ครืน!
ความผันผวนดุดันของคลื่นหลิงระเบิดไปทั่วท้องฟ้า แรงกดดันอันทรงพลังทำให้ใบหน้าของผู้คนเปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด เมื่อพวกเขามองไปที่ชายหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่
นี่ก็คือมู่เฉินที่เพิ่งมาถึง เขาพลิ้วตัวลงบนภูเขา ความโกรธก็เกิดขึ้นในใจเมื่อเขาเห็นน้ำตาบนใบหน้าของจิ่วโยว
ตั้งแต่วันแรกที่เขารู้จักจิ่วโยวด้านที่ไม่ยอมใครของนางก็ตราตรึงอยู่ในหัวใจของเขา แต่ตอนนี้หญิงสาวเข้มแข็งไม่ยอมใครง่ายๆ กำลังร้องไห้ เขานึกได้เลยว่านางต้องแบกความทุกข์ทรมานไว้แค่ไหน
“ประมุขเทียนฮวง พวกท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?”
มู่เฉินมองไปที่เทียนฮวงช่วยพยุงผู้อาวุโสลู่ขึ้นก่อนจะประสานมือลุแก่โทษ “ขอโทษที่มาช้าขอรับ”
เทียนฮวงและผู้อาวุโสลู่อึ้งไปขณะมองมู่เฉิน พวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่ามู่เฉินจะมาที่นี่จริงๆ
‘เจ้าหนูนี่กล้าที่จะรุกรานเผ่าหงส์ฟ้าเพื่อจิ่วโยวจริงหรือ?’
“ไม่สาย ไม่สายหรอก…” เทียนฮวงโบกมือไปมาพูดอย่างขมขื่น “เผ่าวิหคโลกันตร์ของข้าหมดหนทางกับสถานการณ์นี้แล้ว ดังนั้นจึงต้องให้ผู้อาวุโสเทียนเช่อแจ้งให้เจ้าทราบ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน”
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านพูดอะไร จิ่วโยวช่วยเหลือข้ามากมายในอดีตและถ้าไม่ใช่นางตอนนี้ข้าอาจตายไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่านางจะอยู่ที่ไหน ข้าก็จะเร่งรุดมาช่วยทันที ”
เทียนฮวงมีสีหน้าซับซ้อน คำพูดของมู่เฉินทำให้เขารู้สึกผิดและพอใจผสมผเสกัน เขารู้สึกผิดที่พวกเขาสงสัยในตัวชายหนุ่ม ขณะเดียวกันก็รู้สึกยินดีที่จิ่วโยวเจอสหายร่วมเป็นร่วมตาย
หลังจากที่มู่เฉินและเทียนฮวงพูดคุยกันอารมณ์ของจิ่วโยวก็สงบลง เขาจึงพูดแหย่ว่า “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะร้องไห้ด้วย”
จิ่วโยวรีบเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าพลางถลึงตาใส่มู่เฉิน ก่อนจะเตะใส่ “ยังกล้าแกล้งข้าอีกเหรอ?!”
แต่หลังจากนั้นนางก็พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้าไม่ควรมา”
แม้ว่าจะเอาอดีตมาเทียบเคียงกับมู่เฉินตอนนี้ไม่ได้อีกต่อไป แต่เผ่าหงส์ฟ้าก็ไม่สามารถมองข้ามไปได้
มู่เฉินส่ายหัวมองไปที่จิ่วโยวตอบว่า “ใครกันที่ปกป้องข้าตอนที่ออกจากมณฑลเป่ยหลิงแล้วพาข้าท่องยุทธภพ? เจ้าไม่เคยดูถูกว่าข้าอ่อนแอและช่วยเหลือกันมาตลอดแล้วจะให้ข้าทิ้งเจ้าได้อย่างไร?”
ตอนนั้นเขายังเด็กและอ่อนแอ สาเหตุที่เขาสามารถผ่านพ้นอันตรายมานักต่อนักก็มาจากความช่วยเหลือของจิ่วโยว ถ้าไม่ใช่นาง เขาคงก้าวไม่ถึงจุดสูงสุดในปัจจุบัน
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน จิ่วโยวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเปรี้ยวขึ้นจมูกขณะที่ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาก่อนที่นางจะกลั้นไว้
“แกเป็นใคร? ทำไมถึงเข้ามาแส่เรื่องระหว่างเผ่าเทพอสูรกลางเวหา?”
ขณะที่พวกเขาพูดคุย เสียงสูงส่งก็ดังก้อง หวงจิงจ้องมองไปที่มู่เฉิน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับจักรพรรดิหวง “ข้าชื่อมู่เฉิน ได้รับการเชิญจากเผ่าวิหคโลกันตร์ให้มาเป็นองครักษ์จิ่วโยว”
คำพูดของเขาทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นทันที ทุกคนมองไปที่มู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคุ้นเคยกับชื่อดาวรุ่งของมหาพันภพในช่วงนี้
แม้ว่าจะคาดหวังคำตอบไว้แล้ว แต่หวงจิงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ หากเป็นมนุษย์คนอื่นพยายามจะเข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้ เขาคงจะไล่ตะเพิดไปแล้ว ทว่าเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นกับมู่เฉินได้เนื่องจากมารดาอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าโบราณ ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ของชายหนุ่มกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม นอกจากนี้เขายังเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพอีกด้วย ด้วยรัศมีรายรอบมู่เฉิน ทำให้เขาถูกข่มขู่
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่ายากจะจัดการเนื่องจากมู่เฉินมีกองหนุนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งหลายคน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้สถานะของตนเองเพื่อปราบปรามมู่เฉินได้ ไม่อย่างนั้นอาจทำให้คนที่อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นออกโรงได้ ในเวลานั้นการเผชิญหน้าระหว่างยอดยุทธ์จะเป็นปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ท่านพ่อไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว…”
หวงเฉวียนจือยิ้มขณะที่หวงจิงกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับมู่เฉิน เขาจ้องไปอีกฝ่าย “ข้าได้ยินมาเกี่ยวกับการกระทำอันยิ่งใหญ่ของประมุขมู่ในเผ่าฝูถู แต่นี่ไม่ใช่เผ่าฝูถู ไม่มีค่ายกลให้เจ้าได้ยืมใช้หรอกนะ”
แม้ว่าคำพูดจะราบเรียบ แต่ทุกคนก็เห็นด้วยเนื่องจากเหตุผลที่มู่เฉินสามารถปราบผู้อาวุโสในเผ่าฝูถูได้ ก็เพราะใช้ค่ายกลพิทักษ์เผ่า เพราะตัวเขามีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางเท่านั้น
เหล่าอัจฉริยะที่สามารถเข้าสู่สระยกเทพน่ากลัวทั้งนั้นและมู่เฉินคงไม่สามารถทำในแบบเดียวกันกับเผ่าฝูถูได้
หวงเฉวียนจือสมกับเป็นบุตรชายของหวงจิง คำพูดของเขาลบความสำเร็จรุ่งโรจน์ของมู่เฉินจนหมดสิ้น
มู่เฉินผงกศีรษะตอบว่า “ผู้อาวุโสเผ่าฝูถูเป็นปัญหาเล็กน้อย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าจึงต้องใช้ค่ายกล แต่ทำไมข้าต้องใช้มันกับเรื่องเล็กน้อยวันนี้”
“ฮ่าๆ ประมุขมู่โอ้อวดแท้จริง”
หวงเฉวียนจือยิ้มขณะพูดต่อช้าๆ “ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังดูถูกเผ่ามหาเทพอสูรของเรานะ”
รอยยิ้มเยาะผุดที่มุมปาก คำพูดเลวร้ายของเขาวางมู่เฉินไว้ตรงข้ามกับเผ่ามหาเทพอสูรทั้งหมด
คำพูดนี่ดึงดูดความสนใจของเหล่าอัจฉริยะเผ่ามหาเทพอสูร ทั้งหมดต่างมองไปที่มู่เฉิน
มีความอยากรู้ ไม่แยแส แม้กระทั่งดูหมิ่นในสายตาเหล่านั้น…
“เฮอะ แค่มนุษย์ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางกล้าโอ้อวดที่นี่ด้วยหรือ? ไม่กลัวกัดลิ้นตัวเองขาดรึไง?” เสียงหัวเราะน่าขนลุกดังสะท้อนด้วยความดูถูก
ทุกคนมองไปที่ต้นเสียงก็เห็นชายหน้าตาบึ้งตึงคนหนึ่งยืนเอามือไพล่หลัง รอยยิ้มที่แขวนบนริมฝีปากดูเหมือนคมมีดที่เย็นยะเยือก
รัศมีระเบิดออกจากทางด้านหลังเขากลายเป็นนกขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนหงส์ฟ้าผสมกับแร้งสีทอง
“นั่นอัจฉริยะแร้งหงส์ทองคำ—ฟังจิ้ง หงส์แร้งทองคำและหงส์ฟ้าแท้จริงมีสายเลือดที่สัมพันธ์กัน เรียกได้ว่าสนิทสนมกับเผ่าหงส์ฟ้าแท้จริงที่สุด ว่ากันว่าเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าหงส์ฟ้าแท้จริงเลยทีเดียว” เทียนฮวงอธิบายด้วยสีหน้าไม่น่าดูข้างมู่เฉิน
“ก็แค่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย ไม่มีอะไรคุกคามได้” มู่เฉินยิ้ม ไม่สนใจการยั่วยุของฟังจิ้ง เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองอีกฝ่าย
ในสายตาของเขา ฟังจิ้งเป็นเพียงตัวตลกก่อนเปิดโรงที่พยายามทำให้หวงเฉวียนจือดูดีขึ้นเท่านั้น
“ฮึ่ม หาเรื่องตาย!”
ฟังจิ้งยิ้มเกรี้ยวกราด แต่ก็ไม่ได้ขยับ เขามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาจะกินเลือดกินเนื้อ
“ไม่ต้องมาทำยั่วยุไร้ประโยชน์ที่นี่ ไม่มีใครโง่ เจ้ามาทดสอบข้าได้เองหากต้องการทราบพลังที่ข้ามี” มู่เฉินมองไปที่หวงเฉวียนจือ เอ่ยด้วยเสียงนิ่งเฉย
รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงเฉวียนจือหุบลงขณะที่จ้องมองมู่เฉินอย่างเย็นชา พูดย้ำชัดถ้อยชัดคำว่า “ข้า-จะ-กิน-สายเลือด-วิหคอมตะให้ได้!”
สายตาของมู่เฉินจับจ้องไปที่หวงเฉวียนจือตอบว่า “อย่างที่ข้าเคยพูดไปก่อนหน้านี้ ไม่มีวัน”
ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากัน ทำเอาหลายคนถึงกับแอบเดาะลิ้น แต่ละคนช่างดุดันอย่างแท้จริง อัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้าและดาวรุ่งดวงใหม่ของมหาพันภพ
แต่ไม่มีใครรู้ว่าใครจะหัวเราะในตอนจบ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ขณะที่บรรยากาศตึงเครียดถึงขีดสุด สระมรกตก็กระเพื่อม แสงหลิงไม่มีที่สิ้นสุดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับน้ำพุร้อน
ครืน!
ทันใดนั้นแรงกดดันที่มองไม่เห็นก็ระเบิดออก ทำให้กระทั่งมู่เฉินยังหดตาลง เขามองเห็นภาพเงามากมายในแสงที่มีรูปแบบของเทพอสูร…
ชัดว่าร่างเหล่านั้นจะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ละสังขารในสระ
“สระนี้…ไม่ธรรมดา”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง แม้ว่าสระแห่งนี้ดูเหมือนจะลึกเพียงหนึ่งพันจั้ง แต่จากการรับรู้ของเขาบอกได้ว่าสระนี้ไร้ขอบเขตราวกับสร้างขึ้นในอีกโลกหนึ่ง
“สระยกเทพกำลังเปิด ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม” เสียงของหวงจิงดังก้อง
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาบรรยากาศก็เริ่มตึงเครียด ทุกคนจ้องมองไปด้วยดวงตาที่ลุกโชน
ฮึ่ม!
อึดใจต่อมาคลื่นก็ยกตัวขึ้นในทะเลสาบสีมรกตทำลายความเงียบ ให้ความรู้สึกราวกับว่าผนึกได้ถูกปลดลงพร้อมกับแสงหลิงเชี่ยวกรากสาดส่องทั่วทั้งบริเวณ
“เข้าไปได้!”
พร้อมกับเสียงของหวงจิง แสงนับไม่ถ้วนก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและดำดิ่งลงไปในทะเลสาบมรกต
เมื่อร่างแต่ละคนดำดิ่งลงไป พวกเขาก็หายตัวไปทันทีราวกับว่าก้าวเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง
อัจฉริยะเหล่านี้เข้าไปโดยลำพัง เพราะตามกฎมีเพียงจอมยุทธ์ภายใต้ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถนำองครักษ์มาช่วยต่อสู้ได้
จิ่วโยวหายใจเข้าลึกมองไปที่มู่เฉิน “เจ้าจะไม่เสียใจนะ? จะมีการต่อสู้รุนแรงรออยู่ข้างในแน่นอน”
มู่เฉินคลี่รอยยิ้มบนริมฝีปากแล้วยื่นมือออกมา
“เจ้าปกป้องข้ามานาน ตอนนี้ถึงตาข้าปกป้องเจ้าแล้ว”
รอยยิ้มทรงเสน่ห์กระจายออกมาบนริมฝีปากของจิ่วโยว ก่อนที่นางจะยื่นมือออกมาจับมือของมู่เฉินเบาๆ
อึดใจสองพี่น้องก็กลายเป็นลำแสงพุ่งลงไปในทะเลสาบมรกต…
ในทวีปซันไห่
สถานที่มีเทือกเขาตัดกัน มีทะเลสาบสีมรกตที่ดูราวกับกระจกไม่มีระลอกคลื่น สะท้อนให้เห็นฟ้าดิน แม้ว่าจะดูธรรมดา แต่ก็ให้ความรู้สึกกดดันโดยไม่ทราบสาเหตุ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังรู้สึกกดดัน
ทว่าความเงียบสงบของสถานที่แห่งนี้แตกสลายลงในวันนี้ เมื่อแสงอรุณรุ่งสาดส่องลงมายังดินแดนแห่งนี้ ริ้วแสงนับไม่ถ้วนพุ่งข้ามขอบฟ้า ก่อนที่จะพลิ้วลงมายังภูเขารอบสระแห่งนี้
พร้อมกับภาพเงาเหล่านี้ เสียงร้องนับไม่ถ้วนก็สะท้อนไปทั่วชั้นฟ้าราวกับเสียงร้องของวิหคมากมายมารวมตัวกัน…
สระยกเทพมีตำแหน่งพิเศษท่ามกลางเทพอสูรกลางเวหา ดังนั้นแม้ว่าที่นั่งในการเข้าร่วมจะจำกัด แต่ก็ดึงดูดเทพอสูรมากมายมาชมงาน
เมื่อทุกเผ่ามารวมตัวกัน ความปั่นป่วนก็กังวานมาจากภูเขาโดยรอบ
กีด!
ทว่าพร้อมกับการมาถึงที่มากขึ้น ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องไพเราะดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก จากนั้นแรงกดดันที่มองไม่เห็นก็ปกคลุมไปทั่วแผ่นดิน ทำให้ใบหน้าของเหล่าเทพอสูรมากมายเปลี่ยนไปด้วยความเคารพ
พวกเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นสายรุ้งพาดผ่านภูมิภาคนี้ พร้อมกับเงาทอดลงไปยังภูเขาที่อยู่ใกล้สระมากที่สุด
เมื่อรุ้งจางก็ปรากฏเงาสองร่าง คนแรกก็คือจัประมุขตระกูลหวงของเผ่าหงส์ฟ้า-หวงจิง โดยมีหวงเฉวียนจือติดตามอยู่ข้างหลังกำจายความสูงศักดิ์ออกมา
“คารวะประมุขหวง!”
เมื่อหวงจิงปรากฏตัวจอมยุทธ์เทพอสูรที่นี่ทุกคนก็กล่าวคำทักทาย
หวงจิงมีท่วงท่าไม่ธรรมดา เขาพยักหน้าให้ทุกคนก่อนที่จะมองภาพเงาที่กำลังมาถึงและพลิ้วตัวลงบนภูเขาโดยรอบ
แรงกดดันทรงพลังแทรกซึมทั่วบริเวณ แสงหลิงรวมตัวกันเป็นร่างมหึมาอยู่เบื้องหลังพวกเขา
มีทั้งแร้งทองคำเก้าหัว สิ่งมีชีวิตที่คล้ายมังกรผสมนกกระจอก และเหยี่ยวเทพที่มีสายตาคมกริบ…
เมื่อมองไปที่ฉากนี้ทุกคนต่างก็ฉายความเคร่งเครียดพร้อมกับความอิจฉาในสายตา เนื่องจากคนเหล่านี้เป็นตัวแทนของมหาเทพอสูร
แม้ว่าความแตกต่างระหว่างเทพอสูรกับมหาเทพอสูรจะมีเพียงคำเดียว แต่ก็เป็นปากอ่าวกว้างใหญ่ระหว่างฟ้าดิน
“มีเผ่ามหาเทพอสูรสิบห้าเผ่าท่ามกลางเทพอสูรกลางเวหาและทั้งหมดก็มาอยู่ที่นี่…”
“ลือกันว่าเผ่ามหาเทพอสูรได้ส่งเหล่าอัจฉริยะมาเพื่อสระยกเทพเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าพวกเขาพยายามใช้โอกาสนี้เพื่อชำระสายเลือดและก้าวไปอีกขั้น…”
“แต่มีการจำกัดจำนวนแก่นโลหิตที่สร้างขึ้นในสระยกเทพ ท่าทางว่านี่จะเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดแล้ว…”
“ฮ่าๆ หวงเฉวียนจือเผ่าหงส์ฟ้าใครจะกล้าต่อกรกับเขา? เขาคงจะได้รับประโยชน์สูงสุดในครั้งนี้”
“นั่นก็ไม่แน่เสมอไป หวงเฉวียนจืออาจจะไม่ธรรมดา แต่หลินชางจากเผ่าแร้งทองคำเก้าหัวและข่งหลิงเอ๋อจากเผ่านกยูงเก้าสีก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา…”
“ถูกต้อง อัจฉริยะเหล่านี้ซ่อนตัวมานานเป็นร้อยปีเพื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งผ่านสระยกเทพนี้ การแข่งขันครั้งนี้คงรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…”
ขณะที่เสียงสนทนาดังขึ้น ผู้คนก็มองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น
“หืม? เผ่าวิหคโลกันตร์ก็อยู่ที่นี่ด้วย? พวกเขามีที่เข้าสู่สระยกเทพด้วยเหรอ” มีคนสังเกตเห็นเงาบนภูเขาและจำได้ทันที
“เฮ้ มีบรรพบุรุษของเผ่าวิหคโลกันตร์ละสังขารที่สระยกเทพเมื่อหลายร้อยปีก่อนเพื่อกันที่นั่งสำหรับสมาชิก ดูเหมือนพวกเขาจะใช้แล้ว” มีคนพูดอย่างอิจฉา ท้ายที่สุดแล้วที่นั่งในสระยกเทพยากเกินกว่าที่จะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากหมายถึงการเสียสละของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน
“หึ ดูท่าพวกเจ้ายังไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกน่ะ…” พวกรู้ลึกถึงกับเค้นเสียงขึ้นจมูก “เทียนจิ่วโยวแห่งเผ่าวิหคโลกันตร์มีข่าวลือว่านางวิวัฒนาการเข้าสู่สายเลือดวิหคอมตะได้ แต่ตอนนี้หวงเฉวียนจือหมายตานางในฐานะผู้เสียสละครั้งสุดท้ายเพื่อวิชาหมุนวนเก้าเทพของเขา…”
“ดังนั้นเมื่อไรที่เทียนจิ่วโยวเข้าสู่สระยกเทพหวงเฉวียนจือจะเคลื่อนไหวและกลืนกินสายเลือดนาง…”
โลกของสัตว์อสูรโหดร้ายกว่าโลกของมนุษย์ ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินถึงความตั้งใจของหวงเฉวียนจือก็ไม่มีใครรู้สึกว่าเป็นสิ่งผิด
ตามคำกล่าวที่ว่าคนที่มีสมบัติจะกลายเป็นก่ออาชญากรรม นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้สายเลือดที่หายากของเผ่าวิหคโลกันตร์ถูกเล็งเป็นเป้าหมาย ถ้าพวกเขาเก็บงำไว้กับตัวเองก็แล้วไป แต่พวกเขากลับเลือกที่จะเปิดเผย ตอนนี้หวงเฉวียนจือกำหนดเป้าแล้ว คงไม่สามารถหลบหนีได้อย่างง่ายดาย
เมื่อรู้สึกถึงสายตาเหล่านั้น ใบหน้าของเทียนฮวงก็ดูน่าเกลียดเช่นกัน
จิ่วโยวยืนอยู่ข้างหลังบิดาสวมเสื้อผ้าสีดำพอดีตัว ซึ่งเผยรูปร่างและส่วนโค้งนูนน่าทึ่งที่หน้าอก นางเม้มริมฝีปากเข้าหากันดูดื้อดึงมากกว่าปกติ
เมื่อเทียบกับเทียนหวง สีหน้านางดูสงบกว่ามาก แต่หมัดที่กำแน่นเผยให้เห็นความไม่สบายใจในหัวใจ
“ผู้อาวุโสลู่ ครั้งนี้ต้องรบกวนท่านแล้ว” เทียนฮวงถอนหายใจขณะหันไปหาผู้อาวุโสสวมชุดคลุมสีเทา นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพียงหนึ่งเดียวของเผ่าวิหคโลกันตร์ ซึ่งตอนแรกอยู่ในสมาธิ แต่เพื่อจิ่วโยว พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกจนต้องเชิญเขาออกจากสมาธิ
ทว่าผู้อาวุโสคนนี้ก็อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายเท่านั้น
ผู้อาวุโสลู่มีสีหน้าขมขื่นแต่ก็ยังพยักหน้า “ท่านประมุขวางใจเถอะ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องจิ่วโยว แต่…ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหวงเฉวียนจือ”
เทียนฮวงตัวสั่นสะท้าน เขาจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ตอนนี้หวงเฉวียนจือมีขุมพลังอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นแล้ว พลังในการต่อสู้เหนือล้ำแน่นอน ว่ากันว่ากระทั่งจอมยุทธ์ในระดับเดียวกันยังตายในมือเขาได้ ความสำเร็จของเขาเกรียงไกรนัก
“ผู้อาวุโสลู่ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับหวงเฉวียนจือ แค่พาจิ่วโยวหนีให้ไกลจากเขาในสระยกเทพ พยายามแสวงหาโอกาสที่เหมาะสมก็พอ” เทียนฮวงปลอบโยน
“ข้าจะทำให้ดีที่สุด” ผู้อาวุโสลู่ผงกศีรษะและหายใจเข้าลึกพร้อมกับการแสดงออกเด็ดขาดบนใบหน้า เขาเองก็โกรธแค้นกับการกลั่นแกล้งของเผ่าหงส์ฟ้า ดังนั้นต่อให้ต้องสละชีวิต เขาก็ต้องปกป้องความปลอดภัยของจิ่วโยวให้จงได้
ทว่าทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ เขาเหลือบมองไปที่จิ่วโยวเอ่ยด้วยความลังเล “ยังไม่มีข่าวจากผู้อาวุโสเทียนเช่อรึ? ข้าได้ยินมาว่ามู่เฉินน่าเกรงขามนัก ถ้าเขามาที่นี่อาจจะเผชิญหน้ากับหวงเฉวียนจือได้…”
เทียนฮวงขมวดคิ้วเบาๆ ตอบว่า “ยัง… เผ่าวิหคโลกันตร์ของเราไม่จำเป็นต้องมีผู้ช่วยเหลือต่างสายพันธุ์ นอกจากนี้เขาอาจไปรุกรานเผ่าหงส์ฟ้าหากมาที่นี่ ข้าคิดว่าเจ้าหนูนั่นคงต้องพิจารณาข้อดีข้อเสียก่อน”
น้ำเสียงของเขาไม่มีแววตำหนิใดๆ เนื่องจากเป็นเรื่องธรรมชาติ ในมหาพันภพไม่มีใครกล้าที่จะรุกรานเผ่าหงส์ฟ้าเพื่อเผ่าวิหคโลกันตร์ เห็นได้จากเผ่าเทพอสูรที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเผ่าวิหคโลกันตร์มาตลอดก็ยังไม่กล้าเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้
“ท่านพ่อ!”
ทว่าคำพูดของเขาดึงดูดสายตาเย็นชาจากจิ่วโยวทันที
เมื่อเทียนฮวงเห็นก็ส่ายหัวอย่างขมขื่น “ก็ได้ๆ ข้าจะไม่พูดแง่ร้ายเกี่ยวกับเขา”
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน จู่ๆ หวงจิงก็มองมาอย่างไม่แยแสและยิ้ม “พวกเจ้าพิจารณาเรื่องนี้หรือยัง?”
คำพูดของเขาดึงดูดความสนใจรอบข้างทันที เทียนฮวงทำได้เพียงเกร็งศีรษะขึ้นถามว่า “เผ่าหงส์ฟ้า ไม่สามารถปล่อยเผ่าวิหคโลกันตร์ไปได้จริงๆ เหรอ?”
น้ำเสียงของเขาเป็นการขอร้องแล้ว ไม่มีเหลือเกียรติคุณของประมุขไว้เลย
เมื่อหวงจิงได้ยินคำตอบนี้ก็ถอนหายใจเบาๆ “ทำไม? ถ้าพวกเจ้าทำให้ลูกชายข้าพอใจ ข้าจะถือว่านี่เป็นบุญคุณจากเผ่าวิหคโลกันตร์และเราจะตอบแทนในอนาคตแน่ แต่เจ้ากลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง”
ไม่มีอารมณ์ใดๆ ในสายตาเขาขณะที่พูดต่อ “ในเมื่อยืนกรานที่จะดื้อรั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเองแล้ว”
ใบหน้าของเทียนฮวงดิ่งลงทันที
หวงเฉวียนจือกวาดสายตามองไปที่ผู้อาวุโสลู่ก่อนที่จะหัวเราะเบาๆ “นั่นองครักษ์ของเจ้ารึ?”
“ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย…”
รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของหวงเฉวียนจือก่อนที่จะส่ายหัวไปมา “ถ้ามีทั้งหมดแค่นี้ ข้าขอแนะนำให้ยอมแพ้ซะ”
เมื่อพูดจบเขาก็ก้าวออกมา เสียงร้องของหงส์ฟ้าก็ดังก้องขึ้นพร้อมกับแรงกดดันรุนแรงทำให้ทั่วบริเวณสั่นสะเทือนจากแรงกดดันของเขา
แรงกดดันนั้นพุ่งไปที่ผู้อาวุโสลู่ ทำให้ร่างเขาสั่นใบหน้าซีดเซียวลง เข่าของเขาค่อยๆ งอจากแรงกดและเกือบจะคุกเข่าลงไป
เห็นได้ชัดว่าหวงเฉวียนจือพยายามข่มขู่ผู้อาวุโสลู่ ก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่สระยกเทพ เมื่อถึงตอนนั้นผู้อาวุโสลู่ก็จะไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา
ผู้อาวุโสลู่รู้ถึงเจตนาของหวงเฉวียนจือดี ดังนั้นเขาจึงกัดฟันถึงขนาดเส้นเลือดดิ้นพล่านบนหน้าผากเลยทีเดียว ทว่าแรงกดดันจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนบวกกับแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงของหวงเฉวียนจือ ก็ทำเอาเข่าของผู้อาวุโสลู่งอลงอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของเทียนฮวงและจิ่วโยวก็เขียวคล้ำ แต่พวกเขาทำได้เพียงเฝ้าดูผู้อาวุโสลู่ทนทุกข์ทรมานจากแรงกดดัน
สายตาของเทียนฮวงมืดดำ มากจนจะกระอักเลือดออกมา นี่เป็นความอัปยศอดสูสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์แท้จริง
หมัดของจิ่วโยวกำแน่นโดยที่เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือจนเลือดหยดแหมะๆ ในตอนนี้แม้แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างนางก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้
ความรู้สึกไร้พลังลอยอวลทำให้นางได้แต่โทษตัวเอง
“พอแล้ว ถ้าเจ้าต้องการสายเลือดขนาดนั้นก็รับ…” นางเบิกตากว้างขณะที่ตะโกนใส่หวงเฉวียนจือ
แต่ก่อนที่นางจะพูดจบ เสียงสายฟ้าก็ดังขึ้น ทุกคนเงยหน้ามองขอบฟ้าห่างไกล คลื่นหลิงขนาดใหญ่ถาโถมเข้ามา
ตู้ม ตู้ม
คลื่นกระแทกหลิงนี้บดขยี้แรงกดดันของหวงเฉวียนจือพร้อมกับเสียงคำรามที่ดังก้อง
“แกไม่มีสิทธิ์จะได้รับสายเลือดของนาง!”
เสียงคำรามดังกล่าว ทำให้เสียงของจิ่วโยวถูกขัดจังหวะทันที นางเงยหน้าขึ้นทันควันก่อนที่จะเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามา รูปลักษณ์ที่หล่อเหลาดูเหมือนจะมีความโกรธซ่อนอยู่ภายใต้มหาสมุทรสายฟ้า ทำให้หัวใจของนางเต้นไม่เป็นส่ำ
นางมองร่างคุ้นเคยด้วยความอึ้งทึ่ง ก่อนที่หยดน้ำตาจะร่วงลงจากแก้ม
ทวีปซันไห่
ที่นี่เป็นทวีปที่มีชื่อเสียงอย่างมากในมหาพันภพ แน่นอนว่าชื่อเสียงนั้นไม่ได้มาจากทวีป แต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งที่อาศัยอยู่ที่นี่
เผ่าหงส์ฟ้า
ซึ่งเป็นเจ้าเหนือหัวบรรดาเผ่าวิหคทั้งหมดในมหาพันภพและมีชื่อเสียงโด่งดัง ในเวลาเดียวกันพลังของพวกเขายังติดอันดับต้นของยุทธภพอีกด้วย
ตามชื่อแล้วทวีปแห่งนี้ล้อมรอบด้วยภูเขาจำนวนมากและมหาสมุทร เทือกเขาทอดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภูเขาแต่ละลูกมีขนาดเป็นแสนลี้ ราวกับยักษ์ปกคลุมผืนทวีปพร้อมกับความเวิ้งว้าง
ใจกลางทวีปมีหมอกมารวมตัวกัน สามารถมองเห็นวังหรูหราได้เลือนรางพร้อมกับเสียงนกร้องดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูราวกับแดนสวรรค์
วังขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศสูงศักดิ์ เก้าอี้หินเลื่อนลงมาซึ่งมีคนนั่งอยู่บนนั้น ทุกคนกำจายด้วยแสงหลิงที่ก่อตัวเป็นสัตว์อสูรบินฉวัดเฉวียนอยู่ที่เบื้องหลัง
หากมีใครอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องตกใจ เพราะทั้งหมดเป็นเทพอสูรประเภทกลางเวหาของมหาพันภพ
เผ่าเหล่านี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าขั้วอำนาจสุดยอดในมหาพันภพเลย นอกจากนี้เนื่องจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของเทพอสูร ทำให้ขั้วอำนาจสุดยอดธรรมดายังไม่อาจเทียบได้
ดังนั้นเมื่อรวมตัวกันจึงถือว่าเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของมหาพันภพเลยทีเดียว
มีร่างเงานั่งบนเก้าอี้หินอยู่ในวัยกลางคนกำจายความสูงศักดิ์รอบตัวทุกครั้งที่เคลื่อนไหว
ในเผ่าหงส์ฟ้า ถูกปกครองร่วมกันระหว่างจักรพรรดิตระกูลเฟิ่งและจักรพรรดิตระกูลหวง พวกเขาจะแบ่งระยะเวลาในการปกครอง ซึ่งในปัจจุบันผู้ที่ถืออำนาจสูงสุดก็คือจักรพรรดิแห่งตระกูลหวง—หวงจิง
“ทุกคนสระยกเทพจะเปิดในหนึ่งเดือนข้างหน้า ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละเผ่าว่าจะสามารถหาสายเลือดได้มากเท่าไร” หวงจิงยิ้มด้วยใบหน้าทรงเกียรติ
เมื่อเขาพูดจบ ดวงตาของทุกคนก็เปล่งประกายเผยให้เห็นความตื่นเต้น
สระยกเทพมีสมบัติล้ำค่าที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่เผ่าหงส์ฟ้าทำร่วมกับสัตว์อสูรเผ่ากลางเวหาอื่นๆ เมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของแต่ละเผ่าจะละสังขาร พวกเขาจะเข้าสู่สระยกเทพเพื่อหลอมร่างกายและสายเลือดรวมไปกับสระน้ำ
ด้วยวิธีนี้ ลูกหลานของพวกเขาจะสามารถใช้ประโยชน์จากสายเลือดที่บรรพบุรุษทิ้งไว้เพื่อใช้ชำระสายเลือดและวิวัฒนาการ
นั่นหมายความว่าสระยกเทพเป็นของขวัญยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษของเทพอสูรกลางเวหาทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลัง
ไม่ต้องพูดถึงเผ่าเทพอสูรอื่นๆ แม้แต่เผ่าหงส์ฟ้าก็ถูกล่อลวงด้วยของขวัญชิ้นนี้เช่นกัน
แต่เนื่องจากสิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษของเผ่าต่างๆ จึงไม่มีใครผูกขาดได้ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเหล่าอัจฉริยชนจะได้รับไปมากแค่ไหน
ขณะที่หวงจิงมองไปที่ทุกคน เขาก็ยิ้มก่อนที่จะหันไปมองคนสองคนที่ขอบลาน
หนึ่งในนั้นสวมชุดดำ เขาก็คือประมุขเผ่าวิหคโลกันตร์—เทียนฮวง
ที่ด้านหลังมีหญิงสาวคนหนึ่งในชุดสีดำ นางมีรูปร่างเพรียวบางและส่วนสัดน่าทึ่ง รูปลักษณ์สะคราญโฉมยิ่งนัก ริมฝีปากที่เม้มแน่นทำให้คนอื่นรู้สึกถึงเจ้าพยศในใจ
นางก็คือจิ่วโยว
“ท่านเทียนฮวง แม่นางจิ่วโยว ไม่ทราบว่าพวกเจ้าคิดยังไงกับข้อเสนอก่อนหน้าขอข้า?” หวงจิงมองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของหวงจิง ใบหน้าของเทียนฮวงก็สลับระหว่างเขียวกับขาว ขณะที่จิ่วโยวกัดริมฝีปาก
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนเงียบไป หวงจิงก็ยิ้ม “พวกเจ้าน่าจะรู้ว่าบุตรชายของข้าฝึกฝนทักษะเก้าเทพหมุนวนในขั้นที่แปดแล้ว เหลือเพียงการนิพพานครั้งสุดท้ายก็สามารถบรรลุขั้นเซิ่ง ซึ่งสิ่งนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อเผ่าหงส์ฟ้า ดังนั้นข้าหวังว่าเผ่าวิหคโลกันตร์จะเติมเต็มความปรารถนาของข้า”
ขณะที่พูดหวงจิงก็มองไปที่ชายที่นั่งเงียบอยู่ทางด้านหลัง เขามีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น สวมชุดสีทองทำให้ดูสูงส่ง เมื่อมองจากระยะไกลก็ราวกับโอรสสวรรค์ที่สูงศักดิ์
เขาก็คือบุตรชายของหวงจิงและยังเป็นประมุขน้อยตระกูลหวง—หวงเฉวียนจือ
ชายผู้นี้ได้รับการฝึกฝนทักษะเทพขั้นสูงสุดของเผ่าหงส์ฟ้าวิชาเก้าเทพหมุนวน ซึ่งการนิพพานทุกครั้งต้องใช้เวลาสิบปี เมื่อการนิพพานที่เก้าเสร็จสิ้น เขาก็จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง
วิชาเก้าเทพหมุนวนนี้เป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า ดังนั้นจึงเห็นได้ว่ามีความพิเศษเพียงใด
ทว่าทักษะเทพระดับนี้ก็ยากในการฝึกฝนมาก นอกจากพรสวรรค์ผู้ฝึกต้องสูง ทุกการนิพพานยังต้องกลืนกินสายเลือดเทพอสูร เมื่อนิพพานที่แปดเสร็จสมบูรณ์ หวงเฉวียนจือก็บรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้ว
พร้อมกับการสำเร็จนิพพานที่แปด ความเข้มงวดของสายเลือดที่ต้องการก็มากยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหมายตาสายเลือดวิหคอมตะที่อยู่ในร่างจิ่วโยว
วิหคอมตะเป็นหนึ่งในเผ่าหงส์ฟ้าหายากยิ่งกว่าหงส์ฟ้าแท้จริง ณ ปัจจุบันในโลกนี้อาจมีเพียงจิ่วโยวคนเดียวที่ครอบครองสายเลือดวิหคอมตะอยู่ก็ได้
เผ่าอื่นๆ ก็มองภาพนี้อย่างเย็นชา ในโลกสัตว์อสูร ผู้ที่แข็งแกร่งจะล่าผู้ที่อ่อนแอกว่าเสมอ เผ่าวิหคโลกันตร์ถือได้ว่าเป็นเผ่าเทพอสูร แต่ยังไม่ใช่เผ่ามหาเทพอสูร ดังนั้นการครอบครองสายเลือดวิหคอมตะจึงดึงดูดความสนใจจากพวกเขา
สายตาของเทียนฮวงกะพริบด้วยแสงมืดมน จิ่วโยวเป็นจอมยุทธ์คนเดียวที่สามารถปลุกสายเลือดวิหคอมตะได้ในช่วงนับหมื่นปีที่ผ่านมา นางคือความหวังของทั้งเผ่า พวกเขาหวังว่านางจะสามารถวิวัฒนาการถึงขั้นสุดท้ายได้สำเร็จในวันหนึ่ง เพื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง
เหตุผลที่พวกเขามายังเผ่าหงส์ฟ้าก็เพื่อสระยกเทพ ทว่าพวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าจะดึงดูดความสนใจของหวงจิง เนื่องจากสายเลือดวิหคอมตะ…
เทียนฮวงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าถ้าหวงเฉวียนจือกลืนกินสายเลือดวิหคอมตะ การฝึกฝนของจิ่วโยวก็จะหยุดลงตลอดชีวิต…และนี่จะเป็นการระเบิดใหญ่สำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์
ทว่าเผ่าหงส์ฟ้าทรงพลังและหวงจิงที่เป็นประมุขตระกูลหวง ซ้ำยังมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ซึ่งเป็นบุคคลที่เผ่าวิหคโลกันตร์ไม่สามารถต่อกรได้ ดังนั้นถ้าปฏิเสธ อีกฝ่ายขุ่นเคืองแน่
ยามนี้เทียนฮวงหวั่นใจนัก เขาทำได้เพียงตอบกลับอย่างหนักแน่นว่า “โชคดีที่บุตรสาวของข้าเข้าตาท่านได้ แต่นางดื้อรั้นนักเมื่อตอนยังเด็ก นางได้สร้างพันธะโลหิตกับมนุษย์ไว้ กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน…”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนประหลาดใจไป แม้แต่หวงจิงยังขมวดคิ้ว เผ่าหงส์ฟ้ามีเกียรติและพวกเขาชอบความบริสุทธิ์ ในสายตาของพวกเขาแม้แต่มหาเทพอสูรเผ่าอื่นๆ ก็ยังหยาบคาย ไม่ต้องพูดถึงมนุษย์เลย
เมื่อเทียนฮวงเห็นภาพนี้ก็ถอนหายใจโล่งอกในใจ แม้ว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของจิ่วโยว แต่ก็ไม่มีอะไร ตราบเท่าที่เขาสามารถปกป้องบุตรสาวไว้ได้
ทว่าหวงเฉวียนจือกลับยิ้มออกมา “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา จับมนุษย์คนนั้นมา เรามีวิธีการมากมายในการละลายพันธะโลหิต โดยไม่ต้องทำร้ายแม่นางจิ่วโยว”
เมื่อจิ่วโยวได้ยินเช่นนั้น หัวใจก็ดิ่งลงเนื่องจากการสลายพันธะโลหิตจะเป็นอันตรายต่อทั้งสอง ถ้านางไม่ได้รับอันตรายนั่นหมายความว่ามู่เฉินจะได้รับอันตราย
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเทียนฮวงก็หนังหัวชาหนึบตอบว่า “ข้ากลัวว่าจะไม่ง่ายที่จะจับนะสิ”
“ทำไม?” หวงจิงหรี่ตาลงขณะที่ยิ้มอย่างไม่แยแส “มีเพียงไม่กี่คนในมหาพันภพที่ยากสำหรับเผ่าหงส์ฟ้าของข้าที่จะจับกุม”
หลังจากลังเลชั่วครู่เทียนฮวงก็กัดฟันพูดต่อ “เพราะเขาคือประมุขตำหนักมู่ เจ้าทวีปเทียนหลัว…มู่เฉิน”
“มู่เฉิน?”
เมื่อทุกคนได้ยินชื่อนี้ ก็ไม่ได้แสดงท่าทางสงสัย บางคนถึงกับร้องอุทาน “หรือว่าจะเป็นมู่เฉินที่ไปป่วนเผ่าฝูถูรึ?”
เทียนฮวงพยักหน้า หากไม่ใช่เพราะความจริงที่เขารู้ว่ามู่เฉินมีสถานะที่แตกต่างไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง เขาคงไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้อย่างแน่นอน
หวงจิงก็ประหลาดใจเช่นกัน เนื่องจากชื่อนี้ดังเป็นพลุแตกในมหาพันภพช่วงนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับตำหนักมู่ของมู่เฉิน แต่เขากังวลเกี่ยวกับมารดาของมู่เฉินซึ่งเป็นผู้อาวุโสใหญ่คนปัจจุบันของเผ่าฝูถู…
ภูมิหลังเช่นนี้ แม้แต่เผ่าหงส์ฟ้าก็ไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้
หวงจิงขมวดคิ้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาก็ไม่สามารถจับมู่เฉินและสลายพันธะโลหิตได้ มิฉะนั้นชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่นอน
เมื่อเห็นหวงจิงตกอยู่ในความเงียบ เทียนฮวงก็ฉายความสุขบนใบหน้า
ทว่าก่อนที่เขาจะได้รับความสุขเต็มที่ เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาลึกซึ้งของหวงเฉวียนจือก่อนที่อีกฝ่ายจะยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ยอมถอยสักก้าว ข้าไม่สนใจพันธะโลหิต เพราะมันจะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อข้าอยู่ดี…”
เผ่าหงส์ฟ้ารักความบริสุทธิ์ แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งสายเลือดวิหคอมตะ เขาก็ยอมอดทนสักหน่อย นอกจากนี้เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าเทียนฮวงพยายามปฏิเสธ…
พอได้ยินคำพูดเหล่านั้น หัวใจของเทียนฮวงก็จมลง
เมื่อกวาดสายตาไปหวงเฉวียนจือก็สามารถมองเห็นความคิดของเทียนฮวงได้ เขาจึงพูดต่อว่า “มู่เฉินเกาะใบบุญมารดาในการสนับสนุน เผ่าหงส์ฟ้าจึงไม่สามารถทำอะไรกับเขาได้ แต่ในทำนองเดียวกันอย่าคิดว่าเผ่าหงส์ฟ้าจะกลัวเขา ดังนั้นข้าขอบอกเลยว่ามู่เฉินไม่มีคุณสมบัติที่เราจะกลัวเขา”
“ถ้าเจ้ากำลังจะบอกว่ามู่เฉินจะมาแก้แค้นแทนแม่นางจิ่วโยว ข้าหวงเฉวียนจือก็อยากเห็นว่าเขามีความสามารถแค่ไหนที่สามารถพลิกเผ่าฝูถูได้”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็มองไปที่ใบหน้าเขียวคล้ำของเทียนฮวงและท่าทางเย็นชาของจิ่วโยวก่อนที่จะพูดต่อ “นอกจากนี้ข้าก็ไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะกล้ามาที่เผ่าหงส์ฟ้า ถ้าเขามา ข้าจะจับเขาและบอกให้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าคิดว่าตัวเองจะเที่ยวเดินไปทั่วมหาพันภพได้อย่างไม่เกรงกลัว หลังจากก่อความวุ่นวายกับเผ่าฝูถู”
แม้ว่าน้ำเสียงของหวงเฉวียนจือจะสงบ แต่ก็มีความเย่อหยิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความมีอำนาจของกษัตริย์ นี่เป็นสิ่งไม่ธรรมดาจริงๆ
หวงจิงยิ้มพลางพยักหน้า เขาพอใจในตัวบุตรชายนัก แม้ว่ามู่เฉินจะทรงพลัง แต่ก็ยังมีช่องว่างเมื่อเทียบกับบุตรชายเขา
นั่นเป็นเพราะบุตรชายเขาเป็นอัจฉริยะแท้จริง
ดังนั้นเขาจึงมองไปที่เทียนฮวงและจิ่วโยวด้วยสีหน้าทรงเกียรติ ก่อนที่เสียงไม่แยแสจะดังก้อง
“ข้าตัดสินใจแล้วหนึ่งเดือนนับจากนี้จะเปิดสระยกเทพขึ้นและบุตรชายข้าจะเข้านิพพานที่เก้า”
“ในเวลานั้นเมื่อเข้าไปในสระยกเทพถ้าเจ้ายังไม่เต็มใจ ลูกข้าก็คงต้องลงมือเองแล้ว”
ในที่สุดเรื่องในเมืองไป่หลิงก็จบลง
ตามที่คาดไว้เมื่อทุกคนกลับไปความวุ่นวายก็สาดซัดไปทั่วทั้งทวีป
แต่ละคนตกตะลึง ใครจะคาดคิดว่าทวีปไป่หลิงจะเปลี่ยนเจ้าเหนือหัวหลังจากพิธีราชันจบลง…
ไม่ต้องพูดถึงว่าใครคือผู้ปกครองคนใหม่ ขนาดชื่อพันธมิตรเป่ยหลิงยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
ต้องรู้ว่านี่เป็นเพียงขั้วอำนาจขนาดเล็กค่อนไปทางกลางที่ไม่เคยมีใครในทวีปไป่หลิงให้ความสนใจ แต่กลับทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในพริบตา
แม้ว่าทุกคนจะรู้สึกอิหลักอิเหลื่อ แต่พวกเขาก็รู้ว่ามู่เฟิงมีกองหนุนที่น่ากลัว แม้ตัวเขาเองจะธรรมดา แต่บุตรชายและฮูหยินของเขาก็น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร…
มีข่าวลือว่าชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูซึ่งเป็นเผ่าโบราณที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของมหาพันภพ
ส่วนมู่เฉินเริ่มต้นจากศูนย์ ย่างก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนภายในสิบปีสั้นๆ รวบรวมทวีปเทียนหลัวเป็นหนึ่งเดียวและก่อตั้งตำหนักมู่ขึ้นเป็นขุมกำลังสูงสุด
กองหนุนของมู่เฟิงนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าราชันไป่หลิง ไม่แปลกใจเลยที่แม้แต่ฉิงเป่ยเฉวียนประมุขตำหนักปลายเหนือก็ยังมอบทวีปไป่หลิงให้โดยยินยอมพร้อมใจ
ด้วยการสนับสนุนของจอมยุทธ์ใหญ่ทั้งสองที่อยู่เบื้องหลังพันธมิตรเป่ยหลิง ก็ไม่มีใครในทวีปไป่หลิงกล้าก่อปัญหาใดๆ ขั้วอำนาจที่ชาญฉลาดได้ส่งทูตไปยังพันธมิตรเป่ยหลิงเพื่อจะสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน…
ทวีปไป่หลิง มณฑลเป่ยหลิง กองบัญชาการใหญ่พันธมิตรเป่ยหลิง
กองบัญชาการใหญ่แห่งนี้อยู่ในเขตมู่ที่มู่เฉินเติบโตขึ้นมา
สวนเงียบสงบในคฤหาสน์มู่ มู่เฉินกำลังนอนเอขกในศาลาขณะมองสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยพร้อมกับรอยยิ้มประดับบนริมฝีปาก ร่างกายของเขาผ่อนคลายลงด้วยความสบายใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แผ่ซ่านไปทั่วแขนขาของเขา
ในอดีตตัวเขาราวกับลูกธนูที่ขึ้นสายตั้งแต่ตอนที่ออกจากมณฑลเป่ยหลิงและท่องไปทั่วยุทธภพ ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคใด เขาก็ก้าวต่อไปด้วยความห้าวหาญ
ในเวลานั้นเขารู้ว่าตนเองอ่อนแอ ไม่สามารถไปได้กระทั่งตระกูลลั่วเสิน ไม่ต้องพูดถึงเผ่าฝูถูเลย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเดินหน้าต่อไป
ภายใต้การทำงานหนักไม่มีหยุดพัก เขาได้รับผลลัพธ์ที่ดี ในที่สุดก็สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับบิดาสำเร็จ…
แม้ว่าจะไม่ใช่การเดินทางที่ราบรื่น แต่โชคดีที่สุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จ…
“ตาแก่ ข้าทำสำเร็จเห็นไหมเล่า”
มู่เฉินยิ้มขณะมองท้องฟ้าสีครามด้วยความสุขเติมเต็มหัวใจ จะดีแค่ไหนถ้าลั่วหลีอยู่ที่นี่กับเขาในเวลานี้
เมื่อนึกถึงหญิงคนรัก รอยยิ้มของมู่เฉินก็กว้างขึ้น เขารู้ว่าลั่วหลีขึ้นดำรงตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง แม้ว่าสาเหตุหลักจะเป็นเพราะนางต้องการช่วยเขา แต่ก็มีส่วนที่นางไม่อยากแพ้ใคร
ลั่วหลีเป็นโฉมสะคราญในสายตาของเขา แต่นางก็มีความภาคภูมิใจมากและไม่ยอมแพ้ใคร
ก็เหมือนตอนสงครามเทพยุทธ์ นางไล่ล่าเขาไปหลายวันโดยไม่พักเพียงเพราะความไม่ยอมแพ้ในใจ…
ตอนนี้มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ลั่วหลีคงจะรู้สึกกดดันเพราะเรื่องนี้ เนื่องจากนางไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่ต้องการให้เขาปกป้อง
นางต้องการที่จะเข้มแข็งเพื่อที่จะได้ยืนเคียงข้างกัน เผชิญพายุที่ดาหน้าเข้ามาด้วยกัน…
“เฮ้ เหม่ออะไร!”
ขณะที่มู่เฉินกำลังนึกถึงภาพเงาคนรัก มือบางก็โบกที่เบื้องหน้าเขาพร้อมกับเสียงสดใส
เมื่อมู่เฉินออกจากภวังค์ก็เห็นถังเชียนเอ๋อ เขาจึงยิ้มให้ “พี่เชียนเอ๋อ ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?”
ถังเชียนเอ๋อนั่งลงข้างๆ พลางหัวเราะเสียงพลิ้ว ขณะที่ยืดเหยียดเอวก็วาดเส้นโค้งที่สวยงามขึ้น นางมองไปรอบๆ ก็พึมพำว่า “ช่างเป็นสถานที่ที่คุ้นเคย”
ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน ดังนั้นถังเชียนเอ๋อจึงคุ้นเคยกับคฤหาสน์มู่ไม่น้อย
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มถามว่า “ตอนนี้เจ้าทำงานที่สำนักศึกษาวั่นหวงเรอะ?”
ถังเชียนเอ๋อพยักหน้า “ข้ารู้สึกว่าสำนักศักษาวั่นหวงเหมาะสมกับตัวเอง แม้ว่าจะไม่รุ่งโรจน์เท่าเจ้า แต่ก็มีเรื่องสนุกทุกวัน ได้เห็นเหล่าศิษย์เติบโตขึ้นเหมือนเราในอดีต”
มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพูดราวกับว่าเป็นแม่แก่ ตอนนี้เจ้าอยู่ในวัยสะพรั่งที่สุดเลยนะ”
เทียบกับเมื่อก่อนถังเชียนเอ๋อเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และเนื่องจากดำรงตำแหน่งรองอาจารย์ใหญ่ ทำให้นางมีรัศมีที่แตกต่างออกไป มิฉะนั้นราชันไป่หลิงคงจะไม่ถูกดึงดูดมา
“แล้วมีประโยชน์อะไรล่ะ?” ถังเชียนเอ๋อถอนหายใจในใจขณะมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้ม “ลั่วหลีล่ะ? นางเป็นอย่างไรบ้าง? ทำไมไม่พานางมาให้ลุงมู่ดูตัวล่ะ”
“นางสบายดี ตอนนี้ไปปฏิบัติหน้าที่ธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง ข้าจะพานางมาแน่เมื่อมีโอกาสในอนาคต” มู่เฉินยืดเอวขึ้น
มองมู่เฉินที่เหมือนบ่นไม่พอใจแต่ก็ยังยิ้ม สายตาของถังเชียนเอ๋อก็กะพริบพร้อมกับประกายแสงเบาบาง แต่ไม่นานนางก็ได้สติล้อว่า “คิดว่าเจ้ายังจีบนางไม่ได้ซะอีก นางช่างโดดเด่นมาก เจ้าจับสายตาของนางไว้ได้อย่างไร?”
มู่เฉินส่ายหัว “ข้าไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง?”
“จอมยุทธ์หนุ่มขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่เลวแล้ว” รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของถังเชียนเอ๋อขณะที่พูดต่อ “ข้าจะบอกท่านอาจารย์ใหญ่และคนอื่นๆ หลังจากกลับไปที่สำนักศึกษาวั่นหวง พวกนางยังจำเจ้าได้แม่นเลย เพราะในศึกเบญจภาคีเจ้าแย่งบทไปหมดเลย”
มู่เฉินเกาหัวแกรกกราก พอย้อนคิด ตอนนั้นเขาบ้าบิ่นจริงๆ
“ข้าจะกลับไปที่สำนักวั่นหวงในอีกไม่กี่วันนี้ ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะกลับมาเมื่อไร” ถังเชียนเอ๋อกอดเข่าขณะมองไปบนท้องฟ้า
“วางใจเถอะ ถ้ามีโอกาส ข้าจะไปเยี่ยมเจ้าที่สำนักศึกษาวั่นหวง” มู่เฉินปลอบใจก่อนจะดึงป้ายหยกออกมาหลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง
“พกสิ่งนี้ไว้กับตัว ทำลายมันหากมีอันตรายเกิดขึ้น แล้วข้าจะไปช่วยเจ้าทันที”
ถังเชียนเอ๋ออึ้งไปเมื่อมองป้ายหยก ก่อนที่จะรับไว้ แม้ว่าป้ายหยกจะเย็นเมื่อสัมผัส แต่นางก็รู้สึกอบอุ่นใจ จากนั้นนางก็เอาเชือกแดงคล้องไว้แนบหน้าอก
“อย่างน้อยเจ้าก็มีจิตสำนึกบ้าง” นางเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ขึ้น
“ก่อนข้าจะไป เราหาเวลาไปเยี่ยมสำนักศึกษาเป่ยชางหน่อยเถอะ…”
“ได้”
ถังเชียนเอ๋อโบกมือก่อนที่จะพลิ้วตัวลงจากศาลาและจากไป
เมื่อมองไปที่ภาพเงาของถังเชียนเอ๋อ มู่เฉินก็ยิ้มและเริ่มคิดถึงหญิงคนรักอีกครั้ง…
“นางน่ารักดีนะ เจ้ารับมาเป็นลูกสะใภ้ของแม่อีกคนไหมล่ะ” เสียงหัวเราะหวานดังก้อง มู่เฉินรีบหันกลับไปก็เห็นชิ้งเหยี่ยนจิ้งมาอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
มู่เฉินท่าทางอึดอัดใจ แต่ก็ส่ายหัวให้
ชิงเหยี่ยนจิ้งลูบหัวมู่เฉิน “ไม่งั้นก็รีบพาลั่วหลีมาเยี่ยมบ้าน ข้าเคยเจอนางมาก่อน นางน่ารักดีนะ”
ชิงเหยี่ยนจิ้งเคยพบลั่วหลีมาแล้ว ดังนั้นนางจึงมีความประทับใจอย่างมากกับคนรักของบุตรชาย
ฟังคำพูดของมารดา มู่เฉินก็ทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“โอ้ ใช่ ท่านแม่สามารถสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลได้ไหม? จะดีมากถ้าสามารถเชื่อมต่อกับกองบัญชาการใหญ่ของตำหนักมู่” มู่เฉินถามขึ้นทันทีหลังจากนึกบางอย่างได้
อนาคตเขาไม่สามารถอยู่ในมณฑลเป่ยหลิงได้เป็นเวลานาน แต่ตัวเขาก็เป็นห่วงบิดา ดังนั้นเป็นเรื่องดีที่สุดที่จะสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล เพื่อที่เขาจะได้ดูแลทวีปไป่หลิงได้ด้วย แต่ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย
เนื่องจากทวีปไป่หลิงและทวีปเทียนหลัวอยู่ห่างไกลกันมาก ตัวมู่เฉินเองยังไม่สามารถสร้างได้ในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องพึ่งพาชิงเหยี่ยนจิ้งเท่านั้น
“ค่ายกลระยะไกลเชื่อมโยงไปยังทวีปเทียนหลัวเหรอ?” หลังจากไตร่ตรองชิงเหยี่ยนจิ้งก็พยักหน้า “คงมีเพียงหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งเท่านั้นที่ทำได้น่ะ”
มู่เฉินดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของนาง
“แต่แม่ต้องการพิกัดพื้นที่ของอีกด้านหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้”
มู่เฉินไม่แปลกใจกับคำพูดนี้ เขายิ้ม “ท่านแม่อย่าลืมว่าลูกชายของท่านก็เป็นหลิงเจิ้นซือด้วยนะ แล้วข้าจะไม่มีความรู้ทั่วไปได้อย่างไร? ข้าเตรียมไว้ตั้งแต่ออกจากตำหนักมู่แล้ว”
พูดจบผลึกแก้วสีเงินก็ปรากฏขึ้นในมือซึ่งเต็มไปด้วยความผันผวนของมิติที่หนาแน่น
นี่คือหินมิติซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในการสร้างค่ายกลเคลื่อนย้าย ก้อนในมือเขาคือหินหลัก ส่วนหินรองถูกทิ้งไว้ในค่ายกลของตำหนักมู่แล้ว
เมื่อได้รับหินมิติไป ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ครึ่งเดือนถัดจากนี้ข้าก็น่าจะสร้างได้เสร็จ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะสามารถเดินทางไปกลับได้โดยไม่ต้องผ่านหลายทวีปแล้ว…”
รอยยิ้มกว้างกระจายบนใบหน้าของมู่เฉินก่อนที่จะยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น
“ท่านแม่สุดยอด!”
“ในเผ่าฝูถูมีสภาผู้อาวุโส ทุกคำสั่งต้องผ่านที่นี่ ซึ่งนี่คืออำนาจควบคุมของเผ่า”
“ตอนนี้มีสิบเก้าตำแหน่งในสภาผู้อาวุโสโดยตระกูลเฉวียนมีเจ็ดคน ตระกูลมั่วหกคน ส่วนตระกูลชิง…มีเพียงสามคนบวกกับสามตำแหน่งสุดท้ายที่เป็นของตระกูลย่อย” เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของมู่เฉิน ชิงเซวียนก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นขณะที่ทอดถอนใจ
“สามเองเรอะ…” มู่เฉินขมวดคิ้ว จำนวนเท่านี้น้อยมากเมื่อเทียบกับทั้งหมด
“ในจุดสูงสุดเรามีหกคน แต่เนื่องจากเราอ่อนแอลงเรื่อยๆ จึงไม่สามารถยึดครองตำแหน่งเอาไว้ได้ ดังนั้นจึงเสียตำแหน่งทุกครั้งในงานชุมนุมสายเลือด”
“ตามกฎทุกตระกูลที่มีตำแหน่งอยู่แล้วจะมีคนรับการประลอง ซึ่งจำนวนคนที่รับจะเท่ากับตำแหน่งที่มี เมื่อสู้กันครบ หากตระกูลนั้นแพ้มากกว่าชนะ ก็ต้องสละตำแหน่งไปหนึ่ง” ชิงเซวียนอธิบาย
“เป็นอย่างนี้เอง…”
มู่เฉินพยักหน้า มิน่าเผ่าฝูถูถึงให้ความสำคัญอย่างมากกับงานชุมนุมสายเลือด การแข่งขันนี้ก็เพื่อแย่งชิงอำนาจในเผ่านั่นเอง
ตระกูลที่มีจำนวนผู้อาวุโสในสภามากกว่าก็จะมีอำนาจในเผ่ามากขึ้น
สำหรับการประลอง มู่เฉินเข้าใจว่าตระกูลชิงสามารถส่งคนออกไปได้สามคนเท่านั้นโดยตัดสินจากจำนวนตำแหน่งทั้งสาม หากพวกเขาพ่ายแพ้สองครั้งละก็ ต้องสละตำแหน่งไป
ในทางตรงกันข้ามถ้าสามารถเก็บชัยชนะได้สองครั้ง พวกเขาก็ยังรักษาตำแหน่งไว้ได้
“ตระกูลมั่วกับเฉวียนรวมหัวกันกดดันตระกูลชิง พวกเขาเล็งเป้ามาที่พวกเราในการประลองงานชุมนุมประจำตระกูลทุกครั้ง สามครั้งก่อนหน้านี้พวกเขาก็ยึดที่ตำแหน่งของเราไปสามที่” ขณะที่พูดสายตาของชิงเซวียนก็วาบแสงด้วยความโกรธและช่วยไม่ได้ เป็นเรื่องน่าเสียใจที่พวกนางไม่สามารถปกป้องตำแหน่งได้
“ถ้าตำแหน่งถูกเอาไปอีกหนึ่งตำแหน่ง ตระกูลชิงก็จะถูกปลดออกจากตระกูลหลัก ทำให้ทรัพยากรของเราลดลง ดังนั้นเราจะอ่อนแอลงเมื่อเวลาผ่านไปก็จะไม่สามารถสู้กับตระกูลเฉวียนและมั่วได้อีกต่อไป”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ใบหน้าของชิงเซวียนก็ซีดเซียวลง ถ้าถึงขั้นนั้นใครจะรู้ว่าตระกูลชิงจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะกลับมา นอกจากนี้สภาอาวุโสก็จะตกอยู่ในมือของตระกูลเฉวียนและมั่วอย่างสมบูรณ์แบบ
มู่เฉินหรี่ตาลง เขาไม่สนใจเผ่าฝูถูสักเท่าไร ทว่าตัวเขาไม่พอใจตระกูลเฉวียนและมั่ว นอกจากนี้เฮยกวางยังส่งเฉวียนเทียนไปยังตำหนักมู่เพื่อสร้างความอับอาย ดังนั้นแค้นนี้ต้องชำระ
ด้วยทัศนคติที่ตระกูลเฉวียนและมั่วมีต่อเขา ถ้าพวกเขาได้รับอำนาจ มู่เฉินก็ต้องเผชิญกับปัญหามากขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่กลัวคนเหล่านั้นก็ตาม
ดังนั้นนี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขา หากสภาอาวุโสตกอยู่ในมือของตระกูลเฉวียนและมั่ว
“เราจะหยุดสิ่งนี้ได้อย่างไร?” มู่เฉินถาม
“ก็ต้องรักษาชัยชนะสองรอบในการประลองเพื่อรักษาตำแหน่งไว้” ชิงเซวียนถอนหายใจก่อนที่จะพูดต่อ “แต่ทั้งสองตระกูลมีรากฐานลึกมาก มิหนำซ้ำยังมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมากกว่าตระกูลชิงซะอีก พวกเขาเตรียมพร้อมและไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะหยุดพวกเขา”
เมื่อได้ยินคำพูดของชิงเซวียน มู่เฉินก็รู้ว่าตระกูลชิงตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหน เขาถามต่อว่า “แล้วทำไมพวกท่านถึงเอาแต่ปกป้องไม่โจมตีล่ะ?”
ในเมื่อมีการรับประลอง ก็ต้องมีการท้าประลอง
ชิงเซวียนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เราป้องกันไม่ได้แล้วจะโจมตียังไง?”
มู่เฉินไม่ใส่ใจกับคำพูดของนางและพูดต่อ “แล้วจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งลงประลองไหม?”
“เป็นไปได้อย่างไร… ตระกูลใดที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะเข้าสู่สภาผู้อาวุโสได้เลย ซึ่งเทียบเท่ากับห้าตำแหน่ง” ชิงเซวียนรีบตอบ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นมู่เฉินก็ขมวดคิ้ว “ถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมพวกเขาถึงขังแม่ข้าล่ะ?”
หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งคล้ายคลึงกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เขาเชื่อว่าแม้กระทั่งเผ่าฝูถูที่มีรากฐานลึกซึ้ง ก็ไม่น่ากล้าที่จะปล่อยปละบุคคลเช่นนี้
ชิงเซวียนกัดฟัน “ทั้งหมดเป็นเพราะตระกูลเฉวียนและมั่ว ย้อนกลับไปตอนที่แม่เจ้าถูกคุมขัง นางยังไปไม่ถึงระดับนั้น แต่ทั้งสองตระกูลกลัวว่านางที่กลับไปตระกูลชิงจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับตระกูลและได้รับคะแนนเสียงมากขึ้นในสภาผู้อาวุโส นอกจากนี้ผู้อาวุโสใหญ่ยังดื้อรั้น เขาปฏิเสธตำแหน่งของแม่เจ้าในนามสภาและยังกักขังแม่เจ้าต่อไป”
เมื่อมู่เฉินได้ยินเช่นนั้นสายตาเย็นชาก็กะพริบด้วยเจตนาฆ่า ตระกูลสารเลวนั่นมากไปแล้ว!
ชิงเซวียนเผยความรู้สึกผิดบนใบหน้าขณะที่กล่าวว่า “นอกจากนี้ยังเป็นเพราะการลดลงของตระกูลชิง ดังนั้นแม้ว่าเราจะตอบโต้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย”
แม้ว่าในตระกูลชิงจะยังคงมีบางคนไม่พอใจที่ชิงเหยี่ยนจิ้งละทิ้งพวกเขา แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าการกลับมาของชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะทำให้ตระกูลชิงผงาดขึ้นมาได้ ดังนั้นแต่ละคนก็พยายามเต็มที่เพื่อช่วยเหลือชิงเหยี่ยนจิ้ง
ทว่าตระกูลชิงไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะพยายามทำทุกอย่าง ก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับตระกูลเฉวียนและมั่ว
มู่เฉินพยักหน้าหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดว่า “ข้าช่วยพวกท่านรักษาตำแหน่งได้”
เมื่อชิงเซวียนได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจก่อนที่จะมองมู่เฉินนิ่ง “เจ้ามีวิธีอะไร?”
มู่เฉินไม่ได้ตอบคำถามโดยตรงแต่กล่าวว่า “ข้ามีวิธีของตัวเอง ถ้าพวกท่านเชื่อในตัวข้าก็ปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้”
หลังจากลังเลชั่วครู่ชิงเซวียนก็กัดฟัน “ข้าจะกลับไปคุยกับคนอื่นเอง”
ตอนนี้พวกนางต้องคว้าโอกาสที่มาถึงมือไว้ให้หมด ในเมื่อมู่เฉินสามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้ตั้งแต่อายุเท่านี้ เขาต้องมีความพิเศษแน่นอน
มู่เฉินพยักหน้าและพูดเบาๆ “แต่ในเมื่อข้าช่วยแล้ว พวกท่านก็ต้องช่วยข้าด้วยเรื่องหนึ่ง”
“เจ้าต้องการอะไร?”
มู่เฉินกำมือแถบหยกก็ปรากฏขึ้น เขาพลิกนิ้วเลือดกลั่นก็พุ่งไปบนแถบหยกสร้างอักขระโลหิตขึ้น
จากนั้นเขาก็ส่งแถบหยกให้ชิงเซวียน “ในเมื่อพวกท่านเป็นผู้อาวุโสของเผ่า ก็น่าจะสามารถเข้าไปในใจกลางของค่ายกลพิทักษ์เผ่าฝูถูได้ ข้าต้องการให้พวกท่านใส่แถบหยกนี้ก่อนที่งานชุมนุมสายเลือดจะเริ่มขึ้น”
ใบหน้าของชิงเซวียนเปลี่ยนไป นั่นคือค่ายกลพิทักษ์ที่ปกปักเผ่าฝูถู ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง พวกเขาจะกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยท่านแม่และไม่ได้มีความตั้งใจที่จะสร้างความบาดหมาง ไม่ต้องกังวลข้าแค่อยากมีทุนเพื่อต่อรองกับทางเผ่าสักหน่อยน่ะ” มู่เฉินพูดเมื่อเห็นปฏิกิริยาของชิงเซวียน
ชิงเซวียนเผยสีหน้าดิ้นรนเมื่อได้ยิน
“ถึงท่านจะไม่เชื่อข้า แต่ก็ต้องเชื่อท่านแม่ข้าใช่ไหม? นางคงไม่นั่งดูเผ่าฝูถูถูกข้าทำลายหรอก”
พอได้ยินคำพูดเหล่านั้นสีหน้าของชิงเซวียนก็ดีขึ้น แม้ว่านางจะไม่เข้าใจนิสัยของมู่เฉิน แต่นางเข้าใจน้องสาวของตัวเองดี
แม้ว่าเผ่าจะกักขังนางทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจ แต่นางก็ไม่มีทางคิดจะล้างแค้นแน่นอน เพราะที่นี่เป็นที่กำเนิดและเลี้ยงดูนาง ขณะเดียวกันยังมีญาติสายเลือดเดียวกันอีกมากมาย
นอกจากนี้แม้ค่ายกลพิทักษ์จะสำคัญ แต่ก็ไม่มีทางใช้พลิกทั้งเผ่าได้แน่นอน ด้วยความฉลาดของมู่เฉิน เขาก็คงรู้จุดนี้ดี
“ได้ ข้าตกลง”
ด้วยการตัดสินใจนี้ ชิงเซวียนก็ไม่ลังเลอีกต่อไป นางพยักหน้าก่อนที่จะรับแถบหยกเปื้อนเลือดมู่เฉินไป
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นเนื่องจากสิ่งนี้สำคัญมาก แม้ว่าเขาจะเชิญแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูมา แต่เขาก็กลัวว่าพวกแพะแก่เผ่าฝูถูจะไม่มีเหตุผล เนื่องจากมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งอยู่ด้วย ดังนั้นเขาต้องการหลักประกันสักเล็กน้อยเพื่อเผชิญหน้ากับพวกเขา
“ถ้างั้นข้าต้องขอบคุณผู้อาวุโสชิงเซวียน”
มู่เฉินยิ้มอย่างสุภาพ ชิงเซวียนถอนหายใจในใจ ในแง่ของความอาวุโสมู่เฉินควรเรียกนางว่าท่านป้า ทว่ามู่เฉินมีม่านกั้นในใจอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรักษาระยะห่างไว้
แต่เมื่อคิดถึงการที่มู่เฉินต้องแยกจากมารดาและพึ่งพาตัวเองมาไกลขนาดนี้ นางก็เข้าใจความขุ่นเคืองในใจนั้นได้
ตอนนี้นางหวังเพียงว่ามู่เฉินจะสามารถช่วยมารดาได้ เพื่อให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะค่อยๆ คลี่คลายลงในอนาคต
เนื่องจากทั้งคู่พูดสิ่งที่ต้องการหมดแล้ว ชิงเซวียนก็โบกมือลามู่เฉินก่อนจะเดินออกไป
มู่เฉินมองไปที่ร่างเงาของชิงเซวียนก็ถอนหายใจ นี่ช่วยลดปัญหาได้มากจริงๆ ด้วยความช่วยเหลือของชิงเซวียน
เวลานี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว เขาก็แค่รอให้การประลองงานชุมนุมสายเลือดเริ่มขึ้น
มู่เฉินยืนเอามือไพล่หลังมองไปบนท้องฟ้า
“เผ่าฝูถูครั้งนี้สู้กันแบบดีๆ เถอะ…”
เขารอมานานแล้วสำหรับวันนี้
“เหวี่ยงตัวเองเข้ามาในตาข่าย?”
มู่เฉินมองชิงซวงที่กำลังคลั่งก่อนที่จะยิ้มตอบว่า “ท่านแม่ปกป้องข้ามาตั้งนาน ข้าไม่โง่ที่จะหุนหันพลันแล่นหรอก”
“เจ้าก็รู้ตัวนี่? ที่นี่คือมิติฝูถูซึ่งเป็นกองบัญชาการใหญ่ของเผ่าฝูถู! ด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มของเจ้า ผู้อาวุโสทุกคนที่นี่จับกุมเจ้าได้อย่างง่ายดาย!” ชิงซวงถลึงตาขณะที่ร้องโวยวาย
เหตุผลที่นางลงทุนเสี่ยงไปแจ้งข่าวให้มู่เฉิน ก็เพื่อให้เขาไปซ่อนตัวให้ดีและไม่ถูกตรวจพบโดยเผ่าฝูถู แต่ตอนนี้เขาดันวิ่งทะเล่อทะล่ามาที่เผ่าฝูถู ซึ่งนี่ทำให้นางรู้สึกโกรธมาก
“ข้าว่าคงไม่มีผู้อาวุโสคนไหนจับข้าได้หรอก” มู่เฉินยิ้ม
“เจ้า!” ชิงซวงมุ่นคิ้ว นางรู้สึกว่าคำพูดของมู่เฉินดูจะผยองเกินไปหน่อย
แต่ก่อนที่นางจะเริ่มโวยวายต่อ มู่เฉินก็ก้าวออกมาครึ่งก้าวพร้อมกับรัศมีที่น่ากลัวพวยพุ่งออกมาจากร่างกายเขา ทำเอาฟ้าดินโดยรอบสั่นสะเทือน
ชิงซวงหดดวงตาทันทีจากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความตกตะลึง แม้ว่าชายหนุ่มจะปล่อยแรงกดดันน่ากลัวออกมาชั่วขณะ แต่นางก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนจากระยะทางแค่นี้
รัศมีนั่นเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้อาวุโสบางคนในตระกูลก็ไม่สามารถประชันด้วยได้
“จะ…เจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วหรือ?!” ดวงตาชิงซวงโตเท่าไข่ห่านพร้อมกับความไม่เชื่อบนใบหน้า ตอนที่นางพบกับมู่เฉินเมื่อปีก่อนเขาเพิ่งบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ในเวลาสั้นๆ เพียงปีเดียวเขาก็ก้าวข้ามขอบเขตเข้าสู่ขุมพลังเทียนจื้อจุน!
ความเร็วในการฝึกฝนของเขาน่าสะพรึงขนาดไหน? ต้องมีพรสวรรค์และโอกาสมากเท่าไรสำหรับสิ่งนั้น?
ในฐานะสมาชิกเผ่าฝูถู ชิงซวงรู้ชัดเจนว่าการก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนยากเพียงใด แม้แต่จอมยุทธ์รากฐานมั่นคงในเผ่าฝูถูก็ยังก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนอย่างยากลำบาก
เช่นเดียวกับเฉวียนหลัวและมั่วซินที่เป็นผู้นำจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของตระกูลเฉวียนและมั่ว แต่กระนั้นพวกเขาก็สามารถแค่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนได้หลังจากใช้ทรัพยากรของเผ่าไปมหาศาล แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะบรรลุขุมพลังนั้นได้เมื่อไรกัน
แต่ตอนนี้มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุนก้าวนำทั้งสองคนแล้ว ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อแค่ไหน
“ได้รับโอกาสบางอย่างจึงบรรลุได้น่ะ” ท่าทางของมู่เฉินสงบลง
ชิงซวงตะลึงไปนานก่อนที่จะฟื้นสติขึ้นมาและมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน นางรู้ดีถึงคลื่นความตกตะลึงที่จะซัดใส่เผ่าฝูถูหากมีการเปิดเผยเรื่องนี้
มู่เฉินเป็นตัวกาลกิณีที่ไม่ได้รับการสนับสนุนทรัพยากรใดๆ ของเผ่าแม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์ แต่ก็ควรมีขีดจำกัด ทว่าความเป็นจริงกลับทำให้ทุกคนถูกตบหน้า ซ้ำยังบอกพวกเขาด้วยว่าแม้จะไม่มีเผ่าฝูถูคนอย่างเขาก็ยังสามารถเหนือกว่าอัจฉริยะที่พวกเขาฟูมฟักเลี้ยงดูมาในเผ่า…
“ตะ… แต่ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ก็ไม่ควรมาที่เผ่าฝูถูนะ!” ชิงซวงสูดหายใจเข้าลึกและพูด แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะทรงพลัง แต่ก็ไม่อาจข่มขู่เผ่าฝูถูได้ เพราะรากฐานเผ่าโบราณลึกล้ำ ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงแม้แต่ขั้นเซิ่งก็ไม่กล้าก่อปัญหาในเผ่าฝูถู
“ข้ารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่นะ” มู่เฉินพยักหน้า
เมื่อเห็นแววตาสงบนิ่งของมู่เฉิน ชิงซวงก็รู้ว่าคำห้ามปรามของนางไร้ประโยชน์ ดังนั้นนางจึงทำเพียงถอนหายใจและพาทั้งสามคนไปยังลานเงียบสงบ
“ข้าบอกเรื่องนี้กับผู้อาวุโสชิงเซวียนได้ไหม?” ชิงซวงมองไปที่มู่เฉินพลางถามหลังจากจัดการเรื่องนี้แล้ว
หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่มู่เฉินก็พยักหน้า
ชิงซวงรู้สึกหายใจโล่งบ้าง เมื่อตกลงกันเรียบร้อยนางก็ออกไป
มู่เฉินมองร่างเงาบอบบางก็หันกลับมาพูดกับหลิงซีและหลงเซี่ยงว่า “สองวันนี้พยายามอย่าออกไปไหน ทุกอย่างรอให้เริ่มงานชุมนุมสายเลือดก่อน”
ถึงยังไงพวกเขาก็มาอยู่ในเผ่าฝูถูแล้ว หากตัวตนของพวกเขาถูกเปิดเผยก็จะทำให้เกิดปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับมู่เฉินที่จะบรรลุเป้าหมาย
หลิงซีและหลงเซี่ยงพยักหน้า ครั้งหนึ่งพวกเขาก็เคยอยู่ในเผ่าฝูถูมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้เกี่ยวกับรากฐานของเผ่าโบราณเผ่านี้โดยธรรมชาติ ตอนนี้พวกเขาอยู่ในถ้ำเสือแล้ว พวกเขาต้องระวังตัวให้มาก
หลังจากสั่งทั้งสองคนแล้ว มู่เฉินก็เคลื่อนไหวไปปรากฏตัวในเก๋งหินที่ตั้งอยู่ในสวนแล้วนั่งลง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แสงหลิงสว่างวาบในดวงตาราวกับว่ามีสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนสะท้อนในรูม่านตา
บางทีคนอื่นอาจเห็นเพียงคลื่นหลิงไร้ขอบเขตเมื่อจ้องมองไปบนท้องฟ้าของมิติฝูถู แต่มู่เฉินสามารถมองเห็นค่ายกลขนาดใหญ่
ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลพิทักษ์เผ่าฝูถูและความลึกล้ำก็เป็นสิ่งที่แม้แต่หลิงเจิ้นจงซืออย่างมู่เฉินก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้
แต่เขาไม่ได้พยายามที่จะมองผ่านค่ายกลนี้ แต่พยายามทำความคุ้นเคยต่างหาก
การสัมผัสของเขากินเวลาตลอดบ่ายและแววตาก็สงบลงเมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน
“เป็นอย่างนี้เอง…”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเองด้วยแววตาอัศจรรย์ใจ นั่นเป็นเพราะขณะที่เขาสัมผัสก็ตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้วค่ายกลพิทักษ์นี้มีช่องโหว่บางอย่าง
ช่องโหว่เหล่านั้นถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน แต่มู่เฉินก็สามารถรับรู้ได้ชัดเจนด้วยทักษะที่ได้รับมา ถ้าเขาเดาไม่ผิดช่องโหว่เหล่านั้นถูกทิ้งไว้โดยมารดาของเขา
“หืม?”
ขณะที่มู่เฉินกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่าทางก็เปลี่ยนไปทันที สายตาหันไปมองระลอกมิติที่ผันผวนในสวน ร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้น
นี่เป็นสตรีที่ยังคงเค้าความงดงามและสง่างาม นางก็คือผู้อาวุโสชิงเซวียนที่เขาเคยพบมาก่อน
“ผู้อาวุโสชิงเซวียนมาเร็วเหมือนกันนะ” มู่เฉินยิ้มขณะมองไปที่ชิงเซวียน
ชิงเซวียนมองไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะเคลื่อนไหวฉับพลันมาปรากฏที่เบื้องหน้าเขา ฝ่ามือของนางฟาดออกพร้อมกับรัศมีซัดใส่มู่เฉิน
แม้ว่าฝ่ามือนั้นดูเหมือนไร้พลัง แต่ก็ทำให้เก๋งหินถล่มลงมา พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือนราวกับพังแหล่มิพังแหล่
เมื่อฝ่ามือน่ากลัวพุ่งเข้ามา มู่เฉินก็มีท่าทางไม่แยแส เขารอให้ฝ่ามือพุ่งลงมาก่อนที่จะปัดมือใส่ฝ่ามือนั้นลวกๆ
ปัง!
เกิดการปะทะกัน มู่เฉินไม่ได้ขยับไปไหน แต่ชิงเซวียนตัวสั่นถอยออกไปหลายก้าวโดยที่พื้นที่ใต้เท้าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เมื่อทรงตัวได้ชิงเซวียนก็ไม่ได้ออกกระบวนท่าอะไรอีก แต่มองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน “ตอนที่ชิงซวงบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ข้ายังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เจ้าเหมือนจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วจริงๆ”
ขณะที่พูดแววพึงพอใจก็กะพริบในส่วนลึกของดวงตานาง
ทว่าในไม่ช้านางก็ถอนอารมณ์ออกพลางทอดถอนใจ “แต่เจ้าก็ไม่ควรมาที่นี่”
“เผ่าฝูถูทำให้ข้ากับท่านแม่ต้องแยกจากกันเป็นสิบๆ ปี ทำไมข้าถึงไม่ควรมาล่ะ?” มู่เฉินพูดอย่างไม่แยแสพร้อมกับแสงเย็นวูบไหวในม่านตา
ผู้อาวุโสชิงเซวียนยิ้มอย่างขมขื่น “กระทั่งแม่ของเจ้าที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังไม่สามารถต่อกรกับทั้งเผ่าได้ ตัวเจ้าที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงจะทำอะไรได้?”
“เผ่าฝูถูทรงพลัง แต่ข้าไม่คิดว่าทางเผ่าจะทำอะไรก็ได้ในมหาพันภพใช่ไหม?” มู่เฉินพูดอย่างใจเย็น โดยไม่เปิดเผยความกลัวใดๆ ในดวงตา
ชิงเซวียนอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ นางคิดว่ามู่เฉินแค่พูดออกมาด้วยความโกรธ ที่สุดแล้วเผ่าฝูถูก็ไม่สามารถกระทำการอย่างไม่เกรงกลัวในมหาพันภพ แต่กลับไม่ใช่สำหรับมู่เฉิน
“เจ้าอยากทำอะไร?” ชิงเซวียนลังเล ก่อนที่จะกัดฟันถามออกมา
มู่เฉินมองไปที่ชิงเซวียน ท่าทางของเขาก็ผ่อนคลายลง “ท่านยอมช่วยข้าหรือ?”
สายตาของชิงเซวียนดิ่งลงก่อนที่จะตอบว่า “นางก็เป็นน้องสาวของข้าเช่นกัน แต่ตอนนี้ตระกูลชิงอ่อนแอลงทุกวัน อำนาจในเผ่าก็น้อยลง ตระกูลมั่วและเฉวียนพยายามกดตระกูลชิงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหลายเรื่องเราก็ช่วยอะไรไม่ได้”
“ตอนนั้นเราไม่สามารถช่วยมารดาเจ้าได้ คราวนี้จะให้เราปล่อยเจ้าถูกจับตัวก็ไม่ได้ มิฉะนั้นตระกูลชิงก็ไม่มีหน้าขอโทษน้องสาวข้าและท่านตาแล้วจริงๆ”
มู่เฉินอยู่ในความเงียบงัน เขารู้ว่าตระกูลชิงยิ่งใหญ่ตอนที่ท่านตาเขาปกครองจนเติบโตเป็นหนึ่งในสายเลือดหลักของเผ่าฝูถู แต่หลังจากการตายของท่านตา มารดาของเขาไม่อยากที่จะรับช่วงประมุขตระกูลจึงหนีออกจากไป ท้ายที่สุดนางก็ได้พบกับบิดาเขาและให้กำเนิดเขา ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้นางถูกคุมขัง
“ช่วยบอกสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลชิงได้ไหม?” มู่เฉินถาม
แม้ว่าตระกูลชิงจะเริ่มตกต่ำ แต่ก็ยังคงเป็นพลังได้หากดึงเข้ามาช่วย มู่เฉินไม่ใช่คนหยิ่งผยองที่คิดจะเผชิญหน้ากับเผ่าโบราณนี้ด้วยตัวเอง
ชิงเซวียนยิ้มอย่างขมขื่น “สถานการณ์ปัจจุบันเลวร้ายกว่าที่เจ้าคิด หากครั้งนี้ตระกูลชิงไม่สามารถแสดงผลงานใดๆ ในการประลองได้ เราจะหลุดจากการเป็นสายเลือดหลักตกเป็นสายเลือดย่อย…”
มู่เฉินขมวดคิ้ว สถานการณ์ของตระกูลชิงย่ำแย่ขนาดนี้แล้วเหรอ?
“งานชุมนุมสายเลือดคืออะไรกันแน่?”
เสียงหัวเราะพลิ้วหวานดังขึ้น
หญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวด้วยชุดเสื้อยาวสีดำและกางเกงสีดำ เอวและช่วงขายาวอธิบายด้วยคำว่าสมบูรณ์แบบ ผมมัดเป็นหางม้าดูมีชีวิตชีวานัก
นางมีรูปลักษณ์ที่งดงามยิ่ง ดวงหน้าแย้มบานด้วยรอยยิ้ม ความเฉลียวฉลาดวูบไหวอยูในม่านตา ซึ่งสามารถบรรเทาอารมณ์ของคนที่มองได้
นางก็คือหลินจิ้งนั่นเอง
“ครั้งนี้เจ้าไม่ได้หนีออกจากบ้านมาใช่ไหม?” มู่เฉินยิ้มแซวพร้อมกับทำตาเล็กตาน้อย
“ไม่ได้หนีนะ!” หลินจิ้งย่นจมูกพลางก้าวถอยหลังเผยให้เห็นภาพเงาอีกด้านหนึ่ง เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ เห็นคนผู้นี้ ก็อดรู้สึกอะไรจะปานนั้นไม่ได้ แต่เมื่อมองให้ชัดเจนความรู้สึกก็เปลี่ยนเป็นประหลาด
เนื่องจากชายคนนี้สวมชุดสีขาว ใบหน้าดูงดงามอย่างยิ่ง ให้ความรู้สึกสวยในแวบแรก แต่หากมองดีๆ ก็จะรู้ว่าแท้จริงเขาเป็นผู้ชาย
“นี่ท่านอาเตียว น้องชายร่วมสาบานของท่านพ่อข้าน่ะ” หลินจิ้งจับแขนอีกฝ่ายแกว่งไปมาแล้วหัวเราะเสียงใส ก่อนจะขยิบตาให้มู่เฉิน “สวยใช่ไหม?”
ทุกคนแสดงท่าทางกระอักกระอวน จะให้ตอบคำถามนี้ยังไง?
เมื่อชายรูปงามได้ยินคำพูดของหลินจิ้ง มุมริมฝีปากก็กระตุก ถ้ามีคนอื่นบอกเขาว่าสวยละก็ คงโดนจัดการตบสั่งสอนไปนานแล้ว แต่สำหรับหลานสาวตัวน้อยเขาไม่อยากแม้แต่จะตีนาง จึงได้แต่ถลึงตาใส่อย่างช่วยไม่ได้
“โฮ่ๆ นี่คงเป็นประมุขรองแคว้นหวูท่านหลินเตียวใช่ไหม?” เย่าเฉินยิ้ม
เมื่อมู่เฉินได้ยินหัวใจก็สั่นสะท้าน เขาเคยได้ยินมาว่าประมุขรองแคว้นหวูก็มาจากพิภพเขตล่างเช่นกัน มิหนำซ้ำยังเป็นเทพอสูรเพียงพอนฟ้า เมื่อเข้ามายังมหาพันภพก็ได้พัฒนาการเป็นมหาเทพอสูรของที่นี่ ในแง่ของความแข็งแกร่งก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเลยทีเดียว
“หลินเตียวคารวะผู้อาวุโสเย่า” หลินเตียวประสานมือพร้อมกับดึงไอเย็นที่มีก่อนหน้ากลับคืน
จากนั้นเขาก็หันไปหามู่เฉินพลางกวาดสายตา “ข้าว่าเจ้าน่าจะเป็นมู่เฉินใช่ไหม?”
“คารวะผู้อาวุโสหลินเตียวขอรับ” มู่เฉินพยักหน้า
“พรสวรรค์ยอดเยี่ยม มิน่าแม้แค่หลินต้งยังประเมินเจ้าไว้สูงมาก” หลินเตียวกล่าวชื่นชม ด้วยสายตาเฉียบแหลมเขาสามารถบอกได้ว่ารากฐานของมู่เฉินแข็งแกร่งมาก แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง แต่ก็สามารถบรรลุขั้นเซิ่งในอนาคตได้แน่นอน
“เราได้รับข้อความของเจ้า แคว้นหวูจะให้การสนับสนุน”
เย่าเฉินยิ้มอย่างอบอุ่น “หากต้องการอะไร แคว้นหวู่จิ้งฮั่วก็จะช่วยเช่นกัน”
มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า การมาเยือนเผ่าฝูถูครั้งนี้เป็นเรื่องที่อันตราย แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอ่อนแอเกินไปหากต้องการฉีกหน้ากับเผ่าโบราณนี้
ดังนั้นก่อนที่เขาจะเดินทางก็ได้ส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นหวูและแค้วหวู่จิ้งฮั่ว แน่นอนว่านี่เป็นเพียงมาตราการการป้องกันเท่านั้น ในกรณีที่เผ่าฝูถูเล่นตุกติก ไม่อย่างนั้นคนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัวพวกเขาหรอก
“งั้นข้าขอแสดงความขอบคุณ ครั้งนี้ข้าเป็นหนี้บุญคุณแล้ว” มู่เฉินคารวะด้วยมารยาทให้กับหลินเตียวและเย่าเฉิน
เซียวเหยียนและหลินต้งให้ความคุ้มครองแก่เขาเพื่อขอบคุณที่เขาช่วยเซียวเซียวและหลินจิ้งไว้ แต่เขาก็ได้รับความช่วยเหลือตอบแทนมาแล้ว ดังนั้นหากเขาต้องการความช่วยเหลือ เขาก็จะต้องเป็นหนี้บ้าง
“ตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นหนี้บุญคุณแล้ว” หลินเตียวยิ้ม คำพูดนี้ชัดเจน ในมหาพันภพไม่ใช่ใครก็ได้ที่สามารถร้องขอความช่วยเหลือจากแคว้นหวูและแคว้นหวู่จิ้งฮั่วได้ ทว่ามู่เฉินสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนตั้งแต่วัยเท่านี้ อนาคตเขาจะกลายเป็นยอดยุทธ์ที่มีศักยภาพแน่นอน ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติที่จะให้ความช่วยเหลือ
มู่เฉินพยักหน้า “ในอนาคตถ้าต้องการความช่วยเหลือ ข้าก็จะทำเต็มความสามารถ”
หลิงซีและหลงเซี่ยงอดถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมู่เฉินถึงกล้ามาที่เผ่าฝูถู เพราะว่าเขาวางแผนเตรียมพร้อมทุกฝีก้าวเลยทีเดียว
ด้วยการสนับสนุนจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู ก็ไม่ต้องกลัวการข่มขู่จากเผ่าฝูถูแล้ว
หลิงซีมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาพอใจ ใครจะคิดได้ว่าชายหนุ่มที่ออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางเพื่อท่องยุทธภพจะเติบโตขึ้นแล้วในตอนนี้? มากจนถึงขนาดที่เขาสามารถเชิญขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสองของมหาพันภพและยืนเคียงข้างยักษ์ใหญ่ทั้งสองได้ กระทั่งเผ่าฝูถูก็ยังไม่กล้าเผยอหน้ามอง
“ในเมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว เราก็มุ่งหน้าเข้าสู่มิติฝูถูกันเถอะ” เย่าเฉินยิ้ม
ทุกคนพยักหน้า ผู้ดูแลก็รี่เข้ามาเรียกเรือหรูหราที่สุดให้
ขั้วอำนาจยักษ์ใหญ่ทั้งสองไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเผ่าหมัวเฮอแต่อย่างใด ในบางแง่มุมแม้แต่เผ่าโบราณทั้งห้าก็ยังหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรรพรรดิสงคราม
สำหรับพวกมู่เฉินทั้งสามคน พวกเขาได้นั่งบนเรือที่หรูหราที่สุดเนื่องจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูชักชวน ทิ้งสายตาอิจฉาจำนวนมากไว้
เรือแล่นไปอย่างรวดเร็วถึงประตูทางเข้าในเวลาไม่กี่นาที จากนั้นก็แล่นเข้าไปช้าๆ
เมื่อเรือเข้าไป พลังทรงประสิทธิภาพก็กวาดออกไป ทำให้ดวงตาของเย่าเฉินและหลินเตียวหดลงเลยทีเดียว
“นี่คือค่ายกลพิทักษ์ของเผ่าฝูถู” มู่เฉินก็รู้สึกได้เช่นกัน เขาหรี่ตามองไปในความว่างเปล่า ความสำเร็จในด้านค่ายกลของเขามาถึงขั้นหลิงเจิ้นจงซือแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถสัมผัสได้คลุมเครือว่ามีค่ายกลขนาดใหญ่ปกป้องพื้นที่นี้อยู่
ค่ายกลพิทักษ์นี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิงก็ไม่สามารถทำลายได้
“มีหลายวิธีในการใช้ค่ายกลพิทักษ์ เห็นได้ชัดว่าคนรุ่นหลังได้ค่อยๆ ปรับปรุงจนสมบูรณ์แบบ” มู่เฉินหลับตาสัมผัสค่ายกล ก่อนที่ดวงตาเขาจะสั่นสะท้าน
เนื่องจากเขารู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยที่มาจากมัน
“ท่านแม่สินะ… ท่านแม่เข้าร่วมในการทำให้ค่ายกลพิทักษ์นี้ให้สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังชัดเจนมาก คงไม่ได้ผ่านมานานเท่าไร” สายตาของมู่เฉินวูบไหวก่อนที่รอยยิ้มแปลกประหลาดจะปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก จากนั้นก็สลายการสัมผัสไป เพราะกลัวว่าจะโดนคนอื่นจับได้
เมื่อเรือแล่นเทียบท่าทัศนียภาพก็เปลี่ยนไป ราวกับว่าพวกเขาเข้าสู่อีกโลกหนึ่งพร้อมด้วยคลื่นหลิงบริสุทธิ์ลอยอวลเติมมิติ
“สมกับเป็นหัวใจของเผ่าฝูถูแท้จริง” มู่เฉินถอนหายใจกับฉากนี้ แม้แต่วังสวรรค์บรรพกาลก็ยังขาดเมื่อเทียบกับมิติฝูถูแห่งนี้
ทว่านี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะวังสวรรค์บรรพกาลถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิฟ้า หลังจากนั้นท่านก็สละชีวิต ไม่มีใครช่วยสานต่อ ดังนั้นจึงสึกกร่อนไปตามกาลเวลา ซึ่งตรงกันข้ามกับมิติฝูถูที่ได้รับการจัดการอย่างดีในช่วงหลายหมื่นปี ดังนั้นจึงแข็งแกร่งกว่าวังสวรรค์บรรพกาลโดยธรรมชาติ
เรือแล่นข้ามขอบฟ้าไม่นานก็แล่นช้าลง มู่เฉินและคนอื่นๆ รู้สึกได้ถึงความเร็วที่ลดลงกะทันหัน พวกเขาพากันมองขึ้นไปข้างหน้า
เทือกเขาขนาดมหึมาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าครรลองสายตาพร้อมกับเจดีย์สีดำขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายไป
ทั่วทั้งฟ้าดินพร้อมกับกลิ่นอายโบราณลอยฟุ้ง
เมื่อเรือจอดเทียบท่า ร่างแสงก็ทะยานมาจากระยะไกลพลิ้วตัวลงบนเรือ
“ขงคงจากเผ่าฝูถูทักทายผู้เฒ่าเย่าและท่านหลินเตียว”
เขาเป็นชายสูงวัยที่มีผมสีดำแซมขาว แรงกดดันทรงพลังเปล่งออกมาจากร่างกาย เห็นได้ชัดว่าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง
“อา…ผู้อาวุโสขงคง” เย่าเฉินและหลินเตียวพยักหน้ารับ
มู่เฉินมองไปที่ผู้อาวุโสขงคงก่อนที่จะกวาดสายตาไปที่ด้านหลังก็ต้องอึ้งไปชั่วครู่ เขาเห็นคนคนหนึ่งเบิกตากว้างกำลังมองมาที่เขา
“ชิงซวง”
มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวพร้อมกับสายตากะพริบวูบไหว เขาไม่คิดว่าจะได้พบกับชิงซวงตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาเหยียบเผ่าฝูถู
“ทุกคนมาไกลไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ”
ผู้อาวุโสขงคงให้ความสุภาพกับเย่าเฉินและหลินเตียวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉิน “พ่อหนุ่มดูไม่คุ้นหน้านะ มีเทียบเชิญไหม?”
“เขาเป็นสหายน้อยของพวกเรามาที่นี่เพื่อชมพิธีน่ะ” เย่าเฉินยิ้ม
ขงคงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนที่แววตาจะจางลง ไม่มีกระทั่งเทียบเชิญ คงมาจากแค่ขั้วอำนาจธรรมดา
“โปรดตามข้ามา”
ขงคงหันหลังทะยานไปยังภูเขาสูงตระหง่านที่เต็มไปสวนที่ตกแต่งอย่างหรูหราสำหรับแขกสำคัญ
“ชิงซวงนำแขกทั้งสามคนไปที่สวนพักขั้นตี้เถอะ”
ขงคงกล่าวกับชิงซวง เขาต้องการต้อนรับกลุ่มเย่าเฉินและหลินเตียว สำหรับกลุ่มมู่เฉิน เขาไม่จำเป็นต้องรับเป็นการส่วนตัว
ชิงซวงพยักหน้านำทางไป
มู่เฉินพยักหน้าให้เย่าเฉินและหลินเตียว ก่อนที่เขาจะออกไปกับหลิงซีและหลงเซี่ยง
ทั้งกลุ่มลัดเลาะมาถึงสถานที่ที่ไม่มีผู้คน ก่อนที่ชิงซวงจะหยุดแล้วหันขวับมามองมู่เฉินอย่างโกรธเคือง “เจ้าอยากตายจริงๆ ใช่ไหม! ทำไมถึงมาที่เผ่าฝูถู?!”
“เจ้ากำลังเหวี่ยงตัวเองเข้ามาในตาข่ายชัดๆ!”
“มู่เฉินทักทายผู้อาวุโสขอรับ”
มู่เฉินไม่กล้าไร้มารยาทต่อชายชรา เขาประสานมือโค้งคำนับพร้อมกับท่าทางเคร่งขรึมลง บุคคลที่สามารถสั่งสอนใครสักคนที่ยิ่งใหญ่อย่างเทพจักรพรรดิอัคคี ชายชราคนนี้ต้องมีความพิเศษแน่
“ฮ่าๆ ข้าชื่อเย่าเฉิน พูดถึงเรื่องนี้ดูเหมือนว่าเราจะมีชะตาต่อกันนะ กระทั่งชื่อยังใช้คำว่า ‘เฉิน’ เหมือนกันอีกด้วย”
ชายชรายิ้มให้มู่เฉินอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะพูดต่อ “จอมยุทธ์หนุ่มน้อยขุมพลังเทียนจื้อจุน เจ้าถือได้ว่าเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ข้าเคยเห็น ไม่น่าแปลกใจที่เซียวเหยียนประเมินเจ้าไว้สูง”
“ท่านเซียวเหยียนชมเกินไป” มู่เฉินยิ้มโดยไม่มีความโอหังหรือความเย่อหยิ่งสักนิด
แม้ว่าเย่าเฉินจะแก่ชรา แต่มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันคลุมเครือที่แผ่ซ่านออกมา เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้ต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนของแท้
เมื่อเทียบกับระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเช่นเขา เย่าเฉินอยู่ในระดับสูงขึ้นไปอีก
แต่มู่เฉินไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เนื่องจากเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจารย์ของเทพจักรพรรดิอัคคีจะมีความแข็งแกร่งเช่นนี้
ดังนั้นเทียบกับพลังของเย่าเฉินแล้ว มู่เฉินอยากรู้เกี่ยวกับของเซียวเซียวมากกว่า เขารู้สึกได้ว่าความผันผวนของนางไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขาเลย
“เจ้าก็บรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วด้วยหรือ?” มู่เฉินมองเซียวเซียวด้วยความประหลาดใจ
ตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรก แม้ว่านางจะแข็งแกร่งกว่าเขา แต่ก็ยังอยู่ห่างจากระดับเทียนจื้อจุน ส่วนตัวมู่เฉินเองผ่านโชคลาภและประสบการณ์มากมายเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจที่เซียวเซียวไล่ตามเขามาทันได้
“ทำไม? เจ้าเป็นอัจฉริยะคนเดียวในโลกเหรอ?” เซียวเซียวพ่นลมหายใจ
มู่เฉินยิ้มแหย ส่วนเย่าเฉินที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะเบาๆ “ในแง่ของเวลาการบ่มเพาะพลังเซียวเซียวไปไกลกว่าเจ้าสิบกว่าเท่า แต่นางจะเข้าสู่ห้วงนิทราเป็นระยะเนื่องจากสภาพร่างกาย ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นพลังก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ก่อนหน้านี้นางหลับไปประมาณหนึ่งปี เมื่อตื่นขึ้นมาก็ก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนน่ะ”
มู่เฉินตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตามองเซียวเซียวแปลกไป ไม่คิดว่าจะมีเรื่องดีเช่นนี้ แค่นอนก็สามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ
ตรงกันข้ามกับเขาที่ต้องเสี่ยงชีวิต แค่คิดถึงก็รู้สึกเปรี้ยวฝาดในใจ
“มองอะไร?!” เซียวเซียวส่งเสียงแหววอย่างเขินอาย ใบหน้าแดงระเรื่อเมื่อนางเห็นสายตาที่มองแปลกไปของมู่เฉิน
มู่เฉินยิ้มแห้งๆ ก่อนที่จะถอนสายตาแนะนำหลิงซีและหลงเซี่ยงให้รู้จัก
ขณะที่บรรยากาศระหว่างทั้งสองฝ่ายกลมกลืน สายตาจำนวนมากก็พุ่งไปที่มู่เฉินอย่างอยากรู้อยากเห็น พวกเขาต่างสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของชายหนุ่ม เพราะในเมื่อได้รับความใส่ใจแบบนี้จากแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว ชายหนุ่มผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาล่ะมั้ง?
วาบ!
ทว่าขณะที่ทุกคนกำลังเดาตัวตนของมู่เฉิน ทันใดนั้นความปั่นป่วนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ร่างเงาสิบกว่าร่างพลิ้วลงมาที่จัตุรัส
เมื่อพวกเขาปรากฏขึ้นความกดดันมหาศาลแผ่กระจายออกไปทำให้ทั้งจัตุรัสเงียบเสียงลง
สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่พวกเขา
นี่เป็นกลุ่มจอมยุทธ์ที่มีสิบกว่าคนโดยมีผู้นำเป็นชายที่มีรัศมียิ่งใหญ่ เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวดำพร้อมกับกลิ่นอายสูงส่ง โดยเฉพาะดวงตาข้างหนึ่งของเขาก็เป็นสีดำอีกข้างหนึ่งเป็นสีขาวดูมีมนตร์ขลังอย่างยิ่ง
เมื่อมองไปที่เสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์นั้น ก็มีเสียงอุทานดังออกมาจากโดยรอบ “นี่คือเผ่าหมัวเฮอ มิน่าล่ะรัศมีของพวกเขาถึงยิ่งใหญ่เพียงนี้”
เผ่าหมัวเฮอเป็นหนึ่งในห้าเผ่าเก่าแก่ของมหาพันโลกเช่นกัน
ชายคนนั้นไม่สนใจสายตาที่แสดงความเคารพรอบข้าง ท่าทางเขาประหนึ่งจักรพรรดิเสด็จ
ผู้ดูแลเผ่าฝูถูรีบเข้ามาต้อนรับอย่างรวดเร็ว เมื่อโบกมือเรือหรูหราก็ล่องลงมา
เรือหรูหราลำนั้นเป็นสิ่งที่มีเพียงแขกชั้นสูงที่สามารถใช้ได้
“เผ่าหมัวเฮอเรอะ?”
มู่เฉินมองไปที่คนกลุ่มนั้น สายตาก็วูบไหวเพราะเขาจำได้ว่าร่างมหาเทพนิรันดร์ที่สมบูรณ์แบบถูกเก็บไว้ในเผ่าโบราณเผ่านี้
ตอนนี้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขามาถึงจุดสูงสุดแล้ว ดังนั้นอนาคตเขาจะต้องมุ่งหน้าไปยังเผ่าหมัวเฮอเพื่อสร้างร่างมหาเทพนิรันดร์ให้สมบูรณ์
“หืม?”
ขณะที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจเขา ประกายแสงสีม่วงทองก็พวยพุ่งรอบตัว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทำท่าจะปรากฏออกมา
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้เขาตกใจก่อนที่จะระงับอย่างรวดเร็วแล้วมองไปที่ชายคนนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เขารู้สึกได้ว่าความผิดปกติของร่างเทพสุริยะนิรันดร์เกิดจากคนผู้นั้น
ในเวลาเดียวกันอีกฝ่ายก็รู้สึกได้เช่นกัน เขาหยุดการเคลื่อนไหวลงก่อนที่จะมองไปทางมู่เฉิน
สองสายตาปะทะกัน กระแสเลือดและรัศมีในร่างกายของพวกเขาก็สั่นสะท้าน
มู่เฉินหรี่ตาลง สีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงไอหนาวเหน็บไม่เป็นมิตรที่มาจากชายคนนั้น
“เจ้านั่น…ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ด้วย!” มู่เฉินอึ้งไป ปฏิกิริยาที่แปลกประหลาดมาจากร่างเทห์สวรรค์ที่พวกเขาได้รับการฝึกฝน
“แต่ไม่แปลกที่สมาชิกเผ่าหมัวเฮอจะฝึกร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ในเมื่อพวกเขาครอบครองร่างมหาเทพนิรันดร์อยู่” มู่เฉินพึมพำในใจ
มู่เฉินพึมพำในใจ ขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็มีปฏิกิริยาตอบสนองไม่ต่างกันพลางมองไปที่มู่เฉินด้วยความเยาะเย้ยดูถูก “น่าสนใจ…ไม่คิดว่าจะได้พบกับคนนอกที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่นี่”
ตั้งแต่โบราณมาแล้วที่เผ่าหมัวเฮอได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์จากเทพจักรพรรดินิรันดร์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาประกาศตัวว่าเป็นผู้สืบทอดชอบธรรมหนึ่งในสิบร่างมหาเทพปฐมกาล พยายามยับยั้งพวกฝึกฝนนอกรีตด้วยเพราะเกรงว่าจะมีคนที่เหมาะสมปรากฏขึ้นและนำร่างมหาเทพนิรันดร์ไปจากเผ่า
ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายสังเกตเห็นว่ามู่เฉินครอบครองร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เขาก็ปลดปล่อยความเป็นศัตรูออกมาทันที
สายตาเขาวูบไหวด้วยไอเย็นชา เขาคิดจะสั่งให้คนไปตรวจสอบที่มาของมู่เฉิน แต่เมื่อเขาเห็นเซียวเซียวและเย่าเฉินที่อยู่ข้างๆ มู่เฉิน ดวงตาเขาหดลง
“แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว?”
แววตาชายคนนั้นจมลงด้วยความหวาดกลัววูบวาบในดวงตา ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อจากไป
“เผ่าหมัวเฮอน่ารังเกียจเหมือนเดิม” เซียวเซียวส่งเสียงเย็นชาขึ้นจมูกขณะมองแผ่นหลังของชายคนนั้น
“เขาคือใครกัน?” มู่เฉินถาม ชายคนนั้นก็ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ จะต้องเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาในอนาคตอันใกล้ เมื่อเขามุ่งหน้าไปยังเผ่าหมัวเฮอ
“เขาชื่อหมัวเฮอโยวเป็นน้องชายของประมุขเผ่าหมัวเฮอ—หมัวเฮอเทียน” เย่าเฉินตอบ
“หมัวเฮอเทียน?” มู่เฉินหดดวงตาเมื่อได้ยินชื่อนี้ นี่เป็นชื่อที่มีชื่อเสียงมากในมหาพันภพ
“หมัวเฮอเทียนเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานและพยายามกลืนกินแคว้นหวู่จิ้งฮั่วในอดีต แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับท่านพ่อข้า นับจากนั้นมาเผ่าหมัวเฮอก็ไม่กล้าเดินเฉียดแคว้นหวู่จิ้งฮั่วอีกเลย” เซียวเซียวตอบ
มู่เฉินพยักหน้า เขาเคยได้ยินเหตุการณ์นี้มาก่อน หลังจากครั้งนั้นแคว้นหวู่จิ้งฮั่วก็ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในสุดยอดขั้วอำนาจสูงสุดแห่งมหาพันภพ
“จักรพรรดิฟ้าเคยบอกว่าหากข้ามีภูมิหลังและความแข็งแกร่งเพียงพอ ก็ให้มุ่งหน้าไปยังเผ่าหมัวเฮอเพื่อรับร่างมหาเทพนิรันดร์ เมื่อพิจารณาถึงตอนนี้มีเหตุผลอยู่เบื้องหลังจริงๆ หากไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอแม้ว่าข้าจะมีวาสนากับร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ก็กลัวว่าจะไม่สามารถรับมาได้” มู่เฉินพึมพำในใจ ตอนแรกเขายังมีความคาดหวัง แต่เมื่อเห็นหมัวเฮอโยวในครั้งนี้ เขาก็รู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์อย่างสันติ
“งั้นเราเข้าสู่มิติฝูถูกันดีกว่า” เซียวเซียวเหลือบมองผู้คนในจัตุรัสที่เพิ่มมากขึ้น นางรู้สึกไม่ชอบใจกับสายตาที่จ้องมารอบตัวแล้ว
มู่เฉินพยักหน้าไม่มีข้อขัดข้องอะไร
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินไป ทันใดนั้นมู่เฉินก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งพลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้าก็ยิ้มกว้างออกมา “รอหน่อยนะ มาอีกคนแล้ว”
เมื่อสิ้นเสียงมู่เฉิน คนกลุ่มนี้ก็พลิ้วตัวลงมาข้างๆ พวกเขาเลยทีเดียว จากนั้นเรียวแขนก็ยื่นออกมาเกาะไหล่มู่เฉิน ในเวลาเดียวกันเสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาวก็ดังขึ้น
“คิกๆ มู่เฉิน ไม่เจอกันตั้งนาน คิดถึงข้าไหม?”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะนั้น มู่เฉินก็ยิ้มบาง นี่จะเป็นใครอีกล่ะนอกจากหลินจิ้ง?
ครึ่งเดือนต่อมา
จอมยุทธ์ตำแหน่งสูงของตำหนักมู่มารวมตัวกันด้านหน้าห้องโถง
มู่เฉินยืนไพล่มือหลังก่อนที่จะหันกลับมามองไปที่มั่นถัวหลัวและเฉวียนเทียนที่ยืนหน้าสุด
“ตอนที่ข้าไม่อยู่มั่นถัวหลัวจะมีหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ ในสำนักและหากมีใครมาท้าทายก็ต้องรบกวนผู้อาวุโสเฉวียนเทียนช่วยจัดการสักหน่อย” มู่เฉินยิ้มให้ทั้งสองคน
เฉวียนเทียนยิ้มพลางประสานมือ “ประมุขวางใจ ตอนนี้ข้าดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสของตำหนักมู่ ข้าจะรับผิดชอบสุดความสามารถ”
มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบาๆ และมองไปที่มู่เฉิน “ระวังด้วย”
แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนกระทั่งนางเองก็ต้องเงยหน้ามอง แต่นางรู้ว่าเป้าหมายของเขาในครั้งนี้คือหนึ่งในห้าเผ่าโบราณแห่งมหาพันภพ
รากฐานของเผ่าเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาก็ยังหวาดกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวลข้ารู้ขีดจำกัดของตัวเองดี”
เขาจะไม่รู้ถึงพลังของเผ่าโบราณได้อย่างไร? แต่เขามีแผนสำหรับการเดินทางครั้งนี้แล้ว
“ไปกันเถอะ”
หลังจากฝากฝังเรื่องทั้งหมดแล้ว เขาก็หันไปพูดกับหลิงซีและหลงเซี่ยง เนื่องจากทั้งสองคนเคยอยู่ในเผ่าฝูถูมาก่อน การมีพวกเขาเป็นผู้นำทางก็สามารถช่วยเขาได้หลายอย่าง
ทั้งสองพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูด
จากนั้นทั้งสามคนก็เคลื่อนเข้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายก่อนที่ประกายแสงจะค่อยๆ มารวมตัวกัน…
รัศมีปกคลุมสายตาของเขา ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ท้องฟ้า “เผ่าฝูถู…ข้ามาแล้ว”
ตั้งแต่วันแรกที่เขาก้าวออกจากมณฑลเป่ยหลิง เขาก็ทำงานหนักมาตลอดจนถึงวันนี้ คงมีแต่เทพเซียนที่รู้ว่าเขาต้องใช้ความพยายามและอดทนแค่ไหน…
ทว่าการทำงานหนักของเขาได้รับผลตอบแทนแล้ว เด็กหนุ่มที่ยังไม่โตก้าวเท้าออกจากบ้านเกิดเพื่อท่องยุทธภพจนกระทั่งบรรลุระดับเทียนจื้อจุนในวันนี้และกำลังก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของมหาพันภพ
และตอนนี้… ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องแก้เรื่องราวในอดีตทั้งหมด
แสงหลิงพร่างพราวรวมตัวกัน คนสามคนก็หายไปในพริบตา
ทวีปฝูถู
ที่นี่เป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพ
ในฐานะที่เป็นทวีปใหญ่ ควรจะมีขั้วอำนาจนับไม่ถ้วน ทว่าบนทวีปนี้มีเพียงขุมกำลังเดียว นั่นก็คือเผ่าฝูถู
การตั้งชื่อทวีปว่าฝูถูก็สามารถบอกได้ว่าเผ่าฝูถูถือว่าทั้งทวีปเป็นดินแดนของตน แต่การกระทำที่ครอบงำนี้กลับไม่ได้ดึงดูดปัญหาใดๆ
เนื่องจากทุกคนรู้ว่าเผ่าฝูถูเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดที่เก่าแก่ที่สุดในมหาพันภพที่มีความแข็งแกร่งในการปกครองทั้งทวีป
เมืองสง่างามตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางทวีป เมืองนี้ได้ชื่อว่าเมืองฝูถูซึ่งเป็นหัวใจของทวีปนี้
ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของทวีป เมืองฝูถูไม่เคยร้างราผู้คน ทว่าช่วงนี้ประชากรที่มาที่นี่ก็เพิ่มสูงสุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
เนื่องจากขั้วอำนาจทั้งหลายมารวมตัวกันที่นี่ด้วยความตั้งใจที่จะดูงานชุมนุมสายเลือดของเผ่าฝูถู…
เนินเขาขนาดใหญ่ที่ใจกลางเมืองมีจัตุรัสขนาดมหึมา ขณะนี้ร่างแสงนับไม่ถ้วนพลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้าเข้าไปในจัตุรัส
“สมกับเป็นเผ่าฝูถู อำนาจในการเรียกรวมผู้คนไม่อาจบรรยายได้จริงๆ” ร่างเงาสามร่างยืนอยู่ที่ริมจัตุรัสพร้อมกับรอยยิ้มของคนนำหน้า
พวกเขาก็คือมู่เฉิน หลิงซีและหลงเซี่ยงซึ่งใช้เวลาครึ่งเดือนในการเดินทางจากทวีปเทียนหลัว
มู่เฉินถอนหายใจเมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนยิ่งใหญ่จากกลุ่มร่างแสงที่ลงมาจากท้องฟ้า
ทุกกลุ่มต่างมีจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนทั้งสิ้น
ในส่วนอื่นๆ ของมหาพันภพ พวกเขาอาจเป็นราชัน แต่ที่นี่พวกเขาอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น
“จอมยุทธ์ที่ถูกเชิญโดยเผ่าฝูถูล้วนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ มิหนำซ้ำยังมีขั้วอำนาจอ่อนแอบางส่วนเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญเพื่อสร้างสัมพันธ์กับเผ่าฝูถูด้วย” หลิงซีกล่าว
“ตำหนักมู่ของเราคงถูกจัดเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจอ่อนแอสินะ?” มู่เฉินยิ้ม ตำหนักมู่เพิ่งจะผงาดเข้าสู่การเป็นขั้วอำนาจสูงสุด ในแง่ของรากฐานพวกเขาอ่อนแอกว่ากลุ่มมากมายที่นี่
หลงเซี่ยงพ่นลมหายใจ “ถ้านายหญิงได้รับการช่วยเหลือ ตำหนักมู่ก็จะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งด้วย เทียบกับขั้วอำนาจอื่นในหาพันภพ เราก็จะจัดอยู่ในจุดสุดยอด”
มู่เฉินยิ้มพลางส่ายหัวก่อนจะมองไปที่ภูเขาใหญ่ ประตูมิติกำลังวูบไหว ประตูนั้นจะนำไปสู่มิติฝูถู ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตระกูลใหญ่อาศัยอยู่
ถือเป็นหัวใจสำคัญของเผ่าฝูถูเลยทีเดียว
ส่วนที่เหลือในทวีปนี้ถือได้ว่าเป็นกิ่งก้านใบเท่านั้น ไม่รู้ว่ามีสมาชิกตระกูลย่อยเท่าไรที่พยายามให้ตระกูลใหญ่ยอมรับ
เรือขนาดใหญ่สามารถมองเห็นได้ที่ด้านนอกประตูซึ่งจอดระหว่างเขตแดน บางครั้งก็จะลงมาที่จัตุรัสเพื่อต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติเข้าสู่มิติฝูถู
มีค่ายกลขนาดใหญ่ที่ปกป้องเขตแดนจากภายนอกและมีเพียงคนที่อยู่บนเรือเท่านั้นที่สามารถผ่านไปได้ มิฉะนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่สามารถก้าวเข้ามาได้
“เกณฑ์ของประตูเผ่าฝูถูนี่สูงใช้ได้เลย” หลิงซีกวาดสายตามองและขมวดคิ้ว
นั่นเป็นเพราะตามกฎแล้ว เฉพาะผู้ที่ได้รับเชิญเท่านั้นที่สามารถขึ้นเรือได้โดยไม่ต้องรอจนเหนื่อย ส่วนพวกที่ไม่ได้รับเชิญก็ได้แต่รอจนสุดท้าย
แม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ขั้วอำนาจสูงสุดที่มาด้วยตัวเองไม่พอใจ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ระทมในใจเท่านั้น
“รอไปเถอะ ยังไงซะเราก็ไม่ได้มายินดีด้วย ถ้าพวกเขารู้ตัวตนของเรา กลัวว่าจะไม่สามารถเข้าไปได้ด้วยซ้ำ” มู่เฉินยิ้มและสงบนิ่งลง ทว่าในส่วนลึกของดวงตาของเขาพล่านด้วยไอเย็นเยือก
“นายน้อย เรามาที่เผ่าฝูถูอย่างนี้มันดีจริงหรือ?” หลงเซี่ยงลังเลก่อนที่จะถามด้วยน้ำเสียงกังวล พวกเขารู้ซึ้งถึงทัศนคติที่เผ่าฝูถูมีต่อมู่เฉิน หากคนเหล่านั้นสัมผัสถึงตัวตนของมู่เฉินได้ละก็ ด้วยพลังอำนาจของเผ่าฝูถู ต่อให้มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็คงไม่สามารถหนีรอดไปได้
มู่เฉินยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อถูกจับกุมนะ”
เมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่งของมู่เฉิน หลงเซี่ยงก็รู้สึกโล่งใจ เนื่องจากเขารู้จักนิสัยของมู่เฉินดี หากไม่มีการเตรียมการมู่เฉินก็ไม่ต้องหลุมพรางแน่นอน
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ร่างแสงก็ทะยานลงมาจากท้องฟ้าเข้าไปในจัตุรัส
เมื่อรัศมีจางหายไป ภาพเงาทรงเสน่ห์โดดเด่นก็ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน
ร่างนั้นสวมชุดสีแดงเพลิงขับเน้นรูปร่างดึงดูดความสนใจของทุกคน โดยเฉพาะเสน่ห์เหลือล้นที่เล็ดลอดออกมาจากทุกอากัปกิริยาทำให้หัวใจสั่นไหวเลยทีเดียว
แม้จะทรงเสน่ห์ แต่สายตาของนางเย็นชานัก ทว่าเมื่อผสมผสานกันกลับยิ่งทำให้ดูน่าตื่นใจมากขึ้น
เมื่อมองไปที่หญิงสาวคนนั้น ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่มากประสบการณ์ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสักนิด
แต่เมื่อสายตาของพวกเขาเห็นสัญลักษณ์เปลวเพลิงบนชุดของนาง หัวใจพวกเขาก็สั่นสะท้านก่อนที่จะเบนสายตาออก
เนื่องจากสัญลักษณ์นี้แสดงถึงพลังสูงสุดที่ไม่เป็นสองรองไปจากเผ่าฝูถู…
แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว
“ไม่คิดว่าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วจะส่งตัวแทนมาด้วย… พวกเขาไม่เคยเข้าร่วมชมงานชุมนุมสายเลือดเผ่าฝูถูมาก่อน ทำไมครั้งนี้ถึงมาล่ะ?” มีคนกระซิบกระซาบกัน
สาวทรงเสน่ห์ไม่ได้ให้ความสนใจกับสายตาโดยรอบ นางพาพรรคพวกเดินไปที่ศูนย์กลาง
เมื่อผู้ดูแลเผ่าฝูถูเห็นนาง สายตาก็เปลี่ยนไปด้วยความเคารพ กระวีกระวาดเชื้อเชิญ
แต่เมื่อพวกเขากำลังจะทักทาย หญิงสาวก็กวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดพร้อมกับรอยยิ้มประหลาดใจบนใบหน้า
จากนั้นทุกคนก็เห็นนางเมินเฉยต่อผู้ดูแล หันเดินไปหาชายหนุ่มคนหนึ่ง
“มู่เฉิน เจ้ามาจริงด้วย”
มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวคนนั้นด้วยรอยยิ้มที่เกิดจากหัวใจ “เซียวเซียวนานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน”
นางก็คือเซียวเซียวที่ไม่ได้พบกันมานาน ครั้งนี้นางมาในฐานะตัวแทนแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว
เมื่อนางเห็นมู่เฉินใบหน้าที่เย็นชาก็อ่อนโยนและสดใสขึ้น นางเม้มปากก่อนจะก้าวเยื้องเผยให้เห็นคนข้างหลัง
นี่เป็นชายชราคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีขาวที่ดูอัธยาศัยดีพร้อมกับสายตาลึกซึ้งทำให้เกิดปัญญา
เซียวเซียวยิ้มควงแขนชายชรา “มู่เฉินนี่คืออาจารย์ปู่ของข้า อาจารย์ของพ่อข้าน่ะ”
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านเมื่อได้ยิน ขณะที่เขามองไปที่ชายชราด้วยความตกใจ เซียวเหยียนที่เป็นที่เคารพนับถือเป็นศิษย์ชายชราคนนี้เหรอ?!
หัวใจของเขาโลดด้วยความตกตะลึงก่อนที่จะฉายสีหน้าเคร่งขรึมคารวะไปทางชายชราอย่างจริงจัง
“มู่เฉินทักทายผู้อาวุโสขอรับ”
วังสวรรค์บรรพกาล
เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นที่นี่เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ ก่อนที่จะค่อยๆ สลายหายไป…
พร้อมกับการสั่นสะเทือนหายไป รัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์ก็แผ่บนยอดเขาและมีร่างเงาค่อยๆ ยืนขึ้น
เมื่อเขาลุกขึ้นยืนทั้งสวรรค์และโลกก็สั่นสะเทือน แรงกดดันที่ไม่สามารถอธิบายครอบงำลงมา ทำให้ทุกคนรอบทะเลสาบสวรรค์สั่นสะท้านจากแรงนี้
เหมือนรู้สึกได้ว่าแรงกดดันทรงพลังเกิน ร่างเงานั้นจึงโบกมือ รัศมีแสงถอนกลับเข้าร่าง แรงกดดันก็สลายหายตามกันไป
เมื่อรัศมีแสงหายไป ร่างของมู่เฉินก็เผยให้เห็น ม่านตาสีดำของเขาดูลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ยิ่งกว่าแต่ก่อน
เฉวียนเทียนมองไปที่มู่เฉินด้วยแววตาซับซ้อนและตกตะลึง ซึ่งกินเวลานานก่อนที่เขาจะถอนหายใจ “ไม่คิดว่าประมุขจะมีเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรในตำนาน ไม่แปลกใจที่เจ้าสามารถก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุนได้ตั้งแต่อายุเพียงนี้”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา เขารู้ว่าเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรเป็นตัวแทนของอะไร…
มู่เฉินยิ้มมองไปที่เฉวียนเทียน “ข้าหวังว่าผู้อาวุโสเฉวียนเทียนจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับนะ”
เนื่องจากเฉวียนเทียนมีความสัมพันธ์กับบางคนในตระกูลฝูถู ถ้าเรื่องนี้รั่วไหลนั่นหมายความว่ามู่เฉินจะสูญเสียไพ่ตาย
เฉวียนเทียนตอบเสียงขรึม “ประมุขวางใจเถอะ ตอนนี้ข้าเป็นผู้อาวุโสของตำหนักมู่ ข้าจะไม่ทำสิ่งใดที่ประทุษร้ายต่อประมุขอย่างแน่นอน”
มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของเฉวียนเทียน แม้ว่าเขาจะเอาชนะและบีบให้อีกฝ่ายรับตำแหน่งผู้อาวุโสของตำหนักมู่ แต่เฉวียนเทียนก็ไม่เต็มใจ ดังนั้นความเคารพจึงไม่ออกมาจากใจจริง แต่ตอนนี้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง อีกฝ่ายแสดงท่าทางที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสของตำหนักมู่แล้ว
เฉวียนเทียนยิ้มเก้อ ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะกลัวมู่เฉินแต่ก็ไม่มีความเคารพให้ ทว่านับตั้งแต่ที่มู่เฉินได้เผยเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรออกมา เฉวียนเทียนก็รู้สึกถูกข่มขู่แล้วจริงๆ
ด้วยเส้นหลิงขั้นสูงสุด มีโอกาสสูงที่ชายหนุ่มจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งและนี่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่เฉวียนเทียนจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจอมยุทธ์ในระดับนั้น
“ฮ่าๆ ไม่รู้ว่าทักษะหลิงไม่เสินทงที่ประมุขได้พัฒนาคืออะไร?” เฉวียนเทียนมองไปที่มู่เฉินด้วยความอยากรู้
มู่เฉินยิ้มพลางเหยียดนิ้วออกมาแตะลงไปเบาๆ
เปลวไฟสีม่วงพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของมู่เฉิน ลอยไปหาเฉวียนเทียน
พอเฉวียนเทียนเห็นแบบนี้ก็ไม่กล้าประมาท เขาสัมผัสได้ถึงการคุกคามจากเปลวไฟสีม่วง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน รีบสร้างม่านพลังหลิงทรงพลังรอบตัวทันที
ม่านพลังแสดงให้เห็นถึงการป้องกันที่น่าตกใจ ซึ่งสามารถต้านทานการโจมตีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้เลยทีเดียว
ฟู่ ฟู่!
เปลวไฟสีม่วงลอยเข้ามา เมื่อสัมผัสกับม่านพลังก็คล้ายกับไฟต้องกับน้ำมัน ทันใดนั้นเปลวไฟก็ลุกโชนปกคลุมม่านพลังทั้งหมดเอาไว้
การป้องกันที่น่ากลัวถูกเปลวไฟสีม่วงสลายไปอย่างรวดเร็ว เปลวไฟราวกับหนอน เคลื่อนห่อหุ้มไปทางเฉวียนเทียนที่ไม่ทันตั้งตัว
ฉากนี้ทำให้ใบหน้าเฉวียนเทียนไร้สี เขาไม่คิดว่าการป้องกันของตนเองจะทำให้เปลวไฟสีม่วงเติบโตขึ้นแทนที่จะปิดกั้นไว้
ฮา
เมื่อเห็นเปลวไฟสีม่วงกวาดไปทั่ว เฉวียนเทียนก็เปิดปากกระแสคลื่นหลิงจำนวนมหาศาลพุ่งออกมา ทุกหยดคือเป็นคลื่นหลิงที่กลั่นอย่างเข้มข้นซึ่งมีความหนาแน่นมาก หนักราวหมื่นชั่ง เมื่อกวาดออกมาแม้แต่เทือกเขาก็จะเรียบเป็นหน้ากลอง
เมื่อกระแสคลื่นปะทะกับเปลวไฟสีม่วงเสียงฉ่าก็ดังขึ้น เฉวียนเทียนต้องตกใจเมื่อเห็นเปลวไฟสีม่วงเติบโตกลายเป็นคลื่นเพลิงโหมกระหน่ำ
“นี่คือไฟอะไร? ครอบงำอะไรเช่นนี้!”
ใบหน้าเฉวียนเทียนเคร่งเครียดลงหลายส่วนพร้อมกับแววตาหวาดผวา เขารู้สึกได้ว่าการโจมตีของตนไม่เพียงแต่ไร้ประโยชน์ ซ้ำยังไปเสริมสร้างเปลวไฟแทนอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าเปลวไฟสีม่วงมีความสามารถในการกลืนกินคลื่นหลิงเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง
เปลวไฟนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก เมื่อเผชิญหน้าในการต่อสู้ ใครจะรู้ว่าต้องใช้เวลามากแค่ไหนในการแก้ไขปัญหา
เมื่อเปลวไฟสีม่วงกำลังจะห่อหุ้มร่างเฉวียนเทียน มู่เฉินก็เปิดปากเรียกเปลวไฟกลับมากลืนเข้าไปสถิตในร่าง
“หืม?”
เมื่อเปลวไฟสีม่วงกลับเข้าที่ ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป เขาตระหนักได้ว่าขณะที่เปลวไฟสีม่วงสลายในร่างกายก็เกิดการไหลเวียนของพลังงานบริสุทธิ์หลอมรวมอยู่ในอณูต่างๆ ของเขา
“ไม่คิดว่าเปลวไฟสีม่วงจะสามารถกลืนกินคลื่นพลังเข้ามาเติมเต็มให้ข้าด้วย” มู่เฉินยิ้ม เปลวไฟสีม่วงมีความพิเศษอย่างแท้จริง สมกับการเป็นทักษะหลิงไม่เสินทงที่พัฒนาโดยเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจร
“ประมุขเปลวไฟพวกนั้นมาจากไหน?” เฉวียนเทียนได้สติก็ร้องอุทาน
“นี่คือทักษะหลิงไม่เสินทงของข้า ซึ่งข้าเรียกว่าเพลิงม่วงกลืนวิญญาณ” มู่เฉินยิ้ม
“เพลิงม่วงกลืนวิญญาณ? ความหมายตามชื่อเลยจริงๆ” เฉวียนเทียนพยักหน้าด้วยความกลัวในดวงตา ถ้ามู่เฉินไม่ได้เรียกกลับคืนไปก่อนหน้า วันนี้เขาคงต้องทุกข์ทรมานกับเพลิงม่วงนี้แล้ว
“สมกับเป็นเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร ไม่ธรรมดาจริงๆ”
มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยิน แต่เขาไม่คิดเผยอะไรเพิ่มเติม เพลิงม่วงกลืนวิญญาณคือทักษะหลิงไม่เสินทงที่พัฒนามาจากเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจร และเขายังไม่เปิดเผยเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรออกมาเลย
แต่เฉวียนเทียนเพิ่งติดตามเขา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยไพ่ตายทั้งหมดให้รู้
วาบ!
ในขณะที่มู่เฉินและเฉวียนเทียนกำลังสนทนากันอยู่นั้น ร่างแสงก็ทะยานเข้ามา ซึ่งก็คือมั่นถัวหลัว หลิงซีและจอมยุทธ์ชั้นสูงของตำหนักมู่
เมื่อทั้งหมดเห็นมู่เฉินปลอดภัยดีก็รู้สึกโล่งใจ ชัดว่าช่วงนี้พวกเขาต่างให้ความสนใจกับความปั่นป่วนที่นี่
มู่เฉินยิ้มเมื่อเห็นการมาถึงของพวกเขาพร้อมกับชี้ไปเฉวียนเทียน “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาคือผู้อาวุโสอันดับหนึ่งของตำหนักมู่ เมื่อข้าไม่อยู่ ตำหนักมู่จะอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเขา ความขุ่นเคืองทั้งหมดที่มีก่อนหน้าให้ลบทิ้งออกไปซะ”
ตลอดเดือนที่มู่เฉินฝึกฝน มั่นถัวหลัว หลิงซีและคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นเฉวียนเทียนคอยคุ้มกัน ดังนั้นทุกคนจึงพร้อมรับเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ละคนพยักหน้าให้อีกฝ่าย
แม้ว่าก่อนหน้าจะมีข้อพิพาทกันบ้าง แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับความปลอดภัยของตำหนักมู่ที่จะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพิ่มเติม
“ข้าขอโทษสำหรับเรื่องที่ทำไป หวังว่าทุกคนจะไม่ถือสาอะไร” เฉวียนเทียนยิ้มเซื่อง เขาลดทิฐิลง ปราศจากความเย่อหยิ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนโดยสิ้นเชิง
พวกมั่นถัวหลัวอึ้งไปกับคำขอโทษของเขา เนื่องจากพวกเขารู้ถึงช่องว่างที่มี เหตุผลที่เขาจะกลายเป็นผู้อาวุโสของตำหนักมู่ก็เป็นเพราะมู่เฉิน สำหรับพวกเขาอีกฝ่ายก็คงไม่มองในสายตา
เฉวียนเทียนถอนหายใจอย่างขมขื่นกับอาการประหลาดใจของพวกเขา ถ้าไม่ใช่เพราะมู่เฉินมีเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร เขาคงไม่แสดงเจตนาดีต่อสมาชิกตำหนักมู่ขนาดนี้ แต่ตอนนี้มู่เฉินมีอนาคตที่ไม่อาจจินตนาการได้และอาจบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง การดำรงอยู่เช่นนี้ไม่สามารถรุกรานได้…
พวกตำแหน่งสูงในตำหนักมู่ต่างรู้สึกอึ้งไปจากทัศนคติของเฉวียนเทียน เพราะปกติจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนจะพูดกับพวกเขาในลักษณะนี้ซะที่ไหน? ดังนั้นบรรยากาศอึมครึมจึงละลายอย่างรวดเร็ว
มู่เฉินยิ้ม เขารู้ว่าเฉวียนเทียนกำลังประจบประแจง ทว่าเขาก็พอใจกับสิ่งนี้
ในขณะที่บรรยากาศกำลังชื่นมื่น หลิงซีก็เดินเข้ามาหา “ข้าได้ข่าวว่าขั้วอำนาจสูงสุดบางส่วนได้รับคำเชิญจากเผ่าฝูถู ถ้าเดาไม่ผิดงานชุมนุมสายเลือดน่าจะเริ่มเร็วๆ นี้…”
“งานชุมนุมสายเลือด?” ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป เขาบอกให้หลิงซีเพิ่มความสนใจกับข่าวสารของเผ่าฝูถู ก่อนที่เขาจะเข้าสู่สมาธิฝึกฝน
“งานของเผ่าฝูถูที่จัดขึ้นในสิบปีครั้ง เป็นเหตุการณ์สำคัญมาก โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะเชิญขั้วอำนาจสูงสุดมาร่วมสังเกตการณ์”
มู่เฉินพยักหน้ากับคำอธิบาย ภารกิจของเขาต่อเผ่าฝูถูคือการช่วยเหลือมารดา เมื่อมีเหตุการณ์ใหญ่ๆ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อเขามากขึ้น
ท้ายที่สุดแม้จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว เขาก็ยังต้องเตรียมตัวและวางแผนก่อนที่จะเผชิญหน้ากับเผ่าโบราณ
มู่เฉินเงยหน้ามองไปในกลุ่มเมฆพลางหลับตาลงช้าๆ
“เผ่าฝูถู พวกเจ้าตามหาข้ามาหลายปี ครั้งนี้ถึงเวลาเปิดศึกแล้ว…”
มหาพันภพ เผ่าฝูถู
ในห้องโถงกว้างขวางมีศิลาสีแดงเข้มที่ปกคลุมไปด้วยอักขระโบราณกำจายความผันผวนลึกซึ้งออกมา มีแสงหลิงแผ่ออกมาจากมันเป็นครั้งคราวโดยมีความแรงกล้าที่ไม่เหมือนกัน
ศิลานี้รู้จักกันในชื่อศิลาเส้นหลิงและเป็นวัตถุสำคัญของเผ่าฝูถู มีข่าวลือว่าเผ่าฝูถูสามารถตรวจสอบเส้นหลิงของสมาชิกในเผ่าทุกคนได้ ในขณะเดียวกันเมื่อมีเด็กถือกำเนิด หรือเส้นหลิงปรากฏก็จะแสดงปฏิกิริยาและเปล่งรัศมีเป็นสัญญาณบอกกล่าว
ร่างเงานับร้อยนั่งอยู่รอบศิลาพร้อมพู่กันหยกและม้วนกระดาษยาวในมือ ขณะที่ทุกสายตาจดจ้องไปที่ศิลาเส้นหลิง จากความแรงกล้าของรัศมีบนศิลาพวกเขาสามารถแยกระดับของเส้นหลิงได้ในทันที
เผ่าฝูถูได้สืบทอดต่อมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล แม้จะมีการควบคุมสายเลือดอย่างเข้มงวด ทว่าเผ่าของพวกเขาก็มีขนาดใหญ่ สมาชิกเผ่าที่ถือกำเนิดทุกวันไม่รู้มีมากเพียงใดและศิลาก็จะทำหน้าตรวจจับเส้นหลิงที่ทารกเหล่านั้นครอบครอง
ชายสูงอายุคนหนึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าศิลา เขาคือหัวหน้าหอเส้นหลิง
หัวหน้าหอมองไปที่ศิลาเส้นหลิงก็โบกมือถามว่า “วันนี้มีเส้นหลิงกี่เส้น?”
ผู้ดูแลรายงานด้วยความเคารพว่า “หัวหน้าหอวันนี้มีเส้นหลิงทั้งหมดหมื่นกว่าเส้นแบ่งเป็นขั้นเหยินแปดพันเส้น ขั้นตี้สองพันกว่าเส้น ขั้นเทียนสามสิบสองเส้น”
หัวหน้าหอพยักหน้าตอบว่า “ตรวจสอบเส้นหลิงขั้นเทียนทั้งสามสิบสองคนให้เรียบร้อยและให้พวกเขาเข้ามาฝึกฝนในตระกูลใหญ่ แล้วก็อย่าลืมมอบรางวัลให้กับตระกูลพวกเขาด้วย”
คนที่อยู่ข้างหลังบันทึกคำพูดทั้งหมด เส้นหลิงขั้นเทียนแทนค่าพรสวรรค์ในการฝึกฝนของคนคนหนึ่ง หากพวกเขาได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ในอนาคตก็จะกลายเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงของเผ่าฝูถู ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับพวกเขามาก
จากจุดนี้จุดเดียวก็สามารถมองเห็นรากฐานของเผ่าฝูถูได้ ต้องรู้ว่าหากเด็กเหล่านั้นถือกำเนิดที่อื่น พวกเขาจะถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะและจะได้รับการเลี้ยงดูที่ดีที่สุด
“ปีนี้ในเผ่าปรากฏเส้นหลิงขั้นเสินเพียงห้าเส้น นอกจากนี้ทั้งหมดยังอยู่ในระยะเจ็ดซึ่งต่ำที่สุด คุณภาพถือว่าต่ำกว่าปีก่อนๆ” หัวหน้าหอถอนหายใจ
แม้ว่าเส้นหลิงขั้นเทียนจะดี แต่ก็มีเพียงเส้นหลิงขั้นเสินเท่านั้นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในเผ่าฝูถู แม้ว่าการมีเส้นหลิงขั้นเสินไม่ได้มีหลักประกันว่าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่อัตราความสำเร็จก็สูงกว่าคนทั่วไป
คนที่ยืนอยู่ด้านหลังพยักหน้าและถอนหายใจ “อันที่จริงนี่ก็นานแล้วที่ไม่ได้มีเส้นหลิงขั้นเสินปรากฏขึ้นใหม่ คึๆ ความปั่นป่วนจากเส้นหลิงขั้นเสินยิ่งใหญ่มาก ย้อนกลับไปตอนนั้นเมื่อเส้นหลิงขั้นเสินเจ็ดชีพจรปรากฏขึ้น ก็เกือบทำให้หอเส้นหลิงพังทลาย”
หัวหน้าหอยิ้ม “เรื่องเหล่านี้นับครั้งได้ในหนึ่งปีเลย ถือว่าโชคดีที่พวกเจ้าสามารถได้พบเจอ”
ทุกคนยิ้มพลางพยักหน้า ต่อให้เป็นเผ่าโบราณอย่างพวกเขาเส้นหลิงขั้นเสินก็หายากมาก ผู้ที่บันทึกไว้ได้ก็จะได้รับรางวัลสำหรับเรื่องนี้เช่นกัน
“เอาล่ะ พวกเจ้าเฝ้าเอาไว้อย่าพลาดอะไรซะล่ะ” หัวหน้าหอพยักหน้าแล้วโบกมือ ตั้งใจที่จะออกไป
ฮึ่ม!
แต่ทันใดนั้นศิลาก็สั่นสะท้าน ทุกคนฉายความตกตะลึงบนใบหน้า ก่อนที่เสาพลังงานหลิงที่อธิบายไม่ได้จะระเบิดออกมาจากศิลาเส้นหลิงราวกับภูเขาไฟ
พายุถูกสร้างขึ้นในโถง บางคนไม่ทันตั้งตัวถูกพัดไปทั่ว ทำให้ทั่วทั้งโถงวุ่นวายไปหมด
หัวหน้าหอหันขวับกลับมา เขาหมุนเวียนคลื่นหลิงเพื่อต้านทานผลกระทบพร้อมกับท่าทางตกตะลึงขณะมองไปที่เสา
“แสงทรงพลังอะไรเช่นนี้? นั่นคือเส้นหลิงอะไร?!” หัวหน้าหอตกใจ ครั้งสุดท้ายที่เผ่าฝูถูมีความปั่นป่วนใหญ่เช่นนี้ก็คือตอนที่ท่านหญิงชิงเหยี่ยนจิ้งถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจรที่ทำเอาทั้งเผ่าโยกคลอนไปหมด แต่สิ่งที่ทำให้หัวหน้าหอหนังหัวชาหนึบยิ่งกว่าก็คือครั้งนี้เหมือนจะปั่นป่วนยิ่งกว่าตอนนั้นเสียอีก
“หรือว่าจะเป็น… เส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรในตำนาน?!”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ได้ หัวหน้าหอก็รู้สึกว่าหนังหัวลุกซู่ไปหมด หัวใจเขาแทบจะกระโจนออกจากเบ้า เส้นหลิงเก้าชีพจรแทบจะอยู่ในตำนานเท่านั้น กระทั่งในประวัติศาสตร์เผ่าฝูถูยังมีจำนวนน้อยแสนน้อยเลย
ตู้ม!
ภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคนในห้องโถง แสงทวีความรุนแรงมากขึ้น ฉีกทะลุหลังคาโถงพุ่งไปที่ขอบฟ้า
ปรากฏการณ์สับสนอลหม่านดึงดูดสายตาตกตะลึงของสมาชิกนับไม่ถ้วนในเผ่าฝูถู
วาบ!
เมื่อแสงทะยานขึ้นสู่ชั้นฟ้า มิติที่ด้านข้างหัวหน้าหอก็บิดเบี้ยว ร่างสูงวัยปรากฏขึ้นพร้อมกับจ้องมองไปบนศิลา
“คารวะผู้อาวุโสใหญ่!”
เมื่อหัวหน้าหอเห็นชายชรา เขาก็สะดุ้งโค้งคำนับทันที เนื่องจากจอมยุทธ์ที่เบื้องหน้าเขานี้มีอำนาจสูงสุดในเผ่าฝูถู เขาก็คือผู้อาวุโสใหญ่—ฝูถูเฉวียน
ในเผ่าฝูถูมีเพียงประมุขและผู้อาวุโสใหญ่เท่านั้นที่สามารถใช้คำว่าฝูถูเป็นแซ่ได้ มิหนำซ้ำตอนนี้ตำแหน่งประมุขก็ยังเว้นว่าง ดังนั้นจึงมีเพียงผู้อาวุโสใหญ่เท่านั้นที่ใช้แซ่ฝูถูเพียงผู้เดียว
ผู้อาวุโสใหญ่ฝูถูเฉวียนพยักหน้า สายตาจดจ้องไปที่ศิลาเส้นหลิงด้วยแววลุกโชน
วาบ วาบ!
คลื่นมิติยึกยักอย่างต่อเนื่องในโถง โดยมีร่างเงาพากันปรากฏขึ้น พวกเขาก็คือเหล่าผู้อาวุโสของเผ่าฝูถูซึ่งดำรงตำแหน่งในระดับสูง แต่ขณะนี้แต่ละคนมีสีหน้าตกตะลึงเมื่อมองไปที่เสาแสง
“ผู้อาวุโสใหญ่นี่คือ…?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามด้วยความตกใจ
ผู้อาวุโสใหญ่มองไปที่ศิลาเส้นหลิงโดยไม่กะพริบตาเป็นเวลานานก่อนที่จะพยักหน้า “เส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร!”
โห่!
ผู้อาวุโสแต่ละคนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงโห่ร้อง นานแค่ไหนแล้วที่เส้นหลิงขั้นเส้นเก้าชีพจรปรากฏขึ้นในเผ่า?
ย้อนกลับไปตอนนั้นเมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งเผยเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจร ก็ไม่มีใครกล้าท้าทาย มิหนำซ้ำนางยังแสดงพรสวรรค์ที่โดดเด่นโดยบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ
เส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจรยังน่ากลัวมากขนาดนั้น แล้วเก้าชีพจรจะน่ากลัวขนาดไหน?
หากคนผู้นี้ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี เผ่าฝูถูก็จะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งถือกำเนิด ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับทั้งเผ่า
“ไม่รู้ว่าเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรกำเนิดในตระกูลไหน”
สายตาของเหล่าผู้อาวุโสกะพริบ บางคนมาจากตระกูลเฉวียนและมั่วที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบัน พวกเขาตั้งใจที่จะเข้าตรวจสอบทันที หากเจ้าของเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรนี้เป็นของตระกูลสายย่อย พวกเขาก็จะรีบรับเด็กคนนั้นเข้าร่วมตระกูล ไม่งั้นก็ให้แต่งงานเชื่อมโยงกับผู้สืบสายเลือดตรงของพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรต้องมาอยู่ในมือ!
ความโกลาหลบนศิลาเส้นหลิงดำเนินไปหนึ่งก้านธูป ก่อนที่จะค่อยๆ สลาย แม้ว่าศิลาจะสงบลง แต่ทั้งโถงก็ยังคงตกอยู่ในความโกลาหล
สุดท้ายก็เป็นฝูถูเฉวียนที่ดึงสติกลับ เขามองไปรอบๆ ก่อนที่จะกล่าวเสียงขรึม “ตรวจสอบทุกตระกูลทันที ค้นหาเด็กที่มีเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรเพื่อพาเข้าสู่ตระกูลใหญ่ คนผู้นี้ถูกจัดให้เป็นสมบัติของเผ่าเรา ซึ่งจะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีที่สุด!”
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังคิดอะไร แต่ข้าขอบอกไว้ ณ ที่นี้ ถ้าใครกล้าขัดขวางเรื่องนี้ ข้าจะไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะมาจากตระกูลไหนก็ตาม!”
เสียงตะเบ็งระเบิดออกมาด้วยพลังที่น่ากลัว ภายใต้เสียงของเขา แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสยังรู้สึกถึงหัวใจสั่นไหว
หลังจากข่มขู่ ผู้อาวุโสใหญ่ก็พยักหน้า “ไป การชุมนุมสายเลือดของเผ่าฝูถูจะเริ่มขึ้นในอีกสองเดือน ขั้วอำนาจมากมายในมหาพันภพก็จะมาเข้าชม จัดการให้ดี อย่าให้ชื่อเสียงของเรามัวหมอง”
“รับทราบ!”
ขณะที่ผู้อาวุโสเผ่าฝูถูตกตะลึงกับการปรากฏตัวของเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร…
ร่างเงาในมิติโบราณที่นั่งเงียบๆ โดยมีพื้นที่รอบตัวนางบิดเบี้ยว ก่อตัวเป็นค่ายกลที่น่าอัศจรรย์
ทันใดนั้นนางก็ลืมตาขึ้น ความสุขเอ่อล้นภายใน
นางกุมหัวใจเอาไว้ เมื่อครู่นางรู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนจากในสายเลือด
นางรู้สึกได้ว่าเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจรที่ทิ้งไว้ในร่างบุตรชายได้รับการขัดเกลาแล้ว
ความปีติและความภาคภูมิใจปรากฏบนดวงหน้า นางรู้สึกเป็นสุขยิ่งกว่าตอนที่บรรลุหลิงเจิ้นต้าจงซือเสียอีก
“มู่เฉินลูกแม่…ในที่สุดเจ้าก็ก้าวมาถึงจุดนี้แล้วใช่ไหม?”
นางยิ้มจากนั้นไม่นานก็รู้สึกปวดร้าวใจ นางรู้ดีว่าแม้จะมีพรสวรรค์ แต่บุตรชายก็ต้องผ่านความทุกข์ทรมานมานับไม่ถ้วนเพื่อมาถึงจุดนี้
นางกำหมัดแน่นเสียงแว่วออกมา “ในเมื่อลูกข้ามาถึงขนาดนี้ ก็ถึงเวลาที่ข้าต้องเตรียมการ…”
ชิงเหยี่ยนจิ้งฉายแววคาดหวัง เนื่องจากนางรู้สึกได้ว่าวันที่จะได้พบกับบุตรชายใกล้เข้ามาแล้ว
“พระจันทร์ม่วงแปดดวง…”
มู่เฉินมองดวงจันทร์ทั้งแปดก็ยิ้มในใจ นี่หมายความว่าเส้นหลิงที่ซ่อนอยู่ในร่างกายเขาเป็นขั้นเสินจริงด้วย
ทว่าเขาก็ไม่แปลกใจกับเรื่องนี้มากนัก เนื่องจากความสามารถในการฝึกที่เขาแสดงออกมาได้พิสูจน์ทุกอย่างแล้ว
แน่นอนว่าการมีเส้นหลิงขั้นเสินไม่ได้หมายความว่าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้ในที่สุด เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ไม่ว่าพรสวรรค์จะดีแค่ไหนก็เป็นเพียงสิ่งสนับสนุน ปัจจัยที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นหัวใจที่แน่วแน่
หากปราศจากจิตใจที่มั่นคงไม่หวั่นเกรงต่อความทุกข์ทรมานแม้แต่เส้นหลิงขั้นเสินก็จะถูกฝังกลบไว้ตลอดกาล
ผลสำเร็จของมู่เฉินในหลายปีที่ผ่านมา มีครั้งไหนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตเป็นการเดิมพัน? คนอื่นรู้แค่ว่าเขาขึ้นสู่จุดสูงสุดตั้งแต่อายุยังน้อย แต่จะมีกี่คนที่รู้เกี่ยวกับการฝ่าฟันที่เขาต้องอดทนเพื่อมาไกลขนาดนี้? ความล้มเหลวแม้แต่ครั้งเดียวก็จะทำให้เขาลาโลกไปนิรันดร์
“ในเมื่อเส้นหลิงขั้นเสินปรากฏแล้วก็ทำให้กายาหลิงเทียนจุนของข้าสมบูรณ์แบบ”
มู่เฉินพึมพำในใจและสงบใจลง อึดใจไฟก็ลุกขึ้นในความว่างเปล่า เปลวไฟโชติช่วงกวาดไปยังดวงจันทร์สีม่วงแปดดวง
เปลวไฟโชติช่วงนี้ไม่ได้ก่อตัวขึ้นจากคลื่นหลิงแต่เกิดจากจิตใจ เนื่องจากถ้าต้องการปรับแต่งเส้นหลิง ก็ต้องใช้เปลวไฟหัวใจเท่านั้น เปลวไฟคลื่นหลิงธรรมดาไม่อาจใช้ได้
ฟู่ ฟู่!
เปลวไฟพวยพุ่งออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดห่อหุ้มดวงจันทร์สีม่วงแปดดวงกลายเป็นความสุกสกราว
เวลานี้เปลวไฟหัวใจลุกโชน ดวงจันทร์สีม่วงทั้งแปดดวงก็เริ่มสลายไป ของเหลวสีม่วงหยดออกมาก่อนที่จะหายไป
แต่มู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าของเหลวสีม่วงไม่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ กลับหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา…
เมื่อของเหลวสีม่วงหลอมรวมเข้าในร่างกายมากขึ้น เขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง เหมือนกับว่าข้อบกพร่องค่อยๆ สมบูรณ์แบบ
“เป็นแบบนี้จริงด้วย…” มู่เฉินถอนหายใจ จากนั้นเปลวไฟก็ยิ่งลุกโชน ความเร็วของดวงจันทร์สีม่วงที่ลุกไหม้ก็เพิ่มขึ้น
เวลาไหลผ่านไป จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงดวงจันทร์สีม่วงแปดดวงก็เหลือขนาดเท่าฝ่ามือ…
ตอนนี้ลวดลายดวงจันทร์ทั้งแปดบนร่างกายมู่เฉินก็ชัดเจนขึ้น เห็นได้ชัดว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนไปเป็นกายาหลิงเทียนจุนแล้ว
ทว่ากายาหลิงเทียนจุนของมู่เฉินในอดีตเป็นรูปแบบผลึกบริสุทธิ์ แต่ในขณะนี้เนื่องจากดวงจันทร์สีม่วง ทำให้ระยิบระยับด้วยสีม่วง ดูลึกลับอย่างไม่น่าเชื่อ
“ดวงจันทร์ม่วงแปดดวง สมกับเป็นเส้นหลิงขั้นเสินจริงๆ… เพียงแต่ไม่รู้ว่าทักษะหลิงไม่เสินทงที่ก่อตัวจะเป็นยังไง?”
เฉวียนเทียนมองไปที่ลวดลายบนร่างกายของมู่เฉินด้วยความอิจฉา ทักษะหลิงไม่เสินทงจากเส้นหลิงขั้นเสินจะต้องพิเศษอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ในท่ามกลางวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยมก็ต้องอยู่ชั้นสูงแน่นอน
ภายใต้การจ้องมองของมู่เฉิน ในที่สุดดวงจันทร์สีม่วงทั้งแปดดวงก็ถูกเผาไหม้จนหมด ของเหลวหยดสุดท้ายตกลงมารวมเข้ากับร่างกาย
พริบตาความรู้สึกแปลกประหลาดก็ผุดขึ้นในใจของมู่เฉิน เขาเห็นความว่างเปล่าผันผวนและแสงสีม่วงปรากฏขึ้น
แสงสีม่วงขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในไม่กี่ลมหายใจก็ก่อตัวเป็นเปลวไฟสีม่วงโชติช่วง
ดวงจันทร์สีม่วงแปดดวงหมุนเวียนอยู่ภายในเปลวไฟสีม่วงดูลึกลับมาก
“นี่คือทักษะหลิงไม่เสินทงของข้ารึ?” มู่เฉินจับจ้องเปลวไฟสีม่วงและพึมพำ
มู่เฉินสัมผัสเปลวไฟสีม่วง จากนั้นก็ต้องตกใจ เพราะพบว่าเปลวไฟเหล่านี้ดูเหมือนไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายและวัตถุอื่นๆ ทั้งหมด แต่ความสามารถในการทำลายคลื่นหลิงรุนแรงยิ่งนัก
ทันทีที่จับต้องคลื่นหลิง เปลวไฟสีม่วงจะแผดเผาคลื่นพลังงานอย่างรุนแรง
นั่นหมายความว่าเมื่อเขาต่อสู้ ตราบใดที่ถูกเปลวไฟสีม่วงสัมผัสและพยายามดับไฟด้วยคลื่นหลิงละก็ จะยิ่งทำให้ไฟลุกรุนแรงขึ้น
สิ่งนี้คล้ายกับพายุหลอมวิญญาณที่เขาเคยพบในเหวเทพร่วง เพียงแค่เปลวไฟสีม่วงนี้ดุร้ายพายุนั่นหลายส่วน
วิชาการต่อสู้ส่วนใหญ่ในมหาพันภพขึ้นอยู่กับคลื่นหลิง นั่นหมายความว่าการเผชิญหน้ากับเปลวไฟสีม่วงของเขา จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็จะหมดหนทาง
“ในแง่ของพลังเปลวไฟสีม่วงนี้ไม่อ่อนไปกว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยมเลย” มู่เฉินถอนหายใจ แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่สามารถเทียบได้กับวิทยายุทธระดับเสินทงสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่เฉินก็แอบขำตัวเอง วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วมหาพันภพ เขาคงไร้เดียงสาไปหน่อยหากคิดว่าสามารถหาสิ่งที่เทียบเคียงได้อย่างง่ายดาย
มู่เฉินสงบใจมุ่งความสนใจไปที่เปลวไฟสีม่วงก่อนที่จะเตรียมเก็บมันเข้าไป “ในเมื่อเส้นหลิงได้รับการขัดเกลาเรียบร้อยก็กลับกันเถอะ”
แต่ไม่รู้เพราะอะไร เขาก็ยังรู้สึกถึงความแปลกประหลาดในใจ
ราวกับว่ายังมีข้อบกพร่องอยู่ในร่างกาย
ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นอย่างแปลกประหลาด แต่เขาก็ไม่ได้มองข้าม ด้วยความแข็งแกร่งที่มี ต่อให้เป็นความรู้สึกฉับพลันก็ต้องมีเหตุผลแน่
“ข้าปรับแต่งเส้นหลิงแล้วและยังได้รับทักษะหลิงไม่เสินทง แต่ทำไมถึงยังรู้สึกเหมือนไม่สมบูรณ์ล่ะ?” มู่เฉินตกอยู่ในความเงียบ
เขาตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลานานก่อนที่หัวใจจะกระเพื่อม
เปลวไฟสีม่วงลุกโชนบิดตัวในหัวใจของมู่เฉินและขยายตัวเป็นทะเลเพลิงกวาดออกไปในความว่างเปล่า
ในขณะที่เปลวไฟสีม่วงแพร่กระจาย ฉากแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้น…
เปลวไฟสีม่วงลุกไหม้ ความว่างเปล่าก็กลายเป็นคล้ายกับกระจก รอยแตกกระจายออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ ภายใต้ความตกตะลึงของมู่เฉิน
“นี่…”
มู่เฉินตกใจกับฉากเบื้องหน้า เขาไม่เคยคาดหวังกับสถานการณ์เช่นนี้
ทันใดนั้นรัศมีแสงก็ระเบิดออกจากรอยแตก ช่างดูยิ่งใหญ่มากราวกับถูกขังเวลานาน ก่อนที่ความตระการตาจะปรากฏขึ้น
สายตาของมู่เฉินมองตามรัศมีไปก็ต้องหายใจเข้าลึก พร้อมกับความว่างเปล่าที่แตกสลายดวงอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ก็ลอยขึ้นสู่ขอบฟ้า
ดวงอาทิตย์ดวงที่หนึ่งปรากฏ ดวงที่สอง ดวงที่สาม…จนครบเก้าดวง
ดวงอาทิตย์ทั้งเก้าหมุนคว้างอยู่ในส่วนลึกของร่างกายมู่เฉิน คล้ายกับจักรพรรดิที่ไม่แสดงตัวและเมื่อเปิดเผยก็จะทำให้เกิดพลังที่ทำให้โลกแตกสลายได้
มู่เฉินอึ้งตะลึงงันขณะจ้องมองดวงอาทิตย์ทั้งเก้า ในตอนนี้เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง “ดวงอาทิตย์เก้าดวง? ทำไมถึงมีเส้นหลิงขั้นเสินอีก!”
นอกจากนี้ยังทรงพลังกว่าเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจรเสียอีก!
นี่คือเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรที่อยู่ในระยะสูงสุด!
ที่สำคัญที่สุดเขาไม่ได้ปรับแต่งเส้นหลิงไปแล้วหรือ? เหตุใดจึงมีเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรซ่อนอยู่หลังแปดชีพจร?!
คลื่นสั่นสะเทือนในหัวใจของมู่เฉิน ความตกใจเกิดขึ้นเป็นเวลานานก่อนที่จะสงบลง เขารู้สึกได้ว่าเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรเข้ากับร่างกายของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ราวกับว่าเป็นของเขามาตั้งแต่เกิด
ในใจมู่เฉินปั่นป่วน ตอนนี้เขาก็พบว่าเมื่อเทียบกับความเข้ากันได้ของเส้นหลิงเก้าชีพจรนี้ แม้แปดชีพจรจะเข้ากันได้เช่นกัน แต่ก็เหมือนขาดอะไรบางอย่างไป
ราวกับว่ามีอันหนึ่งได้มาแต่กำเนิด ส่วนอีกอันได้มาภายหลัง
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ถอนหายใจยาวๆ พูดด้วยความรู้สึกซับซ้อน “ท่านแม่นี่ก็เป็นสิ่งที่ท่านทำเอาไว้เหรอ?”
เขาคิดออกหลังจากไตร่ตรองชั่วครู่ ถ้าเขาเดาถูกต้องเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจรน่าจะมาจากมารดาของเขา
ประโยชน์ของแปดชีพจรก็คือการปกปิดเก้าชีพจรในร่างกายเขา
บางทีเมื่อเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรกำเนิด เผ่าฝูถูอาจจะสามารถสัมผัสได้จากสายเลือดของเขา ดังนั้นมารดาจึงดึงเส้นหลิงของนางมาเพื่อปกป้องเขาและปกปิดเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรของเขาไว้
โดยทั่วไปแล้วเส้นหลิงไม่สามารถโยกย้ายได้ แต่เขาและมารดาเป็นหนึ่งเดียวกันก่อนที่เขาจะเกิด ดังนั้นชิงเหยี่ยนจิ้งน่าจะฝังเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจรของนางเข้าสู่ร่างกายของเขาตั้งแต่ตอนนั้น
ความคิดนี้ทำให้เกิดคลื่นในใจของมู่เฉิน เขารู้สึกปวดใจและอบอุ่นยิ่งนัก การแยกเส้นหลิงคล้ายกับการแล่เนื้อเถือหนังออกจากร่างกาย ยากที่จะจินตนาการว่ามารดาต้องทนกับความเจ็บปวดมากเพียงใดเพื่อให้การปกป้องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแก่เขา
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ กระทั่งคนแบบมู่เฉินก็ยังดวงตาคลอไปด้วยน้ำตา
ฮา
เขาหายใจเข้าลึกระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านพลางพึมพำ “ท่านแม่ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ทำให้ข้า… แต่ข้าไม่ได้เป็นทารกอีกต่อไป ข้าสามารถต้านพายุได้แล้ว”
“ถ้าเผ่าฝูถูต้องการมาหาก็ให้พวกเขามา!”
มู่เฉินมองไปที่ดวงอาทิตย์เก้าดวง จิตใจเคลื่อนไหว ขณะเดียวกันเสียงของเขาก็สะท้อนก้อง
“เจ้านิทรามาหลายปี…ตอนนี้ถึงเวลาที่จะเปล่งประกาย”
“เส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร…จงตื่น!”
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เมื่อรู้สึกถึงการเรียกของมู่เฉิน ดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวงก็เปล่งแสงออกมา พริบตารัศมีงดงามก็ระเบิดออก
บนยอดเขา
เฉวียนเทียนที่กำลังมองมู่เฉินด้วยความอิจฉา จู่ๆ ก็สังเกตเห็นแสงพราวจากร่างกายของอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็ตะลึงงัน ดวงจันทร์สีม่วงแปดดวงบนร่างมู่เฉินหดตัวลง ลวดลายดวงอาทิตย์เก้าดวงปรากฏขึ้นแทนที่พร้อมกับพลังยิ่งใหญ่!
ฟ้าดินสั่นสะเทือนพร้อมกับสายฟ้าฟาดไม่มีที่สิ้นสุดกวนเป็นพายุพัดกระหน่ำ ราวกับกำลังตกตะลึงกับการปรากฏของเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร
เฉวียนเทียนอ้าปากตาค้าง ขณะมองไปที่ดวงอาทิตย์เก้าดวงบนร่างกายของมู่เฉิน ก่อนที่เสียงแหลมบาดลึกจะดังไปทั่วชั้นฟ้า
“สวรรค์โปรด! เสินหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร?!”
เจดีย์บนภูเขาพราวแสงกะทันหัน
ร่างเงาสองร่างทะยานออกมา พวกเขาคือมู่เฉินและเฉวียนเทียนนั่นเอง
ฮา
เมื่อเห็นดวงอาทิตย์อีกครั้ง เฉวียนเทียนก็สูดหายใจเข้าลึกๆ อัดอากาศที่เต็มไปด้วยคลื่นหลิงเข้าไป ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีเลยที่ถูกปราบปรามไว้ในเจดีย์นั้น
“ผู้อาวุโสเฉวียนเทียน จากนี้ไปเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ช่วยดูแลกันด้วยล่ะ” มู่เฉินหัวเราะเบาๆ พลางประสานมือคารวะ
เฉวียนเทียนหัวเราะเสียงหดหู่ในใจ ตอนแรกเขามั่นใจในงานนี้มาก แต่ไม่คิดว่าตัวเองต้องตกเป็นเชลยของมู่เฉิน มิหนำซ้ำตอนนี้เขายังถูกขู่จนต้องรับตำแหน่งผู้อาวุโสตำหนักมู่ด้วย…
แม้จะเป็นเวลาเพียงสามสิบปี แต่เสรีภาพของเขาก็ถูกจำกัด สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน นี่ก็เป็นเรื่องน่าสังเวชใจนัก ต้องรู้ว่าด้วยตัวตนของเขาสามารถเป็นหนึ่งในชนชั้นสูงของขั้วอำนาจสุดยอดเหล่านั้นและได้รับผลประโยชน์มากมาย
แต่ในมือของมู่เฉิน ไม่ต้องพูดถึงผลประโยชน์ต่างๆ เลย ได้แต่ยอมเป็นทาสถึงสามสิบปี
เรื่องนี้ทั้งสองได้ทำสัญญาใจแล้วในเจดีย์ สัญญาเช่นนี้ไม่เป็นอะไรต่อคนอื่นๆ แต่สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนนี่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากถ้าไม่ทำตามสัญญาก็ถือเป็นการทำผิดจากใจและทิ้งภัยที่แฝงไว้ ซึ่งจะส่งผลต่อการเพาะบ่มพลังของพวกเขาในอนาคต
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่กังวลว่าเฉวียนเทียนจะวิ่งหนี ส่วนเฉวียนเทียนก็ไม่กังวลว่ามู่เฉินจะขัดคำพูดของเขาในอนาคต
“ผู้อาวุโสเฉวียนเทียนสามารถไขข้อสงสัยของข้าได้หรือไม่?” มู่เฉินนั่งลงและพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร
เมื่อมองไปเฉวียนเทียนก็ถามว่า “เจ้าหมายถึงวิธีที่จะทำให้กายาหลิงเทียนจุนสมบูรณ์แบบใช่หรือไม่?”
มู่เฉินพยักหน้า จากการปะทะก่อนหน้าเขารู้วิธีที่ทำให้กายาหลิงเทียนจุนสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว ทว่ารายละเอียดยังคงต้องถาม เพื่อจะได้ไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด
เฉวียนเทียนนั่งลง เขาคิดไปครู่หนึ่งก็ไม่ปฏิเสธ เนื่องจากนี่ไม่ใช่ความลับในการฝึก แม้เขาจะไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ มู่เฉินก็ยังสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้จากแหล่งอื่น
“ข้าเชื่อว่าเจ้าน่าจะรู้วิธีที่จะทำให้กายาหลิงเทียนจุนสมบูรณ์แบบแล้ว…” เฉวียนเทียนสะบัดแขนเสื้อขณะที่พูดต่อ “กายาหลิงเทียนจุนเป็นสัญลักษณ์ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เนื่องจากร่างกายของจอมยุทธ์สามารถเปลี่ยนเป็นคลื่นหลิงบริสุทธิ์ได้ ซึ่งจะมอบความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาให้จอมยุทธ์ ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์และโลก ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายแทบจะไม่มีสิ้นสุด”
“แต่นั่นเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของกายาหลิงเทียนจุนเท่านั้น โดยการปรับแต่งเส้นหลิงที่อยู่ลึกไปในร่างกายด้วยกายาหลิงเทียนจุนถึงจะทำให้สมบูรณ์ได้”
“ไม่เพียงแต่กายาหลิงเทียนจุนจะทรงพลังมากขึ้น แต่ยังก่อให้เกิดทักษะหลิงไม่เสินทงอีกด้วย”
“ทักษะหลิงไม่เสินทง?” มู่เฉินหดดวงตาขณะที่พูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นแผนภาพที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่เจ้าออกกระบวนท่า ก็เป็นทักษะหลิงไม่เสินทงใช่ไหม?
ตอนที่เขาต่อสู้กับเฉวียนเทียน อีกฝ่ายอาศัยสิ่งนั้นเพื่อต้านทานการโจมตีของร่างรองทั้งสองของเขาได้เป็นเวลานาน ซึ่งเป็นการป้องกันที่น่าอัศจรรย์มาก
“แผนภาพเคลื่อนดาวทรงพลังมากกว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยมทั่วไป ถ้าข้าไม่ได้ปะทะกับเจ้า ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครคนอื่นในระดับเดียวกันจะทำลายได้” ขณะที่พูดเฉวียนเทียนก็มองไปที่มู่เฉินด้วยแสงประหลาด เขาสงสัยว่าทำไมตนเองถึงโชคร้ายที่ต้องมาเจอกับสัตว์ประหลาดด้วย
วิชาสามพิสุทธ์เป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ยังปรารถนา ดังนั้นจินตนาการได้เลยว่ามู่เฉินโชคดีเพียงใดที่ได้รับมา
มู่เฉินยิ้ม “มีกฎใดบ้างที่ทำให้ทักษะหลิงไม่เสินทงเกิดขึ้น?”
“นี่เกี่ยวข้องกับทักษะการเพาะบ่มของเจ้าอย่างมาก” เฉวียนเทียนกล่าวต่อว่า “สำหรับชั้นของทักษะเชื่อมโยงกับความแข็งแกร่งของเส้นหลิงของเจ้า”
“โอ้?” มู่เฉินมองไปที่เฉวียนเทียน
“ข้าเชื่อว่าเจ้าน่าจะรู้ตั้งแต่ตอนเริ่มฝึกยุทธ์แล้วว่าเส้นหลิงแบ่งออกเป็นขั้นเหยิน-ตี้-เทียน นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าเหนือเส้นหลิงขั้นเทียนมีขั้นที่หายากที่เรียกว่าเส้นหลิงขั้นเสิน มีจอมยุทธ์หนึ่งในร้อยล้านเท่านั้นที่มีในครอบครอง”
“แต่ละขั้นแบ่งโดยจำนวน หนึ่งถึงสองคือขั้นเหยิน สามถึงสี่คือขั้นตี้ ห้าถึงหกคือขั้นเทียน… และจากเจ็ดถึงเก้าจะเป็นเส้นหลิงขั้นเสิน”
“ตอนนั้นเมื่อข้าปรับแต่งโดยเส้นหลิงก็มีดาวหกดวงอยู่ในนั้น นี่ก็คือเส้นหลิงขั้นเทียน”
เฉวียนเทียนถอนหายใจด้วยความอิจฉาในน้ำเสียง “ว่ากันว่าทักษะหลิงไม่เสินทงของเส้นหลิงขั้นเสินบางอย่างถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ยอดของยอด แม้จะเทียบได้กับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยม มากจนพลังอำนาจอาจเทียบได้กับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าเลยทีเดียว”
เมื่อมู่เฉินได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เขาครอบครองวิชาสามพิสุทธิ์และเจดีย์แปดองค์ ดังนั้นเขาจึงรู้ถึงพลังอำนาจของวิชาในตำนานและพึ่งพาวิชาเหล่านี้เขาจึงอยู่ยงคงกระพันในหมู่จอมยุทธ์ระดับเดียวกัน
ทว่าวิทยายุทธระดับเสินทงสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานหายากยิ่ง ซ้ำมู่เฉินก็รู้ดีว่าหากไม่ใช่เพราะโชคชะตา การพยายามให้ได้มาก็คล้ายกับการขึ้นสวรรค์
ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินคำพูดของเฉวียนเทียน เขาก็รู้สึกตกใจที่ทักษะหลิงไม่เสินทงของเส้นหลิงขั้นเสินสามารถเทียบเคียงได้กับวิทยายุทธระดับเสินทงสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน
“เส้นหลิงขั้นเสิน?”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเองพร้อมกับดวงตาวูบไหว ตอนที่เขาเริ่มฝึกวิทยายุทธเขาไม่แน่ใจในขั้นเส้นหลิงที่มี เนื่องสิ่งนี้ถูกซ่อนไว้มิดชิดจนเขาไม่สามารถรับรู้ได้ ทว่าจีเฉวียนมีเส้นหลิงขั้นเทียน แต่มู่เฉินก็ไม่รู้สึกว่านั่นมีพลังอะไรต่อหน้าเขา
“เวลานี้เส้นหลิงในร่างกายไม่สามารถซ่อนจากประสาทสัมผัสของข้าได้อีกต่อไป” มู่เฉินหายใจเข้าลึก ไม่ว่าเส้นหลิงจะซ่อนอยู่ลึกแค่ไหน เขาก็จะสัมผัสให้ชัดเจนในครั้งนี้
“ข้าต้องรบกวนผู้อาวุโสเฉวียนเทียนคุ้มกันสักหน่อย” มู่เฉินยิ้มให้เฉวียนเทียน
ตอนนี้เรื่องต่างๆ ในตำหนักมู่เริ่มเข้าที่เข้าทาง เขาก็ต้องการเวลาเพื่อฝึกฝนกายาหลิงเทียนจุนให้บรรลุความสมบูรณ์แบบ
เนื่องจากภารกิจต่อไปคือการมุ่งหน้าไปยังเผ่าฝูถู ในเวลานั้นการต่อสู้ครั้งใหญ่คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นเขาต้องทำให้พลังพร้อมรบมากสุดเท่าที่ทำได้
เฉวียนเทียนถอนหายใจเฮือกเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ประมุขคนนี้ไม่เกรงใจกันเลยจริงๆ สั่งใช้งานตั้งแต่เริ่ม
แต่เขาก็ผงกหัวรับทราบ จากนั้นก็นั่งลงห่างออกไปร้อยจั้งหายใจเข้าลึกๆ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงคลื่นหลิงบริสุทธิ์ในวังสวรรค์บรรพกาล
“ที่นี่คือวังสวรรค์บรรพกาลสินะ สมกับเป็นสถานที่ที่จักรพรรดิฟ้าสร้างขึ้น” เฉวียนเทียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาสามารถบอกได้ว่าพื้นที่ฝึกยุทธ์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ขั้วอำนาจสูงสุดทั่วไปในมหาพันภพสามารถครอบครองได้ มีเพียงขั้วอำนาจสูงสุดยอดเยี่ยมเท่านั้นที่มีรากฐานพอจะครอบครองมิติคล้ายกันแบบนี้
แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแบบเขา การฝึกฝนที่นี่ก็เป็นประโยชน์ เมื่อมองอย่างนี้สามสิบปีในตำหนักมู่ก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไรมาก
มู่เฉินยิ้มค่อยๆ หลับตาลง
เขาจดจ่ออยู่กับร่างกาย ทุกอณูของเลือดเนื้อ กระดูกและเส้นเลือดที่บรรจุพลังไร้ขอบเขตซึ่งเขารู้สึกได้ในขณะที่หายใจ
มู่เฉินเริ่มค้นหาภายในร่างกาย ทว่าก็ยังไม่สามารถพบเส้นหลิงได้
จิตใต้สำนึกของเขาจมลึกลงไปในร่างกาย เริ่มรู้สึกถึงทุกส่วน แต่ในช่วงแรกเขาก็ไม่ได้พบอะไรเลย ทว่าเขาก็ไม่ได้ผิดหวัง ยังคงส่งกระแสจิตต่อไป
กระบวนการนี้กินเวลานานสองชั่วโมง ก่อนที่เขาจะพุ่งพรวดออกจากกำแพงไปและถูกนำตัวไปยังมิติอื่น
ที่นี่เป็นมิติว่างเปล่าปกคลุมไปด้วยหมอกลึกลับที่ระงับการตรวจจับทั้งหมด
“หมอก?” เมื่อมู่เฉินสัมผัสได้ถึงหมอกหัวใจเขาก็สั่นสะท้าน เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่ามีคนสร้างหมอกขึ้นมาโดยเจตนา
มีใครบางคนทำอะไรกับร่างกายของเขา?
หัวใจของมู่เฉินเต้นรัวก่อนจะค่อยๆ สงบลง เพื่อให้สิ่งนี้สำเร็จอย่างสมบูรณ์จะต้องทำก่อนที่เขาจะเริ่มรับคลื่นหลิงเข้าไปในร่างกาย ดังนั้นบอกได้เลยว่ามารดาของเขาเป็นคนที่ซ่อนเอาไว้ตั้งแต่เขาเกิด
ชัดเจนว่าเหตุผลที่มารดาทำเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นการปิดกั้นไม่ให้เผ่าฝูถูพบเขา
นี่เป็นความพยายามอันขมขื่นของมารดา
“ท่านแม่ขอบคุณ”
มู่เฉินพึมพำรู้สึกถึงความอบอุ่นในหัวใจ
“แต่ลูกไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป ต่อให้หมอกนี้สลายไป ก็ไม่มีใครหน้าไหนทำอะไรข้าได้แล้ว”
เหมือนได้ยินเสียงพึมพำของมู่เฉิน หมอกลึกลับก็สั่นสะเทือนตอบรับก่อนที่จะสลายไป
เมื่อหมอกสลาย แสงก็แผ่กระจายก่อร่างเป็นพระจันทร์เสี้ยวภายใต้สายตาของมู่เฉิน
“พระจันทร์ม่วงหนึ่งดวง?” หัวใจของมู่เฉินเต้นระรัว ตามที่เฉวียนเทียนบอกแบ่งขั้นตามจำนวนหนึ่งถึงเก้า นี่ไม่ได้เป็นระยะต่ำสุดของเส้นหลิงขั้นเหยินเหรอ?
ขณะที่มู่เฉินกำลังหดหู่ พื้นที่รอบดวงจันทร์ก็ส่องแสง ดวงจันทร์ดวงอื่นก็ปรากฏขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็มีดวงจันทร์สีม่วงแปดดวงที่เบื้องหน้าเขาเปล่งแสงลึกลับออกมา
เมื่อดวงจันทร์สีม่วงแปดดวงปรากฏขึ้น ร่างกายเขาก็เริ่มเปล่งประกาย ลวดลายดวงจันทร์พร่างพราวแปดดวงเผยขึ้นบนร่างกายเขา
พร้อมกันนั้นความยิ่งใหญ่ก็แผ่กระจายออกไปในทันที
เมื่อเฉวียนเทียนเห็นฉากนี้ ดวงตาก็หดลงและอดอุทานไม่ได้ “ดวงจันทร์แปดดวง?!
“เจ้าเด็กนี่มีเส้นหลิงขั้นเสินเหรอเนี่ย?!”
การต่อสู้สั่นสะเทือนทวีปเทียนหลัวสิ้นสุดลง
แต่ระลอกคลื่นที่เกิดจากเรื่องนี้กระเทือนไปทั้งทวีปเลยทีเดียว
หากการต่อสู้ระหว่างตำหนักมู่และสามประมุขจักรวรรดิเหนือ ทำให้ชื่อของพวกเขาเพิ่มขึ้น
การต่อสู้ครั้งนี้ก็ดันตำหนักมู่ขึ้นสู่จุดสูงสุดของทวีป โดยมีขั้วอำนาจนับไม่ถ้วนรู้สึกเลื่อมใสพวกเขา
ในอนาคตจักรวรรดิเหนือจะเป็นดินแดนของตำหนักมู่เพียงหนึ่งเดียว ไม่มีใครกล้าละโมบมาคว้าอีกต่อไป สำหรับขั้วอำนาจสูงสุดของทวีปเทียนหลัว พวกเขาก็เริ่มหวาดเกรงมากต่อตำหนักมู่เนื่องจากเรื่องนี้
นั่นเป็นเพราะตำหนักมู่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนและตัดสินจากพลังการต่อสู้ที่น่าตกใจของมู่เฉิน ซึ่งอาจกลายเป็นหนึ่งในขุมกำลังสูงสุดของมหาพันภพ หากไม่ใช่เพราะตำหนักมู่ยังขาดรากฐาน
หากอยู่ในทวีปอื่น พลังในปัจจุบันของมู่เฉินสามารถทำให้เขายึดครองทั้งทวีปเป็นดินแดนของตัวเองได้ โดยไม่มีใครกล้าที่จะคัดค้านแม้แต่คำเดียว
นั่นเป็นเพราะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในมหาพันภพคล้ายกับการดำรงอยู่ที่ยอดเยี่ยม เทียบเท่ากับจอมยุทธ์แห่งมหาพันภพ ด้วยการได้รับเกียรติจากการประกาศให้เป็นยอดยุทธ์และปกครองทวีป
แต่ทวีปเทียนหลัวเป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพ ทรัพยากรที่มีอยู่ก็ยากเกินจินตนาการ แม้แต่ขุมกำลังสูงสุดก็ยังปรารถนา ดังนั้นแม้ว่าจะไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอยู่ แต่ขั้วอำนาจสูงสุดก็มีผู้สนับสนุนพวกเขาอยู่เบื้องหลัง
ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนนี้ แม้ว่าตำหนักมู่จะแสดงอำนาจเหนือคนอื่นๆ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปกครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมด
หากพวกเขาทำจริงก็จะดึงดูดความไม่พอใจของขั้วอำนาจจำนวนมากอย่างแน่นอน คงไม่ง่ายเหมือนถ้ำรัศมีม่วง วิหารเสียงสายฟ้าและถ้ำคัมภีร์มังกร
หากพวกเขาดึงดูดความเกลียดชังมากเกินไป แม้แต่มู่เฉินก็คงจัดการไม่หวาดไหว เว้นแต่ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง การยึดทวีปเทียนหลัวทั้งหมดก็จะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา
ดังนั้นมู่เฉินจึงมีคำสั่งให้ยึดดินแดนทั้งหมดของจักรวรรดิเหนือเท่านั้น แต่ห้ามมิให้แตะต้องดินแดนอื่น เพราะกลัวว่าจะดึงดูดการต่อต้านจากขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ
เนื่องจากพื้นที่จักรวรรดิเหนือที่กว้างใหญ่ ตำหนักมู่ก็ต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งย่อยเลยทีเดียว…
ตำหนักมู่ วังสวรรค์บรรพกาล
ร่างแสงทะยานลงมาบนภูเขาที่ตั้งตระหง่านข้างทะเลสาบสวรรค์ มู่เฉินปรากฏตัวและนั่งลงบนยอดเขา เขามองลงไปก็จะเห็นทะเลสาบสวรรค์ทั่วทุกมุม ราวกับเข็มขัดสีเงินคาดภูเขาสง่างามเอาไว้
แท่นฝึกยุทธ์รอบทะเลสาบมีร่างเงามากมายนั่งอยู่ เมื่อมู่เฉินมาถึงก็ทำให้เกิดความปั่นป่วน ด้วยเหตุนี้จึงดึงดูดทุกสายตาเข้ามา
จอมยุทธ์ที่สามารถมาที่นี่ได้ล้วนแต่เป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของสำนักใต้การบังคับบัญชาของตำหนักมู่ นั่นเป็นเพราะมีเพียงจอมยุทธ์รุ่นใหม่เหล่านั้นที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากทะเลสาบสวรรค์
ดังนั้นจึงมีหนุ่มสาวมากมายอยู่รอบๆ ช่างราวกับอยู่ในสรวงสวรรค์
“ดูสิ! นั่นท่านประมุข!”
เมื่อมู่เฉินปรากฏตัว ก็ทำให้สายตาเคารพนับถือจ้องมองมาทันที
“ประมุขน่าเกรงขามอย่างแท้จริง เขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนในตำนานได้ตั้งแต่อายุยังน้อย กลายเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ที่มีอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ…” หญิงสาวหลายคนทำท่าเคลิ้มเมื่อมองดูร่างหล่อเหลาสง่างามพร้อมดวงดาวพริบพราวในดวงตา
“ฮิๆ ไม่ต้องส่งตาหวานขนาดนั้น ท่านประมุขเป็นใคร? เขาจะชอบเราได้ยังไง” หญิงสาวคนหนึ่งหัวเราะเสียงพลิ้ว
ชายหนุ่มคนหนึ่งถึงกับเค้นเสียงขึ้นจมูก “มีข่าวลือว่าประมุขมีคนรักอยู่แล้ว เทพธิดาคนนั้นฝึกฝนร่างเทพวารี ในอนาคตก็จะเป็นธิดาเทพแห่งมหาพันภพ เลิกเพ้อฝันกันได้แล้ว”
ทว่าชายที่พูดก็โดนถลึงตามองโดยหญิงสาวรอบๆ
ช่วงเวลานี้รอบทะเลสาบสวรรค์จึงปั่นป่วนนัก
แม้ว่าภูเขาจะอยู่ห่างไกลจากทะเลสาบสวรรค์พอสมควร แต่มู่เฉินก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะจากกลุ่มคนเหล่านั้น ซึ่งเขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
แต่เมื่อมองไปที่จอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาก็ระลึกถึงอดีต เขานึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ในสำนักศึกษาเป่ยชาง ตอนที่เขาได้รับการฝึกฝนก็ไม่ต่างอะไรจากพวกเขาไม่ใช่เหรอ?
เขายิ้มค่อยๆ สงบใจลงจากนั้นประกายแสงก็พวยพุ่งออกมาจากนัยน์ตา กลายเป็นเจดีย์ผลึกแก้วใส
หลายวันที่ผ่านมาเขาอยู่ในตำหนักมู่ หลังจากที่ตำหนักมู่เข้าควบคุมดินแดนจักรวรรดิเหนือทั้งหมด เขาถึงได้มีเวลามาที่วังสวรรค์บรรพกาล เนื่องจากตอนนี้ถึงเวลาที่เขาต้องจัดการกับปัญหาในเจดีย์ก่อน
ตอนที่เขาสู้กับเฉวียนเทียนเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาได้ผนึกอีกฝ่ายไว้ในเจดีย์แต่ไม่ได้เอาชนะ ดังนั้นตอนนี้เมื่อเขามีเวลาว่างก็ต้องจัดการกับปัญหานี้ก่อน ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สามารถใช้เจดีย์ต่อสู้กับคนอื่นได้
ขณะที่เจดีย์ลอยอยู่ตรงหน้ามู่เฉินก็เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา
ภาพเงาของมู่เฉินเคลื่อนไหวกลายเป็นริ้วแสงทะยานเข้าไปในเจดีย์
เขากวาดสายตาไปโดยรอบ เกลียวแสงตกผลึกในเจดีย์ก็กำจายรัศมี ก่อร่างหมู่ผลึกดาวอัญมณีเต็มท้องฟ้าโดยมีภาพเงานั่งอยู่ภายใน กำลังใช้คลื่นหลิงในการต้านทาน
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉินที่จ้องมองมา ภาพเงานั้นก็ลืมตาโพลงด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ ชายคนนี้ก็คือเฉวียนเทียนซึ่งถูกปราบอยู่ภายในเจดีย์
มู่เฉินไม่ได้สนใจใบหน้าของเฉวียนเทียน แต่กลับมองเจดีย์ด้วยความสนใจ ตั้งแต่เขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุน เจดีย์ก็เกิดการเปลี่ยนไปเช่นกัน
ทุกเกลียวผลึกแสงที่ออกมาจากเจดีย์บรรจุด้วยสัญลักษณ์โบราณนับไม่ถ้วนที่มีความสามารถในการปิดผนึกที่ทรงพลัง
ดังนั้นแม้ว่าเฉวียนเทียนจะทรงพลัง ก็ได้แต่ต้องติดแหง็กอยู่ในนั้น ทุกครั้งที่เขาใช้คลื่นหลิง เขาก็จะต้องทนทุกข์ทรมานจากการห่อหุ้มของพลังปิดผนึกเพื่อยับยั้งคลื่นหลิงของเขาอีกที
“ความสามารถในการปิดผนึกของเจดีย์สามารถจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้แล้วเหรอ?” สายตาของมู่เฉินวูบไหว เจดีย์ของเขาไม่มีความสามารถเช่นนี้ในอดีต
“เผ่าฝูถูมีเอกลักษณ์จริงๆ สำหรับการยืนเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณแห่งมหาพันภพได้ ความสามารถในการปิดผนึกนี้ครอบงำอย่างแท้จริง” มู่เฉินถอนหายใจในใจ หากไม่มีเจดีย์คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะกักขังเฉวียนเทียนเอาไว้ได้
“ตาเฒ่าเฉวียนเทียนสะดวกสบายในเจดีย์ของข้าไหม?” มู่เฉินจ้องเฉวียนเทียนด้วยรอยยิ้มอ่อน
ใบหน้าของเฉวียนเทียนดำคล้ำ ขณะที่เขาอยากจะระเบิดความเกรี้ยวกราด แต่ก็ต้องระงับและยอมจำนนต่อความอัปยศอดสู “ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ ข้าผิดขอโทษตำหนักมู่ของเจ้าด้วย ข้าจะชดเชยให้ตราบใดที่เจ้าปล่อยข้าออกไปว่ายังไงล่ะ?”
เมื่อต้องรอความเมตตาของใครบางคน ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหน้ารับชะตากรรม ดังนั้นเขายอมแพ้หลังจากถูกมู่เฉินขังไว้ที่นี่
มู่เฉินยิ้มบาง “เจ้าเกือบทำลายตำหนักมู่ของข้า เจ้าคิดว่าค่าทำขวัญแบบนั้นสามารถชดเชยความสูญเสียได้เหรอ?”
เฉวียนเทียนหัวร้อนทันที “เจ้าต้องการอะไร? ข้าไม่ได้ฆ่าคนตำหนักมู่สักคนเลยนะ!”
สายตามู่เฉินกะพริบด้วยแสงเย็นเยือกขณะที่ตอบว่า “ถ้าเจ้าทำ ข้าคงบี้เจ้าให้ตายตอนนี้เลย!”
เมื่อรู้สึกถึงเจตนาฆ่าในคำพูดของมู่เฉิน เฉวียนเทียนก็รู้สึกหนาวสั่นในหัวใจ เขารู้ว่าตอนนี้มู่เฉินสามารถทำเช่นนั้นได้ ตราบใดที่เขาอยู่ในเจดีย์ ก็เป็นไปได้ที่จะปราบเขาไว้นานเท่านานจนกว่าความตายจะมาเรียกเขา
เมื่อนึกถึงผลลัพธ์แบบนั้น เฉวียนเทียนก็อดกลืนน้ำลายอึกใหญ่ไม่ได้ ก่อนที่ใบหน้าเขาจะเปลี่ยนเป็นมิตร “พี่ชายน้อยมู่ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย เอาจริงเราก็ไม่มีความขุ่นเคืองใดๆ ต่อกัน ข้าแค่ถูกขอร้องโดยตาเฒ่าเฮยกวางเพื่อมาสร้างปัญหาให้กับเจ้า”
“เจ้าต้องการอะไรถึงจะยอมปล่อยข้าไป? ตราบใดที่ข้าทำได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธแน่นอน!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมู่เฉินก็หรี่ตา ตาแก่เฮยกวางจริงด้วยรึ? แต่เรื่องนี้คงไม่ได้ทำคนเดียวแน่ เนื่องจากเขามีตระกูลเฉวียนทรงพลังคอยหนุนหลังอยู่
“ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะปล่อยเจ้าไป” มู่เฉินจ้องไปที่เฉวียนเทียนพลางกล่าว
แม้ว่าเขาจะสามารถจัดการเฉวียนเทียนได้โดยใช้ทั้งหมด แต่ก็ไม่เป็นประโยชน์สำหรับเขา
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เฉวียนเทียนก็ดีใจ “เงื่อนไขของเจ้าคืออะไร?”
มู่เฉินยิ้ม “ถ้าเจ้ายอมสัญญาว่าจะเป็นผู้อาวุโสของตำหนักมู่ของข้าสักร้อยปี ข้าก็จะตัดหนี้ออกให้ในวันนี้”
“อะไรนะ?!” เฉวียนเทียนเบิกตากว้าง ใบหน้าบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด “ข้ามีความสุขกับอิสระ ทำไมต้องถูกควบคุมโดยเจ้าด้วย!”
เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เงื่อนไขนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเป็นทาสของมู่เฉินหรือ?
มู่เฉินไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาที่รุนแรงของอีกฝ่ายก็พูดขึ้นเบาๆ “ตำหนักมู่ของข้าจะจัดพิธีเชิญเจ้าในฐานะผู้อาวุโส นอกจากนี้ข้าจะไม่สั่งให้เจ้าไปไหนมาไหน ขอแค่อยู่ในตำหนักมู่เป็นเวลาหนึ่งร้อยปีเพื่อปกป้องมัน”
เฉวียนเทียนขมวดคิ้วและเริ่มลังเล
“ถ้าเจ้าไม่เต็มใจข้าก็ไม่บังคับนะ”
มู่เฉินหลุบตา ทว่าความเย็นชาสะสมในม่านตา “แต่เราก็ต้องชำระหนี้ระหว่างกัน”
ขณะที่พูดมือเขาก็ประสานเข้าหากัน เจดีย์สั่นสะท้านก่อนที่ผลึกแสงจะเปล่งประกาย
เมื่อเห็นการกระทำของมู่เฉิน หัวใจของเฉวียนเทียนก็สั่นสะท้าน เขากัดฟัน “สามสิบปี! ข้าจะเป็นผู้อาวุโสของตำหนักมู่ของเจ้าเป็นเวลาสามสิบปี ถ้าใครกล้ามาหาเรื่องภายในกรอบเวลานี้ข้าจะช่วยสุดกำลัง!”
เขาตระหนักดีว่ามู่เฉินเป็นคนเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาดแค่ไหน ถ้าคุยกันไม่ลงตัว อีกฝ่ายฆ่าเขาแน่นอน
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉวียนเทียนรอยยิ้มอบอุ่นก็ปรากฏบนใบหน้ามู่เฉินพลางพยักหน้าให้
เสียงเยือกเย็นของมู่เฉินดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
ทำเอาผู้คนตกตะลึง พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าแม้จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงสามคน ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่กลัว เขายังกล้าที่จะท้าทาย ราวกับว่าไม่เกรงกลัวการรวมพลังของจอมยุทธ์ทั้งสามคน
ที่เบื้องหน้ามู่เฉิน จื่อชี่ เหลยจุนเจ่อและหลงเตียวก็มีสีหน้าดิ่งลง นับตั้งแต่ที่พวกเขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนก็นานมากแล้วที่พวกเขาไม่ได้รับความท้าทายเช่นนี้
นอกจากนี้ยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเขาได้เปรียบด้านจำนวนด้วย
“ประมุขมู่ช่างน่าเกรงขามอย่างแท้จริง! เจ้าคิดว่าสามารถเผชิญหน้ากับพวกเราสามคนได้ด้วยตัวคนเดียวเรอะ” หลงเตียวมีสีหน้ามืดครึ้มพร้อมกับแสงเย็นวาบในดวงตา
มู่เฉินตอบอย่างสบายว่า “ทำไมจะไม่ล่ะ?”
ขณะที่พูดแสงหลิงก็พุ่งออกมาจากร่างรองของเขา แต่ละคนก็เร้ากายาหลิงเทียนจุนออกมา แสงกำจายออกไปปลดปล่อยพลังอันไร้ขอบเขต ชัดว่าก้าวเข้าสู่สภาพพร้อมรบเต็มที่
ในเวลานี้ทุกคนรู้ดีว่ามู่เฉินไม่ได้หลอก เขาตั้งใจที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามจริงๆ
จอมยุทธ์ทั้งสามมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา หัวใจสั่นสะท้าน ขณะนี้พวกเขาตระหนักดีว่าด้วยร่างรองทั้งสอง มู่เฉินไม่ได้ด้อยกว่าในแง่ของจำนวน
หากการต่อสู้เกิดขึ้นจริงในวันนี้ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะได้ แต่ก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับซึ่งอาจจบลงด้วยทนพิษบาดแผลไม่ไหวจนตาย
ผลที่ตามมารุนแรงเกินไป ไม่มีใครสามารถแบกรับความรับผิดชอบเรื่องนี้ได้
พวกเขาฝึกฝนมาอย่างขมขื่นหลายต่อหลายปีเพื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ยังไม่ได้รับชื่อเสียงเกียรติยศเพียงพอในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลย การประลองกับมู่เฉินไม่ใช่ทางเลือกที่ชาญฉลาด
ไม่ต้องพูดถึงว่าทั้งสามคนไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว พวกเขาเป็นคู่แข่งกัน หากไม่ใช่เพราะมู่เฉิน พวกเขาก็ไม่มีวันรวมตัวกันหรอก
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ไว้วางใจในพันธมิตรชั่วคราวนี่ หากการต่อสู้เกิดขึ้นและมีสักคนวิ่งหนีไป พวกเขาก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต
ตรงกันข้ามร่างรองทั้งสองของมู่เฉิน พวกเขาไม่เพียงแต่มีสายสัมพันธ์กัน แต่ทั้งสามคนยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวอย่างสมบูรณ์ การปะทะเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเผชิญหน้าได้
หากการต่อสู้เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์นี้… โอกาสที่พวกเขาจะชนะไม่สูงเลย
ดังนั้นยามนี้พวกเขาทั้งสามจึงเริ่มลังเลและตกอยู่ในความเงียบ
ความเงียบทำให้ผู้คนที่จับจ้องมาต่างตกตะลึง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามยังถูกมู่เฉินข่มขู่ ไม่กล้าที่จะปะทะ
นั่นไม่ได้หมายความว่าแม้ทั้งสามจะร่วมมือกัน พวกเขาก็ยังกลัวมู่เฉินเหรอ?
ทุกคนจึงมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจและหวาดกลัวในดวงตา
ด้วยตัวเขาสามารถปราบจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนได้ หากเรื่องนี้กระจายออกไปชื่อของมู่เฉินอาจดังระเบิดทั่วมหาพันภพเลยทีเดียว
ความเงียบจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามดำเนินต่อไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จื่อชี่จะถอนหายใจ “ประมุขมู่ไม่มากไปหรือ?”
มู่เฉินตอบเสียงเรียบเฉย “ตอนที่พวกเจ้าสามคนสนับสนุนเฉวียนเทียนเพื่อมากดดันตำหนักมู่ พวกเจ้าเคยคิดไหมว่ามันมากไป?”
เขายกเปลือกตาขึ้นมองทั้งสามคนอย่างไม่แยแส “ถ้าข้าปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ ข้ากลัวว่าตำหนักมู่ของข้าจะไม่มีความสงบสุขในอนาคต”
“ถ้าพวกเจ้าต้องการที่จะต่อสู้ ข้าก็ยินดี ถ้าไม่มีใจก็ตามที่ข้าพูดก่อนหน้า ถอนออกจากจักรวรรดิเหนือ”
จื่อชี่ขมวดคิ้วก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น แม้ว่าทรัพยากรในจักรวรรดิเหนือจะไม่เล็ก แต่ถ้ำรัศมีม่วงของเขาก็เป็นขั้วอำนาจสูงสุด ที่นี่เป็นเพียงหนึ่งในทรัพย์สินและก็ไม่คุ้มที่จะต่อสู้กับมู่เฉินเพื่อมัน
ดังนั้นเขาจึงส่ายหัว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักเมฆาม่วงที่อยู่ภายใต้สังกัดถ้ำรัศมีม่วงขอถอนตัวออกจากจักรวรรดิเหนือเพื่อเป็นการขอโทษต่อประมุขมู่”
เขาเป็นคนที่สามารถรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ตอบสนองผลกำไรหรือขาดทุนด้วยความใจเย็น เนื่องจากเขารู้ว่าความได้เปรียบไม่ได้อยู่ข้างตัวเอง เขาจึงตัดสินใจปล่อยไป การเติบโตของตำหนักมู่ไม่สามารถหยุดได้และตราบใดที่มู่เฉินอยู่ที่นี่ก็เท่ากับมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน ซึ่งเป็นพลังที่แข็งแกร่งกว่าถ้ำรัศมีม่วงของพวกเขา
เมื่อเห็นว่าจื่อชี่ถอยออกไปแล้ว เหลยจุนเจ่อก็ส่ายหัว “ภูเขาเหลยยิงของข้าก็ถอนตัวด้วยเช่นกัน”
เมื่อหลงเตียวเห็นฉากนี้ ดวงตาก็กะพริบด้วยความโมโห ถ้าทั้งสองคนไม่ร่วมมือ เขาก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับมู่เฉินทั้งสามได้
ดังนั้นเขาจึงได้แต่เค้นเสียงเย็น ส่งสายตาแสดงความเกลียดชังไปที่มู่เฉิน จากนั้นร่างเงาก็กลายเป็นริ้วแสงทะยานออกไป
การกระทำแสดงถึงการเลือกของเขาแล้ว
เมื่อประมุขจักรวรรดิเหนือทั้งสามคนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ใบหน้าของพวกเขาก็มืดครึ้มด้วยความขมขื่น พวกเขาไม่คิดว่าแม้แต่กองกำลังสนับสนุนของพวกเขาก็ยอมแพ้ มากกว่าจะต่อสู้กับมู่เฉิน
หากไม่มีการสนับสนุน พวกเขาจะมีคุณสมบัติอะไรในการแข่งขันกับตำหนักมู่อีกล่ะ? ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะไม่มีพื้นที่สำหรับพวกเขาในจักรวรรดิเหนือแล้ว
พอเห็นการเลือกของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสาม สายตาของมู่เฉินห็วูบไหว แต่เขาไม่ได้แปลกใจอะไรกับเรื่องนี้ นั่นเพราะเขารู้ดีว่าทั้งสามที่ต่างมีความคิดไม่กล้าที่จะต่อสู้กับเขาหรอก
แต่นี่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เฉวียนเทียนถูกปราบปราม ถ้าเขารอดไปได้ก็จะเป็นอีกสถานการณ์หนึ่ง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าไม่ส่งนะ เชิญ” มู่เฉินประสานมือให้พลางพูดกับทั้งสามคนอย่างนิ่งเฉย
จื่อชี่และเหลยจุนเจ่อก็ได้แต่กลืนความโกรธแค้นลงท้องไป แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำได้เพียงจากไป หากยังคงอยู่ที่นี่ต่อไปจะต้องอับอายขายหน้ามากกว่านี้แน่
พร้อมกับการจากไปของพวกเขา ความกดดันที่ปกคลุมพื้นฟ้าและพื้นดินก็ค่อยๆ หายไป หลายคนรู้สึกโล่งใจอย่างมากขณะที่ปาดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผาก
มู่เฉินโบกมือ ร่างรองก็หายไป เจดีย์ที่อยู่ในมือก็กลับเข้าไปสถิตในดวงตา
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ เขาก็ไพล่มือไว้ด้านหลัง สายตาทะลุทะลวงมองฝูงชนที่เฝ้าสังเกตการณ์จากระยะไกล
เมื่อรู้สึกถึงการสายตาเจาะทะลุของมู่เฉิน แต่ละคนก็เริ่มผละออกและรู้สึกเสียดาย ถ้ามู่เฉินแสดงความอ่อนแอให้เห็น ใครจะรู้ว่ามีกี่คนที่พยายามเฉือนตำหนักมู่ออก แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินทรงพลังสามารถดึงตำหนักมู่ที่กำลังอยู่ที่ขอบเหวกลับมาได้
นอกจากนี้เมื่อไรที่เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ตำหนักมู่จะเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจชั้นนำของทวีปเทียนหลัวทันที ในอนาคตตำหนักมู่อาจมีโอกาสก้าวขึ้นด้านบนสุดของทวีปเทียนหลัวและกลายเป็นเจ้าเหนือหัวที่แท้จริง
ตอนนี้ก็เก่งกาจใช่เล่น อนาคตก็จะต้องลุกขึ้นผงาดเหมือนมังกรอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีใครหยุดเขาได้ ตำหนักมู่จะใช้ประโยชน์จากความปั่นป่วนและก้าวเข้าสู่ตำแหน่งสูงสุด
บนท้องฟ้า เมื่อสายตาเหล่านั้นหายไป มู่เฉินก็ดึงความกดดันที่น่ากลัวรอบๆ ตัวออกแล้วพลิ้วลงมาจากท้องฟ้ายืนเบื้องหน้าตำหนักมู่
“ยินดีต้อนรับท่านประมุข”
เมื่อเห็นมู่เฉินลงมา หลิ่วเทียนเต้าและคนที่เหลือก็คุกเข่าด้วยความเคารพฉายบนใบหน้า
มู่เฉินมองไปที่ทุกคน ก็เห็นว่าจำนวนจอมยุทธ์ชั้นสูงลดลงหลังจากที่เขาจากไป
เมื่อรู้สึกถึงสายตามองของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็ก้าวออกมา “ภายใต้แรงกดดันของผู้เฒ่าเฉวียนเทียนในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่เข้าร่วมกับเราก็ขอถอนตัวไปมาก”
เมื่อมู่เฉินได้ยินใบหน้าก็สงบนิ่ง “ดีแล้ว พวกที่หนีไปเมื่อเผชิญอันตรายอยู่ไปก็เป็นหายนะ”
มั่นถัวหลัวพยักหน้า คนพวกนี้เป็นพวกหมาใน หากเก็บไว้ก็อาจเป็นปรสิตในตำหนักมู่แทน
แม้ว่าครั้งนี้ความแข็งแกร่งของตำหนักมู่จะลดลง แต่พวกเขาก็สามารถกำจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่ได้
“สำหรับพวกที่ออกไปแล้วให้ยึดดินแดนและขับไล่พวกมันออกจากจักรวรรดิเหนือ ในอนาคตหากพวกมันกล้าที่จะแหย่เท้าเข้ามาอีกละก็ ฆ่าให้หมดตรงหน้าเลย” สายตาของมู่เฉินเป็นประกายด้วยแสงเย็น ถ้าเขาต้องการให้ตำหนักมู่ยืนยงอยู่ได้ เขาจะต้องใช้ทั้งพระเดชพระคุณ ส่วนคนที่กล้าหันหลังให้ตำหนักมู่เมื่อมีภัย เขาก็ต้องเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อเตือนใจเสียหน่อย
เมื่อได้ยินเสียงเยือกเย็นของมู่เฉิน หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ก็ตัวสั่นสะท้าน ทว่าบังเกิดความรู้สึกโชคดีในใจ โชคดีที่พวกเขาอดทนและอยู่ต่อไป มิฉะนั้นผู้โชคร้ายเหล่านั้นจะเป็นพวกเขาเอง
“เมื่อลงทัณฑ์แล้วก็มีรางวัลตอบแทนเช่นกัน”
มู่เฉินหันไปมองคนที่อยู่ข้างหลัง สายตาอ่อนโยนลง “สำหรับดินแดนที่ถูกยึดเหล่านั้นจะเป็นรางวัลสำหรับผู้ที่ยังไม่ถอนตัวออก จำนวนป้ายทะเลสาบสวรรค์ที่จะได้รับในอีกสามปีข้างหน้าก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน”
คำพูดของเขาสร้างความสุขให้กับทุกคน เนื่องจากมีขั้วอำนาจจำนวนมากที่ถอนตัวออกจากตำหนักมู่ หากพวกเขาสามารถรับดินแดนเหล่านั้นได้ พลังของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้หากจำนวนป้ายทะเลสาบสวรรค์ก็จะเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาสามารถเข้าสู่ทะเลสาบสวรรค์เพื่อฝึกฝนและเสริมความแข็งแกร่งให้กับตนเอง
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะคุกเข่าแสดงความเคารพต่อมู่เฉิน “เราขอขอบคุณรางวัลจากท่านประมุข!”
เมื่อมั่นถัวหลัวและหลิงซีเห็นมู่เฉินใช้ทั้งไม้นวมและไม้แข็งอย่างไร พวกนางก็สบตากันและยิ้ม พวกนางรู้ว่าช่วงเวลาที่มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุน การพัฒนาของตำหนักมู่ก็ถูกกำหนดขึ้น…
คราวนี้ไม่มีใครหยุดการทะยานขึ้นได้อีกแล้ว
“โปรดยั้งมือ!”
เสียงแกร่งกร้าวสามเสียงดังก้อง พร้อมกับพลังมหาศาลสามสายทะลุมิติยับยั้งเจดีย์ผลึกแก้วใสเพื่อช่วยเหลือเฉวียนเทียน
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้หลายคนตกตะลึงกับสถานการณ์ เนื่องจากพวกเขาสามารถบ่งบอกตัวตนของคนเหล่านั้นได้จากการเรียกขานของเฉวียนเทียนแล้ว
จื่อชี่จากถ้ำรัศมีม่วง!
เหลยจุนเจ่อจากวิหารเสียงสายฟ้า!
หลงเตียวจากถ้ำคัมภีร์มังกร!
ทั้งสามขุมกำลังนี้เป็นขั้วอำนาจชั้นสูงในมหาพันภพ ซึ่งคนที่เคลื่อนไหวในครั้งนี้ก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจากขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสาม!
ตามกฎของทวีปเทียนหลัว ไม่อนุญาตให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้าร่วมชิงชัยในทวีปนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งสามไม่สามารถรั้งตัวเองได้อีกต่อไป
เมื่อพวกเขาเห็นว่ามู่เฉินทรงพลังเพียงใด หากพวกเขายอมให้ชายหนุ่มจัดการเฉวียนเทียนละก็จะไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้ จักรวรรดิเหนือทั้งหมดก็จะอยู่ในมือของตำหนักมู่
งานหนักทั้งหมดที่พวกเขาทำมาหลายปีก็จะละลายลงไปกับสายน้ำ
ดังนั้นพวกเขาต้องหาโอกาสที่จะยับยั้งแรงผลักดันของมู่เฉิน
ตามการคาดการณ์พวกเขาน่าจะสามารถจัดการกับมู่เฉินได้ ตราบใดที่พวกเขาทั้งสี่ร่วมมือกัน
“พวกท่านผู้อาวุโสเคลื่อนไหวแล้ว!”
เมื่อพวกประมุขจักรวรรดิเหนือทั้งสามเห็นฉากนี้ ความปีติยินดีก็กระจายบนใบหน้า จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนจะทำให้พวกเขาสามารถพลิกสถานการณ์นี้ได้ แม้แต่มู่เฉินก็ต้องถอยห่างจากการรวมตัวนี้!
เมื่อมองไปที่จอมยุทธ์ทั้งสามที่ทะยานมาจากระยะไกล ม่านตาสีดำของมู่เฉินก็กะพริบด้วยไอหนาวเย็น เขารู้โดยธรรมชาติเกี่ยวกับความตั้งใจของทั้งสามได้
“ในอดีตข้ายังไว้หน้าพวกเจ้า ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงยอมละมือ แต่ตอนนี้พวกเจ้าแส่เข้ามายุ่ง ก็อย่ามาโทษข้านะ”
มู่เฉินเค้นเสียงเย็นพลางก้าวออกไปปรากฏตัวเหนือเจดีย์ มือข้างหนึ่งสร้างตราประทับ แสงสีม่วงทองไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกมา ร่างเงาขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นข้างหลังเขาในพริบตา
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์!
ตอนนี้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์แข็งแกร่งกว่าก่อนที่มู่เฉินจะบรรลุระดับนี้ไม่รู้กี่เท่า แม้แต่ขนาดที่แท้จริงก็ยังขยายไปถึงสิบกว่าเท่าจากหนึ่งพันจั้งเป็นหลายหมื่นจั้งเห็นจะได้
นอกจากนี้แสงสีม่วงทองบนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ยังได้รับการขัดเกลา หากในอดีตร่างเทพสุริยะนิรันดร์เป็นเพียงร่างลวงตา เวลานี้ก็คือพระพุทธรูปยักษ์แท้จริง!
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ขนาดมหึมาสลักด้วยอักขระโบราณบนตัว เปล่งประกายด้วยรัศมีอมตะ ราวกับว่ากาลเวลาไม่สามารถกัดกร่อนได้
เมื่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปรากฏขึ้นด้านหลังมู่เฉิน มันก็เปิดปากและสายธารสีม่วงทองพุ่งออกมา ทำให้มิติถึงกับพังทลายลงจากแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง
มู่เฉินมองสายธารเชี่ยวกรากพลางพยักหน้าเบาๆ แม่น้ำนี้ถูกสร้างขึ้นจากรหัสเทพอมตะ ตามการประมาณของเขา จำนวนลวดลายที่สามารถสร้างได้ครั้งนี้มีถึงสี่ร้อยแปดสิบลายเลยทีเดียว
ต้องรู้ว่าขนาดมู่เฉินหลอมรวมกับร่างรองก่อนจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน เขาก็สามารถสร้างได้เพียงสามร้อยลายเท่านั้น
แต่ตอนนี้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์สามารถปลดปล่อยรหัสเทพอมตะได้เกือบห้าร้อยลวดลาย เห็นได้ว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นมากเพียงใด
เพราะยิ่งหลังๆ รหัสเทพอมตะทุกลวดลายก็จะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการสร้าง ไม่ต้องคิดถึงเกือบสองร้อยลายเลย…
ขณะที่แม่น้ำสีม่วงทองพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก็คดโค้งไปตามรูปแบบที่มู่เฉินต้องการ ก่อร่างเป็นมังกรทองโหดร้าย
โฮก!
มังกรปลดปล่อยเสียงคำรามสั่นสะท้านชั้นฟ้า
ฟิ้ว!
มังกรทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยอานุภาพไร้ขอบเขตปะทะกับพลังยิ่งใหญ่สามสายที่พุ่งลงมา
จังหวะที่ปะทะกันนั้นสวรรค์และโลกก็เงียบกริบลง แม้ว่าจะไม่มีเสียงรบกวนทำให้พื้นดินโยกคลอน แต่มิติก็เริ่มถล่มลงบนท้องฟ้า ก่อนที่จะค่อยๆ ก่อตัวเป็นหลุมดำที่มีขนาดแสนจั้ง…
มังกรและพลังยิ่งใหญ่ทั้งสามสายถูกลบออกจากการปะทะกันนี้
เฮือก!
หลายคนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดผวาพล่านในดวงตา ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะสามารถต้านทานการโจมตีจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนได้
“เป็นไปได้ยังไง?!”
ประมุขจักรวรรดิเหนือทั้งสามตกตะลึง แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนจะไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดออกมา ทว่าพวกเขาก็ยังได้เปรียบด้านจำนวน แต่ตอนนี้พวกเขาถูกมู่เฉินคนเดียวต้านได้ ดังนั้นแสดงให้เห็นว่ามู่เฉินมีความแข็งแกร่งปานใด
“หึ ใครกล้าท้าทายในพื้นที่ตำหนักมู่จะต้องถูกตำหนักมู่ของข้าจัดการ นี่ไม่ใช่ธุระกงการของพวกแก!” มู่เฉินยืนอยู่บนเจดีย์พร้อมสาดสายตาเย็นชา เสียงของเขาก็ดังก้องไปทั่วขอบฟ้าสอดแทรกด้วยพลังที่น่ากลัว
ทั่วบริเวณเงียบ ราวกับว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามยังตกใจกับพลังของมู่เฉิน
ทว่ามู่เฉินไม่สนใจพวกเขา เขากระทืบเท้าบนเจดีย์ เจดีย์สั่นสะเทือนระเบิดผลึกแสงออกมาห่อหุ้มเฉวียนเทียนเอาไว้
“อ้ากๆๆๆ!”
เฉวียนเทียนร้องลั่นขณะที่ร่างเหนือสวรรค์จางลง ก่อนที่จะถูกดูดเข้าไปในเจดีย์
เจดีย์ตั้งตระหง่านอยู่ในอากาศเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา ความกลัวทุกสายตาจับจ้องมองมา
เนื่องจากฉากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนถูกปราบต่อหน้าช่างน่าตกใจแท้จริง
“ประมุขมู่!”
“ประมุขมู่สุดยอด!”
ความเงียบคงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะมีเสียงคำรามที่ทำให้หูดับดังก้องไปทั่ว ทั้งตำหนักมู่เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องยินดี ดวงตาของพวกเขาอัดแน่นด้วยความเคารพขณะมองไปที่มู่เฉิน
ตำหนักมู่ถูกเฉวียนเทียนเหยียบหัวมานาน แต่ใครจะไปคิดว่าประมุขจะกลับมาอย่างทรงพลังเช่นนี้ กระทั่งสามารถจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้
ความสำเร็จนี้ทำให้ทุกคนในตำหนักมู่รู้สึกภาคภูมิใจในหัวใจ
ด้วยประมุขคนนี้ใครจะกล้าท้าทายตำหนักมู่ของพวกเขาในจักรวรรดิเหนือ? หรือแม้แต่ทวีปเทียนหลัว?
ขณะที่ตำหนักมู่ส่งเสียงร้อง ขั้วอำนาจอื่นๆ ก็มีใบหน้าดิ่งลง เพราะพวกเขาเป็นสำนักที่เลือกแยกตัวออกจากตำหนักมู่ เมื่อพวกเขาเห็นว่าตำหนักมู่ถูกปราบไว้ พวกเขาไม่มีความคิดที่จะยืนร่วมกับคนอ่อนแอต่อไป
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าตำหนักมู่จะไม่สามารถช่วยตัวเองได้ในวันนี้ แต่ใครจะคิดว่าเหตุการณ์จะกลับตาลปัตรแบบนี้
“เราตายแน่… ในอนาคตไม่มีที่สำหรับเราในจักรวรรดิเหนืออีกต่อไป” ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดจนไม่น่าดู
เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้อง มู่เฉินก็ยื่นมือออกไป เจดีย์หดตัวลงตกบนฝ่ามือของเขา
มู่เฉินเหลือบตามองเจดีย์ ตอนนี้เขาได้เปิดใช้งานวิชาเจดีย์แปดองค์เพื่อปราบเฉวียนเทียนไว้ภายใน เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาที่จะจัดการอีกฝ่าย
มู่เฉินถือเจดีย์ในมือพลางเงยหน้าขึ้น เสียงสงบนิ่งสะท้อนออกไป “ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสามเคลื่อนไหวก็แสดงตัวออกมา การซ่อนตัวไม่ใช่วิถีของจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุน”
เมื่อเสียงของมู่เฉินดังก้อง เสาแสงสามเสาก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า กลายเป็นร่างเงาสามร่าง
เพียงแค่ยืนอยู่ที่นั่น รัศมีของพวกเขาก็ทำให้มิติแปรปรวน
เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนก็คือจื่อชี่ เหลยจุนเจ่อและหลงเตียวที่ปะทะกันก่อนหน้านี้
ตอนนี้ใบหน้าของทั้งสามไม่น่าดูเลย พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าไม่เพียงแต่จะไม่สามารถช่วยเฉวียนเทียนจากมือของมู่เฉินได้ แต่กลับถูกลูบคมด้วย
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับใบหน้าเหี่ยวย่นไม่น่าดู เขากล่าวว่า “เฉวียนเทียนกำเริบคิดจะปราบตำหนักมู่ของข้าคงได้รับการสนับสนุนจากพวกเจ้าทั้งสามด้วยใช่ไหม? วันนี้พวกเจ้าต้องมีคำอธิบายกับข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ทั้งสามก็หดดวงตาก่อนที่หลงเตียวจะเอ่ยเยาะ“โอ้? ตำหนักมู่ต้องการคำอธิบายอะไรจากเรา?”
“จากนี้ไปจักรวรรดิเหนือเป็นของตำหนักมู่เพียงผู้เดียว ใครไม่คิดสวามิภักดิ์ก็ไสหัวไป” มู่เฉินหลุบตาลงขณะที่ตอบอย่างสบายๆ
หลายคนตัวสั่นสะท้านจากคำพูดเหล่านั้น กระทั่งจอทยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามก็ออกอาการโกรธเกรี้ยว พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะหยิ่งผยองแม้แต่ต่อหน้าพวกเขา
“คำพูดของประมุขมู่เกินไปรึเปล่า…” จื่อชี่ขมวดคิ้วขณะที่พูด
หลงเตียวหัวร้อนฉ่าอยู่แล้ว ดังนั้นจึงตอกเสียงเย็นชาใส่ว่า “เจ้าจะทำอะไรได้ถ้าเราไม่เต็มใจ”
“ทำอะไรได้เหรอ?”
ไอสังหารพวยพุ่งสูงขึ้นรอบตัว ร่างรองทั้งสองก็ทะยานออกไป มู่เฉินทั้งสามก็มองไปที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามอย่างเย็นชา
ทั่วฟ้าดินเงียบกริบ ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารในดวงตาของชายหนุ่ม เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธเฉวียนเทียนมากที่บังอาจมากลั่นแกล้งตำหนักมู่ถึงเพียงนี้
เพื่อข่มขู่คนทั้งทวีปเทียนหลัว เขาก็ไม่ยอมแม้จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนก็ตาม
ภายใต้สายตาที่ตกตะลึง มู่เฉินก็ยิ้มน้ำเสียงเย็นชาสะท้อนออกมา
“ข้าจะทำอะไรได้? งั้นมาประลองกันว่าใครจะอยู่และใครจะตาย”
บนท้องฟ้า
เมื่อร่างเงาทั้งสองปรากฏขึ้น ทุกคนพากันตกตะลึงไป ใบหน้าแต่ละคนแข็งค้างไปเลยทีเดียว
พวกเขารู้สึกได้ว่าร่างดวงจิตทั้งสองกำลังเปล่งความผันผวนของระดับเทียนจื้อจุน
ฉากนี้ทำให้ประมุขจักรวรรดิเหนือทั้งสามตกตะลึง จากนั้นครู่หนึ่งพวกเขาก็สูดอากาศเย็นเยือกเข้าปอดพร้อมกับความหวาดผวาพล่านบนใบหน้า
พวกเขาคุ้นเคยกับร่างดวงจิตของมู่เฉินเนื่องจากเคยต่อสู้กันมาก่อน ทว่าพวกเขาไม่เคยคิดว่าหลังจากบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนร่างดวงจิตของอีกฝ่ายจะมีพลังเช่นเดียวกับร่างหลักอีก…
นั่นคือระดับเทียนจื้อจุน ไม่ว่าร่างดวงจิตจะทรงพลังเพียงใดก็ควรมีข้อจำกัดไม่ใช่รึ? แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันทักษะเทพที่มู่เฉินครอบครองก้าวข้ามขีดจำกัดนั่นไปแล้ว
นั่นหมายความว่าตำหนักมู่ไม่ได้มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนเดียวแต่มีสามคน!
ต้องรู้ว่าแม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนเดียวเท่านั้น!
ด้วยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน ตำหนักมู่กวาดทวีปเทียนหลัวทั้งหมดได้อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว!
ทั้งฟ้าดินเงียบงัน เจ้าเมฆาม่วงและคนอื่นๆ ต่างตกใจจนไร้คำพูด ผู้ชมก็ตกใจเช่นกันเมื่อดูสิ่งนี้
ชัดว่าร่างดวงจิตของมู่เฉิน ทำให้พวกเขาตกตะลึงใหญ่หลวง
“ไม่คิดว่าร่างรองของประมุขจะทรงพลังเช่นนี้…” หลิ่วเทียนเต้าและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ของตำหนักมู่ตกตะลึงเป็นเวลานาน ก่อนที่จะเรียกสติกลับคืนและทอดถอนหายใจ
ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะทราบเกี่ยวกับร่างรองของมู่เฉิน แต่พวกเขาก็เหมือนกับพวกเจ้าเมฆาม่วง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าร่างรองจะแข็งแกร่งขึ้นด้วย หลังจากที่มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุน
ฝั่งตำหนักมู่ระเบิดเสียงโห่ร้อง ความหดหู่ที่รู้สึกจากการถูกเฉวียนเทียนกดดันตลอดครึ่งปีได้รับการปลดปล่อยออกมาทั้งหมด
ซึ่งมากเกินกว่าพอใจ!
“สมกับเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าอย่างแท้จริง” มั่นถัวหลัวและหลิงซีแลกเปลี่ยนสายตากันต่างก็เห็นความชื่นชมในสายตาของกันและกัน แม้ว่าพวกนางจะคาดหวังไว้ แต่ก็ยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อความตกตะลึงเมื่อได้เห็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน
บนท้องฟ้า
เฉวียนเทียนมองไปที่ร่างเสมือนทั้งสองเป็นเวลานาน ก่อนที่เสียงแหบแห้งจะลอดไรฟันออกมา “วิชาสามพิสุทธิ์?!”
ความรู้ของเฉวียนเทียนไม่ธรรมดาในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เขาสามารถบอกที่มาของทักษะเทพของมู่เฉินได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว ที่สุดแล้วมีเพียงวิชาสามพิสุทธิ์เท่านั้นที่สามารถสร้างร่างรองที่มีความแข็งแกร่งเหมือนกับร่างหลักได้
เผชิญหน้ากับร่างรองอีกสองร่าง แม้แต่เฉวียนเทียนก็ยังรู้สึกถึงร่องรอยแห่งความเสียใจในใจ ตอนแรกเขาคิดว่าเรื่องที่ถูกขอให้ช่วยครั้งนี้จะง่าย เนื่องจากตัวเขามีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง ไม่ว่ามู่เฉินจะมีวิธีมากแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนีไปจากเขาได้
ดังนั้นเมื่อเขาได้รับคำขอก็รับปากโดยไม่ลังเลใดๆ แต่ตอนนี้เขาซึ้งแล้วว่าการกระทำของตนเองโง่เง่าเพียงใด
มู่เฉินบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ในอนาคตเขาจะไม่หยุดอยู่แค่ขั้นหลิงเท่านั้น ใครจะรู้เขาอาจกลายเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในตำนานอีกคนของมหาพันภพก็ได้
นั่นคือการดำรงอยู่บนจุดสุดยอดของมหาพันภพเลยนะ
ครั้งนี้เขาเตะแผ่นโลหะจังใหญ่เข้าแล้ว!
แม้ว่าสีหน้าเขาจะไม่เปลี่ยนไป แต่ก็ถั่งโถมไปด้วยความขมขื่นในใจ การยืนค้ำตำหนักมู่ครึ่งปีทำให้ชื่อเสียงของตำหนักมู่ป่นปี้ไปหมด ถือว่าทำให้มู่เฉินขุ่นเคืองอย่างที่สุดและด้วยนิสัยของอีกฝ่าย เรื่องนี้คงไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับความคิดของเฉวียนเทียน ม่านตาสีดำของเขามองไปที่อีกฝ่ายอย่างคมกริบ
แม้ว่าเฉวียนเทียนจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ก็ทำให้ชื่อเสียงของตำหนักมู่เสียหายไป เกือบจะสลายขวัญกำลังใจของพวกเขาเป็นผงธุลี
นอกจากนี้เขายังทำให้ทุกคนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นหากมู่เฉินปล่อยเขาออกไปอย่างง่ายดาย คนอื่นๆ จะดูถูกตำหนักมู่เอาได้ ในอนาคตทุกคนก็สามารถมาเหยียบย่ำสำนักของเขาโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินไม่ยอมให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นพยักหน้าให้กับร่างรองของเขา
ฮึ่ม!
แสงหลิงไร้ขอบเขตพุ่งออกมาจากร่างรอง ร่างกายของพวกเขาเปลี่ยนเป็นแสงพราวเปล่งพลังที่น่ากลัว
วาบ!
เมื่อทั้งสองทะยานออกไปก็นำพารัศมีดุร้ายมาด้วย ขณะซัดไปยังเฉวียนเทียน
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของร่างรองทั้งสอง ใบหน้าของเฉวียนเทียนก็เปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้เขาพึ่งพากายาหลิงเทียนจุนทรงพลังเพื่อให้ได้เปรียบกว่าเล็กน้อย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับมู่เฉินสองคนเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้อีกแล้ว
“บ้าจริง!”
เฉวียนเทียนสาปแช่ง ไม่กล้าใช้กายาหลิงเทียนจุนเพื่อปะทะอีกต่อไป ทันใดนั้นมือเขาวาดตราประทับ ดวงดาวที่สลักอยู่บนร่างกายก็กะพริบและเชื่อมต่อเข้าด้วยกันกลายเป็นแผนภาพท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวบนร่างกายเขา
“แผนภาพเคลื่อนดาว!”
ตู้ม ตู้ม!
เมื่อร่างรองทั้งสองกระโจนเข้าไปก็ไม่ได้ออมมือ แสงพราวพร่างระเบิดออกจากร่างพวกเขาพร้อมกับภาพมายา ขณะที่โจมตีใส่เฉวียนเทียน
ตึง ตึง!
ท้องฟ้าแปรปรวนมิติพังทลายภายใต้การโจมตีที่รุนแรงของพวกเขา แม้ว่าเฉวียนเทียนจะพยายามอย่างเต็มความสามารถที่จะต่อต้าน แต่เขาก็ยังคงได้รับผลกระทบต่อร่างกาย
ทว่าตอนนี้นี่เองแผนภาพดวงดาวหมุนวนปกป้องร่างกาย หมัดทำลายล้างเหล่านั้นก็ทิ้งระลอกคลื่นไว้บนร่างกายของเขาได้เท่านั้น
“ช่างเป็นการป้องกันที่ทรงพลัง นี่คือประโยชน์ของกายาหลิงเทียนจุนหรือ?” ร่างหลักอย่างมู่เฉินเฝ้าดูฉากนี้ด้วยสายตาวูบไหว พลังการป้องกันของแผนภาพดวงดาวน่าตกใจมาก
ดูเหมือนพลังอำนาจของกายาหลิงเทียนจุนจะพิเศษอย่างแท้จริง…
แต่ไม่ว่าการป้องกันจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถอยู่ได้นานเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคน
ตามที่มู่เฉินคาดการณ์ เฉวียนเทียนแทบยืนไม่ไหวในการแลกกระบวนท่า เมื่อเวลาผ่านไปแผนภาพดวงดาวก็เริ่มสั่นคลอนจนใกล้จะแตก
การพยายามเผชิญหน้ากับร่างรองทั้งสองไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด
ตู้ม!
ร่างทั้งสองยืนอยู่ด้านหน้าและด้านหลังของเฉวียนเทียน ฝ่ามือของพวกเขาส่งเสียงฟ้าผ่าดังกระแทกเข้ากับแผนภาพดวงดาว
แกร็ก!
คราวนี้แผนภาพดาวถึงขีดสุด รอยแตกเริ่มกระจายก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ
ทันทีที่แผนภาพแตกสลาย แสงหลิงก็กะพริบอยู่ใต้เท้าของเฉวียนเทียน เขาหายไปตรงจุดที่ถูกประกบจากร่างรอง
แต่ทุกคนบอกได้เลยว่าเฉวียนเทียนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว
วาบ!
แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช แต่ร่างรองทั้งสองก็ไม่คิดจะปล่อยเขาไป พวกเขาไล่ตามด้วยการโจมตีล้อมกรอบเอาไว้
เฉวียนเทียนเผชิญกับสถานการณ์ที่กลายเป็นอันตรายและดูน่าสมเพชอย่างยิ่ง
“มู่เฉินอย่าบีบกันนัก!” เฉวียนเทียนคำราม
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับเสียงคำรามนั่น ร่างรองเปิดการโจมตีคมชัดขึ้น
เฉวียนเทียนที่สัมผัสได้ถึงการโจมตีไม่สามารถรับได้อีกต่อไป เขาคำรามปลดปล่อยคลื่นหลิง ทันใดนั้นร่างมหึมาสูงหลายแสนจั้งก็ปรากฏขึ้นข้างหลัง
ร่างเงานั้นเปล่งแสงพราว แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็สลัวลงเมื่อเทียบเคียงกัน ขณะที่หายใจก็พัดพายุรุนแรงระหว่างสวรรค์และโลก ช่างคล้ายกับเทพยาตราลงมาบนโลก
“นี่คือร่างเหนือสวรรค์…”
ผู้คนจ้องมองร่างมหึมาด้วยความตกตะลึงในใจ เฉวียนเทียนถูกบังคับให้นำร่างเทห์สวรรค์ของระดับเทียนจื้อจุนซึ่งเรียกว่าร่างเหนือสวรรค์ออกมา ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าเขาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเพียงใด
โฮก!
เมื่อร่างเหนือสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นก็ส่งเสียงคำราม ราวกับว่ามีดวงดาวนับล้านพุ่งลงมา กลายเป็นลำแสงยิงเข้าใส่ร่างรองทั้งสอง
ยามนี้เฉวียนเทียนไม่กล้ารั้งแล้ว เขาปลดปล่อยพลังการต่อสู้จนถึงขีดสุด
“ไอ้หนู แกคิดว่าข้ากลัวนักเหรอไง? ถ้าอยากสู้ก็เข้ามา!” ร่างเหนือสวรรค์ยืนตะหง่านบนท้องฟ้าโดยมีเฉวียนเทียนปรากฏตัวบนไหล่
เมื่อมู่เฉินได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับสีหน้าเย็นชา
“งั้นเหรอ?”
พอได้ยินเสียงเยือกเย็นของมู่เฉิน เฉวียนเทียนก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างพลางเงยหน้าขึ้น เขาเห็นเจดีย์ผลึกแก้วใสขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น จากนั้นก็บีบกดลงมาปราบปรามเขา
ตู้ม!
เฉวียนเทียนตกใจ จากนั้นก็ควบคุมร่างเหนือสวรรค์ทันทีเพื่อต่อต้านและหยุดเจดีย์เอาไว้ ทว่าก็เพียงเท่านั้น เจดีย์ยังคงค่อยๆ ลดระดับลง ต้องการที่จะกักเขาไว้ภายใน
แกร็ก
ร่างเหนือสวรรค์ขนาดใหญ่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ขณะที่ใบหน้าของเฉวียนเทียนเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็รู้สึกว่าไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เขาหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่เปล่งเสียงคำราม
“จื่อชี่ เหลยจุนเจ่อ หลงเตียว ถ้าพวกเจ้ายังไม่เคลื่อนไหวก็จะไม่มีที่ในจักรวรรดิเหนืออีกแล้ว!”
เมื่อเสียงของเฉวียนเทียนดังขึ้น ความเงียบก็คงอยู่เป็นอึดใจ ก่อนที่พลังสามสายจะทะลุผ่านมิติ ซัดลงบนเจดีย์
ในเวลาเดียวกันเสียงน่าเกรงขามสามเสียงก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดินพร้อมกับแรงกดดัน
“ประมุขมู่โปรดยั้งมือ!”
ฟิ้ว!
แสงโชติช่วงสองสายพุ่งข้ามขอบฟ้าราวกับอุกกาบาต ทำให้มิติพังทลายในเส้นทางที่พาดผ่าน ความผันผวนนี้ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกสั่นสะเทือน
ร่างแสงสองร่างไม่ได้ใช้กลยุทธ์ใดๆ พวกเขาเอาแต่ปะทะกันโหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตู้ม!
แสงหลิงไร้ขอบเขตสร้างความหายนะไปทั่วท้องฟ้า ทำให้หมู่เมฆถูกลบออกไปในรัศมีหมื่นลี้เลยทีเดียว
แม้ทั้งสองฝ่ายจะโรมรันกันบนท้องฟ้าสูง แต่ระลอกคลื่นที่เกิดจากการปะทะก็ทำเอาโลกสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น….
ฉากนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกหนังหัวชาหนึบ คลื่นกระแทกนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะทนได้
ตึง!
ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน แสงโชติช่วงก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ร่างแสงสองร่างทะยานกลับมาพร้อมกับมิติยุบตัวที่ด้านหลัง
มู่เฉินถอยออกไปหลายพันจั้ง ร่างกายสั่นสะท้านไปหมดจากนั้นก็กลายเป็นพลังงานหลิง ซึ่งดูราวกับระลอกคลื่นบนอัญมณีส่องประกายที่ละลายพลังที่น่ากลัว
ส่วนเฉวียนเทียนก็ถอยกลับไปประมาณหนึ่งพันจั้ง แต่ร่างกายของเขาไม่เหมือนกับมู่เฉิน ดวงดาวบนร่างของเขาสั่นไหวดูดซับและสลายพลังงานในร่างกายลง
ในการเผชิญหน้าครั้งนี้ผู้มากประสบการณ์อย่างผู้เฒ่าเฉวียนเทียนอยู่ในตำแหน่งเหนือกว่า
แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของเฉวียนเทียนก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน หลังจากแลกกระบวนท่ากันหลายครั้ง เขารู้สึกได้ว่าแม้ว่ามู่เฉินจะเพิ่งสร้างกายาหลิงเทียนจุนขึ้นมา แต่ก็แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มคนนี้มีรากฐานพลังที่มั่นคง ไม่ได้อาศัยแค่โชคในการทะยานเข้าประตูมังกร
ขณะที่สีหน้าเฉวียนเทียนเคร่งเครียดลง มู่เฉินก็ครุ่นคิดพลางมองไปที่กายาหลิงเทียนจุนของอีกฝ่าย เขาสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างเขาและเฉวียนเทียน
กายาหลิงเทียนจุนของเขาบริสุทธิ์ราวกับอัญมณี แต่ของเฉวียนเทียนกลับมีดวงดาวอยู่ภายใน ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
“ดูเหมือนว่านั่นน่าจะเป็นวิธีพัฒนากายาหลิงเทียนจุนให้แข็งแกร่งขึ้น… แต่ข้าเพิ่งบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ดังนั้นจึงยังไม่คุ้นเคยกับการเพาะบ่มพลัง”
มู่เฉินพึมพำในใจ ตัวเขาพึ่งพาตัวเองในเส้นทางการเพาะบ่มโดยไม่มีใครแนะนำ ในเวลาเดียวกันก็ไม่มีพื้นหลังที่ทรงพลังเช่นกัน ทำให้เขาขาดประสบการณ์โดยธรรมชาติ
แต่เมื่อเขาต่อสู้กับเฉวียนเทียน เขาก็ได้รับความเข้าใจเล็กน้อยราวกับว่าสัมผัสอะไรบางอย่างได้
ดังนั้นสายตาเขาจึงกะพริบวูบไหวแล้วพุ่งตัวออกไปอีกครั้ง ราวกับเกลียวแสงที่เปล่งรัศมีไร้ขอบเขตพุ่งไปยังเฉวียนเทียน
เขาไม่ได้ใช้ทักษะเทพใดๆ แต่อาศัยกายาหลิงเทียนจุนอย่างเดียว ต่อสู้ด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมที่สุด
นั่นเป็นเพราะหลังจากที่เขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ร่างกายของเขาถูกสร้างขึ้นจากพลังงานหลิงบริสุทธิ์ ดังนั้นทุกการเคลื่อนไหวจึงมีพลังงานไร้ขอบเขต สรุปสั้นๆ ก็คือพลังที่อยู่เบื้องหลังหมัดของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าการใช้วิชาเจดีย์แปดองค์ในอดีตเลย
“หึ แค่กายาหลิงเทียนจุนระยะต้นยังคิดจะสู้กับข้าเรอะ?”
เฉวียนเทียนตะเบ็งเสียงลั่นเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของมู่เฉิน เขาคิดว่ามู่เฉินแค่ไม่พอใจจากการเสียเปรียบเมื่อครู่ แต่วิธีการต่อสู้นี้ก็เป็นไปตามที่เขาต้องการ ที่สุดแล้วเขาจะถือครองตำแหน่งเหนือกว่าในการต่อสู้ระหว่างกายาหลิงเทียนจุน
ดังนั้นร่างกายของเขาก็สั่นเทิ้ม ดวงดาวสั่นไหว ก่อนที่เขาจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นริ้วแสงเข้าปะทะกับมู่เฉินอีกครั้ง
ตู้ม ตู้ม!
ทั้งสองปะทะกันอย่างต่อเนื่องบนท้องฟ้าโดยอาศัยพลังกายภาพล้วนๆ ทุกการปะทะจะมาพร้อมกับภาพมายาและความโกลาหลที่ทำให้แผ่นดินแตกร้าว
ช่วงเวลานี้ท้องฟ้าปั่นป่วนไม่หยุดหย่อน
สายตานับไม่ถ้วนมองการห้ำหั่นกันด้วยความตะลึงงัน เนื่องจากแสงที่เปล่งออกมาจากทั้งสองมีพลังมากเกินไป ทุกคนที่อยู่ภายใต้ระดับตี้จื้อจุนจึงรู้สึกแสบตานักเมื่อมองไปนานๆ แม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายก็ยังแปรปรวน
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถมองดูอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกคนก็สามารถบอกได้ว่าเฉวียนเทียนอยู่เหนือกว่า การปะทะกันทุกครั้งจะทำให้มู่เฉินถูกกระเด็นกลับไป ทว่าเขายังคงรักษาพลังใจไม่ย่นย่อ แม้ว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ เขาก็ยังคงโจมตีรุนแรงต่อเฉวียนเทียน
“ท่านมั่นถัวหลัวสถานการณ์ของท่านประมุขไม่ถูกต้องนะ” หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลกับฉากนี้
มั่นถัวหลัวและหลิงซีแลกเปลี่ยนสายตากันขณะยังคงมีท่าทีสงบ พวกนางเข้าใจมู่เฉินเป็นอย่างดี ตอนนี้เขาไม่ได้ออกกระบวนท่าใดๆ เลย นอกจากการเผชิญหน้าด้วยพลังกายภาพล้วนๆ
พวกนางรู้ดีว่ามู่เฉินครอบครองวิชาสามพิสุทธิ์และเจดีย์แปดองค์ซึ่งเป็นวิทยุทธระดับเสินทงสุดยอดในตำนาน แต่เขายังไม่ได้ใช้วิชาเหล่านั้นด้วยซ้ำ ดังนั้นเห็นชัดว่าเขาน่าจะใช้เฉวียนเทียนเป็นหินเจียระไนเพื่อให้รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างระดับเทียนจื้อจุน
ตึง!
การปะทะดุเดือดเกิดขึ้นอีกครั้งบนท้องฟ้า ร่างกายของมู่เฉินก็สั่นสะท้านขณะที่ถูกพัดกลับไปหลายพันจั้ง ทุกครั้งที่ฝ่าเท้าก้าวถอยก็จะทำให้มิติใต้ฝ่าเท้าพังทลายลง
แม้ว่าจะถูกผลักกลับ แต่กลับมีแสงวูบวาบในดวงตา
แววตาลุกโชน เขาค่อยๆ รู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างกายาหลิงเทียนจุนของพวกเขาแล้ว
ทุกครั้งที่เขาปะทะกับเฉวียนเทียน เขาสามารถสัมผัสได้ว่าดวงดาวที่อยู่ในร่างอีกฝ่ายจะหมุนวนและสลายคลื่นหลิงที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย
พลังการแก้ไขนี้อยู่ในอีกระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับเขาที่แบกรับไว้อย่างหนักหน่วง
นั่นหมายความว่ากายาหลิงเทียนจุนของเฉวียนเทียนอยู่ในระดับที่สูงขึ้น
แม้ว่ากายาหลิงเทียนจุนของเขาจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็รู้สึกว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่ เขาไม่สามารถคว้าความสามารถนั้นมาได้เพราะสิ่งกีดขวางนี้
ส่วนเฉวียนเทียนแสดงให้เห็นถึงระดับที่สูงกว่านี้จนถึงขีดสุด นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถถือไพ่เหนือกว่าในการปะทะกันได้
“เลือดเนื้อและกระดูกของข้าหลอมรวมกับร่างกายแล้ว แต่ยังมีสิ่งกีดขวาง… มันต้องอยู่ในระดับลึกกว่านี้…” ดวงตามู่เฉินกะพริบวาบขณะที่ความคิดวิ่งเร็วจี๋อยู่ในสมอง
ทันใดนั้นความคิดก็ตกผลึกบวกกับความเข้าใจที่เขาได้รับจากการปะทะกับเฉวียนเทียนก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา
“ข้ารู้ว่าคืออะไรแล้ว!”
“เส้นหลิง!”
แววตามู่เฉินเปล่งประกายด้วยความเข้าใจ สิ่งที่เรียกว่าเส้นหลิงเป็นสิ่งที่ทุกคนที่เริ่มฝึกวรยุทธจำได้แม่น ในการเริ่มต้นการฝึกฝนผู้ฝึกที่มีเส้นหลิงสูงกว่าก็จะหมายความว่าความเร็วในการเพาะบ่มก็จะเร็วขึ้น
เขายังจำได้ว่าศัตรูที่เขาเจอตอนอยู่ในสำนักศึกษาเป่ยชาง จีเฉวียนก็มีเส้นหลิงขั้นเทียนเลยทีเดียว
แต่เมื่อความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น ตรรกะของเส้นหลิงก็ค่อยๆ จางหายไป หลายๆ คนคิดเพียงว่าเส้นหลิงมีประโยชน์ต่อเมื่อเริ่มฝึกฝนเท่านั้น การใช้จะลดน้อยลงเรื่อยๆ จนกว่าจะหายไป
พูดชัดลงไปก็คือตรรกะนี้มากจนมู่เฉินรู้สึกแบบนั้นจนถึงตอนนี้
เส้นหลิงในร่างกายไม่ได้ไร้ประโยชน์ แต่เป็นเพียงการที่หลายคนไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะปรับแต่งมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีเงื่อนไขในการทำให้สำเร็จ
นั่นก็คือการก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนและสร้างกายาหลิงเทียนจุนขึ้นมา
เมื่อร่างกายได้รับการปรับเปลี่ยน ผู้ฝึกก็จะรู้สึกได้ถึงเส้นหลิงที่ซ่อนอยู่ในร่างกายเพื่อปรับแต่งให้เข้าถึงความสมบูรณ์
รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของมู่เฉิน ที่จริงเขารู้สึกได้ว่าตัวเองขาดอะไรบางอย่างตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน แต่หลังจากต่อสู้กับเฉวียนเทียน เขาก็คิดออก
เมื่อเฉวียนเทียนเห็นการแสดงออกของมู่เฉิน ดวงตาก็หดลง เขาไตร่ตรองอยู่พักก็รู้ความตั้งใจของมู่เฉิน ทันใดนั้นริมฝีปากเขาก็กระตุกด้วยความโกรธอย่างช่วยไม่ได้ ไอ้หนุ่มคนนี้ใช้เขาเป็นคู่ซ้อมเพื่อหาข้อบกพร่องของตัวเอง
เมื่อครู่เขายังคิดว่ามู่เฉินไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เนื่องจากความภาคภูมิใจในตัวเอง แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายพยายามค้นหาวิธีที่จะทำให้กายาหลิงเทียนจุนสมบูรณ์แบบโดยการต่อสู้อย่างมีจุดมุ่งหมาย
ใบหน้าของเฉวียนเทียนเคร่งขรึมขณะที่จ้องมองที่มู่เฉินพลางกัดฟัน “ดูเหมือนแกจะฉลาดใช่ย่อย รู้ว่าขาดอะไรไปได้เร็วขนาดนี้”
“ถูกตัอง ข้าบอกแกเลยว่าหลังจากปรับแต่งเส้นหลิงแล้วถึงจะสามารถทำให้กายาหลิงเทียนจุนสมบูรณ์แบบได้ ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งเส้นหลิงทรงพลังมากเท่าไหร่ กายาหลิงเทียนจุนก็จะพิเศษมากขึ้นเท่านั้น”
“แต่ถึงแกรู้เรื่องนี้แล้วไง? คิดจะลับคมหอกในการต่อสู้เรอะ จะมีประโยชน์อะไรอีก!” เฉวียนเทียนเยาะเย้ย
ที่จริงนี่ไม่ใช่ความลับใดๆ แม้ว่ามู่เฉินจะไม่ได้ต่อสู้กับเขาในวันนี้ แต่ก็สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในอนาคต แค่อาจจะใช้เวลาอีกเล็กน้อยเพื่อทำ
นอกจากนี้เขารู้ดีว่าการพยายามปรับแต่งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็ไม่ให้โอกาสมู่เฉินได้ทำหรอก
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยือกเย็นของเฉวียนเทียน มู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ “ในเมื่อเป้าหมายของข้าบรรลุผล ข้าก็ไม่คิดจะเล่นกับแกอีกแล้ว”
แววเยาะเย้ยเพิ่มขึ้นบนใบหน้าของเฉวียนเทียนอีกหลายส่วน แต่ก่อนที่จะพูดเขาก็เห็นมือของมู่เฉินวาดตราประทับ มิติถึงกับแปรปรวน ร่างเงาสองร่างย่างกรายออกมาข้างๆ ดวงตาจ้องมองไปที่เฉวียนเทียนอย่างเฉยเมย
ร่างทั้งสองดูเหมือนมู่เฉินทุกกระเบียดนิ้ว เมื่อพวกเขายืนอยู่ข้างมู่เฉินขุมพลังเทียนจื้อจุนสองสายก็กวาดออกไป
ทั้งสวรรค์และโลกสั่นสะเทือน
แววเยาะเย้ยบนใบหน้าเฉวียนเทียนแข็งค้าง ขณะมองไปที่มู่เฉินสองคนที่เหมือนกันอย่างกับแกะด้วยความตกตะลึงในใจ…
ตู้ม!
ตำหนักขนาดใหญ่ระเบิด คลื่นกระแทกน่าสะพรึงก็กวาดออก ทำให้ตำหนักทั้งหลังกลายเป็นผุยผง
ฉากนี้กะทันหันมาก เมื่อตำหนักถูกทำลายใบหน้าของจอมยุทธ์ตำหนักมู่และผู้ชมก็แข็งค้างทันที…
พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะไม่ไว้หน้าเพียงนี้ ซึ่งนี่จะทำให้อีกฝ่ายโมโหแน่นอน
การยั่วยุจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน งานนี้คงไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ แล้ว!
หน้าห้องโถงของตำหนักมู่ เหล่าจอมยุทธ์พากันตกใจก่อนที่จะร้องไห้ในใจ ประมุขของพวกเขาดุร้ายเกินไปแล้ว การยั่วยุจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่ใช่เรื่องฉลาดเลย
ไกลออกไป เจ้าเมฆาม่วง เจ้าอินทรีทองและคนอื่นๆ ก็มองไปด้วยใบหน้าหัวเราะเยาะเย้ย ในที่สุดมู่เฉินก็ปรากฏตัว มิหนำซ้ำยังทำลายตำหนักเดินทางของผู้เฒ่าเฉวียนเทียนอีกด้วย…
ผู้เฒ่าเฉวียนเทียนไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ แน่ วันนี้จะเป็นวันที่ตำหนักมู่ล่มสลาย
ภายใต้สายตาสงสาร-สมเพช-เยาะเย้ย ตำหนักที่แตกสลายก็มีแสงพราวรวมตัวกันเป็นร่างเงาหนึ่ง
ร่างนั้นสวมชุดสีดำมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวปักอยู่ แม้เขาจะมีผมสีขาว แต่ใบหน้าก็อ่อนวัยราวกับเด็กทารก ดวงตาลึก คิ้วคมราวกับกระบี่เปล่งไอคมกริบออกมา สายตาของเขาทำให้แม้แต่มิติก็สั่นไหว
นี่ก็คือผู้เฒ่าเฉวียนเทียน!
ตอนนี้ใบหน้าของเฉวียนเทียนถมึงทึงพร้อมกับแสงหลิงพลุ่งพล่านอยู่รอบตัวซึ่งเปลี่ยนเป็นดวงดาวนับหมื่นดวงเบื้องหลัง ทำให้เกิดความปั่นป่วนขนาดใหญ่
เมื่อมองไปที่ตำหนักที่พังทลายอยู่ข้างหลัง สายตาเขาก็ราวกับเหยี่ยวจับจ้องไปที่มู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าอารมณ์อะไรอย่างนี้ แต่ในเมื่อเจ้าทำลายตำหนักเดินทางของข้า แม้แต่ตำหนักมู่ทั้งหมดก็ไม่สามารถชดเชยการสูญเสียได้!”
มู่เฉินเอี้ยวหน้ามองเฉวียนเทียนกระตุกยิ้มเย็นชา “ช่างเป็นแพะแก่ที่รู้แต่วิธีเล่นตามอายุเท่านั้น”
“อวดดี!”
สายตาของเฉวียนเทียนกลายเป็นเย็นชา เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้รับความเคารพทุกที่ที่ไป แต่ตอนนี้มู่เฉินไม่เพียงแต่ทำลายตำหนักของเขาเท่านั้น ยังกล้าดูหมิ่นอีกด้วย ช่างรนหาที่ตาย
ตู้ม!
แสงไร้ขอบเขตพุ่งออกมาจากร่างเฉวียนเทียนก่อตัวเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวด้านหลัง พร้อมกับดวงดาวเปล่งประกายนับไม่ถ้วนปลดปล่อยแรงกดดันไม่มีที่สิ้นสุด
ตู้ม ตู้ม!
ภายใต้ความกดดัน แม้แต่พื้นที่ก็สั่นสะท้าน รอยแตกปรากฏขึ้นบนพื้น ทุกคนที่อยู่ใต้ระดับตี้จื้อจุนในตำหนักมู่ล้มลงบนพื้นทันที
สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหัวเข่าของพวกเขาลั่นเปรียะ ร่างค่อยๆ คุกเข่าลง
ความกดดันอย่างเต็มที่ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจะทนได้
“ตำหนักมู่ของข้าไม่มีที่ให้คนแก่โง่อย่างแกมาอาละวาด!”
เสียงเย็นชาของมู่เฉินดังออกมาขณะที่ก้าวเท้าออกไป แสงหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกมา ร่างเขาราวกับดวงอาทิตย์ลุกโชนบนท้องฟ้า
แรงกดดันทรงพลังเช่นเดียวกันรวมตัวกันทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากระจายคลื่นหลิงของเฉวียนเทียนออก
โห่!
เมื่อแรงกดดันจากเฉวียนเทียนหายไปทั้งสวรรค์และโลกก็เงียบลง ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ตำหนักมู่หรือขั้วอำนาจอื่นๆ ใบหน้าของพวกเขาก็ถอดสีทันที
พวกเขาจ้องมองภาพเงาบนท้องฟ้าด้วยตะลึงลาน พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวที่มาจากอีกฝ่าย
ซึ่งบอกว่าเขาก้าวผ่านระดับตี้จื้อจุนแล้ว!
นั่นคือระดับเทียนจื้อจุน!
มั่นถัวหลัวและหลิงซีตกตะลึงขณะมองไปที่มู่เฉิน ก่อนที่พวกนางจะสบตากันและสูดลมหายใจเย็นด้วยความไม่เชื่อ “นี่…ความผันผวนของระดับเทียนจื้อจุน?!”
“ท่านประมุขบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วเรอะ?!”
หลิ่วเทียนเต้าและจอมยุทธ์ชั้นสูงคนอื่นๆ ในตำหนักมู่ก็ต่างตกตะลึง ราวกับว่าถูกฟ้าผ่ากลางวัน พวกเขาไม่สามารถฟื้นสติจากความตกใจได้เป็นเวลานาน
แม้ว่าพวกเขาจะได้ลิ้มรสพรสวรรค์ของมู่เฉินมามาก แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าเขาจะค้นพบวิถีเทียนจื้อจุนได้ในเวลาเพียงหนึ่งปี
นั่นระดับเทียนจื้อจุนเชียวนะ!
จอมยุทธ์เช่นนี้อยู่บนยอดพีระมิดของมหาพันภพ ซึ่งเป็นธรณีประตูที่อัจฉริยะนับไม่ถ้วนไม่สามารถข้ามไปได้แม้จะจบชีวิตก็ตาม…
“เป็นไปได้ยังไง?!”
เจ้าเมฆาม่วงและคนอื่นๆ ก็มองภาพเงานั้นด้วยความหมดอาลัยตายอยาก ในฐานะคนที่เคยต่อสู้กับมู่เฉิน ความตกใจยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น
ต้องรู้ว่ามู่เฉินอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเมื่อหนึ่งปีก่อน แต่ตอนนี้เขากลับก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว!
แม้ว่าพวกเขาจะอ้างว่าอีกครึ่งก้าวก็จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน แต่นานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาไม่ก้าวหน้าเลย?!
แต่ชายหนุ่มที่ตามอยู่ข้างหลังพวกเขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนก่อนเสียอีก ดังนั้นความตกใจจึงเกิดขึ้นกับพวกเขาอย่างมาก
“มู่เฉินเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ!”
พวกเขาพึมพำด้วยความตกใจและความกลัวในใจ เนื่องจากพวกเขารู้ว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจักรวรรดิเหนือจะไม่มีตำแหน่งสำหรับพวกเขาอีกต่อไป ไม่เพียงแต่ที่นี่เท่านั้น ด้วยการมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนตำหนักมู่จะแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วทวีปเทียนหลัว!
แน่นอนว่าไม่เพียงพวกเขาเท่านั้นที่ตกใจ แต่ขั้วอำนาจอื่นๆ ที่มองตำหนักมู่อยู่ก็พูดไม่ออก
เห็นได้ชัดว่าข่าวที่มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุนทำให้ทั่วทั้งทวีปเทียนหลัวตะลึงจนพูดไม่ออก
เผชิญกับความตกตะลึงนับไม่ถ้วน มู่เฉินก็ไม่ได้สนใจ เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองไปที่ผู้เฒ่าเฉวียนเทียนที่มีสีหน้าน่าเกลียดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“บัดซบ ไอ้หนูนี่บรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้อย่างไร?!”
ใบหน้าของเฉวียนเทียนเปลี่ยนเป็นตกใจ จากข้อมูลที่มีมู่เฉินเป็นเพียงจอมิยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น แต่นี่ไม่เหมือนกับข้อมูลเลย
“ทำไม? ก่อนหน้านี้ข่มขู่ตำหนักมู่ของข้าเก่งนักไม่ใช่เหรอ?” เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของเฉวียนเทียน มู่เฉินก็หัวเราะเยาะ
เมื่อเฉวียนเทียนได้ยินใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมพลางเค้นเสียงออกมา “อย่าได้ใจไปแกเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน ในแง่การต่อสู้ ข้าก็ยังจัดการกับแกได้”
ยังไงเขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ตอนนี้ทุกฝ่ายกำลังจับตามองมา ดังนั้นหากเขาปล่อยให้มู่เฉินสร้างความอับอายให้ได้ก็จะเป็นการทำลายชื่อเสียงของเขาอย่างมาก
มู่เฉินยิ้มอ่อนยกเปลือกตาขึ้น “ใครบอกให้แกมาสร้างความเดือดร้อนให้ข้า?”
แม้ว่าการกระทำของเฉวียนเทียนจะดูเหมือนเป็นการสั่งการของขั้วอำนาจเบื้องหลังเจ้าเมฆาม่วงกับคนอื่นๆ แต่ด้วยสัญชาตญาณเขารู้สึกว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลัง
เมื่อได้ยินเฉวียนเทียนก็เยาะเย้ย “แกน่าจะรู้ดีว่าเคยไปทำอะไรให้ใครขุ่นเคืองใจนะ?”
มู่เฉินหรี่ตา แม้ตัวเขาจะมีเรื่องกับคนอื่นนับไม่ไหวเลยทีเดียว แต่การมีความสามารถเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาจัดการกับเขาได้มีเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น…เผ่าฝูถู
จากข้อมูลที่ได้รับจากชิงซวง แม้ว่าเผ่าฝูถูจะไม่สามารถประจันหน้ากับเขาได้โดยตรง แต่พวกเขาก็สามารถหาจอมยุทธ์ทรงพลังสักคนเพื่อมาช่วยให้งานของพวกเขาง่ายดายขึ้น
ด้วยเครือข่ายของผู้อาวุโสเผ่าฝูถูเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะเชิญจอมยุทธ์มาทำงานให้
แสงเย็นเยือกวาบขึ้นในนัยน์ตาของมู่เฉิน แต่ไม่ช้าก็ถูกปกปิด เขาเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ไม่ว่าแกจะทำเพื่อใคร แกก็ต้องจ่ายในราคาที่ถูกล่อลวงนั่น”
“อวดดี!” เฉวียนเทียนกระตุกยิ้มด้วยความโกรธ ตอนที่ชื่อของเขาขจรขจายไปทั่วมหาพันภพ มู่เฉินยังไม่รู้ว่าเป็นวุ้นอยู่ที่ไหนเลย แต่ตอนนี้ชายหนุ่มคนนี้กลับกล้าพูดกับเขาในลักษณะนี้
มู่เฉินไม่ได้พูดให้มากความ ทันใดนั้นแสงหลิงก็หดกลับเข้าสู่ร่างกายของเขา
เมื่อคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตกวนตัวภายใน ร่างกายของมู่เฉินก็ค่อยๆ เปล่งประกายราวกับเป็นผลึก
ในขณะนี้ราวกับว่าร่างกายของมู่เฉินได้รับดัดแปลงด้วยพลังงานหลิงที่บริสุทธิ์ กำจายพลังอำนาจที่ไร้ขอบเขตในทุกการเคลื่อนไหว
“กายาหลิงเทียนจุน?”
สายตาของเฉวียนเทียนดิ่งลง เมื่อสามารถทำสิ่งนี้ได้นั่นหมายความว่ามู่เฉินก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนแท้จริงแล้ว
“แต่เด็กน้อยนี่เพิ่งบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ซ้ำยังไม่ได้ขัดเกลาเส้นหลิงที่อยู่ภายในร่างกาย” สายตาของเฉวียนเทียนวูบไหว ในฐานะจอมยุทธ์ผู้มากประสบการณ์ เขาสามารถบอกได้อย่างเป็นธรรมชาติว่ามีข้อบกพร่องในกายาหลิงเทียนจุนของมู่เฉิน
“ดูเหมือนว่าไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างสันติ ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็มาสู้กันให้รู้ดำรู้แดงดีกว่า ดูว่ามันจะยังกล้าทำท่าหยิ่งผยองอีกไหม”
เฉวียนเทียนเค้นเสียงเย็นชาในใจ เขาตัดสินใจแล้วเนื่องจากมู่เฉินเพิ่งบรรลุระดับเทียนจื้อจุนและยังไม่สามารถควบคุมพลังได้เต็มที่ ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาที่จะเอาชนะ
พร้อมกับการตัดสินใจในใจ ดวงตาของเฉวียนเทียนก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาและจ้องไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้ออย่างเรียบเฉย “ในเมื่อแกยโสโอหังนัก งั้นข้าจะสอนให้แกรู้ว่ามีคนอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถเอาชนะแกได้ แม้ว่าแกจะก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุน แกก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะหยิ่งยโส!”
ตู้ม!
ร่างกายเขาสั่นเทิ้มก่อนที่จะเปล่งแสงพร่างพราวออกมาพร้อมกับดวงดาวนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นร่างของเขาก็เจิดจรัสไปด้วยดวงดาวที่สลักอยู่บนพื้นผิว
คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตกวาดออกจากร่าง กวนพายุคลื่นหลิงออกมา
สองร่างพลังงานหลิงยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับสายตาฟาดฟันกัน แสงเย็นพลุ่งพล่านขณะที่อุณหภูมิระหว่างสวรรค์และโลกลดลงฉับพลัน
วาบ!
อึดใจต่อมาทั้งสองก็ทะยานออกไปภายใต้สายตานับไม่ถ้วน
