หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1122 เข้าสู่เขตชั้นใน
เบื้องหน้าประตูมังกรทะยานสวรรค์
มู่เฉินมองหญิงสาวสองคนที่เข้าไป ก็ยืนเอามือไพล่หลังด้วยสีหน้าสงบรอคอยทั้งสอง เขาไม่ได้สนใจกับสายตาพิลึกพิลั่นที่จ้องมองมา
สายตาของผู้คนวูบไหว แม้ว่าพวกเขาจะคันปากอยากถามว่ามู่เฉินได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำได้อย่างไร แต่ก็ไม่มีใครกล้าเปิดปากพูด เพราะตอนนี้มู่เฉินไม่ใช่จอมยุทธ์ที่มีพลังเท่าเดิมแค่ภายนอกเท่านั้น
แต่ซูชิงหยิงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “พี่มู่ดูเหมือนจะมีพัฒนาการด้วยใช่ไหม? ยินดีด้วยนะ”
นางรู้สึกได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่เปล่งออกมาจากมู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งหมายความว่าเขาได้พัฒนาในประตูมังกรทะยานสวรรค์ บรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเรียบร้อยแล้ว
โดยปกติแล้วระดับจื้อจุนขั้นเก้าไม่ได้ดึงดูดความสนใจอะไรของนาง แต่ถ้าเป็นมู่เฉินนางก็ชักผวาหน่อยๆ
นอกจากนี้ซูชิงหยิงมั่นใจว่าเหตุผลข้อนี้ไม่ใช่สิ่งที่มู่เฉินเอาชนะศิษย์ระดับมังกรทองคำได้ เขาจะต้องมีไพ่ตายทรงพลังอย่างอื่นอยู่ในมือแน่นอน
เมื่อได้ยินเสียงซูชิงหยิง มู่เฉินก็ยิ้มพลางพยักหน้า “ขอบคุณ”
ซูชิงหยิงไม่ได้เสียใจกับการตอบแบบเฉยชาของมู่เฉิน นางยังคงหรี่ตายิ้มถาม “ศิษย์ระดับมังกรทองคำยากที่จะจัดการ ไม่รู้ว่าพี่มู่เอาชนะได้อย่างไร?”
พวกฉิงจิงเจ๋อ หลิ่วกุยก็เงี่ยหูฟัง
เมื่อได้ยินมู่เฉินก็ตอบเสียงราบเรียบว่า “โชคดีน่ะ”
ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเป็นไพ่ตายของเขา ดังนั้นจึงไม่มีทางมาเปิดเผยที่นี่ หากคู่ต่อสู้รู้เรื่องพวกนี้ คงไม่มีใครให้เวลาเขาสร้างค่ายกลตอนประมือกันในอนาคตแน่
“หลอกผีไปเถอะ!”
ทุกคนสบถด่าในใจเมื่อได้ยินคำตอบ คำพูดที่ว่าเอาชนะศิษย์ระดับมังกรทองคำได้ด้วยโชคเอาไปหลอกได้แค่ผีจริงๆ แต่พวกเขาก็ทำอะไรเขาที่คิดจะปกปิดความลับไม่ได้
ซูชิงหยิงยิ้ม นางไม่คาดหวังอยู่แล้วว่ามู่เฉินจะเปิดเผยไพ่ตายตั้งแต่ต้น แต่หลังจากเหตุการณ์นี้การประเมินมู่เฉินในใจนางก็เพิ่มขึ้น คนที่คว้าตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำมาได้ ต่อให้อาศัยโชคจริงๆ ก็ต้องมีบางอย่างที่พิเศษกว่าคนอื่น
จุดนี้ซูชิงหยิงที่เคยต่อสู้กับศิษย์ระดับทองคำมาก่อนรู้ดีกว่าใคร
หลังจากบทสนทนานี้ ทั่วบริเวณก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่ผู้คนจะเริ่มทะยานเข้าไปในประตูอีกครั้ง ทำให้ดูคึกคักยิ่งนัก
มู่เฉินยืนเอามือไพล่หลังรักษาสีหน้าสงบนิ่งรอคอยจิ่วโยวและหลินจิ้ง
เมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดสายตาเขาก็เคลื่อนไหว เนื่องจากเห็นเกลียวแสงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับร่างร่างหนึ่งอยู่ภายใน ซึ่งนี่ก็คือจิ่วโยว
ที่เบื้องหน้าจิ่วโยว รังสีควบแน่นเป็นป้ายโบราณที่ภาพเจียวทองคำอยู่ด้านบน
นี่คือป้ายเจียวทองคำ
ความโกลาหลระเบิดในฝูงชนอีกครั้งเมื่อมองไปทางจิ่วโยวด้วยความตะลึงพรึงเพริด ภายนอกนางดูมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น แต่ได้รับป้ายเจียวทองคำ ซึ่งฉินจิงเจ๋อเป็นคนเดียวที่ได้รับมาก่อน สำหรับหลิ่วกุยและคนอื่นๆ ก็ได้รับป้ายเจียวขาวเท่านั้น
นั่นหมายความว่าพลังของจิ่วโยวเหนือชั้นกว่าหลิ่วกุย หวังทงเสียนและคนอื่นๆ เสียอีก
มู่เฉินพยักหน้าไม่ได้แปลกใจอะไร เนื่องจากจิ่วโยวได้รับมรดกจากวิหคอมตะโบราณ มิหนำซ้ำยังได้รับคำแนะนำส่วนตัวจากราชินีวิหคอมตะด้วย ดังนั้นนางจึงมีไม้เด็ดทรงพลังเช่นกัน ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่มู่เฉินไม่ประหลาดใจกับเรื่องที่นางได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับเจียวทองคำ
“ไม่รู้ว่าหลินจิ้งจะได้ตำแหน่งไหน?” มู่เฉินมองไปที่ประตูด้วยความสนใจ กระทั่งเขาก็ไม่สามารถตรวจสอบความลึกลับของหลินจิ้งได้อย่างเต็มที่ นางมีอาวุธล้ำค่ามากมายนับไม่ถ้วน มิหนำซ้ำยังนำตุ๊กตาน้ำแข็งที่เทียบเท่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มออกมาได้ง่ายๆ แม้ว่าหลินจิ้งจะไม่เคยลงมือเอง แต่มู่เฉินก็ไม่เชื่อว่าธิดาของเทพจักรพรรดิสงครามแห่งแคว้นหวูจะอ่อนแอกว่าเขา
เขาไม่ได้รอนานประมาณสิบกว่านาทีเสาแสงขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับมังกรทองส่งเสียงคำราม
นี่คือเสามังกรทองคำอีกเสา!
ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง สีหน้าท่าทางหลุดโลกไปเลย เห็นได้ว่าพวกเขาไม่คิดที่จะมีศิษย์ระดับมังกรทองคำอีกคนปรากฏขึ้นในเวลาที่ต่อจากมู่เฉินไม่นาน!
หรือว่าความยากของประตูมังกรทะยานสวรรค์ลดลงแล้วเหรอ?
ทุกคนมีความคิดนี้แวบเข้ามาในใจแต่แล้วก็ถูกระงับ เพราะยังมีจอมยุทธ์ทรงพลังมากมายเข้าไปในประตูอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อตัดสินจากผลลัพธ์ก็พิสูจน์ถึงความยากลำบากในบททดสอบ
แต่ละคนเงยหน้าขึ้นมองไปที่เสาสีทอง แสงควบแน่นเป็นเงาร่างสะคราญโฉม ซึ่งจะเป็นใครได้นอกจากหลินจิ้ง?
“นั่นนาง”
ทุกคนหดตาลงด้วยความตกตะลึง แม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นหลินจิ้งเรียกตุ๊กตาน้ำแข็งทรงพลังต่อกรกับซูชิงหยิงมาก่อนและรู้ว่านางไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่มีใครคิดว่านางจะได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองไปด้วย
นั่นหมายความว่ากลุ่มมู่เฉินมีศิษย์ระดับมังกรทองคำสองคนและเจียวทองคำหนึ่งคน? ความจริงข้อนี้ทำให้ดวงตาทุกคู่แดงก่ำด้วยความอิจฉา
ในวังโบราณตอนนี้ ขั้วอำนาจทั้งหมดที่เข้ามามีมากเพียงใด? นอกจากนี้ต่างยังเป็นขั้วอำนาจที่มีชื่อเสียงไม่น้อย แต่สมาชิกที่พวกเขารวบรวมมากลับไม่สามารถสู้กับทั้งสามคนได้
เมื่อซูชิงหยิงเห็นภาพนี้ก็หดตาลงพร้อมกับความครั่นคร้ามวูบไหวในนัยน์ตาขณะมองไปที่ทั้งสาม ถ้าพวกเขาอยู่เดี่ยวๆ นางอาจไม่กลัว แต่เมื่อทั้งสามอยู่รวมกัน แม้แต่นางก็ต้องหลีกเลี่ยงที่จะปะทะด้วย
“สุดยอดมาก”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้หลินจิ้ง
หลินจิ้งมองไปที่ประตูอย่างพร้อมกับความปรารถนาแรงกล้า “ใช้ได้ แม้แต่ตุ๊กตาน้ำแข็งของข้าก็ไม่สามารถจัดการกับเจ้านั่นได้ ข้าเลยต้องจัดการเอง”
มู่เฉินรู้ว่านางหมายถึงศิษย์ระดับมังกรทองคำ จากการคาดเดาของเขาต่อให้หลินจิ้งนำตุ๊กตาระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มออกมา ก็ยังยากที่จะเอาชนะศิษย์ระดับมังกรทองคำ ดูท่าสุดท้ายหลินจิ้งก็ได้ลงมือเอง
ดังนั้นเขาสามารถสรุปได้ว่าพลังการต่อสู้ของนางเทียบได้กับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแน่นอน
องค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวูไม่อาจหยั่งรู้ได้อย่างแท้จริง
หลังจากการท้าทายของจิ่วโยวและหลินจิ้ง พวกนางก็กลับมายืนเคียงข้างมู่เฉิน ในเวลานี้สมาชิกพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็มีผลลัพธ์กันทุกคนแล้ว ทว่าพวกเขาอยู่ในระดับธรรมดา กระทั่งจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างเฉวียนหมิงก็ได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับเจียวขาวเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้กับมู่เฉิน จิ่วโยวและหลินจิ้งเลย
“ในเมื่อได้รับตำแหน่งแล้วก็ไปกันเถอะ” เมื่อเห็นว่าพรรคพวกได้รับตำแหน่งเรียบร้อย มู่เฉินก็ไม่คิดอ้อยอิ่งอยู่ต่อ
หลังจากที่เขาได้รับป้ายมังกรทองคำก็ไม่มีใครในกลุ่มพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือตั้งแง่กับมู่เฉินอีกแล้ว แม้แต่เฉวียนหมิงก็ยังถอนความเย่อหยิ่ง ดูสุภาพขึ้นมากเลยทีเดียว
ดังนั้นเมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของมู่เฉินก็พยักหน้าเห็นด้วย
มู่เฉินพยักหน้าให้จิ่วโยวและหลินจิ้ง จากนั้นก็หันไปประสานมือคำนับซูชิงหยิง เขากำป้ายมังกรทองคำ เกลียวแสงระเบิดออกมาห่อหุ้มร่างเขาไว้แล้วเจาะผ่านค่ายกลพุ่งเข้าไปในเขตชั้นในของวังสวรรค์บรรพกาล
ด้านหลังพรรคพวกก็ติดตามมา
ทั้งกลุ่มจากไปอย่างรวดเร็วและหายไปภายใต้การถอนหายใจของฝูงชน
เมื่อฉินจิงเจ๋อ หลิ่วกุยและคนอื่นๆ มองกลุ่มของมู่เฉินที่จากไปก็พรูลมหายใจยาวเหยียด เนื่องจากพวกเขารู้ว่าจากนี้ชื่อของทั้งสามจะเขย่าทวีปเทียนหลัว
ด้วยความแข็งแกร่งที่แสดงให้ประจักษ์โดยมู่เฉินและหลินจิ้ง พวกเขาคงสามารถต่อสู้กับซูชิงหยิง เซี่ยหยู่ จาโหลหลัว พวกสัตว์ประหลาดต่างๆ ได้เลยทีเดียว
การประจันหน้ากันในวังสวรรค์บรรพกาลจะต้องดุเดือดเลือดพล่านแน่นอน
ซูชิงหยิงเฝ้ามองพวกมู่เฉินที่หายไปก่อนจะบิดขี้เกียจพึมพำกับตัวเอง “มู่เฉิน…เป็นคนที่น่าสนใจ ในอนาคตเราคงได้พบกันอีก ถึงตอนนั้นข้าขอดูหน่อยว่าเจ้าทำยังไงถึงได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ!”
พูดจบนางก็หมดความสนใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อ เท้าแตะเบาๆ เสียงครางกระหึ่มก็เปล่งมาจากแมลงวิญญาณที่ด้านล่าง ป้ายมังกรเขียวก็เปลี่ยนเป็นแสงสีฟ้าอมเขียวพานางเคลื่อนย้ายเข้าสู่ค่ายกล
เมื่อจอมยุทธ์หัวกะทิทยอยเข้าสู่เขตชั้นในแล้ว ทุกคนก็ไม่รีรอเข้าไปในประตูกันอย่างรวดเร็วเพื่อได้รับป้ายระบุตัวตน เพื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล
การเข้าไปในเขตชั้นในเท่านั้นถึงจะได้รับการพิจารณาว่ามาถึงวังสรรค์บรรพกาลแล้ว ในเวลานั้นถ้าพวกเขาโชคดีอาจจะเป็นเหมือนปลาคาร์พกระโจนเข้าสู่ประตูมังกร บางทีอาจสามารถต่อกรกับพวกสัตว์ประหลาดและสร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทวีปเทียนหลัวเลยก็ได้
ทันทีที่คิดได้ร่างแสงนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าไปในค่ายกลขนาดใหญ่
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1105 การเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์
ลานประลองตกอยู่ในสภาพวินาศสันตะโร
ตึกรามบ้านช่องโดยรอบถูกทำลายยับเยิน รอยแตกลึกมากมายกระจายบนพื้น แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่
บนท้องฟ้ามู่เฉินมองตรงทิศที่เซี่ยหงหลบหนีไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ว่าอย่างไรเซี่ยหงก็คือองค์ชายแคว้นเซี่ยดังนั้นต้องมีวิธีปกป้องชีวิตตัวเองไว้อยู่แล้ว ความเร็วก่อนหน้าแม้แต่เขาก็ไม่สามารถตามทันได้ แต่เห็นได้ชัดว่าวิธีหลบหนีนี้จะส่งผลกระทบใหญ่หลวง ในอนาดตเซี่ยหงคงต้องทนทุกข์ทรมานแน่
ยิ่งกว่านั้นมู่เฉินเฉือนแขนข้างหนึ่งของเซี่ยหงไปแล้ว แม้ว่าจะสามารถงอกใหม่ได้ด้วยยาอายุวัฒนะและยา แต่ก็ต้องใช้เวลารักษานานพอควร
มู่เฉินจึงไม่ใส่ใจเรื่องเซี่ยหงอีกต่อไป แม้ว่าวันนี้เขาจะทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บหนักหน่วง เขาก็ไม่ได้กังวลอะไร เนื่องจากนี่ถือว่าเป็นการประลองระหว่างจอมยุทธ์รุ่นใหม่ ถึงแม้จะทำให้ฮ่องเต้เซี่ยโกรธขึ้น ทว่าถ้าแคว้นเซี่ยคิดจะเป็นศัตรูกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ด้วยเหตุนี้ก็ต้องจ่ายในราคามหาศาลเช่นกัน
ด้วยตอนนี้วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏขึ้นแล้ว ทุกคนต่างให้ความสนใจ ดังนั้นฮ่องเต้เซี่ยคงไม่เต็มใจที่จะเปิดศึกกับขั้วอำนาจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอย่างแท้จริง
“อาวุธเสมือนมหสวรรค์สามชิ้น ช่างเป็นคนใจกว้างเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองจริงๆ”
เมื่อระงับความคิดที่พลุ่งพล่านในใจ มู่เฉินก็มองไปที่ก้อนแสงสามกลุ่มในฝ่ามือยิ่งใหญ่ของร่างเทพสุริยะ เกลียวแสงสีทองก่อร่างเป็นม่านกั้นห่อหุ้มกลุ่มแสงทั้งสามเอาไว้
ทั้งสามชิ้นเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่เซี่ยหงโยนออกมาก่อนหน้านี้ สองในสามก็คือหอกและเกราะสงครามมังกรแดงที่เป็นอาวุธครบชุด พลังไม่ธรรมดา ด้วยความช่วยเหลือจากชุดอาวุธนี่ทำให้เซี่ยหงสามารถสู้กับมู่เฉินในระดับที่เท่าเทียมกัน มู่เฉินจึงรู้สึกสนใจอาวุธชุดนี้มากทีเดียว
จากการประเมินมูลค่าของชุดอาวุธนี่สูงกว่าไข่มุกทะเลเดือดมาก
และเป็นเพราะมีค่าสูงนี่เองจึงทำให้มู่เฉินถูกขัดขวางและให้โอกาสเซี่ยหงหนีไปได้ สุดท้ายกระทั่งคนอย่างมู่เฉินยังถูกล่อลวงจากอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามชิ้น
ถ้าเขาไม่ได้คว้าอาวุธทั้งสามชิ้นนี้ไว้ พวกมันก็คงพุ่งไปที่ผู้ชมรอบด้านแน่ ซึ่งทำให้เกิดความโกลาหลใหญ่ มิหนำซ้ำเขาอาจก่อให้เกิดความโกรธเกรี้ยวของสาธารณชน หากต้องการที่เข้าไปยึดครองในเวลานั้น
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากคว้าไว้ให้ทัน
“ข้าโดนมันเล่นกลซะได้” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เซี่ยหงถือได้ว่าเป็นคนฉลาดมากเพราะรู้ว่าต้องจ่ายราคาเท่าไรถึงจะหยุดมู่เฉินชั่วครู่
แม้ว่าจะถูกเล่นกล แต่มู่เฉินก็ไม่โกรธ การเล่นกลที่ทำให้เขาได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์สามชิ้น เขาหวังว่ายิ่งเยอะยิ่งดี
ขณะที่มู่เฉินบ่นพึมพำกับตัวเอง ทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็มองไปที่อาวุธทั้งสามด้วยความโลภในดวงตา ราคารวมของอาวุธเหล่านั้น ตีเป็นราคาของเหลวจื้อจุนอย่างน้อยสี่สิบล้านหยดได้
ทว่าก็ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว ไม่ต้องพูดถึงพลังที่มู่เฉินแสดงจนประจักษ์แก่สายตา แค่หลินจิ้งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ก็เพียงพอที่จะข่มขู่พวกเขาแล้ว
มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจสายตาเหล่านั้น เขาสะบัดแขนเสื้อกลุ่มแสงเข้ามาหา หมุนคว้างรอบตัวตกลงในฝ่ามือ
เคล้าคลึงไว้ในมือได้ก็กระทืบเท้า ร่างเทพสุริยะก็ราวกับภาพมายาจางหายเป็นประกายแสงสีทอง
ภายใต้การจับตามองมากมาย มู่เฉินก็กลับไปหาจิ่วโยวกับหลินจิ้งก่อนจะยื่นมือออกไป “รางวัลผู้ชนะ ถ้าชอบชิ้นไหนก็หยิบไปได้เลย”
หลินจิ้งยิ้มพลางเหลือบมองอาวุธทั้งหมดแวบหนึ่งแล้วก็หมดความสนใจ ด้วยฐานะของนางไม่ต้องพูดถึงอาวุธเสมือนมหสรรค์ ขนาดอาวุธมหสวรรค์ก็ยังมีได้ ดังนั้นอาวุธเหล่านี้ที่สามารถล่อใจจอมยุทธ์ทั่วไป ไม่มีอะไรน่าสนใจในสายตานางเลย
ดังนั้นนางจึงส่ายหัวโบกมือเรียกม้วนกระดาษมา
“นี่ต่างหากอาหารจานหลัก” หลินจิ้งโบกม้วนกระดาษทองคำในมือพร้อมกับยิ้มตาหยี “ไม่ต้องห่วง เมื่อข้าเก็บหนี้ได้แบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่งแน่นอน!”
มู่เฉินยิ้มขณะที่ส่งความเสียใจไปยังแคว้นเซี่ยเงียบๆ ด้วยสถานะของหลินของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดอาจยากที่จะล่อลวงนาง แต่นางกลับรู้สึกตื่นเต้นกับการไปเก็บหนี้
ตราบใดที่องค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวูจริงจังขึ้นมา แคว้นเซี่ยก็ถึงคราวซวยแล้ว
นอกจากนี้มู่เฉินก็คาดไว้แล้วว่าหลิงจิ้งคงไม่สนใจอาวุธทั้งสาม ดังนั้นเขาจึงหันไปมองจิ่วโยวแทน
จิ่วโยวที่คุ้นเคยกับเขาดีเลือกหยิบไข่มุกทะเลเดือดไปแล้วยิ้มให้ “หอกและเกราะสงครามมังกรแดงเป็นชุดอาวุธ หากแยกออกจากกันพลังก็จะอ่อนแอลง ดังนั้นเจ้าเก็บไว้เองเถอะ”
ตอนนี้ที่ดินแดนสุดขอบตะวันตกเต็มไปด้วยเหล่าอัจฉริยะของทวีปเทียนหลัว เซี่ยหงที่พ่ายแพ้อยู่ในลำดับที่ยี่สิบของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่เท่านั้น มู่เฉินจะต้องพบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้แน่นอน นอกจากนี้ยังต้องรับมือกับลำดับสาม…จาโหลหลัวจากตำหนักเทพปีศาจด้วย
การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เหล่านี้ แม้แต่มู่เฉินก็คงยากที่จะจัดการ ดังนั้นจิ่วโยวจะไม่แตะต้องอะไรที่ช่วยเสริมความสามารถให้กับมู่เฉิน
เมื่อเห็นดังนี้ มู่เฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธ เนื่องจากเขาสนใจอาวุธทั้งสองชิ้นนี้ ถ้าได้ครอบครองก็ช่วยเพิ่มพลังให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียว
มู่เฉินพลิกมือเก็บอาวุธไป และตั้งใจจะหาเวลาที่จะชำระให้เร็วที่สุด
จากนั้นก็เงยหน้ามองผู้คนรอบตัวอย่างใจเย็น ตั้งแต่มารวมตัวกันที่นี่ คนเหล่านั้นก็ไม่ได้มีเจตนาที่ดี ถ้าวันนี้เขาแสดงให้เห็นว่าอ่อนแอก็คงถูกขย้ำไปแล้ว
เมื่อมู่เฉินกวาดสายตา แต่ละคนก็เบนหลบอย่างรู้สึกขยาด หลังจากได้เห็นว่ามู่เฉินเอาชนะเซี่ยหงได้อย่างไร พวกเขาก็ไม่กล้าดูถูกอีกฝ่ายที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แววตาแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวล้นเอ่อในหัวใจ
“ยังมีใครสนใจป้ายโบราณในมือข้าอีกไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ข้ารับคำท้าได้” มู่เฉินยิ้มอ่อนมองไปที่ทุกคน
พูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดชะงักพลางเอ่ยต่อ “แต่ถ้าแพ้ขึ้นมา หวังว่าจะจ่ายในราคาได้เหมือนองค์ชายสี่นะ”
ทุกคนใบหน้าบิดเบ้กับประโยคดังกล่าว เซี่ยหงพยายามใช้ประโยชน์จากความเหนือกว่า แต่กลับสิ้นท่า ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับป้ายโบราณไปเขายังกลายเป็นหินรองเท้าสำหรับมู่เฉินและสูญเสียสมบัติล้ำค่าอีกด้วย
นั่นไม่ใช่ราคาเล็กน้อยเลย
ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าท้าทายต่อคำพูดของมู่เฉิน
“ฮ่าๆ ป้ายวังสวรรค์บรรพกาลซื้อไปโดยจอมพลมู่แล้ว คนอื่นจะมีความคิดแย่งชิงไปได้อย่างไร? แต่ข้าคิดว่าชื่อเสียงของจอมพลมู่คงจะขจรขจายไปทั่วดินแดนสุดขอบตะวันตกแห่งนี้ในอีกไม่นาน เดี๋ยวเจ้าคงได้ก้าวไปอยู่ในอันดับบนทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่แล้ว” ชิ้งหย่ายิ้มอ่อนโยนทำลายความเงียบลง
มู่เฉินมองไปที่ชิ้งหย่า ตึกฟ้าเหวสมกับการเป็นตัวแทนขายข่าวกรองยิ่งใหญ่ รู้กระทั่งตัวตนของเขาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์
“งั้นข้าขอขอบคุณทุกคน” มู่เฉินประสานมือยิ้มให้
ผลลัพธ์การต่อสู้วันนี้เป็นสิ่งที่บรรลุความต้องการของมู่เฉิน หลังจากสู้กันครั้งนี้แม้ว่าจะมีบางคนอยากเป็นเจ้าของป้ายโบราณ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าโจมตีอย่างง่ายดายอีก ซึ่งช่วยลดปัญหาไปมาก
ชิ้งหย่ายิ้มบาง “ปิดศึกนี้แล้ว ไม่ทราบว่าพี่มู่ยินดีที่จะไปพูดคุยกับพวกเราหน่อยไหม?”
คำว่าเราของนางหมายรวมถึงมู่ซันและเจียงหลิงด้วย พวกเขาต่างเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะของทวีปเทียนหลัว ซึ่งมีชื่อเสียงไม่ด้อยไปกว่าเซี่ยหงเลย
เมื่อได้ยินมิตรภาพที่นางมอบให้ มู่เฉินก็ประหลาดใจก่อนที่จะยิ้ม “ข้ากำลังต้องการเช่นกัน”
ตึกฟ้าเหว สำนักมังกรซ่อนและสำนักกระบี่แดนสรวงล้วนเป็นขั้วอำนาจชั้นยอดของทวีปเทียนหลัว ถ้าสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ มู่เฉินจะปฏิเสธพวกเขาได้อย่างไร เขาไม่ได้โง่และไม่สนุกกับการท้าทายผู้คนทั่วสารทิศ ปัญหาครั้งนี้เซี่ยหงเป็นคนแกว่งเท้าหาปัญหาก่อน
เมื่อชิ้งหย่า มู่ซันและเจียงหลิงเห็นว่ามู่เฉินมีน้ำใจไม่ได้ปฏิเสธการเชิญชวน สายตาที่มองมาจึงเป็นมิตรมากขึ้น
อย่างน้อยมู่เฉินก็ดูจะพูดคุยง่ายกว่าเซี่ยหง
พวกมู่เฉินจัดการเรื่องราวเรียบร้อยก็ออกไปพร้อมกับพวกชิ้งหย่า มารวมตัวกันที่คฤหาสน์ของชิ้งหย่า
มู่เฉินรู้สึกได้ว่าชิ้งหย่าและคนอื่นๆ พยายามตรวจสอบที่มาที่ไปของหลินจิ้ง แต่ทั้งหมดก็ต้องหน้าหงายกลับไปจากฝีมือตอกนิ่มๆ ของหลินจิ้ง เห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนองค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวูกับพวกเขา
แม้ว่าหญิงสาวดูเหมือนเป็นคนคุยง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่นางจะปฏิบัติต่อใครสักคนในฐานะเพื่อน
เมื่อเห็นว่าการหยั่งเชิงไม่เป็นผล พวกชิ้งหย่าก็ล้มเลิกความตั้งใจ หันไปพูดคุยกับพวกมู่เฉินเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในดินแดนสุดขอบตะวันตก ซึ่งมู่เฉินให้ความสนใจข่าวเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาล
การรวมตัวของพวกเขาดำเนินไปจนถึงค่ำมืดก่อนที่จะอำลากัน
ระหว่างการอำลา ชิ้งหย่าก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะเตือนมู่เฉินว่า “พี่มู่ เจ้าต้องระวังคนคนหนึ่งหลังจากทำให้เซี่ยหงบาดเจ็บหนักในวันนี้”
“โอ้? ใครรึ?” มู่เฉินหดตาลง
ชิ้งหย่าพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เซี่ยหยู่”
หัวใจของมู่เฉินโลดขึ้น เขาระบุตัวตนของชายคนนี้ได้ทันที
องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย
อันดับสี่บนทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัว เป็นรองจาโหลหลัวลำดับหนึ่ง!
