ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ
ในปีที่ผ่านมา ตำหนักมู่เข้ามายืนหนึ่งแทนที่สามขั้วอำนาจใหญ่ของจักรวรรดิเหนือ หลังจากที่มู่เฉินแสดงฝีมืออย่างเหนือชั้น
ด้วยเหตุนี้ตำหนักมู่จึงเฟื่องฟูมากในช่วงปีที่ผ่านมา ครอบครองทรัพยากรครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิเหนือเลยทีเดียว รวมทั้งพลังก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้นชื่อเสียงของพวกเขายังเลื่องลือไปทั่วทวีปอีกด้วย ซึ่งตรงกันข้ามประมุขสามขั้วอำนาจใหญ่ที่เก็บเนื้อเก็บตัว ทำให้มีเหล่าจอมยุทธ์น้อยใหญ่หันมาเข้าร่วมกับตำหนักมู่มากขึ้น
ทว่าประมุขทั้งสามก็ยังคงเงียบกริบเมื่อเผชิญกับตำหนักมู่ แต่ทุกคนรู้ดีว่าความเงียบคงอยู่อีกไม่นาน เนื่องจากประมุขทั้งสามมีขั้วอำนาจสูงสุดคอยหนุนหลัง คนเหล่านั้นไม่มีทางเฝ้าดูผู้ใต้บังคับบัญชาที่พวกเขาสนับสนุนมานานหลายปีถูกเตะโด่งออกมาจากจักรวรรดิเหนือแน่
ดังนั้นนี่จึงเป็นความเงียบก่อนพายุจะมาเท่านั้น
มั่นถัวหลัวในฐานะผู้ดูแลสูงสุดของตำหนักมู่ก็รู้เรื่องนี้โดยธรรมชาติ ดังนั้นนางจึงไม่ผ่อนคลายและให้ความสนใจกับประมุขทั้งสามตลอดเวลา
นางรู้ว่าประมุขทั้งสามจะมีการตอบโต้แน่นอน
และก็ไม่ผิดจากความคิดของนาง ครึ่งปีหลังจากที่มู่เฉินไปก็มีตำหนักแห่งหนึ่งลอยลงมาจากท้องฟ้า บินคว้างอยู่เหนือตำหนักมู่
เมื่อตำหนักนั่นลงมาก็สร้างความตื่นตระหนกให้ผู้คนในตำหนักมู่ เนื่องจากแรงกดดันมหาศาลแผ่ออกมาจากมัน ครอบคลุมรัศมีหลายล้านลี้เลยทีเดียว ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายใต้แรงกดดันสั่นสะท้านด้วยความกลัว
แรงกดดันนี้เป็นสิ่งที่มาจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนตัวจริง!
ทว่าตำหนักนั้นก็เพียงลอยอยู่เหนือตำหนักมู่ แต่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอื่น เพียงแค่มีจดหมายหยกส่งลงมา
จดหมายหยกพุ่งลงมาตามด้วยเสียงหนักแน่นดังก้องไปทั่วภูมิภาคทางเหนือ
“ข้าชื่อผู้เฒ่าเฉวียนเทียน มาเพราะการขอร้องจากผู้อื่น ประมุขตำหนักมู่ ยังไม่ออกมาพบอีกเรอะ?!”
เสียงดังก้องด้วยความไม่แยแส ชัดว่าไม่ได้เห็นมู่เฉินอยู่ในสายตา ฟังดูเข้มงวดราวกับผู้ใหญ่กำลังสั่งสอนผู้น้อย
น้ำเสียงนั้นทำให้เกิดความโกรธเกรี้ยวกับจอมยุทธ์ชั้นสูงของตำหนักมู่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ แม้ว่าตำหนักมู่จะแข็งแกร่งขึ้น ทว่าก็ยังอ่อนแอเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ถ้าชายคนนั้นเคลื่อนไหวคงไม่มีใครในตำหนักมู่รับมือได้
เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ปลดปล่อยความกดดันเบื้องบน มั่นถัวหลัวก็โกรธเคือง ในตอนแรกนางรับจดหมายไว้ คิดจะเจรจากับเจ้าตำหนักคนนั้น แต่นางถูกกันออกไปหลังจากมาถึงด้านหน้าตำหนัก
“ให้ประมุขเจ้ามาเอง ตัวเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติที่จะพบกับตาเฒ่าคนนี้” เมื่อมั่นถัวหลัวถูกปฏิเสธ เสียงเรียบนิ่งก็ดังขึ้นจากขอบฟ้า
ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเขียวคล้ำจากการถูกลดเกียรติ จากนั้นนางก็สูดหายใจระงับความโกรธในใจ ดึงป้ายราชันสังหารปีศาจที่มู่เฉินให้ไว้ เขวี้ยงเข้าไปในตำหนักนั่น
ป้ายราชันสังหารปีศาจเป็นวัตถุของวังมหาพันภพและเป็นตัวแทนสถานะอีกด้วย ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาจะกล้าท้าทาย
แต่คราวนี้เสียงหัวเราะดังขึ้น ป้ายราชันสังหารปีศาจถูกโยนกลับออกไป
“ราชันสังหารปีศาจที่ไร้อำนาจต้องการจะลองดีกับข้าเหรอ?”
“กลับไปซะ ให้ประมุขของเจ้ามาพบกับข้า ไม่งั้นข้าก็จะอยู่ที่นี่สักหลายปี มาดูว่าตำหนักมู่ของเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
เมื่อมั่นถัวหลัวรับป้ายกลับมา ใบหน้าของนางมืดครึ้ม แต่หัวใจดิ่งลง จากคำพูดดังกล่าว ชัดว่าคนผู้นี้จะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับมู่เฉินและเตรียมตัวมาอย่างดี ดังนั้นคนผู้นี้จึงไม่มีความเกรงกลัวต่อวังมหาพันภพ
เผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ มั่วถัวหลัวก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นางทำได้เพียงมองไปอย่างเย็นชาก่อนที่จะสะบัดหน้าจากมา
ในครึ่งปีต่อมาตำหนักนั่นก็ยังลอยอยู่เหนือตำหนักมู่ตามที่ประกาศไว้ จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนก็ปลดปล่อยแรงกดดันออกมาตลอดเวลา ทำให้จอมยุทธ์ตำหนักมู่รู้สึกขมขื่นนัก
นี่เหมือนกับการสร้างความอัปยศอดสูให้ตำหนักมู่ จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนคนนั้นจงใจจะอยู่นอกประตูบ้านพวกเขา ซึ่งเป็นการทำลายชื่อเสียงกันทางอ้อม
เมื่อตำหนักมู่ประสบปัญหานี้ สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองก็มา ทั้งหมดสามารถเข้าสู่ตำหนนักแห่งนั้นได้ พวกเขาเข้าคารวะผู้เฒ่าเฉวียนเทียน
สมาชิกตำหนักมู่เฝ้ามองฉากนี้อย่างชัดเจน พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ
ตอนนั้นเองที่สามขั้วอำนาจก็เริ่มผนึกกำลัง ค่อยๆ กลืนกินดินแดนของตำหนักมู่…
สิ่งนี้ทำให้ตำหนักมู่ถูกโยนเข้าสู่วิกฤตที่ไม่เคยมีมาก่อนและใกล้จะล่มสลาย
เมื่อเวลาผ่านไป
ข่าวคราวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ข่มเหนือตำหนักมู่ไม่เพียงแต่กระจายไปทั่วภูมิภาคทางเหนือเท่านั้น แต่ยังลามไปทั่วทั้งทวีปเทียนหลัวเลยทีเดียว ดังนั้นหูตาทั้งหมดจึงมุ่งตรงมาที่ภูมิภาคทางเหนือทันที
การปรากฏตัวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนดึงดูดความสนใจโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
แม้จะมีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรกล่าวว่าไม่อนุญาตให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้ามายุ่งในการต่อสู้ แต่ผู้เฒ่าเฉวียนเทียนก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อต่อสู้ชิงอำนาจกับตำหนักมู่ มันเป็นเพียงความบาดหมางส่วนตัวกับมู่เฉิน ดังนั้นจึงไม่ผิดกฎใดๆ
เพราะถึงยังไงก็ไม่มีใครกล้าท้าทายจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพื่อตำหนักมู่ที่ไม่มีแม้แต่จอมยุทธ์ในระดับนี้
ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตำหนักมู่ ทุกคนก็เฝ้าสังเกตการณ์จากข้างสนาม มิหนำซ้ำยังหวังว่าตำหนักมู่จะแตกฉานซ่านเซ็น เพราะถึงยังไงพลังต่อสู้ที่มู่เฉินแสดงออกมาก็ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว
โชคดีที่ตำหนักมู่ยังไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ถ้าพวกเขาสามารถหาขั้วอำนาจสนับสนุนได้ในอนาคต ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดการพุ่งทะยานของตำหนักมู่
ดังนั้นตำหนักมู่จึงกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนโดยไม่รู้ตัว…
ครึ่งปีผ่านไปในพริบตา
สำหรับตำหนักมู่ครึ่งปีนั้นเป็นความทรมานอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนแรกพวกเขาเฟื่องฟู แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรเพราะตาเฒ่าเฉวียนเทียน
ทว่าผู้เฒ่าเฉวียนเทียนก็ไม่ได้ทำการโจมตีใดๆ แม้ว่าเขาจะสามารถพลิกคว่ำพลิกหงายตำหนักมู่ได้อย่างง่ายดาย ในทางกลับกันเขาเลือกวิธีที่เลวร้ายนี้เพื่อขยี้ขวัญกำลังใจของจอมยุทธ์ตำหนักมู่
เขาจะส่งจดหมายหยกลงมาทุกวันเพื่อบังคับให้มู่เฉินปรากฏตัว แต่ในตอนนี้ชายหนุ่มไม่ได้อยู่ในภูมิภาคทางเหนือ ดังนั้นเป็นธรรมดาที่มู่เฉินจะไม่มาปรากฏตัว เมื่อเวลาผ่านไปก็มีข่าวลือหนาหูว่าประมุขตำหนักมู่กลัวจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจนหนีหางจุกตูดไปแล้ว…
ซึ่งเป็นประมุขทั้งสามที่ปล่อยข่าวลือนี้ และก็สร้างผลกระทบยอดเยี่ยม ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่เข้าสวามิภักดิ์ตำหนักมู่ในตอนแรกก็กำลังสั่นคลอนและแสดงสัญญาณตีจาก
เพราะมองจากภาพที่ปรากฏในปัจจุบัน ตำหนักมู่แสดงสัญญาณการล่มสลาย ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร มนุษย์ก็ยังมองเพียงแต่ตัวเอง พวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะอยู่ร่วมเป็นร่วมตายกับตำหนักมู่
ดังนั้นตำหนักมู่จึงล้มลุกคลุกคลานและในเวลาเพียงครึ่งปี ความเจริญรุ่งเรืองไม่เหลืออยู่อีกต่อไป ดูเหมือนล่มสลายลงทุกเมื่อ…
อีกวันผ่านไป
จอมยุทธ์ชั้นสูงของตำหนักมู่ก็มารวมตัวกันพร้อมกับบรรยากาศหดหู่ พวกเขามองขึ้นไปที่ตำหนักบนท้องฟ้าซึ่งมีความกดดันเล็ดลอดออกมา บีบทุกคนเอาไว้
“ท่านมั่นถัวหลัว สำนักภูเขาเหล็กและสำนักเสียงสวรรค์ประกาศแยกตัวจากตำหนักมู่ในวันนี้แล้ว” หลิ่วเทียนเต้าถอนหายใจและกล่าวอย่างเคร่งขรึม
มั่นถัวหลัวและหลิงซีแลกเปลี่ยนสายตากันต่อหน้าทุกคน ใบหน้าของพวกนางไม่น่าดูเลยทีเดียว แม้ว่าจะพยายามอดทนมาตลอดครึ่งปี แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหนื่อยล้า
ผู้เฒ่าเฉวียนเทียนคล้ายกับภูเขาที่ทำให้ทุกคนในตำหนักมู่รู้สึกหายใจไม่ออก ทุกคนตื่นตระหนกนัก หากไม่ใช่เพราะความสำเร็จที่รุ่งโรจน์ของมู่เฉินในอดีต ตำหนักมู่คงพังทลายไปนานแล้ว
ขณะนี้พวกเขาเข้าใจถึงความสำคัญของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนต่อขั้วอำนาจ
มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นมองไปที่ตำหนักสูงตระหง่านพร้อมกับกำหมัดขึ้นก่อนที่จะพูดอย่างเย็นชา “ไอ้เฒ่าเฉวียนเทียนชั่วร้ายจริงๆ เขาต้องการใช้วิธีนี้เพื่อทำให้ตำหนักมู่ล่มสลาย”
หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ เงียบลงก่อนที่จะถามพูดว่า “มีข่าวท่านประมุขหรือยัง?”
มั่นถัวหลัวส่ายหัว “เขากำลังมองหาวิถีเทียนจื้อจุน แม้แต่พวกข้าก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้”
หลิ่วเทียนเต้ายิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้ากลัวว่าเราคงจะต้านไว้ได้อีกไม่นาน”
มั่นถัวหลัวกัดฟันตอบ “ตราบใดที่มู่เฉินยังอยู่ตำหนักมู่ก็จะคงอยู่ เมื่อเขาก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุน ตำหนักมู่ก็จะฟื้นขึ้นได้ แม้ว่าจะพ่ายแพ้ครั้งนี้ก็ตาม!”
พวกหลิ่วเทียนเต้าถอนหายใจเฮือกในใจ ระดับเทียนจื้อจุนบรรลุง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? แม้ว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จมากมายและเต็มไปด้วยพรสวรรค์ แต่ถ้าไม่มีโอกาส จะง่ายสำหรับเขาที่จะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่ามู่เฉินจะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน แต่สถานการณ์นี้ก็ยังยากที่จะแก้ไข เพราะแม้ว่าในตำหนักนั้นจะมีผู้เฒ่าเฉวียนเทียนคนเดียว แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าขั้วอำนาจสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังสามประมุขเคลื่อนไหวแล้ว ซึ่งต่างมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอยู่อีกด้วย…
สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาอันตรายมาก!
ฮึ่ม
ขณะที่พวกเขาถอนหายใจ ริ้วแสงก็ร่อนลงมาอีกครั้ง
ริ้วแสงกลายเป็นจดหมายหยกพร้อมกับเสียงหนักแน่นดังก้องภูมิภาคทางเหนือ
“ไอ้หนูมู่เฉิน ถ้าแกยังไม่แสดงตัว กลัวว่าจะไม่มีใครเหลืออยู่ในตำหนักมู่ของแกแล้ว…”
เมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำเยาะเย้ยนั่น เสียงแตกลั่นก็ดังขึ้นในมือของนาง ขณะที่หลิงซีและหลงเซี่ยงก็โกรธเกรี้ยวตามกัน หากไม่ใช่เพราะช่องว่างพลังขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขาละก็ ตอนนี้พวกเขาคงทะยานออกไปแล้ว
ใบหน้าของทุกคนในตำหนักมู่ก็มืดมนลงเช่นกัน
“หืม?”
แต่ขณะที่ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ท่าทางของพวกเขาก็เปลี่ยนไปกะทันหัน พวกเขารีบเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวในระยะไกล แสงหลิงระเบิดออกก่อนที่ร่างเงาสูงโปร่งจะย่างกรายออกมา อึดใจเดียวเขาก็มาปรากฏตัวขึ้นเหนือตำหนักมู่แล้ว
มั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ อึ้งไปเมื่อมองไปที่ร่างเงานั้น อึดใจดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้าง
“นั่นคือ?”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นท่านประมุข?” หลิ่วเทียนเต้าขยี้ตา จากนั้นก็อุทานออกมาด้วยความไม่เชื่อ
ร่างอ่อนเยาว์พุ่งเข้ามาพลางโบกมือ จดหมายหยกก็บินเข้าไปในมือ เขาไม่แม้แต่จะมองก่อนที่จะบดขยี้ให้เป็นผุยผง
สายตาของเขาเย็นชาเมื่อมองไปที่ตำหนักเบื้องบนแล้วชี้นิ้ว
ตู้ม!
มิติรอบตำหนักนั่นพังทลายลงจากปลายนิ้วเขา สะเก็ดมิติกลายเป็นมือขนาดใหญ่คว้าไปที่ตำหนักแล้วบดขยี้
เมื่อตำหนักถูกทำลาย เสียงของเขาก็ดังก้องไปทั่วภูมิภาคทางเหนือพร้อมกับจิตสังหารเฉียบคม
“ในเมื่อแกชอบที่จะอยู่ในตำหนักมู่ของข้ามาก งั้นก็อยู่ต่อไม่ต้องไปไหนแล้ว…”
รัศมีศพลอยอ้อยอิ่งในโลกมืดมิด
ทันใดนั้นร่างเงาปีศาจบนบัลลังก์ก็สั่นสะท้าน ดวงตาเบิกโพลงด้วยความโกรธ
“ไอ้เทพจักรพรรดิสงคราม!”
เขาร้องโหยหวนก่อนที่รัศมีศพไม่มีที่สิ้นสุดจะแผ่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ทำให้สิ่งมีชีวิตสั่นสะท้านภายใต้ความกลัว
ความโกรธเกิดขึ้นยาวนาน ก่อนที่จอมปีศาจเทียนเฮยซือจะค่อยๆ สงบลง เขามองไปที่มือซ้ายซึ่งตอนนี้ไม่เหลือแม้แต่ตอ
รัศมีศพพรั่งพรูออกมา กลายเป็นมือใหม่สีดำ แต่ใบหน้าของจอมปีศาจเทียนเฮยซือกลับไม่น่าดู เขาปรับแต่งร่างกายมาทุกตารางนิ้วผ่านช่วงเวลานับไม่ถ้วน ดังนั้นแม้ว่าเขาจะสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ แต่พลังก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเดิม
สิ่งนี้จะสร้างข้อบกพร่องให้กับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ในอนาคตเมื่อเขาต่อสู้มือซ้ายก็จะเป็นจุดอ่อน…
จอมปีศาจเทียนเฮยซือกำมือด้วยสีหน้าเย็นเยือก จากนั้นก็มองไปในมิติห่างไกล ราวกับว่าเห็นผ่านมิติ สายตาจับจ้องไปที่ทิศทางของเทพจักรพรรดิสงครามเป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะละสายตาออกมา
“เทพจักรพรรดิสงคราม…น่าเกรงขามแท้จริง”
หลังจากหายหัวร้อนแล้ว ความกลัวหนาแน่นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาจอมปีศาจเทียนเฮยซือ แม้ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนกระบวนท่าสั้นๆ แต่เขาก็รู้สึกว่าถูกคุกคามโดยเทพจักรพรรดิสงคราม
“เทพจักรพรรดิสงครามประจำการที่ชายแดนระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจ จอมปีศาจระดับเทียนมากมายต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้เงื้อมมือของมัน ในอดีตข้ายังไม่ค่อยเชื่อ แต่ตอนนี้ข้ารู้ซึ้งแล้วว่ามันน่าเกรงขามขนาดไหน”
“เทพจักรพรรดิสงครามน่าจะเป็นชนชั้นนำของมหาพันภพ ซึ่งมีเพียงไม่กี่คน… แต่ตามข่าวลือเทพจักรพรรดิอัคคีแคว้นหวู่จิ้งฮั่วก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากัน จากข้อมูล…ศักยภาพของพวกเขาอาจเทียบได้กับเทพจักรพรรดินิรันดร์ในมหาพันภพยุคโบราณ”
จอมปีศาจเทียนเฮยซือหรี่ตา หากเป็นเช่นนั้นทั้งสองคนก็คือศัตรูตัวฉกาจของจักรวรรดิปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย ในอนาคตถ้าสงครามอุบัติขึ้น พวกเขาก็จะเป็นผู้ขัดขวางเส้นทางของเผ่าปีศาจต่างๆ แน่นอน
“แต่โชคดีที่พลังทั้งหมดของเผ่าปีศาจน้อยใหญ่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามหาพันภพ ยิ่งกว่านั้น…” เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ แววเยาะเย้ยเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าจอมปีศาจเทียนเฮยซือ
“จักรวรรดิปีศาจวางแผนมานานหลายหมื่นปี ช่วงเวลาที่เราประสบความสำเร็จ… แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถขัดขวางพวกข้าได้”
“หึ ตอนนี้ปล่อยให้พวกแกมีความสุขไปก่อน เมื่อแผนการของพวกข้าเสร็จสมบูรณ์ ข้าจะไปหาแกคิดทั้งต้นและดอกให้มือของข้าอย่างแน่นอน!”
จอมปีศาจเทียนเฮยซือตะเบ็งเสียงพลางโบกมือ รัศมีศพไม่มีที่สิ้นสุดแผ่กระจายไป ก่อนที่จะค่อยๆ ห่อหุ้มร่างเขาอันตรธานหายไป
ในพิภพเขตล่าง
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อเห็นผลของการต่อสู้ ความเคารพนับถือวาบขึ้นในดวงตา แม้ว่าทั้งสองคนจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ความแตกต่างในด้านพลังของพวกเขาก็เผยให้เห็นทันทีที่ต่อสู้ แม้ว่าจอมปีศาจเทียนเฮยซือจะเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แต่ก็ยังอ่อนกว่ากับหลินต้ง
แม้ว่าตอนนี้เขาจะบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนที่เขาโหยหา แต่เขาก็รู้ว่ายังมีหนทางข้างหน้าอีกยาวไกล…
“สมกับเป็นท่านเทพจักรพรรดิสงครามในตำนานจริงๆ”
จอมยุทธ์มังกรขาวฟื้นจากอาการตกตะลึง ร่างกายถึงกับสั่นสะท้าน
มู่เฉินยิ้มก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขามองไปที่จอมปีศาจโลหิตอย่างไม่แยแส “มีไพ่ตายอะไรอีกไหม?”
จอมปีศาจโลหิตตัวสั่นสะท้าน ก่อนจะถอยหนีจ้าละหวั่น ร่างเขากลายเป็นลำแสงสีแดงเข้มพยายามที่จะหลบหนีไป เขาหมดกำลังใจที่จะต่อสู้แล้ว เขาไม่มีความหวังที่จะรักษาเผ่าพันธุ์ตนเองไว้ต่อไป ตอนนี้เขาหวังแค่ว่าจะพาชีวิตน้อยๆ ของตัวเองรอดไปได้
“ต้องการความช่วยเหลือไหม?”
เสียงสง่างามดังขึ้นก่อนที่แสงจะพลิ้วลงมาข้างมู่เฉิน นี่ก็คือหลินต้งนั่นเอง
“สำหรับไอ้ตัวนั้น ไม่ต้องรบกวนผู้อาวุโสหรอก ข้าจัดการมันเองได้ขอรับ”
ขณะที่พูดร่างรองของเขาก็ทะยานขึ้นไล่ล่าจอมปีศาจโลหิตไป
“วิชาสามพิสุทธิ์ สมกับเป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่า…ดูเหมือนว่าเจ้าจะฝึกฝนจนสำเร็จแล้ว” หลินต้งมองไปที่ร่างรองของมู่เฉินพลางพยักหน้าชื่นชม
“ข้าแค่สืบทอดวิชามาเท่านั้น เป็นเพียงโชคดี” มู่เฉินส่ายหัวไม่ได้อิ่มเอมใจอะไร
“ทำไมต้องถ่อมตัว… แม้แต่ในมหาพันภพนี่ก็น่าตกใจที่เจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนตั้งแต่อายุเท่านี้” หลินต้งยิ้มมองไปที่มู่เฉินด้วยความชื่นชม ครั้งก่อนที่เขาได้พบกับมู่เฉิน อีกฝ่ายยังไม่ได้ก้าวเข้าไปในระดับตี้จื้อจุนเลย แต่เวลาไม่ถึงสิบปีมู่เฉินกลับก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว
ความเร็วและความสามารถในการฝึกฝนของเขาถือว่าไม่ธรรมดา
มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากแก้เก้อจากคำชมของหลินต้ง เขาได้รับการฝึกฝนในมิติพิเศษซึ่งทำให้เวลาช้าลง ดังนั้นแม้ว่าเขาจะบรรลุเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนก็เหมือนใช้เวลาเพียงครึ่งวัน แต่เขากลับมีประสบการณ์หลายร้อยปีในมิตินั้น …
“นี่ถ้ายัยหนูน้อยของข้าสามารถทำงานหนักได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้าในการเพาะบ่มขุมพลังของนาง ข้าคงต้องตั้งโต๊ะกราบไหว้เพื่อขอบคุณสวรรค์” เมื่อคิดถึงลูกสาวแม้แต่ตำนานวีรบุรุษอย่างหลินต้งก็ยังรู้สึกปวดหัว
เมื่อนึกถึงนิสัยของหลินจิ้ง ซึ่งมักจะหนีออกจากบ้านตามที่ใจต้องการ แม้แต่มู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ถ้าหลินจิ้งรู้ว่าเขานินทานางต่อหน้าบิดาของนางละก็ งานนี้นางบุกมาจัดการเขาแน่นอน
แต่โชคดีที่หลินต้งไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ เขากวาดมองพิภพเขตล่างจากนั้นก็ยิ้ม “ไม่คิดว่าที่นี่จะมีดวงจิตแห่งพิภพ เจ้าโชคดีจริงๆ”
เขาบอกได้ว่ามู่เฉินคือเจ้าพิภพนี้และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้ เขายืมพลังงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ดวงจิตแห่งพิภพในพิภพเขตล่างหายากมาก แม้แต่ในมหาพันภพกระทั่งเผ่าโบราณยังถูกล่อลวง หากพวกเขาสามารถยืมพลังของดวงจิตแห่งพิภพได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะสามารถสร้างจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้อีกคน
“ผู้อาวุโสก็เป็นเจ้าพิภพด้วยใช่ไหมขอรับ? ข้าสงสัยประโยชน์ของมันคืออะไร…และข้าต้องทำยังไง?” มู่เฉินตกอยู่ในความลังเลและแสวงหาคำแนะนำ แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าพิภพ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร แต่โชคดีที่หลินต้งอยู่ที่นี่ ซึ่งคล้ายกับเจ้าพิภพรุ่นพี่
หลินต้งยิ้ม “มีประโยชน์มากมายในฐานะเจ้าพิภพ ในอนาคตเมื่อเจ้าต่อสู้กับคนอื่น แค่คิดในการเชื่อมต่อกับโลกที่นี่ ก็จะสามารถดึงพลังงานออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นเจ้าจะมีความได้เปรียบโดยธรรมชาติเมื่อต่อสู้กับผู้อื่น”
เมื่อมู่เฉินได้ยินหัวใจก็สั่นสะท้าน หากเป็นเช่นนั้นเขาก็สามารถใช้พิภพนี้เพื่อเติมเต็มคลื่นหลิงทุกครั้งที่ต้องการเมื่อใช้วิชาเจดีย์แปดองค์และกองทัพมังกรดำ ซึ่งช่วยประหยัดปัญหาได้ไม่น้อย
“แต่เจ้าต้องควบคุมให้ดี ที่นี่เป็นเพียงพิภพเขตล่าง ถ้าเจ้าสกัดพลังออกมามากเกินไป โลกใบนี้ก็จะพังทลายลง สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนก็จะพินาศไปด้วย” หลินต้งเตือน
มู่เฉินพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตอนนี้เขากลายเป็นเจ้าพิภพนี้แล้ว เขาสามารถชี้เป็นชี้ตายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่นี่ได้อย่างง่ายดาย หากเขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เขาอาจนำความพินาศมาสู่ที่นี่เอง
“ข้าสัญญากับดวงจิตแห่งพิภพว่าจะปกป้องโลกใบนี้ ไม่ยอมให้ถูกรุกรานจากเผ่าปีศาจ แต่ในเมื่อเผ่าเสี่ยเสียสามารถเข้ามาได้ หมายความว่าจักรวรรดิปีศาจมีพิกัดพื้นที่พิเศษ หากไม่จัดการให้ดีก็อาจมีเผ่าอื่นบุกเข้ามาในระนาบนี้อีก” มู่เฉินกล่าว
เมื่อหลินต้งได้ยินคำพูดนั่นก็ตอบว่า “นั่นง่ายมาก ในเมื่อเจ้าเป็นเจ้าพิภพของพิภพเขตล่างแห่งนี้ เจ้าก็จะมีความสามารถในการเคลื่อนย้ายมิตินี้ได้โดยธรรมชาติ เพียงแค่ย้ายไปไว้ในที่ปลอดภัย พิกัดพื้นที่ก็จะเปลี่ยนไปเอง”
ดวงตาของมู่เฉินเป็นประกาย หากเป็นเช่นนั้นเขาก็สามารถย้ายพิภพนี้ไปไว้ที่ทวีปเทียนหลัวและคิดวิธีเชื่อมโยงกับมหาพันภพ ในอนาคตจอมยุทธ์ที่สามารถผ่านระนาบมิตินี้ไปได้ก็สามารถเข้าร่วมกับตำหนักมู่ของเขาได้
ผู้ที่สามารถบรรลุสิ่งนี้ได้นั้นเป็นอัจฉริยะโดยธรรมชาติ พวกเขาอาจเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในอนาคตซึ่งขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในมหาพันภพโหยหานัก ก็เป็นธรรมดาที่ตำหนักมู่จะไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปง่ายๆ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็หันไปมองไปที่ไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ ด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะเชื่อมต่อที่นี่กับมหาพันภพในอนาคตเพื่อเพิ่มคุณภาพพลังงานของพิภพนี้ ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถข้ามระนาบมิติของพิภพนี้ไปได้ ตำหนักมู่ของข้ารอต้อนรับพวกเจ้าทุกคนเสมอ”
เมื่อไป๋ซู่ซู่และเหล่าชาวโลกได้ยินเช่นนั้นก็พากันดีใจ พวกเขารู้ชัดเจนว่านี่เป็นโอกาสสำหรับพิภพของพวกเขา ด้วยเจ้าพิภพมู่เฉินพวกเขาก็ไม่ต้องกลัวเผ่าปีศาจน้อยใหญ่ในอนาคต มิหนำซ้ำยังสามารถแสวงหาระดับที่สูงขึ้นในการฝึกฝน
มู่เฉินยิ้มจากนั้นก็เห็นร่างแสงสองร่างพาดผ่านขอบฟ้า พวกเขาก็คือร่างรองของเขานั่นเอง
ไข่มุกสีแดงเข้มลอยอยู่ตรงหน้าพวกเขา สามารถมองเห็นใบหน้าน่ากลัวของจอมปีศาจโลหิต
เห็นได้ชัดว่าจอมปีศาจโลหิตไม่สามารถหลบหนีร่างรองของเขาได้ ในที่สุดก็ถูกผนึกไว้
มู่เฉินโบกมือ มุกสีแดงถูกเก็บไว้ในเจดีย์เพื่อปราบปราม ก่อนที่เขาจะประสานมือคารวะหลินต้ง “ข้าขอขอบคุณท่านหลินต้งสำหรับความช่วยเหลือในวันนี้”
หลินต้งโบกมือตอบ “การลบล้างปีศาจเป็นหน้าที่ของเราในมหาพันภพ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถสังหารจอมปีศาจเทียนเฮยซือได้ที่นี่”
เหงื่อผุดบนหัวของมู่เฉิน หลินต้งช่างเหี้ยมหาญแท้จริง จอมปีศาจเทียนเฮยซือเป็นนักรบราชันปีศาจชั้นสูง ถ้าเขาถูกฆ่าที่นี่ก็จะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของจักรวรรดิปีศาจ
แต่เขารู้ว่าหลินต้งสามารถบรรลุสิ่งนั้นได้ด้วยความสามารถที่มี
“ผู้อาวุโสหากมีสิ่งใดที่ต้องการจากข้าในอนาคตบอกมาได้เลยนะขอรับ” มู่เฉินกล่าวอย่างจริงใจเนื่องจากหลินต้งและเซียวเหยียนมอบของให้กับเขาไว้เพื่อคุ้มครอง พูดแล้วพวกเขาก็ถือได้ว่าเป็นผู้ปกครองในเส้นทางยุทธ์ของเขา หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือจากพวกเขา เขาก็ต้องมีความรอบคอบมากขึ้นเมื่อเผชิญกับอันตรายและไม่กล้าห้าวมากเกินไป
ดังนั้นทั้งสองคนนับได้ว่าให้ความช่วยเหลือแก่เขาเป็นอย่างมาก
หลินต้งหัวเราะร่วน เสื้อผ้าโผขึ้นพร้อมกับเสน่ห์ฉายบนใบหน้าสง่างาม “เหตุผลที่เซียวเหยียนและข้าเต็มใจที่จะช่วยเจ้า เป็นเพราะศักยภาพของเจ้า พวกเราหวังว่าจะมีจอมยุทธ์มายึนเคียงข้างเพิ่มขึ้นเมื่อจักรวรรดิปีศาจบุกมหาพันภพอีกครั้ง”
หลินต้งไม่ได้พูดมากความ เขาสะบัดมือก่อนที่ภาพเงาจะค่อยๆ สลายไป
“มู่เฉินแม้ว่าเจ้าจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน แต่ก็ยังไปไม่ถึงจุดสิ้นสุดของเส้นทาง ดังนั้นจะประมาทไม่ได้ มิฉะนั้นเมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้น เจ้าจะไม่สามารถรักษาสถานะไว้ได้…” เมื่อภาพเงาของหลินต้งสลายหายไป ก็ทิ้งเสียงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของมู่เฉิน
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมลง เขาได้ยินความเคร่งเครียดในคำพูดของหลินต้ง เผชิญหน้ากับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติแม้แต่จอมยุทธ์ที่มีอำนาจพอๆ กับเทพจักรพรรดิสงครามก็ยังรู้สึกว่าถูกคุกคาม ดังนั้นสามารถเห็นได้ว่าพวกมันเป็นภัยคุกคามต่อมหาพันภพของพวกเขามากเพียงใด
“ข้าจะจำสิ่งนี้ไว้ในใจ”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้น จักรวรรดิปีศาจคือวิกฤตสงครามแห่งอนาคต แต่ตอนนี้เขาควรจะทำสิ่งที่กดดันหัวใจมาตลอดหลายปีนี้ให้เสร็จแล้ว
ฮา
มู่เฉินหายใจเข้าลึก สายตาค่อยๆ คมชัดขึ้นขณะพึมพำกับตัวเอง
“เผ่าฝูถู…หลายปีแล้ว…ในที่สุดข้าก็รอคอยวันนี้มาถึง…”
เสียงสะท้อนไปมาราวกับพายุสายฟ้าไร้ขอบเขตปกคลุมไปทั่ว
ก่อนที่ร่างสง่างามจะปรากฏตัวที่ด้านนอกระนาบพิภพ
เขามาพร้อมกับคทาจักรพรรดิสายฟ้าที่มีประกายสายฟ้าแล่นแปลบปลาบ สายฟ้าทุกสายทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน ชุดสีม่วงดำที่เขาสวมขับเน้นใบหน้าให้ดูภูมิฐานยิ่งนัก
เมื่อร่างนี้ปรากฏขึ้น ใบหน้าของจอมปีศาจเทียนเฮยซือก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่เสียงจะพร่าลง “ไม่คิดว่าจะได้พบกับเทพจักรพรรดิสงครามที่นี่…”
แคว้นหวูตั้งอยู่ที่ชายแดนของมหาพันภพและมักจะปะหน้ากับจักรวรรดิปีศาจเป็นประจำ ก็เป็นธรรมดาที่เทพจักรพรรดิสงครามจะออกมาต่อสู้กับจอมยุทธ์ชั้นยอดหลายคนของเผ่าปีศาจต่างๆ ดังนั้นชื่อของเขาจึงดังก้องแม้จะอยู่ในเผ่าปีศาจน้อยใหญ่ก็ตาม
“เทพจักรพรรดิสงคราม?!”
จอมยุทธ์มังกรขาวตกใจกับผู้มาใหม่ สำหรับคนอย่างเขาที่กำเนิดจากพิภพเขตล่าง เทพจักรพรรดิสงครามคือตำนานมีชีวิต เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะได้พบกับตำนานด้วยตัวเอง
จอมยุทธ์มังกรขาวถอนหายใจมองไปที่มู่เฉินด้วยความชื่นชม “ไม่คิดว่าเจ้าจะมีสายสัมพันธ์ทรงพลังถึงขนาดสามารถเชิญจอมยุทธ์อย่างเทพจักรพรรดิสงครามมาได้”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมมู่เฉินถึงไม่ตื่นตระหนกเมื่อจอมปีศาจระดับเทียนมาที่นี่ เนื่องจากเขามีบางอย่างที่เทียบเท่าในการประจันหน้า นี่ทำเอาจอมยุทธ์มังกรขาวต้องทอดถอนหายใจ ชายหนุ่มในอดีตคนนั้นดูเหมือนจะประสบความสำเร็จสูงในมหาพันภพ…
มู่เฉินยิ้มพลางมองไปที่ท้องฟ้า เมื่อมีจอมปีศาจระดับเทียนและจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเผชิญหน้ากัน ดูเหมือนว่าจะมีการประลองที่น่าตื่นตาให้ชมในวันนี้
สายตาของหลินต้งมองไปที่พิภพเขตล่างก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ดังนั้นแววตาจึงวูบไหวอย่างเย็นชา
โลกที่เขาเติบโตก็เคยประสบสิ่งเดียวกันนี้ เขารู้ดีว่านี่คือฝันร้าย ในอดีตฮูหยินของเขาต้องสละชีวิตเพื่อที่พวกเขาจะกำจัดปีศาจให้สิ้นซาก
เพราะเหตุนี้เขาจึงเกลียดจักรวรรดิปีศาจยิ่งนัก ดังนั้นหลังจากเห็นเหตุการณ์ที่คล้ายกันเกิดขึ้นอีกครั้ง เขาก็เบนไปหาจอมปีศาจเทียนเฮยซือ ความผันผวนวูบไหวในดวงตาเขา
“พวกซากศพอย่างเจ้าไม่ได้มุดหัวอยู่ในจักรวรรดิเน่าๆ แต่กล้าเสนอหน้ามาที่พิภพเขตล่างของมหาพันภพของข้าเรอะ?!” เสียงเยือกเย็นของหลินต้งดังสะท้อน สายฟ้านับไม่ถ้วนก็สว่างวาบบนท้องฟ้า
แม้ว่าจอมปีศาจเทียนเฮยซือจะหวาดกลัวเทพจักรพรรดิสงคราม แต่เขาก็เป็นผู้นำเผ่า ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคือง
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงร่างที่สร้างขึ้นด้วยมือ แต่เทพจักรพรรดิสงครามก็เป็นร่างดวงจิตเช่นกัน ดังนั้นเขาก็ไม่กลัว แม้อีกฝ่ายจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่เขาก็ไม่ใช่ไอ้ขี้แพ้
“เทพจักรพรรดิสงคราม ไอ้เด็กนั่นฆ่าลูกข้า ซ้ำยังเกือบจะลบเผ่าเสี่ยเสียทั้งหมด ถ้าแกส่งมันมาให้ ข้าก็จะกลับออกไปทันที” จอมปีศาจเทียนเฮยซือชี้ไปที่มู่เฉินซึ่งอยู่เบื้องล่างและกล่าวอย่างเย็นชา
เมื่อหลินต้งได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มให้มู่เฉินด้วยความชื่นชม “กรณีนี้เขาทำได้ดีมาก”
เมื่อจอมปีศาจเทียนเฮยซือได้ยิน ใบหน้าก็กระตุก เขาพูดเสียงน่ากลัวว่า “ดูเหมือนว่าเทพจักรพรรดิสงครามจะไม่ต้องการแก้ไขเรื่องในวันนี้อย่างสันติแล้วสินะ”
หลินต้งยิ้ม “ใครอยากแก้ปัญหาอย่างสันติกับแก? ข้าตั้งใจไว้แล้วว่าจะบดร่างของแกให้เละเลย”
“ฮึ่ม ข้าไม่เชื่อว่าแกจะทำอะไรได้ด้วยร่างดวงจิตสั่วๆ!” จอมปีศาจเทียนเฮยซือเยาะเย้ยโดยไม่ลังเล เขาสะบัดแขนเสื้อ รัศมีศพรุนแรงปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า
โฮก!
ทันใดนั้นเสียงคำรามดังก้องก็เปล่งออกมาจากรัศมีศพ สัตว์ประหลาดโครงกระดูกหลายร้อยตัวบินว่อนออกมา ทุกตัวเปล่งความผันผวนอันทรงพลัง
โครงกระดูกสัตว์เหล่านั้นถูกปรับแต่งจากจอมปีศาจเทียนเฮยซือ ทำให้พวกมันมีความทนทานอย่างไม่น่าเชื่อโดยเฉพาะที่นำอยู่ข้างหน้าหลายตัว แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงก็ยังอับจนปัญญา
หลินต้งยืนบนมหาสมุทรสายฟ้า มองดูสัตว์ประหลาดเหล่านั้นอย่างไม่แยแส คทาจักรพรรดิสายฟ้ากระแทกลงไปเบาๆ จากนั้นก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับสายฟ้าระเบิดออกมาอย่างไร้ขอบเขต
ขณะที่สายฟ้าคำราม คทาจักรพรรดิสายฟ้าก็กลายเป็นมังกรสายฟ้าขนาดมหึมาปกคลุมไปด้วยสายฟ้าหลายสีสัน สายฟ้าทุกสายเต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง
เมื่อมู่เฉินมองไปที่มังกรสายฟ้าขนาดมหึมาก็หดดวงตาลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาสามารถบอกได้ว่ามังกรตัวนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง นอกจากนี้มันยังไม่ใช่ของตาย แต่บรรจุด้วยจิตวิญญาณ ราวกับเป็นมังกรสายฟ้าแท้จริง
กระทั่งตัวเขาถ้าต้องปะทะมังกรตัวนี้ก็ไม่รู้สึกถึงความได้เปรียบใดๆ
โฮก!
ขณะที่มู่เฉินตกตะลึง มังกรสายฟ้าก็คำรามพร้อมกับปากเปิดกว้างขึ้น ราวกับหลุมดำที่มีสายฟ้านับไม่ถ้วนบินฉวัดเฉวียนออกมาประหนึ่งโซ่พันธนาการรอบสัตว์ประหลาดเหล่านั้น
ซ่า ซ่า
โซ่สายฟ้าสั่นสะท้านขณะที่บินออกไป รัดร่างซากศพสัตว์เหล่านั้น ก่อนที่จะดึงเข้าไปในปากมังกร…
หลังจากที่กลืนกินซากศพ มังกรสายฟ้าก็ส่งเสียงเรอตบหน้าท้องด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่จะกลับเป็นคทาจักรพรรดิสายฟ้าดังเดิม
เมื่อจอมปีศาจเทียนเฮยซือเห็นฉากนี้ใบหน้าก็มืดครึ้ม ซากศพสัตว์ประหลาดบรรจุด้วยพิษที่น่าสะพรึง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหรือพวกราชันปีศาจก็ยังถูกกัดกร่อน แต่เมื่อมังกรสายฟ้ากลืนกินพวกมัน เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานรุนแรงในการกลั่นพิษ
ทักษะของเขาได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดายโดยเทพจักรพรรดิสงคราม
“ในเมื่อเจ้าออกมาท่าหนึ่งแล้ว งั้นก็ถึงตาข้าบ้าง ถ้าเจ้าสามารถรับกระบวนท่านี้ได้ข้าจะปล่อยเจ้าไปวันนี้” หลินต้งพูดขณะมองไปที่จอมปีศาจเทียนเฮยซือ
“สามหาว!”
จอมปีศาจเทียนเฮยซือคำรามออกมาด้วยความโกรธ เขามีตำแหน่งจอมปีศาจระดับเทียน แต่วันนี้ถูกเทพจักรพรรดิสงครามประเมินต่ำเตี้ยนัก ดังนั้นเขาจะไม่โกรธได้อย่างไร?
“ข้าขอดูสิว่าแกมีคุณสมบัติอะไรถึงกล้าพูดแบบนี้!”
เสียงหัวเราะของจอมปีศาจเทียนเฮยซือแฝงด้วยเสียงคำรามโกรธเกรี้ยว แต่หลินต้งก็ไม่ได้สนใจ รัศมีทรงกลดปรากฏขึ้นด้านหลังศีรษะเขา
รัศมีนี้บรรจุด้วยแสงแปดสีที่แตกต่างกันขณะที่หมุนคว้างช้าๆ
ฟิ้ว!
แสงแปดสีทะยานออกไปและขยายออกทันทีโดยมีจอมปีศาจเทียนเฮยซืออยู่ตรงกลาง
“หึ!”
จอมปีศาจเทียนเฮยซือส่งเสียงกร้าว รัศมีศพหนาแน่นวูบวาบบนร่างกาย ทันใดนั้นหยดของเหลวสีดำก็หยดลงมาจากร่างเขา
ของเหลวสีดำนี้ก็คือน้ำพิษศพ ซึ่งเหนียวมากเต็มไปด้วยกลิ่นคาวและกลิ่นอายความตายที่ไม่อาจอธิบายได้ เพียงแค่หยดเดียวก็สามารถล้างบางสิ่งมีชีวิตหลายล้านชีวิตบนพิภพนี้ให้กลายเป็นซากศพได้
“ไป!”
เขาสะบัดนิ้ว น้ำพิษศพก็พุ่งออกไปกลายเป็นสายน้ำเล็กๆ แม้ว่าสายธารดังกล่าวจะไม่ได้สร้างความปั่นป่วนใดๆ แต่ก็ทำให้อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายความตาย
สายธารนี้ทำให้ฟ้าดินปนเปื้อน ก่อนที่จะปะทะกับรัศมีแปดสี
น้ำพิษศพมีความสามารถในการแปดเปื้อน คลื่นหลิงทุกชนิดที่สัมผัสจะถูกปนเปื้อน มิหนำซ้ำยังส่งผลต่อเจ้าตัวทำให้กลายเป็นซากศพ ภายใต้น้ำพิษศพไม่ว่าพลังชีวิตจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดได้
ดังนั้นเมื่อจอมปีศาจเทียนเฮยซือเห็นน้ำสีดำหยดลงไปบนรัศมีแปดสี เขาก็เผยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยรู้สึกว่าเทพจักรพรรดิสงครามหยิ่งผยองเกินไป ซึ่งความหยิ่งผยองจะกลายเป็นช่องโหว่!
ชี่!
เมื่อน้ำพิษศพสัมผัสกับรัศมีแปดสีก็ทำให้เกิดการแปดเปื้อนทันที มันพยายามปลดปล่อยความสามารถในการกัดกร่อนออกมา
ตู้ม!
ทว่าทันใดนั้นรัศมีแปดสีที่ไม่มีความผันผวนใดก็ระเบิดออกมาพร้อมกับรัศมีและแสงหลิงแปดชนิด มีทั้งสายฟ้า ความมืดและน้ำแข็ง…
ลำแสงทุกเส้นสายแสดงถึงคุณลักษณะที่แตกต่างกัน แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านซึ่งกันและกัน แต่กลับรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ จนสุดท้ายเปลวเพลิงพร่างพราวก็ลุกโชนขึ้นจากรัศมี
เปลวเพลิงช่างลึกลับ แม้จะดูเหมือนไฟ แต่ก็มีคุณลักษณะของน้ำแข็ง สายฟ้าและพลังอีกหกชนิดกะพริบอยู่ภายใน…
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกับฉากนี้ สำหรับตัวหลินต้งมีข่าวลือว่าเขามีคุณสมบัติมากมายในคลื่นหลิง เมื่อเห็นด้วยตาตนเองตอนนี้ข่าวลือที่ว่าไม่ใช่เรื่องโกหกเลย
ขณะที่เปลวเพลิงลึกลับพวยพุ่งขึ้นก็กลืนกินน้ำพิษศพจนระเหยกลายเป็นหมอก
ใบหน้าของจอมปีศาจเทียนเฮยซือเปลี่ยนไปรุนแรง รู้สึกถึงความผิดปกติ เพลิงนี้ดูเหมือนจะสามารถทำลายพลังปีศาจของเขาได้
แต่ก่อนที่จะคิดต่อได้ทัน รัศมีแปดสีที่ปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว มัดเข้ากับร่างจอมปีศาจเทียนเฮยซืออย่างแน่นหนา
จอมปีศาจเทียนเฮยซือหดดวงตา ทันใดนั้นร่างกายเขาก็พองขึ้นพยายามทำลายมัน
ชี่!
แต่จังหวะนั้นรัศมีแปดสีก็ตกลงบนร่างเขา ร่างกายเขาแข็งทื่อ เพลิงจุดชนวนขึ้นทันที
อ๊าก!
เพลิงเหล่านั้นน่ากลัวมาก แม้แต่จอมปีศาจเทียนเฮยซือก็ไม่สามารถต้านทานได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ปล่อยเสียงหอน หลังจากไม่กี่อึดใจร่างจอมปีศาจเทียนเฮยซือก็สลายไปกลายเป็นมือสีดำแห้งผาก
ปัง
รัศมีกระเพื่อมไหว มือก็กลายเป็นเถ้าถ่านปลิวไปในอากาศ…
ที่นี่คือโลกสีดำสนิท
ทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดมน ราวกับว่ามีแสงสีดำเท่าปกคลุมลงบนผืนแผ่นดิน
ฮึ่ม!
ทันใดนั้นความผันผวนก็ปรากฏขึ้นก่อร่างเป็นช่องมิติ ซึ่งดึงดูดความสนใจจากสิ่งมีชีวิตทรงพลังมากมาย
ทุกสายตาพุ่งตรงไปที่อีกปลายด้านหนึ่งของช่องมิติ ดูเหมือนจะมาจากพิภพเขตล่าง…
“มีคนใช้อักขระปีศาจ…”
“ดูจากความผันผวนนั่น น่าจะเป็นเผ่าเสี่ยเสีย ไม่คิดว่าเผ่าเล็กๆ จะมีจอมปีศาจขึ้นได้ ซ่อนไว้ดีจริงๆ”
“แต่ก็เป็นเพียงเผ่าเล็กๆ ไม่ค่อยมีรากฐาน ไม่งั้นจะถูกบีบให้ต้องใช้อักขระปีศาจได้อย่างไร ทีนี้ก็หมายความว่าพวกเขาดึงดูดความสนใจของผู้อื่น พิภพเขตล่างนั้นจะไม่เป็นของพวกเขาอีกต่อไป”
“อักขระปีศาจนี้สามารถเรียกจอมปีศาจลงไปได้เพียงคนเดียว มาดูกันว่าใครจะสนใจ”
“…”
ขณะที่พวกเขาแลกเปลี่ยนความคิดกัน ก็ไม่มีใครคนไหนต้องการที่จะเคลื่อนไหว ท้ายที่สุดแล้วพิภพเขตล่างแห่งนั้นถูกกองทัพปีศาจโลหิตสูบจนแห้งขอด มูลค่าจึงเหลืออยู่ไม่มาก ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ไม่มีคนฉลาดที่ไหนเข้าไปหรอก
ขณะที่เหล่านักรบราชันปีศาจพูดคุยกัน รัศมีศพก็แผ่ซ่านไปทั่วมิติ ภาพเงาสีดำบนบัลลังก์กระดูกสีขาวก็ลืมตาโพลง
สายตาของเขาทะลุผ่านช่องทาง มองไปที่พิภพเขตล่างก่อนจะเพ่งไปที่ภาพเงาอ่อนเยาว์พร้อมกับสายตาเย็นชา
“มีรัศมีความตายที่ลูกข้าหลงเหลือไว้บนร่างชายคนนั้น มันจะต้องเป็นคนฆ่าลูกชายของข้าแน่!” ภาพเงาขนาดใหญ่แค้นเสียงก่อนที่จะโบกมือ ฝ่ามือหลุดออกจากท่อนแขนก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นลำแสงยิงเข้าไปในช่องมิติ
เมื่อคนอื่นๆ สังเกตเห็นสิ่งนี้ หัวใจของพวกเขาก็สั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
“นั่นคือจอมปีศาจเทียนเฮยซือเผ่าซือหมัว!”
“ทำไมจอมยุทธ์ระดับนั้นถึงเคลื่อนไหว”
เผ่าซือหมัวเป็นหนึ่งในสามสิบสองเผ่าหลักของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ ภาพเงาสีดำนั้นก็คือผู้นำของเผ่าซือหมัวตำแหน่งจอมปีศาจระดับเทียนและเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิปีศาจ
แต่โดยทั่วไปแล้วจอมยุทธ์ระดับนั้นจะไม่ออกตัวอย่างง่ายดาย ดังนั้นนี่ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจในขณะนี้
แม้ว่าจอมปีศาจระดับเทียนจะส่งมือไปยังพิภพเขตล่างเท่านั้น แต่มือของจอมปีศาจระดับเทียนก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั่วไปจะเทียบได้
“ดูเหมือนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในพิภพเขตล่างนั่นเคยสร้างความขุ่นเคืองให้ท่านผู้นั้น คิๆ ช่างน่าเวทนา…”
ความตั้งใจจางหายไป เมื่อมีการเคลื่อนไหวของจอมปีศาจระดับเทียน จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแห่งมหาพันภพคนนั้นก็ไม่มีทางรอดชีวิตไปได้แล้ว
ในพิภพเขตล่าง
มู่เฉินมองไปที่ช่องมิติที่เชื่อมโยงกับโลกอื่นด้วยดวงตาหดแคบลง ด้วยความคิดสายหนึ่งคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ก่อตัวขึ้นเป็นมือขนาดใหญ่ทะยานเข้าไปในช่องทางตั้งใจที่จะทำลายให้สิ้นซาก
ตึง!
สวรรค์และโลกแปรปรวน แต่ช่องทางเพียงสั่นสะท้านไม่ได้แตกออก ทันใดนั้นมู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงรัศมีที่ไม่อาจพรรณนาได้ผ่านเข้ามา
รัศมีปกคลุมไปทั่วทั้งโลก ทุกคนตัวสั่นสะท้านภายใต้รัศมีนั่น แม้แต่ฟ้าดินก็ส่งเสียงครางจากแรงกดดัน
“รัศมีนี้…” มู่เฉินหดดวงตา เขาไม่ใช่ไม่คุ้นกับรัศมีประเภทนี้ นี่เป็นสิ่งที่เขาเคยรับรู้ได้จากองค์ชายเผ่าซือหมัว แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าของรัศมีนี้แข็งแกร่งกว่าไม่รู้กี่เท่า
จอมปีศาจโลหิตก็อึ้งไปเช่นกันก่อนที่จะมองไปที่ช่องทางพลางร้องอุทาน “จอมปีศาจเทียนเฮยซือ?!”
แม้ว่าอักขระปีศาจสามารถนำความช่วยเหลือจากเหล่านักรบราชันปีศาจมาให้เขาได้ แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะเชิญจอมปีศาจระดับเทียนเข้ามา ต้องรู้ว่าแม้แต่ในจักรวรรดิปีศาจ จอมปีศาจระดับเทียนก็เป็นสุดยอดจอมยุทธ์ โดยทั่วไปบุคคลแบบนี้จะไม่สนการอัญเชิญของเขา
แต่ไม่ว่าเขาจะรู้สึกตกใจแค่ไหน นี่ก็คือความจริง
หลังจากตกตะลึงแล้ว จอมปีศาจโลหิตก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความสงสารจากนั้นก็ส่ายหัวทำท่าเยาะเย้ย “แกนี่โชคร้ายจริงๆ…”
ถ้าอีกคนที่เรียกมาเป็นจอมปีศาจธรรมดา มู่เฉินอาจจะรักษาสถานการณ์ให้ไม่แพ้ได้ แต่ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นจอมปีศาจระดับเทียนของเผ่าซือหมัว?
มู่เฉินไม่ได้สนใจกับการเยาะเย้ยของอีกฝ่าย ใบหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน รัศมีความตายพวยพุ่งออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เห็นได้ชัดว่าจอมปีศาจระดับเทียนเผ่าซือหมัวกำลังพยายามทำลายปราการของพิภพเขตล่างแห่งนี้เพื่อจะลงมา
เห็นได้ชัดว่าจอมปีศาจระดับเทียนมีพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้ แม้ว่าปราการป้องกันของพิภพแห่งนี้จะแข็งแกร่ง แต่ก็แตกสลายลงด้วยความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่กี่นาทีต่อมามู่เฉินก็เห็นแสงสีดำปรากฏขึ้นนอกโลก ซึ่งดูคล้ายกับมือ
มือนั้นฉายแสงสีดำก่อนจะค่อยๆ บิดเกลียวกลายเป็นภาพเงา ช่างคล้ายกับเทพปีศาจที่ยืนอยู่นอกโลกใบนี้ สายตาทะลุผ่านสิ่งกีดขวางจับจ้องไปที่มู่เฉินพร้อมกับเสียงดังก้องไปทั่วโลก
“แกคือคนที่ฆ่าลูกชายข้าใช่ไหม?”
มู่เฉินหดดวงตา เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงล่อจอมปีศาจระดับเทียนเผ่าซือหมัวลงมา เห็นได้ชัดว่าเพราะเขาฆ่าองค์ชายเผ่านี้ไปคนหนึ่งนั่นเอง!
ก่อนที่ซือเทียนโยวจะตายได้ทิ้งรัศมีไว้บนร่างกายเขา แต่จอมปีศาจระดับเทียนเผ่าซือหมัวไม่สามารถตรวจจับได้เมื่อเขาอยู่ในมหาพันภพ แต่กลับสัมผัสได้เมื่อจอมปีศาจโลหิตทำการเชื่อมโยงไปยังจักรวรรดิปีศาจ
ดวงตาของมู่เฉินหรี่ลงพลางพยักหน้าอย่างนิ่งสงบ
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าจะปรับแต่งแกให้เป็นหุ่นเชิดเพื่อเป็นเครื่องสังเวยให้กับลูกที่ตายไปของข้า” จอมปีศาจเทียนเฮยซือพูดด้วยน้ำเสียงอาฆาตแค้น
พอได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็ยิ้มอ่อน “ข้ากลัวว่าแกจะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการหรอก”
“โอ้?” จอมปีศาจเทียนเฮยซือยิ้มอย่างเย็นชากวาดมองทั่วพิภพเขตล่างแห่งนี้ “แกคิดว่าการได้เป็นเจ้าพิภพเขตล่างแห่งนี้แล้ว จะสู้กับข้าได้เรอะ?”
“ข้าไม่ได้ผยองขนาดนั้น” มู่เฉินยิ้ม ไม่ว่าเขาจะมั่นใจแค่ไหน เขาก็ไม่คิดว่าตอนนี้จะเผชิญหน้ากับจอมปีศาจระดับเทียนได้ แม้ว่านี่จะเป็นเพียงร่างเสมือนที่สร้างขึ้นจากมือก็ตาม
“แล้วแกจะทำอะไร” จอมปีศาจโลหิตหัวเราะเยาะ
ทว่าจอมปีศาจเทียนเฮยซือกลับขมวดคิ้ว แสงสีดำวูบไหวในดวงตา เขารู้สึกสงสัยกับปฏิกิริยาของมู่เฉิน
“ไม่ว่ายังไง ฆ่ามันให้ได้ก่อน” แสงสีดำในดวงตาของจอมปีศาจเทียนเฮยซือเพิ่มมากขึ้น เขายื่นมือออกมา รัศมีศพที่ไม่มีที่สิ้นสุดกระแทกกับปราการพิภพ พลังที่น่ากลัวทำให้โลกทั้งใบสะท้านขณะที่ผืนฟ้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ผืนดินถล่มทลาย…
เผชิญหน้ากับพลังทำลายล้างของจอมปีศาจเทียนเฮยซือ ก็ไม่มีระลอกคลื่นใดๆ บนใบหน้ามู่เฉิน มากจนเขาหลับตาลงปล่อยให้อีกฝ่ายโยกคลอนโลกทั้งใบ
“รอความตายเรอะ?” จอมปีศาจโลหิตเยาะเย้ยพยายามที่จะก่อกวนอารมณ์ของมู่เฉิน เพราะความสงบของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจจอมปีศาจโลหิตสักนิด
ตู้ม ตู้ม!
โลกสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง ไป๋ซู่ซู่และจอมยุทธ์มังกรขาวมองไปนอกโลกด้วยความหวาดผวา พวกเขาสามารถมองเห็นรัศมีศพที่น่ากลัวที่พยายามเจาะเข้ามาในขอบเขตของโลก
ภายใต้การโจมตีของจอมปีศาจเทียนเฮยซือ โลกก็ดูเหมือนจะพังทลายในไม่ช้า
ทว่าทันใดนั้นมู่เฉินก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ขณะที่จ้องมองไกลออกไป
จอมปีศาจเทียนเฮยซือขมวดคิ้วเมื่อเห็นรอยยิ้มของมู่เฉิน เขาชี้นิ้วออกไป รัศมีศพไม่มีที่สิ้นสุดรวมตัวกันก่อนที่จะก่อร่างเป็นกะโหลกขนาดหลายแสนจั้ง เปล่งเสียงกรีดร้องโหยหวนก่อนที่จะตกลงมาที่ระนาบมิติ
จากมุมมอง การบดขยี้นี้สามารถฉีกรอยแตกในระนาบมิติได้เลยทีเดียว
แต่เมื่อกะโหลกกำลังจะสัมผัสกับระนาบมิติ เสียงสายฟ้าก็คำรามลั่นฟาดทำลายหัวกะโหลกที่สร้างจากรัศมีศพ
“ใครกล้าท้าทายข้า?!” เมื่อจอมปีศาจเทียนเฮยซือเห็นสิ่งนี้ เขาก็หดดวงตาพลางตะโกนลั่น
มู่เฉินพรูลมหายใจออกมาพร้อมกับคลี่ยิ้ม “ในที่สุดก็มาแล้ว”
มู่เฉินคลายมือออก ผงหินก็ปลิวออกไปจากมือ
ยามนี้มิติฉีกขาดออกจากกัน ทะเลสายฟ้ากวนตัวพร้อมกับร่างเงาสง่าผ่าเผยถือคทาสายฟ้าปรากฏอยู่นอกโลก
จังหวะนั้นเสียงของเขาก็สะท้อนออกมา
“เป็นถึงจอมปีศาจระดับเทียน ถ้าอยากหาคู่ต่อสู้นักก็มาที่แคว้นหวูของข้าสิ ทำไมต้องรังแกพิภพเขตล่างเล็กๆ นี้ด้วย?
“คิดว่าในมหาพันภพไม่มีคนแล้วหรือไง?!”
แสงกระจายออกไปบนท้องฟ้า
ภาพเงาอ่อนเยาว์ยืนอหังการพร้อมกับเสื้อผ้าโบกสะบัดไปในสายลมขณะที่ถูกห่อหุ้มด้วยแสงคล้ายกับหยก ดวงตาของเขาราวกับดวงดาวที่สามารถดึงดูดให้ผู้คนจมอยู่ภายใน
ไป๋ซู่ซู่และจอมยุทธ์มังกรขาวอดไม่ได้ที่จะจ้องมองภาพเงานั้น พวกเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีบางอย่างที่แตกต่างเกี่ยวกับมู่เฉิน
ในอดีตคลื่นหลิงของมู่เฉินไร้ขอบเขต แม้ว่าจะไม่ได้หมุนเวียน แต่ก็ยังคงปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวออกมา
แต่มู่เฉินคนนี้ไม่มีความกดดันนั้นอีกต่อไป เขายืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับรอยยิ้ม หากทำการสัมผัสก็รู้สึกได้ราวกับว่าเขาไม่มีริ้วพลังงานหลิงอีกต่อไปแล้ว
นอกจากนี้แม้พวกเขาจะเห็นมู่เฉินยืนอยู่ที่นั่น แต่ในเรื่องรัศมีไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ ก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของเขา
ดังนั้นต่อให้พวกเขาพยายามเปิดการโจมตี การโจมตีก็อาจแตะไม่ได้กระทั่งมุมเสื้อผ้าของมู่เฉิน…
ไป๋ซู่ซู่และจอมยุทธ์มังกรขาวมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง พวกเขาไม่มีทางเชื่อหรอกว่ามู่เฉินได้สูญเสียคลื่นหลิงทั้งหมดไป ดังนั้นจึงมีเพียงคำอธิบายเดียวว่าทำไมพวกเขาถึงไม่รู้สึกถึงการปรากฏตัวของเขา ซึ่งก็คือช่องว่างระหว่างพวกเขาและมู่เฉินมาถึงระดับที่ไม่สามารถก้าวข้ามได้!
และเหตุผลหนึ่งเดียวคือ…มู่เฉินก้าวผ่านภัยพิบัติเทียนจุนเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้สำเร็จ!
“ท่านเทพ…ประสบความสำเร็จจริงหรือเนี่ย?”
ไป๋ซู่ซู่พึมพำด้วยความตกตะลึงในดวงตา แม้ว่านางจะไม่คุ้นเคยกับระดับเทียนจื้อจุน แต่นางก็สามารถอนุมานได้จากช่องว่างระหว่างผู้บัญชาการปีศาจโลหิตและจอมปีศาจโลหิต
เหตุผลที่นางเชื่อมั่นในตัวมู่เฉินมาตลอดก็เนื่องจากไม่มีทางเลือกอีกแล้ว มู่เฉินเป็นความหวังสุดท้ายและนางก็ยึดมั่นกับความหวังอย่างแน่นหนา เพื่อที่ตนเองจะไม่แหลกสลาย บังคับตัวเองให้คิดว่ามู่เฉินสามารถช่วยพวกนางจากทุกข์ระทมนี้ได้
ทว่าตามความคิดจริงนางไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้… ดังนั้นเมื่อนางเห็นมู่เฉินในตอนนี้ นางถึงได้รู้สึกตกตะลึงอย่างไม่อาจจินตนาการได้
“อัจฉริยะแท้จริง…” จอมยุทธ์มังกรขาวถอนหายใจลึกๆ ในฐานะคนที่เข้าใจมหาพันภพ เขารู้ว่าความสำเร็จของมู่เฉินน่าตกใจเพียงใด อัจฉริยภาพของชายหนุ่มประหนึ่งสิ่งที่ได้รับพรจากสวรรค์เลยทีเดียว
ขณะเดียวกันเขาก็ชื่นชมยินดีในใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่สร้างไว้ในตอนนั้นจะทำให้ความปรารถนาของเขาสมหวังในตอนนี้…
ขณะที่ไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ ตกตะลึงกับความสำเร็จของมู่เฉิน ใบหน้าของจอมปีศาจโลหิตก็ดูเคร่งขรึมท่าทางเยาะเย้ยหายไปสิ้นเชิง
การปรากฏตัวของมู่เฉินครั้งนี้ จอมปีศาจโลหิตรู้ว่าข้อได้เปรียบของตนอันตรธานหายไปแล้ว
“บ้าเอ๊ย! ถ้ารู้แต่แรก ข้าก็ไม่ยั้งมือไว้แล้ว!”
จอมปีศาจโลหิตรู้สึกเสียใจในใจ แม้ว่าก่อนหน้าเขาจะไม่ได้ยั้งพลัง แต่เขาก็ไม่ได้ใช้ทักษะทั้งหมดที่มี มิฉะนั้นต่อให้มู่เฉินจะเก่งกาจขนาดไหนก็ไม่สามารถได้เปรียบใดๆ แน่
ไม่ต้องพูดถึงการดักจับเขาและสร้างความก้าวหน้าเลย
“สายไปแล้วที่จะเสียใจตอนนี้” มู่เฉินยิ้ม จากสีหน้ามืดครึ้มของอีกฝ่ายเขาก็รู้ว่าจอมปีศาจโลหิตกำลังคิดอะไรอยู่ในใจตอนนี้
ดวงตาของจอมปีศาจโลหิตกระตุก ก่อนที่จะหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์จากนั้นก็ตอบว่า “ต่อให้เจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุน แต่ก็ใช่ว่าเอาชนะข้าได้!
“แต่ตอนนี้แกมีคุณสมบัติพอที่จะคุยกับข้าในระดับเดียวกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเจ้าตกลง ข้าจะนำคนออกไปจากโลกนี้”
มู่เฉินยิ้ม “ไม่สายไปเหรอที่คิดจะไปตอนนี้?”
ขณะที่พูดเขาก็ยกเปลือกตาขึ้นพร้อมกับความเย็นชาวูบไหวในดวงตา “นอกจากนี้แกคิดจะเปิดตูดทั้งที่ก่อหายนะมากมายในโลกนี้นะเหรอ?”
สายตาของจอมปีศาจโลหิตวูบไหวขณะที่มองมู่เฉินอย่างอาฆาต “ข้าแค่ไม่ต้องการสู้กับเจ้าจนถึงจุดที่ไม่มีใครชนะ นั่นคือเหตุผลที่ข้าเสนอที่จะถอย เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้ารึไง!”
เมื่อมองไปที่จอมปีศาจโลหิตมู่เฉินก็ยิ้มบาง จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือเดียว มิติผันผวน ร่างรองสองร่างปรากฏขึ้น
“งั้นก็ชี้แนะข้าด้วย”
มู่เฉินทั้งสามมองไปที่จอมปีศาจโลหิตอย่างไม่แยแส มิติรอบตัวผันผวน ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกสั่นสะเทือน
จอมยุทธ์มังกรขาวและไป๋ซู่ซู่กลืนน้ำลายก่อนที่จะสูดเอาอากาศเย็นเข้าไปในปอด พูดด้วยความตะลึงลาน “ช่างเป็นทักษะเทพที่น่ากลัวจริงๆ!”
แม้ก่อนหน้านี้วิชาสามพิสุทธิ์ของมู่เฉินจะทรงพลังเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตะลึงสักเท่าไร ทว่าเมื่อเขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ก็สร้างความตกตะลึงเมื่อเขาแสดงออกมา
นั่นเป็นเพราะนี่เทียบเท่ากับสามจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน!
กระทั่งจอมปีศาจโลหิตยังอดไม่ได้ที่จะมีริ้วความกลัวในดวงตา ตอนแรกเขาคิดว่าร่างดวงจิตของมู่เฉินสามารถเข้าถึงระดับตี้จื้อจุนได้เท่านั้น ดังนั้นฉากนี้จึงทำให้เขาตกใจมาก
ถ้าเขาต่อสู้ก็ต้องเผชิญหน้ากับสามจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน!
ไม่ต้องคิดให้เหนื่อย เขารู้ว่าตนเองจะแพ้การต่อสู้ครั้งนี้แน่นอน
ฟิ้ว!
ดังนั้นเขาจึงโบกมือ มหาสมุทรเลือดเชี่ยวกรากกวาดไปทางมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะกลายเป็นริ้วแสงถอยกรูดกลับไป
ท่าทางตั้งใจจะหนีโดยไม่สู้เลย
มู่เฉินยิ้มมองไปที่จอมปีศาจโลหิตที่ถอยกลับโดยไม่ลังเลใดๆ จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาแล้วทำท่ากำมือไปทางมหาสมุทรเลือด รัศมีระเบิดออกมิติฉีกขาดจากกันกลืนกินมหาสมุทรเชี่ยวกรากเข้าไป
ในเวลาเดียวกันเขาก็ยื่นมืออีกข้างไปทางจอมปีศาจโลหิต
ปัง!
สวรรค์และโลกแตกสลาย ก่อตัวเป็นหลุมดำนับไม่ถ้วนพร้อมกับเศษมิติก่อร่างเป็นมือขนาดใหญ่คว้าร่างจอมปีศาจโลหิตไว้
ตู้ม!
แสงสีแดงเข้มที่ไม่มีที่สิ้นสุดพวยพุ่ง อึดใจถัดมาร่างปีศาจขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นทำลายมือนั้นก่อนที่จะหนีไป
วาบ!
ทว่าจังหวะนั้นมู่เฉินชุดขาวก็ปรากฏอยู่ด้านบนและชี้กดนิ้วลงมา
ชี่!
พายุสร้างความหายนะระหว่างสวรรค์และโลก ก่อนจะก่อตัวเป็นเสายักษ์พุ่งเข้าหาร่างปีศาจ
เผชิญหน้าแบบนี้ ร่างปีศาจสีแดงเข้มก็เหวี่ยงหมัดออกปะทะกับเสา
ปัง!
แต่ทันทีที่สัมผัส เสาก็สลายไปกลายเป็นสายลมคมกริบนับไม่ถ้วนทิ้งบาดแผลไว้บนร่างปีศาจสีแดงเข้ม เสียงโหยหวนร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นออกมา
ตอนนี้มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว การโจมตีของเขาน่ากลัวกว่าเมื่อก่อนที่ต้องทุ่มสุดกำลัง ดังนั้นจอมปีศาจโลหิตจึงไม่สามารถจัดการเขาได้อย่างง่ายดายแล้ว
วาบ!
เมื่อร่างปีศาจสีแดงเข้มถูกขัดขวางไว้โดยมู่เฉินชุดขาว มิติก็ผันผวน มู่เฉินชุดดำปรากฏตัวต่อหน้าร่างปีศาจ สาดสายตาไม่แยแส ทั่วร่างเปล่งรัศมีแสงออกมาราวกับผลึกแก้วใส ประหนึ่งว่าร่างกายของเขากลายเป็นหยกขาว
นี่คือพลังกายภาพระดับเทียนจื้อจุนที่แท้จริง ขณะที่เปิดใช้เขาก็สามารถควบคุมพลังงานที่ไร้ขอบเขตระหว่างสวรรค์และโลก ทำให้พื้นฟ้าแตกเป็นเสี่ยงๆ พื้นดินพังทลายลงด้วยการเคลื่อนไหวง่ายๆ
มู่เฉินชุดดำใช้พลังกายภาพระดับเทียนจื้อจุนฟาดฝ่ามือออกไป แม้ว่าจะดูเบาและไร้พลัง แต่เมื่อปรากฏก็เหมือนละออกจากมิติ กระแทกลงบนหน้าอกของร่างปีศาจสีแดงเข้มทันที
ตู้ม!
สวรรค์และโลกโยกคลอนจากกระบวนท่านี้ ก่อนที่ทุกคนจะได้เห็นร่างปีศาจสีแดงเข้มราวกับโดนผลกระทบครั้งใหญ่ ร่างกระเด็นออกไป ท่ามกลางเสียงโหยหวน ร่างก็แตกสลาย
อ็อก
เมื่อเกิดการแตก ร่างหนึ่งก็กระเด็นออกมาพร้อมกับกระอักเลือดเต็มปาก นี่ก็คือจอมปีศาจโลหิตนั่นเอง
จากการแลกกระบวนท่าสั้นๆ จอมปีศาจโลหิตตกอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบโดยไม่เหลือความสามารถในการต่อต้าน
ภาพเงาทั้งสามพลิ้วตัวมาจากท้องฟ้า ปิดล้อมสามทิศทางรอบตัวอีกฝ่าย พวกเขากวาดสายตาไม่แยแสออกไป ทำให้จอมปีศาจโลหิตรู้สึกถึงไปหนาวเยือกห่อหุ้มร่างกาย
เมื่อมองไปที่แววตาของมู่เฉินที่เต็มไปด้วยไอสังหาร จอมปีศาจโลหิตก็รู้ว่ามู่เฉินไม่มีทางปล่อยเขาไปในวันนี้แน่นอน ดังนั้นสายตาเขาจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างดุร้าย
“แกคิดว่าตัวเองชนะแล้วหรือ?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงดุร้ายขณะมองมู่เฉินอย่างเย็นชา
มู่เฉินหรี่ตาลง แสงหลิงรวมตัวกันที่ปลายนิ้ว ไม่คิดที่จะเสวนาอีก เตรียมปิดฉากการต่อสู้ให้เร็วที่สุด
ฟิ้ว!
แต่ทันใดนั้นจอมปีศาจโลหิตก็กัดลิ้นตัวเอง เลือดกลั่นทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้ากลายเป็นอักขระสีแดงเข้ม ก่อนที่จะระเบิดสร้างช่องมิติ…
“อักขระปีศาจ ปีศาจยาตรา!”
พร้อมกับน้ำเสียง ช่องมืดลงราวกับว่าเป็นเส้นทางที่ไม่รู้เชื่อมไปที่ใด มีรัศมีร้ายกาจแผ่ออกมาจากภายใน
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ ดวงตาก็หดเกร็ง
ความรู้สึกนี้…ปลายทางของเส้นทางคือจักรวรรดิปีศาจ!
ฮึ่ม ฮึ่ม
หลุมดำไม่ได้พุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง แต่มู่เฉินก็รู้ดีว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ยามนี้เขารู้สึกถึงอันตรายที่ไม่อาจบรรยายได้ผุดขึ้นในหัวใจ เขารู้ดีว่าความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เขาตายคาที่ในวันนี้แน่อน
ดังนั้นเขาจึงหมุนเวียนพลังร่างเทพสุริยะนิรันดร์โดยไม่ลังเลใดๆ รัศมีระเบิดออกโดยไม่คำนึงถึงรอยแตกบนร่างกาย
ดอกบัวอมตะปรากฏขึ้นเป็นโล่ป้องกันอีกครั้ง
นี่เป็นวิธีการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ต่อให้เป็นเขาในปัจจุบันก็ยากที่จะสร้างได้สองครั้งติดๆ กัน เนื่องจากพลังที่สูญเสียนั้นจะเป็นอันตรายต่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ทว่าตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่น มิฉะนั้นคงเป็นตัวเขาเองที่ถูกทำลาย
ขณะที่มู่เฉินเร้าใช้การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดอีกครั้ง หลุมดำก็กระแทกลงไปบนดอกบัวสีทองอย่างนุ่มนวล
ในช่วงเวลาสัมผัสกันนั้น แสงสีดำตระการตาก็พวยพุ่งออกมาแล้วกดมา ดอกบัวสีทองเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ถัดมาจากนั้นก็ถูกทำลายลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้…
นั่นคือการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความว่างเปล่าอย่างแท้จริง มากจนแม้แต่คลื่นหลิงก็ถูกลบออกไปภายใต้แสงสีดำ
การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาไม่สามารถต้านทานแสงสีดำได้เลย!
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน ตอนนี้ร่างกายของเขาได้รับการปรับแต่งไปมากกว่าครึ่งแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองดอกบัวสีทองที่สึกกร่อน ความรู้สึกถึงความตายปกคลุมหัวใจ
ถ้าเป็นคนธรรมดาตอนนี้คงจะสิ้นหวังไปแล้ว แต่มู่เฉินผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นแม้จะเกิดริ้วกระเพื่อมในใจเขาก็ไม่ได้กลัวอะไรมาก
เขาเม้มปากแน่น ไม่คิดยอมแพ้พลังหลุมดำ กลับกันเขาตั้งจิตใจให้สงบ หลอมรวมเข้ากับร่างเทพสุริยะนิรันดร์เพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งนี้อย่างเต็มกำลังที่มี
สิบลมหายใจผ่านไป ก่อนที่ดอกบัวสีทองจะหายไปและหลุมดำก็เคลื่อนต่อลงมา คราวนี้มันพุ่งเป้าไปที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์และร่างมู่เฉินที่ปรับแต่งไปครึ่งเดียว
มู่เฉินเงยหน้าขึ้น ไม่มีความสุขหรือความเศร้าบนใบหน้า ร่างเทพสุริยะนิรันดร์กำจายรัศมี ดูราวกับพระพุทธรูปปรางสมาธิองค์ใหญ่
หลุมดำตกลงมาครอบคลุมบนร่างเทพสุริยะนิรันดร์
เมื่อแสงสีดำตกลงมา แสงสีม่วงทองก็เริ่มหมองคล้ำจากบริเวณศีรษะ…
มู่เฉินจับจ้องฉากนี้ก่อนที่จะค่อยๆ หลับตาลง ตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่าได้หลอมรวมกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์สมบูรณ์แล้ว
ความเข้าใจบางอย่างวาบขึ้นในหัวใจ
แสงสีดำยังคงบีบกดต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ถูกลบไปพร้อมกับร่างมู่เฉินที่เพิ่งได้ปรับแต่ง
ร่างมู่เฉินหายไปในมหานวดาราราวกับว่าภัยพิบัติเทียนจุนทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง
หลังจากที่มู่เฉินหายไป หลุมดำก็ค่อยๆ สลายลงระหว่างฟ้าดิน
สภาวะความวุ่นวายกลับสู่ความสงบ
ไม่มีใครรู้ว่าความเงียบงันคงอยู่นานแค่ไหน อาจจะเป็นทศวรรษหรือศตวรรษ… แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เวลาในมหานวดารานี้ก็ยังไหลอย่างเชื่องช้า…
ด้านนอกภูเขาเสี่ยหมัว
ไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ จ้องมองไปที่เจดีย์ขนาดใหญ่ด้วยความกังวลใจ แม้ว่าในมหานวดารามู่เฉินเหมือนจะได้รับการฝึกฝนมานานหลายทศวรรษ แต่ที่นี่ผ่านไปเพียงครึ่งวันเท่านั้น
แต่ครึ่งวันนี้ก็ยังทำให้ทุกคนที่เฝ้ารอรู้สึกกระวนกระวายใจ
เนื่องจากพวกเขารู้สึกได้ว่าเจดีย์สลัวลง นั่นหมายความว่าอีกไม่นานจอมปีศาจโลหิตก็จะเป็นอิสระ
ถ้ามู่เฉินยังไม่กลับมาในเวลานั้น พวกเขาทั้งหมดก็จะตายในมืออีกฝ่ายอย่างง่ายดาย
“ไม่ต้องรีบร้อน เราได้ทำในสิ่งที่ทำได้แล้ว ต่อไปก็รอเพียงโชคชะตาที่จะชี้ว่าเราจะชนะหรือแพ้” จอมยุทธ์มังกรขาวสงบนิ่งเนื่องจากได้เห็นความเป็นตายมามาก นอกจากนี้เขารู้ดีว่าความกังวลไม่ช่วยอะไรในสถานการณ์นี้
ไป๋ซู่ซู่ก็สงบลงเมื่อได้ยินพลางพยักหน้า “ท่านเทพจะต้องทำสำเร็จแน่นอน!”
จอมยุทธ์มังกรขาวถอนหายใจ เขารู้ว่าการไปถึงระดับเทียนจื้อจุนยากเย็นเพียงใด เนื่องจากตัวเขาก็เคยฝึกฝนเป็นเวลานานในมหาพันภพ แม้แต่เผ่าโบราณของมหาพันภพก็ยังยากที่จะสร้างจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เนื่องจากการก้าวขึ้นไปผู้ฝึกจำเป็นต้องผ่านเส้นทางอันตรายมากมาย ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยที่สุดก็หมายถึงความตาย
ดังนั้นแม้เขาจะรู้สึกว่ามู่เฉินเป็นอัจฉริยะ แต่ก็ไม่มั่นใจที่อีกฝ่ายจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้หรือไม่
เวลาไหลไปในมหานวดารา
ทันใดนั้นความผันผวนก็มาถึงพร้อมกับละอองสีทองปรากฏขึ้น แม้ว่าในตอนแรกจะดูอ่อนแอบอบบาง แต่ก็ค่อยๆ กำจายรัศมีออกมามากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
เส้นแสงแผ่ออกไปช้าๆ ละอองฝุ่นก็เริ่มหนาแน่นขึ้น เพียงสิบลมหายใจก็ถักทอกลายเป็นรังไหมสีม่วงทองขนาดพันจั้ง…
รังไหมปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณที่ดูเหมือนจะแสดงถึงความเป็นอมตะ
เมื่อรังไหมถูกสร้างขึ้น ก็ดูดกลืนพลังงานมหานวดารามากมาย กระบวนการนี้ใช้เวลายาวนานก่อนที่จะถึงขีดสุด จากนั้นก็มีรอยแตกแผ่ออกมา
แกร็ก แกร็ก
รอยแตกขยายออกไป ปกคลุมทุกตารางนิ้วของรังไหมอย่างรวดเร็ว อึดใจต่อมารังไหมก็สั่นไหวและแตกออก
แสงสีม่วงทองสุกปลั่งเปล่งประกายออกมา แม้แต่สภาวะความวุ่นวายก็ไม่สามารถปกปิดได้ทั้งหมด
ทันใดนั้นรัศมีที่อธิบายไม่ได้ก็รวมตัวกัน กระทั่งสภาวะความวุ่นวายยังเริ่มถอยห่างราวกับว่าไม่กล้าที่จะสัมผัสกับรัศมีนั้น
ภาพเงามองเห็นได้เลือนราง ไม่กี่ลมหายใจภาพคนคนหนึ่งก็ชัดเจนมากขึ้น
นี่เป็นชายหนุ่มสูงโปร่งสวมชุดสีดำที่มีประกายสีม่วงทองล้อมรอบตัวเขา การสั่นไหวทุกครั้งจะทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือนด้วยพายุเมฆโหมกระหน่ำ
ภายในรัศมีทรงกลดมู่เฉินลืมตาขึ้นช้าๆ ราวกับว่าดวงตาของเขาครอบครองจักรวาล ช่างดูเป็นนามธรรม เพียงแค่เหลือบมองก็ทำให้มิติแปรปรวน
เขาก้มหัวลงมองร่างกายของตนเองที่ระยิบระยับด้วยรัศมีหยกบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ตอนนี้ร่างกายของเขาได้หลอมรวมเลือดเนื้อและคลื่นหลิงเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์
ในอนาคตแม้ว่าร่างกายของเขาจะถูกทำลาย แต่ตราบใดที่ยังมีคลื่นหลิงเหลืออยู่ระหว่างสวรรค์และโลก เขาก็สามารถปรับแต่งร่างกายอีกครั้ง ช่างอยู่ยงคงกระพันนัก
“อา…นี่หรือระดับเทียนจื้อจุน?”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ความรู้สึกถึงพลังที่สามารถทำลายสวรรค์และโลกได้ทำให้เขามึนเมา พลังระดับนี้เป็นสิ่งที่เขาในอดีตไม่อาจจินตนาการได้เลย
เขารู้สึกได้ว่าแม้ในอดีตจะใช้กำลังอย่างเต็มที่ กระทั่งหลังจากเร้าวิชาเจดีย์แปดองค์ เขาก็ไม่สามารถเทียบกับฝ่ามือเดียวในปัจจุบันได้
“พลังนี้…ไม่แปลกใจที่ภัยพิบัติเทียนจุนน่ากลัวขนาดนั้น”
มู่เฉินเม้มปาก ถ้าเขาไม่ได้เข้าใจถึงทักษะเทห์สวรรค์ขั้นสามของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ในช่วงเวลาสุดท้าย เมื่อเกิดการหล่อหลอมเข้าด้วยกัน เขาคงเจอหายนะเข้าแล้วจริงๆ
ทักษะเทห์สวรรค์ขั้นสามเรียกว่าแปรเป็นตายอมตะ ซึ่งลึกซึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เงื่อนไขในการเรียนรู้ก็เข้มงวดยิ่ง มีเพียงการเผชิญหน้ากับความตายเท่านั้นถึงจะมีโอกาสฝึกฝนได้สำเร็จ
แต่เมื่อประสบความสำเร็จ แม้จะเผชิญกับความตาย เขาก็สามารถเกิดใหม่ ซึ่งจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย
ทักษะเทห์สวรรค์นี้ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก ท้ายที่สุดไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความกล้าพอจะเผชิญหน้ากับความเป็นตาย
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะถอนหายใจในหัวใจ เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากและความล้มเหลวนับไม่ถ้วนกว่าจะมาถึงจุดนี้ ทว่าเขาก็ยังรักษาหัวใจไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งอื่น
หลังจากเพาะบ่มมายาวนาน ในที่สุดความพยายามก็ออกดอกผล…
ออกจากเป่ยหลิงตั้งแต่เยาว์วัย วันนี้เขาก้าวเข้าสู่ประตูมังกรแล้ว
ตอนนี้มีที่สำหรับเขาในมหาพันภพแล้ว
มู่เฉินหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็โบกมือ เงาเขาค่อยๆ หายไปพร้อมกับสภาวะความวุ่นวายแรกเริ่มในมิตินี้…
ภูเขาเสี่ยหมัว
ครืน!
เสียงกึกก้องดังขึ้นระหว่างแผ่นฟ้ากับแผ่นดิน ทุกครั้งก็ทำให้ใบหน้าของผู้คนเปลี่ยนไป
เนื่องจากทั้งหมดนี่ล้วนมาจากเจดีย์
ขณะนี้เจดีย์กำลังสั่นสะท้านไม่หยุด ชัดว่ามีพลังน่าสะพรึงกลัวสร้างหายนะอยู่ภายใน ดูเหมือนว่าเจดีย์จะไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
ตู้ม!
ความปั่นป่วนอีกครั้งดังขึ้น เจดีย์สั่นสะท้านทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับมหาสมุทรเลือดพลุ่งพล่านออกมากลายเป็นร่างจอมปีศาจโลหิตบนท้องฟ้า
เมื่อผู้คนเห็นจอมปีศาจโลหิตก็อดรู้สึกสิ้นหวังในใจไม่ได้
แต่เมื่อพวกเขาเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความตาย จอมปีศาจโลหิตก็ไม่แม้แต่ปรายตามองมา แต่กลับมองไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
พวกไป๋ซู่ซู่อึ้งไปชั่วคราว ก่อนที่จะคิดออกทันที จากนั้นทุกคนก็เงยหน้าขึ้น พวกเขาเห็นลูกแสงมหานวดาราพุ่งลงมาจากท้องฟ้า
เมื่อแสงสลายไป ภาพเงาที่คุ้นเคยก็ก้าวออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ทำให้ความกลัวในใจทุกคนสงบลง
“ขออภัยที่ทำให้ทุกคนต้องรอคอย”
ฮึ่ม!
เมื่อแสงมหานวดารายิงเข้าศีรษะของมู่เฉิน ร่างกายของเขาก็สั่นเทิ้ม รูขุมขนทั่วสรรพางค์กายเปล่งรัศมีที่บรรจุด้วยคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งมาก ทันทีที่เคลื่อนออกจากร่างเขา ก็กลายเป็นเม็ดฝนโปรยลงมาในบริเวณนี้
เป็นเพราะพลังงานหลิงในร่างกายของมู่เฉินถึงขีดจำกัดจนไม่สามารถกักเก็บได้อีกต่อไป ดังนั้นร่างกายจึงเลือกการป้องกันตนเอง ปลดปล่อยพลังงานออกมา
แต่การปลอดปล่อยนี้ก็เท่ากับเมล็ดพืชเม็ดเดียวในมหาสมุทรเมื่อเทียบกับพลังมหาศาลที่ดวงจิตแห่งพิภพส่งมาถึงเขา
แกร็ก
ดังนั้นรอยแตกจึงเริ่มปรากฏขึ้นบนร่างของมู่เฉิน ในช่วงไม่กี่สิบลมหายใจสั้นๆ พื้นผิวร่างกายเขาก็เต็มไปด้วยรอยแตกที่ดูน่ากลัว
ทว่ามู่เฉินยังคงสงบสติอารมณ์เอาไว้ เนื่องจากเขารู้ว่าร่างกายมาถึงขีดจำกัดแล้ว…
“ในเมื่อถึงขีดจำกัดแล้ว… ก็แตกซะ…”
“หากปราศจากการทำลายล้างก็จะไม่มีการสร้าง แปรเปลี่ยนร่างเทียนจื้อจุน”
เขาพึมพำพร้อมกับความแน่วแน่ฉายในดวงตา โดยไม่ลังเลว่าภัยจะมาถึงตัว อึดใจฝ่ามือเขาก็สร้างตราประทับ ไม่ระงับพลังงานหลิงในร่างกายอีกต่อไป ปล่อยให้มันสร้างความหายนะอย่างเมามัน
ฮึ่ม ฮึ่ม!
แสงปะทุออกจากรอยแตกบนร่างของมู่เฉินแล้วเริ่มขยายตัวออก ครู่เดียวก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่
ปัง!
ร่างกายของมู่เฉินระเบิดกระจาย แต่ไม่มีเลือดสักหยด เศษส่วนร่างกายกลายเป็นฝุ่นละออง ทุกอณูวูบไหวด้วยผลึกแสง ลอยอยู่อย่างเงียบๆ
ฝุ่นละอองลอยอยู่ไม่รู้นานเท่าไรก่อนที่พายุจะก่อตัวขึ้น พัดจุดแสงให้รวมเข้าด้วยกัน
เมื่อเวลาผ่านไปภาพเงาก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นราวกับว่าเขากำลังพยายามปฏิรูปร่างกายอยู่
ครืน!
แต่ทันใดนั้นเสียงดังก้องผิดปกติก็ดังออกมา ซึ่งทำให้ร่างเงาที่อยู่ระหว่างกระบวนการสั่นไหว
แม้ว่าร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่จิตวิญญาณยังคงอยู่ มู่เฉินสัมผัสได้ถึงความผันผวนนี้ ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านพลางเงยหน้าขึ้นมอง
มหานวดาราเริ่มผันผวน เมฆดำโหมกระหน่ำพวยพุ่งพร้อมกับแสงสีดำแล่นแปลบปลาบอยู่ภายใน ไม่รู้ว่ามีอะไรก่อหวอดอยู่ภายใน แต่มันก็ยังดูดซับพลังสภาวะความวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลึกลับมากขึ้น
เมื่อมู่เฉินมองไปที่เมฆดำความกลัวก็เพิ่มขึ้นภายในหัวใจ ก่อนที่เสียงหนักแน่นจะดังก้องออกมาจากหัวใจของเขาในเวลาเดียวกัน “นี่คือ…ภัยพิบัติเทียนจุน?”
ว่ากันว่าผู้ฝึกจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติเทียนจุนเมื่อต้องการบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ภัยพิบัตินี้ทรงพลังมาก แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเองก็ยังหวาดกลัว
“ตอนนี้ชักจะลำบากแล้ว”
มู่เฉินถอนหายใจ ภัยพิบัติเทียนจุนดูเหมือนจะดูดซับพลังงานมหานวดารา ทำให้มีพลังน่ากลัวยิ่งขึ้น ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เขาจะต้องปรับแต่งร่างกาย หากถูกรบกวนละก็ เขาอาจสูญเสียโอกาสนี้ ดังนั้นห้ามมีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย
ซ่า ซ่า!
ขณะที่มู่เฉินกำลังจดจ่อ เมฆสีดำก็ผันผวนบนท้องฟ้า กระแสน้ำสีดำพุ่งลงมาจากสวรรค์ มิติแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในเส้นทางที่ผ่าน
มู่เฉินหดดวงตา ร่างเขาที่กำลังปรับแต่งก็ระเบิดด้วยรัศมีสีม่วงทอง ก่อนที่จะเรียกร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา เมื่อมือเขาประสานเข้าด้วยกันรหัสเทพอมตะสามร้อยลายก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า กลายเป็นกำแพงเหนือท้องฟ้า
ตู้ม!
กระแสน้ำสีดำกระแทกบนกำแพงจนสั่นคลอนไปหมด น้ำสีดำทุกหยดหนักราวกับภูเขา เมื่อเทลงมาพร้อมกันก็คล้ายกับน้ำหนักนับหมื่นนับแสนถล่มลงมา สำแดงพลังอันน่าทึ่ง
รอยแตกเริ่มปรากฏบนผนัง แต่โชคดีที่ไม่แตก ยังคงอยู่จนกระแสน้ำสีดำสลายหายไป
“ภัยพิบัติเทียนจุนน่าสะพรึงอะไรขนาดนี้!”
หัวใจของมู่เฉินอดสั่นสะท้านไม่ได้ นี่เป็นเพียงเริ่มต้น แต่การป้องกันที่เขาสร้างขึ้นจากรหัสเทพอมตะสามร้อยลายเกือบจะพังทลาย แล้วถ้ารอบท้ายๆ จะน่ากลัวขนาดไหน?
มู่เฉินรู้สึกหวาดกลัวในใจและไม่กล้าที่จะประมาท เขาเร้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทันที สร้างรหัสเทพอมตะนับไม่ถ้วนเพื่อเสริมกำแพง…
เมฆดำเริ่มกวนตัวอีกครั้ง ในเวลาต่อมาอุณหภูมิระหว่างสวรรค์และโลกก็เพิ่มสูงขึ้น ทันใดนั้นดาวหางก็พุ่งลงมา
ดาวหางมีสีดำแม้จะดูอ่อนแอ แต่มู่เฉินก็ไม่กล้าประเมินต่ำ กำแพงสีม่วงทองเปล่งแสงสีทองเรืองรองออกมา…
ดาวหางเคลื่อนลงมาชนกับผนัง แต่น่าแปลกที่ไม่มีการระเบิดเกิดขึ้น มู่เฉินเห็นว่าเมื่อดาวหางร่วงลงก็คล้ายกับพิษที่มีฤทธิ์กัดกร่อน ซึ่งกัดกร่อนกำแพงสีม่วงทองอย่างรวดเร็ว…
เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ก็เข้าควบคุมเหวี่ยงกำแพงออกไป ครู่ต่อมากำแพงก็สึกกร่อนกลายเป็นลาวาหลอมเหลวโดยดาวหาง
ครืน!
ก่อนที่มู่เฉินจะได้ถอนหายใจกับพลัง เมฆดำก็เริ่มม้วนตัวอีกครั้ง แต่คราวนี้อุกกาบาตสีดำพุ่งลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับการเคลื่อนที่หนักหน่วง
เมื่อมองไปที่อุกกาบาตสีดำ มู่เฉินรู้ว่าไม่สามารถให้มันรวมพลังเพราะยิ่งเข้าใกล้ตัวก็ยิ่งแรง เพียงแค่คิดรัศมีแสงจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์และรหัสเทพอมตะก็กลายเป็นหอกสีทอง
ฟิ้ว!
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์เหวี่ยงมือ หอกก็พุ่งออกไปกระแทกกับอุกกาบาตสีดำ ทำให้อุกกาบาตสั่นสะท้าน แต่ตัวหอกก็กลายเป็นเถ้าถ่านภายใต้พลังน่าสะพรึงกลัว
ฟิ้ว ฟิ้ว!
แต่หลังจากนั้นหอกอีกจำนวนมากก็ซัดขึ้นสู่ท้องฟ้า แม้ว่าจะถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ความเร็วของอุกกาบาตาก็ลดลง
เมื่อถึงเวลานี้ มู่เฉินก็เร้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์อีกครั้ง รหัสเทพอมตะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่
ตู้ม ตู้ม!
อุกกาบาตสีดำกดลงมาทำลายตาข่าย แต่เมื่อตาข่ายละลายลง อุกกาบาตสีดำก็หดลงเหลือครึ่งหนึ่ง
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า รัศมีสีทองเปล่งบนกำปั้นจากนั้นชกไปที่อุกกาบาตสีดำ
ตู้ม!
คลื่นกระแทกมืดฟ้ามัวดินพัดออกมา อุกกาบาตสีดำถูกทำลาย แต่ในเวลาเดียวกันร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็กระเด็นออกไปพร้อมกับรอยแตกปรากฏบนร่างกาย
เมื่ออุกกาบาตสีดำถูกทำลาย เมฆดำบนท้องฟ้าก็เงียบไป แต่หัวใจของมู่เฉินกลับตึงเครียดขึ้น เขารู้ดีว่าหลังจากการรวมพลังเช่นนี้ การโจมตีจะน่ากลัวยิ่งขึ้น
ครืน!
ทันใดนั้นสายฟ้าสีดำก็ฉีกขอบฟ้าออกซัดลงมา สายฟ้าทุกสายมีพลังทำลายล้างดูน่ากลัวจนไม่น่าเชื่อ
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไป เขาตะเบ็งเสียงโดยไม่ลังเล ร่างเทพสุริยะนิรันดร์กำจายรัศมี ดอกบัวสีทองขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นห่อหุ้มพวกเขาไว้
ปัง ปัง!
สายฟ้าฟาดลงมาอย่างต่อเนื่องกระแทกกับดอกบัวสีทอง ทุกสายทำให้ดอกบัวสั่นเทิ้ม กลีบดอกแตกออก
การโจมตีนี้รุนแรงอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังดำเนินต่อไปราวกับพายุไม่มีที่สิ้นสุดในท้องฟ้า แม้ว่ามู่เฉินจะใช้การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ยังดูเหมือนเรือลำเล็กในพายุราวกับจะล่มลงได้ทุกเมื่อ
เปรี้ยงๆๆๆ
เสียงสายฟ้าฟาดดังสะท้อนอย่างต่อเนื่อง เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เขาคิดแต่ซ่อมแซมดอกบัวอมตะเท่านั้น แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาสภาพไว้ได้
ดังนั้นเมื่อดอกบัวอมตะถึงขีดจำกัดในที่สุดและระเบิดออก…
เมื่อดอกบัวแตกสลาย เกลียวสีดำหลายชิ้นก็ตกลงมาบนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทำให้เกิดรอยร้าวขึ้น
แต่โชคดีที่สายฟ้าอ่อนกำลังลงหมดแล้ว มู่เฉินผ่านภัยพิบัติเทียนจุนได้อีกด่าน
พอสายฟ้าหายไป มู่เฉินก็สูดหายใจเย็นลึกสุดปอด ภัยพิบัติเทียนจุนน่ากลัวเกินไป ไม่น่าแปลกใจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแค่หยิบมือในโลก เพียงแค่ภัยพิบัติด่านนี้ก็สามารถหยุดยั้งผู้คนจำนวนมากไม่ให้ก้าวหน้าได้
“ภัยพิบัติเทียนจุนโดยทั่วไปมีสี่ระยะ น่าจะจบลงแล้วมั้ง?”
มู่เฉินพึมพำในใจ หากมีลงมาอีกสองสามรอบ คราวนี้ไม่ต้องพูดถึงเขา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริงก็ไม่สามารถรับได้
ฮึ่ม ฮึ่ม
แต่เมื่อพูดจบ เขาก็รู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนที่มาจากเมฆดำจนต้องเงยหน้าขึ้น จากนั้นเขาก็เห็นเมฆดำกำลังหดตัว ไม่กี่ลมหายใจพวกมันก็สลายและถูกแทนที่ด้วยหลุมดำ…
หลุมดำลอยคว้างอยู่บนท้องฟ้า ก่อนที่จะพุ่งลงมาหามู่เฉิน
“ฉิบหาย! ทำไมถึงมีระยะที่ห้าอีก?!”
เมื่อหลุมดำเคลื่อนตัวลงมาก็ทำเอาหัวใจมู่เฉินโลดขึ้น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานมหาศาลพวยพุ่งอัดแน่นอยู่ภายใน
พลังนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าพลังเต็มร้อยของจอมปีศาจโลหิตซะอีก
หัวใจของมู่เฉินแทบหลุดจากเบ้า แม้ว่าจะมีภัยพิบัติเทียนจุนที่เกินสี่ระยะ แต่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะเป็นคนที่โชคร้ายได้รับแบบนี้
นอกจากนี้หลุมดำนั้นดูเหมือนจะก่อตัวขึ้นหลังจากดูดซับพลังงานมหานวดารา พลังที่มันมีไม่อาจอธิบายได้เลย
“ทีนี้…นรกของจริงแล้ว”
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
เมื่อแสงรวมตัวกันห่อหุ้มมู่เฉิน
ความมุ่งมั่นปรารถนาก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาหลับตาลงภายใต้การป้องกันของแสงนับไม่ถ้วน พุ่งเข้าไปในความว่างเปล่า…
มู่เฉินไม่รู้ว่านานแค่ไหน จู่ๆ จิตวิญญาณก็ลืมตาขึ้นมา เขาเห็นตัวเองอยู่ในจักรวาลยุคแรกเริ่ม สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นจุดกำเนิดของโลก กระทั่งเวลายังช้าลงมาก
เมื่อมองไปที่จักรวาลนั้น มู่เฉินก็ค่อยๆ แผ่คลื่นจิตออกไปเพื่อสัมผัสถึงดวงจิตแห่งพิภพที่ซ่อนอยู่…
เขาไม่ได้รับคำตอบ แต่เมื่อแสงรอบตัวแข็งแกร่งขึ้น เขาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความผันผวนแปลกประหลาดแผ่มาจากแสงมหาศาลแรกเริ่ม
จิตวิญญาณมู่เฉินรีบตามหาไป จากนั้นเขาก็พบแสงที่เปล่งออกมาราวกับมหาสมุทรทำให้เกิดความผันผวน
มหานวดารานี้ดูเหมือนจะบรรจุด้วยชีวิตที่ไม่มีที่สิ้นสุดพร้อมกับปลดปล่อยพลังที่ทำให้มู่เฉินตกตะลึง พลังงานนี้บริสุทธิ์และเก่าแก่มาก ราวกับว่าเกิดมาพร้อมกับพิภพแห่งนี้…
มู่เฉินมองไปที่สภาวะความวุ่นวายที่ดูราวกับมหาสมุทร เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนยิ่งใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นดวงจิตแห่งพิภพนี้
ซ่า ซ่า
มหานวดาราแรกเริ่มกระเพื่อมไหวพร้อมกับเสียงน้ำไหลดังก้อง มีกระแสน้ำวนขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ลูกกลมขนาดพันจั้งก็ค่อยๆ ลอยขึ้น
ลูกกลมนี้ดูเหมือนหัวใจที่เต้นแผ่วเบา พร้อมกับทุกจังหวะชีพจร โลกใบนี้ก็จะกระเพื่อมตาม
เมื่อมันหายใจก็ดูเหมือนจะมีพายุรวมตัวกันและกระแสน้ำไหลย้อน…
“นี่คือดวงจิตแห่งพิภพรึ?”
มู่เฉินมองไปที่ลูกกลม แม้เขาจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงจิตใต้สำนึก แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณที่อยู่ภายใน
“หืม?”
ทันใดนั้นมู่เฉินก็หดดวงตา เนื่องจากเขาเห็นรอยเลือดบนลูกกลมแสงที่เหมือนแมลง ช่างดูแปลกแยกกับความกลมเกลี้ยงนัก
“เป็นเพราะการรุกรานของเผ่าเสี่ยเสีย สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนถูกสังหาร ดังนั้นดวงจิตแห่งพิภพจึงได้รับผลกระทบด้วยเหรอ?” สายตาของมู่เฉินเปล่งประกายเมื่อคิดได้ถึงเรื่องนี้
แต่สถานการณ์นี้กลับทำให้เขาดีใจมากขึ้น เนื่องจากดวงจิตแห่งพิภพสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจากเผ่าเสี่ยเสีย ดังนั้นก็น่าจะยอมรับเขาได้ง่ายขึ้น
ด้วยความคิดนี้ มู่เฉินก็ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้
“ดวงจิตแห่งพิภพ ข้าสามารถช่วยเจ้าขับไล่เผ่าเสี่ยเสียได้ แต่ตอนนี้ข้าต้องการพลังของเจ้า”
มู่เฉินไม่คิดปกปิด เปิดเผยวัตถุประสงค์ให้ทราบตรงๆ เขารู้ดีว่าแม้ว่าดวงจิตแห่งพิภพจะไม่มีจิตใต้สำนึก แต่ก็มีจิตวิญญาณ สามารถตัดสินอันตรายใดๆ ที่เกิดขึ้นกับบ้านของตนได้
แสงมหานวดาราสั่นสะเทือนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ขยับ
มู่เฉินรู้ว่านั่นเป็นเพราะเขาไม่ใช่คนบนโลกใบนี้ ดังนั้นดวงจิตพิภพจึงรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง ถ้าไป๋ซู่ซู่เป็นคนที่อยู่ที่นี่ ดวงจิตนี้คงจะช่วยเหลือโดยไม่ลังเล
ทว่าตัวเขาก็ไม่ได้เร่งรีบอะไร พูดต่ออย่างเคร่งขรึมว่า “จอมปีศาจโลหิตทรงพลัง ถ้ามันเป็นอิสระ ข้าก็ไม่อาจสู้ได้ ตอนนั้นข้าคงทำได้เพียงเลือกปกป้องตัวเองออกจากพิภพนี้ไป ที่นี่ก็คงจะต้องประสบกับการล้างเผ่าพันธุ์ของเผ่าเสี่ยเสีย สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะถูกเขมือบไป”
“ในเวลานั้นแม้ว่าเจ้าจะเป็นดวงจิต แต่ก็ยากที่จะรอดพ้นจากการรุกรานจากจอมปีศาจโลหิตจนถูกชำระในที่สุด”
คำพูดของมู่เฉินดูโหดร้าย ดวงจิตที่ได้รับการปนเปื้อนก็สั่นสะท้านรุนแรง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ก้าวออกมา
สายตามู่เฉินวูบไหว เขารู้ว่านี่ยังไม่เพียงพอ ถ้าเขาชำระดวงจิตแห่งพิภพนี้ เขาก็จะเทียบเท่ากับเจ้าพิภพ ซึ่งชี้เป็นชี้ตายสรรพชีวิตทั้งหมดด้วยความคิดวูบเดียว
ในฐานะผู้พิทักษ์เห็นได้ชัดว่าดวงจิตแห่งพิภพไม่ค่อยเชื่อใจคนนอกอย่างเขา
ดังนั้นมู่เฉินจึงก้าวเข้าไปอีกขั้น “ถ้าข้าเป็นเจ้าพิภพแห่งนี้ ข้าสาบานว่าจะรักษาความสงบสุขเอาไว้ ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่จะไม่มีเผ่าปีศาจใดเข้ามารุกรานที่นี่ได้อีก!”
เสียงของเขาหนักแน่นและก้องอยู่เป็นเวลานาน
เขาสาบานในใจ แม้ว่าคนอื่นจะไม่สามารถรับรู้ได้ แต่ดวงจิตแห่งพิภพที่ถือกำเนิดจากฟ้าดินต้องรับรู้ได้ถึงเรื่องนี้อย่างแน่นอน หากหัวใจของเขาไม่จริงใจก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากประสาทสัมผัสของดวงจิตนี้ไปได้แน่นอน
ดังนั้นไม่นานหลังจากที่มู่เฉินสัญญา ดวงจิตแห่งพิภพก็ระเบิดออกพร้อมกับแสงดาวฤกษ์มวลมหาศาลนับไม่ถ้วนประหนึ่งข้อความจากสวรรค์
เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น เขารู้ว่าดวงจิตนี้ยอมรับแล้ว…
ดังนั้นร่างกายของเขาที่นอกภูเขาเสี่ยหมัวก็หายวับ ด้วยความคิดครั้งเดียวและมาปรากฏที่นี่
จิตของมู่เฉินกลับคืนสู่ร่าง สายตามองไปยังลูกกลมมหานวดาราก่อนที่เขาจะผ่านแนวป้องกัน พลิ้วตัวลงบนลูกกลม
เขานั่งลงปิดตาค่อยๆ เข้าไปในขอบเขตของลูกกลมอันวุ่นวาย
เวลาที่นี่ช้าลง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เขาจะได้มีเวลาบรรลุระดับเทียนจื้อจุน
เมื่อร่างกายเข้าสู่ลูกกลม มู่เฉินก็ตัวสั่นสะท้าน เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานมหานวดาราไร้ขอบเขตที่มาจากทุกทิศทางขณะที่ไหลลงสู่หัวใจ
ตู้ม!
คลื่นมหานวดารามีต้นกำเนิดจากพิภพเขตล่าง ช่างไร้ขอบเขตและยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งในมหาพันภพก็ถือได้ว่าเป็นพลังงานชั้นยอด แต่สามารถพบได้ในสถานที่ที่จิตวิญญาณของพิภพถือกำเนิดเท่านั้น
เมื่อรู้สึกถึงพลังงานไร้ขอบเขต มู่เฉินก็หมุนเวียนทักษะการเพาะบ่มทันที ร่างกายเขาสั่นสะท้าน คล้ายกับปากที่หิวโหยขณะกลืนกินพลังงาน
เพียงไม่กี่สิบลมหายใจ มู่เฉินก็รู้สึกราวกับว่ากินของเหลวจื้อจุนไปสักสองสามพันล้านหยด หัวใจของเขาสั่นระรัว ไม่คิดว่าดวงจิตแห่งพิภพจะบริสุทธิ์และไร้ขอบเขตปานนี้ สมกับการเป็นจิตวิญญาณที่เกิดระหว่างฟ้าดินอย่างแท้จริง
เมื่อความคิดของเขาไหลเวียน เขาก็สงบจิตใจจมดิ่งสู่การบ่มเพาะพลัง
ในสถานที่แห่งนี้ เวลาไหลเวียนเชื่องช้า มู่เฉินจึงไม่ได้กังวล เขาปล่อยให้พลังงานหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
มู่เฉินเหมือนอยู่ในสภาพนี้ไปหลายสิบปี ร่างของเขาราวกับก้อนหินที่ไม่มีการเคลื่อนไหว แม้แต่ลมหายใจก็แผ่วลง
เวลาเคลื่อนช้าลงในสภาวะความวุ่นวาย
มีเพียงพลังงานมหานวดาราเท่านั้นที่หลั่งไหลเข้ามาในศีรษะของมู่เฉินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด…
สถานะนี้คงอยู่เป็นเวลานาน จนในที่สุดการเปลี่ยนแปลงก็ปรากฏขึ้นกะทันหัน
วันหนึ่ง จู่ๆ ร่างกายของมู่เฉินก็สั่นสะท้าน อึดใจถัดมาดวงตาเขาก็ค่อยๆ เปิดขึ้น
ฮึ่ม!
เมื่อเขาลืมตาขึ้น แสงแพรวพราวก็ยิงออกมาจากดวงตา ก่อนที่จะยิงเข้าไปในมหานวดาราแล้วหายไป
มู่เฉินค่อยๆ กำหมัดแน่น สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงไร้ขอบเขตในร่างกาย เขาตัวสั่นเบาๆ ราวกับว่ามีเสียงฟ้าร้องดังก้องในร่างนับไม่ถ้วน
ตู้ม!
รัศมีระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน จากนั้นร่างกายก็เริ่มขยาย
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็ขยายถึงหนึ่งพันจั้ง ขณะนั่งอยู่ท่ามกลางมหานวดาราแรกเริ่ม
ร่างกายของเขาเปล่งประกายรัศมีศักดิ์สิทธิ์ ดูราวกับดวงอาทิตย์ที่เปล่งประกายแวววาวในความวุ่นวายนี้
เมื่อมองไปที่ร่างกายตนเอง มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงทั่วสรรพางค์กายและเลือดที่บรรจุด้วยพลังงานไร้ขอบเขต
คลื่นหลิงเติมเต็มในร่างกาย มากจนเขาไม่สามารถรับเพิ่มได้อีกแม้แต่น้อย
รู้สึกเหมือนว่าทะเลสาบที่เอ่อล้นจนถึงขีดจำกัด หากเพิ่มอีกสักหยดก็จะทำให้ทะเลสาบรั่วไหล
ขณะนี้เขามาถึงจุดสูงสุดภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ตามการคาดการณ์หากเขาเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนในตอนนี้ เขาสามารถสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดายด้วยพลิกฝ่ามือ
เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของกำแพงกั้นเส้นทางของเขา
“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นอุปสรรคที่ขวางระดับเทียนจื้อจุน…”
ใบหน้าของมู่เฉินตกอยู่ในความครุ่นคิด ตอนนี้เขามาถึงจุดสุดแล้ว สิ่งนี้อาจทำลายอุปสรรคได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะระเบิดร่างตัวเอง ถึงตอนนั้นเมื่อเกิดผลสะท้อนกลับของคลื่นหลิงก็จะถึงคราวสิ้นชีพของเขา
ผลลัพธ์ที่แตกต่างสุดขั้วสองแบบนี้น่ากลัวจนไม่กล้าที่จะเสี่ยงลอง
สายตาของมู่เฉินวูบไหวก่อนที่จะคมปลาบขึ้น เส้นทางแห่งการฝึกฝนขุมพลังเต็มไปด้วยภัยพิบัติตั้งแต่เริ่มก้าวเดิน ถ้าเขาต้องการไปถึงจุดสูงสุดก็ต้องมีความกล้าหาญ วันนี้เป็นโอกาสของเขา ถ้าเขาละไปก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีโอกาสได้รับอีกครั้ง
คิดถึงจุดนี้ สีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่โดยปราศจากความลังเลและหวาดกลัว
เขาเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในความว่างเปล่าและพูดว่า “โปรดช่วยข้าทำลายอุปสรรคที่ขวางการบรรลุระดับเทียนจื้อจุนด้วย!”
มหานวดารายังคงนิ่งเงียบชั่วครู่ ก่อนที่ลูกกลมจะลอยขึ้นและหดตัวลงทันที จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงพุ่งใส่ศีรษะของมู่เฉิน
มู่เฉินหายใจเข้าลึกพลางหลับตาลง
ความสำเร็จหรือความล้มเหลวทั้งหมดขึ้นอยู่กับสิ่งนี้!
แสงกระจายจากไข่มุกมังกรขาว
ก่อนที่จะค่อยๆ ก่อร่างเป็นภาพเงาของชายสูงวัย
ร่างนั้นสวมชุดคลุมสีขาว เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น แววตาดูสับสนในตอนแรก แต่หลังจากเห็นภูเขาขนาดใหญ่เบื้องหน้า ร่างกายเขาก็สั่นสะท้านพร้อมกับความตื่นเต้นพล่านในดวงตา
“ภูเขาเซิ่งหลง!”
เขาพึมพำจากนั้นดวงตาก็กะพริบวูบไหวขณะหันไปมองมู่เฉิน
“ผู้อาวุโสนานมากแล้วที่ไม่ได้เจอกัน” มู่เฉินยิ้ม
“เจ้า…”
จอมยุทธ์มังกรขาวมองไปที่มู่เฉินด้วยความตะลึงงัน ก่อนที่จะนึกขึ้นได้อย่างรวดเร็วนานมากแล้วที่เขาได้พบกับมู่เฉิน แต่ตอนนั้นชายหนุ่มยังไม่ได้เข้าสู่ระดับจื้อจุนเลย แต่ตอนนี้กระทั่งเขายังไม่สามารถมองเห็นขุมพลังของมู่เฉินได้
“ผู้อาวุโสยังจำสิ่งที่ท่านฝากข้าทำได้ไหม?” มู่เฉินยิ้มพลางประสานมือ
จอมยุทธ์มังกรขาวเข้าใจในทันที ดวงตาของเขาสั่นไหวขณะมองสถานที่ที่คุ้นเคย “นี่คือบ้านเกิดของข้า!”
“เผ่าปีศาจล่ะ?” ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางสิ่ง ใบหน้าเปลี่ยนไป
“ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งหมดถูกข้าสังหารไปแล้ว” มู่เฉินตอบ
เมื่อจอมยุทธ์มังกรขาวได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึง สายตามองไปที่มู่เฉินด้วยความไม่เชื่อเพราะเขารู้ว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตเหล่านั้นเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มในมหาพันภพเลยทีเดียว พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่แม้แต่เขายังไม่สามารถเผชิญหน้าได้แม้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ชายหนุ่มคนนี้สังหารพวกมันทั้งหมดรึ?
“ท่านบรรพบุรุษไป๋หลง! สิ่งที่ท่านเทพบอกไม่ใช่เรื่องโกหก ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตถูกสังหารหมดแล้วเจ้าค่ะ!”
ขณะที่จอมยุทธ์มังกรขาวกำลังตกตะลึง เสียงกระจ่างใสก็ดังก้อง ร่างเงาหนึ่งสั่นไหวด้วยแรงอารมณ์
ไป๋หลงเอี้ยวไปมองก็เห็นไป๋ซู่ซู่มองมาด้วยน้ำตาคลอคลอง อารมณ์หลากหลายสะท้อนบนใบหน้านาง
“เจ้าคือ…” ไป๋หลงมองไปที่ไป๋ซู่ซู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะอุทาน “เจ้าเป็นทายาทสายเลือดมังกรขาวของข้าหรือ?”
“ไป๋ซู่ซู่ทักทายท่านบรรพบุรุษ!” ไป๋ซู่ซู่คุกเข่าลง ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง
จอมยุทธ์มังกรขาวมองไปที่นางพลางยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่คิดว่าลูกหลานของข้าจะเหนือกว่าขนาดนี้ ข้าไร้ประโยชน์นักที่ไม่สามารถปกป้องโลกได้”
เขาบอกได้เลยว่าไป๋ซู่ซู่แข็งแกร่งกว่าเขามากเมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่
ไป๋ซู่ซู่รีบตอบ “ท่านบรรพบุรุษเป็นเพราะผู้อาวุโสของสำนักสละชีวิตเพื่อทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ ไม่ใช่ความสามารถของลูกหลานเอง ท่านแสวงหาความช่วยเหลืออย่างขมขื่นแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ท่านเทพมาที่นี่เพื่อช่วยพวกเรา”
จอมยุทธ์มังกรขาวอึ้งไปก่อนที่จะหลุบตาลง “ดูเหมือนว่าพวกเขาใช้หนทางสุดท้าย… แต่สิ่งนี้ก็ต้องการคนที่เหมาะสมเช่นกันและเจ้าก็ไม่ธรรมดาที่ทำได้สำเร็จ”
มู่เฉินยิ้ม “ตอนนี้ไม่ใช่เวลารำลึกความหลัง ผู้อาวุโสแม้ว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตจะถูกกำจัดไปแล้ว แต่ก็มีปัญหาใหญ่กว่าตอนนี้…”
เขาชี้ไปทางเจดีย์ “พวกมันแอบสร้างจอมปีศาจโลหิตขึ้นก่อนที่จะตาย ซึ่งเปรียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว”
เมื่อเขาพูดจบใบหน้าของจอมยุทธ์มังกรขาวก็เต็มไปด้วยความหวาดผวา เนื่องจากตัวเขามีโอกาสฝึกฝนขุมพลังในมหาพันภพ เขาจึงรู้โดยธรรมชาติว่าระดับเทียนจื้อจุนน่ากลัวเพียงใด
ใครจะคิดว่าเผ่าเสี่ยเสียจะสร้างจอมปีศาจในโลกของพวกเขาได้…
“แล้วเราจะทำยังไงดี? หรือว่าสวรรค์ต้องการทำลายล้างโลกของข้าจริงๆ” ใบหน้าของจอมยุทธ์มังกรขาวหดหู่ลงหลายส่วน
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับโอกาสที่ท่านเคยสัญญากับข้าในตอนนั้น” มู่เฉินยิ้ม
จอมยุทธ์มังกรขาวอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่ดวงตาจะสว่างวาบพลางมองไปที่มู่เฉินด้วยความตื่นเต้น “เจ้าอยู่บนเส้นทางที่จะเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนแล้วหรือ?”
“ตอนนี้ข้ากำลังค้นหาเส้นทางอยู่” มู่เฉินพยักหน้าพลางมองไปที่จอมยุทธ์มังกรขาวด้วยดวงตาที่ลุกโชน “ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสมีคำแนะนำอะไรหรือไม่?”
เขามาไกลและทุ่มเทมากเพื่อโอกาสที่จอมยุทธ์มังกรขาวสัญญาไว้ เขาต้องการลองดูว่าตนเองจะพบเส้นทางไปสู่ระดับเทียนจื้อจุนที่นี่ได้หรือไม่
ดวงตาของจอมยุทธ์มังกรขาวกะพริบขณะที่ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “กรณีนี้เราอาจคว้าโชคได้”
จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า “ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินเรื่องเทพจักรพรรดิสงครามหรือเปล่า?”
มู่เฉินพยักหน้า “ข้าเคยพบกับท่านเทพจักรพรรดิสงครามมาครั้งหนึ่ง”
เมื่อจอมมังกรขาวได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ เทพจักรพรรดิสงครามเป็นสุดยอดกระทั่งในมหาพันภพ ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ธรรมดา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยากที่จะพบตัวเขา ดูท่าประสบการณ์ของมู่เฉินจะไม่ธรรมดา
“งั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่าเทพจักรพรรดิสงครามมาจากพิภพเขตล่างเช่นกัน ซึ่งมีสถานการณ์คล้ายคลึงกับที่นี่ โลกของเขาประสบกับการรุกรานของเผ่าปีศาจ แต่ต่อให้เขากำเนิดในพิภพเขตล่างก็ไม่ใช่บุคคลที่เราสามารถเทียบเคียงได้ เขาโรมรันไปทั่วหล้าฆ่าเผ่าปีศาจทั้งหมดจนสิ้นซาก…” ขณะที่ไป๋หลงพูดก็ถอนหายใจ มีเพียงสุดยอดอัจฉริยะอย่างเทพจักรพรรดิสงครามเท่านั้นที่สามารถสร้างตำนานได้
มู่เฉินพยักหน้า ทุกคนในมหาพันภพรู้เกี่ยวกับตำนานของเทพจักรพรรดิสงครามดี
“แต่เจ้าคงไม่รู้ว่าสาเหตุที่เทพจักรพรรดิสงครามสามารถเอาชนะราชันปีศาจได้นั้น เพราะมีสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก…” จอมยุทธ์มังกรขาวยิ้มก่อนที่จะพูดต่อ “สิ่งนั้นเรียกว่าดวงจิตแห่งพิภพ”
“ที่เรียกว่า ‘ดวงจิตแห่งพิภพ’ ถือได้ว่าเป็นจิตวิญญาณของพิภพเลยทีเดียว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโลก แต่สิ่งนั้นไม่มีความนึกคิด ดังนั้นหากเจ้าสามารถควบคุมได้ เจ้าก็สามารถใช้พลังของโลกแห่งนี้ได้”
“แต่ไม่ใช่พิภพเขตล่างทั้งหมดจะมีดวงจิตแห่งพิภพ เพราะสิ่งนี้ต้องการปัจจัยหลายอย่างในการสร้าง ดังนั้นมีเพียงพิภพส่วนน้อยที่จะมีสิ่งนี้”
จอมยุทธ์มังกรขาวชี้ไปที่โลกขณะที่พูดต่อ “ซึ่งในโลกนี้…มีดวงจิตแห่งพิภพอยู่พอดี”
“และอาศัยสิ่งนั้น…”
จอมยุทธ์มังกรขาวมองไปที่มู่เฉินเอ่ยต่อ “เจ้าจะสามารถฝ่าคอขวดและก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน!”
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านพร้อมกับไฟลุกโชนในดวงตา เขาเดาถูกการมาที่โลกนี้จะสามารถช่วยให้เขาแสวงหาโอกาสที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน!
“แต่โดยทั่วไปแล้วดวงจิตแห่งพิภพจะสามารถรับรู้จากสิ่งมีชีวิตของโลกนี้เท่านั้น เทพจักรพรรดิสงครามก็รับรู้ได้ในตอนนั้น เขาสามารถเชื่อมต่อกับดวงจิตแห่งพิภพและจัดการเอาชนะผู้นำเผ่ายี่หมัวได้”
ขณะที่พูดเขาก็หันไปมองไปที่ไป๋ซู่ซู่ด้วยความเสียดาย “น่าเสียดายที่พวกเราในตอนนั้นไม่มีใครเข้าถึงระดับนั้นแบบเทพจักรพรรดิสงครามได้ แม้ว่าซู่ซู่จะไปถึงระดับนั้น แต่เนื่องจากพลังส่วนใหญ่ของนางมาจากภายนอก ดังนั้นนางจึงไม่สามารถสัมผัสถึงดวงจิตแห่งพิภพ…ต่อให้นางจะทำได้ แต่ก็ไม่มีทางที่นางจะปรับแต่งและเชื่อมต่อได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นมู่เฉินก็ขมวดคิ้ว เนื่องจากเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตของโลกนี้
“ฮ่าๆ ไม่ต้องกังวล ในเมื่อข้าสัญญากับเจ้าแล้ว ข้าก็ย่อมมีวิธี”
จอมยุทธ์มังกรขาวหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะพูดต่อ “หากสิ่งมีชีวิตในโลกนี้มีความปรารถนาร่วมกัน พวกเขาก็สามารถใช้พลังแห่งความปรารถนาเพื่อช่วยให้เจ้ารู้สึกถึงดวงจิตแห่งพิภพ”
“สิ่งมีชีวิตทั้งหมด?” มู่เฉินตกอยู่ในภวังค์
“หัวใจของมนุษย์ยากหยั่งถึง ในช่วงปกติเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุสิ่งนี้ แต่โลกนี้ตกอยู่ภายใต้การคุกคามของเผ่าเสี่ยเสียมาเนิ่นนาน ทุกคนทนทุกข์ทรมาน ดังนั้นหากมีความหวังข้าเชื่อว่าพวกเขาจะไม่มีใครยอมแพ้” จอมยุทธ์มังกรขาวเอ่ย
เมื่อมู่เฉินได้ยินเช่นนั้น สายตาก็วูบไหว เขาโค้งคำนับต่อจอมยุทธ์มังกรขาว “ถ้าทำได้ข้าจะปกป้องความสงบสุขของโลกนี้ไว้เอง”
หากเขาสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน เขาก็ไม่ต้องกลัวจอมปีศาจโลหิตและจะง่ายสำหรับเขาที่จะปราบอีกฝ่าย ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ดิ้นรนเหมือนเทพจักรพรรดิสงครามในอดีต
นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาแข็งแกร่งกว่าเทพจักรพรรดิสงคราม แต่ตอนนั้นอีกฝ่ายอยู่ในพิภพเขตล่าง ดังนั้นวิธีการจึงมีอยู่อย่างจำกัด ส่วนมู่เฉินไม่เพียงแต่มาจากมหาพันภพ เขายังมีทักษะในตำนานถึงสองวิชา ดังนั้นหากเขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน เขาก็จะสามารถจัดการกับจอมยุทธ์คนใดก็ได้ในระดับเดียวกันอย่างง่ายดาย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอขอบคุณสำหรับการปกป้องของเจ้าพิภพมู่ด้วย…” จอมยุทธ์มังกรขาวกล่าวด้วยความเคารพ หากมู่เฉินสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้ เขาก็จะได้รับการจัดอันดับอยู่ในลำดับต้นๆ ของมหาพันภพและอาจได้รับการพิจารณาให้เป็นเทพจักรพรรดิเลยทีเดียว
เขาไม่พูดต่อ แต่นั่งลงแล้วหลับตา
ขณะที่เขาหลับตาลงความผันผวนก็กระจายออกไป เพียงไม่กี่ลมหายใจก็ปกคลุมผืนดินเบื้องล่างทั้งหมด
ในเวลาเดียวกันในใจไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ ก็เข้าใจบางสิ่งขึ้นมา
ดังนั้นทุกคนจึงนั่งลงทำจิตใจให้สงบ
เมื่อพวกเขานั่งลง ไม่นานแสงก็พุ่งออกมาจากหว่างคิ้วลอยไปทางมู่เฉิน
มู่เฉินปล่อยให้แสงโปรยปรายลงบนร่างของเขา
เมื่อแสงวิ่งเข้ามามากขึ้น…มากขึ้นก็ปกคลุมฟ้าดินทั้งหมดด้วยจุดแสงอัศจรรย์
จุดแสงปกคลุมเข้ามาถักทอเป็นรังไหมห่อหุ้มร่างของมู่เฉิน
ภายใต้แสงพร่างพราวมู่เฉินก็หลับตาลงอย่างช้าๆ
ภายในเจดีย์ผลึกแก้วขนาดใหญ่
จอมปีศาจโลหิตยืนนิ่งขณะที่กวาดตา ทว่าสีหน้าท่าทางของเขาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
ร่างของมู่เฉินปรากฏขึ้นมองไปที่จอมปีศาจโลหิตโดยไม่มีสีหน้าท่าทางอะไรเหมือนกัน
“ไม่คิดว่าเจ้าจะสามารถต้านทานสายฟ้าโลหิตล้ำลึกได้…” จอมปีศาจโลหิตยิ้มให้มู่เฉินอย่างไม่แยแส ดูเหมือนจะมีความตกใจอยู่เล็กน้อย
จอมยุทธ์อยู่ใต้ระดับเทียนจื้อจุนจะกลายเป็นเถ้าถ่านทันทีภายใต้การโจมตีนี้ ดังนั้นเขาไม่คิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะรอดมาได้
ดวงตาของจอมปีศาจโลหิตกวาดมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับแสงสีแดงเข้มกะพริบในดวงตาราวกับว่าสามารถมองทะลุร่างของอีกฝ่ายได้ ไม่นานเขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง รอยยิ้มผิดปกติปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ที่แท้สายฟ้าโลหิตอวสานของข้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้ผล…”
มู่เฉินหดตาลงพลางยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ แสงหลิงพวยพุ่งในร่างกาย แสงสองดวงก็ปรากฏขึ้นราวกับว่าจะหลุดออกมาจากร่าง
ทั้งสองก็คือร่างรองของเขา เนื่องจากเขาเพิ่งควบคุมขั้นสามรวมได้ กระบวนการจึงยังไม่สมบูรณ์แบบ บวกกับความจริงที่ว่าเขาเพิ่งประสบกับสายฟ้าโลหิตก่อนหน้า ทำให้การหลอมรวมของเขาเริ่มแสดงสัญญาณของการล่มสลาย
ตามสถานการณ์นี้เขาจะไม่สามารถคงขั้นสองของวิชาสามพิสุทธิ์ไว้ได้นานแล้ว
เมื่อถึงเวลาที่ร่างรองออกจากร่าง พลังในการต่อสู้ของเขาก็จะลดลงอย่างมีนัย ในเวลานั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับจอมปีศาจโลหิต
จอมปีศาจโลหิตก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงกอดอกมองไปที่มู่เฉินด้วยท่าทางเยาะเย้ย ราวกับกำลังดูอีกฝ่ายจะดิ้นรนครั้งสุดท้ายอย่างไร
“จอมปีศาจ…ตัวปัญหาแท้จริง”
เมื่อรู้สึกถึงสายตาเยาะเย้ยจากจอมปีศาจโลหิต มู่เฉินก็ทอดถอนหายใจ เขาได้พบกับศัตรูที่ทรงพลังมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เขาไม่เคยสัมผัสกับการถูกวางไว้ในจุดที่ไม่สามารถเป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้แม้แต่ครั้งเดียว
ทว่าเขารู้ว่าระดับเทียนจื้อจุนและระดับตี้จื้อจุนมีช่องว่างที่ไม่อาจบรรยายได้อยู่แล้ว หากข่าวที่เขาต่อสู้กับนักรบราชันปีศาจส่งไปถึงมหาพันภพละก็ ไม่รู้จะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขนาดไหน เพราะในสถานการณ์ปกติ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มที่เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็มีแต่ถูกฆ่าอย่างง่ายดาย แต่มู่เฉินสามารถต่อสู้กับจอมปีศาจได้จนถึงจุดนี้ นี่เป็นสิ่งที่เหลือเชื่ออยู่แล้ว
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่จอมปีศาจโลหิตพลางพึมพำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ต้องพยายามดักจับมันก่อนที่ร่างรองจะออกจากร่างไป”
โดยไม่ลังเลมือของเขาก็ประสานเข้าด้วยกันเริ่มวาดตราประทับ
ครืนๆ!
เจดีย์ผลึกแก้วสั่นสะเทือน ภาพเงาปีศาจดุร้ายแปดร่างปรากฏขึ้น ทำให้เกิดรัศมีร้ายกาจขึ้นภายในเจดีย์
เมื่อมองไปที่ภาพเทพปีศาจทั้งแปด ใบหน้าของจอมปีศาจโลหิตก็เปลี่ยนไป เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากบนนั้น
“ภาพเหล่านี้…ถูกชำระโดยมีนักรบราชันปีศาจเป็นวัสดุตั้งต้นรึ!” ดวงตาของจอมปีศาจโลหิตหดลง เขารู้สึกถึงรัศมีปีศาจที่หลงเหลือจากภาพเหล่านั้น ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเขาในตอนนี้อีก
นั่นแปลว่าพลังของราชันปีศาจเหล่านี้ตอนยังมีชีวิตอยู่แข็งแกร่งกว่าเขา!
ขณะที่จอมปีศาจโลหิตกำลังตกตะลึงมู่เฉินก็หายใจเข้าลึกๆ แล้วโบกมือ กระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากปกคลุมเจดีย์
ครั้งนี้มู่เฉินนำของเหลวจื้อจุนทั้งหมดที่เหลือติดตัวหนึ่งร้อยห้าสิบล้านหยดออกมา
ตู้ม!
เมื่อของเหลวจื้อจุนกลายเป็นกระแสธาร ภาพปีศาจทั้งแปดก็เปิดปากอย่างตะกละตะกลามเริ่มกลืนกินเข้าไป
เมื่อเริ่มกินภาพปีศาจทั้งแปดก็ค่อยๆ ขยับเขยื้อนตัวออกจากกำแพงก่อนที่จะหลุดพ้นออก
พวกเขาราวกับเทพปีศาจแปดองค์ยืนอยู่ภายในเจดีย์เปล่งพลังดุร้ายหาใดเปรียบ
ฟิ้ว!
ด้วยความคิดวูบเดียวของมู่เฉิน ภาพปีศาจทั้งแปดก็บินออกไปพุ่งไปยังจอมปีศาจโลหิต
จอมปีศาจโลหิตหรี่ตาก่อนจะก้าวออกไปปรากฏตัวต่อหน้าหนึ่งในภาพปีศาจ จากนั้นก็ฟาดฝ่ามือออกไป
ปัง!
คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวสร้างความหายนะ ร่างกายจอมปีศาจโลหิตสั่นสะท้าน ขณะที่ภาพปีศาจกระเด็นกลับกระแทกเข้ากับผนัง ทำให้เกิดร่องลึกขึ้น
ฟิ้ว!
ภาพปีศาจอีกเจ็ดภาพบินไขว้ไปมาล้อมรอบจอมปีศาจโลหิตก่อนที่จะทำการโจมตี
ตู้ม ตู้ม!
ทั้งสองฝ่ายโรมรันพันตู ทว่าจอมปีศาจโลหิตก็ทรงพลังมาก ไม่กลัวแม้จะเผชิญสถานการณ์นี้ เขาซัดภาพปีศาจกลับไปอย่างต่อเนื่อง
“ภาพปีศาจในสถานะนี้ น่าจะมีพลังที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ”
สายตาของมู่เฉินวูบไหวกับฉากนี้ ตามการคาดเดาของเขาถ้าต้องการที่จะกู้คืนภาพปีศาจให้กลับมามีความแข็งแกร่งของระดับเทียนจื้อจุนจะต้องใช้ของเหลวจื้อจุนสี่ถึงห้าร้อยล้ายหยด ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาก็ต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนด้วย ไม่งั้นก็ไม่สามารถควบคุมได้
“แต่น่าจะยังพอกักจอมปีศาจโลหิตไว้ได้ชั่วคราว”
ทันใดนั้นมือของมู่เฉินก็ประสานเข้าด้วยกัน ภาพปีศาจทั้งแปดถอยกลับทันที ก่อนที่แสงสีดำจะกางออกจากฝ่ามือพวกเขา ในเวลาไม่กี่นาทีก็ก่อตัวเป็นม่านสีดำ
ม่านหดลงอย่างรวดเร็วกลายเป็นกรงกักขังจอมปีศาจโลหิตไว้
ทุกหมัดของจอมปีศาจโลหิตทำให้ม่านสั่นสะท้าน ดูจากรูปการณ์คงอยู่ได้ไม่นาน
มู่เฉินโบกมือ ผลึกแสงทรงพลังก็ระเบิดออกมาจากเจดีย์ก่อนที่จะตกลงไปบนม่าน
ชี่ ชี่
ผลึกแสงกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว สลักลวดลายลงม่านนั่น ในขณะที่ลวดลายก่อตัวขึ้น ม่านที่สั่นสะท้านก็มั่นคงขึ้น ไม่ว่าจอมปีศาจโลหิตจะโจมตีอย่างไร ก็ไม่สามารถเขย่าได้แม้แต่น้อย
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจกับภาพนี้ แต่เขารู้ว่าซื้อเวลาได้อึดใจเท่านั้น แม้ว่าเขาจะยืมพลังภาพปีศาจทั้งแปดและพลังปิดผนึกของเจดีย์ แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน จอมปีศาจโลหิตจะหลุดออกไปได้ในไม่ช้า
ในเวลานั้นเจดีย์แปดองค์ก็จะได้รับความเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่สามารถใช้งานในเวลาสั้น… กรณีนี้เขาจะสูญเสียไพ่ตายทรงพลังที่มีเมื่อเผชิญหน้ากับจอมปีศาจโลหิต
จอมปีศาจโลหิตรู้ว่ามู่เฉินกำลังดิ้นรนครั้งสุดท้าย ดังนั้นเขาจึงมองไปด้วยสายตาเยาะเย้ย
“หยุดดิ้นรน มาเป็นอาหารของข้าซะดีๆ บางทีอาจเป็นการตายง่ายกว่าสำหรับเจ้านะ” เสียงเขาดังสะท้อนอย่างเย็นชา
มู่เฉินยิ้มไม่สนใจอีกฝ่ายก่อนที่ร่างเงาจะเคลื่อนหายออกไปจากเจดีย์
มู่เฉินไปปรากฏอยู่นอกภูเขาเสี่ยหมัว เมื่อผู้คนเห็นฉากนี้ความสุขก็ปรากฏบนใบหน้า พวกเขาพากันคิดว่ามู่เฉินเป็นฝ่ายชนะ
แต่ก่อนที่พวกเขาจะส่งเสียงโห่ร้อง มู่เฉินก็โบกมือ ท่าทางเคร่งขรึมทำให้หัวใจของทุกคนสั่นสะท้านพลางปิดปากเงียบ
ไป๋ซู่ซู่เข้ามาหามู่เฉิน นางมองไปที่เจดีย์อย่างระมัดระวังก่อนที่จะถามอย่างกังวล “ท่านเทพ จอมปีศาจโลหิตเป็นอย่างไร?”
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งมู่เฉินก็ตอบว่า “ข้าขังมันไว้ชั่วคราว แต่เวลามีจำกัด เมื่อไรที่มันหลุดออกมาได้ ข้าจะไม่สามารถขัดขวางได้อีกต่อไป”
เมื่อไป๋ซู่ซู่ได้ยินใบหน้าของนางก็ซีดลง แสงในนัยน์ตาก็ลดวูบดูน่าสงสารยิ่งนัก
นางกัดริมฝีปากครู่เดียวก็พูดว่า “ท่านเทพถ้าไม่มีอะไรที่ท่านสามารถทำได้ก็รีบจากไปเถอะ”
นางรู้ว่าถึงมู่เฉินจะไม่สามารถเอาชนะจอมปีศาจโลหิตได้ แต่การหลบหนีก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับเขา
มู่เฉินไม่ได้ตอบอะไรแต่กลับขมวดคิ้ว เขายังมีหินสลักที่เทพจักรพรรดิสงครามมอบให้ ถ้าถึงขั้นวิกฤตจริงๆ เขาก็สามารถทำลายได้ แต่เขาไม่มั่นใจเท่าไรว่าหลินต้งจะมาที่พิภพเขตล่างนี้ได้หรือไม่
ดังนั้นเขาจึงต้องเก็บสิ่งนี้ไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย
ตอนนี้เขาต้องพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุดเพื่อจัดการกับจอมปีศาจโลหิต
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ดวงตาเขาก็หรี่ลง เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก ด้วยความลังเลเขายื่นมือออกมาแสงสีขาวกะพริบอยู่ภายใน ไข่มุกมังกรขาวก็ปรากฏขึ้น
เมื่อสะบัดนิ้วไข่มุกก็ค่อยๆ ลอยขึ้นเบื้องหน้าเขา
ตอนนี้เขาทำได้เพียงพยายามเรียกเจตจำนงของจอมยุทธ์มังกรขาว เนื่องจาก ‘โอกาส’ เป็นสิ่งที่มีเพียงอีกฝ่ายเท่านั้นที่รู้
ถ้าเขาสามารถค้นหาเส้นทางสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้และผ่านการพัฒนา เขาก็จะสามารถเผชิญหน้ากับจอมปีศาจโลหิตได้
ทว่าไข่มุกมังกรขาวที่ลอยอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
เมื่อเห็นสิ่งนี้แววผิดหวังก็ฉายดวงตาของเขา ‘ยังไม่ได้อีกเหรอ?’
เขาถอนหายใจโบกมือ ขณะที่กำลังจะเก็บไข่มุก มู่เฉินก็สัมผัสได้ว่ายามนี้ไข่มุกกำลังสั่นสะท้าน
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ลำแสงสีขาวพุ่งออกมา ร่างสูงวัยค่อยๆ รวมตัวอยู่บนไข่มุก…
บนท้องฟ้า
มู่เฉินยืนอยู่พร้อมกับแสงวูบไหวในนัยน์ตา มีชั้นของแสงปกคลุมพื้นผิวทั้งหมดของร่างกายเขาไว้
แม้ว่าจะไม่มีความปั่นป่วนในฟ้าดิน แต่ในช่วงเวลาที่มู่เฉินลืมตาขึ้น ทุกคนก็สัมผัสได้ว่าแรงกดดันจากจอมปีศาจโลหิตที่ปกคลุมขอบฟ้าถูกยับยั้งไว้
แม้ว่าความผันผวนนั้นจะไม่รุนแรงเท่ากับจอมปีศาจโลหิต แต่ก็คล้ายกับเสาที่ตั้งอยู่ระหว่างสวรรค์และโลกปล่อยให้พายุทรงพลังพัดมา
มู่เฉินลดศีรษะลงค่อยๆ กำมือ ขณะนี้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงจำนวนมหาศาลที่พลุ่งพล่านภายในร่างกาย ซึ่งทำให้เลือด-กระดูก-เนื้อของเขาแสดงสัญญาณของการตกผลึก นี่เป็นสัญญาณว่าคลื่นพลังงานมีขนาดใหญ่เกินไปจนร่างกายของมู่เฉินไม่สามารถบรรจุไว้ทั้งหมด
“พลังแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้…”
มู่เฉินชื่นชมในใจ เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าขั้นสอง-สามรวมของวิชาสามพิสุทธิ์จะทรงพลังขนาดนี้ เมื่อรวมร่างรองเข้ากับร่างหลักความแข็งแกร่งของเขาก็พุ่งขึ้นไปสู่อีกระดับหนึ่งเลยทีเดียว
ถ้าเขาต่อสู้กับผู้บัญชาการใหญ่ปีศาจโลหิตอีกครั้ง เขาคงฆ่าอีกฝ่ายได้ด้วยหมัดเดียว
ขณะที่คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกจากร่างกายราวกับภูเขาไฟ มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นจับจ้องไปที่จอมปีศาจโลหิต ไฟแห่งการต่อสู้พวยพุ่งในนัยน์ตา อึดใจต่อมาเขาก็กระทืบเท้า มิติพังทลายลง ร่างเขาราวกับภูตผีไปปรากฏตัวที่ด้านหลังจอมปีศาจโลหิต
เขากางมือออก จากนั้นก็ตบลง ตอนนี้ฝ่ามือราวกับหยกเปล่งแสงระยิบระยับดูเหมือนจะบรรจุท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ฉับพลันพื้นที่ในรัศมีหมื่นจั้งก็พังทลายลง ฝ่ามือขนาดใหญ่ประทับลงบนพื้น
พลังที่อยู่เบื้องหลังฝ่ามือน่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อ
ทว่าเมื่อฝ่ามือบีบกดลงมา จอมปีศาจโลหิตก็ยิ้มตอบกลับไปด้วยฝ่ามือ ฝ่ามือของเขาเป็นสีแดงเข้ม ขณะที่ซัดออกไปก็ส่งกลิ่นคาวเลือดบนท้องฟ้า
ปัง!
ฝ่ามือทั้งสองปะทะกันที่เบื้องบน จังหวะที่สัมผัสกันแสงสีแดงเข้มและแสงสีขาวก็ระเบิดออกมาขณะที่ยึดครองท้องฟ้า ทันใดนั้นขอบฟ้าทั้งหมดถูกแยกออกเป็นสองสี…
เมื่อพลังงานมหาศาลสองสายปะทุออกมา มู่เฉินและจอมปีศาจโลหิตก็ร่างสั่นสะท้าน ก่อนที่มู่เฉินจะถลาออกไปใน ขณะที่จอมปีศาจโลหิตตัวสั่นถอยหลังไปสิบกว่าก้าว
จอมปีศาจโลหิตสลายคลื่นกระแทกได้ทันที สายตาจดจ้องไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มอำมหิต “ไม่เลวแกไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลย แกมีพลังที่จะเผชิญหน้ากับข้าจริงๆ”
“มีเพียงพลังที่ทรงศักยภาพแบบนี้เท่านั้นจึงจะสามารถปรับแต่งแก่นโลหิตของแกให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น หลังจากที่ข้ากลืนกินมันเข้าไป ข้าก็จะสามารถฟื้นฟูจุดบกพร่องที่เกิดจากการกำเนิดที่เร่งรีบเกินไปได้”
“ฮ่าๆๆๆ!”
เสียงหัวเราะของจอมปีศาจโลหิตดังก้องไปทั่วขอบฟ้า ก่อนที่เขาจะอ้าปาก แม่น้ำสีแดงเข้มพุ่งหวือออกมา แม่น้ำทั้งสายส่งกลิ่นเหม็นเลือดราวกับว่าอะไรก็ตามที่ถูกกวาดเข้าไปจะละลายเป็นน้ำเลือด
“ในเมื่อเหยื่อสมบูรณ์แบบแล้ว ก็ถึงเวลาที่ข้าจะเก็บเกี่ยว!”
“แม่น้ำโลหิตกร่อนวิญญาณ!”
ขณะที่จอมปีศาจโลหิตหัวเราะ แม่น้ำเลือดก็ไหลบ่าไปหามู่เฉิน
เมื่อเห็นแม่น้ำเลือดพุ่งลงมา มู่เฉินก็หดดวงตา เขาสัมผัสได้ถึงพลังกัดกร่อนที่น่าสะพรึงกลัวที่มีอยู่ภายใน ถ้าเขาถูกกวาดเข้าละก็งานนี้บาดเจ็บหนักแน่
ดังนั้นเขาไม่กล้าที่จะประมาท มือสะบัดออก แสงหลิงไร้ขอบเขตควบแน่นอยู่เบื้องหลังก่อเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เปรียบเทียบกับก่อนหน้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์แข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เพียงแค่ขยายใหญ่ขึ้นเท่านั้น แต่ความเปล่งปลั่งที่มียังทรงพลังมากขึ้นอีกด้วย คล้ายกับดวงอาทิตย์สีม่วงทองอย่างไรอย่างนั้น
มือของมู่เฉินประสานเข้าด้วยกัน รหัสเทพอมตะสีม่วงทองก็ควบแน่นเร็วจี๋จากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เพียงไม่กี่ลมหายใจก็มีถึงสามร้อยลายอยู่บนท้องฟ้า
การยกระดับเข้าสู่ขั้นสามรวม ทำให้จำนวนรหัสเทพอมตะที่เขาสามารถควบแน่นได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ฮึ่ม ฮึ่ม!
รหัสเทพอมตะสามร้อยลายทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า รวมตัวกันเหนือมู่เฉินกลายเป็นน้ำเต้าสีม่วงทองขนาดเท่าฝ่ามือ
“น้ำเต้าเทพ จองจำ!”
มู่เฉินวาดตราประทับด้วยมือเดียวเปล่งเสียงร้องเย็นชา น้ำเต้าเอียงลงแรงดูดทรงพลังพุ่งออกมา
แม่น้ำเลือดสั่นสะท้านชั่วครู่เมื่อเจอแรงดูดก่อนที่จะถูกดึงเข้าไปในน้ำเต้า
เมื่อจอมปีศาจโลหิตเห็นว่าแม่น้ำเลือดถูกดูดเข้าไปในน้ำเต้า แสงสีแดงเข้มก็วาบในดวงตาขณะที่แค่นเสียงขึ้นจมูก เตรียมเร้าแม่น้ำให้ทำลายล้างเพื่อระเบิดน้ำเต้าจากภายใน
ทว่าขณะที่เขาคิดจะควบคุมแม่น้ำเลือดเพื่อสร้างความหายนะใหม่ มู่เฉินก็สะบัดแขนเสื้อ น้ำเต้าทะลุผ่านมิติ พริบตาก็หายสาบสูญไป
น้ำเต้าหายไปพร้อมกับแม่น้ำเลือด มู่เฉินและจอมปีศาจโลหิตเสียการเชื่อมต่อทั้งคู่…
“ฉลาดนัก”
จอมปีศาจโลหิตหรี่ตาลง แสงสีแดงเข้มกะพริบอยู่ภายใน เขาจ้องมองไปที่มู่เฉินพลางหัวเราะเยาะ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะใช้กระบวนท่านี้เพื่อแก้ไขแม่น้ำเลือดของเขา
“ขอบคุณสำหรับคำชม”
มู่เฉินไม่แสดงสีหน้าใด แม้ว่าเขาจะสามารถแก้ไขการโจมตีของจอมปีศาจโลหิตได้ สายตาเขาก็ยังเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดรุนแรง แม้ว่าเขาจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับจอมปีศาจโลหิตได้ด้วยขั้นสามรวม แต่เขาก็รู้ดีว่านั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะเอาชนะอีกฝ่ายได้
นักรบราชันปีศาจแท้จริงทรงพลังเกินไป
“ขอข้าดูว่าหนูอย่างแกจะดิ้นรนได้อีกสักกี่ครั้ง”
จอมปีศาจโลหิตเผยให้เห็นรอยยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า ก่อนที่จะกัดนิ้วโบกไปมาบนท้องฟ้า ไม่กี่ลมหายใจต่อมาอักขระก็วาดขึ้นตรงหน้าเขา
อักขระบิดตัวไปมาอย่างต่อเนื่อง ปล่อยรัศมีลางร้ายออกมา ดูราวกับมีภูตผีปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนพร้อมเสียงกรีดร้องอันแหลมคมดังก้องจากมัน
เมื่อมองไปที่อักขระโลหิตมู่เฉินก็หดดวงตา เขารู้สึกได้ถึงอันตรายร้ายแรง
จอมปีศาจโลหิตแสยะยิ้มไม่แยแส ขณะที่พลิกนิ้วอักขระก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้า
ในเวลาเพียงสิบลมหายใจสั้นๆ ทุกคนก็สามารถเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีมืดมนพร้อมกับเมฆสีแดงเข้มขนาดใหญ่รวมตัวกันข้ามขอบฟ้า ล้อมรอบพื้นที่ในรัศมีล้านลี้เอาไว้
เมฆสีแดงเข้มหนาแน่นสั่นสะเทือนพร้อมกับฟ้าร้องดังก้องไปทั่ว สะท้อนทั่วขอบฟ้า
ทั้งสวรรค์และโลกโยกคลอน
ร่างกายของมู่เฉินเกร็งขึ้น ความหนาวเหน็บห่อหุ้มตัวไว้ ทำให้ใบหน้าเครียดอย่างที่สุด
จอมปีศาจโลหิตปรายตามองไปที่มู่เฉินราวกับว่ากำลังมองมด เขาหายใจเข้าลึกมือค่อยๆ ประสานเข้าด้วยกันพร้อมกับเสียงไม่แยแสดังก้องไปทั่ว
“สายฟ้าโลหิตล้ำลึก!”
ครืน!
ทันใดนั้นสายฟ้าก็ระเบิดออกมาจากภายในก้อนเมฆสีแดงเข้ม อึดใจถัดมาสายฟ้าสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนก็ฟาดลงมาจากท้องฟ้าไปหามู่เฉิน
สายฟ้าสีแดงเข้มทุกสายมีพลังทำลายล้าง เมื่อฟาดลงมาพื้นดินก็โยกคลอน
มู่เฉินหดดวงตาไม่กล้าประมาท พร้อมกับเสียงคำรามร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่อยู่ข้างหลังก็ระเบิดรัศมีทรงกลดออกมา กลายเป็นดอกบัวขนาดใหญ่
“ดอกบัวอมตะ!”
เสียงมู่เฉินดังขึ้น ดอกบัวก็ปิดลงและห่อหุ้มร่างเขาไว้
เผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่ากลัวของจอมปีศาจโลหิต มู่เฉินก็นำการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาโดยไม่ลังเลใดๆ
ตู้ม ตู้ม!
สายฟ้าสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาจากท้องฟ้า กระแทกกับดอกบัวสีทองจังใหญ่
เมื่อไป๋ซู่ซู่และชาวโลกเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าก็ฉาบด้วยความตกใจหวาดกลัว ขณะมองไปที่สายฟ้าทำลายล้าง สายฟ้าทุกสายที่มีพลังในการทำลายสวรรค์และโลกทะยานเข้าไปหามู่เฉิน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะสามารถต้านทานการโจมตีนี้ได้หรือไม่…
“ท่านเทพ…”
ไป๋ซู่ซู่กำมือแน่นพลางกัดริมฝีปากขณะมองไปทางมู่เฉิน นางรู้ดีว่าถ้าดอกบัวแตกสลาย แม้แต่มู่เฉินก็จะถูกสายฟ้าทำลาย
ครืนๆๆๆ
สายฟ้าวาวแสงนานเกือบครึ่งก้านธูป ก่อนที่เมฆสีแดงเข้มจะเริ่มสลายไป
สายตาทุกคู่รวมกันอยู่ตรงตำแหน่งที่สายฟ้าหายไป…
เมื่อมันสลายไปก็เห็นดอกบัวปกคลุมไปด้วยรอยดำไหม้ รัศมีทรงกลดจางหายไปแล้วในตอนนี้
แกร็ก
จู่ๆ ก็เกิดรอยแตกปรากฏขึ้นบนดอกบัวก่อนที่จะแตกออก…
จอมปีศาจโลหิตหรี่ตามองไปที่ดอกบัว ก่อนที่ดวงตาจะหดเกร็งเนื่องจากเขาไม่พบร่างเงาของมู่เฉิน
“กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ?”
คิ้วของจอมปีศาจโลหิตเลิกขึ้น
ตู้ม!
แต่ขณะนั้นเองเขาก็จับอะไรบางอย่างในความรู้สึกพลางเงยหน้า เขาเห็นเมฆบนท้องฟ้าถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ขณะที่เจดีย์ผลึกแก้วขนาดใหญ่พุ่งลงมาด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อก่อนที่จะห่อหุ้มเขาไว้…
เลือดสีแดงฉานหยดลง
ทุกคนนิ่งเงียบไป พลังที่จอมปีศาจโลหิตแสดงออกมาช่างสุดยอดเกินไป นี่เป็นเพียงหยดเลือด แต่ก็ทำให้มู่เฉินกระเด็นออกไปไกลแล้ว…
เผชิญกับพลังอำนาจนี้ ชาวโลกก็ไม่สามารถรวบรวมความกล้าที่จะต่อสู้ได้ ถ้ามู่เฉินล้มเหลว บางทีการเอามีดปาดคอตายอาจเป็นการมอบอิสรภาพให้ตนเองที่ดีที่สุด
ขณะที่ชาวโลกตกใจกับพลังของจอมปีศาจโลหิต ภูเขาเสี่ยหมัวก็เต็มไปด้วยเสียงร้องโห่ร้องจากการถือกำเนิดของจอมปีศาจ
แม้ว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตจะถูกสังหาร แต่เผ่าพันธุ์พวกเขาก็ไม่ล่มสลาย ตราบใดที่จอมปีศาจโลหิตยังคงอยู่ กลับกันต่อจากนี้ความรุ่งเรืองจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ!
มู่เฉินไม่สนเสียงนกเสียงกา สายตาเขาจับจ้องไปที่จอมปีศาจโลหิต แสงเย็นรวมตัวกันในดวงตาเขา
ตู้ม!
เขาส่งแรงไปที่ฝ่าเท้า ร่างก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงหลิงพร่างพราวราวกับดวงอาทิตย์โชติช่วง ขณะที่ร่างรองทั้งสองติดตามมาที่เบื้องหลัง
โฮก!
ร่างกายของมู่เฉินสั่นสะท้าน จิตวิญญาณมังกรแท้จริงปรากฏขึ้น ขณะที่มันคำรามก็หลอมรวมเข้ากับร่างกายของมู่เฉิน เกล็ดมังกรผุดขึ้นบนผิวหนังราวกับชุดเกราะปกคลุมร่างกายไว้
ปีกหงส์ฟ้าคู่หนึ่งแผ่สยายออกไปที่ด้านหลัง ทำให้สามารถพุ่งผ่านมิติได้ด้วยการกระพือ
ก่อนจะเปิดฉากเต็มรูปแบบ เขาได้หล่อหลอมรวมจิตวิญญาณแท้จริงของมังกรและหงส์ฟ้าเข้ากับร่างกายเพื่อที่เขาจะสามารถมีพลังการต่อสู้ไปสู่จุดสูงสุดได้
วาบ!
มู่เฉินพุ่งเข้ามาปรากฏตัวเบื้องหน้าจอมปีศาจโลหิต จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดออกไป พลังงานรุนแรงรวมตัวกันที่หมัด เพิ่มชั้นผลึกซึ่งปล่อยพลังทำลายล้างออกมา
แม้แต่ผู้บัญชาการใหญ่ปีศาจโลหิตก็ยังไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับหมัดนี้
ทว่าจอมปีศาจโลหิตเพียงแค่มองอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะยื่นมือออกมาตบกำปั้นของมู่เฉินเบาๆ
เคร้ง!
เมื่อฝ่ามือและกำปั้นสัมผัสกัน เสียงปะทะของโลหะสะท้อนออกมาพร้อมกับมู่เฉินรับแรงกระทบใหญ่กระเด็นออกไป ร่างเขาราวกับอุกกาบาตขณะที่ดิ่งลงพสุธาลงมา
เมื่อร่างหลักของมู่เฉินดึงดูดความสนใจของจอมปีศาจโลหิต ร่างรองก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน ฝ่ามือของพวกเขาที่มีคลื่นหลิงพลุ่งพล่านก็กระแทกเข้าที่ด้านหลังจอมปีศาจโลหิต
ทว่าการโจมตีที่รุนแรงก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างจอมปีศาจโลหิตได้ สายตาวูบไหวก่อนที่จะมีแสงสีแดงเข้มดุร้ายสาดส่องออกมาจากด้านหลัง
ปัง ปัง!
ร่างรองถูกกวาดไป ถลาไปอย่างรุนแรงจากนั้นก็พุ่งเข้าไปฝังตัวในภูเขาสองลูกใกล้ๆ…
ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจมู่เฉินและร่างรองก็ถูกจัดการอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังได้รับบาดเจ็บกันถ้วนทั่ว
จอมปีศาจโลหิตยืนอยู่บนท้องฟ้ามองไปที่หลุมขนาดใหญ่ที่ร่างหลักของมู่เฉินฝังอยู่ สายตาของเขาวูบไหวชี้นิ้วออกไป
ตู้ม!
ลำแสงสีแดงเข้มยิงออกมา ขยายขนาดกลายเป็นอสรพิษขนาดมหึมา มันดุร้ายมากถึงกับกินเศษมิติก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในหลุมด้านล่าง
ปัง!
เมื่ออสรพิษพุ่งเข้าไปภายในปากปล่องก็เกิดเสียงดังก้อง ทว่าอึดใจต่อมาแสงสีแดงเข้มก็กระจัดกระจาย ทันใดนั้นอสรพิษขนาดใหญ่ก็แตกสลาย…
บนท้องฟ้าจอมปีศาจโลหิตหรี่ตาลง
รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าจากปากหลุมขนาดใหญ่พร้อมกับร่างเงาหลายพันร่างลอยขึ้นตามมา มู่เฉินยืนตระหง่านอยู่ภายใน มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตเคลื่อนไหวอยู่รอบตัว
“วิญญาณสงคราม!”
เสียงของมู่เฉินสะท้อนออกมาพร้อมกับนักรบมังกรดำตอบรับด้วยเสียงตะโกน พริบตาเดียวรัศมีจั้นยี่นับไม่ถ้วนก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ควบแน่นเป็นร่างมังกรขนาดใหญ่หลายหมื่นจั้ง
มังกรอยู่ในท่าขดปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวออกมา
ครั้งนี้มู่เฉินเรียกนักรบมังกรดำถึงหกพันคน ซึ่งก็คือขีดจำกัดที่เขาสามารถควบคุมได้ หากเพิ่มจำนวนมากขึ้นเขาอาจต้องประสบกับการสะท้อนกลับของรัศมีจั้นยี่
ซึ่งรัศมีจั้นยี่ที่สร้างขึ้นจากนักรบมังกรดำหกพันคนแข็งแกร่งกว่าครั้งอื่นๆ มาก
โฮก!
มังกรคำรามลั่นฟ้า จากนั้นก็พุ่งออกไปพร้อมกับรัศมีจั้นยี่เชี่ยวกราก กวัดแกว่งกรงเล็บไปยังจอมปีศาจโลหิต
มิติพังทลายลงอย่างต่อเนื่องภายใต้กรงเล็บนี้
จอมปีศาจโลหิตมองไปที่กรงเล็บก็ยื่นมือออกมา แสงสีแดงเข้มรวมตัวกัน มือของเขาขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะตบลงไปปะทะกับรัศมีจั้นยี่กรงเล็บมังกรดำ
ตู้ม!
พายุรุนแรงกวนตัวขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมกับลมสลาตันทำลายล้าง ทำให้ท้องฟ้ามืดลงในเส้นทางที่ผ่าน
โฮก!
มังกรส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ขณะที่ร่างใหญ่โตถูกส่งกลับไป แต่ในเวลาเดียวกันร่างกายของจอมปีศาจโลหิตก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย ก่อนที่จะก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ดวงตาก็หดลง ไม่คิดว่าเขาจะผลักจอมปีศาจโลหิตไปได้ไม่กี่ก้าว ทั้งที่ประสานพลังกับนักรบมังกรดำหกพันคน
“จอมทัพมู่ต้องใช้นักรบมังกรดำหนึ่งหมื่นคนถึงจะเผชิญหน้ากับจอมปีศาจตัวนี้ได้” เจียงหลงกล่าวขึ้นที่เบื้องหลังมู่เฉิน
มู่เฉินเม้มปาก การควบคุมนักรบหกพันคนเป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว หากเขาใช้มากกว่านี้ละก็ เขาต้องประสบกับแรงสะท้อน เวลานั้นไม่ต้องให้จอมปีศาจโลหิตเคลื่อนไหว เขาก็แพ้ไปก่อนแล้ว
ดังนั้นเขาบอกได้จากสิ่งนี้ว่ามีช่องว่างใหญ่ระหว่างเขากับจอมปีศาจ
จอมปีศาจโลหิตทรงตัวนิ่งมองไปที่มู่เฉิน “กลยุทธ์หลากหลายนัก ไม่แปลกใจที่แกสามารถบีบให้เผ่าเสี่ยเสียของข้าน่าอนาถเช่นนี้”
“แต่ช่องว่างระหว่างพลังไม่ใช่สิ่งที่สามารถเสริมด้วยกลยุทธ์”
เมื่อพูดจบ เขาก็อ้าปากแรงดูดที่น่ากลัวระเบิดออกคล้ายกับหลุมดำกลืนกินสวรรค์และโลก
แรงดูดส่วนใหญ่ถูกใช้กับมังกร ทำเอาใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป เขารู้สึกได้ว่าไม่ว่าจะต่อต้านอย่างไรมังกรก็ยังคงถูกดึงเข้าหาปากของจอมปีศาจโลหิต
อ็อก!
เมื่อรัศมีจั้นยี่ถูกกลืนกิน นักรบมังกรดำหกพันคนก็กระอักเลือดเต็มปาก แต่ละคนได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
ใบหน้าของมู่เฉินดูน่ากลัว ก่อนที่เขาจะพูดกับเจียงหลงว่า “พวกเจ้าถอยกลับไปก่อนเถอะ”
“จอมทัพมู่ระวังตัวด้วย” เจียงหลงรู้สึกผิด แต่เขาก็รู้ว่ากองทัพมังกรดำได้รับความเสียหายหนัก พวกเขาไม่สามารถให้ความช่วยเหลือแก่มู่เฉินได้เมื่ออยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงโบกมือถอนทัพออกมา
จอมปีศาจโลหิตมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส “งัดกลยุทธ์ออกมาถ้ายังมี สร้างความบันเทิงให้ข้าสักหน่อย บางทีข้าอาจจะใจดีให้แกตายแบบง่ายๆ ก็ได้”
มู่เฉินขมวดคิ้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต่อสู้กับนักรบปีศาจระดับสูง หลังจากต่อสู้เขาก็เข้าใจว่าระดับเทียนจื้อจุนมีอำนาจเพียงใด
และที่บอกได้อีกอย่างก็คือช่องว่างระหว่างขุมพลังทั้งสอง ในอดีตตัวเขาประเมินช่องว่างนี้ต่ำเกินไป
แม้ว่าเขาจะมีทักษะมากมาย แต่ก็ไม่ได้ผลอย่างชัดเจนเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนี้
“บางทีข้าคงต้องใช้กระบวนท่านั่น…”
มู่เฉินค่อยๆ หลับตาลง เสื้อผ้าหยุดกระพือแนบติดไปกับร่างกาย ไม่ว่าพายุจะพัดมาแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้เสื้อผ้าสั่นไหวได้
จอมปีศาจโลหิตมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มบาง เขากอดอกโดยไม่คิดขัดขวางอะไร เนื่องจากเขารู้ไม่ว่าวันนี้มู่เฉินจะนำอะไรออกมาก็ไม่สามารถข้ามช่องว่างระหว่างพวกเขาได้
เสียงลมพายุค่อยๆ หายไป เมื่อมู่เฉินหลับตาลง เขาราวกับเป็นหนึ่งเดียวระหว่างสวรรค์และโลก…
หัวใจของมู่เฉินคล้ายกับบ่อน้ำที่ไม่มีแรงกระเพื่อม มากจนเขาลืมเรื่องจอมปีศาจโลหิตไปแล้ว
มู่เฉินไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ภายใต้สภาวะว่างเปล่ามานานแค่ไหน ทันใดนั้นเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนสองสายที่เหมือนกับก้อนกรวดถูกโยนลงไปในแม่น้ำทำให้เกิดระลอกคลื่น…
ระลอกคลื่นทั้งสองทวีความรุนแรงมากขึ้น แสงสองดวงก็ค่อยๆ ลุกโชน
“รวมเป็นวิญญาณแท้จริง…”
เสียงพึมพำดังก้องในความเงียบ แสงทั้งสองกำจายออกกลายเป็นร่างรองทั้งสองของเขา
ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ร่างรองแท้จริง แต่เป็นวิญญาณของร่างรองทั้งสอง ย้อนกลับไปตอนที่มู่เฉินเริ่มเรียนรู้วิชาสามพิสุทธิ์ เขาได้แยกวิญญาณออกจากร่างเป็นสามส่วน
ในอดีตมู่เฉินไม่สามารถสัมผัสถึงวิญญาณทั้งสองได้ แต่หลังจากได้รับความเข้าใจบางส่วนจากหอคัมภีร์เทพซ่อน เขาก็สามารถลองได้ ทว่าพวกเขาก็พร่ามัวนักจนเขาทำไม่สำเร็จ
แต่เผชิญหน้ากับศัตรูทรงพลัง ในที่สุดเขาก็เข้าใจและเรียกวิญญาณอีกสองดวงมาได้สำเร็จ
“จิตวิญญาณเป็นหนึ่ง—สามรวมแห่งสามพิสุทธิ์”
มู่เฉินพึมพำในใจ วิญญาณทั้งสองก็ก้าวเข้ามาหลอมรวมกับเขา
ในโลกภายนอกร่างรองทั้งสองก็ปรากฏตรงหน้ามู่เฉิน แต่ละคนก้าวเข้าไปในร่างมู่เฉิน…
เมื่อร่างรองทั้งสองหายไป มู่เฉินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นพร้อมกับแสงวูบไหว ท่าทางของเขาทำให้เกิดความกดดันที่ไม่อาจพรรณนาได้ ทำเอาสวรรค์และโลกสั่นสะเทือน
เสื้อผ้าของเขาที่หยุดสั่นไหว ก็กระพือขึ้นในตอนนี้โดยที่ไม่มีลมพัดใดๆ
จอมปีศาจโลหิตที่มองดูการเปลี่ยนแปลงของมู่เฉินก็เกิดความประหลาดใจก่อนที่จะยิ้มไม่แยแส “ในที่สุดก็เริ่มน่าสนใจแล้ว…”
มือซีดยื่นออกมาจากไข่สีแดงบีบเสาผลึกจนแตกออก
พลังน่าสะพรึงกลัวทำให้ทั้งสวรรค์และโลกเงียบงันไปในทันที
ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปเมื่อมองไปที่ไข่สีแดงเข้ม เมื่อเปลือกไข่แตก เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่น่ากลัวที่กลั่นตัวจากภายใน
ตู้ม!
ทันใดนั้นเสาสีแดงเข้มก็พุ่งออกจากเปลือกไข่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า บินไปกระแทกใส่เจดีย์ผลึกแก้วบนท้องฟ้า เมื่อทั้งสองปะทะกัน เจดีย์ก็ดีดกลับออกไปทันที
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลง ก่อนที่จะโบกมือให้เจดีย์บินกลับมาหา สายตาของเขาจ้องมองไปที่ไข่สีแดงเข้มด้วยความวูบไหวหวั่นเกรงอยู่ในดวงตา
แกร็ก
ภายใต้การจ้องมองของเขา ไข่สีแดงเข้มก็แตกออกอย่างรวดเร็ว มือซีดยื่นออกมาแกะเปลือกไข่ออก ร่างเยาว์วัยสีแดงเข้มก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ
ร่างเยาว์วัยมีรูปร่างสมส่วนสูงเพรียว ดวงตาเป็นสีแดงราวกับว่าถูกควบแน่นจากมหาสมุทรเลือด ผมสีขาวปลิวสยายไปตามสายลมดูหล่อเหลาเป็นพิเศษ ทว่ารัศมีดุร้ายรอบตัวเขา ทำให้ภูเขาเสี่ยหมัวทั้งหมดสั่นสะเทือน
ไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า รูม่านตาสีแดงเข้มเบิกกว้างโดยไม่มีแววใดๆ กวาดมองไปทั่วด้วยความเฉยเมย
ในเวลาเดียวกันพายุสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนก็กวาดรอบตัวเขาพร้อมกับแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้แผ่ออกมา เมฆสีแดงเข้มรวมตัวกันบนท้องฟ้า ก่อตัวเป็นพายุปกคลุมสวรรค์และโลก
ชาวโลกมองไปที่ภาพเงานั้น ร่างก็สั่นงันงกเกือบจะทรุดลง พวกเขาสูญเสียความคิดจากแรงกดดัน ท่อนขาก็สั่นพั่บไปหมดแล้ว
ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่ซีดขาวลงเช่นกัน แม้ว่านางจะไม่รู้ถึงพลังของร่างนั่น แต่สัญชาตญาณบอกว่าความแข็งแกร่งของคนคนนั้นมีมากกว่าผู้บัญการใหญ่ปีศาจโลหิตเสียอีก
ร่างกายนางสั่นสะท้าน ถ้าไม่ใช่เพราะแรงใจ นางคงจะวิ่งหนีไปในตอนนี้แล้ว
ขณะที่นางรู้สึกหวาดกลัว มือของมู่เฉินก็ตบไหล่บางเบาๆ คลื่นหลิงปกคลุมเพื่อขจัดความกดดัน
“ท่านเทพ…”
ไป๋ซู่ซู่มองมู่เฉินอย่างขอบคุณ แต่นางก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าของเขาเคร่งเครียดลงหลายส่วนพร้อมกับความหวาดเกรงหนาแน่นพล่านในดวงตา
“ไม่คิดว่าจอมปีศาจจะถือกำเนิดในเผ่าเสี่ยเสีย…” มู่เฉินกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
สุดท้ายความกังวลครั้งใหญ่ของเขาก็เกิดขึ้น จอมปีศาจที่ปรากฏในเผ่าเสี่ยเสียเป็นการดำรงอยู่ที่เทียบเท่ากับระดับเทียนจื้อจุน ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตแบบนี้แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกว่าถูกคุกคาม
เพราะเขารู้ชัดเจนว่าจอมปีศาจแข็งแกร่งเพียงใด แม้ว่าผู้คนจะเห็นว่าเขาจัดการกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้อย่างง่ายดาย แต่เขาก็ไม่กล้าพูดว่ามีความมั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับนักรบราชันปีศาจแท้จริง
“ตอนนี้ลำบากแล้ว”
บนยอดเขาเสี่ยหมัว
ร่างเยาว์วัยไม่สนใจร่างเปลือยเปล่าของตน เขาอ้าปากกินเปลือกไข่
หลังจากนั้นม่านตาสีแดงเข้มก็มองไปทางมู่เฉินก่อนที่จะพูดว่า “ข้าต้องขอบคุณสำหรับวันนี้ มิฉะนั้นข้าคงต้องรออีกหลายสิบหรือร้อยปี”
แม้ว่าเขาจะเพิ่งถือกำเนิด แต่เขาก็ได้กลืนกินเลือดเนื้อของสมาชิกเผ่านับไม่ถ้วน จนสุดท้ายกระทั่งผู้บัญชาการใหญ่ยังสละแก่นโลหิตบริสุทธิ์ ทำให้ได้รับความทรงจำของอีกฝ่ายมาด้วย
มู่เฉินถอนหายใจ “ข้าไม่คิดมาก่อนว่าเผ่าเสี่ยเสียจะมีจอมปีศาจ”
จอมปีศาจโลหิตเผ่าเสี่ยเสียพยักหน้าอย่างไม่แยแส “แม้ว่าเจ้าจะมีส่วนช่วยต่อการเกิดของข้า แต่เจ้าก็ต้องตายในวันนี้”
เสียงของเขาแหบพร่า ไร้อารมณ์ใดๆ มีเพียงไอหนาวเหน็บแฝงอยู่เท่านั้น
มู่เฉินยิ้ม เขารู้ว่าวันนี้จะเป็นการต่อสู้ระหว่างความเป็นตายตั้งแต่เห็นจอมปีศาจโลหิตถือกำเนิด ดังนั้นเขาจึงไม่มีความคิดที่จะจบลงโดยดี
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องลองลิ้มรสฝีมือของจอมปีศาจแล้ว”
แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นจอมปีศาจ แต่มู่เฉินก็ไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ ผลลัพธ์จะถูกตัดสินหลังจากต่อสู้กันจริงแล้วเท่านั้น
“แก่นโลหิตเจ้าหนาแน่นดี แทนที่จะฆ่าเจ้าทำไมเจ้าไม่มอบตัวให้ข้า ข้าจะปรับแต่งให้เป็นทาสรับใช้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป” จอมปีศาจโลหิตกล่าวขณะที่มองไปที่มู่เฉิน
มู่เฉินยิ้มขณะที่แสงสีม่วงทองกำจายจากด้านหลัง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ถูกเรียกออกมา มู่เฉินยืนอยู่บนหัวของร่างเวทสวรรค์ ส่วนร่างรองทั้งสองยืนอยู่บนไหล่คนละด้าน
ทั้งสามนั่งลง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตหลั่งไหลเข้าสู่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด รัศมีสีม่วงทองเปล่งออกมาจากร่างเวทสวรรค์โดยธรรมชาติ ราวกับดวงอาทิตย์สีม่วงทองก็มิปาน
มู่เฉินตอบโต้ด้วยการกระทำ
“มดกำลังเขย่าต้นไม้เรอะ”
จอมปีศาจโลหิตกล่าวอย่างไม่แยแสกับภาพนี้
มู่เฉินไม่ได้พูดอะไร ทั้งสามผสานพลังวาดตราประทับในเวลาเดียวกัน รหัสเทพอมตะควบแน่นขณะที่ไหลเวียนไปรอบๆ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
ในไม่กี่ลมหายใจ จำนวนของรหัสเทพอมตะก็มีถึงสองร้อยลายช่างน่าตกใจนัก
ชัดว่ามู่เฉินไม่มีความคิดจะหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ เขาใช้พลังถึงขีดสุดทันที
รหัสเทพอมตะสองร้อยลายเปล่งแสงสีม่วงทองออกมาทำให้มิติแปรปรวน พลังนี้สามารถทำร้ายผู้บัญชาการใหญ่ปีศาจโลหิตได้ในทันที
“รหัสเทพอมตะ แปรเปลี่ยน ระฆังเทพอมตะ!”
เมื่อเสียงตะโกนของมู่เฉินดังขึ้นรหัสเทพอมตะก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พริบตาก็ก่อตัวเป็นระฆังขนาดใหญ่ห่อหุ้มร่างจอมปีศาจโลหิตไว้
มู่เฉินสะบัดเสื้อ รหัสเทพอีกหลายสิบลายก็รวมตัวกันแล้วควบแน่นเป็นเสาขนาดใหญ่กระแทกกับระฆัง
เคร้ง!
ในช่วงเวลาปะทะนั้นสวรรค์และโลกก็สั่นสะเทือน กระทั่งภูเขาเสี่ยหมัวยังเริ่มพังทลายลง คลื่นกระแทกขนาดใหญ่ที่มีความกว้างหมื่นจั้งสร้างความหายนะ ฉีกขอบฟ้าออกจากกัน
ในรัศมีร้อยลี้ของระฆังทอง หินน้อยใหญ่กลายเป็นเถ้าถ่านพร้อมกับพื้นโลกสลายลง…
ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกใจและหวั่นกลัว นี่เป็นเพียงพลังจากคลื่นกระแทก แล้วภายในระฆังจะทรงพลังแค่ไหนกัน?!
การโจมตีของมู่เฉินเผยความน่ากลัวขึ้นในทันที
ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่เปลี่ยนเป็นดีใจเมื่อมองไปที่มู่เฉิน แต่นางเห็นว่าใบหน้าของเขายังดูเคร่งเครียดไม่แสดงอาการผ่อนคลายใด
เนื่องจากเขารู้ดีว่ากระบวนท่านี้สามารถทำให้เขาอยู่ยงคงกระพันจากจอมยุทธ์ใต้ระดับเทียนจื้อจุน แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการกับจอมปีศาจ
ขณะที่ความคิดนี้แวบขึ้นในหัวของมู่เฉิน ทันใดนั้นระฆังก็สั่นะสะเทือนรุนแรง ทุกคนสามารถเห็นลายฝ่ามือชัดเจนด้านบนของระฆังทอง
ปัง!
ระฆังทองแตกเป็นเสี่ยงๆ ใต้ฝ่ามือนั้น ร่างจอมปีศาจโลหิตก็ปรากฏขึ้น นอกจากมีริ้วรอยสีแดงเข้มบนร่างกายแล้วก็ไม่ได้อาการบาดเจ็บใดๆ
กระทั่งรอยเหล่านั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว!
ซื้ด!
ไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะหายใจลึก พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าจอมปีศาจโลหิตจะทรงพลังปานนี้ การโจมตีระดับนั้นเป็นเพียงการข่วนอีกฝ่ายเท่านั้น!
เมื่อตระหนักได้ว่าจอมปีศาจโลหิตทรงพลังเพียงนี้ แม้แต่ไป๋ซู่ซู่ที่มั่นใจในตัวมู่เฉินก็ยังอดกังวลไม่ได้
“สมกับเป็นราชัน…”
แม้ว่ามู่เฉินจะคาดไว้แล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจให้กับจอมปีศาจโลหิตที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ มีความแตกต่างระหว่างคำว่าจอมปีศาจและผู้บัญชาการ พลังแตกต่างราวกับระหว่างสวรรค์และโลก
บนยอดเขา จอมปีศาจโลหิตมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแสก่อนที่จะเหยียดนิ้วออก
ทันใดนั้นแสงสีแดงก็สว่างวาบ มีเลือดไหลออกมาจากปลายนิ้วเขา
หยดเลือดกลายเป็นไข่มุกทะลุผ่านมิติบินไปหามู่เฉิน
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปรุนแรงก่อนที่เขาจะสูดหายใจเข้าลึก ทันใดนั้นแสงสีม่วงทองก็กำจายจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ก่อตัวเป็นภูเขาขนาดมหึมา
ตึง!
หยดเลือดปะทะเข้าบนภูเขาอย่างจัง
ครืน!
วินาทีนั้นรู้สึกเหมือนสวรรค์และโลกล่มสลาย ภูเขาที่ดูเหมือนอยู่ยงคงกระพันแตกสลายทันทีที่สัมผัสกับหยดเลือด พลังอันเหลือเชื่อแผ่ซ่านออกมา
ปัง!
ฟ้าถล่มดินถล่มทลาย บริเวณที่มิติบิดเบี้ยว แสงสีม่วงทองจางหาย ร่างเทพสุริยะนิรันดร์เหมือนได้รับผลกระทบอย่างหนักถูกผลักออกไปหลายพันลี้ด้วยพลังที่น่ากลัวพร้อมกับรอยลึกสองรอยลากจากขา…
เมื่อไป๋ซู่ซู่และชาวโลกเห็นฉากนี้ หัวใจของพวกเขาก็สั่นไหว นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นมู่เฉินเป็นฝ่ายเสียเปรียบ…
เห็นได้ชัดว่าการเผชิญหน้าบ่งบอกให้รู้ว่าจอมปีศาจโลหิตแข็งแกร่งมากกว่ามู่เฉิน
ไกลออกไปในที่สุดร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็หยุดลง มู่เฉินมองไปที่ร่างเวทสวรรค์ใต้เท้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาเห็นรอยแตกหลายแห่งปรากฏขึ้น
แค่กระบวนท่าเดียวก็ทำให้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นี้ พลังของราชันน่ากลัวอย่างแท้จริง
ฮา
มู่เฉินหายใจเข้าลึก ความคมชัดฉายในนัยน์ตา จอมปีศาจโลหิตทรงพลังนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะข่มขู่เขาที่ผ่านประสบการณ์การต่อสู้เป็นตายมานับครั้งไม่ถ้วน!
“ดูเหมือนวันนี้…ข้าต้องพุ่งสุดแรงแล้ว!”
นอกภูเขาเสี่ยหมัว
ทันใดนั้นเจดีย์ผลึกแก้วก็สั่นสะท้านก่อนที่จะเริ่มหดตัวลง ร่างเงาปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของทุกคน
“นั่นท่านเทพ!”
เมื่อไป๋ซู่ซู่และเหล่าจอมยุทธ์ในโลกเห็นภาพเงานั่น พวกเขาก็ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น ความยินดีกระจายบนใบหน้าทุกคน
พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและเสี่ยหมัวจะจบลงรวดเร็วเช่นนี้
เทียบกับเสียงโห่ร้องลั่นสนั่น ฝั่งภูเขาเสี่ยหมัวกลับตกอยู่ในความเงียบงัน ความตกใจและหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้าของสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียขณะที่เฝ้าดูฉากนี้
พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้บัญชาการใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าจะแพ้ให้กับมู่เฉิน…
ทว่ามู่เฉินไม่ใส่ใจกับความตกใจเหล่านั้น สายตาเขาพุ่งตรงไปยังส่วนลึกของภูเขาเสี่ยหมัว ยามนี้เขาสัมผัสถึงรัศมีเสี่ยหมัวไม่ได้อีกต่อไป ชัดว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายซ่อนตัวไว้
ฉากนี้ไม่ได้ทำให้มู่เฉินรู้สึกดีใจ กลับรู้สึกไม่สบายใจด้วยซ้ำ
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจัดการผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสองคนที่เหลือก่อน”
สายตาของมู่เฉินวูบไหวจากนั้นก็ทะยานไปยังสมรภูมิอื่นๆ ไม่ว่าเสี่ยหมัวจะเคลื่อนไหวอื่นใด เขาจะต้องกำจัดผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสองคนก่อน ด้วยวิธีนี้เขาจะมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้กับเสี่ยหมัวได้
สมรภูมิที่มู่เฉินพุ่งไป รัศมีจั้นยี่พวยพุ่งส่งเสียงหวีดหวิวข้ามขอบฟ้าดักจับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตไว้
เมื่อมู่เฉินปรากฏตัวขึ้นเหนือมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ ใบหน้าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็เปลี่ยนไปรุนแรง
มู่เฉินมาปรากฏที่นี่ได้หมายความว่าผู้บัญชาการใหญ่ล้มเหลวแล้ว…
“เป็นไปได้ยังไง?!” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคำรามออกมา เสี่ยหมัวแข็งแกร่งกว่าพวกเขา ดังนั้นเขาจะพ่ายแพ้ให้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างไร?
แต่ไม่ว่าจะตกใจแค่ไหน มู่เฉินก็โบกมือใส่อย่างไม่แยแสร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปรากฏขึ้น รหัสเทพอมตะบินฉวัดเฉวียนออกมา
เขาเลือกที่จะไม่ใช้วิชาเจดีย์แปดองค์ เนื่องจากต้องใช้ของเหลวจื้อจุนจำนวนมากเกินไป บวกกับการรวมตัวกับมู่เฉินชุดดำก็เพียงพอแล้วที่จะปราบผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนนี้
ตู้ม ตู้ม!
อย่างที่คาดไว้เมื่อร่างหลักของมู่เฉินเข้าร่วมศึก ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็พ่ายแพ้ เขาถูกรัศมีจั้นยี่โถมใส่ ก่อนที่หอกสีม่วงทองจะแทงทะลุหน้าอกทำลายร่างกายและพลังงานทั้งหมด
หลังจากจัดการกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนนี้ ร่างหลักและร่างรองก็ทะยานสู่สมรภูมิสุดท้าย ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินชุดขาวกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกคน
แต่เมื่อผู้บัญชาการปีศาจโลหิตเห็นร่างหลักและร่างรองของมู่เฉินเข้ามา ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดเพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลบหนี ดังนั้นเขาจึงกัดฟัน ร่างกายพองขึ้นแล้วระเบิดออก
ครืน!
เสียงระเบิดดังก้อง คล้ายกับดวงอาทิตย์สีแดงเข้มลอยคว้างบนท้องฟ้า ราวกับว่าต้องการที่จะกลืนกินทั้งสวรรค์และโลก
แต่ก่อนที่มันจะกระจายออกไป มู่เฉินก็สะบัดแขนเสื้อ เจดีย์ก็ทะยานออกไป ผลึกแสงแผ่เข้าไปห่อหุ้มมันก่อนที่จะเปลี่ยนแสงสีแดงเข้มให้กลายเป็นผลึก ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า…
ขณะที่ผลึกสีแดงเข้มตกลงมา ลำแสงสีแดงก็พุ่งออกไปทางทิศของภูเขาเสี่ยหมัว
“คิดจะหนีไปไหน?”
แต่ขณะที่มันบินออกไป มู่เฉินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพลางเค้นเสียงเย็น แสงผลึกแล่นแปลบปลาบในมือห่อหุ้มมันเอาไว้ ดักไว้ในผลึกอัญมณีสีแดงเข้ม
ใบหน้าสิ้นหวังของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตปรากฏขึ้นบนผลึกอัญมณี เมื่อมู่เฉินเห็นก็ไม่ใจอ่อน กำมือแน่นแล้วบดขยี้
“อย่าเพิ่งได้ใจไปเลย! เมื่อไรที่จอมปีศาจของพวกข้าถือกำเนิดแกทุกคนจะต้องตาย!” เมื่อเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะหลบหนี เสียงหัวเราะแหลมคมก็สะท้อนออกมาอย่างน่าขนลุก
หลังจากบดผลึกอัญมณีแล้ว มู่เฉินก็โยนออกไปอย่างไร้ความรู้สึก
การต่อสู้จบลงด้วยผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามถูกกำจัดในกำมือเขา
ชาวโลกส่งเสียงโห่ร้องดังกระหึ่มก่อนที่จะคุกเข่าลงด้วยแรงอารมณ์ ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตเหล่านั้นกดหัวพวกเขามานาน ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามต่อต้านอย่างไรก็ไม่ต่างจากมดปลวกที่ถูกเหยียบตาย
แต่ตอนนี้ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งหมดถูกสังหารโดยท่านเทพ นี่ก็หมายความว่าโลกของพวกเขาได้รับอิสรภาพแล้ว!
ทว่าไป๋ซู่ซู่สังเกตเห็นว่ามู่เฉินไม่มีความยินดีบนใบหน้า นางทะยานเข้าไปหา “ท่านเทพมีอะไรผิดปกติเหรอ?”
“ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้ตาย มันหนีไปได้”
มู่เฉินมองไปที่ภูเขาด้วยสายตาวูบไหว ขณะที่เขาพยายามค้นหาร่องรอย
เมื่อไป๋ซู่ซู่ได้ยินก็ตกใจ “ภูเขาเสี่ยหมัวตอนนี้เป็นกองบัญชาการของเผ่าเสี่ยเสีย ถ้าผู้บัญชาการใหญ่หนีไป มันจะต้องมุ่งหน้าไปที่นั่นแน่”
มู่เฉินพยักหน้า มองไปที่ภูเขาเสี่ยหมัวพร้อมกับแสงเย็นเยือกแล่นแปลบปลาบในดวงตา เขาสะบัดมือ เจดีย์ก็ทะยานออกขยายขนาดเป็นแสนกว่าจั้ง ก่อนที่มันจะลอยอยู่เหนือภูเขาเสี่ยหมัว
ฉากนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้คนตกตะลึง กระทั่งสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียก็ตื่นตระหนกขณะที่หนีกันจ้าละหวั่น
มู่เฉินและร่างรองทั้งสองสร้างตราประทับ คลื่นหลิงเทลงในเจดีย์ก่อนที่ผลึกแสงจะบีบลงไปห่อหุ้มภูเขาเสี่ยหมัวทั้งหมด
เมื่อผลึกแสงบีบลงมา สมาชิกเผ่าเสี่ยเสียที่สัมผัสโดนก็จะหดตัวกลายเป็นผลึกแก้ว
เคร้ง เคร้ง
เสียงผลึกแก้วร่วงหล่นลงบนพื้นดังสะท้อนจากภูเขา
ในส่วนลึก ผู้บัญชาการใหญ่ปีศาจโลหิตเฝ้าดูสิ่งนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไป เขารู้สึกได้ว่าผลึกแสงกำลังทะลุผ่านภูเขา ใช้เวลาอีกไม่นานก็จะซัดเข้าใส่ในทิศทางของเขา
“ข้าต้องเร่งแล้ว!”
เสี่ยหมัวมองไปที่ไข่สีแดงเข้ม จำนวนรอยแตกเพิ่มขึ้นและความผันผวนที่น่ากลัวก็กระเพื่อมไหว
เขาขบฟันปลดปล่อยเสียงร้องอีกครั้ง จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียก็เพิ่มความเร็วพุ่งตัวเข้าสู่ห้วงอเวจีเพื่อให้พลังงานแก่ไข่ใบนั้น
มู่เฉินมองไปที่ภูเขาแม้ว่าจะอยู่ในความสับสนวุ่นวาย แต่เสี่ยหมัวก็ยังไม่แสดงตัว
มู่เฉินขมวดคิ้ว ทันใดนั้นม่านตาก็หดเกร็ง เนื่องจากเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนที่น่ากลัวซึ่งมาจากส่วนลึกของภูเขา
“ตู้ม!”
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว เสาผลึกขนาดหมื่นจั้งพุ่งลงมา เล็งเป้าไปที่ความผันผวนนั้น
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ด้วยความระมัดระวังเขารู้ว่าจะต้องทำลายมันให้ได้
ครืน!
เสี่ยหมัวก็สัมผัสได้เช่นกัน ใบหน้าเปลี่ยนแปรไป เขามองไปที่เสาก่อนจะสะบัดมือ
ซ่าๆๆ
น้ำพุเลือดนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากอเวจีโลหิต ก่อตัวเป็นปราการกั้นล้อมรอบทั่วบริเวณราวกับชามที่คว่ำไว้
ตู้ม!
เมื่อเสาผลึกกระแทกกับกำแพง ทำให้เกิดระลอกคลื่นกระจายวงออกไปอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากพลังของกำแพงมาจากอเวจีโลหิต จึงสามารถต้านทานการโจมตีได้ ไม่ได้แตกเป็นเสี่ยงๆ
“เจอแล้ว!”
ดวงตาของมู่เฉินหดลง เขาหมุนวนเจดีย์โดยไม่ลังเลใดๆ ทันใดนั้นเสาผลึกจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งลงเหมือนสายฟ้าฟาด
ครืน!
พายุสีม่วงสร้างความหายนะในอเวจีโลหิต เมื่อเสี่ยหมัวเห็นว่าปราการเลือดอ่อนแอลงอย่างรวดเร็วใบหน้าของเขาก็ดูน่าเกลียดลง
เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะเด็ดเดี่ยวถึงขนาดใช้พลังทั้งหมดทำลายความไม่แน่ใจ
เสี่ยหมัวมองไปที่ไข่สีแดงเข้ม แม้ว่าจะถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตก แต่ก็ยังไม่ฟักออกมาสักที ดูเหมือนจะขาดอะไรบางอย่าง
ใบหน้าของเสี่ยหมัวเปลี่ยนไป สุดท้ายเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปข้างนอกด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อก่อนจะขบฟัน “ไอ้สารเลว ในเมื่อแกพยายามล้างบางเผ่าเสี่ยเสีย ข้าจะให้แกเป็นเครื่องสังเวยคนแรกให้กับจอมปีศาจของเรา!”
พูดจบเขาก็ไม่ลังเล ร่างกายระเบิดกลายเป็นกระแสไหลไปยังไข่สีแดงเข้ม
ในเวลาเดียวกันมู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง สายตามืดครึ้มลง เสาผลึกบดขยี้ปราการจากนั้นก็พุ่งไปยังกระแสสีแดงเข้มที่สร้างขึ้นโดยเสี่ยหมัว
ตู้ม!
อึดใจต่อมาก็เกิดการระเบิดรุนแรงจากภายในอเวจีโลหิตขณะที่พังทลายลง…
ในเวลานั้นไข่สีแดงเข้มก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ลอยอยู่บนยอดเขาเสี่ยหมัว…
เมื่อมองไปที่ไข่ใบนั้น ม่านตามู่เฉินก็หดเกร็ง ภัยคุกคามที่เขารู้สึกได้ทำให้ขนลุกซู่ไปหมด จากนั้นเขาก็หมุนเจดีย์โดยไม่ลังเลใดๆ และเสาผลึกดุร้ายนับไม่ถ้วนก็พุ่งลงมากระแทกกับไข่
แต่จังหวะที่กำลังจะตี ไข่ก็แตกออก มือซีดเซียวข้างหนึ่งยื่นออกมาบดขยี้เสาผลึกอย่างง่ายดาย…
ครืน!
บนท้องฟ้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์กับสัตว์ปีศาจโลหิตปะทะกันจังใหญ่ พลังนั้นคล้ายกับการปะทะของอุกกาบาต ทำให้เกิดเสียงสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับคลื่นกระแทกที่มองเห็นได้กวาดตัวออกมาราวกับพายุ
มิติโดยรอบพังทลายลงแม้แต่ผืนโลกยังสั่นสะเทือน
โฮก!
สัตว์ปีศาจปล่อยเสียงคำรามที่ทำเอาแก้วหูเกือบแตก พาดพลองลงมาที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
เคร้ง!
แต่ทันใดนั้นหอกสีม่วงทองก็พุ่งออกไปปะทะกับพลองทำให้เกิดประกายไฟขนาดใหญ่ ก่อนที่จะดีดพลองกลับไป
ทว่าสัตว์ปีศาจก็ยิ่งดุร้ายขึ้นขณะที่พาดพลองก็ทิ้งภาพไว้ข้างหลังนับไม่ถ้วน มุ่งเป้าไปที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์เปล่งแสงสีทองหมื่นจั้ง พุ่งเข้าปะทะพร้อมหอกม่วงทองในมือ ซึ่งทำให้ทั้งฟ้าดินสั่นสะเทือน
มองภาพยักษ์สองตัวปะทะกัน ดวงตาของมู่เฉินก็วูบไหวก่อนที่ร่างจะทะยานไปหาเสี่ยหมัวที่อยู่ด้านหลัง
สัตว์ปีศาจตัวนั้นไม่ธรรมดา ต้องใช้เวลาในการจัดการ ทว่าจะจับใครให้จับผู้นำก่อน ตราบใดที่เสี่ยหมัวพ่ายแพ้ สัตว์ปีศาจก็จะหยุดการโผเข้าใส่เอง
เมื่อเห็นมู่เฉินพุ่งเข้ามาหา เสี่ยหมัวก็เยาะเย้ย “ไม่มีร่างดวงจิตและร่างเทห์สวรรค์ แกคิดว่าตัวเองจะเผชิญหน้ากับข้าได้เรอะ? รนหาที่ตายแท้จริง!”
เมื่อไม่มีทักษะเหล่านั้น มู่เฉินก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ขณะที่เสี่ยหมัวเหนือกว่าผู้บัญชาการทั่วไป พลังของเขาอยู่ห่างจากจอมปีศาจโลหิตอีกเพียงก้าวเดียว ดังนั้นก็เป็นปกติที่เขาจะไม่กลัวมู่เฉิน
ดังนั้นเขาจึงก้าวเท้าออกไปเมื่อเห็นมู่เฉินพุ่งเข้ามา ปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉินอย่างลึกลับ ร่างกายของเขาสั่นเบาๆ ก่อนที่จะเริ่มพองตัวเป็นยักษ์ฟาดหมัดไปที่มู่เฉิน
ขณะที่กำปั้นวาดลง มิติก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ปล่อยพลังที่น่ากลัวออกมา
“ร่างกายทรงพลังจริงๆ”
หมัดโลหิตขยายขนาดอย่างรวดเร็วในม่านตาของมู่เฉิน เมื่อรู้สึกถึงพลังนั่นมู่เฉินก็หรี่ตาลง ผลึกแสงกวาดออกมาจากดวงตา
คลื่นหลิงแผ่ออกมาจากร่างกายราวกับกระแสน้ำ
โฮก!
มู่เฉินกำหมัดแน่นชกออกไป ยามนี้เสียงคำรามของมังกรดังก้อง วิญญาณมังกรแท้จริงบินฉวัดเฉวียนไปที่แขนของมู่เฉินเชื่อมต่อกรงเล็บของมันกับนิ้วของมู่เฉิน ทำให้พลังเพิ่มระดับน่ากลัวขึ้น
ตู้ม!
หมัดและฝ่ามือปะทะกันรุนแรง มิติปะทุกลายเป็นหลุมดำ ร่างเสี่ยหมัวกับมู่เฉินสั่นสะท้านก่อนถลากลับ
“พลังกายของมันก็ทรงพลังเหมือนกันเรอะ!”
ความตกใจฉายขึ้นบนใบหน้าเสี่ยหมัว ความแข็งแกร่งของร่างกายของมู่เฉินอยู่เหนือความคาดหมาย ทว่าเขาก็ไม่กลัวเพราะเขารู้สึกได้ว่าถือไพ่เหนือกว่าเล็กน้อยในการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่
เสี่ยหมัวเค้นเสียงเย็น ไม่ปล่อยให้มู่เฉินพักพุ่งตัวออกไป พริบตาพายุการโจมตีก็ปกคลุมร่างมู่เฉิน
เขาต้องจัดการกับมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ขณะที่ร่างดวงจิตและร่างเทพสุริยะนิรันดร์กำลังถูกดักไว้!
ตู้ม ตู้ม!
เผชิญหน้ากับการโจมตีดุดันจากเสี่ยหมัว สายตาของมู่เฉินก็เคร่งขรึมลง ผลึกแสงกะพริบออกจากร่างกายพร้อมกับวิญญาณมังกรแท้จริง เขาเร้าพลังหลิงและพลังกายไปถึงขีดสุดแล้ว
เขาสัมผัสได้ว่าเสี่ยหมัวทรงพลังมากกว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนอื่นๆ เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเผชิญหน้ามาภายใต้ระดับเทียนจื้อจุน
ครั้งนี้การต่อสู้ยากแล้วจริงๆ
เหล่าจอมยุทธ์เฝ้าดูฉากนี้อย่างกังวล การเผชิญหน้าของทั้งสามคู่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าหนังชาหนึบไปหมด
การต่อสู้ในระดับนี้ เพียงแค่พวกเขาได้รับผลกระทบเล็กน้อยก็จะถูกทำลายจนสิ้นซาก
“จักรพรรดินี ท่านเทพดูเหมือนจะถูกยับยั้งโดยผู้บัญชาการใหญ่ปีศาจโลหิตนะ” จอมยุทธ์ชั้นแนวหน้าบางคนรวมตัวกันข้างๆ ไป๋ซู่ซู่ พวกเขาวิตกกังวลขณะมองไปยังมู่เฉินตัวจริง เสี่ยหมัวดูเหมือนจะกุมความได้เปรียบและควบคุมมู่เฉินด้วยพายุการโจมตี
แม้ว่าไป๋ซู่ซู่จะกำมือแน่น แต่ท่าทางก็ดูสงบนิ่งนัก นางติดตามมู่เฉินในช่วงวันที่ผ่านมาและรู้ว่าอีกฝ่ายยังมีไพ่ตายทรงพลังอีกใบ ตอนนี้ที่ยังไม่ใช้เพราะกำลังรอโอกาสที่ดีที่สุดอยู่
การต่อสู้ในระดับดังกล่าวเป็นการต่อสู้ที่เสี่ยง ดูว่าใครจะแสดงข้อบกพร่องออกมาก่อน
ครืนๆๆๆ!
ภายใต้สายตาวิตกกังวล การต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและเสี่ยหมัวก็ยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อความได้เปรียบของเสี่ยหมัวชัดเจนขึ้น สมาชิกของเผ่าเสี่ยเสียในภูเขาก็เริ่มส่งเสียงโห่ร้องยินดี
ตู้ม!
มู่เฉินและเสี่ยหมัวแลกกระบวนท่ากันอีกครั้ง คลื่นหลิงพร่างพราวและแสงสีแดงเข้มพวยพุ่งออกมาปกคลุมขอบฟ้า แต่ตอนนั้นเองที่รอยยิ้มน่ากลัวก็ปรากฏบนริมฝีปากของเสี่ยหมัว ก่อนที่ลำคอเขาจะบิดเกลียว จากนั้นก็ยืดออกมาราวกับงูแผ่แม่เบี้ย พุ่งไปกัดที่ลำคอของมู่เฉิน
แต่ในวินาทีนั้น มู่เฉินก็เอียงศีรษะเล็กน้อย ทำให้สุดท้ายกัดลงบนหัวไหล่ เลือดสดสาดกระเซ็น
“ข้าจะดูดแกให้แห้ง!” เสี่ยหม้วหัวเราะเยาะขณะที่เริ่มสูบเลือดของมู่เฉิน
แต่ในตอนนี้รอยยิ้มเย็นชากลับปรากฏขึ้นบนใบหน้ามู่เฉิน มือเขาสะบัดออกเจดีย์ผลึกแก้วใสก็บินออกมาห่อหุ้มร่างทั้งสองไว้
เขารู้ดีว่าหากต้องการเอาชนะก็จะต้องใช้วิชาเจดีย์แปดองค์ ทว่าเสี่ยหมัวว่องไวกว่าเขาส่วนหนึ่ง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะดักแล้วลากเข้าไปหากนำเจดีย์ออกมาเลย
เมื่อเจดีย์ครอบลงมาเสี่ยหมัวก็สะดุ้ง เขารู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจ พยายามที่จะถอนเขี้ยวออก แต่เขาก็ตกใจเมื่อพบว่าเนื้อของมู่เฉินยึดเขี้ยวของเขาไว้แน่น ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถถอนเขี้ยวออกมาได้
ครืน!
สถานการณ์ยันกันนี้ทำให้เจดีย์พุ่งลงมาห่อหุ้มทั้งสองเอาไว้ได้
ในเจดีย์
มู่เฉินรีบถอยออกเมื่อเข้ามาภายในเจดีย์ โดยไม่ได้สนใจเลือดที่หัวไหล่ เขายิ้มให้เสี่ยหมัวก่อนที่จะโบกมือ ของเหลวจื้อจุนก็ไหลบ่าออกมา
มีความผันผวนของคลื่นหลิงขนาดใหญ่กระจายออกไปภายในเจดีย์
ครั้งนี้มู่เฉินนำของเหลวจื้อจุนออกมาถึงแปดสิบล้านหยด เขารู้ว่าเสี่ยหมัวทรงพลังขนาดไหน ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะออกกระบวนท่าแล้ว ก็ต้องทำให้สะอาดหมดจด!
กระแสน้ำพลุ่งพล่าน มู่เฉินสร้างตราประทับขึ้น ร่างส่วนบนของภาพร่างปีศาจทั้งแปดยื่นออกมาจากกำแพง
ฮา
พวกมันอ้าปากกลืนกินของเหลวจื้อจุนเข้าไป
“วิชาเจดีย์แปดองค์ แสงเจดีย์ล้างปีศาจ!”
ไอเย็นเยือกรวมตัวกันในสายตาของมู่เฉิน ขณะที่เขาออกกระบวนท่าเจดีย์แปดองค์ ภาพร่างปีศาจทั้งแปดก็ยื่นนิ้วชี้ไปที่ร่างเสี่ยหมัว จากนั้นลำแสงแปดสายก็พุ่งออกมา
เมื่อลำแสงสีดำแปดสายถูกยิงออก ใบหน้าของเสี่ยหมัวก็เปลี่ยนไปด้วยความหวาดผวา เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกถึงความตายจากกระบวนท่านี้ของมู่เฉิน
“ให้ตายเถอะ เจ้านี่มีทักษะแบบนี้ด้วย!”
เสี่ยหมัวสาปแช่งพลางวาดตราประทับ แสงสีแดงเข้มไร้ขอบเขตพุ่งออกมา ก่อตัวเป็นลูกกลมแสงสีแดงล้อมรอบตัว
ชี่ ชี่!
ลำแสงทั้งแปดยิงเข้าถึงลูกแสงก็ทะลุผ่านสิ่งกีดขวางเข้าโจมตีเสี่ยหมัวในพริบตา
อ๊าก!
เสียงกรีดร้องสะท้อนพร้อมกับร่างเสี่ยหมัวระเบิดออก เลือดสาดกระเด็นไปทั่ว
สมกับเป็นพลังอำนาจของวิชาเจดีย์แปดองค์ วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน
เมื่อเห็นภาพนี้มู่เฉินก็สะบัดแขนเสื้อ ผลึกคลื่นหลิงห่อหุ้มเป็นตราประทับกลายเป็นลูกกลม
มู่เฉินก้มมองไปที่ลูกกลมก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าใบหน้าเสี่ยหมัวเผยท่าทางเลวร้าย ก่อนที่จะเริ่มจางหายไป
“รัศมีของมันหายไป? ชายคนนี้เป็นตัวปัญหาจริงๆ”
มู่เฉินเงียบไปก่อนที่จะกำมือแน่น ทำให้ผลึกทรงกลมแตกเป็นเสี่ยงๆ เขารู้ว่าเสี่ยหมัวไม่ได้ถูกฆ่า แต่อีกฝ่ายใช้ทักษะลับหลบหนีไป
ทว่าแม้เขาจะหนีทัน แต่ร่างกายก็ถูกทำลาย ดังนั้นพลังในการต่อสู้ของเขาจึงลดลงอย่างมาก
“ไม่ว่ามันจะทำอะไร ข้าต้องไปจัดการกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสองคนก่อน”
ร่างของมู่เฉินทะยานออกจากเจดีย์ ตราบใดที่เขาจัดการกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสองคนได้ การใช้วิชาสามพิสุทธ์จัดการกับเสี่ยหมัวก็จะเป็นเรื่องง่าย
ส่วนลึกของภูเขาเสี่ยหมัว
ในช่วงเวลาเดียวกันกลุ่มเลือดสีแดงเข้มรวมตัวกันกลายเป็นภาพเงาสีซีดเซียว นี่ก็คือเสี่ยหมัวที่มู่เฉินเพิ่งจัดการไป
ยามนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายจึงดูเป็นภาพลวงตา
เขามองออกไปนอกภูเขาด้วยสายตาที่น่ากลัวพลางกัดฟัน “ไอ้เวรนั่นมีกระบวนท่าที่ทรงพลังอะไรขนาดนี้”
เขารู้สึกหวาดกลัวกับพลังของภาพปีศาจทั้งแปดในเจดีย์ หากไม่ใช่เพราะเขาทิ้งร่างครึ่งหนึ่งไว้ในอเวจีโลหิต เขาก็คงถูกจับฆ่าตายแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บหนัก ความสามารถในการต่อสู้ลดฮวบลง
แม้ว่าเขาหนีจากการต่อสู้มาได้ชั่วคราว แต่มู่เฉินก็จะจัดการกับผู้บัญชาการที่เหลืออีกสองคนได้อย่างแน่นอน คงใช้เวลาไม่นานก่อนที่ทั้งสองจะล้มลง
ตอนนี้พวกเขาไม่ได้เปรียบในการต่อสู้นี้อีกต่อไป
สายตาเขาดูเคร่งขรึมขณะมองไปที่ไข่สีแดงเลือด ลวดลายที่น่ากลัวเต้นยุบยับไปมาบนเปลือกไข่ ราวกับว่ากำลังหายใจ
“เจ้านั้นผิดประหลาดมาก เพื่อจัดการกับมัน… ก็ต้องเร่งความเร็วในการถือกำเนิดของจอมปีศาจ”
เสี่ยหมัวหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะกัดฟันปล่อยเสียงร้องแหลม
เสียงร้องสะท้อนออกไป จากนั้นรอบๆ ก็มีสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียนับไม่ถ้วนเดินออกมาและสังเวยตัวเองลงไปในอเวจีโลหิตราวกับถูกควบคุมอย่างไรอย่างนั้น
ร่างแต่ละร่างละลายทันทีที่สัมผัสกับมหาสมุทรสีแดงเข้ม รวมเข้ากับอเวจีโลหิต…
ตุบ ตุบ!
จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียกระโดดเข้าสู่อเวจีโลหิตอย่างต่อเนื่อง
คนแล้วคนเล่ากระโดดเข้าไป ลวดลายบนเปลือกไข่ที่น่ากลัวก็เรืองรองขึ้น รอยแตกเริ่มปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ…
ภูเขาเสี่ยหมัวกำจายกลิ่นเลือดคละคลุ้ง
ขณะที่เงาสีแดงเข้มทั้งสามยืนอยู่ในอากาศพร้อมกับรัศมีน่าสะพรึงเล็ดลอดออกมาจากร่าง เมื่อมองจากระยะไกลก็ราวกับเทพปีศาจสามคน
เมื่อผู้คนเห็นภาพเงาทั้งสาม พวกเขาก็เริ่มสั่นสะท้านด้วยความกลัวในสายตา เนื่องจากพวกเขารู้ว่าทั้งสามคนก็คือผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าเสี่ยเสีย
ในปีที่ผ่านๆ มา ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไรที่ตายในมือของพวกมัน
แต่ขณะที่ทุกคนกำลังถูกข่มโดยทั้งสามอยู่นั้น มู่เฉินก็สะบัดแขนเสื้อ แสงหลิงพวยพุ่งขึ้น ประหนึ่งคลื่นปกคลุมครึ่งหนึ่งของขอบฟ้า ปิดกั้นรัศมีดุร้ายที่มาจากผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามไว้
ด้วยการเคลื่อนไหวของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่และคนที่เหลือก็รู้สึกโล่งใจ ร่างกายของพวกเขาคลายตัวก่อนที่จะมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความเคารพ
เหนือภูเขาเสี่ยหมัว ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่มีสัญลักษณ์อยู่หน้าผาก ซึ่งก็คือผู้บัญชาการใหญ่เสี่ยหมัวมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา “จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มกล้าโอหังต่อหน้าข้าคนนี้หรือ? แกช่างไม่เจียมกะลาหัว!”
เมื่อพิจารณาจากความผันผวนพลังงานของมู่เฉิน เสี่ยหมัวก็รู้ถึงขุมพลังของอีกฝ่าย ซึ่งทำให้เขาต้องประหลาดใจ โดยทั่วไปแล้วจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะเทียบเท่ากับแม่ทัพปีศาจโลหิตของเผ่าเสี่ยเสีย แล้วผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามตกอยู่ในมือของมู่เฉินได้อย่างไร?
เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยมู่เฉินก็ฉีกยิ้ม “ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็เพียงพอที่จะจัดการกับพวกแกแล้ว”
“อวดดี!”
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสองคนตะเบ็งเสียงอย่างเย็นชาพร้อมกับจ้องมองไปที่มู่เฉิน
“พี่ใหญ่ ทำไมต้องไปคุยกับมันล่ะ? ร่วมมือกันฆ่ามันแล้วโยนอาหารทั้งหมดนี่ลงไปในอเวจีโลหิตเลยดีกว่า” สายตาดุร้ายกวาดไปยังผู้คนที่ตามมา
“ถ้างั้นก็ร่วมมือกันจัดการเจ้านี่เลย” ผู้บัญชาการใหญ่พยักหน้าอย่างไม่แยแส แม้ว่าเขาจะเยาะเย้ยมู่เฉินว่าเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เขาก็ยังระวังอยู่ในใจและไม่ต้องการให้โอกาสใดกับมู่เฉิน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจต่อสู้พร้อมกัน
ตู้ม!
ลำแสงสีแดงเข้มหมื่นจั้งสามสายพุ่งทะยานจากร่างผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสาม แรงผลักดันดังกล่าวทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน ทั้งภูมิภาคนี้ตลบอบอวลด้วยกลิ่นเหม็นคาว
เมื่อทั้งสามเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกันก็ทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน แม้แต่ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่ก็เปลี่ยนไปขณะที่หมัดกำแน่น นางเข้าใจว่ามู่เฉินแข็งแกร่งเพียงใด แต่ก่อนหน้านี้เขาสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งมาตลอด ทว่าตอนนี้เขากลับต้องเผชิญหน้ากับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่แข็งแกร่งที่สุดสามคนในคราวเดียว
ฟิ้ว!
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตไม่แม้แต่จะคุยกับมู่เฉิน ออกกระบวนท่าพร้อมเพรียงกัน คลื่นพลังงานมหาศาลสามสายเดินทางผ่านมิติราวกับมหาสมุทรขนาดใหญ่กวาดไปทางมู่เฉิน
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ เขาก็สะบัดแขนเสื้อ ปราการพลังงานปกคลุมร่างไว้
ครืน!
มหาสมุทรขนาดใหญ่กระแทกเข้ากับปราการ พลังที่น่ากลัวดูราวกับพยายามจะฉีกสวรรค์และโลกออกจากกัน
เมื่อผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามเห็นฉากนี้ รอยยิ้มน่ากลัวก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แม้ว่าการโจมตีของพวกเขาอาจดูธรรมดา แต่ก็ไม่ได้ออมมือ มหาสมุทรเลือดที่น่าสะอิดสะเอียนสามารถกัดกร่อนคลื่นหลิงได้อย่างรวดเร็ว
ทว่าไม่ช้ารอยยิ้มของพวกเขาก็แข็งค้าง เนื่องจากพวกเขาเห็นผลึกแสงพล่านออกมา ทำให้มหาสมุทรเลือดจางลงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะสลายไป
เมื่อทั้งสามเห็นฉากนี้ดวงตาก็หดลง
จุดที่มู่เฉินอยู่ก่อนหน้า แสงตกผลึกก่อตัวขึ้นเป็นปราการห่อหุ้มเขาไว้ภายใน ที่ด้านข้างมิติบิดเบี้ยว ร่างเงาสองร่างปรากฏขึ้นมา
ร่างเงาสองร่างสวมชุดสีดำและสีขาวมีรูปลักษณ์เหมือนกับมู่เฉินทุกประการ สิ่งที่ทำให้ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตตกตะลึงก็คือความผันผวนของคลื่นหลิงเหมือนกับมู่เฉินเปี๊ยบเลย
“นั่นคือร่างดวงจิตรึ? แต่ทำไมพวกมันทรงพลังพอๆ กับร่างหลักล่ะ?” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนหนึ่งร้องออกมา ดูท่าเขาคงมีความเข้าใจพอสมควรเกี่ยวกับเคล็ดวิชาของมหาพันภพ
ใบหน้าของผู้บัญชาการใหญ่ปีศาจโลหิตก็ดิ่งลง ก่อนที่เสียงจะเปลี่ยนเป็นน่ากลัว “มิน่าล่ะไอ้ตัวนี้ถึงกล้ามาที่ภูเขาเสี่ยหมัวของเรา มันมีความสามารถอยู่จริงๆ”
“พี่ใหญ่ตอนนี้ทำยังไงดี?” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนหนึ่งถามขึ้น แบบนี้ไม่ใช่ว่าความได้เปรียบด้านจำนวนของพวกเขาก็หายไปแล้วหรือ?
ใบหน้าของผู้บัญชาการใหญ่มืดครึ้ม ก่อนที่สายตาจะกะพริบเอ่ยเยาะเย้ย “ข้าไม่เชื่อว่าร่างดวงจิตของมันจะทรงพลังเท่าร่างหลัก ทิ้งร่างหลักไว้ให้ข้า พวกเจ้าสองคนไปจัดการกับร่างเสมือนพวกนัน้ให้เรียบร้อยซะแล้วมาช่วยข้าจัดการมัน!”
“รับทราบ!”
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองพยักหน้า เนื่องจากพวกเขาก็มีความคิดคล้ายคลึงกัน ท้ายที่สุดทักษะที่แยกร่างเสมือนซึ่งไม่ได้ลดพลังก็ยากที่จะเห็นกระทั่งในเผ่าเสี่ยเสียเอง แล้วจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะครอบครองทักษะเช่นนี้ได้อย่างไร?
ร่างของพวกเขาขยับกลายเป็นริ้วแสงสีแดงเข้มพุ่งออกมา
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นฉากเบื้องหน้าก่อนที่เขาจะยิ้มพลางพยักหน้าให้กับร่างรองทั้งสอง
มู่เฉินชุดดำและชุดขาวหัวเราะร่วนแล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งหน้าไปในสองทิศทางที่แตกต่างกันโดยมีผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองติดตามไปกระชั้นชิด
จากนั้นมู่เฉินชุดดำก็โบกมือ แหวนปรากฏขึ้น อึดใจต่อมาร่างเงานับไม่ถ้วนก็ทะยานออกมายืนอยู่ข้างหลังเขา
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ขนาดใหญ่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
นักรบหลายพันคนยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉินชุดดำส่งเสียงคำราม ทันใดนั้นรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตก็บินฉวัดเฉวียนบนท้องฟ้า ราวกับมหาสมุทรปลดปล่อยพลังอันทรงประสิทธิภาพ
นี่คือกองทัพมังกรดำ
มู่เฉินชุดดำยืนอยู่ท่ามกลางกองทัพ นั่งลงในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่พลางยิ้มอ่อนให้ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่ฉายความตกตะลึงบนใบหน้า เขาสะบัดแขนเสื้อ รัศมีจั้นยี่ก็พุ่งออกมาพร้อมกับพลังน่ากลัวกวาดใส่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิต
อีกมุมสมรภูมิสัญลักษณ์หลิงยิ่งพลุ่งพล่านออกมาจากแขนเสื้อของมู่เฉินชุดขาวแล้วรวมเข้ากับสภาพแวดล้อม ผนึกนับไม่ถ้วนยิงออกไปก่อนจะถักทอเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ห่อหุ้มร่างผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกคนไว้ภายใน
เมื่อไป๋ซู่ซู่และชาวโลกเห็นภาพนี้ พวกเขาก็ตะลึงลานไป พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะมีทักษะที่ทรงพลังเช่นนี้ แค่ร่างรองของเขาสองร่างก็สามารถดักจับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตสองคนได้
“จั้นเจิ้นซือ? หลิงเจิ้นซือ?!”
ขณะที่พวกเขาตกตะลึง ใบหน้าของเสี่ยหมัวก็ดูน่าเกลียดไป ตอนนี้เขาต้องเชื่อแล้วว่าร่างรองทั้งสองของมู่เฉินมีพลังการต่อสู้ที่ไม่แพ้ร่างหลักเลย
“พวกเจ้าก่อการในโลกนี้มานาน วันนี้ถึงเวลาที่ต้องชดใช้ด้วยเลือดบ้างแล้ว” มู่เฉินมองไปที่ผู้บัญชาการใหญ่ปีศาจโลหิต ไม่มีริ้วกระเพื่อมในสายตาของเขาเลย
“พูดจาใหญ่โตจริง เมื่อไรที่ข้าสังหารร่างหลักได้ร่างดวงจิตของเจ้าก็จะแตกสลาย” เสี่ยหมัวยิ้มน่าขนลุกก่อนที่แสงสีแดงจะวูบไหวในดวงตา อึดใจเขาก็อ้าปาก แม่น้ำเลือดไหลทะลักออกมาจากร่างกายจากนั้นก็กลายเป็นมหาสมุทรแผ่กระจายไปทั่วขอบฟ้า
“โฮก!”
มหาสมุทรสีเลือดพลุ่งพล่าน จากนั้นเสียงคำรามดุร้ายก็สะท้อนออกมา อึดใจถัดมามหาสมุทรเลือดก็ถูกฉีกออกจากกัน สัตว์ปีศาจขนาดมหึมาคืบคลานออกมา
สัตว์ปีศาจนี้มีสีแดงเข้มเต็มไปด้วยไอร้ายกาจรอบตัว แม้ว่าจะดูเหมือนลิงยักษ์ แต่กลับมีสามหัว ใบหน้าดุร้าย ราวกับสุนัขสามหัวที่เฝ้าประตูนรก
โฮก!
เมื่อสัตว์ปีศาจตัวนั้นปรากฏขึ้น มันก็กู่คำรามไปบนท้องฟ้า ความดุร้ายอัดแน่นในเนื้อเสียงคำรามของมันก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉิน ทันใดนั้นมันดูดปากลูกกลมสีแดงเข้มหลายหมื่นจั้งก็รวมอยู่ในปาก ก่อนที่จะยิงมาทางมู่เฉิน
มู่เฉินหดดวงตากับภาพนี้ เขารู้สึกว่าถูกสัตว์ปีศาจตัวนี้คุกคาม ดังนั้นจึงทำให้เขาระมัดระวังตัวมากขึ้น ผู้บัญชาการใหญ่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนที่เขาเคยพบมา
ฮา
มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ มือวาดตราประทับ แสงสีม่วงทองระเบิดออกที่ด้านหลังกลายเป็นร่างขนาดใหญ่
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว
เมื่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปรากฏขึ้น รหัสเทพอมตะนับร้อยก็ระเบิดออกรวมตัวกันเป็นตาข่ายสีม่วงทองขนาดใหญ่
ปัง!
ลูกกลมสีแดงเข้มยิงเข้ามาทำลายมิติในเส้นทางผ่านจากนั้นก็กระแทกเข้ากับตาข่ายด้วยพลังที่น่ากลัว
พลังนั้นทำให้ตาข่ายถูกบีบอัด แต่ถึงอย่างนั้นลูกกลมก็ยังคงเคลื่อนไปยังทิศทางของมู่เฉิน
มู่เฉินไม่ได้ขยับ แต่มองไปที่ลูกกลมที่เคลื่อนมาหาด้วยความไม่แยแส ขณะที่ไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ เกือบอุทานด้วยความกังวลใจ ในที่สุดลูกกลมก็ถูกสลายแรงกระแทกเมื่อห่างจากมู่เฉินออกไปเพียงหนึ่งจั้ง
ลูกกลมถูกผูกรัดด้วยตาข่ายมหึมา หยุดชะงักเบื้องหน้ามู่เฉิน
มู่เฉินค่อยๆ ยกมือขึ้นแล้วสะบัดนิ้ว
ฮึ่ม!
ตาข่ายสีม่วงทองสั่นและหดตัวทันที ก่อนที่ลูกกลมจะบินกลับไปชนร่างสัตว์ปีศาจในพริบตา
โฮก!
สัตว์ปีศาจคำราม พลองหนึ่งพันจั้งก็ควบแน่นจากมหาสมุทรสีแดงเข้มขณะที่ควงสว่านลงมา มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ลูกกลมสีแดงก็แตกออกใต้พลอง
คลื่นกระแทกที่น่ากลัวแผ่ออกมา ส่งเสียงดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก
“หึ มีความสามารถใช้ได้” เมื่อเห็นว่ามู่เฉินรับการโจมตีได้ แสงสีแดงเข้มในดวงตาของเสี่ยหมัวก็หนาแน่นขึ้นก่อนที่จะร้องตะโกน “งั้นข้าจะให้แกได้ลิ้มรสว่าปีศาจล้างโลกของเผ่าเสี่ยเสียน่ากลัวแค่ไหน!”
โฮก!
เมื่อเสี่ยหมัวพูดจบ สัตว์ปีศาจร่างแดงก่ำก็เปล่งเสียงคำรามแหลมคม คลื่นเสียงที่มองเห็นด้วยตาเปล่ากระจายออกไป สัตว์ปีศาจควงพลองเปลี่ยนเป็นแสงสีแดงพุ่งเข้าหาร่างเทพสุริยะนิรันดร์พร้อมกับรัศมีทำลายล้าง ราวกับว่ามันต้องการทำลายทุกสรรพชีวิตทั้งหมดในโลก
เมื่อมองไปที่สัตว์ปีศาจ ใบหน้าของมู่เฉินก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน ก่อนที่เขาจะวาดตราประทับอีกครั้ง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ใต้เท้าระเบิดแสงสีม่วงทองนับไม่ถ้วน รหัสเทพอมตะควบแน่นเป็นหอกสีทองยาวหนึ่งพันจั้ง
หอกหมุนคว้าง ประกายแสงสีทองราวกับดวงอาทิตย์ลุกโชติช่วง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์พุ่งออกมาปะทะกับสัตว์ปีศาจเต็มกำลังภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน
ในเวลาเดียวกันเสียงเย้ยของมู่เฉินก็ดังก้องไปทั่วขอบฟ้าราวกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง
“วันนี้ข้าจะดูว่าสัตว์ปีศาจของแกหรือร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของข้า ใครแน่กว่ากัน!”
ภูเขามหึมาตั้งตระหง่านระหว่างชั้นฟ้าชั้นดิน
ช่างดูยิ่งใหญ่เหลือเชื่อ เชื่อมโยงผืนดินกับผืนเมฆบนฟ้าเข้าด้วยกัน เมื่อมองจากด้านบนก็ราวกับเป็นจุดสูงสุดในโลก
นี่คือภูเขาเซิ่งหลงอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ตอนนี้กลับถูกย้อมจนแดงฉาน กลิ่นเลือดกระจายออกไปทำให้แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังเป็นสีแดง
กระทั่งสายน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขาก็เป็นสีแดงเหมือนเลือดสด ทำให้สถานที่ทั้งหมดดูราวกับสถานที่เพาะบ่มปีศาจ
ในบางครั้งจะเห็นแสงสีแดงเข้มระยิบระยับมาจากภูเขา
ขณะนี้รัศมีสีแดงเข้มแผ่ซ่านไปในส่วนลึกของภูเขา ร่างเงาสามร่างยืนอยู่เบื้องหน้าเหวโดยมีรัศมีสีแดงเข้มผันผวนรอบตัว ทำให้มิติโดยรอบแปรปรวน
ในบรรดาทั้งสามคน หนึ่งในนั้นมีใบหน้าซีดขาวพร้อมสัญลักษณ์สีแดงเข้มอยู่บนหน้าผาก ซึ่งปลดปล่อยความผันผวนที่น่าสยดสยอง
ทั้งสองคนที่เยื้องไปข้างหลังก็สาดสายตาน่ากลัวราวกับหมาป่าดุร้ายพร้อมกับความเกรี้ยวกราดไร้ขอบเขตวูบไหวในดวงตา
คนที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผากหันกลับมาพูดอย่างไม่แยแส “ตอนนี้แทบจะยืนยันได้แล้วว่ามีบางคนกำลังเคลื่อนไหวต่อต้านเผ่าเสี่ยเสียของเรา และพวกมันจับผู้บัญชาการทั้งสามไป”
ขณะที่พูด ใบหน้าของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสองคนก็อดเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้พวกเขาจะคาดไว้ก่อนมาแล้ว แต่เมื่อได้รับการยืนยันก็ยังรู้สึกตกตะลึงไม่ได้
เพราะพวกเขาอยู่ยงคงกระพันในโลกนี้มานานแล้ว จอมยุทธ์ที่นี่ไม่มีค่าในสายตาของพวกเขาเลย แต่ตอนนี้ทำไมถึงมีศัตรูทรงพลังปรากฏตัวขึ้น?
“น่าจะเป็นคนจากมหาพันภพ” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผากกล่าวอย่างเย็นชา
“บ้าเอ๊ย!” ใบหน้าของอีกสองคนสั่นสะท้านขณะที่สาปส่ง ถ้าเป็นจอมยุทธ์จากมหาพันภพจริงๆ สถานการณ์ก็จะลำบากแล้ว พวกเขารู้ว่าประชากรที่อาศัยในโลกนี้ไม่มีใครเทียบได้กับมหาพันภพ ความแข็งแกร่งที่นั่นเป็นอะไรที่ไม่อาจมองข้ามได้
“แต่จากการคาดการณ์ของข้ามันน่าจะยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน อย่างมากก็มีพลังพอๆ กับเรา” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผากหรี่ตาขณะที่พูดต่อ “จากสถานการณ์ที่ข้าคำนวณไว้ อีกสามคนน่าจะถูกจัดการไปทีละคนแล้ว ถ้าคนผู้นั้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน จะทำให้ลำบากแบบนี้ทำไม”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น อีกสองคนก็รู้สึกโล่งใจ ตราบใดที่ไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาต้องกลัว ถ้าพวกเขาสามคนรวมพลังกัน แม้แต่จอมยุทธ์ลึกลับจากมหาพันภพก็ยังต้องหวาดกลัว
“ถ้างั้นเราจะทำยังไงกันดี?” อีกสองคนมองไปที่ชายที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผาก
สัญลักษณ์บนหน้าผากเต้นยุบยับก่อนเขาจะพูดว่า “ออกคำสั่งเรียกระดมพลเผ่าเสี่ยเสียกลับมายังภูเขาเสี่ยหมัวทั้งหมด”
อีกสองคนตกใจก่อนที่จะพูดว่า “พี่ใหญ่แล้วเมืองที่ปกครองล่ะ?”
ผู้บัญชาการที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผากเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ดูเหมือนพวกเจ้ายังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าเราล้มเหลวเมืองเหล่านั้นจะมีประโยชน์อะไรอีก?”
“เจ้านั้นแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ?” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองตกใจไป
“ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งแค่ไหน เราก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด พวกเจ้าต้องจำไว้ เป้าหมายสุดท้ายของเราคืออะไร…” ผู้บัญชาการที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผากก้มลงมองไปที่หุบเหว ที่นั่นเป็นมหาสมุทรสีแดงเข้มที่ส่งกลิ่นเหม็นคาวเลือด
ในมหาสมุทรเลือดมีไข่โลหิตมหึมาลอยคว้างอยู่ซึ่งสลักด้วยลวดลายน่ากลัวทุกรูปแบบ ขณะเดียวกันก็ยังเปล่งรัศมีดุร้ายราวกับว่ากำลังหล่อเลี้ยงบางสิ่งอยู่
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามมองไปที่ไข่โลหิตด้วยดวงตาลุกโชน
“เราใช้ความพยายามทุกหยาดหยดเพื่อครอบครองพิภพเขตล่างนี้อย่างลับๆ ไม่ได้แจ้งให้เผ่าอื่นทราบ เพื่อใช้เลือดของสิ่งมีชีวิตที่นี่เลี้ยงดูผู้นำของเรา เมื่อเขาถือกำเนิดขึ้นเผ่าเสี่ยเสียก็จะมีจอมปีศาจสักที!”
“ในเวลานั้นเผ่าเสี่ยเสียก็จะมีตำแหน่งที่ยืนในจักรวรรดิปีศาจ ไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนซากสัตว์!
“แผนของเรามาถึงช่วงสำคัญแล้ว ดังนั้นจะต้องไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น!”
ขณะที่พูดดวงตาก็เปล่งประกายเย็นชา ก่อนที่เขาจะหันไปหาพรรคพวกอีกสองคน “แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวลมากเกินไป ข้าแค่เตรียมการสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่านั้น สำหรับผู้บุกรุกในเมื่อมันโจมตีผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนอื่นๆ แบบลอบกัด นั่นก็หมายความว่าพลังของมันน่าจะเหนือกว่าพวกเขาเล็กน้อย ดังนั้นมันไม่กล้ามาที่ภูเขาปีศาจเสี่ยหมัวแน่”
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองพยักหน้า ตอนนี้ทั้งสามประจำการอยู่ที่ภูเขาเสี่ยหมัว ไม่มีทางแยกออกจากกันแน่ ตราบใดที่จอมยุทธ์จากมหาพันภพไม่ได้อยู่ในระดับเทียนจื้อจุน การเข้ามาที่นี่ก็เท่ากับเดินเข้าสู่ความตาย
ตอนนี้พวกเขาปล่อยให้ชายคนนั้นลิงโลดไปก่อน ตราบใดที่จอมปีศาจของพวกเขาถือกำเนิดขึ้นแล้ว พวกเขาจะคืนทุกอย่างให้เป็นร้อยเท่า…
ที่ราบรกร้าง
มู่เฉินและไป๋ซู่ซู่ยืนอยู่บนยอดเขาโดดเดี่ยว มู่เฉินมองไปที่เมืองห่างไกลด้วยดวงตาหรี่ลง “สมาชิกเผ่าเสี่ยเสียเคลื่อนพลออกจากเมืองตลอดเวลา…”
“พวกมันกำลังไปรวมพลที่ภูเขาเสี่ยหมัว” ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่เคร่งเครียดลงหลายส่วนขณะที่พูดต่อ “ดูเหมือนว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามจะจับสังเกตได้แล้ว”
มู่เฉินพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่เกิดการขาดการติดต่อของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตสามคนในเวลาเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าอีกสามคนจะโง่แค่ไหนก็ต้องระแวงบ้าง
“พวกมันรู้สึกถึงอันตราย ดังนั้นจึงเริ่มเรียกระดมพล” ไป๋ซู่ซู่ขมวดคิ้วก่อนจะหันไปหามู่เฉิน “ท่านเทพ เราจะทำยังไงดี?”
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามกำลังรอการมาถึงของมู่เฉินอย่างชัดเจน ถ้าเขาไปถึงก็จะเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้น
มู่เฉินยิ้ม “ทำยังไงได้ล่ะ? ก็ลุยขึ้นเขากันเลย”
เขาพูดเป็นกันเองราวกับว่าไม่ได้มุ่งหน้าสู่ดินแดนอันตราย แต่ไปเพื่อกินลมชมวิว
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา กระทั่งสตรีอย่างไป๋ซู่ซู่ก็อดไม่ได้ที่เลือดจะเดือดพล่าน นางเม้มริมฝีปาก “ในเมื่อท่านเทพมั่นใจขนาดนี้ งั้นครั้งนี้พวกเราขอติดตามท่านไปด้วย”
มู่เฉินยิ้มขณะที่จะพูดเขาก็มองไปในระยะไกลด้วยความประหลาดใจ รัศมีนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นที่นั่นราวกับคลื่นยักษ์ถั่งโถมเข้ามายังทิศทางของเขา
มู่เฉินอึ้งเมื่อเห็นฉากนี้ คนเหล่านี้ไม่ได้มาจากเผ่าเสี่ยเสียแต่เป็นผู้คนที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ เมื่อพิจารณาจากขนาดแล้วน่าจะเป็นทุกคนที่พุ่งตรงมา
เขาหันไปมองไป๋ซู่ซู่
เมื่อนางเห็นสายตานั่นก็เม้มริมฝีปาก “ท่านเทพ สงครามครั้งนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของเรา เป้าหมายของท่านคือผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสาม คนที่เหลือปล่อยให้เราจัดการ ท่านเทพจะได้ไม่ต้องเสียพลังเปล่าประโยชน์”
“พวกข้าจะไม่ให้ท่านได้รับการรบกวนเด็ดขาด”
มู่เฉินขมวดคิ้ว “พวกเจ้าช่างกล้าบ้าบิ่น!”
แม้ว่าประชาชนที่นี่จะมีจำนวนมาก แต่ถ้าพวกเขาต้องต่อสู้กับเผ่าเสี่ยเสีย พวกเขาก็ต้องสู้ถวายชีวิตเลยทีเดียว
ไป๋ซู่ซู่ยิ้ม แม้ว่าน้ำเสียงจะแผ่วเบาแต่ก็ตั้งมั่น “ท่านเทพคงไม่สามารถจินตนาการได้ถึงความเกลียดชังของเราที่มีต่อเผ่าเสี่ยเสียได้หรอก แม้ว่าทุกคนจะต้องตาย แต่ก็ไม่เสียใจที่จะทำ”
“ดังนั้นได้โปรดให้เราสู้ศึกครั้งนี้ด้วย”
ไป๋ซู่ซู่พูดขณะที่คุกเข่าให้มู่เฉิน
ในเวลาเดียวกันคลื่นมหาชนขนาดใหญ่ที่รวมตัวกันก็คุกเข่าพร้อมกับเสียงดังก้องไปทั่วขอบฟ้า “ท่านเทพให้พวกเราติดตามไปด้วยเถอะ!”
มู่เฉินตกอยู่ในความเงียบกับภาพนี้ เขามองเห็นความเกลียดชังในดวงตาแต่ละคู่ ชัดว่าคนส่วนใหญ่เตรียมพร้อมที่จะสู้ด้วยชีวิต
ในเวลานี้แม้เขาจะพูดให้หยุด แต่คนที่นี่ก็คงจะตามไปด้วยแน่นอน
มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ “ถ้าอีกฝ่ายไม่เคลื่อนไหว พวกเจ้าก็ห้ามเคลื่อนไหว ตราบใดที่ข้าสามารถจัดการผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามได้ เผ่าเสี่ยเสียก็ถึงคราวล่มสลายแน่”
เขาไม่รู้ว่าถ้าจอมยุทธ์มังกรขาวที่ถูกอัญเชิญมาต้องเห็นลูกหลานตายตกตามไปทั้งหมด ในเวลานั้นจอมยุทธ์มังกรขาวจะยังคงรักษาสัญญาอยู่หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามปกป้องคนให้ได้มากที่สุด
“เราจะทำตามคำสั่งของท่านเทพ!”
เสียงสะท้อนก้องออกมา สายตาที่มองมู่เฉินอัดแน่นด้วยความเคารพศรัทธา
มู่เฉินไม่ได้พูดอะไรอีก พยักหน้าไปทางไป๋ซู่ซู่ก่อนที่ร่างจะขยับกลายเป็นริ้วแสงทะยานออกไปพร้อมกับคลื่นยักษ์ตามหลังมา
ไม่กี่วันจากนั้นความเร็วของคลื่นยักษ์ก็ค่อยๆ ช้าลง…
มู่เฉินยืนเอามือไพล่หลังบนท้องฟ้า สายตามองไปที่ภูเขาใหญ่ในระยะไกล
ภูเขาลูกนั้นสูงจนสัมผัสกับก้อนเมฆราวกับว่ากำลังมองโลกใบนี้
ไป๋ซู่ซู่ยืนอยู่ข้างๆ มองไปที่ภูเขาเซิ่งหลงที่ตอนนี้แปดเปื้อนด้วยเลือด ดวงตานางแดงก่ำ เส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนเรียวแขน
มู่เฉินมองไปที่ภูเขาใหญ่ก็เห็นร่างเงานับไม่ถ้วนที่มีรัศมีโลหิตอยู่รอบตัว
ขณะที่มู่เฉินมองไป ร่างเงาสีแดงเข้มสามร่างก็พุ่งออกมาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดลอยฟุ้งในอากาศ ขณะเดียวกันเสียงเยือกเย็นก็ดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก
“ไอ้งั่ง ตอนแรกพวกข้าก็ว่าจะให้แกมีชีวิตนานขึ้นอีกหน่อย ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้ามาที่ภูเขาเสี่ยหมัว สวรรค์มีทางไม่ไป นรกไร้ประตูดันแส่เข้ามา”
“ในเมื่อแกรนหาที่ตาย พวกข้าจะทำให้ความปรารถนาเป็นจริงเอง!”
ทะเลสาบขนาดใหญ่
ที่มีแสงส่องระยิบระยับราวกับปลาน้อยสีเงินโผบินออกมา
มู่เฉินและไป๋ซู่ซู่ยืนอยู่บนผืนน้ำพร้อมกับแสงหลิงเล็ดลอดออกมาห่อหุ้มทั้งสองไว้เพื่อปกปิดรัศมีจนหมด
ไป๋ซู่ซู่มองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ “ตามข้อมูลล่าสุด ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตจะผ่านมาที่นี่จากเส้นทางการลาดตระเวน ว่ากันว่ามันกำลังมุ่งหน้ากลับภูเขาเสี่ยหมัว ดังนั้นเราจะต้องจัดการมันที่นี่”
ดวงตาของมู่เฉินหดลงเมื่อได้ยิน “หรือว่าพวกมันจะรับรู้แล้ว?”
หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่ก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด “ปีศาจคนนี้ตระเวนไปทั่ว ข้อมูลก็คงจะค่อนข้างดี มันอาจจะรับรู้อะไรบางอย่าง แต่ไม่น่าจะยืนยันข่าวได้ ดังนั้นจึงคิดจะไปที่ภูเขาเสี่ยหมัวเพื่อพูดคุยตัดสินใจกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสามคน”
“ถ้างั้นก็ปล่อยมันไปไม่ได้” มู่เฉินพยักหน้า หากผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนนี้ไปถึงภูเขาเสี่ยหมัว ก็จะเกิดการเตรียมการ
ไป๋ซู่ซู่พยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็เงียบลงไปประมาณหนึ่งชั่วโมงมู่เฉินก็ลืมตาโพลงมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ด้วยความเฉยเมย “มันมาแล้ว”
ไม่นานหลังจากเสียงมู่เฉินดังขึ้น เมฆสีแดงเข้มก็พล่านเข้ามาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้พร้อมกับสัตว์อสูรมากมายถูกล่ามโซ่ไว้กับตำหนักขนาดใหญ่
ตำหนักรายล้อมด้วยจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสีย กระบวนทัพช่างหรูหรานัก
เมฆสีแดงพุ่งไปในทิศทางของมู่เฉินและไป๋ซู่ซู่ ทว่าก็ไม่พบทั้งสอง ยังคงมุ่งหน้าเดินทางต่อไป
เมื่อตำหนักขนาดใหญ่ผ่านไปเหนือศีรษะ ดวงตาของมู่เฉินก็เย็นชาลง เสาคลื่นหลิงขนาดมหึมาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากระแทกเข้ากับตำหนักจังใหญ่
ตู้ม!
ตำหนักระเบิดออกทันที คลื่นหลิงก็สร้างหายนะ จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียถูกสังหารไปทั้งแถบ ทุกอย่างตกอยู่ในความโกลาหล
“ใครกล้ารบกวนข้าคนนี้!”
ขณะที่เผ่าเสี่ยเสียตกใจวุ่นวาย เสียงตะโกนก็ดังก้องระหว่างฟ้าดิน ทำให้กองทัพสงบลง
“ผู้หญิง?” เมื่อได้ยินเสียงตะโกน มู่เฉินก็หรี่ตาลง เนื่องจากตระหนักว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนนี้เป็นสตรี!
บนท้องฟ้า บริเวณตำหนักที่ระเบิด ภาพเงาภาพหนึ่งก็เยื้องย่างออกมา นี่เป็นหญิงสาวท่าทางเย้ายวนสวมชุดบางดึงดูดความสนใจเป็นอันมาก
ทว่าเมื่อนางปรากฏตัวจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียก็ลดศีรษะลงเผยความเคารพในสายตา
ดวงตาของนางพญาที่น่าหลงใหลวูบไหวด้วยแสงสีแดงเข้ม ขณะกวาดมองไปทั่วก่อนที่จะเล็งมาที่ทะเลสาบด้านล่าง
“ข้าจะจัดการกับผู้บัญชาการหญิงคนนี้ ส่วนเจ้าจัดการคนที่เหลือ อย่าปล่อยให้ใครหนีรอดไปได้” เมื่อเห็นสายตาผู้บัญชาการปีศาจโลหิต มู่เฉินรู้ว่านางสัมผัสได้ เขาจึงลบการปกปิดออก หันไปพูดกับไป๋ซู่ซู่
ไป๋ซู่ซู่พยักหน้า พลังของนางแข็งแกร่งกว่าเหล่าแม่ทัพปีศาจโลหิต และมู่เฉินก็ได้จัดการกับเหล่าแม่ทัพราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว ดังนั้นงานของนางจึงไม่ยากนัก
มู่เฉินไม่พูดมาก ค่อยๆ ลอยขึ้นไปในอากาศก่อนที่จะปรากฏตัวต่อหน้าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตภายใต้สายตาของสมาชิกเผ่าเสี่ยเสีย
เมื่อมองมู่เฉินรอยยิ้มน่าหลงใหลก็ปรากฏบนใบหน้าผู้บัญชาการหญิง “พี่ชายน้อยหล่อเหลาถูกใจจริง เจ้าหยุดพี่สาวคนนี้เพราะอยากสนุกด้วยเหรอ?”
ขณะที่พูดชุดก็กระพือขึ้นลงเผยให้เห็นเนินเนื้อที่อยู่ใต้กระโปรง
มู่เฉินยิ้มให้กับการล่อลวง แต่แววตาสงบนิ่งนัก
เมื่อผู้บัญชาการหญิงเห็นสิ่งนี้ นางก็หดดวงตา รอยยิ้มจางหายแทนที่ด้วยไอสังหารขณะที่จ้องมองมาที่มู่เฉิน “เสี่ยโสวและเสี่ยหมิงที่หายไปเกี่ยวข้องกับเจ้าใช่ไหม?”
มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ารู้จริงด้วยแฮะ”
“ข้าติดต่อกับพวกเขาเสมอ แต่ก่อนหน้าทั้งสองกลับหายไป ดังนั้นจึงรู้สึกแปลก แต่ข้าไม่คิดว่าจะเป็นคนจากมหาพันโลกที่เข้ามายุ่ง” ผู้บัญชาการหญิงกล่าวอย่างเย็นชา นางสังเกตแหล่งกำเนิดของมู่เฉินจากคลื่นพลังงานของเขา
“ผู้หญิงนี่หลอกยากจริง” มู่เฉินยิ้ม
ผู้บัญชาการหญิงจ้องมองมู่เฉินอย่างเย็นชาก่อนที่หมอกสีแดงเข้มรอบด้านจะพุ่งขึ้นกระจายไปทั่วฟ้าดิน
แต่ขณะที่ทุกคนคาดว่าจะเกิดการต่อสู้ใหญ่ ผู้บัญชาการหญิงกลับกลายเป็นร่างแสงพุ่งหนีไปปานสายฟ้าแลบ
ฉากที่เกิดขึ้นกะทันหัน ไม่เพียงแต่ทำให้จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียตกตะลึงเท่านั้น แต่ยังทำให้มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะยิ้ม “ผู้หญิงช่างมารยาสาไถย”
ชัดว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตรู้สึกถึงความไม่สบายใจ เพราะถ้าเขาสามารถจัดการกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตสองคนได้ เขาก็ต้องทรงพลัง ดังนั้นหากต่อสู้กันนางก็รู้ว่าตนเองไม่มีโอกาสมากนักที่จะชนะ
ดังนั้นทันทีที่รู้ว่ามู่เฉินเป็นผู้กระทำการ นางก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะต่อสู้ เพียงแค่ใช้จริตหยอดก่อนที่จะหาโอกาสหนี
มีเพียงการกลับไปยังภูเขาเสี่ยหมัวและร่วมมือกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสามคน ถึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
“ข้านั่งรอมาตั้งนานแล้วจะปล่อยให้เจ้าหนีไปได้ยังไง?” แต่ชัดว่ามู่เฉินที่รออยู่ที่นี่มาครึ่งค่อนวันก็ไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ร่างเขากลายเป็นลำแสงไล่ตามนางไป
ร่างแสงสองร่างไล่จับกันโดยที่มิติบิดเบือนอย่างต่อเนื่อง พริบตาก็ห่างออกไปหนึ่งพันลี้แล้ว
แต่ไม่ว่าผู้บัญชาการหญิงจะพยายามหลบหนีแค่ไหน นางก็สลัดมู่เฉินออกไปไม่ได้ แม้แต่ระยะห่างระหว่างทั้งสองก็ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ให้ตายสิ น่ารำคาญจริงๆ!”
ใบหน้าของผู้บัญชาการหญิงซีดเซียว ขณะที่นางสาปแช่งพลางกัดฟันกรอด นางไม่เคยคิดมาก่อนว่ายมทูตสังหารจะปรากฏตัวขึ้น หลังจากที่พวกนางปกครองโลกนี้มานาน
ตู้ม!
แต่ขณะที่นางสาปส่ง ท้องฟ้าเหนือศีรษะก็สั่นสะเทือน นางเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ จากนั้นก็เห็นเจดีย์ผลึกแก้วใสขนาดใหญ่ตกลงมาจากสวรรค์ก่อนที่จะครอบร่างนางเอาไว้
เจดีย์พุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่นางจะได้ตอบสนองทั่วทั้งสรรพางค์กายก็ถูกห่อหุ้มไว้หมดแล้ว
มู่เฉินที่เห็นก็ยิ้มพลางพุ่งเข้าไปด้านใน
เจดีย์ลอยอยู่ในอากาศเงียบๆ ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ร่างมู่เฉินจะปรากฏขึ้น
เขาถือไข่มุกสีแดงเข้ม ภาพผู้บัญชาการหญิงปีศาจโลหิตปรากฏพร้อมความกลัวฉายบนใบหน้า
“นายท่านตราบใดที่ท่านไว้ชีวิตข้า ผู้น้อยคนนี้ยอมที่จะเป็นข้ารับใช้!” ผู้บัญชาการหญิงร้องขอในขณะที่ดิ้นรนครั้งสุดท้าย
“ข้าเลี้ยงงูเห่าไม่ไหวหรอก”
มู่เฉินยิ้มบางก่อนที่จะเก็บไข่มุกไว้ในเจดีย์ หากมีโอกาสในอนาคตค่อยฆ่าพวกมัน
จัดการกับผู้บัญชการหญิงปีศาจโลหิตเรียบร้อย มู่เฉินก็รู้สึกผ่อนคลายลง เขาทำตามแผนสำเร็จลุล่วง
ตอนนี้เหลือผู้บัญชาการปีศาจโลหิตสามคน เมื่อไรที่เขาสามารถกำจัดพวกมันได้ เขาก็ทำภารกิจที่ได้รับสำเร็จและจะได้รับโอกาสที่จอมยุทธ์มังกรขาวพูดไว้
“แต่ข้าใช้ของเหลวจื้อจุนไปเกือบสามร้อยล้านหยดเพื่อผนึกผู้บัญชาการสามคนนี้” แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มู่เฉินก็กุมหัวใจด้วยความเจ็บปวด เขานำของเหลวจื้อจุนทั้งหมดจากตำหนักมู่มาใช้ในการเดินทางครั้งนี้ แม้ว่าตอนนั้นมั่นถัวหลัวจะเข้าใจ แต่นางก็ไม่ได้ให้สีหน้าที่ดีกับเขา ตำหนักมู่ก็มีค่าใช้จ่ายมหาศาล จากการกระทำของมู่เฉินทำให้พวกเขาต้องรัดเข็มขัดและใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
“หวังว่าโอกาสจะช่วยให้ข้าก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้จริง มิฉะนั้นการลงทุนครั้งนี้ก็ถือว่าขาดทุนเกินไปแล้ว”
มู่เฉินยิ้มขณะที่ส่ายหัวอย่างขมขื่น ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็กลับไปที่ทะเลสาบ ตอนนี้บนผืนน้ำถูกย้อมเป็นสีแดงฉายมีศพนอนเกลื่อนไปหมด
ไป๋ซู่ซู่ยืนอยู่บนทะเลสาบพร้อมกับรัศมีเย็นเยือกแผ่ออกมาจากร่างกาย
เมื่อนางเห็นมู่เฉินสายตาเย็นชาของนางก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน
“ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จอีกครั้ง”
มู่เฉินยิ้มขณะพลิ้วตัวลงไปข้างๆ ไป๋ซู่ซู่วางมือบนไหล่บาง คลื่นหลิงแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของหญิงสาว ของเหลวสีแดงเข้มไหลซึมออกมาจากผิวหนังก่อนที่จะระเหยออกไป
ในเวลาเดียวกันรัศมีเย็นเยือกรอบตัวนางก็หายไป
“พิษโลหิต…” เมื่อเห็นของเหลวสีแดงเข้มใบหน้าของไป๋ซู่ซู่ก็เปลี่ยนไป พิษโลหิตบุกเข้าสู่ร่างกายของนางโดยที่ไม่รู้ตัวเลยเรอะ
“พลังเจ้าไม่ได้อ่อนแอ แต่ยังไม่เสถียรภาพพอ ฝึกฝนให้ดีในอนาคต ไม่เช่นนั้นจะยากสำหรับที่จะเกิดพัฒนาการ” มู่เฉินถอนมือกลับพลางเอ่ยเตือน
“รับทราบเจ้าค่ะ!” ไป๋ซู่ซู่พยักหน้ารับฟัง
มู่เฉินพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก เพียงมองไปทางทิศตะวันออก เขาไตร่ตรองสั้นๆ ก่อนที่จะพูดช้าๆ “ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามแห่งภูเขาเสี่ยหมัวคงจะรู้เรื่องนี้ในไม่ช้า ถึงตอนนั้น…จะเกิดการต่อสู้ใหญ่ขึ้น”
คราวนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับสามผู้บัญชาการที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน
“ภูเขาเสี่ยหมัว…”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเองขณะที่ดวงตาเปล่งประกายด้วยความปีติยินดี ในที่สุดเขาก็พบเบาะแสบางอย่าง ไม่อย่างนั้นเขาคงได้วิ่งวนเหมือนแมลงวันไร้หัว
แต่เขารู้สึกประหลาดใจที่จอมยุทธ์มังกรขาวและคนอื่นๆ เป็นผู้อาวุโสของสำนักไป๋ซู่ซู่
เมื่อเห็นความประหลาดใจของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่ก็ถอนหายใจรำพึงว่า “สำนักของพวกข้าเป็นที่รู้จักกันในนามสำนักมังกรเทวะ ซึ่งเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกยุคโบราณ แต่ความแข็งแกร่งที่ว่านั้นก็เพียงเป็นหลอกตัวเองเท่านั้น”
ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่วาบขึ้นด้วยริ้วขมขื่น “เมื่อเผ่าเสี่ยเสียบุกโลกนี้ พวกข้าถึงตระหนักได้ว่าเราอ่อนแอเพียงใด แม้ว่าผู้อาวุโสจะต่อสู้จนตัวตายก็ไม่สามารถหยุดยั้งการเดินทัพของเผ่าเสี่ยเสียได้”
มู่เฉินพยักหน้าอย่างเงียบๆ โลกใบนี้เป็นเพียงพิภพเขตล่าง ส่วนสิ่งมีชีวิตแบบเผ่าปีศาจก็มีขุมพลังสูงกว่าเมื่อเทียบกับมาตรฐานของมหาพันภพด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้ามาในโลกนี้ ก็เหมือนกับเสือที่ติดในฝูงแกะ เป็นไปไม่ได้ที่โลกนี้จะต่อต้านได้
ท้ายที่สุดไม่ใช่ทุกคนที่มีความสามารถแบบเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคี… มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่ถูกเรียกว่าเป็นตำนานมีชีวิต
“แต่เมื่อพวกเราพ่ายแพ้ ผู้อาวุโสหลายคนก็ตัดสินใจที่จะจากไป เพราะพวกเขาทราบเกี่ยวกับระนาบมิติที่อยู่เหนือโลกนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดจะลองดูว่าจะหาจอมยุทธ์กลับมาช่วยโลกของเราได้หรือไม่”
“ด้วยเหตุนี้ภายใต้ความร่วมมือของสำนัก พวกเขาก็เปิดอุโมงค์มิติจากโลกนี้ไปเพื่อไปในโลกอันไกลโพ้น ส่วนพวกเราทุกคนในโลกนี้ก็เฝ้ารอวันที่พวกเขากลับมา” ไป๋ซู่ซู่ตอบ
มู่เฉินเงียบไป หากเขาเดาถูกผู้อาวุโสที่ไป๋ซู่ซู่พูดถึงน่าจะเป็นเหล่าผู้ที่ก่อตั้งตำหนักมังกรปีศาจ ทว่านางคงไม่รู้ว่าผู้อาวุโสกลุ่มนั้นมีความคิดเห็นแตกแยกกันหลังจากไปที่มหาพันภพ จนสุดท้ายได้แตกฉานซ่านเซ็น จอมยุทธ์มังกรขาวก่อกบฏ แม้แต่ตำหนักมังกรปีศาจก็สูญสิ้นในมือมู่เฉิน
แต่เขาไม่มีความคิดที่จะบอกไป๋ซู่ซู่ หากนางพบว่าศรัทธาทั้งหมดได้ลืมเลือนภัยพิบัติของโลกนี้ยกเว้นจอมยุทธ์มังกรขาวที่พยายามอย่างยิ่งยวด จิตใจของนางจะแตกสลายเพียงใด
“เรารอมานานแสนนาน แต่ก็ไม่มีข่าวคราว จนสุดท้ายสำนักถูกทำลาย ตอนนั้นข้าที่ยังเด็กกลายเป็นความหวังสุดท้ายของสำนัก เหล่าผู้อาวุโสใช้วิธีโบราณเพื่อส่งพลังที่เหลือทั้งหมดมาให้ข้า”
ไป๋ซู่ซู่ยิ้มขมขื่น “ดังนั้นข้าจึงมีพลังในปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่ก็ยังไม่สามารถต่อสู้กับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้”
“นี่ไม่เลวเลยนะที่พวกเจ้าทำมาถึงตรงนี้” มู่เฉินกล่าว
“ท่านเทพเคยพบบรรพบุรุษของสำนักมังกรเทวะของข้าหรือไม่?” ไป๋ซู่ซู่มองมู่เฉินด้วยความคาดหวัง
มู่เฉินลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้า
ไป๋ซู่ซู่รู้สึกโล่งใจมากขณะแววยินดีแผ่ซ่าน “ข้าว่าแล้วพวกเขาจะไม่ทิ้งเราไปแน่ๆ พวกเขาค้นหาวิธีการที่จะช่วยโลกเรามาตลอด!”
มู่เฉินยิ้มก่อนที่แสงหลิงจะรวมตัวกันที่ปลายนิ้ว ก่อรูปจอมยุทธ์มังกรขาวขึ้น
“ข้ามาเพราะคำขอร้องของผู้อาวุโสท่านนี้น่ะ”
เมื่อมองไปที่ภาพจอมยุทธ์มังกรขาวดวงตาของไป๋ซู่ซู่ก็เปลี่ยนแดงก่ำ “นั่นคือท่านไป๋หลง เขาเป็นต้นตระกูลของข้า!”
จากนั้นนางก็หันไปหามู่เฉินคุกเข่าลง “ท่านเทพ ซู่ซู่ขอขอบคุณแทนทุกคนบนโลกนี้!”
มู่เฉินโบกแขนเสื้อใช้คลื่นยกร่างไป๋ซู่ซู่ขึ้นมาพลางส่ายหัวไม่ได้รับความชอบคนเดียว “ข้ามาที่นี่เพื่อผลประโยชน์ ท่านไป๋หลงสัญญากับข้าถึงค่าตอบแทนที่ข้าไม่สามารถปฏิเสธได้”
ไป๋ซู่ซู่ยิ้มขณะที่มองมู่เฉินด้วยดวงตางดงาม
“ตอนนี้ข้ามั่นใจแล้ว เป้าหมายของข้าก็คือภูเขาเซิ่งหลงหรือภูเขาเสี่ยหมัวในปัจจุบัน” มู่เฉินไม่ได้สนใจสายตาของนาง เขาหรี่ตาลงความเฉียบคมวาบไหว
มีผู้บัญชาการปีศาจโลหิตสามคนอยู่ในภูเขาเสี่ยหมัว ซึ่งทั้งสามคนสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ถ้าเขาต้องการขึ้นไปบนภูเขาก็จะต้องกำจัดทั้งสามคนนั่น ในเวลานั้นจะต้องมีการต่อสู้ใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ครั้งนี้ไม่เหมือนกับการต่อสู้ของเขากับพวกเจ้าภูเขาเหลยยิง นี่เป็นการต่อสู้มรณะแท้จริง
“ดูเหมือนว่าข้าต้องจัดการผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่ลาดตระเวนสองคนนั่นให้เร็ว มิฉะนั้นหากพวกมันรู้เรื่องนี้และรวมตัวกัน ถึงตอนนั้นข้าก็คงไม่ได้เปรียบ”
แม้ว่าเขาจะสามารถหลบหนีได้อย่างปลอดภัยแม้จะเผชิญหน้ากับทั้งห้า แต่ตอนนั้นกลัวว่าผู้คนในโลกนี้จะถูกล้างบางภายใต้ความโกรธของเหล่าปีศาจ
ในเวลานั้นภารกิจของเขาก็จะล้มเหลว
ดังนั้นเขาทำได้เพียงประสบความสำเร็จในภารกิจนี้เท่านั้น
หลายวันต่อมา
มู่เฉินอยู่ในเมืองเพื่อปรับสภาพให้สามารถปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งมากที่สุดได้ทุกเมื่อต้องการ
ไป๋ซู่ซู่ก็ไม่มารบกวนเขา ไม่ว่าจะเป็นการปกปิดข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้ก่อนหน้าหรือค้นหาร่องรอยของผู้บัญชาการทั้งสองก็ต้องใช้คนจำนวนมาก ดังนั้นงานของนางจึงล้นมือ
แต่โชคดีที่นางทำสิ่งที่สัญญาได้สำเร็จทั้งหมด
ทันใดนั้นดวงตาของมู่เฉินก็เปิดขึ้น เขาไปปรากฏตัวนอกห้องซึ่งไป๋ซู่ซู่ยืนรออยู่แล้ว
“ข้าได้รับข่าวมาแล้ว” ทันทีที่เห็นมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่ก็รีบบอกทันที
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินเนื่องจากเขารู้สึกกังวลที่มีเวลาจำกัด แต่ตัวเขาก็ไม่สามารถเร่งรีบมากเกินไปเพราะจะส่งผลต่อจิตใจคนทำงานทุกคน
“ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนหนึ่งอยู่ที่เมืองเทียนหยวนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และเขาจะอยู่ที่นั่นประมาณครึ่งวัน” ไป๋ซู่ซู่ยิ้ม
เมื่อเห็นรอยยิ้มของนาง มู่เฉินก็ลังเล “สูญเสียใหญ่ไหม?”
ไป๋ซู่ซู่อึ้งไปก่อนที่จะกัดริมฝีปาก “ทางเราเปิดเผยร่องรอยบางอย่าง ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก”
มู่เฉินเงียบไป แม้ว่าไป๋ซู่ซู่จะพยายามใช้เสียงเรียบเฉย แต่เขาก็เข้าใจถึงราคาที่ต้องจ่ายสำหรับข้อมูลนี้
“ถ้างั้นข้าจะไปทันที”
“ช่วยพาข้าไปด้วยได้ไหม” ไป๋ซู่ซู่มองไปที่มู่เฉินและขอร้อง “ถ้าเราทำสำเร็จ ข้าจะได้รับข้อมูลใหม่เพื่อค้นหาผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกคนทันที”
“ถ้าเราล้มเหลว…” ไป๋ซู่ซู่ยิ้ม “ก็แค่ตายไม่ใช่เหรอ?”
มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะพยักหน้า เขาเข้าใจเรื่องเวลาดี เมื่อไป๋ซู่ซู่อยู่ด้วย เขาก็ไม่ต้องเดินทางไปกลับเพื่อมาสอบถามข้อมูลอีก
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินตกลง ไป๋ซู่ซู่ก็ยิ้มออกมาทันทีก่อนที่นางจะยืนตรงหน้ามู่เฉิน เสื้อผ้าแนบเนื้อช่างเผยส่วนโค้งเว้านัก
“ถ้างั้นข้าต้องรบกวนท่านเทพเพื่อพาข้าไปด้วย!”
มู่เฉินลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะคว้าเอวบาง แสงหลิงห่อหุ้มพวกเขาทั้งสองก่อนที่จะพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
บนภูเขานอกเมืองเทียนหยวน
มู่เฉินปรากฏตัวขึ้นคลายอ้อมกอดไป๋ซู่ซู่ ดวงหน้าเล็กแดงซ่านก่อนที่นางจะถอยหลังสองก้าว
มู่เฉินมองไปที่เมืองก็กล่าวว่า “มีพลังร้ายที่ทรงประสิทธิภาพจริงๆ น่าจะเป็นของผู้บัญชาการปีศาจโลหิต”
ไป๋ซู่ซู่มองไปที่เมืองขณะกำหมัดแน่น ไม่รู้ว่ามีคนตายในเมืองนี้มากแค่ไหน ทั้งเมืองจมในทะเลเลือด
“เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ข้าจะล่อผู้บัญชาการปีศาจโลหิตเข้าไปในภูเขาลึก รอข้ากลับมานะ” มู่เฉินสั่ง
ไป๋ซู่ซู่พยักหน้า นางไม่ใช่หญิงสาวเจ้าพยศและยโส ตอนนี้นางรู้ว่าไม่สามารถรบกวนมู่เฉินได้
มู่เฉินไม่ลังเลเคลื่อนตัวออกไปทันที คลื่นหลิงหมุนเวียน ความผันผวนทรงพลังพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ขณะที่ความผันผวนของคลื่นหลิงแผ่กระจายออกไป ในโถงที่อยู่ส่วนลึกเมือง ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มและมีร่างเล็กสองคนอยู่ในอุ้งมือเขา ขณะที่เขาดึงเขี้ยวออก ม่านตาก็หดเกร็ง จากนั้นก็โยนร่างทั้งสองออกไปปรากฏตัวบนท้องฟ้า
เขามองไปในระยะไกล มองเห็นริ้วแสงบินลึกเข้าไปในภูเขา
“ไอ้พวกชนพื้นเมืองนี่ช่างกล้า บังอาจมาสอดแนมข้า!” ชายวัยกลางคนแสยะยิ้มน่าขนลุกก่อนที่แสงสีแดงเข้มจะปรากฏขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้า เขาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไล่ตามร่างเงานั่นไป
ร่างสองร่าง หนึ่งหน้าหนึ่งหลังพุ่งเข้าสู่เทือกเขา
เมื่อไป๋ซู่ซู่เห็นฉากนี้ หน้าอกก็ยกขึ้นลงก่อนที่นางจะหายใจเข้าลึกๆ สงบใจนั่งลงบนยอดเขา
นางไม่คิดที่จะไปแอบดูการต่อสู้ แม้ว่าจะกังวลและอยากรู้ผล แต่นางก็เข้าใจดีว่าตนเองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงจะรู้ไปก่อนแล้วมีประโยชน์อะไร?
หากมู่เฉินล้มเหลวความหวังทั้งหมดของพวกนางจะดับวูบ หากเป็นเช่นนั้นนางก็ระเบิดตัวที่นี่เลย ดีกว่าไปถูกทรมานโดยเผ่าเสี่ยเสีย
ไป๋ซู่ซู่ผ่อนคลายคลี่ยิ้ม จากนั้นก็ยืดเอวก่อนจะล้มนอนลงมองไปบนท้องฟ้า
ท้องฟ้าในอดีตช่างปลอดโปร่งและสดใสไม่มีกลิ่นคาวเลือดในอากาศ…
ชวนให้คิดถึง
นางค่อยๆ หลับตาลงด้วยรอยยิ้ม
ทว่านางก็ไม่ได้หลับตานาน ก่อนที่นางจะลืมตาโพลง เนื่องจากเห็นว่าร่างเงาสูงโปร่งยืนตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มในมือถือไข่มุกสีแดงเข้ม
นางมองไปที่มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ทว่าในดวงตากลับเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยอารมณ์ในใจ
“ท่านเทพ ถ้ายังทำเท่แบบนี้ ข้าจะตกหลุมรักเจ้าจริงๆ แล้วนะ”
น้ำชาพ่นฝอยลอยเบื้องหน้ามู่เฉิน
ก่อนที่ละอองน้ำจะตกลงบนร่างไป๋ซู่ซู่ ทำให้ร่างกายนางสั่นสะท้านไปใหญ่ นางรู้สึกอับอายมากกับการทำเช่นนี้ แต่นางก็อดทนกัดฟันแน่น เนื่องจากนางรู้ว่าความหวังของโลกใบนี้อยู่ที่ชายหนุ่มที่เบื้องหน้านาง
หากเขาสามารถสอนพลังนั้นให้พวกนางได้ ความสิ้นหวังก็จะต้องหมดไป
ดังนั้นนางจึงคุกเข่าเบื้องหน้ามู่เฉินต่อไปราวกับแกะน้อยที่เชื่อฟังพร้อมกับผิวเปล่งประกาย
มู่เฉินลูบคราบชาออกจากคางขณะที่ควบคุมสายตาแล้วกระแอมไอ “รีบสวมเสื้อผ้าของเจ้าเร็วๆ”
เมื่อได้ยินเสียงของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่ก็กัดฟันตัวสั่น “โปรดทำความปรารถนาของข้าให้เป็นจริงด้วยท่านเทพ!”
มู่เฉินโบกมือเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นคลุมร่างไป๋ซู่ซู่ก่อนที่เขาจะก้มหัวลง “ข้าไม่สามารถสอนพลังให้พวกเจ้าได้จริงๆ”
เมื่อได้ยินคำปฏิเสธของมู่เฉินใบหน้าของไป๋ซู่ซู่ก็ซีดลง ทว่านางไม่กล้าที่จะทำให้มู่เฉินโกรธ จึงได้เพียงแค่ลุกขึ้นยืนเฉยๆ
แม้ว่าเสื้อผ้าจะปกคลุมร่างกายส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีรอยบางๆ เผยให้เห็นส่วนโค้งเว้า
“แม้ว่าข้าจะสอนวิธีการเพาะบ่มพลังไม่ได้ แต่ไม่ต้องกังวล ข้าจะทำลายเผ่าเสี่ยเสียในโลกนี้ให้หมดสิ้นก่อนที่จะจากไป” มู่เฉินกล่าวอย่างเคร่งขรึมขณะมองไปที่ไป๋ซู่ซู่
สีหน้าของไป๋ซู่ซู่เริ่มดีขึ้น แต่นางยังคงมองมู่เฉินด้วยสายตาน่าสงสาร “ท่านเทพดูถูกข้าหรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่เพื่อมนุษยชาติข้าจะไม่ทำให้ตัวเองเสื่อมเสียแม้จะต้องตาย”
มู่เฉินส่ายหน้าตอบกลับ “ตรงกันข้ามข้าชื่นชมเจ้าหลายส่วนเลย”
นางเป็นสตรีบอบบาง แต่กลับยอมทำถึงขนาดนี้ ซ้ำยังยอมคุกเข่าร้องขอเพื่อราษฎร เพียงแค่นี้อย่างเดียวก็ทำให้เขาชื่นชมนางมาก
เมื่อเห็นสายตาจริงใจของมู่เฉินหัวใจของไป๋ซู่ซู่ก็สั่นไหว นางรู้สึกถึงรสเปรี้ยวก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ที่ผ่านมานางมุ่งมั่นต่อหน้าทุกคน แต่ยามนี้นางได้ลบภาพนั้นออก เปิดเผยตัวตนแท้จริงออกมา
“ขอบคุณ” นางขอบคุณมู่เฉินสำหรับความเข้าใจที่มี
มู่เฉินพยักหน้า “เจ้าต้องเชื่อข้า ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง แต่ไม่มีทางจริงๆ”
ไป๋ซู่ซู่รู้สึกผิดหวัง แต่นางก็พยักหน้าก่อนที่จะยิ้มให้มู่เฉินพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านเทพก็สูญเสียโอกาสที่ดีไป”
“แน่นอนว่าถ้าท่านเทพสนใจก็สามารถจีบข้าได้นะ ข้ามีคนไล่จีบมากมาย เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ท่านได้เปรียบกว่าหลายส่วน”
เมื่อได้ยินคำพูดก๋ากั่นของนาง มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแห้ง นางยั่วเขาอยู่เหรอเนี่ย?
“แฮ่ม มาพูดถึงเรื่องหลักกันดีกว่า” มู่เฉินทนการยั่วของไป๋ซู่ซู่ไม่ได้ เขาจึงกระแอมไอเปลี่ยนหัวข้อ
เมื่อเห็นท่าทางน่าอึดอัดของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่ก็ปิดปากหัวเราะเบาๆ พร้อมดวงตางดงามพราวระยับ ชายหนุ่มคนนี้น่าสนใจเลยทีเดียว เขาทรงพลังมาก แต่ก็มีความยับยั้งชั่งใจในตัวเอง ไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งอื่น
ไป๋ซู่ซู่เข้าใจถึงความเย้ายวนที่นางครอบครองและนางก็มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่พิสูจน์แล้วจากผู้ติดตามทั้งหมดที่มี
แต่ทั้งที่มู่เฉินสามารถกลืนกินนางได้มากเท่าที่ต้องการ ตั้งแต่นางเลือกเปลือยกายเบื้องหน้าเขา ไป๋ซู่ซู่รู้สึกได้ว่ามู่เฉินมีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับผู้ชายทุกคน แต่เขายับยั้งตัวเองไว้ได้
เมื่อคนคนหนึ่งมีพลังถึงระดับที่สามารถเพิกเฉยต่อกฎทั้งหมด น้อยมากที่จะเห็นคนคนนั้นยังมีความอดทนอดกลั้นเช่นนี้
ดังนั้นไป๋ซู่ซู่จึงรู้สึกว่ามู่เฉินน่าสนใจยิ่งนัก
“ท่านเทพ มีผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งหมดหกคนในเผ่าเสี่ยเสีย แต่ตอนนี้เหลือแค่ห้าแล้ว” ไป๋ซู่ซู่รินชาให้มู่เฉินอีกครั้งขณะที่เริ่มอธิบาย
“ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตจากสามในห้าอยู่ที่ภูเขาเสี่ยหมัว ขณะที่อีกสองคนอยู่ทางทิศเหนือและทิศตะวันตก”
ดวงตาของมู่เฉินสว่างวาบ ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งห้าไม่ได้รวมตัวกัน ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขา
เขามองไปที่ไป๋ซู่ซู่ “ถ้าสู้ตัวต่อตัว ข้าสามารถจัดการกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้ แต่ถ้าพวกเขาทั้งห้ารวมกลุ่มกันละก็ สถานการณ์หายนะแน่”
“ดังนั้นถ้าอยากรับประกันชัยชนะ เราต้องลดจำนวนพวกเขาให้เหลือสามคน”
ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่เคร่งเครียดลง “ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองที่กำลังลาดตระเวนทั่วโลกก็เป็นเป้าหมายที่ดีที่สุด”
“ท่านเทพ ข้าจะออกคำสั่งให้ปิดข้อมูลทั้งหมด จะไม่ยอมให้ข้อมูลแพร่งพรายออกไป แต่จากการประมาณการข้าสามารถปิดข้อมูลได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนอื่นๆ จะสังเกตเห็นการหายตัวไปของพรรคพวก”
“ครึ่งเดือน…” มู่เฉินขมวดคิ้ว เขาไม่มีข้อมูลการเดินทางที่แน่นอนเกี่ยวกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสอง ดังนั้นหากเขาตามหา ครึ่งเดือนอาจไม่เพียงพอ
“ท่านเทพ มอบหน้าที่ติดตามผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองไว้กับข้าเถอะ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อค้นหาเส้นทางของพวกเขา” ไป๋ซู่ซู่ยิ้มหวาน
“โอ้?” มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจมองไปที่ไป๋ซู่ซู่ เขาไม่คิดมาก่อนว่าพวกนางจะสามารถค้นหาร่องรอยของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้
เผชิญหน้ากับสายตาประหลาดใจของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่ก็ยิ้มขมขื่น “เรามีประชากรจำนวนมากที่อยู่ภายใต้เผ่าเสี่ยเสีย ทุกคนต้องทนทุกข์กับความอัปยศอดสูเพื่อให้ข้อมูลแก่เรา”
มู่เฉินเงียบไป เขารู้ว่ามีราคาที่ต้องจ่ายสำหรับข้อมูลเหล่านั้น
“ท่านเทพลังเลทำไม? ตราบใดที่เราสามารถกำจัดเผ่าเสี่ยเสียและปล่อยให้มวลมนุษยชาติอยู่ในโลกนี้อย่างมีศักดิ์ศรี เราก็ไม่กลัวแม้ว่าจะต้องเผชิญกับความตาย” ไป๋ซู่ซู่ยิ้มหลังจากเห็นความลังเลของมู่เฉิน
มู่เฉินถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก มีการเสียสละเพื่อภาพรวมเสมอ ดังนั้นการพยายามทำให้สมบูรณ์แบบคือความคิดแบบเด็กๆ
“ข้าจะฝากข้อมูลให้เจ้า ส่วนผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็ทิ้งไว้ให้ข้าได้เลย” มู่เฉินกล่าวช้าๆ
ไป๋ซู่ซู่ยิ้มก่อนที่จะก้มลงมองผิวเป็นจ้ำบนหน้าอก นางก็ยิ้ม “เวลาแบบนี้ ท่านดูทรงพลังนัก”
มู่เฉินส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าต้องการความช่วยเหลืออีกเรื่อง”
“โปรดบอกมา” ไป๋ซู่ซู่นั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ้อยอิ่งขณะที่ลูบปอยผมพลางยิ้ม “ตราบใดที่เจ้าประสงค์ แม้ร่างกายของข้าก็เป็นของเจ้า ข้าจะไม่คร่ำครวญอะไรแน่นอน”
มู่เฉินไม่สนใจประโยคของนาง เขาโบกมือ แสงหลิงก็พุ่งออกจากหว่างคิ้วก่อนที่ถักทอเป็นหน้าจอแสงที่มีรูปภาพอยู่ในนั้น
นี่เป็นโลกที่มีกระแสสีแดงเข้มพลุ่งพล่าน ภาพเงาจำนวนมากทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าบนยอดเขา จุดนั้นมีหลุมวนมิติปรากฏขึ้น
จากนั้นร่างแสงเหล่านั้นก็หายเข้าไปภายใต้การไล่ล่าของร่างแสงสีแดงเข้มจำนวนนับไม่ถ้วน
มู่เฉินได้รับภาพเหล่านี้มาจากจอมยุทธ์มังกรขาว นี่คือภาพการหลบหนีออกไปของพวกเขา
มู่เฉินไม่รู้จักโลกนี้ เขาหวังว่าไป๋ซู่ซู่จะจดจำสถานที่ที่พรรคพวกจอมยุทธ์มังกรขาวออกไปได้ ตามการคาดเดา เขาน่าจะสามารถเรียกจิตวิญญาณของจอมยุทธ์มังกรขาวได้ที่นั่น และจะรู้ว่าที่เรียกว่า ‘โอกาส’ คืออะไรกัน
“ข้าอยากรู้ว่าสถานที่นี้อยู่ที่ไหนหรือ” มู่เฉินชี้ไปที่หน้าจอแสงก่อนจะหันไปมองไป๋ซู่ซู่
ทว่าเมื่อหันหน้าไปเขาก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นน้ำตาไหลอาบแก้มของไป๋ซู่ซู่ นางอึ้งไปขณะมองหน้าจอแสง
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่เฉินขมวดคิ้ว
“ท่านเทพมีภาพเหล่านี้ได้อย่างไร?!” ไป๋ซู่ซู่เช็ดน้ำตาขณะที่พูดตะกุกตะกัก
มู่เฉินยักไหล่ “ข้ามาที่นี่เพราะคำขอร้องของผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ทำไมหรือ? เจ้ารู้จักพวกเขาไหม”
ไป๋ซู่ซู่เช็ดน้ำตาออกขณะที่พึมพำ “พวกเขาไม่ได้ทอดทิ้งเรา…”
นางเงยหน้าขึ้นพยักหน้าไปทางมู่เฉิน
“ท่านเทพ พวกเขาเป็นบรรพบุรุษของข้า”
“ภูเขาลูกนี้มีชื่อภูเขาเซิ่งหลง แต่ตอนนี้ถูกเรียกว่าภูเขาเสี่ยหมัวซึ่งเป็นกองบัญชาการใหญ่ของเผ่าเสี่ยเสีย!”
เจดีย์ผลึกแก้วลอยคว้างบนท้องฟ้าของเมืองใหญ่
แสงไหลเอื่อยพร้อมกับกำจายพลังอำนาจลึกลับออกมา
ทั้งชาวเมืองและสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียจ้องเขม็งไปที่เจดีย์ เนื่องจากพวกเขาตระหนักว่าชะตากรรมต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับผู้ที่สามารถออกมาจากเจดีย์ได้
นั่นเป็นเพราะคนสุดท้ายที่ยืนหยัดจะเป็นผู้ชนะ
ดังนั้นทั้งฟ้าดินจึงเงียบงันพร้อมกับบรรยากาศตึงเครียด ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
จอมยุทธ์ชั้นสูงของเมืองดูร้อนรน เม็ดเหงื่อใหญ่ปกคลุมหน้าผากก่อนที่พวกเขาจะมองไปที่จักรพรรดินีที่อยู่ข้างๆ “จักรพรรดินี ท่านเทพจะชนะหรือไม่?”
หากท่านเทพที่พวกเขาตั้งความหวังไว้ล้มเหลว แม่น้ำเลือดคงหลั่งรินไปทั่วเมือง ศพนอนเรียงรายอยู่โดยรอบแน่นอน นอกจากนี้เผ่าพันธุ์คงจะถูกล้างบางโดยผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่โกรธเคืองด้วย
จักรพรรดินีก็มองไปที่เจดีย์ด้วยความกังวล แต่นางก็สงบกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นจึงตอบว่า “เราเตรียมรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ?”
“หรือว่าจะมีอะไรที่เลวร้ายไปกว่าการถูกเลี้ยงเป็นสัตว์?”
เมื่อเหล่าจอมยุทธ์ชั้นสูงได้ยินคำพูดของนาง พวกเขาก็พยักหน้า กรณีนี้พวกเขายอมตายซะจะดีกว่า อย่างน้อยก็สามารถรักษาศักดิ์ศรีไว้ได้
ฮึ่ม!
ขณะที่พวกเขาสนทนากันเจดีย์ก็สั่นสะเทือน ดึงดูดความสนใจทั้งหมดไป
แม้แต่จักรพรรดินีก็กัดริมฝีปาก มือสั่น รู้สึกกระวนกระวายในใจไปหมด
แม้ว่านางจะเตรียมรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่อย่างน้อยในใจพวกเขาก็ยังมีแววแห่งความหวังไม่ใช่หรือ?
ฟิ้ว!
ภายใต้ความกังวลทั่วฟ้าดิน ริ้วแสงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเจดีย์ ร่างเงาสูงโปร่งปรากฏขึ้น
“นั่นท่านเทพ!”
เมื่อพวกเขาเห็นภาพเงานั้น เสียงโห่ร้องก็ดังออกมาจากเมือง หลายคนน้ำตาไหลอาบใบหน้า พวกเขาคุกเข่าโขกหัวอย่างบ้าคลั่งไปให้มู่เฉิน
มู่เฉินมองเมืองที่โกลาหลก็ยิ้มบาง ก่อนที่จะยกมือขึ้นไข่มุกสีแดงเผยออกมาพร้อมกับภาพผู้บัญชาการปีศาจโลหิตดิ้นขลุกขลักอยู่ภายใน
ภาพนี้ทำให้ทุกคนรู้ว่าใครคือผู้ชนะคนสุดท้าย
“ท่านเทพ…ชนะจริงหรือ?” จอมยุทธ์ชั้นสูงรู้สึกวิงเวียนหัวกับฉากนี้ ก่อนที่พวกเขาจะล้มนั่งลงบนพื้นพลางมองไปที่ลูกทรงกลมนั้นอย่างตะลึงงัน
ใครจะคิดว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่อยู่ยงคงกระพันในสายตาพวกเขาจะพ่ายแพ้ในวันนี้!
จักรพรรดินีอึ้งไปขณะมองร่างเงาสูงโปร่งบนท้องฟ้า ทันใดนั้นหน่วยตานางก็คลอคลองด้วยหยาดน้ำตา ก่อนที่จะกลิ้งลงมาบนแก้ม
นางรอช่วงเวลานี้มานานแค่ไหน? นางพยายามเพื่อสิ่งนี้มานานแค่ไหน?
แม้ว่านางจะพยายามอย่างเต็มที่และรักษาดินแดนอุดมรัฐไว้ให้ผู้คนได้ แต่นางก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงภาพลวงตา ตราบใดที่เผ่าเสี่ยเสียต้องการ พวกมันก็สามารถทำลายล้างที่พึ่งพิงสุดท้ายของพวกนางให้กลายเป็นนรกได้
ดังนั้นนางจึงได้แต่รู้สึกกลัวในใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่นางก็ไม่สามารถแสดงอารมณ์ให้พวกเขาเห็นได้ เพราะนางรู้ว่าตนเองเป็นเสาหลักสนับสนุนทุกคน ถ้านางล้มลงดินแดนอุดมรัฐนี้ก็จะพังทลายลงเช่นกัน
แต่วันนี้ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่อยู่ยงคงกระพันในสายตานางกลับพ่ายแพ้ ทำเอาความพยายามอดกลั้นของนางพังทลายลงทันที ด้านอ่อนแอในใจถูกเปิดเผย ทำนบน้ำตาแตกไหลอาบแก้ม
เพราะในที่สุดนางก็ได้เห็นความหวังในความสิ้นหวัง!
เมื่อเทียบกับผู้คนในเมืองที่มีความสุขแล้ว จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียตกใจกลัวขีดสุด พวกเขาไม่เคยคิดว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตจะล้มเหลว
“รีบหนีเร็ว ส่งข่าวนี้ไปยังผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนอื่นๆ!”
พวกมันแลกสายตากันชั่วครู่ ก่อนที่จะทะยานออกไปอย่างเร่งรีบ พยายามที่จะหนีจากชายหนุ่มที่น่ากลัวคนนี้
ดังนั้นยามนี้ทั่วท้องฟ้าจึงตกอยู่ในความโกลาหล สมาชิกเผ่าเสี่ยเสียแตกฉานซ่านเซ็นราวกับหมาจนตรอก
มู่เฉินมองจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียอย่างเย็นชา อึดใจก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปรากฏขึ้นข้างหลัง เกลียวแสงสีม่วงทองแผ่ซ่านถักทอเป็นหอกสีม่วงทองนับไม่ถ้วนเขวี้ยงออกไป
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ขณะที่ห่าหอกโปรยปรายลงมา ก็แทงทะลุร่างเงาสีแดงเข้ม เสียงกรีดร้องน่าเศร้าดังทั่วฟ้าดิน
จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียราวกับนกปีกหักตกลงมาจากท้องฟ้าไม่หยุดหย่อน…
เพียงไม่กี่นาทีฟ้าดินก็สงบลง ทุกคนในกองทัพเผ่าเสี่ยเสียถูกมู่เฉินสังหารเรียบ
มู่เฉินรู้ว่ามีผู้บัญชาการหลายคนในเผ่าเสี่ยเสีย ซึ่งต่างมีขุมพลังสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน หากต่อสู้กันอย่างยุติธรรม มู่เฉินมั่นใจว่าสามารถกำจัดพวกมันได้สบาย แต่ถ้าพวกมันรวมตัวกันละก็ ความได้เปรียบของมู่เฉินจะลดลงอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะให้ข่าวที่นี่หลุดออกไป
ชาวเมืองมองสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียที่ถูกกำจัดไปอย่างสิ้นเชิง ก่อนที่พวกเขาจะหันไปมองมู่เฉินด้วยสายตาเคารพเทิดทูน
มู่เฉินโบกแขนเสื้อบนท้องฟ้า เจดีย์ผลึกแก้วก็พุ่งกลับมาสถิตในดวงตา จากนั้นก็เก็บลูกกลมผู้บัญชาการปีศาจโลหิตแล้วก็หันกลับไปยังวัง
เมื่อเขาพลิ้วตัวลงมาก็เห็นผู้คนคุกเข่าตามทางที่เขาก้าวเดินโดยมีความเคารพในสายตา
แม้แต่จักรพรรดินีก็คุกเข่าแสดงความเคารพขณะที่กล่าวว่า “ไป๋ซู่ซู่ทักทาย ท่านเทพ”
เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ก็อดอมยิ้มไม่ได้ “ข้าไม่ใช่เทพอะไรหรอก”
ขณะที่พูดเขาก็มองคณะเสนาบดีที่รวมกลุ่มและมีเสนาบดีใหญ่ที่หลุดออกจากเสาอยู่ด้านข้าง แต่ตอนนี้ทุกคนมองมาที่เขาด้วยสายตาหวาดกลัว
ไป๋ซู่ซู่รู้สึกได้ถึงสายตาของมู่เฉิน นางจึงหันไปมองเสนาบดีเหล่านั้นด้วยความเย็นชาพูดว่า “ประหารพวกมันซะ อย่าทำให้ดวงตาของท่านเทพต้องมัวหมอง”
ฟิ้ว!
เมื่อนางพูดจบ ร่างจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าหาเสนาบดีเหล่านั้น หลังจากโรมรันพันตูกันพักใหญ่พวกหนอนบ่อนไส้ก็ถูกสังหารในที่เกิดเหตุ แม้แต่เสนาบดีใหญ่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะหนี หลังจากได้รับบาดเจ็บจากมู่เฉิน ร่างเขากลายเป็นเนื้อสับเพราะความโกรธของผู้คน
บอกได้ว่าประชาชนเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อเสนาบดีกลุ่มนี้
เมื่อมองไปที่ฉากนี้เขารู้สึกประหลาดใจก่อนที่จะมองไปที่ไป๋ซู่ซู่ ความเด็ดขาดนี้ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่าจึงถามว่า “ทำไม? เจ้าคิดจะแสดงจุดยืนอยู่เรอะ?”
การกระทำของไป๋ซู่ซู่ชัดว่าเป็นการแสดงจุดยืนที่จะสู้กับเผ่าเสี่ยเสียอย่างเต็มที่แล้ว
รอยยิ้มหายากปรากฏบนใบหน้าของไป๋ซู่ซู่ สายตาจ้องไปที่มู่เฉิน “ข้าเชื่อมั่นในท่านเทพมาตั้งแต่แรกเริ่ม”
มู่เฉินยิ้ม “ข้ามีแรงจูงใจในการมาที่โลกของเจ้า ตอนนี้ข้าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าเสี่ยเสียทั้งหมด”
“โปรดมาทางนี้ ข้าจะบอกทุกอย่างที่รู้”
ไป๋ซู่ซู่กล่าวด้วยความเคารพ จากนั้นก็ลุกขึ้นนำทาง ส่วนพวกที่เหลือก็ถูกห้ามให้ตามไปจากคำสั่งของนาง
มู่เฉินเดินสบายๆ ตามนางไป ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องโถง
“ท่านเทพเชิญนั่ง”
หลังจากให้มู่เฉินนั่งแล้ว ไป๋ซู่ซู่ก็รินชาด้วยความให้เกียรติ
มู่เฉินไม่ได้มากมารยาทรับเอาไว้ทันที “ตอนนี้พูดได้หรือยัง?”
ไป๋ซู่ซู่ยืนที่เบื้องหน้ามู่เฉิน นางไม่ได้ไว้ศักดิ์ศรีของจักรพรรดินีอีกต่อไป นางกัดริมฝีปากเบาๆ พูดว่า “ท่านเทพ ไม่ทราบว่าข้าขอร้องสักเรื่องได้หรือไม่?”
“ขอร้อง?” มู่เฉินเลิกคิ้วขึ้น
ไป๋ซู่ซู่กัดฟันพูดว่า “ข้าอยากให้ท่านเทพสอนพลังที่ใช้ต่อสู้กับเผ่าเสี่ยเสีย!”
พลังที่มู่เฉินแสดงออกมาทรงศักยภาพอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งอยู่ในระดับที่พวกนางไม่สามารถเข้าถึงได้ ดังนั้นหากพวกนางสามารถได้รับบางสิ่งจากมู่เฉิน ก็จะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างมีนัยสำคัญ
ด้วยวิธีนี้พวกนางจะไม่ไร้พลังในการประจันหน้ากับเผ่าเสี่ยเสียอีกต่อไป
มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะส่ายหัวพลางจิบชา “พลังของข้าไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าเข้าใจได้”
เขาทรงพลังเพราะได้รับการฝึกฝนขุมพลังหลิงซึ่งเป็นพลังเอกลักษณ์ของมหาพันภพ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเพาะบ่มได้ในพิภพเขตล่าง
เมื่อไป๋ซู่ซู่ได้ยิน นางก็คิดเองเออเองว่ามู่เฉินไม่ต้องการสอน ดังนั้นนางจึงคุกเข่าลงด้วยใบหน้าซีดเซียว “ท่านเทพโปรดช่วยเราด้วยเถิด!”
ขณะที่พูดนางก็กัดริมฝีปากถอดมงกุฎดึงสายรัดเอวสีม่วงลง
ชุดงดงามร่วงหล่นลง เรือนร่างขาวโพลนสั่นระริกราวกับลูกแกะน้อย
นางคุกเข่าต่อหน้ามู่เฉิน เรือนผมแผ่สยายเน้นโค้งร่างยั่วยวนจากแผ่นหลังลงไปที่เบื้องล่าง
“ท่านเทพ ถ้าท่านยอมสอนพวกเรา ข้ายินดีที่จะเป็นทาสไปชั่วนิรันดร์!”
ร่างกายบอบบางสั่นสะท้าน เสียงอ้อนร้องฟังดูน่าสงสารยิ่งนัก
ฟู่
มู่เฉินอึ้งไปกับฉากนี้ ก่อนที่จะอดพ่นน้ำชาออกจากปากไม่ได้
ยักษ์สีแดงเข้มตัวมหึมายืนอยู่บนขอบฟ้า
ร่างปกคลุมดวงอาทิตย์ขณะที่ส่งกลิ่นคาวเลือดทั่วทั้งฟ้าดิน เปล่งแรงกดดันของเทพมาร
สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่ยักษ์สีแดงเข้มด้วยความสิ้นหวัง พลเมืองสูญเสียความมั่นใจที่มี
ภายใต้สายตาหวาดกลัว มู่เฉินยังคงยืนอยู่บนท้องฟ้าด้วยท่าทางสงบพร้อมกับเจดีย์ผลึกแก้วใสวางในมือ
“ในเมื่อแกอยากเป็นวีรบุรุษในพิภพนี้ ข้าก็จะทำให้สมหวังเอง!”
ร่างผู้บัญชาการปีศาจโลหิตปรากฏบนยักษ์สีแดงเข้มมองลงมาที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มน่าขนลุก ในฐานะสมาชิกจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ เขามีความเข้าใจดีเยี่ยมเกี่ยวกับขุมพลังของมหาพันภพ มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น ในเผ่าเสี่ยเสียอย่างมากก็แข็งแกร่งกว่าแม่ทัพปีศาจโลหิตเล็กน้อย เทียบกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตไม่ได้เลย
“ตะวันโลหิตเคลื่อนคล้อย!”
ขณะที่สิ้นเสียงผู้บัญชาการปีศาจโลหิตยิ้ม เขาก็กระทืบเท้าลงไปโดยไม่ลังเลใดๆ ยักษ์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็เปิดปากออกพร้อมแสงสีแดงเข้มพุ่งออกมาจากปากมัน กลายเป็นดวงอาทิตย์สีแดงเข้มขนาดพันจั้ง
ดวงอาทิตย์สีแดงเข้มลอยอยู่บนท้องฟ้า เปล่งประกายสีแดงเข้ม บริเวณที่ถูกส่อง แม้แต่เมืองเบื้องล่างยังเริ่มถูกกัดกร่อน
“ไป”
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตยิ้ม ดวงอาทิตย์สีเลือดก็เล็งไปที่มู่เฉินก่อนที่จะพุ่งลงมา
“แกชอบเป็นวีรบรุษกอบกู้โลกนักไม่ใช่เหรอ? หากแกหลบไปชาวเมืองก็จะถูกสังหารโดยตะวันโลหิต” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตยิ้มน่าขนลุก
“ทำไมต้องเล่นอุบายกระจอกแบบนี้ด้วย?” มู่เฉินยิ้มบาง ผู้บัญชาการคนนี้พูดยั่วเพราะไม่ต้องการให้เขาหลบเลี่ยง แต่มันคิดผิดไปเรื่องหนึ่งตั้งแต่แรก นั่นก็คือพลังของอีกฝ่ายไม่ได้สูงล้ำอะไรในสายตาของมู่เฉิน
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ขยับร่าง เพียงแค่เงยหน้ามองตะวันโลหิต จนมันเข้าใกล้ถึงได้เริ่มสร้างตราประทับ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เมื่อตราประทับในมือเปลี่ยนไป ผลึกแสงนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือ ในเวลาไม่กี่ลมหายใจพวกมันก็ก่อตัวเป็นผลึกตาข่ายขนาดหลายหมื่นจั้งห่อหุ้มดวงอาทิตย์ที่พุ่งเข้ามา
“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตยิ้มกว้าง ตะวันโลหิตบรรจุด้วยพลังเอกลักษณ์ของเผ่าเสี่ยเสีย ซึ่งเต็มไปด้วยพลังกัดกร่อน เมื่อสัมผัสมันก็จะเกาะติดเหมือนปรสิต
ในมุมมองของเขาการต่อต้านซึ่งหน้าอย่างนี้ของมู่เฉินเป็นเพียงแค่รนหาที่ตาย
ภายใต้สายตาเยาะเย้ยของผู้บัญชาการปีศาจโลหิต ผลึกตาข่ายก็สัมผัสกับดวงอาทิตย์สีแดงเข้ม เพียงอึดใจแววเยาะเย้ยบนใบหน้าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็แข็งค้าง
เนื่องจากเขาเห็นดวงอาทิตย์สีแดงเข้มกำลังริบหรี่ลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าพลังถูกปิดผนึกไว้
ชี่ ชี่!
หมอกสีแดงเข้มพวยพุ่งจากดวงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง เมื่อตาข่ายเริ่มหดตัวดวงอาทิตย์ก็ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว
เพียงสิบกว่าลมหายใจดวงอาทิตย์สีแดงเข้มก็กลายเป็นไข่มุกขนาดเท่าฝ่ามือที่มีลวดลายลึกล้ำนับไม่ถ้วนอยู่บนพื้นผิว ราวกับเป็นผนึกบางอย่าง
มู่เฉินยื่นมือออก มุกสีแดงเพลิงก็บินมาอยู่ในมือ เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่กำลังตกตะลึง “คืนให้แกเถอะ”
เมื่อพูดจบแขนก็เหวี่ยงออกไป มุกสีแดงเข้มพุ่งพรวดออกมา ทว่ามันไม่ได้ถูกโยนไปในทิศทางของผู้บัญชาการปีศาจโลหิต แต่เล็งไปที่เมฆสีแดงเข้มที่มีสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียมากมาย
“หนีเร็ว!” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตร้องตะโกน
ตู้ม!
แต่เมื่อเสียงของเขาดังขึ้น มุกก็ระเบิดออก คลื่นสีแดงเชี่ยวกรากกวาดไปทั่ว ใครก็ตามที่สัมผัสกับมันก็ได้กลายเป็นขี้เถ้าในพริบตาด้วยความสามารถในการกัดกร่อนที่น่ากลัว
เมฆกระจายไปบนท้องฟ้า สมาชิกนับไม่ถ้วนของเผ่าเสี่ยเสียได้รับผลกระทบกันไปมาก ทำให้เกิดความวุ่นวาย
เมื่อเทียบกับความวุ่นวายบนท้องฟ้า ชาวเมืองพากันอ้าปากตาค้าง ตอนแรกพวกเขายังกลัวการโจมตีทำลายล้างของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตกันอยู่ แต่ใครจะคิดว่าเทพลึกลับจะสามารถแก้ไขการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำยังใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้สังหารจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียไปกว่าครึ่ง!
จักรพรรดินีและคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าตกตะลึงขณะที่ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น พวกเขาเคยเห็นผู้บัญชาการปีศาจโลหิตในสภาพที่น่าสมเพชแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร? บางทีชายลึกลับผู้นี้อาจมีพลังในการเผชิญหน้ากับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตจริงๆ
บนท้องฟ้าใบหน้าของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตเขียวคล้ำขณะมองไปที่มู่เฉินราวกับไฟยิงออกมาจากดวงตา มู่เฉินไม่เพียงแต่ได้รับการโจมตีได้ เขายังส่งคืนเป็นการตบหน้าอีกด้วย
“อะไร? แค่นี้รับไม่ได้เหรอ? เราเพิ่งจะเริ่มการต่อสู้เองนะ” มู่เฉินยิ้มพลางมองไปที่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่หน้าดำมืด
เมื่อได้ยินผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็ตื่นตัวก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสีหน้าเปลี่ยนไป
เจดีย์ผลึกแก้วใสขนาดใหญ่พุ่งลงมาปิดทางถอยไว้ นอกจากนี้แสงผลึกที่เปล่งออกมาก็ปิดมิติทำให้เขาไม่สามารถหลบหนีไปได้
ครืนๆ!
เมื่อเจดีย์บีบลงมาถึงร่างเงาของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็ถูกห่อหุ้มอยู่ภายใน
ร่างมู่เฉินก็หายไปเช่นกัน อึดใจเขาก็ปรากฏตัวในเจดีย์แก้วใส เขามองไปที่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตซึ่งกำลังมองรอบๆ ด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ จากนั้นก็สะบัดมือออก ของเหลวจื้อจุนทะลักออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อของเหลวจื้อจุนประมาณห้าสิบล้านหยดพุ่งออกมา มู่เฉินก็หยุดแล้วดีดนิ้ว จากนั้นพวกมันก็บินเข้าหากำแพง
ตู้ม
ภาพเงาน่ากลัวแปดร่างปรากฏบนผนัง จากนั้นก็เริ่มขยับตัวอ้าปากกินของเหลวจื้อจุนเข้าไปทั้งหมด
ด้วยของเหลวจื้อจุนจำนวนหลายสิบล้านหยด ร่างทั้งแปดก็เริ่มสร้างความผันผวนที่น่ากลัว
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตฉายความตกตะลึงบนใบหน้าขณะมองไปที่ร่างทั้งแปด เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันน่ากลัวที่มาจากส่วนลึกของหัวใจตนเอง
“ภาพปีศาจเหล่านี้สร้างจากจอมปีศาจ?!” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคำรามในใจ เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคยแล้ว
ภาพทั้งแปดตอนมีชีวิตก็คือจอมปีศาจต่างมิติ!
“นรกเอ๊ย ไอ้เด็กเวรนี่เป็นใคร?! อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าจะต้องส่งต่อข้อมูลนี้ให้กับผู้บัญชาการคนอื่นๆ เพื่อร่วมมือกันฆ่ามัน!” สายตาของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตกะพริบวูบไหว ตอนนี้ในที่สุดเขาก็รู้สึกกลัวจับจิต จอมปีศาจทั้งแปดทำให้เขารู้สึกถึงกลิ่นอายความตาย
“อยากหนีเหรอ? สายไปแล้ว” มู่เฉินมองผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่มีดวงตาวูบไหวก็เดาความคิดของอีกฝ่ายได้ เขาจึงยิ้มก่อนจะยื่นนิ้วชี้ไปที่ตัวอีกฝ่าย
“วิชาเจดีย์แปดองค์ แสงเจดีย์ทำลายปีศาจ”
เสียงเฉยเมยของมู่เฉินดังก้องไปทั่วเจดีย์ขนาดใหญ่
ฟิ้ว!
ในเวลาเดียวกันเทพปีศาจทั้งแปดก็เหยียดนิ้วออกจากกำแพงชี้ไปในทิศทางของผู้บัญชาการปีศาจโลหิต อึดใจต่อมาลำแสงสีดำแปดสายก็พุ่งออกไป
ลำแสงสีดำทะลุผ่านมิติปรากฏขึ้นรอบร่างผู้บัญชาการปีศาจโลหิตในพริบตา ลำแสงเหล่านั้นปิดกั้นเส้นทางการหลบหนีทั้งหมดเอาไว้
แม้ว่าลำแสงสีดำทั้งแปดจะไม่มีรัศมีที่ทรงพลัง แต่ก็ทำเอาเส้นขนทุกเส้นของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตลุกชูชัน กลิ่นอายความตายปกคลุมหัวใจ
“ให้ตายเถอะ พลังของมันอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น มันปลดปล่อยการโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ได้ยังไง?” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคำรามในใจ เขาไม่สามารถรักษาความนิ่งได้อีกต่อไป เขาขบฟันแสงสีแดงเข้มก็กะพริบในดวงตา อึดใจร่างกายก็เริ่มบวมจากนั้นก็ระเบิด
แสงสีแดงเข้มที่ไม่มีที่สิ้นสุดกระจายออกไป ทว่าลำแสงสีดำแปดสายก็ยังพุ่งเข้าในแสงสีแดง…
ไม่กี่อึดใจต่อมาลำแสงสีดำก็ระเบิดออก แสงสีแดงเข้มที่สัมผัสก็ถูกสึกกร่อนในกระบวนการ
ไม่ถึงหนึ่งนาทีแสงสีแดงเข้มที่ไร้ขอบเขตก็หายไปเหลือเพียงก้อนแสงกลมๆ ที่พยายามกระเด้งหนีจากของเหลวสีดำ
ปัง!
ในที่สุดแสงสีแดงเข้มก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป กลายเป็นภาพเงา ตอนนี้ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตดูน่าสังเวชอย่างไม่น่าเชื่อ ความผันผวนที่รุนแรงรอบตัวเขาอ่อนแรงลงอย่างมากมีจุดกระดำกระด่างบนร่างกายของเขา
เขามองไปที่มู่เฉินด้วยความกลัว เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะน่ากลัวขนาดนี้ เพียงแค่ฝ่ายหลังออกกระบวนท่าใส่ก็ไม่มีการบรรเทาโทษใดเหลืออีกแล้ว
“แกฆ่าข้าไม่ได้! ถ้าแกฆ่าข้าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนอื่นจะรู้สึกได้! เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะร่วมกันจัดการแกจนตาย!” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตร้องตะโกน
“อย่างงั้นเหรอ?”
มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะยิ้ม “งั้นข้าจะไม่ฆ่าแก”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็ลิงโลดในใจ แต่ก่อนที่จะได้เผยความยินดีบนใบหน้า น้ำเสียงเย็นชาของมู่เฉินก็ดังก้อง “ปิดผนึกแกเอาไว้ก็ได้”
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เมื่อเสียงของมู่เฉินจบลง ผลึกแสงก็พุ่งออกมาจากเจดีย์ก่อนที่จะรวมตัวกันเข้ายึดร่างผู้บัญชาการปีศาจโลหิต
ภายใต้รัศมีส่องประกายผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็ตะลึงลาน เมื่อสัมผัสได้ว่าพลังงานเริ่มอ่อนลงด้วยความเร็วที่รุนแรง
“ข้าจะแลกทั้งหมดกับแก!”
เสียงน่าสยดสยองของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตดังก้อง เขาจุดชนวนเตรียมจะระเบิดทำลายล้างตนเอง
“ผนึก!”
ทว่ามู่เฉินย่อมไม่ยอมให้อีกฝ่ายทำเช่นนั้น เสียงเยือกเย็นของเขาดังก้อง ผลึกแสงหดหายอย่างรวดเร็ว จากนั้นผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็ร้องเสียงหลงขณะที่ร่างกายหดตัวลงอย่างรวดเร็ว ไม่กี่ลมหายใจต่อมาก็กลายเป็นลูกทรงกลมสีแดงเข้มลอยอยู่ในอากาศ
มู่เฉินโบกมือเรียกลูกกลมมาอยู่ในมือ พื้นผิวปกคลุมไปด้วยลวดลายตกผลึก ภายในสามารถมองเห็นใบหน้าบิดเบ้น่ากลัวของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้
เมื่อมองไปที่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตมู่เฉินก็ยิ้ม
“แกแพ้แล้ว”
เมฆสีแดงเข้มกระจายออกไป
ผู้คนในเมืองตัวสั่นเทาด้วยความกลัวบนใบหน้า เงาสีแดงเข้มบนท้องฟ้ามองลงมาอย่างตะกละตะกลามราวกับว่ากำลังมองดูหมูหมาในคอก…
ภายใต้บรรยากาศสิ้นหวังระหว่างฟ้าดิน ร่างเงาชายหนุ่มก็ย่างเท้าออกจากห้องโถงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
ร่างสีแดงเข้มมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส “แกเป็นคนล้างบางเมืองของข้าหรือ?”
มู่เฉินผงกหน้ายิ้มอ่อน “ก็แค่บี้เห็บดูดเลือดตายไปเอง”
เมื่อเขาพูด คำพูดก็ดึงดูดสายตาที่แสดงความโหดร้ายมากมายทันที จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียจ้องมองมู่เฉินราวกับว่าพวกเขาต้องการฉีกร่างเขาออกจากกัน
ผู้คนในเมืองเฝ้าดูฉากนี้ด้วยความกลัว พวกเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะกล้าตอกกลับคำพูดของผู้บัญชาการปีศาจโลหิต… นั่นเป็นการดำรงอยู่ที่ราวกับเทพปีศาจเชียวนะถ้าเขาโกรธขึ้นมาละก็ แม่น้ำเลือดคงผุดขึ้นแน่นอน
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตหรี่ตาลงขณะมองมู่เฉินอย่างเย็นชา “ไม่มีใครในโลกนี้ที่กล้าพูดโอหังกับข้าเช่นนี้”
มู่เฉินยิ้มเยาะพลางส่ายหัว “ดูเหมือนว่าแกจะกดขี่พิภพเขตล่างนี้มานานเกินไป ก็แค่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตของเผ่าเสี่ยเสียเท่านั้น นับเป็นอะไรได้?”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘พิภพเขตล่าง’ ดวงตาของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็หดลงขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจ “แกมาจากมหาพันภพเรอะ?!”
มู่เฉินตอบ “พวกแกก่อกรรมทำชั่วมากเกินไป สวรรค์จึงส่งคนมาจัดการไง”
“แค่แกเนี่ยนะ” ท่าทางเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีดเซียวของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตขณะที่ตอบว่า “ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มคิดจะเผชิญหน้ากับเผ่าเสี่ยเสียของข้ารึ?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” มู่เฉินยิ้ม
ไอสังหารเลือดเย็นกะพริบในดวงตาผู้บัญชาการปีศาจโลหิต การแทรกแซงจากมหาพันภพอยู่เหนือความคาดหมาย ดังนั้นพวกเขาต้องกำจัดชายคนนี้ให้จงได้ มิฉะนั้นหากจอมยุทธ์ในมหาพันภพแห่กันเข้ามา เผ่าเสี่ยเสียถึงกาลอวสานแน่
“ฆ่ามันซะ” เขากล่าวอย่างเย็นชาต่อแม่ทัพทั้งสี่ ตัวเขานิสัยระมัดระวังอยู่แล้ว ดังนั้นเขาต้องการที่จะตรวจสอบพลังของมู่เฉินก่อนสิ่งอื่นใด
“รับทราบ!”
แม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ตะโกนก้อง จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินอย่างอาฆาตมาดร้าย โดยไม่ลังเลใดๆ พวกเขากระทืบเท้าส่งร่างกลายเป็นลำแสงสีแดงเข้มสี่สายพุ่งเข้าหามู่เฉิน
ครืนๆๆๆ!
รัศมีสีแดงเข้มระเบิดออกมาจากทั้งสี่ ทำให้ฟ้าดินแปดเปื้อนไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เมื่อชาวเมืองเห็นฉากนี้ก็อดใจสั่นหวั่นไหวไม่ได้ พวกเขารู้ชัดเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของแม่ทัพปีศาจโลหิต ตอนนี้พวกมันสี่คนรวมกลุ่มกันแม้แต่จักรพรรดินีของพวกเขาก็ไม่ได้เหนือกว่าใดๆ
จักรพรรดินีและขุนนางน้อยใหญ่รวมตัวกันด้านนอก เฝ้าดูการเผชิญหน้าบนท้องฟ้าด้วยร่างกายที่ตึงเครียดขึ้น
เพราะพวกเขาไม่ทราบถึงพลังแท้จริงของมู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แน่ใจว่ามู่เฉินจะสามารถจัดการกับแม่ทัพทั้งสี่ได้หรือไม่
หากเขาล้มเหลว… วันนี้คงเป็นวันทำลายล้างเผ่าพันธุ์แล้ว
วาบ วาบ!
ภายใต้สายตาประหวั่นพรั่นพรึงนับไม่ถ้วน ร่างสีแดงเข้มทั้งสี่พุ่งเข้าหามู่เฉิน เขาเพียงเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าสงบ มองดูแม่ทัพปีศาจโลหิตที่มีรัศมีรุนแรงรอบร่าง
นิ้วมือกำเข้าหากัน กำปั้นแล่นแปลบปลาบด้วยผลึกแสง
จากนั้นเขาก็เหวี่ยงหมัดออกไปโดยที่ร่างไม่ขยับ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
หมัดตกผลึกพร่างพราวขยายออกอย่างรวดเร็ว อึดใจต่อมาหมัดขนาดหนึ่งพันจั้งก็ทะยานออกไป หมัดทะลุผ่านมิติไปปรากฏเบื้องหน้าแม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ
หมัดพุ่งเข้ามากะทันหัน เมื่อปรากฏเบื้องหน้าแม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ พวกเขาถึงได้ตอบสนอง ใบหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไป เสียงตะโกนดังออกเรียกกระแสน้ำสีแดงเข้มสี่สายไหลบ่าออกมาจากร่างกาย พลังโหดร้ายปะทะกับหมัดตกผลึก
ชี่ ชี่!
ทว่าเมื่อหมัดสัมผัสกับกระแสน้ำสีแดงเข้ม กระแสน้ำก็ถูกลบออกทันที ราวกับหิมะต้องลาวาอย่างไรอย่างนั้น…
ใบหน้าของแม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่เปลี่ยนไปรุนแรง ความหวาดผวาผุดขึ้น พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าการโจมตีกระบวนท่านี้จะพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย…
ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน!
“ถอยเร็ว!”
ทั้งสี่ถอยหนีกันจ้าละหวั่น
“คิดจะไปไหนเหรอ?” มู่เฉินยิ้มเยาะพร้อมกับไอสังหารแล่นพล่านในดวงตา ตัวเขาเกลียดเผ่าปีศาจต่างมิติอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจะไม่ยั้งไว้แน่นอนในเมื่อโอกาสมาถึง
นิ้วสะบัด หมัดตกผลึกก็ซัดผ่านมิติกระแทกเข้ากับร่างทั้งสี่
อ๊าก!
เสียงกรีดร้องที่โหยหวนดังก้องระหว่างฟ้าดิน
หมัดตกผลึกหายไปอย่างช้าๆ ส่วนแม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ก็ถูกลบออกจากโลกนี้ ภายใต้กำปั้นไม่เหลือแม้แต่กระดูก
หมัดเดียว แม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ไม่เหลือแม้แต่ขี้เถ้า
ทั่วบริเวณเงียบสงัด ผู้คนที่มีสีหน้าสิ้นหวังก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อมองฉากนี้…
แม่ทัพปีศาจโลหิตที่อยู่ยงคงกระพันปวกเปียกต่อหน้าเขาขนาดนี้จริงหรือ?
“นั่นท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่!”
เมื่อผู้คนจากเมืองเถี่ยเสี่ยเห็น ก็ส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้นก่อนที่จะกระจายออกไป ทั้งเมืองตกอยู่ในความโกลาหล
“เป็นเทพจริงๆ หรือนี่?”
“เขาทรงพลังมาก ซ้ำยังไม่ใช่พวกเผ่าปีศาจ จะต้องเป็นเทพแน่อน!”
“ท่านเทพมาช่วยเราใช่ไหม?”
“…”
ผู้คนที่นี่คุกเข่าลงอย่างตื่นเต้น ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นริ้วความหวังในความสิ้นหวังแล้ว
ขุนนางน้อยใหญ่ที่เบื้องหน้าวังหลวงก็พูดไม่ออกได้แต่กลืนน้ำลายลงคอเมื่อมองภาพร่างเงาชายหนุ่มบนท้องฟ้า
พวกเขาตกตะลึงกับฉากการสังหารแม่ทัพปีศาจโลหิตสี่คนด้วยหมัดเดียว
จักรพรรดินีก็มองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตาระยิบระยับ พลังนี้เป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝัน
ขณะที่ชาวเมืองพากันตื่นเต้นดีใจ ใบหน้าของจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียก็เปลี่ยนไป พวกเขาอยู่ยงคงกระพันในโลกนี้มานานจึงสร้างความเย่อหยิ่ง แต่ตอนนี้ผลกระทบสะท้อนใส่พวกเขาเข้าบ้างแล้ว
นั่นคือสี่แม่ทัพปีศาจโลหิตนะ! แม้จะอยู่ในเผ่าเสี่ยเสีย พวกเขาก็อยู่ในลำดับชั้นที่สูง แต่กลับอ่อนแอราวกับมดปลวกที่เบื้องหน้าชายหนุ่มคนนี้
สมาชิกเผ่าเสี่ยเสียฉายความกลัวบนใบหน้าขณะมองไปที่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิต ยามนี้แววตาอีกฝ่ายน่ากลัวอย่างยิ่งเมื่อจ้องมองไปที่มู่เฉิน
พลังของชายหนุ่มคนนี้อยู่เหนือความคาดหมายเขามาก
แต่ยิ่งเป็นตัวปัญหา พวกเขาก็ยิ่งต้องฆ่าทิ้ง มิฉะนั้นจะไม่เท่ากับให้ความหวังพวกมนุษย์หน้าโง่ที่นี่หรือ?
“หึ ท่านเทพรึ? ข้าจะสังหารสิ่งที่เรียกว่า ‘ท่านเทพ’ ด้วยตัวเองภายใต้สายตาของมันทุกคน แล้วมาดูกันว่าจะมีใครกล้าที่จะกบฎต่อเผ่าเสี่ยเสียในอนาคตอีกไหม!” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตกล่าวน้ำเสียงเย็นชา ก่อนที่จะค่อยๆ ลุกขึ้นจากบัลลังก์สีแดงเข้ม
เมื่อเขาลุกขึ้นยืนเสียงตื่นเต้นในเมืองก็วูบลง ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทิ้งเงาน่าสะพรึงไว้ในหัวใจพวกเขา หากแม่ทัพปีศาจโลหิตอยู่ยงคงกระพันในสายตาของพวกเขา ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็จะเทียบเท่ากับเทพมาร…
แม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะทรงพลัง แต่ก็ไม่มีใครมั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้
ชัยชนะก่อนหน้านี้เป็นเพียงการหยั่งเชิง
แม้แต่กลุ่มขุนนางเบื้องหน้าวังยังมีใบหน้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มไป แม้ว่าการเคลื่อนไหวของมู่เฉินก่อนหน้าจะน่าทึ่ง แต่นี่ยังไม่พอ นั่นเป็นเพราะถ้าเขาไม่สามารถเอาชนะผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้ ความตกตะลึงจากก่อนหน้าก็จะอันตรธานหายไปสิ้นเชิง…
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองผู้บัญชาการปีศาจโลหิตด้วยสายตาที่หรี่ลง โดยมีเจดีย์ผลึกแก้วอยู่ในดวงตา
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตย่างกรายลงมาจากเมฆสีแดงเข้มปรากฏเบื้องหน้ามู่เฉิน กอดอกพร้อมกับแสงสีแดงเข้มพล่านในดวงตา “ถ้าแกออกจากพิภพนี่ตอนนี้ ข้าจะยอมให้แกไปแบบมีชีวิตอยู่”
มู่เฉินยิ้มอ่อนแล้วยื่นมือออกไป คลื่นหลิงทรงพลังสั่นไหวราวกับสายฟ้าในฝ่ามือขณะที่เขาจ้องมองไปที่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิต “งั้นข้าขอดูว่าแกมีความสามารถพอไหม”
“ดื้อด้าน รนหาที่ตาย!”
ใบหน้าของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัว ก่อนที่มือแบออก ทันใดนั้นฟ้าดินก็มืดลง มหาสมุทรโลหิตไม่มีที่สิ้นสุดกวนตัวขึ้นที่ข้างหลัง เงาสีแดงเข้มขนาดหลายหมื่นจั้งก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวปกคลุมฟ้าดิน ร่างเงาสีแดงเข้มทำให้มิติราวกับจะพังทลายลง…
จักรพรรดินีมองไปที่ยักษ์สีแดงเข้มก็กัดริมฝีปากจนมีเลือดไหลออก นั่นเป็นเพราะนางหวนนึกถึงว่ายักษ์ตัวนี้ฆ่าผู้อาวุโสทั้งหมดในสำนักว่าน่ากลัวเพียงใด …
ยักษ์ปีศาจนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนจะเผชิญหน้าได้
แม้แต่ขุนนางจอมยุทธ์ข้างหลังนางก็มีใบหน้าซีดลงใกล้จะล้มแหล่มิล้มแหล่
ทั้งฟ้าดินสั่นสะท้านเพราะยักษ์ปีศาจตัวนี้
มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่เงยหน้าขึ้นแล้วคลี่ยิ้ม “นี่เป็นทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของแกใช่ไหม?”
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตระมัดระวังมากโดยไม่มีความที่จะหยั่งเชิงอะไร เขานำไม้เด็ดออกมาทันที
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”
มู่เฉินยิ้ม แต่รอยยิ้มไม่มีความอบอุ่นสักริ้ว ผลึกแสงกะพริบในดวงตาก่อนที่เจดีย์ผลึกแก้วใสจะทะยานออกมาตกลงบนฝ่ามือของเขา
“งั้นข้าก็ไม่ต้องสุภาพแล้ว…”
เสียงแหบพร่าของจักรพรรดินีดังก้องในวัง
ทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป ก่อนที่พวกเขาจะเงยใบหน้าตื่นตัวมองไปทิศทางนั้นด้วย
มีบางคนอยู่ที่นี่โดยที่พวกเขาสัมผัสไม่ได้รึ?
ภายใต้สายตาตกประหม่ามากมาย ความเงียบงันก็คงอยู่พักใหญ่ก่อนที่ระลอกคลื่นจะถูกยกขึ้น ทุกคนก็เห็นภาพเงาสูงโปร่งปรากฏขึ้นก่อนที่จะพลิ้วตัวลงมาในโถง
“ประสาทสัมผัสดีจริง”
มู่เฉินกล่าวขณะที่มองจักรพรรดินีด้วยความประหลาดใจ
การเร้นกายของเขา กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มชั้นสูงในมหาพันภพยังไม่สามารถตรวจพบได้ ไม่คิดว่าจะถูกค้นพบในพิภพเขตล่างแบบนี้
“ประสาทสัมผัสของข้าแค่เฉียบแหลมตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นข้าจึงสามารถตรวจจับได้อย่างเลือนราง” มองไปที่ชายอ่อนอาวุโส จักรพรรดินีก็คลี่ยิ้ม น้ำเสียงของนางไม่ถือยศอะไรเพราะนางรู้สึกถึงแรงกดดันที่มาจากอีกฝ่าย
ซึ่งเป็นแรงกดดันที่ทำให้นางรู้สึกถูกคุกคาม
ชายผู้นี้ทรงพลังมาก
“ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่!”
หญิงสาวที่คุกเข่าอยู่กลางโถงก็ร้องอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นมู่เฉิน
ความปั่นป่วนกวนตัวทั่ววัง ทุกคนจ้องมองไปที่มู่เฉิน พวกเขาไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มที่ดูเยาว์วัยคนนี้จะเป็นท่านเทพที่หญิงสาวเมืองเถี่ยเสี่ยพูดถึง
“หึ เจ้าเป็นคนสร้างเรื่องยุ่งยากนี้ขึ้นเรอะ?”
ทว่าท่ามกลางความตกใจนั้น เสียงหัวเราะเย็นก็ดังก้องมาจากชายชราหน้าตาน่ากลัวซึ่งมองมาที่มู่เฉินอย่างเย็นชาก่อนจะแผดเสียง “เจ้ารู้ไหมว่าสร้างความยุ่งยากอะไรขึ้นมา? เจ้ากล้าฆ่าจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียทั้งเมือง ถึงเวลานั้นเราทุกคนจะถูกเจ้าลากลงนรกไปด้วย!”
มู่เฉินหันหน้าไปมองชายชราก่อนที่จะยิ้ม “ดูเหมือนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะมีคนทรยศอยู่เสมอ”
“แกว่าไงนะ?!” ชายชราหัวร้อนขึ้นทันที
แต่เมื่อเสียงเขาจบลง ร่างมู่เฉินก็ไปปรากฏที่เบื้องหน้า ท่าทางชายชราเปลี่ยนไป แสงสีแดงเข้มพุ่งขึ้นในดวงตา ก่อนที่พลังงานจะระเบิดออกจากร่างกาย ฝ่ามือผลักออกไป
แกร็ก
ทว่าก่อนที่พลังจะปะทุขึ้น มือเรียวก็เหมือนทะลุมิติคว้าเข้าที่ลำคอเหี่ยวย่นโดยไม่สนใจการป้องกันอะไร
มู่เฉินยกร่างชายชราขึ้น ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่สามารถสลัดมือมู่เฉินออกไปได้
“แกมีสิทธิ์อะไรที่จะมาพูดกับข้า?” มู่เฉินยิ้มเหยียดหยามในสายตา
ในที่สุดชายชราเผยความหวาดกลัวบนใบหน้า เนื่องจากเขาตระหนักได้แล้วว่าชายลึกลับคนนี้น่ากลัวเพียงใด…
“ปล่อยข้า! ไม่งั้นเผ่าเสี่ยเสียไม่ปล่อยแกไปแน่!” ชายชราดิ้นขลุกขลัก
“วางใจเถอะ คนอย่างแกยังไม่คู่ควรให้ข้าจัดการหรอก”
มู่เฉินสะบัดมือไม่ใส่ใจโยนร่างชายชรากระแทกเสาถูกฝังอยู่ข้างใน จากนั้นพลังงานแข็งกร้าวก็มัดตัวเขาไว้ ทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ ร่างอยู่ในเสาราวกับของตกแต่งก็มิปาน
ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง เสนาบดีใหญ่เป็นจอมยุทธ์แข็งแกร่งรองจากจักรพรรดินีเชียวนะ แต่เมื่ออยู่ในชายลึกลับคนนี้กลับไม่สามารถต้านทานได้เลยราวกับมดปลวก
เสนาบดีคนอื่นๆ ใบหน้าก็ซีดขาวขณะที่ถอยรนออกไป ไม่กล้ามองหน้ามู่เฉินเพราะกลัวว่าจะเป็นรายต่อไป
ในโถงเงียบสงบ มู่เฉินกวาดสายตาออกไป คนที่เขามองจะตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัวจากแรงกดดันมหาศาลที่รู้สึกได้
ในที่สุดสายตาเขาก็เลื่อนไปมองที่จักรพรรดินี ฝ่ายหลังไม่กลัวที่จะจ้องตาเขาตอบ
“ตอนแรกข้าก็คิดว่านี่เป็นดินแดนอุดมรัฐสุดท้ายของโลกใบนี้ ไม่คิดว่ามันจะเป็นหลุมพราง” มู่เฉินยิ้มให้จักรพรรดินี
จากบทสนทนาที่ผ่านมาทำให้เขาทราบว่าที่เรียกว่า ‘ดินแดนอุดมรัฐ’ กลับเป็นสถานที่ที่ต้องส่งพลเมืองออกไปเป็นปศุสัตว์หลายล้านคนเพื่อบรรณาการ
เมื่อได้ยินคำพูดเยาะเย้ยของมู่เฉินใบหน้าของจักรพรรดินีก็ซีดลงด้วยความรู้สึกผิด
“ท่านเทพ… จักรพรรดินีทำดีที่สุดแล้ว หากไม่ใช่เพราะนางต่อสู้เพื่อพวกเราตลอดมา บางทีเราอาจไม่มีเมืองนี้อยู่ด้วยซ้ำ” จอมยุทธ์ชั้นสูงบางคนอดไม่ได้ที่จะช่วยพูดแทนจักรพรรดินีของพวกเขา
“พอเถอะ” จักรพรรดินีหยุดทุกคนตอบว่า “ข้าไร้ประโยชน์เอง ไม่สามารถช่วยทุกคนได้”
จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นสายตาลุกโชนมองไปที่มู่เฉิน “ท่านเทพ เจ้าไม่ได้มาจากเผ่าเสี่ยเสีย มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะเป็นราชันปกป้องเราได้”
มู่เฉินที่อยู่เบื้องหน้ามีพลังที่แข็งแกร่งเหลือล้น เขาเปรียบได้กับผู้บัญชาการปีศาจโลหิต ถ้าได้การคุ้มครองจากเขา เผ่าเสี่ยเสียก็คงจะหวาดกลัวเช่นกัน
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากจากคำพูดของนาง ผู้หญิงคนนี้คิดว่าเขาเป็นคนของโลกนี้
ดังนั้นเขาจึงตอบเสียงเปรี้ยวว่า “ข้าไม่ใช่คนบนโลกของเจ้าหรอกนะ”
จักรพรรดินีอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดอย่างตื่นเต้น “ท่านเทพเป็นคนมาจากนอกโลกหรือ?”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้เรื่องบางอย่างจริงๆ” มู่เฉินประหลาดใจกับปฏิกิริยาของนาง ท่าทางนางจะรู้ถึงการมีอยู่ของมหาพันภพ
“ข้าเคยอ่านในบันทึกโบราณว่ามีโลกอื่นนอกเหนือจากที่นี่ ผู้เชี่ยวชาญของโลกนั้นสามารถเผชิญหน้ากับเผ่าเสี่ยเสียได้” จักรพรรดินีตอบ
ดวงตาของทุกคนในห้องโถงเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะที่พวกเขามองไปที่มู่เฉินด้วยความตื่นเต้น
มองไปที่สายตาของพวกเขา ขณะที่มู่เฉินจะพูด ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป เขาหันไปมองในทิศทางหนึ่ง “ตัวปัญหามาแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน คนอื่นๆ ยังไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร แต่ใบหน้าของจักรพรรดินีอดเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ร่องรอยแห่งความกลัวและความเกลียดชังเผยในดวงตาของนาง
ไม่นานหลังจากเสียงของมู่เฉินดังขึ้น ทุกคนก็เห็นท้องฟ้าเริ่มมืด กระทั่งเมฆยังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม
ทั่วทั้งฟ้าดินปกคลุมไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
“บัดซบ เผ่าเสี่ยเสียมาแล้ว!” ใบหน้าของจอมยุทธ์ชั้นสูงเปลี่ยนไป พร้อมกับความกลัวหนาแน่นผุดขึ้นบนใบหน้า
ขณะนี้ทั้งเมืองตกอยู่ในความโกลาหล ผู้คนจำนวนมากมองไปที่ท้องฟ้าด้วยความกลัวพร้อมกับเสียงสิ้นหวัง
การปรากฏตัวของเผ่าเสี่ยเสียเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด
เมฆสีแดงเข้มบินเข้ามาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าของเมืองนี้ โดยมีเงาสีแดงเข้มนับไม่ถ้วน
เมื่อเมฆสีแดงเข้มด้านหน้าสุดกระจายออกจากกัน เงาร่างปีศาจที่แข็งแกร่งสี่ร่างก็ปรากฏขึ้น พวกเขากอดอกมองลงมาที่เมืองด้วยสายตาโหดเหี้ยม แรงกดดันมหาศาลกวาดออกจากร่างพวกเขา
“สี่แม่ทัพปีศาจโลหิต!”
เมื่อมองไปที่ภาพเงาเหล่านั้น จอมยุทธ์ชั้นสูงก็หน้าซีดขาวด้วยความกลัวบนใบหน้า กระทั่งจักรพรรดินีก็ยังสามารถเผชิญหน้าได้แค่คนเดียวเท่านั้น
สายตาของมู่เฉินไม่ได้มองไปที่ทั้งสี่ แต่มองข้างหลังด้วยดวงตาหรี่ลง
ภายใต้สายตาของมู่เฉิน แม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ก็เลื่อนตัวเปิดทาง บัลลังก์สีแดงเข้มปรากฏขึ้นพร้อมกับภาพเงาที่มีผมขาวสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มนั่งอยู่อย่างเกียจคร้าน
เมื่อร่างนี้ปรากฏขึ้น ทุกคนก็ตัวสั่นสะท้านด้วยความสิ้นหวังในดวงตา บางคนถึงกับล้มพับลงกับพื้น
แม้แต่จักรพรรดินียังกำหมัดแน่นขณะที่ร่างกายสั่นสะท้าน “แม้แต่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็มา…”
“ผู้บัญชาการปีศาจโลหิต?”
มู่เฉินมองไปที่ภาพเงานั้น ตามการรับรู้ของเขาพลังของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตนี้เทียบได้กับเจ้าเมฆาม่วงที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน
พลังนี้เพียงพอที่จะทำให้มู่เฉินมองอีกฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกัน
ขณะเดียวกันร่างเงานั้นก็มองลงมาที่เมืองด้วยความเฉยเมยในสายตาราวกับว่ากำลังมองสัตว์ที่รอให้ถูกฆ่า
อึดใจเสียงไร้อารมณ์ก็สะท้อนขึ้น “ส่งคนมารับโทษและครั้งนี้ข้าจะพาอาหารสิบล้านคนไปเป็นการทำโทษ”
เสียงของเขาสะท้อนออกมาทำให้ทุกคนในเมืองสิ้นหวัง
สมาชิกชั้นสูงในวังก็ตัวสั่น
“คิๆ ก่อนหน้านี้พวกแกดูเก่งนักไม่ใช่เหรอ?” ชายชราที่ฝังอยู่ในเสาหัวเราะร่วน ขณะที่มองมู่เฉินอย่างดุร้าย
ขุนนางน้อยใหญ่มองไปที่จักรพรรดินีถามว่า “จักรพรรดินี เราจะทำอย่างไรดี”
พวกเขาลอบมองไปที่มู่เฉิน ชัดเจนที่รู้สึกว่าควรส่งชายคนนี้ไป
มู่เฉินเฝ้าดูฉากนี้ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เขาไม่พูดแต่มองไปที่จักรพรรดินี อยากรู้ว่านางจะเลือกอย่างไร
ความเงียบปกคลุม ทุกคนต่างมองไปที่จักรพรรดินี นางกำหมัดแน่นร่างสั่นสะท้าน ไม่นานนางก็สูดหายใจลึก อกอวบอิ่มสะท้อนขึ้นลง
นางกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างช้าๆ พูดว่า “ทุกคนอยากมีชีวิตแบบนี้จริงๆ หรือ? ปล่อยให้พวกมันเลี้ยงเราราวกับเป็นสัตว์?”
ดวงตาของทุกคนแดงก่ำขณะที่ร่างกายสั่นสะท้าน พวกเขาเกลียดเผ่าเสี่ยเสีย แต่พลังที่เหนือล้ำของเผ่าเสี่ยเสียทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังนัก
จักรพรรดินีกล่าวต่อว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าจะคิดยังไง แต่…ข้าไม่อยากส่งประชาชนไปเลี้ยงเหมือนสัตว์อีกต่อไปแล้ว…”
พูดถึงจุดนี้ ใบหน้านางก็เปลี่ยนไปอย่างเด็ดเดี่ยว นางกวาดสายตาออกไป “ครั้งนี้ข้าจะไม่ส่งใครไปอีกเด็ดขาด!”
ทุกคนตัวสั่น จากนั้นมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน พวกเขาจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าจักรพรรดินีของพวกเขาฝากความหวังทั้งหมดไว้กับชายลึกลับคนนั้น…
หากพวกเขาแพ้ก็จะถูกล้างเผ่าพันธุ์
มู่เฉินก็มองไปที่จักรพรรดินีด้วยความประหลาดใจ การตัดสินใจของนางเด็ดขาดนัก เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเลือกแบบนี้ได้
ดังนั้นเขาจึงจ้องมองลึกล้ำไปที่จักรพรรดินี “มีไอ้เดรัจฉานตัวไหนที่ทรงพลังมากกว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกหรือไม่?”
จักรพรรดินีส่ายหัวเอ่ยเสียงขรึม “มีผู้บัญชาการปีศาจโลหิตหกคนในเผ่าเสี่ยเสีย พวกเขาคือผู้ปกครองของเผ่า”
“เป็นอย่างนี้เหรอ…”
มู่เฉินหายใจออกเบาๆ จากนั้นก็ก้าวเท้าออกไปภายใต้สายตาของทุกคน ก่อนที่เสียงของเขาจะกระจายออกไป
“งั้นจากวันนี้ไปพวกมันจะเหลือห้าคนแล้ว”
ในเทือกเขาหนาทึบ
มองเห็นภาพผู้คนมากมายกำลังวิ่งหนีกันเตลิดเปิดเปิงพร้อมกับสีหน้าหวาดกลัว บางครั้งพวกเขาจะมองไปข้างหลังด้วยความกังวลว่าปีศาจอาจไล่ตามมา…
นี่ก็คือกลุ่มชาวบ้านที่มู่เฉินได้ช่วยปลดปล่อยให้เป็นอิสระ หลังจากออกจากเมืองได้ ทุกคนก็เร่งรีบเดินทางเพราะกลัวว่าจะถูกเผ่าเสี่ยเสียจับไปอีกครั้ง
ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางตลอดโดยไม่หยุดพัก แม้ว่าจะมีบางคนตามไม่ทัน แต่กลุ่มใหญ่ก็ไม่ได้ลดความเร็วลง…
บนท้องฟ้าที่ทุกคนกำลังหลบหนี มู่เฉินยืนอยู่พร้อมกับถอนพลังงานกลับ เขาซ่อนตัวขณะที่จ้องมองชาวบ้านกลุ่มนี้
จากการสังเกตเขาบอกได้เลยว่าคนเหล่านี้มีเป้าหมาย พวกเขาดูเหมือนจะรู้สถานที่ที่ต้องไป
“พวกเขาจะไปที่ที่มี ‘จักรพรรดินี’ หรือ?”
มู่เฉินพึมพำขณะที่รู้สึกประหลาดใจ หรือว่าพลังของผู้คนในพิภพเขตล่างส่วนนี้สามารถป้องกันตัวเองได้?
ทว่าเขาไม่รู้สึกถึงความเป็นไปได้ แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ภายใต้การปกครองของเผ่าเสี่ยเสียทำไมกลุ่มชาวบ้านยังสามารถรวมกลุ่มกันได้?
ด้วยข้อเท็จจริงนี้เขาจึงไม่แสดงตัว เลือกที่จะแอบตามไปอย่างเงียบๆ เนื่องจากเขาต้องการเห็น ‘จักรพรรดินี’ ภายใต้การนำของพวกเขา
แน่นอนว่าก่อนที่เขาจะได้รับข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับ ‘จักรพรรดินี’ มู่เฉินไม่คิดที่จะพูดคุยกับพวกเขา ตอนนี้เขาต้องระมัดระวังในเมื่อมาอยู่ในดินแดนของเผ่าเสี่ยเสียโดยลำพัง
เมื่อความคิดวาบผ่านมู่เฉินก็ก้มศีรษะลงมองผู้คนที่กำลังเดินทาง…
การเดินทางดำเนินไปสองวัน ในที่สุดมู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าพวกชาวบ้านชะลอตัวลง และเขาก็หดดวงตาเมื่อมองออกไประยะไกล
เนื่องจากเขามองเห็นเมืองตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลังเทือกเขาไม่มีที่สิ้นสุด ความมีชีวิตชีวาล้อมอยู่ในกำแพงสูงด้านใน
เมื่อมองคร่าวๆ มู่เฉินก็มองไม่เห็นด้านปลายของเมือง ตามการคาดการณ์ของเขาต้องมีผู้อยู่อาศัยอย่างน้อยนับร้อยล้านคนที่นั่น
สิ่งนี้ทำให้เขาสะดุ้งโหยง เผ่าเสี่ยเสียปล่อยให้มีเมืองขนาดมหึมาเช่นนี้จริงหรือ?
ขณะที่มู่เฉินกำลังตะลึงงัน ชาวบ้านที่เดินทางมาถึงก็ร้องด้วยความตื่นเต้น พวกเขาพุ่งไปที่เมือง
เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ก็มีเงาร่างหลายร้อยตัวทะยานออกมากีดขวางเส้นทางไว้
“พวกเจ้ามาจากไหน?!” เงาเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นทหารรักษาการณ์ พวกเขามองชาวบ้านมากมายที่เข้าใกล้ก็ตะโกนถาม
“เรามาจากเมืองเถี่ยเสี่ย” หญิงสาวที่มู่เฉินช่วยไว้ก่อนหน้าเดินออกมา ตอบกลับเสียงดัง
“เมืองเถี่ยเสี่ย?” ทหารมองหน้ากัน สีหน้าเปลี่ยนเป็นตกใจก่อนที่จะถามว่า “นั่นคือเมืองที่มีแม่ทัพปีศาจโลหิตคุมอยู่ พวกเจ้าหนีออกมาได้อย่างไร?”
หญิงสาวตอบอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านเทพลงมาจากสวรรค์ฆ่าสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียในเมืองเถี่ยเสี่ยจนหมด แม้แต่แม่ทัพปีศาจโลหิตก็ถูกสังหารด้วยฝ่ามือเดียว!”
ทหารทุกคนตกตะลึงชั่วครู่ก่อนที่จะตอกกลับอย่างขุ่นเคือง “พูดบ้าอะไร!”
พวกเขารู้ชัดถึงพลังของเผ่าเสี่ยเสียที่น่ากลัว พลังนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต้านทานได้ สำหรับแม่ทัพปีศาจโลหิตก็น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร แต่หญิงสาวคนนี้กลับบอกว่ามันถูกฆ่าตายด้วยฝ่ามือเดียว? น่าตลกยิ่งนัก!
ทว่าเผชิญหน้ากับเสียงตะโกนกระโชกโฮกฮาก ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็เข้ามาเป็นพยาน อารมณ์ตื่นเต้นที่พวกเขาแสดงออกทำให้เหล่าทหารตกใจ
“หัวหน้าหรือว่าที่พวกเขาพูดเป็นความจริง?” ทหารคนหนึ่งหันไปพูดกับหัวหน้า
หัวหน้าขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าไม่จริง แต่ก็มีคนจำนวนมากพูดเป็นเสียงเดียว หรือว่าเป็นอย่างที่พวกเขาพูดจริงๆ?
“ถ้านี่เป็นเรื่องจริง เราต้องรีบรายงานตรงต่อจักรพรรดินีทันที”
สายตาของหัวหน้าเปลี่ยนไปก่อนที่เขาจะโบกมือ “ปล่อยพวกเขาเข้าไป”
ขณะเดียวกันเขาก็หันไปมองหญิงสาว “เจ้าตามข้าไปรายงานข่าวต่อจักรพรรดินี!”
เขาหันกลับ ประตูเมืองที่อยู่เบื้องหลังก็เปิดออก คนด้านนอกส่งเสียงโห่ร้องดีใจทันที
ที่ใจกลางเมืองมีวังหลวงตั้งตระหง่าน
หลังจากที่หัวหน้าทหารรักษาการณ์รายงานเรื่องนี้ เสียงระฆังก็ดังไปทั่ววัง…
ในห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่ง ผู้ที่มีตำแหน่งสูงทั้งหมดของเมืองนี้ก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
มู่เฉินซ่อนตัวขณะกวาดสายตามองรอบโถง เขาตกใจวูบหนึ่งเมื่อเห็นทุกคนเปล่งความผันผวนที่ไม่อ่อนแอออกมา แน่นอนว่าคำว่าไม่อ่อนแอคือเมื่อเทียบกับกลุ่มชาวบ้าน…
แต่ก็มีบางส่วนที่มีพลังแข็งแกร่ง ตามการประเมินอาจใกล้เคียงกับแม่ทัพปีศาจโลหิตแล้ว
ในมหาพันภพมาตรฐานขุมพลังของพวกเขาน่าจะเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นปลาย
แต่… เขาสังเกตเห็นว่าในร่างคนเหล่านี้มีรัศมีเย็นยะเยือกซ่อนอยู่ในร่างกายซึ่งเป็นของเผ่าเสี่ยเสีย
“ในร่างมีพลังของเผ่าเสี่ยเสีย…” มู่เฉินหรี่ตาลง แม้ว่าเมืองนี้จะดูเป็นอิสระ แต่ก็ยังอยู่ภายใต้การจับจ้องของเผ่าเสี่ยเสีย
“ถวายบังคมองค์จักรพรรดินี!”
ขณะที่มู่เฉินทำการสำรวจระดับพลังของจอมยุทธ์ที่นี่ เสียงดังก้องก็สะท้อนภายในวัง ทุกคนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
มู่เฉินรับรู้ถึงภาพเงาในชุดสีขาวย่างกรายออกมา สิ่งที่ทำให้มู่เฉินประหลาดใจก็คือคนที่ถูกเรียกว่า ‘จักรพรรดินี’ กลับกลายเป็นสาวงาม…
รูปลักษณ์ของหญิงสาวทรงเสน่ห์มาก นางมีผิวขาวจัด รูปร่างยั่วยวนเผยส่วนโค้งเว้าชัดเจน ความทรงอำนาจในดวงตาทำให้เกิดแรงกดดัน
แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตกใจยิ่งกว่านั้นไม่ใช่อายุและรูปลักษณ์ของนาง แต่เป็นความผันผวนที่มาจากนาง ซึ่งไม่ได้อ่อนแอไปกว่าแม่ทัพปีศาจโลหิตเลย
“นางไม่มีรัศมีเย็นเยือกของเผ่าเสี่ยเสีย นั่นหมายความว่าพลังของนางมาจากตัวเองรึ? แต่พลังของนางไม่ถือว่าเสถียร น่าจะมาจากแหล่งภายนอกด้วยส่วนหนึ่ง…”
มู่เฉินอุทานในใจ เขาเกิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับสตรีนางนี้ เนื่องจากเขารู้ชัดว่าโอกาสและพรสวรรค์ใดที่ต้องมีเพื่อให้มีพลังเช่นนี้ในพิภพเขตล่าง…
ถ้าเขาเดาถูกแล้ว หญิงสาวคนนี้น่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกพิภพเขตล่างใบนี้
ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะที่ใด จะมีคนที่โดดเด่นก้าวออกมาเพื่อช่วยเหลือเมื่อเผ่าพันธุ์กำลังเผชิญกับการถูกฆ่าล้าง…
ขณะที่มู่เฉินอุทานชื่นชม หญิงสาวชุดขาวก็นั่งลงและมองไปที่หญิงสาวที่คุกเข่าจากนั้นพูดเบาๆ “ช่วยบอกข้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเถี่ยเสี่ยอย่างละเอียดได้ไหม?”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวในชุดขาวด้วยความตื่นเต้น ขณะที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกนี้ได้รับการปฏิบัติเหมือนปศุสัตว์ จอมยุทธ์หญิงคนนี้ก็ยืนหยัดรักษาที่หลบภัยสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ
ภายใต้ช่วงเวลาที่สิ้นหวัง เทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่ามีกี่คนที่ปฏิบัติกับหญิงสาวคนนี้ในฐานะพระโพธิสัตว์
“จักรพรรดินีสิ่งที่พวกข้าพูดคือความจริง มีท่านเทพยาตราลงมาจากสวรรค์ด้วยพลังสุดยอด เขาสามารถสังหารแม่ทัพปีศาจโลหิตของเมืองเถี่ยเสี่ยได้ด้วยฝ่ามือเดียว” หญิงสาวพูดด้วยความตื่นเต้น
เมื่อเสียงกระจายออกไปก็ทำให้เกิดความโกลาหลโดยรอบ
แม้แต่หญิงสาวชุดขาวยังเผยความสั่นไหวบนใบหน้า เนื่องจากตัวนางรู้ชัดเกี่ยวกับความแข็งแกร่งที่แม่ทัพปีศาจโลหิตครอบครอง แม้ว่านางจะสามารถเอาชนะพวกมันได้ แต่ก็ไม่สามารถฆ่าได้ในกระบวนท่าเดียว
“หึ ท่านเทพยิ่งใหญ่อะไรกัน หลอกตัวเองกันชัดๆ!”
ทว่าขณะที่บรรยากาศในห้องโถงกำลังตกตะลึง เสียงเยาะเย้ยก็เปล่งออกมาจากชายชราหน้าตาน่ากลัว
“ข้าว่าตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าเป็นท่านเทพอะไร แต่เราจะเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของเผ่าเสี่ยเสียอย่างไร?!” ชายชราคนนั้นมองไปรอบๆ จากนั้นก็หันไปมองจักรพรรดินี “สมาชิกเผ่าเสี่ยเสียพร้อมกับแม่ทัพปีศาจตายเป็นเบือ งานนี้เผ่าเสี่ยเสียไม่ปล่อยให้เรื่องนี้สงบลงอย่างแน่นอน พวกมันจะต้องสอบสวนเรื่องนี้แน่!
“ดังนั้นข้าขอแนะให้ส่งคนเหล่านี้กลับไปและสังเวยประชาชนเพิ่มอีกห้าล้านคนเพื่อให้พวกมันสงบ มิฉะนั้นดินแดนอุดมรัฐสุดท้ายของเราจะถูกทำลายล้างภายใต้ความโกรธเกรี้ยว!”
“ท่านเสนาบดีใหญ่พูดถูก เราต้องรีบจัดการกับความโกรธเกรี้ยวของเผ่าเสี่ยเสีย คนเหล่านี้ต้องถูกส่งมอบกลับไปทั้งหมด” เมื่อชายชราพูด เสียงสามเสียงก็ดังขึ้นสนับสนุน พวกเขาเป็นชายวัยกลางที่มีแสงสีแดงเข้มบางจางพล่านในดวงตา
เสียงเหล่านี้ทำให้จอมยุทธ์ชั้นสูงหลายคนใบหน้าเขียวคล้ำขณะที่กำหมัดแน่น ทว่าพวกเขาไม่กล้าที่จะพูด เนื่องจากพวกเขารู้ว่าเสนาบดีกลุ่มนี้มีพลังน้อยกว่าจักรพรรดินีคนเดียว มิหนำซ้ำยังเป็นกลุ่มที่มีความใกล้ชิดกับเผ่าเสี่ยเสียและพลังของพวกเขาก็มาจากปีศาจเหล่านั้น
“จักรพรรดินีได้โปรด!”
เมื่อหญิงสาวได้ยินว่าพวกเขาต้องการส่งพวกนางไปให้เผ่าเสี่ยเสีย ใบหน้าของนางก็ซีดลง นางโขกศีรษะลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังกึกก้อง
หญิงสาวชุดสีขาวก็กำหมัดแน่น เล็บฝังลงไปบนฝ่ามือ
ในที่สุดชายสวมชุดเกราะคนหนึ่งก็อดรนทนไม่ได้ เขาร้องตะโกนว่า “ท่านเสนาบดีใหญ่ คนเหล่านี้มองพวกเราเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเขา แต่ละคนต้องเดินเท้ามาไกลเพื่อดั้นด้นมาที่นี่ ตอนนี้ท่านกลับต้องการส่งพวกเขากลับไปให้ปีศาจเหล่านั้น หัวใจของท่านทำด้วยเหล็กหรือยังไง?”
เสนาบดีใหญ่กวาดสายตามองพลางพูดจาเย้ยหยันอย่างเย็นชา “ไม่คิดว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะเห็นใจเช่นนี้ ถ้าความโกรธแค้นของเผ่าเสี่ยเสียโถมเข้ามา ท่านจะเป็นคนออกไปสู้กับพวกมันเรอะ?”
แม่ทัพใหญ่กัดฟัน “ตายก็ดีกว่าขี้ขลาดตาขาว! ทุกคนคิดว่าเราพึ่งพาตัวเองในการยืนหยัดอยู่ แต่เรารู้ดีกว่าใครว่าที่อยู่ได้ทุกวันนี้เพราะเราต้องส่งพลเมืองห้าล้านคนต่อปีเพื่อให้พวกมันไปเลี้ยงไว้เป็นปศุสัตว์ เป็นอาหารให้เดรัจฉานเหล่านั้น!
“ด้วยวิธีนี้เราถึงอยู่รอดได้ แต่การอยู่รอดอย่างไร้ศักดิ์ศรีคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ หรือ!
“เทียบกับการถูกกินเป็นอาหาร เราต่อสู้กับเผ่าเสี่ยเสียให้สุดกำลังไปซะยังดีกว่า แม้ว่าจะพังพินาศก็ตาม!”
ตอนเขาพูดจบ ดวงตาเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ อารมณ์โศกเศร้าโกรธแค้นกระจายไปทั่วโถงส่งผลต่อดวงตาของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่หลายคนเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วย
ร่างจักรพรรดินีชุดขาวก็สั่นสะท้าน เล็บฝังลงไปบนฝ่ามือพร้อมกับเลือดสดไหลลงมา
หลายคนมองว่านางเป็นพระผู้มาโปรด แต่นางรู้ดีว่าตนเองยังมีพลังไม่พอ ไม่ใช่เพราะพลังของนางที่ทำให้มวลมนุษยชาติสามารถอยู่รอดในเมืองนี้ได้ แต่เป็นเพราะเผ่าเสี่ยเสียไม่ต้องการให้พวกนางพินาศ เนื่องจากพวกมันยังต้องการอาหารสดๆ…
ทุกครั้งที่มอบพลเมืองกว่าห้าล้านคน น้ำตาของพวกเขาที่หลั่งไหลทำให้นางเกลียดตัวเองที่ไร้อำนาจ นางเคยคิดที่จะพินาศไปกับเผ่าเสี่ยเสียหลายต่อหลายครั้ง แต่นางรู้ดีว่าหากทำแบบนั้น พวกนางก็จะสูญเสียโอกาสสุดท้าย…
มู่เฉินมองไปก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่น่าแปลกใจที่เมืองนี้ยังคงอยู่ได้ เพราะนี่เป็นสิ่งที่เผ่าเสี่ยเสียมอบให้เนื่องจากพวกมันต้องการอาหาร แม้ว่าดินแดนแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นดินแดนอุดมรัฐ แต่จริงๆ แล้วก็แค่การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายเบื้องหน้าประตูแห่งความตาย
ช่างน่าสงสารจริงๆ
มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ ในใจ แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าจักรพรรดินีชุดขาวเงยหน้าขึ้นมองมายังทิศทางของเขา
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านกับสายตาของนาง ตอนนี้เขาซ่อนตัวอยู่และคนอื่นๆ ไม่สามารถเห็นเขาได้ แต่นางกลับสัมผัสถึงตัวเขาได้เรอะ?
ขณะที่มู่เฉินกำลังประหลาดใจ จักรพรรดินีชุดขาวก็ลุกขึ้นยืนกัดฟันเบาๆ ก่อนที่จะโค้งคำนับให้เขาพร้อมกับเสียงแหบพร่าดังก้อง
“ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ในเมื่อท่านมาแล้วก็โปรดแสดงตัวด้วยเถิด…”
เสียงหญิงสาวดังสะท้อนไปทั่วเมือง
ความสิ้นหวังในน้ำเสียงเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนหัวใจสั่นไหว
เวลานี้ชาวเมืองก็ฟื้นสติจากเสียงร้องของหญิงสาว ก่อนที่พวกเขาจะคุกเข่าไปในทิศทางของมู่เฉิน ร่างกายแต่ละคนสั่นสะท้านราวกับว่ากำลังคว้าฟางเส้นสุดท้ายแห่งความอยู่รอด
“ท่านเทพ โปรดช่วยเราด้วย!”
เสียงดังสะท้อนออกไป แต่ละคนฉายความสิ้นหวังบนใบหน้า พวกเขาสูญเสียศักดิ์ศรีไปหมดแล้ว หลังจากได้รับการปฏิบัติเหมือนสัตว์ มากจนพวกเขาไม่มีสิทธิ์ตายด้วยซ้ำ
เหตุผลที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ได้ก็คือเป็นแหล่งเลือดสดสำหรับเหล่าปีศาจ
แม้ว่าจะได้รับอนุญาตให้มีลูกหลานเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ แต่คนรุ่นหลังก็ต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนสัตว์ไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยคิดต่อต้าน แต่การต่อต้านไร้ประโยชน์ภายใต้พลังแท้จริง นอกเหนือจากนี้นี่ก็เป็นการให้ความบันเทิงแก่เหล่าปีศาจด้วย การต่อต้านของพวกเขาไม่มีอะไรเลย
ปีศาจเหล่านั้นอยู่ยงคงกระพัน
แต่ตอนนี้ความหวังยิ่งใหญ่ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าผู้คนที่สิ้นหวัง แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันหรือไม่ อย่างน้อยเขาก็ไม่มีรัศมีที่เป็นลางร้าย
บางทีชะตากรรมของพวกเขาอาจเปลี่ยนแปลงจากชายลึกลับเบื้องหน้าก็เป็นได้
เมื่อคิดแล้วชาวบ้านก็เริ่มเอาหัวโขกพื้นโดยไม่สนใจว่าเลือดที่หน้าผากจะเปรอะเปื้อนแค่ไหน ความเจ็บปวดนี้ไม่มีอะไรเทียบได้กับความอัปยศอดสูของการถูกเลี้ยงเป็นสัตว์
มู่เฉินที่เห็นภาพนี้ก็ถอนหายใจเบาบางในใจ เวลานี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนที่เผชิญหน้าปีศาจต่างมิติ สิ่งมีชีวิตในมหาพันภพถึงเลือกทิ้งความแค้นระหว่างกันและร่วมมือกันต่อต้าน
เนื่องจากหากเผ่าปีศาจครอบครองมหาพันภพได้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็จะเป็นเหมือนพิภพเขตล่างนี้ที่ถูกเลี้ยงไว้เป็นโรงปศุสัตว์
เผ่าปีศาจนับเป็นศัตรูตัวฉกาจแท้จริง!
มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อ พลังอ่อนโยนพัดออกมายกร่างทุกคนที่คุกเข่าขึ้น เขามองไปรอบๆ พยักหน้าและยิ้ม “วางใจเถอะ ข้าจะช่วยพวกเจ้าออกจากที่นี่”
พิภพเขตล่างเป็นของมหาพันภพ แม้ว่าจะอยู่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกัน แต่ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่ง ในมหาพันภพไม่มีใครเลือกปฏิบัติกับคนเหล่านี้ ด้วยเหตุผลที่เรียบง่ายคือเมื่อมีคนที่สามารถทะลุผ่านระนาบมิติเข้าสู่มหาพันภพได้ พวกเขาล้วนเป็นยอดยุทธ์ที่แท้จริง อนาคตของพวกเขาไม่มีขีดจำกัด
เช่นเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม…
ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะไม่ใช่คนดีมีเมตตาอะไร แต่ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของมหาพันภพ เขาก็ไม่อาจเฝ้าดูคนเหล่านี้ถูกเลี้ยงแบบทารุนโดยเผ่าปีศาจได้
“ขอบคุณท่านเทพ!”
หญิงสาวน้ำตานองหน้า คนอื่นก็คิดจะคุกเข่าด้วยแรงอารมณ์ แต่ก็ถูกพลังอ่อนโยนยกไว้จนไม่สามารถทำได้
“ดูเหมือนจะมีบางคนยังอยู่ที่นี่นะ?” มู่เฉินถามหญิงสาวหลังจากมองเข้าไปในส่วนลึกของเมือง
จากการรับรู้ยังคงมีรัศมีทรงพลังอยู่ในส่วนลึกของเมือง เพียงแต่ว่าหลับใหลอยู่เท่านั้น
เมื่อได้ยินคำถามของมู่เฉิน ใบหน้าของหญิงสาวก็ซีดเผือดลง เสียงเริ่มสั่นพร่า “ท่านเทพ นั่นคือแม่ทัพปีศาจโลหิต เขาทรงพลังมาก แต่ตอนนี้กำลังหลับอยู่ เรารีบไปก่อนที่เขาจะตื่นเถอะ”
พวกเขาต่างหวาดกลัวแม่ทัพปีศาจโลหิต เนื่องจากทุกครั้งที่ตื่นขึ้นเขาจะกินเลือดคนอย่างน้อยหนึ่งพันคน
“แม่ทัพปีศาจโลหิตเรอะ…”
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะกำหมัดแน่น ลูกกลมหลิงขนาดร้อยจั้งก่อตัวขึ้นในฝ่ามือ ก่อนที่เขาจะขว้างไปในส่วนลึกของเมืองภายใต้สายตาสะพรึงกลัวนับไม่ถ้วน
ตู้ม!
ลูกกลมหลิงระเบิดทำให้พื้นที่ส่วนลึกราบเป็นหน้ากลอง อึดใจต่อมาเสาสีแดงเข้มก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงคำรามดุร้ายดังก้องออกมา
“ใครกล้าปลุกแม่ทัพคนนี้จากการนอน?!”
เมื่อได้ยินเสียงคำราม ชาวเมืองก็ขาสั่นพั่บล้มลงกับพื้นพร้อมกับความกลัวพล่านบนใบหน้า
“พวกเราถึงคราวตายแล้ว…” บางคนพูดด้วยความสิ้นหวัง ในสายตาของพวกเขาพลังของแม่ทัพปีศาจโลหิตสุดยอดมาก ต่อให้เทพลึกลับคนนี้ทรงพลังก็จริง แต่คงไม่สามารถเอาชนะแม่ทัพปีศาจโลหิตได้
“ท่านเทพ ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็รีบหนีไปเถอะ!” หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าซีดเซียว
เมื่อเห็นความกลัวของผู้คน มู่เฉินก็อดส่ายหน้าไม่ได้ เขาสัมผัสได้ถึงพลังของแม่ทัพปีศาจโลหิต ซึ่งเทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มในมหาพันภพ ตอนนี้เขาสามารถสังหารได้อย่างง่ายดายด้วยการพลิกมือ
“แม่ทัพปีศาจโลหิตอยู่ระดับไหนของเผ่าเสี่ยเสีย?” มู่เฉินถาม
หญิงสาวอึ้งไปก่อนที่จะส่ายหัวแบบเหม่อลอย ในสายตาของพวกเขาแม่ทัพปีศาจโลหิตก็ราวกับผู้นำปีศาจแล้ว พวกเขาเคยเจอใครที่มีพลังมากกว่านี้ซะที่ไหน?
เมื่อมู่เฉินเห็นการตอบสนองของนาง เขาก็ผิดหวัง ดูเหมือนว่าข้อมูลที่คนเหล่านี้มีจะจำกัดมาก
“ท่านเทพ เราไม่มีข้อมูลมากนักเกี่ยวกับเผ่าเสี่ยเสีย แต่จักรพรรดินีของเรารู้เรื่องพวกนี้แน่นอน!” เมื่อเห็นความผิดหวังของมู่เฉิน หญิงสาวก็รีบกล่าว
“จักรพรรดินี?” มู่เฉินอึ้งไป ‘นั่นคือใคร? ชาวบ้านเหล่านี้ยังมีจักรพรรดินีด้วยเรอะ?’
แต่ก่อนที่เขาจะได้ถาม แสงสีแดงเข้มก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า นี่เป็นภาพเงาในชุดคลุมสีแดงเข้มที่มีรอยสักสีแดงเข้มบนร่างกายทำให้ดูแปลกตาเป็นพิเศษ
เห็นได้ชัดว่านั่นคือแม่ทัพปีศาจโลหิต หลังจากที่เขาปรากฏตัวใบหน้าก็เปลี่ยนไปเมื่อเห็นหมอกโลหิตฟุ้งบนท้องฟ้า เขาตะเบ็งเสียงลั่น “พวกแกกล้าฆ่าพรรคพวกข้าเหรอ?!
”ใครทำ?! ไสห้วออกมา!”
เสียงตะโกนดังก้อง ทำให้ชาวบ้านที่นี่ตัวสั่นด้วยความกลัว
“ก็แค่ยุงดูดเลือด ตายก็ตายไป ไม่เห็นมีอะไรให้น่าสะเทือนใจเลย” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองแม่ทัพปีศาจโลหิตด้วยรอยยิ้ม
“แกทำเรอะ? รนหาที่ตาย!” แสงสีแดงพุ่งขึ้นในดวงตาของแม่ทัพปีศาจโลหิตขณะมองไปที่มู่เฉิน อึดใจต่อมาลำแสงโลหิตขนาดหมื่นจั้งก็ปะทุออกมาจากร่าง เขาพุ่งใส่มู่เฉินทิ้งภาพมายาไว้
มหาสมุทรสีแดงเพลิงคำรามอยู่ที่ข้างหลัง
เมื่อมองไปที่มหาสมุทรสีแดงเพลิง มู่เฉินก็ส่ายหัว อึดใจสายตาเปลี่ยนไปเป็นเย็นชา เขากำหมัดเหวี่ยงออกไป
ตู้ม!
มีผลึกแสงกระจายออกมาบนหมัดของเขา ขณะพุ่งเป้าไปที่มหาสมุทรโลหิต
ปัง!
ภายใต้หมัดมิติแตกกระจาย มหาสมุทรโลหิตเชี่ยวกรากก็ระเบิดออกพร้อมกับเสียงกรีดร้องดังก้อง จากนั้นพวกชาวบ้านก็ต้องตกใจเมื่อเห็นภาพเงาน่าสยดสยองกระเด็นออกมาจากมหาสมุทรโลหิตที่แตกเป็นเสี่ยงๆ
ปัง ปัง!
ร่างสีแดงเข้มทำลายสิ่งก่อสร้างนับไม่ถ้วน ทิ้งรอยยาวหลายหมื่นจั้งไว้บนพื้น ถูกซัดออกไปนอกเมืองเลยทีเดียว…
เมื่อมองไปที่ร่างนั้น มู่เฉินก็กำมือ แรงดูดทรงพลังระเบิดออกทำให้ร่างเงานั้นกลับมาอยู่ในมือเขา
เขาก้มมองศพเย็นชืด ยังคงมีความไม่เชื่อบนใบหน้าของแม่ทัพปีศาจโลหิต ทว่าริมฝีปากของมู่เฉินกระตุกอย่างช่วยไม่ได้
เขาไม่เคยเลยว่าแม่ทัพปีศาจโลหิตจะด๋อยขนาดนี้ แค่หมัดเดียวก็ถูกฆ่าตายซะแล้ว
“ไอ้ขยะเปียก ตอนแรกคิดจะดึงข้อมูลสักหน่อย” มู่เฉินส่ายหัวอย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะโยนศพแม่ทัพปีศาจโลหิตออกไป
ขณะนี้ทั้งเมืองเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
ชาวบ้านที่ตกใจกลัวจากการปรากฏของแม่ทัพปีศาจโลหิต ใบหน้าก็ค่อยๆ แข็งค้างอีกครั้ง พวกเขารู้สึกเหมือนทุกอย่างในวันนี้เป็นภาพลวงตา ไม่เพียงแต่ปีศาจเผ่าเสี่ยเสียถูกจะสังหารด้วยการกระทืบ แม้แต่แม่ทัพปีศาจโลหิตที่ทรงพลังก็ยังถูกสังหารจากหมัดเดียวของชายลึกลับคนนี้…
“เราถูกทรมานจนเริ่มหลอนแล้วเหรอ?” มีคนยิ้มอย่างขมขื่น เนื่องจากภาพนี้เหลือเชื่อเกินไป พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะมีจอมยุทธ์ทรงพลังเพียงนี้ในโลกใบนี้ด้วย
“ท่านเทพ!”
หญิงสาวจ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาร้อนแรง นอกเหนือจากการเป็นเทพในตำนานแล้วจะมีใครทรงพลังมากขนาดนี้?
หรือว่าท่านเง็กเซียนฮ่องเต้เห็นความสิ้นหวังของพวกนางจึงลงมาช่วยเหลือ?
“รีบไปกันซะ”
มู่เฉินยิ้มขณะที่โบกมือให้ทุกคน ก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไร เขาก็หายตัวไปแล้ว
หญิงสาวและชาวบ้านตื่นตระหนก แต่มู่เฉินก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถทันพูดอะไรได้ ท้ายที่สุดพวกเขาก็ทำได้เพียงแค่แลกเปลี่ยนสายตาพลางยิ้มอย่างขมขื่น
ทุกคนคุกเข่าและโขกหัวไปในทิศทางที่มู่เฉินหายตัวไป
จากนั้นไม่นานพวกเขาก็ยืนขึ้นหนีออกจากเมืองทันที พวกเขารู้ว่าในไม่ช้าสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียที่อื่นจะต้องมาที่นี่ ดังนั้นหากพวกเขาไม่หนีตอนนี้ก็จะวนกลับสู่สถานะเริ่มต้น
ขณะที่ผู้คนวิ่งวุ่นไป บนท้องฟ้าร่างมู่เฉินก็ปรากฏมองดูพวกเขาหนีไปและบ่นพึมพำ
“ใครคือจักรพรรดินีที่พวกเขาพูดถึง? ดูเหมือนว่านางจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับเผ่าเสี่ยเสีย”
“ในโลกที่ถูกครอบงำโดยเผ่าเสี่ยเสีย พวกเขายังมีพลังที่จะต้านทานหรือ?”
“แต่พลังของพวกเขาไม่น่าจะสามารถเผชิญหน้ากับเผ่าเสี่ยเสียได้…”
“ดูเหมือนว่าข้าต้องแอบสะกดรอยตามพวกเขาไปแล้ว…”
ฟ้าดินถูกย้อมเป็นสีแดงเข้ม
แม้แต่ภูเขาก็ยังเป็นสีแดงจางๆ ราวกับถูกย้อมไปด้วยเลือดมากมายมหาศาล ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยรัศมีโหดร้าย
ฮึ่ม!
ทันใดนั้นมิติก็ฉีกออกบนยอดเขาแห่งหนึ่ง ทางเดินก่อตัวขึ้นมีร่างเงาทอดลงมา
นี่ก็คือมู่เฉินที่เดินผ่านเส้นทางพิภพเขตล่างเข้ามา
ขณะที่ร่างกายเคลื่อนลงไป เขาก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งผิดปกติอยู่รอบตัว ดังนั้นเขาจึงดึงคลื่นหลิงกลับคืนมา
“พลังงานในพิภพเขตล่างต่ำมากจริงๆ” มู่เฉินยื่นมือออก รวบรวมพลังงานระหว่างฟ้าดินให้เป็นทรงกลม เขาสัมผัสวูบหนึ่งก่อนที่คิ้วจะขมวดเข้าหากัน
พลังงานระหว่างฟ้าดินไม่บริสุทธิ์เท่ากับคลื่นหลิงในมหาพันภพ ดังนั้นจึงต้องใช้เวลานานกว่าที่จะฟื้นตัวที่นี่
“แต่โชคดีที่ข้าเอาของเหลวจื้อจุนจากตำหนักมู่มาด้วย” มู่เฉินถอนหายใจ หากเขาไม่มีของเหลวจื้อจุน ในการต่อสู้เขาก็ต้องกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียของคลื่นพลัง
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ให้ความสำคัญมากขึ้น กลัวว่าจะเกิดกรณีที่คลื่นหลิงหมดลงและเขาตกอยู่ในอันตราย
หลังจากถอนหายใจ ไข่มุกมังกรขาวก็ปรากฏขึ้นในมือ แสงสีขาวพวยพุ่งขึ้น แต่มู่เฉินก็ต้องประหลาดใจที่ผนึกภายในไม่ได้ถูกกระตุ้น
“หรือว่าข้าจะต้องไปถึงบ้านเกิดของจอมยุทธ์มังกรขาวเพื่อให้เจตจำนงถูกกระตุ้น?” มู่เฉินพึมพำ แต่ไม่ว่าอะไรเขาก็ต้องลองดู อย่างน้อยไข่มุกมังกรขาวก็ตอบสนองต่อพิภพเขตล่าง ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ได้มาผิดที่
“พิภพเขตล่างแห่งนี้น่าจะถูกครอบครองโดยเผ่าเสี่ยเสีย…” มู่เฉินกวาดมองพื้นที่สีแดงเข้ม เขาสามารถได้กลิ่นร่องรอยความผันผวนของเลือดที่ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายเขาปฏิเสธ เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นเผ่าเสี่ยเสียแน่นอน
ดูเหมือนว่าเผ่าปีศาจกำลังพยายามปรับเปลี่ยนพิภพเขตล่างนี้ โดยทำให้พลังงานระหว่างฟ้าดินกลายเป็นพลังที่พวกมันต้องการ
“ไม่รู้ว่าพลังของเผ่าเสี่ยเสียเป็นอย่างไร…” มู่เฉินพึมพำ หากไม่มีข้อมูลที่แน่นอนเกี่ยวกับศัตรู เขาก็ไม่สามารถทำอะไรโดยประมาทได้ อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่ามีราชันนักรบปีศาจในเผ่าเสี่ยเสียหรือไม่
ราชันปีศาจมีพลังในการต่อสู้เทียบเท่าจอมยุทธ์เทียนจื้อจุน คงจะไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขาหากมีอยู่ เพราะโอกาสในการชนะของเขาคงไม่ดีเมื่อเผชิญหน้ากับราชันปีศาจแท้จริง
“ข้าต้องรวบรวมข้อมูลก่อน”
หลังจากตัดสินใจร่างมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานออกไป แต่เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจ เขาเดินทางด้วยการบินระดับต่ำเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเผ่าเสี่ยเสียจับได้
ภายใต้ความเร็วเต็มพิกัด เขาก็บินผ่านเทือกเขา แต่ยิ่งเดินทางมาไกลขึ้นคิ้วก็ยิ่งเริ่มขมวดแน่นขึ้น เนื่องจากพบว่าไม่มีเสียงรบกวนจากสิงสาราสัตว์ใดในภูมิภาคนี้ ช่างเงียบสงัดจนดูเหมือนกับโลกใต้พิภพ
“หรือเผ่าเสี่ยเสียสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดแล้ว?” เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สีหน้ามู่เฉินก็มืดมนลง เผ่าปีศาจต่างมิติโหดเหี้ยมขนาดนั้นเลยเหรอ?
ประสาทสัมผัสของมู่เฉินกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว โชคดีที่เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนบางอย่างในหนึ่งชั่วโมงต่อมา
ดังนั้นเขาจึงไปปรากฏตัวบนยอดเขามองเข้าไปจากระยะไกล เขาเห็นโครงร่างเมืองเบื้องหน้าสายตาได้อย่างเลือนราง
เมื่อมองไปที่เมืองนั้น มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีมากมายที่อยู่ภายใน มีบางส่วนที่มีรัศมีคล้ายกับโลกใบนี้ ถ้าเขาเดาไม่ผิดพวกเขาน่าจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ในพิภพเขตล่างนี้
“ยังมีคนอาศัยอยู่เรอะ?” สายตาของมู่เฉินเปล่งประกายก่อนที่จะไปปรากฏตัวบนท้องฟ้าเหนือเมืองพร้อมกับดึงพลังงานทั้งหมดกลับคืนมา ราวกับว่าหลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่าไม่มีใครสามารถรู้สึกถึงเขาได้
เมื่อกวาดสายตาไป เขาก็มองเห็นทิวทัศน์เจริญรุ่งเรือง ผู้คนนับไม่ถ้วนเดินขวักไขว่อยู่ในเมือง
ทว่าเขาถึงกับขมวดคิ้วกับฉากนี้ เขารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติภายใต้ความรุ่งเรืองนี้
คนเหล่านี้แม้จะทำกิจกรรมต่างๆ อยู่ แต่ก็เห็นใบหน้าของผู้คนซีดเซียว มีอาการด้านชาอยู่ในส่วนลึกของดวงตา
แม้จะมีชีวิต แต่พวกเขาราวกับผีดิบอย่างไรอย่างนั้น
หวือ หวือ!
ในขณะที่มู่เฉินรู้สึกสงสัยหนัก ทันใดนั้นเสียงกระหึ่มก็ดังก้องจากในเมืองสะท้อนไปทั่วสวรรค์และโลก
ตู้ม!
เมื่อเสียงดังขึ้นเมืองที่พลุกพล่านก็วุ่นวาย ทุกคนหันหลังวิ่งกลับเข้าไปในอาคาร แม้แต่รอยยิ้มที่มีบนใบหน้าก็หายไปแทนที่ด้วยความกลัวหนาแน่น
“คึ คึ!”
ทันใดนั้นภาพเงาโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็บินออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะบาดหู พวกมันราวกับเหยี่ยวทะยานลงมาหาคนในเมือง
มู่เฉินหดดวงตาขณะมองไปที่เงาโลหิตเหล่านั้น พวกมันสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มใบหน้าซีดเซียว มีเขี้ยวแหลมสองข้างยื่นออกมาจากริมฝีปาก
นี่จะต้องเป็นเผ่าเสี่ยเสีย!
เมื่อพวกมันพุ่งลงมาก็ยื่นมือตะปบคนหนีตายขึ้นมา ก่อนจะทะยานกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า เขี้ยวสองข้างกัดเข้าที่คอเหยื่อ ไม่กี่อึดใจร่างเหยื่อก็เหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกเขาดีดดิ้นอย่างบ้าคลั่งก่อนที่เลือดจะถูกสูบออกจนหมด จากนั้นมันก็โยนร่างแห้งเหี่ยวทิ้งไปอย่างไม่ไยดี
ไม่กี่นาทีเมืองที่คึกคักก็เต็มไปด้วยซากศพและเลือด
มู่เฉินที่อยู่บนท้องฟ้าก็ได้สติ ใบหน้าเขาเขียวคล้ำ ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เผ่าเสี่ยเสียรวบรวมผู้ที่อยู่อาศัยบนโลกใบนี้สร้างโรงปศุสัตว์ขึ้น เริ่มเข่นฆ่าเมื่อพวกมันหิวโหยและเพลิดเพลินไปกับความกลัวความสิ้นหวังของเหยื่อในเวลาเดียวกัน…
แม้ว่าผู้คนที่นี่จะรอดชีวิต แต่พวกเขาก็ถูกเลี้ยงเป็นอาหาร
โหดร้ายทารุณยิ่งนัก!
ร่างสีแดงเข้มร่างหนึ่งร่อนลงมาจากท้องฟ้าคว้าหญิงสาวที่กำลังวิ่งหนีไว้ได้ มือเย็นเฉียบของมันแตะที่แก้มของหญิงสาวคนนั้นที่ฉายความสิ้นหวังบนใบหน้า
ไม่ว่านางจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไร้ผล ร่างสีแดงเข้มเลียลำคอขาวผ่องเบาๆ พลางสูดกลิ่นก่อนที่มันจะยิ้มพร้อมกับหรี่ตา “ยังบริสุทธิ์ โชคดีอะไรแบบนี้”
ขณะที่พูดเขี้ยวแหลมคมก็วาววับกางออกพร้อมจะแทงลงบนคอขาว มันอดรนทนไม่ไหวที่จะลิ้มรสเลือดบริสุทธิ์ของสาวพรหมจรรย์แล้ว
แต่ก่อนที่เขี้ยวของมันจะฝังลงในลำคอ ทันใดนั้นหัวของมันก็ขยับไม่ได้ มือเรียวข้างหนึ่งจับหัวมันไว้แน่น
จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนที่จะปรายตามองก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลัง ใบหน้าของมันเปลี่ยนไปกะทันหันตะโกนเสียงลั่น “แกเป็นใคร?! กล้าดีมารบกวนนายท่านคนนี้ในการกินอาหารได้!”
ปัง!
ทว่าการตอบสนองกลับมาก็คือสมองแตกดังโพละ เลือดสาดกระเซ็นบนใบหน้าหญิงสาว
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้หญิงสาวคนนั้นตกตะลึง นางมองจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียล้มฟุบลง ลืมแม้กระทั่งเช็ดเลือดออกจากใบหน้า
แต่นางก็คืนสติในไม่ช้า ทว่าสายตาไม่มีแววความสุขเลย ตรงกันข้ามมีเพียงความสิ้นหวังเพิ่มอีกหลายส่วน นางมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับอาการตัวสั่น “เจ้าหนีไปเร็ว!”
ที่ผ่านมามีคนพยายามต่อต้านปีศาจเหล่านั้น แต่พวกเขาทั้งหมดถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้แต่คนที่เหลือก็ยังได้รับผลกระทบจากความโกรธของเผ่าปีศาจ
ดังนั้นในความคิดนาง ครั้งนี้ไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไปแล้ว
ทันใดนั้นสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียคนอื่นก็รู้สึกได้ถึงสิ่งนี้ เสียงกรีดร้องโกรธเกรี้ยวดังขึ้นในเมือง อึดใจต่อมาเงาจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าใส่ในทิศทางของมู่เฉิน
เมื่อชาวบ้านเห็นฉากนี้ พวกเขาก็ทรุดตัวลงกับพื้น ความสิ้นหวังฉายบนใบหน้า พวกเขารู้ดีว่าหลังจากที่พวกปีศาจแยกร่างชายผู้นี้ พวกเขาก็ต้องเป็นที่รองรับความโกรธของพวกมัน…
แต่…ก็ดี การตายคงดีกว่าการมีชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่าตาย
วาบ วาบ!
เงาสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาหามู่เฉินภายใต้สายตาด้านชาของผู้คน
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับเงาเหล่านั้น เขายื่นมือเช็ดเลือดบนใบหน้าหญิงสาวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “วางใจเถอะ ไม่เป็นไรแล้ว”
พูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ร่างสีแดงเข้มที่กำลังพุ่งเข้ามาหา สายตาค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นเย็นชา แสงเย็นรวมตัวกันอยู่ในส่วนลึกของดวงตา
เขาค่อยๆ ยกเท้าขึ้นและกระทืบลงไป
ตู้ม!
พายุคลื่นหลิงกวาดอาละวาดโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง ส่งผลกระทบต่อชั้นฟ้าและชั้นดิน
ปัง ปัง ปัง!
ขณะที่พายุส่งเสียงหวีดหวิว เงานับหมื่นที่กำลังพุ่งเข้ามาก็แข็งค้างจากนั้นก็ส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างสิ้นหวัง ทว่าเมื่อเสียงของพวกมันเพิ่งจะดังออกมา ร่างกายก็กลายเป็นหมอกเลือดภายใต้คลื่นกระแทกหลิงที่น่าสะพรึงกลัว… เพียงไม่กี่สิบลมหายใจร่างสีแดงเข้มทั้งหมดก็ถูกลบออก
ทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบงัน
เมื่อชาวบ้านที่เตรียมตัวตายได้เห็นฉากนี้ พวกเขาก็ตะลึงเป็นเวลานาน พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าปีศาจที่อยู่ยงคงกระพันในสายตาของพวกเขาจะถูกลบออกไปอย่างง่ายดายราวกับแมลงวันภายใต้การกระทืบเท้าครั้งเดียวของชายคนนี้…
พวกเขาค่อยๆ หันหน้าไปมองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่อยู่ภายใต้หมอกเลือด จากนั้นก็เริ่มตัวสั่น
หญิงสาวตัวสั่นก่อนที่จะคุกเข่าลงเบื้องหน้ามู่เฉิน
ในเวลาเดียวกันเสียงแหบก็ดังสะท้อน
“ท่านเทพ โปรดช่วยพวกเราด้วย!”
ในสายตาของนางคนที่สามารถสังหารปีศาจทรงพลังเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย นอกจากเป็นเทพแล้วจะเป็นอะไรได้อีก?
พายุมิติเป็นครั้งคราวสร้างความหายนะในพื้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ดาวหางข้ามผ่านไปในบางครั้งพร้อมกับเสียงดังก้องระหว่างฟ้าดิน
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นลำแสงสายหนึ่งก็พุ่งผ่าน ร่างที่ดูเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมองไปรอบๆ ราวกับว่าเขากำลังมองหาอะไรบางอย่าง
“พิภพเขตล่างที่จอมยุทธ์มังกรขาวจากมาน่าจะอยู่ในทิศทางนี้” ร่างชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองขณะที่ก้มมองลงไปที่หลังมือเป็นครั้งคราว ลวดลายมังกรสีขาวเปล่งแสงสีขาวออกมา
นี่ก็คือมู่เฉินนั่นเอง
นับตั้งแต่ที่เขาออกจากจักรวรรดิเหนือ เขาก็เดินทางมาสามเดือนแล้ว เขาไม่ได้หยุดพักมุ่งหน้ามาทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาพันภพอย่างต่อเนื่อง
ระหว่างทางคงมีแต่เทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่าเขาผ่านมากี่ทวีปแล้ว ภายใต้การเดินทางบ้าคลั่ง เขาก็ใช้เวลาสามเดือนกว่าที่จะได้เข้ามาในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของมหาพันภพ
ตามการนำของอักขระมังกรขาว พิภพเขตล่างของจอมยุทธ์มังกรขาวน่าจะอยู่ในบริเวณนี้
ทว่านี่ก็ยังคงเป็นการค้นหาที่ยากลำบากสำหรับเขา เพราะแม้ว่ามหาพันภพจะเชื่อมต่อกับพิภพเขตล่างนับไม่ถ้วน แต่ก็ต้องพบจุดตัดมิติเพื่อจะเข้าไปได้
ซึ่งหน้าจุดตัดมิตินั้นมีขนาดเล็กราวกับฝุ่นละอองยากที่จะตรวจจับได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาจุดตัดนั่น
ทว่าอารมณ์ของมู่เฉินก็สงบลงระหว่างการเดินทางสามเดือนนี้ ในเมื่อตัดสินใจที่จะค้นหาเส้นทางเทียนจื้อจุน เขาก็เพียงทำสุดกำลัง
ดังนั้นเขาจึงมองไปรอบๆ ก่อนที่จะหลับตาลง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกมาจากร่างกาย พลังงานนี้คล้ายกับระลอกคลื่นกระจายไปทั่วช่องว่าง
ประสาทสัมผัสของมู่เฉินก็แผ่ออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงเพื่อค้นหาทุกๆ ตารางนิ้ว
เขารู้ว่านี่จะเป็นกระบวนการยาวนาน แต่เขาก็ไม่ได้กังวล ราวกับการเดินทอดหุ่ยไปในโลกทีละก้าว…ละก้าว
ดังนั้นเวลาก็เคลื่อนคล้อยไปภายใต้การค้นหาของเขา
โดยไม่รู้ตัวหนึ่งเดือนก็ผ่านไปแล้ว…
มู่เฉินไม่รู้ว่าการค้นหาไปไกลแค่ไหน เขารู้เพียงว่าทุกการค้นหาจะจบลงด้วยพลังงานที่หมดไป จากนั้นเขาก็จะนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟูและเริ่มการค้นหาต่อ
กระบวนการนี้ดำเนินไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า…
แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับผลอะไรในเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ยังคงขยายขอบเขตการค้นหาต่อไป
ดังนั้นอีกหนึ่งเดือนก็ผ่านไป
มู่เฉินลืมตาขึ้นด้วยความเหนื่อยล้าปกคลุมใบหน้า แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแบบเขาก็ไม่สามารถแบกรับความเหนื่อยล้าเช่นนี้ได้
เขาเงยหน้าขึ้น คลื่นหลิงของเขาแพร่กระจายไปเกือบร้อยลี้ ทว่าก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ชัดว่าเขาล้มเหลวอีกครั้ง
“คลื่นหลิงจะหมดลงอีกแล้ว” มู่เฉินขมวดคิ้วด้วยความผิดหวังในดวงตา ในเวลาสองเดือนที่ผ่านมาถ้าเขาไม่แน่วแน่พอ เขาคงยอมแพ้เรื่องนี้ไปนานแล้ว
“เป็นไปได้ไหมที่การนำทางมีปัญหา? หรือว่าพิภพเขตล่างนั้นถูกทำลายไปแล้ว?” มู่เฉินมองไปที่อักขระมังกรขาวก็เม้มริมฝีปาก หากเป็นเช่นนั้นการทำงานหนักตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาของเขาก็จะสูญเปล่า
“ไม่ว่ายังไงข้าจะยอมแพ้กลางคันไม่ได้!”
มู่เฉินกัดฟัน เขายังคงตั้งมั่นในความคิดก่อนที่จะค่อยๆ ดึงคลื่นหลิงที่อ่อนแอกลับมาทีละน้อย เตรียมพร้อมที่จะพักผ่อนก่อนที่จะดำเนินการค้นหาต่อไป
“หืม?”
แต่ขณะที่มู่เฉินถอนการรับรู้ จู่ๆ ท่าทางของเขาก็แข็งค้าง เพราะในวินาทีนั้นเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนแปลกประหลาดจากทางตะวันตก
ความผันผวนนั้นบอบบางมาก ถ้าไม่ใช่เพราะประสาทสัมผัสของมู่เฉินอ่อนไหวในขณะนี้ เขาคงมองข้ามไปแล้ว
ดังนั้นเขาจึงเคลื่อนตัวหายไป ไม่กี่ลมหายใจก็ไปปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่ที่เกิดความผันผวน
สายตาเขาจับจ้องที่เบื้องหน้า คลื่นหลิงก็แผ่กระจายออกไปทีละชุ่น…ละชุ่นเพื่อควานหามิติ
คลื่นพลังแผ่ออกไปอย่างระมัดระวัง พักใหญ่ม่านตามู่เฉินก็หดเกร็ง ก่อนที่มือของเขาจะสร้างตราประทับขึ้น คลื่นหลิงรวมตัวกันไปที่บริเวณนั้น
ฮึ่ม ฮึ่ม!
คลื่นหลิงกลายเป็นวงรัศมีพร้อมกับสายตาของมู่เฉินจับจ้องไปในจุดนั้น เห็นแสงสีดำที่คล้ายกับฝุ่นละอองปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ
นั่นคือที่มาของความผันผวนที่แปลกประหลาด
มู่เฉินมองไปที่แสงสีดำด้วยความสุขบนใบหน้า นั่นคือจุดตัดมิติที่เขาค้นหามาตลอดสองเดือน
ตราบเท่าที่เขาสามารถโยงจุดตัดมิติได้ เขาก็จะสามารถเข้าสู่พิภพเขตล่างของจอมยุทธ์มังกรขาวได้
“ในที่สุดข้าก็พบแล้ว”
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจมาก แต่เขาไม่ได้เปิดมิติในทันที เขานั่งลงโบกแขนเสื้อ ของเหลวจื้อจุนจำนวนมากพวยพุ่งออกมา เขาฟื้นพลังงานตัวเองอย่างรวดเร็ว
แม้ที่นั่นจะเป็นพิภพเขตล่าง แต่ก็ถูกครอบครองโดยเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นหากเขาต้องการที่จะเข้าไป เขาจะต้องอยู่ในสภาพพร้อมรบ
ขณะที่เขากำลังฟื้นฟูคลื่นพลัง เขาก็ยังคงตื่นตัวและมองไปรอบๆ เผื่อมีคนมา
สำหรับมหาพันภพ พิภพเขตล่างเป็นสถานที่ที่ไม่เหมือนใครและอาจเป็นโชคชะตาที่ดี ยิ่งไปกว่านั้นพิภพเขตล่างอ่อนแอกว่ามหาพันภพ ดังนั้นถ้าสามารถเข้าสู่พิภพเขตล่างก็จะรู้สึกถึงความอยู่ยงคงกระพันตามธรรมชาติ
แต่โชคดีที่ผู้ที่อยู่ในมหาพันภพจะเข้าสู่พิภพเขตล่างได้ยาก แม้ว่าพวกเขาจะหาจุดตัดมิติได้ นั่นเป็นเพราะกฎของพิภพเขตล่าง ใครก็ตามที่ต้องการเข้าไปจะต้องมีการนำจากพิภพเขตล่างด้วย
ก็เหมือนกับที่มู่เฉินครอบครองไข่มุกมังกรขาวที่มีผนึกของจอมยุทธ์มังกรขาวอยู่ ซึ่งสามารถใช้เป็นกุญแจสำหรับเขาในการหลีกเลี่ยงกฎของพิภพเขตล่างที่จะปะทะเข้ามา
โดยธรรมชาติแล้วไม่มีอะไรแน่นอน มีผู้คนพยายามแอบเข้าไปในพิภพเขตล่างเสมอ ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ต้องการให้คนอื่นค้นพบจุดตัดมิติที่เขาค้นหาอย่างยากลำบาก เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
ขณะที่มู่เฉินยังคงตื่นระวังประมาณสองชั่วโมงคลื่นหลิงที่อ่อนล้าของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น ทำให้สายตาของเขาสั่นไหวด้วยพลังงานเต็มเปี่ยมอีกครั้ง
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ฟื้นคืนในร่างกาย มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจก่อนที่จะลุกขึ้นยืนมองไปที่จุดตัดมิติ
คราวนี้เขาไม่ลังเล นิ้วชี้ออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งเข้าโจมตีจุดตัดมิติ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
จุดตัดมิตินี้คล้ายกับหลุมดำ กลืนกินพลังงานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภายใต้การกลืนกินมู่เฉินก็เห็นจุดฝุ่นค่อยๆ ขยายกว้างขึ้น…
หลายนาทีต่อมาจุดฝุ่นก็กลายเป็นหลุมดำขนาดหนึ่งจั้ง กระจายความผันผวนเชิงพื้นที่ออกไป
มู่เฉินมองไปที่หลุมดำก็เหวี่ยงหมัดออก แต่ก็มีอาการดีดกลับ ทำให้กำปั้นรู้สึกเจ็บร้าวไปหมด
“เป็นเรื่องยากสำหรับคนในมหาพันภพที่จะเข้าสู่พิภพเขตล่างจริงๆ”
มู่เฉินถอนหายใจก่อนที่จะเรียกไข่มุกมังกรขาว เขาเทพลังงานลงในไข่มุก แสงสีขาวจางๆ ก็ห่อหุ้มร่างมู่เฉินไว้
เมื่อเห็นสิ่งนี้ มู่เฉินก็หายใจเข้าลึก ท่าทางเคร่งขรึมลงหลายส่วน เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะกัดฟันก้าวเข้าไปในหลุมดำโดยไม่ลังเล
“หวังว่าข้าจะพบเส้นทางเทียนจื้อจุนที่นั่น…”
แสงสีขาวทะลุผ่านหลุมดำ ครั้งนี้มู่เฉินไม่รู้สึกถึงการขัดขวางอีกต่อไป เขาเคลื่อนเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
เมื่อภาพเงาของมู่เฉินหายไป หลุมดำก็สั่นเบาๆ ก่อนที่จะหดตัวลงกลับเป็นจุดฝุ่น ซ่อนตัวในอากาศ…
พื้นที่นี้กลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
บนภูเขาโดดเดี่ยวที่ขอบชายแดนจักรวรรดิเหนือ
มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขากวาดมองอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นของตำหนักมู่ในขณะนี้ ภายใต้การควบคุมของพวกเขาดินแดนเหล่านั้นจะค่อยๆ ฟื้นคืนความรุ่งเรือง
หลังจากมองมานานเขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปที่ขอบฟ้าพร้อมกับเม้มปาก
หลังจากที่เขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม เขาก็หย่อนยานการฝึกฝนลงเล็กน้อย ตอนแรกเขาคิดว่ามีเวลาเพียงพอ แต่หลังจากที่ชิงซวงมาหา เขาก็ตระหนักว่าช่วงเวลาพักผ่อนทุกครั้งของเขาหมายความว่ามารดาจะต้องทนทุกข์ทรมานนานขึ้นในเจดีย์บรรพบุรุษ
ดังนั้นความไม่เร่งร้อนในหัวใจของเขาจึงแตกสลายหมดสิ้นในเวลานี้ เขารู้ดีว่าตัวเองจะต้องบรรลุระดับเทียนจื้อจุนหากต้องการให้มารดาหลุดพ้นจากการคุมขังของเผ่าฝูถู
“ท่านพ่อ ข้าเคยสัญญากับท่านตอนที่ออกจากมณฑลเป่ยหลิง…”
มู่เฉินกำหมัดแน่น นับเวลาเขาออกจากบ้านมาหลายปีแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการกลับ แต่เขายังไม่สามารถทำตามสัญญาที่เคยทำไว้ในอดีตได้สำเร็จ
บางทีบิดาก็กำลังรอคอยการกลับไปของเขาอยู่
แม้ว่าที่นั่นจะไม่น่าตื่นเต้นและหลากหลายเท่ากับมหาพันภพ แต่ก็เป็นที่ที่เขาคิดถึงอยู่ตลอดเวลา
อารมณ์ของเขาราวกับเมฆกลิ้งบนท้องฟ้า จากนั้นพักใหญ่เขาก็ค่อยๆ สงบใจคืนสู่ความสงบ
“เส้นทางเทียนจื้อจุน…”
เขาพึมพำ แม้ว่าเขาต้องการที่จะเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนในตอนนี้ แต่เขาก็เข้าใจว่าสิ่งนี้ยากแค่ไหน
มีอัจฉริยะนับไม่ถ้วนในมหาพันภพ แม้ว่ามู่เฉินจะได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นยอดที่สามารถเข้าถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มตั้งแต่อายุเท่านี้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนเดียวที่ทำได้
ในประวัติศาสตร์ของมหาพันโลกมีผู้คนมากมายเป็นแบบเขา แต่มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้สำเร็จ
อัจฉริยะหลายคนติดอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มตลอดชีวิต ได้แต่เฝ้ามองระดับที่พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงได้แม้จะอยู่ใกล้แค่เอื้อมและลาจากโลกไปด้วยความเสียใจ…
ช่องว่างระหว่างระดับตี้จื้อจุนและเทียนจื้อจุนก็เหมือนกับสวรรค์และโลก
แม้ว่ามู่เฉินจะอยู่ในระยะปลายสุดของระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เขาก็เป็นแค่มดต่อหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน…
ดังนั้นเขาจึงรู้ชัดแจ้งว่าเส้นทางเทียนจื้อจุนยากเย็นเพียงใด ไม้กระดานที่คนนับล้านพยายามเดินต่อไป แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ
เผชิญหน้ากับเส้นทางนี้แม้แต่คนที่มั่นใจอย่างมู่เฉินก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ
ฮา…
มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ ลบความไม่สบายใจในใจลง เขารู้ว่าไม่มีเส้นทางอื่นที่เขาเลือกเดินได้ หากเขาต้องการช่วยมารดาจากเงื้อมมือของเผ่าฝูถู การพูดคุยอย่างสันติใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่เงื่อนไขคือเขาต้องมีหมัดที่หนักพอก่อน
ดังนั้นเส้นทางเทียนจื้อจุนเป็นสิ่งที่เขาต้องท้าทายเองไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
หลังจากสงบใจแล้วท่าทางของมู่เฉินก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แสงสีขาวกะพริบวูบไหวบนฝ่ามือ อึดใจก็บีบอัดกลายเป็นลูกทรงกลมขนาดเท่ากำปั้น
ไข่มุกสีขาวมีหมอกหลิงอยู่ภายใน ดูเหมือนว่าจะมีมังกรสีขาวขดตัวอยู่
“ไข่มุกมังกรขาว…”
มู่เฉินมองไปที่ไข่มุกก็รำพึง นี่เป็นสิ่งที่จอมยุทธ์มังกรขาวทิ้งไว้ให้เขาตอนที่อยู่ในทวีปเป่ยชาง ในเวลานั้นมู่เฉินได้รู้ว่าจอมยุทธ์มังกรขาวมีต้นกำเนิดมาจากพิภพเขตล่างซึ่งเป็นมิติที่ถูกรุกรานโดยจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ จอมยุทธ์มังกรขาวเป็นผู้รอดชีวิตมาได้
เมื่อมู่เฉินได้รับสิ่งนี้มาก็ได้รู้ความลับจากจอมยุทธ์มังกรขาว นอกจากนี้ตอนสุดท้ายจอมยุทธ์มังกรขาวก็บอกว่าถ้าวันหนึ่งสามารถช่วยขับไล่ปีศาจและพาเขากลับบ้านได้ เขาจะมอบโอกาสที่เหลือเชื่อให้แก่มู่เฉิน
ย้อนกลับไปตอนนั้นจอมยุทธ์มังกรขาวเป็นใครบางคนที่อยู่ในขุมพลังจื้อจุนที่เขาไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่ในปัจจุบันเขาไปไกลเกินกว่าจอมยุทธ์มังกรขาวในเวลานั้นแล้ว…
แต่มู่เฉินมีความรู้สึกว่าโอกาสนี้อาจจะช่วยเขาให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างมากในเส้นทางเทียนจื้อจุน
มู่เฉินเทคลื่นหลิงเข้าไปในไข่มุก แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ แม้ว่าเขาจะรู้สึกคลุมเครือว่ามีผนึกวิญญาณอยู่ในไข่มุก แต่ก็อาจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้หากเขาใช้พลังมากเกินไป
“ดูเหมือนว่าข้าต้องไปพิภพเขตล่างเท่านั้นถึงจะเรียกจอมยุทธ์มังกรขาวออกมาได้…”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็หลับตาลงรับรู้ถึงทุกอณูของร่างกาย ย้อนกลับไปตอนนั้นจอมยุทธ์มังกรขาวได้ทิ้งอักขระไว้กับเขาและบอกว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมอักขระนี้จะเปิดใช้งานเองและระบุตำแหน่งของพิภพเขตล่างนั่น…
ประสาทสัมผัสของมู่เฉินกระจายไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย แม้แต่เลือดเนื้อก็ไม่ละเลย
กระบวนการนี้ใช้เวลาหนึ่งก้านธูป ก่อนที่เขาจะลืมตาโพลงคลื่นหลิงพุ่งทะยานสูงขึ้น เขาเลื่อนสายตาไปมองหลังมือซ้าย
มีแสงสีขาวละเอียดอ่อนปรากฏในเนื้อ ค่อยๆ รวมตัวจากเลือดเนื้อ ก่อร่างเป็นลวดลายมังกรสีขาวขนาดเท่าหัวแม่มือ
อักขระแสงมังกรขาวบิดตัวแต่ไม่มีการเคลื่อนไหวต่อ ไม่ต้องพูดถึงการชี้ทิศทางเลย ดูราวกับมันกำลังรออะไรบางอย่าง
มู่เฉินหรี่ตาพลางเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงต่ำ “จะทดสอบพลังของข้าเรอะ…?”
ตอนนั้นจอมยุทธ์มังกรขาวบอกว่าเมื่อพลังของเขามาถึงระดับหนึ่งอักขระนี้ก็จะนำทางให้เขาเอง มิฉะนั้นต่อให้ชี้ทางให้ไปยังพิภพเขตล่างก็เป็นการรนหาที่ตายเท่านั้น
ตู้ม!
ดังนั้นมู่เฉินจึงกระทืบเท้าเบาๆ เจดีย์ผลึกแก้วปรากฏขึ้นในดวงตา คลื่นหลิงในร่างกายพุ่งสูงขึ้นและเทลงในเจดีย์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ช่วงเวลาต่อมาพลังงานตกผลึกก็ไหลเวียนในร่างกายของมู่เฉินอย่างไม่รู้จบ
แรงกดดันทรงพลังแผ่กระจายระหว่างสวรรค์และโลก
เสร็จสิ้นกระบวนการนี้ มู่เฉินก็สร้างตราประทับด้วยมือเดียว แสงสีม่วงทองควบแน่นอยู่ข้างหลังเปล่งรัศมี
“พอรึยัง?”
หลังจากดึงพลังทั้งหมดออกมา มู่เฉินก็มองไปที่อักขระมังกรขาวที่หลังมือ หากยังไม่สามารถเรียกได้อีก เขาคงต้องหาวิธีอื่นเพื่อเส้นทางเทียนจื้อจุนของตนเอง แต่นั่นจะทำให้เขาเสียเวลามากขึ้น
ภายใต้สายตาของมู่เฉิน มังกรขาวก็ยังคงเงียบอยู่สองสามอึดใจก่อนที่ขยายตัวพร้อมกับเสียงคำรามน่าพอใจดังก้อง
หัวมังกรขาวหันไปราวกับเข็มทิศชี้ไปในทิศทางหนึ่ง
“ทางนั้นเรอะ?”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นด้วยความยินดี มันชี้ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาพันภพ แต่ไม่รู้ว่าตำแหน่งที่แน่นอนของพิภพเขตล่างว่าอยู่ที่ไหน
แต่ไม่ว่าจะไกลแค่ไหนอย่างน้อยตอนนี้ก็มีทางให้ไป ต่อจากนี้เขาก็แค่เดินทางมุ่งหน้าไปก็พอ
มู่เฉินสงบความยินดีในหัวใจ ก้มศีรษะลงมองดินแดนของตำหนักมู่ บางทีตอนนี้ที่กองบัญชาการใหญ่ของตำหนักมู่ มั่นถัวหลัว หลิงซีและคนอื่นๆ ก็คงกำลังมองมาที่เขา…
“ครั้งหน้าที่ข้ากลับมา ข้าจะพาตำหนักมู่ขึ้นปกครองทวีปเทียนหลัว…”
มู่เฉินพึมพำในทิศทางของตำหนักมู่ราวกับว่าเขากำลังให้คำมั่นสัญญากับพรรคพวก จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลสะบัดแขนเสื้อ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์หายไป ตัวเขาก็กลายเป็นริ้วแสงทะยานไปในทิศตะวันตกเฉียงใต้
ห้องโถงตำหนักมู่
มั่นถัวหลัวและหลิงซีก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างพลางเงยหน้าขึ้นมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ พักใหญ่กว่าที่พวกนางจะถอนสายตากลับ จากนั้นก็แลกสายตายิ้มให้กันและกัน
พวกนางเชื่อมั่นว่าเมื่อมู่เฉินกลับมายังตำหนักมู่อีกครั้งทั่วทั้งทวีปเทียนหลัวก็จะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นแน่นอน
การเข้าสมาธิครั้งนี้อยู่ไม่นานอย่างที่เขาคาดหวัง
เพราะในวันที่สิบเขาก็ได้รับข่าวสารเร่งด่วน ทำให้ต้องออกจากสมาธิทันที
มู่เฉินลืมตาขึ้นในส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์ โดยที่มีแสงสีม่วงกะพริบอยู่ที่เบื้องหน้า นี่คือกลีบดอกไม้ที่กระเพื่อมไหวอยู่ตลอดเวลา ทำให้มิติถึงกับแปรปรวนไปด้วย
ดวงตาของมู่เฉินหดลงมองไปที่กลีบดอกไม้สีม่วง นี่เป็นข้อความจากมั่นถัวหลัว โดยปกตินางจะไม่รบกวนเขาเมื่อเข้าสมาธิ… ยกเว้นแต่จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่นางไม่สามารถจัดการได้
“หรือว่าขั้วอำนาจสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังสามสำนักนั่นเคลื่อนไหว?”
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด หากขั้วอำนาจเหล่านั้นไม่ได้ถูกข่มขู่โดยวังมหาพันภพและเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้าน คงจะเป็นเรื่องลำบากสักเล็กน้อย บางทีเขาอาจต้องใช้ความช่วยเหลือจากเทพจักรพรรดิสงคราม
“ปัญหามากจริง ตราบใดที่ข้ายังไม่บรรลุระดับเทียนจื้อจุน”
มู่เฉินขมวดคิ้ว หากเขาต้องการปกครองอย่างไม่เกรงกลัวภายในมหาพันภพนี้ เขาก็ต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนให้จงได้
ขณะที่ถอนหายใจมู่เฉินก็ยื่นมือออกไปจับกลีบดอกไม้แล้วหายตัวออกไป
ในโถงตำหนักมู่
เมื่อภาพเงาของมู่เฉินปรากฏขึ้นก็มองไปที่มั่นถัวหลัว ตอนนี้แม้แต่หลิงซีและหลงเซี่ยงก็อยู่ที่นี่ เขาจึงอดถามไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้น?”
มั่นถัวหลัวโล่งใจเมื่อเห็นเขา นางชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “มีคนมาหาเจ้าน่ะ บอกว่าต้องพบตัวเจ้าให้ได้”
ขณะที่พูดนางก็กวาดสายตาไปที่มู่เฉินก่อนที่จะหยอกล้อ “นี่เป็นเรื่องอื้อฉาวตอนท่องยุทธภพรึเปล่า?”
มู่เฉินกลอกตาก่อนแล้วมองตามไปก็ต้องตะลึง หญิงสาวชุดขาวราวกับหิมะยืนอยู่ที่นั่นราวกับมีภูเขาน้ำแข็งตั้งไว้
“ชิงซวง?”
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อเห็นนาง เขาไม่คิดว่าคนที่มาเขาที่ตำหนักมู่จะเป็นนาง
เมื่อมองเห็นมู่เฉิน ซิงชวงก็โล่งใจก่อนที่นางจะกัดฟันพูด “มู่เฉิน ท่านน้าจิ้งมีปัญหาเข้าแล้ว!”
พอได้ยินเสียงของนาง ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปรุนแรง เขาวาบไปตรงหน้าชิงซวงจับข้อมือนางไว้ “ท่านแม่เป็นอะไรไป?!”
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกจากร่างกายเขา ทำให้มิติสั่นสะเทือน ชัดว่าอารมณ์ของเขาผันผวนรุนแรง
ชิงซวงมองไปที่มู่เฉินก่อนที่นางจะถอนหายใจ “ตอนที่ผู้อาวุโสเฮยกวางและมั่วหยิงกลับไปที่เผ่า พวกเขารายงานผู้อาวุโสใหญ่ว่าเจ้าได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์ไป”
“จากนั้นก็มีการประชุมในสภา ด้วยมีความต้องการที่จะส่งผู้คุ้มกฎมาจับตัวเจ้านำกลับไปที่เผ่าเพื่อยึดวิชาเจดีย์แปดองค์”
สายตาของมู่เฉินเย็นเยือกลง ไอ้หมาแก่สองตัวนี่ตามหลอกหลอนไม่เลิกจริงๆ เขาไม่คิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมแพ้เรื่องนี้
“ตระกูลมั่วและเฉวียนมีตำแหน่งมากที่สุดในสภา แม้ตระกูลชิงจะพยายามคัดค้านก็ไร้ประโยชน์ แต่เมื่อคำสั่งดังกล่าวกำลังจะประกาศ…”
พูดถึงตรงนี้ ชิงซวงก็ยิ้มขมขื่น “ทันใดนั้นน้าจิ้งก็ปรากฏตัวในสภาผู้อาวุโส”
ใบหน้าของมู่เฉินมืดครึ้มลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“หลังจากน้าจิ้งรู้ว่าเฮยกวางและมั่วหยิงต่อสู้กับเจ้า นางก็พุ่งใส่อย่างโกรธเกรี้ยว ทำให้ทั้งสองได้รับบาดเจ็บหนัก หลังจากนั้นนางก็อาละวาดจนที่ประชุมโกลาหลไปหมด…” ชิงซวงยิ้มขมขื่น สามารถจินตนาการได้ว่าฉากนั้นเป็นแบบไหน
ผู้อาวุโสส่วนใหญ่รวมตัวกันในที่ประชุม แต่ถึงอย่างนั้นผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ไม่มีเวลาดีนักที่จะเผชิญหน้ากับชิงเหยี่ยนจิ้ง
มู่เฉินหายใจเข้าลึกสุดปอดถามว่า “เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น?”
เขารู้ดีว่าถ้าแค่นี้ชิงซวงคงไม่วิ่งมาถึงที่นี่เพื่อแจ้งข่าวเขา
ชิงซวงถอนหายใจ “สถานการณ์บานปลาย ผู้อาวุโสใหญ่ถึงกับออกโรงเอง หลังจากต่อสู้กับน้าจิ้ง ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเหนือกว่า เขาจึงนำตราประทับเจดีย์โบราณออกมาและใช้เจดีย์บรรพบุรุษกักขังน้าจิ้งไว้”
เมื่อมู่เฉินได้ยินความโกรธก็พรั่งพรูออกมาจากดวงตาขณะที่ถามด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ “เจดีย์บรรพบุรุษคืออะไร?”
“อาวุธมหสวรรค์ล้ำค่าของเผ่าฝูถู เจดีย์ที่พวกเราฝึกฝนก็มีต้นกำเนิดจากที่นั่น”
ชิงซวงกล่าวต่อ “แต่เจดีย์บรรพบุรุษแทบไม่ได้ใช้ แต่ถ้ามีการใช้งานแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ยังหวาดกลัว น้าจิ้งถูกขังอยู่ในนั้น ข้ากลัวว่านางจะไม่มีช่วงเวลาที่ดีเหมือนแต่ก่อนแล้ว”
ในอดีตชิงเหยี่ยนจิ้งถูกคุมขังในเผ่า แต่นางก็สามารถไปไหนมาไหนได้ตามที่ต้องการด้วยพลังที่มี แต่ตอนนี้นางถูกคุมขังอยู่ในเจดีย์บรรพบุรุษ แม้ว่าจะไม่เป็นภัยคุกคามใดๆ ต่อชีวิต แต่นางก็ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
มู่เฉินกำหมัดแน่น ร่างกายสั่นสะท้านไปหมด ใครก็บอกได้เลยว่าอารมณ์ของเขาคล้ายกับภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุ
“มู่เฉินใจเย็นๆ!”
หลิงซีเดินเข้ามาจับมือเขาไว้
“ไอ้สารเลวพวกนั้น!” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานจากไอสังหาร มารดาของเขาอยู่ที่เผ่าฝูถูอย่างโดดเดี่ยว แต่ก็ยังวางเขาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของนาง เมื่อสิ่งสำคัญถูกละเมิดนางก็สติหลุดโดยลืมคิดผลที่ตามมา
แค่คิดถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็รู้สึกผิดมหันต์ในฐานะบุตรชาย!
“มู่เฉินอย่าเพิ่งผลีผลาม! แม้ว่าน้าจิ้งจะถูกกักขังอยู่ในเจดีย์บรรพบุรุษ แต่ด้วยพลังของนางจะไม่เป็นไรแน่นอน นอกจากนี้แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่กล้าบังคับน้าจิ้ง เพราะถ้าหลิงเจิ้นต้าจงซือที่เทียบได้กับจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะสู้โดยไม่สนใจผลตามหลัง แม้แต่เผ่าฝูถูก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับ”
“ซึ่งราคานั้นไม่ใช่สิ่งที่ทางเผ่าจะรับทนได้!”
ชิงซวงพูดรัวเร็วจากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “เหตุผลที่น้าจิ้งทำเช่นนี้เพื่อเป็นการเตือนเหล่าผู้อาวุโส อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนใดในเผ่ากล้าที่จะเคลื่อนไหวมาจัดการเจ้าอีกต่อไป”
ทว่าเมื่อพูดจบนางก็เห็นมู่เฉินจ้องมองมาอย่างเย็นชาขณะพูดว่า “งั้นข้าต้องคารวะขอบคุณพวกเขารึไง?”
ชิงซวงยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่เจ้าต้องรู้ว่าน้าจิ้งทำทั้งหมดนี้เพื่อปกป้องเจ้า”
สายตาของมู่เฉินยังคงมืดครึ้ม พักใหญ่ร่างกายที่สั่นเทิ้มก็สงบลง เขารู้ดีว่าแม้ว่าตอนนี้จะโกรธ แต่ก็ไม่มีอะไรที่สามารถทำได้ ถึงเขาจะบุกตะลุยเข้าไปที่เผ่าฝูถู
เนื่องจากตอนนี้เขายังอ่อนแอเกินกว่าที่จะทำให้คนเหล่านั้นหลาดกลัว
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยืนหนึ่งในที่อื่นๆ ได้ แต่ตราบใดที่ไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เขาก็จะไม่สามารถต่อกรกับขั้วอำนาจสูงสุดระดับเผ่าฝูถูได้
มู่เฉินมองไปที่ชิงซวงอย่างเย็นชา “แล้วตระกูลชิงก็เฝ้าดูแม่ของข้าอยู่โดดเดี่ยวอย่างนั้นเรอะ?”
ชิงซวงกัดริมฝีปาก “ตระกูลชิงอ่อนกำลังกว่าตระกูลเฉวียนและมั่ว นอกจากนี้…ประมุขปัจจุบันของตระกูลชิงยังเป็นพวกสงวนท่าที ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถอยห่างออกมาภายใต้แรงกดดันจากตระกูลอื่นๆ”
“ขี้ขลาดอะไรอย่างนี้ เขายังคิดไม่ออกถึงตรรกะการพึ่งพาซึ่งกันและกัน” มู่เฉินหัวเราะเยาะ แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นประมุขตระกูลชิง แต่คนที่รู้วิธียอมเอาแต่หนีก็ไม่ต่างอะไรขยะเปียก
ชิงซวงยิ้มฝืดเฝื่อน “ข้ามาที่นี่เพื่อเตือนเจ้าว่า แม้น้าจิ้งจะสร้างความปั่นป่วนมากมาย จนผู้อาวุโสในเผ่าไม่กล้าทำอะไรเจ้าตอนนี้ แต่พวกเขามีเครือข่ายยอดเยี่ยม รู้จักกับจอมยุทธ์คนอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครมาจัดการกับเจ้าได้”
มู่เฉินหรี่ตาลงพร้อมกับแสงเย็นเยือกวูบไหวภายใน ความรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อยที่ตำหนักมู่สามารถครอบครองจักรวรรดิเหนือได้แตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว
ถึงแม้เขาจะมีช่วงเวลาที่ดีในจักรวรรดิเหนือ แต่เขาก็ยังต้องให้มารดาปกป้องเขาจากเผ่าคร่ำครึ มากจนนางต้องเสี่ยงและขัดขวางอันตรายสำหรับเขาทั้งหมดด้วยซ้ำ
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาแข็งแกร่งไม่พอ!
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังอ่อนแอเกินไป ถ้าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวเผ่าโบราณล้านปีนั่น
ถึงเวลานั้นมารดาก็ไม่ต้องถูกคุมขังเพื่อปกป้องเขาอีกต่อไป
“ขอบใจ” มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ก่อนที่สายตาจะสงบลงขณะที่มองไปที่ชิงซวง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องขอบคุณชิงซวงที่อุตส่าห์เดินทางไกลมาส่งข่าวนี้ให้
ชิงซวงส่ายหน้าตอบอย่างรู้สึกผิดว่า “พวกเราเป็นคนที่ไม่สามารถช่วยเจ้าได้”
ทั้งๆ ที่มู่เฉินเป็นหนึ่งในสายเลือดชิง แต่พวกนางกลับทำอะไรไม่ได้เลย
มู่เฉินโบกมือเงียบๆ จากนั้นก็หันไปหาทุกคนพูดว่า “ข้าจะออกจากที่ตำหนักมู่ชั่วคราว จะทิ้งป้ายราชันสังหารปีศาจไว้ให้ หากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนอื่นคิดพยายามสร้างปัญหาที่นี่ ด้วยป้ายนี้ต่อให้ไม่พบข้า พวกเขาก็ไม่กล้าหาเรื่องตำหนักมู่มากนัก”
“แล้วเจ้าล่ะ?” มั่นถัวหลัวและหลิงซีถามพร้อมกัน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองขอบฟ้าไร้ขอบเขต ดวงตาสีดำเด็ดเดี่ยวมั่นคงขณะที่กำหมัดแน่น
“ถึงเวลาที่ข้าจะไปตามหาเส้นทางสู่เทียนจื้อจุนแล้ว…”
การต่อสู้แย่งชิงอำนาจบนที่ราบเป่ยยู่
จบลงด้วยตำหนักมู่ครอบครองดินแดนเกือบครึ่งหนึ่ง ผลลัพธ์นี้กวาดคลื่นไปทั่วจักรวรรรดิเหนือทั้งหมด
ไม่มีใครมองแง่ดีเกี่ยวกับตำหนักมู่ในตอนแรก เนื่องจากพวกเขาทราบดีว่าผู้นำทั้งสามจะต้องรวมพลังกันหยุดขั้วอำนาจใหม่อย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกว่าความทะเยอทะยานของตำหนักมู่ก็คงเหมือนกับสำนักรุ่นก่อนๆ ที่ถูกลบออกไปภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของผู้นำทั้งสาม
ดังนั้นผลลัพธ์บนที่ราบเป่ยยู่ครั้งนี้ทำเอาทุกคนตกตะลึงไป
พวกเขาจินตนาการไม่ออกว่าประมุขตำหนักมู่ที่อายุน้อยจะมีพลังลึกล้ำและไร้เทียมทานเพียงใดถึงได้สามารถต่อกรด้วยตัวเอง ซ้ำยังเอาชนะจอมยุทธ์ทั้งสามที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้วได้
ต้องรู้ว่าพลังของประมุขตำหนักมู่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น…
ขณะที่ทุกคนตกตะลึง บางคนก็ดวงตาแดงฉานเพราะคิดว่าการกระทำของตำหนักมู่เป็นการแสวงหาความตาย ผู้นำทั้งสามต่างมีขั้วอำนาจสูงสุดหนุนหลังพวกเขา ซึ่งทั้งสามนับว่าเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น
แต่ในไม่ช้าความคิดของพวกเขาก็ดับวูบเมื่อวังมหาพันภพถูกพูดออกมา ไม่มีใครกล้ารู้สึกอิจฉามู่เฉินอีกต่อไป
เนื่องจากพวกเขารู้ว่าวังมหาพันภพเป็นยักษ์ใหญ่ที่แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็ต้องยอมถอยออกมาได้
ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าตำหนักมู่ไม่ใช่ขั้วอำนาจที่ไม่มีรากฐาน พวกเขาไม่เพียงแต่มีประมุขหนุ่มที่ลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ แต่พวกเขายังมีขั้วอำนาจสุดยอดคอยหนุนหลังอีกด้วย
ไม่ว่าในแง่ของขุมกำลังหรือการหนุนหลัง ตำหนักมู่ก็แข็งแกร่งกว่าสามผู้นำหลายขุม!
เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้แบบนี้ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมแม้แต่สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองถึงพ่ายแพ้ยับเยินแม้จะร่วมมือกัน
ขณะนี้ทุกคนในจักรวรรดิเหนือรู้ว่าผู้นำของที่นี่ไม่ใช่ประมุขทั้งสามอีกต่อไป แต่เป็นตำหนักมู่ที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียงสองปี…
“จักรวรรดิเหนือกำลังจะเปลี่ยนแปลง”
ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ต่างพากันถอนหายใจและเริ่มหาเส้นสายสร้างความสัมพันธ์กับตำหนักมู่
ทุกคนบอกได้ว่าอิทธิพลของตำหนักมู่จะพุ่งทะยานจนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ในฐานะหนึ่งในห้าจักรวรรดิของทวีปเทียนหลัว
การเปลี่ยนแปลงมีนัยสำคัญนี้ โดยธรรมชาติไม่สามารถหลีกเลี่ยงความสนใจของเจ้าเหนือหัวจักรวรรดิอื่นๆ ได้
ทวีปเทียนหลัวเป็นมหาทวีปที่มีพื้นที่และทรัพยากรมากมาย ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจของขั้วอำนาจจำนวนมากในมหาพันภพ ทว่าเนื่องจากคนที่จับจ้องมีมากไปกลับทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเคลื่อนไหว ดังนั้นจึงมีกฎสร้างขึ้นมา ห้ามไม่ให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้ามายุ่งกับการแย่งชิงอำนาจของทวีปเทียนหลัว
แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าเหนือหัวส่วนใหญ่ในจักรวรรดิอื่นๆ ล้วนมีขั้วอำนาจสูงสุดยืนอยู่ข้างหลัง
ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผู้นำจักรวรรดิอื่นๆ จะแอบเฝ้าดูเหตุการณ์ในจักรวรรดิเหนือ พวกเขามีความสุขมากที่ได้เห็นเหตุการณ์จลาจล เนื่องจากพวกเขาอาจได้รับประโยชน์จากมัน
ดังนั้นเมื่อพวกเขาพบรู้ว่าตำหนักมู่เอาชนะสามขั้วอำนาจที่ยืนยงมานานได้ พวกเขาก็มีความคิดที่จะเคลื่อนไหว ทว่าแผนการของพวกเขาก็พังครืนไม่เป็นท่า เมื่อพวกเขาได้รับข้อมูลจากขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังว่าห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับจักรวรรดิเหนือ
ในข้อความระบุชัดเจนว่าประมุขมู่แท้จริงแล้วคือราชันสังหารปีศาจคนที่สองของวังมหาพันภพ
ข้อมูลนี้คล้ายกับถังน้ำเย็นราดรดใส่ทำให้พวกเขาตกใจไปเลยทีเดียว พวกเขาเคยคาดเดาที่มาของป้ายสังหารปีศาจ แต่ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะเป็นราชันสังหารปีศาจคนที่สองของวังมหาพันภพจริง
เพราะลือกันว่าราชันสังหารปีศาจทุกคนจะมีพลังเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งซึ่งถือเป็นเสาหลักของมหาพันภพ แต่ทำไมตอนนี้ถึงมีราชันขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มโผล่มา?
พวกเขาเคยได้ยินชื่อเสียงของมู่เฉินมาก่อน เนื่องจากชายหนุ่มคนนี้ได้รับความชื่นชมจากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเมื่อตอนที่วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏ มิหนำซ้ำยังได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากวังโบราณมาอีกด้วย
แต่ในเวลานั้นมู่เฉินยังคงไม่มีอะไรน่าสนใจในสายตาของขั้วอำนาจเหล่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขากลัวเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม พวกเขาคงจะเคลื่อนไหวเข้าแก่งแย่งวังสวรรค์บรรพกาลแล้ว
แต่ใครจะคิดว่าชายหนุ่มคนนี้จะขึ้นดำรงตำแหน่งราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพในเวลาเพียงปีเดียว นอกจากนี้เขายังยกระดับไปยังขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอีกด้วย
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่เชื่อมากแค่ไหน พวกเขาก็ต้องยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ก่อนที่จะตัดสินลงไป บางคนพยายามส่งสารแสดงความยินดีไปยังตำหนักมู่โดยแสดงความปรารถนาดีที่จะสนับสนุนประมุขมู่ในฐานะเจ้าเหนือหัวจักรวรรดิเหนือด้วย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เหตุการณ์ของจักรวรรดิเหนือก็สะเทือนไปทั่วทวีปเทียนหลัว ทุกคนรู้ว่าตำหนักมู่คือเจ้าเหนือหัวคนใหม่และประมุขหนุ่มของพวกเขาก็คือราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพอีกด้วย…
ภูมิภาคทางเหนือ ตำหนักมู่
มู่เฉินมองไปที่ทูตที่จากไปพร้อมกับสารสีทองในมือ นี่เป็นการแสดงความยินดีอีกครั้งที่มาจากขั้วอำนาจของจักรวรรดิอื่น
“จนถึงตอนนี้มีขั้วอำนาจอย่างน้อยแปดแห่งจากจักรวรรดิอื่นๆ ที่มาแสดงความยินดีกับเรา” มั่นถัวหลัวส่ายหัวไปมาข้างหลังมู่เฉิน
ต้องรู้ว่าความวุ่นวายของจักรวรรดิเหนือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะใช้ประโยชน์ แต่ตอนนี้คนเหล่านั้นไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำอะไรเลย พวกเขายังส่งสารแสดงความยินดีมาอีกด้วย
“ดูเหมือนตำแหน่งของเจ้าในฐานะราชันสังหารปีศาจของวังมหาพันภพจะน่ากลัวจริงๆ” มั่นถัวหลัวยิ้มให้กับมู่เฉิน นางเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการกระทำเหล่านั้นโดยธรรมชาติ
มู่เฉินยิ้มขณะที่ทอดถอนหายใจ ชื่อของวังมหาพันภพมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีอำนาจใดๆ มิฉะนั้นทำไมเขาต้องกลัวเผ่าฝูถูด้วย? แค่บุกเข้าไปช่วยเหลือมารดาก็จบ
“การเก็บเกี่ยวเป็นอย่างไร?” มู่เฉินหันไปมองมั่นถัวหลัว การเพิ่มขึ้นของดินแดนที่ครอบครองครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิเหนือโดยมีขั้วอำนาจจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา
“ราบรื่นดี” มั่นถัวหลัวพยักหน้า หลังจากที่มู่เฉินแสดงพลังและการสนับสนุนเป็นที่ประจักษ์ ก็ไม่มีใครในจักรวรรดิเหนือกล้าไม่พอใจ ดังนั้นการรวมตัวกันจึงค่อนข้างราบรื่น มิหนำซ้ำยังมีกลุ่มบางส่วนหวังที่จะเข้ามาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของตำหนักมู่ด้วย
มู่เฉินพยักหน้ายืดเอว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ที่เหลือให้พวกเจ้าจัดการก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น มั่นถัวหลัวก็กลอกตาทันที “นี่คิดจะโบ้ยงานอีกแล้วเหรอ”
“ข้าหาดินแดนให้พวกเจ้าแล้ว ก็ต้องปล่อยให้พวกเจ้าจัดการสิ!” มู่เฉินพูดก่อนที่จะหัวเราะเบาๆ “ข้าได้รับความเข้าใจขั้นสองของวิชาสามพิสุทธิ์ ดังนั้นก็ต้องเข้าสมาธิศึกษาสักหน่อย”
มั่นถัวหลัวส่งเสียงขึ้นจมูก แต่ก็ไม่บ่นอะไรต่อ เนื่องจากนางรู้ชัดเจนว่าหากตำหนักมู่ต้องการเติบโตก็จะต้องมีเสาหลักเพื่อรองรับไว้
ตอนนี้มู่เฉินแซงหน้านางไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะเป็นเสาหลักนั้น
เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นถังปิงเดินเข้ามา เขารีบตบไหล่มั่นถัวหลัว “ฝากด้วยนะ”
พูดจบเขาก็วาบหายไปทันที
เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นว่าเขาวิ่งเร็วแค่ไหน นางก็อดส่ายหัวไม่ได้ก่อนจะมองไปที่ถังปิงที่กำลังจะเดินเข้ามา พูดอย่างเปรี้ยวใจว่า “มีอะไรก็บอกข้าเลย เจ้านั่นหนีไปอีกแล้ว”
เมื่อถังปิงได้ยินคำพูดเหล่านั้น นางก็มองไปยังจุดที่มู่เฉินหายตัวไปด้วยความผิดหวัง ก่อนที่จะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ทะเลสาบสวรรค์ทอดตัวยาวภายในวังโบราณ
ปลดปล่อยคลื่นหลิงออกมาอย่างไร้ขอบเขตทั่วทั้งบริเวณ
ในส่วนลึกมู่เฉินนั่งลงเตรียมตัวทำความเข้าใจกับวิชาสามพิสุทธิ์ขั้นสอง
ด้วยการรับรู้ เขาสัมผัสถึงขั้นสองของวิชาสามพิสุทธิ์แล้ว เขาต้องการเพียงโอกาสให้ก้าวไปสู่พัฒนาการ
“ในที่สุดข้าก็เข้าสมาธิได้สักที”
มู่เฉินพึมพำ เขาอยู่ที่ตำหนักมู่มาระยะหนึ่งเพื่อรักษาเสถียรภาพของสิ่งต่างๆ ดังนั้นเขาจึงละในแง่ของการเพาะบ่มไป ตอนนี้ทุกอย่างจัดการเรียบร้อย เขาจึงมีเวลาว่างสักที
พอพูดจบเขาก็ค่อยๆ หลับตาลง
ในขณะที่มู่เฉินเข้าสมาธิ
เขาไม่รู้เลยว่ามีร่างเงาร่างหนึ่งพุ่งมายังทิศทางของทวีปเทียนหลัวอย่างรีบร้อน
ภาพเงานั้นดูงดงามแฝงความเย็นชา นี่ก็คือชิงซวงซึ่งมู่เฉินเคยพบมาก่อนในแดนเซิ่งยวน
ยามนี้ชิงซวงมีสีหน้าหนักหน่วง นางมองแผนที่ในมือที่บอกจุดทวีปเทียนหลัวพลางกำหมัดแน่น
“มู่เฉิน ท่านน้าจิ้งมีปัญหาเข้าแล้ว!”
“วังมหาพันภพ?!”
ใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองเต็มไปด้วยความตกตะลึง พวกเขารู้ที่มาของป้ายนั้นดี
ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้ว่าวังมหาพันภพเป็นตัวแทนของอะไร
วังมหาพันภพเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ ในสมัยโบราณพวกเขาคือตัวแทนของมหาพันภพที่เข้าโรมรันกับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ
แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่ค่อยมีใครได้ยินข่าวของพวกเขา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะหายไป พวกเขาหมอบต่ำราวกับอสูรร้ายในมุมมืดของมหาพันภพ…
ทว่าไม่มีใครสงสัยรากฐานนี้ แม้แต่ห้าเผ่าโบราณยังเกรงกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับวังมหาพันภพ
แม้ว่าพวกเขาจะมีขั้วอำนาจอยู่เบื้องหลัง แต่ก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับวังมหาพันภพ… ไม่แปลกใจเลยที่มู่เฉินไม่ได้วางกลุ่มสนับสนุนพวกเขาอยู่ในสายตา ด้วยวังยิ่งใหญ่สนับสนุนเขาก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเขาหรอก
ทว่าวังมหาพันภพมักจะเก็บงำประกาย ไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในมหาพันภพ แต่ทำไมมู่เฉินถึงมีป้ายของวังยิ่งใหญ่นั้นได้?
ที่สำคัญที่สุดยังเป็นป้ายราชันสังหารปีศาจอีกด้วย!
มีข่าวลือว่ามีราชันสังหารปีศาจมีเพียงหนึ่งเดียวและป้ายสำคัญก็ไม่เคยทิ้งไว้ให้ใคร แล้วมู่เฉินไปเอาป้ายราชันสังหารปีศาจมาจากไหน?
เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขามองเห็นความงุนงงในดวงตากันและกัน
“พวกข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีราชันสังหารปีศาจคนใหม่แห่งวังมหาพันภพ” สายตาของเจ้าเมฆาม่วงวูบไหวขณะที่พูด
มู่เฉินตอบสบายอารมณ์ว่า “ตอนนี้ก็รู้แล้วนี่?”
ขณะที่พูดเขาก็ยิ้มมองไปที่ทั้งสาม “สงสัยว่าเป็นของปลอมเหรอ? งั้นไปรายงานพวกที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้าเลยสิ”
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่มีความกลัว หัวใจทั้งสามก็สั่นสะท้านแล้วดิ่งลง มู่เฉินน่าจะรู้ผลของการแสร้งทำเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ หากเขาถูกตรวจสอบโดยวังมหาพันภพ จากนี้ไปเขาจะไม่มีช่วงเวลาที่ดีอีกเลย
ทว่าเขาก็ยังกล้าที่จะนำออกมา นั่นหมายความว่าเขาจะต้องไม่กลัวการสอบสวนของวังมหาพันภพ…
หรือว่าเจ้าหนุ่มนี่คือราชันสังหารปีศาจคนที่สองของวังมหาพันภพ? หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ได้แต่กลืนความเสียใจลงไปย่อยในท้องได้เท่านั้น เนื่องจากขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาไม่กล้าที่จะยั่วยุวังยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
เพียงแค่คิดใบหน้าของทั้งสามก็น่าเกลียดราวกับกินแมลงวันเข้าไป
มู่เฉินยิ้มเมื่อเห็นทั้งสามคนกล้ำกลืนความแค้น เหตุผลที่เขานำชื่อของวังมหาพันภพออกมาก็ชัดว่าต้องการข่มขู่ขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังทั้งสาม ในระดับหนึ่งเขาถือว่าแกล้งข่มขู่แต่ก็ทำโดยชอบธรรม เพราะจากการพูดคุยของเขากับทางวัง เขาไม่ได้มีอำนาจใดๆ ในฐานะราชันสังหารปีศาจแต่เขามีตำแหน่ง
หากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเหล่านั้นต้องการทำอะไรกับเขา พวกเขาก็ต้องคิดเกี่ยวกับวังมหาพันภพสักหน่อย
ขณะที่ทั้งสี่คนกำลังสนทนากัน ผู้คนในที่ราบเป่ยยู่ก็หายจากอาการตกตะลึงและเริ่มรู้ว่าป้ายสีทองนี้เป็นตัวแทนของอะไร
ดังนั้นเมื่อขั้วอำนาจน้อยใหญ่มองไปที่จอมยุทธ์ตำหนักมู่ ดวงตาก็ลุกโชนด้วยความอิจฉา
นั่นคือวังมหาพันภพ! ขั้วอำนาจยอดสุดที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ!
ไม่มีใครคิดว่าตำหนักมู่จะมียักษ์ใหญ่แบบนี้ยืนเบื้องหลัง ถ้าพวกเขารู้เรื่องนี้ละก็ ต่อให้เจ้าเมฆาม่วงให้ความกล้า พวกเขาก็ไม่กล้ายั่วยุตำหนักมู่หรอก
นอกจากนี้ด้วยการสนับสนุนที่ทรงพลังเช่นนี้พร้อมกับพรสวรรค์และไม่อาจหยั่งรู้ของประมุขมู่ สามารถจินตนาการได้ถึงอนาคตของตำหนักมู่ได้เลย
จอมยุทธ์ตำหนักมู่อึ้งไปกับสายตาเหล่านั้น เนื่องจากสถานการณ์นี้เกินความคาดหมายเช่นกัน
“ประมุขได้ป้ายราชันสังหารปีศาจจากวังมหาพันภพได้ยังไง?” พวกหลิ่วเทียนเต้าอดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
พวกเขารู้ถึงผลของการแสร้งทำเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ กลัวว่ามู่เฉินจะปลอมแปลงขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นก็จะดึงดูดปัญหาใหญ่ให้กับที่ตำหนักมู่แน่!
มั่นถัวหลัวส่ายหัว นางไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน
ขณะที่ทุกคนกำลังกระวนกระวาย หลิงซีก็ยิ้มบาง “นี่เป็นความจริงตอนนี้มู่เฉินเป็นราชาสังหารปีศาจคนที่สองของวังมหาพันภพ”
“ซี้ด!”
เมื่อได้ยินคำยืนยันจากหลิงซี หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ก็สูดอากาศเย็นเข้าปอดพร้อมกับความตื่นเต้นกระจายบนใบหน้า
เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าด้วยภูมิหลังดังกล่าวตำหนักมู่จะเติบโตแบบฉุดไม่อยู่ในอนาคต
ไม่ต้องพูดถึงเกี่ยวกับจักรวรรดิเหนือ แม้แต่ทั้งทวีปเทียนหลัวก็ไม่มีใครกล้าปลุกปั่นตำหนักมู่ของพวกเขา!
ที่ราบเป่ยยู่ตกอยู่ในความโกลาหล ภายใต้สายตาจ้องมองร้อนแรงโดยรอบ มู่เฉินก็มองไปที่เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง ก่อนจะชี้แผนที่บนท้องฟ้า “ตอนนี้มีใครคัดค้านเกี่ยวกับการแบ่งดินแดนหรือไม่”
หลังจากหยุดคิดชั่วครู่เขาก็พูดต่อว่า “แน่นอนว่าถ้ากลุ่มที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้ามีความคิดเห็นใดๆ ก็ให้มาพูดกัน”
ใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองกระตุก แต่กลับไร้เสียง ตำหนักมู่ครอบครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิเหนือ นี่เป็นการโจมตีอย่างมีนัยสำคัญ แต่พวกเขาจะทำอะไรได้?
มู่เฉินเอาชนะพวกเขาสามคนได้ แม้ว่าขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาจะทรงพลัง แต่จะมีพลังมากกว่าวังมหาพันภพได้หรือ?
พลังแข็งแกร่งที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกฝืนใจมากแค่ไหนก็ทำได้เพียงกัดฟันและทนกลืนลงไป
เมื่อทุกคนเห็นทั้งสามตกอยู่ในความเงียบงัน หัวใจทุกดวงก็สั่นสะท้านเพราะพวกเขารู้ว่าสถานการณ์ในจักรวรรดิเหนือจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากวินาทีนี้
สถานการณ์ที่ไม่มีใครกล้าที่จะท้าทายผู้นำทั้งสามสิ้นสุดลง ตำหนักมู่กลายเป็นขั้วอำนาจใหญ่แห่งจักรวรรดิเหนือแท้จริง
เมื่อมู่เฉินเห็นว่าแต่ละคนกล้ำกลืนฝืนทนอย่างไร เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปดินแดนเหล่านั้นจะเป็นของตำหนักมู่ข้า”
ขณะที่พูดเขากวาดสายตาไปยังกลุ่มต่างในที่ราบเป่ยยู่ แต่ละคนก็ลดศีรษะลงไม่กล้ามองไปที่เจ้าเหนือหัวคนใหม่
“ขั้วอำนาจในดินแดนดังกล่าวห้ามเคลื่อนไหว หลังจากที่ตำหนักมู่ของข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อย พวกเจ้าจะถือว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตำหนักมู่”
เสียงของมู่เฉินสะท้อนออกไป ทำให้เกิดความปั่นป่วนอีกระลอก
เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองใบหน้าไม่น่าดูอีกครั้ง มู่เฉินไม่เพียงแต่จะยึดครองเขตแดน ยังจะลากขั้วอำนาจใต้บัญชาพวกเขาไปด้วย
เทียบกับสีหน้าน่าเกลียดของทั้งสามผู้นำ กลุ่มเหล่านั้นไม่เพียงแต่ไม่ต่อต้าน กลับยังรู้สึกมีความสุขมากเสียอีก
ท้ายที่สุดไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนก็ยังคงต้องส่งบรรณาการให้กับขั้วอำนาจที่อยู่ภายใต้ เมื่อเทียบกับผู้นำสามคนเก่า ตำหนักมู่มีศักยภาพมากกว่าอย่างชัดเจน ถ้าได้เข้าร่วมก็มีโอกาสยิ่งใหญ่กว่าในอดีต
การมีต้นไม้ใหญ่อยู่ข้างหลังสามารถป้องกันพวกเขาจากความหนาวเย็นได้และการมีวังมหาพันภพย่อมดีกว่าสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองคำ!
พวกที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของตำหนักมู่ก็ตกอยู่ในความเงียบ พากันมองไปที่คนที่เข้าร่วมด้วยความอิจฉา
วิหคสง่างามเกาะอยู่บนต้นไม้ที่ยอดเยี่ยม พวกเขาทั้งหมดหวังว่าจะได้มีที่พึ่งที่ดีขึ้น
มู่เฉินไม่ได้สนใจเกี่ยวกับทั้งสามคนอีกต่อไป เขามองไปรอบๆ คลี่ยิ้ม “งั้นวันนี้จบการประชุมกันดีไหม?”
เขาไม่ใช่ว่าไม่ต้องการจะครอบครองจักรวรรดิเหนือทั้งหมด แต่เขารู้ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุด ขอบเขตที่ได้มาครึ่งหนึ่งตำหนักมู่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการย่อยแล้ว
นอกจากนี้หากความกระหายของเขามีมากเกินไป อาจทำให้ขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังสามคนอดเคลื่อนไหวไม่ได้ เวลานั้นต่อให้มีชื่อวังมหาพันภพ ตำหนักมู่ก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งอันตราย
ความโกรธเกรี้ยวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่ใช่เรื่องที่จะทนได้
ดังนั้นมู่เฉินจึงหยุดเรื่องนี้ให้สิ้นสุดลงชั่วคราว เมื่อไรที่เขาเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนก็ไม่จำเป็นต้องกลัวขั้วอำนาจเหล่านั้น ดินแดนจักรวรรดิเหนือทั้งหมดจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาโดยธรรมชาติ
เมื่อเห็นความเผด็จการของมู่เฉิน เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองก็กลืนความโกรธลงไปและฝืนยิ้มออกมา “ในเมื่อประมูขมู่ชนะแล้ว ก็ช่วยกำจัดสิ่งเหล่านี้ให้พวกข้าด้วย”
พวกเขายังคงได้รับผลกระทบจากของเหลวสีดำ ความสามารถในการกัดกร่อนที่น่ากลัวทำให้คลื่นหลิงในร่างกายของพวกเขาตกอยู่ในสภาวะสับสนวุ่นวาย เป็นเรื่องยากมากที่จะกำจัดออก
มู่เฉินมองไปที่พวกเขาก็ยิ้ม “ไม่ต้องกังวลสิ่งนี้ไม่ฆ่าพวกเจ้าหรอก ด้วยพลังที่มีสักครึ่งปีก็น่าจะเพียงพอที่จะกำจัดออกไปได้เอง”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีเจตนาที่จะช่วยเหลือ ถึงยังไงมู่เฉินก็ไม่ชอบทั้งสามคน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาระแวงขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังทั้งสาม เขาอาจจะฆ่าพวกเขาไปแล้วก็ได้
ดังนั้นแม้ว่าจะฆ่าไม่ได้ เขาก็ไม่ใส่ใจที่จะทรมานคนเหล่านี้สักเล็กน้อย
เมื่อทั้งสามคนเห็นสายตาล้อเลียนของมู่เฉิน พวกเขาก็รู้สึกเดือดดาลในใจ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะหัวร้อน พวกเขาเค้นเสียงออกมาก่อนที่จะหันหลังกลับจากไป
“ไป!”
สามเสียงดังก้องในที่ราบเป่ยยู่ ขณะที่ออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับแบกความพ่ายแพ้ไป
เมื่อขั้วอำนาจที่ยังคงอยู่ภายใต้สามสำนักเห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงลดศีรษะลงตามหลังออกไป ทว่าท่าทางของพวกเขาหดหู่ลงหลายส่วนเลยทีเดียว
มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้ามองลงไปบนที่ราบเป่ยยู่ นอกเหนือจากสมาชิกตำหนักมู่แล้ว ยังมีกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ในดินแดนที่ถูกแบ่งใหม่ ซึ่งในอนาคตจะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตำหนักมู่
ตอนนี้แต่ละกลุ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีบางคนเคยพยายามขัดขวางตำหนักมู่ พวกเขากลัวว่ามู่เฉินจะคิดบัญชีแค้นเอา
มู่เฉินกวาดตามองก็รู้ว่าพวกเขารู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นเสียงนุ่มนวลก็สะท้อนออกมา “ข้าจะไม่ไล่บี้เรื่องในอดีต ตราบใดที่พวกเจ้ามีคุณูปการในอนาคตก็จะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับสมาชิกตำหนักมู่ แน่นอนว่าถ้าใครมีความคิดกบฏ การลงโทษของตำหนักมู่ก็หนักหนาสาหัสเช่นกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ทุกคนต่างก็ชื่นชมยินดี เสียงความเคารพสะท้อนไปทั่วที่ราบเป่ยยู่
“เราจะปฏิบัติตามคำสั่งของท่านประมุข!”
มองฉากยิ่งใหญ่ตระการนี้ พวกหลิ่วเทียนเต้าก็รู้สึกโล่งใจมาก เนื่องจากพวกเขารู้ว่าหลังจากวันนี้ชื่อของตำหนักมู่จะดังเป็นพลุแตกไปทั่วทวีปเทียนหลัว…
ชื่อของมู่เฉินจะถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้นๆ ของทวีปเทียนหลัว…
มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นมองร่างเงาอ่อนเยาว์ด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าน้องชาย…ทำสำเร็จจริงๆ…”
ตู้ม!
บนท้องฟ้าที่ราบเป่ยยู่ เมื่อเจดีย์ผลึกแก้วสลายตัวลง พายุคลื่นหลิงทรงพลังก็พัดออกไปทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน
สายตานับไม่ถ้วนพุ่งมองไปบนท้องฟ้า เมื่อเห็นว่าเจดีย์หายไปดวงตาทุกคู่ก็กะพริบวูบไหว ก่อนที่ความวุ่นวายจะระเบิดขึ้นอีกครั้ง
“เจดีย์ผลึกแก้วหายไปแล้ว! ดูเหมือนว่าผู้นำทั้งสามจะทำลายได้!”
“เร็วมาก ดูเหมือนมู่เฉินแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งซะแล้ว…”
“ยังไงซะก็เป็นการต่อสู้กับจอมยุทธ์ทั้งสามคนตามลำพัง แม้ว่าเขาจะล้มเหลว แต่เขาก็ควรภาคภูมิใจได้ หลังจากวันนี้ไปข้าคิดว่าชื่อเสียงของตำหนักมู่จะขจรขจายไปจักรวรรดิเหนือ”
“แต่สุดท้ายเขาก็ล้มเหลว…”
“…”
เสียงสนทนาดังสะท้อน สมาชิกขั้วอำนาจทั้งสามก็คลายสีหน้าลง
เห็นได้ชัดว่าในสายตาพวกเขาการที่เจดีย์หายไปนั้น ต้องหมายความว่าถูกทำลายโดยผู้นำทั้งสามเป็นแน่
เมื่อจอมยุทธ์ตำหนักมู่เห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็รู้สึกถึงความไม่สบายใจตีกวน ก่อนที่จะมองมั่นถัวหลัว อีกฝ่ายทำเพียงเงยหน้าขึ้นมองไปที่พายุพลังงานโดยไม่กะพริบตา
ฟิ้ว!
เสียงหวีดหวิวคมชัดดังขึ้น พริบตาเดียวผู้คนนับไม่ถ้วนก็เห็นเงาร่างสามร่างดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้าเหมือนอุกกาบาต ก่อนที่จะกระแทกลงไปในส่วนลึกของที่ราบเป่ยยู่
ครืน!
ผลกระทบดังกล่าวทำให้ที่ราบเป่ยยู่ทั้งหมดโยกคลอน รอยแตกขนาดใหญ่ก็แผ่กระจายออกไปอย่างรุนแรงปกคลุมไปทั่ว
ทุกคนมองไปด้วยความตกใจ ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะแพ้หมดท่าเลยเหรอ?
ผู้คนทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชะเง้อมองไปในส่วนลึกของที่ราบ พวกเขาเห็นหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่สามแห่ง ซึ่งมีร่างเงาสามร่างนอนพังพาบอยู่…
“นั่นมัน?”
ทุกสายตาจ้องมองไปที่ร่างเงาทั้งสาม ครู่ต่อมาก็ต้องเบิกตากว้างพร้อมกับความไม่เชื่อพล่านบนใบหน้า
เนื่องจากพวกเขาตระหนักได้ว่านั่นคือเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองที่นอนอยู่ในหลุมอุกกาบาต!
โห่!
เสียงอุทานดังก้องระหว่างฟ้าดิน ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาทั้งสามก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นความกลัวราวกับว่าพวกเขาเห็นผี
“นี่…เป็นไปได้ยังไง?!”
พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่ปากจะพะงาบพูดขึ้น “ดูเหมือนมู่เฉินจะมีความสามารถแท้จริง เพื่อที่จะฆ่าเขา ประมุขทั้งสามยังได้รับบาดเจ็บหนัก!”
แต่ขณะที่พวกเขากำลังปลอบใจตัวเอง สายตาก็ต้องแข็งทื่อเมื่อเห็นร่างอ่อนเยาว์ค่อยๆ เคลื่อนลงมาพร้อมกวาดมองไปที่หลุมอุกกาบาตทั้งสามด้วยสีหน้าสงบ
แม้ว่าเงาบนท้องฟ้านั่นไม่ได้ทำให้เกิดความผันผวนของคลื่นหลิงใด แต่ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความสยองเกล้าแผ่ซ่านออกมาในใจ
ภายใต้ความกดดันที่ราบเป่ยยู่เงียบสนิทลง กระทั่งขั้วอำนาจน้อยใหญ่จำนวนมากที่อยู่ใต้บัญชาของผู้นำทั้งสามก็ไม่กล้าทำตัวหยิ่งยโสเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ความกดดันที่เกิดขึ้นจากร่างนั่น แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้นำทั้งสาม ดังนั้นแววเยาะเย้ยจึงเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว…
ทว่าเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น มู่เฉินก็ไม่ได้สนใจ เขาเพียงแค่มองไปในหลุมอุกกาบาตสามแห่งจากเบื้องบนชั่วครู่ก่อนจะพูดว่า “ถ้ายังไม่ตายก็ลุกขึ้นมาซะ”
เสียงเขาถูกตอบกลับด้วยความเงียบ ไม่มีใครกล้าพูดสักแอะขณะที่มองไปยังหลุมอุกกาบาต
ความเงียบคงอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะเกิดการเคลื่อนไหวในหลุมอุกกาบาต ร่างสามร่างค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ภายใต้การจ้องมองของทุกคน
ซี้ด
เมื่อทุกคนเห็นทั้งสามนั้น พวกเขาก็สูดลมหายใจเย็นด้วยความกลัวบนใบหน้า
เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองเสื้อผ้าแต่ละคนขาดวิ่นไปหมด มิหนำซ้ำคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็อ่อนกำลังลงเช่นกัน
นอกจากนี้ที่สำคัญคือตรงบ่าพวกเขายังมีคราบสีดำราวกับโคลนปกคลุมพื้นผิวพยายามที่จะกัดกร่อนร่างกายและคลื่นหลิงอย่างต่อเนื่อง
ใบหน้าของทั้งสามซีดเผือด เนื้อตัวบวมฉึ่งไม่หยุด ก่อนที่จะระเบิดเลือดสดไหลลงมา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาบาดเจ็บหนัก!
ทั้งสามยืนอยู่บนท้องฟ้าใกล้กันมองไปที่มู่เฉินอย่างเคร่งเครียด ทว่าสายตาของพวกเขาไม่ได้หยิ่งผยองอีกต่อไป แต่กลับมีความกลัวหนาแน่นแทนที่
พวกเขาเข้าใจถึงความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของมู่เฉินจากการปะทะกันแล้ว ซ้ำเหล่าปีศาจในเจดีย์ยังน่าสะพรึงกลัวมากจนแม้แต่พวกเขาร่วมมือกันก็ไม่สามารถกีดขวางใดๆ ได้
“ตอนนี้เรามาคุยเรื่องเกี่ยวกับตำหนักมู่ของข้าที่จะเข้าสู่จักรวรรดิเหนือได้หรือยัง?” มู่เฉินมองไปที่ทั้งสามด้วยรอยยิ้มอ่อน ท่าทางไม่ดุร้ายเหมือนเมื่อครู่
ทั้งสามคนตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกข้าปฏิเสธได้เรอะ?”
ยามนี้พลังในการต่อสู้ของพวกเขาลดลงอย่างมากจากการบาดเจ็บ ถ้ามู่เฉินต้องการที่จะฆ่าพวกเขาจริงๆ พวกเขาก็จะกลายเป็นปุ๋ยบำรุงที่ราบเป่ยยู่ในวันนี้แน่
ดังนั้นตอนนี้พวกเขาเป็นลูกไก่ในมือคนอื่น พวกเขาไม่มีสิทธ์ที่จะคุยโวกับมู่เฉินได้
“พวกเจ้าว่ายังไงล่ะ?” มู่เฉินยิ้ม
ทั้งสามคนอยู่ในความเงียบ แต่ดูไม่เย่อหยิ่งอีกต่อไป
เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ เขาก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย สะบัดแขนเสื้อทันที แสงหลิงพวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าก่อตัวเป็นแผนที่ขนาดใหญ่ของจักรวรรดิเหนือ
ดินแดนดังกล่าวถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน จักรวรรดิเหนือกว่าแปดส่วนถูกครอบครองโดยสามขั้วอำนาจใหญ่เหล่านี้ ขณะที่ภูมิภาคทางเหนือครอบครองสถานที่ห่างไกล
มู่เฉินดีดนิ้ว แสงหลิงก็ยิงเข้าไปในแผนที่ ทุกคนสามารถมองเห็นพื้นที่ภูมิภาคทางเหนือขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยการกลืนกินเข้าไปในดินแดนของสามขั้วอำนาจทั้งสี่ด้าน
หลังจากไม่กี่ลมหายใจการขยายตัวก็หยุดลงโดยมีตำหนักมู่ได้ครอบครองครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิเหนือ ขณะที่สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองคำมีส่วนแบ่งอีกครึ่งหนึ่ง
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนี่จะเป็นการแบ่งดินแดนของจักรวรรดิเหนือ” เสียงของมู่เฉินดังขึ้นขณะที่ชี้ไปที่แผนที่
เฮือก
ขั้วอำนาจน้อยใหญ่กลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก จากการแบ่งนี้เกือบครึ่งหนึ่งจะถูกลากเข้าไปใต้บังคับบัญชาของตำหนักมู่
นี่เผด็จการเกินไปแล้ว!
เขากลืนกินจักรวรรดิเหนือครึ่งหนึ่งในคราวเดียว!
แม้ว่าแต่ละคนจะมีความคิดเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทุกคนจับจ้องไปที่ผู้นำทั้งสาม เนื่องจากพวกเขาไม่มีสิทธ์ที่จะไปโต้เถียงอะไรกับมู่เฉิน
“นี่มันเกินไปแล้ว!” เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิง เจ้าอินทรีทองคำรามด้วยความโกรธใบหน้าแต่ละคนเขียวคล้ำ
นี่เท่ากับความเสียหายใหญ่หลวงสำหรับพวกเขา!
มู่เฉินยิ้ม “ผู้ชนะเขียนกฎจะมากเกินไปได้ยังไง? ถ้าวันนี้ตำหนักมู่ของข้าพ่ายแพ้ วิธีของพวกเจ้าจะไม่เกินกว่านี้รึไง?”
ใบหน้าของทั้งสามคนกระตุกก่อนที่จะหายใจเข้าลึกๆ “ประมุขมู่ เจ้าทรงพลังมากก็จริง แต่เจ้าก็น่าจะรู้ว่าพวกข้าไม่ใช่คนตัดสินใจที่นี่ เบื้องหลังพวกข้าเป็นขั้วอำนาจชั้นสูงสุดของมหาพันภพ…”
คำพูดของเขามีการข่มขู่แอบแฝงในที
มู่เฉินทรงพลังก็จริง แต่พวกเขามีจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนอยู่ข้างหลัง เมื่อไรที่จอมยุทธ์เหล่านั้นเคลื่อนไหว ต่อให้มู่เฉินมีปีศาจเหล่านั้นก็ต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย!
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าก็แค่หุ่นกระบอกเท่านั้น” มู่เฉินพูดเบาๆ ก่อนจะว่าต่อ “ไม่งั้นพวกเจ้าคิดว่าข้าทำไมต้องเสียแรงมาพูดด้วย? แค่จัดการให้สิ้นซากและครอบครองจักรวรรดิเหนือทั้งหมดก็จบ”
ถ้าไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากท้าทายขั้วอำนาจเบื้องหลังถึงที่สุด เขาจะเหลือดินแดนครึ่งหนึ่งไว้ให้กับพวกเขาทำไม?
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าของทั้งสามก็ซีดและเขียวสลับกันก่อนที่จะกัดฟัน “ดูเหมือนตำหนักมู่จะสามารถเผชิญหน้ากับขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสามได้ พวกเราพลาดไปเอง”
แม้ว่าพวกเขาจะพูดแบบนี้ แต่คำพูดเยาะเย้ยในคำพูดก็ชัดเจน
เห็นได้ชัดที่พวกเขาคิดว่ามู่เฉินเพียงแค่ปากแข็งเท่านั้น เพราะขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพต่างมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในมือ ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่จะแข่งขันได้
มู่เฉินยิ้ม “พวกเจ้าแต่ละคนมีกลุ่มสนุบสนุนอยู่เบื้องหลัง แล้วคิดว่าข้าไม่มีรึไง?”
เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองหดตาลง จากนั้นก็เค้นเสียงเย็น พวกเขาเคยตรวจสอบภูมิหลังของตำหนักมู่แล้ว ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีขั้วอำนาจสูงสุดสนับสนุนอยู่ด้านหลัง มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่กล้าที่จะยั่วยุตรงๆ แบบนี้หรอก
เมื่อเห็นท่าทางทั้งสาม มู่เฉินก็ยิ้มก่อนที่จะโบกแขนเสื้อ แสงสีทองพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
เมื่อแสงสลายป้ายสีทองก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับตัวอักษรสลักว่า ‘ป้ายสังหารปีศาจ’ ภายใต้คำนี้มีอักษรสีแดงเข้มกระแทกตาพร้อมกับกลิ่นอายครอบงำในสายตา
ราชันสังหารปีศาจ
ทั้งสามคนพุ่งความสนใจไปทันที เมื่อเห็นตัวอักษรสีแดงเข้มคำว่าราชันสังหารปีศาจ พวกเขาก็สั่นสะท้าน หนังหัวชาหนึบไปหมด
ในที่สุดพวกเขาก็รู้ถึงขุมกำลังที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เฉิน…
ขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพันภพ—วังมหาพันภพ!
ครืนๆๆๆ!
เจดีย์ขนาดใหญ่ทอดตัวลงมา เงาก็ทอดเหนือที่ราบเป่ยยู่ ทุกคนเงยหน้าขึ้นด้วยความกลัวขณะมองเจดีย์ พวกเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนน่ากลัวที่แผ่ซ่านออกมา
ขณะนี้จอมยุทธ์สามคนที่ยืนอยู่บนร่างเวทสวรรค์ได้ถูกดึงเข้าไปในเจดีย์ หายวับไปกับตา
ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากัน ชัดว่าฉากนี้เกินความคาดหมายนัก
“ที่มู่เฉินทำคืออะไร? เจดีย์ผลึกแก้วนั่นดูเหมือนจะไม่ใช่อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม…”
“ไม่ว่าเขาจะทำอะไร วันนี้เขาคิดจะเอาชนะสามผู้นำด้วยตัวเองจริงๆ หรือไง!”
“เป็นไปได้ยังไง…”
“ช่างเป็นการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์…”
“…”
เสียงกระซิบดังก้องที่ราบเป่ยยู่ แต่มีไม่กี่คนที่มองในแง่ดีสำหรับมู่เฉิน เพราะการสู้แบบหนึ่งต่อสามเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อยิ่งนัก
ทว่าพวกมั่นถัวหลัวไม่ได้ใส่ใจมากเกี่ยวกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่เจดีย์ผลึกใส พวกเขารู้ดีว่าเมื่อมู่เฉินนำเจดีย์ออกมา ผลลัพธ์ก็น่าจะใกล้กำหนดแล้ว…
ภายในเจดีย์
ผลึกคลื่นหลิงกวาดพายุออกมา โดยมีเงาขนาดใหญ่สามร่างยืนอยู่ เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองกำลังมองเจดีย์ขนาดมหึมาด้วยสายตาตกใจและประหลาดใจ
“หึ ไอ้เวร เวลานี้แล้วยังจะมาเสแสร้งอีกเรอะ?” เจ้าเมฆาม่วงมองไปยังมู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนที่เค้นเสียงอย่างเย็นชา
เจ้าภูเขาเหลยยิงพยักหน้า “ประมุขมู่ทำไมต้องขัดขืน? แค่พาสมาชิกตำหนักมู่ออกจากที่ราบเป่ยยู่ พวกข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”
มู่เฉินมองไปที่ทั้งสามคนก็กอดอกพลางยิ้ม “ทำไม? กลัวแล้วเหรอ?”
“ตลกร้ายแล้ว” เจ้าเมฆาม่วงเยาะเย้ย
“วาจาใหญ่โตจริง” เจ้าอินทรีทองถากถาง
“ร่วมมือกันทำลายเจดีย์นี้!” เจ้าภูเขาเหลยยิงตะเบ็งเสียง ไม่รู้เพราะเหตุใดเจดีย์นี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นควรออกไปก่อนดีกว่า
เจ้าเมฆาม่วงและเจ้าอินทรีทองพยักหน้า แม้ว่าพวกเขาจะดูหมิ่นทางวาจา แต่ในใจลึกๆ พวกเขาก็ยังหวาดผวาเกี่ยวกับเจดีย์นี้ เพราะพวกเขารู้ว่ามู่เฉินจะไม่นำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ออกมา ในเมื่อเขาก่อความวุ่นวายใหญ่โตเพื่อนำเจดีย์ออกมา ดังนั้นเขาต้องมีวิธีการบางอย่างแน่
ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพรั่งพรูออกมาจากร่างเวทสวรรค์ ขณะที่หมอกหลิงควบแน่น พลังงานก้อนใหญ่พุ่งเข้าใส่ผนังของเจดีย์
เมื่อเห็นภาพนี้มู่เฉินก็วาดตราประทับผนึกด้วยฝ่ามือข้างเดียว
เจดีย์เริ่มสั่นสะเทือน พลังงานผลึกปกคลุมผนังของเจดีย์เพื่อต้านทานการโจมตีจากทั้งสาม
หลังจากที่เร้าการป้องกันของเจดีย์ มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ผนังก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาสร้างตราประทับขึ้นพร้อมกับภาพมายาวูบไหวออกมา
ขณะที่ก่อร่างตราประทับ ลวดลายโบราณก็เริ่มปรากฏขึ้นบนผนังโดยรอบเจดีย์ ภาพแปดภาพปรากฏขึ้นบนผนัง
“นั่นอะไร?”
เมื่อภาพทั้งแปดปรากฏ ความผันผวนน่ากลัวก็แผ่กระจายออกไป ทั้งสามคนที่สัมผัสได้ก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ผนังกำแพงด้วยความตกใจ
ภาพแปดภาพบนผนังดูโบราณมาก ท่าทางโหดเหี้ยม ความโกรธเกรี้ยวที่พล่านในดวงตา ราวกับว่ากำลังปลดปล่อยพลังทำลายล้าง เพียงแค่การจ้องมองก็ส่งผลให้ผู้คนตกอยู่ในความกลัวที่ไม่มีสิ้นสุด
ภายใต้สายตาของภาพทั้งแปด แม้แต่จอมยุทธ์อย่างผู้นำทั้งสามก็ยังรู้สึกถึงความกลัวในใจ…
มู่เฉินก็มองภาพที่ดุร้ายทั้งแปด พวกมันราวกับเทพปีศาจยืนอยู่บนกำแพงเงียบๆ มองไปที่ศัตรู เตรียมพร้อมที่จะปลดปล่อยพลังทำลายล้างทุกเมื่อ
นี่ก็คือเจดีย์แปดองค์นั่นเอง
“วันนี้ข้าขอใช้พวกเจ้าทดสอบพลังของเจดีย์แปดองค์นี่หน่อยละกัน…”
มู่เฉินมองทั้งสามอย่างไม่แยแสก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ของเหลวจื้อจุนไหลทะลักออกมาแล้วรวมตัวกันราวกับสายธาร
ในนี่มีปริมาณของเหลวจื้อจุนถึงแปดสิบล้านหยด
การที่จะกระตุ้นเจดีย์แปดองค์จะต้องใช้พลังงานหลิงจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่มู่เฉินก็ไม่สามารถทำได้แม้ว่าเขาจะใช้พลังงานทั้งหมดที่มีก็ตาม ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ของเหลวจื้อจุนจำนวนมหาศาลเพื่อช่วยเหลือ
ยิ่งกว่านั้นนี่ยังเป็นเพราะมู่เฉินบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว มิฉะนั้นเขาจะต้องใช้ของเหลวจื้อจุนถึงร้อยห้าสิบล้านหยดเป็นอย่างน้อย…
“โชคดีที่ข้านำคลังของตำหนักมู่มาด้วย…”
มู่เฉินถอนหายใจในใจก่อนที่จะสูดหายใจลึก โดยไม่ลังเล ตราประทับก็เริ่มเปลี่ยนไป สายธารที่เกิดจากของเหลวจื้อจุนก็พวยพุ่งออกมา
ยามนี้ภาพร่างที่น่ากลัวทั้งแปดบนผนังก็เปิดปากเริ่มกลืนกินสายธารของเหลวล้ำค่า
ขณะที่พวกมันกลืนกินพลังงาน ภาพปีศาจทั้งแปดก็เริ่มขยับร่างกายส่วนบนผลักตัวออกจากผนังกำแพง
ตอนนี้พวกมันกลายเป็นของจริงแล้ว
หวือ หวือ!
แรงกดดันจากคลื่นหลิงน่าสะพรึงดังขึ้นภายในเจดีย์ผลึกแก้ว ความกดดันนี้ทำให้ใบหน้าของทั้งสามเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกว่าถูกคุกคามอย่างมากจากภาพปีศาจทั้งแปด
“ออกจากเจดีย์เร็ว!”
ทั้งสามตะเบ็งเสียงพร้อมกัน ทันใดนั้นพวกเขาก็เปิดฉากการโจมตีพยายามฉีกเส้นทางมิติ เพื่อพาตัวเองออกไป
ทว่ามู่เฉินจะให้โอกาสพวกเขาทำเช่นนั้นได้ยังไง? เขาใช้งบประมาณมหาศาลเพื่อดำเนินการกับเจดีย์แปดองค์ ดังนั้นเขาต้องเก็บเกี่ยวจากเรื่องนี้
เขาวาดตราประทับอีกครั้ง
โฮก!
เมื่อเขาสร้างตราประทับ ภาพปีศาจทั้งแปดก็คำรามเสียงดังลั่น ซึ่งอัดแน่นด้วยรัศมีการทำลายล้าง
ภาพปีศาจทั้งแปดภาพจ้องมองอย่างดุร้ายไปที่ทิศทางของเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง ก่อนที่จะเหยียดนิ้วออกแตะมิติตรงหน้า
ฟิ้ว!
ลำแสงแปดสายพุ่งออกมาจากนิ้ว ทำให้มิติแตกสลาย กระทั่งคลื่นหลิงยังถูกลบเลือนไปโดยสิ้นเชิง
ลำแสงสีดำพุ่งเข้ามา แม้จะไม่ได้ดูอลังการอะไร ทว่าจอมยุทธ์ทั้งสามถึงกับเปลี่ยนสีหน้ารุนแรงความกลัวพล่านในดวงตาส่วนลึกของพวกเขา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกถูกคุกคามจากสิ่งนี้
“โจมตีพร้อมกัน!”
ทั้งสามไม่สามารถสงบใจเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป พวกเขาร้องคำรามทันที
“โอบเมฆม่วง!”
“ระฆังวัชระยืนยง!”
“เกราะปีกเทพทองคำ!”
ร่างเวทสวรรค์ทั้งสามรวมพลังกัน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพุ่งออกมาสร้างปราการป้องกันสามแห่งบนท้องฟ้าเหนือร่างพวกเขา
ชั้นแรกเป็นหมอกสีม่วงปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกซึ้ง ชั้นสองเป็นระฆังสีทองขนาดใหญ่และสุดท้ายเป็นเกราะที่ประกอบขึ้นด้วยปีกสีทอง…
เผชิญหน้ากับลำแสงสีดำ ทั้งสามก็ใช้ปราการป้องกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดโดยไม่ลังเลใดๆ
นอกเหนือจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริง ก็ไม่มีใครสามารถทำลายปราการทั้งสามได้!
ฟิ้ว!
เมื่อแนวป้องกันทั้งสามถูกสร้างขึ้น ลำแสงแปดสายก็มาถึงทันที พุ่งเข้าโรมรันแสงสีม่วงชั้นแรกโดยไม่ลังเลใดๆ
ชี่ ชี่!
ในการปะทะกันไม่มีความปั่นป่วนใดเกิดขึ้น แต่เจ้าเมฆาม่วงก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าโอบเมฆม่วงถูกลำแสงทั้งแปดแทงทะลุในทันที
นิยามได้ว่าถูกบดขยี้แท้จริง!
เคร้ง!
ระฆังสีทองส่งเสียงก้องกังวาน แต่ฟังดูเหมือนเสียงโหยหวนแห่งความสิ้นหวัง เพราะไม่รอให้พวกเขาดีใจ รอยแตกก็เริ่มกระจายออกมาบนระฆังทองก่อนที่จะสลาย
ชี่!
ระฆังทองแตกออก แสงสีดำก็ส่องลงบนเกราะปีก ทันใดนั้นสีดำก็กระจายออกราวกับว่าถูกกัดกร่อน เพียงไม่กี่อึดใจชิ้นส่วนของชุดเกราะขนาดใหญ่ก็กลายเป็นของเหลวสีดำหยดแหมะลงไป
เฮือก
จอมยุทธ์ทั้งสามสูดลมหายใจเย็น ความหวาดผวาพล่านในดวงตา แนวป้องกันทั้งหมดของพวกเขาแตกพ่ายง่ายดายภายใต้ลำแสงสีดำ!
มู่เฉินเฝ้าดูฉากนี้อย่างนิ่งเฉยไม่มีความประหลาดใจเลย วิชาเจดีย์แปดองค์เป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน
ย้อนไปในอดีตผู้อาวุโสฝูถูก็ใช้วิชานี้สังหารราชาปีศาจมานับไม่ถ้วน ดังนั้นเป็นเรื่องปกติที่ง่ายในการจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนที่เพิ่งได้สัมผัสกับเทียนจื้อจุน
“ไป!”
มู่เฉินเคาะนิ้วออกเบาๆ พลางพูดออกมาแผ่วเบา
ฟิ้ว!
ลำแสงแปดสายเพิ่มความเร็วขึ้น พริบตาก่อนที่ทั้งสามจะตอบสนองลำแสงทำลายล้างทั้งหมดก็กระแทกเข้ากับร่างเวทสวรรค์ทั้งสาม
ชี่ ชี่!
เมื่อสัมผัสกับลำแสงสีดำทุกสรรพพสิ่งก็ถูกสึกกร่อนกลายเป็นของเหลวสีดำ สลายไปอย่างรวดเร็ว…
เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองมองไปที่ร่างยิ่งใหญ่ที่ด้านล่างด้วยความหวาดกลัว พวกเขาสัมผัสได้ว่าร่างเทห์สวรรค์พังทลายลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ของเหลวสีดำที่ผิดปกติยังพยายามเข้าแทรกร่างหลักผ่านร่างเทห์สวรรค์ด้วย
ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามใช้คลื่นหลิงต้านทานอย่างไร ก็ไม่สามารถขวางทางของเหลวสีดำเหล่านั้นได้!
พวกเขาฉายใบหน้าซีดเซียว ไม่มีใครคิดว่าจะต้องมาอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้!
นอกจากนี้พวกเขายังไม่เข้าใจว่ามู่เฉินใช้การโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไร ทั้งที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น…
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่เชื่อเพียงใด ความจริงก็อยู่ต่อหน้าแล้ว ร่างเวทสวรรค์ที่แข็งแกร่งใต้เท้าพวกเขากำลังพังทลายลง ลำแสงสีดำที่ครอบงำเป็นเหมือนเชื้อโรคกำลังแพร่กระจายเข้ามาในร่างหลักอย่างรวดเร็ว
“ทำลายร่างเทห์สวรรค์!”
ทั้งสามคนสบตากันกัดฟันกรอด ยามนี้พวกเขาเลือกที่จะหักข้อมือของตัวเอง มิฉะนั้นงานนี้พวกเขาได้รับบาดเจ็บหนักแน่ ถ้าให้ลำแสงสีดำเหล่านั้นกัดกร่อนร่างพวกเขา
ตู้ม!
เมื่อทั้งสามตัดสินใจ ร่างที่อยู่ใต้เท้าก็ระเบิดออกพร้อมกับแสงหลิงมากมายแตกกระจายออกไป
เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ก็เลิกคิ้วพลางสะบัดแขนเสื้อ เจดีย์ผลึกใสหดตัวลงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกลายเป็นลำแสงกลับไปสถิตในนัยน์ตา
สามจอมยุทธ์ล่าถอย พวกเขาดีใจเมื่อเห็นว่ามู่เฉินเรียกเจดีย์กลับไป ดูเหมือนว่าการระเบิดร่างเวทสวรรค์ทำให้มู่เฉินหวาดกลัว
แต่ในขณะนี้เป็นการดีที่สุดที่พวกเขาจะถอยกลับ ไม่เช่นนั้นอาจถูกดูดเข้าไปในเจดีย์อีกครั้ง
ด้วยความคิดนี้ที่วูบไหวในใจ ทั้งสามคนก็ถอยกลับโดยไม่ลังเล แต่เมื่อพวกเขาพยายามที่จะหนีออกมิติเบื้องหน้าก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
ม่านตาของพวกเขาหดลงทันที
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ลำแสงสีดำหลายสายพุ่งข้ามมิติไล่ตามมา ยิงเข้าใส่ร่างพวกเขาท่ามกลางสายตาหวาดผวาสุดขีด…
“บางครั้งการเฉลิมฉลองไปก่อนอาจทำให้เจ้ากลายเป็นตัวตลก…”
เสียงหัวเราะเบาๆ ที่แฝงด้วยเจตนาฆ่าของมู่เฉินดังออกมา ทำเอาดวงตาของเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองหดลงขณะจ้องมู่เฉินเขม็งราวกับใบมีด
จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ไม่คิดว่ามู่เฉินจะยังคงยืนหยัดอยู่ โดยไม่ได้แสดงความกลัวอะไรออกมาเลย
“ดูเหมือนว่าประมุขมู่เตรียมจะเดินไปตามทางยมโลกนะ” เจ้าภูเขาเหลยยิงส่ายหัวพลางพูดอย่างช่วยไม่ได้
แสงเย็นวูบวาบในดวงตาของเจ้าอินทรีทองก่อนจะพูดเสียงเย็นชา “อย่าพูดกับเขามาก เขาแค่พยายามถ่วงเวลา”
“จัดการมันเลย!” เจ้าเมฆาม่วงกล่าวเสียงเคร่งขรึม เจ้าภูเขาเหลยยิงจ่ายราคาแพงเพื่อดักจับร่างรองทั้งสองของมู่เฉินไว้ หากปล่อยให้พวกเขาหลุดออกมาได้ละก็ เท่ากับศึกนี้จะกลับไปเป็นสามต่อสามอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นความได้เปรียบของพวกเขาจะลดลง
“งั้นก็ลงมือกันเถอะ”
เจ้าภูเขาเหลยยิงก็พยักหน้า ชัดว่าไม่ต้องการให้สถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจากความล่าช้า
ตู้ม!
เมื่อทั้งสามคนบรรลุข้อตกลงแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ให้เวลามู่เฉินพูดพล่ามอีก พวกเขาส่งแรงไปที่ฝ่าเท้า พายุคลื่นหลิงสร้างความหายนะระหว่างสวรรค์และโลก ขณะที่ทั้งสามพุ่งเข้าหามู่เฉิน
เมื่อมองไปที่เงาทั้งสาม มู่เฉินก็วาดตราประทับเรียบเฉยด้วยมือข้างเดียว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ระเบิดแสงมหาศาลออกมาห่อหุ้มร่างเขาไว้
“แกคิดว่าสามารถป้องกันตัวเองได้จนกว่าไอ้ร่างพวกนั้นจะเป็นอิสระเรอะ?”
เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน ทั้งสามก็แสยะยิ้มเยาะเย็นชา จากนั้นแขนเสื้อของพวกเขาโบกสะบัด เริ่มปล่อยการโจมตีที่น่ากลัวใส่ปราการสีทอง
ครืนๆๆๆ!
แม้ว่าการป้องกันที่เกิดจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์จะทรงพลัง แต่ก็ยังสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับระลอกคลื่นกระจายออกไปภายใต้การโจมตีป่าเถื่อนของสามจอมยุทธ์
มองไปก็ดูเหมือนว่าคงจะแตกในไม่ช้า
เมื่อขั้วอำนาจอื่นๆ เห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็แอบเดาะลิ้น การโจมตีจากผู้นำทั้งสามนั้นน่าเกรงขามอย่างแท้จริง แม้แต่มู่เฉินซึ่งได้เปรียบก่อนหน้าก็ตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปมู่เฉินก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือของทั้งสาม เมื่อการป้องกันของเขาถูกทำลายก็จะไม่สามารถหลบหนีได้
เวลานี้ผลลัพธ์ที่น่าสมเพชของตำหนักมู่ก็ถูกกำหนดแล้ว…
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาของหลายๆ คนก็เริ่มเย็นเยือกลง ช่วงเวลาที่มู่เฉินเสียชีวิตนั่นหมายความว่าเสาหลักของตำหนักมู่ก็จะล้มครืน สมาชิกจากตำหนักมู่คงไม่สามารถหลบหนีจากที่ราบเป่ยยู่ได้เลย
เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองอย่างดุร้ายจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ ใบหน้าของจอมยุทธ์ตำหนักมู่ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดลงหลายส่วน พวกเขาขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นพร้อมกับคลื่นหลิงผันผวนไปทั่วบริเวณ ขณะที่มองมั่นถัวหลัวนิ่ง
มั่นถัวหลัวไพล่มือไว้ด้านหลังขณะอยู่ในอาการสงบ นางเพียงเงยหน้าขึ้นมองดูการต่อสู้รุนแรงบนท้องฟ้าโดยไม่มีความตื่นตระหนกในสายตา
เมื่อเห็นท่าทางสงบของนาง ร่างกายของทุกคนก็คลายลง สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้คือเชื่อมั่นในตัวมู่เฉิน
ตั้งแต่ติดตามประมุขมายังที่ราวเป่ยยู่ พวกเขาก็รู้แล้วไม่ใช่หรือว่าการเดินทางครั้งนี้มีความเสี่ยง?
เพื่ออนาคตของตำหนักมู่และอนาคตของพวกเขา
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ติดตามประมุขไปจนถึงจุดสิ้นสุดเถอะ
ตู้ม ตู้ม!
ท่ามกลางสายตาตั้งมั่นของสมาชิกตระกูลมู่ การปะทะกันครั้งใหญ่ก็ดังก้องบนท้องฟ้า การโจมตีรุนแรงกระแทกเข้ากับปราการสีทอง
ร่างมู่เฉินถูกปกคลุมไปด้วยแสง ขณะมองไปที่ภาพเงาทั้งสามโดยไม่มีระลอกคลื่นใดๆ ในดวงตา เขาเพียงก้มศีรษะลงมองไปที่เจดีย์ผลึกใส
“หนักเกินไปที่จะใช้วิชาเจดีย์แปดองค์ด้วยขุมพลังที่มีตอนนี้”
มู่เฉินยิ้มบางดูเหมือนเขาจะต้องเลือกที่จะบรรลุแล้ว วันนี้เขาต้องการที่จะทำลายความมั่นใจของทั้งสาม เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะไม่กล้าต่อกรกับตำหนักมู่ตลอดกาล!
เม็ดยาเม็ดหนึ่งปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วซึ่งมีกลิ่นหอม
นี่ก็เม็ดยาเซิ่งหว่า
นอกปราการสีทอง ผู้นำทั้งสามก็สังเกตเห็นการกระทำของมู่เฉิน แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มพยายามจะทำอะไร แต่ด้วยความระมัดระวังพวกเขาจึงเพิ่มความเร็วในการโจมตีทันที
มู่เฉินยกนิ้วโยนเม็ดยาเซิ่งหว่าเข้าปากและหลับตา
ยาไหลลงคอก่อนที่จะระเบิด ราวกับพายุแพร่กระจายไปทั่วสรรพางค์กายของมู่เฉินในทันที
พลังงานหลิงผันผวนภายในร่างกาย เนื้อหนังเปล่งแสงแวววาวประหนึ่งเขาถูกสลักจากอัญมณี
ในเวลาเดียวกันเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานที่แผ่ออกมาจากร่างกายของมู่เฉิน ช่างพลุ่งพล่านด้วยความเร็วที่น่าตกใจอย่างยิ่ง
คลื่นหลิงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่ซ่านอยู่รอบๆ ร่างของมู่เฉิน
“เขาพยายามจะบรรลุขุมพลัง!”
เจ้าเมฆาม่วงอุทานด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ
ชายหนุ่มคนนี้บ้าบิ่นแท้จริง มันกล้าที่จะบรรลุขุมพลังต่อหน้าพวกเขา!
“หยุดเขา!”
ทั้งสามแผดเสียงพร้อมกัน แค่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มมู่เฉินก็เป็นตัวปัญหามากแล้ว ถ้าเขาสามารถบรรลุขั้นเต็มได้ละก็ จะเหนียวเคี้ยวยากเกินกว่าจะรับมือแค่ไหน?
ดังนั้นพลังงานหลิงจึงรวมตัวกันอยู่เบื้องหลังทั้งสามคน ก่อเป็นเงาร่างสามร่างอย่างรวดเร็วซึ่งสร้างแรงกดดันที่น่ากลัว
ทั้งสามเร้าร่างเวทสวรรค์ออกมาแล้ว!
ขณะที่ร่างเวทสวรรค์ทั้งสามยืนตระหง่านระหว่างฟ้าดิน พลังงานหลิงก็ครางกระหึ่มราวกับพายุ
ตู้ม!
ร่างเวทสวรรค์ของทั้งสามเคลื่อนไหว กำปั้นมหึมาเหมือนได้รวบรวมพลังงานที่น่ากลัวไว้ภายใน ขณะที่เหวี่ยงซัด มิติก็แตกสลาย สุดท้ายกำปั้นก็พุ่งเข้าหาปราการสีทอง
ตึง ตึง!
ปราการสีทองผันผวนรุนแรงก่อนที่จะถึงขีดสุด อึดใจก็ระเบิดออก
“ตายซะ!”
เมื่อปราการสีทองแตกเป็นเสี่ยงๆ หมัดสามหมัดก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าตรงไปที่มู่เฉินที่ยืนอยู่บนไหล่ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ขณะที่มิติยุบลงอย่างต่อเนื่อง
ทุกคนเฝ้ามองฉากนี้ด้วยเปลือกตากระตุกไม่หยุด มู่เฉินจะเอาชีวิตรอดภายใต้การโจมตีนี้ได้อีกหรือ?
หมัดพุ่งลงมา ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมา มู่เฉินบนไหล่ของร่างสีม่วงทองก็ลืมตาโพลง
รูม่านตาสีดำของเขาลึกซึ้งบรรจุด้วยพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้
ขณะนี้ทุกคนรู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานหลิงที่เล็ดลอดออกมาจากมู่เฉินมาถึงจุดสูงสุดที่น่ากลัวแล้ว
“เขาทำได้จริงเหรอ?! นี่ไม่เร็วเกินไปรึไง?!” ทั้งสามตัวสั่นสะท้าน หากเป็นจอมยุทธ์ธรรมดาจะต้องใช้เวลานานในการบุกทะลวงขุมพลังแต่ละขั้น แต่ทำไมถึงใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีสำหรับมู่เฉิน?!
ทว่าที่พวกเขาไม่รู้คือมู่เฉินมีคุณสมบัติในการบรรลุนานแล้ว เขาแค่ละการทำเช่นนี้เอาไว้ เพราะเขาต้องการให้รากฐานพลังแข็งแรงมากขึ้นก่อน ดังนั้นเมื่อมียาเซิ่งหว่าเป็นตัวกระตุ้นก็คล้ายกับความกดดันคลายตัวลง ทำให้เกิดพัฒนาการได้อย่างง่ายดาย
“หึ ต่อให้แกจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม วันนี้ก็ต้องตาย!”
แต่ทั้งสามคนที่ตกใจก็กลับมาสงบลงได้อย่างรวดเร็ว ความดุร้ายในการโจมตีเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ไม่ต้องพูดถึงว่ามู่เฉินแค่บรรลุขั้นเต็ม ต่อให้มันสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนเหมือนกับพวกเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะชนะ!
ครืน!
ขณะที่เกิดความคิดนี้ การโจมตีที่ดุเดือดก็ได้ซัดลงไปแล้ว
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมือวาดตราประทับ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ส่งเสียงคำราม แสงสีม่วงทองพวยพุ่งก่อนที่จะซัดออกไป แสงพัฒนาเป็นโล่สีทองปะทะกับหมัดทั้งสาม
ตู้ม!
จังหวะที่ปะทะกันฟ้าดินก็เงียบงันไป วินาทีต่อมาคลื่นกระแทกกวาดออกไปในระยะหลายแสนจั้งระเบิดไปทั่วท้องฟ้า ลบหมู่เมฆจนหมดสิ้น
ทุกคนจับจ้องไปที่จุดปะทะ
ตรงจุดนนั้น ร่างสีม่วงทองถอยออกไปหลายพันจั้ง ส่วนหมัดทั้งสามก็ถูกต้านทานไว้ได้
“หึ”
ทั้งสามคนครวญครางด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แม้ว่าพวกเขาจะเหนือกว่าในการเผชิญหน้าครั้งก่อน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินได้
ต้องรู้ว่าแม้แต่คนที่อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีนี้!
แต่ตอนนี้มู่เฉินเพียงแค่ถูกผลักถอยกลับเท่านั้น ไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงใดๆ
ความโกลาหลกวนตัวพร้อมกับจอมยุทธ์หลายคนส่ายหัวด้วยความอัศจรรย์ใจ ชัดเจนที่พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถรับการโจมตีทั้งสามได้จริงๆ
“ช่างน่าเกรงขามนัก เผชิญหน้ากับสามจอมยุทธ์ยิ่งใหญ่ยังเสียเปรียบเพียงเล็กน้อย ประมุขมู่ดุดันจริงๆ!” แม้แต่ขั้วอำนาจที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้นำทั้งสามยังอดถอนหายใจไม่ได้
“แต่ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถต้านทานได้ ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเผชิญหน้ากับทั้งสามคนด้วยตัวคนเดียว เวลาต่อจากนี้ไปผู้นำทั้งสามจะเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน!”
ขณะที่เสียงสนทนาดังสะท้อน สายตาของผู้นำทั้งสามก็จับจ้องไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา เจตนาฆ่าไหลพล่านออกมาจากดวงตาพวกเขา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่พอใจกับการได้เปรียบก่อนหน้า
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาเย็นชานั่น มู่เฉินบนไหล่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็โบกมือเบาๆ “มีความสามารถอยู่จริงๆ นะเนี่ย”
มู่เฉินยิ้มขณะเงยหน้ามองไปที่ทั้งสามคน “อวดกันจบแล้ว งั้นต่อไปก็ควรถึงตาข้าบ้างแล้วมั้ง?”
เมื่อพูดจบเขาไม่ได้รั้งรอให้ทั้งสามพล่ามอะไร เจดีย์ผลึกใสก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่เงาขนาดใหญ่จะพลิ้วลงมาโอบล้อมทั้งสามคนไว้พร้อมกับร่างเวทสวรรค์…
บนที่ราบเป่ยยู่
เมื่อเสียงสงบราบเรียบของมู่เฉินดังกึกก้อง คลื่นเชี่ยวกรากกวาดไปทั่ว ทุกคนถึงกับตกตะลึงขณะมองดูภาพเงาอ่อนเยาว์
เห็นได้ชัดที่ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินยังคงไม่ขยับเขยื้อนแม้ว่าผู้นำทั้งสามจะร่วมมือกัน ตรงกันข้ามเขากลับมีท่าทางไม่ยอมแพ้
ต้องรู้ว่าทั้งสามคนเป็นจอมยุทธ์ที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้ว แม้ว่ามู่เฉินจะมีร่างดวงจิตที่ผิดแผก แต่เขาก็ไม่มีโอกาสสูงนักที่จะกำชัยชนะหากต่อสู้
จอมยุทธ์ตำหนักมู่ดูไม่วิตกกังวลมากนัก ซ้ำยังมีท่าทางตั้งมั่น พวกเขารู้ดีว่าตำหนักมู่ของพวกเขาต้องปะทะกับผู้นำทั้งสามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้ามู่เฉินล่าถอยในวันนี้ ผู้นำทั้งสามคงตีตลบหลังพวกเขาแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นการทำลายล้างก็รออยู่ข้างหน้า
ในเมื่อจะเป็นเช่นนั้น ทำไมไม่พยายามสุดกำลังแล้วลองเสี่ยงดู!
ขณะที่ฟ้าดินเดือดพล่าน เจ้าเมฆาม่วงก็มองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชาพูดว่า “โอหังนัก แกคิดจะท้าทายพวกข้าสามคนตามลำพังเนี่ยนะ?”
มู่เฉินยิ้ม พูดอย่างไม่แยแส “คนขี้แพ้มีสิทธิ์พูดด้วยเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยจากมู่เฉิน ใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วงก็กระตุก สายตาที่มองมู่เฉินราวกับจะฉีกเนื้อออกมากัดกินให้สาแก่ใจ เพราะด้วยสถานะของเขาในจักรวรรดิเหนือไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้กับเขา
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกโกรธมากก็คือความจริงที่ตนเองไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้ แม้จะมีการเยาะเย้ยก็ตาม เนื่องจากการประมือเมื่อครู่พิสูจน์ได้แล้วว่ามู่เฉินไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตัวเขา มิหนำซ้ำยังเหนือกว่า
ขณะที่เจ้าเมฆาม่วงแทบคลั่ง เจ้าภูเขาเหลยยิงก็ถอนหายใจ “ดูเหมือนประมุขมู่จะรั้นมากจริงๆ”
แม้ว่าจะแสดงท่าทางเสียดายบนใบหน้า แต่สายตากลับฉายแววเย็นชา เขาต้องการให้มู่เฉินดื้อจนถึงที่สุดเพื่อพวกเขาสามคนจะได้ผนึกกำลังกันอย่างจริงจัง
ในวัยเท่านี้มู่เฉินก็ไม่ธรรมดาแล้ว ถ้าปล่อยให้เติบโตเขาก็อาจกลายเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหนึ่งเดียวในจักรวรรดิเหนือก็เป็นได้
ถึงเวลานั้นราชันแท้จริงของจักรวรรดิเหนือจะเป็นใครไม่ได้นอกจากมู่เฉิน ดังนั้นอันตรายที่ซ่อนอยู่เช่นนี้จะต้องถูกกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด
เขาเชื่อว่าอีกสองคนก็มีความคิดเช่นเดียวกัน
เจ้าภูเขาเหลยยิงหันไปมองเจ้าอินทรีทองและเจ้าเมฆาม่วง ตามคาดทั้งสองคนพยักหน้าพร้อมกับรังสีสังหารแน่นหนาวูบไหวอยู่ในส่วนลึกของดวงตา
พรสวรรค์และศักยภาพของมู่เฉินทำให้พวกเขารู้สึกถูกคุกคาม
“ในเมื่อแกยืนยันที่จะทำลายสมดุลของจักรวรรดิเหนือ งั้นพวกข้าก็ต้องร่วมมือกันกำจัดแกเพื่อผดุงความสมดุลไว้” เจ้าอินทรีทองกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าช้าๆ สายตาเฉียบคมมากขึ้น
กีด!
ทันทีที่พูดจบ รัศมีสีทองก็ระเบิดออกมาจากเจ้าอินทรีทอง ก่อร่างเป็นปีกสีทองคู่หนึ่งข้างหลังกำจายความผันผวนแปลกประหลาด
ขณะเดียวกันคลื่นทรงพลังก็เปล่งออกมาจากเจ้าอินทรีทอง ทำให้ทั่วทั้งฟ้าดินตกอยู่ในแรงกดดัน
เมื่อเจ้าเมฆาม่วงเห็นเช่นนั้น ก็หมุนเวียนคลื่นหลิงโดยไม่ลังเล รัศมีสีม่วงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าขณะที่มองมู่เฉินอย่างเย็นชาโหดเหี้ยม
เจ้าภูเขาเหลยยิงยิ้ม เร้าคลื่นหลิงกระเพื่อมอยู่ข้างหลัง มองเห็นรูปร่างของเงาขนาดใหญ่คลุมเครือ
ทั้งสามออกกระบวนท่าในเวลาเดียวกัน แรงกดดันของคลื่นหลิงปกคลุมไปทั่วทั้งที่ราบเป่ยยู่ จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนสั่นสะท้านด้วยความกลัวบนใบหน้าภายใต้แรงกดดันนี้
ภายใต้แรงกดดันแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มบางคนยังสูญเสียความตั้งใจที่จะต่อสู้
เพียงแค่อยู่รอบนอกก็ยากสำหรับพวกเขาที่จะทน ไม่รู้ว่าความกดดันที่มู่เฉินกำลังเผชิญอยู่นั้นน่ากลัวเพียงใด
ขณะที่ทุกคนมองไปที่ภาพเงานั้นบนท้องฟ้า ร่างอ่อนเยาว์ก็ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่มีการกระเพื่อมจากผลกระทบของพลังงาน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่จอมยุทธ์ทั้งสามที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน แม้แต่เขายังรู้สึกกดดันเลย
ฮา
มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ สองมือเริ่มวาดตราประทับ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ปรากฏขึ้น ขณะที่แสงสีม่วงทองเคลื่อนไหว คลื่นหลิงก็ปกคลุมชั้นฟ้าและชั้นดินราวกับหมู่เมฆ
แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีสามคน แต่เขาก็มีวิชาสามพิสุทธิ์ด้วย ดังนั้นจำนวนไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรนัก
ทั้งหกประจันหน้ากันบนท้องฟ้า รัศมีที่แผ่ออกมาทำให้กระทั่งมิติยังแช่แข็ง
ปัง!
แต่อึดใจต่อมาบรรยากาศก็ถูกทำลาย เจ้าเมฆาม่วงเคลื่อนไหวเป็นคนแรก สายตาเย็นชาของเขาจ้องไปที่มู่เฉิน ขณะที่เมฆสีม่วงล้อมกรอบมู่เฉินไว้
ส่วนเจ้าอินทรีทองและเจ้าภูเขาเหลยยิงก็ทะยานเข้าไปสู้กับมู่เฉินชุดดำและชุดขาวตามลำดับ
มู่เฉินกระทืบเท้าส่งแรงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเผชิญหน้ากับเจ้าเมฆาม่วง ขณะที่ร่างรองก็หันไปประจัญบานกับผู้นำอีกสองคน
ตู้ม ตู้ม!
คลื่นกระแทกรุนแรงสร้างความหายนะในท้องฟ้า ชั้นฟ้าถูกฉีกออก รอยแตกกระจายอยู่บนชั้นดิน…
ที่ราบเป่ยยู่ถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นกระแทกของการต่อสู้ ซึ่งทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนหน้าถอดสี
ฟิ้ว!
ร่างเงาสีทองของเจ้าอินทรีทองพาดผ่านขอบฟ้า ปีกสีทองที่อยู่ข้างหลังกระพือยกระดับความเร็วจนน่ากลัว
ที่ด้านหลังมู่เฉินชุดดำตามมาอย่างใกล้ชิดขณะที่ปล่อยเสียงฟ้าร้องดังก้อง
เหลือบมองภาพเงาสีดำที่ตามมาข้างหลัง เจ้าอินทรีทองคำก็ปรากฏตัวขึ้นข้างเจ้าภูเขาเหลยยิง ซึ่งตอนนี้มู่เฉินชุดขาวอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่าย
“ล่อมันมาแล้ว” เมื่อเห็นมู่เฉินชุดดำและชุดขาวอยู่ด้วยกัน เจ้าอินทรีทองก็เหลือบมองไปที่ร่างหลักมู่เฉินที่ถูกกักเอาไว้โดยเจ้าเมฆาม่วงก่อนที่จะเค้นเสียง
เจ้าภูเขาเหลยยิงยิ้มพลางพยักหน้า ในทันใดนั้นแขนเสื้อกว้างของเขาก็เริ่มกระพือปีกเปล่งแสงที่ไม่มีที่สิ้นสุด ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
“แขนอาภรณ์ฟ้าดิน!”
แขนเสื้อก่อร่างเป็นช่องมิติที่ดูเหมือนหลุมดำ ขณะที่พุ่งออกไปห่อหุ้มมู่เฉินชุดดำและชุดขาว
แขนเสื้อห่อหุ้มขอบฟ้าไว้โดยมีมู่เฉินทั้งสองติดอยู่ข้างใน
โห่
ความปั่นป่วนดังขึ้นในฉากนี้พร้อมกับเสียงอุทาน “นั่นแขนอาภรณ์ฟ้าดิน!”
“ว่ากันว่านี่คือสมบัติของภูเขาเหลยยิง ซึ่งเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมที่มีมิติเป็นของตัวเอง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดยังไม่สามารถหลบหนีได้เมื่อถูกขังอยู่ในนั้น!”
เมื่อได้ยินเสียงอุทานเหล่านั้น ใบหน้าของจอมยุทธ์ตำหนักมู่ก็เปลี่ยนไป พวกเขาบอกได้เลยว่าเจ้าภูเขาเหลยยิงตั้งใจจะดักจับร่างดวงจิตของมู่เฉินไว้ชั่วคราว เพื่อทั้งสามคนจะได้พุ่งเป้าไปที่ร่างหลักของมู่เฉิน
ตู้ม ตู้ม!
ขณะที่แขนเสื้อขนาดใหญ่สะบัดไปมา เสียงดังก้องก็มาพร้อมกับการโจมตีที่น่ากลัวอย่างต่อเนื่องจากแขนเสื้อด้านใน ทำให้แขนเสื้อสั่นพั่บรุนแรงพร้อมกับรอยแตกเริ่มปรากฏขึ้น
เมื่อเจ้าภูเขาเหลยยิงเห็นภาพนี้ก็รู้สึกปวดหัวใจ แม้ว่าแขนอาภรณ์ฟ้าดินจะทรงพลัง แต่การดักจับสองคนไว้แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าเขาจะทำสำเร็จ แต่อาวุธล้ำค่าก็จะได้รับความเสียหายอย่างมากเช่นกัน
“ไม่ต้องปวดใจ รอให้ลบล้างตำหนักมู่ สมบัติในวังสวรรค์บรรพกาลสามารถชดเชยความสูญเสียของเจ้าได้สบาย” เจ้าอินทรีทองเอ่ยอยู่ด้านข้าง
เมื่อได้ยินเจ้าภูเขาเหลยยิงก็พยักหน้า
“อย่าเสียเวลา ไปจัดการกับร่างหลักของมู่เฉินเถอะ แขนอาภรณ์ฟ้าดินสามารถดักจับร่างดวงจิตได้เพียงครึ่งก้านธูปเท่านั้น” เจ้าภูเขาเหลยยิงพูด
“ไป!”
เจ้าอินทรีทองพยักหน้า ทั้งสองกลายเป็นริ้วแสงเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและเจ้าเมฆาม่วง
ตู้ม!
มู่เฉินและเจ้าเมฆาม่วงปะทะกันจังใหญ่ คลื่นหลิงรุนแรงสร้างหายนะไปทั่ว ฝ่ายหลังถอยกลับและทรงตัว ทว่าแม้ครั้งนี้เขาจะไม่สามารถคว้าตำแหน่งเหนือกว่าได้ แต่ก็มีรอยยิ้มน่าขนลุกบนใบหน้า
“มู่เฉิน สุดท้ายแกก็ต้องจ่ายราคาสำหรับความหยิ่งผยอง”
มู่เฉินหรี่ตาลง เอียงศีรษะเล็กน้อยก็เห็นเจ้าอินทรีทองและเจ้าภูเขาเหลยยิงปรากฏตัวอยู่ไม่ไกล ปิดเส้นทางหนีทีไล่ของเขาไว้หมดแล้ว
มู่เฉินขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ตอนร่างรองถูกขังไว้ในแขนอาภรณ์ฟ้าดิน แต่ดูเหมือนมันจะจัดการลำบากกว่าเมฆาม่วงเทวะ ทำให้ร่างรองของเขาไม่สามารถหลุดพ้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
“ท่าทางข้าจะประเมินพวกเจ้าต่ำเกินไป”
มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ การจัดการกับจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าที่จะจัดการกับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ในตอนนี้เขาถือได้ว่าอยู่ยงคงกระพันในหมู่จอยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพวกที่สัมผัสระดับเทียนจื้อจุน เขาก็ยังต้องระวังหนัก
เมื่อขั้วอำนาจอื่นๆ บนที่ราบเป่ยยู่เห็นฉากนี้ก็ได้แต่ส่ายหัว ดูเหมือนว่าการต่อสู้ในวันนี้ได้ถูกกำหนดแล้ว การเผชิญหน้ากับผู้นำทั้งสาม สุดท้ายมู่เฉินก็ต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ทว่าเขาสามารถบังคับให้ผู้นำทั้งสามต้องร่วมมือกัน ต่อให้วันนี้จะพ่ายแพ้แต่มู่เฉินก็ควรภาคภูมิใจแล้ว
“ประมุขมู่ ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์แค่ไหน บางครั้งก็ต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเอง พิจารณาสถานการณ์ให้ดีๆ… วันนี้ถือว่าเป็นบทเรียนก็แล้วกัน หวังว่าเจ้าจะดูตาม้าตาเรือมากขึ้นในอนาคตนะ” เจ้าภูเขาเหลยยิงถอนหายใจ
แต่สายตากลับฉายแววเย็นชาในที ‘แน่นอนว่าเขาต้องมีอนาคตให้ได้ก่อน…’
เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าภูเขาเหลยยิง มู่เฉินก็พยักหน้าเบาๆ และยิ้ม “วันนี้ข้าได้รับคำชี้แนะแท้จริง…”
พูดไป เขาก็หยุดชั่วคราวก่อนจะพูดต่อ “แต่ก็มีบางอย่างที่ข้าจะชี้แนะเจ้าเช่นกัน”
“โอ้?” เจ้าภูเขาเหลยยิงยิ้ม
มู่เฉินยิ้มบาง จากนั้นผลึกแสงก็เบ่งบานในดวงตา เจดีย์ทะยานออกมาพลิ้วลงบนฝ่ามือของเขา
มู่เฉินถือเจดีย์พุทธะไว้พลางเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาทั้งสามพร้อมกับเจตนาฆ่าผสานอยู่ในน้ำเสียงที่ค่อยๆ สะท้อนออกมา
“บางครั้งการเฉลิมฉลองไปก่อนอาจทำให้เจ้ากลายเป็นตัวตลก…”
บนท้องฟ้า
ร่างเงาสามร่างยืนอยู่พร้อมกับร่างสีดำและสีขาวที่ดูเหมือนกับมู่เฉินเปี๊ยบ นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้คนอื่นรู้สึกตกใจมากขึ้นก็คือความผันผวนของพลังงานที่มาจากทั้งสองไม่ได้อ่อนแอไปกว่ามู่เฉินเลย!
“พวกนั้นคือร่างดวงจิตหรือ? ทำไมถึงมีพลังเทียบเท่าร่างหลักได้ล่ะ” มีคนร้องอุทานด้วยความไม่เชื่อ ร่างดวงจิตไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาด แต่การมีพลังเฉกเช่นร่างหลักนั้นไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน!
ทันใดนั้นใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วงก็แข็งค้างครู่หนึ่ง ก่อนที่ความตกใจจะกะพริบในดวงตา เขารู้สึกถูกคุกคามโดยมู่เฉินที่มาใหม่ด้วย
‘เป็นไปได้ยังไง? ร่างดวงจิตของมันจะทรงพลังขนาดนี้ได้เหรอ?!’ เจ้าเมฆาม่วงคำรามในใจ หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของมู่เฉินที่ทรงพลังใกล้เคียงกันสามคนไม่ใช่หรือ?
แค่มู่เฉินคนเดียวก็แทบกระอักเลือดแล้ว ดังนั้นแม้แต่เจ้าเมฆาม่วงยังผวาที่จะต้องเผชิญหน้ากับสามคน
แต่มู่เฉินไม่ได้สนใจกับความตื่นตระหนกของอีกฝ่าย เขาโบกแขนเสื้อ ของเหลวจื้อจุนก็ไหลออกมาก่อนที่เขาจะดูดซับและกลั่นพวกมันเพื่อทดแทนพลังที่เสียไป
ขณะที่เขาเติมพลัง มู่เฉินชุดขาวและชุดดำก็ก้าวออกมาพร้อมกับธนูเล็งไปที่เจ้าเมฆาม่วง ก่อนที่จะปล่อยสายธนูโดยไม่มีการแสดงสีหน้าใดๆ ออกมา
ฮึ่ม ฮึ่ม!
สายธนูดีดออก รังสีสีทองสองสายก็ทะลุผ่านมิติด้วยความคมชัดที่น่ากลัว อึดใจต่อมารังสีทั้งสองก็ปะทะกับเมฆสีม่วงหนาทึบ
ครืน!
จังหวะนั้นเมฆสีม่วงก็สั่นไหวกลิ้งตัวไปมาอย่างรุนแรงพร้อมกับชั้นเมฆสลายไปภายใต้รังสีสีทอง
ก่อนที่เมฆสีม่วงจะสงบลง มู่เฉินชุดขาวและชุดดำก็ทำการโจมตีระลอกสอง รังสีสองสายกระทบกับเมฆสีม่วง ทำให้ชั้นเมฆเริ่มอ่อนตัวลง
ทุกคนที่เฝ้ามองฉากนี้ ท่าทางก็ดูซับซ้อนขึ้น มู่เฉินได้เปรียบในตอนนี้ ทำให้เจ้าเมฆาม่วงได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในการปกป้องของเมฆสีม่วงเท่านั้น
ทว่าการป้องกันก็อ่อนแอลงอย่างช้าๆ หลังจากเผชิญหน้ากับการโจมตีของสามมู่เฉิน ไม่ว่าเจ้าเมฆาม่วงจะทรงพลังแค่ไหน แต่ก็มีช่วงเวลาที่ไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไป
ทุกคนได้เห็นอย่างชัดเจนผ่านการเผชิญหน้าครั้งนี้ การปราบฝ่ายเดียวที่พวกเขาคาดไว้ไม่ได้เกิดขึ้น ตรงข้ามมู่เฉินที่น่าจะแพ้กลับทำให้พวกเขาตกใจแทน
มู่เฉินพิสูจน์ด้วยความแข็งแกร่งแล้วว่าเขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าสามผู้นำจักรวรรดิเหนือ ในกรณีนี้เขามีคุณสมบัติและอำนาจพอที่จะนำตำหนักมู่เข้าเป็นหนึ่งในผู้นำจักรวรรดิเหนือได้
ทุกคนมองหน้ากันก็ได้แต่ถอนหายใจ ดูเหมือนว่าจำนวนผู้นำจักรวรรดิเหนือจะเพิ่มขึ้นเป็นสี่ที่หลังจากวันนี้…
เมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ขั้วอำนาจคนอื่นๆ สมาชิกตำหนักมู่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงยินดี สายตาที่มองมู่เฉินเพิ่มความเคารพมากขึ้น พวกเขารู้ว่าโชคดีแค่ไหนที่มีผู้นำทรงพลังเช่นนี้
“ประมุขน่าเกรงขามอย่างแท้จริง” หลิ่วเทียนเต้าอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
คนอื่นๆ ก็พยักหน้ารัวๆ ขณะนี้เกียรติยศของมู่เฉินในใจของทุกคนถึงจุดสูงสุดแล้ว
มั่นถัวหลัวมองทุกคนที่ตื่นเต้น รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า นางมองมู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน
ตอนที่นางเจอมู่เฉินครั้งแรก เขาเพิ่งจะบรรลุขุมพลังจื้อจุน แต่ไม่กี่ปีต่อมาเด็กหนุ่มที่อ่อนแอก็ก้าวนำนางไปโดยไม่รู้ตัว
“ดูท่าข้าก็ต้องฝึกหนักแล้ว ไม่งั้นจะโดนเจ้านี่เหวี่ยงกลับมากกว่านี้” มั่นถัวหลัวพึมพำ
ในฐานะที่เป็นคนมั่นใจตัวเองสูง นางไม่ต้องการอยู่ภายใต้การคุ้มครองของมู่เฉินตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองไร้ประโยชน์ในอนาคต นางก็ต้องพยายามฝ่าฟันเส้นทางเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน
ขณะที่ความคิดสั่นไหวในหัวใจของขั้วอำนาจอื่นๆ เมฆสีม่วงก็ค่อยๆ สลายไปภายใต้การโจมตีของสามมู่เฉิน…
มู่เฉินยืนอยู่ระหว่างมู่เฉินชุดดำและชุดขาวพลางมองไปที่ร่างเจ้าเมฆาม่วงที่ค่อยๆ เผยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นชา
มู่เฉินยกมือขึ้นธนูสีทองก็รวมตัวอีกครั้ง รังสีสีทองพุ่งข้ามมิติก่อนที่จะกระแทกเข้ากับเมฆสีม่วง
ตู้ม!
ยามนี้แสงสีทองบานสะพรั่งทำลายเมฆสีม่วงได้ในที่สุด
ฟิ้ว!
เมื่อเมฆสีม่วงแตกสลาย ร่างเจ้าเมฆาม่วงก็ทะยานออกไป เขาอ้าปากดูดเมฆเข้าไปสถิตในร่างก่อนที่จะมองมู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ดูเหมือนกระดองเต่าของเจ้าจะไม่น่ากลัวอย่างที่อ้างนะ” มู่เฉินยิ้มบาง
หากพูดประโยคนี้ก่อนหน้า มู่เฉินอาจจะดึงดูดการเยาะเย้ย แต่ขณะนี้ทั่วฟ้าดินเงียบสงัด ผู้คนมากมายตัวสั่นสะท้าน
เพราะไม่มีใครคิดว่าเจ้าเมฆาม่วงจะถูกมู่เฉินบังคับให้อยู่ในสภาพที่เลวร้ายเช่นนี้…
โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับคำสั่งให้หยุดตำหนักมู่ ใบหน้าของพวกเขาซีดลงหลายส่วน ตอนแรกพวกเขายั่วยุอีกฝ่ายเพราะคิดว่าตำหนักมู่ถึงคราวล่มสลายในวันนี้ แต่เมื่อมองตอนนี้พลังของตำหนักมู่เกินความคาดหมายของพวกเขาไปไกล
ใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วงดูเคร่งขรึม รูม่านตาสีม่วงกะพริบด้วยความโกรธ ทว่าหลังจากได้สัมผัสกับพลังของมู่เฉิน เขาก็รู้ว่าตนเองไม่สามารถทำอะไรกับชายหนุ่มคนนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว
“ตอนนี้เจ้าคิดว่าตำหนักมู่ของข้ามีคุณสมบัติพอที่จะต่อสู้เพื่อตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือหรือยัง?” มู่เฉินจ้องไปที่เจ้าเมฆาม่วงด้วยรอยยิ้มบางขณะที่ถาม
เจ้าเมฆาม่วงเค้นเสียง “ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของจักรวรรดิเหนือ ข้ากลัวว่าจะไม่มีที่สำหรับผู้นำคนที่สี่ได้!”
ผู้นำทั้งสามแบ่งแยกดินแดนมากกว่าแปดส่วนของจักรวรรดิเหนือไปแล้ว ดังนั้นหากคนที่สี่ปรากฏขึ้น นั่นจะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนขนาดใหญ่ ทำลายสถานการณ์ปัจจุบันลงอย่างสิ้นเชิง
“งั้นก็น่าเสียดายจริงๆ”
มู่เฉินส่ายหัวด้วยความเสียดายก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนเป็นคมกริบ ธนูสีทองปรากฏขึ้นจากนั้นธนูก็ขึ้นสายโดยไม่ลังเล
ฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม!
ในเวลาเดียวกันมู่เฉินชุดขาวและชุดดำก็ขึ้นสายธนู รังสีสีทองสามสายทะยานออกมาทันทีพร้อมกับความคมกริบที่ไม่สามารถอธิบายได้เล็งไปที่เจ้าเมฆาม่วง ปิดทางหนีทั้งหมด
เมื่อลูกศรสีทองแหลมคมสามดอกพุ่งออกมา สีหน้าเจ้าเมฆาม่วงก็เปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะหายใจเข้าลึกๆ แสงสีม่วงรวมตัวกันอย่างรุนแรงในดวงตา กลายเป็นรังสีสีม่วงพวยพุ่งออกมา
ปัง!
รังสีสีม่วงและสีทองสายหนึ่งปะทะกัน ระเบิดเสียงดังสนั่น ทั้งสองลบล้างกันและกัน
ทว่าอึดใจนี้ลูกศรสีทองอีกสองดอกก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าร่างเจ้าเมฆาม่วง แต่เมื่อลูกศรสีทองกำลังจะพุ่งทะลุอีกฝ่าย พลังงานไร้ขอบเขตสองสายก็พุ่งลงมาห่อหุ้มลูกศรสีทองไว้
ปัง ปัง!
พลังงานรุนแรงระเบิดออก ลูกศรสีทองแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับพลังงานสองสาย
ความโกลาหลปั่นป่วนในภูมิภาคนี้อีกครั้ง สายตานับไม่ถ้วนมองไปในทิศทางของเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง ทั้งสองกำลังมองมาที่มู่เฉินโดยไม่แสดงท่าทางใดๆ ออกมา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสองคนเป็นคนช่วยเจ้าเมฆาม่วงเอาไว้
“ในที่สุดก็ลงมือแล้วเรอะ?” คิ้วของมู่เฉินยกขึ้น ท่าทางไม่ได้แปลกใจมาก
เนื่องจากเขารู้ชัดว่าตนเองสั่นบัลลังก์ผู้นำทั้งสามเข้า หากตำหนักมู่ต้องการขึ้นเป็นหนึ่ง พวกเขามองว่าจักรวรรดิเหนือเป็นพื้นที่หวงห้าม แต่ตอนนี้มีใครบางคนพยายามจะแตะต้อง ทั้งสามคนก็จะมองว่าเขาเป็นศัตรูโดยธรรมชาติ
“ประมุขมู่ ในเมื่อเจ้าอยู่ในตำแหน่งเหนือกว่าแล้ว ทำไมต้องก้าวล้ำกันด้วย” เจ้าภูเขาเหลยยิงมองไปที่มู่เฉินขณะพูดช้าๆ
มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “งั้นเจ้าสองคนคิดยังไงกับคำถามของข้า?”
เจ้าภูเขาเหลยยิงถอนหายใจกล่าวด้วยความสงสาร “ประมุขมู่สถานการณ์ในจักรวรรดิทางเหนือมั่นคงแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ขั้วอำนาจทั้งสามของพวกข้ารักษาไว้ ดังนั้นหากตำหนักมู่ต้องการอ้างสิทธิ์ในตำแหน่งเจ้าเหนือหัว ข้ากลัวว่าจะเกิดการนองเลือด”
“ดังนั้นพวกข้าหวังว่าประมุขมู่จะเล็งไปนอกจักรวรรดิเหนือ หากเป็นเช่นนั้นพวกข้าสามคนจะสนับสนุนเต็มที่”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ไร้ยางอายเหล่านั้นมู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ก่อนที่จะพูด “ถ้าข้ายืนยันคำพูดเดิมล่ะ?”
เจ้าภูเขาเหลยยิงแลกเปลี่ยนสายตากับเจ้าอินทรีทองและเจ้าเมฆาม่วง ก่อนที่เขาจะถอนหายใจ “ถ้าเป็นเช่นนั้น ตำหนักมู่ก็ต้องเผชิญหน้ากับพวกข้าสามคนจนกว่าจะหยุด”
เขาถอนหายใจพลางส่ายหัว ทว่าดวงตากะพริบอย่างเย็นชาด้วยเจตนาฆ่า พลังของมู่เฉินกระตุ้นความกลัวและเจตนาฆ่าของพวกเขา
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมาก็ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนอีกครั้ง ดูเหมือนว่าผู้นำทั้งสามจะร่วมมือกันชั่วคราวเพื่อทำลายผู้ท้าชิงแล้ว…
หากเป็นเช่นนี้ตำหนักมู่ก็คงต้องตกอยู่ในอันตราย
แม้ว่ามู่เฉินจะแสดงความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา มากจนสามารถผลักเจ้าเมฆาม่วงไปเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ตอนนี้ทั้งเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองออกโรงแล้ว ดังนั้นสถานการณ์นี้ก็น่าจะพลิกผัน
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน มู่เฉินก็หรี่ตามองไปที่ทั้งสาม ทั่วบริเวณเงียบสงัดมีเพียงเสียงลมพัด
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ก่อนที่มู่เฉินจะส่ายหัวมองไปที่ทั้งสามคน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”
“งั้นก็มาดูกันสิว่าพวกเจ้าสามคนมีความสามารถเพียงพอหรือไม่…”
แม้ว่าน้ำเสียงจะนุ่มนวล แต่ก็เหมือนเสียงคำรณที่ดังก้องทำให้หัวใจของทุกคนสั่นไหว ‘ประมุขตำหนักมู่คิดจะเผชิญหน้ากับผู้นำสามคนด้วยตัวคนเดียวรึ?!’
ฮึ่ม!
เสียงของธนูแหวกอากาศสะท้อนระหว่างสวรรค์และโลก ขณะที่รังสีสีทองบางจางทะยานข้ามขอบฟ้าปะทะกับดัชนีสีม่วง
แกร็ก!
ในช่วงเวลาแห่งการปะทะกันนั้น มิติก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เศษมิตินับไม่ถ้วนปลิวว่อนออกไปทิ้งรอยไว้ในอากาศรัศมีหมื่นลี้
สายตานับไม่ถ้วนจ้องไปที่การปะทะกันระหว่างจอมยุทธ์ทั้งสอง พวกเขาบอกได้เลยว่ากระบวนท่านี้ของทั้งมู่เฉินและเจ้าสำนักเมฆาม่วงคั้นพลังทั้งหมดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจจะยับยั้งใดๆ
ดังนั้นการเผชิญหน้าครั้งนี้สามารถบอกได้ถึงพลังของทั้งสอง
ตู้ม ตู้ม!
ดัชนีสีม่วงเปล่งประกาย มวลลมสีม่วงรุนแรงก็มาพร้อมกับความปั่นป่วนใหญ่ ขณะที่รังสีแสงสีทองยังคงดูเบาบางมาก แต่มันก็ไม่ได้ขยับในการเผชิญหน้าครั้งนี้
ภาพเงาของเจ้าสำนักเมฆาม่วงลอยอยู่บนท้องฟ้า เขามองไปที่รังสีสีทองจางด้วยสีหน้ามืดมน เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าไออันตรายจากรังสีสีทองไม่ได้อ่อนลงเลย
“ไอ้เด็กนี่พิลึกจริงๆ!”
เจ้าสำนักเมฆาม่วงพึมพำกับตัวเอง ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มของมู่เฉินเหนือคาดมาก ความแข็งแกร่งนี้สามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนได้เลย
ดวงตาเจ้าสำนักเมฆาม่วงกะพริบตาก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึกจากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว
ตู้ม!
รัศมีสีม่วงรวมตัวกันที่ดัชนีสีม่วง ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสีม่วงก็ขยายออก เมื่อมองจากระยะไกลก็ราวกับท้องฟ้าเสมือนจริง โดยมีดาวสีม่วงโคจรอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเปล่งพลังที่น่าอัศจรรย์ออกมา
เมื่อพลังของดัชนีสีม่วงเพิ่มขึ้น ในที่สุดรังสีสีทองก็เริ่มแสดงสัญญาณของการถูกกด
ใบหน้าของหลิวเทียนเต้าและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ของตำหนักมู่ก็เปลี่ยนไปเมื่อเห็นฉากนี้ หมัดของพวกเขากำแน่น หัวใจโลดไปที่คอหอย พวกเขารู้ความหมายเบื้องหลังการเผชิญหน้าครั้งนี้ หากมู่เฉินทำสำเร็จนั่นจะพิสูจน์ได้ว่าเขาสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์อย่างเจ้าสำนักเมฆาม่วงได้
แต่ถ้าเขาล้มเหลวเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองจะไม่ลังเลที่จะกลุ้มรุมมู่เฉินและตำหนักมู่ของพวกเขาอย่างแน่นอน
ภายใต้สายตาตกประหม่า ดวงตาของมู่เฉินจับจ้องไปที่พายุสีม่วงที่ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น พลังที่เล็ดลอดออกมาถึงจุดสูงสุดที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
เผชิญกับระดับการโจมตีนี้ถ้าเขายังอยู่ในขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะต้องพ่ายแพ้แน่นอน
แต่น่าเสียดาย…ที่เขามีพัฒนาการอย่างแข็งแกร่ง
เขายกนิ้วขึ้นเคาะเบาๆ ไปที่รังสีสีทองพร้อมกับเสียงเปล่งออกมาจากริมฝีปากเบาๆ “แตก!”
ตู้ม!
เมื่อเสียงดังก้อง รังสีสีทองดูเหมือนแพ้การต่อต้านก็ส่องแสงราวกับดวงอาทิตย์สีทองลุกโชติช่วงขึ้น
ความเฉียบคมที่น่าทึ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับว่าสามารถแทงทะลุฟ้าดินได้
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ลูกศรสีทองสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับลวดลายโบราณปรากฏบนตัวลูกศร ขณะที่ลวดลายบิดเกลียวไปปรากฏที่ปลาย
ชี่!
เมื่อลูกศรสีทองสั่นไหว ผู้คนนับไม่ถ้วนก็ได้ยินเสียงแผ่วเบา ก่อนที่จะเห็นรังสีสีทองแทงทะลุดัชนีสีม่วงทันที
แม้แต่พายุที่น่ากลัวก็ไม่สามารถขัดขวางลูกศรได้
โห่
ความโกลาหลระเบิดระหว่างฟ้าดิน
“อะไรน่ะ?!” ใบหน้าของเจ้าสำนักเมฆาม่วงเปลี่ยนไปรุนแรง เขาไม่เคยคิดว่าการโจมตีของมู่เฉินจะทรงพลังขึ้นในพริบตา
ฟิ้ว!
รังสีเจาะผ่านมิติ ก็พุ่งเข้าใส่เจ้าสำนักเมฆาม่วงภายในเวลาไม่กี่อึดใจ
เมื่อมองดูรังสีสีทอง ใบหน้าของเจ้าสำนักเมฆาม่วงก็กลายเป็นเคร่งเครียด ไออันตรายหนาแน่นที่พุ่งเข้ามาทำให้ขนของเขาลุกชันเลยทีเดียว
ดังนั้นเขาจึงเปล่งเสียงคำรามลั่น ร่างสีม่วงที่อยู่ข้างหลังก็ปล่อยหมัดออกมา หมัดสีม่วงปกคลุมดวงอาทิตย์
ส่วนตัวเขาก็ถือโอกาสนี้รีบถอยออกมา
ปัง!
ลูกศรสีทองและหมัดสีม่วงปะทะกัน แต่การปะทะกันที่ทรงพลังก็ยังไม่สามารถปิดกั้นลูกศรสีทองได้
มากจนอึดใจต่อมาหมัดสีม่วงแตกเป็นเสี่ยงๆ เลยด้วยซ้ำ
ร่างเงายักษ์สีม่วงถอยกลับ แขนทั้งข้างก็ถูกทำลาย แต่หลังจากนั้นพลังงานจากลูกศรสีทองก็หมดลงแล้วแตกสลายไป
ของเหลวสีทองไหลลงจากนั้นบินกลับไปที่มู่เฉิน
“สมกับเป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง” ดวงตาของมู่เฉินสว่างวาบขณะมองไปที่ของเหลววัชระทำลายวิญญาณ ความได้เปรียบก่อนหน้าของเขาทำได้สำเร็จเพราะสิ่งนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะของเหลววัชระ แม้ลูกธนูของมู่เฉินจะทำให้เจ้าสำนักเมฆาม่วงดูน่าอนาถได้ แต่ก็ไม่สามารถทำลายมือของร่างเทห์สวรรค์ของอีกฝ่ายได้
ของเหลวสีทองราวกับว่ามีชีวิตไหลเวียนไปมาในมือของมู่เฉิน เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วงก็เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายซีดขาวเล็กน้อย สายตามืดครึ้มมากเลยทีเดียว
“คราวนี้ยังเป็นมดกัดอยู่อีกไหม?” มู่เฉินยิ้มอ่อน ขณะมองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วง
ใบหน้าของเจ้าสำนักเมฆาม่วงกระตุก แม้ว่าจะกรุ่นโกรธในใจ แต่เขาก็โต้แย้งไม่ได้ เนื่องจากทุกคนเห็นเขาถูกบีบให้เข้าสู่สถานะนี้จากการโจมตีของมู่เฉิน
“ดูเหมือนว่าแกจะไม่ยอมสินะ” มู่เฉินมองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วงด้วยรอยยิ้มบาง ก่อนที่เขาจะวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว รหัสเทพอมตะนับร้อยรวมตัวกันกลายเป็นธนูอีกคัน
ฮึ่ม!
สายธนูง้างออก รังสีสีทองอีกสายก็พล่านออกมา ในเวลาเดียวกันของเหลววัชระก็แยกเส้นใยออกมาห่อหุ้มปลายลูกศรไว้
“งั้นอีกครั้ง!”
ลูกศรพุ่งออกไป มือมู่เฉินก็ยกขึ้นอีก ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน ทุกคนก็เห็นรหัสเทพอมตะร้อยลายกลายเป็นธนูอีกอัน
ฮึ่ม!
เมื่อสายธนูสั่นไหว ลูกศรอีกลูกก็บินออกมา
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เพียงไม่กี่สิบลมหายใจ ร่างมู่เฉินก็ถูกแสงสีทองห่อหุ้ม รังสีสีทองสิบสายบินออกมาครอบไปยังเจ้าสำนักเมฆาม่วง
เมื่อลูกศรสีทองทั้งสิบล้อมรอบ ใบหน้าของเจ้าสำนักเมฆาม่วงก็เปลี่ยนไปเมื่อเห็น เนื่องจากเขาได้ลิ้มรสชาติพลังของลูกศรมาแล้ว ยิ่งมีลูกศรสิบดอกพุ่งเข้ามา เขาทนไม่ได้แน่หากถูกโจมตี
เขาไม่กล้าที่รอช้าแผดเสียงลั่น รังสีสีม่วงพุ่งออกมาจากปากเขา ก่อตัวเป็นเมฆปกคลุมตนไว้ภายใน
“เมฆาม่วงเทวะ!”
มองไปที่เมฆสีม่วง ความวุ่นวายก็ระเบิดขึ้นระหว่างสวรรค์และโลก ทุกคนในจักรวรรดิเหนือรู้ว่าเจ้าสำนักเมฆาม่วงมีอาวุธมหสรรค์ขั้นเกือบจะยอดเยี่ยมที่เรียกว่าเมฆาม่วงเทวะ นี่เป็นอาวุธประเภทป้องกันที่ทรงประสิทธิภาพมาก ถ้าเปิดใช้แม้แต่จอมยุทธ์ระดับเดียวกันก็ทำลายมันไม่ได้
แต่เจ้าสำนักเมฆาม่วงแทบจะไม่เคยใช้อาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบจะยอดเยี่ยมนี้ ทว่าวันนี้เขากลับใช้ดังนั้นบอกได้ว่ามู่เฉินเป็นตัวอันตรายแค่ไหน
เมื่อเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองเห็นภาพนี้ใบหน้าก็เปลี่ยนไป พลังของพวกเขาถือได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกัน ถึงกระนั้นเจ้าสำนักเมฆาม่วงยังถูกบังคับให้มาถึงจุดนี้ นั่นหมายความว่ามู่เฉินมีความสามารถในการคุกคามพวกเขา
“เราประเมินไอ้หนูนี่ต่ำไป!”
พวกเขาสบตากันโดยมีแสงเย็นพล่านในดวงตา
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
ภายใต้ความปั่นป่วน รังสีสีทองก็กระแทกกับเมฆสีม่วงเกิดเสียงดังกระทบแก้วหู มิติพังทลายลงไม่หยุด เมฆสีม่วงก็กวนตัวไปมาอย่างรุนแรงภายใต้คลื่นกระแทก…
ทว่าการป้องกันของกลุ่มเมฆสีม่วงน่ากลัวอย่างแท้จริง ลูกศรลูกเดียวที่ทำให้เจ้าสำนักเมฆาม่วงตกอยู่ในสภาพที่เลวร้าย แต่ด้วยการปกป้องของเมฆสีม่วง ลูกศรสีทองทั้งสิบก็ทำให้เมฆสีม่วงอ่อนลงเล็กน้อยเท่านั้น
เจ้าสำนักเมฆาม่วงมองเมฆที่กำลังม้วนตัวก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินก่อนพูดเสียงน่าขนลุก “ไอ้หนูการโจมตีของแกทรงพลังก็จริง แต่แกจะสามารถปล่อยกระบวนท่านี้ได้มากกี่ครั้ง?”
ถึงยังไงเจ้าสำนักเมฆาม่วงก็เป็นจอมยุทธ์ที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน ดังนั้นสายตาของเขาจึงไม่เลว เขารู้ดีไม่ว่ามู่เฉินจะทรงพลังเพียงใด ก็ไม่สามารถปลดปล่อยการโจมตีดังกล่าวได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเนื่องจากมีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น
ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือซ่อนตัวในเมฆสีม่วง รอจนกว่าคู่ต่อสู้จะหมดแรง จากนั้นเขาก็สามารถฆ่ามู่เฉินได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าวิธีนี้จะทำให้เขาเสียหน้ามาก แต่ตราบใดที่เขาสามารถชนะได้ การเสียหน้านิดหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรไม่ใช่รึ?
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมู่เฉินก็ฉีกยิ้มก่อนที่จะพยักหน้า “การโจมตีเช่นนี้เสียพลังมากก็จริง”
ด้วยขุมพลังปัจจุบันลูกศรสีทองสิบลูกถือว่าเป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว
รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเจ้าสำนักเมฆาม่วง เมื่อไรที่มู่เฉินเปิดเผยข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย ก็ถึงเวลาที่เขาต้องตอบโต้บ้าง
แต่ก่อนที่อาการเยาะเย้ยจะขยายออกมา เขาก็เห็นรอยยิ้มผิดปกติของมู่เฉิน จากนั้นอีกฝ่ายก็วาดตราประทับขึ้น
ทันทีที่ตราประทับก่อตัว มิติก็ผันผวนอยู่ข้างๆ มู่เฉิน ร่างเงาสีดำและสีขาวปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ
พร้อมกับการปรากฏตัวของมู่เฉินชุดขาวและชุดดำ พวกเขาก็ยกมือขึ้นรหัสเทพอมตะเริ่มกลั่นตัวสร้างคันธนูขึ้นอีกสองคัน
พวกเขาเหนี่ยวสายธนูเล็งไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วง
รอยยิ้มบางพร้อมเพรียง เสียงมู่เฉินก็ดังสะท้อนระหว่างฟ้าดิน
“เอาล่ะ ให้ข้าสิว่ากระดองเต่าอันนี้จะปกป้องแกได้นานขนาดไหน”
ทันใดนั้นรอยยิ้มเยาะเย้ยของเจ้าสำนักเมฆาม่วงก็แข็งค้าง
“แกพร้อมที่จะตายหรือยัง?”
เสียงเจ้าสำนักเมฆาม่วงดังราบเรียบระหว่างสวรรค์และโลก ถ้าเป็นคนอื่นพูดประโยคดังกล่าว คงมีผู้คนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งแล้ว แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครกล้าหัวเราะออกมา
นั่นเป็นเพราะในจักรวรรดิเหนือ นอกเหนือจากผู้นำอีกสอง คนที่เหลือก็ได้แต่รอความตายประทานจากเจ้าสำนักเมฆาม่วงเท่านั้น
แต่…ตอนนี้อาจมีบุคคลที่สามเพิ่มเข้ามา
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน มู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับเจ้าสำนักเมฆาม่วง เขาหันไปมองเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าไม่คิดจะเข้ามาพร้อมกันเหรอ?”
เขารับรู้ความอยากฆ่าที่ทั้งสองมีต่อเขาโดยธรรมชาติ แต่ที่น่าแปลกคือเขากลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไร แต่ยังยั่วโมโหฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย
บนที่ราบเป่ยยู่ใบหน้าของทุกคนกระตุก ตกลงมู่เฉินคนนี้มั่นใจจริงหรือบ้าบิ่นกันแน่? เขาไม่เพียงท้าทายเจ้าสำนักเมฆาม่วง แต่ยังคิดจะลากเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองเข้ามาในการต่อสู้ด้วย?
พวกเขาเชื่อว่าหากผู้นำทั้งสามเคลื่อนไหวพร้อมกันละก็ งานนี้มู่เฉินตายคาที่แน่
เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองก็หรี่ตาลงกับการกระทำของมู่เฉินพร้อมกับแสงเย็นรวมเข้ามาในส่วนลึกของดวงตา พวกเขาจ้องไปที่มู่เฉินราวกับว่าต้องการมองอีกฝ่ายให้ทะลุ
พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินถึงได้จองหองขนาดนี้
เผชิญหน้ากับสายตาของพวกเขา มู่เฉินก็ยิ้มออกมาโดยไม่มีความกลัวใดๆ ในดวงตา มีเพียงไฟการต่อสู้ลุกโชน
เมื่อมองไปที่เขา ดวงตาของเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองก็กะพริบ สถานการณ์เช่นนี้มู่เฉินยังสามารถสงบสติอารมณ์ได้ แสดงว่าถ้าเขาไม่ใช่คนบ้าบิ่นก็ต้องมีไพ่ตายอยู่ในเขนเสื้อ
ในฐานะผู้นำจักรวรรดิเหนือ พวกเขาระมัดระวังโดยธรรมชาติ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างหลังแน่นอน
เจ้าภูเขาเหลยยิงยิ้ม “ตอนนี้เจ้าเป็นเหยื่อของเจ้าสำนักเมฆาม่วง ไม่ดีมั้งที่พวกข้าจะเข้าไปยุ่ง”
ไม่ว่ามู่เฉินจะบ้าหรือมีความสามารถจริงๆ เจ้าสำนักเมฆาม่วงจะเป็นคนผู้ทดสอบ ขณะที่พวกเขาจะประเมินความสามารถของมู่เฉินด้วยสายตา
ตอนนี้พวกเขายังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการของฝ่ายตรงข้าม ถ้าเคลื่อนไหวอย่างไม่ระมัดระวังและมู่เฉินมีวิธีมัดรวมฆ่าพวกเขาทั้งหมดด้วยกัน นี่ก็เท่ากับติดร่างแหไปด้วยกัน
ตอนนี้พวกเขาสามารถรอดูอย่างใจเย็น เมื่อตรวจสอบกลยุทธ์ของมู่เฉินเสร็จสรรพ พวกเขาจะบอกให้มู่เฉินรู้ว่าราคาสำหรับการทำตัวเหมือนคนโง่ต่อหน้าพวกเขาแพงขนาดไหน
มู่เฉินไม่ได้ขยับ แต่มองไปที่ทั้งสองแล้วยิ้ม “ช่างน่าเสียดาย”
เจ้าสำนักเมฆาม่วงหลุบตาลงเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “แกกำลังจะตาย ทำไมถึงต้องเสแสร้ง?”
มู่เฉินยิ้ม “ถ้างั้นก็ให้ข้าได้สัมผัสด้วยตัวเองว่าจอมยุทธ์ที่แตะระดับเทียนจื้อจุนมีอำนาจมากแค่ไหน”
เมื่อเขาพูดจบเจดีย์พุทธะก็เผยขึ้นในดวงตา คลื่นหลิงในร่างกายเขากวาดเข้าไปในเจดีย์เปลี่ยนรูปและขยายขนาดก่อนที่จะกลับคืนสู่ร่าง
ตู้ม!
ผลึกแสงระเบิดออกมาจากร่างกาย ทำให้เสื้อคลุมโบกสะบัด ระดับคลื่นพลังพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่อึดใจความผันผวนของคลื่นหลิงที่ระเบิดจากร่างมู่เฉินก็เกินกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดธรรมดาแล้ว
ทั้งบริเวณโกลาหล มู่เฉินเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น แต่คลื่นหลิงที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายทรงพลังยิ่งกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดอีก
นอกจากนี้ผลึกคลื่นหลิงของเขาก็ไม่ธรรมดา
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตเปล่งประกายอยู่ภายในร่างกาย มู่เฉินค่อยๆ กำมือแล้วเหวี่ยงหมัดออกไป
ปัง!
หมัดผลึกขนาดใหญ่พุ่งออก พลังที่บรรจุอยู่ภายในทำให้มิติระเบิด ราวกับดาวหางเมื่อยิงไปหาเจ้าสำนักเมฆาม่วง
เผชิญหน้ากับหมัดดุร้ายของมู่เฉิน เจ้าสำนักเมฆาม่วงกลับหัวเราะเยาะ ก่อนที่จะกอดอกปล่อยให้การโจมตีของมู่เฉินซัดมาโดยไม่มีการป้องกันใดๆ
ตู้ม!
เมื่อหมัดกระแทกเข้ากับร่างเจ้าสำนักเมฆาม่วง มิติก็สั่นสะท้านเหมือนกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
กำปั้นจางลง ทุกคนก็หดตาเนื่องจากเห็นว่าเจ้าสำนักเมฆาม่วงไม่แม้แต่ขยับจากจุดที่ยืน
กำปั้นของมู่เฉินราวกับไม่สามารถขยับเขาได้
มู่เฉินซึ่งอยู่ยงคงกระพันในที่สุดก็ถูกหยุดลง
“เหมือนมดกัดเลย” เจ้าตำหนักเมฆสีม่วงยิ้มเย็น
เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองก็ดวงตาวูบไหว ‘หรือว่าเจ้านี่ขี้โม้เรอะ? เขาไม่สามารถแม้แต่จะเขย่าการป้องกันของเจ้าสำนักเมฆาม่วงได้เลย
ภายใต้สายตาผู้คน มู่เฉินก็มองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วงด้วยความตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้ม “สมกับเป็นจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับความลึกซึ้งของระดับเทียนจื้อจุนแท้จริง”
ว่ากันว่าระดับเทียนจื้อจุนสามารถรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์และโลกเพื่อสร้างการป้องกันที่ทรงพลังรอบตัว ฟ้าดินจะช่วยกระจายพลังส่วนใหญ่ในการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม
นั่นคือความหมายที่นิยามว่า ‘เป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน’
เมื่อสักครู่เจ้าสำนักเมฆาม่วงกระจายการโจมตีของมู่เฉินไปยังสวรรค์และโลกอย่างชัดเจน มีเพียงบางส่วนของการโจมตีเท่านั้นที่เจาะเข้าไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะทนต่อการโจมตีนั้นได้
มู่เฉินไม่เคยมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนมาก่อน ดังนั้นเขาจึงต้องการตรวจสอบให้แน่ชัด
“ถือว่ามีสายตาดี แต่น่าเสียดายที่สายเกินไป” ใบหน้าของเจ้าสำนักเมฆาม่วงมืดครึ้มด้วยจิตสังหารรวมอยู่ในดวงตา
มู่เฉินส่ายหัวพลางยิ้ม “ค่อยโม้หลังจากแกสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์และโลกได้อย่างแท้จริงเมื่อก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนก่อนเถอะ ตอนนี้…แกน่ะของปลอมไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ตัวเองคิดหรอก”
“ไอ้โง่บ้าบิ่น ตอนนี้แกยังกล้าพูดหยิ่งผยองอยู่อีกเรอะ!” เจ้าสำนักเมฆาม่วงกล่าวเสียงน่าขนลุก
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจกลับวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว แสงสีม่วงทองระเบิดออกมา ก่อตัวเป็นเงาขนาดใหญ่
นี่ก็คือร่างเทพสุริยะนิรันดร์!
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ลวดลายสีม่วงทองนับไม่ถ้วนปรากฏบนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ จากนั้นก็ราวกับมังกรที่แยกตัวออกจากร่างมหึมา ขดตัวอยู่รอบร่างเขา
“รหัสเทพอมตะ ธนูทองคำอมตะ!”
มู่เฉินยื่นมือออกและลวดลายนับร้อยก็ส่งเสียงหวีดหวิวแล้วรวมตัวในฝ่ามือของเขา ก่อนที่จะสร้างคันธนูสีทองขนาดใหญ่
มือจับคันธนู สายตาไม่แยแสก็มองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วงขณะขึ้นสาย แสงสีม่วงทองควบแน่นบนคันธนู ก่อนที่ลูกศรสีทองจะก่อตัวโดยมีลวดลายที่ลึกซึ้งปกคลุมไว้
เวลาเดียวกันเสื้อคลุมของมู่เฉินก็กระพือขึ้นลง ของเหลวสีทองลอยออกมาห่อหุ้มลูกศรสีทอง
ของเหลวสีทองแข็งตัวทันทีและแสงสีทองบนลูกศรก็หรี่ลง ไม่ได้มีความสุกสกราวอีกต่อไป มิหนำซ้ำยังดูธรรมดาลงมาก
นี่ก็คือของเหลววัชระทำลายวิญญาณที่มู่เฉินแลกมาด้วยคะแนนสังหารปีศาจ
หัวลูกศรชี้ไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วง มู่เฉินก็คลี่ยิ้ม “คราวนี้แกลองยืนรับดูอีกทีสิ?”
ฮึ่ม!
เขาปล่อยลูกธนู รังสีสีทองจางๆ พุ่งออกมา
สายตานับไม่ถ้วนก็มองตามไป
ทันทีที่รังสีสีทองเข้ามาหา เจ้าสำนักเมฆาม่วงก็หดดวงตา เขาสัมผัสได้ถึงความคมชัดที่อธิบายไม่ได้พุ่งมาในทิศทางของตนเอง ซึ่งทำให้ผิวของเขาเจ็บแปลบเลยทีเดียว
ความตกใจหวาดกลัวปรากฏขึ้นในหัวใจของเขา พลังของลูกธนูน่ากลัวมาก ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถรับมือได้ด้วยการเป็นหนึ่งกับฟ้าดินในตอนนี้
“เจ้าบ้านี่มีความสามารถจริงๆ”
ใบหน้าของเจ้าสำนักเมฆาม่วงเข้มขึ้น เขามองแสงสีทองสะท้อนในดวงตาก็ไม่กล้าที่จะช้า หายใจเข้าลึกกระทืบเท้า แสงสีม่วงก็กระจายออกมา ภาพเงาสีม่วงมหึมาก่อตัวขึ้นข้างหลัง
นี่ก็คือร่างเทห์สวรรค์ที่เขาฝึกฝนนั่นเอง
“ดัชนีจักรพรรดิคว้าดาว!”
เจ้าสำนักเมฆาม่วงตะโกน ขณะที่ตราประทับเปลี่ยนแปลงวูบไหว นิ้วทั้งสองของเขายื่นออกไปในอากาศ
ร่างเงาสีม่วงก็ยื่นสองนิ้วที่ห่อหุ้มด้วยแสงเปล่งปลั่งสีม่วงออกมา ก่อตัวเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสีม่วง ราวกับว่ามันพยายามดึงดวงดาวด้วยปลายนิ้ว
กระบวนท่านี้ของเจ้าสำนักเมฆาม่วงทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในทันที ทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นหนึ่งในกระบวนท่าไม้ตาย ซึ่งเขาเอาออกมาใช้ตั้งแต่ตอนนี้
เห็นได้ชัดว่าการโจมตีจากมู่เฉินทำให้เจ้าสำนักเมฆาม่วงรู้สึกถึงการคุกคามแล้ว
ฟิ้ว!
ภายใต้ความสนใจ รังสีสีทองบางจางก็พาดผ่านขอบฟ้าปะทะกับดัชนีสีม่วงในไม่กี่อึดใจต่อมา ทุกคนเพ่งสายตาไปที่จุดประสานงานั่น…
เมื่อเงาทั้งสามปรากฏขึ้นทั่วบริเวณก็เงียบลง
ทุกคนมองหน้ากันความหวาดกลัว
นั่นเป็นเพราะร่างเงาทั้งสามนี้เป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิเหนือ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นผู้นำของขั้วอำนาจทั้งสาม
เจ้าสำนักเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง
ทั้งสามมีชื่อก้องไปทั่วทั้งทวีปเทียนหลัว ในจักรวรรดิเหนือพวกเขาคือผู้นำที่ไม่มีใครกล้าต่อกร
มู่เฉินมองไปที่ทั้งสาม คนทางซ้ายเป็นชายวัยกลางสวมชุดขาวพลิ้วไหวในอากาศ ท่าทางดูดี ทว่าม่านตาสีม่วงของเขาดูมีเสน่ห์จนไม่มีใครกล้าดูถูก
คนที่อยู่ตรงกลางเป็นชายหัวโล้นหูใหญ่สวมเสื้อคลุมสีเทา แขนเสื้อกว้างมากปลดปล่อยความผันผวนมิติเบาบางออกมา แม้จะมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า แต่คนที่มีประสาทสัมผัสว่องไวก็สามารถบอกได้ถึงความเย็นชาในดวงตาคู่นั้น
คนที่ยืนอยู่ทางขวาสวมชุดสีเทาและดูเคร่งขรึม จมูกแหลม ดวงตาทั้งสองแวววาวเป็นสีทองจางๆสายตาคมราวกับใบมีดที่ดูเหมือนว่าแทงทะลุหัวใจของคนอื่นได้
แต่ละคนปลดปล่อยความผันผวนที่ทรงพลังคล้ายคลึงกัน ทำให้มิติถึงกับสั่นสะเทือน คลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านในฟ้าดินก็สงบลงเมื่อเข้าใกล้ตัวพวกเขา
การยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ก็ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ให้ความรู้สึกว่าถ้าพวกเขาปลดปล่อยการโจมตี ก็เหมือนกับสวรรค์เปิดการโจมตีเอง
ความรู้สึกนี้ทำให้ดวงตาของมู่เฉินหดลง ผู้นำทั้งสามสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้ว แม้ว่าพวกเขาตอนนี้จะยังนับว่าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เมื่อคนอื่นๆ เทียบกับพวกเขาก็ราวกับหิ่งห้อยกับดวงจันทร์
มู่เฉินบดขยี้กลุ่มจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างง่ายดายเมื่อก่อนหน้านี้ ทั้งสามคนก็สามารถทำได้เช่นกัน
มั่นถัวหลัว หลิงซีและคนอื่นๆ ก็มาปรากฏตัวเคียงข้างมู่เฉิน แต่ละคนมองไปที่ร่างเงาทั้งสามด้วยความระวัง
“ทั้งสามคนนั้นสมกับเป็นเจ้าเหนือหัวอย่างแท้จริง พวกเขามีความสามารถเกือบจะอยู่ในระดับสี่จอมพลของวังสรรค์บรรพกาลแล้ว” มั่นถัวหลัวพูดเบาๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
มู่เฉินฉายสีหน้าตกใจถามด้วยความประหลาดใจว่า “จอมพลทั้งสี่ของวังสวรคค์บรรพกาลก็สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้วเหรอ?”
เขาคิดมาตลอดว่าจอมพลเหล่านั้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น
มั่นถัวหลัวกลอกตาก่อนที่จะตอบว่า “ยังไงพวกเขาทั้งสี่คนก็ได้รับการฝึกฝนจากจักรพรรดิฟ้า หากไม่ใช่เผ่าปีศาจต่างมิติบุกโจมตีตั้งแต่ที่วังสวรรค์บรรพกาลยังก่อตั้งไม่นาน พวกเขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้แน่”
มู่เฉินพยักหน้า ตอนที่เขาสามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างง่ายดาย เขาก็เริ่มรู้สึกผิดปกติเล็กน้อยเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาล พวกเขามีจักรพรรดิฟ้าซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ทว่าพลังการต่อสู้ภายใต้กลับอ่อนแอกว่าปกติ
หากจอมพลทั้งสี่เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดา จากสถานการณ์ของจักรวรรดิเหนือในปัจจุบัน พวกเขาคงไม่สามารถดูแลที่นี่ได้ด้วยซ้ำ
แต่ถ้าเป็นจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนก็แข็งแกร่งเพียงพอ แต่เมื่อเทียบกับจักรพรรดิฟ้าแล้ว พวกเขาก็ยังอ่อนแอเกินไป
“ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่ใช่บุคคลที่จะพบได้ง่าย เพราะพวกเขาเป็นตัวแทนของรากฐาน ดูอย่างตำหนักซีเทียนสิ แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์จะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน แต่เขาก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนอื่นอยู่ใต้บัญชาการใช่ไหมล่ะ?” เหมือนรู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไรอยู่ มั่นถัวหลัวก็ส่ายหัวพลางอธิบาย
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะตกอยู่ในภวังค์ความคิด จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนล้วนเป็นตัวแทนของรากฐาน แม้จะมีขั้วอำนาจมากมายในมหาพันภพ แต่ส่วนมากก็มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามเมื่อมองไปที่เผ่าโบราณเหล่านั้น อย่างเผ่าฝูถูจำนวนจอมยุทธ์ที่มีสูงกว่ามาก จากระดับหนึ่งนั่นอาจถือได้ว่าเป็นรากฐานของพวกเขา
“ทั้งสามคนนี้ทรงพลัง แม้แต่ในวังสวรรค์บรรพกาลพวกเขาก็สามารถลงชิงชัยเพื่อตำแหน่งจอมพลได้” มั่นถัวหลัวพูดด้วยความกังวลกะพริบในดวงตา แม้ว่าเมื่อครู่มู่เฉินจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่มี แต่นั่นแค่การเปิดฉาก หากตำหนักมู่ต้องการที่นั่งหนึ่งในจักรวรรดิเหนือ เขาก็ต้องฉกมาจากสามคนนี้
ถ้าเขาล้มเหลว ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ก็จะถูกล้างบางเหลือเพียงเถ้าถ่าน
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่มาจากทั้งสามคน เห็นได้ชัดว่าถ้าตำหนักมู่คิดจะบรรลุเป้าหมาย การต่อสู้ครั้งใหญ่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่มู่เฉินมองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง ทั้งสามก็มองไปที่มู่เฉินด้วยเจตนาฆ่าวูบไหวในส่วนลึกของดวงตา
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั้งเก้านั้นล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา แต่มู่เฉินสังหารพวกเขาไปถึงครึ่งหนึ่งอย่างไร้ความปรานี ราคานี้ทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง
พวกเขาประเมินมู่เฉินและความเด็ดขาดที่อีกฝ่ายมีต่ำไปมาก
เจ้าสำนักเมฆาม่วงมองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนพองสยองเกล้าที่สุด ก่อนที่จะพูดอย่างช้าๆ “ฮ่าๆ ดี นานมากแล้วที่สำนักเฆาม่วงของข้าต้องประสบกับความสูญเสียเช่นนี้ เจ้าแน่จริงๆ”
หกจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มของสำนักเมฆาม่วง สามคนถูกปิดผนึกโดยมู่เฉิน สามคนที่เหลือสองคนถูกสังหารและหนึ่งคนได้รับบาดเจ็บหนัก
เหล่าผู้อาวุโสของสำนักเมฆาม่วงถูกมู่เฉินริดซะเหี้ยนเลย
เมื่อมองสายตาเย็นชาของเจ้าสำนักเมฆาม่วง มู่เฉินก็ยิ้มบาง “สำนักเมฆาม่วงของเจ้าไปที่ตำหนักข้า ทำตัวหยิ่งผยอง ดังนั้นพวกเขาก็ต้องรับผิดชอบ”
สายตาเจ้าสำนักเมฆาม่วงเย็นเยือกลงหลายส่วนก่อนที่จะแค่นเสียง “ตำหนักมู่กระจ้อยร่อย สำนักเมฆาม่วงของข้าสามารถทำลายได้ด้วยการพลิกฝ่ามือ แกยังกล้าทำตัวหยิ่งผยองต่อหน้าข้างั้นเหรอ?”
มู่เฉินส่ายหัว “น่าเสียดายที่ตอนนี้สำนักเมฆาม่วงเป็นฝ่ายถูกกำจัด”
เผชิญหน้ากับรังสีสังหารของเจ้าสำนักเมฆาม่วง มู่เฉินไม่กลัว มิหนำซ้ำยังตอกกลับคำพูดของอีกฝ่าย เพราะเขารู้ดีว่าการล่าถอยในตอนนี้จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามก้าวเข้ามาอีกก้าว
ที่ราบเป่ยยู่เงียบงัน ผู้คนที่อยู่รอบๆ มองดูการเผชิญหน้าระหว่างมู่เฉินและเจ้าสำนักเมฆาม่วง พวกเขาตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว ไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักแอะเดียว
พวกเขารู้ดีว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่าย ถ้าพวกเขาปะทะกันก็จะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ง่ายๆ
“ฮ่าๆ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เจ้าสำนักเมฆาม่วงก็อดหัวเราะออกมาด้วยเจตนาเข่นฆ่าหนาแน่นในดวงตาไม่ได้ ทำเอาอุณหภูมิระหว่างสวรรค์และโลกลดฮวบลง
“มั่นใจได้ หลังจากวันนี้ข้าจะเคลื่อนพลเป็นส่วนตัวล้างบางตำหนักมู่ทั้งหมด!”
เจ้าสำนักเมฆาม่วงจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มอำมหิตปรากฏขึ้นที่มุมปาก “ภูมิภาคทางเหนือของแกจะกลายเป็นทะเลเลือดภายใต้ความโกรธของข้า เมื่อถึงเวลานั้นแกจะเป็นคนบาปให้ผู้คนตราหน้า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความยิ่งยโสและโง่เขลาเบาปัญญาของแก!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเยือกเย็นของเจ้าสำนักเมฆาม่วง ก็ไม่มีระลอกคลื่นใดบนใบหน้าของมู่เฉิน เขาพูดเบาๆ ว่า “พวกนกกระจิบร้องจิ๊บๆ ถ้าปากแกเก่งอย่างว่าก็คงครอบครองทวีปเทียนหลัวไปนานแล้ว”
ริมฝีปากของผู้คนโดยรอบกระตุก เห็นชัดพวกเขาไม่คิดว่าประมุขตำหนักมู่ไม่เพียงแต่โหดเหี้ยมด้วยทักษะ แต่ฝีปากยังคมกล้า ทำเอาเจ้าสำนักเมฆาม่วงบ้าคลั่งได้เลยจริงๆ
แต่ละคนแอบมองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วงก็เห็นความโกรธพุ่งออกมาจากดวงตา แม้แต่มิติโดยรอบก็สั่นเทิ้มภายใต้ความโกรธเกรี้ยว รอยแตกกระจายออกมา
ฮา
ทว่าเมื่อจิตสังหารพุ่งถึงขีดสุด การแสดงออกของเขาก็ค่อยๆ สงบลง ราวกับความสงบก่อนพายุจะมา
เขาไม่ได้มองไปที่มู่เฉินอีก แต่หันกลับไปมองไปที่เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง “ข้าจะให้ไอ้บ้านี่ดูว่าข้าจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ ยังไง พวกเจ้าว่าอย่างไรล่ะ?”
เจ้าสำนักเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองถือว่าเป็นศัตรูกัน แต่เนื่องจากตอนนี้มู่เฉินเป็นผู้ท้าชิงที่ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาจึงยอมจับมือกันชั่วคราวเพื่อที่จะฆ่าผู้ท้าชิงลงเสียก่อน
เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองสบตากัน ก่อนที่จะหรี่ตายิ้ม “งั้นเราจะปล่อยให้เจ้าสั่งสอนไอ้เด็กเหลือขอจอมหยิ่งคนนี้สักหน่อย”
ยามนี้ไอสังหารของเจ้าสำนักเมฆาม่วงมาถึงขีดสุดแล้ว แม้ว่าประมุขตำหนักมู่จะอายุน้อย แต่เขาก็มีความสามารถบางอย่างและเป็นเรื่องดีที่จะให้เจ้าสำนักเมฆาม่วงลงมือทดสอบก่อน
ถ้าเจ้าเด็กนั่นทำท่าจะแพ้ พวกเขาก็จะมองหาโอกาสที่จะฆ่าเขา ก่อนที่จะตัดแบ่งตำหนักมู่ออก
ไม่ว่าอย่างไรวันนี้จะต้องไม่เหลือชื่อตำหนักมู่อยู่ในภูมิภาคทางเหนืออีก
เจ้าสำนักเมฆาม่วงพยักหน้าอย่างใจเย็น แม้ว่ามู่เฉินจะดูแปลกๆ แต่เขาก็ไม่กลัว สิ่งที่เขากลัวคืออีกสองคนจะฉวยโอกาสตอนต่อสู้ แต่ดูจากท่าทางหมาแก่สองตัวนี่ก็ต้องการกำจัดตำหนักมู่เหมือนกัน
ดังนั้นเขาจึงหันหน้ากลับมา ม่านตาสีม่วงจ้องมองไปที่มู่เฉิน พูดขึ้นช้าๆ “ในเมื่อเป็นแบบนี้แกพร้อมที่จะตายหรือยัง?”
ลมเย็นเยือกกรูเข้ามาในที่ราบเป่ยยู่
ผู้คนนับไม่ถ้วนก็รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย ทว่าเมื่อสายตาของพวกเขารวมกันอยู่ที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ ความหนาวเย็นถึงได้พุ่งขึ้นสุดขั้วทำให้พวกเขาตัวสั่นสะท้าน
เบื้องหลังร่างเงาอ่อนเยาว์ ศพสองศพค่อยๆ เย็นชืดลง ไม่กี่อึดใจก่อนศพนั่นยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มตัวเป็นๆ อยู่เลยนะ!
แต่จอมยุทธ์ที่ทรงพลังเช่นนี้ ยังถูกกระชากชีวิตออกไปอย่างง่ายดายโดยยังไม่ได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันแม้แต่ครั้งเดียวกับร่างเงาอ่อนเยาว์
พวกเขาไม่มีโอกาสหนีด้วยซ้ำ!
สายตานับไม่ถ้วนจ้องมองไปที่มู่เฉิน ความกลัววูบไหวในดวงตาพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินมาว่าประมุขตำหนักมู่ไม่ธรรมดา แต่เมื่อได้เห็นกับตาพวกเขาถึงได้รู้ว่าเขาไม่ธรรมดาเพียงใด
“มิน่าตำหนักมู่ถึงคิดเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ความแข็งแกร่งนี้คงไม่ได้อ่อนแอไปกว่าประมุขขั้วอำนาจทั้งสามเลย” มีคนพูดด้วยสีหน้าหนักใจ ดูเหมือนว่าจะเกิดการสู้รบครั้งใหญ่ในที่ราบเป่ยยู่วันนี้แน่แล้ว
ท่ามกลางสายตาหวาดผวา มู่เฉินปัดมือเบาๆ ราวกับว่ากำลังสะบัดรอยเลือดที่ไม่มีอยู่จริง จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดที่อยู่ในอาการตะลึงงัน “ยังไม่คิดจะเข้ามาพร้อมกันอีกเหรอ?”
นับตั้งแต่เขาก้าวเข้าสู่ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มที่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากต่อกรเมื่อก่อนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องท้าทายอีกต่อไป เขารู้สึกว่าแม้จะไม่ได้ใช้ทักษะเทพใดๆ มีเพียงแค่เจดีย์พุทธะและคลื่นหลิง เขาก็ไปไกลเกินกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มหลายขุมแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการปิดผนึกอันทรงพลังของเจดีย์พุทธะ เผชิญหน้ากับความสามารถในการปิดผนึกนี้ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็อ่อนปวกเปียกเหมือนลูกเจี๊ยบในสายตาของเขา
“กะ…แกกล้าฆ่าพวกเขาเหรอ!” ในที่สุดจอมยุทธ์ทั้งเจ็ดก็หายจากอาการตกใจก่อนที่จะแผดเสียงลั่น พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่ามู่เฉินจะเด็ดเดี่ยวและไร้ปรานีเช่นนี้
ทันทีที่เคลื่อนไหวเขาก็สังหารโดยไม่ลังเลใดๆ
นอกจากนี้สองคนที่เสียชีวิตก็อยู่สถานะรองจากผู้นำของขั้วอำนาจใหญ่ทั้งสามเท่านั้นซึ่งดำรงตำแหน่งระดับสูง พวกเขามีชื่อเสียงมากแม้แต่ในจักรวรรดิเหนือ แต่พวกเขาถูกฆ่าในพริบตาเนี่ยนะ?
มู่เฉินยิ้มอ่อน “ไม่งั้นพวกแกคิดว่าตำหนักมู่ของข้ามาเล่นเหรอไง?”
“ยิ่งไปกว่านั้นนี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”
มู่เฉินยิ้มออกมา ทำให้จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดหนาวสั่นไปถึงหัวใจ ราวกับว่าพวกมันถูกมองโดยยมทูตที่ทำเอารู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง
“วาบ!”
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจที่จะพูดมากนัก ร่างเขาหายไปอีกครั้ง ช่างคลุมเครือราวกับว่าลำแสงพร่าเลือนกำลังพุ่งผ่านมิติ
“โจมตีพร้อมกัน!” ทั้งเจ็ดร้องตะโกนด้วยความหวาดหวั่นบนใบหน้า
ตอนนี้พวกเขารู้ซึ้งแล้วว่ามู่เฉินน่าสะพรึงเพียงใด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่หยิ่งผยองอีกต่อไป เนื่องจากพวกเขารู้ว่าจะสามารถต้านทานปีศาจนี้ได้ก็ด้วยการร่วมมือกันเท่านั้น
ตู้ม ตู้ม!
ดังนั้นทั้งเจ็ดจึงเร้าร่างเทห์สวรรค์ออกมาโดยไม่ลังเลใดๆ เมื่อร่างมหึมาเจ็ดร่างปรากฏขึ้นก็กวาดพายุคลื่นหลิงไปทั่วบริเวณ
วาบ!
มู่เฉินไม่ได้หยุดชะงัก เขาไปปรากฏตัวต่อหน้าร่างเทห์สวรรค์ร่างหนึ่ง จากนั้นก็เหยียดฝ่ามือออกไปตบลงบนหน้าอกของอีกฝ่าย
เมื่อฝ่ามือกระแทกลง ผลึกแสงก็คลี่กระจาย ร่างเทห์สวรรค์ยิ่งใหญ่ก็แข็งทื่อ คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตจางลงอย่างรวดเร็ว
ปัง!
ร่างขนาดใหญ่แตกสลายทันที เนื่องจากพลังงานที่อยู่ภายในถูกปิดผนึก ไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไป
เมื่อร่างเทห์สวรรค์แตกสลาย เงาน่าสมเพชก็ปลิวออกไป ความไม่เชื่อและตกใจฉายบนใบหน้าของเขา
เขาไม่คิดเลยว่าถึงแม้จะนำร่างเทห์สวรรค์ออกมาก็ยังไม่สามารถเผชิญกับมู่เฉินได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว
ผลึกคลื่นหลิงผิดปกติบีบคั้นยิ่งนัก ทันทีที่สัมผัสกับร่างเทห์สวรรค์ก็จะปิดผนึกคลื่นหลิงและทำลายจากภายในสู่ภายนอก
แม้ว่าคนคนนั้นจะถอยไปอย่างรวดเร็ว แต่มู่เฉินก็เร็วกว่า ก่อนที่จอมยุทธ์คนอื่นๆ จะตอบสนอง เขาก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าอีกฝ่ายเหวี่ยงหมัดซัดที่หน้าอกอย่างจัง
ปัง!
ผลึกแสงพุ่งออกมาบนหมัด เมื่อผลึกแสงสัมผัสกับจอมยุทธ์คนนั้นก็ทะลุทะลวงผ่านร่างไป จากนั้นคลื่นหลิงในร่างก็หรุบหรู่ลงอย่างรวดเร็ว
“ระเบิด!”
มู่เฉินฉายท่าทางไม่แยแสพูดเบาๆ
ผลึกแสงราวกับหนามแหลมนับพันนับหมื่นระเบิดจากภายในร่างจอมยุทธ์โชคร้าย ร่างกายปริแตกออกมา
ผลึกแสงส่องประกายไปทุกอณู ด้วยคลื่นหลิงที่ถูกปิดผนึก ไม่ว่าพลังชีวิตของจอมยุทธ์คนนั้นจะทรงพลังมากเพียงใด ตราบใดที่สูญเสียคลิ่นหลิงไปเขาก็จะอ่อนแอเหมือนคนธรรมดา
พริบตาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอีกคนก็ลาจากโลกนี้ไป
มู่เฉินไม่แม้แต่จะเหลือบมอง เขาหลบเลี่ยงการโจมตีหลายกระบวนท่าที่เข้ามาในทิศทางของเขาก่อนที่จะทะยานเข้าใส่ร่างเทห์สวรรค์ร่างอื่น
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
ขณะที่คลื่นหลิงป่าเถื่อนสร้างความหายนะ ร่างขนาดใหญ่ทั้งหกก็กำจายความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง พร้อมกับร่างเล็กจ้อยวูบวาบท่ามกลางพวกเขา
ทว่าเมื่อใดก็ตามที่ร่างนั้นวาบผ่าน ก็จะมีร่างมหึมาถอยกลับไป จากนั้นร่างเล็กก็จะคว้าโอกาสในเสี้ยวอึดใจโจมตีด้วยผลึกคลื่นหลิงทำลายร่างเทห์สวรรค์ แล้วเริ่มไล่ล่าคนที่อยู่ภายใน ทำให้ร่างแหลกสลายเป็นชิ้นๆ
คลื่นหลิงแผดเสียงตลอดเวลาทั่วทั้งฟ้าดิน สภาพแวดล้อมเงียบสงัดลง มีเพียงเสียงคนกลืนน้ำลายเท่านั้นที่ส่งเสียงออกมาเป็นครั้งคราว
สถานการณ์ตอนนี้ แม้จะดูเหมือนว่ามีหลายคนพุ่งเป้าไปที่มู่เฉิน แต่ทุกคนบอกได้ว่าจังหวะในการโจมตีของเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มวุ่นวายไปหมด ทุกกระบวนท่าที่ปล่อยออกมาอัดแน่นด้วยความกลัว
เนื่องจากพวกเขารู้ว่าเมื่อมู่เฉินพบช่องโหว ผลลัพธ์ของพวกเขาก็จะเหมือนกับคนก่อนหน้านี้
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะหวาดกลัวเพียงใด หลังจากนั้นไม่กี่นาทีพวกเขาก็ตระหนักด้วยความสยดสยองว่าสหายรอบตัวลดลงเรื่อยๆ จำนวนของพวกเขาลดลงจากเจ็ดเหลือสี่คนแล้ว
นั่นหมายความว่าตั้งแต่เริ่มการต่อสู้จนถึงตอนนี้มีสามคนลาลับเพิ่มอีก!
นอกจากนี้คู่ต่อสู้ของพวกเขายังไม่ได้นำร่างเทห์สวรรค์ออกมาด้วยซ้ำ
ยามนี้สี่คนที่เหลือรู้สึกหวาดกลัวสุดขีดในหัวใจ พวกเขาซึ้งแล้วว่าวันนี้ดันไปปะทะกับอสูรกายที่น่ากลัวเพียงใด
พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
“เผ่นเร็ว!”
จิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขามอดดับ ทั้งสี่ถอยออกไปในเวลาเดียวกัน พวกเขารู้ว่าถ้ายังดันทุรังต่อไป พวกเขาคงตายอยู่ที่นี่ทั้งหมด
“คิดหนีเหรอ? สายไปหน่อยมั้ง” มู่เฉินมองไปที่ทั้งสี่ก็ยิ้มบางโดยไม่มีความอบอุ่นใดๆ ในรอยยิ้ม
เขารู้ดีว่าหากตำหนักมู่ต้องการผงาดขึ้น เขาก็จะต้องข่มขู่ผู้อื่นและตอนนี้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มฝูงหนึ่งก็ดันส่งตัวเองขึ้นเขียงมาเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุด
ร่างวูบไหวพริบตาก็ไล่ตามร่างใหญ่ทั้งสี่ไปพร้อมกับดวงอาทิตย์ผลึกรวมอยู่ในฝ่ามือแฝงด้วยพลังที่ไม่สิ้นสุด
เมื่อสัมผัสถึงความผันผวนน่ากลัวจากดวงอาทิตย์ผลึกใบหน้าของทั้งสี่ก็ซีดเผือด พวกเขาเลิกอายตะโกนลั่น “ท่านประมุขช่วยด้วย!”
เสียงของพวกเขาถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิง สะท้อนออกไปทั่วฟ้าดิน
ตอนแรกพวกเขาไม่ต้องการขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวเสียหน้า แต่ตอนนี้พวกเขาไม่คิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เพราะหากยังไม่ขอความช่วยเหลือใดๆ พวกเขาคงจะถูกฝังอยู่ที่นี่
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง มู่เฉินก็ยิ้มไม่แยแสก่อนที่จะเร่งความเร็ว ดวงอาทิตย์ผลึกพุ่งเข้าหาทั้งสี่
“กล้าดียังไง!”
เมื่อดวงอาทิตย์ผลึกกำลังจะห่อหุ้มทั้งสี่ เสียงสามเสียงก็สะท้อนออกมาราวกับฟ้าร้องก้อง
ขณะเดียวกันร่างแสงสามร่างก็พุ่งผ่านมิติ พลิ้วลงมาด้วยคลื่นหลิงทรงพลัง ปะทะกับดวงอาทิตย์ผลึก
ปัง!
เมื่อเผชิญกับการโจมตีที่น่ากลัวของทั้งสาม ดวงอาทิตย์ผลึกก็แตกออกทันที
แต่รอยยิ้มเย็นกลับปรากฏบนริมฝีปากของมู่เฉินก่อนที่จะสะบัดนิ้วออก
ฟิ้ว!
ผลึกแสงสี่สายกระจายออกจากดวงอาทิตย์ หลบลำแสงคลื่นหลิงทั้งสามยิงไปยังจอมยุทธ์สี่คนที่คลายความระวังหลังจากที่ได้รับการช่วยชีวิต
เมื่อผลึกแสงพุ่งเข้าสู่ร่างกายของพวกเขา ท่าทางของพวกเขาก็แข็งค้าง ความกลัวพุ่งขึ้นบนใบหน้าขณะที่คลื่นหลิงในร่างกายอ่อนลงด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง
ปัง!
ร่างเทห์สวรรค์พังทลายลง เงาร่างทั้งสี่ถูกเผยออกมา แต่ละคนกระอักเลือดคำใหญ่ขณะที่ดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้า จากนั้นก็อาเจียนเป็นเลือดอีกหลายคำ
จากสภาพแม้จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่พวกเขาก็ราวกับตายไปครึ่งตัวแล้ว
ที่ราบเป่ยยู่ตกอยู่ในความเงียบสงัด ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด ไม่มีใครคิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเก้าคน ห้าคนตายคาที่ อีกสี่คนได้รับบาดเจ็บในช่วงเวลาเพียงครึ่งก้านธูป
นอกจากนี้ที่สำคัญกระทั่งผู้นำสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองออกโรงยังไม่สามารถปกป้องสี่คนที่เหลือได้
ประมุขตำหนักมู่คนนี้น่ากลัวแค่ไหนกัน?
ภายใต้สายตาที่ตกตะลึง มู่เฉินเหลือบมองไปที่จอมยุทธ์ที่บาดเจ็บสาหัสทั้งสี่ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นพูดอย่างใจเย็น “ตอนนี้รู้สึกปวดใจแล้วเรอะ?”
การสูญเสียจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มของสามขั้วอำนาจถือได้ว่าทำให้รากฐานพวกเขาสั่นคลอนไปหมดทีเดียว
เสียงหัวเราะสามเสียงดังก้องจากส่วนลึก แต่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่น่ากลัวในน้ำเสียงเหล่านั้น
ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยว ทุกคนต้องตกตะลึงเมื่อเห็นร่างเงาสามร่างย่างกรายออกมา
ทั้งสามเพียงแค่ยืนอยู่บนท้องฟ้าเงียบๆ ก็ปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวออกมา ซึ่งเกินขอบเขตของระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุด
มีร่องรอยของระดับเทียนจื้อจุนอยู่ภายในร่างกายพวกเขา
ยามนี้สายตาของมู่เฉินก็รวมอยู่ที่พวกเขา นอกเหนือจากเจ้าสำนักเมฆาสีม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง พวกเขาจะเป็นใครได้อีก?
“ในที่สุดก็ออกมาซะที…”
ปัง!
ขณะที่บรรยากาศในที่ราบปั่นป่วน คลื่นหลิงรุนแรงก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่างสิบกว่าร่างก็ถูกพัดกระเด็นพร้อมกับกระอักเลือดออกมา ร่างร่วงหล่นลงสู่พื้น
“นั่นเป็นกลุ่มที่แปดแล้ว”
มู่เฉินมองไปที่คนน่าสมเพชอย่างไม่แยแส นับตั้งแต่พวกเขาก้าวเข้าสู่ที่ราบนี่เป็นกลุ่มที่แปดที่ขัดขวางพวกเขา
อันที่จริงแต่ละกลุ่มไม่ได้อ่อนแอ ทุกกลุ่มมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ไม่ว่าจะจู่โจมอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถฝ่าการป้องกันของหลงเซี่ยง มั่นถัวหลัว หลิงซีและเจียงหลงได้
สำหรับจอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตำหนักมู่ นอกจากกลุ่มหลิ่วเทียนเต้าที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย คนอื่นๆ ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร อยู่ที่นี่เพื่อให้ครบจำนวนเท่านั้น
ส่วนตัวมู่เฉินก็ยังไม่ได้ออกกระบวนท่าใดแม้แต่ครั้งเดียว
เห็นได้ชัดว่าการกีดขวางเหล่านั้นไม่เพียงพอสำหรับประมุขมู่ที่จะออกโรงด้วยตัวเอง
“ไอ้พวกแมลงวันนี่!” มั่นถัวหลัวกล่าวเสียงเย็นชา นางเริ่มรำคาญคนพวกนี้แล้ว
“พวกมันมาเป็นระลอกพยายามทำให้เราหมดแรง ทันทีที่รัศมีของเราอ่อนลงคนที่จับตามองเหล่านั้นก็อาจพุ่งใส่เรา” หลิงซีกล่าวเบาๆ
“งั้นก็ให้เข้ามาได้เลย แล้วมาดูกันว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้าย” หลงเซี่ยงยิ้มน่าขนลุก คลื่นหลิงแปรปรวนรอบๆ ตัวเขา ซึ่งบางครั้งก่อตัวเป็นภาพมังกรพลายปล่อยพลังอันน่ากลัวสั่นสะเทือนมิติออกมา
เจียงหลงกอดอก ศัตรูเหล่านี้ไม่เข้าตาเขาสักคน เนื่องจากศัตรูที่เขาต่อสู้ในอดีตล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน แม้ว่าจะเป็นเพราะกองทัพมังกรดำ แต่ยังไงก็ทำให้มุมมองกว้างขึ้น
“ตอนนี้เราถือได้ว่าอยู่ในส่วนลึกที่ราบเป่ยยู่แล้ว คนเหล่านี้ก็เริ่มหวาดกลัว” มู่เฉินยิ้มอ่อน เขารู้สึกได้ว่าการกีดขวางเริ่มลดลง เห็นได้ชัดว่าหลังจากความล้มเหลวมาแปดกลุ่ม จอมยุทธ์เหล่านี้ก็เริ่มสูญเสียขวัญกำลังใจ
“ตรงไปที่ใจกลางกันเถอะ” มู่เฉินยิ้มเอามือไพล่หลังมองอย่างสบายใจ ราวกับไม่เห็นสายตาที่จ้องมองมาเลย
ทว่าด้วยท่าทางไม่แยแสของมู่เฉิน ทำให้จอมยุทธ์ที่นี่รู้สึกหวาดกลัว พวกเขาไม่กล้าหาญชาญชัยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
จากการปะทะกันหลายครั้ง พวกเขาสามารถบอกได้ว่าแม้ความแข็งแกร่งโดยรวมของตำหนักมู่จะไม่ได้โดดเด่น แต่จอมยุทธ์ชั้นแนวหน้าของพวกเขากลับทรงพลังอย่างมาก
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มมีเพียงสี่คน แต่ไม่มีใครที่ปะทะได้ง่ายเลย แม้แต่ในระดับเดียวกันพวกเขาก็นับเป็นชนชั้นสูง
ตามการคาดการณ์อาจต้องใช้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างน้อยแปดคนเพื่อหยุดยั้งทัพหน้าทั้งสี่เหล่านี้
นอกจากนี้… ยังไม่รวมถึงประมุขตำหนักมู่ที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงได้
แม้ว่ามู่เฉินจะมีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ก็ไม่มีใครโง่ พวกเขาได้รับข่าวว่าประมุขอายุน้อยและลึกลับคนนี้ ทำให้ผู้อาวุโสสามคนของสำนักเมฆาสีม่วงถูกลดขั้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นไปเลยทีเดียว
วิธีดังกล่าวพูดได้ว่าผิดแผกนัก
“ตำหนักมู่ใช้ได้นะเนี่ย”
“พวกเขามีความสามารถจริง มิน่าล่ะถึงกล้ามาชิงตำแหน่งเจ้าเหนือหัว แต่ด่านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาไม่ใช่คนเหล่านี้ แต่เป็นประมุขทั้งสามที่อยู่ในใจกลางที่ราบเป่ยยู่”
“ใช่ ทั้งสามเป็นจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้ว พลังของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดาจะเทียบได้ บางทีในสายตาของพวกเขาการต่อสู้ที่นี่เป็นเพียงการละเล่นเท่านั้น”
“น่าเสียดายที่สุดท้ายตำหนักมู่ก็ต้องล้มเหลว”
“…”
จอมยุทธ์หลายคนพูดคุยกัน ขณะที่พวกเขามองฝ่ายที่บุกรุกเข้ามา แม้ว่าตำหนักมู่จะสามารถล้มคนแปดกลุ่มลงได้ แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะประสบผลสำเร็จ
นั่นเป็นเพราะรากฐานของประมุขทั้งสามแห่งจักรวรรดิเหนือแข็งแกร่งเกินไป
ฟิ้ว!
สมาชิกตำหนักมู่เดินทางผ่านไปแม้ว่าจะไม่เร็วมาก แต่สิ่งที่กีดขวางเส้นทางของพวกเขาก็ต้องถอยกลับไปเหมือนกระแสน้ำลง
พวกเขาตระหนักได้ถึงช่องว่างระหว่างกันหลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งของตำหนักมู่ ดังนั้นถ้าพวกเขาเสนอหน้าออกไปก็คงจบเห่เหมือนพวกที่โชคร้ายก่อนหน้าแน่
ดังนั้นสมาชิกตำหนักมู่จึงเข้าไปถึงใจกลางได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ
เมื่อเข้ามาถึงที่นี่ มู่เฉินก็สัมผัสได้ว่าแม้ว่าคนจะลดลง แต่คุณภาพกลับเพิ่มขึ้น
เห็นได้ชัดว่าใครก็ตามที่มาอยู่ที่นี่ได้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในจักรวรรดิเหนือ ดังนั้นพวกเขาจึงมีพลังที่แข็งแกร่งขึ้นตามธรรมชาติ
ทว่าท่าทางของมู่เฉินก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเพียงเพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้น เขาพาทุกคนตัดผ่านเข้าไปราวกับใบมีดคมกรีดตัด
แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครเคลื่อนไหวขัดขวางปล่อยให้พวกเขาผ่านไป
เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นภาพนี้ นางก็ไม่มีความสุข คิ้วขมวดแน่นเพราะนางรู้สึกได้ว่าคนเหล่านั้นกำลังมองมาที่พวกนางด้วยสายตาเยาะเย้ย
ราวกับว่ามีละครดีๆ รอพวกเขาอยู่
มั่นถัวหลัวหันไปมองมู่เฉิน ทว่าเขาก็ยังไม่มีอาการใดๆ เอามือไพล่หลังเดินไปข้างหน้าต่อ
ดังนั้นนางจึงไม่พูดมากความรีบเดินตามเขาไป
หลังจากเดินไปพักหนึ่ง จอมยุทธ์โดยรอบก็เริ่มล่าถอยเผยให้เห็นพื้นดินโล่งเตียน ที่มีคนเก้าคนมองมาที่พวกเขาอย่างเย็นชา
ทั้งเก้าปล่อยความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังซึ่งทำให้มิติสั่นสะเทือน
ทั้งเก้าคนนั้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มชั้นยอดกระทั่งในหมู่จอมยุทธ์ชั้นสูง! ช่างน่ากลัวอย่างแท้จริงกับรูปแบบการรวมตัวกันที่นี่
เมื่อมั่นถัวหลัว หลิงซี หลงเซี่ยงและเจียงหลงเห็นทั้งเก้าคน ท่าทางของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเป็นจริงจัง เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่พวยพุ่งใส่
“พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญของสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง ดูเหมือนว่าในที่สุดพวกเขาก็อดกลั้นไม่ได้ที่จะผนึกกำลังเพื่อหยุดพวกเราที่นี่แล้ว” มั่นถัวหลัวกล่าวเสียงเคร่งขรึม
ผู้ที่ขัดขวางพวกเขาก่อนหน้าคือสมาชิกจากขุมกำลังภายใต้ขั้วอำนาจทั้งสาม ทว่าตอนนี้กลับเป็นผู้เชี่ยวชาญในสำนักเหล่านั้นที่ปรากฏตัว
มู่เฉินกวาดสายตามองไปก็พบว่าเป็นตามที่มั่นถัวหลัวพูดจริงๆ ในบรรดาทั้งเก้า มีผ้าพันสีม่วง-สีเทา-สีทองอย่างละสามคน
“คนเหล่านี้แข็งแกร่งที่สุดในสามสำนักนอกเหนือจากผู้นำของพวกเขา” มั่นถัวหลัวอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ แต่การแสดงออกก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
“ตำหนักมู่กระจ้อยร่อยคิดจะปกครองจักรวรรดิเหนือรึ? รนหาที่ตาย!” เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามา จอมยุทธ์ทั้งเก้าก็สาดสายตาตะโกนออกมาอย่างเย็นชา
“ไสหัวออกจากที่ราบเป่ยยู่และส่งมอบวังสวรรค์บรรพกาลมาซะ มิฉะนั้นพรุ่งนี้ตำหนักมู่จะถูกล้างบางแน่!”
เสียงของพวกเขาดังสะท้อนระหว่างฟ้าดินดึงดูดความสนใจจากขั้วอำนาจอื่นๆ เมื่อพวกเขาเห็นทั้งเก้าคนขวางทางไว้ก็ได้แต่แอบเดาะลิ้น พวกเขาบอกได้เลยว่าทั้งเก้าคนนั้นอยู่รองลงจากผู้นำทั้งสามเท่านั้น
ดูเหมือนว่าก้าวเดินของตำหนักมู่จะหยุดอยู่ที่นี่แล้ว
“อวดดี!”
หลงเซี่ยงยิ้มเย็นชา ขณะที่มองไปที่ทั้งเก้าด้วยสายตาอำมหิต เสียงคำรามของมังกรพลายดังก้องอยู่รอบตัวเขา ไอสังหารเข่นฆ่าหนาแน่นกะพริบอยู่ในดวงตา
ขณะที่หลิงซีเคลื่อนไหวสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก็แล่นแปลบปลาบ ส่วนมั่นถัวหลัวคว้าแส้สีดำที่เต็มไปด้วยหนามแหลมออกมา เจียงหลงเร้าคลื่นหลิงทรงพลังเต็มกำลัง
ชัดว่าแต่ละคนเข้าสู่สภาพพร้อมรบ
แต่เมื่อพวกเขากำลังจะโผทะยานออกไป มู่เฉินก็โบกมือเบาๆ “ครั้งนี้ให้ข้าจัดการเถอะ”
จอมยุทธ์ทั้งเก้าไม่ได้อ่อนแอ พวกเขาอยู่ในระดับเดียวกับมั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ บวกกับความได้เปรียบเรื่องจำนวนแล้ว แม้แต่พวกมั่นถัวหลัวก็ยังไม่ได้เปรียบมากนัก
นอกจากนี้การขัดขวางมากมายระหว่างทาง ก็ค่อยๆ ปลุกจิตสังหารในใจของมู่เฉิน ดูเหมือนว่าขั้วอำนาจทั้งสามตั้งใจที่จะลบตำหนักมู่ออกจากโลกเลยทีเดียว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องไว้หน้าใคร
ท่าทางของมู่เฉินสงบนิ่งก่อนที่จะก้าวออกไปโดยไม่มีความผันผวนใดๆ เขาย่างเท้าเข้าไปหาทั้งเก้าคน
“ยโสนัก!”
เมื่อจอมยุทธ์ทั้งเก้าเห็นว่ามู่เฉินกล้าเข้ามาหาพวกเขาตามลำพัง ดวงตาของพวกเขาก็สาดประกายเย็นชาขณะที่เอ่ยเยาะเย้ย “ถ้าแกไม่ย้ายก้นออกไปในสามอึดใจ ที่ราบเป่ยยู่จะเป็นหลุมศพของแก!”
ทว่ามู่เฉินไม่คิดจะตอบสนองต่อสิ่งนี้ ฝ่าเท้ายังคงก้าวเดินต่อไป
“รนหาที่ตาย!”
เมื่อเห็นว่าคำพูดของพวกตนถูกเพิกเฉย ความโกรธก็เพิ่มขึ้นในหัวใจของจอมยุทธ์ทั้งเก้า
“ในเมื่อแกเรียกร้องความตาย พวกข้าก็จะทำตามความปรารถนาให้เอง!”
จอมยุทธ์สองคนไม่สามารถข่มใจไว้ได้ พวกเขาแผดเสียงคำรามแฝงการกลั้วหัวเราะ ฝ่าเท้ากระทืบลงส่งแรงไป ร่างพุ่งเข้าหามู่เฉินพร้อมกับคลื่นหลิงทรงพลัง
ตู้ม!
หมัดทรงพลังสองหมัดพุ่งออกมาจากซัดลงบนร่างกายของมู่เฉิน
พื้นดินสั่นสะเทือน มิติแปรปรวน ทว่ามู่เฉินก็ยังคงนิ่งไม่ไหวติงพร้อมกับแสงหลิงแล่นพล่านบนร่างกาย การโจมตีที่ดุร้ายจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสองคนไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเขาเลย
ใบหน้าของจอมยุทธ์ทั้งสองเปลี่ยนไปกะทันหัน
จังหวะเดียวกันร่างเงาของมู่เฉินก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขาพร้อมกับเกลียวแสงระเบิดออกมาจากเจดีย์พุทธะในนัยน์ตา
เขายื่นมือออกตบลงไปเบาๆ ด้วยสีหน้านิ่งเฉย
ฝ่ามือแหวกผ่านมิติซัดบนศีรษะของจอมยุทธ์คนหนึ่ง ส่วนอีกมือกระแทกไปที่หน้าอกของอีกคน
มวลลมจากฝ่ามือราวกับสายลมพัดผ่านเบาๆ นุ่มนวลยิ่งนัก
ร่างเงาของมู่เฉินเคลื่อนผ่านจอมยุทธ์ทั้งสองไปอย่างง่ายดาย ขณะที่เขาปัดมือเบาๆ
ปัง ปัง!
ที่เบื้องหลัง คนหนึ่งหัวระเบิดกระจุยเลือดสดสาดกระเซ็น อีกคนหนึ่งตรงหน้าอกยุบลง เลือดและเนื้อพุ่งออกไปจากด้านหลัง
เงียบ
ความวุ่นวายของที่นี่เงียบกริบลง ผู้คนนับไม่ถ้วนเบิกตากว้าง ความกลัวสุดขีดฉายบนใบหน้า
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสองคนไม่สามารถทนรับแม้แต่กระบวนท่าเดียวของมู่เฉินก็ถูกสังหารเรียบร้อย
ยิ่งไปกว่านั้นความเด็ดขาดและความโหดเหี้ยมของมู่เฉิน ก็ทำให้จิตใจของพวกเขาสั่นสะท้านไปหมด
สายตานับไม่ถ้วนเลื่อนมองไปที่มู่เฉินที่ยังสงบนิ่งด้วยความกลัว เขายังคงนิ่งเฉยราวกับว่าเมื่อครู่เพียงแค่ตบแมลงวันไปสองตัว
ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าร่างเงาอ่อนเยาว์คนนี้ลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ขนาดไหน
ความแข็งแกร่งของเขาเกินขอบเขตระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มไปแล้ว
ภายใต้สายตาหวาดผวานับไม่ถ้วน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดที่ตกตะลึงพร้อมกับเสียงสะท้อนด้วยไอเย็นเยือก
“พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย”
จักรวรรดิเหนือกว้างใหญ่ไพศาล
เกือบแปดส่วนของดินแดนถูกแบ่งโดยสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง เหลือเพียงภูมิภาคทางเหนือถือครองดินแดนอีกสองส่วนที่เหลือ
แน่นอนว่าสาเหตุที่ภูมิภาคทางเหนือตั้งตนเป็นอิสระได้นั้น เนื่องมาจากอยู่ห่างไกลและทรัพยากรก็ถือว่าดาษดื่น ดังนั้นผู้นำทั้งสามก็เลยไม่ได้ทิ้งสายตามามองมากเท่าไร
แต่ความสงบก็จบลง หลังจากที่ตำหนักมู่รวมดินแดนเข้าด้วยกัน
นอกจากนี้ตำหนักมู่ยังเป็นผู้สืบทอดวังสวรรค์บรรพกาล ตอนแรกอาจยังปิดบังไว้ได้ แต่เมื่อมีผู้คนจำนวนมากขึ้นในภูมิภาคทางเหนือรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อมูลก็ถูกส่งต่อไปสามขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่
วังสวรรค์บรรพกาลเคยเป็นเจ้าเหนือหัวของทวีปเทียนหลัว ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงเป็นดินแดนเพาะบ่มพลังยุทธ์ที่หายากในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย หากพวกเขาได้รับมาก็จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างมาก
สาเหตุที่ตำหนักมู่สามารถขยายอิทธิพลอย่างรวดเร็วและดึงดูดจอมยุทธ์จำนวนมากก็เนื่องจากการมีอยู่ของวังสวรรค์บรรพกาลนั่นเอง
ดังนั้นสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองจึงให้ความสนใจวังสวรรค์บรรพกาลและกำลังมองหาโอกาสที่จะกลืนตำหนักมู่และรับวังโบราณไป
ตะวันตกเฉียงใต้ของจักรวรรดิเหนือ ที่ราบเป่ยยู่
ชื่อเสียงของสถานที่แห่งนี้เลื่องลือในจักรวรรดิเหนือ เนื่องจากที่ราบนี้เป็นจุดตัดระหว่าง สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง
เป็นเพราะภูมิประเทศนี้ทำให้การประชุมของจักรวรรดิเหนือถูกจัดขึ้นที่นี่
ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ที่ราบเป่ยยู่คึกคัก โดยขั้วอำนาจเกือบแปดส่วนมารวมตัวกัน
คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลทำให้ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยแสง ความผันผวนของคลื่นหลิงทำให้ผู้มาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรกต้องตะลึง
ซึ่งรวมถึงตัวมู่เฉินด้วยเช่นกัน
มู่เฉินมองที่ราบอันกว้างใหญ่ก็รู้สึกได้ถึงการสั่นไหวของคลื่นหลิงมากมายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ในช่วงเวลาสั้นๆ แม้กระทั่งเขายังไม่สามารถรับรู้ได้ทั้งหมด
“ข้าเกรงว่าจอมยุทธ์ส่วนใหญ่ในจักรวรรดิเหนือคงมารวมตัวกันที่นี่หมดแล้ว” มู่เฉินถอนหายใจกับฉากตระการตานี้
“การประชุมสภาจักรวรรดิเหนือเป็นการตัดสินเกี่ยวกับเจ้าเหนือหัว ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากพลาด” มั่นถัวหลัวบอกกล่าวที่ด้านข้างมู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้า เขาสามารถรับรู้ได้ถึงเส้นแสงที่ทะยานมาจากทุกทิศทางก่อนที่จะเคลื่อนตัวลงสู่ที่ราบกว้างใหญ่
“เห็นเครื่องหมายบนแขนจอมยุทธ์เหล่านั้นไหม?” ทันใดนั้นมั่นถัวหลัวก็พูดขึ้น
ดวงตาของมู่เฉินหดลงก่อนที่จะพยักหน้า เขามองเห็นแทบทุกขั้วอำนาจจะมีเครื่องหมายที่เป็นเอกลักษณ์บนแขน
“ผ้าสีม่วงแปลว่าอยู่ใต้การปกครองของสำนักเมฆาม่วง สีเทาคือภูเขาเหลยยิง และสีทองคือคฤหาสน์อินทรีทอง”
“เฉพาะคนที่มีผ้าพันที่แขนเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่ที่ราบเป่ยยู่ได้ มิฉะนั้นขั้วอำนาจใดที่ก้าวเข้ามาโดยไม่มีผ้าพันที่แขนก็หมายความว่าพวกเขาตั้งใจที่จะต่อสู้กับยักษ์ทั้งสามนี้ ถึงเวลานั้นเกรงว่าเราจะไปต่อได้ยาก” มั่นถัวหลัวกล่าวช้าๆ
“โอ้? พวกเขาจะขัดขวางเราเรอะ?” มู่เฉินหรี่ตาลง
“ตามกฎของจักรวรรดิเหนือ หากขั้วอำนาจใหม่ตั้งใจที่จะแข่งขันกับทั้งสามเพื่อชิงอำนาจ ก็มีเพียงวิธีเดียว นั่นคือการต่อสู้จากขอบที่ราบเป่ยยู่เข้าสู่ใจกลาง หากสามารถยืนหยัดที่ศูนย์กลางได้ก็จะสิทธิ์แข่งขันกับพวกเขา”
“ในอดีตมีสองขั้วอำนาจทรงพลังที่ตั้งใจจะเป็นหนึ่งในผู้นำจักรวรรดิเหนือ แต่พวกเขาไม่เคยกลับมาอีกเลยเมื่อก้าวเข้าไป กลุ่มของพวกเขาสลายหายไปในที่สุด…”
มู่เฉินตอบ “ฟังดูโหดไปหน่อยแฮะ”
“ในโลกนี้ พลังคือผู้ตัดสิน หากไม่มีพลังเพียงพอก็จะถูกกลืนถ้าคิดแหย่มือไปกวนเรื่องนี้”
มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉินถามว่า “ดังนั้นเจ้าพร้อมหรือยัง? ถ้าล้มเหลวสองขั้วอำนาจนั่นก็คือตัวอย่างของพวกเรา”
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะหันกลับไปมองภาพเงาหลายสิบคน ทุกคนที่ได้ติดตามเขามาที่นี่ก็คือจอมยุทธ์ชั้นสูงของตำหนักมู่ ซึ่งแต่ละคนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนแล้วทั้งสิ้น
เวลานี้จอมยุทธ์ตำหนักมู่กำลังมองที่ประมุขด้วยสายตาร้อนแรงโดยไม่มีความกลัว
“ถ้าทุกคนเชื่อมั่นว่าข้าสามารถนำพาพวกเจ้าออกไปได้ ก็จงตามข้ามา”
มู่เฉินยิ้มให้พรรคพวก เขาไม่ได้พูดคำปลุกขวัญใดๆ เพียงโบกมือทะยานเข้าไปในที่ราบเป่ยยู่
หลิงซี หลงเซี่ยงและเจียงหลงติดตามไปโดยไม่ลังเล
สำหรับคนอื่นๆ จำนวนพวกเขาดูน้อยอย่างไม่ต้องสงสัยเมื่อเทียบกับคนนับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันในที่ราบแห่งนี้
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดพวกเขารู้สึกมั่นใจมากเมื่อมองภาพเงาอ่อนเยาว์ที่เบื้องหน้าครรลองสายตา จากนั้นแต่ละคนก็ทะยานออกติดตามไป
เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นฉากนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จในการเป็นเสาหลักของตำหนักมู่ หากพวกเขาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ จินตนาการได้ว่าตำแหน่งของเขาจะมั่นคงแค่ไหนในฐานะประมุขตำหนักมู่
รอยยิ้มคลี่ออก นางก็ย่างกรายไปปรากฏตัวที่ด้านหลังมู่เฉิน
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ร่างแสงหลายสิบร่างจากตำหนักมู่พุ่งไปในที่ราบเป่ยยู่ จังหวะที่เข้ามาสายตาแหลมคมก็รวมตัวกันจากโดยรอบ
“ฮ่าๆ ตำหนักมู่แห่งภูมิภาคทางเหนือจริงด้วย!”
“พวกเขาช่างเป็นคนโง่เขลาที่กล้าหาญ คิดจะบุกเข้าไปในที่ราบเป่ยยู่ด้วยคนจำนวนเท่านี้เรอะ? ข้าพนันว่าพวกเขาหมดแรงตายก่อนที่จะเข้าสู่ใจกลางที่ราบได้”
“นั่นที่อยู่ด้านหน้าประมุขตำหนักมู่ใช่ไหม? เขายังเด็กมากไม่น่าแปลกใจเลยที่หยิ่งยโสเหลือเกิน”
“แต่น่าเสียดายที่หลังจากวันนี้เขาจะหลงเหลือแต่กองกระดูกบนที่ราบแห่งนี้…”
“…”
เมื่อสมาชิกตำหนักมู่เข้าสู่ที่ราบเป่ยยู่ เสียงสนทนาก็ดังก้อง สายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ไว้หน้าตำหนักมู่มากนัก
สุดท้ายเหตุการณ์เช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ทุกคนที่ท้าทายศักดิ์ศรีของประมุขทั้งสามกลายเป็นปุ๋ยอยู่บนที่ราบเป่ยยู่แห่งนี้
การเดินหน้าท่ามกลางสายตามองมาด้วยความสงสาร ชัดว่าต้องการความกล้ามาก จอมยุทธ์หลายคนของตำหนักมู่เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ติดตามร่างเบื้องหน้าที่ไม่รีบร้อนไปอย่างใกล้ชิด
มู่เฉินเดินนำหน้าด้วยท่าทางเรียบเฉยราวกับบ่อน้ำลึก แม้ว่าเสียงจะดังกระหึ่มมาจากรอบข้าง แต่เขาก็ไม่ถูกรบกวนจากสิ่งเหล่านี้
สายตาของเขาจ้องมองไปที่ใจกลางที่ราบเท่านั้น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่แผ่วเบาและลึกซึ้งสามสาย
คลื่นหลิงเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดาจะเทียบได้
“หยุด!”
แต่ในขณะที่มู่เฉินมองลึกเข้าไป เสียงตะโกนเย็นเยือกก็ดังขึ้นก่อนที่ร่างเงาหลายสิบร่างจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อเข้าขัดขวาง
หลายสิบร่างนั้นเปล่งความผันผวนรุนแรงพร้อมกับผ้าพันแขนสีม่วงปลิวไสว ชัดว่าเป็นจอมยุทธ์จากขั้วอำนาจใต้การปกครองของสำนักเมฆาม่วงทั้งสิ้น
พวกเขาส่วนใหญ่อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย โดยมีสองคนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ชัดว่าความโกรธแค้นที่สำนักเมฆาม่วงมีต่อตำหนักมู่ ทำให้พวกเขารวบรวมจอมยุทธ์ออกมาโจมตี
ทว่าท่าทางของมู่เฉินก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากการกีดขวาง รวมถึงความเร็วในการเดินหน้าด้วย
“ไอ้พวกหุ่นกระบอกบังอาจขวางทางนายน้อยของข้างั้นรึ? ไสหัวไป!”
หลงเซี่ยงตะโกนอย่างเย็นชาก่อนที่ร่างจะทะยานออกไปราวกับสายฟ้าพร้อมกับพลังที่น่าทึ่งพุ่งเข้าหาศัตรูด้วยหมัดที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้
“อวดดี!”
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั้งสองเกรี้ยวกราด เคลื่อนออกมาขัดขวางหลงเซี่ยง
“ฮึ่ม!”
แต่เมื่อพวกเขาเคลื่อนไหว คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็กวาดเข้ามา ค่ายกลขนาดมหึมากางลงมาจากท้องฟ้าห่อหุ้มพวกเขาไว้ ทันใดนั้นคลื่นหลิงขนาดใหญ่ก็รวมกันก่อตัวเป็นพายุเฮอริเคนพัดเข้าใส่ทั้งสองโดยกักขังเอาไว้ภายใน
ปัง ปัง ปัง!
สิบกว่าลมหายใจจอมยุทธ์สำนักเมฆาม่วงที่ขวางทางก็ร่วงผล็อยเป็นใบไม้ร่วง แต่ละคนได้รับบาดเจ็บสาหัสภายใต้หมัดของหลงเซี่ยง
มู่เฉินไม่ได้มองไปที่คนเหล่านั้นตั้งแต่เริ่มต้น เขายังคงเอามือไพล่หลังเดินไปข้างหน้าภายใต้สายตาตกตะลึงรอบด้าน
สายตาเขาจดจ้องไปที่ใจกลางอย่างไม่แยแส แม้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของทั้งสามสำนักจะมารวมตัวกันที่นี่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะขัดขวางเขา
เว้นแต่ทั้งสามคนนั่นจะลงมือเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาต้องทำให้ตำหนักมู่ผงาดขึ้นเป็นผู้นำในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อพรรคพวกที่ให้ความไว้วางใจหรือทรัพยากรมหาศาลในอนาคต…
เขาต้องได้รับตำแหน่งเจ้าเหนือหัวแห่งจักรวรรดิเหนือ!
บรรยากาศในภูมิภาคทางเหนือรื่นเริงและร้อนแรง
เนื่องจากการปรากฏตัวของมู่เฉินประมุขผู้ลึกลับของตำหนักมู่บวกกับความทะเยอทะยานที่มีที่จะให้ตำหนักมู่กลายเป็นหนึ่งในเจ้าจักรวรรดิเหนือ
ความทะเยอทะยานของเขานี้ ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในจักรวรรดิเหนือทั้งหมด ความโกลาหลเกิดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
เมืองหนึ่งในภูมิภาคเหนือ
โรงเตี๊ยมขนาดเล็กในเมืองนี้กำจายบรรยากาศคุกรุ่น เนื่องจากความร้อนแรงทั่วภูมิภาค
ประเด็นร้อนแรงที่พูดถึงเกี่ยวกับความตั้งใจของตำหนักมู่ในการเป็นหนึ่งในเจ้าจักรวรรดิทางเหนือ…
“หึ ข้าว่าประมุขมู่หยิ่งผยองเกินไป จักรวรรดิเหนือกว้างใหญ่และน้ำนิ่งไหลลึกนัก แม้ว่าตำหนักมู่จะรวบรวมภูมิภาคทางเหนือไว้เป็นหนึ่งเดียว แต่ก็มีพลังในระดับกลางเท่านั้นย่อมไม่สามารถแข่งขันกับขั้วอำนาจทั้งสามได้!”
“ถึงตอนนั้นข้ากลัวว่าความโกรธของสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองจะทำให้พื้นที่ภูมิภาคทางเหนือทั้งหมดกลายเป็นแม่น้ำเลือด!”
“เอ… แม้ว่าประมุขมู่ของเราจะอายุน้อย แต่เขาก็มีพรสวรรค์ เมื่อไม่นานมานี้ผู้อาวุโสสามคนของสำนักเมฆาม่วงแสดงอำนาจบาตรใหญ่เพื่อข่มตำหนักมู่ แต่พวกเขาก็ถูกจัดการโดยท่านประมุขอย่างง่ายดายตามความคิดของข้าพลังของประมุขไม่ได้ด้อยไปกว่าประมุขทั้งสามเลย!”
“เจ้าพูดถูก ด้วยความสามารถของประมุข ตำหนักมู่ของเราก็ไม่จำเป็นต้องลดระดับตนเองลง ต่อให้ต้องสู้กันแล้วไง ข้ายิ่งกังวลว่าผลงานจะไม่พอให้ได้รับป้ายยุทธ์ทะเลสาบสวรรค์ในปีอยู่เลย”
“ทะเลสาบสวรรค์เป็นของดีแท้จริง มีข่าวลือว่าที่นั่นเป็นดินแดนฝึกฝนศักดิ์สิทธิ์ที่วังโบราณทิ้งไว้ ข้าเคยได้ยินว่ามีหอคัมภีร์เทพซ่อนอยู่ภายในด้วย ถ้ามีโชคชะตาได้เข้าไปในนั้น สามารถได้รับกระทั่งวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็มเลย!”
“เฮ้ แม้ว่าจะของดี แต่ก็ต้องมีชีวิตเพื่อที่จะเพลิดเพลิน พลังที่อยู่เบื้องหลังทั้งสามขั้วอำนาจคือขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ ต่อให้ประมุขมู่จะประสบความสำเร็จ แต่ภูมิภาคทางเหนือก็ยังคงต้องทนทุกข์ทรมานหากทำให้ขั้วอำนาจเหล่านั้นโกรธ”
“เพื่อเติมเต็มความทะเยอทะยานของตนเอง ประมุขมู่นำภูมิภาคทางเหนือทั้งหมดไปพร้อมกันนี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ”
“…”
บทสนทนาหลากประเภทกระจายในโรงเตี๊ยม
ที่มุมหนึ่งมั่นถัวหลัวนั่งฟังการพูดคุยเหล่านั้นอย่างสงบ ด้านข้างเทียนจิ้ว หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ก็ขมวดคิ้วแน่น
“ท่านมั่นถัวหลัวทั่วทั้งภูมิภาคทางเหนือกำลังคุยกันเรื่องนี้และก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ… ซึ่งดูแล้วเหมือนจะไม่ถูกต้อง” เทียนจิ้วเอ่ย
ช่วงเวลานี้การสนทนาราวกับโรคระบาดที่แพร่กระจายไปทั่ว ความเร็วก็นับว่าผิดปกติไปหลายส่วน
ดวงตาของมั่วถัวหลัวกะพริบวูบไหว “เจ้ากำลังบอกว่ามีใครอยู่เบื้องหลังรึ?”
เทียนจิ้วพยักหน้า “ข้ากลัวว่ามีคนพยายามใช้วิธีนี้เพื่อทำให้ผู้คนภูมิภาคทางเหนือเกิดความหวั่นไหว”
“กลยุทธ์ของสำนักเมฆาม่วง”
มั่นถัวหลัวพูดเบาๆ นางรับรู้เรื่องนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นนางจึงส่งคนไปสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ เมื่อเร็วๆ นี้มีสมาชิกจากสำนักเมฆาม่วงแฝงตัวเข้ามาในภูมิภาคทางเหนือและโหมกระพือข่าวลือไปทั่ว
แม้ว่าจะไม่สามารถสั่นคลอนรากฐานของตำหนักมู่ได้ แต่ก็นับว่าน่ารังเกียจ นอกจากนี้หากตำหนักมู่กลับมามือเปล่าจากการประชุมจักรวรรดิเหนือ ก็อาจทำให้ชื่อเสียงศักดิ์ศรีของตำหนักมู่ลดลงอย่างมีนัย ซึ่งส่งผลให้ภูมิภาคทางเหนือแตกแยกกันได้
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็อาจมีขั้วอำนาจมากมายคอยจับตาดู เนื่องจากวังสวรรค์บรรพกาลของตำหนักมู่ได้รับความสนใจจากขั้วอำนาจมากมาย
“หน้าด้าน” หลิ่วเทียนเต้าสบถ พวกเขาเป็นสมาชิกของตำหนักมู่ ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่ต้องแค้นเคืองกับการกระทำที่บ้าบอของสำนักเมฆาม่วง
มั่นถัวหลัวโบกมือพูดอย่างเย็นชาว่า “ออกคำสั่งตรวจสอบเมืองทั้งหมดในภูมิภาคทางเหนือ หากเจอใครที่มาจากสำนักเมฆาม่วงพยายามที่จะโน้มน้าวผู้คนในภูมิภาคทางเหนือ ก็ให้จับกุมและ…”
นางวาดมือออกไปเบาๆ พร้อมกับรัศมีเย็นเยือก
ในเมื่อสำนักเมฆาม่วงต้องการเล่นแง่ ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่ตำหนักมู่ต้องสุภาพ มาเท่าไรก็จัดการให้เรียบ
หัวใจของพวกหลิ่วเทียนเต้าสั่นไหวเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว ดูเหมือนว่าครั้งนี้มั่นถัวหลัวจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดแล้ว
“ในเมื่อมู่เฉินต้องการให้ตำหนักมู่เป็นหนึ่งในเจ้าจักรวรรดิเหนือ เราก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือ แม้ว่าพวกการต่อสู้ชั้นแนวหน้าต้องให้เขาเป็นคนไปจัดการ แต่เรื่องกลยุทธ์ลับหลังเราสามารถช่วยแบ่งเบาได้ ไม่งั้นตำหนักมู่เลี้ยงสมาชิกไว้เยอะขนาดนี้เพื่ออะไรกันล่ะ?” มั่นถัวหลัวเอ่ยเบาๆ
“รับทราบ!”
ทุกคนพยักหน้ารับทราบ
หลังจากเงียบไปชั่วครู่หลิ่วเทียนเต้าก็อดถามไม่ได้ “ท่านมั่นถัวหลัว ท่านคิดว่าประมุขจะสามารถแข่งขันกับจอมยุทธ์อย่างเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองได้จริงหรือ?”
เห็นได้ชัดว่าแม้แต่คนผ่านศึกโชกโชนอย่างหลิ่วเทียนเต้าก็ยังกังวลเกี่ยวกับการประชุมที่กำลังจะมาถึง ถึงยังไงสามคนนั่นก็เป็นจอมยุทธ์ที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน ชื่อเสียงของพวกเขาได้รับการสลักไว้อย่างลึกซึ้งในหัวใจของทุกคนในจักรวรรดิเหนือ
แม้ว่ามู่เฉินทรงพลังอีกหลายส่วนหลังจากกลับมา แต่ชื่อเสียงก็ยังด้อยกว่าพวกเก่าแก่ที่อยู่ในจักรวรรดิเหนือมาเป็นเวลานาน
มั่นถัวหลัวที่ได้ยินก็หันไปมองหลิ่วเทียนเต้า
อีกฝ่ายยิ้มแหยออกมาช้าๆ “ท่านมั่นถัวหลัว ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อในตัวประมุข แต่เรื่องนี้สำคัญมากกับการที่ตำหนักมู่จะทะยานหรือดับวูบก็ต้องอาศัยสิ่งนี้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะกังวล”
มั่นถัวหลัวไม่ได้ตำหนิอะไร เพราะนี่เป็นการตัดสินใจกะทันหันของมู่เฉินอยู่เหมือนกัน ขณะที่ชื่อเสียงของประมุขทั้งสามเลื่องลือในจักรวรรดิทางเหนือมาเนิ่นนาน ในอดีตก็มีขั้วอำนาจอื่นพยายามที่จะต่อต้าน แต่ก็ไม่มีใครประสบผลสำเร็จ…
ดังนั้นในภูมิภาคทางเหนือนอกจากนางแล้ว คงไม่มีใครมั่นใจว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จได้
นี่เป็นการเดิมพันของมู่เฉินอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเขาสามารถทำลายสถานการณ์ระหว่างสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองได้อย่างแท้จริง ตำหนักมู่ก็จะกลายเป็นเจ้าเหนือหัวแต่เพียงผู้เดียวของจักรวรรดิเหนือ
ในอนาคตเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมตำหนักมู่อาจสามารถปกครองกระทั่งทวีปเทียนหลัว เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาประสบความสำเร็จก็จะอยู่ในระดับเดียวกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูที่กลายเป็นเพชรยอดคทาในมหาพันภพ
แน่นอนว่าถ้ามู่เฉินถูกหยุดโดยประมุขทั้งสามในการประชุม ตำหนักมู่ต้องกลับมาอย่างสูญเปล่า นี่จะเป็นการระเบิดอย่างมีนัยสำคัญต่อขวัญกำลังใจของตำหนักมู่ ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นการทำลายล้าง ในเวลานั้นสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองก็จะเข้ามารุมทึ้ง เพราะพวกเขาต่างหวังจะครอบครองวังสวรรค์บรรพกาล
ภายใต้การขัดขวางมีโอกาสสูงที่ตำหนักมู่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ
นี่เป็นผลที่ร้ายแรงซึ่งเป็นสาเหตุที่พวกหลิ่วเทียนเต้ารู้สึกกังวล
ทว่ามั่นถัวหลัวไม่ได้ปลอบใจพวกเขามาก กลับมีรอยยิ้มจางบางปรากฏขึ้น “พวกเจ้าจะคิดอย่างไรข้าบังคับอะไรไม่ได้ แต่ข้ารู้ว่ามู่เฉินเป็นคนที่จักรพรรดิฟ้าเลือก ขณะเดียวกันแม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยังยอมรับในตัวเขา ยอมที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา…”
“พวกเจ้าคิดว่าสายตาของตัวเองเทียบกับสามคนนั่นแล้วเป็นเช่นไร?”
ทิ้งประโยคนี้ไว้นางก็โบกมือจากไป
คนอื่นๆ สบสายตากัน ก่อนที่พวกเขาจะถอนหายใจและรู้สึกโล่งอกในใจ จักรพรรดิฟ้า เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามมีใครที่ไม่ใช่ยอดยุทธ์? พวกเขามองการณ์ไกลแค่ไหน มิหนำซ้ำยังมีทัศนคติที่ดีกับมู่เฉิน ดังนั้นนั่นจึงบ่งบอกถึงศักยภาพที่ประมุขของพวกเขามี
การมีเจ้านายเช่นนี้ ในอนาคตพวกเขาจะไม่ต้องเสียใจ ตราบเท่าที่พวกเขาติดตามและพยายามช่วยเหลือสุดกำลัง
เวลาผ่านไปในภูมิภาคทางเหนือ
บรรยากาศก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากการประชุมจักรวรรดิเหนือที่จะเกิดขึ้น ทว่าจากการกระทำแบบลับๆ ของมั่นถัวหลัวก็ส่งผลให้ขวัญกำลังใจในตำหนักมู่พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง ผู้คนที่พยายามเผยแพร่ข่าวลือสลายกลายเป็นอากาศธาตุจนหมดสิ้น
ทว่านี่ก็เป็นเฉพาะในพื้นที่ภูมิภาคทางเหนือเท่านั้น สำหรับจักรวรรดิเหนือหลายคนเฝ้าดูจากข้างสนามด้วยความสงสารและเยาะเย้ย
ท้ายที่สุดแล้วภูมิภาคทางเหนือไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับดินแดนจักรวรรดิเหนือทั้งหมด ที่นั่นทั้งวุ่นวายและยุ่งเหยิงไร้ความสามัคคี ตอนนี้เพิ่งจะรวมเป็นหนึ่งเดียวก็มีผู้ปกครองใหม่ที่หยิ่งผยองต้องการท้าทายอำนาจของสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง…
ในอดีตขั้วอำนาจที่มีความทะเยอทะยานเช่นนี้จะถูกลบล้างไปตามกาลเวลา
ดังนั้นจากมุมมองของพวกเขาตำหนักมู่ก็จะกลายเป็นตัวตลกในการประชุมจักรวรรดิเหนือ…
ท่ามกลางความโกลาหลนี้ เวลาก็เข้าใกล้การเปิดสภาจักรวรรดิเหนือ
ตำหนักมู่ ภูมิภาคทางเหนือ
กองบัญชาการใหญ่เต็มไปด้วยจอมยุทธ์มากมายที่มารวมตัวกัน เห็นได้ชัดว่านี่คือความมีชีวิตชีวาของตำหนักมู่ในปัจจุบัน
ด้านนอกโถงมั่นถัวหลัวมองความผันผวนของคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต ก่อนที่จะหันไปมองไปยังทิศทางของวังโบราณคิ้วของนางขมวดเป็นปมอย่างกังวล
มู่เฉินยังไม่ออกมาเลยนับตั้งแต่เข้าไปในหอคัมภีร์เทพซ่อน
แต่วันนี้ถึงเวลาที่ต้องไปยังสภาจักรวรรดิเหนือ ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันแล้ว ถ้ามู่เฉินไม่แสดงตัวนี่จะเป็นเรื่องตลก ขวัญกำลังใจทั้งหมดที่ทุกคนรวบรวมมาตลอดเดือนที่ผ่านมาจะพังทลายเป็นอากาศธาตุ
“เจ้านั่น!”
มั่นถัวหลัวกำมือแน่นพลางกัดฟัน
แต่ยามนี้นางไม่สามารถแสดงความกังวลใดๆ นางได้แต่เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่ห้อยอยู่บนท้องฟ้า จอมยุทธ์ที่มารวมตัวกันก็เริ่มกระซิบกระซาบเนื่องจากมู่เฉินยังไม่ปรากฏตัว
เมื่อเห็นหัวใจของทุกคนเริ่มสั่นคลอน มั่นถัวหลัวก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่คิดจะพูดปลอบใจ มิติก็ผันผวนอยู่ข้างๆ ก่อนที่ร่างสูงโปร่งอ่อนเยาว์จะเดินออกมาภายใต้สายตาของทุกคน
“คารวะท่านประมุข!”
เมื่อภาพเงานั้นปรากฏขึ้น เสียงสั่นสะเทือนฟ้าดินก็ดังต้อนรับการมาถึงของเขา
เมื่อมองไปที่กองทัพใหญ่มู่เฉินก็พยักหน้าก่อนที่จะยิ้มให้มั่นถัวหลัว จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นสะบัดเบาๆ พร้อมกับเสียงสะท้อนระหว่างฟ้าดิน
“เคลื่อนพล!”
มิติบิดเบี้ยวที่เบื้องหน้ามู่เฉิน
พริบตามุมมองก็สว่างขึ้นกลายเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพร้อมกับดาวหางนับไม่ถ้วนบินผ่านทิ้งหางยาวเอาไว้
มู่เฉินรู้ดีว่าในดาวหางเหล่านั้นจะต้องวิชาเทพพิเศษ ทักษะการเพาะบ่ม หรือแม้กระทั่งร่างเทห์สวรรค์
สายตาเขาจ้องมองไปที่มิติเบื้องหน้าด้วยความสงสัย เขารู้สึกได้ถึงการเรียกของหอคัมภีร์เทพซ่อน จึงได้ติดตามคลื่นความผันผวนมา
อย่างไรก็ตามหอคัมภีร์เทพซ่อนมักหลบอยู่ในวังสวรรค์บรรพกาลและจะปรากฏเฉพาะเมื่อพบผู้ที่เหมาะสมที่จะได้รับโชค
แต่ตัวเขาเคยเข้ามาที่นี่แล้ว ดังนั้นเขาไม่รู้ว่าทำไมหอคัมภีร์เทพซ่อนจึงเรียกเขาในครั้งนี้
ขณะที่เขารู้สึกสับสน มิติก็บิดเบี้ยวข้อความโบราณปรากฏที่เบื้องหน้า
“เจ้ามีวิชาเทพที่ไม่ได้อยู่ในบันทึกของข้า”
มู่เฉินอึ้งไปเมื่อมองคำพูดเหล่านั้น ที่แท้เขามีวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดที่หอคัมภีร์เทพซ่อนสนใจ แต่ตัวมันก็มีวิทยายุทธชั้นยอดตั้งมากมายแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ต้องจับตามองจะต้องไม่ธรรมดา
บนตัวเขาสิ่งที่ทำให้หอคัมภีร์เทพซ่อนสนใจได้มีเพียงวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนาน…
“วิชาเจดีย์แปดองค์…”
ไม่ช้ามู่เฉินก็หาเหตุผลได้ เขาเลิกคิ้วพลางยิ้ม “แล้วเจ้าต้องการอะไร?”
หอคัมภีร์เทพซ่อนไม่ธรรมดา มีสติปัญญาไม่แพ้ใคร มันต้องการจะรวบรวมวิทยายุทธเทพทรงพลังทุกประเภททั่วสากลจักรวาล
“เก็บสะสม” คำโบราณปรากฏขึ้นอีกครั้ง
หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่งมู่เฉินก็พูดว่า “ก็ได้ แต่เจ้าต้องจ่ายในราคาที่เหมาะสม วิชาเจดีย์แปดองค์เป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานของมหาพันภพ ซึ่งไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าวิชาสามพิสทุธิ์ ดังนั้นเจ้าน่าจะรู้เกี่ยวกับมูลค่าดี”
มู่เฉินไม่ได้ยึกยักกับหอคัมภีร์เทพซ่อน เนื่องจากเขารู้ว่ามูลค่าที่แท้จริงของวิชาเจดีย์แปดองค์ไม่ได้อยู่ที่วิธีการฝึก แต่เป็นเจดีย์ไข่มุกที่ได้รับการขัดเกลาโดยผู้อาวุโสฝูถู
นั่นเป็นเพราะวัสดุที่ใช้ในการปลอมแปลงไข่มุกเหล่านั้นก็คือราชันปีศาจ
ไม่มีราชันปีศาจมากพอที่จะถูกใช้เป็นวัสดุในมหาพันภพ นอกจากนี้ยังมีโอกาสล้มเหลวสูงและเป็นไปได้ที่จะมือเปล่ากลับมา
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธที่จะส่งวิธีฝึกฝนวิชาเจดีย์แปดองค์ไว้กับหอคัมภีร์เทพซ่อน เพราะไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาครอบครองวังสวรรค์บรรพกาลและหอคัมภีร์เทพซ่อนก็อยู่ที่นี่ ดังนั้นจากมุมมองหนึ่งก็เหมือนเขาส่งของจากมือซ้ายไปยังมือขวาเท่านั้น
เพียงแต่ว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนแปลกประหลาด แม้ในฐานะเจ้าวังโบราณ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะควบคุมมัน
ดังนั้นเขาจะดีใจมากถ้าสามารถแลกเปลี่ยนวิธีฝึกวิชาเจดีย์แปดองค์เพื่อสิ่งที่มีค่า
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน หอคัมภีร์เทพซ่อนก็เงียบไป มู่เฉินยิ้มไม่ได้รีบร้อน คิดจะเอาวิธีฝึกวิชาเจดีย์แปดองค์ไปเปล่าๆ มีเรื่องง่ายขนาดนี้ซะที่ไหน?
แม้ว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนนี้จะถือว่าเป็นของเขาก็ตาม
หลังจากเงียบไปครึ่งก้านธูปคำพูดโบราณก็ขยับวูบไหวอีกครั้ง “ตามมูลค่า เจ้ามีสองทางเลือก หนึ่งรับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดไป”
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอด?” ดวงตาของมู่เฉินสว่างขึ้น ตามที่เขาคาดไว้มีวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดเก็บอยู่ภายในหอคัมภีร์เทพซ่อน ทว่าเขาไม่รู้ว่านี่เป็นวิชาหนึ่งในสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานหรือธรรมดาสามัญ หากเป็นสิ่งแรกเขาก็ทำกำไรได้มหาศาลแล้ว!
ดังนั้นเขาจึงถามตรงๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
ซึ่งหอคัมภีร์เทพซ่อนก็ให้คำตอบอย่างรวดเร็ว “แบบธรรมดา”
มุมปากของมู่เฉินบิดเบ้ หอคัมภีร์เทพซ่อนขี้งกซะจริง คิดจะใช้วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดธรรมดามาแลกเปลี่ยนกับวิชาเจดีย์แปดองค์ของเขา? หรือว่ามันจะรู้เรื่องที่แก่นแท้ของวิชาเจดีย์แปดองค์ไม่ใช่วิธีฝึกฝน?
“ทางที่สองล่ะ?”
มู่เฉินถาม ถ้าเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดแบบสามัญ ถึงแม้ว่าจะน่าดึงดูด แต่เขาก็ไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนเพราะเขาเพิ่งได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์มา
“ทางที่สองแลกเปลี่ยนเพื่อความเข้าใจในวิชาสามพิสุทธิ์ขั้นสอง”
ดวงตาของมู่เฉินหดเกร็ง ความเข้าใจวิชาสามพิสุทธิ์ขั้นสอง?
เมื่อเขาเริ่มฝึกฝนวิชาสามพิสุทธิ์ก็รู้ว่ามีสามขั้นตอนคือสามแยก สามรวมและสามพิสุทธิ์
แม้จะฝึกฝนทั้งวันทั้งคืน แต่เขาก็ยังติดอยู่ในขั้นแรกคือสามแยก สำหรับสามรวมยังไม่มีแนวคิดอะไรเลย
วิชาสามพิสุทธิ์เป็นหนึ่งในไพ่ตายที่สำคัญที่สุดของมู่เฉิน นอกจากนี้ก็จะมีพลังมากขึ้นเมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มพูน
ดังนั้นถ้าเขาสามารถพัฒนาวิชาสามพิสุทธิ์ให้ถึงขั้นสองได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจแน่นอน
เขาก็อยากทราบถึงพลังของสามรวม
เมื่อความคิดวนเวียนอยู่ในใจ สายตาของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นพยักหน้า “ข้าเลือกทางที่สอง!”
เมื่อเทียบกับความพยายามในการเรียนรู้วิชาใหม่ เขามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มีอยู่ให้พัฒนามากขึ้นจะดีกว่า
ขณะที่มู่เฉินพยักหน้าสภาพแวดล้อมก็เริ่มเปลี่ยนไป ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเริ่มถอยห่าง ใบไม้สีทองปูพรมบนพื้น ต้นไม้ยักษ์ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า ดูเหมือนถูกสลักด้วยลวดลายนับไม่ถ้วนที่วูบไหว ให้ความรู้สึกถึงความมีสติปัญญา
ใต้ต้นไม้โบราณทันใดนั้นแสงก็รวมตัวกันก่อตัวเป็นเงา
“ท่านอาจารย์?” มู่เฉินอุทานเมื่อเห็นร่างคุ้นเคย นี่คือจักรพรรดิฟ้าที่เขาเคยพบมาก่อน
แต่จักรพรรดิฟ้าไม่ได้หายไปจากโลกแล้วหรือ? ทำไมเขาถึงมาที่นี่?
ขณะที่มู่เฉินงงงวย ภาพเงาของจักรพรรดิฟ้าที่อยู่ใต้ต้นไม้โบราณก็ยิ้มให้ก่อนจะโบกมือเรียกมู่เฉินเข้ามายืนใต้ต้นไม้
จักรพรรดิฟ้านั่งลง ก่อนที่จะชี้ไปที่พื้นบอกให้มู่เฉินนั่งด้วย
จากนั้นมือของจักรพรรดิฟ้าก็เริ่มสร้างตราประทับ มิติรอบตัวบิดเบี้ยว เงาร่างสองร่างปรากฏขึ้น พวกเขาคือจักรพรรดิฟ้าชุดขาวและชุดดำ
นี่คือวิชาสามพิสุทธิ์!
เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ก็ตกอยู่ในภวังค์ ‘นี่ไม่น่าใช่จักรพรรดิฟ้า แต่เป็นภาพประทับที่จักรพรรดิฟ้าทิ้งเอาไว้ตอนที่กำลังฝึกฝนวิชา ซึ่งได้รับการเก็บบันทึกไว้ในหอคัมภีร์เทพซ่อน’
ร่างรองทั้งสองนั่งลงพลางหลับตาก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือออกไป
ร่างหลักของจักรพรรดิฟ้าพยักหน้าไปทางมู่เฉิน เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะวาดตราประทับเรียกมู่เฉินชุดดำและชุดขาวออกมานั่งอยู่เบื้องหน้าร่างรองทั้งสองของจักรพรรดิฟ้า
ใต้ต้นไม้สีทองเงาร่างหกร่างหันหน้าเข้าหากัน มู่เฉินทั้งสามยื่นมือออกมาประสานกับจักรพรรดิฟ้าทั้งสาม
ตู้ม!
จังหวะที่ฝ่ามือสัมผัสกัน จิตของมู่เฉินก็สั่นไหว นี่เป็นเหมือนบทสวดมนต์ ข้อมูลไร้ขอบเขตกำลังไหลเข้ามาในห้วงแห่งจิตของเขา
ชิ้นส่วนข้อมูลเหล่านั้นเป็นฉากๆ ทั้งหมดนี้เป็นภาพการฝึกฝนของจักรพรรดิฟ้าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกภาพบรรจุแน่นด้วยความเข้าใจของเขา
มู่เฉินกวาดสายตาสั้นๆ ก่อนที่เขาจะจมลงไปในฉาก ปัญหาคอขวดที่เขาเคยพบตอนฝึกฝนวิชาสามพิสุทธิ์ก็เปิดขึ้น ทำให้เขารู้แจ้ง
เขารู้ดีว่าช่วงเวลานี้มีค่าเพียงใด เขาจึงมุ่งความสนใจไปที่ความเข้าใจ ด้วยความช่วยเหลือนี้เขาจะสามารถทดลองและสรุปขั้นสองของวิชาสามพิสุทธิ์ได้ …
มู่เฉินและร่างรองทั้งสองเปล่งแสงหลิงออกมาอย่างแผ่วเบา แสงทั้งสามสายเริ่มพันกันกลายเป็นเส้นเชื่อมโยงทั้งสามเข้าด้วยกัน…
สำนักเมฆาม่วง จักรวรรดิเหนือ
ใบหน้าของชายชราทั้งสามซีดเผือดอยู่ในห้องโถง ขณะที่แสงสีม่วงล้อมร่างพวกเขาพร้อมกับหมอกสีม่วงลอยอวลขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นไม่นานมือข้างหนึ่งก็ดึงออกจากแผ่นหลังของพวกเขา
“ท่านประมุข!”
พวกจื่อเทียนเปยหันหลังอย่างรวดเร็ว ก็เห็นชายที่มีใบหน้าขาวราวกับหยกยืนอยู่ข้างหลังโดยเอามือไพล่หลัง เขาสวมชุดคลุมสีม่วง กำจายแรงกดดันที่น่ากลัวซึ่งทำให้แม้แต่มิติยังสั่นสะท้าน
ยามนี้ใบหน้าของชายชุดม่วงมืดครึ้มลงขณะเค้นเสียงเย็น “ช่างเป็นผนึกที่ครอบงำ”
เมื่อทั้งสามได้ยินเช่นนั้นหัวใจก็สั่นสะท้านด้วยความกลัว “แม้แต่ประมุขก็ไม่สามารถทำลายผนึกได้เหรอ?”
ประมุขตำหนักมู่น่ากลัวมากถึงขนาดที่แม้แต่ประมุขของพวกเขาก็ไม่สามารถปลดผนึกได้?
ใบหน้าของประมุขสำนักเมฆาม่วงดูเคร่งขรึมขณะที่ตอบเสียงเบา “ชายคนนั้นมีพลังผลึกที่ทรงประสิทธิภาพมาก ถ้าข้าทำลายด้วยความรุนแรง พวกเจ้าก็จะได้รับบาดเจ็บ แต่โชคดีที่ผนึกนี้จะคงอยู่เพียงหนึ่งปีจากนั้นก็สลายหายไปตามธรรมชาติ”
ใบหน้าพวกจื่อเทียนเปยดูขมขื่นมาก แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าในหนึ่งปีต่อจากนี้ขุมพลังของพวกเขาจะอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้นรึ? ชายหนุ่มคนนั้นน่ากลัวจริงๆ ถ้าพวกเขารู้เรื่องล่วงหน้าก็จะไม่ไปที่ตำหนักมู่หรอก…
เมื่อเห็นท่าทางของพวกเขา ประมุขสำนักเมฆาม่วงก็ขมวดคิ้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เราประเมินตำหนักมู่ต่ำไป ไม่คิดเลยว่าในภูมิภาคทางเหนือเล็กจ้อยจะมีจอมยุทธ์หนุ่มที่โดดเด่นเช่นนี้”
ดวงตาของจื่อเทียนเปยวาบไอเย็นชาขณะที่ตอบว่า “ท่านประมุข ประมุขตำหนักมู่ยโสโอหัง ไม่เพียงแต่เขาทำลายสารสำนักเมฆาม่วง ได้ข่าวว่ายังมีความตั้งใจที่จะคว้าตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือเพื่อยืนอยู่ในระดับเดียวกับสำนักเมฆาม่วงของเรา!”
ดวงตาของประมุขเมฆาม่วงหรี่ลงพลางหัวเราะเยาะ “เพ้อฝันซะจริง!”
ตอนนี้จักรวรรดิเหนือแบ่งออกโดยสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลงยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง ดังนั้นหากตำหนักมู่ต้องการเทียบเคียงก็ต้องยึดดินแดนบางส่วนจากสามขั้วอำนาจใหญ่
ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ทั้งสามขั้วอำนาจจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น
เพียงแค่คิดแสงสีม่วงก็วูบไหวในดวงตาของประมุขเมฆาม่วง “ในเมื่อตำหนักมู่ของเจ้าเด็กนั่นทะเยอทะยานมากนัก ข้าจะส่งคำเชิญให้เขาสำหรับการประชุมจักรวรรดิเหนือ ข้าจะขอดูว่าเขามีความสามารถในการฉกฉวยจากเราหรือไม่!”
สถานการณ์ของจักรวรรดิเหนือถูกกำหนดไว้แล้ว หากตำหนักมู่คิดว่าสามารถทำลายสถานการณ์นี้และแทรกแซงได้ ผลลัพธ์สุดท้ายจะทำให้ประมุขตำหนักมู่รู้ว่าความทะเยอทะยานอันเย่อหยิ่งไร้เดียงสาเพียงใด!
“เข้าร่วมการต่อสู้ชิงอำนาจจักรวรรดิเหนือเพื่อเป็นเจ้าเหนือหัว?”
เสียงของมู่เฉินทำให้ผู้คนตกตะลึง พวกเขาสติหลุดลอยไปอย่างเห็นได้ชัดกับแผนการทะเยอทะยานนี้
ที่สุดแล้วภูมิภาคทางเหนือก็ถือว่าเป็นขั้วอำนาจชั้นกลางในจักรวรรดิเหนือเท่านั้น ในแง่ของความแข็งแกร่งเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะลงชิงชัย
ถึงแม้ว่ามู่เฉินจะโดดเด่น แต่ตำหนักมู่อ่อนแอเกินไป มีเพียงมั่นถัวหลัวหนึ่งเดียวที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
เมื่อมองไปเห็นสีหน้าตกตะลึงของทุกคน มู่เฉินก็ยิ้มบางก่อนที่จะชี้ไปทางหลิงซีและหลงเซี่ยง “หลงเซี่ยงและหลิงซีจะเข้าร่วมกับตำหนักมู่ด้วย คนหนึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม อีกคนเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน”
พวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของหลงเซี่ยงแล้วจึงไม่มีใครแปลกใจ แต่เมื่อได้ยินว่าหญิงสาวชุดขาวเป็นหลิงเจิ้นจงซือ พวกเขาก็อุทานออกมาด้วยความตกใจทันทีเมื่อมองไป
ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง มู่เฉินก็โบกแขนเสื้อแสงหลิงวูบไหวก่อนที่ภาพเงาแข็งแกร่งจะปรากฏขึ้น นี่ก็คือเจียงหลงแม่ทัพมังกรดำ
“นายท่าน” เจียงหลงประสานมือให้มู่เฉิน ก่อนจะมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย
“แม่ทัพเจียงหลงจะเข้าร่วมตำหนักมู่ของเราด้วย” มู่เฉินตบไหล่เจียงหลง อีกฝ่ายก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม มีพลังอันยิ่งใหญ่
แม้ว่าเจียงหลงไม่รู้ว่ามู่เฉินกำลังทำอะไร แต่ก็พยักหน้ารับ
โห
ความโกลาหลกวนตัวในโถงขณะที่พวกหลิ่วเทียนเต้าฉายสีหน้าไม่อยากเชื่อ พวกเขาไม่คิดเลยว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินจะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เมื่อเขากลับมาครั้งนี้ยังนำกลุ่มผู้เชี่ยวชาญมาด้วย
ทั้งสามเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ในแง่ของพลังแค่พวกเขาก็เหนือชั้นกว่าทั้งตำหนักมู่แล้ว
แต่หลังจากความปั่นป่วน ทุกคนก็มีไฟลุกโชนในดวงตา ในอดีตตำหนักมู่ไม่กล้าแม้แต่จุ่มมือไปแตะยังตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือ เนื่องจากพวกเขายังอ่อนแอ ทว่าการกลับมาของมู่เฉินได้นำพาความแข็งแกร่งไปสู่ระดับใหม่
ด้วยพลังนี้บางทีพวกเขาก็สามารถไปลองดูบ้าง อย่างน้อยแม้ว่าจะไม่สามารถเป็นเจ้าจักรวรรดิเหนือ แต่ก็สามารถได้รับตำแหน่งที่คล้ายกับสำนักเมฆาม่วง
ในเวลานั้นสถานะและทรัพยากรของพวกเขาจะเปลี่ยนไปอย่างมาก
แค่คิดถึงก็ทำให้ทุกคนรู้สึกร้อนรุ่มในใจ ทั้งหมดผุดลุกขึ้นประสานมือคำนับต่อมู่เฉิน “เรายินดีที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของประมุข!”
เมื่อมองไปโดยรอบมู่เฉินก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ถ้าตำหนักมู่ต้องการที่จะเป็นเจ้าจักรวรรดิเหนือ พวกเขาก็ต้องสร้างความมั่นใจคนของตัวเองก่อน เพื่อทำให้ขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้น
มู่เฉินหันกลับมามองไปที่มั่นถัวหลัวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดอย่างไร?”
มั่นถัวหลัวยักไหล่อย่างสบายๆ “เจ้าเป็นประมุข ดังนั้นเจ้าคือคนตัดสินใจ”
นางยังประหลาดใจกับจอมยุทธ์ที่มู่เฉินพากลับมา เมื่อมีทั้งสามคนเข้าร่วมพลังของตำหนักมู่จะถูกยกขึ้นไปอีกระดับ
แน่นอนว่าหากพวกเขาต้องการตำแหน่งเจ้าเหนือหัวก็ต้องพึ่งพามู่เฉิน เพราะพวกเขาขาดพลังในการต่อสู้ระดับสูงเพื่อเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักเมฆาม่วงที่เป็นจอมยุทธ์ซึ่งสัมผัสกับระดับตี้จื้อจุนแล้ว
ขณะที่พูดนางก็กวาดมองไปที่ทุกคน “ในเมื่อประมุขตั้งใจที่จะแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือ ทุกคนก็ต้องเพิ่มการฝึกฝน อีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้เราจะเข้าร่วมในการประชุมจักรวรรดิเหนือเพื่อชิงชัยตำแหน่งเจ้าเหนือหัว!”
“รับทราบ!” ทุกคนตอบรับก่อนที่จะหันไปมองมู่เฉิน เมื่อเขาพยักหน้า แต่ละคนก็ออกจากห้องโถงไป
เมื่อทุกคนไปหมดแล้ว มั่นถัวหลัวก็มองไปที่มู่เฉินกะพริบตาด้วยความสงสัย “ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงสนใจที่จะเป็นเจ้าจักรวรรดิเหนือ?”
นางรู้จักนิสัยมู่เฉินที่ไม่ใช่คนทะเยอทะยาน มิฉะนั้นเขาคงไม่ละทิ้งตำหนักมู่และหายตัวไปนานขนาดนี้
มู่เฉินดูอึกอักไปเล็กน้อยก่อนที่จะตอบตรงไปตรงมา “ข้าต้องการของเหลวจื้อจุนอย่างน้อยหนึ่งพันล้านหยดต่อปี ข้ากลัวว่าจะไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว”
จริงอย่างที่มั่นถัวหลัวพูด เขาไม่ได้สนใจตำแหน่งเจ้าจักรรรดิเหนือ แต่เพื่อสนับสนุนกองทัพมังกรดำเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำเช่นนี้ การสนับสนุนกองทัพที่สามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้ตอนที่อยู่ในจุดสุงสุดเป็นสิ่งที่มู่เฉินไม่สามารถปล่อยวางได้ ทว่าเขาไม่มีเวลาในการคิดมากนักในการหาวิธีรับของเหลวจื้อจุน ดังนั้นหากต้องการของเหลวจื้อจุนมหาศาลในระยะยาว การสร้างขั้วอำนาจที่ทรงพลังเป็นหนทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหานี้
ตอนนี้มั่นถัวหลัวเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่ามู่เฉินจะไม่ได้ลงรายละเอียด แต่นางสามารถเข้าใจได้ว่าของเหลวจื้อจุนต้องมีความจำเป็นสำหรับเขา มิฉะนั้นเขาคงไม่ไปทำอะไรที่ยุ่งยากเช่นนี้
“ที่นี่คือตำหนักมู่ เจ้าเป็นประมุขเพียงคนเดียว ตราบเท่าที่เจ้าเสนอตำหนักมู่ก็จะสนองทุกอย่างเพื่อเจ้าได้” มั่นถัวหลัวเหลือบมองมู่เฉินพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า นางเห็นได้ว่ามู่เฉินรู้สึกผิดในใจอยู่เล็กน้อย
มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าเขาจะเป็นประมุขแต่ก็เป็นสิ่งที่มั่นถัวหลัวมอบให้ นับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักนี้ขึ้นมา มั่นถัวหลัวก็ทำงานหนักและนี่ก็คืองานหนักทั้งหมดของนาง ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกอึดอัดใจเนื่องจากเขาต้องการให้ตำหนักมู่ได้ของเหลวจื้อจุนเพิ่มจำนวนมหาศาลเพื่อสำหรับเขาไว้ใช้
“ใช่แล้ว นี่พี่หลิงซี หลงเซี่ยงและเจียงหลง” มู่เฉินระงับความรู้สึกขอบคุณไว้ในใจก่อนที่จะแนะนำ
หลิงซีเผยรอยยิ้มอ่อนโยนให้มั่นถัวหลัว ระหว่างทางมู่เฉินเล่าเรื่องมั่นถัวหลัวให้พวกนางฟัง ดังนั้นพวกนางจึงรู้สึกขอบคุณมั่นถัวหลัวที่ดูแลมู่เฉินอย่างดีมาตลอด
มั่นถัวหลัวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกขอบคุณในดวงตาของหลิงซี นางก็กวาดสายตาไปที่มู่เฉิน จากรูปลักษณ์ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา
หลังจากทั้งสองฝ่ายรู้จักกันแล้ว มั่นถัวหลัวก็นำกลุ่มมู่เฉินออกจากห้องโถง ตำหนักมู่ในตอนนี้ก็คือเขตต้าหลัวเทียนแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์นั่นเอง
ตอนนี้สำนักงานใหญ่ยังเชื่อมต่อกับวังสวรรค์บรรพกาล
มู่เฉินก็อยากรู้เช่นกัน พวกเขาเข้าไปในวังสรรค์บรรพกาลภายใต้การนำทางของมั่นถัวหลัว
เมื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล พื้นที่ยังคงปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายโบราณ แต่ซากปรักหักพังแต่เดิมเริ่มถูกทำความสะอาดบ้างแล้ว วังสร้างขึ้นใหม่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างด้วยโครงร่างของผู้นำทวีปเทียนหลัวก่อนหน้า
“ยังมีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ยังไม่ได้เปิด เนื่องจากมีค่ายกลเสียหายทรงพลังที่หลงเหลือ แม้กระทั่งข้ายังไม่กล้าที่จะเข้าไป จึงได้แต่จำกัดการเข้าสู่สถานที่เหล่านั้น” เมื่อมองไปที่ดินแดนโบราณ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของมั่นถัวหลัว ที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านเกิดของนาง ทว่ามันถูกทำลายเมื่อนางตื่นจากนิทรา
“เจ้ามอบหน้าที่ค่ายกลที่เสียหายให้พี่หลิงซีได้เลย นางเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน น่าจะสามารถปรับแต่งหรือจัดการลบออกได้” มู่เฉินพอใจมากที่วังสรรค์บรรพกาลเต็มไปด้วยชีวิตชีวา จึงยิ้มแย้มแจ่มใส
หลิงซีพยักหน้า นางเองรักในศาสตร์ค่ายกลอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนางที่จะได้ศึกษาค่ายกลโบราณเหล่านั้น
มั่นถัวหลัวชื่นชมยินดีในหัวใจ วังสวรรค์บรรพกาลจะสามารถพัฒนาได้เร็วยิ่งขึ้นด้วยความช่วยเหลือของหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน
ทุกคนเดินต่อไป อึดใจต่อมาพวกเขาก็เห็นแม่น้ำสีเงินพราวระยับไหลเอื่อยบนท้องฟ้า กำจายคลื่นหลิงไร้ขอบเขตออกมา
“คลื่นหลิงบริสุทธิ์อะไรปานนี้!” เมื่อหลิงซีและหลงเซี่ยงเห็นแม่น้ำขนาดมหึมาก็พากันร้องอุทานทันที
คลื่นหลิงที่นี่หนาแน่นกว่าภายนอกหลายสิบเท่า หากพวกเขาสามารถฝึกยุทธ์ได้ที่นี่ ความเร็วในการเพาะบ่มก็จะเร็วขึ้นมากอย่างไม่ต้องสงสัย
“ช่างเป็นสถานที่ฝึกยุทธ์ที่ดีนัก!”
มู่เฉินก็อุทานขณะที่กวาดสายตาไป เขาเห็นแท่นหยกสีขาวรอบๆ แม่น้ำที่ปกคลุมไปด้วยแสงหลิงที่ไร้ขอบเขต
มีเงาร่างมากมายอยู่บนนั้น
ฟิ้ว!
ในระยะไกลลำแสงสองสายทะยานเข้ามาที่เบื้องหน้ากลุ่ม ภาพหญิงสาวทรงเสน่ห์สองคนเผยออกมา คนหนึ่งมีรัศมีเย็นชา ส่วนอีกคนอ่อนโยนสดใส
ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน นี่ก็คือถังปิงและถังโหยว
“คารวะท่านประมุขและท่านมั่นถั่วหลัว!” ถังปิงและถังโหยวกล่าวด้วยเสียงเคารพ
แต่เมื่อพวกนางกำลังจะโค้งคำนับก็ถูกหยุดไว้ด้วยพลังอ่อนโยน มู่เฉินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เรารู้จักกันมานาน ไม่จำเป็นต้องมากมารยาทเช่นนี้”
ย้อนกลับไปตอนนั้นทั้งถังปิงและถังโหยวก็ดูแลเขาตั้งแต่เข้าร่วมหอวิหคโลกันตร์ในฐานะแม่ทัพตัวน้อย เพราะพวกนางเขาจึงสามารถผงาดขึ้นท่ามกลางหอวิหคโลกันตร์และอาณาเขตกงเวทสวรรค์
พอเห็นรอยยิ้มคุ้นเคยบนใบหน้ามู่เฉิน ร่างกายที่ตึงเครียดของถังปิงและถังโหยวก็คลายลง ดูเหมือนแม้ว่ามู่เฉินจะมีสถานะใหม่ แต่เขาก็คือมู่เฉินคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ตอนนี้ถังปิงและถังโหยวเป็นผู้ดูแลตำหนักมู่ กิจการภายในหลายอย่างอยู่ภายใต้การกำกับของพวกนางเช่นป้ายยุทธ์ทะเลสาบสวรรค์ เป็นสิ่งร้อนแรงที่สุดในภูมิภาคทางเหนือตอนนี้” มั่นถัวหลัวยิ้ม
“ป้ายยุทธ์ทะเลสาบสวรรค์?” มู่เฉินอึ้งไป
“ทะเลสาบสวรรค์เป็นสถานที่เพาะบ่มที่หาได้ยากในภายนอก ดังนั้นเพื่อให้รางวัลและจูงใจจอมยุทธ์ของตำหนักมู่ เราได้วางกฎไว้ว่าทุกเมืองภายใต้การปกครองจะได้รับป้ายยุทธ์ในจำนวนหนึ่งต่อปีตามผลงานที่ทำไว้และทุกป้ายสามารถส่งจอมยุทธ์คนหนึ่งมาฝึกฝนที่นี่ได้เป็นเวลาหนึ่งปี” มั่นถัวหลัวอธิบาย
“ตอนนี้ทุกคนทำงานอย่างหนักเพื่อรับป้ายยุทธ์ไป”
มู่เฉินเต็มไปด้วยการสรรเสริญเมื่อได้ยิน นั่นหมายความว่าพวกเขาเพิ่มความน่าสนใจมากล้นของทะเลสาบสวรรค์ มิหนำซ้ำยังดึงดูดจอมยุทธ์ให้เข้าร่วมกับตำหนักมู่ในระยะยาว
“สุดยอด” มู่เฉินยกนิ้วหัวแม่มือให้ถังปิงและถังโหยว
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของถังปิง ขณะที่ใบหน้าของถังโหยวแดงซ่านมือไม้บิดมุมเสื้อผ้าจนม้วนต้วนไปหมด
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองทุกคนที่ฝึกฝนอยู่ที่นี่ก็อดถอนหายใจไม่ได้ ตำหนักมู่เจริญรุ่งเรืองเต็มไปด้วยพลังชีวิต เพียงรอแค่โอกาสหนึ่ง ตำหนักมู่ก็จะสามารถเติบโตขึ้นกว่านี้แน่นอน
ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจ จู่ๆ ท่าทางก็เปลี่ยนไป สายตาเบนไปทางมั่นถัวหลัวพูดขึ้นว่า “ช่วยข้าดูแลพี่หลิงซีกับคนอื่นๆ ด้วย”
เมื่อบอกเสร็จ ร่างก็หายไป มั่นถัวหลัวเฝ้ามองภาพนี้อย่างครุ่นคิด
นั่นเป็นเพราะเมื่อครู่นางรู้สึกได้ถึงคำเรียกคลุมเครือและคุ้นเคย ซึ่งดูเหมือนจะมาจากหอคัมภีร์เทพซ่อนของวังสวรรค์บรรพกาลนี้…
“สำนักเมฆาม่วง…”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน สีหน้าของมั่นถัวหลัวก็กลายเป็นเคร่งเครียดก่อนที่นางจะเหลือบไปที่ด้านนอกห้องโถงพูดว่า “ตาเฒ่าสามคนนั่นเป็นผู้อาวุโสของสำนักเมฆาม่วงที่มีตำแหน่งสำคัญ เจ้าใจกว้างจริงๆ ที่ปล่อยพวกมันไป”
ถึงยังไงทั้งสามคนก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ถ้าจับพวกเขาไว้ก็จะสามารถข่มขู่สำนักเมฆาม่วงได้
“เวลาหนึ่งปีต่อจากนี้พวกเขาจะสูญสิ้นศักยภาพ ต่อให้หายพลังก็อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น” มู่เฉินยิ้มเหี้ยมก่อนจะพูดต่อ “ผนึกที่ข้าทิ้งไว้ไม่สามารถลบออกได้ เว้นแต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะเป็นผู้ลบออกให้”
เขาพูดอย่างสบาย แต่คำพูดนี้ก็ทำให้หัวใจของทุกคนในห้องโถงสั่นสะเทือนด้วยความหวาดผวา วิธีของประมุขพวกเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ผนึกที่เขาทิ้งไว้นั้น ต้องใช้ระดับเทียนจื้อจุนลบออกเชียวเหรอ?
มั่นถัวหลัวก็ประหลาดใจไปเช่นกัน ขณะที่นางมองมู่เฉิน นางไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะทรงพลังมากขนาดนี้ หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่นางต้องกังวลเกี่ยวกับผีแก่สามตัวนั่น
ต่อหน้าความแข็งแกร่งแท้จริง กลอุบายเล็กน้อยก็ไม่มีความสำคัญ
“เจ้าก็รู้ว่าภูมิภาคทางเหนือของเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเหนือ แม้ว่าเราจะรวมกันเป็นหนึ่ง แต่ความแข็งแกร่งของเราถือได้อยู่ชั้นกลางในจักรวรรดิเหนือเท่านั้น” มั่นถัวหลัวกล่าวช้าๆ
มู่เฉินพยักหน้า ทวีปเทียนหลัวเป็นมหาทวีปในมหาพันภพ ทวีปที่มีขนาดใหญ่เพียงนี้มีน้อยมากกระทั่งในมหาพันภพ ก็เป็นธรรมดาที่จะมีขั้วอำนาจพอกับดวงดาวบนท้องฟ้า
ในบรรดาขั้วอำนาจเหล่านั้นก็มีบางส่วนที่ยากแท้หยั่งถึง
“จักรวรรดิเหนือมีขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งอยู่สามขั้วในตอนนี้ ก็คือสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง พวกเขาเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีดินแดนกว่าเจ็ดส่วนอยู่ภายใต้การปกครองของพวกเขา” มั่นถั่วหลัวอธิบาย
“สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง…” มู่เฉินพยักหน้า ในอดีตเขาไม่เคยได้ยินชื่อเหล่านี้มาก่อนเนื่องจากภูมิภาคทางเหนือมีแต่ความวุ่นวายและอ่อนแอเกินไป ซึ่งเป็นผลให้ไม่มีขั้วอำนาจระดับสูงใดพยายามจะจับมือกับภูมิภาคทางเหนือ
ตอนนี้ภูมิภาคทางเหนือรวมเป็นหนึ่งเดียวและเริ่มแข็งแกร่งขึ้นบวกกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างมั่นถัวหลัว ทำให้พวกเขาเริ่มให้ความสนใจกับที่นี่ ดังนั้นจึงไปดึงดูดสายตาสำนักเมฆาม่วงเข้าให้
“พลังของสำนักเมฆาม่วงเป็นยังไง?” มู่เฉินถาม สำนักเมฆาม่วงคงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้อย่างสงบแน่นอนดังนั้นเขาต้องเตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้น
“สำนักเมฆาม่วงมีผู้อาวุโสใหญ่หกคน ทั้งหมดอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ตาแก่สามคนที่มาก่อนหน้านี้ก็เป็นสามในนั้น”
มู่เฉินพยักหน้า การมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มหกคนถือว่าทรงพลังแท้จริง แม้แต่แคว้นเซี่ยและตำหนักเทพอสูรที่เขาเคยพบมาก่อนซึ่งมีชื่อเสียงมากในทวีปเทียนหลัวก็ยังอ่อนแอเมื่อเทียบกัน
ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินทวีปเทียนหลัวต่ำไปในอดีต
“แน่นอนว่าผู้อาวุโสใหญ่ทั้งหกไม่ใช่จอมยุทธ์แข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นประมุขสำนักเมฆาม่วงซึ่งอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดมานาน มีข่าวลือว่าเขาเริ่มสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน พลังของเขาน่ากลัวมากจนไม่ใช่สิ่งที่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะสามารถต่อกรได้” ขณะที่พูดดวงตาของมั่นถัวหลัวก็อัดแน่นด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
ในมหาพันภพมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ชะงักการเพาะบ่มพลังอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มและมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนได้ นั่นเป็นเพราะการบรรลุขั้นตอนนั้นจะทำให้พวกเขาเปิดประตูสู่ระดับเทียนจื้อจุน เพื่อที่พวกเขาจะได้มีโอกาสบุกเข้าไปในระดับดังกล่าวในอนาคต
“เขาสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้วหรือ?” สายตาของมู่เฉินเป็นประกายด้วยแสงแปลกประหลาดเมื่อได้ยินก่อนที่จะครุ่นคิด “ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในจักรวรรดิเหนือเรอะ?”
ด้วยประสบการณ์และมุมมองที่กว้างขึ้น เขาพบว่านี่แปลกเกินไป โดยทั่วไปทวีปเทียนหลัวที่เป็นมหาทวีปควรเป็นสิ่งที่ขั้วอำนาจมากมายต้องการจะครอบครอง แล้วเหตุใดทวีปเทียนหลัวจึงยังคงไม่มีเจ้าเหนือหัวสักที
จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแห่งมหาพันภพไม่น่าจะปล่อยให้ทรัพยากรเหลือเฟือของทวีปทียนหลัวไม่ถูกแตะต้อง
“บางทีในทวีปเทียนหลัวยังอาจไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลย” มั่นถัวหลัวส่ายหน้าก่อนที่จะพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “แต่จำนวนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ให้ความสนใจกับทวีปเทียนหลัวอาจจะอยู่นอกเหนือจินตนาการของเจ้าเลย”
มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะเข้าใจบางอย่าง “ดูเหมือนว่าขั้วอำนาจจำนวนมากจับตาดูทวีปเทียนหลัวสินะ…”
ทวีปเทียนหลัวเป็นชิ้นเนื้อติดมันชุ่มฉ่ำ แม้แต่ขั้วอำนาจอื่นๆ ในมหาพันภพยังปรารถนา ทว่าก็มีคู่แข่งมากเกินไปสำหรับเนื้อติดมันนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงไม่มีขั้วอำนาจใดสามารถครอบครองได้ ด้วยวิธีนี้จึงก่อเกิดเป็นความสมดุลแทนโดยมีขั้วอำนาจคอยตรวจสอบซึ่งกันและกัน ส่งผลให้ทวีปเทียนหลัวไม่มีเจ้าเหนือหัวสักที
มั่นถัวหลัวพยักหน้า “เหล่าขั้วอำนาจที่จับตามองทวีปเทียนหลัวต่างร่างสนธิสัญญาว่าจะไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาที่ทวีปเทียนหลัวนี้ ปล่อยให้แข่งขันกันเองจนกว่าเจ้าเหนือหัวจะปรากฏขึ้น”
“แต่แม้ว่าจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนจะเข้ามาในทวีปไม่ได้ แต่ขั้วอำนาจเหล่านั้นก็ยังมีวิธีอื่น นั่นก็คือส่งคนที่มีขุมพลังต่ำกว่านั้นมาสร้างขุมกำลังในทวีปและเสริมกำลังจนกว่าจะกลายเป็นเจ้าเหนือหัว”
ดวงตาของมู่เฉินหดลง หากเป็นเช่นนั้นขั้วอำนาจชั้นสูงในทวีปเทียนหลัวไม่ถือว่าได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังหรือ?
เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่พยักหน้า “ถูกต้อง สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองต่างมีขั้วอำนาจยิ่งใหญ่คอยหนุนหลังพวกเขา”
“หลายปีที่ผ่านมาขั้วอำนาจทั้งสามพยายามต่อสู้เพื่อตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือ ในเดือนหน้าก็จะถึงวันชิงอำนาจตามสนธิสัญญา ผู้แพ้จะต้องถอนตัวออกจากจักรวรรดิเหนือ”
“มิน่าพวกเขาถึงก้าวร้าวขนาดนี้” มู่เฉินขมวดคิ้ว ไม่น่าแปลกใจที่สำนักเมฆาม่วงจะเย่อหยิ่ง ที่แท้พวกเขามีขั้วอำนาจยิ่งใหญ่ให้การสนับสนุนอยู่นี่เอง
ดูเหมือนว่าเขาประเมินความลึกของทวีปเทียนหลัวต่ำไป ตอนแรกเขายังคิดว่าไม่มีขั้วอำนาจสูงสุดในทวีป ที่ไหนได้คนเหล่านั้นจับตามองทวีปนี้ไว้นานแล้ว ก็เหมือนกับหมากรุก ในอดีตเขาและอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นตัวหมากบนกระดานด้วยซ้ำ
ถ้าในกรณีนี้การปรากฏของวังสวรรค์บรรพกาลก็ต้องดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมากเช่นกัน แต่การมาของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยับยั้งพวกเขาไว้ได้กลายๆ
ทว่าสถานการณ์ที่ซับซ้อนในทวีปเทียนหลัวไม่ได้ทำให้มู่เฉินรู้สึกหวาดกลัว เขาไม่ใช่เด็กอ่อนหัด เขาไม่กลัวจอมยุทธ์คนใดที่อยู่อยู่ใต้ระดับเทียนจื้อจุน ไม่เว้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดที่ได้สัมผัสกับขุมพลังเทียนจื้อจุนแล้ว
สำหรับขั้วอำนาจสูงสุดเหล่านั้น ตอนนี้ตัวเขาถือเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ แม้ว่าจะไม่ได้ครอบครองอำนาจใด แต่วังมหาพันภพก็ยอมรับสถานะของเขา
ไม่ต้องสงสัยนี่เป็นยันต์ป้องกันที่ยอดเยี่ยม หากขั้วอำนาจเหล่านั้นและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอยากจะแตะต้องตัวเขาก็ต้องพิจารณาถึงวังมหาพันภพให้ดี
ยิ่งกว่านั้นเขายังมีหินสลักของเทพจักรพรรดิสงครามอยู่ด้วย
ไม่ว่าจะในแง่ของขุมพลังหรือปัจจัยอื่นๆ ก็ไม่สามารถเอาอดีตมาเทียบได้อีกต่อไป ในอดีตสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเขาสามารถทำได้ในตอนนี้
“ตอนนี้ตำหนักมู่ของเรามีรายได้ต่อปีละเท่าไร?” จู่ๆ มู่เฉินก็ถามขึ้นขณะที่มองไปที่มั่นถัวหลัว
มั่นถัวหลัวอึ้งไปชั่วครู่เมื่อได้ยินคำถาม ก่อนที่นางจะตอบหลังจากไตร่ตรองสั้นๆ “ปัจจุบันตำหนักมู่มีของเหลวจื้อจุนประมาณสามร้อยล้านหยดต่อปี”
“สามร้อยล้าน…”
มู่เฉินส่ายหน้าเบาๆ เขามีกองทัพมังกรดำซึ่งเป็นตัวสูบขั้นสุดซึ่งต้องใช้ปริมาณของเหลวจื้อจุนแปดร้อยล้านหยดต่อปี
ไม่ต้องพูดถึงวิชาเจดีย์แปดองค์ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาสามพิสุทธิ์ แม้ว่าจะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัว แต่ก็จำเป็นต้องใช้ของเหลวจื้อจุนจำนวนมากเพื่อเปิดใช้
ดังนั้นตามการคาดการณ์เขาน่าจะต้องใช้ประมาณหนึ่งพันล้านหยดต่อปีเพื่อรักษากองทัพมังกรดำและวิชาเจดีย์แปดองค์
เห็นได้ชัดว่าปริมาณการบริโภคนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักมู่ในตอนนี้สามารถรองรับได้
ดวงตาของมู่เฉินกะพริบเล็กน้อยก่อนที่จะถามอีกครั้ง “แล้วปีหนึ่งสำนักเมฆาม่วงมีรายได้เท่าไร?”
มั่นถัวหลัวหันไปทางเทียนจิ้วที่ปัจจุบันดูแลหน่วยสืบราชการลับของตำหนักมู่อยู่
เทียนจิ้วตอบอย่างรวดเร็วว่า “รายงานท่านประมุข จำนวนผลกำไรที่สำนักเมฆาม่วงได้รับของเหลวจื้อจุนมีประมาณหนึ่งพันห้าร้อยล้านหยดต่อปี”
“หนึ่งพันห้าร้อยล้านหยด…”
รอยยิ้มเผล่ปรากฏบนใบหน้ามู่เฉิน ต้องขั้วอำนาจระดับนี้ถึงจะสามารถทนต่อการบริโภคของเขาได้ ซ้ำยังช่วยให้ตำหนักมู่ขยายตัวได้อีกด้วย
เมื่อเห็นมู่เฉินยิ้มออกมา มั่นถัวหลัวก็รู้สึกงงงวยก่อนที่จะตอบกลับ “ตอนนี้เจ้าควรคิดว่าจะจัดการกับสำนักเมฆาม่วงดีกว่า พวกเขาไม่ปล่อยให้เรื่องไปอย่างสงบแน่นอน”
“นอกจากนี้เจ้ายังแสดงให้เห็นถึงพลังยอดเยี่ยม ข้ากลัวว่างานนี้ตำหนักมู่ของเราจะตกอยู่ในสายตาของสามยักษ์ใหญ่จักรวรรดิเหนือซะแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นข้ากลัวว่าเราจะเผชิญหน้ากับปัญหาอื่นมากขึ้น”
คนอื่นๆ ก็พยักหน้า สำนักเมฆาม่วงเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของจักรวรรดิเหนือซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกกดดันมาก แม้ตอนนี้จะมีมู่เฉิน แต่พวกเขาก็อดรู้สึกกังวลไม่ได้
มู่เฉินยิ้ม “ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวล…การแย่งชิงอำนาจเพื่อครอบครองจักรวรรดิเหนือจะเริ่มในอีกหนึ่งเดือนใช่ไหม?”
มั่นถัวหลัวพยักหน้า ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร
มู่เฉินคลี่รอยยิ้ม เสียงดังก้องไปทั่วทั้งโถงทำเอาทุกคนตกตะลึงไป
“งั้นข้าตัดสินใจแล้ว ครั้งนี้ตำหนักมู่ของเราจะเข้าร่วมการต่อสู้ชิงอำนาจจักรวรรดิเหนือเพื่อเป็นเจ้าเหนือหัวด้วย!”
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1352 ข่มขู่
ทั้งโถงเงียบกริบ
ทุกคนถูกข่มจากแรงกดดันที่มาจากร่างอ่อนเยาว์ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์จากสำนักเมฆาม่วงหรือตำหนักมู่
พวกหลิ่วเทียนเต้ายังตกตะลึง ไม่ฟื้นคืนสติจากพลังที่มู่เฉินแสดงออกมา
นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้จักมู่เฉินมานาน โดยเฉพาะหลิ่วเทียนเต้าที่พบกับมู่เฉินครั้งแรกก็ไม่ลงรอยเพราะเรื่องบุตรชายโดนหยามเกียรติ ในเวลานั้นมู่เฉินเป็นเพียงมดในสายตาที่เขาสามารถฆ่าได้อย่างง่ายดายด้วยการพลิกมือ
ทว่าใครจะคิดว่าในเวลาเพียงไม่กี่ปีมดในสายตาพวกเขาจะเติบโตด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง จนตอนนี้พุ่งแซงหน้าพวกเขาไปแล้ว
เมื่อมองดูร่างอ่อนเยาว์ หลิ่วเทียนเต้าก็ถอนหายใจลึกๆ ความไม่เต็มใจที่เหลืออยู่ในใจถูกลบล้างหมดสิ้น
พรรคพวกคนอื่นดวงตาก็หดลง พวกเขาเริ่มมองไปที่มู่เฉินด้วยความเคารพ
ย้อนกลับไปตอนที่พันธมิตรภาคเหนือก่อตั้งตำหนักมู่พวกเขาไม่พอใจที่ต้องยอมให้มู่เฉินเป็นประมุข ทว่าพวกเขาก็ต้องปฏิบัติตามเนื่องจากแรงกดดันของมั่นถัวหลัว ซึ่งสร้างความไม่พอใจในใจลึกๆ เพราะยังไงมู่เฉินก็เพิ่งบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นมาได้เอง
แต่ความไม่พอใจนี้ก็หายวับไปกับตา เมื่อมู่เฉินซัดจอมยุทธ์จากสำนักเมฆาม่วงปลิวเหมือนกระสอบทราย
ในตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าทำไมมั่นถัวหลัวถึงต้องการให้มู่เฉินเป็นประมุขตำหนักมู่ นั่นเป็นเพราะศักยภาพของเขาน่ากลัวเหลือเกิน
เขาเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มด้วยวัยเพียงเท่านี้ มิหนำซ้ำยังมีความสามารถในการต่อสู้ที่เหนือกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มของแท้ ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเขาจะน่ากลัวเพียงใดเมื่อไปถึงระดับเทียนจื้อจุน
การมีคนในฐานะอย่างเขาเป็นผู้ปกครองตำหนักมู่ ในบางแง่มุมพวกเขาก็มีที่ยึดเหนี่ยวแล้ว
ท้ายที่สุดด้วยขุมพลังของพวกเขา ต่อให้อยากไปเข้าร่วมขั้วอำนาจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน อีกฝ่ายก็อาจไม่ต้องการรับไว้ เนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นถือได้ว่าอยู่กลางๆ ในขั้วอำนาจเหล่านั้นเท่านั้น
ด้วยศักยภาพของมู่เฉิน ภูมิภาคทางเหนือไม่อาจรั้งเขาไว้ได้แน่นอน อนาคตอาจได้ปกครองทั้งจักรวรรดิเหนือ หรือกระทั่งทั้งทวีปเทียนหลัว สร้างตำหนักมู่ให้กลายเป็นขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ
เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาคงต้องรู้สึกดีใจจริงๆ ที่พวกเขาโชคดีได้เป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นสูงตั้งแต่ตอนที่ตำหนักมู่ก่อตั้งขึ้น
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองมั่นถัวหลัวด้วยสายตานับถือ เพราะพวกเขาประทับใจในการมองการณ์ไกลของนาง
สัมผัสถึงการจ้องมองมา มั่นถัวหลัวก็อดเบ้ปากไม่ได้ นางรู้ดีถึงศักยภาพของมู่เฉิน แต่นางก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มในเวลาเพียงหนึ่งปี
นางมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน จากที่รู้สึกความสามารถในการต่อสู้ของมู่เฉินน่าจะก้าวเกินนางไปแล้ว
นี่ทำให้นางมีความรู้สึกที่ประหลาดไป เพราะในอดีตนางเป็นโล่คุ้มครองมู่เฉินมาโดยตลอด แต่ ณ สถานการณ์ตอนนี้ทุกอย่างพลิกผันสิ้นเชิง
สิ่งนี้ทำให้จิตใจนางรู้สึกซับซ้อน
ทว่ามู่เฉินไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไร สายตาเขาจับจ้องไปที่ตาเฒ่าทั้งสามที่ตัวสั่นเทา
“ประมุขมู่ พวกข้าเป็นทูตเท่านั้น ไม่ว่ายังไงตามกฎสงครามก็ไม่สมควรจะสังหารทูต!”
จื่อเทียนเปยพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือใบหน้าซีดเซียวไปหมดภายใต้สายตาไม่แยแสของมู่เฉิน คลื่นหลิงของเขาถูกปิดผนึก ตอนนี้เขาก็ไม่ต่างจากชายชราธรรมดาที่สามารถฆ่าได้อย่างง่ายดายภายใต้ความโกรธของมู่เฉิน
“เมื่อครู่เจ้าไม่ได้เป็นแบบนี้นะ” มู่เฉินยิ้มให้จื่อเทียนเปยที่แสดงท่าทีหยิ่งผยองก่อนหน้าเมื่อคิดว่าไม่มีใครหยุดเขาได้
จื่อเทียนเปยยิ้มอย่างขมขื่นในใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีคนที่น่ากลัวเช่นนี้ในตำหนักมู่ จากการแลกกระบวนท่าก่อนหน้าที่กินเวลาเพียงจิบน้ำ พวกเขาทั้งสามคนก็สิ้นสภาพ พลังในการต่อสู้ของมู่เฉินน่ากลัวมาก
ถ้าเขารู้เรื่องนี้มาก่อนก็ไม่กล้าแสดงท่าทีหยิ่งผยองแม้ว่าเขาจะมีความกล้าเทียมฟ้าก็ตาม
“ตาแก่คนนี้ตาบอด ไม่คิดถึงอำนาจของท่านประมุขมู่ นี่เป็นบทเรียนที่ข้าสมควรได้รับ” จื่อเทียนเปยยิ้มแห้ง ท่าทางของเขาในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
“ช่างรู้กาลเทศะซะจริง” เมื่อเห็นคนไร้ยางอายคนนี้ มู่เฉินก็ส่ายหัวและยิ้ม
จอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตำหนกักมู่ก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นภาพนี้
“กลับไปบอกเรื่องนี้กับสำนักเมฆาม่วงซะ แม้ว่าตำหนักมู่จะไม่สร้างปัญหา แต่พวกข้าก็ไม่กลัวหน้าไหนเช่นกัน ถ้าพวกเจ้าคิดว่าตำหนักมู่เป็นพวกเต่าหดหัว งั้นเราก็ต้องขอลองดีสักหน่อย” มู่เฉินยิ้มบาง
จื่อเทียนเปยทำได้เพียงพยักหน้ารัวๆ ไม่กล้าพูดอะไรหักล้าง
“ไปซะ”
มู่เฉินไม่คิดพูดมากความ เขาไม่คิดที่จะให้ทั้งสามคนอยู่ต่อ เนื่องจากทั้งสามมีผนึกประทับไว้ซึ่งจะทำให้พวกเขาอ่อนแอลงจนถึงปีหน้าเลยทีเดียว
“ขอรับๆ พวกข้าขอลาไปก่อนนะ”
จื่อเทียนเปยรู้สึกโล่งใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น รีบออกไปพร้อมกับพรรคพวก สำหรับผนึกในร่างพวกเขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก เนื่องจากประมุขของพวกเขาน่าจะสามารถแก้ไขได้
มู่เฉินมองเงาที่จากไปมุมปากก็ยกขึ้น ทั้งสามคนคิดว่าผนึกของเขาจะลบล้างง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? ตราบใดที่ประมุขสำนักเมฆาม่วงไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่สามารถแก้ไขได้
หลังจากข่มขู่ทูตสำนักเมฆาสีม่วงจากไป มู่เฉินก็หันกลับมาถามว่า “จิ่วโยวล่ะ?”
เขาไม่สามารถรับรู้ถึงรัศมีของจิ่วโยวในตำหนักมู่ได้เลย
“ไม่นานหลังจากที่เจ้าไปดินแดนซีเทียนเล็ก นางก็มุ่งหน้ากลับไปที่เผ่าวิหคโลกันตร์ ดูเหมือนนางจะถูกกระตุ้นด้วยความเร็วในการฝึกฝนของเจ้า ตั้งใจที่จะเริ่มเส้นทางวิวัฒนาการ ดูว่าจะสามารถพัฒนาไปสู่วิหคอมตะได้หรือไม่” มั่นถัวหลัวอธิบาย
มู่เฉินพยักหน้า จิ่วโยวมีสายเลือดเข้มข้นของวิหคอมตะ ดังนั้นจึงมีโอกาสสำหรับการวิวัฒนาการ หากนางสามารถพัฒนาได้จริง สายเลือดของนางจะได้รับการเปลี่ยนแปลงมากมายและพัฒนาสู่การเป็นวิหคอมตะโบราณที่เทียบเท่ากับระดับเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว
เส้นทางการฝึกฝนของเทพอสูรไม่ธรรมดาตั้งแต่เริ่มต้น บางคนไม่สามารถวิวัฒนาการได้แม้จะผ่านไปหลายร้อยหลายพันปี แต่ถ้าสามารถพัฒนาได้ก็ก้าวผ่านประตูสวรรค์ในก้าวเดียว
“ลำบากเจ้าที่ทำงานหนักเพื่อตำหนักมู่” มู่เฉินหันไปมองรอบๆ เหล่าผู้เชี่ยวชาญในโถงก็ถอนหายใจ ในปีที่ผ่านมามั่นถัวหลัวต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการขยายอาณาเขตของตำหนักมู่
แต่มั่นถัวหลัวก็กลอกตากับคำพูดของเขา เนื่องจากน้องชายคนนี้ทิ้งภาระงานให้อย่างตรงไปตรงมา
“ฮ่าๆ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ข้ามีของขวัญมอบให้เจ้าด้วยนะ” เมื่อมู่เฉินเห็นการตอบสนองของนาง เขาก็ชิงพูดก่อน ลำแสงสีดำพุ่งไปหามั่นถัวหลัวเมื่อเขาโบกมือ
มั่นถัวหลัวพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ลำแสงสีดำก็หยุดลงต่อหน้า ปรากฏเป็นภาพแส้สีดำประดับหนามแหลม
“นี่คือ?” มั่นถัวหลัวอึ้งไปชั่วครู่ขณะที่มองแส้สีดำก่อนจะอุทาน “อาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบจะยอดเยี่ยมที่สร้างมาจากกิ่งก้านของดอกแมนดาลาโบราณเรอะ?!”
นางมีร่างเป็นดอกแมนดาลาโบราณ ดังนั้นนางจึงรู้สึกได้ว่าเจ้าของแส้ดอกไม้คนก่อนหน้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอย่างแน่นอน
นี่เป็นอาวุธที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับนาง
“พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจไม่ช่วยส่งเสริมอะไรมากแล้ว ดังนั้นถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนเป็นอาวุธใหม่” มู่เฉินยิ้ม ด้วยแส้นี้พลังของมั่นถัวหลัวน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย
“หืม ดูเหมือนว่าผลเก็บเกี่ยวในการเดินทางครั้งนี้ดีเลยเชียว” มั่นถัวหลัวอุทานชื่นชม อาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบจะยอดเยี่ยมเป็นสมบัติแท้จริง ซึ่งจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มทุกคนใฝ่ฝันต้องการ
คนอื่นๆ น้ำลายไหลกับภาพน่าตกใจนี้
หากนำอาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบจะยอดเยี่ยมไปประมูล ราคาอาวุธชิ้นนี้จะต้องตกอยู่ที่ของเหลวจื้อจุนอย่างน้อยหลายร้อยล้านหยด
“อย่างน้อยก็มีสำนึกดี ข้ารับไว้แล้วกัน” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของมั่นถัวหลัว ชัดว่านางพอใจกับของขวัญชิ้นนี้มาก
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะหันไปมองเทียนจิ้ว หลิงถงและซุ่ยนอน ทั้งสามคนยังติดอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว
หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่ เขาก็สะบัดนิ้วลำแสงสามสายพุ่งเข้าหาทั้งสาม นี่เป็นเม็ดยาสามเม็ด
“สิ่งนี้คือเม็ดยาพั่วจุน สามารถช่วยทำลายขอบเขตระหว่างระดับจื้อจุนขั้นเก้ากับระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น พวกเจ้าทั้งสามคนมีพลังเพียงพอแล้ว รอแค่โอกาสที่จะสร้างความก้าวหน้า” มู่เฉินยิ้มให้ทั้งสามคน
พวกเขาทั้งสามเป็นสมาชิกที่อยู่มานานที่สุดอย่างแท้จริง ติดตามมั่นถัวหลัวมาตั้งแต่เริ่มต้นตั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นในเรื่องความภักดีไม่มีข้อสงสัยใดเลย ในเมื่อตอนนี้มีพลังเพียงพอ มู่เฉินจึงคิดจะช่วยเหลือพวกเขาสักหน่อย
ใบหน้าของเทียนจิ้วเต็มไปด้วยความสุข เมื่อรู้สึกถึงคลื่นหลิงบริสุทธิ์ในเม็ดยา แม้ว่าพวกเขาจะขาดโอกาส แต่บางครั้งโอกาสกลับไม่มาสักที ด้วยเม็ดยาพั่วจุนนี้ พวกเขาจะสามารถสร้างความก้าวหน้าได้ทันที
“ขอบคุณท่านประมุข!”
พวกเขาทั้งสามกำหมัดด้วยความรู้สึกซาบซึ้งขณะที่ถอนหายใจ ย้อนกลับไปเมื่อมู่เฉินมาถึงอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาเป็นเพียงแม่ทัพตัวน้อยที่อ่อนแอและมีสถานะแตกต่างจากพวกเขาอย่างมาก แต่ใครจะคาดคิดว่าไม่กี่ปีต่อมาเขาจะไปถึงจุดสูงสุดนี้
จอมยุทธ์ในห้องโถงมองด้วยความอิจฉา เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะพบกับเม็ดยาที่สามารถช่วยให้ผู้ฝึกทะลวงขุมพลังได้ แม้แต่ในงานประมูลยังหาได้ยาก ไม่คิดว่าประมุขมู่จะนำออกมาแจกจ่ายได้อย่างง่ายดาย
หลังจากให้รางวัลทั้งสามคนแล้ว มู่เฉินก็หันไปมองพวกหลิ่วเทียนเต้า ตอนนั้นเมื่อเขาประจันหน้ากับจื่อเทียนเปย เขาก็เห็นพวกเขาพยายามเข้ามาช่วยเหลือ
แม้ว่าในอดีตจะมีความขุ่นเคืองกันบ้าง แต่พวกเขาก็สามารถไว้เนื้อเชื่อใจตั้งแต่ยอมเข้าร่วมตำหนักมู่ แม้จะแอบวางแผนเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม
ดังนั้นเขาจึงโบกมือ เม็ดยาห้าเม็ดบินเข้าไปหาทั้งห้าคน
เม็ดยาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เขาได้รับจากสุสานภูตผีเสื้อโอสถซึ่งมีค่าเหลือล้น
“พวกเจ้าทั้งห้ามีคุณูปการมากในการช่วยมั่นถัวหลัวขยายอำนาจตำหนักมู่ สมควรได้รับรางวัล” มู่เฉินยิ้มบาง “นี่คือเม็ดยาตู้เอ้อที่จะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสให้ในการบุกทะลวงระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นไปสู่ขั้นปลาย แต่การประสบความสำเร็จได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนแล้ว”
ร่างกายของหลิ่วเทียนเต้าสั่นสะท้านเมื่อได้ยิน ก่อนที่ความสุขจะกระจายบนใบหน้า พวกเขาติดอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นมาเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าเม็ดยาตู้เอ้อมีค่าแค่ไหนสำหรับพวกเขา
นอกจากนี้เม็ดเหล่านั้นมีค่ามากกว่าที่มู่เฉินมอบให้เทียนจิ้ว หลิงถงและซุ่ยนอน หากสิ่งนี้ถูกนำไปประมูลราคาก็จะทะลุเพดานแน่นอน
“ขอขอบคุณท่านประมุข!”
ทั้งห้ากุมเม็ดยาอย่างระมัดระวังก่อนจะประสานมือ การกระทำของมู่เฉินบ่งบอกถึงทัศนคติที่มี เขาลืมเลือนสิ่งที่พวกเขาทำในอดีตได้ ตราบเท่าที่พวกเขายังคงภักดีต่อไปในอนาคต
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ
เมื่อผู้จอมยุทธ์คนอื่นๆ ในห้องโถงเห็นคนเก่าแก่ได้รับรางวัลกันถ้วนหน้า สายตาของพวกเขาลุกโชนด้วยความอิจฉา แต่พวกเขารู้ว่าผู้ที่ได้รับรางวัลก็คือผู้บุกเบิกที่ได้สร้างผลงานสำคัญเอาไว้
“ตำหนักมู่ให้รางวัลอย่างยุติธรรม ตราบใดที่พวกเจ้ามีส่วนร่วมก็จะได้รับรางวัล” มู่เฉินกวาดมองทุกคนพลางพูดย้ำช้าๆ
“รับทราบ!”
ทุกคนตอบสนองด้วยเสียงที่กระทั่งท้องฟ้ายังสั่นสะท้าน
มั่นถัวหลัวยิ้มบางกับภาพนี้ วิธีการของมู่เฉินฉลาดมาก เขาลบความไม่คุ้นเคยในช่วงปีที่ผ่านมาและสร้างสถานะให้กับตัวเองในตำหนักมู่ทันที
ในอนาคตไม่รู้จะมีจอมยุทธ์กี่คนยอมทำงานถวายหัวจากคำพูดของเขา
มู่เฉินพยักหน้าหันไปมองมั่นถัวหลัว “ตอนนี้…ถึงเวลาคุยกันว่าสำนักเมฆาม่วงคิดจะทำอะไรกันแล้ว…”
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1351 ประมุขตำหนักมู่
เหตุการณ์พลิกผันไปมาทำให้ทุกคนตะลึงงัน
เมื่อเสียงมั่นถัวหลัว หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ เปล่งตามออกมา ทุกคนก็หลุดจากอาการตกใจ จากนั้นก็มุ่งความสนใจไปที่หนังสือหยกที่มู่เฉินบดขยี้จนไม่เหลือซาก
หนังสือหยกเล่มนั้นเป็นตัวแทนของสำนักเมฆาม่วง ไม่มีใครกล้าปฏิเสธคำเชิญนี้มาก่อน ไม่ต้องพูดถึงการบดขยี้ต่อหน้าสาธารณชน… การบดขยี้ตีความหมายถึงการดูหมิ่นก่อให้เกิดภัยพิบัติใหญ่หลวง
“เขา…คือประมุขตำหนักมู่งั้นเหรอ?”
“เฮ้อ คนหนุ่มใจร้อน ระงับอารมณ์ไม่อยู่เลย ตอนนี้เขาทำลายหนังสือหยกไปแล้ว เกิดปัญหาใหญ่ตามมาแน่!” จอมยุทธ์ตำหนักมู่คนอื่นๆ กล่าวด้วยสีหน้าปวดใจ
“เขาห้าวเกินไป!” หลายคนมีใบหน้ามืดครึ้ม แม้ว่าการทำเช่นนี้จะช่วยระบายความโกรธในใจของพวกเขาออกไป แต่ความโกรธของสำนักเมฆาม่วงไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักมู่จะสามารถทนได้
“ดูเหมือนหายนะกำลังจะเกิดขึ้นในตอนนี้ คงต้องหาทางถอยออกก่อน”
ทั้งโถงเกิดความโกลาหล จอมยุทธ์ตำหนักมู่หลายคนมีความกลัวเขียนอยู่บนใบหน้า พวกเขาตกใจกับการกระทำของมู่เฉิน ไม่ต้องพูดถึงสำนักเมฆาม่วง เอาแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนนี่ก็สามารถดีดพวกเขาเป็นปุ๋ยได้
หลิ่วเทียนเต้า โยวมิ่งและผู้อาวุโสคนอื่นๆ คอตกก่อนจะถอนหายใจพลางส่ายหัว สถานการณ์วันนี้อิรุงตุงนังจนแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
เมื่อห้องโถงเข้าสู่จลาจล จอมยุทธ์ทั้งสามจากสำนักเมฆาม่วงก็ฟื้นสติ ขณะที่จื่อเทียนเปยเห็นหนังสือหยกถูกบดขยี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปแทนที่ด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่านในดวงตา
“ฮ่าๆ ดี! หลายปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนบ้าบิ่นกล้าบดขยี้หนังสือหยกของสำนักเมฆาม่วง!” น้ำเสียงน่าขนลุกขณะที่สายตาจ้องมองไปที่มู่เฉินราวกับใบมีดคม
“งั้นก็เริ่มมีตั้งแต่ตอนนี้เลย”
มู่เฉินพูดเบาๆ พลางปัดฝุ่นผงบนมือ “ข้าให้เวลาสิบอึดใจ ไสหัวออกไปจากตำหนักมู่ซะ”
ในขณะเดียวกันสายตาเขาก็กวาดไปทั่วกลุ่มคนที่ตื่นตระหนกในตำหนักมู่ เขาประทับใบหน้าคนเหล่านี้ที่เลือกที่จะปกป้องตัวเองในช่วงเวลาวิกฤต คนที่คิดแค่ตัวเองไม่เหมาะสมกับตำหนักมู่หรอก
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ชายชราทั้งสามก็อึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะดังก้องสะท้อนทั้งโถง
พวกหลิ่วเทียนเต้าแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินไม่มองจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนนี้ในสายตาเลย
สายตาของพวกเขาอดไม่ได้ที่จะเบนไปทางมั่นถัวหลัว เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่านางไม่ได้พูดอะไร พวกเขาก็กลับมามองมู่เฉินพลางครุ่นคิด…
“ไม่คิดมาก่อนว่าประมุขตำหนักมู่จะเป็นเด็กไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำขนาดนี้” จื่อเทียนเปยส่ายหัวด้วยความสงสารก่อนจะพูดต่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ตำหนักมู่คงอยู่ต่อไป”
ตู้ม!
เมื่อคำสุดท้ายจบลง แขนเสื้อเขาก็สะบัดคลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกจากร่างกายโดยไม่มีการยับยั้ง ทำให้โถงสั่นสะเทือนส่งสัญญาณใกล้จะพังทลาย
“ลงมือจากเจ้าก่อนเลย!”
จื่อเทียนเปยยิ้มน่าขนลุกขณะที่ก้าวออกไป ภาพเงาปรากฏขึ้นอย่างลึกลับเบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมกับฝ่ามือกระแทกลง ฝ่ามือนั่นทิ้งรอยแตกในมิติแสดงให้เห็นว่าการโจมตีกระบวนท่านี้น่ากลัวเพียงใด
เมื่อทุกคนในตำหนักมู่เห็นจื่อเทียนเปยคิดจะฆ่ามู่เฉิน พวกเขาก็ร้องอุทาน ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นประมุข ถ้าเขาตาย ตำหนักมู่ล่มสลายแน่
ใบหน้าของหลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ เปลี่ยนไปก่อนที่จะกัดฟันแน่น พวกเขาคิดจะช่วยมู่เฉิน แต่ถูกมั่นถัวหลัวกางแขนหยุดเอาไว้
“ท่านมั่นถัวหลัว!” ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะอุทานออกไป
ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉิน กระทั่งพวกเขายังต้องเผชิญหน้ากับความตายหากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มซัดเต็มกำลัง
มั่นถัวหลัวจ้องมองไปที่ภาพเงาของมู่เฉิน นางรู้สึกได้ถึงแรงกดดันคลุมเครือที่มาจากเขา
แรงกดดันนั้นทำให้นางรับรู้ว่ามู่เฉินไม่เหมือนกับตอนที่เขาจากไปอีกแล้ว…
ตู้ม!
ฝ่ามือของจื่อเทียนเปยตกลงภายใต้การมองจากทุกคน แต่เมื่อกำลังจะสัมผัสกับหน้าอกของมู่เฉิน เขาก็ยกมือขึ้นตบมือเหี่ยวย่นเบาๆ ราวกับกำลังตีแมลงวัน
ตึง!
เสียงทุ้มต่ำดังจากการปะทะ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหลับตา เหมือนไม่ต้องการดูมู่เฉินตาย
แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะปิดตาลง จู่ๆ ก็เห็นร่างหนึ่งปลิวออกไปสร้างรอยยาวบนพื้น
ทันใดนั้นบรรยากาศในโถงก็เงียบสงัด
เนื่องจากพวกเขาเห็นชัดว่าคนที่ปลิวออกไปคือจื่อเทียนเปย!
วาบ!
สายตาไม่อยากจะเชื่อพุ่งตรงไปที่มู่เฉิน พวกเขาเห็นเขาคงท่าทางเอาไว้ขณะยืนอยู่บนพื้น ไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย
ฝ่ามืออันโหดร้ายของจื่อเทียนเปยไม่สามารถแม้แต่จะทำให้มู่เฉินขยับเขยื้อนร่างกาย ขณะที่การตบออกไปครั้งเดียวกลับเป่าชายชราซะหน้าหงายได้?
อ็อก
เมื่อจื่อเปยเทียนทรงตัวได้ก็กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ขณะที่จ้องมองมู่เฉินด้วยความหวาดผวา จากการแลกกระบวนท่ากันเมื่อครู่ เขารับรู้ได้ถึงพลังน่ากลัวจากมือของมู่เฉินที่ทำให้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างเขายังรู้สึกตกใจ
มาถึงตอนนี้เขาบอกได้เลยว่ามู่เฉินแกล้งเป็นหมูเพื่อกินเสือ!
“เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?!” จื่อเทียนเปยมองมู่เฉินพลางกัดฟันแน่น
ตอนที่พวกเขาต่อสู้กัน คลื่นหลิงที่ผันผวนจากร่างกายของมู่เฉินเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว แต่เขาไม่อยากเชื่อว่าด้วยขุมพลังนี้มู่เฉินสามารถปราบเขาได้อย่างไร?
โห!
เมื่อเขาพูดขึ้น ทุกคนในตำหนักมู่ก็ตกตะลึงไป โดยเฉพาะพวกหลิ่วเทียนเต้าที่ฉายไม่เชื่อบนใบหน้า ตอนที่มู่เฉินออกจากตำหนักมู่ พลังอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น เวลาผ่านไปเพียงประมาณหนึ่งปีตอนนี้เขาเสมือนจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว?!
ยิ่งไปกว่านั้นที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามารถปราบปรามระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างจื่อเทียนเปยได้?
“ไอ้เด็กเวรนี่แปลกมาก ลงมือด้วยกัน!” จื่อเทียนเปยตะโกน ในตอนนี้ไม่ว่าเขาจะโง่แค่ไหน ก็รู้แล้วว่ามู่เฉินไม่ใช่คนโค่นล้มลงง่ายๆ แค่เขาคนเดียวไม่สามารถต่อกรกับมู่เฉินได้
ชายชราอีกสองคนจากสำนักเมฆาสีม่วงก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนที่ไอสังหารจะควบแน่นในสายตาขณะมองไปที่มู่เฉิน
วาบ!
ทว่าก่อนที่พวกเขาจะรวมพลังเข้าด้วยกัน มู่เฉินก็ก้าวย่างออกไป มิติบิดเบี้ยวไปปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสามทันที
“เร้าร่างเทห์สวรรค์ออกมา!”
ทั้งสามคนม่านตาหดเกร็งตะโกนออกมาโดยไม่ลังเล เบื้องหลังร่างเทห์สวรรค์เริ่มควบแน่น เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าถูกคุกคามหนักหน่วงโดยมู่เฉิน
แต่เมื่อร่างมหึมารวมตัวอยู่ด้านหลังพวกเขา ฝ่ามือผลึกใสก็พุ่งผ่านเจาะผ่านการป้องกันรอบตัวพวกเขาก่อนที่จะตบลงบนหน้าอกทั้งสามเบาๆ
ปัง!
เสียงอู้อี้ดังขึ้น เปลือกตาของทุกคนกระตุก ก่อนที่จะเห็นว่าชายชราทั้งสามถูกซัดไปกระแทกกับเสาหินในห้องโถง
อ็อก
ทั้งสามคนกระอักเลือดเต็มปาก ก่อนที่พวกเขาจะตระหนักได้ว่าคลื่นหลิงในร่างกายเริ่มหายไป พวกเขารีบก้มหน้ามองก็เห็นลายพิมพ์ฝ่ามือตกผลึกบนหน้าอก ผลึกคลื่นหลิงเข้าสู่ร่างกายทำให้พลังงานของพวกเขาหลุดออกจากการควบคุม
ราวกับว่าคลื่นหลิงถูกปิดผนึกไว้
เพียงไม่กี่อึดใจคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็อันตรธานหายไป
ความกลัวปรากฏบนใบหน้า คลื่นหลิงในร่างกายของพวกเขาถูกปิดผนึก วิธีของมู่เฉินน่าสะพรึงเกินไป พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะไม่มีแม้แต่โอกาสนำร่างเทห์สวรรค์ออกมา!
นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำให้สำเร็จได้โดยระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว มีเพียงจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้
เหมือนกับประมุขสำนักเมฆาม่วง!
หรือว่าประมุขตำหนักมู่ก็มาถึงขั้นนั้นแล้ว?!
“หนี!”
ใบหน้าแต่ละคนซีดเผือด พวกเขาควบคุมคลื่นหลิงเฮือกสุดท้ายในร่างกายทะยานออกจากห้องโถง เวลานี้พวกเขากลัวพลังที่มู่เฉินแสดงออกมายิ่งนัก
เมื่อมองสามคนที่เปิดตูดหนี สีหน้ามู่เฉินเรียบเฉย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดพวกเขา
ปัง!
แต่เมื่อทั้งสามพุ่งออกจากโถง คลื่นหลิงรุนแรงก็ส่งเสียงหวีดหวิว ก่อนที่ทุกคนจะเห็นเงาทั้งสามถูกพัดกลับเข้ามาตกลงในห้องโถง
“นายน้อยยังไม่ได้บอกให้พวกแกไป ไอ้หมาแก่สามตัวกล้าหยามขนาดนี้เชียวเหรอ?” เสียงหัวเราะดังออกมาจากด้านนอกโถง ทุกคนเห็นร่างจอมยุทธ์สองคนเดินเข้ามา
คนที่เดินนำหน้าเป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์สวมชุดขาว ที่เยื้องไปเป็นชายฉกรรจ์รูปร่างแข็งแรงยืนอยู่ เขากระแทกหมัดเข้าด้วยกันปรายตามองไปที่ผู้อาวุโสสามคนจากสำนักเมฆาม่วงด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังเกิดขึ้นรอบตัวเขา บ่งบอกว่าเป็นจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มตัวจริงอีกคน
ชัดว่าชายคนนี้เป็นคนที่เป่าตาเฒ่าทั้งสามกลับเข้ามาในโถง
มู่เฉินค่อยๆ ลดศีรษะลงมองความหวาดกลัวบนใบหน้าของทั้งสามคนด้วยสีหน้าสงบ “พวกแกคิดว่าตำหนักของข้าเป็นอะไร คิดจะไปคิดจะมาตามที่ต้องการได้เหรอ?”
โถงเงียบกริบ ทุกคนมองไปที่ชายชราสามคนที่ตัวสั่นงันงกด้วยความอึ้งทึ่ง จากนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจในหัวใจ
สายตาของพวกเขาถูกแทนที่ด้วยความเคารพเมื่อมองไปที่มู่เฉินอีกครั้ง…
ความห้าวหาญและวิธีการเช่นนี้…
นี่หรือประมุขตำหนักมู่ตัวจริงของพวกเขา?
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1350 สำนักเมฆาม่วง
ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ โถงใหญ่ตำหนักมู่
จอมยุทธ์ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ในโถง ตอนนี้ตำหนักมู่เป็นขั้วอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในภูมิภาคทางเหนืออย่างไม่ต้องสงสัย ขั้วอำนาจมากมายในภูมิภาคทางเหนือมาสวามิภักดิ์ เหล่าจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนมาขอเข้าร่วม ทำให้ตำหนักมู่เติบโตขึ้นอย่างโดดเด่น
แต่ขณะนี้แม้จะมีจอมยุทธ์มารวมตัวกันมากมาย แต่บรรยากาศก็ยังรู้สึกกดดัน
บนบัลลังก์สีทองมั่นถัวหลัวตัวเล็กบางสวมชุดดำนั่งอยู่ ในฐานะรักษาการประมุขชื่อเสียงของนางมาถึงขีดสุดแล้ว
หลังจากตำหนักมู่ก่อตั้งขึ้น ประมุขมู่เฉินก็จากไปจนตอนนี้ยังไม่ได้กลับมา ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดจึงถูกจัดการโดยมั่นถัวหลัว
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในภูมิภาคทางเหนือรู้จักแต่ชื่อของมั่นถัวหลัว สำหรับประมุขมู่เฉินผู้ลึกลับไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย
ถัดจากมั่นถัวหลัวก็คือหลิ่วเทียนเต้า วั้นเซิ่ง โยวมิ่งและขั้วอำนาจเก่าแก่อื่นๆ ของภูมิภาคทางเหนือ ทว่าตอนนี้ทั้งหมดเข้าร่วมตำหนักมู่แล้ว
ลงไปอีกขั้นเป็นจอมยุทธ์คนอื่นๆ ซึ่งการรวมตัวนั้นเมื่อเทียบกับในอดีตก็แข็งแกร่งขึ้นมาก
มั่นถัวหลัวเคาะปลายนิ้วบนพนักแขนขณะที่มองไปรอบๆ ครู่หนึ่งต่อมานางก็เอ่ยช้าๆ ว่า “ข้าได้รับสารว่าทูตของสำนักเมฆาม่วงจะมาถึงตำหนักมู่เร็วๆ นี้”
ทั่วทั้งห้องโถงเงียบลง ใบหน้าของผู้คนมากมายเปลี่ยนเป็นขนพองสยองเกล้าเมื่อได้ยินคำว่าสำนักเมฆาม่วง
ทวีปเทียนหลัวเป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพที่มีดินแดนกว้างใหญ่ ตามการจัดสรรของที่นี่ถูกแบ่งออกเป็นห้าจักรวรรดิได้แก่เหนือ-ใต้-ตะวันออก-ตะวันตกและกลาง
ภูมิภาคทางเหนือเป็นเพียงมุมเล็กๆ ของจักรวรรดิเหนือ
แม้ว่าตำหนักมู่จะขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัวของภูมิภาคทางเหนือแล้ว แต่ก็ถือว่าธรรมดาในจักรวรรดิเหนือเท่านั้น สำนักเมฆาม่วงที่มั่นถัวหลัวพูดถึงก่อนหน้าเป็นหนึ่งในสามขั้วอำนาจของจักรวรรดิเหนือ
ว่ากันว่าผู้อาวุโสทุกคนในสำนักเมฆาม่วงเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ซึ่งมีรากฐานที่แข็งแกร่งมาก
เมื่อเทียบกับสิ่งนั้น ตำหนักมู่ที่มีเพียงมั่นถัวหลัวค้ำจุนอยู่คนเดียว ช่างคล้ายกับหิ่งห้อยโดยไม่ต้องสงสัย
น้ำไหลลึกในทวีปเทียนหลัว ในอดีตแม้ว่าแคว้นเซี่ยและตำหนักเทพปีศาจจะมีชื่อเสียง แต่พวกเขาก็ยังต้องหลังงุ้มลงเมื่อเทียบกับขั้วอำนาจระดับนั้น
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงตกใจเมื่อได้ยินเรื่องสำนักเมฆาม่วง
“พวกมันต้องการอะไร?” หลังจากครุ่นคิดสั้นๆ หลิ่วเทียนเต้าก็ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
มั่นถัวหลัวเย้ยหยัน “จะมีอะไรอีก? พวกมันก็ต้องการให้ตำหนักมู่ของเราสวามิภักดิ์ การแข่งขันเพื่อตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือจะเกิดขึ้นในไม่ช้า เห็นได้ชัดว่าสำนักเมฆาม่วงต้องการให้เราเป็นกองทัพเดนตายสำหรับพวกมันเพื่อต่อสู้กับอีกสองขั้วอำนาจ”
“ในอดีตภูมิภาคทางเหนือยุ่งเหยิง ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดความสนใจของใคร แต่ตอนนี้ตำหนักมู่ของเราได้รวบรวมทุกคนเข้ามาเป็นหนึ่งเดียว ก็ต้องถูกคนอื่นจับตามองเป็นธรรมดา”
ใบหน้าของทุกคนไม่น่าดูเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว พวกเขาเพิ่งรวมภูมิภาคทางเหนือเข้าด้วยกัน แต่กลับถูกบางคนจับตามองก่อนที่จะทันได้เฉลิมฉลอง
“การแข่งขันตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของจักรวรรดิเหนือจะต้องโหดร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย นี่เป็นการต่อสู้ของกองทัพระดับขั้วอำนาจใหญ่ทั้งสาม ทุกการปะทะจะลบกองทัพจำนวนมากอย่างเราออกไป ถ้าเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ข้ากลัวว่า…” วั้นเซิ่งกล่าว
“แต่ถ้าเราปฏิเสธ ก็แปลว่าไม่ให้หน้าสำนักเมฆาม่วง ด้วยพลังที่มีอยู่ตอนนี้เราไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้เลย” วั้นตู๋เสอถอนหายใจเอ่ยออกมา
“แต่เราจะไปเป็นกองทัพเดนตายให้สำนักเมฆาม่วงไม่ได้นะ!”
“…”
เสียงถกเถียงวุ่นวายดังขึ้นในตำหนัก ทุกคนตื่นตระหนกเกี่ยวกับการมาถึงของทูตสำนักเมฆาม่วงยิ่งนัก
เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นภาพนี้คิ้วก็ขมวดขึ้น ตอนแรกนางเพียงต้องการรวบรวมภูมิภาคทางเหนือทั้งหมดเพื่อเสริมพลังให้ตำหนักมู่ แต่ใครจะคิดว่าดันไปดึงดูดความสนใจของสำนักเมฆาม่วงได้?
‘ปัญหามาถึงตัวซะแล้ว’
“ไม่รู้ว่าตอนนี้ประมุขอยู่ที่ไหน ตำหนักมู่เกิดปัญหาใหญ่ขนาดนี้ เขายังไม่ปรากฏตัวอีก” เมื่อความวุ่นวายกระจายออกไป เสียงไม่พอใจก็ดังขึ้น
“ตั้งแต่ข้าเข้าร่วมตำหนักมู่ก็ยังไม่เคยเห็นประมุขผู้ลึกลับของเรามาก่อน รักษาการประมุขมั่นเป็นคนจัดการทุกอย่าง”
“ดูเหมือนว่าประมุขจะยังเด็กเกินไป มิหนำซ้ำยังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แม้ว่าเขาจะกลับมา แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้”
เมื่อได้ยินว่าหัวข้อลอยอวลทั่วโถง ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็เย็นชาตวาดว่า “หุบปาก!”
ทุกคนหุบปากฉับ พวกเขาเกรงกลัวแรงกดดันจากมั่วถัวหลัว
แสงเย็นเยือกวูบวาบในนัยน์ตาของมั่นถัวหลัว ทุกคนก็เบนสายตาไป ครู่ต่อมาท่าทางของนางก็เปลี่ยนไปกะทันหันพลางจดจ้องไปที่ประตู “สหายจากสำนักเมฆาม่วงช่วยแสดงตัวด้วยในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว”
“ฮ่าๆ ได้ยินมาว่าประมุขตำหนักมู่เป็นคนพิเศษ ตอนนี้ได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว สมคำล่ำลือจริงๆ” เมื่อเสียงของมั่นถัวหลัวลดลง เสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังมาจากด้านนอก
เมื่อได้ยินเสียงนั้นจอมยุทธ์ตำหนักมู่ก็มีสีหน้าเปลี่ยนเป็นความโกรธ เนื่องจากมีคนกล้าล้อเลียนรักษาการประมุขมั่นถัวหลัวของพวกเขา!
แววตาของมั่นถัวหลัววาววับด้วยความโกรธ แต่นางก็สงบสติอารมณ์มองออกไปนอกประตูอย่างเย็นชา นางเห็นแสงเลือนรางก่อนที่เงาร่างสามร่างจะเดินทอดหุ่ยเข้ามา
ทั้งสามคนเป็นตาแก่สวมชุดสีม่วง คนเดินนำหน้ามีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าขาวที่ดูราวกับผิวเด็กทารกพร้อมกับผมสีขาว
ที่ยืนอยู่ด้านข้างเขา เป็นชายชราสองคนที่ดูภาคภูมิใจและไม่แยแส
เมื่อพวกเขาปรากฏตัว พลังงานหลิงมหาศาลก็พัดออก ทำให้จอมยุทธ์ตำหนักมู่ที่อยู่ใกล้ปลิวออกไป
“ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?!”
ใบหน้าของหลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ เปลี่ยนไป พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าทูตทั้งสามที่ส่งมาจากสำนักเมฆาม่วงจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม พลังของสำนักนี้ลึกล้ำไม่อาจหยั่งถึงได้จริงๆ
“สามหาว!”
เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนแสดงท่าทางไม่เกรงกลัว ดวงตาเย็นชาของมั่นถัวหลัวก็วาบแสงเย็นก่อนที่นางจะตบฝ่ามือออกไปแทงทะลุมิติ คลื่นพลังงานพุ่งไปที่ทิศทางของตาแก่หน้าขาวโพลน
เมื่อชายชราหน้าขาวเห็นภาพนี้ ก็เค้นเสียงเหวี่ยงหมัดกระทุ้งออกไป แสงสีม่วงกะพริบบนหมัดเขา ราวกับดวงจันทร์สีม่วงปะทะกับการโจมตีที่เข้ามา
ตู้ม!
คลื่นหลิงป่าเถื่อนกวาดคร่าสร้างความหายนะทำให้โถงสั่นสะเทือน ชายชราหน้าขาวถอยหลังไปหลายก้าว ขณะที่ร่างเล็กบางของมั่นถัวหลัวสั่นเทิ้ม มีรอยแตกกระจายบนพนักแขนที่นางคว้าไว้
การประจันหน้ากันระหว่างทั้งสอง ชัดว่าไม่มีผลแพ้ชนะ
“ฮ่าๆ สมกับเป็นดอกแมนดาลาโบราณจริงๆ ทรงพลังอะไรอย่างนี้ จื่อเทียนเปยทักทายประมุขตำหนักมู่” ชายชรากวาดสายตามองไปที่มั่นถัวหลัวก่อนที่เขาจะพูดพร้อมกับหรี่ตาแคบลง
มั่นถัวหลัวกล่าวโดยไม่มีสีหน้าใด “ข้าไม่ใช่ประมุขเป็นแค่รักษาการประมุข นอกจากนี้สำนักเมฆาม่วงของเจ้ามาที่ภูมิภาคทางเหนือเพื่ออะไร?”
จื่อเทียนเปยยิ้ม “ข้าเชื่อว่าประมุขมั่นถัวหลัวต้องรู้ว่าการแข่งขันชิงตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของจักรวรรดิเหนือกำลังจะมาถึง ข้าจึงนำคำสั่งของของประมุขสำนักเพื่อเชิญตำหนักมู่เข้าร่วมกับเรา ในอนาคตเมื่อสำนักเมฆาม่วงเติบโตขึ้น ตำหนักมู่จะได้รับรางวัลเป็นดินแดนสำหรับความพยายามที่ให้มา”
ขณะที่เขาพูดก็หยิบหนังสือหยกสีม่วงที่มีแสงหลิงเปล่งประกายออกมา ทำให้เกิดแรงกดดันขึ้นเล็กน้อย เมื่อเขาสะบัดนิ้วหนังสือหยกก็พุ่งไปหามั่นถัวหลัว
มั่นถัวหลัวส่งแรงต่อต้านหนังสือโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ นางตอบกลับเสียงนุ่มนวลว่า “ตำหนักมู่ของเราอ่อนแอนัก ข้ากลัวว่าจะไม่สามารถช่วยอะไรได้มากแม้ว่าเราจะเข้าร่วมกับสำนักเมฆาม่วงก็ตาม ดังนั้นไปเชิญคนอื่นแทนเถอะ”
จื่อเทียนเปยหัวเราะเบาๆ “ท่านมั่นถัวหลัวไม่มีใครกล้าปฏิเสธคำเชิญที่ส่งมาจากสำนักเมฆาม่วง โปรดระมัดระวังการตอบของเจ้าด้วย”
แม้ว่าเขาจะสวมรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยการคุกคาม
ใบหน้าของมั่นถัวหลัววูบไหวด้วยความโกรธเกรี้ยว
จื่อเทียนเปยพูดอย่างไม่แยแส “นอกจากนี้ข้ากลัวว่าอารมณ์ของพวกข้าจะไม่ดีสักเท่าไร ถ้าไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ในเวลานั้นพวกข้าจะไม่รับผิดชอบหากเกิดอะไรขึ้นกับตำหนักมู่”
แม้ว่าจะมีเพียงสามคน แต่ทุกคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ตราบใดที่หนึ่งในนั้นเข้าขัดขวางมั่นถัวหลัว อีกสองคนก็จะสร้างหายนะล้างบางตำหนักมู่จนสะอาดเรี่ยมเร้แน่นอน
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น จอมยุทธ์ในโถงก็สีหน้าเปลี่ยนเป็นทั้งโกรธและหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคาดคิดว่าสำนักเมฆาม่วงจะเอาแต่ใจมากขนาดนี้
ร่างเล็กบางของมั่นถัวหลัวสั่นสะท้านด้วยความโกรธ นางกำมือแน่นจ้องมองไปที่จื่อเทียนเปย สีหน้าของนางเปลี่ยนแปลงวูบไหวก่อนที่อาการต่อต้านจะค่อยๆ สงบลง
เนื่องจากนางสู้ทั้งสามคนไม่ไหวจริงๆ
“ฮ่าๆ ตกลงตามนี้เนอะ? การติดตามสำนักเมฆาม่วงไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับพวกเจ้าทุกคนหรอก” จื่อเทียนเปยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโบกมือหนังสือหยกม่วงก็บินไปหามั่นถัวหลัว
ทุกคนเฝ้ามองหนังสือหยกร่วงลงมาพร้อมกับความมืดมิด สิ่งที่สำนักเมฆาม่วงทำสร้างความอับอายให้ตำหนักมู่ของพวกเขานัก
มือของมั่นถัวหลัวกำแน่นก่อนที่นางจะถอนหายใจพร้อมหลับตาลง นางไม่ต้องการดูหนังสือหยกนั่น
แต่ในความเงียบเมื่อหนังสือหยกม่วงกำลังจะตกลง มือข้างหนึ่งก็ยื่นคว้าไว้
“ใคร?” จื่อเทียนเปยสีหน้าเปลี่ยนไปขณะที่ตะเบ็งเสียง
มิติบิดเบี้ยวร่างอ่อนเยาว์ก็ปรากฏเบื้องหน้าสายตาทุกคนที่จ้องมองด้วยความตะลึงใจ เขาจับหนังสือหยกพร้อมกับขมวดคิ้ว
“สำนักเมฆาม่วง? พวกเจ้ามีค่าพอที่จะให้ตำหนักมู่ไปเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเหรอ?”
ขณะที่พูดเขาก็ออกแรงมากขึ้น หนังสือหยกแตกสลายเป็นผุยผงสีม่วงภายใต้สายตาที่ตกตะลึงนับไม่ถ้วน
พวกหลิ่วเทียนเต้าก็ตะลึงงันไป แม้แต่มั่นถัวหลัวก็เบิกตากว้างเมื่อมองไปที่ร่างคุ้นเคย จากนั้นเสียงอุทานก็ดังสะท้อนในโถง
“ท่านประมุข?!”
“มู่เฉิน?”
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1349 แยกจากกัน
ของเหลววัชระทำลายวิญญาณ
นี่เป็นวัตถุพิเศษระหว่างฟ้าดิน ซึ่งเปลี่ยนมาจากหินวัชระทำลายวิญญาณ มันเป็นสิ่งที่นุ่มนวลเหมือนน้ำ แต่กลับมีคุณสมบัติไม่แตกหักและสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคุณสมบัติเจาะทะลวงไม่เหมือนใคร พลังทำลายล้างรุนแรงยิ่งนัก อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมส่วนใหญ่จะเพิ่มของเหลววัชระทำลายวิญญาณเข้าไปด้วยเล็กน้อยขณะการสร้าง นี่บอกได้ว่าสิ่งนี้มีค่าเพียงใด
“สนใจเหรอ? อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะสร้างอาวุธมหสวรรค์?” ลู่ทงถามด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นการจ้องมองของมู่เฉิน
มู่เฉินส่ายหัวขณะยิ้ม เขาไม่มีความคิดจะสร้างอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมอะไร แต่ของเหลววัชระทำลายวิญญาณมีประโยชน์ต่อเขามาก ร่างเทพสุริยะนิรันดร์สามารถสร้างรหัสเทพอมตะซึ่งจะมีรูปร่างตามความปรารถนาของเขา
หากเขาสามารถครอบรหัสเทพอมตะด้วยชั้นของของเหลววัชระทำลายวิญญาณ พลังการโจมตีของเขาก็จะสูงขึ้นไปอีกระดับ ใครจะรู้นี่อาจเทียบได้กับอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
นี่เป็นวัตถุสมบูรณ์แบบสำหรับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อมองไปที่ป้ายราคาก็มีค่าใช้จ่ายสามพันคะแนน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็โบกมือแลกเปลี่ยน
ของเหลววัชระทำลายวิญญาณจับคู่กับรหัสเทพอมตะก็จะสามารถปลดปล่อยพลังของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมของแท้ได้ นอกจากนี้เนื่องจากคุณสมบัติการเปลี่ยนแปลงของรหัสเทพ เขาจะสามารถใช้เพื่อโจมตีและป้องกันได้ เทียบเท่ากับการเป็นเจ้าของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมที่สามารถแปลงร่างได้
ดังนั้นหลังจากรับของเหลววัชระทำลายวิญญาณไปแล้ว มู่เฉินก็เหลืออีกสองพันคะแนน ซึ่งเขาเปลี่ยนเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลางและเม็ดยาที่มีประโยชน์สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าและขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ แต่ก็เป็นของสำคัญสำหรับตำหนักมู่
หลังจากใช้คะแนนจนหมดเกลี้ยง มู่เฉินก็ปัดมือออกจากคลังพร้อมกับลู่ทง
“เจ้าตั้งใจจะไปเผ่าไท่หลิงเหรอ?”
เมื่อมู่เฉินกลับมาหาลั่วหลี เขาก็ต้องอุทานออกมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของนางที่จะตามชื่อเหยียนไปที่เผ่าไท่หลิง
ลั่วหลียิ้มพลางพยักหน้า ใบหน้าขาวราวกับไข่มุกแวววาวด้วยเกลียวรัศมีที่ดูพร่างพราวเป็นพิเศษ
“ตระกูลลั่วเสินเข้าที่เข้าทางแล้ว ส่วนตระกูลเสี่ยเสินก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป พวกมันสูญเสียหนัก ตราบใดที่ตระกูลลั่วเสินยังเดินทางนี้ก็จะไม่มีปัญหา” ลั่วหลีตอบเบาๆ
มู่เฉินขมวดคิ้ว ลั่วหลีไม่ได้สนใจเผ่าไท่หลิงก่อนหน้านี้มากนัก ทำไมนางถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน?
ดวงตาของมู่เฉินกะพริบจากนั้นก็มองลั่วหลี “เจ้าจะไปที่เผ่าไท่หลิงเพื่อข้าใช่ไหม?”
ลั่วหลีอึ้งไปชั่วครู่ แต่นางรู้ว่าตนเองไม่สามารถหลอกเขาได้ นางจึงกัดริมฝีปากเบาๆ ตอบว่า “ตอนนี้ข้าอ่อนแอเกินไปที่จะช่วยเจ้า”
นางโกรธมากที่เผ่าฝูถูพยายามบีบบังคับมู่เฉิน แต่นางทำอะไรไม่ได้ในการเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แม้แต่ร่างเทพวารีที่นางฝึกฝนก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
นอกจากนี้นางยังตระหนักว่าตนเองอ่อนแอเพียงใดในการเดินทางมาที่แดนเซิ่งยวนโบราณ นางไม่สามารถช่วยมู่เฉินได้ มิหนำซ้ำเขายังต้องมากังวลเกี่ยวกับนางตลอดเวลา
นี่เป็นสิ่งที่คนที่ภาคภูมิใจในตัวเองอย่างนางไม่อาจรับได้
หากนางต้องการก้าวตามมู่เฉินให้ทัน นางก็ต้องมุ่งหน้าไปยังเผ่าไท่หลิงเพื่อรับตำแหน่งธิดาเทพ นอกจากนี้ถ้านางได้ตำแหน่งก็จะมีสถานะพิเศษในเผ่าอีกด้วย
การมีเผ่าไท่หลิงสนับสนุน หากมู่เฉินและเผ่าฝูถูปะทะกันจริงๆ นางจะสามารถใช้พลังของเผ่าไท่หลิงเพื่อช่วยเขาได้
มู่เฉินจ้องมองไปที่ลั่วหลี เขารู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในใจก็อดซึ้งใจไม่ได้
เผ่าไท่หลิงเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ แม้ว่าลั่วหลีจะได้รับมรดกวิชาช่องแสงวิญญาณ แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะรักษาตำแหน่งให้มั่นคงในฐานะธิดาเทพ
แต่เขาเข้าใจความรู้สึกที่นางตั้งมั่นจะไปทำ
“ลั่วหลี…”
ลั่วหลียื่นมือนวลเนียนออกมาปิดปากมู่เฉินเบาๆ และยิ้ม “หยุด อย่าพยายามเกลี้ยกล่อม ข้าตัดสินใจแล้ว อย่างน้อยก็มีความปลอดภัยในเผ่าไท่หลิง เจ้าจะได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้า”
แววตาของมู่เฉินซับซ้อนเมื่อมองไปที่ใบหน้าของคนรัก เขามองเห็นความแน่วแน่ในดวงตาของนาง เขารู้ว่าลั่วหลีตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะหยิบแก่นหยกวิญญาณสวรรค์ออกมาพลางยิ้ม “สำหรับเจ้า นี่จะเป็นประโยชน์ต่อการเพาะบ่มขุมพลัง”
ลั่วหลีรับมาด้วยความอยากรู้ นี่เป็นต่างหูที่งดงามที่ทำจากผลึกอัญมณีใส แก่นหยกมรกตที่แขวนอยู่บนนั้นทำให้เกิดรัศมีบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทำเอาหัวใจของนางรู้สึกสงบขณะที่การไหลเวียนของคลื่นหลิงเร่งขึ้น
“นี่คือแก่นหยกวิญญาณสวรรค์?” ลั่วหลีจำได้ทันทีและอุทานด้วยความตกใจ นางรู้ว่าสิ่งนี้มีค่าเพียงใด
มู่เฉินพยักหน้า “ลองสวมดูสิว่าเป็นอย่างไร”
ลั่วหลีไม่ปฏิเสธ นางพยักหน้าสวมต่างหูทันที
ใบหูสีขาวมุกเมื่อประดับด้วยต่างหูผลึกอัญมณีก็ทำให้ดูงดงามยิ่งขึ้น เพิ่มเสน่ห์ให้กับนางหลายส่วน
ลั่วหลีหันซ้ายหันขวาแล้วคลี่ยิ้ม “ดูดีไหม?”
ความทรงเสน่ห์เหลือล้นสามารถล้มเมืองได้ด้วยรอยยิ้มนี้
แม้ว่านางและมู่เฉินจะคุยกันที่มุมหนึ่งของตำหนักหมื่นพัน แต่นางก็ยังดึงดูดสายตาตื่นตะลึงจำนวนมาก
มู่เฉินพลิกตัวกลับปิดกั้นมุมมองของพวกเขาที่มีต่อลั่วหลี “ในอนาคตเจ้าจะอย่ายิ้มเปี่ยมเสน่ห์แบบนี้ ถ้าข้าไม่อยู่ด้วยนะ”
ลั่วหลีอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะที่พูดเบาๆ “ทำไม?”
“ข้ากลัวว่าคนอื่นจะอดกลั้นต่อเสน่ห์ของเจ้าไม่ได้” มู่เฉินหัวเราะเบาๆ
ลั่วหลีเหลือบมองไปที่มู่เฉิน จากนั้นก็สังเกตเห็นเขาเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้พร้อมกับกลิ่นคุ้นเคยโชยมาที่ตัวนาง นางยื่นมือกดหน้าอกมู่เฉินตอบสนอง ม่านตาฉายแววเขินอาย
“เจ้าจะทำอะไร?”
มู่เฉินเหยียดริมฝีปากยิ้ม “อีกครู่เราก็ต้องแยกย้าย เจ้าไม่คิดจะปลอบใจข้าสักหน่อยเหรอ? ไม่งั้นข้าไม่ยอมให้เจ้าไปแน่”
ลั่วหลีกัดริมฝีปากสีแดงชาดขณะที่มองมู่เฉินอย่างเขินอาย ‘โดยปกติเขาจะอ่อนโยนและนิ่งเฉย แต่ตอนนี้กลับเล่นบทตัวโกง’
แต่เนื่องจากเราสองคนกำลังจะแยกจากกันชั่วระยะหนึ่ง ลั่วหลีก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่ในใจ หลังจากลังเลชั่วครู่นางก็ดึงมือกลับหลับตาลง
มองไปที่ใบหน้างดงามที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม มู่เฉินก็ลดอารมณ์พลุ่งพล่านในหัวใจลงไม่ได้ เขาเหยียดแขนออกจับที่เอวบาง โน้มริมฝีปากเข้าไปใกล้
เคร้ง!
แม้ว่าคู่รักจะอยู่ในมุมอับ แต่ลั่วหลีก็โดดเด่นเกินไป ผู้คนจำนวนมากในตำหนักยังคงจ้องมองไปที่ทั้งสอง จากนั้นเสียงถ้วยชาก็ตกลงพื้นอย่างต่อเนื่อง
มือสังหารปีศาจหลายคนรู้สึกปวดใจ สาวงามมีเจ้าของเสียแล้ว เจ้านั่นต้องถูกฟ้าผ่าในชาติก่อนเพื่อให้ได้รับโชคในชาตินี้
มู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับความวุ่นวาย แต่เพลิดเพลินกับจูบอันหอมหวาน
ลั่วหลีคิดว่านี่เกินพอแล้วก็ผลักมู่เฉินออกไป ใบหน้างดงามเห่อแดง แววตาของนางเต็มไปด้วยความเขินอาย
“คิก”
เมื่อถูกจ้องมองจากลั่วหลี มู่เฉินก็ยิ้มเก้อ ขณะที่เขายังคงอ้อยอิ่งอยู่ ท่าทางที่แสดงออกก็ทำให้ลั่วหลีส่งค้อนให้เขาสองครั้งซ้อน
“แค่ก!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังอยู่ในห้วงแห่งความรัก เสียงกระแอมไอก็ดังมาจากอีกด้าน ชื่อเหยียนเดินปราดเข้ามา เขาเหลือบมองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะเค้นเสียงพูด “เจ้าหนู มียางอายมั่งไหม บังอาจกล้ารังแกธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงในที่สาธารณะ”
มู่เฉินไม่ใส่ใจ เขายิ้มพลางประสานมือ “ข้าต้องรบกวนผู้อาวุโสช่วยดูแลลั่วหลีตอนอยู่ที่เผ่าไท่หลิงให้ดีด้วย”
“พูดอะไรไร้สาระ” ชื่อเหยียนยื่นปากตอบว่า “วางใจเถอะ การฝึกฝนของนางที่เผ่าไท่หลิงจะเร็วกว่าเจ้าแน่”
มู่เฉินไม่สงสัยในคำพูดเหล่านั้น ด้วยพรสวรรค์ของลั่วหลีและวิชาช่องแสงวิญญาณ เผ่าไท่หลิงจะต้องดูแลนางเป็นอย่างดีแน่นอน การบรรลุระดับเทียนจื้อจุนคงเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
“ร่ำลากันเสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ” ชื่อเหยียนตอบสนองอย่างว่องไว เขามองไปที่ลั่วหลีและยิ้ม
ลั่วหลีพยักหน้าเหลือบมองไปที่มู่เฉิน
ชื่อเหยียนโบกมือ น้ำเต้าสีแดงเข้มก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาและลั่วหลีก็กลายเป็นลำแสงสีแดงเข้มหายไปในเส้นขอบฟ้า
มองไปที่ทิศทางที่ทั้งสองจากไป มู่เฉินก็ใช้เวลานานก่อนที่จะออกจากอาการเหม่อลอย
“มู่เฉิน เรื่องครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้ว พวกข้าก็จะกลับไปที่ตระกูลเวิน” เวินชิงเฉวียนเดินมาที่ด้านข้างมู่เฉินพลางตบไหล่ปุๆ จากนั้นก็หัวเราะเสียงพลิ้ว
“พี่มู่ ถ้ามีเวลาก็มาเยี่ยมตระกูลเวินได้นะ” เวินซื่อหยู่ยิ้มพร้อมกับประสานมือ
มู่เฉินยิ้มและพยักหน้า
เวินชิงเฉวียนโบกมือขณะที่แม่เฒ่าเหอสะบัดมือรวบสมาชิกก่อนที่จะกลายเป็นลำแสงหายไป…
มองทุกคนออกเดินทางไปแล้ว มู่เฉินก็หันกลับมายิ้มให้กับหลิงซีและหลงเซี่ยงก่อนจะยืดเอวบิดขี้เกียจ
“ไปกันเถอะ เรากลับไปที่ทวีปเทียนหลัวก่อน…”
เขาออกจากทวีปเทียนหลัวหนึ่งปีกว่าแล้ว ตอนที่จากมายังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ตอนนี้เขาขึ้นแท่นเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว
ตอนนั้นเขาไม่ได้การยอมรับจากตำหนักมู่ทั้งหมด ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากมั่นถัวหลัว ตอนนี้…เขาอยู่ยงใต้ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว!
“ไม่รู้ว่าตอนนี้ตำหนักมู่เป็นอย่างไรบ้าง?”
เขายิ้มอ่อนโยนก่อนจะกลายเป็นลำแสงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1348 คะแนนสังหารปีศาจ
ในตำหนักหมื่นพัน
เมื่อกลุ่มจากเผ่าฝูถูจากไป บรรยากาศตึงเครียดก็หายไป มือสังหารปีศาจหลายคนรู้สึกโล่งใจ หากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเหล่านั้นต่อสู้ที่นี่จริงๆ พวกเขาคงต้องรับลูกหลงกันอลหม่านแน่นอน…
คลื่นหลิงลุกโชนรอบร่างชื่อเหยียนก็ถอยกลับ ก่อนที่เขาจะหันมามองมู่เฉินจากนั้นก็หัวเราะเบาๆ ส่งให้ลู่ทงเอ่ยล้อเล่นว่า “ไม่คิดว่าวังมหาพันภพจะยอมรับฐานะของเขา นั่นหมายความว่ามู่เฉินจะกลายเป็นราชันสังหารปีศาจตัวจ้อยร่อยที่สุดในประวัติศาสตร์แล้วล่ะสิ?”
โดยทั่วไปผู้ที่สามารถขึ้นเป็นราชันสังหารปีศาจจะต้องสามารถเผชิญหน้ากับจอมปีศาจระดับเทียนได้ ทว่าดูอย่างไรมู่เฉินก็ยังห่างไกลจากสิ่งนั้น…
ลู่ทงมองไปที่ชื่อเหยียน ก่อนที่จะหันไปมองมู่เฉิน “ตามข้ามา”
ท่าทางที่แสดงออกบ่งบอกว่าเขามีบางอย่างอยากจะพูดกับมู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้าจากนั้นก็ประสานมือให้แม่เฒ่าเหอตระกูลเวินเพื่อขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือจากนั้นก็รีบเดินตามลู่ทงไป
เดินตามเข้าไปในพื้นที่ภายในของตำหนักหมื่นพัน เมื่อมาถึงในห้องโถงลู่ทงก็หันกลับมามองไปที่มู่เฉิน จากนั้นก็พูดว่า “มู่เฉิน แม้ว่ากองบัญชาการใหญ่จะยอมรับตัวตนของเจ้าในฐานะราชันสังหารปีศาจ…”
“แต่เนื่องจากขุมพลังที่มี ทางวังไม่อาจมอบอำนาจที่เหมาะสมกับเจ้าในฐานะราชันสังหารปีศาจได้”
มู่เฉินไม่แปลกใจกับเรื่องนี้จึงพยักหน้ารับ เขาไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นจึงไม่คิดว่าฐานะราชันสังหารปีศาจที่ได้มาโดยบังเอิญจะสามารถปีนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของพีระมิดได้และมีอำนาจในการระดมพลของวังมหาพันภพ…
วังมหาพันภพมีรากฐานที่ลึกซึ้งและโครงสร้างของอำนาจชัดเจน ราชันสังหารปีศาจจะมีอำนาจและสถานะที่ยิ่งใหญ่ ถ้ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทางวังคงอ้าแขนต้อนรับเขาอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเกือบเต็มเท่านั้น
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเพลิดเพลินไปกับอำนาจของราชันสังหารปีศาจในวังมหาพันภพ หากเขาดึงดันจะเอามาให้ได้ก็อาจดึงดูดปัญหาเข้ามาแทน
ท้ายที่สุดแล้วไม่มีใครยอมฟังคำสั่งของราชันสังหารปีศาจที่มีพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มหรอก
“เจ้ายอมรับสิ่งนี้ได้รึ?” เมื่อเห็นมู่เฉินพยักหน้าแบบสบายๆ ลู่ทงก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
มู่เฉินยิ้ม “ข้าเข้าใจการกระทำของวังมหาพันภพ ถ้าข้าต้องฝืนตัวเป็นราชันสังหารปีศาจละก็ คงต้องยอมขายหน้าตัวเองเท่านั้น”
ดวงตาของลู่ทงเป็นประกายด้วยความชื่นชม แม้ว่ามู่เฉินจะอายุน้อย แต่ก็ไม่ได้เย่อหยิ่งและรู้ว่าควรยืนอยู่ที่ไหน เขารู้ว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำ
“แต่อย่าเศร้าไป แม้ว่าเจ้าจะไม่มีอำนาจเต็มของราชันสังหารปีศาจ แต่สถานะก็ได้รับการยอมรับแล้ว หากใครคิดจะลองดี พวกเขาก็ต้องมองหน้าวังมหาพันภพบ้าง”
“นอกจากนี้เมื่อเจ้ามีพลังมากพอในอนาคตและยอมมาที่วังมหาพันภพ เราก็จะมอบอำนาจเต็มของราชันสังหารปีศาจให้เจ้าได้ทุกเมื่อ” ลู่ทงกล่าว
“ขอบคุณเจ้าตำหนักลู่” มู่เฉินประสานมือพลางยิ้ม เขาไม่ได้ไม่พอใจกับการตัดสินใจของวังมหาพันภพ นอกจากนี้เขายังรู้สึกขอบคุณที่พวกเขาช่วยเขาออกจากสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อได้
ลู่ทงยิ้ม “นอกจากนี้แม้ว่าสถานะของเจ้ากลายเป็นธรรมดาไป แต่คะแนนของเจ้าเป็นของแท้นะ…”
มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่ความสุขจะกระจายในนัยน์ตา “ท่านลู่ทงหมายถึงข้าสามารถใช้คะแนนสังหารปีศาจเหล่านั้นได้เหรอ?”
คะแนนสังหารปีศาจของวังมหาพันภพสามารถใช้เพื่อแลกเปลี่ยนได้หลายอย่าง เช่นอาวุธมหสวรรค์ ร่างเทห์สวรรค์ ยาอายุวัฒนะหรือแม้แต่วิทยายุทธเทพที่ไม่มีใครเทียบได้
เมื่อครู่มู่เฉินกังวลว่าฐานะราชันสังปีศาจที่มาจากอุบายเล็กน้อยจะทำให้คะแนนสังหารปีศาจของเขาไม่มีประโยชน์ แต่เมื่อตัดสินจากคำพูดของลู่ทง เขาสามารถใช้แลกเปลี่ยนเป็นสมบัติได้
มองไปที่ท่าทางมู่เฉินที่ลิงโลด ลู่ทงก็ยิ้มพลางพยักหน้าก่อนที่จะเดินลึกเข้าไปในห้องโถง “ตามมา”
ความยินดีกระจายบนใบหน้ามู่เฉิน เขาพุ่งตัวติดตามไปอย่างรวดเร็ว
เดินตามลู่ทงผ่านโถงหลายห้องก็มาถึงคลัง ลู่ทงสะบัดมือแสงหลิงที่พร่างพราวก็กำจายจากประตูทองแดง ก่อนที่จะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังออกมาขณะที่ค่อยๆ เปิดออก
เมื่อประตูเปิดออกแสงระยิบระยับก็พุ่งเข้าสู่ดวงตาของมู่เฉิน
เขาเพ่งมองออกไปก็อดไม่ได้ที่จะหายใจลึก เขาเห็นลูกแสงจำนวนมหาศาลในคลังขนาดใหญ่ ลูกแก้วแสงเหล่านี้ทุกลูกเปล่งประกายแวววาว บอกว่าของที่อยู่ในนั้นจะต้องมีความพิเศษ
“สมกับเป็นวังมหาพันภพ”
มู่เฉินมองไปที่สมบัติในคลังก็ชื่นชมวังมหาพันภพที่สมกับเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจชั้นยอดอย่างแท้จริง แค่ตำหนักเดียวยังมีสมบัติมากมายขนาดนี้ รากฐานนี้ไม่ใช่สิ่งที่ขั้วอำนาจธรรมดาจะสามารถแข่งขันได้
ลู่ทงเดินนำมู่เฉินเข้ามาด้วยยิ้ม “ลูกแก้วแสงมีราคา ตราบใดที่เจ้ามีคะแนนเพียงพอ ก็สามารถแลกเปลี่ยนได้ตามต้องการ”
สายตาของมู่เฉินร้อนแรง ก่อนที่จะเดินขึ้นหน้าอย่างรวดเร็ว สายตากวาดไปยังลูกแก้วแสงทีละลูก
“อาวุธมหสวรรค์ขั้นสูง หอกเพลิงสวรรค์คะแนนสังหารปีศาจแปดร้อยคะแนน”
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม ดัชนีแสงดาว หนึ่งพันหนึ่งร้อยคะแนน”
“ร่างพฤกษาพันปี อันดับสามสิบเก้าของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง หนึ่งพันสามร้อยคะแนน”
“…”
ลูกแก้วแสงทุกลูกบรรจุด้วยสมบัติล้ำค่า ทำให้มู่เฉินถอนหายใจด้วยความชื่นชม แต่ระดับปัจจุบันของเขาอาวุธมหสวรรค์หรือวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็มนั้นไร้ประโยชน์ไปแล้ว
“ท่านลู่ทงมีที่ดีกว่านี้มีหรือไม่ขอรับ?” มู่เฉินถาม
ลู่ทงยิ้มก่อนที่จะชี้ไปทางซ้าย “อาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบยอดเยี่ยมส่วนใหญ่อยู่ที่นั่น ข้ารู้สึกว่าเหมาะสำหรับเจ้านะ”
พูดโดยทั่วไป อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมมีไว้สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นอาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบยอดเยี่ยมจึงเป็นอาวุธที่ดีที่สุดสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังที่อยู่ต่ำกว่าระดับเทียนจื้อจุนจะรับได้
มู่เฉินเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เนื่องจากตัวเขาสนใจอาวุธเสมือนมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมอยู่บ้าง หลังจากพลังงานของกระบี่เกล็ดจักรพรรดิหมดลงแล้ว ดังนั้นเขาต้องการวัตถุที่สามารถใช้ได้
เขาหยุดลงที่เบื้องหน้าลูกแก้วแสงขนาดเท่าศีรษะ มองเห็นแส้สีดำลอยอยู่ข้างในช้าๆ แส้ถูกปกคลุมไปด้วยหนามแหลมขณะที่เปล่งประกายความมืดมิดและหนาวเหน็บออกมา ทุกส่วนของแส้ถูกสลักด้วยลวดลายโบราณที่ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อเคลื่อนไหว
“หืม?” มู่เฉินอุทานเมื่อได้เห็นแส้สีดำ เขารู้สึกถึงความคุ้นเคยเบาบางออกมาจากมัน
“นี่คือแส้ประสานเทพเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากกิ่งก้านของดอกแมนดาลาโบราณและระดับที่ดอกแมนดาลาอยู่นั้นบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว” ลู่ทงอธิบาย
“ที่แท้ก็ถูกสร้างขึ้นจากกิ่งก้านของดอกแมนดาลาโบราณนี่เอง” ตอนนี้มู่เฉินรู้แล้วว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับวัตถุนี้ แต่ของชิ้นนี้ยอดเยี่ยมมาก หากไปอยู่ในมือของมั่นถัวหลัวละก็ พลังทั้งหมดที่มีก็สามารถปลดปล่อยออกมา
หลังจากออกจากเมืองเซิ่งยวนแล้ว มู่เฉินตั้งใจจะกลับไปที่ทวีปเทียนหลัว ถึงยังไงตำหนักมู่ก็เพิ่งจะจัดตั้ง ในฐานะประมุขหากไม่กลับไปนาน อาจทำให้จิตใจของผู้ใต้บังคับบัญชาไม่มั่นคง ต่อให้มีมั่นถัวหลัวจัดการทุกอย่างอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
แส้ประสานเทพนี้เขาจะใช้เป็นของขวัญสำหรับมั่นถัวหลัว เพราะยังไงนางก็ทำงานหนักเพื่อช่วยเขาดูแลตำหนักมู่
เมื่อดูราคาก็มีค่าสองพันคะแนนซึ่งพอรับได้ มู่เฉินหยิบป้ายสังหารปีศาจออกมา กวาดไปที่ลูกแก้ว แสงกะพริบวาบก่อนที่ลูกแก้วจะค่อยๆ ลอยออกมาและเขาก็โบกมือเก็บลงไป
หลังจากแลกเปลี่ยนแส้ประสานเทพ มู่เฉินก็ไม่หยุดมุ่งหน้าต่อไป อึดใจเขาก็เล็งไปที่วัตถุชิ้นอื่นอีกครั้ง
วัตถุนี้เป็นต่างหูวิจิตรงดงามเหมือนจะหลอมมาจากอัญมณีใสมีของเหลวสีมรกตห้อยอยู่ ซึ่งเป็นของเหลวที่ผิดแผกทำให้ต่างหูนี้ไม่ธรรมดา
“เจ้านี่ตาแหลม นี่คือแก่นหยกวิญญาณสวรรค์ ก่อตัวมาจากพลังงานหลิงตามธรรมชาติที่ถูกบีบอัดเป็นเวลายาวนาน การสวมใส่สามารถเพิ่มความเร็วในการเพาะบ่มพลัง นับได้ว่าเป็นสมบัติประเภทช่วยเหลือการฝึกฝน แต่สิ่งนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นจึงจัดเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบยอดเยี่ยมเท่านั้น” ลู่ทงอดไม่ได้ที่จะยิ้มหลังจากเห็นสายตาของมู่เฉิน
มู่เฉินตกอยู่ในภวังค์ความคิด แก่นหยกวิญญาณสวรรค์เหมาะสำหรับลั่วหลีนัก ตอนนี้นางเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ถ้านางมีสิ่งนี้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการฝึกฝน
เมื่อมองไปที่ป้ายราคา เขาก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่ามีราคาถึงสามพันคะแนน ดูเหมือนว่าอุปกรณ์การเพาะบ่มราคาจะแพงกว่าปกติ
แต่มันไม่มีอะไรเลย เนื่องจากนี่เป็นของขวัญสำหรับลั่วหลี ดังนั้นเขาจึงแลกเปลี่ยนโดยไม่ต้องคิดมาก
“เจ้าหนุ่มจ่ายเพื่อซื้อรอยยิ้มจากสาวงามสินะ ลงทุนจริงๆ” ลู่ทงยิ้ม นี่เป็นของที่หญิงสาวใช้ การที่มู่เฉินจ่ายหนักเพื่อซื้อชัดเจนว่าสิ่งนี้คงมีไว้สำหรับคนรักของเขา
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะมองป้ายสังหารปีศาจ ตอนนี้เขาใช้คะแนนไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทำให้เขาพูดไม่ออก คะแนนเท่านี้ไม่เพียงพอจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่เหล่ามือสังหารปีศาจจำนวนมากก็อยู่ที่แดนเซิ่งยวนเพื่อรับคะแนนสังหารปีศาจ…
“จากนี้มาดูกันว่าจะมีอาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบยอดเยี่ยมที่เหมาะกับข้าหรือไม่”
มู่เฉินครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็คาดหวังไว้ในใจ เดินมองลึกเข้าไปเป็นเวลานานก่อนที่จะหยุดสายตาลง
เขามองไปที่ลูกแก้วด้านข้างด้วยสายตาผิดแผกไป
นี่ไม่ใช่อาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบยอดเยี่ยม แต่เป็นของเหลวสีทองไหลวนอยู่ภายใน ระลอกคลื่นที่แปลกประหลาดเล็ดลอดออกมา
“นี่มัน…”
มู่เฉินดวงตาหดลงก่อนที่ความอัศจรรย์ใจจะปีนขึ้นในนัยน์ตา
“ของเหลววัชระทำลายวิญญาณ?”
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1347 ราชันสังหารปีศาจคนที่สอง
แสงสีทองพวยพุ่งขึ้นภายในตำหนัก
ดึงดูดสายตาทุกคู่ให้จับจ้องไปยังป้ายสีทองพร้อมด้วยตัวอักษรสีแดงเข้มที่ด้านล่างที่ทำให้เกิดแรงกดดันแปลกประหลาด
ราชันสังหารปีศาจ!
เหล่ามือสังหารปีศาจมองไปที่ป้ายด้วยดวงตาลุกโชน ดูเหมือนว่าจะมีน้ำลายไหลออกจากปากของพวกเขา เห็นชัดเจนว่าพวกเขาเข้าใจความหมายของสิ่งนี้ในวังมหาพันภพดี…
ราชันสังหารปีศาจอยู่ด้านบนสุดของพีระมิดในวังมหาพันภพ สูงกว่าแขก ผู้อาวุโสและผู้ดูแลตำหนักบางส่วนด้วยซ้ำ!
พวกเขายอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายก็เพียงเพื่อเพิ่มอันดับ เมื่อสามารถดำรงตำแหน่งราชันสังหารปีศาจได้ พวกเขาก็จะมีชีวิตพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง
ในมหาพันภพตำแหน่งราชันสังหารปีศาจไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้นำขั้วอำนาจสูงสุดเลย
“เจ้าเด็กนั่นเป็นราชันสังหารปีศาจจริงด้วย…” สายตาอิจฉามากมายจ้องมองมาที่มู่เฉิน โดยเฉพาะคนที่เข้าไปผจญภัยในแดนเซิ่งยวนโบราณมานานหลายปี แต่ยังคงอยู่ในขั้นกลางเท่านั้น
นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่ามู่เฉินเพิ่งได้รับป้ายสังหารปีศาจก่อนที่จะเข้าสู่แดนเซิ่งยวนโบราณเป็นครั้งแรก
ป้ายกะพริบด้วยแสงสีทอง ทำให้ใบหน้าของมั่วโยวดิ่งลงอย่างช้าๆ พร้อมกับความเคร่งเครียดรุนแรงพล่านในส่วนลึกของดวงตา
“เขา? ราชันสังหารปีศาจ? ข้าเคยได้ยินแค่ชื่อของราชันสังหารปีศาจฉิงเทียนเท่านั้น มีคนที่สองตั้งแต่เมื่อไร?” เสียงแหบพร่าของมั่วโยวดังก้อง เขาเพิ่งมาที่เมืองเซิ่งยวน ดังนั้นจึงไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของศิลาสังหารปีศาจ
“ผู้ดูแลตำหนักบ้าไปรึเปล่า? เจ้ายอมรับตัวตนของราชันสังหารปีศาจแบบนี้ได้จริงรึ? นับตั้งแต่ก่อตั้งวังมหาพันภพเมื่อไรกันที่มีราชันต่ำต้อยขนาดนี้?” ใบหน้าของมั่วหยิงและเฮยกวางเขียวคล้ำ ขณะที่พูดด้วยความไม่เชื่อ
“เจ้าไม่กลัวชื่อเสียงของวังจะพังพินาศหากเรื่องนี้กระจายออกไปรึ!”
เมื่อได้ยินเสียงของมั่วหยิง ลู่ทงก็ยิ้มบาง “ป้ายสังหารปีศาจสามารถเพิ่มคะแนนได้โดยใช้ชิ้นส่วนวิญญาณของเผ่าปีศาจต่างมิติเท่านั้น ในเมื่อเขาสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับราชันสังหารปีศาจได้ นั่นหมายความว่าเขามีส่วนร่วมอย่างเพียงพอแล้ว”
“เขาแค่โชคดี เศษวิญญาณของจอมปีศาจระดับเทียนนั่นได้มาเพราะบรรพบุรุษของพวกข้าช่วยเขาไว้ เขาหาผลประโยชน์จากด้านข้าง!” เฮยกวางพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ลู่ทงส่ายหัว “ข้าไม่สนใจว่าเขาได้รับเศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนมาได้อย่างไร ข้ารู้แค่ว่าเขาได้รับการยอมรับจากป้ายสังหารปีศาจและถูกยกให้เป็นราชันสังหารปีศาจ”
“นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นั่นหมายความว่ามีจอมปีศาจระดับเทียนตายในมือของเขา แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษวิญญาณ เขาก็มีส่วนช่วยอย่างมากในการลบล้าง ถือว่าเป็นการสนับสนุน ตามบัญญัติตั้งแต่ก่อตั้งวังมหาพันภพ ในเมื่อเขาสังหารเผ่าปีศาจได้สำเร็จทางวังก็ไม่คิดปฏิเสธ”
ขณะที่พูดเขาก็หันไปมองเฮยกวาง มั่วหยิงและมั่วโยวพูดย้ำช้าๆ “นอกจากนี้ข้าได้รายงานเรื่องนี้ไปยังกองบัญชาการใหญ่แล้ว ข่าวที่ได้รับแจ้งก็คือ… พวกเขายอมรับเรื่องนี้เช่นกัน”
โห่
ทันใดนั้นทั้งตำหนักก็เกิดความโกลาหล ดวงตาสีแดงนับไม่ถ้วนจ้องมองมาที่มู่เฉิน นั่นไม่ได้หมายความว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปวังมหาพันภพจะมีราชันสังหารปีศาจคนที่สองเรอะ?
ตอนนี้ชายหนุ่มกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวังมหาพันภพ แม้แต่ผู้ดูแลตำหนักก็ยังอยู่ใต้ระดับเขา
ใบหน้าของเฮยกวางและมั่วหยิงน่าเกลียดลงหลายส่วน ใบหน้าของมั่วโยวก็มืดครึ้มลง หากวังมหาพันภพยอมรับตัวตนของมู่เฉินในฐานะราชัชนสังหารปีศาจจริงๆ ละก็ เรื่องนี้เป็นปัญหาแน่
ราชาผู้สังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพดำรงตำแหน่งสูงล้ำในมหาพันภพไม่ต้องพูดถึงเขาเลย เขาอยู่ในระดับเดียวกับผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าโบราณด้วยซ้ำ
ดังนั้นหากพวกเขาต้องการจับมู่เฉินไปในวันนี้ ก็เท่ากับว่าท้าทายวังมหาพันภพ ซึ่งผลลัพธ์นั้นช่างเลวร้ายเหลือเกิน
ในฐานะผู้อาวุโสลำดับเก้าของเผ่าฝูถู มั่วโยวรู้ชัดเจนเกี่ยวกับความแข็งแกร่งและรากฐานของวังมหาพันภพ ในระดับหนึ่งสำนักนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเผ่าฝูถูเลย เพียงแต่ว่าวังมหาพันภพมุ่งเน้นจัดการเผ่าปีศาจต่างมิติจึงไม่เคยแทรกแซงในเรื่องมหาพันภพ
ผู้ดูแลตำหนักไม่ได้สนใจมองไปอีกฝ่ายต่อไป เขาคืนป้ายให้กับมู่เฉิน ประสานมือขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แดนเซิ่งยวน เจ้าตำหนักหมื่นพัน—ลู่ทง ทักทายราชันสังหารปีศาจ”
มู่เฉินผงะไปก่อนที่จะพูดอย่างรัว “เจ้าตำหนักลู่ อย่าแกล้งข้าแบบนี้เลย”
สถานการณ์นี้เหนือความคาดหมายของเขา เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ากองบัญชาการใหญ่ของวังมหาพันภพจะยอมรับราชันสังหารปีศาจอย่างเขาจริงๆ
ลู่ทงยิ้ม “สถานะของราชันสังหารปีศาจในวังมหาพันภพสูงกว่าข้าด้วยซ้ำ ดังนั้นเจ้าสามารถรับการคารวะได้เต็มที่”
เมื่อมั่วโยว มั่วหยิงและเฮยกวางเห็นสิ่งนี้ใบหน้าก็ยิ่งดูไม่น่าดู เพราะพวกเขาบอกได้เลยว่าที่ลู่ทงตั้งใจทำสิ่งนี้ก็เพื่อให้พวกเขาตระหนักถึงความสำคัญของมู่เฉินในฐานะราชันสังหารปีศาจ
“ทำยังไงดี?” สายตาของมั่วหยิงสั่นไหวก่อนที่จะหันไปมองมั่วโยว คลื่นเสียงที่ถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิงส่งไปยังมั่วโยวทันที
มั่วโยวไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้า แต่เกิดอาการหน้ากระตุกครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะส่ายหัว
“ผู้อาวุโสเก้า!”
เมื่อเห็นความตั้งใจนี้ เฮยกวางก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา นี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะจับตัวมู่เฉินไป หากเรื่องนี้ส่งกลับไปที่เผ่าก็จะทำให้เกิดคลื่นมหาศาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเวลานั้นก็คงไม่ง่ายที่พวกเขาจะแอบดำเนินการอะไรก่อนรายงาน
มั่วโยวจ้องไปที่เฮยกวาง ด้วยสถานะปัจจุบันของมู่เฉินที่ดำรงตำแหน่งราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ หากพวกเขาจับมู่เฉินในตำหนักหมื่นพัน ก็คล้ายกับการตบหน้าวังมหาพันภพ คนเหล่านั้นคงจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ไปแบบง่ายดายแน่นอน
ดวงตามั่วโยวกะพริบก่อนที่จะหันไปมองมู่เฉิน ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยน “มู่เฉิน เจ้าเป็นสมาชิกของเผ่าฝูถู หากเจ้าสามารถไปยังเผ่ากับพวกข้าและมอบวิชาเจดีย์แปดองค์กลับคืนสู่เผ่า บางทีผู้อาวุโสใหญ่อาจปล่อยมารดาของเจ้าก็ได้”
พอได้ยินประโยคดังกล่าว ทุกคนก็เบ้ปากด้วยความรังเกียจ ผีแก่คนนี้พยายามทำตัวดีหลังจากเห็นว่างานหนักไม่ได้ผลเรอะ?
มู่เฉินหลุบตาลงไม่มีริ้วกระเพื่อมบนใบหน้าก่อนที่จะตอบเบาๆ “ข้าจะไปเยี่ยมเผ่าฝูถูแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
เขาไม่ใช่เด็กชายตัวเล็กที่จะเชื่อคำพูดของมั่วโยว ถ้าเขาอยู่ในเงื้อมมือของคนเหล่านี้ ไม่เพียงแต่เขาจะสูญเสียวิชาเจดีย์แปดองค์เท่านั้น ตัวเขาอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบีบบังคับมารดาอีกด้วย
เมื่อถึงวันที่เขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุน สามารถปกป้องตัวเองได้ เขาก็จะมุ่งหน้าไปยังเผ่าฝูถูแน่!
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่ให้หน้า ใบหน้าของมั่วโยวก็มืดครึ้ม “มู่เฉินอย่าโง่น่า เจ้าคิดว่าสถานะราชันสังหารปีศาจจะสามารถทำให้เผ่าฝูถูยอมศิโรราบได้เหรอ?”
“งั้นก็ลองดู” มู่เฉินตอบโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า แม้ว่ามั่วโยวจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน แต่เขาก็ไม่ได้จนหนทาง ในสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าเขาสามารถขอความช่วยเหลือจากเทพจักรพรรดิสงครามได้ เขาไม่เชื่อว่ามั่วโยวจะหยิ่งผยองเมื่อถึงตอนที่หลินต้งมาถึงได้
การขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องน่าอาย ในโลกนี้การยืมกำลังก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเช่นกัน
ใบหน้าของมั่วโยวกระตุกขณะที่จับจ้องไปที่มู่เฉินด้วยความโกรธในใจ
แต่เผชิญหน้ากับสายตานั่น มู่เฉินก็ไม่สนใจ
แววตาของมั่วโยวมืดมนลง เขาจ้องมองมู่เฉินอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ทำให้ไฟที่โหมกระหน่ำในใจสงบลง จากนั้นเขาก็ยกเปลือกตาขึ้น “หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ตัดสินใจในวันนี้”
เมื่อพูดจบมั่วโยวก็หันกลับจากไปทันที
เมื่อเห็นว่ามั่วโยวยอมแพ้กับเรื่องนี้ ใบหน้าของมั่วหยิงและเฮยกวางก็เคร่งขรึมและไม่เต็มใจ แต่พวกเขารู้ดีว่าวันนี้ทำอะไรกับมู่เฉินไม่ได้แล้ว
ดังนั้นพวกเขาจึงสาดสายตามืดมนไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อจากไป
ใบหน้าของเฉวียนหลัวและมั่วซินดำมืดราวกับก้นกระทะ พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าภายใต้แรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ยังคงไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้
“ไอ้เวรโชคดีนักนะ!”
พวกเขาสบตากันพลางกัดฟันแน่น พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะกลายเป็นราชันสังหารปีศาจของวังมหาพันภพกะทันหัน มิหนำซ้ำยังได้รับการยอมรับจากองบัญชาการใหญ่ด้วย…
ทว่าพวกเขาเข้าใจถ่องแท้ว่าถึงความล้มเหลวในการจับมู่เฉินเพื่อรับวิชาเจดีย์แปดองค์ไป
เพียงแค่คิดถึงในอนาคตว่าวิชาเจดีย์แปดองค์จะเป็นของมู่เฉิน หัวใจของทั้งสองก็เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและโกรธเกรี้ยว
ความโกรธในใจพุ่งสูงขึ้นก่อนที่พวกเขาจะกวาดสายตามองไปที่มู่เฉิน จากนั้นก็สะบัดหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว
มู่เฉินมองทั้งสองคนจากไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในท่าทาง เมื่อคนเหล่านั้นกำลังจะออกจากตำหนัก ในที่สุดเขาก็พูดออกมาอย่างใจเย็น “จะต้องมีสักวันหนึ่งที่ข้าจะเยี่ยมเผ่าฝูถูเป็นการส่วนตัวเพื่อช่วยท่านแม่”
เสียงฝีเท้าของมั่วโยวหยุดลงชั่วขณะที่เอียงใบหน้ามองด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยบนริมฝีปาก เขามองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนลุก เสียงเย็นชาดังก้อง “โอ้? จริงเหรอ? งั้นข้าจะรีบไปปัดกวาดคุกรอการมาถึงของเจ้า…”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูก แม้จะมีวิชาเจดีย์แปดองค์ แต่จอมยุทธ์ที่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็เพ้อฝันไปถ้าคิดจะช่วยนักโทษออกจากเผ่าฝูถู!
แววตาของมู่เฉินคมกริบ เขาจ้องไปที่มั่วโยวด้วยรอยยิ้มบาง “ถึงตอนนั้นข้าจะขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสเก้าเป็นการส่วนตัว”
“ไอ้สารเลวจอมหยิ่ง ข้าจะลับเขี้ยวรอแกเลย” มั่วโยวส่ายหัวด้วยอาการเย้ยหยันก่อนจะหันจากไป
มองกลุ่มเงาที่ห่างออกไปมู่เฉินก็ยิ้มบาง เมื่อถึงเวลาที่เขาไปยังเผ่าฝูถู เขาจะต้องบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนก่อน เวลานั้นเขาจะให้ผีแก่กระหายเลือดตระหนักถึงความหมายของวงล้อแห่งโชคชะตาที่หมุนไป
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1346 การเผชิญหน้าของเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน
ตู้ม!
เมื่อทั้งสองพูดจบมิติก็ยุบลง โดยที่มีพวกเขาเป็นศูนย์กลาง ระลอกแรงกดดันขนาดใหญ่สองสายทำให้ตำหนักหมื่นพันสั่นสะเทือน
ทว่าพวกเขาก็ควบคุมการเคลื่อนไหว มุ่งเน้นไปที่รอบตัว ไม่ได้ทำลายตำหนัก เนื่องจากนี่เป็นอาณาเขตของวังมหาพันภพ แม้แต่เผ่าฝูถูของพวกเขาก็ต้องไว้หน้าให้
แต่ถึงอย่างนั้นแรงกดดันจากจอมยุทธิ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคนที่แผ่ออกไป ก็ทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังต้องหวาดกลัว
“ข้าจะดูสิว่าใครจะฉกเขาไปจากมือข้าได้!” เมื่อเห็นทั้งสองคนเอาแต่ใจ ชื่อเหยียนก็โกรธจนต้องหัวเราะเยาะระบายออกมา แรงกดดันรอบตัวเขาเพิ่มขึ้นขณะที่คลื่นหลิงสีแดงเข้มเดือดราวกับลาวาทำให้อุณหภูมิในตำหนักพุ่งสูงขึ้น
ชื่อเหยียนยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉินต่อต้านแรงกดดันที่มาจากมั่วหยิงและเฮยกวาง
เมื่อเห็นว่าชื่อเหยียนมุ่งมั่นที่จะปกป้องมู่เฉิน มั่วหยิงและเฮยกวางก็มีสีหน้ามืดครึ้ม ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้แสดงเจตนาที่จะหยุด พวกเขาได้ตัดสินใจที่จะจับตัวมู่เฉินแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!
‘วิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในมือมู่เฉินไม่ได้!’
ด้วยความคิดนี้ ทั้งสองก็แลกเปลี่ยนสายตากัน เฮยกวางก้าวออกไปก่อนที่จะเหยียดฝ่ามือใส่ชื่อเหยียน แม้ว่าฝ่ามือนั้นจะดูนุ่มนวล แต่คลื่นหลิงสีดำก็ควบแน่นรุนแรงในฝ่ามือ ก่อร่างเป็นดวงอาทิตย์สีดำที่มีขนาดพอกับศีรษะมนุษย์
ภาพดวงอาทิตย์สีดำไม่ได้เปล่งประกายใดๆ แม้ว่าจะดูเล็ก แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงพลังงานที่น่ากลัวที่มีอยู่ภายใน
หากดวงอาทิตย์สีดำพุ่งออกไปโดยไร้การควบคุมละก็ เมืองเซิ่งยวนคงจะยุบตัวกลายเป็นปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ในพริบตา
กระบวนท่าของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนปลดปล่อยพลังอำนาจในการทำลายล้างที่ไม่อาจจินตนาการได้
เมื่อเห็นดวงอาทิตย์สีดำบนฝ่ามือของเฮยกวาง ชื่อเหยียนก็หดตาลงไม่คิดรอช้า ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขาอ้าปากกว้าง เปลวไฟพวยพุ่งออกมาราวกับลาวาเลยทีเดียว
เปลวไฟสั่นไหวไม่หยุด ราวกับจะดับลงได้ทันทีเมื่อลมพัด แต่เมื่อมันปรากฏทุกคนก็สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่น่ากลัวแผ่ออกมา แม้แต่มิติก็เหมือนจะถูกเผาไหม้
ทุกคนรู้ว่าทั้งเฮยกวางและชื่อเหยียนควบคุมพลังเอาไว้ มิฉะนั้นเปลวไฟที่พ่นออกมาสามารถเปลี่ยนระยะทางหมื่นลี้ให้กลายเป็นมหาสมุทรเพลิงได้
ชี่!
ดวงอาทิตย์สีดำและเปลวไฟปะทะกัน แต่ไม่ได้สร้างความปั่นป่วนใดๆ อย่างไรก็ตามทุกคนสามารถเห็นได้ว่าพลังทั้งสองพยายามกัดเซาะซึ่งกันและกันในมิติ บริเวณที้ปะทะกันก็เริ่มแตกสลาย…
ขณะที่เฮยกวางกับชื่อเหยียนปะทะกัน มั่วหยิงก็มองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มน่าขนลุก ก่อนที่จะย่างเท้าเข้ามาในทิศทางของมู่เฉิน
ใบหน้าของชื่อเหยียนเปลี่ยนไปเมื่อเห็นภาพนี้ ทว่าตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับเฮยกวาง ถ้าเขาถอยไป เฮยกวางก็จะฉวยโอกาศขึ้นเป็นฝ่ายได้เปรียบและปราบปรามเขาได้
“เผ่าฝูถูทรราชเกินไป! พวกแกพยายามสร้างความเป็นศัตรูกับเผ่าไท่หลิงของข้ารึ?!” ชื่อเหยียนกล่าวเสียงเคร่งขรึม
มั่วหยิงไม่คิดหยุดขณะที่เยาะเย้ยขึ้น “ชื่อเหยียน แกประเมินตัวเองสูงเกินไป แกไม่ได้เป็นตัวแทนของเผ่าไท่หลิง!”
ขณะที่พูดสายตาเย็นชาของเขาก็จดจ้องไปที่มู่เฉินราวกับเหยี่ยวจ้องมองเหยื่อ “ข้าจะดูสิว่าวันนี้แกจะหนีไปได้ยังไง”
ใบหน้าเฉวียนหลัวและมั่วซินเต็มไปด้วยความสุขกับฉากนี้ เมื่อพวกเขามองไปที่มู่เฉินแววตาก็กลายเป็นเวทนา ‘ถึงแกได้รับการยอมรับจากบรรพบุรุษแล้วไงล่ะ? สุดท้ายก็ไม่สามารถปกป้องวิชาเจดีย์แปดองค์ได้!’
มองไปที่มั่วหยิงที่เข้ามา มู่เฉินก็ไม่แสดงความหวาดกลัว เนื่องจากเขารู้ว่าความกลัวไม่ได้ช่วยอะไร
เขากำหมัดแน่น ปกป้องลั่วหลีด้วยแสงเย็นพล่านในดวงตา
หากเป็นก่อนที่จะเข้าไปในแดนเซิ่งยวนโบราณ ตัวเลือกของเขาคงมีเพียงวิ่งหนีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ตอนนี้เขาเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มบวกกับการได้รับกองทัพมังกรดำและวิชาเจดีย์แปดองค์เป็นไพ่ตายเพิ่มขึ้น
ด้วยไพ่ตายเหล่านี้ถ้าเขาเสี่ยงชีวิต มั่วหยิงก็ไม่สามารถฆ่าเขาได้ง่ายๆ
หากไอ้หมาแก่ตัวนี้ต้องการบีบบังคับจริงๆ มู่เฉินก็จะบอกให้เขารู้ว่าการพยายามทำให้จนตรอก เขาก็ต้องจ่ายราคาที่สมน้ำสมเนื้อ!
“แม่เฒ่าเหอ!”
แต่เมื่อแสงเย็นรวมตัวในนัยน์ตาของมู่เฉินจนถึงขีดสุด เขากำลังจะเหวี่ยงไพ่ตายเผชิญหน้ากับมั่วหยิง เวินชิงเฉวียนก็ตะโกนขึ้น
วาบ!
ภาพเงาสายหนึ่งปรากฏเบื้องหน้ามู่เฉิน นางสวมชุดคลุมสีแดง นี่ก็คือแม่เฒ่าเหอของตระกูลเวิน!
นางยืนเบื้องหน้ามู่เฉินมองไปที่มั่วหยิงอย่างเย็นชา เมื่อแขนเสื้อสะบัดออก เสียงของแม่น้ำที่สาดกระเซ็นก็ดังออกมาจากร่างกายนางคลุมเครือ
มั่วหยิงหยุดชะงักลงใบหน้ามืดครึ้ม สายตาจ้องมองไปที่แม่เฒ่าเหอ เสียงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ตระกูลเวินคิดจะแส่เรื่องภายในของเผ่าฝูถูด้วยเรอะ?”
แม่เฒ่าเหอยกเปลือกตาเบาบางกล่าวว่า “แม้ว่าตระกูลเวินจะไม่มีรากฐานที่ลึกซึ้งเท่ากับเผ่าฝูถู แต่เราก็รู้จักตอบแทนบุญคุณ เจ้าหนุ่มคนนี้ช่วยพวกชิงเฉวียนเอาไว้มากมาย ดังนั้นข้าคงไม่ยืนดูไอ้หน้าด้านแก่หงำเหงือกรังแกเขา”
ความเกรี้ยวกราดพวยพุ่งในดวงตาของมั่วหยิง แต่ไม่ได้ระเบิดความโกรธ เขาหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองไปที่มู่เฉินอย่างมืดมน “ไม่คิดว่าจะมีคนพยายามปกป้องแกมากขนาดนี้”
มู่เฉินจ้องกลับไปที่มั่วหยิงด้วยเจตนาฆ่าที่กะพริบอยู่ในดวงตาของเขา
“แต่น่าเสียดาย… วันนี้ไม่ว่าจะมีคนพยายามช่วยแกมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์!” ทันใดนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้ามั่วหยิงก่อนที่เขาจะหันไป ประสานมือไปที่ด้านนอกของตำหนัก “ท่านผู้อาวุโสเก้าโปรดแสดงตัว”
“เฮ้อ…”
เสียงถอนหายใจดังออกมาจากด้านนอก ก่อนที่ทุกคนจะเห็นชายชราหลังค่อมถือไม้เท้าสีดำเดินเข้ามาทางประตูอย่างช้าๆ
ใบหน้าเขาซูบตอบ ดวงตาดำสนิท ฝีเท้าเชื่องช้าไปปรากฏตัวที่ข้างๆ มั่วหยิง
ชายชราคนนี้ไม่มีความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัว แต่เมื่อเขาปรากฏตัวใบหน้าของชื่อเหยียนและแม่เฒ่าเหอก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้
“ผู้อาวุโสเก้าแห่งเผ่าฝูถู—มั่วโยว?!” เสียงเคร่งขรึมของชื่อเหยียนดังก้อง
“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน?!” แม่เฒ่าเหอหดดวงตา เผ่าฝูถูส่งจอมยุทธ์ระดับนี้มาจับมู่เฉินเชียวเรอะ?
จอมยุทธ์ประเภทนี้มีอำนาจมากแม้แต่ในเผ่าฝูถู แต่เขาถูกส่งตัวมาจับชายหนุ่มคนนี้เนี่ยนะ?
ในตำหนักเกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง เหล่ามือสังหารปีศาจมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงสาร ชายหนุ่มคนนี้สร้างปัญหาเก่งจริงๆ เขาทำให้จอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมากมายต้องเคลื่อนไหว
แววตาของมู่เฉินมืดมนลง เนื่องจากเขาไม่คาดคิดว่าเฮยกวงและมั่วหยิงจะระวังขนาดนี้ เพื่อจับตัวเขา พวกเขาถึงกับเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนมา!
“แกหรือไอ้เด็กกาลกิณี?” มั่วโยวมองไปที่มู่เฉิน พูดโดยไม่มีเสียงกระเพื่อมใดๆ
มู่เฉินตอบ “ดูเหมือนว่าคำพูดของผู้อาวุโสใหญ่อะไรนั่นจะไม่มีประโยชน์ในเผ่าฝูถูเลย”
ชิงซวงเคยบอกเขาเกี่ยวกับข้อตกลงที่มารดาเขาสัญญากับผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู แต่ตอนนี้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนกลับโผล่ออกมาทีละคน ตั้งใจที่จะเพิกเฉยต่อข้อตกลงนั่น
“เหตุฉุกเฉินบานปลายแบบนี้ ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสใหญ่จะเข้าใจเรื่องนี้”
มั่วโยวกล่าวต่อ “ตราบใดที่เจ้ามอบวิชาเจดีย์แปดองค์ให้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”
ใบหน้าของมู่เฉินไม่แยแสขณะที่ส่ายหัว หินสลักปรากฏขึ้นในมือ นี่เป็นสิ่งที่เทพจักรพรรดิสงครามมอบให้เขา ดูเหมือนว่าวันนี้เขาคงจะต้องพึ่งพามันเสียแล้ว
เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง เขายังสามารถเขวี้ยงไพ่ตายออกไปทั้งหมด เพื่อพยายามต่อสู้สุดความสามารถ แต่สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน… เป็นไปไม่ได้เลยนอกจากเขาจะควบคุมกองทัพมังกรดำได้ทั้งหมด
“ในเมื่อเจ้าดื้อขนาดนี้ ข้าก็คงต้องรังแกเด็กแล้ว” พอเห็นมู่เฉินปฏิเสธมั่วโยวก็ถอนหายใจ ไม้เท้าสีดำในมือเคาะลงบนพื้นเบาๆ รัศมีสีดำพวยพุ่งออกมาจากไม้เท้า ปิดผนึกพื้นที่ทันที มากจนแม้แต่คลื่นหลิงในฟ้าดินก็ยังถูกผนึกไว้
มู่เฉินรู้สึกถึงการจำกัดลง เขาเม้มริมฝีปาก ทันใดนั้นก็เตรียมออกแรงบีบเพื่อบดขยี้หินสลัก เชิญเทพจักรพรรดิสงครามออกมาช่วยเหลือ
ปัง!
แต่ทันทีที่เขาตัดสินใจจะทำ ถ้วยน้ำชาก็บินเข้ามากระแทกเข้ากับวงรัศมี ทำให้มันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้มั่วโยวอึ้งไป จากนั้นเขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปที่โต๊ะรับรองของตำหนัก ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทากำลังย่างเท้าออกมาช้าๆ
เขาก็คือผู้รับผิดชอบตำหนักแห่งนี้
“เผ่าฝูถูไม่มากไปหน่อยเหรอ…” ลู่ทงเดินมาที่ด้านข้างของมู่เฉิน พูดอย่างเกียจคร้าน
มั่วโยวขมวดคิ้ว “วังมหาพันภพคิดจะยุ่งเรื่องนี้ด้วยเหรอ?”
แม้ว่าเผ่าฝูถูจะเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ แต่วังมหาพันภพก็มีสถานะสูงส่งในมหาพันภพ มิหนำซ้ำยังไม่กลัวต่ออำนาจเผ่าฝูถูอีกด้วย
“นี่เป็นเรื่องภายในของพวกข้า ข้าว่าวังมหาพันภพละเมิดกฎด้วยการเข้ามายุ่งเรื่องนี้แล้ว” มั่วโยวพูดช้าๆ แม้ว่าวังมหาพันภพจะทรงอำนาจ แต่ก็มีกฎระเบียบ พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ยุ่งกิจการภายในของขั้วอำนาจอื่น
“ไม่ใช่พวกข้าหรอกที่แหกกฎ แต่เป็นพวกเจ้า” ลู่ทงส่ายหัว
เขาหันไปมองมู่เฉิน สายตาพิลึกพิลั่นลงหลายส่วน ก่อนที่จะถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และยื่นมือออกไป “เอาป้ายสังหารปีศาจของเจ้าให้ข้า”
มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะหยิบป้ายสีทองอร่ามวางในมือของชายชราชุดเทา
ลู่ทงถือป้ายยิ้มอ่อนให้มั่วโยว “คิดจะจัดการราชันสังหารปีศาจของวังมหาพันภพในถิ่นของข้า พวกเจ้าไม่ใช่คนที่ทำผิดกฎเรอะ?”
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1345 ขัดขวาง
เมื่อภารกิจเจดีย์สี่เทวะสิ้นสุดลง
การเดินทางของจอมยุทธ์ในแดนเซิ่งยวนโบราณก็ปิดฉากลงด้วย ผู้คนเริ่มทยอยออกไป ทว่าก็ยังมีบางคนที่ยังไม่ได้ไปไหนแต่พยายามใช้ช่วงเวลาสุดท้ายเพื่อค้นหารอบๆ และดูว่าตนเองจะได้พบกับโชคลาภบ้างหรือไม่
สำหรับพวกมู่เฉินซึ่งได้รับการเก็บเกี่ยวมหาศาล พวกเขาไม่ได้อยู่ในแดนเซิ่งยวนโบราณต่อ พวกเขาบดขยี้เครื่องรางออกจากแดนนี้ไป
ที่มุมหนึ่งของแดนเซิ่งยวน
มิติบิดเบี้ยว เงาร่างหลายร่างปรากฏขึ้น แต่ละคนเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมิดก็รู้สึกโล่งใจ แดนเซิ่งยวนโบราณราวกับคุกที่ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันขณะที่อยู่ภายใน
“ไปที่เมืองเซิ่งยวนกันก่อนเถอะ” มู่เฉินโบกมือเซียนชื่อเหยียนคงรอฟังข่าวดีจากลั่วหลีอยู่แน่
ทุกคนพยักหน้า เมื่อเทียบกับแดนเซิ่งยวนโบราณซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย การอยู่ในเมืองเซิ่งยวนทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายมากกว่า
จากนั้นทุกคนก็ระเบิดความเร็วจากไป พวกเขาเดินทางต่อไปอีกหลายชั่วโมงก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่างขึ้น มองเห็นโครงร่างเมืองใหญ่ทีละน้อย
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ริ้วแสงมากมายพุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง ก่อนที่จะมาหยุดตรงประตูเมือง ทั้งเมืองคึกคักด้วยความมีชีวิตชีวา
ความมีชีวิตชีวานี้เป็นภาพแบ่งชัดเจนกับแดนเซิ่งยวนโบราณที่รกร้างและมีแต่ซากปรักหักพัง ภาพนี้ทำให้กลุ่มของมู่เฉินผ่อนคลายลงหลายส่วน
เมื่อแลกเปลี่ยนสายตากันพวกเขาก็ยิ้มก่อนจะกลายเป็นร่างแสงพลิ้วลงที่ประตูเมือง จากนั้นก็เข้าไปในเมืองทันที
เมืองยังคงครึกครื้นเหมือนเคย มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา ทว่ามู่เฉินสัมผัสได้ว่ามีความแปลกประหลาดเนื่องจากผู้คนต่างเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางหนึ่งด้วยสายตาซับซ้อน
ดังนั้นกลุ่มของมู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย เมื่อพวกเขามองไปที่ศิลาสังหารปีศาจที่ยืนอยู่ใจกลางเมือง ฝีเท้าของพวกเขาก็หยุดชะงักเมื่อเห็นด้านบนนั่น แม้แต่สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
“นั่นอะไร?” หลงเซี่ยงขยี้ตา ดูเหมือนเขาจะเห็นชื่อราชันสังหารปีศาจสองคนและหนึ่งในนั้นก็คือมู่เฉิน
เวินชิงเฉวียน เวินซื่อหยู่และคนอื่นๆ ก็ฉายความตกตะลึงบนใบหน้า ครู่หนึ่งต่อมาพวกเขาก็หันขวับไปทางมู่เฉิน “เจ้าอย่าบอกพวกข้านะว่าเจ้าคือมู่เฉินบนนั้นน่ะ?”
พวกเขารู้ชัดเจนว่าราชันสังหารปีศาจเป็นตัวแทนของอะไร นั่นคือการดำรงอยู่บนยอดพีระมิดในวังมหาพันภพ ซึ่งสูงกว่าพวกแขกและผู้อาวุโสด้วยซ้ำ
เผชิญหน้ากับราชันสังหารปีศาจ แม้แต่ตระกูลเวินยังต้องรักษามารยาทและความเคารพ
สายตาของลั่วหลีก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความสงสัยเช่นกัน มู่เฉินได้ป้ายสังหารปีศาจพร้อมกันกับนาง แต่ตอนนี้ตัวนางยังคงเป็นมือสังหารปีศาจขั้นต่ำอยู่เลย แล้วจู่ๆ มู่เฉินกระโดดขึ้นสู่อันดับที่น่ากลัวของราชันสังหารปีศาจได้อย่างไร?
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะลูบใบหน้า ขณะยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะเล่ารายละเอียดว่าเขาดูดซับวิญญาณจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงเข้าไปในป้ายได้อย่างไร
เมื่อทุกคนได้ยินก็ตกตะลึงไป ก่อนจะอดอุทานออกมาไม่ได้ “นี่ก็ได้เหรอ?”
มู่เฉินยักไหล่ “ดูจากภาพตอนนี้เหมือนจะได้นะ”
เวินชิงเฉวียนและคนที่เหลือแลกเปลี่ยนสายตากัน แม้ว่าวิธีของมู่เฉินคือกลโกง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเลียนแบบสิ่งที่เขาทำได้ เหมือนกับที่มีเศษวิญญาณของจอมปีศาจระดับเทียนอยู่สี่คน แต่ก็มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่ทำได้
แต่…ขุมพลังของมู่เฉินตอนนี้อ่อนแอเกินไปจริงๆ
“เจ้าทำลายประวัติศาสตร์ของวังมหาพันภพ… ไม่เคยมีราชันสังหารปีศาจที่ต๊อกต๋อยขนาดนี้มาก่อนเลย” เวินชิงเฉวียนแซว
มู่เฉินยังยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนั้นเขาแค่ลองดูว่าจะได้ผลหรือไม่ เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีผลเช่นนี้จริงๆ
“ก็ต้องดูว่าทางวังมหาพันภพจะยอมรับเรื่องนี้หรือไม่” ลั่วหลีกล่าว
ทุกคนพยักหน้า หากทางวังมหาพันภพไม่ยอมรับเรื่องนี้ ชื่อของมู่เฉินในฐานะราชันสังหารปีศาจก็น่าจะถูกปลดออก
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มาก ตอนแรกเขาก็แค่จะลองดู หากวังมหาพันภพไม่ยอมรับ เขาก็ไม่ได้ลำบากอะไร
ขณะที่ทุกคนพูดคุยกัน พวกเขาก็มาถึงตำหนักหมื่นพันแล้ว
ที่ตำหนักยังคงคึกคักกันเช่นเคย แต่มู่เฉินก็ได้ยินเสียงลอยเข้าหูเกี่ยวกับหัวข้อราชันสังหารปีศาจคนใหม่อยู่ตลอด
นั่นทำให้เขาส่ายหน้าจนใจ เขาไม่เคยคิดว่าความอยากรู้อยากเห็นของตนเองจะทำให้เกิดความโกลาหลเช่นนี้ คงจะต้องมีมือสังหารปีศาจมากมายอยากเห็นว่าเขาที่เป็นราชันสังหารปีศาจคนใหม่จะเป็นสัตว์ประหลาดแบบใด
“ฮ่าฮ่านี่ไม่ใช่ราชันสังหารปีศาจคนใหม่ของเราเหรอ!”
ขณะที่มู่เฉินตั้งใจเข้าไปเงียบๆ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังออกมา ทำให้ทั้งตำหนักเงียบลง สายตามากมายมารวมตัวกันที่มู่เฉิน
“เขาคือราชันสังหารปีศาจคนใหม่—มู่เฉินเหรอ?!”
“แต่…ทำไมเขาถึงเป็นแค่จอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น?!”
“เขากลายเป็นราชันสังหารปีศาจได้ยังไง?”
“…”
ความเงียบสงบกินเวลาชั่วครู่ ก่อนที่ทั้งตำหนักจะเข้าสู่ความโกลาหล สายตานับไม่ถ้วนรวมตัวกันที่มู่เฉิน พวกเขาทั้งหมดสงสัยว่าชื่อของเขาในฐานะราชันสังหารปีศาจเป็นของจริงหรือไม่
ทันทีที่กลายเป็นจุดรวมสายตา มู่เฉินก็เหลือบมองไปที่ชื่อเหยียนที่ยิ้มขี้เล่นแบบกวนๆ จากนั้นเขาก็นำลั่วหลีและคนที่เหลือเดินไปหาถามอย่างไม่เกรงใจว่า “ท่านยังอยากได้วิชาช่องแสงวิญญาณโบราณรึเปล่า?”
ดวงตาของชื่อเหยี่ยนสว่างวาบก่อนที่จะมองลั่วหลีด้วยความสุขบนใบหน้า “เจ้าทำสำเร็จจริงๆ รึ?”
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าลั่วหลีมีโอกาสดีที่จะประสบความสำเร็จ แต่เมื่อเป็นจริงใบหน้าของชื่อเหยียนก็เต็มไปด้วยความสุข
ลั่วหลีไม่ตอบกลับ แต่มองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้ม
“ดีมาก เจ้าเด็กบ้าสองคน คิดจะกลั่นแกล้งตาแก่คนนี้เรอะ” เมื่อเห็นสายตาลั่วหลีที่ต้องการช่วยเหลือมู่เฉิน ชื่อเหยียนก็ควันออกหู ก่อนที่เขาจะหันกลับมาตะโกนลั่น “พวกเจ้าทุกคนหุบปาก!”
เมื่อร่องรอยแรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเล็ดลอดออกมา ทั้งตำหนักก็เงียบเสียงลง ไม่ว่าพวกเขาจะยโสโอหังแค่ไหน พวกเขาก็ต้องหดหัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับระดับเทียนจื้อจุน
หลังจากระงับความวุ่นวาย ชื่อเยียนก็ถูมือพลางหัวเราะเบาๆ ไปทางลั่วหลี
เมื่อเห็นการตอบสนองของเขา ลั่วหลีก็ยิ้มขณะพยักหน้า “ข้าไม่ทำให้ผิดหวัง โชคดีได้รับมรดกของท่านบรรพบุรุษไท่หลิงมา”
ฮา
ชื่อเหยียนเหมือนยกภูเขาออกจากอก เผ่าไท่หลิงคลุมเครือกับเรื่องนี้มาหลายปี ในที่สุดก็ได้รับการแก้ไข
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเราก็ไปกันเถอะ ลั่วหลีตามข้าไปยังเผ่าไท่หลิง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าคือธิดาเทพคนใหม่!” ชื่อเหยียนโบกมือขณะที่พูด
เมื่อเห็นว่าชื่อเหยียนต้องการพานางไปที่เผ่าไท่หลิง นั่นไม่ได้หมายความว่านางต้องแยกกับมู่เฉินอีกครั้งเหรอ? เรื่องนี้ทำให้ลั่วหลีตกตะลึงไปช่วงสั้นๆ ขณะที่นางกำลังจะพูดเสียงหัวเราะเยือกเย็นก็ดังออกมาจากภายในตำหนัก
“ต้องการออกไปเหรอ? จะง่ายขนาดนั้นได้ยังไง?!”
สายตาทุกคู่จ้องไปที่ต้นเสียงก็เห็นกลุ่มคนย่างสามขุมเข้ามาพร้อมกับรัศมีดุร้าย โดยมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคนนำหน้า ซึ่งก็คือเฮยกวางและมั่วหยิงนั่นเอง
ที่ด้านหลังเฉวียนหลัวและมั่วซินก็ตามมา พร้อมกับที่จ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาอาฆาตที่น่ากลัว
สายตาของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสองก็จับจ้องไปที่มู่เฉิน ขณะพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ปล่อยแรงกดดันซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกหนักหน่วงออกมา
สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อมองไปที่เฉวียนหลัวและมั่วซิน เห็นได้ว่านี่เป็นแผนของไอ้วายร้ายสองคนคิดขึ้นมา
“เฮ้ ไอ้แก่หน้าด้านสองคนคิดรังแกเด็กเหรอ?” ร่างสูงวัยปราดมาที่เบื้องหน้ามู่เฉิน ต่อต้านแรงกดดันที่มาจากเฮยกวางและมั่วหยิง
นี่เป็นใครไม่ได้ขอกจากชื่อเหยียน
“ชื่อเหยียนเรื่องนี้เป็นเรื่องของเผ่าฝูถูไม่เกี่ยวกับแก!” เฮยกวางตะเบ็งเสียงใส่ด้วยสายตามืดมน
มั่วหยิงมองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนพองสยองเกล้าขณะที่แผดเสียงลั่น “ไอ้เด็กเวรส่งมอบวิชาเจดีย์แปดองค์มาให้ซะดีๆ ถ้ารู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง มิฉะนั้นวันนี้เราจะนำแกกลับไปที่เผ่าเพื่อรับโทษ!”
มู่เฉินเยาะเย้ย “พวกแกไม่มีปัญญาได้รับการยอมรับจากท่านบรรพบุรุษ จะโทษใครได้?”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นใบหน้าของเฉวียนหลัวและมั่วซินก็น่าเกลียดลงมาก
มั่วหยิงตอบด้วยเสียงเคร่งเครียด “ท่านบรรพบุรุษแค่ปลอบโยนเจ้าที่ฆ่าปีศาจ แต่วิชาเจดีย์แปดองค์ไม่ใช่สิ่งที่แกจะครอบครองได้!”
“มั่วหยิง แกหน้าหนามาก ถ้าบรรพบุรุษรู้เรื่องนี้เข้าละก็ เขาจะต้องกลับมาจากความตายเพราะความโกรธที่มีลูกหลานโง่เขลา” ชื่อเหยียนทอดถอนหายใจ
พอได้ยินคำถากถางของชื่อเหยียนเปลือกตาของมั่วหยิงก็กระตุกก่อนที่เขาจะมองไปที่อีกฝ่ายด้วยท่าทางมืดมน พูดช้า-ชัดว่า “ชื่อเหยียน แกคิดจะแส่เรื่องนี้ใช่ไหม?”
“มู่เฉินเป็นคนที่ข้าพามา ดังนั้นข้าไม่ปล่อยให้พวกแกพาเขาไปได้” ชื่อเหยียนหัวเราะเยาะขณะที่พูดโดยไม่มีความลังเลใดๆ หลังจากได้ยินน้ำเสียงของมั่วหยิง
มั่วหยิงและเฮยกวางสบตากัน แสงเย็นเยือกพล่านในดวงตา วันนี้พวกเขาต้องพามู่เฉินกลับไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม วิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในกำมือของไอ้เด็กนี่ไม่ได้!
“ในเมื่อเป็นแบบนี้”
รัศมีเทียนจื้อจุนไม่ปกปิดอีกต่อไป ระเบิดออกฉับพลันทำให้ท้องฟ้าเมืองเซิ่งยวนมืดลง
แรงกดดันน่ากลัวแผ่ซ่านไปทั่ว
สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ชื่อเหยียนราวกับกระบี่คมกริบ
“งั้นพวกข้าสองคนก็จะพาไอ้เด็กกาลกิณีนี่กลับไปให้ได้!”
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1343 วิชาช่องแสงวิญญาณ
แสงหลิงกำจายระหว่างสวรรค์และโลก
ก่อนที่ร่างสง่างามจะปรากฏขึ้นในสนามรบ ทันใดนั้นทั้งสนามรบก็เหมือนจะหยุดชะงัก สายตานับไม่ถ้วนพุ่งมาที่ร่างเทห์สวรรค์ที่งดงาม ความอัศจรรย์ใจใจวูบไหวในดวงตาแต่ละคู่
ภาพเงาของลั่วหลียืนอยู่ตรงหน้าร่างเทพวารีก็เปล่งรัศมีหลิงห่อหุ้มกายเอาไว้ เรือนผมราวกับแม่น้ำสีเงินกระเพื่อมไหวโดยไม่มีสายลมพัดผ่าน กระโปรงของนางพลิ้วสะบัด ทำให้นางดูน่าทึ่งมาก
“ลั่วหลีงดงามนัก!” เวินชิงเฉวียนเอ่ยชม ยามนี้ลั่วหลีมองดูเหมือนภาพสะท้อนของลั่วเสินด้วยใบหน้าที่เปล่งประกาย แม้แต่รูม่านตาของนางก็ดูโปร่งใสมากขึ้น
ความงามของนางสยบทั้งสนามรบ แม้แต่เวินชิงเฉวียนและไป๋ซินเอ๋อก็ดูหมองลงเมื่อเปรียบเทียบกับนางในขณะนี้
“ช่างงดงามจริงๆ…”
จอมยุทธ์รอบตัวไป่ซินเอ๋อมองไปที่ลั่วหลีด้วยสายตาที่มึนเมาขณะที่อุทานลั่น
รอยยิ้มบนใบหน้าไป๋ซินเอ๋อแข็งกระด้างลงหลายส่วน ขณะที่มองไปที่ภาพเงางดงามชั่วครู่ ก่อนที่คำพูดจะเปล่งออกมาทีละคำ “ร่างเทพวารีแห่งลั่วเสิน?!”
ในฐานะเสมือนธิดาเทพเผ่าไท่หลิง นางมีความรู้มากมายจึงจดจำได้ในทันที ร่างเทพวารีเป็นวิชาที่โด่งดังที่สุดในมหาพันภพภายใต้ความงดงาม!
เพราะนอกจากนี่จะเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่งดงามที่สุดในมหาพันภพยังมีพลังอันยิ่งใหญ่ คงมีแต่เทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่ามีหญิงสาวกี่คนที่ใฝ่ฝันที่จะฝึกฝน
ไป่ซินเอ๋อก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อนางเห็นว่าลั่วหลีได้ฝึกฝนร่างเทพวารี แม้แต่คนอย่างนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉานิดๆ หากนางสามารถฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์แบบนั้นได้ นางจะกลายเป็นจอมยุทธ์หญิงที่เจิดจรัสที่สุดในอนาคตอันใกล้ของมหาพันภพ
“แต่นางนำมันออกมาเพื่ออะไร?” ไม่นานไป๋ซินเอ๋อก็มุ่นคิ้วก่อนจะพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนว่านางจะไม่รู้เรื่องระหว่างไท่หลิงและลั่วเสินเท่าไร
ทว่าถึงจะเป็นจุดรวมสายตาผู้คนโดยรอบ ลั่วหลีก็ไม่ได้สนใจ นางค่อยๆ เชื่อมโยงตัวเองกับร่างเทพวารี จากนั้นร่างเทพวารีก็ระเบิดเกลียวแสงพร่างพราวออกมานับไม่ถ้วน ขณะที่แสงหลิงกระจายออกก็พุ่งเข้าหาแท่นบูชาอย่างรวดเร็ว ปรากฏที่ด้านบนก่อนที่จะเทลงบนศิลาโบราณ
เมื่อแสงหลิงของร่างเทพวารีแตะต้อง ศิลาหินก็เริ่มสั่นสะเทือนรุนแรง
การสั่นสะเทือนนั้นไม่เหมือนกับของไป่ซินเอ๋อ มันรุนแรงและรุนแรงมากขึ้น เสียงก็แรงกล้ายิ่งขึ้น
เมื่อไป่ซินเอ๋อเห็นฉากนี้ หัวใจของนางก็ดิ่งลง นี่ช่างเกินความคาดหมายไปไกล นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าร่างเทพวารีของลั่วหลีจะทำให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับรวดเร็วเช่นนี้จากศิลาโบราณ
“แม่นางซินเอ๋อเราจะทำอย่างไรดี?” จอมยุทธ์ที่อยู่รอบตัวนางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
ขณะที่สายตาวูบไหว ไป๋ซินเอ๋อก็ถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าครั้งนี้ข้าด้อยกว่านางไปเอง”
นางกัดริมฝีปากทำให้ดูน่าสงสารอย่างยิ่ง จอมยุทธ์โดยรอบรู้สึกปวดใจแทนนาง จากนั้นพวกเขากล่าวว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อน เราสามารถขัดขวางพวกเขาไว้ ขณะที่แม่นางซินเอ๋อขึ้นไปบนแท่นบูชาเพื่อปลุกผู้อาวุโสไท่หลิง”
แววตาไป๋ซินเอ๋อฉายประกายความสุขวูบไหวแต่กลับส่ายหัว “ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าเสี่ยงอันตรายได้ยังไง? รอบตัวลั่วหลีเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญเช่นกัน”
“ฮ่าๆ ก็แค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสองคนไม่มีอะไรต้องกลัว” ชายหนุ่มที่พูดกับไป๋ซินเอ๋อหัวเราะด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ เนื่องจากฝั่งพวกเขาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มถึงสี่คน
“ลุยกันเลย!”
เห็นได้ชัดว่าเขามีความสุขมากกับสายตาชื่นชมที่มาจากไป่ซินเอ๋อ จากนั้นเขาก็โบกมือและจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนก็ทะยานออกไปมุ่งหน้าไปยังทิศทางของลั่วหลี
มองไปที่ภาพเงาของพวกเขาริมฝีปากของไป่ซินเอ๋อก็ยกขึ้น ก่อนที่นางจะมองไปที่ลั่วหลี จากนั้นก็หันกลับพุ่งตัวออกไป มุ่งหน้าไปที่แท่นบูชา
“ระวัง!”
เวินชิงเฉวียนและคนอื่นๆ รับรู้ทันทีเมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสี่คนพุ่งเข้ามาในทิศทางของพวกเขาจึงรีบตะโกนเตือน
“พวกมันรนหาที่ตายจริงๆ!”
หลงเซี่ยงเค้นเสียงเย็นชาพุ่งตัวนำหน้าออกไป มังกรพลายคำรามรอบตัวมาพร้อมกับพลังอำนาจอันน่าสะพรึง พุ่งเข้าใส่จอมยุทธ์สี่คนจังใหญ่
เวินซื่อหยู่ตามมาอย่างรวดเร็ว ที่เบื้องหลังเกลียวแสงหลิงเปล่งประกายออกมาจากในแขนเสื้อของหลิงซีก่อนที่ค่ายกลทรงพลังจะก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
ขณะที่หลิงซีและคนอื่นๆ เข้าโรมรันกับจอมยุทธ์ทั้งสี่ ลั่วหลีก็ไม่ได้วอกแวกกับสถานการณ์นี้ นางมุ่งเน้นไปที่การควบคุมร่างเทพวารี ระลอกคลื่นหลั่งไหลเข้าสู่เสาที่สั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง
ฮึ่ม ฮึ่ม
การสั่นสะเทือนทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
ไม่กี่นาทีต่อมาก็หยุดลง เมื่อมองฉากนี้ไป๋ซินเอ๋อซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปที่แท่นบูชาก็รู้สึกดีใจ แต่ก่อนที่ความสุขจะกระจายบนใบหน้า นางก็เห็นลำแสงโบราณไร้ขอบเขตทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากศิลาบนแท่น
แสงกลั่นตัวก่อร่างภาพเงาวัยกลางคนที่มีใบหน้าที่เข้มงวด แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีรูปลักษณ์หล่อเหลา แต่เขาก็ให้บรรยากาศแบบผ่านประสบการณ์ชีวิตมาแบบโชกโชนรอบตัว
เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นก็มองทางร่างเทพวารี ก่อนที่ความปรารถนาจะลุกโชนในดวงตา “ไม่คิดเลยว่าหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปีจะได้พบกับเทพธิดาอีกครั้ง”
แม้ว่าสายตาจะจับจ้องไปที่ร่างเทพวารี แต่ชัดว่าภาพที่ปรากฏในใจกลับเป็นร่างเงาในความทรงจำที่ห่างไกล
เมื่อมองไปที่ภาพเงานั้น เสียงของลั่วหลีก็ดังขึ้น “ผู้อาวุโสไท่หลิง หนึ่งในสี่ชั้นของเจดีย์สี่เทวะถูกล้างบางไปแล้ว โปรดให้ความช่วยเหลือแก่พวกเราในการทำลายล้างปีศาจ!”
ภาพเงาของผู้อาวุโสไท่หลิงไปปรากฏที่เบื้องหน้าลั่วหลีทันที สายตามองไปก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันที “เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับลั่วเสิน?”
“นางเป็นบรรพบุรุษของข้า” ลั่วหลีตอบด้วยมารยาท
“มิน่ารูปลักษณ์ของเจ้าถึงคล้ายคลึงกับนางมาก” ไท่หลิงยิ้มพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของลั่วหลีด้วยความรู้สึกลึกซึ้งในดวงตา ทว่าลั่วหลีรู้ดีว่านี่ไม่ใช่สำหรับนาง แต่เป็นลั่วเสิน
“ไม่คิดว่าวันหนึ่งสภาวะหลับใหลของข้าจะถูกปลุก… และคนที่ปลุกก็คือลูกหลานของนาง นางมักจะพูดเสมอว่าเราไม่มีโชคชะตาต่อกัน แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น” ไท่หลิงยิ้มอ่อนโยน
ลั่วหลีแอบแลบลิ้น ดูเหมือนว่านี่เป็นหนึ่งในผู้ไล่ตามบรรพบุรุษของนางและล้มเหลว
แต่โชคดีที่เจตจำนงของไท่หลิงไม่ได้ระลึกถึงอดีตมากเกินไป เขาหันไปมองรอบๆ เมื่อเห็นเผ่าปีศาจอยู่ทั่วทุกหนแห่งตรงแท่นบูชา ใบหน้าของเขาก็ดิ่งลง
“เจตจำนงของผู้อาวุโสเชียงถูกทำลายแล้วเรอะ ชั้นหนึ่งของเจดีย์สี่เทวะก็ล้มสลายลงแล้ว” สายตาของไท่หลิงวูบไหวจากนั้นก็หยุดชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะอุทานด้วยความตกใจ “เศษวิญญาณจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงถูกทำลาย? วิธีการของตาแก่ฝูถูรวดเร็วเด็ดขาดขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
เมื่อลั่วหลีได้ยินหัวใจก็สั่นไหว เศษวิญญาณจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงในชั้นของผู้อาวุโสฝูถูถูกทำลายเหรอ?
“มู่เฉินแน่!” แม้ว่านางจะยังไม่ทราบข้อมูลแน่ชัด แต่นั่นคือสิ่งที่ลั่วหลีใช้สัญชาตญาณผู้หญิงวัด งานนี้มู่เฉินเป็นคนทำแน่นอน
“แม่นางน้อยปลุกข้าได้ให้ทันเวลา มิฉะนั้นหากเศษวิญญาณของจอมปีศาจระดับเทียนเป็นอิสระ ผลลัพธ์ของชั้นนี้ก็คงเป็นเช่นเดียวกับตาแก่เชียงแน่นอน” ไท่หลิงยิ้มให้ลั่วหลี ในบรรดาบรรพบุรุษทั้งสี่ เขาเป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด ดังนั้นเจตจำนงจึงอ่อนแอที่สุดเช่นกัน ถ้าเศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนจากชั้นของเขาถูกปลดปล่อยออกไปละก็ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำเหมือนกับฝูถูที่ลบวิญญาณออกไปตลอดกาล
ไท่หลิงเหยียดนิ้วออกแตะลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วของลั่วหลี แสงกำจายจากปลายนิ้วเทลงไป
“ฮึ่ม!”
เมื่อแสงหลิงหลั่งไหลเข้ามา ร่างลั่วหลีก็สั่นสะท้าน คลื่นหลิงกลุ่มใหญ่คำรามอยู่ภายในร่างกาย ทว่าพลังงานนี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นของนาง
“ช่วยข้าทำความสะอาดชั้นนี้หน่อยเถอะ”
ไท่หลิงมองไปที่ลั่วหลีอย่างลึกซึ้ง ความระลึกถึงลุกโชนในดวงตาอีกครั้ง จากนั้นร่างเขาก็ค่อยๆ หายไป
ลั่วหลีผงกศีรษะปรากฏตัวบนไหล่ของร่างเทพวารีมองไปที่สนามรบอันโกลาหลก่อนที่จะยกมือขึ้น
ซ่า ซ่า
ลำแสงพุ่งออกมาจากปลายนิ้วร่างเทพวารีแล้วขยายออก ทันใดนั้นก็กลายเป็นแม่น้ำสีเงินที่มีความยาวหลายหมื่นลี้ซึ่งแผ่ซ่านด้วยพลังงานหลิงไม่มีที่สิ้นสุด
แม่น้ำสีเงินพวยพุ่งอย่างแรกที่ทำก็คือส่งร่างจอมยุทธ์สี่คนที่กำลังต่อสู้กับหลงเซี่ยง เหวินซื่อหยู่และคนอื่นๆ กระเด็นออกไปพร้อมกับกระอักเลือดออกมา ใบหน้าของพวกเขาปกคลุมไปด้วยความกลัว
ทว่าลั่วหลีไม่ได้ใส่ใจพวกเขามาก นางแตะปลายเท้า แม่น้ำสีเงินก็เริ่มกวาดหายนะไปในสนามรบ ทันใดนั้นจอมยุทธ์เผ่าปีศาจก็ถูกแม่น้ำสีเงินกัดกร่อนกลายเป็นขี้เถ้า ไม่มีแม้แต่กระดูกเหลือไว้ต่างหน้า
การต่อสู้ที่ตึงเครียดตั้งแต่แรกเปลี่ยนเป็นเผ่าปีศาจเริ่มสูญเสีย ท้ายที่สุดพวกเขาไม่สามารถระงับความกลัวได้อีกต่อไปและเริ่มหนี
ส่วนจอมยุทธ์มหาพันภพก็ได้รับกำลังใจเพิ่มขึ้น พวกเขาพุ่งเข้าโรมรัน
ใต้แท่นบูชาไป่ซินเอ๋อหยุดลงพลางกัดริมฝีปากขณะกำมือแน่น นางรู้ว่าตัวเองล้มเหลวในการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว
นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าแม้จะใช้ทักษะการปลุกของเผ่าไท่หลิง ก็ยังไม่สามารถปลุกเจตจำนงที่ยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษได้ กลับกันเพียงแค่สัมผัสได้ถึงร่างเทพวารี ไท่หลิงก็ตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว
มองไปที่สนามรบที่ถูกกวาดล้างอย่างรวดเร็ว ลั่วหลีก็รู้สึกโล่งใจ เนื่องจากนางรู้สึกได้ว่าพลังงานหลิงกลุ่มใหญ่ในร่างกายกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อคลื่นหลิงเส้นสุดท้ายหายไป ดวงตาลั่วหลีก็สว่างวาบขึ้น เพราะในขณะนี้มีข้อมูลเก่าแก่มากมายหลั่งไหลเข้ามาในห้วงแห่งจิตของนาง
“นี่คือ…วิชาช่องแสงวิญญาณโบราณ”
ในชั้นผู้อาวุโสไท่หลิงของเจดีย์สี่เทวะ
การสังหารหมู่ดังก้องทั่วแท่นบูชาขนาดใหญ่ คลื่นหลิงและรัศมีปีศาจปะทะกันเปรี้ยงปร้างทำให้เกิดเสียงเสียดแทงแก้วหู ในเวลาเดียวกันแรงปะทะยังทำให้ชั้นนี้สั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง
นั่นเป็นเพราะแต่ละฝ่ายพยายามปกป้องและทำลาย ทำให้จอมยุทธ์มหาพันภพและเผ่าปีศาจเริ่มระเบิดสงครามกันที่นี่
มีการรวมกลุ่มกันอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นี่ก็คือลั่วหลี หลิงซี เวินชิงเฉวียนและพรรคพวกที่ยืนล้อมกรอบอยู่รอบตัวพวกนาง
การรวมตัวของพวกนางไม่โดดเด่น เพราะตอนนี้ทั้งสนามรบ แค่จำนวนจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างเดียวก็สามารถนับได้ด้วยสองมือ นี่ยังไม่รวมถึงพวกเผ่าปีศาจ
แต่โชคดีที่ไม่มีตัวฉกาจเหมือนซือเทียนโยวในชั้นนี้ ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงรุนแรง แต่ไม่มีใครถือไพ่เหนือกว่า
“ลั่วหลี ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะทำอะไร?”
เวินชิงเฉวียนสะกิดลั่วหลี สายตามองไปในระยะไกลที่มีหญิงสาวชุดสีขาวทรงเสน่ห์ยืนอยู่ตรงกลางแท่นบูชา
ตอนนี้เวินชิงเฉวียนและทุกคนรู้แล้วว่าหญิงสาวคนนั้นชื่อว่าไป๋ซินเอ๋อ มิหนำซ้ำยังเป็นคู่แข่งของลั่วหลีในครั้งนี้ เนื่องจากเป้าหมายของนางคือมรดกของผู้อาวุโสไท่หลิง
ทักษะของไป๋ซินเอ๋อยอดเยี่ยมมาก เนื่องจากรอบตัวนางรายล้อมไปด้วยจอมยุทธ์น่าเกรงขาม มีกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม การรวมกลุ่มของพวกเขาถือว่าหรูหราที่สุดเลย
ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นกลุ่มคนที่เข้าใกล้แท่นบูชาได้มากที่สุดและต่อต้านเผ่าปีศาจได้
ไป๋ซินเอ๋อที่ได้รับการปกป้องในวงกลมมองไปที่ลั่วหลีที่อยู่ไกล ก่อนที่ริมฝีปากสีกุหลาบจะยกขึ้น จากนั้นนางก็นั่งลง
มือของนางวาดตราประทับเร็วรี่ วงแสงรวมตัวกันเหนือศีรษะก่อนที่จะกระจายออกไปในรูปวงกลม
“นางพยายามปลุกเจตจำนงของผู้อาวุโสไท่หลิงน่ะ” ลั่วหลีหดตาลงเมื่อเห็นภาพนี้
ที่ชั้นนี้ไม่มีใครมาปลดปล่อยเศษวิญญาณของจอมปีศาจระดับเทียนที่ถูกปิดผนึก ดังนั้นเจตจำนงของผู้อาวุโสไท่หลิงจึงยังคงหลับใหลอยู่
ถ้าไป่ซินเอ๋อสามารถสื่อสารกับเจตจำนงของผู้อาวุโสไท่หลิงได้ นางก็จะสามารถยืมพลังกวาดล้างเผ่าปีศาจทั้งหมดออกไปจากที่นี่ ในเวลานั้นนางก็จะเป็นผู้มีส่วนร่วมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยและวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานก็จะตกอยู่ในมือนางแน่แท้
“เราต้องหยุดนาง!” หลิงซีขมวดคิ้ว ถ้าไป๋ซินเอ๋อได้รับวิชาช่องแสงวิญญาณ ภารกิจครั้งนี้ของลั่วหลีก็จะล้มเหลว
เหตุผลที่มู่เฉินให้ทุกคนมากับลั่วหลี ก็เพื่อที่พวกเขาจะได้ช่วยนางทำงานให้สำเร็จลุลล่วง แต่ถ้าพวกเขาล้มเหลว ก็ไม่รู้ว่าจะตอบมู่เฉินว่าอย่างไร
“ข้าจะไปขัดขวางนางเอง!” หลงเซี่ยงกระแทกหมัดเข้าด้วยกันกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม แม้ว่าจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอยู่รอบตัวไป๋ซินอ๋อ คนอย่างเขาก็ไม่กลัว
แต่เขาก็ถูกลั่วหลีหยุด นางส่ายหัว “ทักษะที่นางฝึกฝนน่าจะเป็นคัมภีร์ต้าหลิงของเผ่าไท่หลิง ว่ากันว่านี่เป็นทักษะที่คล้ายคลึงกับผู้อาวุโสไท่หลิง นางจึงพยายามใช้ทักษะนี้เพื่อปลุกเจตจำนงของเขา”
“นี่เป็นความคิดที่ดีนะ แต่จะง่ายอย่างที่นางคิดได้อย่างไร”
จากข้อมูลที่ลั่วหลีได้รับ ผู้อาวุโสไท่หลิงเป็นคนแรกที่สิ้นชีพในหมู่บรรพชนทั้งสี่ ดังนั้นเจตจำนงของเขาจึงเข้าสู่ห้วงนิทรา ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปลุก ลั่วหลีไม่คิดว่าไป๋ซินเอ๋อจะสามารถทำให้สำเร็จได้
เมื่อเห็นว่าลั่วหลีสงบแค่ไหน ทุกคนก็ระงับความวิตกกังวลในใจและเฝ้าดู
ขณะที่พวกเขาไม่พลุ่งพล่าน ไป๋ซินเอ๋อก็เหลือบมาเห็นหลังจากไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ นางก็ยิ้มจาง ก่อนที่จะโบกมือไปให้จอมยุทธ์ที่อยู่รอบตัว
จอมยุทธ์เหล่านั้นดึงความสนใจออกจากตัวลั่วหลี กลับไปล้อมไป๋ซินเอ๋อเพื่อปกป้อง
“ผู้หญิงคนนั้นระวังตัวแจ คุมเชิงพวกเราตลอดเวลา” เวินชิงเฉวียนพูดพร้อมกับยกคิ้ว
“คนที่สามารถขึ้นเป็นเสมือนธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงได้จะไม่ฉลาดได้อย่างไร?” ลั่วหลียิ้มบาง ไป๋ซินเอ๋อมาคนเดียว แต่จอมยุทธ์จำนวนมากเต็มใจจะช่วยเหลือ วิธีการของนางไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้
ขณะที่พวกเขากำลังสนทนากัน แสงลึกลับเหนือศีรษะของไป๋ซินเอ๋อก็ราวกับดวงจันทร์สาดส่องแสงไปทั่วบริเวณ
ประกายแสงกระจายออกไปรอบแท่นบูชา ศิลาโบราณเริ่มสั่นสะเทือน
ไป๋ซินเอ๋อจ้องมองไปด้วยความสุข ทว่าความสุขบนใบหน้านางก็อยู่ไม่นาน เพราะศิลากลับสู่ความเงียบไม่ขยับเขยื้อนดังเดิม
ไป๋ซินเอ๋อกัดฟันแน่นปลดปล่อยคลื่นหลิงในร่างกายอย่างบ้าคลั่ง แสงซ่านเซ็นออกไปห่อหุ้มไปที่ศิลานั้นอย่างต่อเนื่อง
ตู้ม ตู้ม!
ไม่ช้าเผ่าปีศาจก็สังเกตเห็นความวุ่นวายนั้น พวกมันมุ่งการโจมตีไปที่นาง แต่ก็ถูกสกัดไว้โดยจอมยุทธ์ที่อยู่รอบกายนาง
“ตื่นเร็วสิ!”
ไป๋ซินเอ๋อกัดริมฝีปากขณะที่หมุนเวียนวิชาอย่างต่อเนื่อง พยายามติดต่อกับเจตจำนงของผู้อาวุโสไท่หลิง ทว่านางก็ยังคงล้มเหลวเนื่องจากไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้น
หลังจากพยายามอยู่นานไป๋ซินเอ๋อก็ลืมตาขึ้น ความไม่พอใจอัดแน่นในนัยน์ตา ก่อนที่นางจะมองไปที่แท่นบูชาพลางพึมพำกับตัวเอง “หรือว่าการขึ้นไปบนแท่นบูชาเป็นวิธีเดียวที่จะปลุกเจตจำนงของบรรพบุรุษ?”
แต่นางจะต้องถูกขัดขวางโดยเผ่าปีศาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และถ้าเผ่าปีศาจสามารถขึ้นไปบนแท่นบูชาปลุกวิญญาณจอมปีศาจได้ละก็ พวกนางลำบากแน่
“แม่นางซินเอ๋อล้มเหลวเหรอ?” ชายรูปร่างแกร่งพุ่งเข้ามาถามด้วยความห่วงใย
ไป๋ซินเอ๋อพยักหน้าเบาๆ “ลำบากพวกเจ้าแล้ว”
เมื่อชายคนนั้นเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของไป๋ซินเอ๋อ ดวงตาเขาก็กระตุก “แม่นางซินเอ๋อไม่ต้องกังวล รอให้เราส่งเจ้าขึ้นไปที่แท่นบูชาได้ เจ้าก็จะสามารถปลุกเจตจำนงของผู้อาวุโสไท่หลิงได้อย่างแน่นอน”
“สำหรับพวกเขาไม่ต้องกังวล นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่เจ้ายังทำไม่สำเร็จ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย”
ที่พูดนี้หมายถึงกลุ่มของลั่วหลี เนื่องจากพวกเขารู้ว่าลั่วหลีเป็นภัยคุกคามใหญ่สำหรับไป๋ซินเอ๋อ
ไป๋ซินเอ๋อยิ้มอ่อนโยน “พูดอย่างนี้ไม่ได้นะ เราควรระวังลั่วหลีให้มากขึ้น”
ขณะที่พูดสายตานางก็มองไปยังทิศของกลุ่มลั่วหลี ก่อนที่ดวงตาจะหดลงทันทีเมื่อเห็นว่าลั่วหลีนั่งลงอย่างกะทันหัน
เมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองของไป๋ซินเอ๋อ ลั่วหลีก็เงยศีรษะขึ้นช้าสายตาประสานกับไป๋ซินเอ๋อ ก่อนที่จะละสายตาออกอย่างรวดเร็ว
ไป๋ซินเอ๋อก็เบนสายตากลับ ดวงตากลับหรี่ลง “ลั่วหลีตั้งใจที่จะสื่อสารกับเจตจำนงของผู้อาวุโสไท่หลิงด้วยหรือ?”
แต่รอยยิ้มลึกก็ปรากฏบนใบหน้าของนางเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น นางรู้ว่าลั่วหลีเพิ่งได้รับตำแหน่งเสมือนธิดาเทพจากเซียนชื่อเหยียนมาไม่กี่เดือน ลั่วหลีไม่เคยได้รับการฝึกฝนในเผ่า ดังนั้นในฐานะคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการฝึกฝน ก็เป็นเพียงความคิดปรารถนาที่จะสื่อสารกับวิญญาณบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
“ลั่วหลี เจ้าทำได้ไหม?” เวินชิงเฉวียนถามอย่างเป็นห่วงจากด้านข้าง เมื่อนางเห็นว่าขนาดไป๋ซินเอ๋อยัง ล้มเหลว นางรู้ว่าการสื่อสารกับเจตจำนงของผู้อาวุโสไท่หลิงยากเพียงใด
ถึงยังไงไป๋ซินเอ๋อก็ได้รับการฝึกฝนคัมภีร์มานาน ขณะที่ลั่วหลีไม่เคยเรียนรู้วิทยายุทธหรือทักษะการเพาะบ่มของเผ่าไท่หลิงเลย
ลั่วหลียิ้ม “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมเซียนชื่อเหยียนจึงมั่นใจในตัวข้ามากและรู้สึกว่าข้าจะได้รับวิชาช่องแสงวิญญาณ?”
เวินชิงเฉวียนส่ายหน้า
ลั่วหลีหัวเราะเบาๆ ขณะที่ตอบว่า “เป็นเพราะข้าฝึกฝนร่างเทพวารียังไงล่ะ”
เวินชิงเฉวียนยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่ ‘ร่างเทพวารีเกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าไท่หลิงกัน?’
ลั่วหลีเงยหน้าขึ้นมองไปที่แท่นบูชาโบราณ “เซียนชื่อเหยียนเคยบอกว่าในสมัยโบราณท่านไท่หลิงคนนี้เป็นคนที่หลงใหลในความรัก”
“แล้วเขาหลงเสน่ห์ใครล่ะ?” หลิงซีดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
ลั่วหลียิ้มเจ้าเล่ห์ตอบว่า “เขาหลงใหลเจ้าของคนสุดท้ายของร่างเทพวารี บรรพบุรุษของข้า—ท่านลั่วเสิน!”
“ข้าเข้าใจล่ะ! เจ้าคิดจะใช้แผนสาวงามหลอกล่อใช่ไหม ใช้ร่างเทห์สวรรค์ที่งดงามเพื่อปลุกเจตจำนงของผู้อาวุโสไท่หลิง!” เวินชิงเฉวียนปรบมือพร้อมกับร้องลั่นด้วยความชอบใจ
ลั่วหลีกะพริบตาพูดอย่างสนุกสนาน “เพื่อวิชาช่องแสงวิญญาณ ข้าคิดว่าจะต้องเสียสละความงามของบรรพบุรุษสักหน่อย”
เวินชิงเฉวียนกับคนอื่นๆ แลกเปลี่ยนสายตากัน ‘แบบนี้ก็ได้เหรอ?’
ลั่วหลีไม่พูดอะไรอีก แต่ประสานมือเข้าด้วยกัน โดยมีแสงไร้ขอบเขตส่องออกมาจากด้านหลัง แสงหลิงพวยพุ่งปกคลุมสวรรค์และโลก เกิดภาพเงาที่งดงามก่อตัวขึ้นที่เบื้องหลัง
ร่างเทพวารีแห่งลั่วเสิน ร่างเทห์สวรรค์ที่งดงามแห่งมหาพันภพ!
บนแท่นบูชา
ใบหน้าของเฉวียนหลัวและมั่วซินซีดลง พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าฝูถูจะมีความประทับใจอย่างมากต่อมู่เฉิน ถึงแม้จะรู้ว่ามู่เฉินและเผ่ามีความสัมพันธ์เลวร้าย แต่เขาก็ยังตัดสินใจที่จะมอบวิชาเจดีย์แปดองค์ให้กับมู่เฉิน
“ท่านบรรพบุรุษ!” พวกเขาสองคนยังคงใช้ความพยายามลองโน้มน้าวต่อ
“ข้าตัดสินใจแล้ว” ทว่าฝูถูก็โบกมือตัดบทด้วยเสียงแน่วแน่จากนั้นก็หันไปมองทั้งสองคน “พวกเจ้าสองคนกลับไปบอกเหล่าผู้อาวุโส เผ่าฝูถูยืนยงจนถึงปัจจุบันเพราะความสามารถ ทว่าพวกเจ้าเป็นบัวใต้โคลนตม หากยังคงดำเนินความคิดแบบนี้ต่อไปเผ่าจะต้องเผชิญกับความเสื่อมโทรมแน่นอน!”
เสียงของเขาฟังดูเคร่งขรึม การที่มู่เฉินถูกมองว่าเป็นคนบาปเพราะเรื่องมารดาขี้ปะติ๋ว ทำให้บรรพบุรุษคนนี้โกรธมาก
เฉวียนหลัวและมั่วซินไม่กล้าเปิดปากพูดหลังจากถูกตำหนิ ทั้งคู่ก้มหน้าด้วยความอิจฉา กะพริบตาด้วยความไม่เต็มใจ
พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตัวกาลกิณีในสายตาของพวกเขาจะเป็นผู้ชนะยิ่งใหญ่ในการเดินทางสู่แดนเซิ่งยวนโบราณ พวกเขาที่ควรจะเป็นจุดสนใจ กลับหม่นหมองต่อหน้ามู่เฉิน
“มู่เฉินตามข้าไปเพื่อรับมรดก”
ฝูถูเลิกสนใจคนอื่นต่อไป เขามองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะโบกมือ จากนั้นทั้งสองก็หายตัวไป
พร้อมกับการหายไปของพวกเขา เฉวียนหลัวและมั่วซินก็เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้ามืดมน
“จะปล่อยให้มันรับมรดกงั้นหรือ?” มั่วซินถามด้วยเสียงน่ากลัว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เฉวียนหลัวก็พูดขึ้น “ไอ้กาลกิณีคู่ควรกับวิชาเจดีย์แปดองค์เหรอ? ในเมื่อท่านบรรพบุรุษตัดสินใจแล้วก็ปล่อยให้มันได้ไป”
“แต่มันจะนำวิชาเจดีย์แปดองค์ออกจากแดนซิ่งยวนได้หรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ท่านบรรพบุรุษจะตัดสินได้” ขณะที่พูดก็มีแสงเย็นวูบวาบในดวงตา
มั่วซินอึ้งไปก่อนที่จะถาม “เจ้าหมายถึง?”
เฉวียนหลัวตอบอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสเฮยกวางและมั่วหยิงจะมองดูวิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในมือของมู่เฉินเหรอ? เมื่อพวกเขารู้ข้อมูลนี้แล้ว พวกเขาก็จะละทิ้งคำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่เอง”
มั่วซินพยักหน้า หากเฮยกวางและมั่วหยิงเคลื่อนไหวละก็ ไม่ว่ามู่เฉินจะทรงพลังแค่ไหนก็ไม่สามารถหลบหนีจากการตามล่าของสองจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้
“ปล่อยให้มันยินดีไปก่อน”
เมื่อแสงหายไปที่เบื้องหน้ามู่เฉิน
สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไปโดยพลัน ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ภายในเจดีย์ที่มีภาพวาดโบราณบนผนังกระดำกระด่าง
กลิ่นอายโบราณฟุ้งกระจายรอบๆ
“นี่คือ?” มู่เฉินมองไปที่ฝูถูขณะที่สัมผัสได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคย
“นี่คือเจดีย์ของข้า” ฝูถูยิ้มกล่าวด้วยความระลึกถึง “แต่เมื่อข้าสิ้นชีพ เจดีย์ก็สูญเสียความเปล่งประกาย ค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา”
มู่เฉินพยักหน้า แต่แม้ว่าเจดีย์นี้จะเริ่มเสียหาย แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ไม่สามารถอธิบายได้ซึ่งทำให้เขาหวาดกลัว
ฝูถูนั่งลงในเจดีย์พลางยิ้มให้มู่เฉิน “เจ้ารู้ที่มาของวิชาเจดีย์แปดองค์หรือไม่?”
มู่เฉินส่ายหัว เขารู้เพียงว่าวิชาเจดีย์แปดองค์เป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าเท่านั้น ส่วนอย่างอื่นเขาไม่รู้เลย
เมื่อฝูถูเห็นก็ไม่ใส่ใจและเริ่มอธิบาย “วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดนี้เป็นสิ่งที่ตาเฒ่าคนนี้สร้างขึ้นเมื่อเผ่าปีศาจต่างมิติเข้าโจมตีมหาพันภพ”
“ข้าได้สังหารปีศาจนับไม่ถ้วนและปิดผนึกราชันปีศาจหลายสิบคนไว้ในเจดีย์ มีกระทั่งที่เทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน”
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้น การปิดผนึกราชันปีศาจหลายสิบคนนั่นเป็นความสำเร็จที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เพราะนั่นเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว
“เป็นเพราะข้าได้ผนึกเหล่าราชันปีศาจมากเกินไป ทำให้เจดีย์เกิดความไม่มั่นคง ดังนั้นจึงมีความคิดหนึ่งพุ่งเข้ามา ข้าเลยลองชำระให้พวกมันให้เป็นผู้พิทักษ์เจดีย์”
มู่เฉินตกใจอีกครั้ง กลั่นราชันปีศาจให้เป็นผู้พิทักษ์? นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะต้องลบล้างเจตจำนงของราชันปีศาจเหล่านั้นและปรับแต่งให้เป็นหุ่นเชิด พูดโดยทั่วไปหุ่นเชิดจะอ่อนแอลงเมื่อผ่านกระบวนการ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น วิชาเจดีย์แปดองค์ก็จะไม่สามารถเป็นหนึ่งในสามสิบหกกระบวนท่าของวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดได้
“ข้ารู้เรื่องนั้นดี ข้าจึงปรับแต่งพวกมันให้เป็นผู้พิทักษ์และประทับลงในเจดีย์ ด้วยวิธีนี้พวกมันจะได้รับการเชื่อมโยงกับตัวเองผสานกับทักษะลับในการชำระ ข้าจึงสามารถคงความแข็งแกร่งของพวกมันไว้ได้มากที่สุด” ฝูถูกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
มู่เฉินอุทานด้วยความชื่นชม ฝูถูคู่ควรกับการเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญสุดยอดของโลก วิธีการของเขาช่างแยบยลอย่างแท้จริง
“แต่น่าเสียดายที่โอกาสล้มเหลวสูงมาก ในบรรดาราชันปีศาจหลายสิบคนข้าสามารถกลั่นได้สำเร็จเพียงสามคนเท่านั้น ดังนั้นในปีหลังๆ ข้าจึงใช้ประโยชน์จากสงคราม ปิดผนึกพวกมันเพื่อกลั่น ในที่สุดหนึ่งปีก่อนที่ข้าจะตาย ข้าก็สร้างวิชาเจดีย์แปดองค์ได้สำเร็จ” ฝูถูถอนหายใจ
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะปาดเช็ดเหงื่อเย็นเมื่อได้ยิน ประสบความสำเร็จในการกลั่นราชันปีศาจได้สามคนจากหลายสิบคน โอกาสที่จะล้มเหลวมีมากจริงๆ ท้ายที่สุดแล้วเหล่าราชันปีศาจไม่ใช่กะหล่ำปลีที่จะเจอได้ในตลาด การดำรงอยู่ของพวกมันเปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นสามารถจินตนาการได้ว่าฝูถูจะบ้าคลั่งเพียงใด เมื่อเขาตระเวนไปรอบมหาพันภพเพื่อจัดการเหล่าราชันปีศาจ
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมไม่มีใครสามารถฝึกวิชาเจดีย์แปดองค์ได้อีกเลย เนื่องจากทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับมันหายากมาก มิหนำซ้ำยังไม่สามารถใช้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในมหาพันภพเป็นวัตถุดิบแทนได้ เนื่องจากพวกเขาคงไม่ยอมให้มีวิชามารเช่นนี้อยู่แน่หากรู้เรื่องเข้า
มู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อได้ยิน ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อให้เขาได้วิธีการฝึกฝนวิชาเจดีย์แปดองค์แล้วจะมีประโยชน์อะไร?
เมื่อเห็นท่าทางของเขา ฝูถูก็ยิ้ม “คุณค่าของวิชาเจดีย์แปดองค์ไม่ได้อยู่ที่ทักษะการฝึกฝน แต่เป็นตัวมันเอง”
พูดจบฝูถูก็ยกมือขึ้น เจดีย์เสียหายเริ่มสั่นสะเทือน จากนั้นรอยแตกก็ปรากฏขึ้นบนผนังเจดีย์ก่อนที่จะมีเสียงแตกดังขึ้น ลำแสงสีแดงเข้มแปดแฉกพุ่งออกมาจากผนัง
ลำแสงสีแดงเข้มทั้งแปดโคจรรอบตัวฝูถู มู่เฉินเพิ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันคือไข่มุก ซึ่งถูกสลักด้วยลวดลายที่น่ากลัวและดุร้าย
มู่เฉินเพียงแค่มองไปที่ไข่มุกสีแดงเข้มก็รู้สึกว่าเลือดในกายเดือดพล่านพร้อมกับรังสีสังหารพลุ่งพล่านอยู่ในใจ
ฮึ่ม
ทันใดนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ก็คลี่ออกมาจากเจดีย์พุทธะในร่างของมู่เฉิน ขับไล่รังสีสังหาร ทำให้เขาฟื้นคืนสติ
ฮา
เมื่อมู่เฉินได้สติก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไป สายตาจ้องเขม็งที่ไข่มุกสีแดงเข้มทั้งแปดด้วยความกลัว วัตถุนี้น่าสะพรึงจริงๆ หากไข่มุกเหล่านี้ตกอยู่ในมือของคนธรรมดา พวกเขาก็จะกลายเป็นปีศาจสังหารในทันที
“นี่คือแกนกลางของเจดีย์แปดองค์…เจดีย์ไข่มุก” ฝูถูชี้ไปที่ไข่มุกสีแดงเข้มแปดเม็ดพลางยิ้มก่อนที่จะโบกมือ เกลียวสีแดงเข้มระเบิดออกมาจากไข่มุกทั้งแปด ก่อนที่จะรวมตัวกันเป็นร่างมหึมาแปดร่าง
ร่างมหึมาทั้งแปดมีขนาดประมาณร้อยจั้งสีหน้าถมึงทึงน่ากลัว พวกเขาดูราวกับการอวตารของอสูร… ทั้งหมดสาดแรงกดดันที่น่ากลัว
เมื่อมองไปที่ร่างยักษ์ทั้งแปดมู่เฉินก็นึกขึ้นได้พูดว่า “นี่คือเจดีย์แปดองค์หรือ?”
ฝูถูยิ้มพลางพยักหน้า
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” มู่เฉินอุทาน เขาเข้าใจแล้ว แทนที่จะบอกว่าเจดีย์แปดองค์เป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนาน บอกว่ามันเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นสุดยอดซะจะดีกว่า เพราะวิชานี้ไม่จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝน เพียงแต่สืบทอดผ่านไข่มุกแปดเม็ดก็ถือว่าฝึกเจดีย์แปดองค์สำเร็จ!
เจดีย์แปดองค์ทรงคุณค่าไม่ใช่เพราะทักษะการฝึก แต่เป็นเจดีย์ไข่มุกที่กลั่นจากราชันปีศาจจำนวนมาก
“ในตอนนั้นที่ข้าสามารถปรับแต่งเจดีย์ไข่มุกทั้งแปดได้ นับเป็นความโชคดี ข้าว่าต่อให้พยายามลองดูอีกครั้งก็เกรงว่าจะไม่สามารถปรับแต่งได้อีก” ฝูถูถอนหายใจ
มู่เฉินพยักหน้า การพยายามปรับแต่งราชันปีศาจให้เป็นผู้พิทักษ์ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องใช้โชคที่มีอย่างมาก
“แต่วัตถุเหล่านี้เป็นของราชันปีศาจ หากคนธรรมดาแปดเปื้อนด้วยรัศมีชั่วร้าย แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาก็ถูกผลาญหัวใจจนหมดสิ้น” ขณะที่พูดฝูถูก็ดูพึงพอใจเมื่อมองไปที่มู่เฉิน “แต่โชคดีที่เจ้ามีเจดีย์พุทธะ ด้วยการปกป้องนี้รัศมีชั่วร้ายจะไม่สามารถกินหัวใจเจ้าได้”
“เมื่อพลังของเจ้าเติบโตขึ้น เจดีย์แปดองค์นี้ก็จะเติบโตขึ้นเช่นกัน พวกมันไม่สามารถเพาะบ่มพลังได้ ดังนั้นทุกครั้งที่ใช้ในการต่อสู้ก็ต้องกินของเหลวจื้อจุนจำนวนมาก ซึ่งเจ้าจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับมัน” ฝูถูเอ่ยเตือน
“ของเหลวจื้อจุนอีกแล้วหรือ?” มู่เฉินรู้สึกหัวบวมขึ้นทันที เขามีจอมเขมือบอย่างกองทัพมังกรดำอยู่แล้ว ไม่คิดว่าจะมีนักกินเพิ่มอีกคนที่นี่
จินตนาการได้เลยว่าจำนวนที่เจดีย์แปดองค์ต้องกินเข้าไปอย่างน้อยก็หลายสิบล้านหยด
“นอกจากนี้…” ใบหน้าของฝูถูนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “หากพลังของเจ้าไม่เพียงพอ อย่าได้เปิดใช้งานเด็ดขาด เพราะยังไงพวกมันก็เป็นราชันปีศาจ แม้ว่าจะได้รับการชำระแล้ว แต่ความดุร้ายก็มีอยู่ในเลือดและเนื้อ ตราบใดที่เจ้าสูญเสียการควบคุม พวกมันก็จะกัดกินเจ้าแทน!”
มู่เฉินพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม ดูเหมือนว่าวิชาเจดีย์แปดองค์จะเป็นดาบสองคม
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…”
ฝูถูมองไปที่มู่เฉินก็ยกมือขึ้น ไข่มุกสีแดงเข้มแปดเม็ดหมุนอย่างช้าๆ
“เจ้าพร้อมที่จะสืบทอดวิชาเจดีย์แปดองค์หรือยัง?”
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1340 ผู้สืบทอดมรดก
“สำเร็จเหรอเนี่ย?”
มู่เฉินมองไปที่ป้ายสังหารปีศาจที่มีประกายสีทองกะพริบอยู่บนนั้นด้วยความตกใจ เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มาจากคำว่าราชันสังหารปีศาจ
ผลลัพธ์นี้ทำให้เขาประหลาดใจ เนื่องจากนี่เป็นเพียงความคิดที่จะลอง เขาไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่นี่กลับสำเร็จจริงๆ
“ฮ่าๆ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย-ราชันสังหารปีศาจ” ฝูถูมองไปที่ป้ายสีทองในมือของมู่เฉินพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาได้บนใบหน้า
วังมหาพันภพมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ฝูถูจึงรู้เรื่องสถานะราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ อาจกล่าวได้ว่าราชันสังหารปีศาจทุกคนมีสถานะที่สำคัญในมหาพันภพ การดำรงอยู่สามารถสั่นสะเทือนโลกได้ด้วยการแตะเท้าเบาๆ
แต่ตอนนี้มีราชันสังหารปีศาจที่อยู่ในขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“นับจากนี้ไปวังมหาพันภพจะมีราชันที่อ่อนแอที่สุด” ฝูถูเอ่ยแซว
ใบหน้าของมู่เฉินปกคลุมไปด้วยเส้นสีดำ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องผิดปกติ แต่ก็เป็นการล้างสมองของฝูถูที่ทำให้เขากล้าทำเช่นนี้
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเหลือบมองท่านบรรพบุรุษก่อนจะเก็บป้ายสังหารปีศาจ จากนั้นก็หันไปดูแผ่นภาพผนึกปีศาจ ร่างเงาของเสี่ยเจียงจางลงและกำลังจะหายไป
“อ็อก”
เสียงคร่ำครวญดังขึ้น ร่างปีศาจก็หดเล็กลง รัศมีที่ทำให้มู่เฉินหวาดกลัวก็เริ่มหายไป
ขณะนี้จอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงสูญสลายไปแล้วอย่างแท้จริง
แม้ว่าเสี่ยเจียงจะหายไปจากโลกตลอดกาล แต่ภาพเงาก็ยังคงสั่นสะท้านพร้อมเสียงคำรามก้อง “ปล่อยข้าออกไป!”
“นั่นเสียงซือเทียนโยวนี่” คิ้วของมู่เฉินเลิกขึ้น ด้วยการทำลายล้างเสี่ยเจียง ทำให้ซือเทียนโยวกลับมาควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง
“เจ้าอยากทำอะไรกับมัน” ฝูถูมองไปที่มู่เฉินขณะถาม
“กำจัดมันทิ้ง” มู่เฉินพูดแบบไม่ลังเลใดๆ ซือเทียนโยวเป็นสมาชิกเผ่าปีศาจต่างมิติ มิหนำซ้ำยังเป็นคนโหดเหี้ยม ในเมื่อจับไว้ได้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยไป
“งั้นก็กำจัดมันซะ” คำพูดฝูถูดังสะท้อนเบาๆ ราวกับว่าเขากำลังบี้มด ที่จริงซือเทียนโยวก็ไม่ต่างจากมดในสายตาของเขาหรอก
เมื่อได้ยินทั้งสองเสียง ซือเทียนโยวก็เริ่มดิ้นรนรุนแรงในแผนภาพผนึกปีศาจ แต่ไม่ว่าจะพยายามตะเกียกตะกายอย่างไร ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการได้
สุดท้ายซือเทียนโยวก็ทำได้เพียงหยุดลง เสียงดุร้ายดังก้อง “มู่เฉิน ถ้าแกฆ่าข้าวันนี้ เผ่าซือหมัวไม่ปล่อยแกไปแน่!”
มู่เฉินหัวเราะกับคำพูดที่ฟังจนเบื่อ มหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นศัตรูกันชั่วกัปชั่วกัลป์ แม้ว่าจะไม่มีซือเทียนโยว เผ่าปีศาจก็ไม่ยอมปล่อยเขาไปหรอกหากต้องปะหน้ากัน
“ถ้างั้นข้าจะรอที่มหาพันภพและรอดูว่าเผ่าซือหมัวจะทำอะไรกับข้า” มู่เฉินหัวเราะเยาะเสียงเย็นชา
ขณะที่ซือเทียนโยวคิดจะพูดพล่ามต่อ มือของฝูถูก็เช็ดไปทั่วท้องฟ้าคล้ายกับการเช็ดน้ำหมึก ภาพเงาของซือเทียนโยวก็หายไปจากแผนภาพ
ซือเทียนโยวไม่สามารถแม้แต่จะกรีดร้องก่อนที่จะหายไปตลอดกาล
เมื่อซือเทียนโยวหายไป เส้นใยรัศมีสีดำก็พุ่งออกมาจากแผ่นภาพหมุนไปรอบๆ ตัวมู่เฉิน
ภาพนี้ทำให้มู่เฉินตกใจ เขาพยายามใช้คลื่นหลิงเพื่อต่อต้านรัศมีสีดำ ทว่ารัศมีนั่นก็หายไปทันทีที่สัมผัสกับร่างกายของเขา
“ผู้อาวุโสเกิดอะไรขึ้น?” เมื่อเห็นฉากแปลกประหลาดเช่นนี้ มู่เฉินก็ขมวดคิ้วถามไม่ได้
ฝูถูยิ้มสบายๆ “นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของรัศมีศพปีศาจซึ่งไม่เป็นอันตราย แต่เผ่าซือหมัวจะตรวจพบได้ง่าย น่าจะเป็นแผนการสุดท้ายของเจ้าเด็กปีศาจนั่นที่จะให้เผ่าของมันมาแก้แค้นได้น่ะ”
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจในคำพูดของฝูถู แม้ว่าเผ่าซือหมัวจะน่ากลัวไปสักหน่อย แต่เขาก็ไม่กลัว หากเผ่าซือหมัวกล้าโผล่หน้ามาที่มหาพันภพ ไม่รอให้เขาลงมือก็จะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจัดการเอง
เขาไม่เชื่อว่าเผ่าซือหมัวจะสร้างหายนะในมหาพันภพได้
“ท่านเอาออกให้ได้ไหม?” แม้ว่าจะไม่กลัว แต่มู่เฉินก็ยังถามด้วยความระแวง
ฝูถูส่ายหัว “นั่นคือเส้นใยรัศมีศพปีศาจที่เขาสร้างขึ้นจากการเผาผลาญพลังชีวิต ถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการ แต่ตอนนี้ยากเลยทีเดียว”
มู่เฉินยักไหล่ไม่ใส่ใจเรื่องนี้อีก เขากลับมองไปที่แผนภาพผนึกปีศาจด้วยความไม่สบายใจ “งั้นตอนนี้เสี่ยเจียงก็ถูกจัดการแล้วใช่ไหมขอรับ?”
เพราะพลังชีวิตของจอมปีศาจระดับเทียนน่ากลัวเกินไป
ฝูถูพยักหน้า “มันเป็นเพียงเศษวิญญาณ ด้วยความช่วยเหลือจากกระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็เกินพอที่จะลบล้างการดำรงอยู่ที่มีแล้ว”
ขณะที่พูดเขายกมือขึ้น กระบี่เกล็ดจักรพรรดิพุ่งกลับมาหามู่เฉิน
ฝูถูเอ่ยต่อว่า “กระบี่เกล็ดจักรพรรดินั้นเทียบเท่ากับอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งเมื่ออยู่ในจุดสูงสุด น่าเสียดายที่ตอนนี้หมดพลังลงแล้ว มิหนำซ้ำยังผ่านการกัดกร่อนของเวลา แม้ว่าจะฟื้นตัวได้ในภายหลังข้าก็กลัวว่าอาวุธชิ้นนี้จะมีขีดจำกัดอยู่ในชั้นเซียนเท่านั้น”
เสียงฝูถูฟังดูสลดหดหู่ เพราะอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งมีค่าอย่างยิ่งแม้แต่กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แม้แต่กระจกผนึกปีศาจที่เขาครอบครองก็เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยนชั้นเซียนเท่านั้น
มู่เฉินพยักหน้าขณะรับกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ ตัวกระบี่สลัวรางราวกับว่าถูกปกคลุมด้วยสิ่งสกปรกที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้
มู่เฉินรู้ว่านี่เป็นเพราะพลังงานหมดลง เว้นแต่เขาจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน มิเช่นนั้นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็จะไม่สามารถปลดปล่อยแสงโชติช่วงที่เคยมีได้อีก
“มั่นใจเถอะ วันที่ข้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุน คือวันที่เจ้าจะกลับมาในโลกนี้อีกครั้ง” มู่เฉินกล่าวขณะที่ลูบกระบี่
ฮึ่ม
กระบี่เกล็ดจักรพรรดิสั่นเบาๆ ดูเหมือนจะส่งเสียงครางอีกด้วย
เก็บกระบี่เอาไว้แล้วมู่เฉินก็หันกลับมา เผ่าปีศาจกำลังหลบหนีโดยมีจอมยุทธ์มหาพันภพจัดการอยู่รอบแท่นบูชา
แต่ไม่ไกลจากแท่นบูชาก็ยังมีบางคนมองมายังทิศทางนี้อยู่เรื่อย
พวกเขาก็คือกลุ่มของเฉวียนหลัวและมั่วซิน เห็นชัดว่าพวกเขายังคงรู้สึกไม่เต็มใจเกี่ยวกับเรื่องที่มู่เฉินจะได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์
“ผู้อาวุโส ข้าถือว่าทำงานเสร็จเรียบร้อยหรือไม่ขอรับ?”
มู่เฉินรู้ทันความคิดของพวกเขา ดังนั้นจึงถามฝูถูโดยไม่ลังเล เนื่องจากเขาต้องการได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์อย่างรวดเร็ว
ฝูถูพยักหน้า ตอนแรกเขาตั้งใจที่จะใช้มู่เฉินผนึกจอมปีศาจระดับเทียน แต่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะช่วยสังหารจนสิ้นซากแทน ดังนั้นภารกิจนี้จึงสมบูรณ์แบบเกินกว่าอะไรทั้งสิ้น
“แล้วผู้อาวุโสจะให้รางวัลอะไรกับข้า?” มู่เฉินไม่ได้ปกปิดความตั้งใจถามอย่างตรงไปตรงมา
ฝูถูอึ้งไปกับคำพูดของมู่เฉินชั่วครู่ ก่อนที่จะยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้านี่เห็นแก่รางวัลจริงๆ!”
มู่เฉินยิ้มบาง “ข้าอยู่คนเดียว ดังนั้นก็ต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อให้ได้มาทุกอย่าง ไม่เหมือนคนที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ที่สามารถหาทุกสิ่งที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย”
สีหน้าของฝูถูค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินความหมายเบื้องหลังคำพูดนี่ เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับทางเผ่าเลย
ฟิ้ว ฟิ้ว!
เฉวียนหลัวและมั่วซินรีบทะยานขึ้นไปบนแท่นบูชา
“ลูกหลานทักทายท่านบรรพบุรุษ!” ทั้งสองคนโค้งคำนับด้วยมารยาสูงสุด
ฝูถูพยักหน้ารับ
เมื่อกวาดสายตามองไปที่มู่เฉิน เฉวียนหลัวก็ก้มหน้าพูดกับฝูถูว่า “ท่านบรรพบุรุษ พวกข้าแบกความรับผิดชอบยิ่งใหญ่และภายใต้คำสั่งให้นำวิชาเจดีย์แปดองค์กลับไป พวกข้าหวังว่าท่านบรรพบุรุษจะสามารถส่งต่อวิชานี้ให้เพื่อประโยชน์ของเผ่าเรา ในฐานะลูกหลาน เราจะไม่มีวันลืมพระคุณนี้!”
“ใช่ การสูญเสียมรดกของท่านเป็นการสูญเสียที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ข้าเชื่อว่าท่านก็คงต้องการให้มรดกตกทอดในเผ่าเราใช่ไหมขอรับ?” มั่วซินกล่าวด้วยความเคารพ
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมราวกับผืนน้ำ แสงเย็นเยือกวูบไหวในนัยน์ตา ชัดว่าเขาโกรธมากกับไอ้วายร้ายสองคนที่พยายามแย่งชิงของรางวัลของเขา
‘ไอ้พวกนี้วิ่งเร็วเหมือนหมาตอนเผชิญหน้ากับจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียง พอตอนนี้ไม่มีภัยคุกคามพวกมันก็เสนอหน้าจะมาฉกของของข้า!’
ฝูถูมองไปที่ทั้งสองพลางพูดช้าๆ “ก่อนหน้าข้าก็บอกไปแล้วว่าใครก็ตามที่สามารถช่วยข้าจัดการกับเสี่ยเจียงจะได้รับรางวัลจากข้า ซึ่งมู่เฉินทำสำเร็จ”
เฉวียนหลัวและมั่วซินเริ่มเหงื่อตก ทั้งสองรีบพูดว่า “ท่านบรรพบุรุษ มู่เฉินเป็นตัวกาลกิณีไม่ลงรอยกับเผ่า ถ้าเขาได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์ก็คล้ายกับติดปีกให้พยัคฆ์ ข้ากลัวว่าเขาจะใช้วิชาเทพของท่านบรรพบุรุษสังหารหมู่พวกเราด้วยความแค้นที่มีต่อกัน!”
พอได้ยินคำพูดนั่น ฝูถูก็ขมวดคิ้วจมลงในความเงียบ
ได้เห็นผลที่เกิดจากคำพูดของพวกเขา เฉวียนหลัวและมั่วซินก็รู้สึกเบิกบานใจ
ฝูถูหันมามองมู่เฉินโดยไม่แสดงออกใดๆ จากนั้นก็พูดว่า “มู่เฉิน ตาเฒ่าคนนี้มีเรื่องจะถาม”
“เชิญขอรับ”
ฝูถูถอนหายใจ “ถ้ามีวันหนึ่งที่เจ้าและเผ่าฝูถูอยู่ในความขัดแย้ง เจ้าจะทำอย่างไร?”
มู่เฉินเงียบไป คำตอบที่ถูกต้องในการพูดตอนนี้ก็คือเขาจะไม่ขัดแย้งกับตระกูลพระโบราณ ทว่าเขาก็ไม่สามารถพูดได้เพราะด้วยมารดาของเขา เรื่องนี้จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ถ้าฝืนปฏิเสธก็หนีไม่พ้นสายตาที่เฉียบคมของผู้อาวุโสฝูถูหรอก
ในเมื่อเป็นแบบนี้… มู่เฉินเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ฝูถู “ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตามข้าจะทำตามหัวใจของตนเอง”
ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเผ่าฝูถูจะพัฒนาไปสู่อะไร เขารู้ดีว่าตนเองจะไม่ดึงผู้บริสุทธิ์มาพัวพันและทำตามหัวใจจนถึงที่สุดโดยไม่เกรงกลัว
เมื่อเฉวียนหลัวและมั่วซินได้ยินคำตอบ ความสุขก็กระจายบนใบหน้า พวกเขาเงยหน้าก็เห็นสายตาของฝูถูจับจ้องไปที่มู่เฉินนิ่ง
ชายหนุ่มก็มองเข้าไปในดวงตาของฝูถูโดยไม่กลัวอะไร
หลังจากทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน เฉวียนหลัวและมั่วซินก็ตะลึงไปเมื่อเห็นรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าของฝูถู
“ทำตามหัวใจของตนเอง ดีๆ สำหรับคนที่กล้าเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ ตาเฒ่าคนนี้เชื่อในหัวใจของเจ้า!”
ฝูถูยื่นมือออกตบไหล่ของมู่เฉินหนักแน่น
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าคือผู้สืบทอดวิชาเจดีย์แปดองค์!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่นใบหน้าของเฉวียนหลัวและมั่วซินก็ซีดลง
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1339 สั่นสะท้าน
ใจกลางเมืองเซิ่งยวน วังมหาพันภพ
ชายชราชุดเทาที่นั่งหลังโต๊ะรับสมัครลูบไล้ขวดหยกงดงามในมือด้วยความระมัดระวัง ทันใดนั้นมือของเขาก็สั่นเทิ้มเขาตกใจเงยหน้าขึ้น แสงกะพริบอยู่ในดวงตา ขณะที่เขามองไปที่ศิลาสังหารปีศาจที่กลางเมือง
พร้อมกับสายตาจ้องมองไป ศิลาขนาดใหญ่ก็เริ่มสั่นสะท้าน
ทุกคนสังเกตเห็นการสั่นนี้ ดังนั้นทุกสายตาจึงจ้องมองไป นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นความปั่นป่วนมาจากศิลาสังหารปีศาจนี้
“เกิดอะไรขึ้น?”
เสียงงงงวยสะท้อนออกไป ประกายแสงสีทองปรากฏบนศิลา บนยอดดูราวกับดวงอาทิตย์สีทองลุกโชน
แสงสีทองปกคลุมทั้งเมืองเซิ่งยวน มือสังหารที่อยู่ในเมืองสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันเบาบาง
ความแวววาวคงอยู่สิบกว่านาทีก่อนที่จะค่อยๆ สลายลง เมื่อแสงสีทองจางหายทุกคนก็พุ่งความสนใจไปทันที จากนั้นทั้งเมืองก็เงียบกริบ
เพล้ง!
ขวดหยกร่วงจากมือลู่ทง ขณะที่ตัวแข็งทื่อมองไปที่ศิลาสังหารปีศาจด้วยความตะลึงงัน
เคร้ง เพล้ง!
ข้าวของร่วงมือของเหล่ามือสังหารหลายคนในมุมรับสมัคร ใบหน้าทั้งหมดแข็งค้าง
“อะไรกัน… นี่มันอะไรกันเนี่ย!” บางคนถึงกับพูดซ้ำไม่หยุด
ภายใต้ความเงียบ แสงสีทองบนศิลาสังหารปีศาจก็จางลง อักษรสีทองเผยขึ้นใต้ชื่อราชันสังหารปีศาจฉิงเทียน
ราชาสังหารปีศาจ—มู่เฉิน!
โห่!
ในที่สุดทุกคนก็ฟื้นคืนสติ ความปั่นป่วนเกิดขึ้น พวกเขาตกตะลึงกับชื่อราชันสังหารปีศาจคนใหม่
เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองเซิ่งยวนเป็นมือสังหารปีศาจของวังมหาพันภพ พวกเขาจึงรู้ความหมายของคำว่าราชันสังหารปีศาจดี
นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของทุกคน ตราบใดที่พวกเขาคว้าตำแหน่งราชันสังหารปีศาจได้ พวกเขาจะได้อยู่ในตำแหน่งสูงส่งของวังมหาพันภพมีตำแหน่งพิเศษ แม้แต่ขั้วอำนาจอื่นๆ ก็ต้องสุภาพและให้ความเคารพ
อาจกล่าวได้ว่าราช้นสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพเทียบเท่ากับผู้นำของขั้วอำนาจสูงสุด!
มือสังหารปีศาจทุกคนต่างมุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายนี้ แต่ถ้าไม่ใช่ช่วงสงครามการรวบรวมคะแนนสังหารหมื่นคะแนนก็ไกลเกินเอื้อม แม้ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้หากสังหารจอมปีศาจระดับเทียน แต่นั่นก็เป็นเส้นทางที่ไม่มีใครคิดจะทำ
จอมปีศาจระดับเทียนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เทียบเคียงได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในเผ่าปีศาจหรือมหาพันภพสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของพีระมิด
ไม่มีใครกล้าพุ่งชน
นั่นพิสูจน์ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับตำแหน่งราชันสังหารปีศาจ แต่จู่ๆ ก็มีชื่อไม่คุ้นหูได้รับสมญานามว่าราชันสังหารปีศาจ ซึ่งทำให้เหล่ามือสังหารปีศาจรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
“มู่เฉินคนนี้เป็นใคร? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อน”
“ดูเหมือนจะไม่มีชื่อนี้ในหมู่มือสังหารปีศาจขั้นสูงนะ!”
“ไม่มี? เขาเลื่อนตำแหน่งมาจากขั้นกลางเหรอ?”
“แกพูดไร้สาระอะไร? เขาจะทะยานพรวดพราดขนาดนี้ได้ เว้นแต่จะต้องสังหารราชันปีศาจทีเดียวหลายคน”
“…”
ความวุ่นวายกวนตัวในเมืองเซิ่งยวน
เมื่อลู่ทงหายจากอาการตกใจก็จ้องไปที่ชื่อด้วยแสงวูบไหวในดวงตา “มู่เฉิน? หรือว่าเจ้าหนูที่ไอ้แก่ขี้เหล้าพามา”
“แต่…เขาเพิ่งได้รับป้ายไป ยังเป็นแค่มือสังหารขั้นต่ำอยู่เลย… หรือว่า…”
จู่ๆ ลู่ทงก็นึกถึงบางสิ่ง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปรุนแรง วิธีเดียวที่จะกระโจนจากมือสังหารขั้นต่ำเป็นราชันสังหารปีศาจได้คือการฆ่าจอมปีศาจระดับเทียนและได้รับเศษวิญญาณของมัน
แต่ขุมพลังของมู่เฉินอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงการฆ่าจอมปีศาจระดับเทียนเลย ถ้าเขาตอบโต้ สิ่งมีชีวิตแบบนั้นสามารถฆ่าเขาได้ง่ายปอกกล้วยเสียอีก
ดังนั้นมีทางเดียวที่เป็นไปได้
“เขาสามารถลบล้างหนึ่งในสี่เศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนที่ผนึกไว้ในเหวเทพร่วงหรือ?” ชายชรามีสีหน้าครุ่นคิด เพราะนั่นถือเป็นความเป็นไปได้สูงสุด
หากมู่เฉินได้รับความช่วยเหลือจากหนึ่งในสี่บรรพชนก็อาจจะลำบากแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“ถ้าเป็นแบบนั้น เจ้าหนูคนนั้นก็โชคดีไปหน่อยแล้ว!”
ชายชราส่ายหัวพลางยิ้มขมขื่น วิธีนี้เป็นกลโกง ถ้าได้รับการพิสูจน์ความจริงเรียบร้อย วังมหาพันภพก็จะมีราชันสังหารปีศาจที่อ่อนแอที่สุดเป็นประวัติการณ์
‘ดูเหมือนข้าต้องรายงานเรื่องนี้ไปที่สำนักงานใหญ่’
ชายชราพึมพำในใจ เรื่องนี้สำคัญมา แม้แต่เขาก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ ดังนั้นเขาจึงต้องรายงานเรื่องนี้ไปยังสำนักงานใหญ่เพื่อให้สภาตัดสินใจ
เมื่อตัดสินใจได้ ลู่ทงก็มองไปที่ศิลาสังหารปีศาจอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวขณะมองชื่อที่สอง แม้แต่เขาก็เจอเรื่องแปลกประหลาดแบบนี้เป็นครั้งแรก ช่างทำให้มุมมองของเขากว้างขึ้นจริงๆ
ขณะที่ลู่ทงกำลังวางแผนว่าจะจัดการอย่างไร
ในเวลาเดียวกันคนสามคนในสวนแห่งหนึ่งในเมืองก็เงยหน้าขึ้นจากจัตุรัสมองไปที่อักษรสีทองบนศิลาสังหารปีศาจ
“มู่เฉิน? ไอ้ตัวกาลกิณีนั่นเหรอ?” ผู้อาวุโสชุดเงินมองไปที่อักษรสีทองก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว
ผู้อาวุโสชุดดำที่อยู่ข้างๆ ก็ขมวดคิ้ว แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ยังพยักหน้า “ข้าคิดว่าเป็นไอ้เด็กบ้านั่นจริงๆ”
ทั้งสองคนก็คือผู้อาวุโสมั่วหยิงและเฮยกวางตระกูลมั่วแห่งเผ่าฝูถู
“เป็นไปได้ยังไง?!” มั่วหยิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เขารู้ว่าการเป็นราชันสังหารปีศาจในวังมหาพันภพยากเพียงใด
เฮยกวางลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะตอบ “ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมีเศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนที่ถูกผนึกอยู่ในเหวเทพร่วง”
ใบหน้าของมั่วหยิงเปลี่ยนไป ‘ถ้าเป็นเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินได้รับมรดกไปรึ? เพราะมีเพียงหนึ่งในสี่บรรพบุรุษเท่านั้นที่มีเศษวิญญาณที่ปิดผนึกอยู่’
และพวกเขาเดาว่ามีความเป็นไปได้สูงที่มู่เฉินจะพบมรดกของผู้อาวุโสฝูถู!
หรือว่าวิชาเจดีย์แปดองค์จะตกอยู่ในมือของมู่เฉิน?
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ สีหน้าของทั้งสองก็น่าเกลียดลง
ที่ด้านข้างสายตาของชิงเซวียนก็วูบไหว ขณะที่มองไปที่ศิลาสังหารปีศาจด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน
“กลายเป็นราชันสังหารปีศาจเชียวเหรอ” นางพึมพำ ถ้ามู่เฉินมีตำแหน่งเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ งานนี้สถานะของเขาจะเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์
“หึ อย่าฝัน วังมหาพันภพไม่ยอมรับวิธีการนี้อย่างแน่นอน นอกจากนี้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในฐานะราชันสังหารปีศาจรึ? วังมหาพันภพจะไม่อับอายขายหน้าถ้าเรื่องนี้กระจายออกไปเรอะ?” เฮยกวางเยาะเย้ย
ชิงเซวียนเหลือบมองอีกฝ่าย ก่อนที่จะตอบเสียงแผ่วเบา “คำพูดของเจ้าช่างไร้น้ำหนัก เฮยกวาง วังมหาพันภพจะเป็นผู้ตัดสินเรื่องนี้เอง”
เฮยกวางอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดขึ้น“ ไม่ว่ายังไงเราจะไม่ปล่อยให้วิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในมือไอ้เด็กกาลกิณีได้ มิฉะนั้นเผ่าฝูถูจะกลายเป็นตัวตลก!”
คำพูดของเขาอัดแน่นด้วยไอเย็นชา
“เฮยกวง เจ้าคิดจะทำอะไร?! หากเจ้าเคลื่อนไหวก็ถือว่าขัดขืนคำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่!” ชิงเซวียนรับรู้ถึงความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาได้ ดังนั้นนางจึงตะคอกด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“เจ้าคิดจะบีบน้องสาวข้าให้แตกหักกับเผ่ารึ?”
มั่วหยิงเยาะเย้ย “ถ้าถึงขั้นนั้นจริงๆ พวกข้าก็ได้แต่วางคำพูดของผู้อาวุโสใหญ่ลง ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสใหญ่จะสนับสนุนในเรื่องนี้”
“ผู้อาวุโสใหญ่ผ่อนปรนกับชิงเหยี่ยนจิ้งมากเกินไป ปล่อยให้นางล้ำเส้นถึงเพียงนี้!”
“ข้าจะไม่ยอมให้ไอ้เด็กกาลกิณีนั่นกระโดดอยู่ใต้ตาหรอก!”
ชิงเซวียนโกรธจนใบหน้าซีดไปหมด คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย ทันใดนั้นมิติก็แตกสลาย พุ่งปราบปรามเฮยกวางและมั่วหยิง
“ชิงเซวียน เจ้าคิดจะทำอะไร?!”
ทั้งสองถอยกลับออกไปด้วยใบหน้ามืดครึ้ม ก่อนที่ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังจะระเบิดออกจากร่างกายต่อต้านแรงกดดันคลื่นหลิงชิงเซวียน
“ชิงเซวียน เจ้าจะช่วยไอ้กาลกิณีเรอะ?! หากเป็นเช่นนั้นข้าคิดว่าตระกูลชิงจะต้องถูกลงโทษทั้งหมด!” มั่วหยิงกล่าวอย่างเย็นชา
ชิงเซวียนกัดฟัน หน้าอกขยับอย่างเบาๆ ชั่วครู่นางก็ค่อยๆ ดึงคลื่นหลิงกลับมาพลางมองไปที่ทั้งสองคนอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าสองคนยืนกรานที่จะทำก็รอรับผลกรรมที่ตามมาด้วย!
“ดูสิว่าผู้อาวุโสใหญ่สามารถปกป้องคนโง่สองคนได้หรือไม่ เมื่อน้องสาวของข้าคลั่งขึ้นมา!”
เมื่อพูดจบนางก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
ดวงตาของเฮยกวางและมั่วหยิงกะพริบวูบไหว แต่สุดท้ายทั้งสองก็เค้นเสียงเย็นชา พวกเขาไม่เชื่อว่าเผ่าฝูถูจะไม่สามารถทำอะไรนางได้ แม้ว่านางจะทรงพลังก็ตาม!
ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้วิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในมือของมู่เฉินได้
คราวนี้พวกเขาต้องจับไอ้เด็กบ้านั่นให้ได้ละนำกลับไปเพื่อรับการพิพากษา!
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1338 ราชันสังหารปีศาจคนใหม่
“ชิ้นส่วนของกระจกผนึกปีศาจ?!”
เมื่อแผ่นทองแดงปรากฏขึ้น ฝูถูก็อุทานด้วยความดีใจปะปนความประหลาดใจ
มู่เฉินคลี่ยิ้ม เขาเดาได้ถูก แผ่นทองแดงเก่าเขรอะนี้ก็คือชิ้นส่วนของกระจกผนึกปีศาจ
นั่นหมายความว่าความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้เป็นของผู้อาวุโสฝูถู เนื่องจากมีเพียงรัศมีดังกล่าวเท่านั้นที่ทำให้เจดีย์ในร่างของเขาเกิดความกระวนกระวาย
“ฮ่าๆ ดูเหมือนเจ้าชะตาต้องกันกับข้าคนนี้จริงๆ” ฝูถูถอนหายใจ ถ้ามู่เฉินไม่ได้ชิ้นส่วนของกระจกผนึกปีศาจ เขาอาจจะไม่สามารถจัดการกับวิญญาณของจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงได้
“ผู้อาวุโสตอนนี้สามารถปราบปรามวิญญาณของเสี่ยเจียงได้หรือยังขอรับ?” มู่เฉินถาม
“ได้!” ฝูถูเอ่ยโดยไม่ลังเลใดๆ แม้ว่ากระจกผนึกปีศาจจะได้รับความเสียหาย แต่เสี่ยเจียงก็มีพลังไม่ถึงหนึ่งส่วน
พร้อมกับเสียงของฝูถู แผ่นทองแดงก็พุ่งออกไปรวมเข้ากับกระจกผนึกปีศาจ ส่วนที่เสียหายค่อยๆ ฟื้นคืนขึ้นมาอย่างช้าๆ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เมื่อกระจกปิดผนึกปีศาจได้รับการบูรณะ รัศมีก็กำจายออกมาก่อนที่จะเทลงบนแผนภาพขนาดใหญ่ที่เบื้องล่าง
ในเวลาเดียวกันโซ่ก็พุ่งออกจากแผนภาพพันธนาการแขนขาของเสี่ยเจียง
โซ่เหล่านั้นกะพริบด้วยอักขระโบราณ ดูเหมือนว่าจะมีผลเป็นพิเศษในการระงับรัศมีปีศาจ ขณะที่ปกคลุมเสี่ยเจียงไว้ รัศมีหนาแน่นรอบตัวเขาก็เบาบางลง
ซ่า ซ่า!
ใบหน้าของเสี่ยเจียงเปลี่ยนไปขณะที่พยายามดิ้นรน แต่คราวนี้โซ่ไม่ขยับเขยื้อนสักกระผีก…
“แผนภาพผนึกปีศาจ—ประทับ!”
พร้อมกับเสียงของฝูถู โซ่ก็หดกลับ เสี่ยเจียงคำรามด้วยความไม่เต็มใจ เขาถูกดึงเข้าไปในแผนภาพอย่างช้าๆ
แผนภาพผนึกปีศาจลอยคว้างอยู่บนท้องฟ้าขยับไหวอย่างต่อเนื่อง เงาสีดำน่ากลัวที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีปีศาจปรากฏอยู่
“ไอ้เวร!”
เสียงคำรามของเสี่ยเจียงสะท้อนออกจากแผนภาพ เขาไม่คิดว่าอิสรภาพของตนจะสั้นกุดขนาดนี้ ก่อนที่เขาจะถูกผนึกไว้ในแผนภาพผนึกปีศาจโดยฝูถูอีกครั้ง
“อย่านิ่งนอนใจไปเลย ตอนนี้ชั้นแรกของเจดีย์สี่เทวะถูกทำลายไปแล้ว ตราบใดที่อีกสองชั้นถูกทำลาย ข้าก็จะเป็นอิสระได้อีกครั้ง!”
มองไปที่เสี่ยเจียงที่ถูกผนึกไว้ในแผนภาพ แต่ยังคงดิ้นรน มู่เฉินก็ถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโส เราฆ่ามันไม่ได้หรือ?”
ตอนนี้ฝูถูเหมือนแค่ปิดผนึกร่างราชาปีศาจอีกครั้งเท่านั้น แต่การปิดผนึกเช่นนี้มีอันตรายหากมีอะไรเกิดขึ้นมันก็จะเป็นอิสระ
ฝูถูถึงกับถอนหายใจเมื่อได้ยินคำถาม “พลังชีวิตของเผ่าปีศาจเหนียวแน่นมาก นอกจากนี้จิตวิญญาณปีศาจก็ได้รับการขัดเกลา นี่ไม่ใช่สิ่งที่มหาพันภพของเราจะเทียบได้ หากเราต้องการทำลายจิตวิญญาณของพวกมันก็ต้องพึ่งพาพลังที่แข็งแกร่ง ดังนั้นส่วนใหญ่จึงเลือกผนึกและทำลายจิตวิญญาณของพวกมันผ่านการกัดกร่อนของกาลเวลา”
เพียงแค่นี้มู่เฉินก็ตระหนักได้ว่าทำไมเขาถึงพบกับราชันปีศาจจำนวนมากที่ถูกผนึกไว้ แม้ว่าจะยุ่งยากน้อยกว่า แต่ก็ไม่ปลอดภัยเลย
“แต่ตอนนี้จิตวิญญาณของเสี่ยเจียงอ่อนแอลงหลังจากถูกปิดผนึกเป็นเวลานาน พูดได้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุดของมัน แต่น่าเสียดายตาแก่คนนี้พลังก็อ่อนล้านัก ทำให้ฆ่ามันไม่ได้” ฝูถูเอ่ยด้วยความเสียดายเบาบาง
“กระทั่งได้รับความช่วยเหลือจากกระจกผนึกปีศาจเหรอขอรับ?” มู่เฉินมองไปที่กระจกบนท้องฟ้า เขารู้สึกได้ว่านี่เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม
ฝูถูส่ายหัว “กระจกผนึกปีศาจก็อ่อนกำลังลงเช่นกัน หลังจากที่มันช่วยข้าผนึกราชันปีศาจตัวนี้เป็นเวลานาน”
หลังจากพูดจบเขาก็หยุดชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ“ แต่ถ้ามีความช่วยเหลือจากอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซียน ก็มากเกินพอที่ข้าจะฆ่าจอมปีศาจระดับเทียนตัวนี้”
“อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซียน?” มู่เฉินอึ้งไปนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินถึงความแตกต่างของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม
“อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซียนเป็นอาวุธที่เป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ไม่แปลกเลยที่เจ้าจะไม่รู้ ก็คล้ายกับระดับเทียนจื้อจุนที่แบ่งออกเป็นขั้นหลิง-เซียน-เซิ่ง นั่นแหละ” ฝูถูยิ้ม
มู่เฉินพยักหน้าก่อนที่จะเข้าสู่ภวังค์ความคิด ถ้าเป็นอาวุธมหสวรรค์เขาก็มีอยู่ชิ้นหนึ่ง ทว่าพลังมันหมดลงไปอย่างมากแล้ว
แต่ตอนนี้เขาทำได้แค่ลองดู
ดังนั้นเขาจึงกำมือขึ้น แสงควบแน่นอยู่ภายในก่อนที่จะปรากฏภาพกระบี่แก้วยาวโบราณที่วูบไหวด้วยเกลียวแสงมันวาวซึ่งเปล่งพลังพิเศษออกมา
“หืม?”
เมื่อกระบี่ปรากฏขึ้น ฝูถูก็อุทานก่อนที่จะส่งเสียงร้องตกใจ “นี่คือ…กระบี่เกล็ดจักรพรรดิของจักรพรรดิฟ้า?!”
“ผู้อาวุโสรู้จักสิ่งนี้ด้วยเหรอ?” มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ
“ทำไมจะไม่ล่ะ? ข้ารู้จักกับจักรพรรดิฟ้า ไม่คิดเลยว่ากระบี่ของเขาจะอยู่ในมือของเจ้า” ฝูถูเอ่ยด้วยความตกใจ
“ข้าโชคดีได้รับมรดกของอาจารย์” มู่เฉินอธิบาย
“ฮ่าๆ สายตาของสหายคนนั้นไม่เลวจริงๆ ทายาทเผ่าฝูถูของข้าย่อมคู่ควรกับมรดกนั่น” ฝูถูยิ้มด้วยความภาคภูมิใจในน้ำเสียง
“ผู้อาวุโส แต่มีพลังเหลืออยู่ไม่มากนักในกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ นี่จะมีประโยชน์หรือไม่?”
“มีมากเชียวแหละ!” ฝูถูยิ้ม “กระบี่เกล็ดจักรพรรดิเผด็จการแท้จริง มิหนำซ้ำยังมีไว้สำหรับสังหารปีศาจ แม้ว่าพลังงานภายในจะใกล้หมด แต่ข้าก็สามารถปลดปล่อยพลังของมันออกมาได้ เกินพอที่จะจัดการกับจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงแล้ว”
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจมากเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น
ฝูถูควบคุมร่างกายมู่เฉินจับกระบี่เกล็ดจักรพรรดิไว้พลางยิ้มอ่อนให้เสี่ยเจียง “ข้าจะดูสิว่าแกจะทนได้นานแค่ไหน”
“ฮ่าๆ ไอ้แพะผีแก่ แกทำอะไรกับข้าไม่ได้ด้วยสภาพปัจจุบันนี้หรอก!” เสี่ยเจียงยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า ก่อนที่สีหน้าจะแข็งค้างไป เมื่อความมันวาวของกระบี่พุ่งออกมาจากมือของฝูถู
เนื่องจากความได้กลิ่นอายอันตรายถึงชีวิตจากบนกระบี่นั้น
ความรู้สึกอันตรายนั้นรุนแรงมาก วัตถุนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากระจกผนึกปีศาจเลย!
“หลังจากติดแหง็กกับแกมานับหมื่นปี ข้าขอพูดหน่อยว่าดีใจแค่ไหนที่จะได้ฆ่าแก” ฝูถูยิ้มอ่อนก่อนที่จะสะบัดมือ กระบี่เกล็ดจักรพรรดิทะยานออกไป
แสงกระบี่ไร้ขอบเขตสร้างความหายนะระหว่างสวรรค์และโลก
กระบี่เกล็ดจักรพรรดิเปลี่ยนเป็นแสงกระบี่เข้มข้น พุ่งผ่านมิติด้วยความเร็วเหนือจินตนาการ
โฮก!
รู้สึกถึงความตายพล่านเข้ามาในแผนภาพ เสี่ยเจียงก็คำรามบ้าคลั่ง ขณะที่พยายามดิ้นรนพร้อมกับรัศมีปีศาจพวยพุ่งให้หลุดพ้นออกมาให้ได้
ฮึ่ม ฮึ่ม
ทว่ากระจกผนึกปีศาจก็ปลดปล่อยแสงนับไม่ถ้วนออกมา ห่อหุ้มแผนภาพไว้ทำให้แข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าเสี่ยเจียงจะพยายามดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่สามารถหลุดออกมาได้
ฟิ้ว
จังหวะนั้นมิติก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แสงกระบี่บินว่อน
นี่เป็นลำแสงที่ไม่ธรรมดา ทำให้เสียงคำรามของเสี่ยเจียงปะปนไปด้วยความหวาดกลัว
“หายไปซะ!”
เสียงของฝูถูเต็มไปด้วยความเย็นชา ขณะที่กระบี่พุ่งออกแทงทะลุร่างที่กำลังดิ้นรนในแผนภาพ
อ๊าก!
เสียงคำรามเสียดแก้วหูดังก้อง ควันปีศาจรุนแรงก็พวยพุ่งออกมา เมื่อถูกผนึกโดยแผ่นภาพผนึกปีศาจ ร่างของเสี่ยเจียงก็ราวกับลูกโปร่งที่ถูกเจาะ เริ่มฟีบลงเรื่อยๆ
รัศมีของเขาก็อ่อนลงอย่างรวดเร็ว
เสียงคำรามสะท้อนไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก ทำให้จอมยุทธ์เผ่าปีศาจใบหน้าซีดเซียว ทุกคนหมุนตัวหนีไปโดยไม่สนใจอะไรอีก
จอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงกำลังจะถูกฆ่า พวกเขาหมดโอกาสแล้ว
ตอนนี้เองจอมยุทธ์มหาพันภพก็ออกไล่ล่าศัตรู ขัดขวางทางหนีทีไล่ของจอมยุทธ์เผ่าปีศาจอย่างไร้ปรานี
เมื่อเห็นรัศมีปีศาจของเสี่ยเจียงหายไปอย่างรวดเร็วบนแท่นบูชา หัวใจของมู่เฉินก็สั่นสะท้าน “ผู้อาวุโส จัดการเสี่ยเจียงเรียบร้อยแล้วเหรอ?”
“ใช่ ในที่สุดก็กำจัดมันได้” ฝูถูรู้สึกโล่งใจอย่างมาก
หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่ มู่เฉินก็หยิบป้ายสังหารปีศาจออกมา “ผู้อาวุโส ข้าขอเศษเสี้ยววิญญาณของเขาได้ไหม?”
ตามกฎของมหาพันภพ เขาจะสามารถได้รับคะแนนสังหารปีศาจและเพิ่มอันดับโดยการฆ่าสมาชิกเผ่าปีศาจ
นอกจากนี้การสังหารจอมปีศาจระดับเทียนจะทำให้เขาได้รับหนึ่งหมื่นคะแนน เลื่อนอันดับเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ!
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนฆ่าเอง แต่ก็มีส่วนร่วมนิดหน่อย ดังนั้นเขาอยากรู้จะได้รับคะแนนสักนิดหรือไม่
“หืม? ป้ายสังหารปีศาจr?”
เมื่อเห็นป้ายที่มู่เฉินนำออกมาฝูถูก็อึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะแบบกลั้นไม่อยู่ “เจ้าเด็กน้อย ความคิดของเจ้าใหญ่โตทีเดียว ฮ่าๆ แต่ก็ไม่เป็นไร มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในฐานะราชันสังหารปีศาจ วะฮะฮ่า! น่าสนใจ ไม่รู้ว่าใบหน้าของผู้คนในวังมหาพันภพจะเป็นอย่างไรหลังจากรู้เรื่องนี้!”
ขณะที่พูดเขาก็โบกมือ หมอกสีดำลอยออกจากแผนภาพพล่านเข้าไปในป้ายสังหารปีศาจ
ป้ายวูบไหวขณะที่หมอกสีดำถูกดูดเข้าไป
มู่เฉินและฝูถูจ้องไปที่ป้าย
ภายใต้สายตาป้ายก็นิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะสั่นเทิ้ม แสงสีทองพุ่งพรวดออกมาไหลเวียนอยู่เหนือป้าย
ที่ขอบล่างของป้ายตำแหน่งมือสังหารปีศาจขั้นต่ำหายไป แทนที่ด้วยอักษรสีทองแพรวพราวในอากาศ
“ราชันสังหารปีศาจ!”
มู่เฉินจ้องมองไปที่อักษรทองคำ ปากก็อ้าค้าง
การทดลองของเขาสำเร็จจริงหรือ?!
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1337 ฝูถูปะทะเสี่ยเจียง
“ข้าน้อยยินดีที่จะช่วยเหลือสุดกำลังขอรับ!”
เสียงของมู่เฉินดังก้องบนแท่นบูชา เขาไม่ได้ลังเลเกี่ยวกับคำขอของผู้อาวุโส เพราะเป้าหมายในการเดินทางของเขามายังแดนเซิ่งยวนก็คือการรับมรดกวิชาเจดีย์แปดองค์
ผู้อาวุโสฝูถูพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
สำหรับเฉวียนหลัวและมั่วซินใบหน้าเปลี่ยนเป็นดำมืดยิ่งกว่าก้นกระทะ พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าผู้อาวุโสฝูถูจะเลือกมู่เฉิน แม้จะทราบเกี่ยวกับตัวตนของอีกฝ่ายว่าเป็นตัวกาลกิณีก็ตาม
นั่นหมายความว่าวิชาเจดีย์แปดองค์จะตกอยู่ในมือของมู่เฉินงั้นเรอะ?
เพียงแค่ความคิดนี้ก็ทำให้ความอิจฉาแล่นพล่านขึ้นในดวงตาเฉวียนหลัวและมั่วซิน
“สมน้ำหน้า!”
ชิงหลิงอดเอ่ยล้อเลียนกับฉากนี้ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะมู่เฉินลงมือก่อนหน้า แท่นบูชาคงจะถูกทำลายโดยซือเทียนโยวไปแล้ว ส่วนพวกเขาสองคนก็ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับซือเทียนโยว แต่เมื่อเห็นว่าสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ก็รีบเสนอหน้าทันที มิหนำซ้ำยังพยายามใส่ร้ายทำมู่เฉินเสื่อมเสียด้วยซ้ำ!
วิธีการของพวกเขาน่าทุเรศจริงๆ
แต่โชคดีที่ผู้อาวุโสฝูถูเป็นคนเปิดกว้าง ไม่ดื้อรั้นเหมือนพวกเฒ่าเต่าล้านปีในเผ่า
ชิงซวงก็รู้สึกโล่งใจตามกัน ตอนนี้นางไม่มีความคิดที่จะได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์อยู่แล้ว ดังนั้นตัวนางจึงสนับสนุนมู่เฉินเต็มกำลัง
“หวังว่ามู่เฉินและท่านบรรพบุรุษจะสามารถเอาชนะเศษวิญญาณจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจี่ยงได้ ไม่อย่างนั้น…” ชิงซวงดูกังวลใจไป ตอนนี้มีหนึ่งชั้นที่ถูกทำลายไปโดยเผ่าปีศาจแล้ว หากพวกเขาล้มเหลวลงอีก ก็เท่ากับครึ่งหนึ่งของภารกิจเหลวไม่เป็นท่า
ยิ่งหากเศษวิญญาณจอมปีศาจเทียนทั้งสี่สามารถหลุดรอดไปได้ละก็… ผลที่ตามมาไม่น่าดูเลย…
ขณะที่ชิงซวงกำลังกังวล ปณิธานของผู้อาวุโสฝูถูก็หลั่งไหลเข้าไปที่กระหม่อมของมู่เฉิน ทันใดนั้นดวงตาของมู่เฉินก็เปล่งประกาย ความแวววาวดูพร่างพราวราวกับดวงดาว
ปณิธานของผู้อาวุโสฝูถูเข้ามาในร่าง มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงพลังน่ากลัวคำรามอยู่ภายใน ทรงพลังมากจนทำให้ร่างกายของเขาแตกร้าวเงียบๆ
“ทรงพลังอะไรเพียงนี้”
สัมผัสได้ถึงพลังยิ่งใหญ่ มู่เฉินก็สูดลมหายใจสุดปอด เมื่อเทียบกับสิ่งนี้พลังของเขาก่อนหน้าช่างน่าสมเพชราวกับหิ่งห้อยคิดเทียบเคียงจันทราดวงใหญ่
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมึนงง เนื่องจากนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปณิธานแรงกล้า แต่ก็ทรงพลังมากยิ่งนัก ไม่รู้จริงๆ ว่าจะทรงพลังเพียงใดถ้าผู้อาวุโสฝูถูอยู่ในสภาพพร้อมรบสูงสุด
จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทรงพลังมากพอกับชื่อเสียงแท้จริง
“ต่อไปข้าจะยืมร่างเจ้าเพื่อสู้กับเสี่ยเจียง” เสียงผู้อาวุโสฝูถูสะท้อนภายในใจ มู่เฉินก็พยักหน้ารับทราบ ด้วยพลังที่มีมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถควบคุมได้ด้วยความสามารถในปัจจุบัน
นี่คล้ายกับการให้ดาบใหญ่กับเด็กทารก เขาไม่สามารถปล่อยพลังที่แท้จริงออกมา!
“ไอ้แก่ฝูถู ข้าจะไม่ยอมให้แกมาปราบได้อีกแล้ว!”
เสี่ยเจียงคำรามขณะที่รัศมีปีศาจพวยพุ่งขึ้นมารวมตัวกันอย่างเมามันที่เบื้องหน้าเขา ไม่กี่ลมหายใจก็ถักทอกลายเป็นลูกทรงกลมสีดำที่มีขนาดเท่าหัวคน
ลูกทรงกลมนั่นราวกับหลุมดำ แม้ว่าจะดูธรรมดา แต่มิติโดยรอบก็พังทลายลงเมื่อมันปรากฏ เหมือนกับไม่สามารถแบกรับสิ่งนี้ไว้ได้
นี่คือรัศมีปีศาจที่ควบแน่นเข้มข้นมาก
มองไปที่ลูกทรงกลม มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหดดวงตาลง เขามีลางสังหรณ์ว่าพลังของมันสามารถทำลายการป้องกันที่แข็งแกร่งของเขาได้ แม้แต่ดอกบัวอมตะก็ไม่สามารถต้านทานมันได้
“ตู้ม!”
ลูกกลมปีศาจพุ่งออกมา มิติพังทลายลงพร้อมกับเศษชิ้นส่วนที่แหลมคมถูกกลืนกินโดยรัศมีปีศาจ ทำให้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น
เพียงแค่การเคลื่อนไหวธรรมดาก็สามารถทำลายล้างได้เป็นวงกว้าง
เผชิญหน้ากับลูกทรงกลมนี้ มู่เฉินก็ประสานมือด้วยกัน เจดีย์ค่อยๆ ปรากฏขึ้น นี่เป็นเจดีย์ผลึกใสที่สถิตอยู่ในร่างกายของมู่เฉิน
อย่างไรก็ตามนี่อยู่ในระดับที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากตอนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมู่เฉินตัวจริง
เจดีย์นี้เจิดจรัสเมื่อปรากฏขึ้นก็คล้ายกับดวงอาทิตย์อัญมณี แม้แต่แสงในพื้นที่นี้ก็ถูกระงับไว้
เจดีย์สั่นสะท้านในมือของมู่เฉิน ก่อนที่จะมีผลึกแสงที่บรรจุด้วยพลังงานลึกซึ้งน่าเหลือเชื่อพุ่งออกมา
ผลึกแสงปะทะกับลูกทรงกลมปีศาจที่เข้ามา
การระเบิดรุนแรงที่คาดคิดไว้ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะเมื่อผลึกแสงสัมผัสกับลูกทรงกลมปีศาจก็กลายเป็นกรงขังมันเอาไว้ จากนั้นลูกทรงกลมก็จางลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะแตกออก
“ความสามารถในการผนึกทรงพลังจริงๆ!”
หัวใจของมู่เฉินสั่นไหวกับฉากนี้ พลังการปิดผนึกในการควบคุมของผู้อาวุโสฝูถูอยู่ในระดับที่สูงจนน่าเหลือเชื่อ
เมื่อเห็นว่าพ่ายแพ้อีกครั้งเสี่ยเจียงก็กู่ร้องคำราม ขนสีดำงอกขึ้นบนร่างของซือเทียนโยว จากนั้นก็พุ่งออกมาโดยทิ้งภาพมายาไว้เบื้องหลัง เล็บยาวงอกออกมาจากปลายนิ้วแล่นแปลบปลาบด้วยแสงสีดำ ความเฉียบคมเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่กล้าเผชิญหน้าตรงๆ
เสี่ยเจียงเชี่ยวชาญการปะทะด้วยพลังกายภาพ ดังนั้นจึงพยายามเข้าใกล้ร่างมู่เฉินเพื่อปราบปรามฝูถูด้วยความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดตัวที่ทรงพลัง
ทว่าฝูถูไม่ให้โอกาสอีกฝ่าย ร่างถอยกลับไป เจดีย์พุทธะขยายใหญ่โตขึ้นนับไม่ถ้วน ระงับไปทางเสี่ยเจียง
เคร้ง เคร้ง!
เสี่ยเจียงหลบไม่ทันได้แต่เผชิญหน้าพร้อมกับหมัด หมัดตรงปะทะกับเจดีย์ เสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นทันที แต่ทุกครั้งที่ผลักเจดีย์ไปข้างหลัง ตัวเขาก็จะได้รับการโต้กลับครั้งใหญ่และถูกผลักกลับไป
เพียงสิบกว่าลมหายใจสั้นๆ เสี่ยเจียงก็เริ่มหมดความอดทน เขาคำรามหักแขนข้างหนึ่งออกพร้อมกับเปลวไฟสีดำที่พ่นออกมาจากปากห่อหุ้มแขนทั้งหมดไว้
“หอกสางปีศาจ!”
จากนั้นเขายื่นมือออกไปจับหอกกระดูกสีดำที่ส่งกลิ่นคาวเลือดคละคุล้งออกมา
เคร้ง!
มือจับหอกกระดูกสีดำไว้มั่น เสี่ยเจียงก็ยกฟาดไปในทิศทางของเจดีย์ คราวนี้เจดีย์กระเด็นกลับไป เกิดรอยลึกทิ้งไว้บนตัวเจดีย์
“หึ”
ฝูถูตะคอกเสียงเย็นชากับภาพเบื้องหน้า ฝ่ามือวาดตราประทับเร็วรี่ ทั้งแท่นบูชาก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ขณะที่เกิดการโยกไหว รอยแตกก็เริ่มปรากฏ ลำแสงหลายสายพุ่งออกมาจากนั้นก็รวมตัวกันเป็นกระจกลอยคว้างอยู่บนท้องฟ้า
กระจกสัมฤทธิ์ดูเก่าแก่ยิ่งนัก มีร่องรอยจุดด่างดำทิ้งไว้ ทำให้คนอื่นรู้สึกลึกซึ้งและไม่อาจหยั่งรู้ได้
ตำหนิเพียงอย่างเดียวก็คือขอบกระจกที่หายไป ทำให้ไม่สมบูรณ์แบบอีกต่อไป
ฮึ่ม!
เมื่อกระจกสัมฤทธิ์ปรากฏขึ้นเจดีย์ก็สั่นสะเทือนรุนแรง แสงศักดิ์สิทธิ์ไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมา ทว่ามันไม่ได้พุ่งไปที่เสี่ยเจียงแต่พุ่งไปหากระจกแทน
ฟิ้ว!
เมื่อแสงศักดิ์สิทธิ์แทรกเข้าไปในกระจก ตัวกระจกก็สั่นสะเทือน จากนั้นแสงหลายแสนจั้งก็กวาดออก ขณะที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณนับไม่ถ้วน
“แผนภาพผนึกปีศาจ!”
ขณะที่ฝูถูตะโกนขึ้น แผนภาพขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ ทะลุผ่านมิติ ก่อนที่จะปรากฏเหนือร่างเสี่ยเจียงล้อมรอบตัวเอาไว้
ฟิ้ว ฟิ้ว!
แรงดูดที่น่ากลัวพวยพุ่งออกมาจากแผนภาพดึงร่างเสี่ยเจียงเข้ามาอย่างช้าๆ
เสี่ยเจียงเหมือนจะกลัวแผนภาพนี้มาก ดังนั้นจึงระเบิดรัศมีปีศาจรุนแรงเพื่อต่อต้านแรงดูด ภายใต้ความพยายามนี้ก็ค่อยๆ ทำให้ร่างของเขาทรงตัวไว้ได้
“ฮ่าๆ ไอ้แก่ฝูถู กระจกผนึกปีศาจถูกทำลายโดยข้าคนนี้ไปแล้วเมื่อในอดีต ทำให้ไม่สมบูรณ์อีกต่อไป แกยังอยากดูดข้าเข้าไปเพื่อปราบปรามรึ?” เสี่ยเจียงหัวเราะร่วน
เมื่อเวลาผ่านไปพลังจากแผนภาพผนึกปีศาจก็อ่อนกำลังลง
ฝูถูถอนหายใจ “น่าเสียดาย”
หากกระจกผนึกปีศาจสมบูรณ์แบบละก็ คงไม่ยากสำหรับเขาที่จะปราบปรามเสี่ยเจียงในวันนี้
จิตใต้สำนึกของมู่เฉินมองไปที่กระจกผนึกปีศาจบนท้องฟ้า เขาจ้องมองชิ้นส่วนที่หายไปด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน แค่คิดลำแสงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อปรากฏที่เบื้องหน้า
แสงจางหายปรากฏให้เห็นแผ่นทองแดง
นี่เป็นแผ่นทองแดงที่เขาซื้อจากตลาดมาก่อนหน้า
“ผู้อาวุโส ก่อนหน้านี้ข้าได้สิ่งนี้มาโดยบังเอิญ” เสียงของมู่เฉินดังขึ้น
ก่อนที่จะพูดจบประโยค เขาก็สัมผัสได้ว่าฝูถูถึงกับมีอาการผันผวน ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงตื่นเต้นดังขึ้นในใจ
“นี่…คือชิ้นส่วนของกระจกผนึกปีศาจ?!”
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1336 จอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียง
ตู้ม!
ศพราชันปีศาจระเบิดออก รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากกวาดสร้างความหายนะ ราวกับเมฆสีดำปกคลุมท้องฟ้าเหนือแท่นบูชา
ฉากนี้เรียกเสียงหวาดหวั่นจำนวนมาก ทุกคนอึ้งตะลึงงันมองไปที่ร่างของซือเทียนโยวด้วยความตกใจ พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะให้ศพราชันระเบิดตัวเอง
แม้แต่จอมยุทธ์เผ่าปีศาจยังอึ้งไป ในฐานะสมาชิกพวกเขารู้ดีถึงคุณค่าของศพราชัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเผ่าซือหมัวมูลค่าของศพราชันนั้นมีค่าเหลือคณนา
“ไอ้นั่นบ้าไปแล้ว!”
ดวงตาของมั่วซิน เฉวียนหลัวและคนอื่นๆ วูบไหว ก่อนหน้าพวกเขาหวาดกลัวศพราชันปีศาจ แต่ตอนนี้ซือเทียนโยวได้รับบาดเจ็บหนักและศพราชันก็ระเบิดตัวเอง การคุกคามจากซือเทียนโยวจึงลดลงอย่างมีนัย
ทว่าเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์มหาพันภพ สายตาของมู่เฉินกลับเคร่งเครียดลงขณะที่จ้องมองไปที่เมฆปีศาจ ความไม่สบายใจก็ตีกวนในหัวใจ
ซือเทียนโยวต้องรู้ชัดเจนกับมูลค่าของศพราชันปีศาจ แต่ก็ยังตัดสินใจที่จะระเบิดโดยไม่ลังเลใดๆ ดังนั้นเขาต้องรู้ว่าการทำแบบนี้จะทำให้ตนเองได้รับประโยชน์ที่ดีกว่าแทน
แต่ตอนนี้มีประโยชน์อะไรที่สำคัญไปกว่าศพราชันปีศาจ?
สายตาของมู่เฉินหันไปที่ใจกลางแท่นบูชา โลงศพสีดำถูกปิดผนึกด้วยเสาหิน… มีชิ้นส่วนวิญญาณของราชันปีศาจอยู่ในนั้น
“เฮ้ รู้สึกได้แล้วเหรอ?”
เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน ซือเทียนโยวก็ยิ้มก่อนที่มือจะวาดตราประทับ ทันใดนั้นเมฆปีศาจก็เริ่มหมุนคว้าง ไม่กี่ลมหายใจต่อมาของเหลวขนาดเท่านิ้วมือสิบกว่าหยดก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้าตกลงบนโลงศพสีดำ
“นั่นคือ…แก่นเลือดราชัน?!”
มู่เฉินรู้สึกไม่สบายใจมาก เมื่อมองไปที่ของเหลวสีดำ เนื่องจากรู้สึกถึงความผันผวนที่น่ากลัวที่มาจากพวกมัน
แก่นเลือดเหล่านี้มาจากศพราชันที่ระเบิดแล้วกลั่นแก่นแท้เลือดจริงสิบกว่าหยดออกมา!
ชี่ ชี่!
เมื่อแก่นเลือดตกลงบนโลงศพหินสีดำ มู่เฉินก็เห็นมันถูกดูดซับเข้าไปทันที อึดใจโลงศพก็สั่นสะเทือน รัศมีปีศาจหนาแน่นรั่วไหลออกมา
โซ่ที่พันโลงศพถูกกัดกร่อนเป็นรูจากรัศมีปีศาจ…
“นรกแล้ว โลงศพกำลังจะแตก!” ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปทันทีกับฉากนี้
ตอนนี้เองจอมยุทธ์มหาพันภพก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อพวกเขาเห็นการเปลี่ยนแปลงบนโลงศพ ใบหน้าแต่ละคนก็ซีดเผือด ความกลัวพล่านในส่วนลึกของดวงตา
พวกเขาไม่คิดว่าหลังจากกำจัดภัยคุกคามแบบซือเทียนโยวได้ พวกเขาจะต้องเผชิญกับปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่า
หากเศษวิญญาณของจอมปีศาจระดับเทียนเป็นอิสระละก็ พลังนั้นไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแบบพวกเขาจะเผชิญหน้าได้
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ขณะที่ทุกคนกำลังสยดสยอง ศิลาทั้งสี่ก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของเศษวิญญาณ ทันใดนั้นศิลาก็ระเบิดแสงเจิดจ้าออกมาเพื่อระงับโลงศพที่สั่นสะท้าน
ทุกคนรู้สึกโล่งใจเมื่อได้เห็น
ปัง!
แต่พวกเขารู้สึกโล่งใจไม่ทันไร อึดใจศิลาหนึ่งในสี่ก็ระเบิดก่อร่างเป็นภาพร่างที่ด้านบน
นั่นก็คือแท่นบูชาเช่นกัน แต่มีร่างปีศาจขนาดยักษ์คำรามไปลั่นชั้นฟ้าพร้อมกับหัวโชกเลือดอยู่ในมือ
เมื่อมู่เฉินและบรรดาจอมยุทธ์มหาพันภพเห็นหัวนั่น ม่านตาของพวกเขาก็หดลงก่อนที่เสียงอุทานจะดังขึ้น “นั่นไป่จู๋!”
ใบหน้าของมู่เฉินน่าเกลียดลงหลายส่วน ไป่จู๋เป็นหนึ่งในมือสังหารปีศาจขั้นสูงจากมหาพันภพ ซึ่งเลือกเข้าสู่ชั้นผู้อาวุโสเชียง เขาเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาผู้ที่เข้าไปในชั้นนั้น
แต่ตอนนี้ชัดว่าถูกฆ่าตายแล้ว
แบบนี้ก็หมายความว่าชั้นผู้อาวุโสเชียงแตกแล้ว… และศิลาที่ถูกทำลายก็บอกว่าเศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนบนชั้นนั้น ถูกปลดปล่อยออกไป!
“ตอนนี้มีวิญญาณจอมปีศาจถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว เศษวิญญาณจะเข้าห้ำหั่นสู้กับปณิธานที่เหลืออยู่ของบรรพชนทั้งสี่หากอีกส่วนหนึ่งถูกปลดปล่อย ในเวลานั้นตราประทับเจดีย์สี่เทวะก็จะอ่อนแอลงอย่างมาก”
ดังนั้นพวกเขาต้องไม่ปล่อยให้เศษวิญญาณในชั้นนี้หลุดออกไปได้!
ตู้ม ตู้ม!
ขณะที่ความคิดวูบไหว โลงศพจอมปีศาจที่ถูกระงับไว้ก็เริ่มสั่นสะเทือนอีกครั้ง ศิลาทั้งสามพยายามปราบปราม แต่ก็ไม่สามารถทำให้สงบลงได้
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านในฉากนี้ เนื่องจากการต่อสู้ในระดับนี้อยู่เหนือการควบคุมและเขาได้แต่มองดูทั้งสองปะทะกันเท่านั้น
ทว่าการสูญเสียศิลาไปหนึ่ง ทำให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ต่อเจดีย์สี่เทวะ ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปรัศมีปีศาจที่ออกมาจากโลงศพที่ดูดซับเลือดกลั่นไปก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
ตู้ม!
ในที่สุดการต่อสู้ก็มาถึงจุดสำคัญแล้ว แสงปีศาจนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากโลงศพ จนโลงศพไม่สามารถทนได้อีกเกิดระเบิดขึ้น
แสงปีศาจทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับเสียงคำรามดังก้องด้วยความบ้าคลั่ง
“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าหลังจากผ่านไปนับหมื่นปี ข้าจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงก็ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง!”
รัศมีปีศาจรวมตัวกันเป็นภาพเงาราวร้อยจั้งที่ปล่อยผม ทั่วทั้งร่างปกคลุมด้วยขนสีดำ ปลดปล่อยรัศมีน่ากลัวที่ไม่สามารถจินตนาการได้ออกมา
ภายใต้รัศมีนั้น แม้แต่มู่เฉินก็ยังรู้สึกกลัวจนไม่สามารถต้านทานได้
จอมยุทธ์คนอื่นๆ แห่งมหาพันภพรู้สึกเข่าอ่อนยวบ แทบจะคุกเข่าลง การเผชิญหน้ากับจอมปีศาจระดับเทียน แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษวิญญาณ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถต่อกรได้
กลับกันจอมยุทธ์เผ่าปีศาจก็ส่งเสียงโห่ฮาสะใจ
“คึๆ เจ้าเป็นคนปล่อยข้าคนนี้เหรอ?” ภาพเงาจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงก้มศีรษะลงมองไปที่ซือเทียนโยวพร้อมกับเสียงหัวเราะแปลกประหลาด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เพื่อแสดงความขอบคุณ ข้าจะใช้ร่างเจ้า!”
ก่อนที่ซือเทียนโยวจะทันได้ตอบ ลำแสงปีศาจก็ดิ่งลงมาพุ่งใส่หัวของซือเทียนโยว เนื่องจากจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงเป็นเพียงเศษวิญญาณ จึงจำเป็นต้องครอบครองร่างกายเพื่อที่จะสามารถปลดปล่อยพลังได้ดีขึ้น
เมื่อจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงครอบครองร่าง ดวงตาของซือเทียนโยวก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ผิวของเขาเปลี่ยนเป็นโลหะดูแข็งแรงเป็นพิเศษ
จอมปีศาจเคลื่อนไหวสั้นๆ ก่อนที่แสยะยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นสมาชิกเผ่าซือหมัว ร่างกายใช้ได้ ดูเหมือนข้าจะสามารถใช้พลังของตนได้มากขึ้น”
ขณะที่พูดเขาก็หันไปทางแท่นบูชา ความป่าเถื่อนและจิตสังหารพล่านในสายตา “ไอ้โคตรนรก แกปราบปรามวิญญาณของข้ามาเนิ่นนาน ตอนนี้มาดูสิว่าข้าจะทำลายแกยังไง!”
ตู้ม!
ขณะที่พูดก็ฟาดฝ่ามือออกไป รัศมีปีศาจพวยพุ่งกลายเป็นตราประทับปีศาจหมื่นจั้งที่มีพลังเหนือจินตนาการบินไปยังแท่นบูชา
ฮึ่ม!
แต่เมื่อคลื่นพลังกำลังจะกระแทกแท่นบูชา ศิลาตรงกลางก็ระเบิดแสงโบราณออกมา ร่างสูงวัยปรากฏขึ้น
เขาสะบัดแขนเสื้อ แสงไม่มีที่สิ้นสุดก็พุ่งออกมา ราวกับเมฆที่แต่งแต้มด้วยเฉดสีของพระอาทิตย์ตก บดบังตราประทับปีศาจไว้
“เสี่ยเจียง ไม่คิดว่าสุดท้ายแกก็หลบหนีออกมาได้” ร่างสูงวัยถอนหายใจ
จอมยุทธ์มหาพันภพอึ้งไปเมื่อเห็นร่างนั้น จากนั้นเฉวียนหลัว มั่วซินและชิงซวงก็อุทานด้วยความปีติยินดี “ท่านบรรพบุรุษ!”
ภาพเงานี้ก็คือปณิธานที่เหลืออยู่ของผู้อาวุโสฝูถู!
“ฮ่าๆ ไอ้แก่ฝูถู ดูเหมือนว่าแผนการของแกที่จะฆ่าพวกข้าล้มเหลวไม่เป็นท่า เจดีย์สี่เทวะได้รับความเสียหายบางส่วนแล้ว เมื่อไรข้าฆ่าแกได้ เจดีย์นี้ก็จะแสดงข้อบกพร่อง อีกไม่นานพวกข้าทุกคนจะได้รับการปลดปล่อย!” ซือเทียนโยวที่โดนสิงมองไปที่ผู้อาวุโสฝูถูพลางหัวเราะร่า
ผู้อาวุโสฝูถูส่ายหน้าตอบว่า “ข้าจะให้แกทำสำเร็จตามแผนได้ยังไงล่ะ?”
“แกคิดจะขัดขวางข้าด้วยปณิธานจ้อยร่อยเนี่ยนะ?” เสี่ยเจียงหัวเราะเยาะเย้ย “ร่างของเจ้าหนุ่มจากเผ่าซือหมัวนี่เหมาะกับข้ามาก งานนี้ข้าชนะแน่!”
ผู้อาวุโสฝูถูยิ้มเมื่อได้ยิน “ก็ไม่แน่”
เมื่อพูดจบเขาก็กวาดสายตาออกไป
ฟิ้ว ฟิ้ว!
เฉวียนหลัวและมั่วซินทะยานไปที่แท่นบูชาพูดเสียงดังฟังชัด “ท่านบรรพบุรุษ พวกข้าสองคนยินดีที่จะช่วยท่านในการฆ่าไอ้ปีศาจนี่!”
ทั้งสองกระตุ้นเจดีย์ในร่างกายทันที เจดีย์สุกใสและเจดีย์สีดำลอยอยู่เหนือหัวใจ ปล่อยความผันผวนน่าอัศจรรย์ออกมา
พวกเขาเสนอตัว เนื่องจากรู้ดีว่าหากสามารถช่วยเหลือผู้อาวุโสฝูถูในการสังหารปีศาจได้ พวกเขาก็มีสิทธิ์ได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์!
“หน้าด้าน!”
ชิงหลิงด่ากราดกับภาพที่เห็น มู่เฉินทำงานหนักมากระหว่างการต่อสู้เพื่อให้ได้สถานการณ์เช่นนี้มา แต่เจ้าสองคนนั่นดันเสนอหน้าคิดจะเก็บเกี่ยวผลงานของมู่เฉิน
ผู้อาวุโสฝูถูประหลาดใจเมื่อเห็นเจดีย์เหนือศีรษะของพวกเขา จากนั้นเขาก็พูดด้วยความพึงพอใจ “ไม่คิดว่าหลังจากผ่านไปนับหมื่นปี ลูกหลานของเผ่าฝูถูโบราณจะโดดเด่นเช่นนี้”
เฉวียนหลัวและมั่วซินสุขใจทันทีเมื่อได้ยินคำชม
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้แสดงความดีใจบนใบหน้า ผู้อาวุโสฝูถูก็มองไปที่มู่เฉิน “แต่เขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการสังหารปีศาจ”
“เจ้าหนู ก่อนหน้านี้ข้าได้เห็นศักยภาพของเจ้าแล้ว เจ้าโดดเด่นอย่างมาก แม้แต่ในสมัยโบราณก็มีไม่กี่คนในเผ่าที่สามารถเทียบเคียงกับเจ้าได้” ผู้อาวุโสฝูถูคลี่ยิ้มอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
มู่เฉินอึ้งไปเมื่อได้ยิน แต่กลับตกอยู่ในความเงียบ
รอยยิ้มของเฉวียนหลัวและมั่วซินค้างบนใบหน้า ก่อนที่พวกเขาจะพูดรัวเร็วว่า “ท่านบรรพบุรุษ เจ้านั่นเป็นตัวกาลกิณีของเผ่า ท่านไม่ควรเลือกเขา!”
ผู้อาวุโสฝูถูก็อึ้งไป ก่อนที่จะตรวจสอบมู่เฉินพลางขมวดคิ้ว จากนั้นก็หันไปมองเฉวียนหลัวและมั่วซินพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “เจ้าหนูนี่มีนิสัยอดทนพากเพียร เขาไม่ถอยแม้จะเผชิญหน้ากับศพราชัน นิสัยของเขาไม่น่าจะเลวร้าย จะเป็นตัวกาลกิณีได้ยังไง?
เฉวียนหลัวกับมั่วซินเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่จะพูดเสียงเบา “แม่ของเขากระทำบาปกับคนนอก ปล่อยให้สายเลือดสูงส่งของเรารั่วไหลออกไป นี่ถือเป็นบาปใหญ่!”
ทว่าพวกเขาคิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสฝูถูจะโมโหทันทีที่ได้ยินพลางก่นด่า “เหลวไหล! เผ่ามองว่าเขาเป็นคนบาปเพราะเรื่องนี้เนี่ยนะ? ตอนนี้เผ่าฝูถูปัญญาอ่อนขนาดนี้ได้ยังไง?!”
เฉวียนหลัวและมั่วซินมองหน้ากัน พวกเขาไม่คิดว่าผู้อาวุโสฝูถูจะปฏิเสธบาปนี้
หลังจากตำหนิทั้งสอง สายตาของผู้อาวุโสฝูถูก็ดูอ่อนโยนเมื่อหันไปหามู่เฉิน “เจ้าหนู เต็มใจจะช่วยตาแก่คนนี้ฆ่าปีศาจหรือไม่”
แววตาของมู่เฉินซับซ้อน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบคนของเผ่าฝูถูที่ไม่ปฏิบัติต่อเขาในฐานะกาลกิณี ดังนั้นเขาจึงหายใจเข้าลึกเสียงดังก้องไปทั่วชั้นฟ้า ทำให้ใบหน้าของเฉวียนหลัวและมั่วซินเขียวคล้ำ
“ข้าน้อยยินดีที่จะช่วยเหลือสุดกำลังขอรับ!”
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1335 ดอกบัวอมตะ
“คำนับสาม ทำลายล้างสรรพสิ่ง!”
เมื่อเสียงของซือเทียนโยวดังขึ้น ทั่วบริเวณก็หยุดนิ่ง พายุป่าเถื่อนหายไป คลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินชะงักลง ทุกสรรพสิ่งถูกลบออกไป
เนื่องจากร่างยักษ์ที่อยู่เบื้องหลังซือเทียนโยวลดศีรษะลงแล้ว
จังหวะที่ศีรษะโน้มลง มิตินับแสนจั้งก็เริ่มยุบ สะเก็ดมิติร่วงกราวลงมาราวกับสายฝน
รอยแตกพล่านออกไปบนพื้น ขยายขนาดไปทุกทิศทาง
เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ พวกเขาก็เริ่มถอยหนีกันจ้าละหวั่น ความตกใจหวาดหวั่นปกคลุมใบหน้า พวกเขาไม่เคยคิดว่าคำนับสามจะน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้
ชิงซวงและชิงหลิงก็ถอยออกไปเช่นกัน ขณะที่มองไปที่แท่นบูชาด้วยใบหน้าซีดขาว ยามนี้ร่างเงาของมู่เฉินช่างเปราะบางยิ่งนัก
ขณะที่ทุกคนหนี มีเพียงเขาที่ยืนอยู่โดยไม่ขยับ ไม่คำนึงถึงหายนะที่กำลังเผชิญอยู่
พวกนางอยากช่วยมู่เฉิน แต่ก็รู้ดีว่าไม่สามารถเข้าไปแทรกการต่อสู้ครั้งนี้ได้ด้วยกำลังที่มี ไม่เพียงแต่พวกนาง แม้แต่มั่วซินและเฉวียนหลัวก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่งในการต่อสู้นี้เช่นกัน
การต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและซือเทียนโยวมาถึงจุดสุดยอดใต้ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว!
แม้ว่ามั่วซินและเฉวียนหลัวจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดและครอบครองวิทยายุทธเสมือนระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยม แต่ก็ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่กับทักษะศพเทพ
หากต้องการปะทะกับทักษะศพเทพละก็ จะต้องใช้วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยมแท้จริงอย่างเดียว!
ทว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยมเป็นของจอมยุทธ์เทียนจื้อจุน แม้ว่าพรสวรรค์ของพวกเขาจะโดดเด่น แต่ก็ยังไม่สามารถฝึกฝนได้
มั่วซินและเฉวียนหลัวมองไปในระยะไกลด้วยความขนพองสยองเกล้าพร้อมกับไอสังหารกะพริบอยู่ในดวงตา
ทั้งคู่ประเมินความแข็งแกร่งของมู่เฉินต่ำไป ตอนแรกพวกเขาคิดว่าคงใช้เวลาไม่มากในการจับกุมอีกฝ่าย แต่จากพลังที่มู่เฉินแสดงออกมา ทำให้พวกเขาดูไร้เดียงสาไปเลย
“แต่มันจะต้องตายที่นี่วันนี้อย่างแน่นอน ส่วนซือเทียนโยวก็ต้องจ่ายแพงระยับด้วยทักษะกราบศพเทพสามครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นเราค่อยฉวยโอกาส!”
ทั้งสองคนตกลงกันทางสายตา
เห็นได้ชัดว่าหลังจากได้เห็นพลังของมู่เฉิน พวกเขาก็ไม่มีความมั่นใจที่จะจัดการกับมู่เฉินตามลำพังอีกต่อไป ดังนั้นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือร่วมมือกัน
เมื่อจอมยุทธ์ทั้งสองฝ่ายถอยออกจากแท่นบูชา มู่เฉินก็ยืนอยู่ท่ามกลางความกดดันเชี่ยวกรากพร้อมกับความมืดปกคลุมดวงตา ราวกับว่าเขาอยู่ในดินแดนแห่งความตาย
มากจนแม้แต่คลื่นหลิงทั่วบริเวณนี้ยังเหมือนเป็นบ่อโคลนความตายไปแล้วในขณะนี้ ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถดูดซับได้
มิติพังทลายลงที่เบื้องหน้า สถานที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยความมืด ฉากที่คลื่นหลิงหยุดนิ่งลงให้ความรู้สึกราวกับว่าวันพิพากษาโลกมาถึงแล้ว
หวือ หวือ!
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดไป ขณะที่มองพายุเฮอริเคนสีดำที่ส่งกลิ่นคาวจากซากศพคละคลุ้ง
เมื่อพายุเฮอริเคนกวาดตัวก็ทำลายสรรพชีวิต พลังชีวิตที่เบื้องหน้าถูกระบายออกไปจนหมด
มู่เฉินยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เขามองพายุเฮอริเคนสีดำที่กำลังส่งเสียงหวีดหวิว เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีแห่งการทำลายล้างก็ค่อยๆ กำมือ เส้นเลือดถึงกับเต้นตุบตับเลยทีเดียว
แม้แต่เขาก็ต้องยอมรับวิชากราบศพเทพสามครั้งทรงพลังเกินไป จนกระทั่งเขายังรู้สึกหวาดกลัว
เขาไม่สงสัยเลยว่าความผิดพลาดเสี้ยวเดียวก็ส่งผลให้ถึงชีวิต
“ในเมื่อข้าถูกบีบให้มาถึงจุดนี้แล้ว งั้นก็มาเสี่ยงกันเลยดีกว่า”
มู่เฉินหายใจเข้าลึก ในเส้นทางแห่งความสิ้นหวัง ท่าทางของเขากลับค่อยๆ สงบลง แม้กระทั่งดวงตาก็ปิดลง
เขาแบมือทั้งสองออก ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็เปล่งลำแสงสีม่วงทองนับล้าน ทุกเส้นสายบรรจุด้วยรัศมีอมตะ
หวือ หวือ!
พายุเฮอริเคนสีดำครางกระหึ่ม ในฟ้าดินที่มืดมนมีเพียงร่างสีม่วงทองยืนอยู่อย่างเงียบๆ ประหนึ่งภูผาไม่เคลื่อนย้าย
เมื่อพายุเฮอริเคนกำลังจะเข้ามาปกคลุม เสียงทุ้มต่ำก็ดังออกมาจากปากมู่เฉิน
“ทักษะเทห์สวรรค์—ดอกบัวอมตะ!”
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ลำแสงสีม่วงทองนับล้านระเบิดออก ดอกบัวค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากแสงโชติช่วงพร้อมกับลวดลายโบราณสลักอยู่ ทุกดอกดูราวกับเป็นรูปธรรม อัดแน่นด้วยวิถีแห่งเต๋า
ดอกบัวหมุนคว้างพร้อมกับกลีบดอกลู่ลง เมื่อพายุเฮอริเคนสีดำพัดเข้ามา ดอกบัวก็ได้ปกคลุมร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้ว
ชี่ ชี่!
อึดใจต่อมาพายุก็กวาดเข้ามาห่อหุ้มดอกบัวไว้
ทั่วบริเวณปกคลุมไปด้วยความมืดมิด
ไกลออกไป จอมยุทธ์ทั้งสองฝ่ายหยุดอยู่ที่ขอบแห่งความมืด แต่ละคนชะเง้อมองด้วยความหวาดกลัว ไม่มีพลังชีวิตอยู่ในนั้นเลย
เฮือก
จอมยุทธ์มหาพันภพถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความสิ้นหวังด้วยใบหน้าซีดเซียว ประจันหน้ากับซือเทียนโยวที่ทรงพลังเพียงนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถรวบรวมความกล้าที่จะสู้ต่อได้แล้ว
“ในที่สุดไอ้เวรนั่นก็ตาย!”
จอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวและเตาหมัวปาดเหงื่อออก ขณะที่พูดออกมาด้วยความขนพองสยองเกล้า
ไม่มีใครคาดคิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะจัดการยากเย็นขนาดนี้ กระทั่งคนที่ทรงอำนาจอย่างซือเทียนโยวยังต้องงัดกลยุทธ์สุดยอดออกมา
แต่เมื่อซือเทียนโยวออกกระบวนท่าที่สาม พวกเขาก็รู้ว่ามู่เฉินตายแน่
เนื่องจากไม่เคยมีใครรอดชีวิตจากทักษะศพเทพคำนับสามไปได้
“พี่ใหญ่ชิงซวง… มู่เฉินเป็นยังไงบ้าง?” ชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะกำมือแน่น ขณะที่ถามอย่างร้อนใจ
ชิงซวงส่ายหน้าเงียบๆ แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
หลังจากที่ได้เห็นคำนับสามแห่งการทำลายล้าง ตัวนางก็ยังไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะรักษาชีวิตไว้ได้
“เตรียมถอย” ชิงซวงเอ่ยขึ้น ถ้ามู่เฉินตายจริงๆ พวกนางจะเสียโอกาสทั้งหมด ในเวลานั้นจะต้องรีบมุ่งหน้าออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ทำลายเครื่องรางที่ผู้อาวุโสมอบให้เพื่อออกจากแดนเซิ่งยวนโบราณนี้
เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว ใบหน้าของชิงหลิงก็อดไม่ได้ที่จะซีดลง
“หืม?”
ขณะที่ขวัญกำลังใจของจอมยุทธ์มหาพันภพดิ่งลงก็มีเสียงร้องอุทานขึ้น “มีแสงสีทองอยู่ตรงนั้น!”
ขวับ!
ทุกคนหันขวับจ้องไปในโลกแห่งความมืดด้วยความไม่เชื่อ ริ้วแสงสีม่วงทองมาบรรจบกันในส่วนลึกของความมืด
แสงสีม่วงทองค่อยๆ สว่างขึ้นในเวลาไม่กี่อึดใจก็ขยายออก ทุกคนสามารถมองเห็นดอกบัวตูมเผยตัวเงียบๆ ในความมืด
แม้พื้นผิวดอกจะถูกปกคลุมไปด้วยจุดด่างดำ แต่ก็ไม่มีร่องรอยของการแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เกลียวแสงสีม่วงทองไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมาจากเกสรดอกขับไล่ความมืดมิด ขณะเดียวกันดอกบัวก็เบ่งบาน ร่างสีม่วงทองขนาดใหญ่ปรากฏต่อหน้าทุกคน
ภาพเงาสูงโปร่งยืนตระหง่านอยู่บนไหล่ร่างยักษ์
“นั่น…มู่เฉิน?!” จอมยุทธ์มหาพันภพต่างตกตะลึง สายตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
ส่วนจอมยุทธ์เผ่าปีศาจก็มองภาพเงานั้นด้วยความครั่นคร้าม ขณะที่พึมพำ “เป็นไปได้ยังไง?”
“เป็นไปได้ยังไง?!” มั่วซินและเฉวียนหลัวหน้าแข็งค้าง
“เป็นไปได้ยังไง?!” ร่างโครงกระดูกของซือเทียนโยวบนแท่นบูชาก็ตกตะลึงไป ความคิดของเขาหยุดชะงักลงเลยทีเดียว
มู่เฉินยืนอยู่บนไหล่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองแสงสีทองที่กระจายออก แม้แต่ร่างกายที่เกร็งแน่นก็คลายตัวลง
“ดอกบัวอมตะ… การป้องกันที่ทรงพลังที่สุดที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์”
มู่เฉินก้มมองไปที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เขาไม่เคยคิดว่าพลังของทักษะเทห์สวรรค์ขั้นที่สองจะทรงพลังขนาดนี้
มู่เฉินถอนหายใจในใจ ก่อนที่จะเงยหน้าสายตาจ้องมองไปยังซือเทียนโยวที่ตะลึงงัน
ปัง!
ร่างยักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังซือเทียนโยวก็ถึงขีดสุดและพังทลายลง
อ็อก!
เลือดหนึ่งคำหนึ่งพ่นออกมาจากปากของซือเทียนโยว เลือดนี้มีสีดำเต็มไปด้วยกลิ่นอายความตายขณะนี้ไม่มีพลังชีวิตใดๆ ในร่างกายของเขาอีกต่อไป ชัดว่าเขายืนบนขอบแห่งความตาย
นี่คือราคาที่ต้องจ่ายทักษะกราบศพเทพ
“แกแพ้แล้ว”
มู่เฉินมองไปที่ซือเทียนโยวขณะพูดออกมา ตอนนี้ซือเทียนโยวสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ทั้งหมดไปแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงของมู่เฉิน ดวงตาว่างเปล่าของซือเทียนโยวก็ฟื้นขึ้นพลางจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน ก่อนจะเผยรอยยิ้มน่าขนลุก “แกคิดว่าชนะเหรอ? หยุดฝันเฟื่องไปเลย!”
“ศพราชัน ระเบิด!”
เขาคำรามลั่น ริ้วสีดำแยกออกจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่มาถึงเหนือแท่นบูชา ร่างแห้งกรังก็ระเบิดแสงปีศาจไม่มีที่สิ้นสุดออกมาก่อนที่จะระเบิด
ดวงตาของมู่เฉินหดเกร็งลงกับภาพนี้ ไอ้บ้านั่นถึงกับระเบิดศพราชันปีศาจเลย มันคิดจะทำอะไร?!
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1334 ทักษะศพเทพ
“กราบศพเทพสามครั้ง!”
เมื่อเสียงแหบแห้งของซือเทียนโยวดังสะท้อน ทั่วบริเวณก็มืดลงพร้อมกับเสียงฮึ่มฮั่มปกคลุมท้องฟ้า ทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดกลัวไปหมด
สายตาของมู่เฉินเคร่งเครียดลง ความกลัวเพิ่มขึ้นในหัวใจ กระทั่งเขายังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความตายจากการโจมตีของซือเทียนโยวครั้งนี้
ถ้าเขาตอบโต้ได้ไม่ดีละก็ คงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แน่เลย
“เผ่าปีศาจแปลกประหลาดแท้จริง”
มู่เฉินสูดหายใจลึก ก่อนที่มือทั้งสองจะประสานกัน แสงสีม่วงทองรวมตัวกันในร่างเทพสุริยะนิรันดร์พร้อมกับลวดลายโบราณปรากฏขึ้น
ลวดลายเหล่านี้แยกออกมาจากร่าง ซึ่งราวกับมังกรสีม่วงทองโคจรรอบร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เปล่งความเป็นอมตะ
สายตาทั่วฟ้าดินพุ่งไปยังแท่นบูชา พวกเขารู้ชัดเจนว่ากระบวนท่านี้จะเป็นตัวตัดสินผลลัพธ์ของสนามรบทั้งหมด
ดวงตาขาวโพลนน่าขนพองสยองเกล้าของซือเทียนโยวจ้องมองมู่เฉิน ก่อนที่รอยยิ้มโหดจะโค้งขึ้นบนริมฝีปาก จากนั้นเขาก็คุกเข่าไปในทิศทางของมู่เฉิน
“กราบศพเทพสามครั้ง คำนับหนึ่ง—ถอนชีวิต!”
ขณะที่ซือเทียนโยวคุกเข่า ร่างยักษ์ที่อยู่ด้านหลังก็ก้มศีรษะลงไปในทิศทางของมู่เฉิน
จังหวะที่ร่างยักษ์ลดศีรษะลง รัศมีความตายที่ไม่อาจอธิบายได้ก็พุ่งออกมาราวกับพายุ ในเส้นทางรัศมี พลังชีวิตทั้งหมดถูกแย่งชิงไปหมด
แม้แต่ชั้นฟ้าและชั้นดินก็เปลี่ยนเป็นสีเทาดำ ไม่มีชีวิตชีวาอีกต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์มหาพันภพหรือเผ่าปีศาจต่างมิติ แต่ละคนก็เริ่มถอยหนีเมื่อเห็นรัศมีความตายที่แผ่กระจายออกไปพร้อมกับความกลัวเพิ่มขึ้นในดวงตา
บางคนที่หนีช้าได้รับผลกระทบจากรัศมี พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่กรีดร้อง ก่อนที่ร่างกายจะกลายเป็นโครงกระดูกทันที
ชิงซวงและชิงหลิงถอยกลับอย่างรวดเร็ว ความตกใจกลัวพล่านในแววตา พวกนางไม่เคยคิดมาก่อนว่าการโจมตีของซือเทียนโยวจะน่ากลัวขนาดนี้
การโจมตีดังกล่าวสามารถเทียบได้กับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยมแท้จริงในมหาพันภพได้เลยทีเดียว!
เมื่อพวกนางมองไปที่มู่เฉิน ดวงตาก็กะพริบด้วยความกังวล ขนาดพวกนางที่โดนแค่คลื่นกระทบปลายๆ ยังอยู่ในสภาพเช่นนี้จากรัศมีความตาย ดังนั้นสามารถจินตนาการได้ว่ามู่เฉินกดดันแค่ไหน
“มู่เฉิน สู้ๆ นะ!”
เวลานี้พวกนางทำได้เพียงภาวนาในใจ
ขณะที่ทุกคนถอยร่นหนี รัศมีความตายก็กวาดเข้ามาที่เบื้องหน้ามู่เฉิน ภายใต้การห่อหุ้มของรัศมีความตายผิวของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นสีเทาขี้เถ้าอย่างรวดเร็ว เนื้อเริ่มแห้ง พลังชีวิตหมดลงอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าเขาจะพยายามปกป้องตัวเองด้วยคลื่นหลิงอย่างไร ก็ไม่สามารถต่อต้านการรุกรานของรัศมีแห่งความตายได้
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลง ด้วยความเร็วนี้คงใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่พลังชีวิตทั้งหมดของเขาจะหมดลง
การโจมตีของซือเทียนโยวน่าสยดสยองจริงๆ!
ฮา
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ มู่เฉินก็สูดหายใจเข้าลึก แสงกะพริบวูบไหวในดวงตาก่อนที่เขาจะคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่อยู่ใต้เท้าก็ระเบิดแสงสีม่วงทองกว้างใหญ่นับไม่ถ้วน
“ศพเทพของแกช่วงชิงชีวิตได้ แต่ข้าก็ได้รับการปกป้องจากความเป็นอมตะ!”
รหัสเทพอมตะครางกระหึ่ม ห่อหุ้มร่างมู่เฉินไว้ เมื่อมองจากระยะไกลก็ราวกับก่อตัวเป็นรังไหมสีม่วงทองปกป้องมู่เฉินจากภายใน
แม้โลกจะถึงจุดจบ แต่ข้าก็เป็นอมตะ!
แกจะช่วงชิงพลังชีวิตของผู้เป็นอมตะได้อย่างไร?
รัศมีความตายสีเทาดำกวาดไปที่รังไหมสีม่วงทองอย่างต่อเนื่อง แต่รังไหมก็ตั้งมั่นคงราวกับศิลา
“เขาสกัดไว้ได้จริงๆ!”
เมื่อจอมยุทธ์เผ่าปีศาจเห็นภาพนี้ก็อุทานลั่น พวกเขารู้ชัดเจนว่ากระบวนท่านี้ทรงพลังเพียงใด จอมยุทธ์ที่อยู่ภายใต้ระดับราชันปีศาจที่ถูกคำนับพลังชีวิตจะถูกแย่งชิงกลายเป็นซากศพทันที
ต่อให้เป็นพวกเขาก็มีแต่ความตายเท่านั้นที่รออยู่!
ทว่ามู่เฉินกลับสามารถต้านทานการคำนับได้จริงๆ จะไม่ให้พวกเขารู้สึกไม่อยากเชื่อได้อย่างไร
สีหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไป ซือเทียนโยวก็หดดวงตาลง สถานการณ์นี้เกินความคาดหมายของเขาเช่นกัน ตอนแรกเขาคิดว่าแค่ใช้เพียงหนึ่งคำนับก็ยุติการต่อสู้นี้ได้แล้ว
แต่ความทนถึกของมู่เฉินเกินความคาดหมายของเขาจริงๆ!
“ไอ้ตัวปัญหา แต่ยังไงวันนี้แกก็ต้องตาย!”
แสงเย็นเยือกรวมตัวในดวงตาของซือเทียนโยว อึดใจร่างเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวพร้อมกับพลังชีวิตทั้งหมดในร่างหลั่งไหลเข้าไปในรัศมีศพที่น่ากลัว
“คำนับสอง—กลืนวิญญาณ!”
ซือเทียนโยวเงยหน้าขึ้น คำนับครั้งที่สองไปในทิศทางของมู่เฉิน
ร่างยักษ์ที่อยู่ด้านหลังก็คำนับลง อึดใจต่อมาแสงสีเทาขนาดหลายจั้งก็พุ่งออกมาจากดวงตาของร่างยักษ์
แสงสีเทาฉีกขาดมิติปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้ามู่เฉินในทันที
มู่เฉินเตรียมพร้อมไว้แล้ว รหัสเทพอมตะระเบิดออกก่อนที่จะรวมกันก่อร่างเป็นแนวป้องกันแข็งแกร่ง ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าลำแสงสีเทา
แม้ว่าลำแสงนั่นจะไม่ได้ดูยิ่งใหญ่เหมือนก่อนหน้า แต่มู่เฉินกลับสัมผัสได้ถึงรัศมีความตายที่หนาแน่นยิ่งกว่า เขาไม่สงสัยเลยว่าหากโดนลำแสงนั่นสัมผัสเข้า เขาจะสิ้นชีพทันที
ชี่!
ทว่าครั้งนี้รหัสเทพอมตะพังทลายลงทันทีเมื่อสัมผัสกับลำแสงสีเทา แนวป้องกันทรงพลังไม่สามารถสกัดไว้ได้!
ร่างมู่เฉินทะยานถอยห่างอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันรหัสเทพอมตะที่ไม่มีที่สิ้นสุดก่อตัวขึ้น พวกมันบินเข้าหาลำแสงสีเทาพยายามที่จะทำให้หมดลงให้มากที่สุด
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปราการของมู่เฉิน ลำแสงสีเทาก็ไม่มีทีท่าว่าหมดลงแม้แต่ชุ่นเดียว!
“ค่ายกลเพลิงทะยาน!”
ค่ายกลที่เขาจัดเตรียมไว้ถูกกระตุ้นทันที ร่างยักษ์เพลิงขนาดมหึมาปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อหมัดสัมผัสกับลำแสงสีเทาก็สลายหายไปในทันที
เมื่อจอมยุทธ์มหาพันภพเห็นว่ากระบวนท่าของมู่เฉินไม่สามารถปิดกั้นลำแสงสีเทาได้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป หนังหัวชาหนึบ
“มู่เฉิน!”
ชิงซวงและชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะกำมือแน่นพร้อมกับใบหน้าซีดเซียวลง
ถอยๆๆๆ!
มู่เฉินถอยออกไปอย่างต่อเนื่อง แต่ลำแสงสีเทาก็ไล่ตามมาติดๆ มิหนำซ้ำยังเร่งความเร็วมากขึ้น ทำเอาผมลุกชันพร้อมกับความรู้สึกถึงตายห่อหุ้มในหัวใจ
เขาถอยต่อไม่ได้แล้ว!
สายตาของมู่เฉินวูบไหวอึดใจก็ตะโกนเรียก “เจดีย์พุทธะ!”
แสงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออกจากดวงตา เจดีย์ผลึกใสก็ทะยานออกมา
อ็อก!
เขากัดลิ้นเลือดกลั่นไหลออกมาจากปากพ่นลงบนเจดีย์ หลังจากเสียเลือดไปบางส่วนใบหน้าของมู่เฉินก็ซีดลง ชัดว่าสิ่งนี้ทำให้ร่างกายเขาเสียหายพอสมควรเลยทีเดียว
แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถใส่ใจเรื่องนี้ได้ เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าในลำแสงสีเทามีพลังงานแปลกประหลาดซึ่งสามารถลบล้างสติของเขาได้ในทันที ถ้าเขาสัมผัสกับมันสติก็จะถูกลบ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็จะไม่ต่างอะไรจากหุ่น
ส่วนเจดีย์พุทธะมีความสามารถในการปิดผนึก ทำให้สติของเขาสงบลงได้อีกครั้ง ดังนั้นเขาต้องพึ่งพามันอย่างเดียวในขณะนี้!
เมื่อเลือดกลั่นของมู่เฉินกระจายลงบนเจดีย์พุทธะ แสงไม่มีที่สิ้นสุดก็ระเบิดออก ความผันผวนศักดิ์สิทธิ์ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่เจดีย์จะทะยานออกไปปะทะกับลำแสงสีเทา
เคร้ง!
ทันทีที่ชนกันเสียงคมชัดก็ดังขึ้น แต่คราวนี้ลำแสงสีเทาที่ไม่สามารถขัดขวางได้ก็หยุดลง หลังจากการปะทะกันสั้นๆ ลำแสงสีเทาก็สั่นสะเทือนก่อนที่จะแตกสลายลง
เจดีย์พุทธะก็ดูราวกับว่าได้รับผลกระทบอย่างหนัก มันพุ่งกลับไปสถิตในดวงตาของมู่เฉิน จากนั้นก็มีเลือดหยดลงมาจากมุมดวงตาจนดูน่ากลัวอย่างยิ่ง
“มันรับไว้ได้อีกแล้ว…”
พวกแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ขณะที่มองมู่เฉินด้วยแววตาหวาดกลัว
ทักษะกราบศพเทพสามครั้ง คำนับหนึ่ง-ถอนชีวิต คำนับสอง-กลืนวิญญาณ พวกเขาไม่เคยได้ยินว่ามีใครที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของราชันปีศาจรอดมาได้ถึงสองครั้ง
แต่ภาพนี้ก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแล้ว!
บนแท่นบูชามู่เฉินค่อยๆ เช็ดเลือดออกจากมุมหางตา สีหน้าที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงก็เครียดลงหลายส่วน ผ่านศึกเป็นตายในชีวิตมาหลายครั้ง เขาไม่เคยรู้สึกเดินสู่ปากเหวความตายมาก่อนเหมือนครั้งนี้
ทักษะกราบศพเทพสามครั้งน่ากลัวและทรงพลังเกินไป!
“วิชานี่สามารถเทียบเคียงได้กับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยมแท้จริงแน่นอน! “
มู่เฉินหายใจเข้าลึก แม้ว่าเขาจะมีวิชาสามพิสุทธิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน แต่ร่างรองของเขายุ่งอยู่กับการจัดการกับศพราชันปีศาจ ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้ในขณะนี้
ใบหน้าของซือเทียนโยวซีดเซียวขณะจ้องไปที่มู่เฉิน โดยที่ผิวหน้ากระตุกไม่หยุด ก่อนที่เขาจะพูดออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “นับตั้งแต่ที่ข้าได้ฝึกฝนทักษะศพเทพ ก็ไม่เคยมีใครที่สามารถรับกระบวนท่าคำนับถึงสองครั้ง!”
“ตอนนี้มีแล้ว”
มู่เฉินพูดขณะที่พ่นเลือดออกจากปาก
ซือเทียนโยวเขม่นมองมู่เฉิน ตอนนี้ร่างเขาเหี่ยวแห้งจนเหมือนกับโครงกระดูก แต่ดวงตากลับยิ่งเปลี่ยนไปอย่างผิดปกติ
“ดังนั้นเพื่อแสดงความเคารพกับแกในฐานะคู่ต่อสู้ ข้าจะมอบความตายด้วยการคำนับที่สามให้”
เมื่อเสียงเย็นเยือกของซือเทียนโยวดังออกมา จอมยุทธ์มหาพันภพก็ตัวสั่นสะท้าน มู่เฉินเกือบจะไม่สามารถต้านทานคำนับทั้งสองได้ นี่ยังมีคำนับสามที่น่ากลัวกว่านั้นอีกเรอะ?! มู่เฉินจะรับไหวได้อย่างไร!
ถ้ามู่เฉินล้มเหลว ยังมีใครในที่นี่สามารถหยุดซือเทียนโยวจากการทำลายแท่นบูชาได้?
กระทั่งมั่วซินและเฉวียนหลัวยังเงียบไป หลังจากที่ได้เห็นคำนับทั้งสองแล้ว
ทว่าซือเทียนโยวไม่ได้สนใจความคิดพวกเขา สายตาของเขารวมอยู่ที่มู่เฉิน จากนั้นเนื้อทั้งหมดที่เหลืออยู่ในร่างกายก็หลอมละลายสลายไปเป็นพลังชีวิตก่อนที่จะเทไปที่ศพเทพที่อยู่ข้างหลัง
ยามนี้ซือเทียนโยวไม่ได้ต่างอะไรจากโครงกระดูกไร้เนื้อหนังแล้ว
สายตาจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินจากระยะไกล จากนั้นก็หลับตาลดศีรษะลงเพื่อคำนับอีกครั้ง!
เสียงต่ำดังสะท้อนออกมาทั่วบริเวณ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมด
“คำนับสาม—ทำลายล้างสรรพสิ่ง!”
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1333 กราบศพเทพสามครั้ง
หวือ หวือ!
พายุสีเหลืองคำรามลั่นในเจดีย์ ขณะที่พัดเข้าหามหาสมุทรรัศมีศพ สีหน้าของซือเทียนโยวที่ยืนอยู่ในมหาสมุทรซากศพก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
ชี่ ชี่!
ทันใดนั้นเมื่อพายุสีเหลืองสัมผัสกับรัศมีศพ รัศมีที่หนาแน่นก็สลายไปอย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกนั้นราวกับหิมะต้องลาวา
ดวงตาของมู่เฉินสว่างวาบกับภาพเบื้องหน้า พายุหลอมวิญญาณไม่เพียงแต่ละลายคลื่นหลิง แต่ยังมีผลเช่นเดียวกันกับรัศมีศพด้วย
จากการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่ มู่เฉินได้ลิ้มรสความแข็งแกร่งของรัศมีศพแล้ว สิ่งนี้เต็มไปด้วยความสามารถในการกัดกร่อนและยังกลืนกินพลังชีวิตอีกด้วย หากไม่ใช่เพราะคลื่นหลิงเขาถูกขยายผ่านเจดีย์พุทธะเพิ่มพลังผนึกเข้าไปละก็ เขาคงต้องทนทุกข์ทรมานในสิ่งนี้อย่างแน่นอน
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพายุหลอมวิญญาณ รัศมีศพของซือเทียนโยวก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว
ภายใต้แนวปกป้องของรัศมีศพ สีหน้าของซือเทียนโยวก็ดูน่าเกลียดมาก พายุหลอมวิญญาณนี้ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน
ชี่!
พายุสีเหลืองกวาดออกอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ผลกระทบของการละลายจากพายุหลอมวิญญาณ รัศมีศพรอบร่างซือเทียนโยวก็สลายลงไปเรื่อยๆ
ไม่ว่าซือเทียนโยวจะพยายามเสริมรัศมีศพอย่างไร ก็ไม่สามารถขัดขวางการสลายตัวนี้ได้
ดังนั้นไม่กี่นาทีต่อมารัศมีศพรอบตัวก็หมดลงอย่างสมบูรณ์ เผยให้เห็นร่างของซือเทียนโยว
“ไป”
มู่เฉินชี้นิ้วด้วยสายตาเย็นชา พายุหลอมวิญญาณก็ส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งเข้าไป ก่อนหน้านี้เพียงแค่จัดการแนวป้องกันของซือเทียนโยว ลำดับต่อไปต้องทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัส
พายุสีเหลืองล้อมรอบร่างซือเทียนโยวที่พยายามหลบหนี ทันใดนั้นเสื้อผ้าของเขาก็ขาดวิ่นเผยให้เห็นร่างซีดแห้งเหี่ยว แม้จะดูผอมราวกับโครงกระดูก แต่ก็มีแสงสีดำกะพริบอยู่บนพื้นผิวทำให้ดูเหมือนเหล็กกล้าที่ทนทาน
แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพายุหลอมวิญญาณ
เส้นใยพายุสีเหลืองกวาดผ่านร่างซือเทียนโยว ผิวซีดของเขาก็ฉีกออกจากกัน บาดแผลเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแสดงสัญญาณว่ากำลังสลายกลายเป็นฝุ่น
ซือเทียนโยวพยายามหลบหนี แต่พายุหลอมวิญญาณก็ตามติดไปอย่างใกล้ชิด
การไล่ล่าครั้งนี้กินเวลาไม่กี่นาที ร่างซือเทียนโยวก็กลายเป็นสภาพน่าสมเพช ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผล แม้แต่รัศมีศพที่ปกคลุมก็เบาบางลง
เผชิญหน้ากับพายุหลอมวิญญาณที่ไม่สามารถป้องกันได้ แม้แต่ซือเทียนโยวก็ทำอะไรไม่ถูก
“ฉิบหาย!”
ซือเทียนโยวคำราม ถ้าเป็นการปะทะซึ่งหน้า เขาก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย แต่พายุสีเหลืองที่ผิดปกตินี้ กลับทำให้เขารู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เป็นแบบนี้ต่อไม่ได้!” ซือเทียนโยวคำรามในใจ หากเขายังคงวิ่งหนีพายุหลอมวิญญาณที่ควบคุมโดยมู่เฉินไปเรื่อยๆ แบบนี้ ไม่นานรัศมีศพของเขาก็จะหมดลงอย่างสมบูรณ์ ตอนนั้นเขาคงนอนเป็นปลาบนเขียงให้มู่เฉินแล่เนื้อเถือหนังตามใจชอบ
สายตาของซือเทียนโยววูบไหว ในเวลาต่อมาก็กัดฟันกรอดราวกับว่าได้ตัดสินใจแล้ว
อึดใจต่อมามือเขาก็ประสานกันรัศมีศพหนาแน่นหลั่งไหลออกมาจากรูขุมขน ก่อนที่จะกลายเป็นรังไหมห่อหุ้มเขาไว้
“โล่กำเนิดศพ!”
เมื่อรังไหมห่อหุ้มตัวเอาไว้ เสียงของซือเทียนโยวก็ดังออกมาเบาๆ
ทว่าพายุหลอมวิญญาณก็สลายรังไหมไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อถูกสลายไปก็มองเห็นแต่โครงกระดูกแห้ง ร่างของซือเทียนโยวอันตรธานหายไป
ม่านตามู่เฉินหดลงกับภาพที่เห็น ก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง ใบหน้าเขาเปลี่ยนไป “เขาหนีออกจากเจดีย์ไปแล้วเหรอเนี่ย?”
เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีศพที่เป็นของซือเทียนโยวที่ด้านนอกเจดีย์
“ทักษะทดแทนเรอะ? แปลกประหลาดเหลือเกิน” ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลง เนื่องจากกระบวนท่าของซือเทียนโยวครั้งนี้พิเศษอย่างมาก โครงกระดูกนี้แลกชีวิตแทน ส่วนตัวเขาหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย
ในขณะที่มู่เฉินตื่นตะลึงกับวิธีดังกล่าว เขาก็รู้สึกโชคดีที่สามารถบีบให้ซื้อเทียนโยวใช้วิธีนี้กับพายุหลอมวิญญาณ หากอีกฝ่ายใช้ในช่วงเวลาสำคัญก็จะสามารถหลอกตาได้อย่างสมบูรณ์และใช้โอกาสนี้ในการโจมตี เพื่อพลิกสถานการณ์
“แต่กระบวนท่านี้ต้องมีขอบเขตจำกัด ดังนั้นซือเทียนโยวคงไม่สามารถใช้ได้อีก”
มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะมองพายุหลอมวิญญาณในเจดีย์ด้วยรอยยิ้ม ที่จริงซือเทียนโยวผวาพายุนี้มาก หลังจากที่ตกไปในสภาพน่าสมเพช หากเขาสงบสติอารมณ์และสังเกตดีๆ ก็จะตระหนักว่าแม้ว่าพายุหลอมวิญญาณจะทรงพลัง แต่เป็นสิ่งที่มีจำกัด เป็นเพียงเรื่องเวลาที่มันจะหมดไป
นั่นเป็นเพราะตอนนี้พายุหลอมวิญญาณเริ่มเบาบางลงเมื่อเวลาผ่านไป
แต่โชคดีที่มู่เฉินบรรลุเป้าหมายเสียก่อน
เขาสะบัดแขนเสื้อ เจดีย์ก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะพุ่งเข้ามาสถิตในนัยน์ตา ตัวเขาก็ปรากฏบนแท่นบูชาอีกครั้งพลางมองไปที่ซือเทียนโยวด้วยสายตาเยาะเย้ย
ตอนนี้ซือเทียนโยวดูน่าอนาถมาก ร่างกายซูบซีดปกคลุมไปด้วยบาดแผล เนื้อเต้นยุบยับพยายามที่จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากความเสียหาย
โห่
ทุกคนรอบแท่นบูชาพุ่งความสนใจมายังการเผชิญหน้ากันของทั้งสองพร้อมกับแววตาตกตะลึง พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าในเวลาเพียงสิบนาทีหลังจากที่มู่เฉินดึงซือเทียนโยวเข้าไปในเจดีย์ อีกฝ่ายจะกลับออกมาด้วยสภาพเช่นนี้
เกิดอะไรขึ้นในเจดีย์กันถึงทำให้ซือเทียนโยวดูน่าสมเพชขนาดนี้?
ผู้คนแลกเปลี่ยนสายตากันด้วยความสงสัยพล่านในหัวใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่ามู่เฉินช่างลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้
มั่วซินและเฉวียนหลัวที่กำลังต่อสู้ก็รู้สึกตกใจ จากนั้นความรู้สึกหวาดผวาหนักจากวิธีของมู่เฉินก็ผุดขึ้นในใจ
ขณะที่เนื้อสีซีดเต้นยุบยับ ซือเทียนโยวก็เขม่นมองมู่เฉินด้วยสายตาน่ากลัวยิ่งขึ้น ตอนนี้เขาราวกับหมาป่าดุร้ายที่กำลังวางแผนการตอบโต้ ขณะที่เลียบาดแผลของตัวเองไปด้วย
“ไม่คิดว่าจะมีวันที่ข้าซือเทียนโยวตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้” เสียงของซือเทียนโยวฟังราวกับสะท้อนมาจากนรก จิตสังหารเข้มข้นทำเอาหัวใจของผู้คนต้องตัวแข็งทื่อ
เมื่อเห็นสายตาของซือเทียนโยว ม่านตามู่เฉินก็หดลงก่อนที่ร่างกายจะค่อยๆ เกร็งเครียดขึ้น ยามนี้ซือเทียนโยวราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะคลั่ง
ทันใดนั้นดวงตาของซือเทียนโยวก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว ไม่กี่ลมหายใจต่อมาทั้งนัยน์ตาก็ขาวโพลนพร้อมกับรูม่านตาหายไป
ดวงตาสีขาวคู่นั้นประหนึ่งดวงตาเทพแห่งความตาย เปล่งรัศมีความตายที่น่ากลัวออกมา
เมื่อมองไปที่ดวงตาคู่นั้น คลื่นหลิงก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของมู่เฉินทันที กลายเป็นร่างสีม่วงทองที่เบื้องหลัง เขาเร้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมาทันที
นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ไม่อาจอธิบายได้จากดวงตาคู่นั้น ทำให้เขาเรียกร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมาโดยสัญชาตญาณเพื่อได้รับการป้องกันที่ทรงพลังที่สุด
ร่างของซือเทียนโยวค่อยๆ ลอยขึ้นก่อนที่จะคุกเข่าบนท้องฟ้าพร้อมกับร่างแห้งเหี่ยวยิ่งเหี่ยวเฉาลงเรื่อยๆ ราวกับว่าพลังทั้งหมดในเนื้อหนังถูกบีบออก
ร่องรอยสีซีดเล็ดลอดออกมาจากเนื้อหนัง ก่อนที่จะหลอมรวมกับรัศมีศพข้างหลัง ค่อยๆ ก่อร่างเป็นยักษ์สีซีดที่มีความสูงพันจั้ง
ร่างยักษ์พร่าเลือนดูเหมือนจะสวมมงกุฎสีดำถือเคียวสีขาวพร้อมปลดปล่อยรัศมีความตายดุเดือดรุนแรง มองคล้ายเทพแห่งความตายยาตราขึ้นมาบนโลกมนุษย์
รัศมีความตายไม่มีที่สิ้นสุดกระจายไปทั่วสวรรค์และโลก ทำให้การต่อสู้บริเวณโดยรอบหยุดชะงักลง คนทั้งหมดพุ่งมองไปที่แท่นบูชาด้วยสายตาหวาดผวา
“นั่นมันอะไร?”
เมื่อมั่วซินและเฉวียนหลัวเห็นเงายักษ์นั้น สายตาก็ปรากฏความตกตะลึง ชัดว่ารู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายหนาแน่นจากบนนั้น
เมื่อจอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวและเผ่าเตาหมัวเห็นภาพนี้ ความกลัวก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่พวกเขาจะแลกสายตาอุทานขึ้นว่า “ซือเทียนโหยวเรียนรู้ทักษะเทพของเผ่าซือหมัวได้สำเร็จหรือเนี่ย!”
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะฉายแววตกตะลึงมองไปที่มู่เฉิน การที่จะบังคับซือเทียนโยวมาถึงจุดนี้ได้ ชายหนุ่มคนนั้นจะต้องมีพลังน่าเหลือเชื่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว เขารู้สึกโชคดีที่ตอนต่อสู้กับมู่เฉิน อีกฝ่ายไม่ได้จริงจัง ไม่เช่นนั้นเขาไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะหลบหนีออกมาได้
กระทั่งจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างซือเทียนโยวยังถูกบังคับให้ต้องใช้ทักษะนี้ ดังนั้นสามารถจินตนาการได้ว่ามู่เฉินร้ายกาจแค่ไหน
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงมากมาย ม่านตามู่เฉินก็หดเกร็งลง รังสีอันตรายนั้นทำให้หัวใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำ จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึก รหัสเทพอมตะหลายสิบลวดลายเริ่มรวมตัวเป็นหอกยาวซัดใส่ซือเทียนโยว
เขาต้องหยุดไม่ให้อีกฝ่ายทำสำเร็จ
ปัง!
แต่หอกกลับแตกออกเมื่ออยู่ห่างจากซือเทียนโยวอีกหลายสิบจั้ง ก่อนที่สลายเป็นอากาศธาตุ
ซือเทียนโยวไม่ได้สนใจกับการรบกวนของมู่เฉิน ดวงตาสีขาวขุ่นจ้องมองมู่เฉินโดยไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงไปในทิศทางของมู่เฉิน
ขณะเดียวกันร่างยักษ์ที่อยู่ข้างหลังก็ทำเช่นกัน
เสียงที่อัดแน่นด้วยเจตนาฆ่าไร้ขอบเขตสะท้อนออกมา
“กราบศพเทพสามครั้ง!”
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1332 พลังอำนาจพายุหลอมวิญญาณ
“มาลองกันอีกรอบไหมล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำถามยั่วยุจากมู่เฉิน สายตาของซือเทียนโยวก็กะพริบด้วยแสงเย็นเยือกขณะที่ยิ้มน่าขนลุก “แกคิดว่าแค่เพิ่มจำนวนคนก็สู้กับข้าและศพราชันปีศาจได้แล้วเรอะ? ปัญญาอ่อนจริงๆ!”
หลังจากพูดจบก็โบกมือพูดเสียงเหี้ยม “สังหารไอ้กองทัพเส็งเคร็งนี่ทั้งหมด ไม่ต้องไว้ชีวิตใคร!”
โฮก!
ศพคำรามพร้อมกับรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากแผ่ออกมาจากโครงกระดูก สร้างความหายนะระหว่างสวรรค์และโลก ทำให้สั่นสะเทือนไปหมด
เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันนี้ ใบหน้าของจอมยุทธ์มหาพันภพก็เปลี่ยนไป ดวงตาแต่ละคนพล่านด้วยความกลัว แม้แต่ท่าทางของมั่วซินและเฉวียนหลัวก็ดิ่งลง
ฟิ้ว!
ศพราชันปีศาจกลายเป็นลำแสง ขณะที่ทะยานไปยังกองทัพมังกรดำที่มีนักรบที่แข็งแกร่งถึงห้าพันคน
“หึ”
มู่เฉินเค้นเสียงขึ้นจมูก รัศมีจั้นยี่จากนักรบมังกรดำห้าพันคนก็พวยพุ่งสูง ทำให้สวรรค์และโลกเปลี่ยนสี ขณะที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่คำรามรุนแรง มังกรขนาดใหญ่เหยียดหัวออกเปิดปากกว้างพร้อมกับลมปราณมังกรที่ยาวเหยียดไม่สิ้นสุดพุ่งเข้าใส่ราชันปีศาจที่ตะลุยเข้ามาด้วยคลื่นทำลายล้าง
“โฮก!”
ราชันปีศาจคำราม แต่ก็ไม่ได้ถอย เผชิญหน้ากับรัศมีจั้นยี่ลมปราณมังกร มันก็เปิดปากควันปีศาจขนาดใหญ่พวยพุ่งออกมาปะทะกัน
ครืน!
จังหวะที่พลังงานสองสายสัมผัสกันนั้น ทั่วบริเวณก็โยกคลอนไปหมด พายุเฮอริเคนที่ไม่สามารถบรรยายได้สร้างความหายนะให้กับผู้คนจำนวนมากที่อยู่ด้านล่าง คลื่นกระแทกซัดเข้าใส่พวกเขา
ทว่าแม้จะถูกเป่ากระเด็น แต่ทุกคนก็ยังจับจ้องไปที่การปะทะกัน
เมื่อพายุเฮอริเคนหายไป ลมปราณมังกรและควันปีศาจก็ยังคงอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะกระจัดกระจาย มองจากรูปลักษณ์แล้วเสมอกัน!
เห็นได้ชัดว่าเมื่อบวกนักรบอีกสองพันคน รัศมีจั้นยี่ก็สามารถเผชิญหน้ากับศพราชันปีศาจได้
ดังนั้นเสียงโห่ร้องจึงดังขึ้นรอบแท่นบูชา คนที่รู้สึกหวาดกลัวกับการปรากฏของศพราชันปีศาจในตอนแรกก็รู้สึกโล่งใจลงมาก
“เขาทำได้จริงๆ!” ชิงหลิงเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อเขียนอยู่บนใบหน้า
นั่นคือศพราชันปีศาจเชียวนะ! แม้แต่มั่วซินยังถลาออกไป แต่มู่เฉินกลับสามารถต้านทานได้ด้วยกองทัพ!
ชิงซวงกัดริมฝีปากขณะที่มองร่างอ่อนเยาว์ด้วยสายตาซับซ้อน เห็นได้ชัดว่าฉากนี้ส่งผลกระทบต่อนางอย่างมาก
เทียบกับคำอุทานชื่นชมของพวกนาง ใบหน้าของมั่วซินและเฉวียนหลัวกลับมืดครึ้มราวกับก้นหม้อ ในอดีตพวกเขาจะเป็นจุดสนใจของทุกคน แต่วันนี้พวกเขาดันตกเป็นผู้สังเกตการณ์
เสียงโห่ร้องโดยรอบทำเอาซือเทียนโยวขมวดคิ้ว ก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แม้ว่าเขาจะได้รับศพราชันปีศาจมา แต่มู่เฉินก็ได้รับกองทัพยิ่งใหญ่ที่เคยสังหารจอมปีศาจผู้นี้ในอดีต
ด้วยความแข็งแกร่งของกองทัพนี้ มู่เฉินไม่จำเป็นต้องกลัวศพราชันปีศาจเลย!
ดวงตาของซือเทียนโยวกะพริบก่อนที่จะกวาดสายตาไปที่โลงศพสีดำบนแท่นบูชาด้วยความโลภ นั่นคือเศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียน! หากเขาได้รับและปรับแต่งได้สำเร็จ เขาจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับราชันได้!
ดังนั้นไม่ว่ายังไงเขาจะต้องได้รับเศษวิญญาณจอมปีศาจนั่น!
เขาโบกมือ ศพราชันปีศาจก็พุ่งเข้าหากองทัพอีกครั้ง ขณะที่ตัวเขามุ่งหน้าไปยังจุดสูงสุดของแท่นบูชา
การกระทำนี้ทำให้ผู้คนตกตะลึงหวาดหวั่น เหล่าจอมยุทธ์มหาพันภพรู้ว่าถ้าซือเทียนโยวทำลายโลงศพ ปลดปล่อยเศษวิญญาณออกไป ไม่มีใครที่อยู่นี่ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อได้!
สายตาของมั่วซินและเฉวียนหลัวเปลี่ยนไปก่อนที่เคลื่อนไหว ตั้งใจที่จะขัดขวางซือเทียนโยว เนื่องจากพวกเขารู้ว่ามีผู้สืบทอดได้เพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นผู้ที่มีผลงานยอดเยี่ยมที่สุดจะมีโอกาสได้รับสูง ตอนนี้มู่เฉินกำลังยุ่งอยู่กับศพราชันปีศาจ พวกเขาก็สามารถฉวยโอกาสนี้เพื่อคว้าผลประโยชน์ได้!
“ไปไหน!”
แต่เมื่อพวกเขาเคลื่อนไหว จอมยุทธ์เผ่าปีศาจสองคนก็ปรากฏตัวตรงหน้า ขัดขวางทั้งสองไว้
“ไสหัวไป!”
มั่วซินและเฉวียนหลัวแผดเสียง พายุคลื่นหลิงกวาดไปหาจอมยุทธ์เผ่าปีศาจทั้งสอง
ตู้ม ตู้ม!
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงเข้าโรมรันพันตูกันอีกครั้ง ความปั่นป่วนสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว
มู่เฉินก็เห็นการเคลื่อนไหวของซือเทียนโยวเช่นกัน ทันใดนั้นสายตาก็หดเกร็ง เขารู้ดีถึงความตั้งใจของอีกฝ่าย ดังนั้นจึงไม่มีทางปล่อยให้ซือเทียนโยวทำสำเร็จอย่างแน่นอน
มู่เฉินทะยานออกไป แยกตัวออกจากกองทัพ ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งไปที่แท่นบูชา สำหรับกองทัพมังกรดำมีร่างรองของเขาควบคุม แม้ว่าจะไม่ง่ายเมื่อเทียบกับสามคนควบคุม แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขาในการควบคุมรัศมีจั้นยี่เพื่อขัดขวางศพราชันปีศาจเอาไว้
มู่เฉินพุ่งลงไปบนแท่นสายตาจ้องเขม็งที่ซือเทียนโยว
อีกฝ่ายก็หยุดมองมาด้วยแววตาอันตราย “แกช่างกล้านัก กล้าแยกตัวออกจากกองทัพเพื่อมาหยุดข้าด้วยตัวคนเดียวเนี่ยนะ? ด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายนี่นะเหรอ?”
มู่เฉินยิ้มขณะที่ตอกกลับ “ได้ลองก็รู้เอง”
“ถ้างั้นข้าขอลองดูเลยละกัน!”
ซือเทียนโยวแสยะยิ้มน่ากลัว จากนั้นร่างก็หายไป ขณะที่มิติสั่นไหวก็สามารถมองเห็นเงาแสงเลือนรางพุ่งทะลุมิติทะยานเข้าใส่มู่เฉินเต็มแรง
มู่เฉินสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ฝ่าเท้ากระแทกลงไป สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนบินฉวัดเฉวียนออกไปรวมเข้ากับสภาพแวดล้อม
“ค่ายกลเพลิงทะยาน!”
ขณะที่มู่เฉินคำราม ค่ายกลขนาดใหญ่ก็ก่อร่างพร้อมกับพลังงานหลิงไร้ขอบเขตรวบรวมเข้าด้วยกัน เป็นร่างมหึมาปลดปล่อยอุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวที่เบื้องหน้าพลางชกหมัดออกไปในทิศทางของมิติที่กำลังบิดเบือน
ปัง!
มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ร่างซือเทียนโยวปรากฏตัวขึ้น เขามองไปที่ค่ายกลเพลิงทะยานที่พวยพุ่ง แสงเย็นเยือกวูบไหวในดวงตา เขางอเข่าลงเล็กน้อยเขา กลายเป็นภาพลวงตาเผยตัวที่เบื้องหน้าร่างมหึมาในอึดใจต่อมา
มือราวกับใบมีดห่อหุ้มด้วยรัศมีความตายที่น่ากลัว แทงทะลุมิติเสือกเข้าไปที่หน้าอกของร่างมหึมานั้นทันที
เมื่อรัศมีความตายแผ่ออก ร่างยักษ์มหึมาก็สลายไปพร้อมกับค่ายกลเพลิงทะยาน
“ทรงพลังมาก!”
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหดตากับฉากนี้ เนื่องจากเขาไม่คิดว่าซือเทียนโยวจะทรงพลังขนาดนี้ ค่ายกลเพลิงทะยานกักเขาได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ!
“แกเป็นรายต่อไป!”
ทำลายค่ายกลเพลิงทะยานเรียบร้อย ซือเทียนโยวก็คลี่ยิ้มน่าขนพองสยองเกล้ามาปรากฏตัวตรงหน้ามู่เฉิน จากนั้นก็กระแทกฝ่ามือออกไปพร้อมกับกลิ่นอายความตายเชี่ยวกราก ซึ่งดูเหมือนว่าสามารถกลืนกินพลังทั้งหมดได้
สายตาของมู่เฉินวาบขึ้นกับฉากนี้ ก่อนที่ผลึกคลื่นหลิงจะมาบรรจบกัน มือทั้งสองข้างของเขากลายเป็นผลึกแก้วใส ขณะที่เผชิญหน้ากับฝ่ามือของซือเทียนโยว
ตู้ม!
พื้นใต้เท้าพวกเขาซึ่งสร้างจากวัสดุพิเศษแตกออก เมื่อรัศมีความตายหนาแน่นห่อหุ้มฝ่ามือของมู่เฉินกลืนกินพลังชีวิตของเขาอย่างต่อเนื่อง
ทว่าผลึกแสงก็เบ่งบานจากฝ่ามือของมู่เฉิน พยายามปิดผนึกรัศมีความตายไว้
เมื่อฝ่ามือทั้งสองปะทะกัน ดวงตาของมู่เฉินก็วาบแสง เจดีย์เทพทะยานออกมาขยายตัวเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ห่อหุ้มมู่เฉินและซือเทียนโยวเอาไว้
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้ซือเทียนโยวขมวดคิ้ว มู่เฉินจงใจรับกระบวนการของเขาซึ่งหน้าเพื่อที่จะดักจับเขาไว้ในเจดีย์
กลิ่นอายความตายปกคลุมซือเทียนโยวขณะที่สายตามองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง อึดใจต่อมาเขาก็จับจ้องไปที่ลูกกลมผลึกแก้วใสซึ่งมีเส้นใยสายลมสีเหลืองส่งเสียงหวีดหวิวอยู่ภายใน
ซือเทียนโยวรู้สึกหนังหัวลุกชันไปหมดกับสายลมนี้
“รู้สึกได้แล้วเหรอ?”
มู่เฉินยิ้มบาง จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ลูกกลมแสงที่ลอยอยู่เหนือเจดีย์เทพเริ่มจางหายไป ปลดปล่อยพายุที่ปิดผนึกอยู่ภายใน
หวือ หวือ!
เมื่อผนึกหายไป พายุหลอมวิญญาณที่ดักอยู่ภายในก็ส่งเสียงครางกระหึ่ม ด้วยความคิดเข้าควบคุม พลังงานปิดผนึกก็กระจายออกในเจดีย์พุทธะ จำกัดพายุหลอมวิญญาณให้ห่อหุ้มไปทางซือเทียนโยว
ภายในเจดีย์ พายุสีเหลืองสร้างหายนะไปทั่ว ปลดปล่อยรัศมีน่ากลัวออกมา
เมื่อเห็นพายุนี้ ใบหน้าของซือเทียนโยวก็เปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้ เขาไม่กล้าที่จะชักช้า หายใจเข้าลึกสุดปอด รัศมีศพไม่สิ้นสุดพ่นออกมาจากปากเขา ก่อตัวเป็นมหาสมุทรปกป้องเขาไว้ภายใน
ขณะที่ซือเทียนโยววาดกระบวนท่าป้องกันตัว พายุหลอมวิญญาณก็กวาดเข้ามา ซัดเข้าที่มหาสมุทรรัศมีศพไม่ยั้ง
มู่เฉินมองไปที่ฉากเบื้องหน้าอย่างอยากรู้ เขาอยากเห็นว่า ‘พายุหลอมวิญญาณ’ ที่เขาได้ผนึกจากแรงกระตุ้นกะทันหันในตอนนั้นจะทรงพลังเพียงใด
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1331 สู้กับศพราชันอีกครั้ง
เสียงของมู่เฉินสะท้อนทั่วบริเวณ
ซึ่งดึงดูดสายตาตกตะลึงมากมายเข้ามา เพราะไม่มีใครคิดว่าคนแรกที่จะยืนหยัดต่อสู้กับซือเทียนโยวจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
“มันอยากตายนักรึไง!”
สายตาของมั่วซินมืดครึ้มลงเมื่อมองมู่เฉิน เขาได้ลิ้มรสพลังของซากนั่นไปเมื่อครู่ จากการคาดการณ์แม้ว่าเขาจะใช้พลังและนำไพ่ตายออกมาทั้งหมด โอกาสในการชนะของเขาก็ไม่สูงนัก
เพราะศพราชันทรงพลังเกินไป!
มู่เฉินกล้ายืนหยัดต่อสู้กับบางสิ่งที่แม้แต่มั่วซินยังไม่สามารถต่อกรได้ ซึ่งในสายตาเขานี่เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ
เฉวียนหลัวก็หรี่ตาพร้อมกับแววเยาะเย้ยโค้งที่มุมปาก ชัดว่ากำลังหัวเราะมู่เฉินที่ช่างอหังการเกินไป
“พี่ใหญ่ชิงซวง เขาจะทำได้เหรอ?” ชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะดึงแขนเสื้อของชิงซวง แม้ว่าพวกนางจะเคยเห็นความแข็งแกร่งของมู่เฉินมาก่อนและในใจพวกนางมู่เฉินก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ามั่วซินและเฉวียนหลัว
แต่ศัตรูที่ต้องเผชิญในครั้งนี้น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่มั่วซินที่ทรงพลังยังถูกซัดกระเด็นออกไปด้วยหมัดเดียว? นอกจากนี้ซือเทียนโยวยังไม่ได้เคลื่อนไหวเลยนะ
ชิงซวงก็เม้มริมฝีปากพร้อมกับความสับสนพล่านในหัวใจ แต่ในเวลานี้ไม่มีอะไรที่พวกนางสามารถทำได้ยกเว้นเชื่อในตัวมู่เฉิน
“ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะทำ ข้าเชื่อว่าเขาน่าจะมีความมั่นใจพอสมควร” ชิงซวงกล่าวว่า จากการรู้จักที่สัมผัสมาก่อนหน้า มู่เฉินมีพื้นนิสัยใจเย็นและไม่ประมาท การฝืนตัวในสนามรบไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำออกมาได้”
ชิงหลิงพยักหน้า นางทำได้แค่ปลอบใจตัวเองในเวลานี้
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจสายตาสงสัยที่จ้องมองมา สายตาของเขาจับจ้องไปที่ซือเทียนโยวตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยแววตาแหลมคมราวกับเหยี่ยว
“อา แกนั่นเอง…”
ซือเทียนโยวรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นมู่เฉิน ก่อนที่จะหัวเราะออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “แต่แกช่างกล้าที่สะเออะยืนหยัดต่อหน้าข้าแบบนี้”
ซือเทียนโยวมองไปที่ศพพร้อมกับหรี่ตายิ้ม “แกไม่รู้สึกถึงความแข็งแกร่งของมันเรอะ? หลังจากถูกข้าปรับแต่งแล้วตอนนี้พลังของมันมีมากกว่าเดิมหลายส่วนเลย”
มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น “แล้วยังไงล่ะ? ก็แค่ซากศพไม่ใช่ราชันที่แท้จริง”
“โอ้อวดซะเหลือเกิน” ซือเทียนโยวตอบเสียงเย็นเยือกเมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่สนใจศพราชันโดยสิ้นเชิง
“ข้าโอ้อวดหรือไม่ มาสู้กันเดี๋ยวก็รู้” มู่เฉินเยาะเย้ย
ซือเทียนโยวมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นเยือก ไอสังหารกะพริบผ่านดวงตาไป
วาบ!
จังหวะนั้นเองศพราชันก็พุ่งออกมายื่นมือแห้งเหี่ยวทะลุมิติตรงเข้าคว้าลำคอของมู่เฉิน
กรงเล็บทำให้มิติแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พลังน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ทว่ามู่เฉินได้ตั้งระวังศพราชันมานานแล้ว ดังนั้นเมื่อมิติแตกสลายเขาก็แตะปลายเท้าถอยออกไปทิ้งภาพมายาไว้เบื้องหลัง
ขณะที่ล่าถอย มู่เฉินก็รูดแหวนสีดำบนนิ้ว
ฮึ่ม
แสงพร่างพราวระเบิดออกบนท้องฟ้า ทุกคนพากันตกใจไปเมื่อเห็นร่างเงาหลายพันร่างยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมของมู่เฉิน
เมื่อเงาร่างนับพันปรากฏขึ้นรัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ก็กวาดไปทั่วพื้นที่ทั้งหมด
ม่านตาของมั่วซินและเฉวียนหลัวหดเกร็งลงในขณะนี้ กระทั่งพวกเขาที่ใจเย็นก็ยังอกตกใจไม่ได้เมื่อเห็นนักรบหลายพันคนปรากฏตัวออกมา ยิ่งเมื่อรู้สึกถึงรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต พวกเขาก็ต้องร้องอุทาน “รัศมีจั้นยี่? นี่คือกองทัพหรือเนี่ย?!”
ด้วยรัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลังนี่จะต้องเป็นกองทัพชั้นยอดแน่นอน
ชิงหลิงและชิงซวงเบิกตากว้าง พักใหญ่กว่าจะร้องอุทานออกมา “เขาครอบครองกองทัพที่ทรงพลังเช่นนี้เชียวหรือ?”
รัศมีจั้นยี่ที่กระจายออกจากกองทัพนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างชิงซวงยังรู้สึกหวาดกลัว
นี่คือกองทัพมังกรดำที่ปรากฏตัวบนท้องฟ้า โดยมีเจียงหลงยืนอยู่ด้านหน้า เขาหันไปมองมู่เฉินป้องมือคารวะ “จอมทัพมู่”
“จอมทัพมู่!”
นักรบมังกรดำหลายพันคนเปล่งเสียงดังกึกก้องออกมาอย่างเป็นระเบียบประหนึ่งเสียงฟ้าคำรนเลยทีเดียว กระบวนทัพนี้ทำให้ผู้คนมากมายตกตะลึง
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ มองที่กองทัพมังกรดำก่อนจะยกคางขึ้นไปในทิศทางของศพ “แม่ทัพเจียงหลง เราได้พบเพื่อนเก่าอีกครั้งแล้ว”
เจียงหลงหันกลับไปมอง ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังหลังจากเห็นซากร่างนั่น “จอมทัพมู่โปรดสั่งการเพื่อเราจะได้ฉีกศพเส็งเคร็งนั่นเป็นชิ้นๆ”
“ไอ้โง่ทั้งยวง รนหาที่ตาย!”
ซือเทียนโยวยิ้มน่าขนลุกก่อนที่จะสะบัดมือ “ฆ่าพวกมันทั้งหมดซะ!”
โฮก!
ศพคำรามลั่น รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากพวยพุ่ง อึดใจมันก็พ่นควันปีศาจมหาศาลพุ่งใส่กองทัพมังกรดำ
หากนี่เป็นกองทัพธรรมดาปะทะกับศพราชันปีศาจละก็ อาจจะล่มสลายไปในพริบตาพร้อมกับกำลังใจทั้งหมดสูญเสีย แต่นี่คือกองทัพมังกรดำที่สามารถปราบปรามราชันปีศาจได้เมื่อในอดีต แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังไม่สามารถแสดงความแข็งแกร่งเต็มที่ในมือมู่เฉิน แต่ราชันปีศาจตัวนี้ก็เป็นเพียงศพ
“สู้!”
เจียงหลงคำราม นักรบมังกรดำหลายพันคนก็ปลดเปล่งเสียงตะโกน อึดใจต่อมารัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากก็กลายเป็นมหาสมุทรไร้ขอบเขต ขณะที่ม้วนตัว แม้แต่มิติก็ทนรับไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินรวมตัวกับรัศมีจั้นยี่มังกรดำ สัมผัสถึงพลังอันไร้ขอบเขต เพียงแค่คิดกรงเล็บมังกรที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วนก็เหยียดขึ้นจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่พุ่งไปในทิศทางของศพราชันปีศาจ
“โฮก!”
ศพคำรามไม่ได้ถอยกลับ มันเหวี่ยงฝ่ามือออกไปเพื่อตอบโต้ กำปั้นแห้งเหี่ยวปะทะกับกรงเล็บของมังกรจังใหญ่
ครืนๆๆๆ!
ขณะที่พลังสองสายปะทะกันก็เกิดเสียงสนั่นหวั่นไหว ศพราชันปีศาจก็หยุดชะงัก ทว่ากรงเล็บมังกรถูกผลักกลับไป มิหนำซ้ำยังมีรอยแตกกระจายออกราวกับว่ากำลังจะแตกสลาย
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหดดวงตากับฉากนี้ “พลังของศพนั่นแข็งแกร่งขึ้นมากจริงๆ”
ย้อนไปในมิติมังกรดำ แม้ว่าศพราชันปีศาจจะไม่อ่อนแอ แต่ก็อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดเท่านั้น แต่หลังจากได้รับการปรับแต่งโดยซือเทียนโยว ก็แข็งแกร่งกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดธรรมดาไปเล็กน้อย
แม้ว่าจะเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ไม่มีใครในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะเทียบได้
“จอมทัพมู่ ซือเทียนโยวคงจะใช้ทักษะลับกระตุ้นพลังงานที่เหลืออยู่ในศพ ข้าเกรงว่านักรบมังกรดำสามพันคนจะไม่เพียงพอที่จะปราบแล้ว” เสียงของเจียงหลงซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิงดังก้องในโสตประสาทของมู่เฉิน
เห็นได้ชัดว่าเขาก็รู้สึกเช่นกันที่ศพราชันปีศาจแข็งแกร่งขึ้นมาก
มู่เฉินพยักหน้าขณะคลี่ยิ้ม “ในเมื่อสามพันสู้ไม่ได้… ก็เพิ่มไปอีกสองพัน!”
เจียงหลงอึ้งไปจากนั้นก็รีบตอบ “แต่ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของจอมทัพมู่ นักรบสามพันคนเป็นขีด จำกัดแล้ว มิฉะนั้นจะโดนผลกระทบย้อนกลับได้ง่ายนะขอรับ”
มู่เฉินยิ้มบางขณะที่มู่เฉินชุดดำและชุดขาวปรากฏขึ้นข้างกาย เขาคนเดียวสามารถควบคุมกองทัพมังกรดำสามพันคนเท่านั้น แต่ถ้าสามคนล่ะ
ด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา การควบคุมนักรบมังกรดำห้าพันคนก็ไม่เป็นปัญหา
มู่เฉินโบกมือแสงเปล่งออกมาจากแหวนมังกรดำอีกครั้ง อึดใจนักรบอีกสองพันนายก็ปรากฏขึ้น
เมื่อจำนวนนักรบเพิ่มขึ้นก็ทำให้สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไป มากจนกระทั่งใบหน้าของมั่วซินและเฉวียนหลัวบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดไปหมด
แม้ว่าพวกเขาจะหวาดเกรงกับกองทัพมังกรดำสามพันคนก่อนหน้า แต่ก็ยังไม่เพียงพอจะให้พวกเขารู้สึกกลัว แต่ด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้นอีกสองพันคน ทำให้ขนาดของรัศมีจั้นยี่น่าสะพรึงไปทั้งหัวใจ
‘ไอ้เวรนี่ไปได้กองทัพชั้นยอดนี่มาจากไหน?!’ หัวใจของมั่วซินดิ่งลึกลงราวกับมหาสมุทรขณะที่เขากรีดร้องอยู่ในใจ ในฐานะประมุขน้อยตระกูลมั่วเผ่าฝูถู เขารู้ชัดถึงคุณค่าของกองทัพชั้นยอดนี่
ใบหน้าของเฉวียนหลัวก็สลับไปมาระหว่างเขียวกับขาว ขณะที่มองมู่เฉินอย่างเย็นชา ยามนี้เขารู้สึกหน้าชาไปหมด ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาดูถูกมู่เฉิน เนื่องจากตัวเขาโดดเด่นที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าฝูถู ซึ่งแม้แต่มั่วซินก็แทบจะไม่สามารถแข่งขันกับเขาได้
สำหรับมู่เฉิน เขายิ่งมองอย่างดูถูก รู้สึกว่าตราบใดที่ปะทะกันก็จะสามารถซัดมู่เฉินหมอบราบคาบแก้วอย่างง่ายดาย
ดังนั้นสายตานิ่งสงบที่มองมู่เฉินจึงได้แฝงความเย่อหยิ่ง แต่ตอนนี้จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองน่าหัวเราะแค่ไหน
นั่นเป็นเพราะพลังที่เขาภาคภูมิใจไม่เป็นภัยคุกคามต่อมู่เฉินแม้แต่น้อย
พลังที่อีกฝ่ายแสดงออกมาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตัวเขาเลย!
การเทียบนี้ทำให้ใบหน้าของเฉวียนหลัวมืดครึ้มพร้อมกับไอเย็นเยือกวูบไหวในดวงตา
เขารู้สึกว่าภัยคุกคามที่มาจากมู่เฉินยิ่งใหญ่กว่ามั่วซินเสียอีก!
ตู้ม!
ขณะที่หัวใจของมั่วซินและเฉวียนหลัวเต้นรัว นักรบมังกรดำทั้งห้าพันคนก็รวบรวมรัศมีจั้นยี่เข้าด้วยกัน ทันใดนั้นสวรรค์และโลกก็เปลี่ยนไป ความกดดันที่น่ากลัวแผ่ขยายออกไปรุนแรง ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดันรุนแรง
มู่เฉินอยู่เหนือกองทัพ ส่วนมู่เฉินชุดดำและชุดขาวนั่งอยู่ท่ามกลางรัศมีจั้นยี่ขนาดใหญ่ ช่วยเขาแบ่งเบาภาระนี้ ขณะที่รู้สึกถึงรัศมีจั้นยี่ที่ยิ่งใหญ่และทรงพลัง มู่เฉินก็หายใจออกเบาๆ
ระดับของรัศมีจั้นยี่นี้น่าจะเป็นขีดจำกัดในปัจจุบันของเขา ด้วยสิ่งนี้เขาถึงมีพลังพอจะเผชิญหน้ากับศพราชันปีศาจได้
ดังนั้นเมื่อเขากวาดสายตาจ้องมองใบหน้าซือเทียนโยวที่เปลี่ยนไป เสียงหัวเราะแผ่วเบาก็สะท้อนไปมา
“มาลองกันอีกรอบไหมล่ะ?”
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1330 ซือเทียนโยวปรากฏตัวอีกครั้ง
ตู้ม!
ร่างปีศาจโชติช่วงด้วยเพลิงสีดำเหวี่ยงกำปั้นระเบิดมิติเบื้องล่าง จากนั้นพลังทำลายล้างและความร้อนก็ซัดอย่างรุนแรงลงบนร่างอเวจี
กำปั้นนี้สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดาได้อย่างง่ายดาย
มั่วซินยืนบนร่างเวทสวรรค์มองกำปั้นที่พุ่งเข้ามาก็แสยะยิ้มเย้ยก่อนที่จะประสานฝ่ามือเข้าด้วยกัน “ลวงตา!”
ร่างอเวจีใหญ่โตกระเพื่อมก่อนที่เงาดำจะเปลี่ยนเป็นภาพลวงตาทำให้กำปั้นทะลุผ่านไป
“ฝ่ามืออเวจี!”
เมื่อร่างอเวจีเปลี่ยนภาพลวงตา มั่วซินก็กระทืบเท้า ฝ่ามือร่างเทห์สวรรค์เปลี่ยนเป็นรูปธรรมพร้อมกับรัศมีเย็นเยือกปะทะกับร่างอสูรเพลิง
ตึง!
ฝ่ามือขนาดใหญ่ทำเอาร่างอสูรเพลิงสั่นเทิ้มก่อนที่มันจะถลากลับไปพร้อมกับไอเยือกเย็นครอบงำและดุร้ายกัดกร่อนร่าง แต่เปลวไฟที่หนาแน่นก็สามารถขัดขวางการโจมตีของร่างมหึมาไว้ได้
“ฆ่า!”
เมื่อการโจมตีถูกขัดขวางแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวก็ระเบิดอารมณ์คำรามทันที เปลวไฟลุกโชติช่วงบนร่างอสูรเพลิงพุ่งเข้าหามั่วซินอีกครั้ง
เผชิญหน้ากับแม่ทัพดุร้ายของเผ่าเหยียนหมัว มั่วซินก็เค้นเสียงเย็นทะยานออกไปพร้อมกับร่างอเวจี
ตู้ม ตู้ม!
ยักษ์ใหญ่ทั้งสองปะทะกัน ความปั่นป่วนที่น่าตกใจมากก็ทำเอาไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เพราะกลัวว่าจะโดยลูกหลงจากการต่อสู้นี้
ขณะที่มั่วซินกำลังโรมรันพันตูกับแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว เฉวียนหลัวที่ต่อสู้กับจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวก็ระเบิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ มีดปีศาจบินออกมาราวกับเครื่องจักรสังหาร ใครก็ตามที่ถูกรัศมีใบมีดกวาดใส่ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็จะกลายเป็นเนื้อสับ
มิหนำซ้ำยังทิ้งร่องรอยมีดไร้ก้นนับไม่ถ้วนไว้บนพื้นดิน
ทว่าเฉวียนหลัวไม่กลัวสักนิด ความเจิดจรัสของร่างมหาเจดีย์ก็สว่างไสว ก่อแนวป้องกันที่ไม่สามารถทำลายได้
เคร้ง เคร้ง!
ร่างมหาเจดีย์พุ่งเข้าไปในพายุรัศมีใบมีด ปล่อยให้รัศมีใบมีดคมกริบกวาดอาละวาด แต่ไม่ว่าอย่างไรการโจมตีก็ไม่สามารถฉีกแนวป้องกันของร่างมหาเจดีย์ได้
“ร่างแสงนิรันดร์ในตำนานมีการป้องกันที่ทรงพลังที่สุดในโลกและร่างมหาเจดีย์ที่ข้าได้รับก็ถ่ายทอดสิ่งนี้มา ดังนั้นการโจมตีของแกไม่สามารถผ่านแนวป้องกันของข้าได้หรอก” เฉวียนหลัวยืนอยู่บนไหล่ของร่างมหาเจดีย์ยิ้มบางขณะมองจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัว
“ดังนั้นต่อไปตาข้าบ้างล่ะ!”
เฉวียนหลัวยิ้ม จากนั้นร่างมหาเจดีย์ก็ยกเจดีย์ที่เปล่งแสงสว่างไสวบนมือขึ้น
“รัศมีประทับ!”
เมื่อเฉวียนหลัวส่งเสียงคำราม แสงไร้ขอบเขตก็ห่อหุ้มใบมีดขนาดใหญ่และจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัว ภายใต้ความกระจ่างใสของรัศมี รัศมีใบมีดป่าเถื่อนก็อ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว
ใบมีดปีศาจดูราวกับว่าร่วงหล่นลงไปในบึงโคลน ความเร็วลดเพราะบนใบมีดถูกแสงห่อหุ้ม
เมื่อรับรู้การเปลี่ยนแปลงใบหน้าของจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวก็เปลี่ยนไป เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีปีศาจบนใบมีดปีศาจถูกผนึก
เห็นได้ชัดว่าเขาประเมินความสามารถในการผนึกของเฉวียนหลัวต่ำเกินไป
“ตู้ม!”
ทว่าเฉวียนหลัวก็ไม่ได้ให้เวลาเขามากในการตกใจ ร่างมหาเจดีย์สาวเท้าออกมา เจดีย์เทพเปล่งแสงออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่อร่างเป็นหอกทะยานไปยังจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวที่ถูกผนึกจนอ่อนแอลง
โฮก!
จอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวคำรามลั่น ด้วยความคิดสายหนึ่งดาบขนาดใหญ่ก็เต้นระริกด้วยรัศมีปีศาจพวยพุ่งต่อต้านการโจมตีที่ทรงพลังจากเฉวียนหลัว
แต่เมื่อมองแล้วดูเหมือนว่าเขาจะค่อยๆ กลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ
รอบแท่นบูชา
ท่ามกลางสมรภูมิที่วุ่นวาย เมื่อมั่วซินและเฉวียนหลัวเป็นฝ่ายเหนือกว่าในการต่อสู้ ขวัญกำลังใจของจอมยุทธ์มหาพันภพก็เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เผ่าปีศาจเริ่มแสดงให้เห็นถึงความพ่ายแพ้
“สองคนนั่นฝีมือใช้ได้เลยจริงๆ”
มู่เฉินประหลาดใจกับภาพเหตุการณ์นี้ เขาหรี่ตาลงมองร่างมั่วซินและเฉวียนหลัว จอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวและเตาหมัวเป็นศัตรูที่โค่นได้ยาก แต่ก็ถูกมั่วซินและเฉวียนหลัวปราบเอาไว้ได้ นี่แสดงให้เห็นความแข็งแกร่งของทั้งสอง
แต่…มู่เฉินไม่คิดว่าการต่อสู้จะจบลงอย่างง่ายดายเช่นนี้
ตู้ม!
ขณะที่ความคิดหมุนเวียนอยู่ในใจ แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวก็เป็นคนแรกที่เปิดช่องโหว่ ถูกซัดออกไปหลายพันจั้งโดยหมัดตรงของร่างอเวจี
แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวกระอักเลือดดำเต็มปาก เขาจ้องเขม็งไปที่มั่วซินด้วยความโกรธแค้นและเมื่อเห็นว่าเผ่าปีศาจกำลังจะพ่ายแพ้ เขาก็คำรามก้องฟ้า “ซือเทียนโยว เจ้ายังไม่เคลื่อนไหวอีกเรอะ?”
เสียงคำรามดังสะท้อนก้องไปทั่วสวรรค์และโลก ทันใดนั้นแม้แต่เสียงในสนามรบก็เงียบกริบลง
“ซือเทียนโยว?”
เมื่อมู่เฉินได้ยินชื่อนั่น รูม่านตาก็หดแคบลง ‘มันก็อยู่ที่นี่เหมือนกันรึ?’
“ฮ่าๆ เหยียนลู่ ไม่คิดว่าในฐานะแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว เจ้าจะไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง ถูกบีบให้อยู่ในสภาพเช่นนี้โดยไอ้เด็กเวรจากมหาพันภพ” เมื่อเสียงของเหยียนลู่จบลง เสียงหัวเราะที่เสียดแก้วหูก็ดังขึ้นทันที
ทุกคนพุ่งสายตาไปก็เห็นเงาดำยืนบนแท่นมองลงมาด้วยสายตาเย้ยหยัน
เฉวียนหลัวที่กำลังเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวเมื่อเห็นเงานั้นก็ถึงกับหดดวงตา เขาสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายสุดขั้วที่มาจากอีกฝ่าย
“ไอ้ตัวเสแสร้ง ไสหัวลงมาจากแท่นบูชาซะ!”
สายตาเย็นเยือกของมั่วซินจับจ้องไปที่ร่างเงานั่นขณะเค้นเสียงเย็น ร่างอเวจีเคลื่อนผ่านมิติไปปรากฏตัวต่อหน้าพร้อมกับพลังทำลายล้างกระแทกใส่ซือเทียนโยว
ซือเทียนโยวกอดอกพร้อมกับรัศมีความตายพล่านในดวงตาขณะที่จ้องมองร่างอเวจีด้วยอาการเยาะเย้ย เผชิญหน้ากับการโจมตีดุร้ายนี้ เขาไม่คิดที่จะป้องกันตัวเองสักนิด
ปิ้ว
เขาเพียงผิวปากเบาๆ
เมื่อสิ้นเสียง มิติเบื้องหน้าซือเทียนโยวก็ผันผวน โครงกระดูกปรากฏขึ้นด้วยความเร็วปานสายฟ้าโดยไม่มีใครสามารถตรวจจับได้
โครงกระดูกนั้นไม่มีพลังชีวิตใดๆ แต่เมื่อมันปรากฏขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมู่เฉิน เฉวียนหลัวหรือแม้แต่มั่วซินก็ม่านตาหดเกร็งลง
พวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้จากโครงกระดูกนี้
โครงกระดูกยกดวงตากลวงโบ๋เหยียดมือออกมา ตบออกไปอย่างไม่ตั้งใจ กระแทกเข้ากับหมัดขนาดใหญ่
ตึง!
เสียงลึกต่ำดังกึกก้องในทันที มิติแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับแก้วแตก จากนั้นทุกคนก็ต้องหวาดผวาเมื่อเห็นร่างอเวจีขนาดใหญ่ปลิวออกไปเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่อย่างไรอย่างนั้น
ครืนๆๆๆ!
ร่างอเวจีสร้างเหวขนาดใหญ่ไว้บนพื้นซึ่งมีความยาวหลายหมื่นจั้งก่อนที่ร่างใหญ่จะหยุดลง มั่วซินที่ยืนบนไหล่ก็กระอักเลือดเต็มปาก ความตกใจหวาดหวั่นหนาแน่นฉายบนใบหน้า
เขารู้สึกไม่เชื่อขณะมองโครงกระดูกที่ยืนเบื้องหน้าซือเทียนโยว เขาไม่คิดว่ากระทั่งใช้ร่างอเวจีแข็งแกร่งนี้ เขาก็ยังปลิวออกมาโดยง่ายดาย
ทั่วบริเวณเงียบลง
กลุ่มอื่นๆ ที่มีขวัญกำลังใจขึ้นมาก็รู้สึกว่ามีน้ำแข็งราดลงมาทำให้รู้สึกเย็นเยือกไปหมด พวกเขามองโครงกระดูกนั้นด้วยความกลัว ‘พลังแบบไหนกันที่ทำให้มั่วซินต้องถลาออกไปอย่างง่ายดาย?’
ชิงซวงและชิงหลิงก็ฉายแววหวาดผวา ร่างเริ่มสั่นเทิ้ม
เฉวียนหลัวที่อยู่ไกลออกไปก็หยุดการโจมตีลง เขามองโครงกระดูกด้วยความกลัวในดวงตาก่อนที่จะพูดออกมาทีละคำ “นี่-ศพ-จอม-ปีศาจ?!”
การที่สามารถครอบครองพลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ เฉวียนหลัวไม่สามารถหาเหตุผลอื่นใดได้ยกเว้นศพจอมปีศาจ นอกจากนี้เขายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของราชันที่มาจากศพนั้นด้วย
แม้ว่ารัศมีจะเบาบาง แต่ราชันก็ยังคงเป็นราชัน ซึ่งเทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ก็ยังเป็นมดในสายตาของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอยู่ดี
เมื่อเขาพูดออกมาก็ทำให้เกิดคลื่นความตกใจพล่านขึ้นจากกลุ่มคน หากไม่ใช่ความจริงที่ทุกคนที่นี่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงละก็ อาจมีบางคนเปิดตูดหนีไปแล้วก็ได้
ไม่มีใครอยากเผชิญหน้ากับจอมปีศาจแม้ว่าจะเป็นศพก็ตาม
“ถูกต้อง”
ซือเทียนโยวพยักหน้าขณะที่กวาดมองทุกคนพลางพูดเบา “พาพรรคพวกของแกไสหัวไปจากที่นี่ องค์ชายคนนี้ครอบครองชั้นนี้แล้ว”
ใบหน้าของเฉวียนหลัวมืดครึ้มลง แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหว เพราะเขาสัมผัสถึงอันตรายที่มาจากซากร่าง
แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะชนะ
ขณะที่เฉวียนหลัวเงียบไป ทั่วบริเวณก็ถูกกดดัน หลายคนถอนหายใจด้วยความสิ้นหวัง
แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นร่างเงาหนึ่งลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
“มู่เฉิน”
ชิงซวงและชิงหลิงอดอุทานออกมาไม่ได้เมื่อเห็นอีกฝ่าย
มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้ามองไปที่ซือเทียนโยวที่อยู่บนแท่น เสียงราบเรียบดังก้องประหนึ่งฟ้าคำรนสะท้อนระหว่างสวรรค์และโลก
“แกคว้าไอ้ซากนั่นไปต่อหน้าต่อตาข้า ตอนนี้ข้าจะเป็นคนเอากลับมาเอง”
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1329 ความแข็งแกร่งของมั่วซินและเฉวียนหลัว
วาบ!
แนวป่ารกร้าง ร่างเงาที่ห่อหุ้มอยู่ในรัศมีชั่วร้ายกำลังทะยานหนีออกไป ราวกับว่าถูกบางสิ่งที่น่ากลัวไล่ล่ามา
ตึง!
แต่เมื่อกำลังจะพุ่งออกจากแนวป่าได้ กำปั้นคลื่นหลิงก็ซัดลงมาจากท้องฟ้าชนกับเงานั้นจังใหญ่
พื้นทรุดลงพร้อมกับรอยร้าวกระจายอย่างรวดเร็วราวกับใยแมงมุม เมื่อกำปั้นจางหายไปก็เหลือเพียงกองเนื้อทิ้งไว้บนพื้นไร้ซึ่งสัญญาณชีวิต
มู่เฉินปรากฏบนท้องฟ้าพร้อมกับกวาดสายตาอย่างไม่ใส่ใจจากนั้นก็ดึงสายตากลับ ร่างเงาสองร่างพุ่งมาจากระยะไกลหยุดอยู่ข้างเขา
นี่ก็คือชิงซวงและชิงหลิง
“พวกเผ่าปีศาจกำลังเพิ่มมากขึ้น” ชิงซวงมุ่นคิ้ว พวกนางปะทะกับจอมยุทธ์เผ่าปีศาจหลายกลุ่มในเวลาเพียงครึ่งวัน แต่โชคดีที่ไม่มีใครเทียบแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวได้ ดังนั้นกลุ่มปีศาจที่พวกนางพบจึงถูกจัดการจนอยู่หมัด
“เรากำลังเข้าใกล้ศูนย์กลาง” มู่เฉินเงยหน้าขึ้น เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนเบาบางไร้ขอบเขตที่อยู่ในทิศทางนั้น
เห็นได้ชัดว่านั่นคือเป้าหมายของพวกเขา!
ใบหน้าของชิงซวงและชิงหลิงกลายเป็นเคร่งเครียดเมื่อได้ยินคำพูดของเขา พวกนางรู้ว่าจะต้องมีการต่อสู้ดุเดือดรออยู่แน่
“ไปกันเร็ว”
มู่เฉินโบกมือเร่งความเร็ว เขาไม่กลัวการปะทะดุเดือดซึ่งจะต้องเผชิญในไม่ช้านี้ ตรงกันข้ามเขาเป็นห่วงว่าบางคนอาจก้าวไปก่อนมากกว่า
เมื่อหญิงสาวทั้งสองเห็นว่ามู่เฉินใจร้อนเพียงใด พวกนางก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ทะยานตามไป
ขณะที่ทั้งสามเร่งรุด พวกเขาก็ไม่พบสมาชิกเผ่าปีศาจใดๆ อีกต่อไป แต่พวกเขากลับพบกลุ่มอื่นๆ ที่เข้ามา ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพน่าสมเพชมาก ท่าทางคงผ่านการต่อสู้กับเผ่าปีศาจมาแบบรากเลือด
ทว่ามู่เฉินไม่สนใจกลุ่มคนเหล่านั้น แต่มุ่งเน้นไปที่การเดินทาง
ภายใต้ความเร็วสูงสุดอีกสี่ชั่วโมงต่อมาความเร็วของพวกเขาก็ลดลง มองไปที่สุดสายตาด้วยความเคร่งเครียด
ชิงซวงและชิงหลิงก็พุ่งสายตาไป
มองเห็นแท่นบูชาสีดำบนที่ราบซึ่งเป็นต้นกำเนิดของความผันผวนที่น่ากลัวนี้
“มีคนกำลังต่อสู้อยู่ที่นั่น!”
มู่เฉินดึงสายตาออกจากแท่นบูชา แต่อึดใจม่านตาของเขาก็หดลง แม้จะห่างกันไกลพอสมควร แต่เขาสามารถสัมผัสได้ชัดเจนถึงความผันผวนทรงพลังที่ระเบิดรอบแท่นบูชาที่ทำให้มิติสั่นสะเทือน
“ดูเหมือนว่ามีกลุ่มอื่นและเผ่าปีศาจมาถึงก่อนแล้ว”
มู่เฉินขมวดคิ้วจากนั้นร่างก็กลายเป็นลำแสงเคลื่อนออกไป
ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็ปรากฏตัวไม่ไกลจากแท่นบูชาสีดำ เมื่อเข้าใกล้ก็ได้รับรู้ถึงขนาดที่แท้จริงของแท่นบูชานี้
มีเสาหินโบราณสี่เสาอยู่บนยอดแท่นบูชาซึ่งลุกโชนด้วยเปลวไฟที่ราวกับของเหลวจื้อจุน ปลดปล่อยความรู้สึกน่าเกรงขามออกมา
สำหรับการจัดวางตำแหน่ง มีเสาหลักหนึ่งเสาอยู่ตรงกลางและอีกสามเสาอยู่รอบๆ มีโลงศพสีเทาอยู่ตรงหน้าเสาต้นกลางซึ่งล้อมรอบด้วยโซ่ที่ทำจากเปลวไฟพันรอบไว้แน่น
มู่เฉินรู้สึกว่าโลงศพราวกับหลุมดำสูบทุกสรรพสิ่ง อะไรก็ตามที่เข้าไปจะถูกกลืนกิน ช่างดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง
“เศษวิญญาณของจอมปีศาจระดับเทียนอยู่ในโลงศพนั่นเรอะ?” มู่เฉินจ้องมองที่โลงศพ ความหวาดหวั่นวูบไหวในนัยน์ตา
“นั่นเฉวียนหลัว มั่วซินกับพรรคพวกนี่!”
ทันใดนั้นชิงหลิงก็อุทานออกมาขณะที่ชี้ไปยังอีกทิศทางหนึ่งของแท่นบูชาซึ่งมีคลื่นหลิงทรงพลังกำลังระเบิดออกมา
สภาพแวดล้อมของแท่นบูชากลายเป็นสนามรบที่วุ่นวาย ทั้งสองกลุ่มรวมตัวกันจากทุกทิศทาง ก่อนที่จะโรมรันพันตูกันดุเดือด
เฉวียนหลัวและมั่วซินดึงดูดความสนใจมากที่สุด ความผันผวนทรงพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างกายของพวกเขาเหนือกว่าทุกคน
แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังพบศัตรูที่ทรงพลัง
ศัตรูที่มั่วซินกำลังเผชิญอยู่นั้น พวกมู่เฉินคุ้นหน้ามาก นั่นก็คือแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวที่เคยปะทะกันมาก่อน ส่วนศัตรูของเฉวียนหลัวเป็นร่างผอมบาง ร่างกายของมันผิดแผกมาก แขนของมันเป็นใบมีดยาวสีดำสนิทสองใบ
บนใบมีดมีแสงเยือกเย็นแล่นอยู่ ทุกการฟาดฟันสามารถผ่ามิติออกได้ แสดงให้เห็นว่าคมขนาดไหน
“นั่นน่าจะเป็นหนึ่งในเผ่าปีศาจสามสิบสองเผ่าหลักในจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ—เผ่าเตาหมัว!” ชิงซวงกล่าวเสียงเคร่งขรึม ในฐานะที่เป็นสมาชิกเผ่าฝูถู นางมีข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าปีศาจไม่น้อย
“เผ่าปีศาจสามสิบสองเผ่าหลักเหรอ?”
มู่เฉินหรี่ตา ซือเทียนโยวเป็นองค์ชายจากเผ่าซือหมัวก็เหมือนจะเป็นหนึ่งในสามสิบสองเผ่าหลักด้วย
“จอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวก็น่ากลัวเช่นกัน” สายตาของมู่เฉินเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด สามารถสู้กับเฉวียนหลัวแบบสูสีโดยไม่ถอยกลับ พลังของจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวคนนี้ไม่อ่อนแอกว่าแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวเลย!
ทั้งสองคนอยู่ที่ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดแล้ว
“งั้นเราก็ลุยกันเถอะ!” ชิงซวงกล่าว แม้ว่าการต่อสู้จะเริ่มต้นแล้ว แต่ภารกิจของพวกนางก็คือปกป้องแท่นบูชา ไม่ปล่อยให้เผ่าปีศาจทำลายได้
มู่เฉินพยักหน้าพุ่งเข้าไปในสมรภูมิโดยไม่ลังเล ร่างรองทั้งสองปรากฏขึ้นข้างๆ จากนั้นทั้งสามก็พุ่งเข้าไปฆ่าฟันศัตรูราวกับพญาเสือลงจากเขา
ส่วนชิงซวงและชิงหลิงก็เข้าร่วมสังหารเผ่าปีศาจที่เล็ดลอดออกมา
มู่เฉินกวาดทุกอย่างที่เข้ามาในเส้นทาง ซึ่งสร้างความปั่นป่วนอย่างมาก ทำเอาทั้งสองฝ่ายต่างมองมาที่เขา
“หึ เจ้านั่นมาถึงนี่จนได้!”
มั่วซินเค้นเสียงเย็น ขณะที่จ้องมองไปที่ทิศทางของมู่เฉิน
“ไอ้เวรนั่น!” แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะมองมู่เฉินอย่างขยาด
“แกกล้าเบนความสนใจขณะที่สู้กับข้าเชียวเรอะ?”
ขณะที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัววอกแวก เสียงเย่อหยิ่งเยือกเย็นก็ดังกึกก้องพร้อมกับฝ่ามือของมั่วซินที่ห่อหุ้มด้วยรัศมีสีดำเย็นเยือกครอบงำพุ่งเข้ามา ทำให้แม้แต่มิติโดยรอบก็ถูกแช่แข็งทันที
ตู้ม!
ฝ่ามือของมั่วซินกระแทกเข้าที่แผ่นอกของแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวอย่างรุนแรง ทำให้เขาถูกพัดกระเด็นออกไป ชั้นน้ำแข็งสีดำแผ่ออกไปทั่วร่างกาย
ปัง!
ทว่าน้ำแข็งก็กินเวลาอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะละลายโดยเปลวไฟสีดำที่พุ่งออกมาจากแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว ขณะเดียวกันเสียงคำรามก็สะท้อนออกมา
“ร่างอสูรเพลิง!”
เปลวไฟสีดำรวมตัวกันก่อเป็นร่างปีศาจขนาดมหึมาด้านหลังแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว เมื่อมองจากระยะไกลก็ราวกับปีศาจไฟล้างโลกที่เปล่งความกดดันที่น่าตกใจ
สัมผัสได้ถึงความผันผวนเหล่านั้นท่าทางของมั่วซินก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา มือประสานเข้าด้วยกันวาดตราประทับเร็วรี่โดยไม่ลังเล “ร่างอเวจี!”
รัศมีสีดำเย็นเยือกครางหวีดหวิว ก่อร่างใหญ่โตขึ้นที่เบื้องหลังมั่วซิน เปล่งไอเย็นสุดขั้วที่สามารถแช่แข็งทุกสรรพสิ่งในโลก ไอเย็นน่าขนลุกสามารถทำให้แม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายยังถูกแช่แข็งเมื่อถูกรุกราน
“ร่างอเวจีอันดับที่ยี่สิบห้าบนทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง?”
สายตาของมู่เฉินสั่นไหวเมื่อรู้สึกถึงความผันผวน มั่วซินสมกับเป็นประมุขน้อยตระกูลมั่วเผ่าฝูถูแท้จริง ร่างเวทสวรรค์เช่นนี้ไม่ธรรมดาเลย
ตู้ม!
ขณะที่การต่อสู้ฝั่งมั่วซินขึ้นสู่จุดเดือด ในทิศทางอื่นก็มีคลื่นน่าสะพรึงกวาดคร่าออกไปเช่นกัน
ฮึ่ม ฮึ่ม
จอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวที่กำลังเผชิญหน้ากับเฉวียนหลัวก็ปลดปล่อยรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากที่ด้านหลัง ก่อตัวเป็นใบมีดสีดำที่มีความยาวราวหนึ่งพันจั้งลอยคว้าง
เมื่อดาบปีศาจปรากฏขึ้นก็กลืนกินจิตสังหารป่าเถื่อนในสมรภูมิ ในเวลาไม่กี่อึดใจใบมีดสีดำก็แสดงสัญญาณเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่แกจะได้ตายด้วยดาบปีศาจเผ่าเตาหมัว!” จอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวมองไปที่เฉวียนหลัวด้วยสายตาคมกริบ เปล่งเสียงแหบพร่าออกมา
“ฮ่าๆ จริงเหรอ?”
เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัว เฉวียนหลัวก็ยิ้มอ่อน แสงจำนวนมหาศาลระเบิดออกจากร่างเขา ดูราวกับดวงอาทิตย์ลุกโชติช่วง
ขณะที่ดวงอาทิตย์สว่างจ้าละลายลงก็ก่อตัวขึ้นเป็นร่างเงาขนาดมหึมาหลายหมื่นจั้งที่ข้างหลังเขา
ร่างนั้นสร้างมาจากแสงดูพร่างพราวพร้อมกับเจดีย์ผลึกแก้วใสสูงร้อยจั้งเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาบนฝ่ามือ
เมื่อมองไปที่ร่างนั่น มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหดม่านตาลงพลางพึมพำ “นี่คือ… ร่างมหาเจดีย์อันดับที่สิบเจ็ด?”
มีตำนานกล่าวว่าร่างมหาเจดีย์เกิดมาจากหนึ่งในห้าของร่างมหาเทพปฐมกาล—ร่างแสงนิรันดร์ซึ่งถูกเก็บไว้ในเผ่าฝูถู!
เฉวียนหลัวมักใหญ่ใฝ่สูงแท้จริง!
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1328 ข่าวของชิงเหยี่ยนจิ้ง
“เจ้าไม่ต้องช่วยหรอก ข้าจัดการมันได้”
มองไปในทิศทางที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวหนีไป มู่เฉินก็หันกลับพูดกับชิงซวง
เขาบอกได้เลยว่าชิงซวงแทบจะยืนไม่ไหว การเคลื่อนไหวก่อนหน้าเป็นการแสดงเท่านั้น
หากชิงหลิงได้ยินประโยคนี้ก่อนหน้า นางคงเริ่มถากถางมู่เฉิน แต่หลังจากได้เห็นความสามารถของมู่เฉิน นางก็พยักหน้าเห็นด้วย
ใบหน้าของชิงซวงซีดเผือดพลางยื่นริมฝีปาก “เจ้านั่นกลัวเจ้าเกินไป มันเลยวิ่งหนีทันทีที่ข้าปรากฏตัว”
แม้ว่าชิงซวงจะภูมิใจในตัวเอง แต่นางก็รู้ถึงขีดจำกัดของตน ขนาดมู่เฉินยังเห็นว่านางแกล้งทำ แล้วแม่ทัพคนนั้นจะไม่รู้ได้อย่างไร?
แต่ที่มันเลือกหลบหนีก็เพราะแรงกดดันที่รู้สึกจากมู่เฉินแรงกล้าเกินไป ทำให้ไม่มั่นใจว่าจะสามารถแบ่งสมาธิออกมาสู้กับนางได้ขณะสู้กับมู่เฉิน
มู่เฉินยิ้มจากนั้นก็ส่ายหัวไม่พูดอะไรมาก “อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าพักฟื้นสักครู่น่าจะดีขึ้น” ชิงซวงพยักหน้า ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ลมปราณของนางจึงทรงพลังมาก
“ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้นะ” ชิงซวงพูดเบาๆ ขณะที่จ้องมองมู่เฉิน
นางรู้ว่าหากมู่เฉินปรากฏตัวไม่ทันเวลาละก็ นางและชิงหลิงอาจจะอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชที่สุด เนื่องจากนางสัมผัสได้ถึงความป่าเถื่อนที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวว่ารุนแรงเพียงใด
มู่เฉินโบกมือ “เจ้าเคยคิดช่วยข้ามาก่อน ดังนั้นถือว่าเจ๊ากัน”
เมื่อพูดจบเขาก็หันหลังกลับเตรียมจะจากไป
“มู่เฉิน เราไปด้วยกันเถอะ ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีสมาชิกเผ่าปีศาจต่างมิติกี่คนในเจดีย์สี่เทวะ รวมตัวกันน่าจะปลอดภัยกว่านะ” ชิงหลิงพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อนางเห็นว่ามู่เฉินกำลังจะจากไป
เหตุการณ์ก่อนหน้าทำให้นางหวาดกลัวอย่างที่สุด นอกจากนี้อาการบาดเจ็บของชิงซวงยังไม่หายดี ดังนั้นถ้ามู่เฉินไปแล้ว พวกนางอาจซวยหากปะกับสมาชิกทรงพลังของเผ่าปีศาจอีก
มู่เฉินยกคิ้วขึ้น หากชิงซวงกู้คืนพลังได้ นางก็จะเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลัง ทว่าเขาไม่ค่อยชอบกับการเดินทางกับคนที่ไม่เชื่อใจ
“หากเจ้าสนใจ ข้าสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าฝูถูรวมถึง…แม่ของเจ้าด้วย” ชิงซวงพูดเบาๆ หลังจากครุ่นคิด
มู่เฉินหยุดก่อนที่จะโบกมือ “งั้นก็ไปด้วยกันเถอะ”
ขณะที่พูดเขาก็สะบัดแขนเสื้อ เกลียวคลื่นหลิงพวยพุ่งกวาดไปทางชิงซวงและชิงหลิง ก่อนที่ทั้งหมดจะพุ่งไปในส่วนลึก
“ท่านแม่ข้าเป็นยังไงบ้าง?”
ขณะที่เดินทางมู่เฉินก็เริ่มถามหลังจากเงียบไปนาน
“น้าจิ้งสบายดี” ชิงซวงและชิงหลิงเอ่ยขึ้นหลังจากแลกเปลี่ยนสายตากัน
มู่เฉินเค้นเสียงเย็น “ถูกคุมขังแบบนั้นเรียกว่าดีเหรอ?”
ชิงซวงส่ายหัว “เจ้าไม่รู้ตำแหน่งของน้าจิ้งในเผ่าบวกกับพลังที่มี แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่สามารถปราบปรามนางได้”
“ก่อนหน้าผู้อาวุโสใหญ่กับน้าจิ้งก็มีความขัดแย้งกัน นางถึงกับเข้าควบคุมค่ายกลของเผ่า บีบให้ผู้อาวุโสต้องล่าถอย”
“ผลสรุปก็คือทางเผ่าห้ามส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาตามล่าเจ้า”
ชิงซวงมองไปที่มู่เฉินจากนั้นก็พูดต่อว่า “ท่านน้าจิ้งยอมถูกคุมขังเพื่อเจ้า ไม่งั้นแม้แต่เผ่าฝูถูก็ต้องจ่ายราคามหาศาลถ้าคิดคุมขังนางเอาไว้”
หัวใจมู่เฉินสั่นไหว เนื่องจากเขานึกถึงช่วงเวลาที่เข้าไปในดินแดนของเผ่าฝูถู โดยที่มารดาของเขาช่วยให้หลบหนีออกมาได้
“มิน่าก็ว่าทำไมถึงแม้ได้รับการหมายหัวจากเผ่าฝูถู แต่ก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกมาเคลื่อนไหวเลย ที่แท้ก็เป็นท่านแม่ที่ช่วยข้าไว้”
สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นซับซ้อน ความอบอุ่นวาบขึ้นในใจ บางทีเขาอาจไม่ได้รับการโอบกอดตั้งแต่ยังเป็นทารก แต่ในที่ที่เขาไม่รู้ มารดาก็ได้ใช้วิธีการอื่นเพื่อปกป้องเขา
นี่เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข
มู่เฉินเม้มปากจากนั้นก็พูดขึ้นกะทันหัน “พวกเจ้าบอกว่าท่านแม่ข้าเป็นสายเลือดตระกูลชิง แล้วทำไมพวกเจ้าถึงนั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวปล่อยให้นางถูกจองจำ?”
ชิงซวงถอนหายใจเบาๆ “มีหลายตระกูลในเผ่าฝูถู ตระกูลเฉวียนและมั่วทรงพลังที่สุดในตอนนี้ ส่วนตระกูลชิงของเราครั้งหนึ่งเคยทรงอิทธิพลตอนที่บิดาของน้าจิ้ง ท่านตาของเจ้าเป็นผู้นำ”
“แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิตลง ตระกูลชิงก็เริ่มเสื่อมถอย จากนั้นน้าจิ้งก็ออกจากเผ่าไปเป็นหลายสิบปี ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่นางพบบิดาเจ้าและให้กำเนิดเจ้าน่ะ”
“ตอนที่น้าจิ้งกลับมา นางถูกตัดสินให้จองจำโดยสภาอาวุโสเพราะการรั่วไหลของสายเลือด ในเวลานั้นผู้แทนส่วนใหญ่ตกอยู่ในอำนาจตระกูลเฉวียนและตระกูลมั่ว แม้ว่าตระกูลชิงจะพยายามต่อสู้ก็ไร้ประโยชน์ที่จะเปลี่ยนสถานการณ์”
“นอกจากนี้ยังมีบางคนในตระกูลชิงมีความไม่พอใจต่อน้าจิ้ง เนื่องจากตัวนางถูกคัดเลือกให้เป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป แต่นางกลับละทิ้งความรับผิดชอบไป”
“ด้วยเหตุผลหลายประการน้าจิ้งจึงถูกจองจำ…”
มู่เฉินขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการเป็นผู้นำตระกูล ทำไมต้องเอาความหวังมาวางบนบ่าท่านแม่ข้าด้วย?”
แม้ว่าเขาจะไม่เคยสัมผัสกับนาง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามารดาไม่ใช่คนที่มีนิสัยอยากเป็นผู้นำ นางไม่ต้องการแบกความรับผิดชอบของสายเลือดตระกูลชิงทั้งหมดไว้
ชิงซวงยิ้มขมขื่น “เรื่องแบบนี้ใครจะไปพูดได้ชัดเจน? แต่ว่าคนตระกูลชิงส่วนใหญ่นับถือน้าจิ้ง นอกจากนี้พวกเราก็พยายามที่จะทำให้นางได้รับอิสระอยู่ตลอดเวลา”
หลังจากเงียบไปชั่วครู่สีหน้าของมู่เฉินก็สงบลง ชิงซวงไม่จำเป็นต้องโกหกเพราะสุดท้ายสักวันเขาก็จะได้รู้เรื่องพวกนี้
“เมื่อไรที่ข้าบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุน ข้าจะมุ่งหน้าไปที่เผ่าฝูถูเพื่อช่วยเหลือท่านแม่ออกมา” มู่เฉินสูดหายใจลึกๆ ก่อนที่จะพูดด้วยความมุ่งมั่น
ชิงซวงและชิงหลิงอึ้งไปก่อนที่จะแลกเปลี่ยนสายตากัน บรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนเหรอ? พวกนางสามารถสัมผัสถึงน้ำเสียงที่มั่นใจของมู่เฉินก็ทำให้ถึงกับพูดไม่ออก ขุมพลังเทียนจื้อจุนช่างอยู่ไกลเกินเอื้อม กระทั่งชิงซวงที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม เพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับดังกล่าว แต่ตัวนางเท่านั้นที่รู้ว่ายากเพียงใดที่จะข้ามไปสู่ระดับนั้นได้
ในมหาพันภพยิ่งใหญ่ บางทีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอาจมีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่อยู่ในจุดสูงสุดของมหาพันภพ
หากระดับตี้จื้อจุนเป็นราชันปกครองภูมิภาค ระดับเทียนจื้อจุนก็เป็นราชันของราชันที่มองมาจากเบื้องบน
อยู่ในจุดสูงสุดที่ไร้เทียมทาน
หากคนอื่นพูดอย่างมั่นใจว่าจะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนพวกนางอาจจะส่ายหน้าระอา แต่สำหรับมู่เฉินพวกนางรู้สึกได้เลือนรางว่าใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ชายคนนี้พึ่งตัวเองมาไกลขนาดนี้โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรใดของเผ่าฝูถูเลย
แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่ก็สามารถบีบให้แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวหนีไปได้ ความสำเร็จนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉวียนหลัวและมั่วซินเลย
จินตนาการได้ว่าถ้ามู่เฉินมีจุดเริ่มต้นเหมือนพวกเขา เขาจะอยู่ในสถานะเอื้อมไม่ถึงขนาดไหน?
ชิงซวงและชิงหลิงต่างถอนหายใจในใจ ‘มู่เฉินสมกับเป็นลูกท่านน้าจิ้งจริงๆ…’
“แต่แม้ว่าเจ้าจะบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุน ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะไม่ได้รับสิ่งที่ดีกับเผ่าฝูถู” ชิงหลิงอดพูดออกมาไม่ได้ เพราะนางไม่รู้สึกว่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงจะสามารถกวนอะไรเผ่าฝูถูได้
มู่เฉินยิ้มเงียบ ไม่ได้พูดอะไร
ส่วนชิงซวงตกอยู่ในภวังค์ความคิด เหตุผลที่ท่านน้าจิ้งยอมถูกจองจำนานหลายปีในเผ่าไม่ใช่เพราะนางกลัว แต่เป็นเพราะนางต้องการปกป้องมู่เฉิน
ในตอนนั้นมู่เฉินที่ยังไม่โตเป็นจุดอ่อนที่สุดของชิงเหยี่ยนจิ้ง
แต่ถ้ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนละก็ ความอ่อนแอจะลดลงอย่างมาก ในเวลานั้นถ้ามู่เฉินปรากฏตัวในเผ่าคงไม่ง่ายนักที่ชิงเหยี่ยนจิ้งจะยอมถูกจองจำอย่างเชื่อฟัง
ในเวลานั้นเผชิญหน้ากับการรวมตัวที่ทรงพลังของชิงเหยี่ยนจิ้งและมู่เฉิน ถ้าพวกตาเฒ่าล้านปีในเผ่าไม่คิดจะจ่ายราคาแบบต้องกระอัก ก็คงไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำได้เกี่ยวกับสองแม่ลูก
เนื่องจากพวกเขาสูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว กาลกิณีที่พวกเขาลืมเลือนได้เติบใหญ่จนไม่สามารถเอื้อมถึงได้
มู่เฉินไม่รู้ว่าชิงซวงคิดอะไรในใจ เขาแค่มองไกลออกไป “เป้าหมายของเจ้าคือวิชาเจดีย์แปดองค์ด้วยหรือ? ถ้าเป็นแบบนั้นข้าไม่ให้เจ้าแน่”
เนื่องจากเขาได้เรียนรู้วิชาสามพิสุทธิ์มาแล้ว ถ้าเขาสามารถได้รับอีกวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานอีก เขาจะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้เลยทีเดียวเมื่อตัวเขามีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ชิงซวงส่ายหัวพูดเสียงเย็นว่า “เจ้าไม่ต้องคิดให้ข้าหรอก คิดหาวิธีจัดการเฉวียนหลัวและมั่วซินเพื่อรับวิชาเจดีย์แปดองค์ไปเถอะ พวกเขาไม่ยอมให้เจ้าได้รับไปแน่นอน”
มู่เฉินยิ้ม “หากพวกเขาอยากสู้นัก ข้าก็ขอดูว่าพวกเขาสามารถทำให้ข้าล้มเลิกได้ไหม”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา สายตาของชิงหลิงก็วูบไหวโดยไม่สามารถควบคุมได้ นางมองไปที่มู่เฉิน ชื่อเสียงของเฉวียนหลัวและมั่วซินยอดเยี่ยมมากในเผ่า แม้แต่คนที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลชิงอย่างชิงซวงก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงได้
แต่มู่เฉินไม่กลัวทั้งสองคน ซ้ำยังคงมั่นใจอย่างยิ่ง นี่ทำให้หัวใจของชิงหลิงโลดขึ้นเลยทีเดียว
“อย่าประมาท พวกเขาสองคนเรียนรู้วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเสมือนยอดเยี่ยม ไม่มีใครในหมู่คนระดับเดียวกันเทียบได้” ชิงซวงเตือน
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเสมือนยอดเยี่ยมเรอะ?”
ดวงตาของมู่เฉินหดลง แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร ทั้งสองมีความโดดเด่นในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่า หากพวกเขาไม่มีไพ่ตายสักสองสามใบก็ไม่สมเหตุสมผลเท่าไร
“ข้าไม่เคยดูถูกพวกเขา แต่ข้าหวังว่าพวกเขาจะไม่ประมาทข้าเช่นกัน ไม่งั้นข้ากลัวว่าพวกเขาจะต้องจ่ายในราคาจนหมดเนื้อหมดตัว” มู่เฉินมองออกไปไกลพลางยิ้ม
ชิงซวงมองไปที่ชายหนุ่มที่มีประกายคมชัดที่ไม่อาจปกปิดได้เล็ดลอดออกมาก็กัดริมฝีปากเบาๆ พร้อมกับแววคาดหวังวาบในนัยน์ตา
นั่นเพราะนางอยากรู้ว่าเมื่อพวกเขาปะทะกันใครที่จะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าฝูถู… มู่เฉิน เฉวียนหลัวหรือมั่วซิน
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1327 ปะทะกับเหยียนหมัว
เมื่อได้ยินเสียงคำรามจากทางด้านหลัง
มู่เฉินก็โอบเอวชิงซวงขณะที่หันกลับไปมองแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวด้วยสายตาไม่แยแส
ยามนี้แม่ทัพเหยียนหมัวกำลังมองเขาราวกับสัตว์ร้ายที่ขุ่นเคือง
เผชิญหน้ากับความโกรธแค้นนี้ มู่เฉินก็ไม่แยแส เพียงแค่เหลือบมองในระยะไกล ชิงหลิงที่หลบออกไปไกลก็พุ่งกลับมาในเวลานี้
“มู่เฉิน?”
เมื่อเห็นมู่เฉิน ชิงหลิงก็อึ้งไป แต่เมื่อเห็นมู่เฉินประคองชิงซวงที่หมดสติ สายตาของนางก็ซับซ้อนขึ้น นางไม่คิดว่าจะเป็นมู่เฉินที่มาช่วยพวกนางเมื่อเกิดภัย
มู่เฉินแตะฝ่ามือเบาๆ คลื่นหลิงก็ห่อร่างชิงซวงพลิ้วไปหาชิงหลิง “ดูนางด้วย”
ชิงหลิงคว้าชิงซวงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะขบฟันพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “ขอบใจมาก!”
ก่อนหน้านี้นางไม่ได้มองมู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในสายตา มิหนำซ้ำยังรู้สึกว่ามู่เฉินหยิ่งเกินไปที่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือ
ตอนนี้นางกลับรู้สึกเสียใจและละอายใจกับการมองคนของตนเองนัก
แม้ว่าชายหนุ่มที่เบื้องหน้านางจะมีสายเลือดของตระกูลชิงแห่งเผ่าฝูถู แต่เขาไม่เคยใช้ทรัพยากรใดๆ ของเผ่า แต่กระนั้นความสำเร็จของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามั่วซินและเฉวียนหลัวเลย
อันที่จริงในจุดหนึ่งเขาโดดเด่นยิ่งกว่าสองคนนั่นด้วยซ้ำ
“ระวังตัวนะ เขาทรงพลังมาก” ชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะเตือนขณะถอยฉากหลบไป นางได้เห็นพลังของแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวแล้ว แม้แต่ชิงซวงที่อยู่ในสภาพพร้อมรบก็ยังได้เพียงสกัดไว้
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ สายตาจ้องมองไปที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว เขารู้สึกได้ถึงภัยคุกคามจางๆ
เหตุผลที่เขาสามารถหวดแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวได้ก็เพราะอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ด้วยการเตรียมการจากนี้คงไม่ง่ายที่จะได้รับผลเช่นนั้น
มู่เฉินชุดดำและชุดขาวทะยานมายืนอยู่ข้างมู่เฉิน ทั้งสามจ้องมองแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวเขม็ง
ภายใต้สายตาสามคู่ ความป่าเถื่อนในสายตาของแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวก็ลดลงแทนที่ด้วยความเคร่งเครียด
สายตาและประสาทสัมผัสของเขาทรงพลังกว่าจอมยุทธ์เผ่าเขาที่ติดตามมา ดังนั้นเขาจึงรู้สึกได้ว่าแม้มู่เฉินจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่พลังในการต่อสู้เกินกว่าที่แสดงให้เห็นแน่นอน
จุดนี้ตระหนักได้จากการแลกกระบวนท่ากันเมื่อครู่
“ไอ้เวร ส่งผู้หญิงสองคนนั่นมาแล้วข้าจะปล่อยแกไป!” แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวพูดขณะถลึงตามอง
ทว่ามู่เฉินเพียงยิ้มตอบ จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนเป็นคมชัด “ไสหัวไป”
“รนหาที่ตาย!”
ความป่าเถื่อนของแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวพวยพุ่ง แม้ว่ามู่เฉินดูเหมือนจะไม่ง่ายที่จะจัดการ แต่ก็เป็นเรื่องยอมรับไม่ได้สำหรับพวกมนุษย์ที่กล้าพูดกับเขาในลักษณะนี้!
“ก่อนหน้าแกได้เปรียบก็เพราะแอบโจมตี ในเมื่อแกเรียกร้องความตายข้าก็จะทำตามความปรารถนาให้เป็นจริง!”
แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวยิ้มเหี้ยมก่อนที่จะกระแทกเท้า ทั่วบริเวณโยกคลอน เปลวไฟสีดำกวาดออกจากร่าง ขณะที่อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นทันควัน แม้กระทั่งบรรยากาศโดยรอบก็เริ่มลุกไหม้
แรงกดดันทรงพลังระเบิดออกมาจากแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว
เมื่อชิงหลิงที่กำลังถอยสัมผัสได้ถึงแรงกดดันนั่น ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไปโดยไม่สามารถควบคุมได้ ความแข็งแกร่งของแม่ทัพคนนี้อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดแล้ว
เผชิญหน้ากับศัตรูดังกล่าว แม้แต่เฉวียนหลัวและมั่วซินยังลำบากเลย
“ฝ่ามืออสูรเพลิง!”
แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวสาดสายตาน่าขนลุกมองมู่เฉิน ก่อนที่มือจะตบลงกะทันหัน ทันใดนั้นเปลวไฟสีดำก็รวมตัวกันกลายเป็นฝ่ามือปีศาจเพลิงขนาดมหึมาปกคลุมท้องฟ้าพุ่งใส่มู่เฉิน
ก่อนที่ฝ่ามือจะกระแทกลงไป พื้นดินเบื้องล่างก็ทรุดตัวลงพร้อมกับป่าบนภูเขากลายเป็นทะเลเพลิง
ขณะที่ฝ่ามือพุ่งเข้ามาโดยเร็ว ม่านตามู่เฉินก็หดเกร็ง ก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขีดจำกัดสามสายก็ทะยานออกจากร่างทั้งสามคน
โฮก!
คลื่นพลังสามสายถักทอกันกลายเป็นเสายืนตระหง่านระหว่างสวรรค์และโลกปะทะกับฝ่ามืออสูร
ตึง!
แผ่นโลกสั่นสะเทือนด้วยเปลวไฟสีดำและคลื่นหลิงสร้างความหายนะไปทั่ว
วาบ!
เมื่อการโจมตีดุเดือดสองสายปะทะกัน แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวก็มาปรากฏเบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมลูกปัดในมือปลดปล่อยลำแสงนับไม่ถ้วน
“ตาข่ายอสูรดักวิญญาณ!”
เกลียวแสงพันเข้าด้วยกันเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ห่อหุ้มมู่เฉินทั้งสามไว้
“ฮึ ตกลงไปในตาข่ายปีศาจของข้า แม้ว่าแกจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ต้องตาย!” แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวหัวเราะเยาะ หลังจากเห็นว่าการโจมตีของตนเองประสบความสำเร็จ
ตู้ม!
ทว่าคลื่นหลิงพร่างพราวก็ระเบิดออกมาราวกับดวงอาทิตย์ลุกโชติช่วงบนตาข่ายปีศาจ อึดใจต่อมาเกลียวแสงสีม่วงทองขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นในตาข่าย
เกลียวแสงสีม่วงทองเปล่งรัศมีอมตะ ภายใต้การกัดเซาะก็ทำลายตาข่ายอสูรอย่างรวดเร็ว
“รหัสเทพอมตะ แปรเปลี่ยนพันหมื่น หมัดเทพอมตะ!”
เมื่อตาข่ายถูกทำลาย เสียงคำรามก็ดังมาจากแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวที่ม่านตาหดลง กำปั้นสีม่วงทองขนาดหมื่นจั้งที่มีพลังน่าสะพรึงราวกับเทพแตกมิติเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่พุ่งเข้าชน
“โล่เพลิงอสูร!”
แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวกำลูกปัด เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงก็พัดออกมาเปลี่ยนเป็นโล่เพลิงสีดำขนาดใหญ่ที่มีลวดลายกะโหลกไขว้สลักไว้
ตู้ม!
กำปั้นใหญ่กระแทกเข้ากับโล่ พลังงานอันน่าสะพรึงกลัวสองสายก็ปะทะกัน ทว่าหมัดที่เปล่งแสงอมตะดูเหมือนจะสามารถระงับเปลวไฟปีศาจอย่างเห็นได้ชัด
ปัง!
ดังนั้นโล่ก็ใช้เวลาคงอยู่ได้ไม่กี่อึดใจก่อนที่จะระเบิด แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวก็ราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่กระเด็นกลับไปกระแทกเข้ากับภูเขาทำเอาราพณาสูรไปเลยทีเดียว
ทว่าหินก้อนใหญ่ก็ระเบิดออกขณะที่ร่างแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า สายตามองไกลออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เงาสีม่วงทองยืนตระหง่านอยู่บนขอบฟ้า มู่เฉินทั้งสามสาดสายตาเย็นชามองเขาจากบนไหล่ร่างใหญ่โตนั่น
“นี่คือทักษะที่เรียกว่าร่างเทห์สวรรค์ของมหาพันภพรึ?”
สายตาแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวกะพริบด้วยไอเย็นชา
“ช่างเถอะ ข้าจะแสดงให้แกเห็นถึงวิธีการของเผ่าเหยียนหมัวบ้าง!” แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวประสานมือไว้ด้วยกันพร้อมกับเปลวไฟสีดำกะพริบวูบไหวในดวงตา ราวกับจะเผาดวงตาเขาไปเลยทีเดียว
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ท้องฟ้าที่ด้านหลังสั่นกระพือรุนแรงพร้อมกับเปลวไฟสีดำที่รวมตัวกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่กี่อึดใจร่างปีศาจใหญ่โตสีดำก็รวมตัวกันอยู่ที่ด้านหลังแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว
ร่างปีศาจถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟสีดำ แค่เหลือบมองก็เต็มไปด้วยความรุนแรงและจิตสังหาร
ความกดดันที่น่ากลัวกำจายออกมาจากร่างปีศาจ
มองจากระยะไกล ดวงตาของมู่เฉินก็หดลงพร้อมกับความตื่นตะลึงฉายบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวจะมากปัญหาขนาดนี้ วิธีการเช่นนี้น่าตกใจอย่างแท้จริง
จากการประมาณ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนธรรมดาไม่สามารถต่อกรกับแม่ทัพคนนี้ได้แน่นอน
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจลึกๆ ใบหน้าเคร่งขรึมลง พลังของแม่คนนี้แกร่งกร้าวมาก ดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว
เขาวาดตราประทับด้วยมือเพียงข้างเดียว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็เปล่งประกายออกมาด้วยแสงสีม่วงทองพร้อมกับแรงกดดันอันทรงพลังเล็ดลอดออกมา
แต่ทันใดนั้นรัศมีเย็นเยียบทรงพลังก็พุ่งพรวดเข้ามา ทำให้มู่เฉินและแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวตกตะลึงไป ทั้งคู่เลื่อนสายตาไปจับจ้องก็เห็นว่าชิงซวงฟื้นคืนสติเรียบร้อยพร้อมกับกระบี่ยาวในมือเล็งไปที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว
“นังตัวปัญหา!”
แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวสีหน้าดิ่งลง เนื่องจากรับมือมู่เฉินก็ลำบากพอสมควรแล้ว หากชิงซวงผสมโรงด้วยละก็ กระทั่งเขาก็แพ้ในการต่อสู้แน่
สายตาของเขาวูบไหว ก่อนที่จะเขม่นมองมู่เฉินเอ่ยเสียงเย็น “โชคช่วยแกในครั้งนี้ ถ้าเจอกันครั้งต่อไป ข้าจะใช้ร่างปีศาจขยี้ร่างเทห์สวรรค์ของแก!”
ทันใดนั้นร่างปีศาจก็เปลี่ยนเป็นพายุเฮอริเคนสีดำพร้อมกับเปลวไฟสีดำพัดห่อหุ้มเขาจากไปด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
มู่เฉินไม่คิดว่าชายคนนี้จะตัดสินใจปุบปับ ทำเอาเขาอึ้งไปหลายวินาที ก่อนจะมองไปยังทิศทางที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวหนีไปก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
แม้ว่าจะเป็นการแลกกระบวนท่ากันสั้นๆ แต่เขาก็รู้ถึงความน่าเกรงขามของเผ่าปีศาจ
ชายคนนั้นอาจได้รับการพิจารณาว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของจอมยุทธ์เผ่าปีศาจในแดนเซิ่งยวนโบราณ เพียงแต่เขาไม่ทราบว่ามีจอมยุทธ์ปีศาจระดับนี้จำนวนเท่าใดที่เข้ามาในชั้นนี้
มู่เฉินดึงสายตากลับช้าๆ ก่อนจะเม้มปาก ดูเหมือนว่าครั้งนี้ไม่ใช่งานง่ายสำหรับเขาที่จะได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์แล้ว
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1326 แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว
ฟู่ ฟู่!
เสียงอื้ออึงดังก้องไปทั่วป่ารกร้าง เปลวไฟสีดำก็สร้างความหายนะราวกับพายุทอร์นาโดแผดเผาภูเขาและป่ากลายเป็นเถ้าถ่าน
ทว่าเปลวไฟสีดำเหล่านั้นก็คงอยู่ไม่นานขณะที่ค่อยๆ มอดดับลง
ซ่า ซ่า
เงาร่างหนึ่งก้าวย่างออกมาจากป่าไหม้เกรียม เขาก็คือมู่เฉินที่กำลังก้มมองมือที่ดำคล้ำของตนเอง คลื่นหลิงพวยพุ่ง สีดำก็หายไปพร้อมกับบาดแผลบนมือที่เกิดจากการถูกเผาอย่างรวดเร็ว
ร่างสองร่างคุกเข่าอยู่บนพื้นด้านหลัง ศีรษะห้อยต่องแต่ง แม้แต่เปลวไฟสีดำบนเส้นผมก็ดับไปพร้อมกับชีวิต
ริ้วความไม่อยากเชื่อหลงเหลือบนใบหน้า
พวกเขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะทรงพลังขนาดนี้
“พวกนางจริงด้วย”
มู่เฉินคร้านจะไปมองศพทั้งสอง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทิศทางหนึ่งด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
การต่อสู้เมื่อครู่ไม่ได้สูสีอะไรกันเลย แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่พลังอำนาจการต่อสู้ของเขาเกินขอบเขตขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแบบธรรมดาไปแล้ว ส่วนจอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวอย่างมากก็เพิ่งเข้าขั้นนี้ ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับมู่เฉิน พวกเขาก็มีตายสถานเดียว
ทว่าจากข้อมูลที่เขาได้รับก่อนที่พวกมันจะตาย เขาได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหญิงสาวทั้งสองที่พวกมันพูดถึง
เป็นตามที่คาด ทั้งสองคนก็คือชิงซวงและชิงหลิงจากเผ่าฝูถู พวกนางเป็นกลุ่มหญิงสาวหนึ่งเดียวที่เข้ามาในชั้นนี้
ดูเหมือนทั้งสองจะปะทะกับแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนถึงพลังของแม่ทัพคนนั้น แต่ในเมื่อสามารถบังคับชิงซวงให้อยู่ในสถานะที่น่าสมเพชได้ แม่ทัพคนนี้น่าจะเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดแล้ว
มู่เฉินมองไปในทิศทางนั้นพลางครุ่นคิดสั้นๆ เขากำลังลังเลว่าจะไปช่วยพวกนางดีไหม เพราะตัวเขาไม่มีความประทับใจใดๆ กับเผ่าฝูถูเลย
แม้ว่ามารดาของเขาจะมาจากสายเลือดเดียวกันกับชิงซวง แต่พวกนางก็นิ่งเฉยมองมารดาของเขาถูกจองจำโดยไม่ทำอะไรเลย ซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกไม่พอใจ
หลังจากครุ่นคิดสั้นๆ มู่เฉินก็เบ้ปาก ขณะที่เท้าแตะพื้นบินออกไปราวกับกระเรียนยักษ์พุ่งตรงไปหาตำแหน่งของพวกนาง
แม้ว่าเขาจะไม่พอใจต่อเผ่าฝูถู แต่ชิงซวงก็ยังแสดงให้เห็นถึงการช่วยเหลือเมื่อเขาประสบปัญหา จากจุดนี้เพียงอย่างเดียวเขาไม่สามารถยืนดูพวกนางทุกข์ร้อนได้
ความขุ่นเคืองที่มีต่อเผ่าฝูถู ไม่จำเป็นต้องเอาไปลงที่คนไม่เกี่ยวข้อง ไม่งั้นเขาก็จะดูใจแคบเกินไป
ตู้ม!
กำปั้นปกคลุมด้วยเปลวไฟสีดำกดลงมาจากท้องฟ้า พลังน่าสะพรึงกลัวที่สามารถทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ นำพารัศมีทำลายล้าง
ชิงซวงที่อยู่ในสภาพดูไม่ได้จับข้อมือชิงหลิงไว้แน่น ขณะที่แสงหลิงระเบิดออกจากร่าง
ฟิ้ว!
หมัดเพลิงพุ่งออกมาจากด้านหลังปะทะกับภูเขาจนแตกเป็นก้อนหินเล็กใหญ่นับไม่ถ้วน ก่อนที่จะถูกแผดเผากลายเป็นเถ้าถ่านดำมืดจากเพลิงดังกล่าว
เมื่อชิงหลิงที่ถูกชิงซวงคว้าข้อมือไว้เห็นพลังทำลายล้างนี่ ใบหน้าของนางก็ซีดเซียวลง
“ฮ่าๆ คนสวย ทำไมขัดขืนมากนัก? มาให้ข้าได้ลิ้มรสหญิงสาวในมหาพันภพสักหน่อยเถอะ!” เสียงหัวเราะบาดแก้วหูดังขึ้น
เพลิงสีดำบินว่อนพร้อมกับร่างชายแข็งแกร่งอยู่ภายใน เรือนผมของเขาลุกโชนด้วยเปลวไฟสีดำ ยังมีอักขระเปลวไฟสลักอยู่บนใบหน้าด้วย
ขณะนี้เขากำลังจ้องมองร่างสะคราญโฉมตรงหน้าด้วยความกำหนัดพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
“พี่ชิงซวงอย่าสนใจข้าเลย รีบไปเถอะ!”
สัมผัสได้ถึงความผันผวนของเปลวไฟที่เข้าใกล้เรื่อยๆ ชิงหลิงก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าซีดเซียว ตอนที่นางมาถึงที่นี่ก็พบเข้ากับจอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัว ชิงซวงถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวจนบาดเจ็บ ทำให้พวกนางต้องหนีตายลูกเดียว
ทว่าจอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวผู้นี้ทรงพลังมาก ต่อให้ชิงซวงจะไม่บาดเจ็บ นางก็ทำได้เพียงสกัดเท่านั้น ยิ่งตอนนี้นางได้รับบาดเจ็บบวกกับมีตนเองเป็นตัวถ่วงด้วย ทำให้สภาวะการณ์แย่ลงมากกว่าเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่ได้!”
ชิงซวงกัดฟัน นางสัมผัสถึงกักขฬะและหื่นกระหายในสายตาของไอ้ปีศาจเปลวไฟนั่น หากชิงหลิงตกอยู่ในเงื้อมมือของมัน ความตายอาจเป็นเรื่องสวยหรูมากเกินไปด้วยซ้ำ
“เจ้าไปก่อน ข้าจะดักมันไว้!” ไอเย็นเยือกรวมกันในดวงตาของชิงซวงขณะที่ขบฟันแน่น
“พี่ใหญ่ชิงซวง ตอนนี้เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน!” ชิงหลิงพูดอย่างกังวลใจ
“หากเราถูกไล่ตามต่อไป อีกไม่นานเราทั้งสองคนก็จะถูกจับตัว” ชิงซวงพูดเสียงดังฟังชัด
ชิงหลิงกัดริมฝีปากน้ำตาคลอเบ้า จากนั้นก็พยักหน้าก่อนจะทะยานไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
ชิงซวงหยุดฝีเท้าหันกลับมามองไอ้ตัวร้ายที่ไล่ตามพวกนางไม่ลดละ
“ฮ่าๆ เสียสละตัวเองเพื่อช่วยคนอื่นเหรอ? ประทับใจจริงๆ” จอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวชะลอตัวลงขณะกวาดมองชิงซวงด้วยสายตาหยอกล้อ ก่อนจะมองเรือนร่างนางด้วยความตะกละตะกลาม
“เอาเถอะ สนุกกับเจ้าก่อนก็ได้” มันเลียริมฝีปากขณะที่พูดด้วยดวงตาหรี่ปรือ
ไอเย็นเยือกในนัยน์ตาของชิงซวงหนาแน่นขึ้น นางกำกำปั้น กระบี่ยาวสีฟ้าปรากฏขึ้นในมือพร้อมกับรังสีน้ำแข็งเปล่งออกมา ทำให้แม้แต่อากาศยังตกลงสู่จุดเยือกแข็ง
กระบี่ยาวดูราวกับว่าสร้างมาจากน้ำแข็ง เมื่อปรากฏขึ้นเกลียวแสงน้ำแข็งสีฟ้าก็แผ่ออกไปอย่างช้าๆ ทำให้ทั่วบริเวณกลายเป็นโลกน้ำแข็ง
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงของแท้
เมื่อแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวเห็นสิ่งนี้ ดวงตาก็หดเกร็ง ก่อนที่จะหัวเราะร่วนพลางยกมือขึ้น เปลวไฟสีดำย่อตัวเปลี่ยนเป็นลูกปัดเปลวไฟสีดำทันที
เพลิงสีดำพวยพุ่งออกมาพร้อมกับเกลียวไฟไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งไปกว่านั้นเพลิงนี้ก็เหมือนจะสามารถกระตุ้นด้านมืดของผู้คน การมองเป็นเวลานานทำให้จิตสำนึกสูญเสียได้
ลูกปัดนี้จะต้องเป็นวัตถุพิเศษแน่นอน!
โฮก!
แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวทะยานตัวออกไป ขณะเดียวกันลูกปัดก็ยิงอสรพิษเพลิงนับไม่ถ้วนออกมา ในปากอัดแน่นด้วยเปลวไฟสีดำราวกับลาวา พุ่งเข้าหาชิงซวงอย่างดุร้าย
ใบหน้าของชิงซวงเย็นชาลง กระบี่ยาวในมือสั่นไหวขณะที่รัศมีเย็นเยือกรวมตัวกัน เมื่ออสรพิษเหล่านั้นเข้ามาใกล้ก็กลายเป็นคุกน้ำแข็งขังพวกมันเอาไว้
“คึๆ”
ทว่าเมื่อแม่ทัพทัพเผ่าเหยียนหมัวเห็นฉากนี้กลับยิ้มมีเลศนัย
ปัง!
อสรพิษที่เปลวไฟสีดำลุกโชนระเบิดในเวลานี้ กวาดอาละวาดทำลายล้างโลกน้ำแข็งที่ชิงซวงสร้างขึ้นจนหมดสิ้น
อ๊อก
เลือดกระอักเต็มปากชิงซวง นางได้รับบาดเจ็บหนักตั้งแต่เริ่มและต้องทรมานจากการโจมตีครั้งนี้ของแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว ทำให้อาการบาดเจ็บของนางแย่ลงยิ่งขึ้น แม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายก็ผันผวนไปหมด นางรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงไปทั่วสรรพางค์กายเลยทีเดียว
“ฮี่ๆ! คนสวยมานี่สิจ้ะ!”
แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวหัวเราะร่วนมาปรากฏตัวตรงหน้าชิงซวง คว้าลำคอขาวผ่องของนางไว้
เมื่อชิงหลิงเห็นภาพนี้จากระยะไกล นางก็รู้สึกสิ้นหวัง
ชิงซวงไม่มีริ้วกระเพื่อมในดวงตา ขณะที่มองแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวที่พุ่งเข้ามาหา อึดใจดวงตานางก็แวววับด้วยความมุ่งมั่น ตราประทับก่อตัวขึ้น คลื่นหลิงในร่างเริ่มรุนแรงขึ้น
นางตั้งใจจะระเบิดตนเอง!
“พี่ใหญ่ชิงซวง!” เมื่อชิงหลิงรู้สึกถึงคลื่นหลิงรุนแรงใบหน้าก็ซีดลงพลางตะโกนด้วยเสียงสั่นเครือ
“นังโง่!”
แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวใบหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง จากนั้นก็กัดฟันคิดจะหนีออกไป
แต่ทันทีที่เขากำลังจะล่าถอย ร่างเงาสองร่างก็ปรากฏที่เบื้องหน้าพร้อมกับหมัดสองหมัดที่ห่อหุ้มด้วยแสงตกผลึกพุ่งเข้าใส่หน้าอกเขา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกัน
การโจมตีเกิดขึ้นกะทันหัน แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวก็เหวี่ยงฝ่ามือออกมารับอย่างรวดเร็ว เปลวไฟสีดำพุ่งออกมาพยายามบีบให้อีกฝ่ายถอยไป
ทว่าเงาทั้งสองไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ กับเปลวไฟสีดำที่ครอบงำ ฝ่ามือตรงเข้าใส่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว
ตึง!
เสียงระเบิดต่ำดังขึ้นพร้อมกับร่างแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวสั่นเทิ้มก่อนที่จะถลากลับไป ทว่าที่เขาตกใจไม่ใช่พลังอำนาจของเงาทั้งสอง แต่เป็นผลึกแสงแวววาวที่กระจายออกไปในมือทำให้เปลวไฟสีดำสลัวลงอย่างรวดเร็ว
ราวกับว่าถูกผนึกไว้
“นี่มันคืออะไร?!”
แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวอุทานเสียงลั่นขณะถอยเร็วรี่ รีบเร้าพลังงานในร่างกายไปต้านทานผลึกแสงไว้
จังหวะที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวถอยกลับ ร่างหนึ่งก็ปรากฏเบื้องหน้าชิงซวง เขามองคลื่นหลิงดุเดือดที่เกรี้ยวกราดอยู่ในร่างกายของชิงซวง คิ้วเขาขมวดแน่นก่อนที่ฝ่ามือจะตบลงบนหน้าอกของนาง
ผลึกแสงมันวาวพุ่งออกมาเจาะเข้าไปในร่างกายของชิงซวง ผนึกคลื่นหลิงบ้าคลั่งในร่างนางไว้ชั่วคราว
เมื่อคลื่นหลิงสงบลงช้าๆ ชิงซวงก็ปรือตาขึ้น มองเห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์ที่คุ้นเคยเบื้องหน้า
“มู่เฉิน” นางตกใจขณะที่กำลังจะเปิดปากพูดก็สิ้นเรี่ยวแรงหน้ามืดไป
ร่างบางร่วงผล็อยลง มู่เฉินก็เหยียดมือออกไปโอบเอวนาง เขามองชิงซวงที่เป็นลมก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
“ไอ้เวรจากไหนกัน กล้าทำลายเรื่องดีของแม่ทัพคนนี้?!”
เมื่อมู่เฉินช่วยชิงซวงไว้ได้ เสียงตะโกนก็ดังกึกก้องอยู่ข้างหลัง
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1325 เผ่าเหยียนหมัว
วาบ!
เมื่อเสียงโบราณดังกล่าวจบลงหลายกลุ่มก็เคลื่อนไหวกลายเป็นลำแสงพุ่งไปยังเจดีย์สี่เทวะทันที
“ไป!”
กลุ่มมู่เฉินก็เคลื่อนไหวออกไปโดยไม่ลังเลใดๆ เช่นกัน
ภายใต้ความเร็วเต็มพิกัด พวกเขาปรากฏที่เบื้องหน้าเจดีย์ในเวลาเพียงไม่กี่นาที เมื่อเข้าใกล้ทุกคนก็สัมผัสถึงกลิ่นอายยิ่งใหญ่ของเจดีย์สี่เทวะ
เมื่อยืนอยู่เบื้องหน้าเจดีย์นี้ พวกเขาช่างจ้อยร่อยราวกับมด
พวกเขาสามารถเห็นเพียงครึ่งหนึ่งของเจดีย์ โดยอีกครึ่งหนึ่งถูกห่อหุ้มไว้ด้วยความมืดไม่รู้จบที่ไม่มีใครกล้ามองไป
ในช่วงเวลานี้เผ่าปีศาจก็คงรวมตัวกันอยู่อีกด้านหนึ่งสินะ
“ครืน”
เมื่อผู้คนเข้าใกล้เจดีย์ ประตูเจดีย์ก็เปิดออกอย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงต่ำลึกราวกับเสียงฟ้าร้อง
รัศมีโบราณเปล่งประกายออกมา
เมื่อประตูโบราณเปิดออก ดวงตาของหลายคนก็วาววับ แต่ก็ไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามเข้าไป พวกเขาได้แต่มองหน้ากันและกัน
“อะแฮ่ม ท่านจอมยุทธ์ ข้าเชื่อว่าทุกคนมีความชัดเจนในตอนนี้ที่ท่านบรรพชนอธิบายเจตนารมณ์ให้ทราบ… เราต้องปกป้องเจดีย์สองชั้นไว้ มิเช่นนั้นเจดีย์สี่เทวะจะได้รับความเสียหายจากวิญญาณที่เหลือของจอมปีศาจ เมื่อถึงเวลานั้นจุดจบของทุกคนก็คงไม่ดีแน่” ในฐานะผู้ริเริ่มภารกิจนี้ฉิงปูป้ายพูดพลางกระแอมไอ
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
“ดังนั้นข้าขอแนะนำให้เราแบ่งกลุ่มพยายามรักษาพลังการต่อสู้ในทุกชั้น เราไม่ควรรวมตัวกันเพราะไม่ฉลาดที่จะทำเช่นนั้นเลย”
ความหมายเบื้องหลังคำพูดของฉิงปูป้ายชัดเจนมาก เขาแนะนำให้ทุกคนแยกกันไม่เช่นนั้นอาจทำให้ชั้นอื่นอ่อนแอลง นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างกันด้วย
“ข้ามาจากเผ่าฝูถู ดังนั้นขอเลือกชั้นที่บรรพบุรุษอยู่แล้วกัน” เฉวียนหลัวยิ้มบางแสดงความตั้งใจอย่างชัดเจน
“ข้าด้วย” มั่วซินกล่าวพลางเหลือบมองไปที่เฉวียนหลัวโดยไม่แสดงออกใดๆ
ฉิงปูป้ายไม่ได้ว่าอะไร แต่รู้สึกโล่งใจขึ้นหลายส่วน เฉวียนหลัวและมั่วซินเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขาม ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้อยู่ในชั้นเดียวกันกับเขาละก็ เขาก็มีโอกาสสูงที่จะได้รับมรดก
“ข้าเลือกชั้นผู้อาวุโสฉิงเทียน” ฉิงปูป้ายยิ้ม
“ข้าเลือกชั้นผู้อาวุโสเชียง” ชายร่างกำยำที่ยืนจังก้าพร้อมกับรัศมีน่าอัศจรรย์ปกคลุมร่าง เห็นได้ชัดว่าเขามีประสบการณ์สังหารนับครั้งไม่ถ้วน
เมื่อสัมผัสรัศมีร้ายกาจของคนคนนี้ มู่เฉินก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นมือสังหารปีศาจแน่นอน นอกจากนี้ยังเป็นมือสังหารขั้นสูงของแท้!
“งั้นกรณีนี้ข้าขอไปชั้นผู้อาวุโสไท่หลิงละกัน” โฉมสะคราญข้างเฉวียนหลัวเอ่ยออกมา
เมื่อพวกเขาแสดงจุดยืน กลุ่มอื่นๆ ก็เลือกเช่นกัน
“เวินชิงเฉวียน พี่หลิงซี หลงเซี่ยงไปกับลั่วหลีที่ชั้นผู้อาวุโสไท่หลิงเถอะ” มู่เฉินหันกลับมาพูดกับทั้งสามคน
แม้ว่าลั่วหลีจะมีวิธีของนางเอง แต่เพื่อให้มั่นใจมู่เฉินก็ยังให้นางพาพรรคพวกไปด้วย
สำหรับตัวเขาไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรมาก เนื่องจากเขามีวิชาสามพิสุทธิ์ ดังนั้นจึงได้เปรียบในเรื่องจำนวน ไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังมีกองทัพมังกรดำอยู่ด้วย
เมื่อได้ยินมู่เฉินแจกแจง ลั่วหลีก็ครุ่นคิดสั้นๆ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะนางรู้ว่ามู่เฉินเป็นห่วงนางมาก สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นในใจ
“ถ้างั้นเจ้าก็ต้องระวังตัวด้วยนะ”
ลั่วหลีไม่พูดมาก แต่มองไปที่มู่เฉินด้วยความกังวลอย่างมากในสายตา
ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีทุกคนก็เลือกเรียบร้อย ทุกชั้นต่างมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ซึ่งชัดว่าจอมยุทธ์เหล่านี้จะกลายเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับมรดก
มู่เฉินและลั่วหลีแสดงชั้นที่จะไป การเลือกของพวกเขาไม่ได้ทำให้เกิดความโกลาหลใดๆ เนื่องจากทั้งสองเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นและขั้นปลาย ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจอะไรมากนัก
ส่วนเฉวียนหลัวกับมั่วซินก็เยาะเย้ยเมื่อมองไปที่มู่เฉิน
อีกด้านไป๋ซินเอ๋อก็มองไปที่ลั่วหลีด้วยดวงตาเป็นประกาย
เมื่อการกระจายตัวเสร็จสิ้น ก็ไม่มีใครยืดยาดอีกต่อไป แต่ละคนเคลื่อนไหวกลายเป็นร่างแสงพุ่งเข้าไปในเจดีย์โบราณ
“ไป!”
มู่เฉินโบกมือทะยานไปยังเจดีย์สี่เทวะพร้อมกับลั่วหลีและคนอื่นๆ ติดตามอย่างใกล้ชิด
เมื่อเข้าไปในเจดีย์มู่เฉินก็รู้สึกถึงความผันผวนของสภาพมิติรอบตัว อึดใจทิวทัศน์รอบตัวเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป
ที่นี่เป็นป่ารกร้างและภูเขาแห้งแล้ง
มู่เฉินทำเพียงกวาดสายตาก่อนจะมองไปทางทิศตะวันออก เขารู้สึกถึงความผันผวนอย่างไร้ขอบเขตเบาบางจากทิศทางนั้น
ความผันผวนนั้นทำให้รู้สึกกดดันอย่างมาก
ความผันผวนที่ไร้ขอบเขตมีร่องรอยไอเย็นเยือกอยู่ในนั้น ซึ่งดูเหมือนจะบรรจุด้วยความชั่วร้ายไม่รู้จบ เพียงแค่สัมผัสแผ่วเบาก็ทำให้มู่เฉินรู้สึกหวาดกลัวหนาแน่นในหัวใจ
“เศษวิญญาณและปณิธานของจอมปีศาจระดับเทียนและท่านบรรพชนคงอยู่ที่นั่น”
มู่เฉินจมลงในภวังค์ความคิด ดูเหมือนว่าเขาจะต้องรีบไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นจอมยุทธ์เผ่าปีศาจอาจใช้โอกาสนี้ทำลายการปราบปรามเพื่อปลดปล่อยเศษวิญญาณจอมปีศาจก็เป็นได้ ถึงเวลานั้นทั้งชั้นก็จะกลายเป็นอากาศธาตุ
วาบ!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ฝ่าเท้าแตะลงส่งตัวขึ้นไปที่กิ่งไม้หนา ทิ้งภาพลวงตาไว้ภายในป่าเดินทางด้วยความเร็วเต็มพิกัด
แม้ว่าการเดินทางจะเร็วกว่านี้ถ้าเขาเดินทางบนท้องฟ้า แต่ก็จะทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายดึงดูดความสนใจได้เช่นกัน ตอนนี้มู่เฉินไม่รู้ว่ามีพวกเผ่าปีศาจเข้ามาอยู่ในชั้นนี้มากเท่าไร ดังนั้นการทำเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่ฉลาด
โชคดีที่มู่เฉินยังคงสามารถเดินทางด้วยความเร็วสูงแม้จะอยู่ในป่า
แปะ!
ร่างพร่าเลือนเหยียบลงบนใบไม้บาง มันยังไม่ขยับแม้แต่น้อย ร่างนั้นก็ทะยานออกไปไกลราวกับภูตผี ทว่าทันใดนั้นเมื่อทะยานข้ามพื้นที่บริเวณหนึ่ง หัวใจของมู่เฉินก็ตื่นตัว เขาชะงักลงทันที
ปัง!
ทันใดนั้นต้นไม้แห้งที่อยู่ข้างหน้าก็ลุกโชนด้วยเปลวไฟสีดำ อุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวที่เล็ดลอดออกมาทำให้มิติบิดเบี้ยว
แปะๆ
ขณะที่เปลวไฟสีดำลุกโชนเสียงปรบมือก็ดังขึ้น มู่เฉินเห็นเงาร่างสองร่างเดินออกมาจากเปลวไฟอย่างช้าๆ
เมื่อสายตาจ้องมองไปดวงตาของมู่เฉินก็หดเกร็ง เขาเห็นผมของเงาดำทั้งสองโชนด้วยเปลวไฟสีดำ
“เมื่อกี้เราก็ปะหน้ากับหญิงสาวสองคนจากมหาพันภพ หัวหน้ากำลังไปตามล่าพวกนาง ไม่คิดว่าพวกเราจะเจอเพื่อนโชคร้ายอีกคน” เงาร่างทั้งสองที่มีเปลวไฟสีดำบนเส้นผมมองไปที่มู่เฉินด้วยไอเย็นและจิตสังหารวูบไหวในดวงตา
“มันอ่อนแอเหลือเกิน จากการจัดอันดับของมหาพันภพเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ลูกมดตัวจ้อยๆ” อีกคนหนึ่งพูดออกมาอย่างไม่แยแส ขณะมองมู่เฉินโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ ในสายตา
“เผ่าปีศาจต่างมิติ?” คิ้วของมู่เฉินยกขึ้นขณะยิ้มมองไปที่ทั้งสองคน
ในการรับรู้ของเขา พลังของทั้งสองไม่อ่อนแอเลย พวกเขาอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ทว่าก็เป็นแบบสามัญธรรมดาทั่วไป
“ผิด พวกข้ามาจากเผ่าเหยียนหมัว จักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นชื่อเรียกที่มหาพันภพตั้งให้”
มู่เฉินพยักหน้าขณะยิ้มบาง “ใครจะสนใจชื่อของคนที่กำลังจะตาย”
จอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวอึ้งไปก่อนที่พากันหัวเราะร่วน ทว่าสายตาที่มิงมู่เฉินยิ่งเย็นเยือกลงอีกหลายส่วน
“ข้าจะค่อยๆ เผามันทีละน้อยด้วยเปลวไฟปีศาจ” หนึ่งในนั้นเอียงศีรษะไปด้านข้าง ประกาศอย่างโหดเหี้ยม
“จริงสิ ผู้หญิงสองคนที่แกพูดถึงหน้าตาเป็นยังไง?” มู่เฉินถามด้วยรอยยิ้ม
ทว่าคำถามนี้ของเขา ทำให้จอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวมองมาราวกับว่ากำลังมองคนโง่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดจะบอกข้อมูลนี้
“ดูเหมือนว่าข้าต้องงัดข้อมูลจากปากพวกแกเองสินะ” มู่เฉินยักไหล่ยิ้มอ่อน
“ตู้ม!”
เปลวไฟสีดำพวยพุ่งออกมาจากจอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวราวกับภูเขาไฟ ขณะที่เปลวไฟปีศาจกวาดออก ผืนป่าลุกไหม้ทันที
“ไอ้โง่ แกตายไม่ดีแน่!”
เปลวไฟปีศาจที่รุนแรงแผดเผาออกมา ขณะที่เงาทั้งสองพุ่งออกมาพร้อมกับคลื่นความร้อนวิ่งพล่านไปหามู่เฉิน
พวกเขาสองคนมีไหวพริบอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่ามู่เฉินดูเหมือนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น พวกเขาก็ยังคงโจมตีพร้อมกันด้วยความระมัดระวัง
ทว่ามู่เฉินกลับยิ้มจางๆ เมื่อมองร่างที่พุ่งเข้ามา
“คนเยอะแล้วเก่งนักเหรอ?”
ทันทีที่พูดจบ มู่เฉินก็ทะยานออกไป ขณะเดียวกันม่านตาจอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวก็หดลง เนื่องจากพวกเขาเห็นร่างที่คล้ายกันสองร่างปรากฏที่ด้านข้างมู่เฉิน ขณะที่พุ่งเข้าใส่พวกเขาอย่างดุเดือด
“ฉิบหาย!”
ทันใดนั้นหัวใจของทั้งสองก็จมลง
พวกเขารู้ว่าวันนี้ดันไปเตะกำแพงโลหะเข้าให้แล้ว
บทที่ 1324 เจดีย์สี่เทวะ
เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึง
เมืองที่เป็นจุดรวมตัวก็ปะทุขึ้น เพราะผู้คนมากมายเห็นกลุ่มโดดเด่นรวมตัวกันก่อนที่จะมุ่งหน้าออกไปพร้อมกัน
การเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ทำให้เกิดความตกตะลึงกับกลุ่มอื่นๆ เพราะสาเหตุเรื่องความแข็งแกร่งที่ยังไม่เข้าขั้น บางกลุ่มจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในการชุมนุม ดังนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับตำนานบรรพชนทั้งสี่ ไม่ต้องพูดถึงการรู้เหตุผลของความปั่นป่วนนี้
ทว่าก็มีบางกลุ่มที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ตามหลังคนกลุ่มใหญ่ไปในระยะไกล
คนกลุ่มใหญ่ก็ไม่ได้สนใจกลุ่มที่ติดตามมา ตามที่ฉิงปูป้ายกล่าวจอมยุทธ์เผ่าปีศาจต่างมิติก็จะมารวมตัวกันที่ขุมทรัพย์โบราณ หากการต่อสู้ระเบิดขึ้น คนโลภมากก็จะได้รับทุกข์ทรมานเอง
มู่เฉิน เวินชิงเฉวียนและพรรคพวกตามหลังคนกลุ่มใหญ่
พวกเขาพยายามรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากกลุ่มอื่น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่กลุ่มอื่นทำเช่นกัน
แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะถือว่าอยู่ฝั่งเดียวกัน แต่ทุกคนก็ชัดเจนว่ามรดกทั้งสี่ไม่เพียงพอสำหรับพวกเขาทั้งหมด ถ้าเวลานั้นมาถึงจริงๆ กลุ่มอื่นก็นับเป็นคู่แข่งทั้งสิ้น
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องรักษาความระมัดระวังกับคู่แข่งไว้
“การเคลื่อนไหวนี้น่ากลัวแท้จริง”
มู่เฉินมองไปที่การแคลื่อนตัวยิ่งใหญ่ ก็อดทอดถอนหายใจไม่ได้ ตามการประเมินของเขามีกลุ่มชั้นยอดอย่างน้อยหลายสิบกลุ่มที่นี่ ทุกคนได้รับการพิจารณาว่าแข็งแกร่งที่สุดในแดนเซิ่งยวนโบราณตอนนี้แล้ว
“หมายความว่ามรดกบรรพชนทั้งสี่อันตรายอย่างยิ่ง” ลั่วหลีพูดเบาๆ ท่าทางเคร่งเครียดมาก
มู่เฉินพยักหน้า เขารู้ว่าอันตรายนี้ไม่ใช่สิ่งที่มรดกภูตผีเสื้อโอสถสามารถนำมาเปรียบเทียบได้ หากเขาต้องการได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์ ไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งเหล่านี้ เขายังต้องจัดการกับเผ่าปีศาจต่างมิติด้วย
“สถานการณ์มรดกในตำนานยังไม่ชัดเจน หากเราถูกแยกออกจากกันก็อย่าฝืนตัวเองมากนะ” มู่เฉินพูดอย่างเคร่งเครียดเมื่อมองไปที่ลั่วหลี ตัวนางก็มีภารกิจที่จะต้องคว้าวิชาช่องแสงวิญญาณของเผ่าไท่หลิงมาให้ได้ แต่นางเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ดังนั้นจึงไม่ได้มีความสามารถในการแข่งขันในแดนเซิ่งยวนโบราณกับพวกจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มมากนัก
หากลั่วหลีอยู่กับเขา เขาจะสามารถช่วยนางได้ แต่กลัวว่าสถานการณ์ในตอนนั้นจะผิดแผกไป ถ้าแยกจากกัน เขากังวลว่าลั่วหลีจะมีปัญหา
ลั่วหลีรู้สึกถึงความห่วงใยของมู่เฉินดี นางยิ้มบางพร้อมกับความงามเอิบอาบไปทั่วขณะที่พยักหน้า “วางใจเถอะ ข้าไม่ฝืนตัวเองแน่นอน”
“นอกจากนี้… อย่าประมาทเพียงเพราะข้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นนะ ข้าก็มีวิธีการของตัวเองเช่นกัน” ลั่วหลีกะพริบตาวิบวับมองมู่เฉินอย่างหยอกล้อ
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะพยักหน้า ในเมื่อลั่วหลีพูดคำเหล่านี้ออกมาได้ นั่นหมายความว่านางต้องเตรียมพร้อมแล้ว
“ถ้าข้าเดาถูก ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เฉวียนหลัวน่าจะเป็นเสมือนธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง เป้าหมายของนางก็คือวิชาช่องแสงวิญญาณเช่นกัน” ลั่วหลีพูดเบาๆ ขณะที่กวาดสายตามองออกไป
“โอ้?” ม่านตามู่เฉินหดลง มองไปที่หญิงสาวทรงเสน่ห์ข้างเฉวียนหลัว ด้วยรูปลักษณ์จัดว่างดงามมาก
“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”
ลั่วหลียิ้มตอบ “สัญชาตญาณของผู้หญิง… นางแอบมองข้าหลายครั้งแล้ว”
มู่เฉินพูดไม่ออก จากนั้นก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอ่อนใจ สัญชาตญาณผู้หญิงเป็นสิ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง กระทั่งสายตาที่ซ่อนเร้นยังสามารถตรวจจับเอาไว้ได้
“ผู้หญิงคนนั้นหลักแหลมใช้ได้”
มู่เฉินพูดขึ้นหลังจากครุ่นคิดสั้นๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับนาง แต่เขาก็เห็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอยู่รอบตัวนางตลอดเวลา
นางไม่เหมือนลั่วหลี ในเมืองที่เป็นจุดรวมตัวก็มีจอมยุทธ์ทรงพลังหลายคนที่เข้ามาอยากสร้างความสัมพันธ์กับลั่วหลีเนื่องจากรูปลักษณ์ที่งดงาม แต่สุดท้ายก็โดนนางปฏิเสธอย่างเย็นชาทั้งหมด ไม่มีความคิดที่จะดึงพวกเขามาเป็นพวก
ลั่วหลีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ผู้หญิงคนนั้นมีฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ
“ไม่ต้องกังวล ข้าจะระวังนาง”
มู่เฉินพยักหน้า เสมือนธิดาเทพคนนั้นอาจจะฉลาด แต่ลั่วหลีก็ดูถูกไม่ได้ ลั่วหลีสามารถดึงตระกูลลั่วเสินกลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้องและเติบโตขึ้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าความฉลาดกับความงามของนางทัดเทียมกัน
ตราบใดที่ลั่วหลีระวัง ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่สามารถเป็นภัยคุกคามได้
ขณะที่ทั้งสองพูดกัน ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่ากลุ่มด้านหน้าเริ่มเร่งความเร็ว เห็นได้ชัดว่าฉิงปูป้ายที่นำทางเร่งความเร็วขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดบทสนทนาไว้ ติดตามกลุ่มใหญ่ต่อ
พวกเขาใช้เวลาในการเดินทางตลอดหนึ่งวันเต็มๆ เมื่อท้องฟ้ายามราตรีปกคลุมไปทั่ว ทั้งกลุ่มก็พลิ้วลงไปที่ภูเขาเพื่อพักผ่อนรอเช้าวันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเดินทางต่อไป
ภายใต้ความเร็วนี้มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็พบว่ากลุ่มเริ่มช้าลงในเวลาพลบค่ำของวันที่สอง
“ทุกคนอีกไม่นานก็จะถึงปลายทางแล้ว!”
เสียงทรงพลังของฉิงปูป้ายดังก้อง
ทั้งกลุ่มถึงกับปั่นป่วน ก่อนที่สายตาจะจ้องมองไปยังระยะไกล มองเห็นเหวลึกไร้กันบนพื้นดินเบื้องหน้า
ขนาดของเหวไม่สามารถอธิบายได้ เมื่อมองจากระยะไกลราวกับหลุมดำขนาดมหึมาที่ไม่มีที่สิ้นสุดทำให้กระดูกสันหลังของคนมองเย็นเยือกลง
ด้านหนึ่งของเหวลึกสว่างไสวราวกับมีดวงอาทิตย์สาดส่องแสงไม่สิ้นสุด
ส่วนอีกด้านหนึ่งถูกห่อหุ้มด้วยความมืดมิดราวกับอาณาจักรปีศาจ
ความสว่างและความมืดกัดเซาะกันอย่างต่อเนื่อง มิติก็ถูกทำลายจนมีสภาพแตกสลาย พายุกาละปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว
“นี่คือเหวเทพร่วง!” ขณะที่มู่เฉินและคนอื่นๆ กำลังมองไปที่ก้นเหวไม่มีที่สิ้นสุดด้วยความเหม่อลอย เสียงของเวินชิงเฉวียนก็ดังขึ้น
“เหวเทพร่วง” มู่เฉินอึ้งไป
“ในสมัยโบราณบรรพชนทั้งสี่ต่อสู้กับจอมปีศาจทั้งสี่ที่นี่ และหุบเหวไร้ก้นแห่งนี้ก็เป็นผลงานชิ้นเอกที่ทิ้งไว้ต่างหน้าของพวกเขา” เวินชิงเฉวียนพูดอธิบาย
“นี่เป็นสถานที่ที่พวกเขาสละชีพ มิน่าล่ะเจตจำนงที่เหลืออยู่ของพวกเขาจึงมารวมตัวกันที่นี่หลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี ปณิธานของพวกเขาจะต้องลึกเกินหยั่ง ตั้งสัตย์สาบานว่าจะทำลายอีกฝ่ายให้สิ้นซาก”
มู่เฉินพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาหรี่ตาลงมองเข้าไปในความมืด จอมยุทธ์เผ่าปีศาจก็น่าจะมารวมตัวกันที่นั่นแล้วใช่ไหม?
ขณะที่พูดกัน ทั้งกลุ่มก็เข้ามาใกล้ขอบเหวค่อยๆ พลิ้วลงมาขณะที่ร่างถูกห่อหุ้มด้วยแสง
เมื่อแต่ละคนลงมา พวกเขาก็ได้ยินเสียงโบราณซึ่งดูเหมือนว่าจะทะลุผ่านเวลา ดังขึ้นในโสตประสาทของพวกเขา
“ผู้ช่วยเหลือแห่งมหาพันภพ ในที่สุดพวกเจ้าก็มา”
มู่เฉินและคนอื่นๆ แลกเปลี่ยนสายตากัน เสียงโบราณนี้คงเป็นหนึ่งในสี่ของบรรพชน
“ท่านอาวุโส ต้องการให้เราทำอะไร?” ฉิงปูป้ายกล่าวพร้อมประสานมือ
“เศษเสี้ยวของเจตจำนงที่เหลืออยู่ของจอมปีศาจระดับเทียนทั้งสี่ถูกแยกระงับโดยพวกเราทั้งสี่คนเพื่อลบล้างไปตามกาลเวลา ทว่าช่วงนี้พวกมันรู้สึกว่าไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป จึงได้เรียกรวมเผ่าปีศาจเพื่อทำลายการระงับของเรา ปลดปล่อยวิญญาณที่เหลืออยู่ของพวกมันให้เป็นอิสระ”
“หากพวกมันทำสำเร็จก็จะสามารถเชื่อมต่อกับเผ่าปีศาจ แดนเซิ่งยวนโบราณจะถูกดึงเข้าสู่โลกปีศาจอย่างสมบูรณ์ ซึ่งพวกมันจะสามารถใช้เป็นเส้นทางเพื่อเข้าโจมตีมหาพันภพของเราได้”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นหัวใจของทุกคนก็สั่นสะเทือนรุนแรง สีหน้าเปลี่ยนไปมาก หากเป็นเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะถูกดึงเข้าสู่โลกปีศาจด้วยเหรอ?
“ดังนั้นเราต้องการความช่วยเหลือจากพวกเจ้าเพื่อหยุดเผ่าปีศาจ!”
เมื่อเสียงนั้นจบลง มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็สัมผัสอะไรได้บางอย่างเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็เห็นเจดีย์สูงตระหง่านที่มีสีดำขาว
แม้จะมีเพียงสี่ชั้น เจดีย์ก็ให้ความรู้สึกไม่สามารถทำลายลงได้
“ทุกๆ ชั้นจะมีวิญญาณที่เหลืออยู่ของจอมปีศาจระดับเทียน ทุกวิญญาณที่หนีออกไปก็หมายความว่าหนึ่งในสี่ของพวกข้าถูกทำลาย หากมีสามวิญญาณของจอมปีศาจได้รับการปล่อยตัวเจดีย์สี่เทวะก็จะถูกทำลาย จอมปีศาจก็จะถูกปล่อยออกมา” พูดถึงจุดนี้เสียงโบราณก็เคร่งขรึมลงมาก
“ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถปกป้องเจดีย์สี่เทวะได้สองชั้น ก็จะสามารถรักษาเจดีย์ไว้ได้จนกว่าพวกมันจะถูกทำลาย”
“ดังนั้นความล้มเหลวหรือความสำเร็จทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ ทุกคนก็มีสีหน้าเคร่งเครียดร้ายแรง เนื่องจากไม่คิดว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแบบนี้ นี่เป็นการต่อสู้เดิมพันชีวิตอย่างแท้จริง
“ใครก็ตามที่สามารถปกป้องผนึกได้ ก็จะได้รับมรดกในชั้นนั้นไป!”
เมื่อประโยคนี้ดังก้อง คนจำนวนมากก็มีสายตาอัดไปด้วยเพลิงปรารถนาและความโลภหนาแน่น นั่นหมายความว่าคนที่ประสบผลจะสามารถได้รับมรดกของจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง?!
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึก ดวงตาเปล่งประกายแผดเผา เขาหันไปพยักหน้าให้กับกลุ่มตัวเองพร้อมเอ่ยเสียงเบา
“เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนตัว”
เพื่อวิชาเจดีย์แปดองค์ เขาไม่กลัวแม้ว่าจะต้องเผชิญกับเฉวียนหลัว มั่วซิน หรือแม้แต่เผ่าปีศาจ
เงินสามารถกระตุ้นจิตใจของมนุษย์ วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานก็สามารถทำให้จอมยุทธ์ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้รับ
บทที่ 1322 เผชิญหน้า
การปะทะกันขัดแย้งกับความคาดหวังของทุกคน
ทุกสรรพเสียงที่นี่เงียบงัน สายตาตื่นตะลึงจดจ้องไปที่มู่เฉิน
กลุ่มต่างๆ ที่ดูถูกมู่เฉินในตอนแรกก็เผยความเคร่งเครียด สายตาที่มองไปทางมู่เฉินปรากฏแววหวาดระแวงมากขึ้น
คนที่มาแดนเซิ่งยวนโบราณได้จะไม่มีฝีมือได้อย่างไร
ปัง!
ซากพังพินาศที่กลบมั่วซินกระจายออก เงาร่างหนึ่งย่างสามขุมออกมาอย่างช้าๆ
เวลานี้มั่วซินเปล่งรัศมีน่ากลัวที่มีความหนาแน่นสูง ขณะที่สายตามองไปที่มู่เฉินอัดแน่นด้วยไอสังหาร
มั่วซินไม่คิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะอยู่ในสภาวะที่น่าสมเพชจากการแลกกระบวนท่ากับมู่เฉิน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา มู่เฉินเป็นเพียงมดปลวกไม่มีสถานะใดๆ ในสายตาของเขา แม้ว่ามารดาของมู่เฉินจะอยู่ในตำแหน่งสูงของเผ่า แต่มู่เฉินก็ไม่เคยได้เพลิดเพลินกับทรัพยากรใดๆ จากเผ่าฝูถู
ด้วยเหตุนี้มั่วซินจึงมองมู่เฉินอย่างดูถูกเหยียดหยาม
แต่ตอนนี้เขากลับต้องจ่ายราคาแพงระยับสำหรับสิ่งนี้
ตัวกาลกิณีที่ไร้ค่าในสายตาของเขาได้มอบรสชาติขมฝาดคืนกลับมาให้เขา
“ไม่คิดว่าข้ามั่วซินจะมีวันแบบนี้ เจ้าทำให้ข้าผิดคาดจริงๆ” มั่วซินเช็ดเลือดที่มุมปากขณะมองมู่เฉินด้วยสายตาที่ไม่แยแส
ดูเหมือนหลังจากที่เสียเปรียบ ในที่สุดมั่วซินก็มองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง
มู่เฉินหรี่ตาลง มั่วซินเป็นประมุขน้อยของตระกูลในเผ่าฝูถูได้ ชัดว่ามีความสามารถใช้ได้ อย่างน้อยหลังจากรับการสูญเสีย เขาก็ยังเก็บความโกรธไว้ในใจและเริ่มที่ปฏิบัติต่อเรื่องนี้จริงจัง
คนประเภทนี้จัดการยากอย่างแท้จริง
มู่เฉินยังรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้มั่วซินอยู่ในสภาพน่าสมเพชก่อนหน้าก็เพราะไม่ทันตั้งตัวจากวิชาสามพิสุทธิ์ เมื่อมีการเตรียมตัวก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับผลกระทบเดียวกันอีกครั้ง
ทว่ามู่เฉินไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร แม้มั่วซินจะยากที่จะต่อกร แต่หากเขาต่อสู้ด้วยไพ่ทั้งหมด ก็ไม่ต้องกลัว
“ความประหลาดใจของแกเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น” มู่เฉินยิ้มอ่อนไม่ใส่ใจไอสังหารของมั่วซินแม้แต่น้อย
การดวลครั้งนี้ทำให้หลายคนตกใจ ตัดสินจากท่าทางนี้มู่เฉินต้องการปะทะกับมั่วซินจริงๆ
“โอ้? ถ้างั้นข้าขอดูหน่อย!”
มั่วซินเอ่ยเยาะเย้ย อึดใจร่างเงากลุ่มหนึ่งก็ทะยานออกมาจากด้านหลัง ทั้งสามคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
จอมยุทธ์เหล่านี้มาจากเผ่าโบราณอย่างชัดเจน มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ใต้บัญชาการของมั่วซิน
“ไอ้ตัวกาลกิณีมู่เฉิน แกบังอาจกล้าลบหลู่ประมุขน้อยมั่วซิน รีบยอมแพ้ซะ!” จอมยุทธ์ตระกูลมั่วตะโกนเสียงลั่นพลางจ้องมองมู่เฉินด้วยความเกรี้ยวกราด
“แมลงวันเหล่านี้มาจากไหน? แกมีคุณสมบัติมาเห่านายน้อยของข้าเหรอ?” หลงเซี่ยงก้าวออกมาจากเบื้องหลังของมู่เฉิน ขณะที่สาดสายตาดุร้าย
“โอ้ นายน้อย? ไอ้กาลกิณีนี่เป็นนายน้อยได้ด้วยรึ? หลงเซี่ยงดูเหมือนว่าแกจะสมองกลับในช่วงหลายปีที่ผ่านมานะ!” จอมยุทธ์คนหนึ่งที่รู้จักหลงเซี่ยงก็เอ่ยเยาะเย้ย
“มาสู้กันสักตั้งเดี๋ยวก็รู้” หลงเซี่ยงกระตุกยิ้มขณะที่กำปั้นกำแน่นพร้อมด้วยคลื่นหลิงทรงพลังกวาดออก
“ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?! แกบรรลุแล้วเรอะ?!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นทรงพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างของหลงเซี่ยง ดวงตาเหล่าจอมยุทธ์ตระกูลมั่วก็สั่นไหว จากที่พวกเขารู้หลงเซี่ยงถูกตัดทรัพยากรทั้งหมดของเผ่านานมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงติดแหง็กอยู่ที่ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเนิ่นนาน แต่ตอนนี้เขากลับพัฒนาตัวเองหลังจากติดตามมู่เฉินเป็นเวลาสั้นๆ งั้นหรือ?
หลิงซีก็ย่างกรายออกมาพร้อมกับสีหน้าเยือกเย็น สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนในมือพุ่งออกไปหลอมรวมเข้ามิติรอบด้าน ชัดว่าตราบใดที่เริ่มปะทะก็จะถักทอกลายเป็นค่ายกลทันที
ลั่วหลีมายืนอยู่ที่ข้างกายมู่เฉิน แม้ว่านางจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่แสงที่แล่นพล่านในนัยน์ตาสาดไออันตรายออกมา
ทั้งสองกลุ่มตึงเครียดสูง การต่อสู้สามารถระเบิดได้ทุกเวลา
ผู้คนโดยรอบถอยกรูด กลัวจะถูกลากเข้าไปในวงล้อมด้วย
“มู่เฉิน!”
แต่ขณะที่ความตึงเครียดจะพุ่งทะลุเพดาน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทุกคนเห็นคนกลุ่มหนึ่งฝ่าฝูงชนเข้ามา ก่อนที่จะยืนเคียงข้างกลุ่มมู่เฉิน สายตาจับจ้องไปที่กลุ่มมั่วซินเขม็ง
นี่คือกลุ่มเวินชิงเฉวียนที่ออกไปเพื่อรวบรวมข้อมูล
“ตระกูลเวิน?”
เมื่อมั่วซินเห็นกลุ่มเวินชิงเฉวียน เขาก็ขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะเป็นพันธมิตรกับตระกูลเวิน
แต่มีเพียงเวินจื่อหยู่เท่านั้นที่ก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ดังนั้นมั่วซินจึงไม่กลัวอะไร แต่ด้วยบรรยากาศที่ถูกทำลาย มั่วซินก็ค่อยๆ สงบลง
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะต่อสู้แบบจัดเต็มกับพวกมู่เฉิน
จากการแลกกระบวนท่ากันเมื่อครู่ เขาก็รู้ว่ามู่เฉินที่ดูเหมือนจะเป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่พลังของการต่อสู้ล้ำไปไกลขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดา
นอกจากนี้มั่วซินยังสงสัยว่ามู่เฉินอาจมีไพ่ตายที่ทรงพลังกว่านี้อีก
หากสิ่งที่เขาเดาถูกต้องละก็ เขาจะต้องจ่ายในราคาแพงระยับแม้ว่าจะชนะก็ตาม
มิหนำซ้ำยังมีพวกหมาป่ารอบตัว ไม่ต้องพูดถึงเฉวียนหลัวที่มองดูอยู่ไกลๆ มั่วซินไม่สงสัยเลยว่าเฉวียนหลัวจะเคลื่อนไหวทันทีถ้าสบโอกาส
ในเวลานั้นการทำงานหนักทั้งหมดของเขาจะกลายเป็นสิ่งปรนเปรอเฉวียนหลัว ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่ต้องการเห็น
ฮา
มั่วซินระงับไอสังหารในใจ สูดหายใจเข้าลึก ดึงเจตนาต้องการฆ่าที่พุ่งทะยานรอบตัวกลับลงไป ดวงตาของเขาเย็นเยือกลงหลายส่วนขณะจ้องมองมู่เฉิน “ข้าจะจับแกส่งให้ผู้อาวุโสใหญ่แน่!”
มู่เฉินแสยะยิ้ม “ยินดีต้อนรับทุกที่ทุกเวลา”
มั่วซินจ้องมองมู่เฉิน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาโบกมือสะบัดหน้าจากไป
จอมยุทธ์ตระกูลมั่วก็แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาไม่คิดว่ามั่วซินที่สั่งลมสั่งฝนมาตลอดชีวิต จะกลืนความโกรธแค้นหลังจากถูกตัวกาลกิณีทำให้เสียหน้า
“เขาสมเป็นลูกชายชิงเหยี่ยนจิ้งแท้จริง ดีที่มันเป็นตัวกาลกิณีของเผ่า ไม่งั้นมันอาจเป็นคู่แข่งที่ทรงพลังอีกคนนอกเหนือจากเฉวียนหลัว” ขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากันก็ไตร่ตรองในใจ ก่อนจะรีบตามมั่วซินไปอย่างรวดเร็ว
การต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น สลายเป็นอากาศธาตุทำให้หลายคนรู้สึกเสียดาย หากทั้งสองฝ่ายฟัดกันจะต้องมีคนที่พ่ายแพ้แน่นอน ซึ่งพวกเขาอาจจะได้รับประโยชน์บ้างก็ได้
เมื่อพวกชิงซวงเห็นภาพนี้ พวกนางก็ตัดสินใจผละไป ไม่ได้มีความตั้งใจจะทักทายมูเฉิน นั่นเป็นเพราะจากท่าทางที่ไม่แยแสของมู่เฉิน ชัดว่าไม่ค่อยรู้สึกเป็นมิตรกับพวกนาง
ทว่าขณะที่พวกนางหันหลังกลับรู้สึกถึงสายตาของมู่เฉินจากระยะไกลเมื่อหันกลับไป มู่เฉินก็พยักหน้าให้ชิงซวงเพื่อเป็นการทักทาย เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกถึงความต้องการช่วยเหลือของพวกนางก่อนหน้านี้
แม้มู่เฉินจะออกห่างจากเผ่าฝูถู แต่ความปราถนาดีจากกลุ่มชิงซวน เขาก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธไปตลอด
ชิงซวงพยักหน้าตอบ ก่อนจะออกเดินไปพร้อมกับชิงหลิงและพรรคพวก
“ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรให้ดูแล้ว”
เฉวียนหลัวที่อยู่ไกลออกไปก็ยิ้มบาง ก่อนที่จะหันกลับมาพูดกับไป๋ซินเอ๋อที่ด้านข้าง “แม่นางซินเอ๋อ ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องสนใจข้อมูลของข้าแน่”
ดวงตาสีดำขลับของไป๋ซินเอ๋อกลิ้งไปมา นางยิ้มให้อย่างน่ารัก “ใช่เรื่องของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทั้งสี่หรือไม่?”
เฉวียนหลัวเพียงยิ้มตอบ หันกลับไปพร้อมกับไป๋ซินเอ๋อกริมฝีปากขึ้นเดินตามไป
เมื่อเห็นว่าทุกคนไปแล้ว มู่เฉินก็ถือแผ่นทองแดงลึกลับไว้ในมือ จากปฏิกิริยาของมั่วซิน อีกฝ่ายน่าจะรู้สึกถึงบางอย่างจากวัตถุนี้เช่นกัน แต่ก็คงไม่เข้มข้นเท่ากับมู่เฉิน มิฉะนั้นมั่วซินคงไม่ยอมปล่อยไปอย่างง่ายดาย
วัตถุนี้น่าจะต้องเชื่อมโยงกับเผ่าฝูถู อาจจะเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษคนนั้น
“ดูเหมือนว่าข้าต้องหาโอกาสศึกษาสิ่งนี้” มู่เฉินพึมพำในใจ
“มู่เฉิน เจ้าก่อหวอดไปทุกที่จริงๆ” เวินชิงเฉวียนพูดด้วยเสียงหยอกล้อ พวกเขาแยกกันไม่นาน แต่มู่เฉินก็สร้างปัญหาอีกแล้ว
มู่เฉินถามด้วยรอยยิ้ม “เป็นยังไงบ้าง? ได้อะไรมา?”
ที่เขาถามก็คือข้อมูลเกี่ยวกับมรดกของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสี่ ทว่าเขาไม่ได้ถามอย่างจริงจัง เพราะเขาไม่คิดว่าเวินชิงเฉวียนจะสามารถรับข้อมูลใดๆ ได้อย่างรวดเร็ว
แต่ตรงกันข้ามกับความคิดเขา เวินชิงเฉวียนพยักหน้าเบาๆ
“ได้มาจริงหรือ?” มู่เฉินอึ้งไป ‘ศักยภาพสูงเกินไปรึเปล่าเนี่ย?’
เวินชิงเฉวียนพยักหน้าจริงจัง
“จากข้อมูลดังกล่าวจะมีงานชุมนุมในวันพรุ่งนี้เพื่อเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทั้งสี่คน”
“เปิดเผย?” มู่เฉินขมวดคิ้ว ทำไมถึงเปิดเผยข้อมูลที่มีค่าให้คนอื่นกัน?
“ไม่ได้ให้เปล่า”
เวินชิงเฉวียนยิ้มก่อนที่จะกางห้านิ้วออกมา
“ค่าเข้างานคือของเหลวจื้อจุนห้าสิบล้านหยด”
บทที่ 1321 แสดงพลังอำนาจ
ตู้ม!
คลื่นหลิงราวกับภูเขาไฟระเบิดออกในตลาดทำให้มิติสั่นสะเทือน ผู้คนจำนวนมากที่เฝ้ามองถึงกับเปลี่ยนสีหน้า พวกเขาถอยกันจ้าละหวั่น แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังมองมั่วซินด้วยสายตาหวาดกลัว
ประมุขน้อยเผ่าฝูถู สมคำล่ำลือจริงๆ
ท่ามกลางสายตาหวาดกลัวมากมาย สายตาของมั่วซินก็จับจ้องไปที่มู่เฉินราวกับเหยี่ยว วินาทีต่อมาเขาก้าวออกไปร่างเงาทะยานไปหามู่เฉินทันที
แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังมองเห็นเพียงภาพมายาเท่านั้น
“เร็วมาก!”
หัวใจของผู้คนสั่นไหว เผชิญกับความเร็วนี้พวกเขาไม่มีเวลาที่จะป้องกันตัวก่อนที่การโจมตีของมั่วซินจะมาถึงตัวแน่นอน
“แกยังไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดคำเหล่านี้กับมู่เฉิน!”
ทว่าเมื่อมั่วซินทะยานเข้ามา หลิงซีก็เป็นคนแรกที่เกรี้ยวกราด ในแง่ของสถานะมู่เฉินไม่ได้ต่ำกว่ามั่วซินเลย แต่คำพูดของชายคนนี้ช่างจองหองไม่เห็นมู่เฉินอยู่ในสายตา
ใบหน้าของหลิงซีเย็นเยือกขณะที่โบกมือ แสงดาวนับไม่ถ้วนรวมอยู่ในสภาพแวดล้อมก่อร่างเป็นค่ายกลห่อหุ้มมั่วซินไว้ภายใน
โฮก!
คลื่นหลิงทรงพลังรวมตัวกันอย่างรวดเร็วในค่ายกล ถักทอเป็นมังกรสิงห์ส่งเสียงคำรามดุร้าย
มังกรสิงห์นี้เหมือนจริงอย่างยิ่ง ขณะที่คำรามก็เปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าหามั่วซินด้วยความดุร้าย
“ค่ายกล? กลสั่วๆ”
มั่วซินเยาะเย้ยไม่คิดหยุดลง เขาเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงรุนแรงรวมตัวกันบนกำปั้น ชั้นแสงสีดำห่อหุ้มกำปั้นของเขาเอาไว้
ตู้ม!
กำปั้นปะทะกับหัวมังกรสิงห์ มิติผันผวนและแตกออกจากกัน ขณะที่มังกรสิงห์ระเบิดออกทันที
เห็นได้ชัดว่าค่ายกลที่หลิงซีสร้างขึ้นอย่างเร่งรีบ ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อมั่วซินเลย
“ในเมื่อแกเสนอหน้าเอง งั้นข้าจัดการแกก่อนแล้วกัน!” มังกรสิงห์แตกสลายจากกำปั้น เงาร่างมั่วซินก็ทะลวงมิติมาปรากฏตัวต่อหน้าหลิงซี คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวห่อหุ้มกำปั้น พุ่งไปที่หน้าอกของหลิงซีหมายที่จะฆ่าในกระบวนท่าเดียว
การโจมตีของมั่วซินรวดเร็วมาก เมื่อเทียบกันแม้แต่หวู่ทงที่สู้มาก่อนหน้าก็เทียบไม่ติด
ดังนั้นเมื่อหมัดซัดมา หลิงซีก็ขมวดคิ้วเบาๆ สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนกลั่นตัวเร็วรี่ นางไม่ได้เลือกที่จะป้องกัน เพราะตราบใดที่สามารถสร้างค่ายกลนี้ได้เสร็จสิ้น แม้แต่มั่วซินก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับ
แต่แน่นอนว่านางก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากมั่วซิน
นี่เป็นการต่อสู้แบบไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ
แต่เมื่อการโจมตีของมั่วซินพุ่งเข้ามาใกล้หลิงซี ข้อมือนางก็ถูกดึงกลับทันที
ในเวลาเดียวกันร่างของมู่เฉินก็พุ่งออกมาราวกับเสือดาว รัศมีร้ายกาจพวยพุ่งในดวงตาขณะที่กระโจนเข้าใส่มั่วซิน
“เลิกหลบอยู่หลังผู้หญิงแล้วเรอะ?” เมื่อเห็นมู่เฉินพุ่งเข้ามา ความเยาะเย้ยที่แขวนอยู่บนริมฝีปากของมั่วซินก็แน่นหนาขึ้น ทว่าการโจมตีของเขาไม่แสดงสัญญาณจะผ่อนลง ตรงกันข้ามความผันผวนของคลื่นหลิงที่มากับหมัดกลับหนาแน่นมากขึ้น
เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจะจัดการมู่เฉินด้วยกำปั้นเดียว
มู่เฉินไม่มีสีหน้าใด เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายแวววับในดวงตา คลื่นหลิงในร่างกายเขาได้รับการปรับเปลี่ยน ขยายเป็นผลึกคลื่นหลิงที่ราวกับคลื่นเชี่ยวกรากโหมกระหน่ำในร่างกาย
ประจันหน้ากับหมัดดุเดือดของมั่วซิน มู่เฉินก็ขว้างหม้ดใส่ไปเช่นกัน
ผลึกคลื่นหลิงรวมตัวกันที่กำปั้นของเขา ทำให้ท่อนแขนตกผลึกพร้อมกับความผันผวนที่ไม่สามารถทำลายได้สั่นไหวในมิติ
นอกจากนี้ผลึกคลื่นหลิงยังวูบไหวมาพร้อมกับความผันผวนที่แปลกประหลาด ซึ่งทำให้คลื่นหลิงในฟ้าดินไม่กล้าเข้าใกล้
“เจดีย์พุทธะจริงด้วย!”
ดวงตาของมั่วซินสั่นไหว ในเผ่าฝูถูมีเพียงเจดีย์พุทธะที่มีความสามารถในการผนึกที่บริสุทธิ์และทรงพลังเพียงนี้ คลื่นหลิงใดๆ จะถูกผนึกอย่างรวดเร็วเมื่อถูกสัมผัส
“แต่นี่ไร้ประโยชน์กับข้า!”
มั่วซินเค้นเสียงเย็นขณะที่แสงสีดำกะพริบในนัยน์ตา มีเจดีย์ปรากฏในรูม่านตาของเขาด้วย ทว่ามันเป็นสีดำสนิท
เจดีย์สีดำนี้ก็เป็นสิ่งหายากในเผ่าฝูถู มีเพียงสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดของตระกูลมั่วเท่านั้นถึงสามารถฝึกฝนได้ แม้ว่าเจดีย์จะมีความสามารถในการปิดผนึก แต่ก็ไม่ได้บริสุทธิ์เท่าเจดีย์พุทธะ มิหนำซ้ำยังมืดมนและน่ากลัวกว่า
แสงสีดำเปลี่ยนท่อนแขนของมั่วซินเป็นสีดำสนิทพร้อมกับควันดำเชี่ยวกราก ราวกับว่ามีความสามารถในการกัดกร่อน เมื่อควันลอยขึ้นก็ทิ้งรอยดำไว้ในมิติ
ตู้ม!
หมัดแสงสว่างและมืดมิดปะทะกันอย่างดุเดือด อึดใจต่อมาแสงสองสายก็ระเบิดออก พวกมันพยายามที่จะกัดเซาะซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา แม้แต่พื้นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาก็ทรุดตัวลง ทิ้งรอยร้าวราวกับใยแมงมุมขนาดใหญ่ไว้บนพื้นเมื่อแผ่ขยายออกไป
คลื่นหลิงทรงพลังกวาดออก ขณะที่มู่เฉินและมั่วซินตัวสั่นสะท้าน มู่เฉินถอยหลังออกไปหลายสิบก้าว หินก้อนใหญ่ที่เบื้องหลังแตกสลายเป็นเถ้าถ่านตั้งแต่ยังห่างออกไปหลายสิบจั้ง
“เป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังกล้าเสนอหน้ากับข้าเรอะ?” มั่วซินก้าวถอยไปไม่กี่ก้าว ชัดว่าเขาได้เปรียบจากกระบวนท่านี้ เขาเค้นเสียงเย้ยหยัน
ฮึ่ม
แต่เมื่อเสียงของเขาจางลง เขาก็รู้สึกถึงคลื่นมิติทางด้านขวามือ ภาพเงาปรากฏขึ้นพร้อมกับหมัดทรงพลังปกคลุมไปด้วยผลึกแสง
การจู่โจมฉับพลันทำให้มั่วซินประหลาดใจ เนื่องจากมู่เฉินถูกโจมตีอย่างชัดเจนจากกระบวนท่าของเขา ดังนั้นตอนนี้ใครกันที่กำลังซัดใส่เขา?
แม้จะประหลาดใจ แต่ก็มีปฏิกิริยาทันท่วงที เขาตบฝ่ามือออกไปปะทะกับกำปั้นผลึกใส
ปัง!
ในการเผชิญหน้าครั้งนี้มั่วซินกลับเป็นฝ่ายที่ต้องทนทุกข์ มือของเขาสั่นเทาก่อนที่จะกระเด็นออกไป
ขณะที่ถอยกลับใบหน้าของมั่วซินก็มืดครึ้มพร้อมกับความตื่นตะลึงวูบไหวในดวงตา นั่นเป็นเพราะทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเป็นมู่เฉินที่ทำร้ายเขา
“ทำไมมีมู่เฉินสองคน?” หัวใจของมั่งซินตะลึงลาน
“ไม่ ยังมีอีกคน!”
เวลานี้มั่วซินรู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานจากด้านหลัง ม่านตาถึงกับหดลง แต่คราวนี้เขาก็ไม่ทันป้องกันแล้ว คลื่นหลิงทรงพลังปะทะกับแผ่นหลังของเขา
ปัง!
พลังน่าสะพรึงกลัวระเบิดขึ้น มั่วซินกระเด็นออกไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ แหวกเป็นทางยาวก่อนที่ร่างจะถูกฝังอยู่ในซากปรักหักพัง
เงียบชี่
ทั้งตลาดตกอยู่ในความเงียบงัน หลายคนฉายแววตกตะลึงในสายตา พวกเขาไม่เคยคิดว่านี่จะเป็นผลลัพธ์ระหว่างการเผชิญหน้าของทั้งสอง
การปะทะกันในกระบวนท่าแรกมู่เฉินตกเป็นเบี้ยล่างอย่างชัดเจน แต่ไม่มีใครคิดว่าจะมีมู่เฉินอีกสองคนที่มีพลังคล้ายกันปรากฏขึ้น ทำให้มั่วซินตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช
“นี่มันร่างดวงจิตอะไรกัน? ทำไมถึงกับมีพลังเทียบเท่ากับร่างหลักได้!” ทุกคนมองไปที่ร่างทั้งสามด้วยความหวาดผวา พวกเขาปล่อยรัศมีที่เหมือนกัน แต่ล้วนมีความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลัง
เมื่อกลุ่มชิงซวงเห็นภาพนี้จากที่ไกล พวกนางก็เงียบงันลงไปเช่นกัน
ชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะขยี้ตา ความไม่เชื่อปรากฏบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่นางไม่อาจจินตนาการได้
“ทำไม…ทำไมเป็นแบบนี้ได้? ร่างดวงจิตนั่นมันอะไรกัน!” ชิงหลิงเบิกตากว้างขณะพูดตะกุกตะกัก
ชิงซวงที่มีใบหน้าเย็นชาเสมอยังตกตะลึงไป แต่นางก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว นางมองมู่เฉินอย่างลึกซึ้งเอ่ยเยาะเย้ยตนเอง “ดูเหมือนว่าเราทุกคนจะมองพลาด เขาที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ไม่ง่ายอย่างที่เห็น”
ด้วยร่างดวงจิตทั้งสองร่างที่มีพลังเช่นเดียวกัน แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่อำนาจการต่อสู้ที่เขาครอบครองไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเลย
ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมมู่เฉินยังสงบนิ่งอยู่ได้ แม้จะเป็นศัตรูกับเฉวียนหลังและมั่วซิน ที่แท้เขาก็มีพลังในการเผชิญหน้าจริงๆ
ตลกแล้วที่นางบอกว่าจะต้องปกป้องเขา ตอนนี้เมื่อเห็นก็รู้สึกว่าทำให้ตัวเองขายหน้าแล้ว
ชิงหลิงมุ่ยปาก ท่าทางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นเงาร่างทั้งสามนางก็เลือกเงียบไป คนที่สามารถทำให้มั่วซินทนทุกข์ทรมานในการเผชิญหน้า เพียงพอที่จะทำให้นางเก็บความถือดีเอาไว้
ในเวลาเดียวกันเฉวียนหลัวกลับมองสิ่งนี้ด้วยท่าทางสงบ เนื่องจากเขารู้เกี่ยวกับข้อมูลมู่เฉินมานาน ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจที่มั่วซินจะเสียเปรียบจากความประมาทของตนเอง
แต่เมื่อเขาเห็นร่างรองทั้งสอง ไฟแห่งความโลภที่ไม่สามารถปกปิดได้ก็วูบไหวในดวงตา
“วิชาสามพิสุทธิ์ของจริง”
“ไอ้กาลกิณีนั่นโชคดีนัก แต่ตราบใดที่แกตกอยู่ในกำมือข้า วิชาสุดยอดนี้ก็จะเป็นของข้า!”
บทที่ 1320 ประมุขน้อยมั่วซิน
“ข้าเอาสิ่งนี้”
ขณะที่เสียงไม่แยแสดังก้อง มือก็เคลื่อนเข้าไปหยิบแผ่นทองแดงในมือมู่เฉิน ซึ่งรวดเร็วมากจนตั้งตัวไม่ทัน
ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจไม่ทันตั้งตัว ทว่าอย่างไรมู่เฉินก็ไม่ใช่คนธรรมดา
เมื่อมือนั้นเอื้อมออกมา สีหน้าของมู่เฉินก็เย็นเยือกในทันที ประกายแหลมคมวูบไหวในนัยน์ตา
เขาไม่ได้สนใจแผ่นทองแดงที่กำลังจะถูกคว้าไป มืออีกข้างดึงกลับราวกับใบมีด ขณะเดียวกันเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ก็วาบขึ้นในรูม่านตา คลื่นหลิงทรงพลังทะลักออกมาราวกับลอนคลื่น
ฮึ่ม ฮึ่ม!
คลื่นหลิงรวมตัวกันในฝ่ามือดูราวกับใบมีดแวววาว ทำให้กระทั่งมิติยังฉีกออกจากกัน
หากโดนซัดเข้าละก็ แม้แต่แขนของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็แยกออกเป็นสองส่วนได้
“หืม?”
การสับมือดังกล่าว ทำให้เสียงอุทานดังขึ้น คนที่เคลื่อนไหวก็ตกใจกับการโจมตีที่เด็ดขาดของมู่เฉิน
หากเขายังคิดคว้าแผ่นทองแดง เขาอาจจะต้องเสียมือไว้ไปพร้อมกับจานยันต์เป็นแน่
“หึ”
อีกฝ่ายไตร่ตรองคร่าวๆ ก่อนที่จะเหยียดนิ้วทั้งสองออกไปพร้อมกับรวบรวมคลื่นหลิงไว้ที่ปลายนิ้วแล้วแทงไปที่มือของมู่เฉิน
แคว๊ก!
จังหวะนั้นเมื่อฝ่ามือและนิ้วมือปะทะกัน คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ก็กระเพื่อมออกมา แม้แต่มิติยังแตกเป็นเสี่ยงราวกับแก้ว
ทั้งสองถอยกลับอย่างรวดเร็ว ระหว่างการโบกแขนเสื้อ คลื่นหลิงทรงพลังก็พุ่งออกมาสลายชิ้นส่วนต่างๆ ของมิติออก
เมื่อมู่เฉินถอยกลับ เขาเพ่งสายตาไปยังอีกฝ่ายด้วยแววเย็นชาก่อนที่ดวงตาจะหรี่แคบลง
เนื่องจากเขาพบว่าคนที่เคลื่อนไหวไม่ใช่คนไม่คุ้นเคย นี่คือประมุขน้อยมั่วซินแห่งเผ่าฝูถูนั่นเอง
ยามนี้มั่วซินก็กำลังจ้องมองมู่เฉินด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สายตาเย็นเยือกขณะยื่นมือออกมา “ส่งสิ่งนั้นมาให้ข้า”
น้ำเสียงของเขานิ่งเฉยแฝงความเย่อหยิ่ง เพราะด้วยสถานะของเขาไม่มีใครในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าฝูถูกล้าแย่งอะไรก็ตามที่เขาหมายตา
แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินไม่ได้เป็นหนึ่งในนนั้น ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินคำพูดของมั่วซิน เขาก็ยิ้มอ่อนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แม้ว่าเจ้าจะมาจากเผ่าฝูถู แต่ดูเหมือนว่าพ่อแม่จะไม่ได้สั่งสอนนะ”
“ไอ้กาลกิณี แกรนหาที่ตาย!”
ได้ยินคำพูดถากถางของมู่เฉิน แววตาของมั่วซินก็เย็นเยือกลงพร้อมกับไอสังหารลุกโชน ทำให้อุณหภูมิในบริเวณลดต่ำลง
มีสายตามากมายอยู่ที่นี่ การเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองจึงได้รับความสนใจอย่างมากในทันที แต่ไม่มีใครหยุดพวกเขา ตรงกันข้ามทุกคนกำลังมองด้วยความสนใจ เพราะไม่มีกฎใดในแดนเซิ่งยวนโบราณ ที่นี่ปฏิบัติตามกฎใครแข็งแกร่งกว่าเป็นผู้มีอำนาจ
หลายคนเคยได้ยินชื่อของมั่วซิน เนื่องจากเขาเป็นประมุขน้อยตระกูลหนึ่งของเผ่าฝูถู ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่ามั่วซินน่าเกรงขามอย่างไร แต่ที่พวกเขาสงสัยคือ ชายหนุ่มที่เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงกล้าเยาะเย้ยมั่วซิน?
ขณะที่สายตามากมายจับจ้องมาในบริเวณนี้ บนแผ่นหินไม่ไกลร่างหลายร่างก็หยุดชะงักพลางสอดส่ายสายตา เมื่อพวกนางเห็นว่ามู่เฉินและมั่วซินยืนเผชิญหน้ากัน สีหน้าก็เปลี่ยนไป
“เจ้าบ้านั่นไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ ทำไมถึงไปยั่วมั่วซินเข้า!” เสียงรีบร้อนดังกึกก้อง หญิงสาวหน้าตาหวานมองอย่างร้อนใจในทิศทางนั้น
นางก็คือชิงหลิงจากเผ่าฝูถู
ที่ยืนอยู่ข้างๆ เป็นผู้หญิงที่งดงามที่กำจายรัศมีเย็นเยือก—ชิงซวง
เมื่อมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หัวคิ้วนางก็มุ่นเข้าด้วยกัน ในฐานะที่เป็นสมาชิกเผ่าฝูถู นางรู้ถึงความแข็งแกร่งของมั่วซิน ท่ามกลางจอมยุทธ์รุ่นใหม่เผ่าฝูถูมีเพียงเฉวียนหลัวเท่านั้นที่สามารถต่อสู้กับมั่วซินได้
แม้ว่านางจะต่อสู้อย่างสุดความสามารถ นางก็ทำได้เพียงเสมอตัว เป็นไปไม่ได้ที่ที่จะได้เปรียบในการต่อสู้
มั่วซินและเฉวียนหลัวต่างเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุด ในทางปฏิบัติแทบจะอยู่ยงคงกระพันภายใต้ระดับเทียนจื้อจุน
มู่เฉินเผชิญหน้ากับเขาได้อย่างไรไม่รู้ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายคงไม่ดีแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชิงซวงก็กัดบนริมฝีปากก้าวเดินออกไป นางสัญญากับป้าเซวียนว่าจะพยายามช่วยมู่เฉินเพื่อที่เขาจะไม่ถูกเล็งหัวจากเฉวียนหลัวและมั่วซิน
ดังนั้นแม้ว่านางจะรู้ว่านี่ไม่ดีสำหรับตนเองที่จะรุกรานมั่วซิน นางก็ยังเลือกที่จะเข้าไปยุ่ง
เมื่อชิงหลิงเห็นภาพนี้ นางก็คิดจะดึงชิงซวงกลับมา เพราะนางรู้ดีว่าการรุกรานมั่วซินสร้างแรงกดดันอย่างมากให้กับชิงซวง
แต่ชิงซวงกลับโบกมือเพื่อหยุดชิงหลิง อีกฝ่ายกระทืบเท้าด้วยความโกรธขณะจ้องมองไปที่มู่เฉิน นางไม่คิดว่าพวกนางจะถูกดึงเข้าไปในเรื่องนี้ ทั้งที่เพิ่งมาถึงที่นี่
นางติดตามชิงซวงไปอย่างรวดเร็ว ทว่าทันใดนั้นชิงซวงก็หยุดฝีเท้าลง
“พี่ใหญ่ชิงซวงเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ชิงหลิงถามด้วยความสงสัย หรือว่าพี่ชิงซวงเปลี่ยนความคิดแล้ว? แต่มู่เฉินเป็นลูกชายของน้าจิ้ง นับตามสายเลือดเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลชิงเช่นกัน ดังนั้นนางเองก็ไม่ได้รู้สึกดีที่จะเห็นมู่เฉินถูกรังแก
ด้วยความคิดนี้ชิงหลิงก็รู้สึกสับสน
ทว่าชิงซวงไม่ได้สนใจเรื่องนี้ สีหน้าเย็นชาหันมองไปทางขวา เมื่อชิงหลิงมองตามไป สีหน้านางก็เปลี่ยนไป
ที่ตรงนั้นมีร่างเงาหลายร่าง คนนำหน้าเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลายืนเอามือไพล่หลัง สายตามองมาที่ชิงซวงด้วยรอยยิ้มไม่อนุญาตให้นางก้าวออกไป
“นั่นเฉวียนหลัว ทำไมเขาก็มาที่นี่?!” ชิงหลิงอุทานด้วยสีหน้าน่าเกลียด
ใบหน้าของชิงซวงเปลี่ยนไป เพราะนางรู้ความหมายในสายตาเฉวียนหลัว ถ้านางช่วยมู่เฉิน เฉวียนหลัวก็จะเข้ามาหยุดนาง
นางกำมือแน่น สายตาวูบไหว สุดท้ายนางก็ไม่ได้ก้าวเดินออกไปต่อ เนื่องจากนางรู้ว่านั่นจะไร้ประโยชน์ ตราบใดที่เฉวียนหลัวขัดขวางนางก็ไม่มีทางผ่านไปได้
“มู่เฉิน หวังว่าเจ้าจะออกจากสถานการณ์นี้ได้อย่างรวดเร็ว”
ชิงซวงมองมู่เฉินจากที่ไกลก็ทอดถอนหายใจ
เมื่อเฉวียนหลัวเห็นว่าชิงซวงหยุดแล้ว เขาก็ละสายตากลับมองไปที่มู่เฉินและพึมพำในใจ “คู่นั้นฟัดกันเรื่องอะไร?”
เนื่องจากอยู่ห่างออกมา แม้เขาจะรู้ว่ามู่เฉินและมั่วซินกำลังต่อสู้เพื่ออะไรบางสิ่ง แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร นอกจากนี้เขายังไม่แน่ใจว่ามั่วซินจงใจหาเรื่องมู่เฉินหรือไม่
“นั่นคือกาลกิณีที่มีชื่อเสียงดังเป็นพลุแตกในเผ่าฝูถูช่วงนี้เหรอ?” ขณะที่เฉวียนหลัวรู้สึกสงสัยในใจ เสียงอ่อนโยนและมีเสน่ห์ก็ดังกังวานจากด้านข้าง
นางเป็นหญิงสาวสวมชุดดำที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นอย่างมาก ผิวของนางขาวราวหิมะ คิ้วเข้ารูป นางเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่มุมปาก ท่าทางไว้ตัวและสูงส่งทำให้มีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม
นี่เป็นสตรีที่งดงามแต่กำเนิด
“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าแม่นางซินเอ๋อจะรู้ข่าววงในของเผ่าฝูถูของข้ามาดีทีเดียว” เฉวียนหลัวยิ้ม
หญิงสาวยกสายตาขึ้นตอบว่า “ข้าเป็นเสมือนธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง ไม่แปลกที่ข้าจะรู้ข้อมูลบ้างนี่?”
เฉวียนหลัวยิ้มพลางพยักหน้า หญิงสาวคนนี้ชื่อว่าไป๋ซินเอ๋อ นางเป็นหญิงสาวที่มีชื่อเสียงมากในเผ่าฝูถู ว่ากันว่าถ้านางสามารถบรรลุภารกิจในแดนเซิ่งยวน นางก็จะได้รับการยืนยันในฐานะธิดาเทพคนใหม่แห่งเผ่าไท่หลิง
ด้วยสถานะดังกล่าวก็คุ้มค่าที่เฉวียนหลัวจะสร้างความสัมพันธ์ไว้
“นอกจากนี้”
ไป๋ซินเอ๋อยิ้มสายตาหยุดอยู่ที่ร่างเงาข้างมู่เฉิน แววแปลกประหลาดปรากฏขึ้น
“หญิงสาวที่อยู่ด้านข้างนั่นคือคู่ต่อสู้คนสำคัญของข้าในแดนเซิ่งยวนโบราณครั้งนี้”
“นางมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเองไม่เห็นจะต้องกลัว นางจะแข่งกับเจ้าได้อย่างไร?” เฉวียนหลัวยิ้มขณะที่กวาดสายตามองไปที่ลั่วหลี ความตื่นตะลึงปรากฏในดวงตาเขาเมื่อเห็นลั่วหลี แต่ก็สงบลงได้อย่างรวดเร็ว
“พี่ใหญ่เฉวียนปากหวานจริงๆ” ไป๋ซินเอ๋อยิ้มปิดปาก
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ผู้คนจำนวนมากก็รวมตัวกันมากขึ้น ขณะที่จิตสังหารที่เบื้องหลังนัยน์ตามั่วซินหนาแน่นขึ้น วินาทีต่อมาเขาก้าวออกไปทันที
ตู้ม!
ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกราวกับภูเขาไฟ ขณะเดียวกันเสียงของมั่วซินซึ่งเต็มไปด้วยเจตนาการฆ่าก็สะท้อนออกมา
“ในเมื่อแกไม่อยากรับความปรารถนาดีของข้า งั้นก็กลับไปสนุกให้พอในคุกเผ่าฝูถูเถอะ!”
“ไอ้คนบาปต่ำตมที่ไม่รู้จักประมาณตน!”
บทที่ 1319 ตลาด
ฟิ้ว!
รัศมีโบราณกระจายไปทั่วบริเวณ ความเงียบที่ดูเหมือนจะเป็นชั่วนิรันดร์ก็หยุดชะงักลง ร่างเงาหลายร่างพุ่งทะลุขอบฟ้า ทะยานไปยังส่วนลึกด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์
ขณะที่เดินทาง โครงสร้างเมืองใหญ่ก็เริ่มมองเห็นได้จากระยะไกล ดูราวกับสัตว์อสูรร้ายตัวใหญ่ที่กำลังคืบคลานอยู่บนพื้น
“เรากำลังจะถึงแล้ว!”
เวินชิงเฉวียนดีใจเมื่อเห็นภาพเมือง
หลังจากการเดินทางมาสองวันเต็ม ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่หมาย
มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ เพราะไม่ง่ายที่จะเดินทางในแดนเซิ่งยวนโบราณนี้ ภัยพิบัติที่แม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนยังหวาดกลัวเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ สองวันที่ผ่านมาพวกเขาก็เห็นภัยพิบัติอย่างน้อยห้าประเภท ซึ่งภัยสายฟ้าทำลายล้างที่เป็นหนึ่งในนั้นเกือบทำให้กลุ่มพวกเขาต้องสูญเสียกำลังพล
แต่โชคดีที่พวกเขามาถึงที่หมายจนได้
เมื่อพวกมู่เฉินเข้าไปใกล้เมืองมากขึ้นก็รู้สึกได้ว่ามีกลุ่มอื่นพุ่งผ่านขอบฟ้าจากทิศทางอื่นมุ่งหน้าไปยังเมืองเช่นกัน
มู่เฉินยังรู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นหลิงจำนวนมากในเมืองอีกด้วย
“มีหลายกลุ่มมารวมตัวกันที่นี่จริงๆ” มู่เฉินหรี่ตา จากการประเมินกลุ่มเจ็ดถึงแปดส่วนที่เข้ามาในแดนเซิ่งยวนโบราณล้วนน่าจะมาที่จุดรวมตัวนี้
ดังนั้นจึงบอกได้ว่าในจุดรวมตัวนี้วุ่นวายเพียงใด
“ระวังด้วยนะ”
มองเมืองที่ใกล้เข้าไปทุกขณะ มู่เฉินก็เอ่ยเตือนทุกคน
คนอื่นๆ พยักหน้า กลุ่มที่สามารถทำภารกิจในแดนเซิ่งยวนได้ไม่ใช่ธรรมดา ถ้าเกิดการกระทบกระทั่งกันก็สร้างปัญหาน่าดู
ทุกคนพุ่งทะลุขอบฟ้าก่อนที่จะพลิ้วลงไปที่หน้าประตูเมือง เนื่องจากพวกเขารู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังบริเวณท้องฟ้าเหนือเมืองเมื่อเข้าใกล้ ความผันผวนนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง
หากพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ระวัง อาจทำให้เกิดการโจมตีของพลังงานก็เป็นได้
“นี่เป็นค่ายกลที่เสียหาย ระดับสูงมากเลยทีเดียว คงไม่อ่อนแอไปกว่าที่เมืองเซิ่งยวน” หลิงซีจ้องมองความผันผวนวุ่นวายบนท้องฟ้าก็อุทานออกมาเบาๆ
มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าค่ายกลนี้จะได้รับความเสียหาย แต่เขาก็ยังรู้สึกถูกคุกคาม แต่เขาไม่แปลกใจเนื่องจากนี่เป็นหนึ่งในสนามรบโบราณระหว่างมหาพันภพกับเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นจึงเป็นปกติที่จะเห็นค่ายกลในระดับนี้
“ไปกันเถอะ”
มีหลายกลุ่มทะยานลงบริเวณประตูเมืองอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็ตั้งระวังขณะเข้าไปในตัวเมือง ส่วนมู่เฉินก็โบกมือแล้วเข้าไปภายใน
novel-lucky
เมื่อก้าวเข้ามาในเมือง อาคารพังพินาศก็ฉายเต็มสองลูกตา ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังรู้สึกว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยรุ่งโรจน์ขนาดไหน
เมืองนี้เต็มไปด้วยอาคารสูงหลายแห่ง ลือกันว่าในสมัยโบราณจอมยุทธ์ชั้นยอดนิยมสร้างเจดีย์เพื่อฝึกฝนสำหรับตนเอง ดังนั้นเจดีย์ทุกองค์จึงเป็นตัวแทนของจอมยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่
เมืองที่พังพินาศกลับมาคึกคักจากการมาถึงของผู้คนหลายกลุ่ม เสียงโกลาหลดังทั่วบริเวณ
“มีตลาดอยู่ในเมืองนี้ ซึ่งมีหลายกลุ่มจะนำของมาขาย บางทีก็เป็นสมบัติแต่ก็อาจเป็นขยะได้ด้วย ทว่าโดยรวมก็ควรค่าแก่การไปชม”
เวินชิงเฉวียนรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจุดรวมตัวนี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงชี้ไปที่ส่วนลึกของเมืองและยิ้มพราว
หัวใจมู่เฉินสั่นไหว แดนเซิ่งยวนโบราณใหญ่โตมาก มีจอมยุทธ์ชั้นยอดมากมายที่ละสังขารไว้ที่นี่ ดังนั้นจึงมีสมบัติมากมาย บางคนโชคดีได้พบ แต่อาจมีสายตาไม่เฉียบแหลมในการพิจารณาสิ่งของเหล่านั้น ดังนั้นหากเจอของดีในตลาดก็ถือว่าได้สวรรค์ประทานพร
“เรื่องข้อมูลให้เป็นหน้าที่ของพวกข้า ตระกูลเวินมีแหล่งข่าวมากมาย สำหรับพวกเจ้าลองไปเดินชมที่ตลาดก่อนได้” เวินชิงเฉวียนกล่าว
“ตกลง”
มู่เฉินพยักหน้า นั่นเป็นแหล่งข้อมูลของตระกูลเวินจึงไม่เหมาะที่พวกเขาจะตามไป
“งั้นเดี๋ยวเจอกัน”
เวินชิงเฉวียนโบกมือ ก่อนมุ่งหน้าไปอีกทางหนึ่งพร้อมกับพวกเวินจื่อหยู่ มองอีกฝ่ายที่ออกไป มู่เฉินก็หันหลังกลับนำลั่วหลี หลิงซีและหลงเซี่ยงเข้าไปในตลาด
ผ่านไปตามถนนที่จอแจไปข้างหน้าก็มองเห็นลานขนาดใหญ่ที่ได้รับความนิยม มีผู้คนเดินไปมาอยู่จำนวนมาก
ความนิยมนี้ไม่อาจเทียบได้กับโลกภายนอก แต่ในแดนเซิ่งยวนโบราณก็มีเพียงสถานที่แห่งนี้เท่านั้นที่ได้รับความนิยมสูงสุด
เห็นได้ชัดว่านี่ต้องเป็นตลาดที่เวินชิงเฉวียนบอก
พวกมู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากัน ความสนใจวูบวาบในนัยน์ตา ก่อนที่จะเดินเข้าไปภายใน ลานแห่งนี้ปูด้วยหินขนาดใหญ่ มีร่างนั่งอยู่บนหินเหล่านั้นพร้อมกับแสดงสินค้าที่เบื้องหน้า
สิ่งของทั้งหมดนั้นมีกลิ่นอายโบราณ มองเห็นรอยกะดำกะด่างจากร่องรอยของอายุ
มู่เฉินหยุดที่หน้าหินก้อนใหญ่หนึ่ง กวาดตามองวัตถุที่วางเต็มอยู่เบื้องหน้า บางชิ้นที่เป็นอาวุธมหสวรรค์ก็เปล่งคลื่นหลิงจางๆ อยู่
มู่เฉินหยิบกระบี่สีดำขึ้นมา ตัวกระบี่มีรอยแตก ใบมีดหม่นแสง แต่พลังงานที่เปล่งออกมาบางครั้งทำให้ดูไม่ธรรมดา
“ฮี่ๆ สหายสนใจกระบี่นี่รึ? กระบี่นี้ถูกสร้างโดยเหล็กเย็นเก้าอเวจีกับหินอุกกาบาต มันทนทานอย่างยิ่ง ในจุดสูงสุดก็เป็นอาวุธที่มีค่าสูงกว่าอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงซะอีก อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมที่เคยเป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน” ชายชุดเทายืนอยู่ด้านหลังแผงขายของยิ้มตาหยี
ในมหาพันภพมีอาวุธที่เหนือกว่าอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงก็คือขั้นเยอดเยี่ยม
แต่อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมหายากและทรงพลัง แม้แต่จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนบางคนก็ยังไม่มีในครอบครอง จากการประเมินของเขากระบี่ของจักรพรรดิฟ้าก็น่าจะเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม ในจุดสูงสุดก็น่าจะอยู่ในอันดับต้นๆ เลยทีเดียว
มู่เฉินยิ้มขณะถือกระบี่ยาวสีดำถามว่า “นี่ราคาเท่าไร?”
“ราคาลดสุดๆ แล้วอยู่ที่ของเหลวจื้อจุนห้าสิบล้านหยด” ชายชุดเทาพูดขึ้น
มู่เฉินยิ้มแล้วโยนกระบี่กลับไปก่อนที่จะหันออกไป เขาไม่คิดจะพูดกับผู้ขาย กระบี่ยาวสีดำนั่นอาจเป็นสิ่งประดิษฐ์โบราณ แต่ไม่ว่าครั้งหนึ่งจะทรงพลังแค่ไหนก็เสียหายไปแล้ว กลายเป็นขยะที่สึกกร่อนตามกาลเวลา
novel-lucky
เมื่อชายชุดเทาเห็นมู่เฉินออกไปโดยไม่สนใจ เขาก็สาปส่ง
กลุ่มมู่เฉินเดินผ่านร้านรวงในตลาด พวกเขาได้เห็นสมบัติโบราณหลายอย่าง แต่ส่วนใหญ่เป็นของไร้ประโยชน์
ทว่าส่วนมากจะเป็นขยะ แต่อย่างน้อยบนแผงขายของแผงหนึ่งมู่เฉินก็รู้สึกถึงวัตถุสองชิ้นที่ไม่ธรรมดา จากการประเมินทั้งสองน่าจะเป็นสมบัติของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ซึ่งเจ้าของคนก่อนของมันไม่ได้อ่อนแอเลย
นี่เป็นไม้ยาวและพลองที่น่าจะเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม ก่อนที่จะได้รับความเสียหาย
แม้ว่าทั้งสองรายการจะไม่ธรรมดา แต่มู่เฉินก็ไม่มีความตั้งใจที่จะซื้อ นั่นเพราะมีคนจำนวนมากสนใจ มิหนำซ้ำพวกเขายังร่ำรวย ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีราคาก็ถูกปั่นไปถึงพันล้านหยด ซึ่งมู่เฉินไม่มีกำลังทรัพย์ในการซื้ออาวุธที่เสียหาย
วัตถุเช่นนั้นต่อให้ได้มาก็ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการฟื้นฟู
ดังนั้นทั้งกลุ่มจึงไม่ได้ซื้ออะไรและไม่เห็นอะไรที่พึงพอใจ ซึ่งทำให้พวกเขาอดเสียดายไม่ได้
มู่เฉินกวาดสายตาก็พบว่ากำลังจะถึงท้ายตลาดแล้ว ขณะที่ตั้งใจจะกลับไปรวมกลุ่มกับเวินชิงเฉวียน เขาก็หยุดชะงักเมื่อเดินผ่านแผงหินขนาดใหญ่
แววตาของเขาสั่นไหวก่อนจะหยุดฝีเท้าลง สายตาเขาจ้องอยู่บนก้อนหินใหญ่ที่มีแผงขายของเล็กๆ ที่แสดงวัตถุอยู่หลายชิ้นที่มีกลิ่นอายโบราณ คลื่นหลิงหม่นแสง
สายตาของมู่เฉินกวาดผ่าน ก่อนที่จะหยุดบนแผ่นทองแดงที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน เขาหยิบมันขึ้นมาเช็ดโคลนออก ก่อนที่ความมันวาวจะปรากฏให้เห็น
นี่เหมือนจะเป็นแผ่นทองแดงที่แตกหัก ทว่าแผ่นทองแดงนี่ถูกขัดจนมันวาวมาก สามารถมองเห็นอักขระโบราณสะท้อนถึงต้นกำเนิดโบราณของวัตถุนี้
มู่เฉินมองไปที่แผ่นทองแดง แม้ว่าสายตาจะสงบแต่หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ เนื่องจากเขารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากเจดีย์ในร่างกายเมื่อเดินผ่าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาถือแผ่นทองแดงนี้ไว้ในมือ เจดีย์ในร่างกายก็ยิ่งสั่นรุนแรง ถ้าไม่ใช่เขาพยายามระงับเอาไว้ละก็ เขาอาจสูญเสียการควบคุมเจดีย์ไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าวัตถุนี้จะต้องเชื่อมโยงกับเผ่าฝูถูแน่
แววตาของมู่เฉินสั่นไหว ขณะที่เอ่ยถามชายวัยกลางคนร่างผอม “นี่ราคาเท่าไร?”
ชายวัยกลางคนมองมาที่มู่เฉินตอบอย่างนิ่งเฉย “แปดสิบล้าน”
มู่เฉินเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยิน “ไม่แพงไปหน่อยเหรอ?”
ชายวัยกลางคนยิ้ม “สหายแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าวัตถุนี้คืออะไร แต่ข้ารู้ว่าต่อให้ข้าโจมตีด้วยพลังทั้งหมดที่มี ก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายได้แม้แต่น้อย ซึ่งนี่บอกได้วัตถุนี้ไม่ธรรมดา อีกอย่างดีที่ข้าไม่รู้ว่ามันใช้งานยังไง ไม่งั้นเจ้าคิดว่าข้าจะเอาออกมาขายเรอะ?”
มู่เฉินพูดไม่ออก คนที่สามารถเข้ามาในแดนเซิ่งยวนโบราณได้ไม่ใช่พวกธรรมดาเลยจริงๆ ชายคนนี้ก็ดูเหมือนจะมีสายตาพอสมควร
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่พูดมากความ โบกแขนเสื้อ ขวดหยกขวดหนึ่งก็บินไปหาชายวัยกลางคน ขณะที่เขาถือแผ่นทองแดงไว้ “งั้นข้าซื้อ”
ทว่าทันใดมือข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากด้านหลังทะลุผ่านมิติคว้ามาที่แผ่นทองแดงในมือมู่เฉิน
ขณะเดียวกันเสียงไม่แยแสก็ดังก้อง
“ข้าเอาสิ่งนี้”
บทที่ 1318 บรรลุ
ราตรีกาลล้อมรอบสวรรค์และโลกราวกับฉากฝัน
เกล็ดหิมะโปรยปรายลงสู่พื้นดินซึ่งบรรจุความเย็นที่ไม่อาจจินตนาการได้ แม้แต่พื้นดินก็ยังมีชั้นน้ำแข็งปกคลุมอยู่
กระทั่งคลื่นหลิงในบริเวณนี้ยังแสดงสัญญาณการถูกแช่แข็งโดยเกล็ดหิมะ
เงาร่างกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ในถ้ำโดยมีไข่มุกสีแดงเข้มลอยอยู่ระหว่างพวกเขาดูเหมือนภูเขาไฟ ทำให้อุณหภูมิที่นี่สูงขึ้น ขับไล่ความเย็นที่อยู่ในถ้ำออกไป
นอกจากนี้บริเวณปากถ้ำยังมีค่ายกลปรากฏให้เห็นเลือนราง ช่วยต่อต้านการรุกรานจากความเย็นเช่นกัน
“หิมะที่นี่ครอบงำมาก”
มู่เฉินมองเกล็ดหิมะที่อยู่ด้านนอกถ้ำก็อดพูดออกมาไม่ได้ ตอนที่พวกเขาออกจากขุมทรัพย์ภูตผีเสื้อโอสถเมื่อวันก่อน พวกเขาโชคร้ายพบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติเข้า ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาที่พักพิงชั่วคราว
“นี่คือหิมะสะท้านวิญญาณว่ากันว่าสามารถตรึงได้กระทั่งวิญญาณของผู้คนไว้ได้” เวินชิงเฉวียนยิ้มจากนั้นก็ชี้ไปที่ไข่มุกสีแดงเข้ม “โชคดีที่ข้าเตรียมมุกไฟวิญญาณมา ไม่งั้นต่อให้เข้ามาหลบในถ้ำ เราก็ต้องใช้คลื่นหลิงอย่างต่อเนื่องเพื่อขับไล่ความหนาวเย็น”
มู่เฉินพยักหน้า หากเวินชิงเฉวียนไม่ได้เตรียมตัวมาละก็ พวกเขาก็ต้องใช้วิธีที่เสียแรงมากที่สุด ซึ่งจะส่งผลต่อพลังอย่างไม่ต้องสงสัย
“เราจะทำอย่างไรต่อไปดี?” ลั่วหลีมองไปที่มู่เฉิน ศีรษะเอียงลงเล็กน้อย เรือนผมพาดลงมาราวกับน้ำตกพร้อมกับรอยยิ้มระบายบนใบหน้า ความงามไร้ที่ตินี้เหมือนทำให้แม้แต่แสงสว่างทั่วถ้ำยังเพิ่มขึ้นเลยทีเดียว
“ลั่วหลี เจ้าสวยขึ้นอีกแล้ว!”
มู่เฉินไม่อาจละสายตาจากนางไปได้ พวกเวินจื่อหยู่ถึงกับไม่กล้ามองลั่วหลีตรงๆ ส่วนเวินชิงเฉวียนกลับโน้มตัวไปข้างหน้าเงียบๆ แอบคว้าเอวของลั่วหลีไว้ ดวงตายิ้มหยี
สัมผัสได้ถึงการกระทำนี่ ลั่วหลีก็กลอกตามองเวินชิงเฉวียน ก่อนที่จะสะบัดนิ้วอย่างเบามือแกะมือเวินชิงเฉวียนออก
“ทำไมเขาโชคดีแบบนี้” เวินชิงเฉวียนถอนมือออกก่อนที่จะพูดอย่างเฉื่อยเนือย “เป้าหมายต่อไปของเราคือเมืองหนึ่งในแดนเซิ่งยวนโบราณ ตามแหล่งข่าวที่นั่นเป็นจุดรวมตัว ดังนั้นจะต้องมีหลายกลุ่มรวมตัวกันอยู่ที่นั่นแน่นอน”
“โอ้?” มู่เฉินหดตาลงถามว่า “เราสามารถซื้อข้อมูลที่ต้องการได้ไหม?”
ข้อมูลที่เขากำลังมองหาชัดว่าเกี่ยวข้องกับเผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิง
เวินชิงเฉวียนพยักหน้า “ย้อนกลับไปในแดนเซิ่งยวนโบราณ มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งสี่คนสละชีพที่นี่ นอกจากนี้มรดกของพวกเขายังเป็นสิ่งหายากที่สุด แม้ว่าจะมีข้อมูลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครสามารถได้รับมรดกของพวกเขาไปได้”
“จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ มรดกของจอมยุทธ์ทั้งสี่นั้นไม่มีที่ตั้งแน่นอน พวกมันเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา”
“เคลื่อนไหว?” มู่เฉินขมวดคิ้ว หากนั่นเป็นเรื่องจริงความยากลำบากในการค้นหาจะยิ่งยากกว่าเดิม
“ดังนั้นเราต้องไปที่จุดรวมตัวก่อน เนื่องจากที่นั่นเป็นจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลด้วย ทุกกลุ่มจะมุ่งหน้าไปหลังจากผ่านการผจญภัยสั้นๆ เราน่าจะได้รับข้อมูลบางอย่าง” เวินชิงเฉวียนกล่าว
มู่เฉินพยักหน้า หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ควรไปยังจุดรวมตัว มิฉะนั้นคงยากจะได้ผลลัพธ์จากการคลำทางทั่วมั่วไปเอง
แต่ถ้าเป็นไปตามที่เวินชิงเฉวียนพูด จุดรวมตัวจะต้องเป็นสถานที่วุ่นวายแน่ นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้สูงที่ทั้งสามกลุ่มของเผ่าฝูถูจะไปที่นั่นเช่นกัน
ในบรรดาสามกลุ่มนั้นเฉวียนหลัวและมั่วซินไม่ได้เป็นมิตรกับเขา ดังนั้นหากพบกันอาจเกิดการต่อสู้ก็เป็นได้
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้คิดมากในเรื่องนี้ หากเฉวียนหลัวและมั่วซินมองเขาเหมือนพวกขี้แพ้ เขาก็ไม่รังเกียจอะไรที่จะสั่งสอนบทเรียนให้อีกฝ่าย
“ตอนนี้สามารถลองยาเซิ่งหวาสักหน่อย”
แม้ว่าเขาจะไม่กลัวอีกฝ่าย แต่มู่เฉินไม่ใช่คนประมาท แม้แต่สิงโตยังต้องใช้กำลังเต็มที่ในการตะครุบกระต่าย ไม่ต้องพูดถึงเฉวียนหลัวและมั่วซินที่ไม่ใช่พวกจัดการง่ายๆ ดังนั้นเป็นการดีที่สุดที่เขาจะใช้ยาเซิ่งหวาเพื่อบรรลุอีกขั้นของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก่อนจะไปยังจุดรวมตัว
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาบอกคนอื่นสั้นๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปยังโถงอีกฝั่งของถ้ำซึ่งถูกสร้างขึ้น
“เราก็ต้องพัฒนาเช่นกัน”
มองร่างเงามู่เฉิน เวินจื่อหยู่และหลงเซี่ยงก็ลุกขึ้นยืน พูดอย่างเร่งร้อน
พวกเขาได้รับเม็ดยาเซิ่งหลิงมา ตราบใดที่กลืนเม็ดยาแล้วชำระ ด้วยการสั่งสมพลังมานานของพวกเขา คงไม่เป็นเรื่องยากที่จะเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแท้จริง
การปะทะกันที่เกิดขึ้นในขุมทรัพย์ ทำให้พวกเขาตระหนักว่าขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มปกป้องตนเองในแดนเซิ่งยวนโบราณก็เต็มกลืนแล้ว หากพวกเขาต้องการที่จะช่วยพรรคพวกก็ต้องบรรลุระดับที่สูงยิ่งขึ้น
“ต้องรบกวนพวกเจ้าคุ้มกันด้วย”
ลั่วหลียิ้มให้เวินชิงเฉวียนและหลิงซีก่อนปลีกตัวเข้าโถงถ้ำอีกแห่ง นางได้รับยาเซิ่งหวามาจากมู่เฉิน ซึ่งนี่ก็มีความสำคัญกับนางเช่นกัน
เนื่องจากร่างเทพวารีที่นางฝึกฝนเป็นร่างเทห์สวรรค์ลำดับสูงในทำเนียบการจัดอันดับ!
ขณะที่แต่ละคนแยกย้ายกันไป ถ้ำก็เงียบลง เวินชิงเฉวียนและหลิงซีแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนจะยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งสองปิดตาลงเข้าสู่สมาธิเช่นกัน
ในโถงถ้ำขนาดใหญ่
มู่เฉินนั่งลงเงียบๆ พร้อมกับยาผลึกอัญมณีลอยอยู่ตรงหน้า กลิ่นหอมเล็ดลอดออกมา ทำให้พลังงานหลิงภายในโถงถึงกับกระเพื่อมไหว
มู่เฉินมองยาเซิ่งหวาก็สูดหายใจลึกๆ ทันใดนั้นมือของเขาก็ประสานกันวาดตราประทับขึ้น ริ้วแสงหลิงพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย ร่างสีม่วงทองขนาดหลายร้อยจั้งก็ควบแน่นอย่างรวดเร็วที่ข้างหลัง
เม็ดยาเซิ่งหวาสามารถเพิ่มศักยภาพของวิชาต่างๆ เข้าสู่อีกระดับหนึ่ง ถ้าเร้าวิชาที่ฝึกฝนก่อนกลืนเม็ดลงไปก็จะเพิ่มโอกาสในวิชาเกินครึ่ง ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่กลัวว่าการพัฒนาจะตกไปที่วิชาอื่นๆ
ถ้าเกิดสิ่งนั้นขึ้นก็ถือว่าโชคไม่เข้าข้างแล้วกัน
เมื่อร่างสีม่วงทองปรากฏขึ้น มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป กลืนเม็ดยาเซิ่งหวาทันที
ปัง!
เม็ดยาเซิ่งหวาที่ถูกกลืนแตกออกจากกันทันที ความรู้สึกเย็นฉ่ำที่ไม่สามารถอธิบายได้แพร่กระจายไปทั่วแขนขาของเขา ในช่วงเวลาต่อไปความรู้สึกแปลกประหลาดก็ลุกขึ้นจากส่วนลึกของหัวใจ
ในช่วงเวลานั้นก็ราวกับมีสติปัญญาไม่รู้จบ ความสงสัยที่เกิดระหว่างการฝึกฝนก็หายไปทั้งหมด
มู่เฉินหลับตาด้วยสีหน้านิ่งเงียบและดำดิ่งในความรู้แจ้ง ร่างเทพที่อยู่ข้างหลังก็เข้าสู่สมาธิด้วย พร้อมกับพื้นผิวของร่างกายวูบไหวด้วยความมันวาวสีม่วงทอง ราวกับว่ากำลังเลี้ยงดูบางสิ่งบางอย่าง
โถงถ้ำกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้น
หิมะหายไปหมดแล้ว ที่น่าตกใจก็คือแผ่นดินที่ถูกแช่แข็งในรัศมีหมื่นลี้ก็ละลายอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตสองสายพลุ่งพล่านภายในถ้ำ ไม่ไกลร่างเงาสองร่างก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
พวกเขาแผดเสียงดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง ดึงดูดคลื่นหลิงที่ถั่งโถมบนท้องฟ้า
“หนวกหู!”
นอกถ้ำเวินชิงเฉวียนจ้องทั้งสองที่กำลังคำรามก็ตะโกนด่า
เวินจื่อหยู่กับหลงเซี่ยงแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะปิดปากฉับ ทว่าความสุขในแววตาของพวกเขากลับไม่สามารถปกปิดได้ เพราะในที่สุดด้วยความช่วยเหลือของยาเซิ่งหลิง พวกเขาก็บรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างเป็นทางการแล้ว!
ในเวลานี้โถงถ้ำแห่งหนึ่งก็เปิดขึ้น ลั่วหลีเดินออกมา
“ลั่วหลีเป็นอย่างไรบ้าง?” เวินชิงเฉวียนถามอย่างสงสัยเพราะนางอยากรู้ว่าเม็ดยาเซิ่งหวาน่าอัศจรรย์เพียงใด
แต่เผชิญหน้ากับความอยากรู้ ลั่วหลีก็ยิ้มบาง “ยาเซิ่งหวาสมกับเป็นผลงานยิ่งใหญ่ที่สุดของภูตผีเสื้อโอสถ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี่ เวินชิงเฉวียนยิ่งอยากรู้มากขึ้น นางอยากถามเพิ่มเติม แต่ลั่วหลีก็ทำเพียงยิ้มลึกลับ ทำเอานางหงอยลงทันที
ตู้ม!
อึดใจโถงถ้ำอีกแห่งก็เปิดออก ร่างของมู่เฉินปรากฏต่อหน้าทุกคน
“มู่เฉิน เจ้าทำสำเร็จไหม?” เวินชิงเฉวียนมองไปที่มู่เฉิน
มู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากับลั่วหลี จากนั้นก็ยิ้มตาหยี “ภูตผีเสื้อโอสถสมชื่อเสียงจริงๆ”
เมื่อเห็นสำบัดสำนวนของทั้งสอง เวินชิงเฉวียนก็อดกัดฟันกรอดไม่ได้ ‘พวกเขาสมกับเป็นคู่รักกันจริงๆ!’
ทว่าจากท่าทางการแสดงออก อย่างน้อยเวินชิงเฉวียนก็รู้ว่าพวกเขาพอใจกับผลของเม็ดยาเซิ่งหวามาก
“ไปที่จุดรวมตัวกันเถอะ!”
มู่เฉินไม่พูดมากความ โบกมือให้ทุกคน
จบคำพูด เขาก็แตะเท้าส่งแรงกลายเป็นแนวแสงพุ่งไปทางจุดลึกของแดนเซิ่งยวนโบราณโดยมีเงาร่างหลายร่างติดตามอยู่ข้างหลัง
บทที่ 1317 ยาเซิ่งหวา
ในถ้ำ
ทั้งสองฝ่ายยืนประจันหน้ากัน ทว่าตอนนี้ทุกคนกลับมองไปที่ทางเข้าพร้อมกับความกลัวฉายบนใบหน้า
เมื่อครู่พวกเขาเห็นเงาร่างสองร่างโผล่ออกมาจากมิติที่มู่เฉินและหวู่ทงเข้าไป พวกมันเปล่งความผันผวนอันรุนแรง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจากทั้งสองฝ่ายยังรู้สึกได้ถึงรัศมีความตาย
เห็นได้ชัดว่าเงาทั้งสองนี้แข็งแกร่งกว่าผู้คนที่นี่!
ทว่าเงาทั้งสองนั้นเหมือนจะวิ่งหนีบางอย่างออกมา ดังนั้นจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับทั้งสองกลุ่มที่ยืนอยู่ เลย พวกมันหนีไปด้วยความเร็วสูงสุด
“นั่นเผ่าปีศาจต่างมิติ!”
หลิงซีมองเงาร่างที่หายไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เมื่อได้ยินดังกล่าว ใบหน้าของลั่วหลีและเวินชิงเฉวียนก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ความกังวลพล่านในดวงตาเมื่อมองไปที่มิติมังกรดำ
พวกปีศาจหนีออกมาจากมิติมังกรดำ นั่นก็หมายความว่าพวกมันจะต้องพบกับมู่เฉินและหวู่ทงในนั้น ไม่รู้ว่ามู่เฉินตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว
เวินชิงเฉวียนและคนอื่นๆ ก็คิดไม่ต่างกัน ดังนั้นแต่ละคนจึงแลกเปลี่ยนสายตาที่วูบไหวด้วยความกังวล
ตระกูลหวู่ก็แสดงสีหน้ากังวลเช่นกัน พวกเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับมู่เฉิน พวกเขากลัวเผ่าปีศาจ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับหวู่ทงการเดินทางครั้งนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่าแน่
ฟิ้ว!
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเป็นกังวล ทางที่เข้าสู่มิติมังกรดำก็สั่นไหว อึดใจต่อมาร่างเงาหนึ่งก็พุ่งออกมา
ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองมาของทุกคน สุดท้ายก็ปรากฏร่างมู่เฉินให้เห็น
“มู่เฉิน!”
เมื่อพวกเวินชิงเฉวียนเห็นมู่เฉินออกมา พวกนางก็รู้สึกโล่งใจมาก ท่าทางคลายลงหลายส่วน
มู่เฉินพยักหน้าให้พรรคพวกด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นความกลัวลอยอ้อยอิ่งบนใบหน้าของพวกเขา หัวใจของมู่เฉินก็กระตุกขณะถามว่า “พวกเจ้าเห็นเผ่าปีศาจหนีออกมาทางนี้เหรอ?”
ทุกคนพยักหน้าก่อนที่ลั่วหลีจะถามด้วยงุนงง “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเผ่าปีศาจถึงไปอยู่ในมิตินั้น?”
“นั่นคือองค์ชายของเผ่าซือหมัวชื่อซือเทียนโยว มันแอบตามพวกข้าเข้าไปในมิติมังกรดำ” สีหน้ามู่เฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขณะที่พูดต่อ “มันขโมยศพราชันปีศาจไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาหัวใจของทุกคนก็สั่นไหว ‘ขโมยศพราชันปีศาจไป?’
“มู่เฉิน นายน้อยพวกข้าอยู่ที่ไหน?!”
จอมยุทธ์ตระกูลหวู่ตะโกนถามและเริ่มแตกตื่นเมื่อมองไปที่มู่เฉิน
มู่เฉินเหลือบมองมาอย่างเฉยเมย “หวู่ทง? ตายด้วยน้ำมือศพราชันปีศาจไปแล้ว”
เฮือก
ใบหน้าของกลุ่มตระกูลหวู่ซีดเผือด ส่วนใบหน้าของต่งซันตกใจสุดขีด เขาทราบชัดเกี่ยวกับพลังของหวู่ทง แต่คนที่มีทรงพลังอย่างหวู่ทงยังต้องจบชีวิตในมิติมังกรดำหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่แน่ชัดว่าเขาตายด้วยน้ำมือของศพราชันปีศาจหรือมู่เฉิน
ดังนั้นแต่ละคนจึงมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจและหวาดกลัว
“ไป!”
สายตาของต่งซันไหวระริก จากนั้นก็กระชากเสียง ร่างเขาทะยานออกไปพร้อมกับกลุ่มมือสังหารปีศาจ
ในเมื่อหวู่ทงตายแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ยืนอยู่ในระดับเดียวกันอีก ถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อก็เป็นการให้โอกาสอีกฝ่ายในการสังหารพวกเขาทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย
จอมยุทธ์จากตระกูลหวู่เห็นก็ขบฟัน จากนั้นถอยหนีอย่างรวดเร็ว พวกเขาแพ้ในการแข่งขันครั้งนี้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ต่อไป
เมื่อเห็นพวกเขาตัดสินใจออกไปอย่างเด็ดขาด สายตาของมู่เฉินก็วูบไหว แต่สุดท้ายก็ระงับความคิดที่จะฆ่าพวกเขาไว้ นั่นเป็นเพราะหากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มต้องการที่จะไปก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะหยุดอีกฝ่าย
หากตกอยู่ในหายนะที่น่ากลัวระหว่างการตามล่ากลับต้องรับหายนะไปเอง
นอกจากนี้มู่เฉินก็ไม่ได้กังวลว่าตระกูลหวู่มองเขาเป็นศัตรูหรือไม่เมื่อพวกเขารู้ว่าหวู่ทงตาย ตระกูลหวู่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนเดียวเท่านั้นที่จะต้องดูแลเขตแดนของตน คงไม่สามารถออกมาอย่างง่ายดาย สำหรับจอมยุทธ์ที่ขุมพลังต่ำกว่านั้น พวกเขาไม่ได้เป็นภัยคุกคามมากนัก
ตอนนี้สิ่งสำคัญคือการเก็บเกี่ยวสมบัติในมรดกนี้
“อื้อหือ เปิดหนีเร็วมาก”
เมื่อเห็นศัตรูจากไปอย่างรวดเร็ว เวินชิงเฉวียนก็เค้นเสียงเย็นชา นางไม่มีความคิดที่จะไล่ตามพวกเขาเช่นกัน ดังนั้นนางจึงหันมาหามู่เฉินแทน “ต่อจากนี้ตระกูลเวินของข้าจะทำสงครามกับตระกูลหวู่ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการล้างแค้นของพวกมัน”
ถึงยังไงนางก็เป็นคนชวนมู่เฉินมาช่วย แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าใครฆ่าหวู่ทง แต่ตระกูลหวู่ต้องโยนความแค้นลงที่มู่เฉินแน่ ดังนั้นตระกูลเวินมีหน้าที่ต้องปกป้องมู่เฉิน
มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า เขาไม่ได้ปฏิเสธความปรารถนาดีของเวินชิงเฉวียน ก่อนที่จะหันไปทางกระแสมิติ มือของเขาประสานกันวาดทักษะลับ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ขณะที่มู่เฉินวาดกระบวนท่าทักษะลับ มิติมังกรดำก็เปล่งเสียง กระแสมิติลดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นแสงสีม่วงตกลงในมือของมู่เฉิน
นี่คือแหวนมังกรดำที่กำจายคลื่นมิติอันผันผวน
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะอุทานกับภาพนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน เนื่องจากมีมิติเปิดอยู่ในวงแหวน มิหนำซ้ำยังสามารถให้สิ่งมีชีวิตเข้าไปอยู่ได้ด้วย
เมื่อคนอื่นๆ เห็นอุโมงค์มิติกลายเป็นวงแหวน พวกเขาก็เบิกตาค้าง
“เจ้าได้รับกองทัพมังกรดำเหรอ?” เวินชิงเฉวียนอดถามออกมาไม่ได้
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องซ่อนเพราะใครๆ ก็เดาได้
เมื่อเห็นมู่เฉินพยักหน้าพรรคพวกก็หายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็มองมู่เฉินราวกับว่ากำลังมองสัตว์ประหลาด นั่นเป็นเพราะพวกเขาทราบชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของกองทัพมังกรดำ
หากมีวันหนึ่งที่มู่เฉินสามารถควบคุมได้อย่างเต็มที่ เขาก็ไม่ต้องกลัวแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน
เมื่อเห็นการเก็บเกี่ยวของมู่เฉิน แม้แต่เวินจื่อหยู่และคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่ดวงตาจะลุกโชน
“ดูเหมือนเจ้าจะเป็นผู้ชนะยิ่งใหญ่ในมรดกนี้สินะ” เวินชิงเฉวียนแกล้งเหน็บ ทว่าในคำพูดของนางไม่มีความอิจฉาริษยาเลย ในฐานะคนที่มีความภาคภูมิใจ นางจะไม่อิจฉาคนอื่นในเรื่องเก็บเกี่ยวได้มากกว่า เพราะนางรู้ว่านี่เป็นความสามารถของบุคคลล้วนๆ
ทว่ามู่เฉินกลับรู้สึกลุแก่โทษเล็กน้อย เนื่องจากข้อมูลมรดกนี้มาจากเวินชิงเฉวียน หากไม่ใช่คำเชิญของนาง มู่เฉินก็ไม่มีทางค้นพบมรดกนี้ได้
“เราแบ่งเม็ดยากันครึ่ง-ครึ่งเหมือนเดิมเถอะ” มู่เฉินกล่าวว่า ก่อนหน้าตอนที่เวินชิงเฉวียนได้รับมรดก นางเสนอที่จะทำการเปลี่ยนแปลงในการแบ่งเป็นแปดต่อสอง
เวินชิงเฉวียนส่ายหน้าขณะเชิดใบหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิ “ในเมื่อข้าบอกว่าแปดต่อสองก็เป็นไปตามนั้น นี่เป็นความสามารถของเจ้าเองที่ได้รับกองทัพมังกรดำ พวกข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร”
เมื่อเห็นท่าทางมุ่งมั่นของเวินชิงเฉวียน มู่เฉินก็อดยิ้มจนใจไม่ได้ แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้า เพราะนึกได้ว่าตอนนี้เขาต้องการกำลังสนับสนุนสำหรับกองทัพจอมเขมือบ
หากเขาไม่มีของเหลวจื้อจุนเพียงพอ กองทัพมังกรดำจะไม่มีทรัพยากรในอีกครึ่งปี
“มาแบ่งเม็ดยาในมรดกกันก่อนเถอะ” ลั่วหลียิ้มบาง
เวินชิงเฉวียนพยักหน้า ทุกคนก็เงยหัวขึ้นมองบนถ้ำ พวกเขาเห็นท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวเบื้องบน โดยที่ดาวทุกดวงก็คือเม็ดยาล้ำค่า
เมื่อเวินชิงเฉวียนโบกมือหม้อกลั่นผีเสื้อโอสถก็ทะยานออก คลื่นแสงเปล่งประกายพุ่งออกมา กวาดเม็ดยาลงหม้อ
กระบวนการนี้กินเวลานานสิบกว่านาที ก่อนที่ดวงดาวจะค่อยๆ ลดปริมาณลง
จากนั้นเวินชิงเฉวียนก็หลับตาครู่หนึ่ง เพื่อนับจำนวนเม็ดยาในหม้อ ก่อนที่ความตะลึงใจจะปรากฏบนใบหน้า “มีเม็ดยาทั้งหมดแปดร้อยเม็ด!”
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดนี่ พวกเขาก็อดอุทานไม่ได้
เพราะทุกคนตระหนักดีว่าเม็ดยาเหล่านี้ล้วนเป็นของล้ำค่าที่เหลืออยู่ของภูตผีเสื้อโอสถ ถ้านำออกไปประมูลในมหาพันภพละก็ เพียงเม็ดเดียวราคาก็สามารถไปถึงของเหลวจื้อจุนหลายล้านหยดเลยทีเดียว
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจ ด้วยเม็ดยาเหล่านี้เขาไม่ต้องกังวลกับของจื้อจุนสำหรับกองทัพมังกรดำอีกพักใหญ่
เวินชิงเฉวียนพลิกนิ้วเบาๆ ลำแสงห้าสายก็ยิงออกมาจากหม้อกลั่นขนาดใหญ่ พวกมันลอยคว้างที่เบื้องหน้านาง กระจายความบริสุทธิ์และน่าอัศจรรย์ของคลื่นหลิง
เมื่อแสงเหล่านั้นค่อยๆ จางหาย ยาผลึกอัญมณีห้าเม็ดก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของทุกคน พื้นผิวของเม็ดยาเหล่านั้นปกคลุมด้วยลวดลายธรรมชาติ ซึ่งพิสูจน์ถึงคุณภาพที่เหนือล้ำของเม็ดยาทั้งห้า
เมื่อเม็ดยาทั้งห้าปรากฏขึ้น มู่เฉินก็จ้องเขม็งก่อนจะเลื่อนสายตาที่ลุกโชนไปทางเวินชิงเฉวียน
เวินชิงเฉวียนยิ้มตอบว่า “นี่คือเม็ดเซิ่งหวา”
“พวกข้าจะรับไปเม็ดเดียว อีกสี่เม็ดเป็นของพวกเจ้า” เวินชิงเฉวียนคว้าเม็ดยาไว้หนึ่งเม็ด ก่อนที่จะโบกมือ เม็ดยาสี่เม็ดก็บินไปที่มู่เฉิน
มู่เฉินรับเม็ดยาอย่างระมัดระวัง จ้องมองเม็ดยากลมเกลี้ยงสมบูรณ์ในมือก็ถอนหายใจโล่งอก จากนั้นรอยยิ้มก็เพิ่มขึ้นบนใบหน้าอย่างไม่สามารถควบคุมได้
เขารู้ว่าด้วยยาเซิ่งหวานี้ ในที่สุดเขาก็มีโอกาสในการพัฒนาทักษะเทห์สวรรค์ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้ว
บทที่ 1316 หลุมไร้ก้น
การต่อสู้ในมิติมังกรดำสิ้นสุดลง
ความเสียหายที่เหลือพิสูจน์ให้เห็นว่าเกิดการต่อสู้เลือดเดือดขึ้นที่นี่
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมลง เมื่อมองไปในตรงจุดที่ซือเทียนโยวหายไป นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับนักรบจากเผ่าปีศาจต่างมิติ ความแข็งแกร่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมาทำให้เขาตกใจอย่างยิ่ง
รัศมีปีศาจไม่เหมือนกับคลื่นหลิง แต่ทั้งเลวร้ายและดุร้าย ถ้าได้รับการปนเปื้อนนี้พลังในร่างก็จะหมดลงอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ในแดนเซิ่งยวนโบราณมีกลุ่มจากขุมกำลังทรงพลังมากมายอยู่แล้ว ยิ่งรวมกับเผ่าปีศาจที่ซ่อนตัวสถานการณ์ก็จะยิ่งยากลำบากมากขึ้น
“มันเป็นสมาชิกจากเผ่าซือหมัว มิน่าล่ะถึงมาตามหาศพราชันปีศาจ” เจียงหลงขมวดคิ้วที่ข้างมู่เฉิน
“เผ่าซือหมัว” มู่เฉินพึมพำ แต่เขาที่ไม่มีข้อมูลเผ่าปีศาจมากนัก จึงไม่คุ้นเคยอะไร
“มีเผ่าสามสิบสองเผ่าเป็นขั้วอำนาจหลักในจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ และเผ่าซือหมัวก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“เผ่าซือหมัวมีความสามารถในการควบคุมศพและกลั่นพลังงานจากศพ ด้วยศพราชันปีศาจตกอยู่ในมือของซือเทียนโยว เมื่อควบคุมได้ความสามารถในการต่อสู้ของมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน” เจียงหลงถอนหายใจ
ม่านตามู่เฉินหดลง ซือเทียนโยวในตอนนี้เป็นคู่ต่อสู้ที่ยากจัดการอยู่แล้ว ถ้าเมื่อไรสามารถควบคุมศพราชันปีศาจได้ก็จะต้องยิ่งน่ากลัวกว่าเดิม
แม้ว่าซากร่างนั้นจะไม่ได้มีพลังเหมือนเมื่อยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็สามารถจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้โดยไม่มีปัญหา ก็เหมือนที่กับหวู่ทงซึ่งถูกสังหารโดยร่างราชันปีศาจ โดยไม่มีอำนาจที่จะต่อสู้
“ข้าประมาทไป ชายคนนั้นใช้จังหวะที่กองทัพมังกรดำอ่อนแอทำลายผนึกและยึดศพราชันปีศาจไป” เจียงหลงโทษตัวเอง ราชันปีศาจถูกสังหารและผนึกโดยจักรพรรดิมังกรดำตั้งแต่ยังมีชีวิต ตอนนี้ศพถูกนำเอาไปซึ่งจะสร้างความเดือดร้อนมากมาย ทำให้เขารู้สึกผิดต่อเจ้านายคนก่อนอย่างยิ่ง
“แม่ทัพเจียงหลง หากเราพบกับซือเทียนโยวในอนาคต ข้าจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อจัดการกับมันและทำลายศพราชันปีศาจ” มู่เฉินเอ่ยสัญญา กองทัพมังกรดำอ่อนกำลังลงเพราะสร้างตรากองทัพ ซือเทียนโยวจึงสบโอกาส เรื่องนี้มู่เฉินก็รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบด้วย
แน่นอนว่าเหตุผลอีกประการที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อเอาชนะใจเหล่านักรบ กองทัพมังกรดำไม่ใช่หุ่นเงาที่เขาสามารถสั่งให้ทำงานได้โดยไม่ต้องกังวล นี่คือนักรบยังมีชีวิตโดยมีเจียงหลงเป็นแม่ทัพ ดังนั้นหากมู่เฉินต้องการควบคุมกองทัพชั้นยอดนี้ เขาจะต้องได้รับการยอมรับจากเหล่านักรบทุกคน
ใบหน้าของเจียงหลงอ่อนโยนลงเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เหล่านักรบมังกรดำก็มองมู่เฉินด้วยสายตาที่เต็มใจจะยอมรับมากขึ้น
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ซือเทียนโยวทรงพลังยิ่งเมื่อรวมกับศพราชันปีศาจก็ลำบากที่จะจัดการ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินไร้พลัง
หากพวกเขานำไพ่ตายออกมาก็ยังไม่รู้ว่าใครจะชนะ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้โอ้อวดในการทำสัญญานั้น
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าก็ขอขอบคุณจอมทัพมู่ล่วงหน้า” เจียงหลงรู้สึกซาบซึ้งใจต่อมู่เฉินก่อนที่จะมองกองทัพมังกรดำพลางยิ้ม “จอมทัพมู่ถึงเวลาที่เจ้าต้องจัดกองทัพมังกรดำแล้ว”
มู่เฉินพยักหน้าด้วยหัวใจลุกโชน แต่จากนั้นเขาก็รู้สึกลำบาก กองทัพมังกรดำเป็นขุมกำลังมีชีวิต ดังนั้นไม่สามารถเก็บไว้ในกำไลเจี้ยจื่อได้ หรือว่าเขาจะนำกองทัพนี้ไปกับเขาขณะที่เดินทาง?
“ไม่จำเป็นต้องกังวล” เมื่อเห็นสีหน้าของมู่เฉิน เจียงหลงก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายลำบากเรื่องอะไร เขายิ้มกว้าง “มิติมังกรดำเป็นค่ายพักของพวกเรา นี่เป็นมิติเล็กๆ ที่นายท่านคนก่อนสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน เจ้าสามารถใช้ทักษะลับเพื่อเปลี่ยนมิติมังกรดำให้เป็นแหวนเพื่อนำติดตัวไป”
เมื่อได้ยินใบหน้าของมู่เฉินเปี่ยมด้วยความยินดี หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาสามารถนำกองทัพนี้ไปกับเขาทุกที่ทุกเวลาเลยหรือ?
“แต่” เสียงเจียงหลงหยุดชะงักด้วยดวงตายิ้มหยี “คลื่นหลิงในมิติมังกรดำบางจางลงมาก ดังนั้นจึงสามารถใช้พักผ่อนได้เท่านั้น เมื่อทุกคนตื่นขึ้นความต้องการคลื่นพลังก็เพิ่มขึ้นตามเช่นกัน”
“ดังนั้นถ้าเราอยู่ในมิติมังกรดำเป็นเวลานาน ภายใต้คลื่นหลิงที่ขาดแคลนก็จะทำให้พลังของเราลดลง”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะถาม “แล้วควรทำอย่างไรกัน?”
ตอนนี้เขายังไม่มีความสามารถในการสร้างมิติเป็นตัวเองและไม่สามารถเชื่อมโยงมิติมังกรดำกับมหาพันภพเพื่อดูดซับคลื่นหลิงได้เอง
เจียงหลงหัวเราะเบาๆ “ดังนั้นเราต้องการของเหลวจื้อจุนจำนวนมากเพื่อใช้ในการเพาะบ่ม”
“ต้องการเท่าไร?” ตอนแรกมู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ แต่เมื่อรับรู้ถึงแสงวิบวับในดวงตาของเจียงหลง เขาก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
เจียงหลงยิ้ม “ไม่มากหรอกประมาณแปดร้อยล้านหยดต่อปี”
สายตามู่เฉินมืดดำทันที เขาร้องเสียงลั่น “แปดร้อยล้านหยดต่อปี?!”
กระทั่งเขาที่ใจเย็นยังเกือบด่าสาปแช่ง ของเหลวจื้อจุนแปดร้อยล้านหยดไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยเลย ต้องรู้ว่าย้อนกลับไปที่เขตต้าหลัวเทียน รายได้ทั้งหมดของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดต่อปีเท่านั้น ทว่าการเลี้ยงดูกองทัพมังกรดำเพียงอย่างเดียวต้องการถึงแปดร้อยล้านหยด?
นี่มันหลุมไร้ก้นแล้ว!
ตอนนี้เองที่มู่เฉินตระหนักว่าจำนวนทรัพยากรที่ใช้เพื่อรักษากองทัพยอดเยี่ยมเช่นนี้มากมายปานใด
“ของเหลวจื้อจุนปีละแปดร้อยล้านหยดยังดีอยู่มั้ง? นี่ข้าพยายามพูดให้น้อยแล้วนะ” เจียงหลงรู้สึกงุนงงไปเล็กน้อย ในอดีตตอนที่พวกเขาติดตามจักรพรรดิมังกรดำ พวกเขาใช้ของเหลวประมาณพันล้านหยดต่อปี
ริมฝีปากของมู่เฉินกระตุก เขาไม่ใช่จักรพรรดิมังกรดำ แต่เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายตัวน้อยๆ เขาจะร่ำรวยเหมือนจักรพรรดิมังกรดำได้ยังไง?
แม้ว่าเขาจะมีตำหนักมู่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มหลุมดำนี้!
เจียงหลงดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องนี้อยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงยิ้มเก้อออกมา “ถ้าจอมทัพมู่สามารถหาที่อยู่ข้างนอกได้ เราก็จะสามารถอยู่รอดได้ด้วยการใช้ของเหลวจื้อจุนประมาณห้าร้อยล้านหยดเท่านั้น”
มู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ หากเขาไม่สามารถนำทัพมังกรดำไปกับเขาได้ก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะไม่มีใครในตำหนักมู่ที่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นในทางปฏิบัติก็เป็นการสูญเสียทรัพยากรมาก
“ข้าจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเจ้าในเรี่องของเหลวจื้อจุน” มู่เฉินพยักหน้า เขาอุตส่าห์ได้รับกองทัพนี้มา ดังนั้นเขาไม่สามารถปล่อยไปได้โดยง่าย ถ้าข่าวรั่วไหลออกไป ไม่รู้ว่าจะมีขั้วอำนาจสูงสุดเท่าไรมาต่อสู้แย่งชิงกัน
เมื่อเทียบกับกองทัพชั้นยอดที่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ของเหลวจื้อจุนหลายร้อยล้านหยดก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก
ตามการประเมินของมู่เฉิน ถ้าเขาต้องการที่จะสร้างกองทัพเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงเวลาแค่เพียงของเหลวจื้อจุนอย่างเดียว ก็ต้องจ่ายออกไปพันล้านแล้ว
“มีของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดอยู่ที่นี่ พวกเจ้าเอาไปใช้ก่อน”
มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อ สายธารก็หลั่งไหลออกมา แสงกำจายออก คลื่นหลิงไร้ขอบเขตเติมเต็มไปทั่วมิติมังกรดำนี้
สายธารเหล่านั้นเกิดจากของเหลวจื้อจุนทั้งสิ้น มู่เฉินอดรู้สึกโชคดีไม่ได้ที่เขาเดิมพันด้วยของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดให้กับตัวเองในทวีปซีเทียน ดังนั้นปริมาณของเหลวจึงมีถึงสองร้อยล้านหยด
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถนำของเหลวจื้อจุนออกมาแม้แต่ร้อยล้านหยดได้
เมื่อเจียงหลงเห็นของเหลวจื้อจุนก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ด้วยปริมาณนี้สามารถสนับสนุนการฝึกฝนกองทัพมังกรดำได้หนึ่งถึงสองเดือน
จากนั้นมู่เฉินตรวจสอบกองทัพ เขาพบว่ามีนักรบประมาณหมื่นห้าพันคน จากที่เจียงหลงพูดกองทัพมังกรดำในจุดสูงสุดมีนักรบสองหมื่นห้าพันคน แต่ก็สูญเสียจำนวนพลไปมากจากการเข้าสู่นิทรารมณ์ยาวเช่นนี้
“ดูท่าหากมีโอกาสในอนาคต สามารถลองเติมเต็มกองทัพได้” มู่เฉินคิดในใจ แต่เงื่อนไขแรกคือเขาต้องมีของเหลวจื้อจุนเพียงพอที่จะสนับสนุน
เพราะตอนนี้แค่สนับสนุนนักรบหมื่นห้าพันคนอย่างเดียวก็ปวดกบาลมากแล้ว หากต้องการเสริมกำลังเพิ่ม ราคาที่ต้องจ่ายก็จะทะยานทะลุเพดาน
“ดูเหมือนตำหนักมู่ต้องขยายตัวแล้ว” มู่เฉินตีหน้าผากตัวเอง แม้ว่าตำหนักมู่จะรวบรวมภูมิภาคทางเหนือของทวีปเทียนหลัวแต่ก็ยังไม่เพียงพอ ดังนั้นหากมู่เฉินต้องการมีเงินทุนเพื่อบรรลุความปรารถนา เขาจะต้องขยายอิทธิพลตำหนักมู่
แต่นั่นหมายความว่าเขาจะต้องต่อสู้กับขั้วอำนาจชั้นนำอื่นๆ ในทวีปเทียนหลัว ทว่าคนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัว ตอนนี้เขาไม่ใช่แค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว เมื่อถึงเวลาที่เขากลับไปยังทวีปเทียนหลัว แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้
“หากจอมทัพมู่ต้องการก็สามารถส่งข้อความมายังมิติมังกรดำในครั้งต่อไปได้เลย แต่ด้วยความเชี่ยวชาญตอนนี้ในฐานะจั้นเจิ้นซือ เจ้าสามารถสั่งการนักรบได้สามพันคนเท่านั้น ข้าจะรอวันที่เจ้าสามารถควบคุมกองทัพมังกรดำทั้งหมดได้” เจียงหลงโค้งคำนับขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพต่อมู่เฉิน
“ข้าก็รอวันนั้นเช่นกัน”
มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า หลังจากได้รับทักษะลับในการเก็บมิติมังกรดำจากเจียงหลง มู่เฉินก็ไม่อยู่ต่อ ทะยานออกจากมิติมังกรดำทันที
ยามนี้เขายังไม่ลืมว่ามีเม็ดยาจำนวนมากของภูตผีเสื้อโอสถที่ทิ้งไว้ แน่นอนว่ายังมีเม็ดยาเซิ่งหวาที่เขาหมายตาด้วย
หากเขาได้รับมาก็จะสามารถพัฒนาทักษะเทห์สวรรค์ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์เข้าสู่ขั้นสองได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งของมู่เฉินอย่างมีนัย
บทที่ 1315 ซือเทียนโยว
เสียงเย็นดังก้องออกมาจากเงาดำ
ดวงตาก็พรั่งพรูด้วยรัศมีความตายไม่จบสิ้น
ในบริเวณที่เขายืนอยู่พืชพันธุ์ทุกชนิดก็ถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็วภายใต้รัศมี พลังชีวิตทั้งหมดถูดยึดไปอย่างรุนแรง
มากจนกระทั่งคลื่นหลิงยังเปลี่ยนเป็นสีเทาซีดพร้อมกับรัศมีความตายแผ่กระจายออกไป
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ ดวงตาก็หดลง รัศมีความตายนี้ครอบงำนัก มันปนเปื้อนแม้แต่คลื่นหลิงในฟ้าดิน
หากรัศมีความตายบุกรุกร่างกาย จะทำลายล้างขนาดไหนกัน?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ริ้วความเคร่งเครียดก็หมุนวนในดวงตาของมู่เฉิน ดูเหมือนว่าเมื่อเผชิญหน้ากับพวกปีศาจต่างมิติจะต้องระวังไม่ให้รัศมีความตายเข้ารุกรานร่างกายได้
ตู้ม!
แม้ความคิดจะเกิดในใจอย่างต่อเนื่อง แต่มู่เฉินก็ไม่ได้หยุดการลงมือ รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตถั่งโถมออกมาราวกับคลื่นยักษ์ เพียงสะบัดนิ้วก็ฉีกขาดท้องฟ้า ห่อหุ้มไปที่ร่างองค์ชายเผ่าซือหมัว
“หึ!”
ซือเทียนโยวเค้นสียงเย็นชาไม่มีความคิดจะหลบหลีก เขาเหยียดมือซีดออกมาพร้อมกับลวดลายปีศาจวูบไหวอยู่ด้านบน รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากกวาดออกราวกับควันในทันที
“รัศมีซือหมัว!”
รัศมีพุ่งพรวดออกมาปะทะกับรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต เสียงเขย่าโสตประสาทดังขึ้น ละลายกระแสรัศมีจั้นยี่ออกไป
ปัง ปัง!
ควันปีศาจพวยพุ่งออกมา ขัดขวางรัศมีจั้นยี่ของมู่เฉินอย่างเต็มที่
การปะทะกันรวดเร็ว ทำให้ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลง ยามนี้เขาควบคุมนักรบมังกรดำสามพันคน แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั่วไปก็ไม่สามารถเอาชนะได้ ทว่าเขากลับไม่สามารถได้เปรียบขณะที่เผชิญหน้ากับซือเทียนโยว
เห็นได้ชัดว่าถึงแม้ซือเทียนโยวจะไม่ได้เป็นราชันปีศาจ แต่พลังก็อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดอย่างไม่ต้องสงสัย
โฮก!
ด้วยการแสดงออกที่เคร่งเครียด มู่เฉินมือก็ประสานด้วยกัน รัศมีจั้นยี่จากนักรบมังกรดำสามพันคนพลุ่งพล่านออกมาพร้อมกับเสียงคำรามมังกรสั่นสะเทือนโลกาดังตามออกมาด้วย
ตู้ม!
วิญญาณสงครามมังกรดำปรากฏขึ้นพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะพรูลมปราณก้อนมหึมาที่มีความแปรปรวนทำลายล้างพัดเข้าใส่ซือเทียนโยว
เมื่อซือเทียนโยวที่ห่อหุ่มด้วยรัศมีปีศาจเห็นลมปราณมังกรไหลบ่ามาในทิศทางของตน แววเยาะเย้ยก็ปรากฏบนใบหน้าที่ไร้สีเลือด เขาเปิดปากแสงสีเทาขาวก็ยิงออกมา
“กระดูกดับชีวิต!”
แนวแสงพุ่งออกไป ชั่วลมหายใจก็ก่อตัวเป็นกะโหลกศีรษะสีเทาขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนสามารถกลืนกินพลังทั้งหมดในโลกด้วยปากนี้
ฮา
กะโหลกศีรษะสีเทาเปิดปากดูดลมปราณมังกรที่เข้ามาในทิศทางของเขาในคำเดียว
หลังจากกลืนลมปราณมังกร ลวดลายก็สั่นไหวบนโครงกระดูกสีเทาก่อนที่มันจะค่อยๆ ร่อนลงข้างตัวซือเทียนโยว เปล่งแสงเย็นยะเยือกมองไปที่มู่เฉิน
เมื่อมู่เฉินเห็นการโจมตีถูกแก้ลำอย่างง่ายดาย เขาก็อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากแน่น ต้องรู้ว่าเมื่อเผชิญกับลมปราณมังกรแม้แต่หวู่ทงก็ต้องหนีไป แต่ซือเทียนโยวกลับแก้ไขแบบสบาย
ชัดว่าซือเทียนโยวทรงพลังกว่าหวู่ทง
ซือเทียนโยวกอดอกดวงตาที่เต็มไปด้วยรัศมีปีศาจหนาแน่นจ้องมองมาที่มู่เฉิน จากนั้นก็ยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า “งัดวิชาที่มีออกมาซะ ข้าจะแสดงให้รู้ว่าอัจฉริยะของมหาพันภพอ่อนด้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับเผ่าปีศาจของข้า”
“จอมทัพมู่ พวกเราร่วมมือกันสังหารไอ้สัตว์นรกนั่นกัน!”
เจียงหลงทะยานเข้ามา สายตาจ้องซือเทียนโยวอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ อึดใจร่างเขาก็ขยายขนาด ไม่กี่วินาทีก็กลายร่างเป็นยักษ์ที่มีเกล็ดมังกรอยู่บนร่าง เขาดูเหมือนมนุษย์มังกรอย่างไรอย่างนั้น
ตู้ม!
เขากระทืบฝ่าเท้า พื้นแตกกระจาย ร่างเขาก็พุ่งเข้าใส่ซือเทียนโยวราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่
เมื่อมู่เฉินเห็นการกระทำนี้ก็ไม่ได้หยุดเจียงหลง ซือเทียนโยวท่าทางไม่ธรรมดา ดังนั้นพวกเขาต้องจับอีกฝ่ายให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้มีสิ่งอื่นเกิดขึ้น สำหรับการต่อสู้แบบยุติธรรม มู่เฉินไม่ได้โง่พอที่จะทำหรอก
ดังนั้นเขาจึงเข้าควบคุมวิญญาณสงครามมังกรดำโดยไม่ลังเล เมื่อวิญญาณคำรามก็สะบัดกรงเล็บไปในทิศทางของซือเทียนโยว
จากการประเมินของมู่เฉิน ซือเทียนโยวน่าจะเทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุด แต่ตราบใดที่เขาไม่ได้เป็นราชัน ก็ไม่มีอะไรให้มู่เฉินกลัว
เจียงหลงและมู่เฉินเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน กระบวนท่าโจมตีที่ดุเดือดของพวกเขาเป็นสิ่งที่แม้แต่ ซือเทียนโยวยังต้องควบคุมรัศมีปีศาจและกะโหลกศีรษะสีเทาเพื่อต่อต้านการโจมตีที่เข้ามา
เวลานี้ความผันผวนป่าเถื่อนในมิติกวาดอาละวาดรุนแรง รอยฉีกขาดขนาดใหญ่มากมายปรากฏขึ้น พื้นที่ยุบตัวลงในรัศมีการต่อสู้
แม้ว่าซือเทียนโยวจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุด เขาก็ถึงกับตึงมือเมื่อเผชิญหน้ากับมู่เฉินและเจียงหลงพร้อมกัน มิหนำซ้ำยังแสดงสัญญาณตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำด้วย
เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้หัวใจก็วูบไหว มู่เฉินชุดดำและชุดขาวเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยทันที กำลังพลที่เพิ่มขึ้น ทำให้แม้แต่ซือเทียนโยวก็ถูกซัดหลายตุ้บ
ใบหน้าของหวู่ทงตื่นตระหนกเมื่อเห็นการต่อสู้ที่น่าตกใจนี้ เขาขวัญหนีดีฝ่อเมื่อซือเทียนโยวปรากฏตัวขึ้น เนื่องจากเขาไม่เคยคิดว่าสมาชิกเผ่าปีศาจต่างมิติจะตามพวกเขามา
นอกจากนี้ความแข็งแกร่งที่น่ากลัวที่ซือเทียนโยวแสดงออกมาก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวจับใจ หากต่อสู้แบบตัวต่อตัวคงไม่ถึงสิบกระบวนท่า เขาก็ต้องตายในน้ำมือของซือเทียนโยวแล้ว
“ที่นี่อันตรายเกินไปที่จะอยู่แล้ว”
ใบหน้าของหวู่ทงเปลี่ยนไป เขาเกิดความตั้งใจที่จะถอยหนี ในเมื่อกองทัพมังกรดำครอบครองโดยมู่เฉินแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ยังเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะช่วยมู่เฉินปะทะกับซือเทียนโยว เนื่องจากเขาหวังว่าพวกมู่เฉินจะตายอยู่ในมือปีศาจต่างมิติด้วยซ้ำ
ตู้ม!
ขณะที่หวู่ทงเกิดความคิดมากมาย ไกลออกไปซือเทียนโยวก็ตบรัศมีจั้นยี่จนแตก ก่อนที่หันไปปะทะกับกำปั้นของเจียงหลงที่ปกคลุมด้วยเกล็ดมังกร
ปัง!
พลังน่าสะพรึงกลัวทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเจียงหลงถอยกลับ ร่างซือเทียนโยวก็สั่นเทา ที่มุมหางตาเขาเห็นมู่เฉินชุดดำและชุดขาวล้อมกรอบเข้ามา แสงเย็นเยือกวูบไหวในดวงตาเขา
เขาอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบอย่างสมบูรณ์ในการปะทะกันครั้งนี้
“สู้กับพวกมันต่อไม่ได้แล้ว”
สายตาของซือเทียนโยวกะพริบวาบ ร่างกายกลายเป็นกลุ่มควันดำก่อนที่จะหายไป เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้งก็ห่างออกไปหมื่นจั้ง เขาเงยหน้าขึ้นพ่นเลือดสีดำออกมาจากปาก
เลือดนั้นคล้ายกับลูกธนู พุ่งทะลุขอบฟ้าเข้าหว่างคิ้วของร่างราชันปีศาจ
ตู้ม!
ทันใดนั้นร่างราชันปีศาจก็เบิกตาโพลง รัศมีปีศาจพุ่งสูงขึ้น ซากร่างพุ่งเข้ามาปรากฏตัวที่หลังหวู่ทงแล้วจับหัวอีกฝ่ายไว้
“อ้ากๆๆๆ!”
หวู่ทงตกใจมากกับการโจมตีกะทันหัน เขาร้องตะโกนต่อสู้ดิ้นรนอย่างรุนแรง
แต่ซากร่างก็จับหัวเขาแน่น ด้วยแรงสั่นครั้งเดียวก็ทำให้ศีรษะของหวู่ทงแตกดังโพละ รัศมีปีศาจรุนแรงเทลงไปในร่างกายของหวู่ทง ทำให้ร่างกายเขาแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว
เมื่อมู่เฉินและเจียงหลงเห็นฉากนี้ ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ก่อนที่จะออกกระบวนท่าพร้อมกัน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดไปในทิศทางซากร่าง
ฟิ้ว!
แขนของราชันปีศาจกระตุกก่อนที่จะโยนร่างหวู่ทงไปทางมู่เฉิน
เมื่อมู่เฉินเห็นร่างหวู่ทงถูกเหวี่ยงกลับมา ดวงตาก็หดลงขณะตะโกนลั่น “ถอยเร็ว!”
เขาเห็นชัดว่าพลังชีวิตของหวู่ทงหายไปหมดพร้อมกับรัศมีปีศาจบิดตัวไปมาใต้ผิวหนัง
ปัง!
เมื่อทุกคนถอยหลบ ร่างหวู่ทงก็ระเบิดออก รัศมีปีศาจกระจายออกมา
ไม่มีใครกล้าที่จะสัมผัสกับรัศมีปีศาจนี้ แต่ละคนถอยฉากหลบอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆ ข้าจะจดบัญชีนี้ไว้ เมื่อไรที่ข้าควบคุมศพได้อย่างสมบูรณ์ ข้าจะกลับมาหาแกแน่!” ขณะที่กลุ่มของมู่เฉินถอยไป เสียงเย็นของซือเทียนโยวก็ดังสะท้อนทั่วมิติ
เว้นแต่เสียงอ่อนล้าลงมาก น่าจะเป็นราคาที่เขาจ่ายไปเพื่อควบคุมซากร่างของราชันปีศาจ
“นรกละ มันจะหนีไปแล้ว!” เจียงหลงตะโกนลั่นทันที
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าซือเทียนโยวรวมตัวกับศพราชันปีศาจ ศีรษะของเขาก้มต่ำลง ดวงตาที่เต็มไปด้วยรัศมีปีศาจเขม่นมองมาที่มู่เฉิน
รอยยิ้มโหดร้ายปรากฏบนริมฝีปากของซือเทียนโยว ขณะทำท่าปาดลำคอส่งไปทางมู่เฉินจากระยะไกล
“ครั้งต่อไปที่เจอกัน ข้าฆ่าแกแน่นอน!”
เขาหัวเราะร่าขณะร่างเปลี่ยนเป็นกลุ่มควันอย่างรวดเร็ว ห่อหุ้มศพราชันปีศาจไว้ ก่อนที่จะฉีกมิติเคลื่อนตัวเข้าไปจากนั้นก็หายไป
เมื่อซือเทียนโยวจากไป มิติก็ค่อยๆ สงบลง ทิ้งแค่ความวินาศสันตะโรไว้ให้รู้ว่าเกิดการดวลเดือดขึ้นที่นี่
มองไปในทิศทางที่ซือเทียนโยวหายไป มู่เฉินก็ขมวดคิ้ว
เผ่าปีศาจต่างมิติก็เข้ามาในแดนเซิ่งยวนโบราณ… ดูเหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้จะยุ่งยากเข้าแล้ว
บทที่ 1314 เผ่าซือหมัว
“คารวะนายท่าน!”
เสียงสะท้อนไปมาระหว่างสวรรค์และโลก ทำให้มู่เฉินที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าอึ้งไป เขามองไปที่กองทัพมังกรดำด้วยความตะลึงงัน เขาไม่คิดว่ากองทัพชั้นยอดนี้จะยอมรับว่าเขาในฐานะผู้นำคนใหม่แล้ว
ยามนี้แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจที่รัวแรง แม้ว่าเขาจะพยายามระงับอารมณ์บนใบหน้าลง แต่กระนั้นก็ยังมีร่องรอยความสุขกระจายออกมา
จนสุดท้ายเขาก็ยอมแพ้กับการซ่อนอารมณ์นี้ ความสุขแล่นพล่านไปทั่วใบหน้าเลยทีเดียว
นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่ากองทัพนี้ทรงพลังเพียงใด แม้ว่านักรบบางคนจะสูญสลายไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังคงเป็นกองทัพที่ทรงพลังที่สามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้
หากวันหนึ่งที่มู่เฉินสามารถควบคุมทั้งกองทัพได้ เขาก็ไม่ต้องกลัวแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน
การสร้างกองทัพทรงพลังระดับนี้ในโลกมหาพันภพจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรและพลังงานที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ซึ่งไม่มีขั้วอำนาจสูงสุดธรรมดาใดๆ ทำได้
เช่นเดียวกับตระกูลหวู่หรือตำหนักซีเทียน แม้ว่าพวกเขาจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่พวกเขาก็ไม่มีกองทัพระดับนี้
หากมู่เฉินคิดจะสร้างด้วยตัวเอง ก็ไม่สามารถทำได้ถึงหนึ่งส่วน แม้ว่าเขาจะคั้นตำหนักมู่ทั้งหมดก็ตาม
ด้วยเหตุผลหลายประการ มู่เฉินจึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ในขณะนี้
“ลุกขึ้นเถอะ” ในที่สุดมู่เฉินก็ถอนความตื่นเต้นในใจ ก่อนที่จะประสานมือให้นักรบมังกรดำทุกคน
มู่เฉินทำตัวสุภาพยิ่งนัก ไม่เย่อหยิ่งเพียงเพราะกองทัพมังกรดำยอมรับ กองทัพมังกรดำไม่เหมือนกับกองทัพหุ่นเงาที่เขาเคยได้รับมาก่อน นี่เป็นกองทัพที่มีชีวิตดังนั้นเขาต้องทำในสิ่งที่จะเอาชนะใจพวกเขา
พรึ่บ
นักรบหลายหมื่นคนยืนขึ้น แม่ทัพมังกรดำก็พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ขอให้ท่านขึ้นไปบนแท่นเพื่อรับตรากองทัพ!”
มือของเขาชี้ไปที่แท่นตรงกลาง
มู่เฉินไม่ลังเลพลิ้วตัวลงบนแท่น ก่อนจะกวาดตามองกองทัพมังกรดำ
“ข้าแม่ทัพแห่งกองทัพมังกรดำ—เจียงหลง คารวะท่านจอมทัพคนใหม่”
แม่ทัพมังกรดำโค้งคำนับไปยังทิศทางของมู่เฉิน ก่อนที่จะกัดลิ้นตนเอง เลือดกลั่นพ่นออกมาจากปาก
ปุ
เมื่อเห็นดังนั้น นักรบมังกรดำก็ทำเช่นเดียวกัน เลือดกลั่นที่พ่นออกมาก็กลายเป็นลูกโลหิตลอยคว้างอยู่ตรงหน้ามู่เฉิน
ลูกโลหิตควบแน่นรวมตัวกัน ก่อนจะถักทอเป็นตรามังกรโลหิตดูดซับเลือดกลั่นที่อยู่รอบตัวไว้ทั้งหมด
ตรากองทัพลอยอยู่ตรงหน้ามู่เฉิน ปลดปล่อยพลังงานที่ลึกซึ้งออกมา สายตาของเขาก็วูบไหวขณะที่จ้องมองไป เขารู้ว่าเมื่อใดที่เขาชำระตรานี้ กองทัพมังกรดำจะเป็นของเขาอย่างแท้จริง
ดังนั้นมู่เฉินจึงกัดลิ้นโดยไม่ลังเล เลือดกลั่นพ่นไปยังตรากองทัพมังกรก่อนที่จะผสานเข้ากันอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นมู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเกี่ยวพันใกล้ชิดระหว่างเขากับกองทัพมังกรดำ
มู่เฉินเหยียดมือออกแล้วจับตรากองทัพเบาๆ ขณะนี้เขาคือจอมทัพแห่งกองทัพมังกรดำ
เมื่อหวู่ทงเห็นภาพนี้จากระยะไกล ดวงตาก็เต็มไปด้วยความโลภ ราวกับว่าต้องการให้มู่เฉินแดดิ้นลงตรงหน้า แล้วเขาจะได้แทนที่
ขณะนี้ความเสียใจพล่านในหัวใจอย่างอธิบายไม่ได้ หากเขารู้เรื่องนี้ เขาจะไม่ยอมให้มู่เฉินได้แหย่เท้าเข้ามาในมิตินี้อย่างเด็ดขาด เขาน่าจะต้องใช้ทุกวิธีการเพื่อขัดขวาง
เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจะได้ไม่ต้องแข่งขันกับมู่เฉินในฐานะจั้นเจิ้นซือ
ในความคิด มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น หากไม่ใช้รัศมีจั้นยี่ เขาก็มั่นใจว่าจะฆ่ามู่เฉินได้
“บ้าเอ๊ย! บ้าที่สุด!”
หวู่ทงพึมพำขณะที่สาปแช่งในใจ ดวงตาเขาแดงก่ำมากขึ้นจนสามารถกลั่นเลือดออกมาได้
แต่เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินไม่มีเวลาสนใจกับความเกลียดชังของผู้แพ้ มือจับตรากองทัพไว้ เขาก็รู้สึกถึงความสามารถในการบัญชากองทัพทรงพลังนี้ด้วยความปีติเต็มหัวใจ ครั้งนี้แค่การเก็บเกี่ยวกองทัพมังกรดำอย่างเดียวก็ทำให้การเดินทางมายังแดนเซิ่งยวนโบราณคุ้มค่ามาก
เวลานี้ใบหน้าของนักรบมังกรดำซีดลง เนื่องจากเหนื่อยล้าจากการกลั่นเลือดให้กลายเป็นตรากองทัพมังกร
ตู้ม!
เจียงหลงมองมู่เฉินด้วยสายตาพึงพอใจ แต่เมื่อเขากำลังจะพูด มิติก็สั่นสะเทือนขึ้นทันที
เมื่อรู้สึกถึงแรงสั่น ทุกคนก็อึ้งไปสั้นๆ ก่อนที่จะมองไปที่หวู่ทง ‘เจ้านั่นคิดจะทำอะไรอีก?’
แต่เมื่อพวกเขากวาดสายตาไปก็ตระหนักว่าหวู่ทงไม่ได้ทำอะไรเลย
“ใครกัน?!”
ใบหน้าของมู่เฉินและเจียงหลงเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นพวกเขาก็หันไปมองมิติว่างเปล่าขณะที่คำรามลั่น
“คึๆ”
ท่ามกลางเสียงตะโกนของพวกเขา มิติก็บิดเบี้ยว หมอกดำตลบอบอวลขึ้น วินาทีต่อมาก็กลายเป็นภาพเงาดำบนท้องฟ้า
ภาพเงานั้นถูกโอบล้อมด้วยรัศมีความตายและกลิ่นอายเลวร้าย ทำให้นักรบมังกรดำท่าทางเปลี่ยนไปฉับพลัน
“เผ่าปีศาจต่างมิติ!” ม่านตาของมู่เฉินหดเกร็ง จะมีใครอื่นนอกจากเผ่าปีศาจที่สามารถครอบครองรัศมีที่น่าขยะแขยงนี้!
“ไอ้ปีศาจ บังอาจบุกเข้ามาในมิติมังกรดำ! รนหาที่ตาย!” เจียงหลงคำรามดุดัน เผชิญกับปีศาจต่างมิติ ดวงตาเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ชัดว่าเกลียดชังอีกฝ่ายอย่างยิ่ง
ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกมาจากร่างเขา ซึ่งอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเลยทีเดียว
วาบ!
เจียงหลงเคลื่อนตัวมาปรากฏที่เบื้องหน้าเงานั้น กำปั้นชกออกไป เส้นเลือดผุดขึ้นบนแขนเขา กระจายพลังน่าสะพรึงกลัวออกมา
ทว่าเมื่อกำปั้นเกรี้ยวกราดพุ่งไปถึงเงาดำก็ทะลุผ่านไป เงาดำวับหายไปไม่กี่ลมหายใจก็ปรากฏตัวขึ้นในจุดอื่น
“บ้ากำลังจริงๆ แต่เป้าหมายที่ข้ามาที่นี่ไม่ใช่พวกแก”
เงาดำมองเจียงหลงด้วยดวงตาน่ากลัวพลางแสยะยิ้มชั่วร้าย “แต่ในเวลานี้พวกแกอ่อนแอนัก ดังนั้นข้าจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ไป”
ทันใดนั้นเขาก็พลิ้วลงบนพื้นพร้อมกับมือขาวซีดกดลงบนพื้น ควันดำบริเวณศีรษะจางลงเล็กน้อยเผยให้เห็นใบหน้าซีดขาวน่ากลัว ก่อนที่เขาจะแสยะยิ้มผิดปกติให้เจียงหลงและมู่เฉิน
“หยุดมัน!”
ดวงตาของมู่เฉินหดลง แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าไอ้ปีศาจนี่กำลังทำอะไร แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง คำรามออกมาทันที
“ฮ่าๆ สายไปแล้ว!”
ปีศาจตัวนั้นยิ้มน่าขนลุก ทันใดนั้นค่ายกลปีศาจดำทะมึนก็โผล่พรวดออกมาจากฝ่ามือ ราวกับหนอนบิดตัวขุดลงไปในพื้น
ใบหน้าของเจียงหลงเปลี่ยนไปรุนแรงขณะอุทาน “เป้าหมายมันคือร่างราชันปีศาจที่ถูกผนึกอยู่ใต้ดิน! จอมทัพมู่ควบคุมรัศมีจั้นยี่กองทัพมังกรดำ!”
หัวใจของมู่เฉินสั่นไหวเมื่อได้ยิน ‘มีร่างราชันปีศาจผนึกอยู่ใต้ดินรึ’
ทันใดนั้นมือก็จับตรากองทัพอย่างแน่นหนา พื้นดินสั่นรุนแรงขณะที่รอยแตกขนาดใหญ่แผ่ออกไปบนพื้นดิน
ฟิ้ว!
รัศมีปีศาจกลิ้งออกมาจากรอยแตก ลำแสงสีดำพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ความผันผวนของรัศมีปีศาจที่น่ากลัวปกคลุมทั่วมิติ
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดผวา เนื่องจากเห็นโครงกระดูกสีดำ แม้ว่าพลังชีวิตจะหายไป แต่มันก็ยังคงปกคลุมไปด้วยรัศมีปีศาจน่าสะพรึง
ตัดสินจากความผันผวน มันจะต้องเป็นระดับราชันที่ทรงพลังเมื่อยังมีชีวิต!
“ฮ่าๆ อย่างที่เดาเลย! มีร่างราชันปีศาจอยู่ที่นี่จริงๆ!” เงาดำหัวเราะน่าขนลุก
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน ตอนนี้เขาได้ควบคุมกองทัพมังกรดำแล้ว แต่ด้วยพลังยุทธ์ในปัจจุบัน เขาสามารถควบคุมนักรบสามพันคนได้เท่านั้น
โชคดีที่ชายคนนั้นยังไม่บรรลุระดับเทียนจื้อจุนในความรู้สึกของมู่เฉิน ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ใช่ว่าจะเผชิญหน้าไม่ได้
ตู้ม ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่รุนแรงแผดเสียงราวกับกระแสน้ำฉีกขาดมิติยิงไปทางเงาดำ
เผชิญหน้ากับรัศมีจั้นยี่ที่ล้อมรอบ เงาดำเลือกที่จะไม่ปะทะ เขาถอยฉากหนี ไม่ได้ตั้งใจจะต่อสู้อย่างชัดเจน
ทว่ามู่เฉินก็ไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายไป ด้วยความคิดรัศมีจั้นยี่ก็พวยพุ่ง เขาบอกได้เลยว่าเป้าหมายของเงาดำก็คือร่างราชันปีศาจ เขาแค่พยายามหยุดอีกฝ่ายไว้ไม่ให้นำศพออกไปก็พอ
ทะยานหลบหลีกสองสามครั้ง เงาดำก็เริ่มโกรธมู่เฉินที่ล่วงเกิน เขาหยุดการเคลื่อนไหว ควันดำบนหน้าจางลง เผยให้เห็นใบหน้าซีดขาวที่ฉายความโหดร้าย
ดวงตาเขาจับจ้องอยู่ที่มู่เฉินพลางเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา
“ในเมื่อแกรนหาที่ตาย องค์ชายคนนี้จะสนองความต้องการให้ จำไว้ คนที่ฆ่าแกคือ…”
“องค์ชายเผ่าซือหมัว—ซือเทียนโยว!”
บทที่ 1313 วิญญาณสงครามมังกรดำ
“รวมพล!”
เมื่อเสียงทั้งสองตะโกนออกมา คลื่นจิตทรงพลังสองสายก็กวาดไปทั่ว ห่อหุ้มนักรบมังกรดำเบื้องล่างไว้อย่างรวดเร็ว ภายใต้คลื่นจิตนี้ นักรบหลายคนก็ถูกเรียกตัวทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
“นี่คือ?!”
เมื่อแม่ทัพมังกรดำเห็นฉากนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหดดวงตาด้วยความตกตะลึง เมื่อเห็นมู่เฉินที่เหมือนกันอย่างกับแกะอีกสองคน
“ร่างดวงจิตงั้นเหรอ? แต่ทำไมพวกเขาถึงมีพลังเช่นเดียวกับร่างหลัก? แม้แต่ความสามารถในฐานะของจั้นเจิ้นซือก็เหมือนกัน!” แม่ทัพมังกรดำตกตะลึง แม้จะมีประสบการณ์มากมายเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกใจกับฉากนี้
เขาไม่เคยคิดว่ามู่เฉินจะมีกลยุทธ์ที่น่าตกใจเช่นนี้ เพราะแม้แต่นายท่านของพวกเขาก็ทำไม่ได้
“ฮา”
ขณะที่แม่ทัพมังกรดำกำลังตกตะลึง มู่เฉินก็โล่งหัวใจ โชคดีที่ทันเวลา ไม่อย่างนั้นคงต้องทนทุกข์ในวันนี้แน่
ก่อนหน้าที่เขาจะเข้ามาในมิตินี้ เขาได้ทิ้งร่างรองทั้งสองไว้ภายนอกเพื่อจัดการกับองครักษ์เงาสองคน แต่สิ่งนี้ก็ทำให้เขาไม่อาจใช้พลังเต็มที่ เพราะก่อนที่จะจัดการกับองครักษ์เงาเรียบร้อย เขาไม่สามารถเรียกร่างรองของเขามาได้ มิฉะนั้นหลิงซีและคนอื่นๆ คงจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนไม่ไหวแน่
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงรอให้ร่างรองจัดการเรียบร้อย ถึงจะเรียกเข้ามาได้ โชคดีที่ร่างรองปรากฏตัวทันเวลา ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงลงได้
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ร่างเงานักรบประมาณสองพันคนปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วที่ด้านหลังมู่เฉินชุดดำและชุดขาว เมื่อนับรวมกับนักรบพันคนที่มู่เฉินควบคุมก่อนหน้า พวกเขาก็มีนักรบถึงสามพันคน
เป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะบัญชารัศมีจั้นยี่นักรบสามพันคนได้ แต่โชคดีที่ร่างรองของมู่เฉินทั้งสองสามารถแบ่งเบาภาระนี้ได้ นอกจากนี้ทั้งสามยังเชื่อมโยงกระแสจิตเพื่อให้พวกเขาสามารถสั่งการเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นจึงไม่แตกต่างจากคนคนเดียวเป็นผู้บังคับบัญชา
ตู้ม!
หลังจากที่ร่างรองมู่เฉินรวบรวมกำลังพลแล้ว พวกเขาก็เร้ารัศมีจั้นยี่ทันที ทันใดนั้นรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตก็กวาดออกไปพร้อมกับแรงกดดันที่น่ากลัว ทำให้ทั่วบริเวณโยกคลอนจากพลังอำนาจนี้
รัศมีจั้นยี่ที่สร้างขึ้นโดยนักรบมังกรดำสามพันคนน่าสะพรึงยิ่งนัก!
ภายใต้ความกดดัน สีหน้าของหวู่ทงก็กลายแข็งค้างด้วยความหวาดหวั่น เห็นได้ชัดว่าเขาตกตะลึงอย่างมากกับจำนวนนักรบสามพันคนที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉิน
เขาอุตส่าห์กินเม็ดยา คั้นศักยภาพที่มีทุกอณูออกมา ก่อนที่จะสามารถสั่งการนักรบมังกรดำสองพันคนเพื่อปราบปรามมู่เฉิน แต่ตอนนี้มู่เฉินกลับสามารถควบคุมนักรบมังกรดำสามพันคน จินตนาการได้เลยว่าถ้าปล่อยพลังโจมตีออกมาจะน่ากลัวเพียงใด
“เวรเอ๊ย! เวรที่สุด! มันทำได้ยังไง?!”
หวู่ทงพึมพำอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับความกลัวพล่านในดวงตา เมื่อเผชิญหน้ากับนักรบมังกรดำสามพันคน เขารู้สึกอยากจะเปิดหนีให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
แต่สุดท้ายหวู่ทงก็ระงับความรู้สึกนั้น แม้เขาจะไม่รู้ว่ามู่เฉินสามารถรวบรวมนักรบสามพันคนได้อย่างไร แต่เขาก็ไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมกำลังพลนี้ได้อย่างแท้จริง
ถ้าเขาสามารถทำได้จริงๆ มู่เฉินก็ไม่ต้องกลัวจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มหน้าไหนด้วยจำนวนนักรบสามพันคนนี้
“มันต้องแกล้งทำอวดดีแน่! ตอนนี้มันจะต้องหมดพลังแล้ว!” หวู่ทงยิงฟันขณะที่สายตากลับมาโหดเหี้ยม เขาไม่ลังเลอีกต่อไป หอกซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยรัศมีจั้นยี่ของนักรบสองพันคนพุ่งออกไป ลวดลายจั้นเหวินนับล้านส่องประกาย ในเวลานั้นแม้แต่รัศมีจั้นยี่ที่เกิดขึ้นจากนักรบสามพันคนก็ถูกระงับ
“ตาย!”
เสียงคำรามของหวู่ทงดังก้องฟ้า
ฮึ่ม!
หอกซัดไปหามู่เฉิน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นจ้องมองหอกที่เข้ามาในทิศทางของตนเอง ก่อนที่จะพยักหน้าให้มู่เฉินชุดดำและชุดขาว
ทั้งสามวาดตราประทับพร้อมเพรียงกัน วินาทีต่อมาเสียงคำรามลึกต่ำก็ดังกึกก้องมาจากนักรบมังกรดำที่อยู่เบื้องหลังเขา รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตม้วนตัวแล้วแผ่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
ครืน!
เมฆรัศมีจั้นยี่คำรามเสียงรุนแรง ราวกับมีรัศมีจั้นยี่ไม่มีวันสิ้นสุดถูกรวบรวมเข้าด้วยกัน ปลดปล่อยแรงกดดันน่าสะพรึงเบาบางออกมา
ตู้ม ตู้ม!
หอกทะลวงผ่านมิติ ยิงไปที่ก้อนเมฆรัศมีจั้นยี่พยายามฉีกกลุ่มเมฆให้แยกออกจากกัน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองหอกที่ขยายอย่างรวดเร็วในดวงตา อึดใจลมหายใจขาวขุ่มก็พ่นออกมาจากปากเขา
ตึง!
เมฆรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตสั่นสะเทือนรุนแรง ในเวลาต่อมาเมื่อหอกซัดลงมา กรงเล็บมังกรขนาดใหญ่ก็ยื่นออกมาจากก้อนเมฆทันท่วงที
กรงเล็บนั้นเป็นสีดำสนิทและชัดเจนเสมือนกรงเล็บมังกรของจริงอย่างไรอย่างนั้น เมื่อมันยืดออกพลังมังกรยิ่งใหญ่ก็กวาดตัวออกไป
ปัง!
กรงเล็บมังกรเหยียดออกมาคว้าหอกไว้ แสงดำมืดระเบิดออกมาจากกรงเล็บ หยุดหอกไว้จนไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีกแม้แต่น้อย!
“อะไรน่ะ?!” หวู่ทงอุทานหลังจากเห็นหอกที่สร้างขึ้นจากการรวบรวมรัศมีจั้นยี่ของนักรบสองพันคนถูกหยุดอย่างง่ายดาย
ขณะที่เขากำลังตกตะลึงเสียงคำรามของมังกรก็ดังขึ้นบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยรัศมีจั้นยี่เชี่ยวกราก
มังกรสงครามแปดแดน!
แปะ!
กรงเล็บมังกรสีดำกำแน่น หอกแตกเป็นประกายแสงกระจายบนท้องฟ้า
เมื่อหอกแตกสลาย ชั้นเมฆหนาทึบก็สั่นสะเทือน ในเวลาต่อมาเงาขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทุกสายตาจ้องมองไปที่เงาขนาดใหญ่ จากนั้นเสียงสูดอากาศก็ดังออกมา
มังกรดำปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวินพร้อมกับรัศมีจั้นยี่ดุเดือดที่สร้างหายนะไปทั่วมิตินี้
เมื่อเห็นมังกรดำ แม่ทัพและนักรบมังกรดำก็เริ่มตัวสั่นเทิ้มด้วยความตื่นเต้นในสายตา
“นั่นคือวิญญาณสงครามมังกรดำ!”
“เขาสามารถสร้างวิญญาณสงครามมังกรดำได้!”
เสียงตื่นเต้นดังออกมาจากกองทัพมังกรดำ นักรบหลายคนหันมองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตาร้อนแรง
แม้แต่แม่ทัพมังกรดำยังรู้สึกตื่นเต้นสายตาที่มองไปซับซ้อนขึ้น แม้ว่าวิญญาณสงครามมังกรดำจะอ่อนแอกว่าตอนที่พวกเขาอยู่ในจุดสูงสุด แต่นี่ตีความได้ว่ามู่เฉินมีความเข้ากันได้ดีกับกองทัพมังกรดำ
หากมู่เฉินยังคงเติบโตต่อไป กองทัพมังกรดำอาจจะสามารถไปถึงจุดสุดยอดได้อีกครั้ง
มู่เฉินก็อึ้งไปเล็กน้อยเมื่อมองดูมังกรตัวใหญ่โต เขาสัมผัสได้ว่าเมื่อมังกรตัวนี้ถูกสร้างขึ้น รัศมีจั้นยี่ของนักรบมังกรดำทั้งสามพันคนก็พุ่งขึ้นสูงอย่างน่าตกใจ
ในการสร้างวิญญาณสงคราม เขาจะต้องหลอมรวมคลื่นจิตของตนกับรัศมีจั้นยี่ของกองทัพให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถึงจะสร้างวิญญาณสงครามอันเป็นเอกลักษณ์ของกองทัพได้
เห็นได้ชัดว่าเขาประสบความสำเร็จ
“เป็นเพราะวิญญาณมังกรแท้จริงเหรอ?” มู่เฉินก็ตกใจไปเช่นกันที่ตนเองสามารถทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ ตามการประเมินเขายังคงต้องฝึกฝนกับกองทัพมังกรดำสักพักหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับทำสิ่งนี้สำเร็จในเวลาอันสั้น ดังนั้นจะต้องเป็นเพราะวิญญาณมังกรแท้จริงที่เขามีแน่นอน
เขาระงับความคิดในใจพลางมองหวู่ทงที่กำลังตกตะลึงด้วยสายตาไม่แยแส เขาไม่พูดอะไร แค่คิดมังกรดำก็คำรามแล้วเปิดปากพ่นลมหายใจยาวหลายหมื่นจั้งออกมา
สัมผัสกับรัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกลัว หวู่ทงก็กลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง แต่เมื่อเขาพยายามควบคุมรัศมีจั้นยี่อีกครั้ง เขาก็พบว่ารัศมีที่อยู่ข้างหลังดูเหมือนจะจางลงไปมาก
เขาหันขวับไปมองก็เห็นว่าใบหน้าของนักรบมังกรดำแต่ละคนสติหลุดลอยไปหมด เมื่อพวกเขาจ้องมองมังกรขนาดใหญ่ ชัดว่าขวัญกำลังใจของพวกเขาได้รับผลกระทบรุนแรง
“เวร ไอ้พวกขยะ!”
มองขวัญกำลังใจที่ลดลงหวู่ทงก็สบถในใจทันที จากนั้นเขาก็ไม่สามารถสนใจอะไรได้ รีบถอยห่างอย่างรวดเร็ว ทิ้งกองทัพมังกรดำไว้
“ขี้ขลาด”
เมื่อเห็นการกระทำของเขา นักรบมังกรดำก็ด่ากลับ ไม่มีใครที่จะเคารพจั้นเจิ้นซือที่คิดละทิ้งกองทัพของตนได้ทุกเมื่อหรอก
หากคนประเภทนี้กลายเป็นเจ้านายของพวกเขา จะต้องมีสักวันที่เขาจะทิ้งพวกเขาไปเช่นกัน
ใบหน้าของแม่ทัพมังกรดำมืดมน เขามองหวู่ทงด้วยความรังเกียจ
เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ เขาก็สะบัดกแขนเสื้อ ลมปราณมังกรหดกลับ ในอนาคตนักรบทั้งหมดจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ดังนั้นหากนักรบสองพันคนถูกทำลาย เขาต้องรู้สึกปวดใจอย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นเพื่อปกป้องพวกเขา เขายอมที่จะปล่อยหวู่ทงไปก่อน
เมื่อนักรบมังกรดำสองพันคนเห็นมู่เฉินเรียกลมปราณมังกรกลับ พวกเขาก็แลกเปลี่ยนสายตากันแล้วคุกเข่าลง
“พวกเราขอคารวะนายท่าน!”
เสียงเป็นระเบียบดังก้อง
ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณสงครามมังกรดำที่มู่เฉินสร้างขึ้นหรือวิธีที่ปกป้องพวกเขาโดยไม่ได้ไล่ตามหวู่ทง เขาได้รับการยอมรับแล้ว
กองทัพมังกรดำที่เบื้องล่างก็พยักหน้า ก่อนที่นักรบจำนวนมากมายจะคุกเข่าลง
“คารวะนายท่าน!”
ที่ด้านหลังมู่เฉิน นักรบมังกรดำสามพันคนก็คุกเข่าลงเช่นกัน
แม่ทัพมังกรดำมองไปที่มู่เฉินพร้อมรอยยิ้มระบานบนใบหน้าก่อนที่จะคุกเข่าลง “คารวะนายท่าน!”
เสียงคำรามดังก้องฟ้า ทำให้ทั้งมิติสั่นสะเทือน
“อ็อก”
ไม่ไกลออกไปใบหน้าของหวู่ทงก็เขียวคล้ำกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
เขารู้ว่าคราวนี้เขาแพ้มู่เฉินเต็มประตูแล้ว
บทที่ 1312 เสริมทัพ
ตู้ม!
เสียงแผ่นดินพิโรธดังก้องไปทั่วขอบฟ้า กรงเล็บขนาดใหญ่ก็ปะทะกับห่ากระบี่จังใหญ่
ทันทีที่เกิดการปะทะ มิติก็ยุบตัวกลายเป็นหลุมดำ
กรงเล็บมังกรมหึมากำจายคลื่นการทำลายล้าง ทำให้กระบี่เหล่านั้นแตกสลายอย่างน่าสยอดสยอง
แกร็ก แกร็ก แกร็ก!
กระบี่แตกออกอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นแสงระยิบระยับบินว่อนบนท้องฟ้า
เปลือกตาของหวู่ทงกระตุกกับฉากนี้ เขาไม่คิดว่ากระบวนท่านี้ของมู่เฉินจะทรงพลังมากขนาดนี้
“หึ ข้าไม่เชื่อว่าแกจะทำลายเงากระบี่หมื่นเล่มนี้ได้!” หวู่ทงกัดฟัน จากนั้นก็ควบคุมกระบี่ทั้งหมดเล็งไปที่กรงเล็บมังกร
ปัง ปัง!
กรงเล็บมังกรปะทะกับห่ากระบี่อย่างไม่รู้จบ แต่ภายใต้ผลกระทบนี้ความเร็วของกรงเล็บมังกรก็ลดลง แม้แต่ลวดลายจั้นเหวินก็หม่นลง
มองฉากนี้ แววเยาะเย้ยก็ปรากฏบนใบหน้าของหวู่ทง แต่ก็เพียงชั่วอึดใจก่อนที่ท่าทางของเขาจะแข็งค้างอีกครั้ง
เนื่องจากเขาเห็นว่าแม้ว่ากระบี่จะทำให้กรงเล็บมังกรช้าลง แต่มันก็ยังคงเคลื่อนที่อย่างช้าๆ มาที่ทิศทางของเขา
“เจ้านั่นกลั่นรัศมีจั้นยี่ออกมาหนาแน่นเช่นนี้ได้ยังไง?!”
ม่านตาหวู่ทงหดลง ในแง่ของลวดลายจั้นเหวินเขาควรจะได้เปรียบบ้าง แต่เห็นได้ชัดว่ารัศมีจั้นยี่ของมู่เฉินทนทานและแข็งแกร่งกว่าเขา!
จากมุมหนึ่ง นี่ไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินเหนือกว่าเขาในแง่ของคุณภาพเมื่อควบคุมรัศมีจั้นยี่ของกองทัพมังกรดำรึ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ใบหน้าของหวู่ทงก็เขียวคล้ำลงหลายส่วน นี่เป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้
แม่ทัพมังกรดำก็เงยหน้ามองมู่เฉินด้วยความประหลาดใจ ในฐานะแม่ทัพ เขาเข้าใจรัศมีของกองทัพเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงสามารถบอกได้ว่ามู่เฉินสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้คล่องตัวกว่าหวู่ทง
ด้วยปริมาณที่ใกล้เคียงกันของลวดลายจั้นเหวิน รัศมีจั้นยี่ที่มู่เฉินรวบรวมแข็งแกร่งและประณีตกว่าหวู่ทง
บนท้องฟ้ามู่เฉินมองกรงเล็บมังกรที่เคลื่อนเข้าใกล้หวู่ทงภายใต้การกีดขวางของกระบี่ เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ดวงตาคมชัดขึ้น
ตู้ม!
ทันใดนั้นกรงเล็บมังกรก็กำกลายเป็นกำปั้นพร้อมกับรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตทะยานขึ้น ดูราวกับไม่มีที่สิ้นสุดและปลดปล่อยความรุนแรงที่อธิบายไม่ได้
“แตก!”
มู่เฉินตะเบ็งเสียง หมัดมังกรก็ชกออกไป กระบี่นับไม่ถ้วนพังทลายลงในทันที
ชี่ ชี่!
หมัดมังกรกระแทกลงบนกระบี่เหล่านั้นอย่างรุนแรง แม้ว่าหมัดจะปกคลุมด้วยรอยร้าว แต่ก็ยังคงพุ่งไปหาหวู่ทงด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว
เมื่อเงาแผ่ปกคลุมลงมาจากท้องฟ้า ท่าทางของหวู่ทงก็เปลี่ยนไป เขาขบฟันแน่น กระบวนท่าในมือเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ฮึ่ม ฮึ่ม!
มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตกวาดออกก่อตัวเป็นชั้นม่านขัดขวางหมัดมังกร
ปัง ปัง!
หมัดมังกรปะทะกับชั้นม่านเหล่านั้น พวกมันเริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่เมื่อม่านพังทลายลง ลวดลายจั้นเหวินบนหมัดมังกรก็มืดลงเนื่องจากอ่อนกำลัง
ในเวลาไม่กี่ลมหายใจม่านพลังหลายร้อยชั้นที่หวู่ทงสร้างขึ้นก็ถูกทำลายโดยหมัดมังกร แต่เมื่อชั้นสุดท้ายพังลงมา กำปั้นมังกรก็มาถึงขีดจำกัด พังตัวลงขณะที่อยู่ห่างจากหวู่ทงไม่กี่สิบจั้ง
หึ
แรงกระแทกจากการแตกสลายของหมัดมังกรส่งผลกระทบต่อหวู่ทง ผมเขากระจายออก เสื้อผ้าก็ขาดวิ่น สภาพดูน่าสังเวชนัก
“สุดท้ายก็ถูกสกัดได้งั้นเหรอ?” ดวงตาของมู่เฉินหดลงกับฉากนี้ การโจมตีนี้รุนแรงที่สุดที่เขาสามารถใช้ได้ แต่ไม่คิดว่าหวู่ทงจะสามารถต้านทานได้
ความยากในการจัดการของชายคนนี้ ชัดว่าเกินความคาดหมายของมู่เฉินไป
เมื่อหวู่ทงเห็นว่าตนอยู่ในสภาพน่าสมเพชเนื่องจากถูกบีบโดยมู่เฉิน ใบหน้าของเขาก็มืดมนอย่างน่ากลัว เขามองไปที่มู่เฉินจากระยะไกล สายตาราวกับว่าต้องการขบหัวอีกฝ่ายให้ขาด
ตอนแรกเขาคิดว่าน่าจะง่ายสำหรับตนเองที่จะจัดการกับมู่เฉิน แต่หลังจากที่พวกเขาต่อสู้ เขาก็ตระหนักว่าคู่ต่อสู้คนนี้ที่เขาไม่เคยสนใจจะจัดการยากเพียงนี้
เขาเริ่มรู้สึกเสียใจ หากเขารู้เรื่องนี้ก่อนละก็ เขาจะจ่ายทุกอย่างที่มีเพื่อไม่ให้มู่เฉินตามเข้ามาในมิตินี้
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าต้องได้รับกองทัพมังกรดำ!” หวู่ทงจ้องมองอย่างเย็นชา ดูเหมือนวิธีการปกติจะไม่สามารถจัดการกับมู่เฉินได้แล้ว
“ในเมื่อแกรนหาที่ตาย ข้าจะเติมเต็มความปรารถนาให้เอง!”
ใบหน้าของหวู่ทงโหดเหี้ยมขึ้น จากนั้นเขาขบฟันเม็ดยาเล็กๆ ซึ่งซ่อนอยู่ในซอกฟันก็หลุดเข้าไปในลำคอ
ตู้ม!
เมื่อเม็ดยาเข้าไปในท้อง ร่างกายของเขาก็สั่นไหว พลังงานทรงประสิทธิภาพหลั่งออกมาจากร่างกาย แม้แต่คลื่นจิตก็เริ่มพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง
เม็ดยาที่เขากินเข้าไปนั้นเรียกว่ายาจั้นยี่ ชื่อก็บอกโดยนัยอยู่แล้วว่าสามารถเพิ่มรัศมีจั้นยี่ในร่างกายได้ แม้ว่าฤทธิ์ทางยาจะมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีผลสะท้อนกลับเช่นกัน ถ้าเขาประมาท คลื่นจิตก็จะเกิดการคลอนแคลน สุดท้ายแม้แต่จิตใจก็จะพังทลาย
ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ พยายามต่อต้านอาการวิงเวียนรุนแรงในห้วงแห่งจิต จากนั้นเขาก็ประสานมือ ในช่วงเวลาต่อมาคลื่นจิตที่ทรงพลังก็ระเบิดออกห่อหุ้มกองทัพมังกรดำเบื้องล่างไว้
เขาคิดจะเพิ่มจำนวนนักรบ!
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ภายใต้ความตั้งใจ ร่างเงามากมายก็ทะยานขึ้นไปบนฟ้า ในไม่ช้านักรบอีกหนึ่งพันคนก็เข้าร่วมที่ด้านหลังของเขา
“หืม?”
เมื่อแม่ทัพเห็นสิ่งนี้ คิ้วก็ขมวดเข้าหากันทันที เขาสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นจิตที่พวยพุ่งฉับพลันของหวู่ทง แต่จากการประเมินความสามารถของหวู่ทงและมู่เฉินในการควบคุมกองทัพมังกรดำอยู่ที่จำนวนนักรบประมาณหนึ่งพันคนเท่านั้น
“เป็นไปได้ยังไง?!” ม่านตาของมู่เฉินหดลงกับภาพดังกล่าว ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาปะทะกับอีกฝ่าย เขาก็รู้ถึงความสามารถที่หวู่ทงมี ด้วยความสามารถนั้นเป็นไปไม่ได้ที่หวู่ทงจะควบคุมนักรบมังกรดำถึงสองพันคน!
หากเขาฝืนทางของตนเอง รัศมีจั้นยี่ทรงพลังจะทำลายสติสัมปชัญญะของเขาทางเดียว
มู่เฉินขมวดคิ้วมองไปที่หวู่ทง เมื่อเห็นดวงตาสีแดงของอีกฝ่าย เขาก็คาดเดาได้ว่าหวู่ทงจะต้องใช้ทักษะลับในการเพิ่มรัศมีจั้นยี่แน่นอน ไม่เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะรวบรวมนักรบอีกพันคน
“ไอ้เวร ข้าจะดูสิว่าแกจะสู้กับข้าตอนนี้ยังไง!”
นักรบมังกรดำสองพันคนปลดปล่อยรัศมีจั้นยี่ขึ้นสู่ท้องฟ้า อันที่จริงถึงขนาดทำให้ท้องฟ้าบิดเบี้ยวเนื่องจากพลังของรัศมีจั้นยี่ที่อยู่เบื้องหลังหวู่ทงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว
หวู่ทงแสยะยิ้มให้มู่เฉินขณะยกมือขึ้นแตะบนท้องฟ้า
ตู้ม!
ท้องฟ้าสั่นสะเทือน ลำแสงรัศมีจั้นยี่ขนาดหมื่นจั้งยิงออกมาจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่เบื้องหลังหวู่ทงทันที เจาะทะลุมิติแล้วยิงเข้าใส่มู่เฉินไม่มียั้ง
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ เขาก็วาดตราประทับเร็วจี๋ รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตรวมตัวกันเป็นกรงเล็บมังกรอีกครั้ง พุ่งเข้าใส่ลำแสงรัศมีจั้นยี่
ปัง!
พลังงานทั้งสองปะทะกัน แต่ครั้งนี้เป็นกรงเล็บมังกรที่พังทลายลง
สายตาของมู่เฉินมืดครึ้ม รัศมีจั้นยี่ของหวู่ทงเหนือชั้นกว่าเขาอย่างสมบูรณ์ในขณะนี้
“ฮ่าๆ แกโอหังนักไม่ใช่หรือ?!” เมื่อเห็นว่ามู่เฉินถูกระงับไว้เต็มที่ หวู่ทงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะร่วน เขาสะบัดแขนเสื้อ รัศมีจั้นยี่ก็ยิงออกมา ขอบฟ้าโยกคลอนไปหมดเมื่อมันพุ่งเข้าใส่มู่เฉิน
ภายใต้การโจมตีของหวู่ทง แม้ว่ามู่เฉินจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปกป้อง แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ กลุ่มเมฆรัศมีจั้นยี่ที่อยู่เบื้องหลังลดขนาดลงเช่นกัน
ตอนนี้ชัดว่าเขาเริ่มแสดงสัญญาณพ่ายแพ้แล้ว
เมื่อแม่ทัพมังกรดำเห็นมู่เฉินที่ต้องถอยอย่างต่อเนื่อง เขาก็ขมวดคิ้วเพราะตัวเขาก็รู้สึกว่าหวู่ทงต้องใช้ทักษะลับบางอย่างแน่ ทว่าก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้ตั้งกฎไว้ชัดเจน มีเพียงชัยชนะเท่านั้นที่เป็นตัวตัดสิน
โลกนี้เต็มไปด้วยความอยุติธรรม บางครั้งผลลัพธ์สำคัญที่สุด
นักรบมังกรดำถอนหายใจด้วยความสงสาร เนื่องจากเลือดมังกรที่พวกเขาครอบครอง ทำให้พวกเขาโน้มเอียงไปทางมู่เฉินมากกว่า แต่พวกเขาคือนักรบดังนั้นพวกเขาจะเลือกผู้ที่ชนะเท่านั้น
หากมู่เฉินไม่สามารถเอาชนะได้ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาไม่ได้มีชะตาต่อกัน ในเมื่อเป็นกรณีนี้พวกเขาก็ไม่สามารถบังคับอะไรได้
ตู้ม ตู้ม!
ขณะที่รัศมีจั้นยี่ทะลุผ่านขอบฟ้าก็ทำลายการป้องกันของมู่เฉินเป็นเสี่ยงๆ จนสุดท้ายกลุ่มเมฆรัศมีจั้นยี่ก็เบาบางลงและกำลังจะแตกสลาย
ทว่าไม่มีใครสังเกตเห็นว่าถึงแม้ว่ามู่เฉินจะถอยร่นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีริ้วความหวาดกลัวบนใบหน้าเลย ตรงกันข้ามกลับมีแสงเย็นค่อยๆ ควบแน่นในดวงตา
มือในแขนเสื้อวาดตราประทับไว้เรียบร้อย ราวกับกำลังรออะไรบางอย่างอยู่
“เอางี้ ถ้าแกคุกเข่าต่อหน้าข้าตอนนี้ ข้าอาจจะไว้ชีวิตแกก็ได้!” หวู่ทงยืนขึ้นหัวเราะร่าด้วยสีหน้าน่ากลัว เวลานี้ชัยชนะอยู่ในกำมือเขาแล้ว
นักรบมังกรดำสองพันคนที่รัศมีจั้นยี่รวมเข้าด้วยกัน ไม่ใช่สิ่งที่มู่เฉินจะเผชิญหน้าได้
ทว่ามู่เฉินกลับยิ้มอ่อนตอบ
“งั้นก็ตายซะ!”
หวู่ทงแสยะยิ้มน่ากลัว ไม่มีความลังเลอีกต่อไป มือของเขาประสานกัน รัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตก็กลายเป็นหอกขนาดหลายแสนจั้ง ซึ่งปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวินถึงแปดล้านห้าแสนลาย!
จำนวนนี้เป็นบางสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังต้องหลบหนีเมื่อเผชิญหน้ากัน!
จ้องมองไปที่หอก นิ้วของมู่เฉินก็สั่นไหว ก่อนที่รอยยิ้มโล่งอกจะปรากฏบนใบหน้า
“ในที่สุดก็เรียบร้อยแล้วสินะ”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับหวู่ทง “ข้าจะสอนบทเรียนให้แกในวันนี้…เมื่อต่อสู้ก็อย่าพล่ามไร้สาระ ไม่เช่นนั้นจะต้องเสียใจ”
เมื่อพูดจบตราประทับที่วาดในแขนเสื้อก็เปลี่ยนไป
“วิชาสามพิสุทธิ์!”
ปุ ปุ!
ตราประทับเปลี่ยนแปลงวูบไหว มิติก็บิดเบี้ยวรอบตัว เงาร่างมู่เฉินชุดดำและชุดขาวก็ปรากฏขึ้น!
เมื่อพวกเขาปรากฏตัวก็นั่งลงทันที คลื่นจิตอันทรงพลังก็กวาดออกไปก่อนที่จะตะโกนก้องฟ้า
“รวมพล!”
บทที่ 1311 ปะทะด้วยรัศมีจั้นยี่
“ฮ่าๆ เยี่ยม! ไอ้สารเลว แกช่างกล้า!”
เมื่อได้ยินคำตอบของมู่เฉิน หวู่ทงก็ระเบิดหัวเราะ เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยไอสังหารที่ทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลง
ขณะที่เสียงหัวเราะหยุดลงช้าๆ หวู่ทงก็มองมู่เฉินด้วยสายตาดุร้ายราวกับงูพิษ จากนั้นเขาปรากฏตัวเหนือกองทัพมังกรดำโดยไม่พูดอะไรและนั่งลง
“จัดขบวน”
หวู่ทงตะโกนขณะที่ดวงตาหลับลง ความผันผวนไร้ขอบเขตแผ่ขยายออกไปสู่กองทัพมังกรดำอย่างรวดเร็ว
เหล่านักรบที่ถูกรัศมีห่อหุ้ม ส่วนใหญ่ก็ถึงกับเบ้ปาก หากพวกเขาต้องการต่อต้านคลื่นจิตนี้ หวู่ทงก็ไม่สามารถเร้ารัศมีจั้นยี่ได้แม้แต่น้อย
ทว่านักรบร่างกำยำก็แค้นเสียงเย็นขึ้น เมื่อเขาเห็นพรรคพวกไม่ยอมตอบสนอง
เมื่อเห็นท่าทางของแม่ทัพ นักรบกองทัพมังกรดำก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ยอมแพ้ที่จะต่อต้าน ทันใดนั้นร่างของพวกเขาก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เบื้องหลังหวู่ทง
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ในเวลาเพียงไม่กี่สิบลมหายใจก็มีนักรบของกองทัพมังกรดำแปดร้อยคนยืนอยู่ด้านหลังหวู่ทงแล้ว
แต่เมื่อจำนวนมาถึงประมาณหนึ่งพันคน หวู่ทงก็ตระหนักได้ว่าไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้อีก นี่มาถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว
“กองทัพมังกรดำสมคำร่ำลือแท้จริง!”
หวู่ทงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความชื่นชมในหัวใจ ในตระกลูหวู่ตัวเขาสามารถบัญชาการกำลังพลได้อย่างน้อยสองถึงสามแสนคน แต่เมื่อเป็นกองทัพมังกรดำเขาสามารถควบคุมได้เพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น
นั่นหมายความว่าพันคนนี้เทียบเท่ากับกองทัพนับแสนจากตระกูลหวู่
นี่เทียบเท่ากับหนึ่งหมื่นต่อหนึ่งเลยทีเดียว
หลังจากสัมผัสได้ถึงความทรงอำนาจของนักรบกองทัพมังกรดำว่าเป็นอย่างไรด้วยตัวเอง ความโลภของหวู่ทงก็เพิ่มขึ้น ก่อนที่เขาจะมองมู่เฉินด้วยสายตาเย็นชา ดูท่าวันนี้เขาต้องกำจัดสิ่งขัดขวางที่อยู่ต่อหน้าให้ได้แล้ว
“นักรบมังกรดำหนึ่งพันคนรึ? ไม่เลว แต่แค่ไม่รู้ว่าเจ้าจะเร้ารัศมีจั้นยี่ได้มากแค่ไหน”
ดวงตาของแม่ทัพมังกรดำสั่นไหวกับฉากนี้ หวู่ทงเป็นจั้นเจิ้นซือที่ใช้ได้เลยทีเดียว แต่เขายังอ่อนไปมากเมื่อเทียบกับจักรพรรดิมังกรดำ
“ไอ้เวร แกยังไม่รวบรวมกำลังทหารอีกเรอะ? หรือว่ากลัว?” หวู่ทงมองไปที่มู่เฉินอย่างเย้ยหยัน
ทว่ามู่เฉินไม่ใส่ใจท่าทางดังกล่าว เขานั่งลงบนท้องฟ้าพร้อมกับหลับตา ก่อนที่คลื่นจิตทรงพลังจะระเบิดออกมาจากร่างของเขา
เมื่อคลื่นจิตเข้าห่อหุ้มกองทัพมังกรดำ เขาก็พบการต่อต้านตามที่คาดไว้ ท้ายที่สุดกองทัพมังกรดำไม่ใช่กองทัพที่เขาปั้นมากับมือ ดังนั้นจึงไม่คุ้นเคยกับรัศมีจั้นยี่ของพวกเขา ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจากการติดต่อครั้งแรก
ฟิ้ว!
แต่การต่อต้านก็เกิดไม่นาน ก่อนที่ร่างเงาจะเริ่มลอยขึ้นไปรวมตัวกันอยู่เบื้องหลังเขา
ในเวลาสิบกว่าลมหายใจนักรบกลุ่มใหญ่ก็รวมตัวกันอยู่ด้านหลังมู่เฉิน จำนวนมีเกือบหนึ่งพันคนดูสูสีมากเมื่อเทียบกับหวู่ทง
“กองทัพมังกรดำแข็งแกร่งกว่ากองทัพสังหารวิญญาณแท้จริง แม้แต่กองทัพดับปีศาจก็ไม่สามารถเทียบได้”
เมื่อสัมผัสกับรัศมีจั้นยี่ไร้ขีดจำกัดที่รวบตัวจากนักรบพันคน มู่เฉินก็ต้องตกใจ หนึ่งพันคนยังทรงอำนาจขนาดนี้ ถ้าเขาสามารถควบคุมกองทัพมังกรดำทั้งหมด เขาอาจจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้จริงๆ
แน่นอนว่ามู่เฉินรู้ว่าตนเองยังไม่มีความสามารถถึงขั้นนั้นในตอนนี้
“หึ ก็แค่ฝืนตัวเองรวบรวมกำลังพล แต่ถึงจำนวนจะเท่ากัน ก็จะแสดงพลังในระดับที่แตกต่างกันจากฝีมือของแต่ละคน!” เมื่อหวู่ทงเห็นนักรบเกือบพันคนที่เบื้องหลังมู่เฉิน เขาก็หดตาลงขณะที่เยาะเย้ย
จำนวนไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่จะส่งผลต่อพลังของรัศมีจั้นยี่ มันยังขึ้นอยู่กับว่าสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพไหม!
ไม่มีความลังเล คลื่นจิตของหวู่ทงก็หลอมรวมกับพลังหลิงในร่างกายกลายเป็นพลังเอกลักษณ์ห่อหุ้มกองทัพมังกรดำนับพันที่ข้างหลังไว้
“รูปแบบรัศมีจั้นยี่!”
เมื่อพลังเอกลักษณ์เทลงในร่างนักรบมังกรดำ ดวงตาของพวกเขาก็แดงฉานทันที เสียงคำรามดังขึ้นพร้อมเพรียง
ตู้ม!
ชั้นฟ้าและชั้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ขณะที่รัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่กวาดออกจากกองทัพมังกรดำพันคน สร้างความกดดันอันน่าสะพรึงกลัว
“ตาย!”
รัศมีจั้นยี่อัดแน่นในอากาศ ขณะที่สัมผัสกับความแข็งแกร่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ดวงตาของหวู่ทงก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เขาแสยะยิ้มน่ากลัวไปทางมู่เฉิน ก่อนที่จะวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว
ตึง!
มือขนาดใหญ่ยื่นเหยียดออกจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวิน บริเวณที่เคลื่อนผ่านมิติก็แสดงสัญญาณการยุบตัวลง
“ลวดลายจั้นเหวินเจ็ดล้านสามแสนลาย” แม่ทัพมังกรดำจ้องมองมือขนาดใหญ่ ด้วยการมองครั้งแรกก็สามารถบอกจำนวนลวดลายจั้นเหวินได้ในทันที
เมื่อมองดูมือใหญ่โตนั่น ใบหน้าของมู่เฉินก็ยังคงสงบ เขาวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียวเช่นกัน
“รูปแบบรัศมีจั้นยี่!”
นักรบมังกรดำคำราม รัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลังกวาดออกไป
“ตู้ม!”
กำปั้นขนาดมหึมาพุ่งออกมาจากเมฆรัศมีจั้นยี่ ลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วนกะพริบอยู่บนนั้น ทุกลวดลายบรรจุด้วยพลังแข็งแกร่งที่สามารถสั่นสะเทือนสวรรค์และโลกได้
“ลวดลายจั้นเหวินเจ็ดล้านลวดลาย” สายตาแม่ทัพมังกรดำวูบไหวอีกครั้ง
ครืน!
อึดใจมือและหมัดก็ปะทะกันอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดคลื่นกระแทกขนาดใหญ่ที่จะทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดายังต้องหลีกเลี่ยงออกไป
ทว่าเนื่องจากจำนวนลวดลายจั้นเหวินไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ดังนั้นแม้กำปั้นของมู่เฉินจะพังก่อน แต่ของหวู่ทงก็ยุบตัวลงติดๆ กันไป ไม่ได้เปรียบอะไรมาก
ใบหน้าของหวู่ทงมืดครึ้ม ความเคร่งขรึมวูบไหวในดวงตา ความเชี่ยวชาญของการเป็นจั้นเจิ้นซือที่มู่เฉินแสดงออกมานั้นชัดเจนว่าไปไกลจากความคาดหวังของเขา
“ไอ้เวรนั่น! ไม่เพียงแต่จะเชี่ยวชาญค่ายกล ในฐานะจั้นเจิ้นซือก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน!”
หวู่ทงกัดฟันกรอดขณะที่ดวงตาของเย็นเยือกลง “ตัวข้าได้รับการปลูกฝังอย่างขมขื่นในศาสตร์จั้นเจิ้นซือมานานเป็นทศวรรษด้วยทรัพยากรมหาศาลของตระกูลหวู่ ข้าไม่เชื่อว่าตัวเองจะแพ้ไอ้เหลือขอนี่!”
กระบวนท่าในมือของหวู่ทงเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ คลื่นหลิงและคลื่นจิตรวมเข้ากับรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขต
ครืน!
มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ดังก้องด้วยเสียงคำรามของสายฟ้าไม่รู้จบ พร้อมกับรัศมีจั้นยี่พวยพุ่งออกมา ลำแสงนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นเป็นกระบี่จำนวนมากบนท้องฟ้า
กระบี่ถูกปกคลุมด้วยลวดลายจั้นเหวิน ทำให้เกิดความผันผวนที่น่าตกตะลึงยิ่งนัก
“ภาพกระบี่สงคราม!”
สายตาของหวู่ทงเปลี่ยนเป็นเฉียบคมขณะโบกแขนเสื้อ กระบี่ส่งเสียงหวีดหวิวยิงออกไปในทิศทางของมู่เฉิน
เผชิญกับการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังต้องสิ้นชีพหากประมาท
เมื่อมองไปที่การโจมตีของตนเอง หวู่ทงก็พอใจมาก หากเป็นกองทัพตระกูลหวู่นี่อาจเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะปลดปล่อยพลังดังกล่าว แต่ด้วยกองทัพมังกรดำเขาสามารถผลักดันพลังของรัศมีจั้นยี่ได้ถึงขีดจำกัด
เขาตั้งใจจะใช้การโจมตีครั้งนี้ ส่งมู่เฉินไปยังจุดที่ไม่อาจพลิกสถานการณ์กลับมาได้!
“ตอนนี้ชักน่าสนใจแล้ว!” แม่ทัพมังกรดำพยักหน้าหงึกหงัก ขณะที่เอ่ยความคิดเห็น
ความเชี่ยวชาญของหวู่ทงในฐานะจั้นเจิ้นซือถือว่าค่อนข้างดี เขาเริ่มดึงพลังของกองทัพมังกรดำออกมาใช้ได้บ้างแล้ว
มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นมองกระบี่ที่พุ่งเข้ามา กระบี่ทุกเล่มมีลวดลายจั้นเหวินอย่างน้อยล้านลายเห็นจะได้ เขาสามารถระงับหนึ่งในนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่ด้วยจำนวนมากมายกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ยังหวาดกลัวกับการโจมตีดังกล่าว
ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีครั้งนี้ สีหน้าของมู่เฉินก็เคร่งเครียดลง เขาต้องเทหมดหน้าตักแล้ว!
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึก คลื่นจิตค่อยๆ ผสานเข้ากับรัศมีจั้นยี่กองทัพมังกรดำ เมื่อสัมผัสกับรัศมีจั้นยี่แข็งแกร่ง จิตใจของเขาก็สั่นสะท้าน
โฮก!
เสียงคำรามของมังกรดังขึ้นจากร่างกาย ถ่ายโอนพลังอำนาจของวิญญาณมังกรแท้จริงสู่รัศมีจั้นยี่ของกองทัพมังกรดำ
ขณะนั้นเองมู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงร่างกายของเหล่านักรบมังกรดำที่สั่นไหว รัศมีจั้นยี่ของพวกเขาที่หนักหนาก็เปลี่ยนเป็นเบาบางขึ้นในเวลานี้
สองมือวาดตราประทับเร็วรี่ ภาพมายาบินว่อน เขาผลักรัศมีจั้นยี่ของตนเองไปถึงขีดจำกัด
ชั้นรัศมีจั้นยี่หนาแน่นกลิ้งไปมาอย่างรุนแรง ในช่วงเวลาต่อมากรงเล็บมังกรขนาดหนึ่งหมื่นจั้งที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดก็ยื่นออกมาจากหมู่เมฆ
กรงเล็บนั้นบรรจุด้วยรัศมีจั้นยี่เกินจินตนาการ
“กรงเล็บสงครามมังกร!”
เสียงลึกต่ำของมู่เฉินเปล่งออกมา กรงเล็บมังกรขนาดใหญ่ก็พุ่งทะลุขอบฟ้าด้วยพลังทำลายล้างปะทะเข้ากับห่ากระบี่ที่พุ่งเข้ามา
ทั้งสองราวกับอุกกาบาตชนกัน รัศมีการทำลายล้างอุบัติขึ้น
ใครแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยก็ขึ้นอยู่กับกระบวนท่านี้แล้ว!
บทที่ 1310 เลือก
“ใครปลุกพวกข้าขึ้นมา?”
เสียงสะท้อนระหว่างสวรรค์และโลก ดวงตาของหวู่ทงก็เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นบนใบหน้า ก่อนที่เขาจะประสานหมัดเข้าด้วยกัน “ข้าชื่อหวู่ทง ได้ยินชื่อเสียงของกองทัพมังกรดำมานานแล้ว เป็นเกียรติของข้าที่ได้ช่วยให้ทุกคนตื่นขึ้นจากสภาวะนิทรารมณ์”
การวางแผนของหวู่ทงแยบคายมาก เขาไม่ได้แสดงความตั้งใจที่จะรับกองทัพมังกรดำทันที แต่ลดระดับสถานะลงเพื่อให้กองทัพมังกรดำรู้สึกดีต่อเขา
แม้ว่าแผนการของเขาจะค่อนข้างดี แต่ก็ใช้ไม่ถูกคนเพราะนักรบมังกรดำร่างกำยำที่พูดออกมาไม่ได้รู้สึกยินดีจากการถูกปลุกให้ตื่น
“มหาพันภพชนะสงครามหรือไม่?” นักรบร่างกำยำถามขึ้น
หวู่ทงผงกหัว “ต้องขอบคุณจอมยุทธ์ในมหาพันภพทุกคนที่ร่วมมือกันจัดการ จักรวรรดิปีศาจต่างมิติต้องถอยร่นกลับไปในที่สุด”
มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นพูดต่อช้าๆ “แม้ว่าจักรวรรดิปีศาจต่างมิติจะถอยทัพกลับไป แต่พวกมันก็ครอบครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของมหาพันภพของเรา ตอนนี้พวกมันกำลังจับตาดูเรา ราวกับพยัคฆ์ร้ายที่หาโอกาสบุกเข้ามาอีกครั้ง”
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินพูดฉีกคำ หวู่ทงก็ถลึงตามองไปที่เขาอย่างโหดเหี้ยมทันที
พอได้ยินคำพูดของมู่เฉิน กองทัพมังกรดำก็ส่งเสียงฮือฮา นักรบบางคนกัดฟันกรอด ชัดว่าเกลียดเผ่าปีศาจเข้าไส้เลยทีเดียว
เมื่อเห็นว่ากองทัพมังกรดำไม่แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมกับตนเอง หวู่ทงก็เริ่มวิตกกังวลแต่ก็ยังยิ้มออกมา “ทุกคน ตระกูลหวู่ของข้าเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ ท่านประมุขก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน หากพวกเจ้าไม่รู้จะไปไหน ตระกูลหวู่ขอเปิดประตูต้อนรับทุกคนเอง!”
ครั้งนี้ความตั้งใจที่อยู่เบื้องหลังของเขาโจ่งแจ้งเลยทีเดียว
นักรบร่างกำยำปรายตามองไปที่หวู่ทงแวบหนึ่งแบบไม่แยแส แม้ว่าหวู่ทงจะซ่อนไว้แนบเนียน แต่เขาก็มีสายตาแหลมคม ซึ่งสามารถเห็นความทะเยอทะยานในดวงตาอีกฝ่ายได้
“แม้ว่าเจ้าจะปลุกพวกข้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกข้าจะต้องเข้าร่วมกับเจ้า” นักรบร่างกำยำกล่าวอย่างนิ่งเฉย
รอยยิ้มบนใบหน้าของหวู่ทงแข็งค้าง ความกรุ่นโกรธพล่านในใจ ไอ้คนพวกนี้หลับจนสมองไหลไปแล้ว ถึงแม้ว่ากองทัพมังกรดำจะทรงพลัง แต่ก็ต้องมีจั้นเจิ้นซือที่ทรงพลังเพื่อปลดปล่อยพลัง มิฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเลย กระทั่งขั้นหลิงก็สามารถสังหารพวกเขาทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
ทว่าแม้จะรู้สึกโกรธในใจ แต่หวู่ทงก็ไม่ได้แสดงอาการบนใบหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่กล้าที่จะขู่ในการมีส่วนร่วมหรอก แต่พวกเจ้าก็รู้ว่ามีเพียงจั้นเจิ้นซือที่โดดเด่นเท่านั้นที่จะสามารถปลดปล่อยศักยภาพสุดยอดของพวกเจ้า ทุกคนเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงที่ถูกเลี้ยงดูโดยจักรพรรดิมังกรดำคงไม่ต้องการที่จะทำให้เขาอับอายหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปีใช่ไหม?”
นักรบร่างกำยำพยักหน้า “นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเข้าไม่ต้องการเลือกติดตามใครง่ายๆ ไง เพราะกลัวจะทำให้ชื่อเสียงของนายท่านต้องมัวหมอง”
จากคำพูดของเขา ก็เห็นชัดที่ไม่ค่อยรู้สึกว่าหวู่ทงมีคุณสมบัติที่จะเป็นเจ้านายคนต่อไปของกองทัพมังกรดำ
ใบหน้าของหวู่ทงกระตุกถามว่า “เจ้าหมายความว่ามีบางคนยอดเยี่ยมกว่าข้าเรอะ?”
ความโกรธแล่นพล่านในหัวใจ ตอนแรกเขาคิดว่าการปลุกกองทัพมังกรดำจะทำให้ได้รับความสำนึกบุญคุณ ใครจะไปคิดได้ว่าพวกเขาจะจู้จี้จุกจิกขนาดนี้
สายตาของนักรบร่างกำยำกวาดไปมาระหว่างมู่เฉินกับหวู่ทงที่อยู่บนท้องฟ้าอย่างช้าๆ พลางพูดว่า “ใน เมื่อเจ้าเป็นคนที่จะปลุกพวกเราตื่น เจ้าก็ควรได้รับข้อได้เปรียบสักหน่อย”
ดวงตาของหวู่ทงกระตุกขณะที่ยิ้มยิงฟัน ‘เอาล่ะ อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย’
“แต่ว่าพรรคพวกข้าหลายคนบอกว่าพวกเขารู้สึกดีกับเพื่อนคนนี้” ทว่าท่าทางของหวู่ทงก็แข็งทื่อไปภายใต้ประโยคต่อมา
เนื่องจากตอนนี้นักรบร่างกำยำมองมู่เฉินด้วยสายตาอัศจรรย์ใจ
มู่เฉินตกตะลึงไปด้วยเช่นกัน ที่จริงเขากำลังหาวิธีที่จะได้รับความสนใจจากกองทัพมังกรดำ แต่ใครจะคิดว่าพวกเขาจะมีความเห็นที่ดีต่อเขาอยู่แล้ว?
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะมองไปที่นักรบมังกรดำ เขาตระหนักได้ว่าพวกเขากำลังจับจ้องเขาอยู่ นอกจากนี้ยังมีริ้วความเป็นกันเองและเทิดทูนแฝงอยู่ในสายตาของพวกเขา
มู่เฉินยังคงสับสนในตอนแรก แต่ในไม่ช้าสายตาของเขาเปล่งประกายราวกับว่านึกบางสิ่งได้ ความคิดวูบไหว เสียงคำรามมังกรก็ดังขึ้นจากร่างของเขา
โฮก!
เกลียวแสงสีม่วงทองทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า วิญญาณมังกรแท้จริงในร่างเขาปรากฏขึ้น ก่อร่างเป็นมังกรม่วงทองขนดอยู่ที่เบื้องหลัง
เมื่อวิญญาณมังกรแท้จริงปรากฏขึ้น ความโกลาหลขนาดใหญ่ก็ระเบิดจากกองทัพมังกรดำเบื้องล่าง นักรบทุกคนมีสีหน้าท่าทางตื่นเต้น ถ้าไม่ใช่พลังใจที่แข็งแกร่งละก็ พวกเขาคงจะสูญเสียการควบคุมคุกเข่าลงในตอนนี้แล้ว
เนื่องจากนักรบเหล่านี้เคยโดนชำระโดยเลือดมังกรเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย ซึ่งทำให้พวกเขาได้รับสายเลือดจากมังกรไปด้วย ในขณะเดียวกันกับที่ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งก็ทำให้พวกเขาต้องถูกกดขี่จากสายเลือดของมังกรเช่นกัน
วิญญาณมังกรแท้จริงของมู่เฉินเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดในเผ่ามังกร ถือเป็นราชวงศ์ในตระกูลมังกรเลยก็ว่าได้ ดังนั้นนักรบมังกรดำจึงรู้สึกคุ้นเคยและเคารพมู่เฉินอย่างควบคุมไม่ได้
แทนที่จะพูดว่าพวกเขาเคารพมู่เฉิน ต้องบอกว่าเป็นการแสดงความเคารพต่อรัศมีและสายเลือดมังกรแท้จริงต่างหาก
“รัศมีมังกรแท้จริง” เมื่อนักรบร่างกำยำเห็นวิญญาณมังกรแท้จริงที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉิน ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ในระดับหนึ่งพวกเขาอาจถือว่าเป็นมนุษย์มังกรหลังจากดูดซับเลือดมังกร ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งของเผ่ามังกร
มนุษย์มังกรไม่ได้มีตำแหน่งสูงในเผ่ามังกร ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นจักรพรรดิมังกรแท้จริง ก็เหมือนกับสามัญชนได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิที่สูงส่ง
เมื่อหวู่ทงเห็นฉากนี้ เขาก็พลุ่งพล่านจนถึงจุดที่เกือบจะอาเจียนเป็นเลือด เขาทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อเข้าสู่มิติมังกรดำ มิหนำซ้ำยังใช้เครื่องรางของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพื่อปลุกกองทัพนี้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นว่าไอ้โง่พวกนี้ไม่ได้รู้สึกขอบคุณเขาเลย ไม่เพียงแต่จะเย็นชาใส่ แต่ยังหันไปนิยมชมชอบมู่เฉินอีกด้วย นี่ทำให้หวู่ทงอยากทำลายกองทัพมังกรดำให้สิ้นซาก หากเขามีความสามารถในการทำเช่นนั้น
ทว่าหวู่ทงก็ใจชื้นเล็กน้อย แม้ว่ากองทัพมังกรดำจะแสดงความรู้สึกที่ดีต่อมู่เฉิน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะสวามิภักดิ์ ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นนักรบที่มีประสบการณ์มากในการต่อสู้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีพลังใจที่แข็งแกร่ง ไม่ถึงขนาดจะสวามิภักดิ์เพียงเพราะเห็นมู่เฉินครอบครองวิญญาณมังกรแท้จริง
“เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อล่ะ? ในเมื่อพวกเจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว คลื่นหลิงที่สนับสนุนมิติมังกรดำก็ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการฝึกฝนของทุกคน หากไม่มีการสนับสนุนจากภายนอก อีกไม่นานมิติก็จะแตกสลายไป”
นักรบร่างกำยำยิ้มบาง “นั่นก็เป็นเรื่องจริง… แต่นกดีจะเลือกต้นไม้ทำรัง กองทัพมังกรดำไม่ต้องการตกอยู่ในมือคนธรรมดาที่จะทำให้ชื่อป่นปี้ไปหมด”
หวู่ทงตวาดอย่างเย็นชา “มีอะไรจะต้องเลือก? เขาเป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะมาแข่งกับข้าได้ยังไง?”
นักรบร่างกำยำส่ายหัว “พวกข้ากำลังเลือกจั้นเจิ้นซือที่โดดเด่น ขุมพลังไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาด้วย”
หวู่ทงอยากจะบ้าตาย ไอ้คนพวกนี้บอกว่าเขาจะมีข้อได้เปรียบ แต่ตอนนี้กลับเข้าข้างมู่เฉินข้างๆ คูๆ ข้อได้เปรียบอะไรกัน ไม่เห็นมีประโยชน์เลย!
“แล้วพวกเจ้าจะเลือกยังไง?!” หวู่ทงถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ง่ายๆ ผ่านวิธีการของจั้นเจิ้นซือไง” นักรบร่างกำยำพูดมือก็ชี้ไปที่กองทัพมังกรดำ “เพื่อความเป็นธรรม เจ้าสองคนสามารถเลือกนักรบจำนวนเท่าไรก็ได้จากกองทัพมังกรดำ ใช้รัศมีจั้นยี่ในการต่อสู้ ใครก็ตามที่สามารถชนะได้จะพิสูจน์ได้ว่าความสำเร็จในฐานะจั้นเจิ้นซือ”
สายตาของหวู่ทงวูบวาบขณะที่หัวเราะเยาะ “จำกัดจำนวนตัวเลขเพื่อความเป็นธรรมหรือไม่?”
เขามีความมั่นใจในความสามารถของจั้นเจิ้นซือ ตัวเขาได้รับการดูแลอย่างดีจากตระกูลหวู่ด้วยทรัพยากรทั้งหมดซึ่งเป็นความลับ คนอื่นรู้ถึงขุมพลังของเขาเท่านั้น แต่พวกเขาไม่รู้ว่าความเชี่ยวชาญในด้านการควบคุมกองทัพเขาก็ไม่เป็นรองใคร
นักรบร่างกำยำส่ายหัว “นั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนในการควบคุม ไม่มีข้อจำกัดใดๆ ในเรื่องนี้”
ครั้นได้ยินหวู่ทงก็รู้สึกโล่งใจ หากนักรบผู้นี้ต้องการจำกัดจำนวน พวกเขาก็จ้องเอาเรื่องเขาแล้ว เพราะยังไงเขาก็ไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะสามารถเอาชนะเขาได้ในฐานะจั้นเจิ้นซือ
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็เอาตามที่เจ้าพูด!” ขณะที่พูดหวู่ทงก็มองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา “แต่กลัวว่าเจ้านี่จะไม่มีความกล้านะสิ!”
ตอนนี้เขาเกลียดมู่เฉินเข้ากระดูกดำ ตอนแรกเป็นอะไรบางอย่างที่เขาได้รับโดยง่าย แต่หลังจากการปรากฏตัวของอีกฝ่าย กองทัพมังกรดำมีแววที่จะเข้าข้างอีกฝ่ายมากกว่า ซึ่งทำให้เขามีปัญหามากขึ้น
มู่เฉินไม่สนสายตาเย็นชาของหวู่ทง เขาประสานมือให้นักรบมังกรดำ ถือว่าขอบคุณทุกคนที่ไม่ได้เลือกหวู่ทงและให้โอกาสเขาในการแย่งชิง
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับไปมองหวู่ทงด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อเจ้ากล้า ทำไมข้าจะไม่กล้าล่ะ?”
บทที่ 1309 มิติมังกรดำ
เมื่อรัศมีจั้นยี่พวยพุ่งออกจากร่างของมู่เฉิน
เขาก็ทะยานประหนึ่งสายฟ้าพุ่งเข้ามาในทางที่ค่อยๆ เสถียรขึ้น
เหตุการณ์ที่กลับตาลปัตรก่อนหน้าก็ทำเอามู่เฉินตกใจไป เขาไม่คิดว่าจะมีมรดกของจักรพรรดิมังกรดำซ่อนอยู่ในมรดกของภูตผีเสื้อโอสถด้วย
นอกจากนี้ที่น่าตกตะลึงที่สุดก็คือ ‘กองทัพมังกรดำ’ ที่หวู่ทงพูดถึง
นี่เป็นกองทัพทรงพลังที่สามารถเทียบเคียงได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน ระดับของกองทัพเช่นนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดยังต้องใช้เวลานานและทรัพยากรจำนวนมหาศาลในการเลี้ยงดู
ดังนั้นต่อให้เป็นจั้นเจิ้นซือ มู่เฉินก็ไม่เคยมีความตั้งใจที่จะสร้างกองทัพด้วยตัวเอง เพราะเขารู้ว่าไม่มีความสามารถพอที่จะเสียเวลาและทรัพยากรให้กับมันได้
ทว่าจากที่หวู่ทงพูดก่อนหน้า กองทัพมังกรดำนั้นได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดี ที่สำคัญที่สุดพวกเขาไม่ใช่หุ่นเงา แต่เป็นกองทัพที่มีชีวิตจริงๆ
เพียงว่ากองทัพมังกรดำหลับใหล ถ้าปลุกพวกเขาได้ พวกเขาก็จะฟื้นฟูกลับเป็นกองทัพมังกรดำที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณ
ในสถานที่นี้ นอกจากหวู่ทง ก็คงมีเพียงมู่เฉินที่เป็นจั้นเจิ้นซือเท่านั้น ถึงรู้ว่ากองทัพแบบนี้ที่มีค่าเช่นไร
ดังนั้นเมื่อสิ้นเสียงเสียงของหวู่ทง มู่เฉินก็ทะยานออกไปโดยไม่ลังเล เข้าไปในมิติมังกรดำก่อนที่หวู่ทงจะทันขยับตัว
ไม่มีใครมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ทันในเวลาที่มู่เฉินพุ่งออกไป แม้แต่หวู่ทงก็อึ้งไป ทว่าหลังจากครู่เดียวเมื่อเขารู้สึกถึงรัศมีจั้นยี่ที่เพิ่มขึ้นจากร่างของมู่เฉิน ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวอย่างไม่สามารถควบคุมได้
เขาไม่เคยคิดว่าคำพูดของตนเองจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว!
นั่นเป็นเพราะเขามั่นใจว่าในที่นี้มีเพียงตนเองที่เป็นจั้นเจิ้นซือ มิฉะนั้นทำไมเขาถึงไม่รู้สึกถึงความผันผวนของรัศมีจั้นยี่ในการต่อสู้เมื่อสักครู่
แต่ไม่ว่าเขาจะยากที่จะเชื่อแค่ไหน ความจริงที่โหดร้ายก็ปรากฏที่เบื้องหน้าแล้ว
เมื่อมองไปที่มู่เฉิน หวู่ทงก็อยากจะตบกะโหลกตัวเอง เพราะเขาอิ่มเอมใจมากเกินไปจึงเผยความลับเหล่านั้นออกมา แต่เขาก็ต้องการให้ข้อมูลที่น่าตกใจเพื่อแยกแยะความสนใจของทุกคน พวกเขาจะได้ไม่รบกวนความมั่นคงของเส้นทาง
แต่เขาไม่เคยคิดว่าคำพูดของตนเองจะดึงดูดปัญหามาให้
ดวงตาของหวู่ทงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ท่าทางน่ากลัวขึ้นหลายส่วน
ทว่าหวู่ทงไม่ได้เสียสติไปกับความโกรธ สายตาจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน เขาไม่ได้คิดโจมตีแต่ก้าวเข้าสู่มิติมังกรดำไป
สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการได้รับกองทัพมังกรดำ แต่ถ้าเขาปะทะกับมู่เฉินละก็ อาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
วาบ!
มิติมังกรดำผันผวนเล็กน้อย ร่างของหวู่ทงก็หายไปในทางเดิน ช่วงเวลานั้นมู่เฉินก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วเข้าไป
ทั้งสองคนหายตัวไปในมิติมังกรดำ
เมื่อทั้งสองหายไป ในถ้ำก็เงียบกริบ ทุกคนยังอยู่ในอาการตกใจ พวกเขาไม่รู้ว่าควรตอบสนองต่อสถานการณ์นี้อย่างไรดี
“มู่เฉินเข้าไปแล้ว? งานนี้หวู่ทงไม่ปล่อยเขาแน่!” เวินชิงเฉวียนรีบลุกขึ้นมองไปที่ลั่วหลีและหลิงซีด้วยความกังวล
“นอกจากนี้มู่เฉินเป็นจั้นเจิ้นซือด้วยเหรอ? เขาจะเอาชนะหวู่ทงได้ไหม?”
เหตุผลที่มู่เฉินเข้าไปในมิติมังกรดำก็ชัดว่าเพื่อรับกองทัพมังกรดำ แต่หวู่ทงไม่ยอมปล่อยมู่เฉินไปตามที่ต้องการหรอก ดังนั้นจะต้องเกิดการต่อสู้รุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พลังของหวู่ทงแข็งแกร่งกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดาบวกกับไพ่ตายจำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่คนที่สามารถจัดการได้ง่ายๆ
หลิงซีขมวดคิ้ว แต่ลั่วหลีกลับดูสงบนิ่งขณะที่จ้องมองมิติมังกรดำ “มู่เฉินไม่ใช่คนที่จะตาบอดเพเราะความโลภมาก เขาต้องมีความมั่นใจในเมื่อเลือกทำสิ่งนี้”
แม้ว่าหวู่ทงจะทรงพลัง แต่มู่เฉินก็ไม่ใช่ธรรมดา ตอนที่เขาอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น เขาก็เจิดจรัสท่ามกลางจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ลั่วหลีเชื่อว่ากระทั่งจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มทรงพลัง มู่เฉินก็ไม่ได้ด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน
เมื่อเห็นการแสดงออกที่สงบนิ่งของลั่วหลี เวินชิงเฉวียนก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่พวกนางทำได้ตอนนี้ก็คือรอและหวังว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมกองทัพมังกรดำได้ มิฉะนั้นถ้ากองทัพมังกรดำตกอยู่ในมือของหวู่ทง จะเป็นหายนะกับพวกนางทั้งหมด
ดังนั้นการต่อสู้ดุเดือดในถ้ำจึงสงบลงช้าๆ เนื่องจากพวกเขารู้ว่าการต่อสู้แตกหักจะเกิดขึ้นในมิติมังกรดำ
ทว่าตอนนี้ยังมีองครักษ์เงาสองคนที่ยังต่อสู้กับมู่เฉินชุดดำและชุดขาวที่มู่เฉินทิ้งไว้
“เวินจื่อหยู่ไปช่วยร่างดวงจิตของมู่เฉินจัดการกับองครักษ์เงา” เวินชิงเฉวียนหันไปบอก
เวินจื่อหยู่พยักหน้า ก่อนที่จะหันหลังกลับพุ่งเข้าใส่องครักษ์เงา
ขณะที่ต่งซันต้องการขัดขวาง หลิงซีก็ปรากฏตัวต่อหน้าพร้อมกับค่ายกลถักทอขึ้นในมือนาง
เมื่อทั้งสองกลุ่มยืนคุมเชิงกัน พวกเขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นเงาดำขยับเข้าใกล้มิติมังกรดำก่อนจะหายเข้าไปช้าๆ
เมื่อเข้าสู่มิติมังกรดำ
สภาพแวดล้อมโดยรอบของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาต่อมาความผันผวนห้วงมิติก็เสถียรขึ้น เขากวาดสายตาออกไป
ที่นี่เป็นดินแดนรกร้างเต็มไปด้วยหุบเขาลึก มู่เฉินมองออกไปในระยะไกล
มีลานขนาดใหญ่ที่มีรูปปั้นสีแดงเข้มยืนอยู่นับไม่ถ้วน แต่ละร่างดูพร่างพราวนัก
รูปปั้นหินเหล่านั้นยืนเงียบๆ บนลานราวกับเป็นกองทัพชั้นยอด สายตามองไปยังแท่นสูงที่เบื้อหน้าด้วยท่าทางเคารพเทิดทูน
ราวกับว่าเคยมีกษัตริย์ของพวกเขายืนอยู่
มู่เฉินมองไปที่รูปปั้นหิน ใบหน้าก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน เนื่องจากเขารับรู้ถึงแรงกดดันน่ากลัวที่เกิดขึ้นจากพวกเขา
“นั่นคือกองทัพมังกรดำ!”
สายตามู่เฉินวูบไหว มีเพียงกองทัพมังกรดำเท่านั้นที่ให้ความกดดันที่น่าสะพรึงกลัวเพียงนี้ได้ แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะหลับใหลอยู่ก็ตาม
วาบ!
บนท้องฟ้าไม่ไกลหวู่ทงก็ปรากฏตัวขึ้นพลางมองไปยังกองทัพรูปปั้นหินด้วยความโลภ ก่อนที่จะหันมาเผชิญหน้ากับมู่เฉินด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว “ไอ้โง่ แกคิดว่าจะได้รับกองทัพนี้โดยตามข้าเข้ามาในมิติมังกรดำเรอะ?”
ใบหน้าของมู่เฉินเรียบเฉย เพราะเขารู้ว่าไม่ง่ายขนาดนั้นแน่นอน ทว่าเขาก็ไม่มีทางยืนเฉยมองหวู่ทงเข้าควบคุมกองทัพน่ากลัวนี่
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่สนใจ เขาก็หัวเราะในลำคอ มือกำแน่นเครื่องรางปรากฏขึ้นแล้วบินออกไป
เมื่อเครื่องรางพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็เปล่งประกายระยิบระยับดูราวกับดวงอาทิตย์อบอุ่นส่องลงบนรูปปั้นหินด้านล่าง
ภายใต้แสงสว่างมู่เฉินตระหนักได้ว่ารูปปั้นหินเริ่มละลายอย่างช้าๆ
“เครื่องรางนี้สร้างขึ้นโดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของตระกูลหวู่เพื่อใช้ในการปลุกกองทัพมังกรดำที่หลับใหล!” มู่เฉินขมวดคิ้วกับคำพูดดังกล่าว หวู่ทงเตรียมพร้อมจริงๆ
ภายใต้การสายตาของมู่เฉิน กองทัพก็เริ่มละลาย หลายนาทีต่อมาหินบนร่างพวกเขาก็หายไปแทนที่ด้วยเกราะสีแดงเข้ม
เงาเหล่านั้นดูแข็งแกร่งด้วยผิวสีแดงเข้ม แม้แต่เกล็ดมังกรก็ยังสามารถเห็นได้บนร่าง พลังมังกรถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเงียบๆ
ทว่ามู่เฉินก็สัมผัสได้ว่าเมื่ออาการแข็งเป็นหินหายไป นักรบบางคนก็กลายเป็นเถ้าถ่าน พวกเขาคงจะล้มเหลวในการเข้าสู่กระบวนการนิทรารมณ์และสลายหายไปจากกาลเวลา
ภายใต้สายตาเป็นกังวลของมู่เฉินและหวู่ทง เงาสีแดงเข้มจำนวนมากก็เปิดตาขึ้น ดวงตาของพวกเขาส่องประกายความงุนงงก่อนที่แสงหลิงจะเริ่มรวมตัวกัน สุดท้ายพวกเขาก็ก้มศีรษะลงคุกเข่าต่อหน้าแท่นสูง
ตึง!
ทั้งมิติสั่นสะเทือน
ขณะที่พวกเขาค่อยๆ ฟื้นความทรงจำ พวกเขาจำได้ว่านายท่านใช้พลังเฮือกสุดท้ายทำให้นักรบทุกคนเข้าสู่สภาวะนิทรารมณ์เพื่อช่วยรักษาพวกเขาไว้
บนท้องฟ้ามู่เฉินและหวู่ทงก็รับรู้ถึงอารมณ์ผิดปกติในกองทัพมังกรดำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าขัดขวาง ปล่อยให้กองทัพมังกรดำรำลึกถึงจักรพรรดิแห่งตนที่สิ้นชีพไปแล้ว
ประมาณสิบกว่านาทีต่อมานักรบมังกรดำก็ลุกขึ้นยืน เงามืดกำยำด้านหน้าสุดของกองทัพเงยหน้ามองไปที่มู่เฉินและหวู่ทง เสียงขึงขังดังก้อง
“ใครปลุกพวกข้าขึ้นมา?”
บทที่ 1308 กองทัพมังกรดำ
ฟู่ ฟู่!
เมื่อเวินชิงเฉวียนโยนตัวเองเข้าไปในหม้อกลั่น หม้อกลั่นก็พวยพุ่งด้วยเพลิงลุกโชติช่วงเป็นไฟสีฟ้าที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยน แต่ทุกคนรู้ว่านี่เป็นเพียงรูปลักษณ์เท่านั้น เพลิงที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนใช้ในการกลั่นสามารถเปลี่ยนจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ในพริบตา
เวินจื่อหยู่และจอมยุทธ์ตระกูลเวินคนอื่นๆ มองไปที่หม้อกลั่นด้วยท่าทางเป็นกังวล แผ่นหลังของพวกเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น หากเวินชิงเฉวียนล้มเหลว นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะยอมรับได้
นั่นเป็นเพราะเมื่อนางล้มเหลว ร่างก็จะเหลือเพียงกองเถ้าถ่านไว้ดูต่างหน้า
พวกต่งซันก็กำลังมองหม้อกลั่นขนาดใหญ่ ถ้าเวินชิงเฉวียนประสบความสำเร็จ พวกเขาก็จะใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อยึดมรดกนี้มาให้ได้
ดังนั้นการปะทะกันจึงสงบลงชั่วคราว ยกเว้นสมรภูมิของมู่เฉินแห่งเดียว
องครักษ์เงาไม่มีจิตใต้สำนึกหลงเหลือ พวกเขาคิดเพียงแต่สังหารอย่างไร ดังนั้นพวกเขาไม่ได้สนใจกับการรับมรดก สิ่งที่พวกเขาต้องการคือฆ่ามู่เฉินที่กีดขวางหน้าเส้นทางให้กลายเป็นกองเนื้อ
แต่ไม่ว่าจะโจมตีอย่างไร พวกเขาถูกสกัดอย่างแน่นหนาโดยมู่เฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์รักษ์ที่อยู่ในค่ายกลเพลิงทะยาน ตอนนี้มันอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชโดยที่แขนข้างหนึ่งถูกทำลาย
เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินควบคุมสมรภูมิไว้ทั้งหมด เป็นเพียงเรื่องเวลาที่องครักษ์ทั้งสองจะพ่ายแพ้
ตู้ม!
ขณะที่มู่เฉินต้านองครักษ์เงาทั้งสองไว้ได้ ทันใดนั้นก็เกิดการเคลื่อนไหวในถ้ำ เสียงทุ้มต่ำดังก้องจากในหม้อกลั่นที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิง
ฟู่ ฟู่!
อึดใจเพลิงสีฟ้าก็กวาดออกมาจากหม้อกลั่น เสาลุกขึ้นจากภายใน เงาร่างค่อยๆ ปรากฏขึ้น
เมื่อพวกเวินจื่อหยู่เห็นร่างที่คุ้นเคย ความสุขก็พัดไปทั่วใบหน้าของพวกเขา
นี่คือเวินชิงเฉวียน
ขณะนี้ดวงตาของนางปิดลงพร้อมกับเพลิงสีฟ้าเปล่งประกายบนร่างกาย เพลิงเหล่านี้ดูเหมือนมีจิตวิญญาณ ห่อหุ้มร่างกายของนาง ก่อตัวเป็นแก้วมรกตราวกับเกราะแสงที่ปกป้องนางไว้
แพขนตายาวสั่นไหวก่อนที่ดวงตาของนางจะเปิดขึ้นกะทันหัน เพลิงสีฟ้ากะพริบวูบไหวอยู่ภายใน ยามนี้นางช่างดูมีเสน่ห์มากกว่าปกติ
อ่านนิยาย
นางรู้สึกงุนงงไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเปลวไฟบนร่างกายก่อนที่ความสุขจะวูบไหวในดวงตา นั่นเป็นเพราะนางสามารถสัมผัสได้ถึงมรดกในห้วงแห่งจิตในตอนนี้
กระทั่งเพลิงสีฟ้ายังไหลอวลอยู่ในร่างกายของนาง
ชัดว่าการตัดสินใจกระโจนตัวลงไปในหม้อกลั่น ไม่ได้ทำให้นางกลายเป็นเถ้าถ่าน แต่ได้รับมรดกของภูตผีเสื้อโอสถ
มีความเข้าใจต่อการเล่นแร่แปรธาตุและทักษะลับมากมาย นี่อาจไร้ประโยชน์กับคนอื่นๆ แต่ในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุนี่เป็นขุมสมบัติเลยทีเดียว
ก็เป็นเหมือนตอนมู่เฉินได้รับความเข้าใจต่อค่ายกลจากมารดา ทำให้เขาสามารถบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนได้ มิหนำซ้ำยังให้ความช่วยเหลือยิ่งใหญ่ในการพัฒนาในอนาคตเพื่อเข้าสู่ขุมพลังเทียนจื้อจุน
ด้วยมรดกนี้ เวินชิงเฉวียนจะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีชื่อเสียงในอนาคต แน่นอนว่านี่เป็นข่าวที่ดีสำหรับตระกูลเวิน
เพราะนักเล่นแร่แปรธาตุเป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่ได้รับการต้อนรับมากในมหาพันภพ
“ข้อมูลที่ได้มาเป็นเรื่องจริง!”
เวินชิงเฉวียนชื่นชมยินดี แต่นางรู้ว่าต้องใช้ความกล้าหาญอย่างยิ่งในการรับมรดก เพราะไม่ใช่ทุกคนที่กล้ากระโจนลงไปในหม้อกลั่น เนื่องจากอาจไม่เหลือแม้แต่ซากไว้ได้
ระหว่างชีวิตและมรดกผู้คนส่วนใหญ่เลือกชีวิต เพราะไม่มีชีวิตมรดกใดๆ ก็ไร้ประโยชน์
“บ้าเอ๊ย!”
เมื่อเห็นเวินชิงเฉวียนได้รับมรดกไปแล้ว ใบหน้าของต่งซันและพรรคพวกก็เปลี่ยนไปรุนแรง เนื่องจากการได้รับมรดกของภูตผีเสื้อโอสถของเวินชิงเฉวียน นี่ไม่เท่ากับว่าทุกสิ่งที่พวกเขาพยายามสลายกลายเป็นอากาศธาตุเรอะ?
“ฮ่าๆ เจ้าประสบความสำเร็จจริงๆ”
สายตาของหวู่ทงวูบไหว ขณะที่เริ่มหัวเราะร่วนอยู่ภายในคุกน้ำ นิ้วหนีบเข้าด้วยกันยันต์สีดำก็ปรากฏ บนยันต์ถูกวาดด้วยลวดลายลึกซึ้ง ทำให้เกิดความผันผวนที่แปลกประหลาด
หวู่ทงเงยหน้าขึ้นมองหลิงซีพลางยิ้มอ่อน ก่อนที่ยันต์ในมือจะกลายเป็นเปลวไฟ
หลิงซีจับจ้องอีกฝ่ายอยู่ตลอด ดังนั้นเมื่อยันต์ปรากฏในมือเขา นางก็สังเกตเห็นทันที นางรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ รีบเร้าค่ายกลทันที
ซ่า!
น้ำสีดำไร้ขอบเขตกดลงพร้อมกับแรงน่ากลัว มังกรดำนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหาหวู่ทง ไม่ว่าเขาตั้งใจทำอะไร หลิงซีก็ต้องหยุดก่อน
“ปฏิกิริยาเร็วใช้ได้ แต่น่าเสียดายที่ไร้ประโยชน์”
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งกีดขวางของหลิงซี หวู่ทงก็ยิ้มบาง ยันต์ในมือเขากลายเป็นควันสีดำห่อหุ้มร่างเอาไว้
เมื่อควันดำล้อมรอบ ร่างเงาของหวู่ทงก็หายวับไปทันที
“ชิงเฉวียนระวัง!”
มู่เฉินที่กำลังเผชิญหน้ากับองครักษ์เงาสองคนตะโกนเตือน ขณะที่ดวงตาเปล่งประกาย
วาบ!
กลุ่มควันสีดำมาปรากฏที่เบื้องหน้าเวินชิงเฉวียนคว้าข้อมือบางเอาไว้ จากนั้นก็เหวี่ยงนางกระแทกเข้ากับหม้อกลั่นที่อยู่ด้านล่าง
เคร้ง!
ปะทะกับหม้อหนักหน่วงเกิดเสียงดังกึกก้องขึ้น แต่อาจเป็นเพราะเวินชิงเฉวียนได้รับมรดก นางเลยไม่ได้กลายเป็นเถ้าถ่านจากเปลวไฟบนหม้อกลั่น
อ็อก
อ่านนิยาย
แต่กระนั้นผลกระทบนี้ก็ทำให้เวินชิงเฉวียนกระอักเลือดเต็มปาก หม้อกลั่นถึงกับปลิวออกไป
แต่หลังจากเหวี่ยงเวินชิงเฉวียนแล้ว หวู่ทงก็ไม่ได้ออกกระบวนท่าโจมตีใดๆ อย่างที่ทุกคนคาดไว้ ตรงกันข้ามเขาหยุดเคลื่อนไหว จ้องไปยังสถานที่ที่หม้อขนาดใหญ่เคยสถิตอยู่ก่อนหน้า ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือชัดเจน
หม้อที่อยู่ก่อนหน้าที่ถูกกระแทกออกไปโดยเวินชิงเฉวียน ปรากฏค่ายกลขึ้นตรงจุดที่หม้อที่เคยอยู่เมื่อครู่
หวู่ทงมองไปที่ค่ายกลด้วยดวงตาเป็นประกาย ยันต์ยิงออกไปตกลงบนค่ายกล
ฮึ่ม ฮึ่ม
ทันใดแสงหลิงเข้มข้นก็ปะทุขึ้นจากค่ายกล มิติบิดเบือนก่อนเส้นทางจะเกิดขึ้น
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้ทุกคนคาดไม่ถึง ไม่มีใครคิดว่าจะมีสิ่งพิเศษภายใต้หม้อกลั่นนี้
“เวินชิงเฉวียน เจ้าคิดว่าเป้าหมายของตระกูลหวู่เป็นแค่มรดกของภูตผีเสื้อโอสถรึ?” หวู่ทงหันกลับมามองที่เวินชิงเฉวียนด้วยดวงตาหรี่แคบลงจากรอยยิ้ม
“ข้อมูลที่ตระกูลเวินได้รวบรวมเกี่ยวข้องกับภูตผีเสื้อโอสถเท่านั้น แต่พวกเจ้าไม่รู้ว่ามีมรดกอีกอย่างซ่อนอยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นของสามีของนาง—จักรพรรดิมังกรดำ!”
“จักรพรรดิมังกรดำ?!” เวินชิงเฉวียนตกใจ นี่คือสิ่งที่นางไม่รู้จริงๆ แต่นางทราบประวัติของจักรพรรดิมังกรดำ เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่มีชื่อเสียงและเป็นสามีของภูตผีเสื้อโอสถ
นอกจากนี้สิ่งที่จักรพรรดิมังกรดำทรงพลังที่สุดไม่ใช่ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง แต่เป็นศาสตร์จั้นเจิ้นซือ!
เขาได้สร้างกองทัพมังกรดำขึ้นมา ซึ่งนักรบทุกคนในกองทัพชโลมด้วยเลือดมังกรสร้างพวกเขาเป็นนักรบมังกร กองทัพมังกรดำตอนสถานะสุดยอด ทำให้จักรพรรดิมังกรดำกลายเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน
ทว่าผลจากการมหาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้จักรพรรดิมังกรดำต้องสละชีวิตไปพร้อมกับภูตผีเสื้อโอสถ จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ แม้แต่กองทัพมังกรดำก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เป้าหมายของตระกูลหวู่คือกองทัพมังกรดำนั่นเองรึ?!” เวินชิงเฉวียนคิดได้ในทันที ตระกูลหวู่ต้องได้รับข่าวเกี่ยวกับกองทัพมังกรดำที่ไหนสักแห่ง นั่นคือเหตุผลที่พวกเขามุ่งหน้ามายังสถานที่แห่งนี้ด้วยทุกอย่างที่มี
หวู่ทงยักไหล่ยิ้ม “แม้ว่าตามข้อมูลกองทัพมังกรดำได้รับความเสียหาย แต่เนื่องจากนักรบทุกคนได้รับการชโลมด้วยเลือดมังกร ในเวลาสุดท้ายจักรพรรดิมังกรดำจึงได้เปลี่ยนกองทัพมังกรดำกลายเป็นกองทัพอมตะ มิหนำซ้ำยังทำให้พวกเขาหลับใหล ดังนั้นกองทัพนี้จึงได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี หากกองทัพนี้อยู่ในมือตระกูลหวู่ละก็ ข้าจะสามารถควบคุมกองทัพมังกรดำทำลายล้างตระกูลเวินเพียงแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้น!”
“ทว่ากองทัพมังกรดำได้รับการปกป้องจากหม้อกลั่นของภูตผีเสื้อโอสถและด้วยเพลิงประหลาดบนหม้อกลั่น แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ยังกลายเป็นเถ้าถ่านได้เมื่อสัมผัส เฉพาะผู้ที่ได้รับมรดกของภูตผีเสื้อโอสถเท่านั้นที่มีภูมิคุ้มกันต่อเพลิงเหล่านั้น”
ขณะที่พูดหวู่ทงก็มองไปที่เวินชิงเฉวียนด้วยสายตาเย้ยหยัน “ดังนั้นหากเจ้าไม่มีความกล้า ข้าอาจจะต้องปวดหัวหนักกับมรดกนี้ เพราะวิธีการแบบเสี่ยงชีวิตไม่เหมาะกับข้าหรอก”
ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนซีดขาวลง แบบนี้นี่เองหวู่ทงรอให้นางได้รับมรดกเพื่อจะใช้นางเป็นกุญแจไขเข้าไปในมิติมังกรดำ!
แต่ถ้ากองทัพมังกรดำตกอยู่ในมือตระกูลหวู่จริงๆ ละก็ จะเป็นหายนะต่อตระกูลเวินอย่างยิ่ง
ดังนั้นต้องขัดขวางให้ได้
“คิดจะขัดขวางข้าเหรอ? ที่จริงพูดกับพวกเจ้ามากขนาดนี้ ก็แค่ไม่ต้องการให้พวกเจ้ารบกวนเสถียรภาพของมิติมังกรดำนี้”
เหมือนรู้เจตนาของอีกฝ่าย หวู่ทงก็ส่ายหัวมองมิติที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเบื้องหน้า ก่อนที่จะหันไปมองมู่เฉิน เวินชิงเฉวียน และคนอื่นๆ รอยยิ้มเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า
“ตอนนี้พวกเจ้าก็เตรียมตัวรอข้าออกมาพร้อมกับกองทัพมังกรดำเถอะ หวังว่าพวกเจ้าจะยังเหลือความกล้าที่จะประจันหน้าข้านะ”
“นอกจากนี้ข้าก็ใจดีที่จะบอกซะหน่อยว่ามีเพียงจั้นเจิ้นซือเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่มิติมังกรดำได้ ดังนั้นพวกเจ้าหยุดเสียเวลาซะ”
“และบังเอิญเชียวแหละ เพราะข้าเป็นจั้นเจิ้นซือ”
มองดูศัตรูด้วยสายตาสงสาร หวู่ทงก็สูดหายใจลึกก้าวย่างเข้าไปโดยไม่ลังเล
แต่จังหวะนั้นเองเสียงหัวเราะที่แฝงความประหลาดใจเล็กน้อยก็ดังก้องไปทั่วถ้ำแห่งนี้
“จั้นเจิ้นซือรึ?
“บังเอิญจริง ข้าก็เป็นเหมือนกัน!”
ทุกคนหันขวับไปก็เห็นเงาของมู่เฉินที่ขวางองครักษ์เงาทะยานออกไป ร่างเขาราวกับสายฟ้าพุ่งเข้าไปในมิตินั้น
ในช่วงเวลานั้นความผันผวนแปลกประหลาดก็เพิ่มขึ้นในร่างกาย ซึ่งก็คือรัศมีจั้นยี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของจั้นเจิ้นซือ!
บทที่ 1307 โยนตัวเองลงหม้อ
ฮึ่ม!
มิติสีแดงเข้มอัดแน่นด้วยคลื่นหลิงโหมกระหน่ำสว่างไสวเงามหึมายืนอยู่ในโลกสีแดงเข้ม คลื่นลมหายใจร้อนผ่าวพ่นออกมา ทำให้มิติถึงกับบิดเบือนจากความร้อน
ร่างใหญ่นี้เป็นภาพที่เกิดขึ้นในค่ายกลเพลิงทะยาน ซึ่งประกอบไปด้วยคลื่นหลิงที่บริสุทธิ์ระหว่างสวรรค์และโลก พลังอำนาจลึกซึ้งไม่อาจหยั่งรู้ได้ สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้เลยทีเดียว
เมื่อคลื่นความร้อนพัดออกมา อุณหภูมิในถ้ำก็เพิ่มขึ้น
ความปั่นป่วนจากด้านมู่เฉินดึงดูดความสนใจของผู้อื่นทันที เมื่อพวกเขาเห็นเปลวเพลิงทะยานขึ้น ใบหน้าแต่ละคนก็เปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้
“ค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง?!” เวินชิงเฉวียนเบิกตากว้าง ขณะจ้องมองมู่เฉินด้วยความตกใจ ‘ที่แท้มู่เฉินบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแล้ว!’
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงมั่นใจในการรับมือกับองครักษ์เงาทั้งสองคน ที่แท้เขาก็มีไพ่ตายเช่นนี้อยู่ในมือนี่เอง!
“เจ้านั่น!” เวินชิงเฉวียนกัดฟันพร้อมกับสายตาซับซ้อน ตอนที่อยู่ในศึกเบญจภาคีมู่เฉินก็ทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่านางมากนัก
หลังจากผ่านไปหลายปี เมื่อพบกันอีกครั้ง แม้ขุมพลังระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายของมู่เฉินจะทำให้นางประหลาดใจ แต่ก็ยังคงอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้
แต่นางไม่คิดว่าการเพาะบ่มขุมพลังหลิงของมู่เฉินจะเป็นเพียงแค่พื้นผิว ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงให้เห็นจนถึงตอนนี้อาจเป็นเพียงแค่ปลายยอดภูเขาน้ำแข็ง
เผชิญหน้ากับมู่เฉินที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้แต่นางหงส์ที่มั่นใจในตัวเองอย่างเวินชิงเฉวียนยังรู้สึกรันทดลงหลายส่วน ‘เพื่อนคนนี้เป็นสัตว์ประหลาดแท้จริง’
ในคุกที่หลิงซีสร้างขึ้น หวู่ทงก็มองมู่เฉินด้วยดวงตาหดลง เมื่อเขาเห็นค่ายกลเพลิงทะยาน คิ้วของเขาก็ขมวดแน่นขึ้น
ชัดว่าความสามารถของมู่เฉินไม่อยู่ในความคาดหมายของเขา
“ไอ้เจ้านั่นมีกลยุทธ์บางอย่าง แต่ถึงแม้ว่ามันจะหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการกับองครักษ์เงาชั้นสูงสองคนของตระกูลหวู่!” ความเย็นชาวูบไหวบนใบหน้าของหวู่ทง องครักษ์เงาทั้งสองมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับมู่เฉินที่จะจัดการกับพวกเขาด้วยค่ายกลแค่นี้
ยิ่งไปกว่านั้นมีเพียงองครักษ์คนเดียวที่ถูกขัง
ต่อไปคนที่สองจะต้องปลดปล่อยการโจมตีดุเดือดใส่มู่เฉินแน่ ในเวลานั้นมู่เฉินจะไม่มีพลังงานในการควบคุมค่ายกล ถ้าควบคุมไม่ได้องครักษ์คนแรกก็จะสลัดหลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย
ในเวลานั้นมู่เฉินจะถูกล้อมกรอบจากองครักษ์เงาทั้งสอง
“แต่ค่ายกลนี้ท่าจะเป็นปัญหาแล้ว”
หวู่ทงละสายตากลับมามองคุกน้ำที่ยึดตัวเขาไว้ แม้ว่าความสามารถในการโจมตีจะไม่ทรงพลังแต่กลับมีพลังในการกักขังดีเยี่ยม แม้ว่าเขาจะใช้วิธีการต่างๆ ก็ยังไม่สามารถบุกทะลวงออกไปได้
ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้ตั้งใจจะรั้งเขาไว้เท่านั้น
สายตาหวู่ทงวูบไหว มุมหางตาจ้องมองไปที่หม้อกลั่น ความแวววับที่อธิบายไม่ได้วาบผ่านในดวงตา…
ตู้ม!
อ่านนิยาย
เพลิงก่อตัวเป็นภาพเงาขนาดยักษ์ ปลดปล่อยการโจมตีดุเดือดไปยังองครักษ์เงา ขณะที่หมัดควงออกมา เปลวไฟรุนแรงก็ซัดใส่องครักษ์เงาจังใหญ่
ตึง!
โดยไม่มีความกลัว องครักษ์เงาพุ่งตัวออกไปปะทะเต็มแรง ผลกระทบรุนแรงนี้ทำให้ถ้ำใหญ่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด
ขณะที่การต่อสู้เข้มข้นเกิดขึ้นในค่ายกล องครักษ์เงาอีกคนหนึ่งก็พุ่งเข้าหามู่เฉินพร้อมกับคลื่นหลิงรุนแรงและไร้ขอบเขตรวมตัวกันที่กำปั้น ทำให้กำปั้นนี้มีพลังแตกท้องฟ้าได้เลย
เจดีย์ขยายในดวงตาของมู่เฉิน เปลี่ยนคลื่นหลิงในร่างกายให้เป็นผลึกคลื่นหลิง จากนั้นหมัดก็ชกออกไป ลวดลายผลึกใสนับไม่ถ้วนพล่านบนแขนของเขา
ตึง ตึง!
เมื่อร่างทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง มิติก็ผันผวน ทำให้การต่อสู้ดูดุเดือดอย่างยิ่ง
แต่ในขณะที่มู่เฉินกำลังโรมรันพันตู ค่ายกลเพลิงทะยานก็เริ่มจางหายไปอย่างที่หวู่ทงคาดไว้ ขบวนแถวแสงเริ่มหม่นลง ภาพเงาขนาดมหึมาก็เริ่มถอยจากการบีบบังคับโดยองครักษ์เงา
ทว่าเมื่อภาพนี้เพิ่งจะปรากฏ มู่เฉินก็ยิ้มอ่อนก่อนที่จะวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว มิติพลิกผันที่เบื้องหลัง มู่เฉินชุดขาวปรากฏขึ้น จากนั้นก็เข้าพุ่งไปในค่ายกล ก่อนที่จะนั่งลงและเริ่มควบคุม
เมื่อมู่เฉินชุดขาวเข้าไปแล้ว ค่ายกลเพลิงทะยานก็ระเบิดออกพร้อมกับเกลียวแสงสีแดงมากมายพวยพุ่ง ภาพเงาขนาดยักษ์คำรามก้อง พลิกสถานการณ์ทำให้องครักษ์เงาตกที่นั่งลำบาก
เมื่อค่ายกลเสถียร มู่เฉินก็มีเวลาพุ่งความสนใจไปที่การต่อสู้ จากการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่เขาตระหนักได้ว่าถึงแม้ว่าจะใช้การขยายของเจดีย์ แต่เขาก็ยังคงเสียเปรียบเมื่อต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ไม่ว่าอย่างไรก็มีช่องว่างกว้างใหญ่ระหว่างระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายกับขั้นเต็มอยู่ ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาปะทะกับขั้นเต็ม ชีวิตของพวกเขาคงถูกเฉือนออกในสิบกระบวนท่า สำหรับมู่เฉินที่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนี้โดยไม่ใช้ร่างเทห์สวรรค์ถือว่าไม่ธรรมดามากแล้ว
“ในเมื่อข้าคนเดียวเอาชนะไม่ได้ แล้วข้าสองคนล่ะ?”
มู่เฉินยิ้มอ่อนขณะที่จ้องมององครักษ์เงาที่พุ่งเข้ามา เงาส่องประกาย มู่เฉินชุดดำก็ปรากฏขึ้น ทั้งสองคนเหวี่ยงหมัดออกมาพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก่อตัวเป็นพายุเฮอริเคน แม้แต่ท้องฟ้าก็แยกออกจากกัน
ปัง!
หมัดทั้งสองปะทะกับองครักษ์เงาอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่มู่เฉินที่ถอยออกไป แต่เป็นองครักษ์เงาปลิวออกไป
ในระยะไกล ต่งซันที่สู้กับเวินจื่อหยู่ก็เหลือบมอง ใบหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาตกใจที่เห็นมู่เฉินถึงสามคน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินถึงสามารถสร้างร่างดวงจิตที่มีพลังเช่นเดียวกับร่างหลักได้
“หึ สนใจตัวเองก่อนดีกว่า!”
คลิก
ขณะที่เขากำลังฟุ้งซ่าน เสียงเยาะเย้ยก็ดังก้อง กระบี่เย็นทะลุผ่านมิติเสือกแทงเข้าที่หน้าอกของต่งซันทิ้งบาดแผลไว้
“ไอ้เวร แกรนหาที่ตาย!”
หลังจากได้รับบาดเจ็บโดยไม่ทันระวังตัว ใบหน้าของต่งซันก็ดูน่าขนพองสยองเกล้า จิตสังหารเพิ่มขึ้นก่อร่างเป็นใบมีดไร้ขอบเขตล้อมรอบร่างเวินจื่อหยู่เอาไว้
คลื่นหลิงรุนแรงพัดไปทั่วถ้ำ หากถ้ำนี้ไม่ใช่ถ้ำที่ภูตผีเสื้อโอสถสร้างไว้ละก็ คงจะต้องถูกทำลายจนวินาศสันตะโรจากการต่อสู้ดุเดือดเหล่านี้
“ชิงเฉวียนเร็ว! ไปคว้ามรดกมาซะ!”
ขณะที่มู่เฉินกำลังโรมันกับองครักษ์เงาสองคน เขาก็ส่งเสียงไปหาเวินชิงเฉวียนทันที
เวินชิงเฉวียนพยักหน้า ถอยออกจากวงล้อมการต่อสู้โดยไม่ลังเล ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานไปทางหม้อกลั่นที่อยู่ในส่วนลึกของถ้ำ นางรู้ว่ามู่เฉินและคนอื่นๆ กำลังซื้อเวลาให้ ดังนั้นนางต้องใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด
พวกต่งซันรู้สึกร้อนรนมากขึ้นกับการกระทำของเวินชิงเฉวียน พวกเขาต้องการหยุดนาง แต่ก็ถูกดักไว้ในการต่อสู้
ดังนั้นเมื่อไม่มีใครขัดขวาง เวินชิงเฉวียนก็มาถึงอย่างรวดเร็วที่เบื้องหน้าหม้อกลั่นภูตผีเสื้อโอสถที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วง แม้ว่าจะไม่มีอุณหภูมิสูง แต่ก็ให้ความรู้สึกน่ากลัว
หม้อนี้ถูกทิ้งไว้โดยภูตผีเสื้อโอสถ แม้เปลวไฟจะลุกโชนมาเนิ่นนาน แต่หากไม่มีวิธีที่เหมาะสม แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็กลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อสัมผัสกับมันได้
เมื่อมองไปที่หม้อกลั่น เวินชิงเฉวียนก็หายใจเข้าลึกสุดปอด จากข้อมูลที่รวบรวมมา มรดกของภูตผีเสื้ออยู่ในหม้อกลั่นนี้ ดังนั้นถ้านางต้องการได้ก็ต้องโยนตัวเองเข้าไปในหม้อ
แต่ชัดเจนว่านี่เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง
รัศมีความตายที่เอิบอาบออกมาจากหม้อกลั่นขนาดใหญ่สามารถเผาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มกลายเป็นเถ้าถ่านได้ ไม่ต้องพูดถึงระดับนางเลย
เวินชิงเฉวียนกัดฟันกำมือแน่น ความลังเลเคลื่อนอยู่ในนัยน์ตา แต่ไม่นานก็ถูกนางระงับ
การแสดงออกเด็ดเดี่ยวเผยบนใบหน้า
หากนางต้องการได้รับมรดก ก็เป็นธรรมชาติที่ต้องยอมสูญเสียบางอย่าง หากนางไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนั้น ทำไมจึงสมควรได้รับมรดกเล่า?
เมื่อคิดได้ เวินชิงเฉวียนก็ไม่ลังเลอีกต่อไป นางส่งแรงไปที่ฝ่าเท้าโผทะยาน ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในหม้อกลั่นขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเปลวไฟที่น่าสะพรึงกลัวภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคน
แม้ว่ามู่เฉินจะเดาได้ว่านี่เป็นวิธีที่จะได้รับมรดก แต่เขาก็ยังรู้สึกกังวลกับเวินชิงเฉวียนอยู่ในใจ เพราะด้วยความผิดพลาดเล็กน้อยนางอาจถูกเผาเป็นเถ้าถ่านได้
ในเวลานี้ที่ทำได้คืออธิษฐานว่าเวินชิงเฉวียนเลือกหนทางถูกแล้ว
หวู่ทงที่อยู่ในคุกน้ำก็ยืนขึ้น มองไปที่เวินชิงเฉวียนที่โยนตัวเองเข้าไปในหม้อกลั่นขนาดใหญ่ ความคาดหวังที่แปลกประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตา
“เวินชิงเฉวียน อย่าทำให้ข้าผิดหวังซะล่ะ”
บทที่ 1306 ประจัญบานในถ้ำ
“ปล่อยพวกมันไว้กับเจ้าหรือ?”
เวินชิงเฉวียน เวินจื่อหยู่และคนอื่นๆ มองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินที่ไม่ออกหน้ามาตลอดทาง จะขอจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสองคนนี้เอง
ตอนนี้เขามีขุมพลัตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้นนะ!
“เจ้าไหวเหรอ?” เวินชิงเฉวียนอดไม่ได้ที่จะถาม แม้ว่านางจะรู้ว่ามู่เฉินซ่อนความแข็งแกร่งไว้ แต่อย่างมากนางก็คิดว่ามู่เฉินสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้เท่านั้น แต่นางไม่คิดว่าเขาจะสามารถปะทะกับสองคนได้
“อย่าถามคำถามแบบนี้กับผู้ชาย” มู่เฉินยิ้มล้อเล่น
เวินชิงเฉวียนอึ้งไปก่อนที่ใบหน้าจะเห่อแดง นางจ้องมู่เฉินเขม็ง “อยากตายรึไง!”
มู่เฉินยิ้ม หลังจากคลายความตึงเครียดในกลุ่มแล้ว เขาก็มองไปที่หลิงซี “พี่หลิงซี ข้าจะทิ้งหวู่ทงไว้กับเจ้าเป็นการชั่วคราว แค่ขัดขวางเขาไว้ก็พอ”
หวู่ทงทรงพลังมากกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั่วไป บางทีแม้ว่าหลิงซีจะเคลื่อนไหว แต่นางก็ไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ด้วยความเชี่ยวชาญทางด้านค่ายกล ไม่น่าจะลำบากถ้าแค่ขัดขวางไว้
“ได้เลย” หลิงซีพยักหน้า แสงหลิงกะพริบในมือพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้น
“งั้นต่งซันข้าจัดการเอง!” เวินจื่อหยู่กล่าว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของต่งซันตอนที่อยู่ในขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เวลานี้ด้วยวิชาขยายสายเลือดจากเวินชิงเฉวียน เขาก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าแล้ว
“ลั่วหลี เจ้านำพรรคพวกคนอื่นๆ เข้าจัดการพวกเขาที่เหลือ”
ลั่วหลีพยักหน้า นอกเหนือจากหวู่ทง ต่งซันและองครักษ์เงาทั้งสองคนแล้ว คนที่เหลือก็มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น ซึ่งพวกเขาสามารถจัดการได้
“งั้นลุยเลย!”
หลังจากเลือกคู่ต่อสู้กันแล้ว มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ดวงตาที่ยิ้มแย้มในตอนแรกก็คมชัดขึ้น ในวินาทีต่อมาก็ทิ้งเงาไว้ด้านหลังขณะที่ทะยานออกไป
เขาตบลงบนอากาศ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ห่อหุ้มองครักษ์เงาสองคนไว้
“รนหาที่ตาย กล้าที่จะสู้กับองครักษ์เงาสองคนด้วยตัวคนเดียวเรอะ?” หวู่ทงอึ้งไปก่อนที่รอยยิ้มเย้ยหยันจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า
องครักษ์เงาทั้งสองไม่มีอารมณ์ใดๆ พวกเขามีเพียงสัญชาตญาณในการฆ่า ช่วงเวลาที่ต่อสู้ เว้นแต่พวกเขาจะฉีกทึ้งฝ่ายตรงข้ามเป็นชิ้นๆ ไม่อย่างนั้นพวกเขาไม่หยุดฆ่าแน่นอน
เผชิญหน้ากับเครื่องจักรสังหารเหล่านี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังขยาด แต่มู่เฉินกำลังจะปะทะกับสองคนนี้ด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ในสายตาของหวู่ทงนี่เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ
ต่งซันก็ส่ายหน้าอย่างสังเวช ตอนแรกเขาตั้งใจจะจับมู่เฉิน ทรมานให้จนรู้สึกว่าตายดีกว่าอยู่ แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ แม้แต่ศพก็คงไม่เหลือไว้ต่างหน้า
โฮก!
เมื่อคลื่นหลิงของมู่เฉินห่อหุ้มองครักษ์เงาทั้งสอง พวกเขาก็รู้สึกถูกแรงดึงดูด เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าเปล่งออกมาพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงระเบิดออกอย่างรุนแรง
ตู้ม!
ทั้งสองพุ่งออกมาราวกับสัตว์อสูรดุร้ายกระโจนใส่มู่เฉินอย่างไม่เกรงกลัว หากร่างถูกปะทะละก็ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ต้องกระอักเลือดถอยกลับ
เผชิญหน้ากับการพุ่งเข้าชนจากองครักษ์เงา มู่เฉินที่พุ่งเข้ามาก็หยุดชะงักก่อนจะถอยหนี ชัดว่าตั้งใจจะหลบการปะทะนี้
โฮก!
องครักษ์ทั้งสองก็ตามโรมรันพันตู แต่ละคนควงกำปั้น คลื่นหลิงสีแดงเข้มข้นพร้อมกับไอสังหารหนาแน่นพุ่งเข้าใส่มู่เฉิน
ภายใต้การโจมตีที่ดุร้ายนี้ มู่เฉินก็ถอยอย่างต่อเนื่อง
เมื่อหวู่ทงและต่งซันเห็นว่ามู่เฉินถอยหนีจ้าละหวั่น รอยยิ้มเย้ยหยันก็กระจายบนใบหน้าหนาแน่นขึ้น ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามู่เฉินจะมีความสามารถจากการโม้ไว้บ้าง แต่การตัดสินจากสถานการณ์นี้เขาบ่มิไก๊เลยทีเดียว
“กำจัดพวกมันซะ”
หวู่ทงโบกมือเบาๆ สายตามองเวินชิงเฉวียนและคนอื่นๆ แบบไม่แยแส
ตู้ม!
ที่ข้างหลัง ทั้งสองกลุ่มระเบิดคลื่นหลิงทรงพลังออกมา อึดใจร่างเงาก็ทะยานเข้าใส่พวกเวินชิงเฉวียน
“มู่เฉินไหวแน่ใช่ไหม?” เวินชิงเฉวียนมองไปที่มู่เฉินซึ่งกำลังถอยหนีพร้อมกับสายตาเป็นห่วง
“วางใจเถอะ เขาไม่ใช่พวกฝืนตัวหรอก” ลั่วหลียิ้มบางก่อนจะพยักหน้าให้จอมยุทธ์ตระกูลเวิน ทันใดนั้นร่างหลายร่างก็โผทะยานออกไปเพื่อป้องกันการพุ่งเข้ามาของศัตรู
“หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดกับพี่มู่นะ” เวินจื่อหยู่ถอนหายใจ ตอนนี้ถึงเขาต้องการช่วยมู่เฉินก็ไม่สามารถทำเช่นนั้น
ดังนั้นเขาจึงได้แต่ตั้งสมาธิพุ่งตัวออกไปปรากฏที่เบื้องหน้าต่งซันเพื่อปิดกั้นอีกฝ่าย
“เฮ้ แกเนี่ยนะ? ที่คิดจะขัดขวางข้า?!” เมื่อต่งซันเห็นเวินจื่อหยู่ก็แสยะยิ้มชั่วร้ายพร้อมกับไอสังหารหนาแน่นพลุ่งพล่านออกมาจากร่างกาย ทำให้บรรยากาศโดยรอบค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็ง
ท่องยุทธภพรอบๆ แดนเซิ่งยวนมาหลายปี ต่งซันสู้รบปรบมือมานับครั้งไม่ถ้วน ในฐานะจอมยุทธ์ที่มีประสบการณ์การต่อสู้กว้างขวาง เขาไม่กลัวผู้เชี่ยวชาญธรรมดาๆ หรอก
แต่เวินจื่อหยู่ก็เป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดจากตระกูลเวิน ดังนั้นเขาจึงเริ่มหมุนเวียนคลื่นหลิงไร้ขอบเขตในร่างกายด้วยท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน ก่อนที่จะกำมือกระบี่ยาวสีดำก็ปรากฏขึ้น ใบมีดถูกแกะสลักด้วยอักขระโบราณที่กำจายรัศมีคมชัด
กระบี่ยาวนี้คืออาวุธมหสวรรค์ขั้นสูง!
กระบี่ปรากฏในมือของเวินจื่อหยู่ ท่าทางเขาก็ค่อยๆ สงบลง ดวงตาราวกับใบมีดคมจับจ้องที่ต่งซัน
“หึ!”
ต่งซันเค้นเสียงเย็นพร้อมกับม่านตาหดลง อาวุธมหสรรค์ขั้นสูงไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นบ่อยนัก แม้กระทั่งเขายังไม่ได้เป็นเจ้าของหลังจากต่อสู้มานานหลายปี ทำให้รู้สึกว่าพวกที่มาจากพื้นเพยิ่งใหญ่ ช่างขวางหูขวางตาเสียจริง
เขากำมือแน่น ดาบสีแดงเข้มที่เต็มไปด้วยไอสังหารและกลิ่นคาวเลือดก็ปรากฏขึ้นในมือ ดาบนี้ก็เป็นอาวุธมหสรรค์เช่นกัน เพียงแต่ว่าอยู่ในขั้นกลางเท่านั้น
วาบ!
ต่งซันถือดาบจังก้าที่เบื้องหน้าเวินจื่อหยู่พร้อมกับรังสีสังหารไร้ขอบเขตพล่านตามมา จากนั้นก็ฟันลงเต็มแรง
เวินจื่อหยู่ใช้กระบี่ตั้งรับการโจมตีทันที อึดใจก็ปลดปล่อยพายุคลื่นหลิงรุนแรงอันแปรปรวนพุ่งเข้าปะทะ
“เจ้าเป็นคู่ต่อสู้ของข้าเหรอ?”
เมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้นทุกจุด หวู่ทงก็มองหลิงซีตายิ้มหยี “อา…สาวงามตัวจริง เอาแบบนี้ตระกูลเวินเสนอให้เท่าไร? ข้าจะจ่ายให้เป็นสองเท่าเลย”
ตอบสนองต่อคำพูดเยาะเย้ยนั่น หลิงซีก็ยิ้มบาง “เจ้าลองเสนอราคาที่น่าดึงดูดออกมาสิ?”
หวู่ทงหัวเราะเบาๆ แต่ในวินาทีต่อมาดวงตาก็เย็นชาลง เงาของเขาพุ่งออกไปพร้อมกับหมัดเหวี่ยงออกมา คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตได้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นกำปั้นขนาดใหญ่ซัดใส่หลิงซี
“ให้เวลากับพวกหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน แกคิดว่าข้าโง่นักเรอะ?”
หวู่ทงเป็นคนฉลาด อ่านความคิดของหลิงซีออกทันที เหล่าหลิงเจิ้นซือต้องใช้เวลาในการเตรียมค่ายกลทรงพลังเมื่อพวกเขาต่อสู้
หมัดทะยานออกมา ทว่าหลิงซีก็ยังคงมีท่าทางสงบ นางแตะปลายนิ้วขึ้นอย่างเงียบๆ มิติบิดเบี้ยวที่เบื้องหน้า อึดใจค่ายกลก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กลายเป็นแม่น้ำคลื่นหลิงปะทะกับกำปั้นคลื่นหลิง
ปัง!
ความปั่นป่วนครั้งใหญ่กระจายออก แม่น้ำสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ทว่าน้ำในแม่น้ำก็ยึดติดหมัดเอาไว้ ทำให้หมัดละลายอย่างรวดเร็ว
“ค่ายกลเก้ามังกรธารา!”
ตราประทับในมือหลิงซีเปลี่ยนแปลงวูบไหว แม่น้ำคลื่นหลิงก็พวยพุ่งเพิ่มสูงขึ้นพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งเปล่งประกายบนท้องฟ้า ก่อร่างเป็นค่ายกลลึกซึ้ง
โฮก!
เสียงคำรามของมังกรดังก้อง มังกรธาราเก้าตัวพุ่งเข้าหาหวู่ทง
“หึ!”
หวู่ทงเค้นเสียงเย็น ฝ่ามือทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน ก่อนที่เขาจะผลักออกไป
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม ฝ่ามือสงครามศักดิ์สิทธิ์!”
ฮึ่ม!
ฝ่ามือสีทองทั้งเก้าซัดออกมา แล้วตบลงเบาบนมังกรธาราทั้งเก้า พลังอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดออก ขณะที่คลื่นพลังถูกลดระดับกลายเป็นหมอก
“แกกล้าใช้ค่ายกลระดับนี้ต่อหน้าข้าเหรอ?” หวู่ทงเค้นเสียงเย็นชา
“งั้นเหรอ?”
หลิงซียิ้ม จากนั้นก็เริ่มวาดตราประทับซับซ้อนวูบไหว ในเวลาเดียวกันหวู่ทงก็ตระหนักได้ว่ามังกรธาราที่เขาเพิ่งทำลายกลายเป็นผนึกสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วน
พวกมันรวมเข้ากับมิติอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่น่าตกใจ กลายเป็นค่ายกลน้ำสีดำทะมึน
ค่ายกลนี้ราวกับคุกน้ำครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด ดักจับหวู่ทงไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด
“ค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง ค่ายกลคุกน้ำอันธการ!”
ตู้ม!
ขณะที่มู่เฉินถอยออกไปต่อเนื่ององครักษ์เงาคนหนึ่งก็สามารถเข้ามาใกล้ได้พร้อมกับกำปั้นราวกับเส้นแสงซัดใส่หัวของมู่เฉิน
ม่านตาสีดำของมู่เฉินเปล่งประกายด้วยผลึกแก้วใส เจดีย์ปรากฏขึ้น คลื่นหลิงในร่างกายปะทุขึ้นโดยที่ไม่ยับยั้ง
ปัง!
กำปั้นโยนออกไป เขาเลือกที่จะปะทะซึ่งหน้า
มิติแตกสลายเมื่อเกิดการสัมผัสกัน องครักษ์เงาถอยห่างออกไปหลายก้าว ส่วนมู่เฉินถอยออกไปสิบกว่าก้าวพร้อมกับกำปั้นของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ
ตู้ม!
ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวที่ด้านหลัง องครักษ์เงาอีกคนปรากฏขึ้นก่อนที่เขาจะรู้ตัว เล็งไปทางด้านหลังของหัวใจมู่เฉิน
แต่คราวนี้เขาไม่คิดจะถอยแล้ว รอยยิ้มเย็นๆ กลับผุดขึ้นบนริมฝีปาก
มือยื่นออกมา จากนั้นก็วาดตราประทับก็วาดขึ้นใส่องครักษ์เงาคนนั้น
ครืน!
มิติระเบิดออกมาพร้อมกับเกลียวแสงสีแดงนับไม่ถ้วน สัญลักษณ์หลิงยิ่งพริบพราวสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าบนท้องฟ้าดูราวกับมหาสมุทรเพลิง อุณหภูมิที่น่ากลัวโหมกระหน่ำ
มิติสีแดงเข้มห่อหุ้มไว้ร่างองครักษ์เงาไว้พอดี
มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นขณะที่สายตาจ้องไปที่องครักษ์เงาที่เปล่งรัศมีดุเดือด เสียงดังเปล่งออกมาจากปากเขา
“ค่ายกลเพลิงทะยาน!”
ปัง!
มิติก่อตัวเป็นโลกลาวาพร้อมกับเงามหึมาลอยขึ้นช้าๆ ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตอันตรายที่สุดในโลกที่เกิดจากภูเขาไฟ
บทที่ 1305 เผยไพ่ตาย
ในถ้ำขนาดใหญ่
ทันทีที่ทั้งสองกลุ่มประจันหน้ากัน ดวงตาแต่ละคู่ก็กลายเป็นสีแดงก่ำ อึดใจรังสีสังหารก็เริ่มระเบิดออกมาทำให้อุณหภูมิในถ้ำลดลง
รังสีสังหารกวาดตัวขึ้นราวกับพายุในถ้ำ
“ฮ่าๆ เส้นทางของศัตรูช่างแคบจริง ไอ้เวร แกยังกล้าที่จะยืนขวางหน้าข้าอีกเรอะ?” ต่งซันก้าวออกมา ขณะที่จ้องไปที่มู่เฉิน เวินชิงเฉวียนและคนอื่นๆ เสียงหัวเราะน่ากลัวก็แผดออก
“บางคนวิ่งหางจุกตูดเป็นหมาจรจัด ยังกล้าทำหยิ่งผยองตอนนี้ด้วยเหรอ?” เวินชิงเฉวียนหัวเราะเยาะเย้ยตอบ
“แก!”
ต่งซันเบิกตากว้างขณะจ้องเวินชิงเฉวียน รังสีสังหารในดวงตาดูเหมือนจะกลั่นออกมาได้
ทว่าเผชิญหน้ากับรังสีสังหารนี้ คนอย่างเวินชิงเฉวียนก็ไม่สน นางเลื่อนสายตาเย็นชาจับจ้องคนที่ด้านข้างต่งซันที่มีผมสีแดงเพลิง
“หวู่ทง การกระทำของตระกูลหวู่สกปรกเหมือนเคย ตอนนั้นพวกแกก็ขโมยข้อมูลเกี่ยวกับมรดกจากตระกูลเวิน ตอนนี้แกยังขายพวกข้าให้กับคนอื่นอีก” เวินชิงเฉวียนเค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก
หวู่ทงที่มีเรือนผมสีแดงเพลิงยิ้มกว้าง “สงครามไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ตระกูลเวินไม่สามารถปกป้องข้อมูลได้เอง ก็อย่าโทษคนอื่นที่ขโมยมาได้สิ”
“นอกจากนี้ในเมื่อเป็นคู่แข่งกันอยู่แล้ว การใช้กลก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”
พูดถึงตรงนี้เขาก็มองไปที่กลุ่มมู่เฉินด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าเองก็หาผู้ช่วยเหลือมาไม่ใช่เหรอ? แม้สุดท้ายเจ้าจะรู้ว่าสิ่งนี้ช่างไร้ประโยชน์…”
“สามหาว!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูถูกมู่เฉิน ดวงตาของหลงเซี่ยงก็เปล่งประกายด้วยความโกรธ ขณะที่เขาต้องการจะสวนกลับก็ต้องหยุดปากลงโดยมู่เฉิน สายตาของมู่เฉินมองไปที่หวู่ทง รู้สึกถึงมหาสมุทรคลื่นหลิงของอีกฝ่ายปลดปล่อยความกดดันทรงพลังซึ่งทำใหมิติสั่นสะเทือนเลยทีเดียว
เห็นได้ชัดว่าหวู่ทงนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มของแท้
พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับแนวร่วมซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มมือสังหารปีศาจและกลุ่มตระกูลหวู่ มองจากภายนอกอีกฝ่ายมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มถึงสองคน
ส่วนด้านพวกเขามีหลิงซีที่เป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนบวกกับหลงเซี่ยงและเวินซื่อหวู่ซึ่งเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มสองคน
ดังนั้นเมื่อดูจากภายนอก ชัดว่าการรวมตัวของอีกฝ่ายทรงพลังมากกว่าพวกเขา
เวินชิงเฉวียนก็ตระหนักเรื่องนี้เช่นกัน แต่นางไม่กลัว เห็นชัดว่านางเตรียมไพ่ตายเอาไว้แล้ว…
เวินชิงเฉวียนสาดท่าทางเย็นชาไม่คิดจะพูดกับหวู่ทงให้เปลืองน้ำลาย นางมองไปที่ส่วนลึกของถ้ำก็เห็นหม้อกลั่นทองแดงที่ดูงดงามราวกับผีเสื้อบนแท่นประหนึ่งมีไฟลุกโชนอยู่ข้างใน
“มู่เฉินหม้อกลั่นนั้นถูกทิ้งไว้โดยภูตผีเสื้อโอสถ ภายในมีมรดกอยู่ หากเราได้รับก็จะสามารถสืบทอดทักษะการเล่นแร่แปรธาตุของนางได้”
“โอ้?”
มู่เฉินมองไปที่หม้อกลั่นทองแดงด้วยความประหลาดใจ แต่เขาไม่ได้ถูกล่อลวงมากนักเนื่องจากตัวเขาไม่ได้สนใจการกลั่นยาพวกนี้ นอกจากนี้เขาก็ไม่มีพลังพอจะไปมุ่งเน้นกับเส้นทางอื่นอีกแล้ว
“ข้าต้องการได้รับมรดกของภูตผีเสื้อโอสถ” เวินชิงเฉวียนตอบอย่างจริงจัง
หัวใจของมู่เฉินกระตุกพลางหันขวับไปมองหญิงสาว “เจ้าได้ฝึกวิธีการเล่นแร่แปรธาตุงั้นเหรอ?”
“ฮ่าๆ ชิงเฉวียนเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลเวินตอนนี้ หากนางสามารถได้รับมรดกของภูตผีเสื้อโอสถ ความสำเร็จในอนาคตของนางอาจเปรียบเทียบได้กับเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเลย” เวินจื่อหยู่ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
มู่เฉินประหลาดใจไป เวินชิงเฉวียนไม่มีท่าทางจะเข้าสู่เส้นทางนี้ในอดีตเลย แต่ไม่คิดว่านางจะประสบความสำเร็จลึกซึ้งบนเส้นทางหนึ่ง เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้ง
แต่เขาก็ประหลาดใจไปเพียงช่วงสั้นๆ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังเลือกฝึกฝนในศาสตร์จั้นเจิ้นซือเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เวินชิงเฉวียนจะกลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ
“ถ้าเจ้าต้องการก็ได้ตามนั้น” มู่เฉินยิ้มอ่อนพลางพยักหน้าให้ ไม่มีใครในที่นี้ที่รู้จักการเล่นแร่แปรธาตุ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์แม้ว่าพวกเขาจะได้รับไปก็ตาม
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินตกลงจะมอบมรดกล้ำค่าให้โดยไม่ลังเล สายตาของเวินชิงเฉวียนก็กระเพื่อมไหว แม้แต่เวินจื่อหยู่และจอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตระกูลเวินก็มองมาด้วยความขอบคุณ เพราะถ้าเป็นกลุ่มอื่นที่มาร่วมอาจตีกันเพราะเรื่องแบ่งมรดกไม่เท่ากันแล้ว
“ขอบใจนะ”
เวินชิงเฉวียนกล่าวขอบคุณก่อนจะพูดต่อ “แต่ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าขาดทุนเด็ดขาด เราจะแบ่งเม็ดยากันแปดต่อสอง เจ้าจะได้แปดส่วน พวกข้าจะเอาแค่สองส่วนเท่านั้น”
ก่อนหน้าพวกเขาตกลงแบ่งกันครั้งต่อครึ่ง แต่เวินชิงเฉวียนเพิ่มให้อีกสามส่วนเพื่อชดเชยให้กลุ่มมู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้าไม่ได้ปฏิเสธ ตัวเขารู้นิสัยภาคภูมิใจของเวินชิงเฉวียนดี หากปฏิเสธก็คงทำให้นางรู้สึกไม่พอใจ
“โอ้โห ถึงกับแบ่งการเก็บเกี่ยวต่อหน้าข้า เวินชิงเฉวียน เจ้าไม่ร้อนใจไปหน่อยหรือ?” เสียงล้อเลียนของหวู่ทงดังขึ้นขณะที่มองเวินชิงเฉวียนด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ฝั่งเจ้ามีหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนหนึ่งคนและจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มสองคน แค่อยู่รอดในวันนี้ได้ก็โชคดีแล้ว ยังคิดจะแตะสมบัติอีกเรอะ?” ต่งซันพูดขึ้นอย่างร้ายกาจ
“รีบไม่รีบ เดี๋ยวได้รู้กันเมื่อสู้!”
เวินชิงเฉวียนพูดอย่างเย็นชา มือประสานเข้าด้วยกัน พริบตาแสงสีแดงเข้มก็พวยพุ่งขึ้นจากร่างกายของนาง
“ทักษะสายเลือด ขยายสายเลือด!”
เวินชิงเฉวียนกัดปลายลิ้น พ่นเลือดกลั่นออกมาเต็มปาก อึดใจลำแสงสีแดงเข้มหลายสายก็แทงเข้าไปในลำคอของจอมยุทธ์ตระกูลเวิน
ตู้ม!
ทันใดนั้นดวงตาของเวินจื่อหยู่ก็พร่างพราวด้วยแสง ขณะที่คลื่นหลิงผันผวนในร่างกายเพิ่มขึ้น ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ เขาก็ทะลุผ่านเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว
นอกจากนี้จอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตระกูลเวินก็มีพลังเพิ่มขึ้นเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้าถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างเวินจื่อหยู่ แต่พลังของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเกือบห้าส่วนเลยทีเดียว
วิธีการของเวินชิงเฉวียนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับจอมยุทธ์ตระกูลเวินอีกขั้น!
เผชิญหน้ากับฉากนี้ ใบหน้าของหวู่ทงและต่งซันก็เปลี่ยนไป แม้แต่พวกมู่เฉินก็จ้องมองไปที่เวินชิงเฉวียนด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่านางจะมีไพ่ตายแบบนี้ซ่อนอยู่…
“ทักษะสายเลือด?”
ลั่วหลีอดอุทานขึ้นมาไม่ได้ ความสามารถพิเศษนี้เกิดจากสายเลือดของคนคนหนึ่ง แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่มีความสามารถในการโจมตี แต่ก็มีประโยชน์ในแง่ของการสนับสนุน
แต่โอกาสของทักษะสายเลือดที่จะปรากฏนั้นหายากมาก ยิ่งกว่านั้นก็ใช้งานได้เฉพาะกับกลุ่มที่มีสายเลือดเดียวกัน ดังนั้นนี่จึงหายากมากในมหาพันภพ
“ไม่น่าแปลกใจที่เวินชิงเฉวียนมีฐานะสูงส่งในตระกูลเวิน แม้ว่านางจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น กระทั่งเวินจื่อหยู่ก็ยังต้องฟังคำสั่งของนาง” มู่เฉินเข้าใจความจริงข้อนี้ทันที
ช่วงเวลานี้เขาก็ตระหนักได้ว่าทำไมเวินชิงเฉวียนจึงไม่กลัวพวกหวู่ทง ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพผ่านทักษะในตัวนาง ทำให้กลุ่มของนางแข็งแกร่งขึ้นอีกระดับ
อย่างน้อยด้วยวิธีนี้เวินจื่อหยู่ก็มีพลังในการเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว
หลังจากเผยทักษะสายเลือดออกมา ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนก็ดูซีดเซียวลง ชัดว่าการใช้ทักษะดังกล่าวทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของนางด้วย
“มิน่าพวกผู้อาวุโสในตระกูลถึงพูดว่าตราบใดที่ตระกูลเวินมีเวินชิงเฉวียน พวกเขาจะสร้างชื่อเสียงเลื่องลือในหมู่ขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ เพราะเจ้ามีทักษะสายเลือดติดตัวนี่เอง…” ยามนี้สายตาของหวู่ทงเย็นเยือกลงด้วยความตั้งใจฆ่าวูบไหวในดวงตา แม้ว่าทักษะสายเลือดจะไม่ให้ประโยชน์อะไรกับนางมากนัก แต่สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มตัวเองได้
และในการต่อสู้ใหญ่ การเพิ่มขึ้นเช่นนี้จะทำให้ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น
“แต่น่าเสียดาย… วันนี้หงส์ฟ้าตระกูลเวินจะต้องถูกเด็ดปีกฝังอยู่ในสุสานนี้!”
พูดจบ คนสวมชุดสีเทาสองคนที่อยู่ข้างๆ หวู่ทงก็ก้าวออกมา เสื้อผ้าของพวกเขาฉีกออกเป็นชิ้นๆ ทำให้เห็นร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยอักขระโบราณ ซึ่งดูราวกับโซ่ร้อยเข้าไปในเนื้อและกระดูกของทั้งสอง
ดวงตาของทั้งสองเปลี่ยนเป็นแดงฉานโดยไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ พวกเขาราวกับสัตว์อสูรกำลังคำรามเสียงก้องลำคอ อักขระบนพื้นผิวร่างกายก็เปล่งประกายเงาสีแดงเข้ม
แกร็ก
ร่างกายของพวกเขาเริ่มขยายขนาดด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ จากนั้นไม่กี่ลมหายใจก็ราวกับยักษ์สองตัวยืนจังก้าในถ้ำ ความผันผวนของพลังงานรุนแรงกำจายจากร่างกาย
เมื่อพิจารณาจากคลื่นพลัง พวกเขาก็มาถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว!
“เพื่อขุมทรัพย์นี้ ข้าได้นำองครักษ์เงาชั้นแนวหน้ามาด้วย แม้ว่าพวกเขาจะหมดสมรรถภาพหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ก็คุ้มค่ากับมรดกที่จะได้รับ”
มองไปที่เวินชิงเฉวียน หวู่ทงก็คลี่ยิ้มร้ายกาจ “นอกจากนี้ยังมีหงส์ฟ้าของตระกูลเวินที่จะถูกฝังไว้กับพวกเขาด้วย”
ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนและเวินจื่อหยู่เปลี่ยนไป คู่ต่อสู้ของพวกเขาแข็งแกร่งไป มองมุมนี้อีกฝ่ายมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มถึงสี่คนเลยทีเดียว!
ดูท่าตระกูลหวู่จะยอมจ่ายราคาแพงระยับสำหรับมรดกนี้จริงๆ
“สถานการณ์ไม่สู้ดี พวกเราถอยก่อน” เวินชิงเฉวียนสูดหายใจเข้าลึกๆ หันไปพูดกับพวกมู่เฉิน แม้ว่ามรดกจะมีค่า แต่ชีวิตก็สำคัญกว่า
มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว สายตามององครักษ์เงาที่เปล่งคลื่นรุนแรง ก่อนจะกำมืออย่างช้าๆเปล่งเสียงออกมา
ทว่าคำพูดของเขาทำให้พวกเวินชิงเฉวียนตกใจไปเลยทีเดียว
“ปล่อยองครักษ์เงาสองคนนั่นให้ข้า ชิงเฉวียน เจ้ามองหาโอกาสคว้ามรดกมาซะ”
บทที่ 1304 คว้าเม็ดยา
“เม็ดยาเซิ่งหลิง!”
มู่เฉินจ้องมองไปที่อสูรโอสถมังกรด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าภูตผีเสื้อโอสถจะลงทุนเพียงนี้ ใช้เม็ดยาเซิ่งหลิงมีค่าเป็นดวงตาของอสูรโอสถ
จากการประเมินของมู่เฉิน เม็ดยาเซิ่งหลิงสองเม็ดน่าจะมีมูลค่าอย่างน้อยแปดสิบล้านในการประมูล ในเวลานั้นคงมีแต่เทพเซียนที่รู้ว่าจะมีคนแบบหลงเซี่ยงและเวินจื่อหยู่เท่าไรที่จะแย่งชิงกัน
ตอนนี้เวินจื่อหยู่และหลงเซี่ยงดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานแล้ว หากไม่ใช่เพราะพวกเขากลัวอสูรโอสถมังกรที่อยู่ในขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มละก็ พวกเขาคงพุ่งตัวออกไปแล้ว
“ปล่อยอสูรโอสถมังกรไว้ให้หลิงซี พวกเราไปจัดการที่เหลืออีกเก้าตัวกัน” เมื่อมองแต่ละคนที่อดทนอดกลั้น มู่เฉินก็คลี่ยิ้ม
นี่เป็นงานง่ายสำหรับหลิงซีที่จะจัดการกับหุ่นเงาอสูรที่ไม่ค่อยมีปัญญามากนัก
“ใช้คนเก่งจริงๆ”
หลิงซีกลอกตาใส่มู่เฉิน แต่นางไม่ได้ปฏิเสธ จากนั้นก็ขยับตัวออกไปเบาๆ สัญลักษณ์หลิงยิ่งก็บินว่อนออกไปราวกับดวงดาว ก่อนที่จะรวมเข้ากับพื้นที่โดยรอบ
หลิงซีเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนตัวจริง ค่ายกลที่ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นไปอย่างราบรื่นพร้อมกับความงดงามที่แปลกประหลาด ยิ่งกว่านั้นเพียงไม่กี่อึดใจมิติที่เบื้องหน้านางก็บิดเบี้ยวกลายเป็นค่ายกลขนาดมหึมา ชั้นบรรยากาศภายในค่ายกลเหนียวแน่นเป็นพิเศษ คลื่นหลิงที่อยู่ในนั้นให้ความรู้สึกหนักราวกับภูเขา
หลังจากสร้างค่ายกลอย่างสมบูรณ์ หลิงซีก็โบกมือ ลำแสงหลิงก็ยิงเข้าใส่อสูรโอสถมังกร
โฮก!
อสูรโอสถมังกรคำรามเมื่อถูกโจมตี พายุรุนแรงกวาดตัวออกพุ่งเข้าใส่หลิงซี
ตู้ม!
อสูรโอสถมังกรไม่มีสติปัญญา ทำให้ไม่มีความคิดที่จะหลบหนีเมื่อเผชิญหน้ากับค่ายกล มีแต่พุ่งใส่ไม่ยั้ง
เมื่ออสูรโอสถมังกรเข้าไปในค่ายกล มันก็ต้องชะลอตัวลงทันที เนื่องจากแสงหลิงผันผวนในค่ายกลถักทอกลายเป็นบึงขนาดใหญ่ ยิ่งอสูรโอสถมังกรดิ้นรนบ้าคลั่ง พันธนาการก็แน่นขึ้น…แน่นขึ้น ผูกร่างอสูรโอสถมังกรไว้ในชั้นแถวแสง
ภายในเวลาเพียงไม่กี่สิบลมหายใจความเร็วของอสูรโอสถมังกรก็ช้าลงมากราวกับตกอยู่ในบึง
ถ้าเป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญาก็คงจะเริ่มคิดเกี่ยวกับวิธีการทำให้หลุดพ้น แต่อสูรโอสถมังกรได้แต่ระเบิดพลังน่ากลัวยิ่งขึ้นเพื่อดิ้นรนทำให้ยิ่งจมลึกลงไปในบึงใหญ่…
“นี่คือค่ายกลละหารวิญญาณซึ่งใช้สำหรับจัดการกับผู้ฝึกด้านพลังกาย เมื่อตกอยู่ภายใน ยิ่งดิ้นรนก็จะเกิดการพันธนาการแข็งแกร่งมากขึ้น ในเวลาเดียวกันบึงจะดูดซับคลื่นหลิงจนหมดและถูกจับได้ในที่สุด” เมื่อมองไปที่อสูรโอสถมังกร หลิงซีก็ยิ้มขณะที่อธิบายกับมู่เฉิน
“สมกับเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแท้จริง!”
มู่เฉิน ลั่วหลีและเวินชิงเฉวียนอุทาน หากเป็นการเผชิญหน้าตรงๆ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ต้องประสบกับการปะทะที่ดุเดือด ซึ่งอาจไม่สามารถได้รับชัยชนะสุดท้ายด้วย
แต่ตอนนี้หลิงซีทำให้อสูรโอสถมังกรไม่เป็นอันตรายอย่างง่ายดาย แม้ว่าจะเป็นการรังแกคนไม่มีสติปัญญา แต่ก็สามารถมองเห็นพลังของการเป็นหลิงเจิ้นจงซือได้
“เราก็มาเริ่มจัดการกันเถอะ”
มู่เฉินและคนอื่นๆ มองไปที่อสูรโอสถอีกเก้าตัว สัตว์อสูรเหล่านั้นมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่เป็นภัยคุกคาม หลังจากที่หลิงซีลงมือจัดการ พวกเขาก็เริ่มลงมือเช่นกัน
ตู้ม ตู้ม!
คลื่นหลิงรุนแรงกรีดร้องในตำหนักหิน การโจมตีที่ทรงพลังกวาดออก ทว่าความปั่นป่วนก็ใช้เวลาไม่นานก่อนที่อสูรโอสถทั้งเก้าแตกออก
มู่เฉินโบกมือ เม็ดยาสิบแปดเม็ดที่เต็มไปด้วยคลื่นหลิงก็หล่นลงไปในมือเขา
แม้ว่าเม็ดเหล่านี้จะไม่ได้ล้ำค่าเท่ากับเม็ดยาเซิ่งหลิง แต่ก็ไม่ได้เป็นของธรรมดา หากไปอยู่ในโรงประมูลของมหาพันภพ ทุกเม็ดก็มีมูลค่าของเหลวจื้อจุนหลักล้านเลยทีเดียว
มู่เฉินและเวินชิงเฉวียนไม่ได้ใส่ใจเม็ดยาพวกนี้มากนัก แต่ก็แบ่งกันคนละครึ่งตามที่สัญญากันไว้
กวาดอสูรโอสถในตำหนักหินซะเรียบ หลิงซีที่อยู่ด้านข้างก็เคลื่อนไหว อสูรโอสถมังกรที่ถูกมัดอยู่ในค่ายกลละหารวิญญาณก็เปลี่ยนเป็นสีจาง เคลื่อนไหวไม่ได้อีกต่อไป
เรียวนิ้วแตะออก เกลียวแสงหลิงก็วูบไหวที่ปลายนิ้ว อึดใจต่อมาคลื่นหลิงป่าเถื่อนก็รวมตัวในค่ายกลละหารวิญญาณ จากนั้นค่ายกลก็เริ่มเปลี่ยนไป
โลกสายฟ้าเข้ามาแทนที่บึงใหญ่ สายฟ้าหนาทึบปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ปะทะกับอสูรโอสถมังกร ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจอสูรโอสถมังกรก็ส่งเสียงคำรามเศร้าสลดก่อนที่จะแตกสลาย
มือบางกำเข้าหากัน เม็ดแสงสองเม็ดก็ลอยออกมาจากเศษซากพลิ้วลงในมือนาง ซึ่งก็คือเม็ดยาเซิ่งหลิงสองเม็ด
“ยอดเยี่ยม!”
มู่เฉินส่งเสียงยินดี ในฐานะหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน เขาสามารถบอกได้อย่างเป็นธรรมชาติว่าหลิงซีได้ใช้ค่ายกลโจมตีเคลื่อนไหวเข้าไปแทนที่ค่ายกลละหารวิญญาณ ซึ่งทำได้อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก นางแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันเต็มเปี่ยมของผู้สร้างค่ายกลชั้นสูงแท้จริง
หลิงซียิ้มบางตอบสนองต่อการชื่นชมของมู่เฉิน ก่อนจะส่งเม็ดยาเซิ่งหลิงให้หลงเซี่ยงกับเวินจื่อหยู่ที่ต้องการมากที่สุด
“ขอบใจมากแม่นางหลิงซี!” เวินจื่อหยู่รับเม็ดยาเซิ่งหลิงไว้ด้วยความยินดี ขณะที่ประสานกำปั้นอย่างสำนึกบุญคุณ
“ไม่เป็นไร!” หลิงซียิ้ม
“หลังจากออกจากที่นี่ พวกเจ้าค่อยมองหาที่ชำระเม็ดยาเพื่อบรรลุขุมพลัง” เวินชิงเฉวียนเตือนความจำ ด้วยอันตรายที่มีหากพวกเขาต้องการบรรลุขุมพลังอาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นได้ นอกจากนี้พวกนางก็ไม่มีเวลารอให้ทั้งสองคนเข้าสู่กระบวนการจนเสร็จสิ้นได้
เวินจื่อหยู่และหลงเซี่ยงก็รู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าระงับความตื่นเต้นในใจ ก่อนที่จะเก็บเม็ดยาเซิ่งหลิงไว้อย่างระมัดระวัง
“เราเดินทางต่อกันเถอะ ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกหวู่ทงอยู่ที่ไหนแล้ว” เวินชิงเฉวียนมองไปที่มู่เฉินและคนอื่นๆ พลางพูดขึ้น
“ได้เลย”
ทุกคนพยักหน้า เรื่องเร่งด่วนตอนนี้ก็คือเข้าถึงส่วนลึกสุดของถ้ำเพื่อสมบัติที่แท้จริง
เมื่อตัดสินใจ ทุกคนก็ไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ต่อไป ร่างกลายเป็นลำแสงทะยานออกจากตำหนักหิน
ออกจากตำหนักหิน มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็พุ่งไปตามทางเดินทอดยาว จุดสิ้นสุดของทางเดินก็ยังเป็นตำหนักหินอีกแห่ง แต่มีจำนวนอสูรโอสถึงสิบสองตัว
เมื่อมองสถานการณ์ ดูท่าเส้นทางที่ไปสู่ส่วนลึกสุดของถ้ำคงจะถูกขว้างด้วยตำหนักหิน และต้องผ่านไปทางนี้เท่านั้นถึงจะไปถึงเป้าหมายได้
เผชิญหน้ากับสิ่งกีดขวางนี้ มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็รู้สึกว่าช่วยไม่ได้ แต่อึดใจพวกเขาก็พุ่งเข้าหาอสูรโอสถโดยไม่หวั่นเกรง
ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ได้รับเม็ดยาจำนวนมากเมื่อเอาชนะ หากนำมารวมตัวกัน ของเหล่านี้จะเป็นทรัพยากรมีค่าทั้งสำหรับตระกูลเวินและตำหนักมู่
ด้วยความคิดนี้ ทุกคนก็รู้สึกว่าสิ่งกีดขวางเหล่านี้น่าชื่นชอบขึ้นมาทันที
ตลอดครึ่งวัน
กลุ่มมู่เฉินผ่านตำหนักหินสิบตำหนัก จำนวนอสูรโอสถก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้นเมื่อพวกเขาเดินผ่านตำหนักหินแห่งที่สิบ จำนวนของอสูรโอสถก็มีกว่าร้อยตัว และมีสี่ตัวที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
แต่โชคดีการมีหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนอย่างหลิงซี อสูรโอสถที่ไม่มีสติปัญญาก็เป็นเพียงโกดังเก็บเม็ดยาเซิ่งหลิงเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นเมื่อพวกเขาจัดการล้างตำหนักหินแห่งที่สิบซะสะอาดหมดจด ใบหน้าของหลิงซีก็ซีดลงเล็กน้อย ชัดว่าสูญเสียพลังไปมาก
หลังจากรวบรวมเม็ดยาทั้งหมดและแจกจ่ายให้ทุกคน แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกพอใจกับการเก็บเกี่ยวเม็ดยามีนับร้อยเม็ด
ราคาเม็ดยาเทพเหล่านั้นมีมูลค่ารวมเกินหลายร้อยล้านเลยทีเดียว ถ้าเขาสามารถเอาไปสนับสนุนตำหนักมู่ได้ ตำหนักมู่ก็จะเติบโตขึ้นอีกอย่างแน่นอน
“ไปต่อกันเถอะ!”
เมื่อทุกคนหายเหนื่อยแล้ว มู่เฉินก็เลียริมฝีปาก ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง หลังจากทราบถึงมูลค่าของเม็ดยาเหล่านั้น ตอนนี้เขาหวังว่าจะมีตำหนักหินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ชัดว่าเม็ดยาที่ถูกทิ้งไว้โดยภูตผีเสื้อโอสถในร่างของอสูรโอสถถือเป็นส่วนหนึ่งของมรดกด้วย…
คนอื่นๆ ก็มีดวงตาพร่ามัวจากพลังงานบริสุทธิ์ซึ่งเปล่งออกมาจากเม็ดยาเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง แต่จิตใจของพวกเขายังคงฮึกเหิม ทั้งกลุ่มก้าวออกจากตำหนักหินพร้อมที่จะอ้าแขนต้อนรับอสูรโอสถอีกครั้ง
ทว่าเมื่อพวกเขาก้าวออกจากตำหนักหินแห่งนี้ ทางเดินที่พวกเขาคาดถึงก็ไม่ปรากฏอีกต่อไป เบื้องหน้าถูกแทนที่ด้วยถ้ำหินปูนตะปุ่มตะป่ำขนาดใหญ่
ถ้ำหินปูนนี้กว้างใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ เต็มไปด้วยแสงหลิงที่ไร้ขอบเขตซึ่งดูเหมือนทางช้างเผือกที่ไม่มีที่สิ้นสุดส่องแสงระยิบระยับ
แต่เมื่อมองให้ละเอียด ก็จะพบว่าดวงดาวเหล่านั้นไม่ใช่ดวงดาว แต่เป็นเม็ดยา
เมื่อพวกมู่เฉินเห็นถ้ำหินปูนนี้ พวกเขาก็เข้าใจทันทีว่ามาถึงส่วนที่ลึกสุดของขุมทรัพย์โดยที่ไม่รู้ตัวแล้ว
ตึง!
แต่ขณะที่พวกเขารู้สึกตกตะลึงไป ประตูหินก็เปิดออกในมุมหนึ่ง มีกลุ่มคนอื่นเดินออกมา
ทั้งสองกลุ่มจ้องมองกันก็อึ้งไป ก่อนที่รังสีสังหารหนาแน่นจะฉายในดวงตาของทั้งสองฝ่าย
บทที่ 1303 อสูรโอสถ
“มีใครกำลังควบคุมยุงพวกนี้เรอะ?!”
เวินชิงเฉวียนและลั่วหลีถึงกับตกใจเมื่อได้ยินเสียงของมู่เฉิน ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนเย็นเยือกหลายส่วน “ต้องเป็นไอ้พวกตระกูลหวู่แน่ พวกมันต้องการหยุดเรา!”
“มีวิธีจับคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาไหม?” เวินจื่อหยู่มองไปที่มู่เฉิน หากปล่อยให้คนพวกนั้นอยู่ในที่ลับ ต่อให้พวกเขาจะสามารถผ่านทะเลยุงนี้ไปได้ ก็คงหมดพลังไปมากแน่
สายตาของมู่เฉินวูบไหวขณะที่มองทะเลยุง “ยุงเหล่านี้สื่อสารด้วยเสียง ผู้ควบคุมก็น่าจะใช้เสียงเพื่อควบคุมเช่นกัน”
“พี่หลิงซี เจ้าสามารถสร้างค่ายกลคลื่นเสียงได้ไหม?” มู่เฉินถามขณะที่มองไปที่หลิงซี
ค่ายกลส่วนใหญ่ในคลังแสงของเขาเป็นประเภทโจมตี ดังนั้นประสิทธิภาพจึงขาดไป ทว่าหลิงซีไม่เหมือนกันตัวนางมุ่งเน้นไปที่ค่ายกลตั้งแต่เริ่มฝึก ดังนั้นพื้นฐานของนางในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่มู่เฉินสามารถเปรียบเทียบได้
หลิงซีพยักหน้า เรียวนิ้วแตะออกไป สัญลักษณ์หลิงยิ่งก็รวมเข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็ว อึดใจค่ายกลงดงามก็ปรากฏที่เบื้องหน้าทุกคน
มีแสงสว่างปรากฏในค่ายกลราวกับกลอง
ตึง!
ขณะที่ค่ายกลหมุนคว้าง กลองก็สั่นสะเทือนราวกับฟ้าร้องดังขึ้นระหว่างฟ้าดิน ก่อนที่เสียงครางหึ่งๆ ของฝูงยุงจะถูกระงับจนหมด
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เมื่อเสียงกลองกระจายออก ฝูงยุงก็โกลาหลไปหมด เหล่ายุงที่ไร้ความกลัวเมื่อครู่ก็หยุดชะงัก พวกมันเริ่มแตกฉานซ่านเซ็นไปอย่างรวดเร็ว
“ไป!”
มู่เฉินคว้าโอกาสทะยานออกไปทันที
ตึง ตึง!
ขณะที่เสียงกลองดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็ทะยานผ่านทะเลยุงไป ไม่กี่นาทีต่อมาแสงสว่างก็เผยให้เห็นอีกครั้ง พวกเขาหลุดออกจากทะเลยุงได้ในที่สุด
เมื่อหันหน้ากลับไปมอง แต่ละคนก็เห็นฝูงยุงไม่มีที่สิ้นสุดกระจัดกระจายออกไป รูปลักษณ์ไม่ได้เป็นระเบียบอีกแล้ว
“มีคนควบคุมอยู่จริงด้วย” ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนเย็นเยือกลงกับภาพที่เห็น
ดวงตาของมู่เฉินมองลงไปที่ป่า ก่อนที่จะหันไปทางทิศเหนือ เขารู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานเบาบางอยู่ในทิศทางนั้น
ปัง!
ขณะที่มู่เฉินเพ่งสายตาไป ร่างเงานั่นก็ทะยานถอยไปในป่าพยายามหลบหนี
“คิดหนีเรอะ?!” สายตาของหลงเซี่ยงเฉียบคมขึ้น ขณะที่กระทืบฝ่าเท้าร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งออกไป
หลงเซี่ยงพุ่งเข้าไปในป่า ไม่นานความผันผวนของคลื่นพลังงานรุนแรงก็ระเบิดขึ้น ผ่านไปหลายสิบอึดใจ หลงเซี่ยงก็ลากร่างเงาสีเทาที่ดูปวกเปียกกลับมา แต่ดูท่าอีกฝ่ายสิ้นชีพไปแล้ว
“ชายคนนี้โหดเหี้ยมจริงๆ ตอนที่มันถูกข้าจับ มันก็เลือกฆ่าตัวตายด้วยพิษทันที” หลงเซี่ยงโยนศพออกไปพลางพูดด้วยความตกใจ
เห็นได้ชัดว่าการเลี้ยงดูนักรบเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่ขั้วอำนาจธรรมดาสามารถทำได้
“นี่คือองครักษ์เงาของตระกูลหวู่”
เวินชิงเฉวียนระบุตัวตนได้ทันที สายตาเย็นชามองไปที่ส่วนลึกของเทือกเขา “ข้ารู้ว่าครั้งนี้ตระกูลหวู่ส่งใครมาแล้ว”
“ใคร?” เวินจื่อหยู่ถามทันควัน
“หวู่ทง” เวินชิงเฉวียนเค้นเสียงเย็นชา “องครักษ์เงาระดับนี้มีค่าอย่างยิ่งแม้แต่ในตระกูลหวู่และมีไม่กี่คนที่สามารถสั่งการพวกเขาได้ หวู่ทงเป็นหนึ่งในนั้น”
“ไอ้เจ้านั่นเหรอ?!” ใบหน้าของเวินจื่อหยู่เปลี่ยนไปพร้อมกับริ้วแห่งความกลัว ชัดว่าเขาคุ้นเคยกับชื่อนี้ดี
“หวู่ทงเป็นจอมยุทธ์โดดเด่นที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ของตระกูลหวู่ มีข่าวลือว่าจะขึ้นเป็นประมุขตระกูลคนต่อไป ชายคนนี้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ฝึกขุมพลังมาหลายสิบปี ตอนนี้บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว แม้แต่ในตระกูลหวู่ เขาก็ยังอยู่ในอันดับต้นๆ นอกจากนี้ยังโหดเหี้ยม ไม่ง่ายที่จะรับมืออย่างยิ่ง” เวินชิงเฉวียนเอี้ยวหน้ามาอธิบายให้กลุ่มมู่เฉินฟัง
ทว่ามู่เฉินก็ทำเพียงพยักหน้าแบบสบายๆ เขาไม่เคยได้ยินชื่อหวู่ทงมาก่อน แต่ไม่ว่าจะจัดการยากแค่ไหน เขาก็จะสู้เหมือนเดิม
“ดูเหมือนตระกูลหวู่จะมุ่งมั่นที่จะรับมรดกภูตผีเสื้อโอสถ…”
เวินชิงเฉวียนเม้มริมฝีปากเปล่งเสียงออกมาว่า “แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ง่ายที่จะคว้าไปจากมือข้าเวินชิงเฉวียน!”
“ไปกันเถอะเราต้องรีบไปถึงขุมทรัพย์โดยเร็วที่สุด!”
เมื่อพูดจบนางก็ทะยานออกไป มู่เฉินและคนอื่นๆ ติดตามมา ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาที่เต็มไปด้วยหมอกพิษ
หลังจากพวกเวินชิงเฉวียนไปแล้ว เงาต้นไม้หนึ่งในป่าไม้เบื้องล่างก็บิดตัวก่อนที่จะกลายเป็นร่างพร่ามัว
ร่างเงานี้ห่อหุ้มด้วยรัศมีชั่วร้าย เพียงแค่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ต้นไม้นั้นก็เน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว
มากจนแม้แต่คลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินยังเคลื่อนไหวห่างจากบริเวณที่ร่างเงานี้อยู่
ดวงตาสีเทาคู่หนึ่งที่เปล่งประกายรัศมีแห่งความตายไม่มีที่สิ้นสุด มองไปในทิศทางของกลุ่มมู่เฉินก่อนจะหยิบโคลนกำหนึ่งยัดเข้าไปในปาก
ประกายแสงแปลกประหลาดวูบไหวในดวงตาสีเทา เสียงหัวเราะน่ากลัวระเบิดก้องป่า
“มีราชันปีศาจทิ้งร่างไว้ที่นี่จริงด้วย อร่อยเสียจริง…”
เขากระตุกยิ้มแปลกๆ จากนั้นก็หายเข้าไปในเงามืด
กลุ่มมู่เฉินเดินทางผ่านป่าไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงอันตรายของหมอกพิษในภูมิภาคนี้ว่าเป็นอย่างไร
หลังจากผ่านฝูงยุงมา พวกเขาก็เจอการโจมตีจากสัตว์พิษหลายสิบชนิด แต่ละชนิดก็เจ้าเล่ห์มาก ถ้าไม่ใช่ความจริงที่ว่าพวกเขาตั้งระวังมาตลอด งานนี้ต้องมีคนได้รับบาดเจ็บแล้วแน่
แต่โชคดีที่หลังจากประสบกับอันตรายทั้งปวง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงส่วนลึกของภูเขา
“ที่นั่นคือเป้าหมายของเราในครั้งนี้ขุมทรัพย์ภูตผีเสื้อโอสถ!”
เวินชิงเฉวียนชี้ไปที่ภูเขาที่อยู่ระยะไกล ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกละลายและก่อตัวเป็นถ้ำขนาดใหญ่ขึ้น
ถ้ำนี้มีรูปทรงเป็นผีเสื้อ นอกจากนี้ยังมีสีห้าสีที่แตกต่างกันพวยพุ่งออกมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นพื้นที่เพาะบ่มพลังที่ยอดเยี่ยมนัก
“หากที่นี่ไม่ได้อยู่ในแดนเซิ่งยวนโบราณ นี่จะเป็นสถานที่ที่ดีในการจัดตั้งสำนัก”
มู่เฉินมองไปที่ถ้ำ อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ ด้วยพื้นที่ที่ทรงคุณค่าบวกกับการป้องกันของหมอกพิษ นี่เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมในการเพาะบ่มขุมพลังอย่างแท้จริง
ลั่วหลีและเวินชิงเฉวียนพยักหน้าเห็นด้วย
“ในเมื่อเป้าหมายอยู่ตรงหน้าแล้ว เตรียมให้พร้อมที่จะเคลื่อนไหว”
เวินชิงเฉวียนถอนสายตาพลางมองไปที่กลุ่มมู่เฉิน เมื่อรอการตอบรับจากทุกคนจนครบ นางก็พยักหน้ากลายเป็นร่างแสงพุ่งเข้าไปในถ้ำขนาดใหญ่
เมื่อเข้าไปในถ้ำมู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ตระหนักว่าแสงที่นี่สว่างไสวยิ่งกว่าภายนอกมาก ถ้ำแห่งนี้ยังมีพื้นที่กว้างขวางมาก โดยมีอุโมงค์กระจายตัวอยู่ในส่วนลึกของถ้ำ
ทว่าทุกคนก็ไม่ได้แยกตัวจากกัน พวกเขากำหนดเส้นทางก่อนที่จะเคลื่อนลึกเข้าไปด้วยกัน
เส้นทางนี้มืดมิด เมื่อพวกเขาเดินทางเป็นเวลาสิบกว่านาที ที่ปลายอุโมงค์ก็ฉายภาพตำหนักหินในครรลองสายตา
สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนก็คือสัตว์อสูรหินสิบตัวซึ่งคอยปกปักเส้นทางราวกับผู้พิทักษ์
มู่เฉินและคนที่เหลือหยุดเดินหลังจากเห็นสัตว์อสูรทั้งสิบตัว แม้ว่าสัตว์อสูรหินเหล่านั้นจะไม่มีความผันผวนของพลังงาน แต่พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความพิเศษ
และก็เป็นตามที่พวกเขาเดาไว้ เมื่อพวกเขาหยุดการเคลื่อนไหวสัตว์อสูรหินก็ค่อยๆ เปิดดวงตา แสงระยิบระยับพลุ่งพล่านในดวงตา
โฮก!
เสียงคำรามดังก้องราวกับฟ้าร้องสะท้อนกังวานไปทั่วตำหนักหิน กวนตัวเป็นลมพายุออกมา
“นี่มัน…อสูรโอสถ?!”
เวินชิงเฉวียนร้องอุทาน สายตาของนางหรี่ลงเมื่อเห็นรูปปั้นหินเหล่านั้น
“อสูรโอสถ?” มู่เฉินอึ้งไป เขาไม่คุ้นเคยกับสิ่งนี้อย่างชัดเจน
“พวกมันเป็นหุ่นเงาชนิดหนึ่ง แต่สิ่งที่สั่งการการเคลื่อนไหวไม่ใช่คลื่นหลิง เป็นเม็ดยาที่เปลี่ยนเป็นดวงตาของพวกมัน!” เวินชิงเฉวียนตอบ
เมื่อนางอธิบายให้ฟัง มู่เฉินก็ได้สติ เมื่อมองให้ละเอียด ก็พบว่าดวงตาของรูปปั้นอสูรนี้เปล่งประกายแวววาว
“ดูอสูรโอสถตัวตรงกลาง!” เสียงอุทานของเวินชิงเฉวียนดังขึ้นกะทันหัน
ทุกคนกวาดสายตาไปก็เห็นอสูรหินขนาดใหญ่ที่ดูราวกับมังกร ดวงตาของมันกะพริบด้วยแสงตกผลึกพร้อมกับความผันผวนที่แปลกประหลาดเล็ดลอดออกมา
“อสูรโอสถตัวนี้ทรงพลังมาก!”
มู่เฉินตกตะลึงจากแรงกดดันที่มาจากอสูรหิน เพราะมันเทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแท้จริง!
“พลังของอสูรโอสถเหล่านี้ขึ้นอยู่กับระดับของเม็ดยา…”
เวินชิงเฉวียนมองไปที่ดวงตาของอสูรหินก่อนที่จะเม้มปากยิ้ม “ถ้าข้าเดาไม่ได้เดาผิด เม็ดยาที่อยู่ในดวงตาของอสูรโอสถตัวนี้น่าจะเป็นของที่เวินจื่อหยู่กับหลงเซี่ยงอยากได้…”
เวินจื่อหยู่และหลงเซี่ยงหดตาลง จากนั้นก็ร้องอุทานพร้อมกัน
“ดวงตามันคือเม็ดยาเซิ่งหลิงเรอะ?!”
บทที่ 1302 หวู่ทง
ตามแนวเทือกเขาสูง
ร่างร่างหนึ่งยืนเอามือไพล่หลังขณะยืนบนภูเขาเขียวชอุ่มลูกหนึ่ง สายตาจดจ้องไปยังส่วนลึกเทือกเขาเบื้องหน้าก่อนที่จะหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม “พี่ต่งดูเหมือนว่าแผนของเราล้มเหลวสินะถึงได้กลับมาตอนนี้”
ที่เบื้องหลังร่างที่ฉายสีหน้าดำมืดเดินออกมาจากป่า ซึ่งก็คือต่งซันที่เพิ่งประจันหน้ากับพวกมู่เฉินมา
“หวู่ทงแผนของเจ้าล้มเหลว เวินชิงเฉวียนฉลาดมาก นางรู้ทันทีว่าพวกเราร่วมมือกัน” ต่งซันพูดด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
ชายที่ชื่อหวู่ทงมีผมสีแดงเพลิง ในมือถือลูกโลหะสองลูกซึ่งถูกแกะสลักด้วยลวดลายลึกซึ้ง ความผันผวนของคลื่นหลิงที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายเขาเป็นครั้งคราวกว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทรที่ไม่สามารถประเมินได้
เมื่อได้ยินคำพูดของต่งซัน เขาก็ยิ้มสบายๆ “ตอนแรกก็แค่จะลองเชิงเฉยๆ ไม่คิดจะประสบความสำเร็จหรอก นอกจากนี้แม้ว่าแผนการจะล้มเหลว แต่ด้วยพลังของกลุ่มพวกเจ้า ก็น่าจะทำให้ตระกูลเวินสูญเสียไปบ้างไหม?”
ใบหน้าของต่งซันน่าเกลียดมากยิ่งขึ้นขณะตอบว่า “พวกเขาไม่ได้รับความเสียหายอะไรทั้งนั้น เพราะมีกลุ่มอื่นเข้ามาสะเออะ ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มที่เวินชิงเฉวียนร่วมมือด้วย”
“โอ้?” ลูกโลหะในมือของหวู่ทงหยุดลงชั่วครู่ “พลังของพวกมันเป็นอย่างไร?”
“หลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนหนึ่งคนและจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มหนึ่งคน” ต่งซันตอบ สำหรับมู่เฉินกับลั่วหลีทั้งสองคนอยู่นอกสายตาเขา เนื่องจากมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น
“หลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนเรอะ?” หวู่ทงหรี่ตาแคบลงก่อนที่จะยิ้มบาง “ดูท่าพวกเวินชิงเฉวียนก็ไม่โง่ พวกนางรู้จักหาผู้ช่วยเหลือด้วย แต่นางคิดว่าแค่หลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนคนเดียวจะเปลี่ยนสถานการณ์ได้เหรอ?”
“สำหรับมรดกนี้ ตระกูลหวู่เตรียมการมาหลายปีแล้ว เราจะปล่อยโอกาสให้พวกเขาได้ยังไง?”
หวู่ทงหันกลับมายิ้มให้ต่งซัน “ต่อไปพี่ต่งก็ร่วมเดินทางไปที่สุสานกับเราเลยนะ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าตอบแทน ตระกูลหวู่จะให้ตามที่คุยกันไว้แน่นอน ”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
ต่งซันเค้นเสียงส่งผลให้แผลเป็นบนใบหน้าดูน่ากลัวยิ่งขึ้น การไปขัดขวางเวินชิงเฉวียนครั้งนี้เขาสูญเสียจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสี่คน นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ เพราะพรรคพวกเหล่านี้ล้วนเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงที่ผ่านศึกมาแล้วนับร้อยครั้ง
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แววตาของต่งซันก็เย็นชาลง “ถ้าเราสามารถจับพวกมันได้ เจ้าจะต้องส่งไอ้คนที่ชื่อมู่เฉินมาให้ข้า ข้าจะให้มันรู้ว่าความตายช่างแสนสบายที่กล้าทำให้ข้าโกรธ!”
“ได้ตามที่ขอ”
หวู่ทงยิ้ม เขาไม่สนใจคนที่ชื่อมู่เฉินแม่แต่น้อย ในมุมมองของเขากลุ่มของเวินชิงเฉวียนจะต้องแพ้อย่างแน่นอน สำหรับผลของผู้แพ้เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
เขามองไปในส่วนลึกของเทือกเขาด้วยแววความโลภวูบไหวในดวงตา
“มรดกภูตผีเสื้อโอสถ… ฮ่าๆ ข้าหวู่ทงจะบรรลุจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนที่สองของตระกูลได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับครั้งนี้แล้ว …”
“ออกคำสั่ง เคลื่อนพล!”
“เราจะต้องไปเตรียมของขวัญบางอย่างสำหรับเพื่อนที่มาทีหลังสักหน่อย”
เขาหันหลังกลับ เสียงสะท้อนไปทั่วบริเวณ
ฟิ้ว!
เขาทะยานออกไปเป็นคนแรก ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาส่วนลึก เงาดำกลุ่มหนึ่งกำจายรัศมีน่าขนลุกออกมาติดตามเขาไปอย่างใกล้ชิด
ฟิ้ว!
ลำแสงสิบสายบินข้ามขอบฟ้าขณะที่จับจ้องไปที่เทือกเขา
“มรดกภูตผีเสื้อโอสถอยู่ตรงใจกลางเทือกเขา ด้วยความเร็วเราน่าจะใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วโมงจะไปถึงที่นั่น” ระหว่างทางเวินชิงเฉวียนเข้าหาใกล้มู่เฉิน เสียงของนางถูกส่งไปที่โสตประสาทของทุกคนภายใต้การห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิง
“แต่กลุ่มตระกูลหวู่น่าจะนำหน้าเราอยู่ ดังนั้นเราต้องเร่งหน่อย ไม่งั้นพวกมันจะแซงหน้าไปหมด”
มู่เฉินกับลั่วหลีพยักหน้า พวกเขาเดินทางมาอย่างยากลำบาก ดังนั้นจึงไม่ต้องการแค่รับสิ่งที่เหลือจากอีกฝ่าย
ดังนั้นพวกเขาจึงเพิ่มความเร็ว เสียงอัดอากาศดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า
ภายใต้การเดินทางด้วยความเร็วสูง หนึ่งชั่วโมงต่อมาเวินชิงเฉวียนที่เป็นผู้นำทางก็ชะลอตัวช้าลง นางมองเข้าไปในระยะไกล
สายตาของคนอื่นๆ ก็กวาดตาม จากนั้นพวกเขาก็เห็นหมอกพิษปกคลุมไปทั่วเทือกเขา
มู่เฉินหายใจเข้าเล็กน้อยก็รู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงในร่างกายสั่นเทา ความคิดปฏิเสธลุกขึ้นในใจกระตุ้นให้ออกจากพื้นที่นี้โดยเร็ว
“หมอกพิษ”
มู่เฉินพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าหมอกพิษนี้มีพิษร้ายแรง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่สามารถรับได้
เวินชิงเฉวียนพยักหน้าตอบว่า “เล่าลือกันว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นจากการสลายตัวของเกล็ดยาที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยภูตผีเสื้อโอสถ สารพิษนี้มีอานุภาพสูงมาก กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ได้รับบาดเจ็บหนักได้”
มู่เฉินขมวดคิ้ว แต่เมื่อเห็นท่าทางผ่อนคลายของเวินชิงเฉวียน เขาก็ยิ้ม “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าเตรียมตัวมาพร้อมนะ”
เวินชิงเฉวียนยิ้มพลางโบกมือ ลำแสงหลายสายก็ยิงเข้าหาทุกคน มู่เฉินคว้าลำแสงสายหนึ่งเอาไว้ เมื่อเปิดฝ่ามือออกก็เห็นเม็ดยาสีฟ้าน้ำแข็งกำจายไอเย็นฉ่ำออกมา ให้ความรู้สึกโปร่งสบายยิ่งนัก
“นี่คือเม็ดยาหัวใจน้ำแข็งเป็นยาแก้พิษ มิหนำซ้ำนี่ยังเป็นผลิตภัณฑ์จากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วที่มีราคาค่างวดสูงลิ่ว หนึ่งเม็ดเท่ากับของเหลวจื้อจุนหลายล้านหยดเลยทีเดียว อมไว้ใต้ลิ้นก็จะสามารถสลายพิษหมอกพิษนี้”
“ผลิตภัณฑ์จากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วหรือ?”
มู่เฉินจ้องมองเม็ดยาหัวใจน้ำแข็งบนฝ่ามือของเขาด้วยความสนใจขณะที่อุทานด้วยความชื่นชม ในฐานะหนึ่งในสามนักเล่นแร่แปรธาตุชั้นนำของมหาพันภพ เม็ดยาจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเป็นที่รู้จักกันในชื่อของผลิตภัณฑ์ชั้นสูงของมหาพันภพเลยทีเดียว
เมื่ออมเม็ดยาหัวใจน้ำแข็งเข้าไปในปาก ไอเย็นฉ่ำก็กระจายออกทำให้จิตใจสงบลง
“ไปกันเถอะ ต่อจากนี้ทุกคนก็ระวังตัวกันหน่อย เมื่อเข้าในหมอกพิษก็ถือว่าอยู่ในพื้นที่ของมรดกซึ่งเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย นี่จะไม่ง่ายอย่างที่เคยเป็นมาก่อน” เวินชิงเฉวียนเอ่ยเตือน
เมื่อพูดจบนางก็ไม่อ้อยอิ่งทะยานตัวออกไปทันที
มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ติดตามไป ร่างแสงสิบร่างพุ่งเข้าไปในหมอกพิษมรกต
เมื่อเข้ามาแต่ละคนก็รู้สึกว่าท้องฟ้ามืดหม่นลง นอกจากนี้พวกเขายังรู้สึกถึงไอพิษพยายามที่จะกัดกร่อนร่างกายจากทุกทิศทางเมื่อสัมผัสโดน
ขณะที่ไอพิษเข้าสู่ร่างกาย มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงว่าคลื่นหลิงในร่างลดลง
เขาทำการตรวจสอบก็ตระหนักว่ามีอนุภาคเล็กๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าบุกรุกร่างกายและดูดซับคลื่นหลิงของเขาไป
เมื่อรับรู้สถานการณ์นี้ ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก่อนที่เขาจะทำอะไร ไอเย็นฉ่ำก็ไหลเวียนในร่างกาย อนุภาคเหล่านั้นถูกแช่แข็งกลายเป็นสะเก็ดฝุ่นทันที…
ฮา
ลมหายใจสีขาวขุ่นพรูออกมาจากจมูกของมู่เฉิน บรรจุสะเก็ดของพิษหมอกเอาไว้
“ช่างเป็นพิษที่น่ากลัวจริงๆ!”
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน โชคดีที่เวินชิงเฉวียนเตรียมการมาพร้อม มิฉะนั้นเพียงแค่หมอกพิษเพียงอย่างเดียว ก็ทำให้พวกเขาทำอะไรไม่ถูกแล้ว
ฮึ่ม ฮึ่ม
ทว่าขณะที่มู่เฉินกำลังชื่นชมยินดีในใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงหึ่งๆ ดังออกมา ทำให้ม่านตาเขาต้องหดลง
มีกลุ่มเมฆสีแดงเข้มเคลื่อนมาอย่างรวดเร็ว เมื่อใกล้เข้ามาเขาก็ตระหนักว่าเมฆนั้นคือฝูงยุงสีแดงเข้มนับไม่ถ้วน…
ยุงฝูงใหญ่ปกคลุมแสงอาทิตย์ แม้ว่าพวกมันจะมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ แต่ปากแหลมเล็กของพวกมันก็วูบไหวด้วยแสงสีมรกตที่มีพิษ
ทว่าหลังจากพบว่าหมอกพิษนี้เป็นพิษมากเพียงไร มู่เฉินก็ไม่กล้าที่จะดูถูกอะไรที่นี่แล้ว ทันใดนั้นเขาก็โบกมือคลื่นหลิงไร้ขอบเขตพุ่งออกมาก่อตัวเป็นม่านคลุมห่อหุ้มทุกคนไว้ภายใน
ปัง!
แต่ฝูงยุงก็ยังพุ่งกระหน่ำเข้ามาก่อนที่จะปะทะกับม่านคลุมคลื่นหลิง
ปุ ปุ!
เมื่อเกิดการชนกัน ยุงเหล่านั้นก็ระเบิด เลือดสีแดงเข้มกระเด็นติดเข้ากับม่านคลุม สร้างรูบนม่าน ถ้าไม่ใช่มู่เฉินเทคลื่นหลิงลงไปอย่างต่อเนื่อง ม่านนี้ก็พังทลายไปแล้ว
แต่ถึงกระนั้นท่าทางของมู่เฉินก็ไม่สู้ดี เนื่องจากยุงมีจำนวนมหาศาล เขารู้สึกถึงพลังงานในร่างกายที่หมดลงอย่างรวดเร็ว
เพียงแค่พยายามป้องกันฝูงยุงอย่างเดียว ก็กินพลังงานจำนวนมากแล้ว
“มู่เฉินนี่คือยุงผีพิษ แค่เลือดของพวกมันเพียงอย่างเดียวก็สามารถกัดเซาะคลื่นหลิงได้ ครอบงำมาก!” เวินชิงเฉวียนรีบตะโกนบอก
มู่เฉินพยักหน้าขณะที่รักษาม่านคลุมปกป้องทุกคนให้ผ่านฝูงยุงนี้ไปโดยเร็วที่สุด
แต่ไม่นานความคิดของเขาก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะเขารู้สึกว่าไม่รู้ด้วยเหตุใดยุงจำนวนมากจับกลุ่มรุมล้อมเข้ามามากขึ้น ทำให้การเคลื่อนไหวของพวกเขายากขึ้น
หากสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไป ความเร็วในการมุ่งหน้าของพวกเขาจะช้าขึ้นอีกหลายส่วน
มู่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้ามืดครึ้มลง จากนั้นม่านตาก็หดเกร็งเสียงเย็นส่งผ่านเข้ามาในโสตประสาทของคนอื่นๆ
“สถานการณ์นี้ไม่ถูกต้อง มีคนกำลังใช้ยุงพวกนี้จัดการพวกเรา!”
บทที่ 1301 ภูตผีเสื้อโอสถ
เมื่อพวกต่งซันตัดสินใจถอยไป
ความผันผวนของคลื่นหลิงที่พวยพุ่งจากกลุ่มของเวินชิงเฉวียนก็สงบลง ตอนแรกพวกเขาคิดว่าจะมีการสู้รบที่นี่วันนี้แน่ แต่พวกมู่เฉินที่มาถึงพอดีก็ขู่ต่งซันจนจากไปได้
“พวกเจ้าเป็นอะไรไหม?”
มู่เฉินหันกลับมาถามพวกเวินชิงเฉวียนด้วยรอยยิ้ม
เวินจื่อหยู่เผยรอยยิ้มบนใบหน้าพลางประสานมือ “ขอบคุณพี่มู่ที่ช่วยในวันนี้ ไม่เช่นนั้นคงต้องสู้กันจนเลือดตกยางออกแน่”
“หึ ถ้าสู้กันจริงๆ พวกมันจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ” เวินชิงเฉวียนเค้นเสียงเย็นดวงตาเป็นประกายวูบไหวด้วยไอเย็นเยือก เห็นได้ชัดว่านางไม่พอใจต่งซันอย่างยิ่ง
มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากเขาสามารถบอกได้เลยว่าเวินชิงเฉวียนไม่ได้โอ้อวดแต่อย่างใด ทว่าจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของพวกนางคือเวินจื่อหยู่ที่อยู่ในขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังอ่อนด้อยกว่าเล็กน้อย หากต้องการเผชิญหน้ากับต่งซัน
นั่นหมายความว่ากลุ่มเวินชิงวียนจะต้องมีไพ่ตาย
เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของมู่เฉิน เวินชิงเฉวียนก็เท้าเอวประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า “อย่าดูถูกพวกข้า หากไม่มีไพ่ตายบ้างพวกข้าจะกล้าเข้ามาในแดนเซิ่งยวนโบราณได้ยังไง?”
“แต่เจ้าสิประหลาด… อย่าบอกข้าว่าจะพึ่งพี่หลิงซีกับพี่หลงเซี่ยงเพื่อปกป้องนะ” เวินชิงเฉวียนเอียงศีรษะลงเล็กน้อย ขณะที่มองมู่เฉินแบบทำตาเล็กตาน้อย
แม้ว่าขุมพลังของมู่เฉินจะอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายซึ่งถือว่าค่อนข้างดี แต่จอมยุทธ์ระดับนี้ก็ยังไม่มากพอสำหรับแดนเซิ่งยวน มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้นที่จะสามารถข่มขู่ผู้อื่นได้
ในกลุ่มมู่เฉิน คงมีเพียงหลิงซีเท่านั้นที่มีความสามารถนี้ กระทั่งเวินชิงเฉวียนยังคิดว่าหลิงซีเป็นคนทรงพลังที่สุดในกลุ่มของมู่เฉิน
มู่เฉินกลอกตาบนไม่ได้พูดอะไรแต่ดึงหัวข้อกลับมา “พวกเจ้ากำลังตกเป็นเหยื่อเหรอ?”
กลุ่มมือสังหารก่อนหน้านี้ไม่เพียงแต่ขัดขวางพวกเวินชิงเฉวียนเท่านั้น พวกเขายังมีพรรคพวกซ่อนตัวอยู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหมายตาตระกูลเวิน
รอยยิ้มบนใบหน้าของเวินชิงเฉวียนถอนกลับ สายตาเย็นชาลงหลายส่วน “ถ้าข้าเดาถูก พวกมันน่าจะมาจากการยุยงของตระกูลหวู่เขตทะเลทรายฝั่งเหนือน่ะ”
“ตระกูลหวู่เขตทะเลทรายฝั่งเหนือ?” ดวงตาของลั่วหลีหดลงขณะถามต่อ “นั่นเป็นขั้วอำนาจที่ไม่ได้อ่อนแอกว่าตระกูลเวินเลย ชื่อเสียงในมหาพันภพของพวกเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน”
เวินชิงเฉวียนพยักหน้า “ที่จริงตระกูลเวินของพวกข้าจ่ายราคาไปมากเพื่อรับข่าวเกี่ยวกับมรดกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ก็เกิดการเข้ามาแทรกแซงโดยตระกูลหวู่ ดังนั้นพวกมันจึงได้ข้อมูลไปด้วย”
“มีเพียงสองตระกูลเท่านั้นที่มีข่าวนี้ ต่งซันรู้ได้ยังไง มิหนำซ้ำยังมาขัดขวางพวกข้าที่นี่ได้ ผู้บงการจะต้องเป็นตระกูลหวู่แน่”
เวินจื่อหยู่พยักหน้าด้วยเช่นกัน “นอกจากนี้หากไม่มีการสนับสนุนจากตระกูลหวู่ ต่งซันจะกล้าหาญขนาดนี้ได้อย่างไร”
“ตอนนี้กลุ่มตระกูลหวู่จะต้องมุ่งหน้าไปหามรดกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่เรากำลังพูดถึงแน่”
มู่เฉินพยักหน้าถามว่า “พวกข้าสามารถรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมรดกได้ไหม?”
มูลค่าของมรดกไม่ต้องพูดถึงเลย หากพวกเขาไม่ได้เวินชิงเฉวียนเป็นแหล่งข่าวก็ยากลำบากมากสำหรับพวกเขาที่จะหา แม้ว่าพวกเขาจะช่วยแก้สถานการณ์ให้กลุ่มเวินชิงเฉวียน แต่มู่เฉินก็ไม่ใช่คนประเภทกอบโกยประโยชน์จากผู้อื่น ดังนั้นน้ำเสียงจึงเต็มไปด้วยความต้องการเจรจา
เขาต้องการข้อมูลเพื่อประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
เวินชิงเฉวียนไม่ได้คิดปิดบังพูดขึ้นว่า “เราเป็นพันธมิตรกัน ดังนั้นข้าจะบอกตามที่รู้มา”
“มรดกตกทอดจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนถูกเรียกว่าภูตผีเสื้อโอสถ”
“ภูตผีเสื้อโอสถ?” มู่เฉินกับลั่วหลีถึงกับหันมามองหน้ากัน
“ใช่แล้วจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนนี้เป็นที่รู้จักในด้านทักษะการเล่นแร่แปรธาตุ ถึงแม้ขุมพลังของนางจะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเท่านั้น แต่เม็ดยาใดๆ ที่ถูกนางสร้างขึ้นสามารถกวนคลื่นท่ามบรรดาจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้เลย”
“ในสุสานนั้นมีเม็ดยาเหลืออยู่จำนวนมาก เม็ดยาเหล่านั้นล้วนมีมูลค่ามาก แต่ละเม็ดสามารถสร้างความปันป่วนกับพวกจอมยุทธ์ชั้นสูงได้เลยทีเดียว”
“เช่นเม็ดยาเซิ่งหลิงที่ช่วยให้จอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำหรับเวินจื่อหยู่ในครั้งนี้ด้วย”
เวินชิงเฉวียนชี้ไปที่เวินซื่อหยู่ เมื่อพูดถึงเม็ดยาเซิ่งหลิงใบหน้าฝ่ายหลังก็เต็มไปด้วยความโหยหา
แน่นอนว่าไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่หลงเซี่ยงก็เหมือนกัน ตัวเขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังที่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ดังนั้นการล่อลวงของเม็ดยาเซิ่งหลิงนี้จึงหอมหวนสำหรับเขาอย่างมาก
สิ่งนี้สามารถช่วยประหยัดเวลาจากการฝึกฝนหลายปี
“ที่จริงเม็ดยาเซิ่งหลิงนี้ไม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ภาคภูมิใจที่สุดของภูตผีเสื้อโอสถ เล่ากันว่าผลิตภัณฑ์ที่น่าภาคภูมิใจของนางคือสิ่งที่เรียกว่า ‘เม็ดยาเซิ่งหวา’ ซึ่งสามารถยกระดับทักษะเทพของผู้ฝึกขึ้นไปอีก กระทั่งวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยมก็ยกระดับได้”
เมื่อมู่เฉินได้ยิน ดวงตาก็หดแคบลงในทันที แม้ว่าจะดูเหมือนธรรมดา แต่ในฐานะของคนที่ครอบครองวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยม เขารู้ว่ายากแค่ไหนในการยกระดับ เช่นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ซึ่งตอนนี้มีทักษะสามขั้น
ได้แก่ รหัสเทพอมตะ ดอกบัวอมตะและแปรเป็นตายอมตะ
ทว่าตอนนี้เขาก็ฝึกถึงแค่ขั้นแรกเท่านั้น สำหรับขั้นที่สองคือดอกบัวอมตะ เขายังไม่สามารถแง้มออกได้สักนิด
หากเขาสามารถได้รับเม็ดยาเซิ่งหวาหนึ่งเม็ด นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถคลายทักษะขั้นที่สองของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้เลยหรือ?
แค่คิดแม้แต่หัวใจของมู่เฉินก็ลุกโชติช่วงไปหมดแล้ว
“นอกเหนือจากนี้ภูตผีเสื้อโอสถยังทิ้งเม็ดยาเทพเอาไว้มากมาย ซึ่งเป็นทรัพยากรจำนวนมหาศาลที่แม้แต่ตระกูลเวินของข้าก็ยังถูกดึงดูดอย่างมาก” เวินชิงเฉวียนกล่าว
มู่เฉินพยักหน้า มรดกจากจอมยุทธ์ที่เก่งกาจในการเล่นแร่แปรธาตุถือได้ว่าเป็นหีบมหาสมบัติเลยทีเดียว หากพวกเขาสามารถได้รับแม้แต่ขั้วอำนาจใหญ่อย่างตระกูลเวินก็จะพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย
“ไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลหวู่พยายามทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางพวกเจ้า เบื้องหน้าผลประโยชน์ล่อตาขนาดนี้ วิธีการพวกนี้ก็ไม่ได้ดูเกินเหตุ” ลั่วหลีถอนหายใจ หากตระกูลหวู่ได้รับมรดกนี้ ความแข็งแกร่งของตระกูลหวู่ก็จะทะยานขึ้นสูงอย่างแน่นอน ในเวลานั้นทำไมพวกเขาจะต้องไปกังวลเกี่ยวกับการรุกรานตระกูลเวินอีก?
เวินชิงเฉวียนพยักหน้าจ้องมองพวกมู่เฉิน “หากพวกเราประสบความสำเร็จในความร่วมมือครั้งนี้ ก็แบ่งการเก็บเกี่ยวกันคนละครึ่งเลย”
ขณะที่นางพูดทุกคนก็ตกใจ
กระทั่งพรรคพวกที่อยู่ข้างหหลังเวินชิงเฉวียนก็แลกเปลี่ยนสายตากัน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เกินความคาดหมาย ถึงยังไงตระกูลเวินก็จ่ายราคามหาศาลสำหรับข้อมูลนี้
พูดอย่างไม่เป็นมิตร หากพวกเขาต้องการหาพันธมิตรอื่นๆ ด้วยอัตราส่วนแบ่งนี้ พวกเขาสามารถหากลุ่มที่แข็งแกร่งกว่าพวกมู่เฉินได้ง่ายๆ เลย
ทว่าก่อนที่พวกเขาจะพูดความคิดออกไป พวกเขาก็ต้องหุบปากจากประกายแสงจ้าที่สะท้อนในดวงตาของเวินชิงเฉวียน นางพูดอย่างใจเย็นว่า “มรดกยังไม่ใช่ของเราในตอนนี้ ดังนั้นอย่าถือว่าเป็นของเรา เวลานี้ตระกูลหวู่โอหังนัก ชัดว่าตั้งใจจะรับมรดกนี้ไป ส่วนเราก็ล้าหลังไปเรียบร้อย ถ้ามีแค่พวกเรากลุ่มเดียวก็คงไม่อาจได้รับอะไรเลย”
“นอกจากนี้…”
นางหยุดชั่วครู่หนึ่งมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาที่มีความหมายแฝงพลางแย้มยิ้ม “จากสัญชาตญาณของผู้หญิง ข้ารู้สึกว่าเจ้านี่จะคุ้มค่ากับราคานี้”
แม้ว่านางจะหยอกล้อมู่เฉินไปก่อนหน้า แต่นางก็รู้สึกได้ว่าหลิงซีไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม แต่เป็นมู่เฉินซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น…
ชัดว่าเวินชิงเฉวียนมีตำแหน่งสูงในตระกูล ดังนั้นเมื่อนางตัดสินใจแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรจะพูด เวินจื่อหยู่ยิ้มให้มู่เฉิน “งั้นแบบนี้ เราคงจะต้องพึ่งพี่มู่เพื่อให้ได้รับการเก็บเกี่ยวที่เพียงพอ”
มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้มขณะที่หันไปมองเวินชิงเฉวียน เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะพูดว่า “แม้อัตราส่วนแบ่งนี้เราจะได้ผลประโยชน์มาก แต่ข้าเชื่อว่า พวกเจ้าจะได้เกินคุ้มแน่นอน”
แม้ว่าเสียงจะฟังสงบนิ่ง แต่ความมั่นใจที่อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มก็ทำให้พวกเวินชิงเฉวียนรู้สึกผ่อนคลาย
บางทีชายที่เบื้องหน้าพวกเขาอาจเกินความคาดหมายจริงๆ…
เวินชิงเฉวียนจ้องมองไปที่มู่เฉินอย่างลึกซึ้ง ความมั่นใจในปัจจุบันของเขาเหมือนกับตอนที่อยู่ในศึกเบญจภาคีอย่างไรอย่างนั้น ในเวลานั้นต่อให้เผชิญกับศัตรูมากมาย เขาก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ ซึ่งความมั่นใจนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่เหมือนยังสามารถแผ่ไปให้ผู้อื่นด้วย
หลังจากหลายปีที่ผ่านมาและมีประสบการณ์ แต่ความมั่นใจของมู่เฉินก็ยังเต็มเปี่ยมในหัวใจ
ในโลกนี้มีเพียงคนที่สามารถรักษาความเชื่อมั่นและไม่แพ้ใครถึงจะมีสิทธิ์ผงาดขึ้นไปสู่จุดสูงสุด
เวินชิงเฉวียนยิ้มด้วยท่าทางทรงเสน่ห์ไม่ต่างจากลั่วหลี
นางยื่นมือออกมาพลางหัวเราะเบาๆ “งั้นขอให้เป็นการร่วมมือที่มีความสุขระหว่างเรา”
มู่เฉินเหยียดมือออกมาจับมืออ่อนนุ่มนั่นไว้พลางยิ้ม
“การร่วมมือต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”
บทที่ 1300 ต่งซัน
ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนเขียวคล้ำขณะมองไปข้างหน้า
ร่างเงาหลายร่างกำลังยืนจังก้าพร้อมกับกอดอก ขณะที่พวกเขาจ้องมาที่กลุ่มของเวินชิงเฉวียน
ผู้นำเป็นคนร่างกำยำถึงแม้จะดูธรรมดา แต่แผลเป็นบนใบหน้าเขาก็ทำให้ดูน่ากลัวอยู่หลายส่วน มิหนำซ้ำร่างของเขากำจายรัศมีร้ายกาจราวกับเป็นอสูรกายเลยทีเดียว
ยิ่งกว่านั้นความผันผวนที่เล็ดลอดออกมาคลุมเครือบอกว่าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
“สหายตระกูลเวิน ความสามัคคีเป็นสิ่งสำคัญ ทำไมถึงต้องเขม่นกันขนาดนี้ด้วย?”
ชายคนนั้นมองมาที่กลุ่มเวินชิงเฉวียนพร้อมรอยยิ้มเป็นต่อขณะพูด “ข้าต่งซันไม่ได้จะแย่งข้อมูลของพวกเจ้าสักหน่อย เราแค่อยากร่วมมือด้วย เมื่อทุกคนร่วมมือกันจะไม่ทำให้เราได้มรดกง่ายขึ้นหรือ?”
เวินชิงเฉวียนดูโกรธเกรี้ยวมาก กลุ่มที่ขัดขวางพวกนางคือพันธมิตรมือสังหารปีศาจ โดยมีผู้นำชื่อต่งซัน
เขาไม่เพียงแต่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ยังเป็นมือสังหารขั้นกลางอีกด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดคะแนนสังหารปีศาจของชายคนนี้อยู่ไม่ไกลจากขั้นสูงแล้ว
นี่เป็นข่มขู่อย่างแท้จริง เนื่องจากทุกคนรู้ดีว่ายากเพียงใดในการรวบรวมคะแนนสังหารปีศาจจำนวนมาก
ที่จริงแล้วต่งซันรู้ว่าพวกนางมีข้อมูลเกี่ยวกับมรดกของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนตั้งแต่อยู่ในเมืองเซิ่งยวน แต่พวกนางก็ปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายเสนอการรวมตัว นอกจากนี้ยังเป็นเพราะคนเหล่านี้เกรงกลัวจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของตระกูลเวิน ดังนั้นจึงไม่กล้าลงมือทำอะไร ทว่าใครจะคิดจะมาปะหน้ากันในแดนเซิ่งยวนโบราณแห่งนี้
“ฮึ่ม ร่วมมือเหรอ? ข้าเกรงว่าจะเป็นการเก็บหมาป่าไว้กับตัวนะสิ ” ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนเย็นชาลงหลายส่วน ไม่มีความเป็นมิตรกับพวกต่งซัน การทำงานร่วมกับพวกเขาเหมือนกับการถลกหนังเสือที่มีชีวิต
“นอกจากนี้…”
น้ำเสียงของเวินชิงเฉวียนเปลี่ยนไป ทันใดนั้นเสียงก็สาดไอเย็นชา “พวกเจ้ารู้ข้อมูลในมือพวกข้าตั้งแต่ในเมืองเซิ่งยวน ตอนนี้พอเข้ามาในแดนเซิ่งยวนโบราณก็พบกันอีก ไม่บังเอิญเกินไปหน่อยเหรอ?”
ต่งชันยิ้มตาหยี “ไหงงั้นล่ะ?”
เวินชิงเฉวียนตอบอย่างเย็นชา “ตระกูลหวู่เขตทะเลทรายฝั่งเหนือก็รู้ว่าพวกข้ามีข้อมูลนี้ พวกเขาก็ส่งกลุ่มเข้ามาที่นี่เช่นกัน ดังนั้น…ข้อมูลและการติดตามพวกข้า พวกตระกูลหวู่ให้เจ้ามาใช่ไหม?”
“ตระกูลหวู่?!”
เวินจื่อหยู่และคนอื่นๆ สีหน้าเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น ถ้าเป็นเช่นนั้นตระกูลหวู่ก็ไร้ยางอายเกินไปแล้ว เพื่อจะเพลิดเพลินกับมรดกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพียงผู้เดียว พวกมันถึงกับขายข้อมูลให้กับมือสังหารปีศาจเหล่านี้!
“ดังนั้นหมาป่าหิวโหยคงสมคบกับตระกูลหวู่มานานแล้ว หากเราทำงานร่วมกับพวกเจ้า คงไม่พ้นแทงพวกข้าข้างหลังแน่ พวกข้าไม่มีโชคที่จะได้มีเพื่อนร่วมกลุ่มเช่นนี้หรอก” เวินชิงเฉวียนเค้นเสียงเย็น
สายตาของต่งซันสั่นไหวก่อนที่จะส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าเข้าใจผิดหมดแล้ว พวกข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มตระกูลหวู่”
เวินชิงเฉวียนหลุบตาพูดว่า “ไม่ว่าจะเข้าใจผิดหรือไม่ พวกข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำงานร่วมกับพวกเจ้า ดังนั้นไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องนี้อีก”
แสงร้ายกาจเปล่งประกายในดวงตาของต่งชันหลังจากได้ยินการปฏิเสธของเหวินชิงซวนก็ยิ้ม “แม่นางเวินพูดแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอ เมื่อออกมาข้างนอก การมีเพื่อนดีกว่าการมีศัตรูนะ?”
ขณะที่เขาพูดร่างเงาทั้งแปดเงาที่ด้านหลังก็ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง สาดสายตาน่ากลัว แต่ละคนจับจ้องไปที่กลุ่มของเวินชิงเฉวียน
“ทำไม? คิดจะเป็นศัตรูกับตระกูลเวินเหรอ?” สายตาของเวินชิงเฉวียนเย็นเยือกลงขณะที่พูดออกมา
“ถึงแม้พวกข้าจะไม่กล้าสร้างความบาดหมางกับตระกูลเวิน แต่อย่างน้อยที่นี่พวกเจ้าไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ไม่ใช่เหรอ?” ต่งซันยิ้มบาง
พวกเวินชิงเฉวียนมีเพียงหกคนเท่านั้น นอกจากนี้คนที่ดูทรงพลังที่สุด ก็คือเวินจื่อหยู่ที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม พวกที่เหลือก็อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ส่วนเวินชิงเฉวียนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น
งานนี้พรรคพวกต่งซันเขมือบกลุ่มนี้ได้สบาย
“ดังนั้นข้าหวังว่าแม่นางเวินจะพิจารณาข้อเสนออีกครั้ง” เมื่อต่งซันยิ้ม คนร้ายกาจที่อยู่ด้านหลังก็ค่อยๆ กระจายตัวออกไปอย่างช้าๆ สร้างแนวเป็นรูปครึ่งวงกลม
“พวกข้ามีคนที่จะร่วมมืออยู่แล้ว อย่าได้ฝัน!” เมื่อเห็นการก่อตัวของพวกเขา เวินชิงเฉวียนก็ยังคงแสดงท่าทางเย็นชาโดยไม่หวาดกลัว
“โอ้?”
เปลือกตาของต่งซันยกขึ้นขณะยิ้ม “ไม่เห็นจะน่าร่วมมือกับกลุ่มต่ำๆ เลย หากแม่นางเวินยินดีที่จะให้พวกข้าแทนที่ พวกเราก็ได้-ได้กันทั้งคู่เลยนะ”
เวินชิงเฉวียนไม่ได้พูด แต่หันไปหาเวินจื่อหยู่และคนอื่นๆ ก่อนจะพยักหน้าให้กันเล็กน้อย ไอสังหารวูบไหวในดวงตาเขา ไม่มีอะไรต้องพูดในสถานการณ์เช่นนี้ต่อไป มีเพียงการต่อสู้เท่านั้น
เวินจื่อหยู่พยักหน้าอย่างช้าๆ คลื่นหลิงยิ่งใหญ่ก็ผันผวนออกมาราวกับพายุ ค่อยๆ รวมตัวกันในร่างกายของเขา
“เฮ้ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าไม่เต็มใจรับความปรารถนาดีของพวกข้านะ”
ดวงตาต่งซันหรี่ลง ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม เขาก้าวออกไป รัศมีทรงพลังของระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ระเบิดออกมา ทำให้พื้นที่ทั้งหมดนี้สั่นไหว
“ในเมื่อพวกเจ้าปฏิเสธความปรารถนาดี ก็อย่าโทษข้าที่ไร้ปรานี!”
ต่งซันยกมือขึ้นพร้อมกับคลี่ยิ้มน่ากลัว “กำจัดพวกมันซะ!”
ปัง!
จอมยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังก็พุ่งออกมา
“ลงมือ!”
เวินชิงเฉวียนคำรามพลางวาดตราประทับ คลื่นหลิงพวยพุ่งออกมา
“ฮ่าๆ ไร้ยางอายจริงๆ ในเมื่อคนอื่นไม่เต็มใจทำงานด้วย ทำไมต้องมายุ่งกับพวกเขา” แต่ก่อนที่การต่อสู้จะปะทุขึ้น เสียงหัวเราะก็ดังก้องออกมา
ชี่!
ทั้งสองฝ่ายหยุดชะงักกะทันหัน ใบหน้าของต่งซันเปลี่ยนไปก่อนที่จะเงยหน้าคำราม “ใคร?!”
“กลุ่มต่ำๆ ที่เจ้าพูดถึงไง!”
เสียงหัวเราะร่วน ร่างเงากลุ่มหนึ่งก็ทะยานออกมาปรากฏตัวในหุบเขา
ทั้งสี่คนนี้ก็คือกลุ่มของมู่เฉินนั่นเอง
“มู่เฉิน? ลั่วหลี!”
เมื่อเวินชิงเฉวียนเห็นสี่คน นางก็อึ้งไปก่อนที่ความปีติจะวาบขึ้นบนใบหน้า
“หืม ไอ้กากสี่ตัวนี้มาจากไหน? ไสหัวไปซะ!”
มือสังหารปีศาจสองคนที่ใกล้กับกลุ่มมู่เฉินก็คำรามและเริ่มลงมือโจมตี
พวกเขาสองคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ตอนนี้ร่วมมือกันชัดว่าตั้งใจจะสังหารมู่เฉินอย่างรวดเร็วเพื่อข่มขวัญคนอื่นๆ
“ไอ้ก้อนราสองชิ้น แกกล้าจะจัดการนายน้อยของข้าเชียวเรอะ?!”
ทว่าเมื่อทั้งสองคิดจออกกระบวนท่า หลงเซี่ยงก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าเหวี่ยงหมัดออกไป ทันใดนั้นเสียงคำรามของมังกรพลายก็สะท้อนไปทั่วขณะที่ปะทะกับสองจอมยุทธ์
ปัง!
สองจอมยุทธ์สีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง ก่อนที่ใบหน้าจะกลายเป็นสีแดงก่ำ พวกเขากระอักเลือดออกมา พลังอันน่าสะพรึงกลัวทำลายแขนของพวกเขาซะบู้บี้ไปหมด
ร่างของพวกเขากระเด็นออกไป สร้างรอยยาวไว้บนพื้น
“บังอาจ!”
เมื่อเห็นลูกน้องสองคนได้รับบาดเจ็บหนัก ดวงตาของต่งซันก็เย็นชาลง ก่อนที่จะเหวี่ยงฝ่ามือออกไป คลื่นหลิงน่าเกรงขามพวยพุ่งราวกับภูเขาไฟ
“ฝ่ามือเทพคีรี!”
กระบวนท่าของต่งซันแสดงให้เห็นถึงพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ฝ่ามือดังกล่าวสามารถบดขยี้ภูเขา ทั่วบริเวณหุบเขาเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ฝ่ามือนั่นพุ่งเข้ามา ทว่าขณะที่กำลังจะโดนตัวกลุ่มมู่เฉิน หลิงซีก็ยกมือขึ้น แสงหลิงวูบไหวก่อนที่จะก่อร่างเป็นค่ายกลขนาดใหญ่
ค่ายกลทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกัน ปิดกั้นฝ่ามือไม่ให้เคลื่อนที่ได้
“หลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน?!”
ต่งซันหดตาลง จะต้องเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนถึงสามารถขัดขวางกระบวนท่าของเขาได้อย่างง่ายดาย!
เผชิญหน้ากับหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแม้แต่ต่งซันยังรู้สึกหวาดกลัว
สายตาของเขาวูบไหวขณะที่กวาดมองกลุ่มที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ หากพวกเขาร่วมพลังกันตอนนี้ พวกเขาก็ไม่อ่อนแอกว่าใครหน้าไหน
“กำลังมองหาพันธมิตรเหรอ? ไม่ต้องหรอก พวกข้าจัดการไปเรียบร้อยแล้ว” ขณะที่ต่งซันคิดจะเรียกพรรคพวก มู่เฉินก็ยิ้มบางให้
ตอนที่เขาเห็นว่าพวกเวินชิงเฉวียนกำลังมีปัญหา พวกเขาก็แอบกำจัดพวกที่ซ่อนตัวอยู่เรียบร้อย
เมื่อต่งซันได้ยิน ใบหน้าก็มืดครึ้มลงขณะที่มองมู่เฉินแสงลางร้ายกะพริบวาบในดวงตา “ไม่คิดว่าจะมีวันที่ตัวเองเสียเปรียบ ดีข้าจะจดสิ่งนี้ลงบัญชีไว้ แต่ไม่ต้องห่วง หนี้ของพรรคพวกข้าจะถือว่าเป็นของแกด้วย ครั้งหน้าข้าจะตัดหัวแกเอาไปหมักสุราเพื่อสังเวยสำหรับพวกเขา!”
ก่อนที่มู่เฉินจะโต้ตอบ ต่งซันก็สะบัดแขนเสื้อถอยกลับออกไปโดยไม่ลังเล
พรรคพวกของเขาติดตามไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงสิบกว่าอึดใจเงาร่างของพวกเขาก็อันตรธานหายไป
เมื่อมู่เฉินเห็นว่าต่งซันไปโดยไม่ลังเล เขาก็ค่อนข้างตกใจก่อนที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่กะพริบอยู่ในแขนเสื้อจะจางลง
ถ้าต่งซันอยู่นานกว่านี้อีกหน่อย รอให้เขาเตรียมค่ายกลจนพร้อมสรรพ ในเวลานั้นพวกเขาคงได้แต่ฝันที่จะจากไป
แต่ชัดว่าเขาประเมินความระมัดระวังของต่งซันต่ำไป ชายคนนั้นต้องรู้สึกถึงบางอย่างผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ถอยกลับไปโดยไม่ลังเล
มู่เฉินหรี่ตาจ้องมองไปยังทิศที่พวกต่งซันจากไป ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
“เด็ดเดี่ยวนัก… ครั้งต่อไปที่พบกัน ข้าต้องกุดหัวมันไม่ให้เหลือซากแล้ว”
