าใจแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของมู่เฉิน เสียงอุทานด้วยความตกใจกระจายเต็มใบหน้า ชายหนุ่มผู้นี้ช่างน่าสะพรึงเกินไปแล้ว เขาวางกับดักตั้งแต่ตาเฒ่าทั้งสามเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
เขาฉลาดแกมโกงจริงๆ!
เสี่ยหลิงจื่อที่ใช้ร่างเวทสวรรค์ปราบปรามลั่วเทียนเสินก็มีสีหน้าก็ดิ่งลงกับฉากนี้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกหวาดกลัว เพราะแม้แต่เขาก็ยังไม่สามารถค้นพบได้ว่ามู่เฉินจัดตั้งค่ายกลระดับจงซือขึ้นมาได้อย่างไร ถึงส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะแม่น้ำลั่วช่วยปกปิดไว้ แต่นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จสูงส่งของมู่เฉินในศาสตร์ค่ายกล
“ไอ้เด็กปีศาจนี่มาจากไหน? ทำไมเขาถึงสำเร็จศาสตร์ค่ายกลระดับสูงแบบนี้ได้ด้วย?” เสี่ยหลิงจื่อตกตะลึงและโกรธแค้นในใจ คนธรรมดาในวัยเดียวกับมู่เฉินถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะหากพวกเขาไปถึงระดับของมู่เฉินในศาสตร์ด้านใดด้านหนึ่ง ทว่ามู่เฉินประสบความสำเร็จทั้งสองอย่าง นี่ต้องการพรสวรรค์และโอกาสที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน?
ถ้ามู่เฉินมีเวลามากขึ้นก็จะเติบโตเป็นยอดยุทธ์สูงสุดในอนาคตอย่างแน่นอน
เมื่อไรที่เขาไปถึงจุดนั้นตระกูลเสี่ยเสินก็จะถูกชำระแค้นและล้างบางแน่นอน
พอคิดได้ดังนี้ สายตาของเสี่ยหลิงจื่อก็น่าขนพองสยองเกล้ายิ่งขึ้น ด้วยสถานการณ์ดำเนินไปไกลถึงขนาดนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหยุดยั้ง ในเมื่อเป็นแบบนี้เขาก็ต้องฆ่าจอมยุทธ์หนุ่มอนาคตไกลคนนี้ซะ!
“เสี่ยยี เสี่ยโส่ว ฆ่ามัน!”
เสียงคำรามของเสี่ยหลิงจื่อดังก้อง
เมื่อเสี่ยยีได้ยินคำสั่งของเสี่ยหลิงจื่อ แววตาก็มืดมนลง “ต่อให้แกจะขังเสี่ยถงไว้ แต่ก็ยังง่ายสำหรับพวกข้าสองคนที่จะฆ่าแก!”
มู่เฉินมองไปที่เสี่ยโส่วที่ทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็วก็ยิ้มอ่อน “มันไม่สามารถมาที่นี่ได้หรอก”
ม่านตาของเสี่ยยีหดลง จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มน่ากลัว “โอ้? แกจะบอกว่าได้สร้างค่ายกลสองค่ายกลในระดับนี้ด้วยเวลาสั้นๆ นี้รึ?”
“ไม่ใช่ค่ายกล”
มู่เฉินส่ายหัวเบาๆ ขณะที่ดีดนิ้ว แม่น้ำก็เดือดปุด วินาทีต่อมาร่างเงานับพันร่างก็พุ่งออกจากก้มแม่น้ำ ยืนเบื้องหน้าเสี่ยโส่วปิดกั้นไม่ให้สามารถร่วมพลังกับเสี่ยยีได้
ตู้ม!
เมื่อเงานับพันปรากฏขึ้น รัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกจากพวกเขา ก่อนที่พวกเขาจะกวาดตัวเหมือนพายุทอร์นาโดปิดกั้นเสี่ยโส่วเอาไว้
เมื่อรัศมีจั้นยี่ครอบครองท้องฟ้า ทั่วทั้งเมืองก็เงียบกริบ
ทุกคนตะลึงเมื่อมองไปที่ร่างเงานับพัน พวกเขาสามารถบอกได้ว่านี่เป็นกองทัพชั้นยอด ทว่ากองทัพนี้ไม่มีพลังชีวิตใดๆ ดังนั้นนี่คือร่างได้รับการเก็บรักษาหลังจากการเสียชีวิตลง
กองทัพนี้ทรงพลังจนสามารถขัดขวางจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุของความตกใจ เพราะถ้าต้องการควบคุมกองทัพชั้นยอดก็หมายความว่ามู่เฉิน…เป็นจั้นเจิ้นซือด้วย!
นอกจากนี้ยังเป็นไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซืออีกด้วย!
ซื้ด!
ทั้งเมืองเงียบกริบ สายตาตกตะลึงจ้องมองไปที่ร่างเงาเหนือแม่น้ำลั่ว พวกเขาถึงกับสูดลมหายใจเย็น
ตอนนี้พวกเขารู้สึกได้เลือนรางว่ามู่เฉินน่าสะพรึงอย่างไร
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่อายุน้อยเช่นนี้หายาก แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเหลือเชื่อ แต่ถ้าในขณะเดียวกันเขายังเป็นทั้งหลิงเจิ้นจงซือและไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซืออีก ข้อมูลนี้ทำให้จิตใจของพวกเขาพังพินาศไปเลยทันที
ลั่วซิวและลั่วชิงหยาก็ตะลึงกับภาพนี้ พวกเขาพึ่งพาทรัพยากรจำนวนมากของตระกูลลั่วเสินกว่าจะสำเร็จในเส้นทางจั้นเจิ้นซือ ทว่าพวกเขาก็อยู่ในขั้นสือวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือเท่านั้น แต่มู่เฉินกลับไปถึงขั้นไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือแล้ว
ยามนี้พวกเขาไม่มีความคิดที่จะแข่งขันกับมู่เฉินอีกแม้แต่น้อย
พวกเขาแลกสายตาพลางยิ้มอย่างขมขื่นก่อนที่จะรู้สึกโล่งใจ บางทีคนโดดเด่นเช่นนี้เท่านั้นที่คู่ควรกับลั่วหลี
“จั้นเจิ้นซือ”
ดวงตาของเสี่ยหลิงจื่อแดงก่ำจ้องเขม็งไปยังฉากนี้ ขณะที่พูดคำเหล่านี้ เขาก็กัดฟันแน่นระงับความพลุ่งพล่านในหัวใจ ยามนี้เปลือกตาของเขากระตุกอย่างรุนแรงด้วยจิตสังหารที่ไหลในหัวใจของเขา
ลั่วเทียนเสินก็อึ้งไปเช่นกัน ครู่ต่อมาเขาก็หายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์ในหัวใจ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมมู่เฉินถึงกล้ามาที่ตระกูลลั่วเสิน ตอนนี้มู่เฉินเติบโตกลายเป็นยอดยุทธ์ภายในเวลาแค่ไม่กี่ปี
เผชิญหน้ากับมู่เฉิน แม้แต่คนที่ทรงอำนาจอย่างลั่วเทียนเสินก็รู้สึกถึงร่องรอยแห่งความกลัว
ยามนี้เขานึกย้อนถึงคำพูดที่มู่เฉินพูดกับเขาตอนที่พาลั่วหลีกลับมา ‘ครั้งหน้าข้าจะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนพานางไปจากข้าได้อีก’
เวลานั้นลั่วเทียนเสินไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านั้นมาก แต่มู่เฉินทำงานหนักเพื่อเป้าหมาย ลั่วเทียนเสินนึกไม่ออกเลยว่ามู่เฉินฝึกฝนมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แต่เขาเดาได้ว่ามู่เฉินต้องท้าความเป็นตายมามากมายนับไม่ถ้วน
เจ้าหนูคนนี้มีความยึดมั่นที่น่ากลัวและเหนียวแน่น
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน มู่เฉินประจันหน้ากับเสี่ยยีซึ่งมองฉากนี้ด้วยความไม่เชื่อ เสี่ยถงโดนขังอยู่ในค่ายกลระดับจงซือ ส่วนเสี่ยโส่วก็ตกในวงล้อมกองทัพน่าสะพรึง
ความได้เปรียบของพวกเขาหายวับไปกับตาเนื่องจากชายหนุ่มที่เบื้องหน้านี้
เมื่อมองไปที่มู่เฉินที่ยิ้มแย้ม แม้แต่เสี่ยยีก็รู้สึกกลัวขึ้นมาในใจ
ทว่าเผชิญกับเสี่ยยีที่สีหน้าเปลี่ยนไป มู่เฉินก็ยืดเอวก่อนที่จะเหยียดมือออกแตะลงเบาๆ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ริ้วสีทองไร้ขอบเขตพุ่งออกมา เปลี่ยนเป็นร่างยักษ์สีม่วงทองที่อยู่ด้านหลังเปล่งรัศมีลึกลับและอมตะ
ภายใต้การปกป้องของรัศมีสีม่วงทองมู่เฉินก็ส่งรอยยิ้มให้เสี่ยยี ก่อนที่เสียงของเขาจะทำให้หน้าผากของเสี่ยยีชุ่มโชกด้วยเหงื่อ
“ตอนนี้เราน่าจะสู้กันแบบตัวต่อตัวได้แล้วมั้ง?”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1213 ฆ่าให้เจ้าดู
“ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ ประมุขตำหนักมู่?”
เมื่อมู่เฉินพูดคำเหล่านั้นออกมา สมาชิกตระกูลลั่วเสินและเสี่ยหลิงจื่อก็ขมวดคิ้วเบาๆ ในฐานะหนึ่งในมหาทวีปพวกเขาเคยได้ยินชื่อนี้มาอยู่แล้ว ทว่าไม่คุ้นเคยกับภูมิภาคทางเหนือเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำหนักมู่…
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เสี่ยหลิงจื่อก็ค่อยๆ คลายความกังวลในใจ ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินมาจากเผ่าโบราณ แต่เมื่อมองดูแล้วภูมิหลังของเจ้าหนูนี่ก็ไม่น่ากลัวอะไรเลย
จอมยุทธ์หนุ่มขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นน่าตกตะลึงโดยธรรมชาติ แต่ในสายตาของเขามู่เฉินเป็นเพียงคู่ต่อสู้ที่สร้างความปวดหัวในการสังหารเล็กน้อยเท่านั้น
ในฐานะประมุขตระกูลเสี่ยเสิน เสี่ยหลงจื่อมีประสบการณ์มาก ดังนั้นเขาจึงมีนิสัยร้ายกาจยิ่ง
“ตำหนักมู่… ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
สายตามืดมนของเสี่ยหลิงจื่อมองไปที่มู่เฉินพลางพูดต่อย่างไม่แยแส “ไอ้หนูเห็นว่าไม่ง่ายสำหรับเจ้าที่ฝึกฝนมาได้ไกลขนาดนี้ ข้าจะทำเป็นว่าไม่เคยเห็นถ้าเจ้าจะจากไปตอนนี้ มิฉะนั้นข้าจะให้เจ้ารู้ว่าโง่แค่ไหนที่ทำให้ตระกูลเสี่ยเสินขุ่นเคือง”
เขารู้สึกว่าตนเองให้หน้ามู่เฉินมากพอ หากชายหนุ่มมองเห็นสถานการณ์ทะลุปรุโปร่งก็จะรู้ว่าในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ได้
ทว่าขณะที่เขาคิดเช่นนี้กลับเห็นมู่เฉินยิ้มบางก่อนจะยกนิ้วชี้ไปในระยะไกล
“ไอ้แก่ที่ทำตัวอาวุโส…ไสหัวไป!”
ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก น้ำเสียงอัดแน่นด้วยจิตสังหารเยือกเย็นดังก้องไปทั่ว
ทุกคนมีสีหน้าแข็งทื่อเมื่อมองไปที่มู่เฉินอย่างตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตกใจมากกับคำพูดนี้
เสี่ยหลิงจื่อเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายตัวจริงนะ!
มิหนำซ้ำยังมีตระกูลทรงพลังเป็นภูมิหลัง!
การเผชิญหน้ากับบุคคลยิ่งใหญ่อย่างนี้ ถึงแม้ว่ามู่เฉินจะไม่ธรรมดาด้วยขุมพลังที่มี แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะท้าทายกับตระกูลเสี่ยเสินเพียงผู้เดียว
ภายใต้ความเงียบใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็เปลี่ยนเป็นมืดสนิท เขาจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน ครู่ต่อมารอยยิ้มก็ค่อยๆ โค้งขึ้นที่มุมปาก
“ไอ้เด็กไม่กลัวตาย!”
เสี่ยหลิงจื่อยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า อึดใจก็โบกมือ “ในเมื่อแกหยิ่งนัก… เสี่ยถง เสี่ยโส่ว เสี่ยยี ฆ่ามันให้ตายที่นี่ซะ”
ในตอนท้ายน้ำเสียงก็เย็นเยือกถึงขีดสุด กระทั่งอากาศรอบด้านเขายังถูกแช่แข็ง
วาบ!
เกลียวแสงสีแดงเลือดสามสายปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเสี่ยหลิงจื่อ ก่อนที่ร่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนของตระกูลเสี่ยเสินจะยืนอยู่ข้างหลัง ทุกคนจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยแววเยาะเย้ยราวกับว่ากำลังดูแกะเตรียมตัวถูกบูชายัญ
โห่
เมื่อเห็นว่าตระกูลเสี่ยเสินส่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนเพื่อจัดการกับมู่เฉิน ความปั่นป่วนแผ่ซ่าน ทุกคนรู้สึกว่าตระกูลเสี่ยเสินไร้ยางอายนัก ทว่าพวกเขาก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่การประลองแบบมีกติกา แต่เป็นสงครามที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของเผ่าพันธุ์
เรื่องบาดหมางและความชั่วร้ายที่อยู่ในนั้น ทำให้ไม่มีใครประหลาดใจกับทุกวิธีที่ใช้
ดังนั้นเหล่าจอมยุทธ์ในดินแดนซีเทียนเล็กที่เฝ้ามองก็ได้แต่ส่ายหัว พวกเขารู้สึกสงสารมู่เฉินจับใจ ด้วยความสามารถของเขาอนาคตต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แต่น่าเสียดายที่จะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์หนุ่มคนนี้จะสามารถหลบหนีจากมือฝ่ายตรงข้ามสามคนไปได้
“เสี่ยหลิงจื่อถามตาแก่คนนี้ก่อนที่จะทำอะไรป่าเถื่อนในเขตแดนของตระกูลลั่วเสิน!”
ท่ามกลางสายตาเสียดายของผู้คน ลั่วเทียนเสินก็คำรามขณะมองไปที่เสี่ยหลิงจื่อ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกมาจากร่างเขา ร่างเวทสวรรค์ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่ด้านหลัง
มู่เฉินเร่งรุดมาจากแดนไกลเพื่อลั่วหลี ดังนั้นไม่ว่าจะทำอย่างเขาก็ต้องปกป้องชายหนุ่มคนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะเผชิญหน้ากับหลานสาวได้อย่างไร? หากทำไม่สำเร็จก็สู้ตายแบบสมเกียรติดีกว่า
“จุ๊ๆ ไม้ผุๆ อย่างแกที่ถูกวางยาพิษคำสาปเลือดปีศาจของข้าจนตอนนี้ยังไม่หายดี มีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้?”
ทว่าเผชิญกับลั่วเทียนเสินที่เปล่งรัศมีเกรี้ยวกราด เสี่ยหลิงจื่อก็หัวเราะด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยอาการเยาะเย้ย
เขาก้าวออกไปมหาสมุทรเชี่ยวกรากที่เต็มไปด้วยเลือดก็ก่อตัวข้างหลัง ควบแน่นเป็นร่างเวทสวรรค์ขนาดใหญ่โต เมื่อร่างนี้หายใจออกก็เกิดละอองเลือดพร้อมกับพิษที่กัดกร่อน
“พวกเจ้ายังไม่ลงมืออีก?”
หลังจากเสี่ยหลิงจื่อเรียกคลื่นหลิงเพื่อคุมเชิงลั่วเทียนเสิน เขาก็มองไปที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนอย่างเย็นชา ตะโกนเสียงเข้ม
“รับทราบ!”
จอมยุทธ์ทั้งสามของตระกูลเสี่ยเสินไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งผ่านขอบฟ้ามุ่งหน้าไปหามู่เฉิน
“สกัดพวกมัน!”
ใบหน้าของลั่วเทียนเสินเขียวคล้ำขณะที่ตะโกน
ลั่วชิงหยาและลั่วซิวพุ่งออกไปอย่างไม่เกรงกลัว รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดเข้าหาทั้งสาม จอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตระกูลลั่วเสินก็พุ่งเข้าสู้รบ
ทว่าการกีดขวางของพวกเขาไม่มีผลกระทบต่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งสาม ลำแสงเลือดพุ่งออกมาสามสาย แนวป้องกันถูกทำลายทันที
เวลานี้ตระกูลลั่วเสินพ่ายแพ้หมดท่า
ความหวังในใจพลเมืองตระกูลลั่วที่เพิ่มขึ้นจากการปรากฏตัวของมู่เฉินก็เหี่ยวเฉาลง ใบหน้าของพวกเขากลายเป็นซีดเผือด แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของตระกูลลั่วเสิน
ตราบใดที่มู่เฉินถูกฆ่าใครจะสามารถช่วยเหลือตระกูลลั่วเสินได้อีก?
ลั่วเทียนหลงก็พยายามจะเข้าไปช่วยมู่เฉิน แต่ถูกผู้อาวุโสสาขาทั้งสามขัดขวางไว้ ถ้าไม่ใช่ว่าทั้งสามคนไม่ได้คิดสู้เสี่ยงชีวิต แม้แต่เขาก็คงตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังแล้ว
“ลั่วเทียนหลงอย่าขัดขืน แกไม่สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ได้แล้ว พวกข้าทำสิ่งนี้เพื่อรักษาตระกูลลั่วเสิน ไม่งั้นการทำลายล้างกวักมือเรียกเราแน่!” ทั้งสามคนพูดด้วยเสียงเข้ม พวกเขาไม่ต้องการเห็นลั่วเทียนหลงตายที่นี่ หากพวกเขาได้อีกฝ่ายมาเป็นพวกก็จะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
“ไอ้เด็กนั่นสมควรต้องตายสำหรับการท้าทายตระกูลเสี่ยเสิน ทำไมตระกูลลั่วเสินต้องสูญเสียเพื่อมันด้วย?”
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความพยายามในการชักแม่น้ำทั้งห้า ลั่วเทียนหลงก็มองพวกเขาอย่างรังเกียจ เขาไม่คิดจะพูดให้มากความ พยายามมองหาหนทางเป็นอิสระ ทำให้ทั้งสามต้องสร้างปราการให้แข็งแกร่งขึ้น เขาราวกับพยัคฆ์ในกรงดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจนบาดแผลกระจายทั่วร่าง
ทั่วทั้งพื้นที่ตกสู่ความโกลาหลอีกครั้ง
ขณะนี้บนตึกสูงในเมืองลั่วเสิน ร่างหลายร่างกำลังมองมาที่ฉากน่าสลดใจนี้
“เรายังไม่ลงมือตอนนี้เหรอ?” หลิ่วเทียนเต้ามองจอมยุทธ์สามคนที่พุ่งเข้าหามู่เฉินก็ถามเสียงต่ำ
มั่นถัวหลัวหลับตาตอบเสียงแผ่วเบา “พวกเจ้ารีบฟื้นตัว”
เนื่องจากทั้งสี่คนหมดแรงในการเดินทาง ดังนั้นสภาพของพวกเขาจึงไม่ค่อยดี ความสามารถในการกู้คืนพลังของพวกเขาไม่ได้เหมือนมู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่ฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้า
โยวมิ่งลังเล “แต่นั่นเป็นระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนเชียวนะ”
เขาเตือนมั่นถัวหลัว แม้ว่ามู่เฉินจะไม่อ่อนแอ แต่ก็อาจเป็นอันตรายสำหรับเขาที่จะต้องเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคน
มุมปากของมั่นถัวหลัวโค้งขึ้นขณะที่มองโยวมิ่ง “งั้นพวกเจ้าก็รอดูความสามารถของประมุขตัวเองเลย”
“ตอนนี้รีบคืนพลังไปเงียบๆ เรื่องในวันนี้ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก”
พูดจบนางก็มองไปที่ระยะไกล
บนแม่น้ำลั่ว
มู่เฉินยืนนิ่งขณะมองจอมยุทธ์สามคนที่กำลังพุ่งเข้าหา ทว่าไม่มีความตื่นตระหนกใดๆ บนใบหน้าของเขา ในทางตรงกันข้ามใบหน้ากลับเต็มไปด้วยจิตสังหารเย็นเยือก
“มู่เฉิน”
เสียงของลั่วหลีดังขึ้นเมื่อนางเห็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งสามมุ่งหน้ามายังทิศทางนี้ ดวงตาของนางเปล่งแสงกังวลพลางเอ่ยเสียงเบา “ให้ข้าช่วยไหม?”
มู่เฉินยิ้มบาง “ภัยพิบัติของเจ้ากำลังจะมา”
ตอนนี้ชั้นเมฆซ้อนทับอยู่เหนือร่างนางซึ่งเป็นสัญญาณแห่งภัยพิบัติหลิง ยามนี้นางไม่มีเวลามาต่อสู้ได้
ลั่วหลีกัดริมฝีปาก
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกแล้วหันไปยิ้มกับคนรัก “ลั่วหลี เจ้าเชื่อในตัวข้าไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาลั่วหลีก็ยิ้ม “เจ้าคิดอย่างไรล่ะ?”
มู่เฉินยิ้ม จากนั้นก็ก้าวย่างบนผิวน้ำอย่างช้าๆ ระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวอยู่ใต้ฝ่าเท้า
“งั้นเจ้าก็มุ่งเน้นไปที่ภัยพิบัติหลิงซะ… สำหรับสุนัขสามตัวนี่ข้าจะฆ่าพวกมันให้เจ้าดูเอง”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1212 พบกัน
หยาดฝนโปรยปรายทั่วบริเวณ
ลั่วหลีจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความไม่อยากเชื่อ
นางโหยหาใบหน้าคุ้นเคยนี้มาหลายปี แต่เมื่อเขาปรากฏตัวต่อหน้านางจริงๆ ก็รู้สึกว่าราวกับภาพฝัน
นางกลัวว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงภาพลวงตา ถ้าเป็นเช่นนั้นก็โหดร้ายเกินไป
ดังนั้นหลังจากจ้องมองชายหนุ่มครู่หนึ่ง เสียงสั่นพร่าของนางก็ดังขึ้น “ใช่เจ้าจริงๆ หรือ…มู่เฉิน?”
ขณะที่พูดนางก็เอื้อมมือออกไปช้าๆ นางต้องการสัมผัสใบหน้าเขา แต่มือของนางกลับชะงักลงเมื่อกำลังจะเคลื่อนเข้าไป
เมื่อมองด้านอ่อนแอที่นางไม่ค่อยแสดงให้เห็น มู่เฉินก็รู้สึกว่าหัวใจฉีกขาดเป็นริ้วๆ เขารู้ว่านี่เป็นความปรารถนาที่ลึกที่สุดในใจ มิฉะนั้นด้วยนิสัยนางไม่มีทางทำตัวอ่อนไหวเช่นนี้
ดังนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าเขายิ่งอุ่นมากขึ้น ขณะที่ใบหน้าโน้มออกมาให้มือสั่นเทาของลั่วหลีได้สัมผัส
“ลั่วหลี ข้าเอง”
เขายิ้มพูดต่อด้วยเสียงหนักแน่น “ข้ามาหาเจ้าแล้ว”
สัมผัสความอบอุ่นที่ซ่านในมือตนเองก็สามารถยืนยันได้ว่านี่คือมู่เฉินจริงๆ ลั่วหลีกัดริมฝีปากขณะที่น้ำตาคลอคลองหน่วยตา
ตั้งแต่กลับมาที่ตระกูล ไม่ว่านางจะเผชิญสถานการณ์แบบไหน นางก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งเสมอ แต่เมื่อนางได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยในวันนี้หัวใจของนางก็อ่อนยวบลง
เขาเติบโตขึ้นมากจากรูปลักษณ์เดิมที่เคยเห็น เมื่อคิดถึงสถานการณ์ความเป็นตายที่เขาต้องเผชิญเพื่อฝึกตนเองในวิถียอดยุทธ์ น้ำตาของลั่วหลีก็เริ่มร่วงหล่น
เขายังคงมีสายตาที่สดใสและมั่นใจ แต่ถึงจะซ่อนบางอย่างแนบเนียน ลั่วหลีก็เห็นความเหนื่อยล้าที่ซ่อนอยู่
สำหรับคนที่ฉลาดแบบนางก็คิดได้ในทันที เห็นได้ชัดว่าหลังจากมู่เฉินทราบสถานการณ์ของนางแล้ว เขาก็เร่งรุดเดินทางเพื่อมาปรากฏตัวช่วยเหลือนางในตอนนี้
“มู่เฉิน”
ลั่วหลียิ้มบางเรียกชื่อของเขา ในเวลานี้การรอคอยที่ยากลำบากตลอดหลายปีได้กลายเป็นความหวานซึ้งที่ตราตรึงอยู่ในส่วนลึกของหัวใจนาง เป็นสิ่งที่นางไม่อาจจะลืมเลือนแม้ว่าความตายมาพรากจาก
รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้านางที่เปื้อนน้ำตา ทำให้แม้แต่พายุฝนยังดูไม่โดดเด่น มู่เฉินที่เบื้องหน้านางก็ไม่อาจรอดจากความงดงามนี้ เขาอึ้งไปเมื่อมองนาง
ยามนี้ทุกสายตามารวมกันที่ร่างหนุ่มสาวทั้งสอง…
“เขาคือใคร?”
ผู้คนกระซิบด้วยความตกตะลึงในสายตา มู่เฉินแสดงพลังตั้งแต่มาถึงโดยการซัดจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนของตระกูลเสี่ยเสินจนหมอบราบ แม้จะมีส่วนตรงอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของเขา
คนที่ไม่รู้ข้อมูลตระกูลลั่วเสินดีก็เดาว่าชายหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นจอมยุทธ์เงาของตระกูลลั่วเสิน
มีเพียงลั่วเทียนเสินและลั่วเทียนหลงเท่านั้นที่เกิดความสงสัยในหัวใจ พวกเขารู้ดีว่าตระกูลลั่วเสินนอกเหนือจากพวกเขาสองคนและตระกูลสาขาก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนไหนอีก
ลั่วเทียนเสินจ้องมองแผ่นหลังร่างเงานั้น จากนั้นก็เห็นสีหน้าของลั่วหลี เขาดูเหมือนจะจำบางสิ่งได้ ก่อนที่ความไม่เชื่อและตกตะลึงจะกระจายในดวงตา
“ไม่หรอกมั้ง? ไม่…ไม่…เป็นไปไม่ได้!” ลั่วเทียนเสินพึมพำ จากนั้นก็ปฏิเสธการคาดเดาของตนเอง
เขาส่ายหัว ทันใดนั้นก็เห็นจอมยุทธ์ขุมพลังที่ตี้จุนที่ถูกเหยียบ สายตาหดลงพลางคำราม “ระวัง!”
ตู้ม!
ทันทีที่สิ้นเสียงลั่วเทียนเสิน คลื่นหลิงสีแดงเข้มทรงพลังก็ระเบิดออกมาจากร่างจอมยุทธ์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของมู่เฉิน ร่างบิดตัวเหมือนงูและหลุดไปได้ พริบตาก็มาปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังมู่เฉินพร้อมกับซัดฝ่ามือออกมา แสงสีแดงเข้มรวมอยู่ในฝ่ามือ กลิ่นคาวเลือดเข้มข้น รัศมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงแผ่ซ่าน
“ข้าจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ!”
จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินคำรามอย่างดุเดือด การโจมตีก่อนหน้าทำให้เขาอับอายขายขี้หน้าอย่างที่สุด ดังนั้นเขาจะต้องฆ่าชายคนนี้เพื่อระบายความโกรธในใจ
เขาถึงกับสลบเหมือดทันทีที่ถูกมู่เฉินโจมตี แต่ด้วยพลังยิ่งใหญ่ของระตับตี้จื้อจุน เขาจึงไม่ถูกฆ่าตายง่ายๆ
เขาไม่คิดว่าตนเองจะสู้กับมู่เฉินไม่ได้ เขาพลาดบาดเจ็บหนักไปเพราะการแอบโจมตีของมู่เฉินเท่านั้น
ตู้ม!
ฝ่ามือพุ่งมาถึงด้านหลังของมู่เฉิน ทว่าเมื่อเข้าใกล้มือเรียวข้างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากที่ไหนไม่รู้คว้าจับมือเขาไว้
มือนั้นทำให้ฝ่ามือเขาที่มีพลังทำลายล้างขยับไม่ได้เลยสักนิดเดียว
“เป็นไปได้ยังไง?!” จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินตกตะลึงด้วยความหวาดผวา
ปัง!
ทว่าก่อนที่เขาจะฟื้นคืนสติ ร่างนั้นก็เหวี่ยงขาโจมตี เงาซับซ้อนและคลื่นหลิงที่น่ากลัวที่อยู่เบื้องหลังถึงกับทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ เศษชิ้นส่วนมิตินับไม่ถ้วนบินว่อนพุ่งไปที่หน้าอกของจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสิน
อ็อก!
เลือดสดพุ่งออกมาจากปากหน้าอกยุบลง หมอกเลือดระเบิดออกมาจากร่างขณะที่เขาปลิวออกไปราวกับกระสุนหลายหมื่นจั้งบนแม่น้ำลั่วก่อนที่จะหยุดลง จังหวะนั้นเลือดก็พ่นเต็มปากอีกครั้ง ใบหน้าของเขาซีดขาว เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บร้ายแรง
เสียงอุทานดังก้องในฟ้าดิน
ครั้งนี้แม้แต่เสี่ยหลิงจื่อก็หดตาลง ถ้าก่อนหน้านี้จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินเสียเปรียบเพราะตั้งตัวไม่ทัน งั้นครั้งนี้เขาก็เป็นคนออกกระบวนท่าก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงถูกร่างในชุดดำนั้นจัดการอย่างสิ้นซาก
ชายคนนี้คือใคร?
ภายใต้สายตาตื่นตะลึง มู่เฉินก็มองลั่วหลีพลางเช็ดคราบน้ำตาบนดวงหน้าสะคราญโฉม “เจ้าทำพิธีเทพธิดาลั่วให้เสร็จก่อนเถอะ”
เมื่อพูดจบเขากก็หันกลับมาอย่างช้าๆ ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน
ซี้ด!
เมื่อทุกคนเห็นรูปลักษณ์ของเขาก็ต้องสูดหายใจเย็นเข้าปอด เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคิดว่าคนที่สามารถซัดจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนกระเด็นเป็นถ้วยบินจะอายุน้อยเพียงนี้
มีเพียงใบหน้าของลั่วเทียนเสินที่แข็งทื่อทันที เมื่อเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์นี้ แม้ว่าจะไม่ใช่ใบหน้าที่อ่อนเยาว์เหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่เขาก็จำได้ทันที จอมยุทธ์ลึกลับคนนี้ก็คือเจ้าหนูอ่อนแอที่เขาพบในสำนักศึกษาเป่ยชาง
“ใช่…เขาจริงๆ!”
ลั่วเทียนเสินมองด้วยความไม่เชื่อ นี่ผ่านไปแค่กี่ปี? มู่เฉินในตอนนั้นยังไม่บรรลุขุมพลังจื้อจุนด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับพัฒนาจนก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนแล้ว!
ต้องรู้ว่าแม้แต่ลั่วหลีที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศบวกกับทรัพยากรมหาศาลที่ตระกูลทุ่มเทให้ถึงสะสมได้จนจุดนี้และเริ่มการพัฒนา!
ทว่ามู่เฉินที่ไม่ได้มีภูมิหลังยิ่งใหญ่กลับสามารถพัฒนาได้ถึงขั้นนี้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี เขาน่ากลัวขนาดไหนกัน?
ทันใดนั้นลั่วเทียนเสินก็จำได้ว่าตอนที่อยู่สำนักศึกษาเป่ยชาง มู่เฉินเคยพูดเมื่อตนเองพยายามข่มขู่เขาด้วยความโดดเด่นของลั่วซิวและลั่วชิงหยา เมื่อไรที่เขามีอายุเท่ากับพวกเขาก็จะแซงหน้าไปแบบไม่เห็นฝุ่นไปเลย
ตอนนั้นเขาเพียงสบประมาทคำพูดของเด็กน้อย โดยคิดว่าช่างเป็นเด็กที่ไม่รู้จักขีดจำกัดของตนเอง แต่ตอนนี้…ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเป็นตนเองที่ทำเรื่องตลก
ลั่วเทียนเสินมองชายหนุ่มด้วยสายตาซับซ้อนก่อนจะส่ายหัวด้วยรอยยิ้มขมขื่น ลั่วหลีดูเหมือนว่าสายตาของหลานจะดีกว่าปู่จริงๆ ทุกคนคิดว่าเขาเป็นเพียงหินกรวดธรรมดา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เชื่อมั่นเสมอว่าเขาคือเพชรแท้
ลั่วซิวและลั่วชิงหยาก็อึ้งไปเช่นกันเมื่อจ้องมองไปที่มู่เฉิน พวกเขาจำอีกฝ่ายได้ ย้อนกลับไปเมื่อพวกเขาติดตามลั่วเทียนเสินไปที่สำนักศึกษาเป่ยชาง ตอนนั้นมู่เฉินยังอ่อนแอและธรรมดาสามัญมาก
ใครจะคิดว่าเยาวชนที่พวกเขาเคยดูถูกจะแซงหน้าไปแบบไม่เห็นฝุ่น ทั้งคู่มีความรู้สึกที่ดีต่อลั่วหลี จึงมองมู่เฉินเป็นคู่แข่ง แต่ในเวลานี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าการแข่งขันนั้นดูตลกเพียงใด
ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากันและยิ้มอย่างขมขื่น เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกแห้วไปไม่น้อย
“ไอ้เด็กเวร แกเป็นใคร?!”
ขณะที่ผู้คนกำลังตกตะลึงกับความอ่อนวัยของมู่เฉิน เสียงคำรามก็ดังขึ้น เสี่ยหลิงจื่อมองมู่เฉินด้วยสายตาโกรธเกลียด หากไม่ใช่มู่เฉิน พวกเขาคงหยุดพิธีเทพธิดาลั่วในตอนนี้ได้แล้ว
ทว่ามู่เฉินไม่สนใจอีกฝ่ายสักนิด เขามองไปที่ลั่วเทียนเสินประสานมือให้ “คารวะท่านประมุขลั่ว”
เสียงสดใสดังก้องขณะที่เขายืนนิ่ง ความแวววาวเบื้องหลังดวงตา ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความเป็นอัจฉริยะที่อยู่ภายใน
ลั่วเทียนเสินมองไปที่มู่เฉินก็ยิ้มฝืด ใบหน้าของเขาดูเคอะเขิน เพราะไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับคนเบื้องหน้าอย่างไรดี เพราะเมื่อก่อนเขาเป็นปู่ที่ใจร้ายที่แยกคู่รักคู่นี้ไปหลายปี
เมื่อเสี่ยหลิงจื่อเห็นว่าตนเองถูกเพิกเฉย ไอสังหารในดวงตาก็เพิ่มขึ้น ริ้วเลือดกระจายออกมาจากร่าง
เขามองมู่เฉินอย่างเฉยเมย แต่ทุกคนรู้สึกได้ถึงความตั้งใจฆ่าหนาแน่นในสายตาเขา
“ไอ้หนู แกกล้าบอกชื่อตัวเองไหม?!”
แรงสั่นสะเทือนที่น่ากลัวของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายหลั่งออกมาพร้อมกับพื้นดินโยกคลอน
ทว่าภายใต้แรงกดดันอันน่าสะพรึง ชายหนุ่มกลับยิ้มบางขณะก้าวออกไปปกป้องลั่วหลีไว้เบื้องหลัง
ภายใต้รัศมีเลือดเดือดดาลคำรามลั่น เสียงที่สาดไอสังหารก็กระจายไปทั่วบริเวณนี้
“ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ ประมุขตำหนักมู่…มู่เฉิน”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1211 องครักษ์ของเจ้า
“ค่ายกลแม่น้ำลั่ว!”
เมื่อลั่วเทียนเสินคำราม แม่น้ำก็ล้นทะลัก คลื่นน้ำไม่มีที่สิ้นสุดกวาดกระจายออกไปทั่วสารทิศ ก่อตัวเป็นปราการน้ำขวางกั้น ราวกับชามกว้างใหญ่ครอบคลุมตระกูลลั่วเสินทั้งหมดเอาไว้
ปราการน้ำสั่นไหว รัศมีโบราณเอิบอาบออกมาคลุมเครือ
แม้ว่าปราการนี้จะดูอ่อนแอ แต่คลื่นหลิงทรงพลังที่เล็ดลอดออกมาก็ทำให้ม่านตาของเสี่ยหลิงจื่อหดลง ดูเหมือนว่าตระกูลลั่วเสินเตรียมการมาเป็นอย่างดี
“หึ ดูท่าตระกูลลั่วเสินของเจ้าไม่คิดที่จะยอมรับสันติสุขที่ตระกูลเสี่ยเสินมอบให้!”
เสี่ยหลิงจื่อพูดเสียงเย็นเยือก จากนั้นก็ยื่นมือกดมิติตรงหน้า ทันใดนั้นเมฆโลหิตก็เริ่มรวมตัวก่อร่างเป็นมือขนาดใหญ่ซัดลงมากระแทกกับปราการน้ำ
ปัง!
ความผันผวนป่าเถื่อนเกิดขึ้นจากปราการ แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังจะแตกสลาย
หัวใจทุกคนโลดขึ้นเมื่อมองดูปราการที่ผันผวน ใบหน้าของพวกเขาซีดลง เนื่องจากเมื่อไรที่ปราการนี้พังทลาย ตระกูลเสี่ยเสินก็จะเริ่มการสังหารหมู่
ฮึ่ม ฮึ่ม
ทว่าปราการก็ทนรับแรงระเบิดภายใต้สายตาที่จ้องมองด้วยความหวาดกลัว การโจมตีของเสี่ยหลิงจื่อ ค่อยๆ หายไป ปราการได้รับการฟื้นฟูจนสงบและปกป้องเมืองลั่วเสินอย่างเงียบๆ
ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าปราการยังคงยืนหยัด พลังของค่ายกลแม่น้ำลั่วเกินความคาดหมายของเขาไปไกล
“เสี่ยหลิงจื่ออย่ากัดมากกว่าจะเคี้ยวได้ ค่ายกลนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังของแม่น้ำลั่ว ตราบใดที่แม่น้ำลั่ว ยังยืนยงก็จะไม่ถูกทำลาย” ลั่วเทียนเสินรู้สึกโล่งใจกับภาพดังกล่าว จากนั้นก็เอ่ยเยาะเย้ย
ถึงแม้ว่าตระกูลลั่วเสินจะตกต่ำ แต่ศักดิ์ศรีของพยัคฆ์ก็ยังคงมี รากฐานของตระกูลลั่วเสินเกินกว่าตระกูลเสี่ยเสินมาก ไม่ต้องพูดถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายอย่างเสี่ยหลิงจื่อ แม้แต่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลนี้ลงได้
นี่เป็นความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาในการปกป้องพิธีเทพธิดาลั่ว!
“ฮึ่ม ข้าไม่เชื่อว่ากระดองเต่านี้จะปกป้องแกได้ตลอดไป!”
สายตาของเสี่ยหลิงจื่อมืดมนลงแฝงความดุร้ายขณะที่คำราม “ซัดไปที่จุดเดียว ทำลายมันให้ได้!”
ผู้อาวุโสทั้งห้าของตระกูลเสี่ยเสินรับคำสั่งด้วยท่าทางน่ากลัว คลื่นหลิงขนาดมหึมาแผ่ซ่านไปทั่ว ทำให้ทั่วทั้งภูมิภาคแดงฉาน กลิ่นเหม็นเลือดคละคลุ้งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ตู้ม ตู้ม!
การโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายหนึ่งคนและขั้นต้นห้าคน สิ่งนี้แทบจะทำลายโลกแตกสลาย การโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ซัดโจมตีจุดเดียวบนปราการน้ำ
เผชิญหน้ากับการโจมตีรุนแรง ปราการก็ผันผวนรุนแรง ระลอกคลื่นแผ่กระจายไปทั่ว
ทุกคนในเมืองลั่วเสินมองไปที่ปราการที่สั่นสะเทือนด้วยความกลัวในสายตา
ทว่าลั่วเทียนเสินดูสงบนิ่งมาก เขามีความมั่นใจในค่ายกลแม่น้ำลั่วนี้ ตราบใดที่พวกเขายังยืนหยัดอยู่ได้ ตระกูลเสี่ยเสินก็จะไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้
“ลั่วหลีใช้เวลานี้ทำให้สำเร็จ” ลั่วเทียนเสินพึมพำเมื่อมองไปที่ลั่วหลีซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟ
ตราบใดที่ลั่วหลีประสบความสำเร็จในการพัฒนาดังกล่าว ตระกูลลั่วเสินก็จะเป็นปึกแผ่นอย่างแท้จริง ในเวลานั้นพวกเขาสามารถต่อสู้กับตระกูลเสี่ยเสิน เขาไม่เชื่อว่าตระกูลเสี่ยเสินจะยอมจ่ายราคามหาศาลเพื่อต่อกรกับตระกูลลั่วเสินของพวกเขา เพราะแบบนั้นจะทำให้ตระกูลลี่เสินและตระกูลกู่เสินได้รับประโยชน์จากการต่อสู้ครั้งนี้แทน
ด้วยความเข้าใจของลั่วเทียนเสินที่มีต่อตระกูลเสี่ยเสิน พวกเขาไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน
ฟู่ ฟู่!
ราวกับลั่วหลีได้ยินเสียงของลั่วเทียนเสิน เปลวไฟบนร่างนางก็ลุกโชนเป็นพายุไซโคลนเพลิง
ในพายุหมุนนี้ดอกไม้เพลิงที่เย้ายวนบินฉวัดเฉวียนไปมา
“ท่านบรรพบุรุษโปรดปกปักตระกูลของเราด้วย!”
ลั่วหลีกำมือแน่น เลือดสีแดงเข้มหยดลงจากปลายนิ้ว นางพึมพำราวกับกำลังขอพร
แปะ!
หยดเลือดทิ้งตัวลงสู่แม่น้ำลั่วจมลึกลงไป
ตู้ม!
ทันใดนั้นแม่น้ำลั่วก็เดือดพล่าน ดอกไม้เทพธิดาบินออกไปรวมตัวกันอยู่ด้านหลังลั่วหลี ก่อตัวเป็นเงาแสง
ภาพเงาช่างบอบบาง แม้จะเลือนรางแต่ก็ยังงดงามจนใจสั่น
รัศมีโบราณเปล่งออกมาจากร่างเงานั้น
เมื่อภาพเงาปรากฏขึ้นทุกคนในเมืองลั่วเสินก็เปลี่ยนสีหน้า นั่นเป็นเพราะขณะนี้พวกเขารู้สึกถึงจุดกำเนิดของสายเลือด
“นั่นคือ…ท่านบรรพบุรุษลั่วเสินเรอะ?!”
เสียงที่น่าตกใจของลั่วเทียนเสินดังขึ้น เขามองดูเงาด้านหลังของลั่วหลีโดยไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยน้ำตา ใครจะคิดได้ว่าบรรพบุรุษของพวกเขาจะปรากฏเมื่อตระกูลลั่วเสินกำลังจะถึงกัลปาวสาน
ภาพเงามองมาที่ลั่วหลีแล้วคลี่ยิ้ม เสียงหัวเราะเบานั้นทำให้ทุกสรรพสิ่งเงียบลง
ภาพเงาแตะนิ้วที่กึ่งกลางคิ้วของลั่วหลี
คลื่นหลิงที่ไม่มีที่สิ้นสุดก็พุ่งเข้าสู่ห้วงแห่งจิตของลั่วหลี
“นั่นคือ…มรดกของลั่วเสิน?!”
ผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลสาขามองดูเหตุการณ์นี้ด้วยความอิจฉา พวกเขาไม่คิดว่าพิธีของลั่วหลีจะแตะถึงระดับสูงสุดนี้!
แค่ดอกไม้เทพธิดาก็ยังรับได้ แต่ทำไมกระทั่งท่านบรรพบุรุษยังปรากฏตัวและมอบมรดกให้ลั่วหลี!
“บรรพบุรุษผู้เป็นหนึ่ง! ทุกคนถวายบังคมองค์จักรพรรดินี!”
ชาวเมืองทุกคนรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง พวกเขาคุกเข่าหมอบคลานพร้อมกับเสียงดังแสบแก้วหู
เมื่อเสี่ยหลิงจื่อเห็นสิ่งนี้ใบหน้าก็มืดมนพร้อมกับร่องรอยความกลัวผุดขึ้นในส่วนลึกของดวงตา
ลั่วหลีตรงหน้าทำให้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามแล้ว
เขามองไปที่ปราการที่ยังตั้งมั่นภายใต้การโจมตีดุร้าย ใบหน้าก็กลายเป็นอุบาทว์คำรามลั่น “พวกแกยังไม่ขยับอีกเรอะ?”
เสียงคำรามของเขาดังก้อง ทำให้ดวงตาของลั่วเทียนเสินสั่นไหว มันกำลังเรียกตระกูลลี่เสินกับกู่เสินรึ?
ขณะที่ลั่วเทียนเสินเฝ้าระวังการแทรกแซงของอีกสองตระกูล เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นผู้อาวุโสสามคนจากตระกูลสาขากัดฟันกรอด
ทันใดนั้นคนหนึ่งก็เคลื่อนตัวไปทางแม่น้ำลั่ว
“แกจะทำอะไร?!” ลั่วเทียนหลงที่จับตามองทั้งสามตลอดก็คำรามกร้าว
วาบ!
อีกสองคนจากตระกูลสาขาก็ขยับเข้ามาอย่างรวดเร็วเพื่อสกัดลั่วเทียนหลงไว้
ตอนนั้นเองผู้อาวุโสที่เคลื่อนตัวเข้าใกล้แม่น้ำลั่วก็หยิบขวดของเหลวสีดำออกมาแล้วโยนลงไปในแม่น้ำลั่ว
ปัง!
ขวดระเบิดของเหลวสีดำพวยพุ่งออกมาพร้อมกับความผันผวนที่น่าขนพองสยองเกล้า บริเวณที่มันไหลผ่านก็ทำให้แม่น้ำลั่วแข็งค้างขึ้นทันที
เมื่อแม่น้ำถูกแช่แข็งก็เกิดช่องโหวบนค่ายกล ปราการเกิดความผันผวน รอยร้าวปรากฏขึ้นในปราการ
“รนหาที่ตาย!” ลั่วเทียนเสินคำรามกับภาพเบื้องหน้า เขาไม่คิดว่าคนตระกูลสาขาจะไร้ยางอายขนาดนี้
เห็นได้ชัดว่าพวกมันร่วมมือกับตระกูลเสี่ยเสินมานานแล้ว!
ปัง!
คลื่นหลิงที่น่ากลัวระเบิดออกมาจากร่างลั่วเทียนเสิน สายตาจ้องมองผู้ทรยศทั้งสามแล้วพุ่งเข้าใส่
วาบ!
แต่ขณะที่เขาเคลื่อนไหว คลื่นโลหิตก็ซัดเข้ามา เสี่ยหลิงจื่อพุ่งเข้ามาในเมืองลั่วเสินสกัดกั้นลั่วเทียนเสินเอาไว้
“จุ๊ๆ ลั่วเทียนเสินแกดีใจเร็วเกินไป!”
เสี่ยหลิงจื่อขวางทางลั่วเทียนเสินไว้ จากนั้นก็แสยะยิ้มพลางตะโกน “ทำลายพิธีเทพธิดาลั่ว!”
ชัดว่าเขากำลังพูดกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งห้าของตระกูลเสี่ยเสิน
วาบ! วาบ!
เมื่อสิ้นเสียง ทั้งห้าที่กำลังพยายามขยายรอยร้าวก็แบ่งสามคนพุ่งเข้ามาด้วยรัศมีโลหิต
“ใครคิดขัดขวางองค์จักรพรรดินีต้องตาย!”
ขณะที่พวกเขาพุ่งไปหาลั่วหลีi เสียงคำรามนับไม่ถ้วนดังก็กึกก้องเบื้องหน้า ลั่วชิงหยาและลั่วซิวพุ่งเข้ามาพร้อมกับกองทัพ ทะยานเข้าใส่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งสาม
“ฮึ่ม ช่างเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์!”
หนึ่งในนั้นเค้นเสียงเย็น คลื่นหลิงสีแดงเข้มที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาจากร่างเขา เขาสามารถสกัดลั่วชิงหยาและลั่วซิวด้วยตัวคนเดียว!
อีกสองคนพุ่งเข้าหาลั่วหลีโดยไม่ลังเล
“ปกป้องจักรพรรดินี!”
เงานับไม่ถ้วนพุ่งออกไปก่อตัวเป็นแนวป้องกันเบื้องหน้าลั่วหลี พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าของตระกูลลั่วเสิน
“ไอ้พวกมด!”
ทว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งสองไม่สนใจสิ่งนี้เลย คนหนึ่งแหวกคลื่นมนุษย์ออกไปแล้วกระทืบเท้าเรียกร่างเวทสวรรค์ออกมา ร่างใหญ่โตเปิดปากดูดดึงคลื่นหลิงในฟ้าดินเข้าไป
โฮก!
อึดใจร่างใหญ่โตก็เปิดปากส่งเสียงคลื่นที่น่ากลัวออกมา จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าเหล่านั้นถูกเป่ากระเด็นออกไป
จอมยุทธ์อีกคนอาศัยช่วงเวลานี้พุ่งผ่านแนวป้องกัน จากนั้นก็สะบัดนิ้ว แสงหลิงยิงไปในทิศทางของแท่นพิธีสีขาว
แท่นสีขาวแตกตกลงไปในแม่น้ำลั่วลอยอยู่บนผิวน้ำ
บนแท่นสีขาว ลั่วหลียังคงนั่งหลับตาอยู่
“ฮ่าๆ ตระกูลลั่วเสินยังมีใครสกัดข้าได้อีก?”
พอเห็นลั่วหลีตกอยู่ในสถานการณ์นี้ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่พุ่งเข้ามาก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ตอนนี้ตระกูลลั่วเสินได้งัดไพ่ตายออกมาทั้งหมดแล้ว งานพิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้ถือว่าล้มเหลวไม่มีชิ้นดี
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนกำกำปั้นหอกโลหิตก็ปรากฏขึ้น ปลายหอกชี้ไปทางลั่วหลี เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ลังเลที่จะทำลายนางให้สิ้นซาก
ประชาชนที่เฝ้ามองสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปฉับพลันก็ร้องโศกเศร้าเสียใจ หรือว่าตระกูลลั่วเสินจะถึงกัลปาวสานอย่างแท้จริง?
ความโศกเศร้ากระจายทั่วเมืองส่งผลให้ลั่วหลีต้องลืมตาขึ้น ทว่านางได้แต่มองจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินที่เข้าใกล้เรื่อยๆ นางกำหมัดแน่น เล็บจิกลงบนฝ่ามือ กัดริมฝีปากจนเลือดซึมออกมา
พิธีเทพธิดาของนางจะล้มเหลวแล้วจริงหรือ?
นางต้องการเวลาอีกเล็กน้อย…อีกเล็กน้อยเท่านั้นก็จะสามารถสำเร็จแล้ว!
จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินมองลั่วหลีด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “น่าเสียใจเนอะ จอมยุทธ์อัจฉริยะหญิงแห่งตระกูลลั่วเสินต้องมาตายด้วยน้ำมือข้าหรือเนี่ย?”
“ตายซะ นังเวร!”
สายตาเขาเย็นยะเยือก หอกโลหิตพุ่งออกมาโดยไม่ลังเล พุ่งทะลุมิติเล็งไปที่กลางหว่างคิ้วของลั่วหลี
เมื่อหอกเสือกแทงออกมาทั่วเมืองก็เงียบกริบ ประชาชนมากมายล้มลงด้วยความสิ้นหวัง
ลั่วชิงหยาและลั่วซิวคำรามลั่น ขณะที่เรียกใช้รัศมีจั้นยี่พยายามที่จะทำลายการกีดขวางของศัตรูเบื้องหน้า
ลั่วเทียนเสินที่ถูกเสี่ยหลิงจื่อขัดขวางเอาไว้ก็ครางเสียงเศร้าหมอง
ลั่วเทียนหลงถูกบีบจากจอมยุทธ์สองคนจนขยับไม่ได้
ลั่วหลีกัดริมฝีปาก รอยเลือดไหลออกมาจากมุมปาก
ฮึ่ม!
หอกสีแดงฉีกผ่านมิติ
ตู้ม ตู้ม!
ทว่าจังหวะนั้นเมื่อหอกมาปรากฏต่อหน้าลั่วหลี ทุกคนก็ได้ยินเสียงระเบิดแสบแก้วหูดังขึ้นฉับพลัน
จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินก็เหมือนสัมผัสได้ สีหน้าเปลี่ยนไป
ปัง!
วินาทีที่เขาสัมผัสได้ มิติเบื้องบนเขาก็ระเบิด สายฟ้าสีดำพุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว
เร็วมากจนเขาไม่สามารถหลบได้ อึดใจต่อมาแสงสีดำก็กระแทกลงบนร่างเขาอย่างรุนแรงท่ามกลางใบหน้าที่อัดแน่นด้วยความตกใขหวาดผวา
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังกึกก้อง จากนั้นทุกคนก็ตะลึงไปเมื่อเห็นพื้นผิวแม่น้ำลั่วยุบลง คลื่นสูงหมื่นจั้งพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วโปรยปรายลงมาราวกับพายุฝน
“นั่น…นั่นมันอะไร?”
ทุกคนตกใจกลัวกับฉากนี้
จอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินและเสี่ยเสินก็หยุดการปะทะทันทีและมองไปทิศทางนั้นด้วยสายตาตะลึงงัน
เมื่อพายุฝนโปรยปรายลงมาจนหมด พวกเขาก็เห็นได้อย่างชัดเจน
จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินหายใจพะงาบๆ บนพื้นผิวของแม่น้ำมีร่างเงาหนึ่งยืนอยู่บนแผ่นหลังเขา มือข้างหนึ่งตะปบบนศีรษะ ขณะที่หัวเข่าข้างหนึ่งกดลงบนหลัง
เบื้องหน้าพวกเขาคือแท่นพิธีสีขาวที่ลอยอยู่บนแม่น้ำ
ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง!
“ใคร…นั่นใครกัน?”
เสียงตื่นตกใจดังขึ้น จอมยุทธ์ชุดดำที่ปรากฏขึ้นฉับพลันทำให้พวกเขาตกตะลึงไป
พายุยังคงโหมกระหน่ำ ท่ามกลางเสียงตกตะลึงนับไม่ถ้วน ลั่วหลีก็อึ้งไปเมื่อมองร่างเงาที่พลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า
ในไม่ช้านางก็หายจากอาการตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นอย่างช้าๆ
ความไม่เชื่อสายตากระจายบนใบหน้าของนาง
พายุฝนโปรยปรายลงมาตรงหน้า ร่างเงาชุดดำที่ตึงร่างจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินไว้ก็เงยหน้าขึ้นในเวลานี้ เขามองความงดงามเบื้องหน้า รอยยิ้มอ่อนโยนก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา
เขาเอามือข้างหนึ่งแตะบนหน้าอกก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วยิ้ม
“จักรพรรดินีที่รักของข้า… องครักษ์ของเจ้า…มาถึงแล้ว!”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1210 ดอกไม้เทพธิดาลั่ว
ฟู่ ฟู่!
เปลวไฟสีแดงเข้มแผดเผาห่อหุ้มร่างลั่วหลีไว้ มองจากที่ไกลนางดูราวกับเปลวไฟสีแดงเข้มที่ลุกโชนระหว่างชั้นฟ้าและชั้นดิน
แปะ
ทว่าขณะที่เปลวไฟล้อมรอบตัว เลือดกลั่นก็หลั่งไหลจากมือลงสู่แม่น้ำ
แม่น้ำลั่วเสินเกิดจากบรรพบุรุษผู้กล้าของตระกูล—ลั่วเสินหลังจากที่เสียชีวิตลง แม่น้ำนี้บรรจุพลังของลั่วเสินเอาไว้ แต่ต้องใช้สายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดของราชวงศ์ในการกระตุ้น
เมื่อเลือดสดหยดลงไปในแม่น้ำ สีแดงก็เริ่มเข้มลึกขึ้นพร้อมกับเกลียวเพลิงสีแดงเข้มเต้นระริกพล่านเข้าหาร่างของลั่วหลี
ลั่วเทียนเสินยืนอยู่ทางด้านขวามือของลั่วหลีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขามองแม่น้ำลั่วที่อยู่เบื้องล่าง เล่าขานกันว่ายิ่งสายเลือดราชวงศ์ของตระกูลลั่วเสินบริสุทธิ์มากก็จะทำให้เกิดการสั่นพ้องจากแม่น้ำ โดยให้ผู้ที่มีส่วนร่วมในพิธีได้รับพลังที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น
ลั่วหลีคือผู้สืบเชื้อสายตรงในปัจจุบันที่มีสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เขาทดสอบตั้งแต่นางแรกเกิด ดังนั้นเขาจึงเชื่อมั่นว่าพิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้จะไม่เหมือนกับในอดีต
ลั่วเทียนเสินหรี่ตาลงมองไปที่ท้องฟ้าไกลออกไปด้วยแสงเย็นเยือก เขารู้ว่าศัตรูกำลังเฝ้าดูพวกเขาอยู่ หากลั่วหลีทำให้พิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้เกินความคาดหมาย พวกศัตรูจะต้องลงมือทำลายอย่างแน่นอน
เขาไม่มีทางปล่อยให้พวกมันประสบความสำเร็จได้
นั่นเป็นเพราะลั่วหลีเป็นความหวังสุดท้ายของตระกูล ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนางตระกูลลั่วเสินที่นางพากเพียรรวมเป็นหนึ่งก็จะถูกทำลาย ในเวลานั้นตระกูลลั่วเสินก็จะถูกลบเป็นหน้าประวัติศาสตร์
แม้ว่าเขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่ก็ยังมีอาการบาดเจ็บมากมายในอดีตทิ้งไว้ ทำให้พลังของเขาลดลงตามบารมี มิฉะนั้นเขาคงทำให้ไอ้ลูกหมาสามตัวนั้นเชื่องไปแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องบอกให้พวกที่พยายามขัดขวางพิธีเทพธิดาลั่วรู้ว่าแม้แต่เสือที่กำลังจะตายก็ยังมีเขี้ยวคม!
เมื่อความคิดนี้พุ่งเข้ามาในสมอง ใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็เหี้ยมเกรียมด้วยรังสีสังหารที่พล่านในใจ
ซ่า!
ทันใดนั้นแม่น้ำลั่วก็เดือดปุด ก่อนที่ฟองอากาศสีแดงเข้มจะปรากฏขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำนี้ ทำให้ทุกคนพุ่งความสนใจมาทันที
ปัง!
ฟองอากาศแตกออก ริ้วแสงสีแดงเข้มลอยขึ้นก็ค่อยๆ ถักทอเป็นดอกไม้สีแดงขนาดเท่าฝ่ามือ
เปลวไฟร้อนระอุเต้นระริกบนดอกไม้ เหมือนจะมีโครงร่างบางบนทุกกลีบดอก แม้ว่าภาพจะพร่าเลือน แต่ก็เป็นความงามที่ทำให้ทุกคนมึนเมา
ขณะที่ดอกไม้เบ่งบาน สายเลือดที่ยิ่งใหญ่และโบราณก็เปล่งออกมา
เมื่อลั่วเทียนเสินและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตระกูลเห็นดอกไม้นี้ ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยความยินดีท่วมท้น
“นั่นคือ…ดอกไม้เทพธิดาลั่ว!”
สมาชิกราชวงศ์บางคนอดส่งเสียงฮือฮาออกมาไม่ได้ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความตกตะลึง
พิธีเทพธิดาลั่วจะแสดงสัญญาณตามความบริสุทธิ์ของสายเลือด ซึ่งในตำนานสิ่งที่บริสุทธ์ที่สุดก็คือดอกไม้เทพธิดาลั่ว!
ดอกไม้เทพธิดาลั่วว่ากันว่าถูกสร้างขึ้นจากเลือดบรรพบุรุษของพวกเขาลั่วเสินที่ละร่างไว้ในส่วนลึกของแม่น้ำ เฉพาะสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดเท่านั้นที่สามารถกระตุ้นได้
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของตระกูล การปรากฏของดอกไม้เทพธิดาลั่วสามารถนับได้ด้วยมือเดียว ไม่มีใครคาดหวังว่าจะได้มาเป็นประจักษ์พยานในวันนี้
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งสามคนจากตระกูลสาขาก็เผยท่าทางไม่อยากเชื่อและหวาดผวาบนใบหน้าเมื่อเห็นภาพนี้
“ทำไม…เป็นดอกไม้เทพธิดาลั่วได้?!” พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันขณะพูดเสียงตะกุกตะกัก พวกเขารู้ดีว่าสายเลือดของลั่วหลีบริสุทธิ์มาก แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่านางจะสามารถกระตุ้นดอกไม้เทพธิดาลั่วในพิธีครั้งนี้ได้
ใบหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไปไม่หยุด เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันนี้ พิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้ไม่ใช่ธรรมดาแล้ว หากนางสามารถได้รับมรดกของลั่วเสินจริงๆ ละก็ นางจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนและคงก้าวเกินจินตนาการของพวกเขาในอนาคตอีก
ไม่มีใครรู้ว่าลั่วหลีจะกลายเป็นเทพธิดาลั่วคนที่สองของตระกูลลั่วเสินหรือไม่
ถ้านั่นเป็นเรื่องจริงตำแหน่งของนางจะไม่มีวันสั่นคลอน กระทั่งตระกูลสาขาของพวกเขาก็ต้องโค้งคำนับต่อนาง นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดคือตาแก่อย่างพวกเขาที่พยายามลากลั่วหลีลงมาจะต้องถูกจัดการแน่นอน
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ แสงชั่วร้ายก็วาบผ่านดวงตาของพวกเขา
ขณะที่ฝ่ายอื่นๆ ของตระกูลลั่วเสินมีความคิดต่างกันไป ประชาชนที่มองดูดอกไม้สีแดงเข้มก็ส่งเสียงโห่ร้อง
พวกเขาทุกคนมีสายเลือดบางจางของเทพธิดาลั่วเสินไหลอยู่ในร่างกาย ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกได้ถึงความเคารพนับถือที่มาจากส่วนลึกสายเลือด
ฉากนี้ไม่เคยปรากฏในพิธีเทพธิดาลั่วที่ผ่านมา ดังนั้นทุกคนจึงบอกได้ว่าพิธีในครั้งนี้จะต้องพิเศษน่าตระการตาแน่นอน
ภายใต้เสียงโห่ร้อง ดอกไม้เทพิดาลั่วก็ตกบนร่างลั่วหลี ทันทีนั้นเปลวไฟสีแดงเข้มที่ห่อหุ้มร่างของนางก็ขยายออก
ฟู่ ฟู่!
เสาเพลิงขนาดหลายร้อยจั้งพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเติมบรรยากาศด้วยกลิ่นเลือด
เมื่อเปลวไฟแผ่กระจายออก ทุกคนก็สามารถรู้สึกได้ว่าในร่างกายของลั่วหลีที่ถูกเปลวไฟห่อหุ้มเริ่มเปล่งความผันผวนคลื่นหลิงที่ทรงพลังออกมา
ขุมพลังของนางเริ่มไต่ขึ้นไปสู่ขอบเขตของระดับตี้จื้อจุน
เมื่อสังเกตเห็นการเติบโตขุมพลังของลั่วหลี ลั่วเทียนเสินก็ถอนหายใจโล่งอก
“ฮ่าๆ สมเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงของตระกูลลั่วเสิน แค่พิธีเทพธิดาลั่วยังทำให้เกิดความปั่นป่วนขนาดนี้ได้” ทว่าทันทีที่ลั่วเทียนเสินถอนหายใจโล่งอก จู่ๆ เสียงหัวเราะก็ดังก้องขึ้น
ใบหน้าของลั่วเทียนเสินเปลี่ยนไปทันที เขาหันไปหาที่มาของเสียง “ตระกูลเสี่ยเสิน—เสี่ยหลิงจื่อ!”
ท้องฟ้าสีฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานราวกับคลื่นโลหิตพล่านไปในภูมิภาคนี้
ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีแดงเลือดปรากฏตัวขึ้นจ้องมองไปที่ลั่วเทียนเสิน รอยยิ้มฉายในดวงตาสีแดงเข้ม เขาประสานมือ “ได้ข่าวว่าตระกูลลั่วเสินกำลังทำพิธีเทพธิดาลั่ว ตระกูลเสี่ยเสินจึงมาที่นี่เพื่อเป็นประจักษ์พยาน”
วาบ!
กองทัพทั้งสองที่ประจำการอยู่ข้างแม่น้ำลั่วก็ระเบิดคลื่นทรงพลัง ลั่วชิงหยาและลั่วซิวมองแขกไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเย็นยะเยือก คลื่นหลิงพวยพุ่งในร่างกายของพวกเขาค่อยๆ หลอมรวมกับกองทัพที่เบื้องหลัง ปลดปล่อยรัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลังสองสายออกมา
ทั้งสองคนเป็นจั้นเจิ้นซือ!
ทว่าการควบคุมของพวกเขาอยู่ในระดับวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือเท่านั้น
ความโกลาหลแตกออก ทุกคนมองร่างเงานั้นด้วยความโกรธเกลียด ชิงชังและความหวาดกลัว ชัดว่าพวกเขาคุ้นหน้าแขกคนนี้ เนื่องจากคนที่มาก็คือประมุขตระกูลเสี่ยเสิน…เสี่ยหลิงจื่อ!
ชื่อเสียงเหม็นเน่าของเขาในดินแดนซีเทียนเล็กสามารถทำให้เด็กน้อยร้องไห้จ้าได้เลยทีเดียว
“ไสหัวไป! ตระกูลลั่วเสินไม่ต้อนรับแก!” ลั่วเทียนเสินจ้องไปที่เสี่ยหลิงจื่อขณะที่ตะเบ็งเสียง
คลื่นหลิงมหึมากวาดออกไป ทำให้มิติบิดเบือนอย่างรุนแรงพร้อมกับแรงกดดันที่น่ากลัวปกคลุมสวรรค์และโลก
“ฮ่าๆ ไม่มีซอกมุมไหนในดินแดนซีเทียนเล็กนี้ที่ตระกูลเสี่ยเสินไม่สามารถไปได้” ได้ยินเสียงคำรามของลั่วเทียนเสิน เสี่ยหลิงจื่อก็ยิ้มเยาะ
เมื่อเขาโบกมือ คลื่นโลหิตก็พวยพุ่งที่ด้านหลัง ร่างเงาห้าร่างก้าวเดินออกมาอย่างช้าๆ ซึ่งเมื่อปรากฏตัวก็ทำให้ทุกคนต้องสูดลมหายใจเย็นเข้าไปลึกสุดปอด
นั่นเพราะทั้งห้าคนมีความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลังรอบตัว… นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นห้าคน!
“นั่นคือผู้อาวุโสทั้งห้าของตระกูลเสี่ยเสิน ไม่คิดว่าครั้งนี้จะมากันหมดเลย!” ฝูงชนกลายเป็นความโกลาหลตามด้วยเสียงหวาดกลัว
ใบหน้าของลั่วเทียนเสินเขียวคล้ำ ดูเหมือนว่าตระกูลเสี่ยเสินตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำลายพิธีเทพธิดาลั่ว ถึงกับนำจอมยุทธ์ชั้นสูงทั้งหมดออกมา!
นอกจากนี้เขายังสามารถสัมผัสได้คลุมเครือถึงคลื่นหลิงที่ลึกซึ้งและทรงพลัง ซึ่งเขาคาดว่าน่าจะมาจากตระกูลลี่เสินและตระกูลกู่เสิน เพียงแค่ความขัดแย้งของพวกเขากับตระกูลลั่วเสินไม่ชัดเจน แต่ลั่วเทียนเสินรู้ว่าเมื่อไรที่พวกตนแสดงความอ่อนแอออกมา คนพวกนั้นก็จะไม่ลังเลที่จะเหยียบย่ำซ้ำเติม!
คราวนี้ตระกูลลั่วเสินตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแล้ว
เสี่ยหลิงจื่อยิ้มมองไปที่ลั่วเทียนเสิน ก่อนจะหันเหความสนใจไปที่ลั่วหลี “ตราบใดที่เจ้าเห็นด้วยที่จะให้ลั่วหลีแต่งเข้าตระกูลเสี่ยเสิน ตระกูลของข้าก็จะให้การสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแก่ตระกูลเจ้า”
“ลั่วเทียนเสิน ข้ามาด้วยความตั้งใจอันเป็นสันติ อย่าย้อมพื้นด้วยเลือดเลย”
ลั่วเทียนเสินมองเสี่ยหลิงจื่อโดยไม่มีริ้วอารมณ์ใด “ในเมื่ออยากจะรู้คำตอบนัก งั้นข้าจะบอกให้”
เขายกมือขึ้นโบกพร้อมกับเสียงเย็นที่เต็มไปด้วยไอสังหารระเบิดดังก้อง
“ค่ายกลแม่น้ำลั่ว!”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1209 พิธีเทพธิดาลั่ว
วังหลวงลั่วเสิน
ชัยภูมิที่นี่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำลั่วไหลเชี่ยว ที่ตั้งอยู่ตรงจุดตัดของแม่น้ำ มีสายน้ำไหลหลั่งไม่สิ้นสุดราวกับว่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
พิธีเทพธิดาจะจัดขึ้นที่นี่
ดังนั้นทั่วบริเวณจึงเต็มไปด้วยการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด โดยมีกองทัพประจำการอยู่ทุกด้านของแม่น้ำ มีกระทั่งนักรบขี่กระเรียนสายฟ้าตั้งกระบวนทัพเป็นแนวป้องกันบนท้องฟ้า แม้แต่แมลงวันสักตัวก็ไม่สามารถเล็ดลอดเข้าไปได้
สามารถมองเห็นผู้คนจำนวนมากชุมนุมทั้งสองฝั่งแม่น้ำที่ทอดยาวสุดสายตา
พวกเขาเหล่านี้เป็นประชาชนของตระกูลลั่วเสินซึ่งกำลังรอการปรากฏตัวของจักรพรรดินีองค์ใหม่
พวกเขาต้องการเป็นสักขีพยานในพิธีเทพธิดาลั่ว เพื่อเฝ้ามองจักรพรรดินีก้าวขึ้นสู่บัลลังก์
บริเวณนี้ได้กลายเป็นจุดสนใจของทั้งเมืองลั่วเสินหรือกระทั่งทั้งตระกูล
ตึง!
ขณะที่ทุกคนกำลังรออย่างตื่นเต้น เสียงระฆังโบราณก็ดังขึ้น
ฟิ้ว!
เมื่อระฆังดังกังวาน ริ้วแสงก็พุ่งออกมาจากวังลั่วเสิน ก่อนที่จะพลิ้วลงเหนือแท่นที่ลอยบนผิวแม่น้ำ
นี่เป็นแท่นพิธีที่เหมือนว่าถูกปั้นมาจากหยกขาว ระยิบระยับแพรวพราวอย่างยิ่ง แต่ความสนใจผู้คนไม่ได้อยู่ที่แท่นพิธีเลย กลับเป็นหญิงสาวที่อยู่บนนั้น
นางยืนบนแท่นพิธี เรือนผมสีเงินยวงพร่างพราวภายใต้แสงตะวัน ใบหน้าไร้ที่ติราวกับประติมากรรมชิ้นเอกของโลก
ซ่าๆๆ!
เมื่อนางปรากฏตัวผู้คนทั้งหมดก็คุกเข่าลงราวกับนาข้าวที่ล้มลงเมื่อถูกพายุพัดใส่ ดวงตาที่มองเงาร่างบนแท่นพิธีทั้งลุกโชนและอัดแน่นด้วยความนับถือ
“ถวายบังคมองค์จักรพรรดินี!”
เสียงกึกก้องดังขึ้นในเมืองลั่วเสินสะท้อนไปมาเป็นเวลานาน
เมื่อเห็นดวงตาโชติช่วงด้วยความเชื่อมั่นของประชากรตระกูลลั่วเสิน ขั้วอำนาจอื่นๆ ที่มาเข้าร่วมพิธีเทพธิดาลั่วก็มีท่าทางเปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่คิดว่าตระกูลลั่วเสินที่กำลังจะล่มสลาย ไม่กี่ปีผ่านมาจะกลับมาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้
นี่ทำให้พวกเขาต้องทอดถอนหายใจ จากนั้นก็มองดูร่างเงาบนแท่นพิธีด้วยความหลงใหล ยามนี้พวกเขาต้องยอมรับว่าบางคนในโลกมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่สามารถดึงดูดผู้คนทั้งหมดไว้ได้
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีองค์ใหม่ของตระกูลลั่วเสินอยู่ในประเภทนั้น
ลั่วหลีกวาดมองไปผู้คนที่คุกเข่าเบื้องหน้าก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อย แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่กลิ่นอายสูงศักดิ์ก็ลุ่มหลงในหัวใจของทุกคน
“นายหญิง!”
ที่ด้านหลังลั่วหลี เงาร่างสองร่างที่หนุ่มแน่นคุกเข่าลงบนพื้น มือข้างหนึ่งแตะหน้าอก พวกเขาเฝ้ามองร่างอรชรเบื้องหน้าด้วยดวงตาสุกสว่างและความรักความเทิดทูนฉายในส่วนลึกของดวงตา
ลั่วหลีหันไปมองทั้งสองคน พวกเขาเป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลลั่วเสิน ถ้ามู่เฉินอยู่ที่นี่ก็จะสามารถจดจำทั้งสองได้ทันที เนื่องจากพวกเขาเป็นคนที่ติดตามลั่วเทียนเสินไปยังสำนักศึกษาเป่ยชาง
ลั่วชิงหยาและลั่วซิว
ช่วงเวลาหลายปีพวกเขาก็เติบโตขึ้นมากเช่นกัน ตอนนี้พวกเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม ด้วยวัยของพวกเขาแม้ว่าลั่วหลีจะให้การสนับสนุนทรัพยากร แต่ก็ปฏิเสธความโดดเด่นของพวกเขาไม่ได้
“จะต้องมีบางคนคิดทำลายพิธีเทพธิดาลั่วแน่นอน ข้าหวังว่าเจ้าสองคนจะสามารถขัดขวางพวกเขาได้” ลั่วหลีเอ่ยเสียงเบา
ภายใต้การสั่งการของนาง ลั่วชิงหยาและลั่วซิวแทบจะควบคุมกองทัพทั้งหมดของตระกูลลั่วเสิน พวกเขาทั้งสองมีอำนาจมากในกองทัพ
“ถ้าพวกข้ายังอยู่จะไม่ยอมให้หน้าไหนมาปรากฏตัวต่อหน้าท่านได้” ลั่วชิงหยายิ้มไม่มีการสั่นคลอนในเนื้อเสียงของเขาสักนิด
“แม้ตายพวกข้าก็จะใช้ศพขัดขวางศัตรูไว้ ไม่ให้มารบกวนท่านแน่” ลั่วซิวยิ้มกว้าง ทว่ารอยยิ้มกลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ลั่วหลียิ้มขณะที่ส่ายหัวเบาๆ “อย่าตายเลย”
ลั่วชิงหยาและลั่วซิวรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ จากนั้นก็ผงกหัวรับแล้วทะยานกลับไปยังกองทัพ ครั้งนี้พวกเขาไม่ปล่อยกระทั่งแมลงวันเข้ามารบกวนลั่วหลีได้อย่างแน่นอน แม้จะต้องใช้ราคาชีวิตของพวกเขาจ่ายก็ตาม
หลังจากที่พวกเขาไปแล้วลั่วหลีก็กวาดสายตาไปยังอีกทิศทางหนึ่ง ตรงนั้นเป็นกลุ่มคนที่นำโดยผู้อาวุโสสามคน ทั้งสามปล่อยพลังงานที่ผันผวนทรงประสิทธิภาพ บ่งบอกได้ว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น!
ทว่าลั่วหลีไม่มีความยินดีในสายตาสักนิดขณะที่มองผู้อาวุโสทั้งสาม ในทางตรงกันข้ามกลับมีไอเย็นยะเยือกวาบขึ้นในดวงตาของนาง เนื่องจากพวกเขาทั้งสามคนมาจากตระกูลสาขา
ในตระกูลลั่วเสินพวกเขามีอำนาจสูงสุดนอกเหนือจากราชวงศ์
แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้จงภักดีต่อราชวงศ์ ตรงกันข้ามมีแต่คนพยายามลดบทบาทของราชวงศ์ หากไม่ใช่ลั่วทียนเสินยังยืนหยัด คนพวกนี้คงจะเข้ายึดบัลลังก์แล้ว
ดังนั้นในพิธีเทพธิดาลั่วนี้ ไม่เพียงแต่ลั่วหลีจะพึ่งพาพวกเขาไม่ได้ นางยังต้องคอยระวังพวกเขาด้วย
“ท่านลุงเทียนหลง” ลั่วหลีเรียกเสียงเบา
ที่เบื้องหลัง ชายวัยกลางคนที่แข็งแกร่งกำยำข้างลั่วเทียนเสินก้าวออกมาโค้งคำนับให้ เขาคือลั่วเทียนหลงหนึ่งในจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นของราชวงศ์
เมื่อก่อนเขาและบิดาของนางเป็นเพื่อนรักกัน ทว่าหลังจากที่บิดาของลั่วหลีเสียชีวิต ความวุ่นวายในตระกูลทำให้เขาผิดหวังจนแยกตัวออกไป แต่เมื่อลั่วหลีกลับมา นางลองไปเชิญเขาด้วยตัวเองหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจออกจากการปลีกวิเวกกลับมาที่ตระกูล
“ฝากท่านช่วยเฝ้าดูคนพวกนั้นอย่างใกล้ชิดด้วย” ลั่วหลีพูดกับลั่วเทียนหลง
ลั่วเทียนหลงเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นคนเดียว ดังนั้นจึงค่อนข้างตึงมือสำหรับเขาที่คอยกันจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนไว้ แต่สถานการณ์ปัจจุบันตระกูลลั่วเสินไม่มีตัวช่วยมากนัก เขาเป็นคนสุดท้ายที่นางขอให้ช่วยได้แล้ว
เมื่อลั่วเทียนหลงได้ยินคำพูดของนาง เขาก็พยักหน้าโดยไม่ลังเล
“ขอบคุณมาก” ลั่วหลีเผยยิ้มกว้างออกมา
ลั่วเทียนหลงหัวเราะ “ความช่วยเหลือยิ่งใหญ่ที่สุดของพ่อเจ้าคือการมีลูกสาวที่โดดเด่น ข้าเชื่อว่าด้วยมือของเจ้าตระกูลลั่วเสินจะเติบโตแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม! ดังนั้นเจ้าให้ข้าทำอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ!”
เขาทะยานออกไปพลิ้วตัวลงระหว่างกลุ่มคนกับแท่นพิธึ จากนั้นก็จ้องมองไอ้งั่งสามคนด้วยจิตสังหารเข้มข้นที่ฉายขึ้นบนใบหน้าเพื่อเป็นการเตือน
ที่นั่นผู้อาวุโสทั้งสามมองลั่วเทียนหลงโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงท่าทางใด ก่อนที่จะหันไปมองร่างเงาบนแท่นพิธีด้วยสายตาซับซ้อน
หลังจากที่ลั่วเทียนหลงไปประจำตำแหน่งแล้ว ลั่วหลีก็หันไปหาลั่วเทียนเสินและพยักหน้าให้
“เริ่มเลยเจ้าค่ะ”
ลั่วเทียนเสินสูดหายใจลึกๆ การวางแนวป้องกันของลั่วหลีค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ซึ่งทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ ทว่าเขารู้ว่านี่ไม่ใช่พวกเดียวที่พวกเขาจะต้องป้องกัน ซึ่งลั่วหลีก็รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
พิธีเทพธิดาลั่วในครั้งนี้อาจเป็นครั้งที่อันตรายที่สุดในช่วงหลายปี
แต่ไม่ว่าจะอันตรายเพียงใดก็ไม่มีทางให้พวกเขาถอยอีกแล้ว
แสงหลิงหนาแน่นคลี่กระจายออกจากแท่นพิธี แท่นดอกบัวก่อตัวขึ้นใต้ฝ่าเท้าของลั่วหลี นางนั่งลงพร้อมกับเรือนผมสีเงินพลิ้วไหวไปกับสายลม ช่างเป็นภาพงดงามยิ่งนัก
ลั่วหลีเงยหน้าขึ้นมองสายตาคาดหวังนับไม่ถ้วน ประชาชนทุกผู้ทุกนามล้วนปรารถนาให้นางประสบความสำเร็จ เพราะนี่เกี่ยวข้องกับอนาคตของตระกูลลั่วเสิน
ดังนั้นครั้งนี้นางจะล้มเหลวไม่ได้!
ลั่วหลีสูดหายใจลึก อึดใจก็กัดลิ้นโดยไม่ลังเล เลือดกลั่นไหลออกมาหยดลงมาจากท้องฟ้าทิ้งตัวสู่แม่น้ำลั่ว
ตู้ม!
เมื่อเลือดกลั่นไหลเข้าไป แม่น้ำทั้งสายก็กลายเป็นสีแดงแล้วเริ่มกวนตัว ประกายไฟสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมาจากแม่น้ำ ก่อนที่พวกมันจะลอยขึ้นไปอาบไล้ร่างลั่วหลี
ทันใดนั้นชุดสีขาวของนางก็ถูกย้อมสีแดงเข้ม
สีแดงเข้มลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะกลายเป็นเปลวไฟล้อมรอบร่างลั่วหลีพร้อมกับเสียงท่องคาถาโบราณดังขึ้นในฟ้าดิน
ทุกคนมองไปที่เปลวไฟสีแดงเข้ม หัวใจของพวกเขาก็เกร็งแน่น นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่า…
พิธีเทพธิดาลั่วได้เริ่มขึ้นแล้ว
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1208 ผู้หญิงคนนั้น
ทวีปซีเทียน ดินแดนซีเทียนเล็ก ตระกูลลั่วเสิน
ใจกลางเขตแดนตระกูลลั่วเสินเมืองสูงส่งเปล่งรัศมีโบราณยืนตระหง่านพิสูจน์ประวัติศาสตร์ที่ครั้งหนึ่งเคยครอบครองความยิ่งใหญ่
เมืองถูกคั่นด้วยแม่น้ำที่ไหลผ่านรอบเมืองเป็นวงกลม
แม่น้ำนี้ผิดแผกมากเนื่องจากมีสีสันราวกับดวงดาว บางครั้งงดงามยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าด้วยซ้ำ สายน้ำหล่อเลี้ยงคนทั้งเมือง
นอกจากนี้ยังมองไม่เห็นความลึก ราวกับไม่เคยมีใครสามารถสำรวจจุดลึกสุดได้ ครั้งหนึ่งเคยมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเข้าไป แต่ก็ไม่สามารถไปถึงปลายทางได้หลังจากใช้เวลาถึงครึ่งเดือน จนสุดท้ายกลับเป็นจอมยุทธ์คนนั้นหมดพลังจนเกือบกลายเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำแทน
นี่คือความลึกซึ้งที่ไม่อาจหยั่งรู้อย่างแท้จริง
แม่น้ำลึกลับแห่งนี้คือแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลลั่วเสิน ตระกูลลั่วเสินจะทำพิธีที่นี่ในวันที่ดูฤกษ์ยามตามกำหนดเอาไว้ ชื่อของแม่น้ำสายนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อแม่น้ำลั่ว
เมืองที่โอบล้อมก็ชื่อว่าเมืองลั่วเสิน ซึ่งเป็นเมืองหลักและเมืองสำคัญที่สุดของตระกูลลั่วเสิน ที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจล่วงล้ำได้ในหัวใจของราษฎรทุกคน
ช่วงเวลานี้เมืองลั่วเสินยิ่งกลายเป็นจุดสนใจของประชาชน คนจำนวนมากเดินทางมาจากที่ไกลด้วยความคาดหวังล้นปรี่ในหัวใจ
เนื่องจากประมุขตระกูลลั่ว-ลั่วเทียนเสินกำลังจะทำพิธีเทพธิดาลั่วให้กับจักรพรรดินี
ตระกูลลั่วเสินเคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อน แต่ตอนนี้กลับค่อยๆ เสื่อมถอย ปีก่อนๆ ประชากรนับไม่ถ้วนถูกสังหารหรือไม่ก็ถูกจับตัวไปเป็นทาส
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ประชากรสิ้นหวัง จนกระทั่งไม่กี่ปีที่ผ่านมาทุกอย่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลง…
องค์หญิงน้อยเดินทางกลับมา หลังจากนั้นนางก็แสดงแสนยานุภาพ รักษาเสถียรภาพที่สั่นคลอนภายในราชวงศ์เอาไว้ได้
หลังจากนั้นนางก็นำทัพเข้าต่อสู้แนวหน้ากับตระกูลเสี่ยเสินที่ทรงพลัง บังคับให้พวกเขาล่าถอย ดังนั้นพลเมืองของตระกูลลั่วเสินจึงพบกับความสงบสุขในเวลาหลายปีมานี้
ขณะที่หญิงสาวพยายามปกป้องตระกูลลั่วเสิน น้ำหนักเสียงของนางในตระกูลก็เพิ่มขึ้นทุกวันและเสน่ห์ของนางก็ฟื้นคนที่สิ้นหวังขึ้นมาได้ ผู้คนมากมายมายืนอยู่ข้างหลังนาง แต่ส่วนใหญ่เป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ทั้งสิ้น
ดังนั้นตระกูลลั่วเสินที่จะล้มสลายในตอนแรกกลับได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความเหนียวแน่นต่อศัตรูอย่างไร นอกจากนี้ยังราวกับว่ามีสัญญาณว่าจะออกจากสภาพตกต่ำนี้…
ดังนั้นไม่นานทั่วดินแดนซีเทียนเล็กทั้งหมดก็รู้ดีว่ากำลังจะมีจักรพรรดินีตระกูลลั่วเสินคนใหม่ที่สามารถรวมเผ่าพันธุ์ทั้งหมดไว้เป็นหนึ่งเดียว…
ชื่อเสียงของนางเกินกว่าลั่วเทียนเสินผู้เป็นปู่ ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือสมาชิกในราชวงศ์ต่างก็มีเสียงร้องขอให้จักรพรรดินีขึ้นปกครองมากขึ้น
ดังนั้นพิธีเทพธิดาลั่วนี้จึงเป็นพิธีสำคัญก่อนขึ้นครองราชย์!
ถ้าพิธีนี้สำเร็จลง นางจะได้รับมงกุฎสืบทอดบัลลังก์ ในเวลานั้นคลื่นใต้น้ำที่เหลืออยู่ในราชวงศ์ก็จะหายไป
ภายใต้ความสามัคคีจากทุกคน ต่อให้ตระกูลลั่วเสินจะไม่สามารถกลับไปถึงจุดสูงสุด แต่ก็จะกลายเป็นแผ่นเหล็กทนทานที่แม้แต่ตระกูลเทพทั้งสามตระกูลก็ไม่สามารถกลืนกินตระกูลลั่วเสินได้อีกต่อไป
ดังนั้นพิธีเทพธิดาลั่วจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทำให้ประชาชนจำนวนมากมารวมตัวกันที่นี่ พวกเขาต้องการเห็นภาพของจักรพรรดินีที่ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์
สิ่งนี้จะเป็นตัวตัดสินความรุ่งเรืองหรือล่มสลายของตระกูลลั่วเสิน
เมืองลั่วเสิน
วังสง่างามตั้งอยู่ในใจกลางเมืองช่างดูสูงส่งนัก นี่คือวังลั่วเสินซึ่งเป็นสถานที่ที่ราชวงศ์อาศัยอยู่
ร่างอรชรบนแท่นสูงของวังสวมชุดสีขาวที่มีลวดลายสีม่วงทองบนแขนเสื้อ ปล่อยรัศมีสูงส่งออกมา
รูปร่างของนางสมบูรณ์แบบ เรียวขาขาวราวหยกสลัก ลำคอระเหิดระหง
ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง แต่เมื่อใบหน้าปรากฏ สิ่งอื่นก็หม่นหมอง…
นี่เป็นใบหน้าที่งดงามทรงเสน่ห์ ผิวขาวราวกับหิมะ คิ้วดังวาดไว้ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นดูงามจนหาใดเปรียบ ขณะที่นางมองท้องฟ้า แม้แต่ดวงดาวยังสะท้อนผ่านรูม่านตา ทำให้ท้องฟ้าดูหม่นหมองลง
นี่เป็นความงามที่ทำให้หายใจไม่ได้
ผมยาวสีเงินยวงระแผ่นหลังทำให้หญิงสาวยิ่งดูราวกับเดินออกมาจากภาพวาด…
ขณะนี้หญิงสาวที่งามจนทำให้หายใจไม่ได้กำลังมองไกลออกไปด้วยสายตาโหยหาพร้อมกับคิ้วที่ขมวดขึ้น
“มู่เฉิน… เจ้าสบายดีไหม?”
นางพึมพำกับตัวเอง เบื้องหน้าเหล่าพลเมืองนางจะแกร่งกร้าวเสมอ แต่เวลาอยู่คนเดียวนางกลับแสดงความนุ่มนวลและปรารถนาที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก
“ยังคิดถึงเจ้าหนุ่มนั่นอยู่อีกหรือ” เสียงสูงวัยดังขึ้นที่เบื้องหลังนาง
เมื่อได้ยินเสียงนั่น อารมณ์ในดวงตานางก็หายวับไป คิ้วที่มุ่นเข้าหากันคลายออก ทันใดนั้นความสูงศักดิ์และไว้ตัวที่ไม่อาจบรรยายได้ก็แผ่ซ่านออกมาจากนาง
นางหันหลังกลับมองไปที่ชายชรา “ท่านปู่จะห้ามกระทั่งสิทธิ์แค่นี้ของข้ารึ?”
ชายชราที่อยู่เบื้องหลังยิ้มอย่างขมขื่นปลอบโยนอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าไม่กล้าหรอก ตอนนี้สถานะของเจ้าสูงกว่าข้าซะอีก”
“แต่ลั่วหลี… นี่ก็หลายปีแล้วไม่มีข่าวเกี่ยวกับเขาเลย เจ้ายังจะรอเขาต่อไปรึ?”
นี่ก็คือลั่วหลี เพียงแต่ว่านางเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความงามตอนนี้สุกปลั่งเต็มที่แล้ว
รัศมีก็เปลี่ยนไปเช่นกัน นางไม่ใช่หญิงสาวสง่างามและเงียบเฉยยืนอยู่ข้างกายมู่เฉินอีกต่อไป ยามนี้นางเริ่มมีรัศมีแห่งจักรพรรดินีที่ทรงเกียรติและสูงส่ง
ชายชราที่อยู่ข้างหลังนางเป็นใครไม่ได้นอกจากประมุขตระกูลลั่วเสิน—ลั่วเทียนเสิน
ลั่วหลียิ้มไม่ตอบ ทว่าความหมายที่อยู่เบื้องหลังชัดเจนนัก นางกำลังบอกลั่วเทียนเสินว่าไม่ต้องถามถึงสิ่งที่ไร้ความหมายเช่นนี้อีก
เมื่อเห็นการตอบสนอง ลั่วเทียนเสินก็ร้อนใจ “หลายปีแล้วบางทีเจ้าหนุ่มนั่นอาจจะ…”
ทันทีที่สิ้นเสียง คิ้วของลั่วหลีก็มุ่นเข้าหากัน หันมาจ้องมองด้วยสายตากรุ่นโกรธ ทำให้ลั่วเทียนเสินต้องกลืนคำพูดลงไปในท้อง ตลอดหลายปีที่ผ่านมานางมีแรงกดดันที่บางครั้งทำให้ลั่วเทียนเสินยังไม่กล้าทำให้นางโกรธ
ลั่วเทียนเสินส่ายหัวยิ้มอย่างขมขื่น ขณะที่ลั่วหลีค่อยๆ รักษาเสถียรภาพของตระกูลลั่วเสิน ข่าวความงามของนางก็กระจายออกไปพร้อมกับชื่อเสียง ไม่ต้องพูดถึงดินแดนซีเทียนเล็ก แม้แต่ทวีปซีเทียนทั้งหมดก็รู้จักชื่อของนาง
นอกจากนี้ยังมีจอมยุทธ์ชั้นสูงที่โดดเด่นหลายคนแวะเวียนมาเยี่ยม พยายามสร้างความประทับใจให้กับนาง นอกจากนี้ยังมีขั้วอำนาจที่ไม่อ่อนแอกว่าตระกูลลั่วเสินที่พยายามสร้างสัมพันธ์ผ่านการแต่งงาน หากพวกเขาได้รวมเป็นทองแผ่นเดียวกัน ตระกูลลั่วเสินก็จะได้รับความช่วยเหลืออย่างมากในการข่มขู่ตระกูลเสี่ยเสิน
มากจนแม้แต่ตระกูลเสี่ยเสินยังแสดงเจตจำนงในการแต่งงานเพื่อสลายความขุ่นเคืองระหว่างสองตระกูล ทว่าข้อเสนอทั้งหมดถูกลั่วหลีปฏิเสธ
นางบอกว่าต้องพึ่งพาตัวเองในการแข็งแกร่งขึ้น ถ้าตระกูลลั่วเสินไม่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง การปกป้องโดยการแต่งงานก็ไม่มีทางอยู่ได้นาน…
เหตุผลของนางได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ในตระกูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจอมยุทธ์รุ่นใหม่ พวกเขาแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุน แต่มีเพียงลั่วเทียนเสินที่รู้ว่าเหตุผลนี้เป็นเพียงข้อแก้ตัว นั่นเป็นเพราะหัวใจของนางถูกครอบครองแล้ว… ซึ่งจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตามนิสัยของนาง
“ไอ้เด็กบ้านั่น!”
ลั่วเทียนเสินกัดฟัน เมื่อก่อนเขาคิดว่าถ้าพาลั่วหลีออกห่างจากมู่เฉิน ชายหนุ่มคนนั้นก็จะค่อยๆ กลายเป็นแค่คนที่ผ่านมาในหัวใจนาง เพราะเขาคิดไม่ได้ว่าชายหนุ่มที่แค่ได้รับการฝึกฝนจากสำนักศึกษาเป่ยชางจะมีคุณสมบัติในการท่องยุทธภพในมหาพันภพและมาแสดงตัวต่อหน้าลั่วหลี่ได้อย่างไร
ทว่าเป็นตัวเขาเองที่ประเมินความอดทนและการรอคอยของหลานสาวต่ำเกินไป…
“เฮ้อ”
แม้จะไม่พอใจ แต่สุดท้ายลั่วเทียนเสินก็ไม่ได้พูดอะไรได้แต่ถอนหายใจ สายตาของเขามืดครึ้มลงขณะเลื่อนไปมองที่ลั่วหลี “ลั่วหลีหากพิธีเทพธิดาลั่วประสบความสำเร็จ เจ้าจะก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนกลายเป็นจักรพรรดินีของแว่นแคว้นอย่างแท้จริง…”
“แต่เจ้าต้องรู้ว่าศัตรูของเรา ไม่ว่าจะเป็นคนในหรือคนนอก พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น”
“ดังนั้นพิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้คงไม่ราบรื่นแน่นอน”
“ครั้งนี้… แม้แต่ปู่…ก็ไม่มั่นใจ”
ลั่วหลีมองไปที่ใบหน้าแก่ชราของลั่วเทียนเสิน ความเปรี้ยวก็พุ่งขึ้นมาในนาสิกประสาท นางเอื้อมมือออกจับมือเหี่ยวย่นเอาไว้เบาๆ “ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ข้าจะอยู่และพินาศไปพร้อมกับตระกูลลั่วเสิน!”
เมื่อได้ยินคำพูดของนางลั่วเทียนเสินก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึมพร้อมกับความร้ายกาจวูบไหวบนใบหน้าเขา “วางใจเถอะ ตราบใดที่ปู่คนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกสวะเหล่านั้นมารบกวนเจ้าได้!”
“ไปกันเถอะ พิธีเทพธิดาลั่วกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!”
ลั่วหลีพยักหน้าหันกลับไปมองเข้าในท้องฟ้าห่างไกล ราวกับมองทะลุผ่านมิติเห็นร่างเงาของชายหนุ่มคนรักที่ไม่รู้อยู่ที่ใด
จากนั้นนางก็หันกลับพร้อมกับเสียงหนักแน่นในใจ
‘มู่เฉินไม่ว่าอย่างไร… ข้าก็จะรอเจ้า!”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1207 ทวีปซีเทียน ดินแดนซีเทียนเล็ก
หลังจากการจัดตั้งตำหนักมู่
คลื่นความตกตะลึงที่กวาดไปในทวีปเทียนหลัวและภูมิภาคทางเหนือก็ค่อยๆ สงบลง เนื่องจากทางตำหนักมู่ยังไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรมากมาย พวกเขาอยู่อย่างสงบเงียบ ไม่ได้แสดงความตั้งใจที่จะครองภูมิภาคทั้งหมด ซึ่งนี่ทำให้ขั้วอำนาจอื่นๆ รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
ทว่าก็ไม่มีใครรู้ว่าจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตำหนักมู่รวมถึงมู่เฉินและมั่นถัวหลัวได้ออกจากกองบัญชาการไปยังดินแดนซีเทียนเล็กแล้ว
ทวีปเทียนหลัว ภาคกลาง เมืองเทียนหยาง
ค่ายกลเคลื่อนย้ายมวลสารขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง นี่เป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายไกลที่สุดของทวีปเทียนหลัว หากใครต้องการจะออกจากทวีปนี้ก็จะต้องผ่านที่แห่งนี้ไป
นอกค่ายกลร่างเงานับไม่ถ้วนเคลื่อนผ่านไปมา ทำให้สถานที่แห่งนี้คึกคักยิ่งนัก คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลย้อมท้องฟ้าจนเป็นแสงระยิบนะยับ
ขณะนี้มีคนหกคนยืนอยู่ด้านนอกค่ายกล คนที่เป็นผู้นำดูอ่อนเยาว์ขณะกำลังมองค่ายกลด้วยความสนใจ
“ค่ายกลนี้ไม่ธรรมดา ความซับซ้อนไม่ได้ด้อยไปกว่าค่ายกลระดับจงซือเลย” ร่างอ่อนเยาว์เป็นใครไม่ได้นอกจากมู่เฉิน พวกเขาออกจากภูมิภาคทางเหนือเมื่อหลายวันก่อน โดยจุดหมายก็คืออค่ายกลเคลื่อนย้ายที่สามารถเดินทางได้ไกลที่สุดของทวีปเทียนหลัว
“ลือกันว่าค่ายกลนี้ถูกสร้างขึ้นโดยหลิงเจิ้นจงซือชั้นสูง ราคาเรียกว่าต้องใช้ของเหลวจื้อจุนหลายร้อยล้านหยดเป็นอย่างน้อยเลยทีเดียว” มั่นถัวหลัวถอนหายใจ
ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ใช้ในการเดินทางไกลขึ้นต้องใช้วัสดุที่มีมูลค่ามากขึ้น ดังนั้นความยากลำบากในการสร้างก็สูงขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ราคาที่จะจ้างหลิงเจิ้นต้าจงซือก็ไม่ได้ถูกเลย
มู่เฉินถอนหายใจชื่นชม ด้วยราคาสูงลิบลิ่วขนาดนี้มิน่าล่ะภูมิภาคทางเหนือถึงไม่มี
“ฮ่าๆ ด้วยความสำเร็จของท่านประมุขในด้านค่ายกล ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานภูมิภาคทางเหนือของเราก็จะมีสิ่งนี้” หลิ่วเทียนเต้ายิ้ม
หลังจากผ่านระยะเวลาในการปรับตัว พวกเขาก็ยอมรับฐานะประมุขของมู่เฉินได้แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความอึดอัดในการเรียกประมุขเลย
มู่เฉินอดยิ้มไม่ได้ขณะที่เอ่ยล้อเล่น “ตราบใดที่ผู้อาวุโสหลิ่วยอมจ่ายของเหลวจื้อจุนสองร้อยล้านหยด ข้าก็สามารถสร้างขึ้นมาสำหรับภูมิภาคทางเหนือของเราได้ทุกเมื่อ”
หลิ่วเทียนเต้ายิ้มค้างขณะส่ายหน้าหวือ เว้นแต่เขาไปขายตัว มิฉะนั้นต่อให้รื้อทั้งตำหนักสุดนภาก็ไม่สามารถจ่ายในราคานี้ได้ ราคานี้สามารถซื้ออาวุธมหสวรรค์ขั้นกลางได้เลยนะ
ทุกคนมองไปที่หลิ่วเทียนเต้าขณะหัวเราะเบาๆ
มู่เฉินมองไปที่พรรคพวก มีคนไม่มากที่เดินทางมากับเขาครั้งนี้ นอกเหนือจากมั่นถัวหลัว ก็มีหลิ่วเทียนเต้า โยวมิ่ง เยาตี้และวั้นตู๋เสอ ส่วนวั้นเซิ่งที่มีนิสัยมั่นคงตั้งระวังได้รับมอบหมายคอยดูแลตำหนักมู่ เนื่องจากสำนักเพิ่งก่อตั้งใหม่ การมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเฝ้าบ้านไว้สักคนจะดีกว่า
ครั้งนี้กระทั่งจิ่วโยวก็ไม่ได้ตามมาด้วย เนื่องจากการเดินทางไปที่ตระกูลลั่วเสินครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่มีประโยชน์ ด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง นางไม่ยอมให้ตัวเองเป็นภาระเด็ดขาด ดังนั้นนางจึงตัดสินใจอยู่ที่ตำหนักมู่เพื่อพยายามบรรลุระดับตี้จื้อจุนด้วยความช่วยเหลือของทะเลสาบสวรรค์ให้จงได้
แต่ถึงกระนั้นการรวมตัวของพวกมู่เฉินก็หรูหราน่าดู ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มหนึ่งคนและขั้นต้นห้าคน พวกเขาสามารถเดินเชิดหน้าไปทั่วทวีปเทียนหลัวได้เลยทีเดียว
“เราจะต้องเดินทางผ่านหลายสิบทวีปใช้เวลาประมาณยี่สิบวันเพื่อไปถึงทวีปซีเทียน” มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉิน
“เวลากระชั้นชิดมาก”
มู่เฉินนับเวลาและถอนหายใจ “เตรียมตัวให้พร้อมเถอะ”
ทุกคนพยักหน้าเดินเข้าสู่ค่ายกล มู่เฉินสะบัดมือของเหลวจื้อจุนหลายหมื่นหยดก็ลงไปในจุดรับของค่ายกล
มั่นถัวหลัวใส่รหัสพิกัด จากนั้นค่ายกลก็ระเบิดแสงออกมา พื้นที่บิดเบี้ยวอึดใจกลายเป็นสายธารห้วงมิติกลืนเงาร่างของทั้งหกไป
เมื่อลำแสงจางหายไป ร่างทั้งหกก็วับหายไปแล้ว
มหาพันภพกว้างใหญ่ไพศาล
ทวีปซีเทียนตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ที่นี่เป็นทวีปโบราณ แต่ในแง่ของขนาดก็ด้อยกว่าทวีปเทียนหลัวที่เป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพ ทว่าในแง่ของจำนวนจอมยุทธ์คุณภาพทวีปซีเทียนถือว่าค่อนข้างสูงมาก
ทุกคนบอกได้ว่าอดีตทวีปซีเทียนเคยมีสัญลักษณ์สองอย่างที่โดดเด่นมาก
อดีตที่ว่าก็คือสมัยโบราณ ในสมัยนั้นลั่วเสินจากทวีปซีเทียนได้รับฉายาเทพธิดาแห่งมหาพันภพ ชื่อเสียงของนางดังก้องไปทั่วสุริยะจักรวาลมากจนแม้แต่เผ่าปีศาจต่างมิติยังรู้จักชื่อนาง ยอดยุทธ์มากมายล้วนตกหลุมรักนาง
นอกจากนี้ที่น่าสะพรึงกว่าก็คือเทพธิดาคนนี้ยังเป็นหนึ่งในยอดยุทธ์ของมหาพันภพอีกด้วย
เรื่องราวเกี่ยวกับความงามและพลังของนางยังเล่าสืบต่อกันมาแม้กระทั่งผ่านมาหมื่นปี
ทว่าตอนนี้ขั้วอำนาจที่ทรงอิทธิพลที่สุดในทวีปซีเทียนกลับเป็น…ตำหนักซีเทียน!
และประมุขของตำหนักซีเทียนก็คือ…จักรพรรดิสัประยุทธ์!
เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริง!
จักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง!
คำกล่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วมหาพันภพ อาจจะดูเกินความจริงไปบ้าง แต่ก็พูดได้ว่าเป็นความสำเร็จที่โดดเด่นของจักรพรรดิสัประยุทธ์เลยทีเดียว
ด้วยการดำรงอยู่เช่นนี้ ตำหนักซีเทียนจึงเป็นหนึ่งในมหาอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ แม้แต่ทวีปรอบๆ ก็กลายเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา
กล่าวอีกนัยหนึ่งจักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นผู้ปกครองเด็ดขาดในดินแดนฝั่งตะวันตก โดยมีกลุ่มชนจำนวนมากยอมสวามิภักดิ์ให้
ทว่าในเวลาส่วนใหญ่ตำหนักซีเทียนจะไม่ได้สนใจการรบพุ่งของแว่นแคว้นต่างๆ คล้ายกับยักษ์ที่ไม่ใส่ใจกับการตายของมด
ดังนั้นแม้จะมีขั้วอำนาจยิ่งใหญ่นี้ แต่ทวีปซีเทียนและทวีปโดยรอบก็ยังอยู่ในสภาพวุ่นวาย สงครามระหว่างขุมกำลังเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ในบางแง่มุมวุ่นวายอาบเลือดไปกว่าทวีปเทียนหลัวที่ไม่มีมหาอำนาจปกครองซะอีก
แต่ไม่ว่าอย่างไรจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็เป็นยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ ตราบใดที่มีการดำรงอยู่ของจักรพรรดิสัประยุทธ์ กฎเกณฑ์ที่นี้ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ทวีปเทียนหลัวและทวีปซีเทียนถูกแยกออกจากกันด้วยระยะทางที่กว้างไกล โดยมีหลายสิบทวีปคั่นเอาไว้ แม้จะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายทางไกล แต่กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังมีปัญหาในการเดินทางข้ามทวีปด้วยระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน
แม้จะรู้เรื่องเหล่านี้ แต่ด้วยเวลากระชั้นชิด มู่เฉินก็ไม่คิดที่จะผ่อน เขาเดินทางด้วยความเร็วเต็มพิกัดหลังจากออกจากทวีปเทียนหลัว
โชคดีที่ทุกคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งสิ้น ไม่งั้นกระทั่งจิ่วโยวก็คงต้องหมดแรงจากการเดินทางรีบเร่งเช่นนี้
นอกจากนี้ต่อให้คนอื่นๆ ตามทันได้ด้วยขุมพลังที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังต้องร้องอย่างขมขื่น ทว่ามู่เฉินกลับทำเหมือนไม่รับรู้ ตอนนี้เขาจะต้องมุ่งหน้าไปถึงตระกูลลั่วเลิ่นก่อนที่พิธีจะเริ่ม มิฉะนั้นถ้าเกิดอะไรกับลั่วหลีขึ้นมาเขาไม่มีทางให้อภัยตัวเอง
ดังนั้นแม้เขาจะเหนื่อยล้าแต่ก็ต้องกัดฟันเดินทางต่อไป เมื่อเห็นท่าทางของเขา คนอื่นๆ ก็ยิ้มเฝื่อนกัดฟันแน่น ตอนนี้พวกเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถโยนกลองทำให้มู่เฉินไม่พอใจ
ภายใต้การเร่งเดินทางเช่นนี้ ยี่สิบวันต่อมาในที่สุดพวกเขาก็มาถึงทวีปซีเทียน…
ทวีปซีหลิงเป็นทวีปที่อยู่ใกล้กับทวีปซีเทียนมากที่สุด กลุ่มมู่เฉินปรากฏตัวในเมืองยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง
เบื้องหน้าพวกเขาเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายทางไกลอีกค่ายกล
มู่เฉินมองค่ายกลเบื้องหน้า ใบหน้าที่เหนื่อยล้าก็ฉายความตื่นเต้น เพราะเมื่อไรที่เขาผ่านค่ายกลนี้ไปก็จะถึงดินแดนซีเทียนเล็ก!
“ทุกคนขอบคุณสำหรับความอดทนนี้!”
มู่เฉินหันกลับมาเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ประสานมือขอบคุณอย่างจริงใจ
พวกเขายิ้มอย่างขมขื่น ก่อนที่จะส่ายหัวเห็นได้ชัดว่าไม่มีแรงที่จะเปิดปากพูดแล้ว
มู่เฉินก้าวเข้าสู่ค่ายกล เหวี่ยงของเหลวจื้อจุนออกไป เขารู้สึกถึงความผันผวนของห้วงมิติรอบตัว สายธารน้ำวนค่อยๆ ก่อตัวและกลืนกินร่างเขาไป
ดวงตาของมู่เฉินหลับลงอย่างช้าๆ มือที่อยู่ในแขนเสื้อสั่นไหว
นี่เกิดจากความตื่นเต้น
ฮา
มู่เฉินหายใจเข้าลึก
เขาเหมือนเห็นฉากที่เขากอดหญิงสาวไว้ก่อนที่นางจะจากไป ใจเขาสั่นเทาไปหมด
ตั้งแต่วันนั้น เขาก็รอวันนี้มาตลอด การรอคอยกินเวลานานหลายปี
ลั่วหลี ข้ามาหาแล้ว… เจ้าสบายดีไหม?
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1206 จัดตั้งตำหนักมู่
เมื่อข่าวเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาลสงบลง
ภูมิภาคทางเหนือก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นแหล่งที่มาก็คือข่าวการจัดตั้งตำหนักมู่
ไม่มีใครคิดว่าพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือจะสลายตัวอย่างรวดเร็วและแทนที่ด้วยการรวมตัวจัดตั้งตำหนักมู่
สิ่งที่ทำให้ผู้อื่นตกใจยิ่งกว่าอะไรก็คือผู้นำของตำหนักมู่ไม่ใช่มั่นถัวหลัวแต่เป็นมู่เฉิน!
มู่เฉินเป็นที่รู้จักกันดีในภูมิภาคนี้เนื่องจากความสำเร็จที่ผ่านมาหลายปีของเขา ทำให้เขากลายเป็นอันดับหนึ่งในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ ยิ่งเมื่อผ่านเหตุการณ์ในวังสวรรค์บรรพกาล เขาก็มีแววจะอยู่เหนือจอมยุทธ์รุ่นใหม่ทุกคนในทวีปเทียนหลัว
ทุกคนยกย่องกับความสำเร็จของเขา
ทว่าเขาอ่อนอาวุโสมากในสายตาของหลายคน แม้จะประสบความสำเร็จรุ่งโรจน์ แต่ก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำขั้วอำนาจใหญ่
ดังนั้นจึงไม่มีใครมองในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตของตำหนักมู่
ทว่าขณะที่พวกเขากำลังรอดูการแสดง เรื่องที่เกิดขึ้นต่อมาก็ทำให้พวกเขาตะลึงงันไปอีกครั้ง เนื่องจากขั้วอำนาจชั้นสูงของภูมิภาคทางเหนืออย่างตำหนักสุดนภา ยอดเขาหมื่นเทพ จวนยมโลกและสำนักอื่นๆ ต่างออกมาประกาศว่าพวกเขาจะเข้าร่วมกับตำหนักมู่ ยอมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉิน
เมื่อข่าวกระจายออกไป ไม่เพียงแต่สั่นสะเทือนทั่วภูมิภาคทางเหนือ แต่ยังทำให้ขั้วอำนาจทรงพลังบางส่วนในทวีปเทียนหลัวตกใจ เพราะนั่นหมายความว่าตำหนักมู่ที่จัดตั้งขึ้นใหม่จะมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นหกคนและขั้นเต็มหนึ่งคน!
ไม่ต้องพูดถึงในภูมิภาคทางเหนือ แม้แต่ในทวีปเทียนหลัวก็สามารถได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในยอดสำนัก!
ในอดีตสำนักเหล่านั้นไม่ได้ใส่ใจกับภูมิภาคทางเหนือเลย เพราะที่นี่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและไม่มีขั้วอำนาจชั้นนำ หากไม่ใช่ว่าภูมิภาคทางเหนือปฏิเสธคนนอกอย่างหนัก พวกยอดสำนักต่างๆ คงยื่นมือเข้ามาครองนานแล้ว
แต่ตอนนี้ในที่สุดขั้วอำนาจโดดเด่นก็ปรากฏขึ้นในภูมิภาคทางเหนือพร้อมกับสำนักชั้นนำอีกหลายแห่งที่ประกาศสวามิภักดิ์ จินตนาการได้ว่าตำหนักมู่จะกลายเป็นเจ้าเหนือหัวของที่นี่แน่นอน
ด้วยเหตุนี้ตำหนักมู่จึงก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจชั้นยอดของทวีปเทียนหลัว ซึ่งมีคุณสมบัติที่จะแผ่ขยายอิทธิพลออกไป ดังนั้นในอนาคตตำหนักมู่จะต้องกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในทวีปเทียนหลัวอย่างแท้จริง เมื่อไรที่พวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน พวกเขาก็จะสามารถปกครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมดได้ กลายเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจที่ทรงอิทธิพลอีกแห่งในมหาพันภพ ปกครองผู้คนนับพันล้านชีวิตและเพลิดเพลินกับทรัพยากรที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ภายใต้คลื่นน่าตื่นตะลึงก็มีข่าวประกาศว่าตำหนักมู่จะจัดตั้งในสามวันข้างหน้า!
กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่ เขตต้าหลัวเทียน
วันนี้ผู้นำทั้งหมดของภูมิภาคทางเหนือมารวมตัว กระทั่งขั้วอำนาจรอบๆ ภูมิภาคทางเหนือยังมีมาบ้าง
นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าเมื่อจัดตั้งตำหนักมู่ขึ้น ภูมิภาคเหนือก็จะเป็นพื้นที่ของพวกเขา อดีตสำนักพวกเขายังอยู่รอดได้เพราะความขัดแย้งภายในภูมิภาค แต่ในอนาคตพวกเขาจะมีเพียงเส้นทางหนึ่งเดียวที่จะอยู่รอดได้ ซึ่งก็คือสวามิภักดิ์ตำหนักมู่!
เบื้องหน้าโถงใหญ่
มู่เฉินยืนมือไพล่หลังมองที่จัตุรัสขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คน
ทว่าพื้นที่ก็ถูกแยกออกเป็นสัดส่วนชัดเจนของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จวนยมโลก ยอดเขาหมื่นเทพ และสำนักอื่น ๆ
อนาคตพวกเขาทั้งหมดก็คือสมาชิกตำหนักมู่!
สายตาของพวกเขารวมกันที่มู่เฉินด้วยความเคารพ เพราะพวกเขารู้ว่าตั้งแต่นี่ไปชายหนุ่มคนนี้จะเป็นผู้นำคนใหม่ของพวกเขา
สายลมพัดผ่าน ทั่วจัตุรัสเงียบสงบ ผู้นำสำนักอื่นๆ นิ่งเงียบด้วยความกลัว เนื่องจากถูกข่มโดยฉากเบื้องหน้านี้
พวกเขารู้ว่าในอนาคตตำหนักมู่จะปกครองทั่วทั้งภูมิภาคทางเหนือทั้งหมด
มู่เฉินถอนหายใจขณะที่รู้สึกถึงสายตาเคารพนับถือที่จ้องมองมา หลายปีก่อนที่เขามาถึงที่นี่ เขาเป็นเพียงเบี้ยตัวเล็กๆ ใครจะคิดว่าชายหนุ่มไร้ชื่อจะกลายเป็นผู้ปกครองภูมิภาคทางเหนือ
การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ต่อให้มู่เฉินไม่สนใจในการควบคุมขุมกำลัง แต่เขาก็ไม่สามารถกักเก็บความตื่นเต้นไว้ในใจได้ เนื่องจากสิ่งนี้ได้พิสูจน์การเติบโตขึ้นของเขาแล้ว
ลูกเจี๊ยบตัวจ้อยในสมัยก่อนได้เติบโตเป็นอินทรีที่กล้าแกร่งทะยานขึ้นในสวรรค์ทั้งเก้า
มู่เฉินหันไปมองจิ่วโยว วันนี้นางสวมชุดสีดำที่ขับเน้นความสง่างามที่มี เมื่อนางเห็นสายตามู่เฉินก็เผยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์บนใบหน้า
ย้อนกลับไปตอนนั้นที่นางพามู่เฉินมาที่ภูมิภาคทางเหนือ เขาเพิ่งจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนและต้องการการปกป้องจากนาง แม้แต่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์นางก็กางปีกปกป้องน้องชายคนนี้ ทว่าเขาไม่เคยทำให้นางผิดหวัง เขาเติบโตอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่ปี
ตอนนี้เขาได้บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนก่อนหน้าและกำลังจะเป็นประมุขตำหนักมู่!
เมื่อก่อนนางรู้ว่ามู่เฉินเป็นมังกรซ่อนเขี้ยวเล็บ แต่นางไม่คิดว่ามู่เฉินจะทะยานและเติบโตรวดเร็วขนาดนี้
เด็กหนุ่มที่ติดตามนางเริ่มปล่งรัศมีของยอดยุทธ์แล้ว
ในอนาคตเขาจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาพันภพเทียบเคียงกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม
ตึง!
ทันใดนั้นเสียงระฆังโบราณก็ดังขึ้นขณะที่จิ่วโยวกำลังอยู่ในภวังค์
เมื่อได้ยินเสียงระฆัง มู่เฉินก็ก้าวออกมาพลางกำมือ ทุกคนเห็นห้วงมิติบิดเบี้ยวบนท้องฟ้า รอยร้าวถูกฉีกออกเป็นริ้ว มองเห็นภูมิทัศน์ภายในได้เลือนราง
ตู้ม!
ยิ่งกว่านั้นเมื่อรอยร้าวปรากฏขึ้น คลื่นหลิงมากมายมหาศาลที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็หลั่งไหลออกมา
คลื่นหลิงในเขตต้าหลัวเทียนหนาแน่นอยู่แล้ว ถือได้ว่าเป็นดินแดนที่เหมาะสมในการเพาะบ่มพลัง แต่เมื่อรอยร้าวเปิดออกระดับพลังงานทั่วบริเวณนี้ก็เพิ่มระดับขึ้นอีก
คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลทำให้ทุกคนตกตะลึง จากนั้นก็มองไปที่รอยแตกด้วยดวงตาลุกโชติช่วง ความโกลาหลตลบอบอวลไปทั่ว
“นั่นคือวังสวรรค์บรรพกาลรึ?”
“ไม่คิดว่าสมบัตินี้จะเป็นรากฐานของตำหนักมู่ การเติบโตของตำหนักมู่เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น!”
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งหลายถึงเลือกที่นำพาสำนักเข้าร่วมกับตำหนักมู่”
“…”
ผู้คนที่เข้าร่วมเผยความสุขบนใบหน้า เนื่องจากพวกเขาได้รับแจ้งแล้วว่ามู่เฉินสามารถควบคุมวังสวรรค์บรรพกาลและจะควบรวมเข้ากับตำหนักมู่ ในอนาคตพวกเขาจะได้เพลิดเพลินกับการเพาะบ่มพลังในวังสวรรค์บรรพกาล!
นี่เป็นข่าวที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา เพราะนี่เป็นดินแดนขุมทรัพย์เดียวของทวีปเทียนหลัว!
“ในอนาคตสมาชิกตำหนักมู่จะสามารถเข้าไปในวังโบราณเพื่อฝึกฝน คนที่โดดเด่นที่สามารถได้รับการยอมรับจากหอคัมภีร์เทพซ่อนยังสามารถได้รับร่างเทห์สวรรค์และคัมภีร์เทพทรงพลังอีกด้วย!” เสียงสดใสของมู่เฉินดังก้อง
“ขอบพระคุณท่านประมุขมู่!”
เสียงพร้อมเพรียงดังกึกก้องชวนหูดับ ทุกคนที่เบื้องล่างกระทั่งเหล่าขั้วอำนาจอื่นๆ ก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น ขณะที่พวกเขามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาลุกโชติช่วง
ภายใต้การล่อลวงนี้ แม้แต่สำนักอื่นๆ ที่มาชมดูพิธีก็มีดวงตาแดงก่ำ มีกระทั่งคัมภีร์เทพทรงพลัง ซึ่งแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังน้ำลายสอ
หากมีคนอื่นพูดถึงเรื่องนี้ พวกเขาอาจจะเย้ยหยันคำเหล่านั้น แต่ทุกคนรู้ว่าวังโบราณอยู่ภายใต้การควบคุมของตำหนักมู่ ดังนั้นมู่เฉินจึงมีความสามารถทำเช่นนั้นโดยธรรมชาติ
มู่เฉินเบ้ปากเมื่อเห็นทุกคนตื่นตะลึง คัมภีร์ระดับเสินทงทรงพลังเป็นสิ่งที่แม้เขาก็ยังสนใจ แต่เขาก็ไม่ได้รับอะไรมา เป็นเรื่องน่าเสียดายที่คัมภีร์เทพของวังโบราณถูกซ่อนไว้ที่หอคัมภีร์เทพซ่อน ดังนั้นแม้กระทั่งเขายังหยิบมาตามใจชอบไม่ได้
มู่เฉินโบกมือลำแสงพุ่งออกจากวังโบราณก่อนที่จะตกลงบนภูเขา ก่อร่างเป็นประตูขนาดใหญ่
“นี่คือประตูมังกรทะยานสวรรค์ ในอนาคตใครที่ต้องการเข้าร่วมตำหนักมู่จะต้องผ่านประตูนี้ เฉพาะผู้ที่ผ่านมาได้เท่านั้นที่สามารถเป็นสมาชิกของตำหนักมู่!”
ในอนาคตอาจมีจอมยุทธ์ชั้นสูงมากมายอยากได้ชื่อเสียงของตำหนักมู่ ทว่ามู่เฉินไม่ต้องการที่จะยอมรับคนทั้งหมด เพราะจะก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าการได้รับประโยชน์
ด้วยการทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์ ผู้ด้อยโอกาสจะถูกปฏิเสธ เฉพาะผู้ที่ผ่านการทดสอบเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับในฐานะสมาชิก
ด้วยวิธีการต่างๆ เหล่านี้มู่เฉินมั่นใจว่าตำหนักมู่จะสามารถเติบโตในทวีปเทียนหลัวราวกับดาวฤกษ์!
“ท่านประมุขหลักแหลมนัก!”
ผู้ที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นสมาชิกแล้วก็สนับสนุนเรื่องนี้ ตอนแรกพวกเขายังมีข้อกังขาต่อการถูกรวมเข้ากับตำหนักมู่ แต่พวกเขาทั้งหมดก็สบายใจเมื่อเห็นวิธีการต่างๆ ของมู่เฉิน ในอนาคตหากใครต้องการเข้าร่วมก็จะต้องผ่านการทดสอบ ดังนั้นพวกเขารู้สึกเหนือกว่าคนอื่นๆ โดยธรรมชาติ ดูท่าตำหนักมู่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ตามที่ต้องการ พวกเขาโชคดีได้รับโอกาสถึงไม่ต้องเจอกับปัญหาดังกล่าว
มู่เฉินมองผู้คนที่คุกเข่าก็ถอนหายใจลึก ก่อนที่จะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางเม้มริมฝีปาก
ในเมื่อตำหนักมู่จัดตั้งเสร็จเรียบร้อย
งั้นต่อไป…
ถึงเวลาที่เขาจะเคลื่อนไหวแล้ว!
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1205 ลั่วเสิน
มู่เฉินมองไปที่มั่นถัวหลัวด้วยสองมือสั่นเทา
เผยให้เห็นความวิตกกังวลในหัวใจของเขา
เขาจะไม่มีวันลืมความรู้สึกอ่อนแอตอนที่ภาพเงาแข็งแกร่งแก่ชราพาลั่วหลีไปจากเขาจากสำนักศึกษาเป่ยชาง
เขาไม่มีวันลืมน้ำตาแห่งความเสียใจที่เอ่อล่นในดวงตาของนาง เมื่อตอนที่จากลา
ตอนนั้นเขาไม่มีพลังอำนาจใด ได้แต่มองดูลั่วหลีหายไปจากครรลองสายตา
เขารู้ว่าการจากลาของเราสองคนต้องกินเวลาเนิ่นนานหลายปี
“ครั้งต่อไปที่เราพบกัน ข้าจะไม่ยอมให้ใครพาเจ้าไปอีกแล้ว!”
เสียงมั่นคงของชายหนุ่มยังคงชัดเจนแม้ผ่านไปหลายปี หลังจากนั้นเขาก็ออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางท่องยุทธภพไปทั่วมหาพันภพ
ผ่านไปหลายปี เขาก็เติบโตขึ้นผ่านศึกเป็นตายมามากมาย ทำให้ความอ่อนโยนบนใบหน้าลดลงไม่น้อย อย่างไรก็ตามดวงตาของเขายังคงแน่วแน่เช่นเคย
เขาเปลี่ยนแปลงจากลูกเจี๊ยบตัวน้อยจนกางปีกหงส์ฟ้าได้อย่างสมบูรณ์
ตอนนี้เขาไม่อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป แม้ว่าลั่วเทียนเสินจะยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เขาก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย
ตอนนี้ถ้าเขาเปิดไพ่ตายทั้งหมด ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแท้จริงก็ต้องหน้าเปลี่ยนสี!
ประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาทำให้เขามีคุณสมบัติที่จะยืนต่อหน้าชายชราคนนั้นด้วยความภาคภูมิ
แต่มู่เฉินรู้ว่าการเติบโตของตนเองนั้นไม่ได้เพื่อต่อต้านชายชราคนนั้นที่คิดแทนลั่วหลี ตนแค่อยากจะบอกตาแก่คนนั้นว่าชายหนุ่มที่หลานสาวเขาเลือกไม่ใช่กรวดหิน แต่เป็นเพชรเม็ดงามเมื่อได้รับการเจียระไน!
เขาทำงานหนักมาตลอดเพื่อให้ถึงวันนั้น
มู่เฉินสูดหายใจลึกๆ สงบอารมณ์ในใจลง ม่านตาสีดำก็กลับมาเป็นประกายเรืองรอง
มั่นถัวหลัวมองรัศมีคมชัดที่มาจากมู่เฉินก็ยกคิ้วขึ้น ใบหน้านางฉาบด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าคนรักของเจ้าจะเป็นคนสำคัญมาก”
หลังจากรู้จักมู่เฉินมานานนี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเขาเกิดอารมณ์รุนแรงต่อหญิงสาวคนหนึ่ง
มู่เฉินยิ้มเขินแต่ดวงตายังจับจ้องอยู่ที่มั่นถัวหลัว
เมื่อถูกจ้องมองมั่นถัวหลัวก็หุบยิ้ม นางเอามือแตะคางถามกลับว่า “เจ้ารู้เกี่ยวกับตระกูลลั่วเสินมากแค่ไหน?”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะส่ายหัว ในอดีตตระกูลลั่วเสินเป็นดินแดนสวรรค์ที่ไกลเกินเอื้อมมือ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเมื่อก่อน จากการประเมินรากฐานพลังของตระกูลลั่วเสินน่าจะเทียบเท่าขั้วอำนาจระดับสูงสุดของทวีปเทียนหลัว
“ปัจจุบันตระกูลลั่วเสินเสื่อมโทรมลงไปมาก ตอนที่อยู่ในจุดสุดยอดไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถจินตนาการได้เลย” มั่นถัวหลัวอธิบาย
“สมัยโบราณมีความงามล้ำหาที่เปรียบไม่ได้อยู่บนยอดคทาของตระกูลลั่วเสิน ในแง่ของความแข็งแกร่งและชื่อเสียงแม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ยังด้อยกว่านาง”
ความตกตะลึงฉาบบนใบหน้าของมู่เฉินตามคำพูดนี้ ตระกูลลั่วเสินมีอัจฉริยะทรงพลังที่แม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ยังด้อยกว่ารึ?
มั่นถัวหลัวเบ้ปากพลางถอนหายใจ “นางรู้จักกันในนามลั่วเสิน ไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ แต่ยังเป็นที่รู้จักในฉายาเทพธิดาแห่งมหาพันภพ จุ๊ๆ ว่ากันว่าเทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่ามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนกี่คนตกหลุมรักความงามของนาง”
มู่เฉินตกตะลึง ไม่คิดว่าบรรพบุรุษของตระกูลลั่วเสินจะเป็นเทพธิดาแห่งมหาพันภพ
“ตระกูลลั่วเสินมีมรดกตกทอดมายาวนาน ถ้าไม่ใช่เพราะจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ ตระกูลลั่วเสินคงเป็นหนึ่งในเผ่าโบราณไปแล้ว” มั่นถัวหลัวถอนหายใจอย่างเสียดาย
มู่เฉินพูดไม่ออก เฉพาะเผ่าที่เก่าแก่ที่สุดเท่านั้นถึงจะเป็นที่รู้จักในฐานะเผ่าโบราณแห่งมหาพันภพ เช่นเผ่าหมัวเฮอและเผ่าฝูถู ไม่คิดว่าตระกูลลั่วเสินจะมีรากฐานเช่นนี้เหมือนกัน
“ลั่วเสินเสียชีวิตหรือ?” มู่เฉินถามเสียงต่ำ
ใบหน้าเคร่งขรึมของมั่นถัวหลัวพยักเบาๆ “เล่ากันว่าลั่วเสินขัดขวางจอมปีศาจขั้นเทียนสองคนที่อยู่ในอันดับที่แปดและเก้า”
มู่เฉินหดดวงตาจากการจำแนกตำแหน่งของจอมปีศาจขั้นเทียน ทั้งสองจะต้องเป็นราชันปีศาจที่ไม่ธรรมดาในจักรวรรดิปีศาจต่างมิติแน่นอน
เพราะเขาเคยได้เห็นพลังของจอมปีศาจทุนเทียน ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าราชันปีศาจน่ากลัวมากเพียงใด
ทว่าลั่วเสินกลับเผชิญหน้าสิ่งมีชีวิตไร้เทียมทานสองคน ดังนั้นสามารถบอกได้ว่านางกล้าหาญเพียงใดรวมถึงตำแหน่งอันตรายของนางด้วย
“หลังมหาสงครามจบ ลั่วเสินเสียชีวิต แต่สำหรับจอมปีศาจขั้นเทียนทั้งสอง คนหนึ่งตายอีกคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ” มั่นถัวหลัวถอนหายใจ ในคำพูดแสดงความชื่นชมต่อเทพธิดาแห่งมหาพันภพ
มู่เฉินตกตะลึงอย่างที่สุดกับความสำเร็จของลั่วเสิน เพราะแม้แต่จักรพรรดิฟ้าทำได้ดีที่สุดก็เพียงผนึกจอมปีศาจทุนเทียนเอาไว้ สำหรับลั่วเสินนางสามารถฆ่าได้คนหนึ่งและซัดอีกคนจนบาดเจ็บ ดังนั้นจึงพิสูจน์ได้ว่าพลังของลั่วเสินแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิฟ้า
“ตอนที่นางเสียชีวิต ร่างทอดเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อแม่น้ำลั่ว ซึ่งตระกูลลั่วเสินปกปักเอาไว้ มีข่าวลือว่าลั่วเสินได้ทิ้งมรดกไว้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือร่างเทพวารี หนึ่งในร่างเทห์สวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สั่นสะเทือนผู้คนมากมายในมหาพันภพ”
“ลำดับที่สิบเอ็ด—ร่างเทพวารี?!” ท่าทางของมู่เฉินเปลี่ยนไปรุนแรง เขาไม่เคยคิดเลยว่าร่างลึกลับนี้จะเป็นของตระกูลลั่วเสิน!
เมื่อเทียบกับร่างเทพวารีแล้วร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขาก็อาจไม่ได้เปรียบอะไรมากมาย
ขณะนี้เขาตระหนักได้ว่าตนเองประเมินตระกูลลั่วเสินต่ำเกินไป
“แต่…” มั่นถัวหลัวส่ายหน้าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ “ตลอดหลายปีไม่มีสมาชิกตระกูลสามารถฝึกร่างเทพวารีนี้ได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครได้รับมรดก นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมตระกูลลั่วเสินถึงตกต่ำจนถึงจุดนี้”
มู่เฉินจนคำพูดไปเลย ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายที่จะฝึกฝนร่างเทพวารี ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาไม่เคยได้ยินใครที่ครอบครองร่างเทห์สวรรค์นี้ในอดีต
“พวกเขามีสมบัติล้ำค่า แต่อยู่ในตำแหน่งต่ำลง ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจเป็นเรื่องปกติ” มั่นถัวหลัวพูดต่อไปว่า “ในดินแดนซีเทียนมีตระกูลเทพสี่ตระกูลได้แก่ ตระกูลลั่วเสิน ตระกูลเสี่ยเสิน ตระกูลลี่เสินและตระกูลกู่เสิน อดีตถึงแม้ว่าตระกูลลั่วเสินจะเสื่อมโทรมไปแล้ว แต่อูฐที่หิวโหยก็ยังคงมีขนาดใหญ่กว่าม้าดังนั้นพวกเขาจึงยังสามารถครองตำแหน่งผู้นำหนึ่งในสี่ตระกูลเทพเอาไว้ได้”
“แต่หลังจากที่สามตระกูลเทพขยายอิทธิพลขึ้นเรื่อยๆ บารมีของตระกูลลั่วเสินก็ถดถอยลงไป วันนี้ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนซีเทียนกลายเป็นตระกูลเสี่ยเสินไปแล้ว”
“มิหนำซ้ำตระกูลเสี่ยเสินยังมีความแค้นอย่างยิ่งกับตระกูลลั่วเสิน เกิดการปะทะกันระหว่างสองตระกูลมาหลายร้อยหลายพันปีแล้ว ทำให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกัน ช่วงหลายปีที่ผ่านมาตระกูลเสี่ยเสินกดดันหนักมาก ส่งผลให้ตระกูลลั่วเสินตกอยู่ในสภาพย่ำแย่”
“ส่วนภายในตระกูลลั่วเสินเองก็ย่ำแย่นัก ภายใต้ภัยคุกคามนี้กลับไม่สามัคคีกัน ต่างฝ่ายปกครองกันเอง เห็นได้เลยว่ากำลังจะล่มสลาย”
พูดถึงจุดนี้มั่นถัวหลัวก็ยิ้มมองมู่เฉิน “แต่คนรักของเจ้านั่นเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมแท้จริง นางพึ่งพาพลังของตนเองทำให้ตระกูลมั่นคงขึ้นและเป็นผู้นำทัพตระกูลลั่วเสินเข้าห้ำหั่นกับตระกูลเสี่ยเสินเอง”
มู่เฉินไม่รู้สึกดีใจเลย เขากลับกำหมัดแน่นสาดสีหน้าเย็นชา แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ข้างกายลั่วหลี แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่านางต้องทนทุกข์ทรมานมากแค่ไหน
“ตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าบอกว่าสภาพของนางไม่ดีใช่ไหม?” มู่เฉินสูดหายใจลึกๆ ขณะที่ถามเสียงเบา
ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขณะที่พยักหน้าเบาๆ “จากข้อมูลที่ได้รับตระกูลลั่วเสิน วางแผนที่จะให้นางเข้าพิธีเทพธิดาลั่ว เพื่อดูว่านางจะได้รับมรดกหรือไม่”
“หากลั่วหลีสามารถรับมรดกของลั่วเสินและฝึกร่างเทพวารีได้สำเร็จ ด้วยพรสวรรค์นางก็จะกลายเป็นลั่วเสินคนที่สองในอนาคต ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเทพอีกสามตระกูลอยากที่จะเห็น ดังนั้นข้ากลัวว่าจะมีปัญหาในพิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้”
“นอกจากนี้ข้ายังได้ยินมาว่ามีคลื่นใต้น้ำในตระกูล ไม่ใช่ทุกคนที่สนับสนุนคนรักของเจ้า สายของนางอ่อนแอและถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับลั่วเทียนเสินละก็…”
“พิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้ไม่เกิดขึ้นง่ายๆ แน่”
ฮา
แสงเย็นเยือกวาววับในดวงตาของมู่เฉิน จากนั้นเขาก็สูดหายใจลึกระงับอารมณ์ “พิธีเทพธิดาลั่วจะเริ่มเมื่อไร?”
“หนึ่งเดือนนับจากนี้”
มู่เฉินมองมั่นถัวหลัวถามว่า “ข้าใช้พลังตำหนักมู่ได้ไหม?”
ตระกูลลั่วเสินเส้นสายโยงใยซับซ้อนมากเกินไป แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง
มั่นถัวหลัวยิ้มบางขณะที่ยืนขึ้น
“ตอนนี้เจ้าเป็นประมุขตำหนักมู่แล้ว เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”
มู่เฉินพูดเสียงเบา “ขอบคุณ”
เขารู้ดีว่าตนเองเป็นเหตุผลว่าทำไมมั่นถัวหลัวจึงตั้งใจสลายพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือเพื่อจัดตั้งตำหนักมู่
มั่นถัวหลัวเหยียดเอวพูดอย่างทรงอำนาจ
“ใครให้เจ้าเป็นศิษย์น้องของข้าล่ะ ในเมื่อมีใครกล้ามารังแกน้องสะใภ้ก็ซัดให้มันตายไปเลย!”
มู่เฉินยิ้มกว้าง ทว่ากลับมีแสงเหี้ยมเกรียมวูบไหวในดวงตา
ลั่วหลี รอข้า!
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1204 ตำหนักมู่
“ข้ายอมแพ้”
เมื่อได้ยินเสียงคำรามของหลิ่วเทียนเต้า วงล้อเกล็ดมังกรที่พุ่งเข้าใส่เขาก็หยุดลงห่างจากใบหน้าไปเพียงไม่กี่จั้งก่อนที่จะแตกสลายไป
จุดแสงคลื่นหลิงกระจายออก แต่ร่างกายหลิ่วเทียนเต้าก็กระเด็นออกไปอย่างน่าอนาถ ชุดเกราะพลังหลิงสั่นสะเทือนเช่นกัน
ตัวเขากระเด็นออกไปหลายพันจั้งก่อนที่จะสามารถควบคุมร่างกายได้ เขายืนอยู่ในอากาศด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยนไป สุดท้ายก็ทะยานกลับเข้ามาในโถงด้วยอาการหดหู่
ทั้งโถงเงียบสนิทเมื่อประมุขคนอื่นเห็นภาพนี้ดวงตาของพวกเขาวูบไหวด้วยแววตกตะลึงที่ไม่สามารถปกปิดได้ ฉากนี้เกินความคาดหมายไปไกลนัก
พวกเขาไม่เคยประเมินมู่เฉินต่ำ พวกเขารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถแท้จริงและก็ไม่คิดว่าหลิ่วเทียนเต้าจะเอาชนะได้ พวกเขาแค่ต้องการให้หลิ่วเทียนเต้าแสดงพลังเพื่อลดความโดดเด่นของมู่เฉินลงบ้าง เพื่อให้เขาได้รับความอับอายไม่กล้าที่จะขึ้นเป็นผู้นำ
ทว่าพวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะไม่มีความคิดในการปะทะด้วยตนเอง เขาเลือกสร้างค่ายกลและจัดการจนหลิ่วเทียนเต้ายอมแพ้
“มู่เฉิน…ทรงพลังขนาดนี้เชียวรึ?”
พวกเขาพึมพำในใจ แต่ละคนรู้สึกสะอึกในใจ ไม่กี่ปีก่อนมู่เฉินยังเป็นเพียงเบี้ยตัวน้อยของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่พวกเขาไม่คิดจะชายตามอง แต่เพียงไม่กี่ปีมู่เฉินก็เติบโตจนถึงจุดที่สามารถปราบปรามพวกเขาได้
พวกเขาตกตะลึงอย่างแท้จริงกับการเติบโตของชายหนุ่มคนนี้ยากที่จะจินตนาการว่าเขาจะไปให้ไกลแค่ไหน ถ้ามีเวลามากขึ้นกว่านี้
มู่เฉินยิ้มเมื่อมองหลิ่วเทียนเต้าพลางพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ผู้อาวุโสหลิ่วอย่าเคืองกันเลยนะ ข้าชนะเนื่องจากใช้กลยุทธ์บางอย่าง ถ้านี่คือศึกมรณะคงไม่มีใครนั่งนิ่งๆ มองค่ายกลสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์หรอก”
เมื่อหลิ่วเทียนเต้าเห็นมู่เฉินไม่มีความเย่อหยิ่งหรือเย้ยหยัน มิหนำซ้ำยังไว้หน้าเขาให้พ้นจากความอับอาย ท่าทางของเขาก็อ่อนโยนลง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกชื่นชมมู่เฉินจากใจ
ชายหนุ่มคนนี้ที่เบื้องหน้าเขาเป็นอัจฉริยะของแท้ที่ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยสามัญสำนึก ไม่แปลกที่เขาจะพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉิน
หลิ่วเทียนเต้าถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “คลื่นลูกใหม่แซงหน้าคลื่นลูกเก่าแล้ว ข้าประเมินตนเองสูงไป เจ้ามีความสามารถและพลังที่มีก็โน้มน้าวข้าได้”
เมื่อเห็นว่าหลิ่วเทียนเต้ายอมรับความพ่ายแพ้ คนอื่นๆ ก็แลกเปลี่ยนสายตาพลางถอนหายใจในใจ พวกเขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่จะขัดขวางไม่ให้มู่เฉินขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่
ทว่าพวกเขาก็ต้องตกใจกับการแสดงศักยภาพของมู่เฉินมาก เพราะพลังของพวกเขาคล้ายคลึงกับหลิ่วเทียนเต้า ในเมื่อมู่เฉินสามารถบีบหลิ่วเทียนเต้าให้ยอมแพ้ได้ ผลลัพธ์คงไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวก็ตาม
โลกนี้พลังคือทุกสิ่ง ในเมื่อมู่เฉินสามารถเอาชนะพวกเขาได้ นี่ก็พิสูจน์คุณสมบัติของเขาแล้ว
มั่นถัวหลัวที่ไม่ได้พูดมาตลอดก็ยิ้มถามว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้มีใครคัดค้านข้อเสนอของข้าอีกไหม?”
ทุกคนนิ่งเงียบพลางส่ายหัว ตอนนี้คัดค้านอีกก็เท่ากับเพิ่มความอับอาย
แปะ
มั่นถัวหลัวปรบมือด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าขอประกาศให้มู่เฉินเป็นผู้นำสำนักที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ทุกคนจงปฏิบัติตามคำสั่งของเขาในอนาคต!”
คนอื่นๆ มองมู่เฉินพยักหน้าด้วยความเคารพ แสดงให้เห็นว่าจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
หลิ่วเทียนเต้ามองที่มู่เฉินและมั่นถัวหลัวถามว่า “ในเมื่อเราจะสร้างสำนักใหม่ แล้วจะให้ชื่อว่าอะไรดีหรือ?”
ในเมื่อมั่นถัวหลัวต้องการสลายพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็ไม่สามารถใช้ชื่อเก่าได้ นั่นจะเป็นการทำให้คนอื่นระลึกถึงอดีตเกินไป
ดังนั้นหากพวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลง ก็จะต้องก้าวไปข้างหน้าแทนที่จะก้าวไปข้างหลัง
มู่เฉินมองมั่นถัวหลัวกระซิบว่า “ในเมื่อเราจะใช้ประโยชน์จากฐานรากของวังสวรรค์บรรพกาล งั้นใช้ชื่อนี้ดีไหม”
เหตุผลที่เขามีความคิดเช่นนั้นเพราะต้องการทิ้งบางอย่างไว้เบื้องหลังเพื่อพิสูจน์การมีอยู่ของจักรพรรดิฟ้า เพราะเขาได้รับโอกาสที่ดีจากจักรพรรดิฟ้า
ทว่ามั่นถัวหลัวกลับส่ายหน้าเบาๆ “จักรพรรดิฟ้าบอกไว้แล้วว่าวังสวรรค์บรรพกาลกลายเป็นอดีตที่ไม่หวนคืน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ ต่อ ให้ชื่อเสียงจางหายไปพร้อมกับมันเถอะ”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะพยักหน้า มั่นถัวหลัวมีความรู้สึกอย่างมากต่อวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นหากสำนักใหม่ยังคงชื่อนี้ไว้ก็จะเปิดบาดแผลขึ้นมาเท่านั้น
“งั้น…” มู่เฉินไม่ได้มีความคิดในเรื่องนี้ เขาได้แต่เกาหัวแกรกกราก
มั่นถัวหลัวเท้าคางขณะที่ดวงตากวาดไปรอบๆ ก่อนที่นางจะตบมือฉาดแล้วยิ้ม “ได้ล่ะ! ในเมื่อเจ้าเป็นผู้นำคนใหม่ เราก็จะเรียกว่าตำหนักมู่! ช่างเรียบง่ายและใช้งานได้จริง!”
หน้าผากของมู่เฉินถึงกับเหงื่อซึม ชื่อนี้ช่างเรียบง่ายและไร้ความคิดนัก!
คนอื่นๆ แลกเปลี่ยนสายตา พวกเขาดูลังเลก่อนจะถามเสียงอ้อมแอ้ม “มันจะดูไม่ค่อยดีรึเปล่า?”
ชื่อนี้ช่างเป็นที่สังเกตมากเกินไป ทันทีที่ก่อตั้งขึ้นพวกเขาจะถูกเหน็บไว้ด้วยชื่อของมู่เฉินห้อยต่อท้าย
พวกเขาที่ภาคภูมิใจและสูงส่งมาตลอดยังไม่สามารถยอมรับได้ในเวลาสั้นๆ
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ท่าทางนางพญาเย็นชาก็ก่อตัวขึ้น “พวกเจ้ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องนี้รึ? หากไม่เต็มใจก็ออกไป ในอนาคตอย่าเสียใจที่จากไปก็แล้วกัน!”
เมื่อได้ยินเสียงที่เย็นชาของมั่นถัวหลัว จิตใจของพวกเขาก็สั่นไหวก่อนจะกัดฟันส่ายหน้าหวือ “ตกลง งั้นเราจะตั้งชื่อว่าตำหนักมู่!”
สำหรับระดับของพวกเขาจะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาตนเอง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ชั้นนำในภูมิภาคทางเหนือ พวกเขาก็ได้แต่อยู่ในเขตแดนของตัวเองเท่านั้น เมื่อไรที่ต้องออกไปจากภูมิภาคทางเหนือ พวกเขาก็ต้องระมัดระวังอย่างมากเพื่อไม่ให้ไปเหยียบเท้าขั้วอำนาจทรงอิทธิพลอื่นๆ
พวกเขาต้องการภูมิหลังสนับสนุนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในเส้นทางการเพาะบ่ม แม้ว่าตำหนักมู่จะเพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ แต่ก็มีศักยภาพ มิหนำซ้ำมั่นถัวหลัวก็ยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแท้จริง นางสามารถได้รับการพิจารณาจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของทวีปเทียนหลัว ดังนั้นนางจะต้องปกปักตำหนักมู่เพื่อให้เติบโตขึ้นไปอีกแน่
นอกจากนี้ยังมีมู่เฉิน… ชายหนุ่มผู้โดดเด่นคนนี้ถึงจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นในตอนนี้ แต่เขามีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็จะเติบโตเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพแน่นอน
ในเวลานั้นตำหนักมู่จะเติบโตขึ้นเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ ซึ่งอาจเทียบเคียงกับความโดดเด่นของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูก็เป็นได้
ดังนั้นเมื่อพิจารณาคร่าวๆ พวกเขาก็ทิ้งความรู้สึกไม่ดีในใจลง พวกเขาบอกได้ว่ามั่นถัวหลัวกำลังวางแผนที่จะสร้างฐานที่มั่นให้กับมู่เฉิน ดังนั้นนางจะต้องไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเป็นหินรองเท้าอย่างในอดีต
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เข้าร่วมตำหนักมู่อย่างจริงใจและรอดูการเติบโตไปพร้อมกันเถอะ
เมื่อเห็นการยอมรับของคนอื่นมั่นถัวหลัวก็พยักหน้าพึงพอใจ “ในเมื่อตัดสินใจเรียบร้อย สามวันนับจากนี้จะเป็นวันก่อตั้งของตำหนักมู่!”
“พวกเจ้าทุกคนจะได้เป็นผู้อาวุโสของที่นี่ ไม่ว่าตำหนักมู่จะเติบโตไปไกลแค่ไหน ในอนาคตตำแหน่งของเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!”
คำพูดของมั่นถัวหลัวคล้ายยากล่อมประสาท ซึ่งเป็นการรับประกันตำแหน่งของพวกเขาซึ่งจะไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าตำหนักมู่จะเติบโตแค่ไหนก็ตาม
หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ยืนขึ้นโค้งคำนับต่อมู่เฉิน ซึ่งเป็นการทักทายของคนตำแหน่งรองลงมา
มู่เฉินก็ไม่กล้าชักช้า เขาประสานมือพร้อมกับท่าทางแสดงออกจริงจัง
เมื่อเรื่องนี้จัดกการเรียบร้อย หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ก็กล่าวอำลา เนื่องจากพวกเขายังต้องประกาศให้สำนักของตนทราบ แน่นอนว่านี่คงจะทำให้เกิดความโกลาหลใหญ่ แต่พวกเขามั่นใจว่าจะปรามเสียงนกเสียงกาเหล่านั้นได้
มองดูการจากไปของพวกเขา มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจขึ้นก่อนที่จะยิ้มให้มั่นถัวหลัวอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าเหมาะสมสำหรับตำแหน่งนี้กว่านะ”
มั่นถัวหลัวยืดเอวพูดอย่างไม่แยแส “จะต้องมีสักวันหนึ่งที่เจ้าจะก้าวข้ามข้าไป เมื่อถึงเวลานั้นตำหนักมู่จะยืนหยัดอยู่ในมหาพันภพด้วยความสามารถของเจ้า”
มู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น “บางทีข้าอาจยุ่งตายก่อนวันนั้นจะมาถึง”
แค่เรื่องในวันนี้ก็ทำให้เขาปวดหัวพอแล้ว ยากที่จะจินตนาการว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นในอนาคตเมื่อมีการตั้งขั้วอำนาจนี้ขึ้น
“เจ้าพูดราวกับว่าเคยจัดการหอวิหคโลกันตร์ด้วยตัวเอง สุดท้ายหอวิหคโลกันตร์ก็แข็งแกร่งขึ้นทุกวันไม่ใช่เหรอ” มั่นถัวหลัวกลอกตาเยาะเย้ย
มู่เฉินฉายสีหน้าแปลกพิลึก หอวิหคโลกันตร์ปล่อยให้ถังปิงจัดการทุกอย่าง ซึ่งเขาไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเลย ทว่าเขาเข้าใจว่ามั่นถัวหลัวหมายถึงอะไร เขาเพียงแค่มอบหมายหน้าที่ให้ถูกคนเท่านั้น
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขารู้สึกโล่งใจมากขึ้น แต่ไม่นานใบหน้าก็กลายเป็นเคร่งเครียดและเร่งด่วน เขาหันไปมองมั่นถัวหลัวสูดหายใจเข้าลึกก่อนที่จะพูดด้วยเสียงสั่น
“ตอนนี้บอกข่าวลั่วหลีให้ข้าฟังได้หรือยัง?”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1203 อำนาจค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร
ฮึ่ม!
เมื่อมู่เฉินวาดตราประทับวาดขึ้นค่ายกลก็ครางกระหึ่มพร้อมกับผนึกเส้นสายที่มองเห็นด้วยตาเปล่ากระจายออกไปเชื่อมโยงกัน
เมื่อผนึกเชื่อมโยงกัน ทุกคนก็รู้สึกได้ว่าช่องโหว่ของค่ายกลสมบูรณ์ขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันความผันผวนที่ทรงพลังก็รวมตัวกันอยู่ภายใน
หลิ่วเทียนเต้ารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ ดวงตาหรี่แคบลงโดยไม่กล้าประมาท เขารวบรวมคลื่นหลิงทรงพลังสร้างเป็นชุดเกราะสวมรอบตัว
สิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยคลื่นหลิงล้วนๆ ซึ่งไม่เพียงแต่ทนทาน ยังสามารถหลอมรวมได้ด้วย การโจมตีใดๆ จะถูกดูดซับคลื่นหลิงบางส่วนจนลดพลังลง ซึ่งมีประโยชน์อย่างมาก
“โฮก!”
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจการกระทำของอีกฝ่าย ตราประทับเปลี่ยนเร็วรี่ มังกรในค่ายกลก็คำรามลั่น
คลื่นหลิงควบแน่นอย่างรวดเร็ว มังกรอีกตัวก็ปรากฏขึ้นในค่ายกล
เวลานี้มีมังกรทั้งหมดสี่ตัวในค่ายกล แต่ละตัวจ้องหลิ่วเทียนเต้าเขม็งขณะที่ปล่อยแรงกดดันอันยิ่งใหญ่
หลิ่วเทียนเต้ามองมังกรสี่ตัวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงความรุนแรงของแรงกดดันเมื่อมังกรทั้งสี่ตัวถูกสร้างขึ้น
หากเขามีความมั่นใจในการรับมือก่อนหน้า ตอนนี้ความมั่นใจของเขาลดลงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
“มู่เฉินมีวิธียอดเยี่ยมจริงๆ”
หลิ่วเทียนเต้าพึมพำในใจ แต่ขณะนี้เขาก็เห็นมู่เฉินยิ้มและสร้างตราประทับด้วยมือข้างเดียวอีกครั้ง ซึ่งฉากนี้ทำให้ม่านตาเขาหดเกร็ง
นี่ยังไม่เสร็จอีกเหรอ?!
โฮก!
ขณะที่ความคิดนี้พล่านในหัวใจ เสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่นก็สะท้อนออกมาจากค่ายกล คลื่นหลิงควบแน่นมังกรอีกตัวก่อตัวขึ้น
ตอนนี้ในค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร มีมังกรทั้งหมดห้าตัว!
ยามนี้สีหน้าของหลิ่วเทียนเต้าน่าเกลียนจนดูไม่ได้ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนอื่นๆ ก็ยังมีสีหน้าเคร่งขรึมลงหลายส่วนกับฉากนี้
ชัดว่าพวกเขารู้สึกถึงไอคุกคามจากมังกรทั้งห้า!
มุมปากของหลิ่วเทียนเต้ากระตุก ถ้านี่เป็นการต่อสู้มรณะกับมู่เฉินแล้วละก็ เขาคงเคลื่อนไหวไปเพื่อขัดขวางมู่เฉินไม่ให้สร้างค่ายกลได้สำเร็จ
แต่น่าเสียดายที่การเดิมพันของเขากับมู่เฉิน ที่ตั้งกฎไว้ว่าเขาจะต้องทนต้านค่ายกลให้ได้สองชั่วโมง ในเมื่อเป็นแบบนี้ที่เขาทำได้ก็คือเฝ้ามองมู่เฉินสร้างค่ายกลจนเสร็จสมบูรณ์
“นี่น่าจะเป็นขีดจำกัดของเขาแล้วแหละ” หลิ่วเทียนเต้าปลอบตัวเองในใจ จากการคาดเดาของเขาถ้ามู่เฉินเพิ่มมังกรเข้าไปอีก เขาคงติดอยู่ในกับดักนี้ไม่ต้องออกไปไหนแล้ว
เหมือนจะสัมผัสได้ว่าหลิ่วเทียนเต้ากำลังปลอบใจตัวเอง มู่เฉินก็เงยหน้ามองไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อรู้สึกถึงรอยยิ้มนั่นหลิ่วเทียนเต้าก็หนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง ใบหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำเมื่อเห็นมู่เฉินวาดตราประทับอีกครั้ง
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ลวดลายพลังงานเริ่มเชื่อมโยงเข้าด้วยกันถักทอปิดช่องโหว่แบบช้าๆ
ตู้ม!
คลื่นหลิงทั่วบริเวณนี้เดือดพล่าน ขณะที่มารวมตัวกันในค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารราวกับถูกอะไรบางอย่างดึงดูด
ด้วยการรวมตัวของคลื่นหลิงมหาศาลในค่ายกลมากขึ้นก็ทำเอาเปลือกตาของทุกคนกระตุก เมื่อเห็นมังกรอีกตัวขึ้นรูปร่าง
“นั่นตัวที่หกแล้ว”
เหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ขณะแลกเปลี่ยนสายตากัน หยดเหงื่อปกคลุมหน้าผากไปหมด พวกเขารู้สึกชัดเจนถึงความผันผวนที่น่ากลัวจากพลังงานที่เบื้องหน้า
ค่ายกลระดับนี้แม้แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้!
ประมุขทั้งสี่เหลือบไปมองใบหน้าหลิ่วเทียนเต้าที่เปลี่ยนเป็นเขียวมืด ความยินดีในใจก็พวยพุ่ง โชคดีที่ตนไม่ได้ออกหน้าทำอะไร มิฉะนั้นพวกเขาคงอยู่ในจุดเดียวกันกับหลิ่วเทียนเต้าแล้ว
“ไม่คิดว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จในด้านค่ายกลถึงระดับนี้! น่าประทับใจมาก งั้นขอข้าลิ้มรสหน่อยว่ามันมีพลังแค่ไหนเชียว!”
ดวงตาของหลิ่วเทียนเต้าวูบไหวขณะที่มองดูค่ายกล อึดใจก็คำรามเสียงกร้าว เขาก้าวเท้าออกมาพลางกำหมัดแน่น คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลรวมอยู่ในมือก่อร่างเป็นแส้ขนาดใหญ่หมื่นจั้ง เขาตวัดออกไปฉีกขาดมิติพุ่งเข้าใส่มังกรทั้งหกตัว
หลิ่วเทียนเต้าเคลื่อนไหวกะทันหันมาก ทำให้ความโกรธเพิ่มขึ้นในหัวใจของจิ่วโยวและคนอื่นๆ จิ้งจอกเฒ่าคนนี้ฉลาดแกมโกงนัก เมื่อเห็นว่าค่ายกลขอมู่เฉินขยายขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เขาก็ไม่คิดที่จะรออะไร ตัดสินใจเคลื่อนไหวจัดการทันที
เมื่อเห็นการกระทำของหลิ่วเทียนเต้า มู่เฉินก็ยิ้มบาง ถ้าจิ้งจอกเฒ่าคนนี้คิดว่าแบบนี้สามารถขัดขวางเขาในการเร้าค่ายกลต่อก็ดูถูกกันเกินไปแล้ว
มู่เฉินดีดนิ้ว ค่ายกลก็ระเบิดแสงหลิงหมื่นจั้งพลางหมุนคว้าง มังกรทั้งหกพ่มลมหายใจมังกรใส่หลิ่วเทียนเต้าสกัดกั้นการโจมตีเอาไว้
ปัง ปัง!
ทั้งสองเผชิญหน้ากัน คลื่นหลิงที่ป่าเถื่อนก็กวาดออกฉีกมิติกระจุยกระจาย ถ้าไม่ใช่เพราะมั่นถัวหลัว ห้องโถงทั้งหมดคงจะกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วในตอนนี้
ในค่ายกลมหึมา แสงหลิงส่องกระจายอย่างต่อเนื่อง ไม่กี่สิบลมหายใจ หลิ่วเทียนเต้าก็ปะทะกับมังกรหกตัวไปหลายร้อยกระบวนท่าแล้ว แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ในการโจมตี เขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะมังกรทั้งหกได้ ทำได้เพียงไม่ตกเป็นฝ่ายแพ้
“ค่ายกลนี้ทรงพลังขนาดนี้เชียว?!”
หัวใจของหลิ่วเทียนเต้าสั่นระรัว เนื่องจากเขาพบว่าต่อให้เร้าพลังออกมาทั้งหมด เขาก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากมังกรทั้งหกตัวได้
นั่นหมายความว่าค่ายกลนี้มีพลังอำนาจในการดักจับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น!
เขารู้ว่าเว้นแต่จะเทหมดหน้าตัก มิฉะนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหลุดพ้นจากค่ายกลนี้
เมื่อเกิดความคิดนี้ เขาก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะหนีออกไป เปลี่ยนมาเป็นป้องกันเต็มกำลัง เพราะข้อตกลงระหว่างเขากับมู่เฉินคืออยู่ในค่ายกลให้ครบสองชั่วโมง
แม้ว่าหลิ่วเทียนเต้าจะไม่สามารถทำสิ่งใดกับค่ายกลได้ แต่ค่ายกลก็ไม่สามารถทำลายแนวป้องกันของเขาได้ หากสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไปเขาจะสามารถลากเวลาจนครบสองชั่วโมง
วิธีนี้ดูไม่ดีสักเท่าไร แต่ในเมื่อมู่เฉินมั่นใจเกินตัว เขาก็ต้องให้บทเรียนกับอีกฝ่ายบ้าง
เมื่อเกิดความคิดนี้ หลิ่วเทียนเต้าก็ไม่สนใจอะไรอีก คลื่นหลิงมหาศาลพวยพุ่งขึ้นพร้อมกับแสงหลิงนับไม่ถ้วนก่อตัวเป็นแนวป้องกันที่แข็งแกร่งรอบตัวเขา ปล่อยให้มังกรทั้งหกโจมตีได้ตามที่ต้องการ
“ตาแก่นั้นหน้าด้านไปแล้ว!”
จิ่วโยวและคนอื่นๆ ส่ายหัวขณะที่สบถด่าในใจ
ประมุขคนอื่นๆ เบ้ปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะถ้าหลิ่วเทียนเต้าชนะ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องยอมรับมู่เฉินในฐานะผู้นำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่การปริปากกับการที่หลิ่วเทียนเต้าเป็นคนไร้ยางอาย
ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกดีใจในใจ โชคดีที่พวกเขาไม่ได้ทำตัวเด่น ไม่อย่างนั้นคนที่อยู่ในตำแหน่งกระอักกระอ่วนของหลิ่วเทียนเต้าก็จะเป็นพวกเขา
ในห้องโถงทุกคนมีความคิดที่แตกต่างกันไป ส่วนมู่เฉินก็ยิ้มขณะที่มองหลิ่วเทียนเต้า ริ้วเยาะเย้ยโค้งขึ้นมุมปาก
ในเวลาเดียวกันเขาก็ยกมือขึ้น วาดตราประทับโบราณ
ทันใดนั้นค่ายกลก็เปล่งประกายด้วยความมันวาวอีกครั้ง ค่อยๆ ก่อร่างเป็นมังกรอีกตัว
ความปั่นป่วนนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคน แต่ละคนมีท่าทางเปลี่ยนไปเนื่องจากไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะดำเนินการสร้างค่ายกลต่อให้สมบูรณ์ ขณะจัดการกับหลิ่วเทียนเต้าในเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ค่ายกลยังไม่ถึงขีดจำกัดอีกเหรอ? ค่ายกลนี้อยู่ในระดับใดกันแน่?!
ขณะที่ทุกคนตกตะลึง หลิ่วเทียนเต้าก็เห็นมังกรตัวที่เจ็ดกำลังก่อตัว ใบหน้าของเขาน่าเกลียดอย่างรุนแรง เขาสามารถสัมผัสได้คลุมเครือว่าการจัดเรียงน่ากลัวขึ้นเมื่อมังกรตัวที่เจ็ดเผยออกมา
เขามีลางสังหรณ์ว่าถ้ามังกรตัวที่เจ็ดเข้ามาละก็ เขาจะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้แน่นอน
ตู้ม ตู้ม!
หลิ่วเทียนเต้าไม่คิดหยุด ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา ร่างเวทสวรรค์มหึมาถูกสร้างขึ้นที่เบื้องหลัง ขณะที่มันพ่นลมหายใจก็ก่อร่างเป็นมหาสมุทรขนาดใหญ่ ซัดมังกรทั้งหกออกไป
โฮก!
แต่ในเวลาเดียวกันเสียงคำรามมังกรรุนแรงก็ดังกังวาน
ริ้วแสงไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมา มังกรตัวที่เจ็ดก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป
ฟิ้ว ฟิ้ว!
มังกรหกตัวก่อนหน้าก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกมาหลอมรวมเข้าด้วยกัน มังกรทั้งเจ็ดรวมกันเป็นวงล้อมังกรทะลุผ่านมิติพุ่งเข้าใส่หลิ่วเทียนเต้า ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน
เมื่อมองการโจมตีทำลายล้างนี้ ใบหน้าของหลิ่วเทียนเต้าก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด ความกลัวปีนขึ้นไปบนใบหน้า
ในที่สุดเขาก็ทนแรงกดดันไม่ไหวต้องฟันกรอดตะเบ็งเสียงออกมา
“ข้ายอมแพ้!”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1202 คุณสมบัติในการเป็นประมุข
โถงใหญ่เงียบสนิท
หลังจากหลิ่วเทียนเต้าเปิดปากขึ้น ขณะที่จิ่วโยวและคนอื่นๆ จ้องมองเขาอย่างเกรี้ยวกราด หากไม่ใช่เพราะฐานะของหลิ่วเทียนเต้าละก็ พวกเขาคงจะเริ่มแซะอีกฝ่ายเพื่อปกป้องมู่เฉินแล้ว
ทว่าเปรียบเทียบกับพรรคพวกแล้ว มู่เฉินยังคงมีสีหน้าสงบไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ เลย ตามสิ่งที่เขาคาดหมายไว้หลิ่วเทียนเต้าต้องปฏิเสธแน่ เนื่องจากพวกเขามีเรื่องบาดหมางเมื่อในอดีต แน่นอนว่าสาเหตุที่อีกฝ่ายโกรธเคืองขนาดนี้ อาจเป็นเพราะความไม่สมดุลในใจ
ประมุขอีกสี่คนไม่ได้พูดอะไร แต่พวกเขาน่าจะมีความคิดเช่นเดียวกับหลิ่วเทียนเต้า เพียงแค่พวกเขาอดทนมากกว่า ไม่ต้องการโดดเด่นมากไปเท่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรทั้งห้าคนก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินไม่มีคุณสมบัติที่จะยืนเหนือพวกเขา
ดังนั้นถ้ามู่เฉินต้องการนั่งในตำแหน่งนี้ นอกเหนือจากการสนับสนุนของมั่นถัวหลัว เขาจะต้องข่มขวัญจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งห้าด้วยพลังของตนเองคนเดียวด้วย มิฉะนั้นขั้วอำนาจที่จะก่อตั้งใหม่จะไม่มั่นคงและสั่นคลอน
ดังนั้นเมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำพูดของหลิ่วเทียนเต้า นางก็นิ่งเงียบ นางต้องการให้มู่เฉินจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
เมื่อประมุขทั้งห้าเห็นท่าทางของนาง พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจ
มู่เฉินยิ้มบางเงยหน้าขึ้นมองหลิ่วเทียนเต้าพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “ผู้อาวุโสหลิ่วบอกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติ งั้นไม่รู้ว่าคุณสมบัติที่ว่าจะได้รับอย่างไร?”
หลิ่วเทียนเต้ากระตุกเปลือกตาขึ้น “หากเจ้าต้องการอยู่เหนือพวกข้าก็แสดงพลังให้ประจักษ์”
“แม้ว่าเจ้าจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว แต่ก็ยังตื้นเขินเกินไป ดังนั้นหากเจ้าต้องการก้าวข้ามพวกข้า ต่อให้พวกข้ายอม ผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเราก็จะไม่พอใจและเรียกร้อง ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งได้”
หลิ่วเทียนเต้าเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เมื่อเอ่ยปากก็ลากกระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาตามมาด้วยเป็นพรวน
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขณะที่มองอีกสี่คน “ผู้อาวุโสทั้งสี่ก็คงมีความคิดเหมือนกันใช่ไหม?”
ทั้งสี่ตอบแบบไม่ยี่หระ “ถึงแม้พี่ชายน้อยมู่จะก้าวเข้ามาอยู่จุดเดียวกัน แต่เจ้ายังขาดประสบการณ์ ดังนั้นยากที่จะโน้มน้าวใจมวลชนได้”
แม้ว่าพวกเขาจะแสดงการคัดค้าน แต่ก็ไม่ต้องการที่จะสร้างความขุ่นเคืองให้กับจอมยุทธ์อัจฉริยะที่อายุน้อยแบบนี้ ในอนาคตมู่เฉินไปไกลกว่าพวกเขาแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความสุภาพอยู่บ้างเมื่อพูดกับเขา
มู่เฉินยิ้ม “สุดท้ายคุณสมบัติที่พูดถึง… ก็คือใครกำปั้นใหญ่กว่าสินะ”
คำพูดของมู่เฉินตรงไปตรงมามาก ทั้งห้าคนยิ้มแต่ไม่ได้ลบล้างคำพูดของมู่เฉิน
มือของมู่เฉินลูบโต๊ะขณะยิ้ม ความคมชัดพล่านมารวมกันในนัยน์ตา เขาพูดช้าๆ “งั้นไม่รู้ว่ามีใครคิดจะมาทดสอบกำปั้นดูไหมว่าใครใหญ่กว่ากัน?”
เมื่อมู่เฉินพูด พายุใหญ่ก็โหมกระหน่ำในห้องโถง แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวเข้าครอบงำไปทั่ว มิติโดยรอบก็บิดเบี้ยวราวกับคลื่นน้ำ
ที่เบื้องหลังมู่เฉินท่าทางของจิ่วโยวและเหล่าจอมพลเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกอึดอัดจากแรงกดดันที่มาจากมู่เฉินจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
นี่ทำให้พวกเขาถอนหายใจ ความแตกต่างระหว่างระดับจื้อจุนขั้นเก้ากับระดับตี้จื้อจุนกว้างใหญ่จริงๆ
ประมุขทั้งห้าหดตาลง เสื้อผ้าเผยิบผยาบ แสงหลิงส่องประกายรอบตัวขณะที่ต้านทานแรงกดดันที่มาจากมู่เฉิน
“ฮ่าๆ พี่ชายน้อยมู่คมราวกับกระบี่จริงๆ”
หลิ่วเทียนเต้ายิ้ม จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อพลางพูดต่อว่า “งั้นข้าขอเป็นคนทดสอบเจ้าเอง”
เขารู้ว่ามู่เฉินเคี้ยวไม่ง่าย แต่เขาก็มั่นใจเพราะว่าอยู่ในระดับตี้จื้อจุนมานานหลายปี มู่เฉินยังสดใหม่เกินไป ดังนั้นเขาจึงมีความมั่นใจว่าสามารถปราบปรามอีกฝ่ายได้
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะขัดมู่เฉินมาก พวกเขาเพียงแค่ต้องการลบความเฉียบคมของมู่เฉินลงบ้าง สอนให้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเผชิญหน้ากับพวกเขาทั้งห้าตามลำพัง
“ไม่รู้ว่าเจ้าจะพิสูจน์ให้เห็นยังไง? ต่อให้ต้องการประลองซึ่งหน้า ข้าก็ยินดีนะ” หลิ่วเทียนเต้ากล่าวเสียงกร้าวราวกับว่าต้องการต่อสู้กับมู่เฉิน หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เขาจะสามารถระงับความคมของมู่เฉินได้ ในเวลาเดียวกันตำแหน่งของเขาในพันธมิตรก็จะเพิ่มขึ้น
เมื่อเห็นหลิ่วเทียนเต้าแข็งขันขนาดนี้ มู่เฉินก็พลิกนิ้วนุ่มนวลพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน “แม้ว่าการประลองจะปฏิบัติได้จริง แต่ก็ไม่เป็นที่น่าเพียงพอ”
ทั้งคู่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ดังนั้นพวกเขาจะต้องเดิมพันด้วยความเป็นตายหากต้องการจะรู้ผลแพ้ชนะ นั่นเป็นภาพที่มู่เฉินไม่ต้องการเห็น เพราะถ้าเขาได้เป็นประมุขขึ้นมา ก็ไม่ต้องการสูญเสียกำลังพลไป
คนอย่างหลิ่วเทียนเต้าไม่ใช่หัวผักกาดที่พบได้ทุกที่
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน หลิ่วเทียนเต้าก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่มั่นใจที่จะต่อสู้ “ข้าว่าตามเจ้า ไม่ว่าเจ้าต้องการต่อสู้ด้วยวิธีใดก็ตาม”
มู่เฉินยิ้มบางก่อนจะยื่นมือออกมาแสงหลิงรวมตัวกันอยู่ภายใน “ในเมื่อผู้อาวุโสหลิ่วมีความมั่นใจมาก งั้นข้าจะสร้างค่ายกล ตราบเท่าที่ท่านสามารถทนอยู่ได้ถึงสองชั่วโมง ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้และจะยอมรับท่านในฐานะหัวหน้า”
โห่
เสียงปั่นป่วนดังขึ้นในโถง ทุกคนมองมู่เฉินด้วยความไม่อยากจะเชื่อ พวกเขารู้ว่ามู่เฉินเชี่ยวชาญด้านค่ายกล แต่เขามีความสามารถในการสร้างค่ายกลระดับจงซือหรือ?
นอกจากนี้ต่อให้เป็นค่ายกลระดับจงซือก็ได้แต่ขังหลิ่วเทียนเต้าไว้เท่านั้น เรื่องที่ทนอยู่สองชั่วโมงช่างน่าตลกเหลือเกิน
นั่นเป็นเพราะหากมู่เฉินต้องการเอาชนะหลิ่วเทียนเต้า เขาก็ต้องสร้างค่ายกลระดับจงซือขั้นกลางที่สร้างปัญหาให้กับจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนขั้นปลายได้!
มู่เฉินโอหังเกินไปหน่อยรึเปล่า?
“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
หลิ่วเทียนเต้าหัวเราะร่วน ไม่คิดว่ามู่เฉินจะโอหังเพียงนี้ ทว่าเขาก็ยินดีกับคำพูดของมู่เฉิน นั่นเป็นเพราะถ้ามู่เฉินแพ้ก็จะเสียโอกาสที่จะขึ้นไปสู่จุดสูงสุด
ความตั้งใจที่มั่นถัวหลัวต้องการส่งเขาเป็นประมุขก็จะจบสิ้น ในทางตรงกันข้ามเขาอาจสามารถใช้สิ่งนี้ในการกลายเป็นผู้นำคนใหม่ เพราะดูท่ามั่นถัวหลัวไม่ได้สนใจตำแหน่งเท่าไร
“ในเมื่อพี่ชายน้อยมู่มั่นใจซะขนาดนี้ งั้นให้ข้าลิ้มรสหน่อยว่าค่ายกลของเจ้ามีความสามารถมากแค่ไหน!” หลิ่วเทียนเต้ายิ้มเยาะขณะที่ไพล่มือไว้ด้านหลัง
มู่เฉินยิ้มบาง ไม่ได้พูดอีก เขาสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นสัญลักษณ์หลิงยิ่งก็พวยพุ่งออกไปเป็นผนึกสาย
ผนึกเหล่านั้นรวมเข้ากับอากาศ มิติผันผวน เส้นหลิงจำนวนมากเชื่อมโยงกันเป็นค่ายกลที่ลึกซึ้ง
ในชั่วไม่กี่สิบลมหายใจค่ายกลก็ถูกสร้างขึ้น รวบรวมคลื่นหลิงในบริเวณนี้เอาไว้ทั้งหมด
โฮก!
เสียงคำรามของมังกรดังออกมาจากค่ายกลคลุมเครือพร้อมกับแรงกดดันแปลกประหลาด
เมื่อมองเข้าไปที่ค่ายกลขนาดมหึมาบนท้องฟ้า จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งห้าก็หดตาลง ขณะที่เกิดความชื่นชมในหัวใจ ค่ายกลนี้อยู่ในระดับจงซือแท้จริงแล้ว
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมู่เฉินถึงมั่นใจมาก ที่แท้มีพลังเช่นนี้ ช่างผิดคาดจริงๆ
โฮก!
คลื่นหลิงทรงพลังม้วนตัวอยู่ในผนึกเส้นสายค่ายกลยิ่งใหญ่ก่อเป็นมังกรสามตัว ซึ่งปล่อยแรงกดดันมหาศาล
ด้วยพลังในปัจจุบันของเขา ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารทรงพลังยิ่งกว่าในอดีตหลายเท่า
“ค่ายกลนี้ ใช้ได้เลยทีเดียว”
หลิ่วเทียนเต้ามองค่ายกลด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปเผชิญหน้ากับมู่เฉิน “แต่ถ้านี่คือทั้งหมดที่เจ้ามี ข้าสามารถทำลายได้ทุกเมื่อ”
เขาบอกได้ว่าค่ายกลนี้ค่อนข้างลึกซึ้ง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะคุกคาม
“นอกจากนี้นี่ยังเป็นค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ที่มีช่องโหว่มากมาย หากเจ้าคิดว่าสามารถใช้ค่ายกลไม่สมบูรณ์ในการเอาชนะข้าได้ เจ้าก็ไร้เดียงสาเกินไป” หลิ่วเทียนเต้าเหน็บมู่เฉินอย่างไม่สนใจ
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม สายตาของหลิ่วเทียนเต้าเฉียบคมจริง เขาสามารถบอกได้ว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารนี้ยังไม่สมบูรณ์
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้”
มู่เฉินยิ้มวาดตราประทับด้วยมือเดียว
“งั้นก็ขอให้ผู้อาวุโสหลิ่วลิ้นรสฉบับเต็มของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารหน่อยละกัน”
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1201 ใครคือประมุข?
โถงใหญ่ตกอยู่ในความเงียบงัน
ใบหน้าประมุขทั้งห้าฉายอาการตื่นตะลึง สิ่งนี้เกินความคาดหมายของพวกเขา เนื่องจากไม่มีใครคาดว่ามู่เฉินจะเป็นผู้นำคนใหม่
พวกเขาไม่คัดค้านถ้ามั่นถัวหลัวเป็นผู้นำ เนื่องจากมั่นใจในพลังของนาง
แต่มู่เฉินมีคุณสมบัติอะไร?
แม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่พวกเขาทั้งห้าก็ยังรู้สึกเหนือกว่านิดๆ เนื่องจากการความอาวุโสกว่า
สองเดือนก่อนพวกเขามองข้ามมู่เฉินเนื่องจากไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
แม้ว่าพวกเขาจะระงับความคิดนี้เมื่อมู่เฉินบรรลุขุมพลังใหม่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะละเลยในทันที ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นว่ามั่นถัวหลัวต้องการให้มู่เฉินยืนอยู่เหนือพวกเขา ใบหน้าของแต่ละคนก็ดูน่าเกลียดลงหลายส่วน
พวกเขาคงถูกล้อเลียนแน่หากเรื่องนี้กระจายออกไป คนอื่นๆ จะล้อเลียนพวกเขาในฐานะผู้อาวุโสที่กลายเป็นผู้ใต้บัญชาของเด็กวัยกระเตาะ
นี่น่าอายเกินไปแล้ว
ดังนั้นเมื่อสิ้นเสียงมั่นถัวหลัวโถงก็ตกอยู่ในความเงียบ บรรยากาศเริ่มอึดอัด ไม่มีใครกล้าที่จะลบล้างคำพูดของมั่นถัวหลัว แต่เลือกที่จะใช้วิธีนี้ในการคัดค้าน
มู่เฉินก็อึดอัดเช่นกัน เพราะสิ่งนี้ก็ทำให้เขาคาดไม่ถึงเพราะทุกคนรวมถึงเขาด้วยต่างรู้สึกว่ามั่นถัวหลัวเป็นผู้เดียวที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำ
ดังนั้นมู่เฉินได้แต่มองมั่นถัวหลัวอย่างช่วยไม่ได้ หวังว่านางจะเปลี่ยนใจ
ทว่ามั่นถัวหลัวไม่ได้ตอบสนองต่อเขา นางห่อเสียงไว้คลื่นหลิงส่งมายังมู่เฉิน
“เจ้าต้องรับไว้”
คิ้วของมู่เฉินกระตุกก่อนที่จะตอบไปในลักษณะเดียวกัน “ทำไม?”
สายตามั่นถัวหลัวเป็นประกายวาบ “เจ้าคิดจะไปที่ตระกูลลั่วเสินด้วยตัวคนเดียวเหรอ?”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่ามั่นถัวหลัวจะรู้เกี่ยวกับความตั้งใจของเขาที่จะมุ่งหน้าไปยังตระกูลลั่วเสิน นอกจากนี้ดูท่านางอาจรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลั่วหลีเช่นกัน
มู่เฉินเหลือบมองจิ่วโยว อีกฝ่ายก็พยักหน้ายอมรับฝืดเฝื่อนว่าเป็นคนที่เปิดเผยให้มั่วถัวหลัวรู้
เมื่อทราบถึงสาเหตุเขาก็ยิ้มอย่างขมขื่น แต่ในใจก็ซาบซึ้ง ที่แท้มั่นถัวหลัวทำสิ่งนี้เพื่อเขา
“ข้าได้รับข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนซีเทียน รวมถึงสถานการณ์ของคนรักเจ้าในตระกูลลั่วเสิน ข้าจะเล่ารายละเอียดให้ฟังภายหลัง แต่ข้าบอกได้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเปลี่ยนสถานการณ์ด้วยพลังของตัวเองที่มีเพียงอย่างเดียว แม้ว่าเจ้าจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนแล้วก็ตาม”
“คนรักของเจ้ากำลังเผชิญกับชะตากรรมที่เจ้าไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง”
หัวใจของมู่เฉินบีบรัด ประกายบาดลึกกะพริบในดวงตาเขาด้วยความปวดร้าว แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีข้อมูลมากนักเกี่ยวกับสถานการณ์ในดินแดนซีเทียน แต่เขาก็เดาได้ว่าตระกูลลั่วเสินจะต้องรับแรงกดดันมหาศาล
นั่นเป็นอะไรที่แม้แต่บุรุษก็ยังต้องเหนื่อยล้า ไม่ต้องพูดถึงลั่วหลีที่เป็นสตรีเลย!
แม้หลายปีที่ผ่านมาตัวเขาจะเผชิญหน้ากับความเป็นตายหลายครั้ง แต่ลั่วหลีก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ดีในตระกูลลั่วเสิน ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินคำพูดของมั่นถัวหลัว เขาก็อยากจะบินไปหาลั่วหลีทันที สังหารทุกคนที่กล้ารังแกนาง!
ไอสังหารผุดขึ้นในดวงตาของมู่เฉินขณะที่กำหมัดลั่นเปรียะ
มั่นถัวหลัวมองไปที่เขาพูดว่า “ดังนั้นหากเจ้าต้องการที่จะช่วยเหลือคนรัก เจ้าไม่สามารถไปตามลำพังได้ เจ้าต้องการพลังภายใต้คำสั่ง”
มู่เฉินตกอยู่ในความเงียบ ไม่ได้คัดค้านอีก แม้เขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแต่ก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นถือได้ว่าเป็นยอดยุทธ์ แต่ที่ดินแดนซีเทียนมีตระกูลเทพสี่ตระกูลที่มีรากฐานทรงพลัง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะช่วยลั่วหลีกับประชากรของนางด้วยตัวคนเดียว
แต่ถ้าเขาทำตามที่มั่นถัวหลัวพูด เขาก็จะมีพลังที่สามารถสั่งการได้ พลังที่เกินกว่าตัวเขาเอง ถ้าใครต้องการเข้าใกล้ลั่วหลี พวกเขาก็ต้องชั่งน้ำหนักตัวเลือกให้ดีก่อน
“ตอนนี้เจ้ายังคิดจะปฏิเสธอยู่ไหม?” มั่นถัวหลัวถาม
มู่เฉินเม้มปากเป็นเวลานานก่อนที่จะพูดว่า “แต่… แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นสิ่งที่เจ้าก่อตั้งขึ้น พันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็เช่นกัน…”
การจัดตั้งขุมกำลังใหม่จะต้องมีการรวมกลุ่มพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือ นอกจากนี้มั่นถัวหลัวก็อยู่ในนี้เช่นกัน ซึ่งตอนแรกทั้งหมดควรเป็นของนาง
แต่นางกลับจะมอบทุกอย่างให้กับมู่เฉิน เขาจะรู้สึกสบายใจที่ได้รับเหรอ?
“เจ้าเป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิฟ้า ถือซะว่าข้าทำสิ่งนี้เพื่อไม่ต้องการให้วังสวรรค์บรรพกาลจบสิ้นลง” มั่นถัวหลัวไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เลย นางไม่ได้สนใจเป็นผู้นำตั้งแต่ต้น เหตุผลที่นางก่อตั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เพื่อที่จะมีสถานที่ที่ปลอดภัยในการรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองและล้างแค้นลู่หยวนเท่านั้น
ตอนนี้ทั้งลู่หยวนและจักรพรรดิฟ้าจากไปหมดแล้ว นางยิ่งไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป ถ้าไม่ได้เป็นเพราะจักรพรรดิฟ้าฝากฝังให้นางดูแลมู่เฉิน นางก็คงละทิ้งทุกอย่างไปแล้ว
ดังนั้นขุมกำลังไม่ได้สำคัญสำหรับนางเลย ทั้งหมดอาจมีความสำคัญต่อนางน้อยกว่าการมีอยู่ของมู่เฉินด้วยซ้ำ เพราะเขาเป็นสหายเพียงคนเดียวที่นางไว้ใจในตลอดหลายปีที่ผ่านมา
มู่เฉินรับรู้ถึงอารมณ์ของมั่นถัวหลัว สีหน้าของเขาก็ซับซ้อนขึ้น หากไม่ใช่ลั่วหลี เขาคงค้านหัวชนฝาเช่นกัน แต่คำพูดของมั่นถัวหลัวตรงประเด็นในใจเขาพอดี ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธสิ่งนี้ได้
“ขอบคุณมาก!”
มู่เฉินหลับตาลงอย่างช้าๆ เอ่ยกับมั่นถัวหลัว เขารู้ว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณมั่นถัวหลัวมากมายจนยากจะตอบแทน แต่เขาก็อยากจะแสดงความขอบคุณนาง
เมื่อนางเห็นว่ามู่เฉินยอมรับในที่สุด รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของมั่นถัวหลัว จากนั้นก็พูดกับเขาด้วยเสียงติดเหน็บแนม “ในเมื่อเจ้าเห็นด้วยแล้ว เจ้าก็ต้องรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาที่เหลือเอง”
มู่เฉินอึ้งไป “ปัญหาอะไร?”
มั่นถัวหลัวเท้าคางขณะที่ยิ้มตาหยี “เจ้าคิดว่าคนเหล่านั้นจะยอมรับรึ? หากเจ้าไม่ต้องการให้ขุมกำลังแตกสลายก็จงทำให้พวกเขายอมสวามิภักดิ์ นี่คือสิ่งที่ข้าไม่สามารถช่วยได้และคงสร้างรอยขุ่นเคืองใจถ้าข้าบังคับพวกเขา”
“ดังนั้นเจ้าต้องปราบพวกเขาด้วยตัวเอง”
มู่เฉินลืมตาขึ้นพลางยิ้มแล้วพยักหน้า เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวช่วยเขาโดยการดันออกไปสุดพลัง ดังนั้นเขาจะต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อข่มขวัญคนเหล่านั้น
ถ้าเป็นสองเดือนก่อนมู่เฉินอาจจะต้องถอย เพราะไม่ว่าเขาจะมีแข็งแกร่งแค่ไหนการเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแท้จริงไม่ใช่สิ่งที่เขาทำได้
แต่ตอนนี้สถานการณ์แตกต่างไปแล้ว เขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแท้จริง บางทีเขาอาจเป็นน้องใหม่ในขุมพลังนี้ ทว่าถ้าคนพวกนี้คิดว่าพวกเขาปราบปรามเขาได้ก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
ก่อนที่เขาจะบรรลุระดับตี้จื้อจุน เขาก็จัดการผู้อาวุโสจั่วจนหมอบราบคาบแก้วไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลย!
คิดถึงจุดนี้ มู่เฉินก็ยืดร่างความลังเลจางหายทั้งหมด ความคมชัดกระจายออกจากหว่างคิ้ว รัศมีที่มองไม่เห็นเริ่มห่อหุ้มโถงทั้งหมดไว้
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นห้าคนแล้วไง? ทุกคนอาวุโสกว่าแล้วไง? เขาเองไม่เหมือนกับในอดีตอีกต่อไป ถ้าแพะแก่เหล่านี้คิดว่าพวกเขาสามารถดูถูกเขาได้ พวกเขาก็ตาบอดแล้ว!
ประมุขทั้งห้าตรวจพบการเปลี่ยนแปลงฉับพลันของมู่เฉิน ทันใดนั้นคิ้วของพวกเขาก็ยกขึ้น แต่ละคนแลกเปลี่ยนสายตากัน ดูจากลักษณะแล้วมู่เฉินมีความทะเยอทะยานที่จะเหยียบหัวพวกเขาเรอะ?
“ชักจะไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำซะแล้ว!”
ทั้งห้าคนเค้นเสียงเย็นเยือกในหัวใจ พวกเขายอมจำนนเมื่อเผชิญหน้ากับมั่นถัวหลัว แต่ไม่ใช่กับมู่เฉิน
กึก!
เสียงถ้วยชากระแทกบนโต๊ะดังลั่น เหล่าจอมพลอาณาเขตกงเวทสวรรค์หันมองไปในทิศทางของต้นเสียงก็เห็นหลิ่วเทียนเต้าวางถ้วยชาลงขณะเผยสีหน้าไม่แยแส
ในบรรดาประมุขทั้งห้า หลิ่วเทียนเต้าประมุขตำหนักสุดนภาเคยมีปมบาดหมางกับมู่เฉินมาก่อน แม้ว่าจะจางลงไปบ้าง แต่เขาก็ไม่สามารถยอมรับให้มู่เฉินยืนค้ำคอเขาได้
ดังนั้นหลิ่วเทียนเต้าจึงมองไปที่มั่นถัวหลัวพูดว่า “ข้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้นำพันธมิตร ถ้าเจ้าเป็นผู้นำขุมกำลังใหม่ที่จัดตั้งขึ้นข้าก็จะไม่คัดค้านอะไรเลย แต่ถ้าเจ้าต้องการให้เรายอมรับมู่เฉินเป็นประมุข…”
หลิ่วเทียนเต้าเหลือบตาขึ้นมองมู่เฉิน น้ำเสียงเย็นชาลงหลายส่วน
“พูดแบบไม่เกรงใจ เขายังไม่มีคุณสมบัติ!”
