หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1445 ภูมิหลัง

บทที่ 1445 ภูมิหลัง

ทั้งโถงเงียบงันเมื่อเสียงระมัดระวังดังขึ้น

ยิ่งกว่านั้นฉิงเป่ยเฉวียนและพรรคพวกอีกสองคนก็มองไปที่อีกฝ่ายด้วยความตกใจ

“พี่หลู่ เจ้า?!” ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนไม่น่าดู เขาไม่รู้ว่าทำไมสหายของเขาถึงมีมารยาทและหวาดกลัวต่อชายหนุ่มคนนี้

นี่ทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอีกสองคนมีสีหน้าประหลาดใจ

ผู้คนในโถงก็หันมามองหน้ากัน

มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะมองไปที่อีกฝ่ายพลางพยักหน้า “ถ้าเจ้ากำลังพูดถึงมู่เฉินแห่งตำหนักมู่ของทวีปเทียนหลัว นั่นก็คือข้าเอง”

หลังจากได้รับการยืนยันจากมู่เฉิน เขาก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยพร้อมกับความกลัวรวมตัวในดวงตามากขึ้นก่อนที่จะประสานมือคารวะ “ท่านประมุขสินะ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าขุ่นเคือง”

“พี่หลู่!” ฉิงเป่ยเฉวียนเรียกอีกครั้ง

เขาถอนหายใจก่อนที่จะหันไปหาฉิงเป่ยเฉวียน “พี่ฉิงเพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนที่มีมายาวนาน ข้าขอแนะนำให้เจ้าปล่อยเรื่องนี้ไปซะ”

ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนบิดเบี้ยวเล็กน้อย จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ตามมาอีกสองคนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขามองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะถามว่า “พี่หลู่ ชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร?”

เวลานี้พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความกลัวที่มีต่อมู่เฉินถึงให้โง่แค่ไหนก็ตาม เนื่องจากกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนยังหวาดกลัว ไม่ต้องพูดถึงที่พวกเขาที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเลย

อีกฝ่ายถอนหายใจ “ที่นี่อยู่ห่างไกลจากทวีปฝูถู ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเจ้าจะยังไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อไม่นานมานี้ประมุขมู่ไปเยือนเผ่าฝูถูและเอาชนะเหล่าผู้อาวุโสของเผ่าด้วยตัวคนเดียว จนสุดท้ายผู้อาวุโสใหญ่ฝูถูเฉวียนต้องออกโรงเองเพื่อหยุดเขาไว้”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นสีหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนก็เปลี่ยนไป เขารู้เกี่ยวกับสถานะของเผ่าฝูถูในมหาพันภพ นั่นเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณที่มีรากฐานทรงพลัง

แม้แต่ตำหนักปลายเหนือของเขาก็เทียบไม่ติดกับเผ่าโบราณ ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ซึ่งเป็นยอดยุทธ์ในมหาพันภพเลยทีเดียว

ดังนั้นบอกได้ว่ามู่เฉินน่ากลัวเพียงใด ในเมื่อเขาสามารถบีบให้ฝูถูเฉวียนเคลื่อนไหวได้

“เป็นไปได้ยังไง? เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเองนะ” อีกสองคนก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เหลือเชื่อมาก จำนวนของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนของเผ่าฝูถูมีมากกว่านิ้วบนสองมือ พวกเขาสามารถเป่ามู่เฉินตายได้ด้วยจำนวนเพียงอย่างเดียว

“ตอนนั้นเขาควบคุมค่ายกลพิทักษ์เผ่าฝูถูเพื่อปราบปรามผู้อาวุโสทั้งหมด แม้แต่ประมุขตระกูลเฉวียนและมั่วที่เป็นจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” อีกฝ่ายยังคงอธิบายต่อไป

เมื่อทั้งสองคนได้ยินคำพูดนั้น พวกเขาก็แอบเดาะลิ้น มู่เฉินไม่บ้าระห่ำไปหน่อยเหรอ? เขาทำบางอย่างที่น่ากลัวขนาดนี้แล้วจะไม่ทำให้เผ่าฝูถูขุ่นเคืองเรอะ?

ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนดูเคร่งขรึมลง แต่ก็รู้สึกโล่งใจลงส่วนหนึ่ง ที่แท้มู่เฉินก็แค่อาศัยค่ายกล พลังนั้นไม่ได้เป็นของเขา

“ถึงมันจะประสบความสำเร็จได้แบบนั้นจริงๆ แต่ก็ไม่เห็นต้องกลัวมันมากขนาดนี้หรอกมั้ง? มันสร้างความระแคะระคายให้เผ่าฝูถู ยังไม่ต้องเกรงกลัวอะไรแบบนี้ได้เหรอ?” ฉิงเป่ยเฉวียนเอ่ยเสียงขรึม

ความสำเร็จของมู่เฉินทำให้เขารู้สึกตกตะลึง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนต้องกลัวได้

อีกฝ่ายส่ายหัวตอบว่า “อย่าดูถูกที่ขุมพลังเขาต่ำไป เขาเอาชนะผู้อาวุโสระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นของเผ่าฝูถูได้โดยอาศัยความสามารถของตนเอง”

“ยิ่งไปกว่านั้น…เจ้าคิดว่าทำไมเขาถึงไม่เป็นอันตรายแม้จะพลิกคว่ำพลิกหงายเผ่าฝูถูแล้ว?”

คำพูดของเขาทำให้ทั้งสามคนใจสั่นทันที ตระกูลเก่าแก่แบบเผ่าฝูถูไม่ยอมเสียชื่อเสียงที่สั่งสมมานาน การกระทำของมู่เฉินถือได้ว่าทำให้พวกเขาอับอายขายหน้า ตามหลักเหตุผลเผ่าฝูถูไม่ควรปล่อยเขาให้มาลอยหน้าลอยตาในมหาพันภพได้ง่ายๆ แล้วทำไมเขายังสามารถทำหน้าระรื่นที่เบื้องหน้าพวกเขาได้อีก…

นั่นหมายความว่ายังไง? ก็หมายความว่าแม้แต่เผ่าฝูถูก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้!

“มู่เฉินมีมิตรภาพลึกซึ้งกับเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและเทพจักรพรรดิสงครามแห่งแคว้นหวู หลังจากที่เขาคว่ำเผ่าฝูถูได้ ทั้งเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรสงครามก็ยังให้การสนับสนุนเขาต่อ” เสียงต่ำยังคงอธิบายต่อไป

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ใบหน้าทั้งสามก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเป็นยอดยุทธ์ในตำนานที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ พวกเขาเป็นจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก

กระนั้นมู่เฉินก็มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับพวกเขา? มากถึงขนาดที่ว่าพวกเขายอมเป็นศัตรูกับเผ่าฝูถูให้ด้วย?

“มิน่าล่ะ…เมื่อเทพจักรพรรดิทั้งสองสนับสนุนเขา แม้แต่เผ่าฝูถูก็ต้องเกรงกลัว” พรรคพวกสองถอนหายใจ

อีกฝ่ายยิ้มก่อนจะพูดต่อ “นั่นไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุด เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมมู่เฉินถึงไปอาละวาดที่เผ่าฝูถู? เขาไปช่วยเหลือมารดา”

“บิดามารดาของเขาพบรักกันในทวีปไป่หลิง ทำให้เผ่าฝูถูโกรธแค้นและกักขังนางไว้ มู่เฉินเลยไปช่วยมารดาออกมา”

“ยิ่งไปกว่านั้นมารดาของเขาก็น่ากลัวไม่แพ้กัน… เมื่อนางออกมาได้ก็ชิงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ของฝูถูเฉวียนไป มิหนำซ้ำนางยังเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งอีกด้วย นั่นหมายความว่าผู้อาวุโสใหญ่คนปัจจุบันของเผ่าฝูถูก็คือมารดาของเขา”

คำพูดของเขาทำให้สหายทั้งสามอ้าปากค้างพร้อมกับความตกตะลึงฉายบนใบหน้า มารดาของมู่เฉินคือผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่ของเผ่าฝูถูเรอะ!

ไม่น่าแปลกใจที่มู่เฉินไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแม้จะก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ เพราะมารดาเขาถืออำนาจสูงสุด!

จอมยุทธ์สองคนแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาเริ่มมีความคิดที่จะถอยออกมาแล้ว เนื่องจากพวกเขารู้ดีถึงผลที่ตามมาของการทำให้มู่เฉินขุ่นเคือง

ไม่เพียงแต่แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเผ่าฝูถูด้วย…

ขั้วอำนาจเหล่านี้ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ สามารถทำให้ทั้งโลกสั่นสะเทือนด้วยการเคลื่อนไหวเพียงปลายก้อย แม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ได้รับความเคารพจากผู้อื่นนับไม่ถ้วน แต่พวกเขาก็รู้ระยะห่างของตนเองเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง…

ด้วยภูมิหลังแบบนี้ คงมีไม่กี่คนในมหาพันภพที่จะกล้าแหย่มู่เฉิน

ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนซีดขาว ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงธรรมดา แต่เขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีภูมิหลังเช่นนี้ ซึ่งนี่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว

ตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว

ในขณะที่ฉิงเป่ยเฉวียนลังเล เขาก็เห็นสีหน้าของสหายเปลี่ยนไปอีกครั้ง ก่อนจะอดถามออกมาไม่ได้ “มีอะไรอีก?”

ดวงตาของสหายกะพริบ สายตาเขากวาดผ่านห้องโถงมองไปที่ภาพเงาที่ยืนอยู่ข้างมู่เฟิง ก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด “เจ้าเห็นผู้หญิงคนนั้นไหม? นางดูเหมือนมารดาของมู่เฉินเลย…”

เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ฉิงเป่ยเฉวียนก็รู้สึกได้ว่าจิตใจระเบิดด้วยความกลัว ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นบนใบหน้าของสหายอีกสองคนด้วย ตอนแรกพวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับใครในห้องโถง แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขามองไปอย่างระมัดระวังก็รู้สึกถึงแรงกดดันคลุมเครือปลดปล่อยมาจากนาง

“ใช่! ใช่! นางเป็นมารดาของมู่เฉินและเป็นผู้อาวุโสใหญ่ปัจจุบันของเผ่าฝูถู ชิงเหยี่ยนจิ้ง!” ในที่สุดเสียงเขาก็ยืนยันและแสดงรอยยิ้มบิดเบ้ไม่น่าดูยิ่งกว่าร้องไห้

สหายอีกสองคนก็รู้สึกถึงแกนกระดูกสั่นสะท้าน พวกเขากำลังคิดจัดการลูกชายของหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งต่อหน้านางเชียวเหรอ? พวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรหากพวกเขาลงมือทำจริงๆ

จากนั้นพวกเขาก็มองไปที่ฉิงเป่ยเฉวียน “พี่ฉิง เราเกือบไปเยี่ยมนรกเพราะเจ้าแล้ว”

น้ำเสียงของพวกเขาฟังเหมือนคร่ำครวญ ไม่มีปัญหาที่ฉิงเป่ยเฉวียนจะเรียกพวกเขามาช่วย ทว่าฉิงเป่ยเฉวียนไม่ได้ตรวจสอบด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังจะงัดข้อกับใคร นั่นก็คล้ายกับการขุดหลุมเพื่อให้พวกเขากระโดดเข้าไป

ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนก็สลับไปมาระหว่างขาวกับเขียว เขาฝืนยิ้มอย่างขมขื่น “เป็นความผิดของข้า ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าไอ้ลูกโง่จะสร้างปัญหาเช่นนี้”

“เดี๋ยวข้าไปพบนางและดูว่าสามารถยุติเรื่องนี้ได้หรือไม่”

ฉิงเป่ยเฉวียนต้องการตรวจสอบและดูว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูจริงหรือไม่

พรรคพวกทั้งสามคนพยักหน้าเห็นด้วย

ดังนั้นทั้งสี่ซึ่งตอนแรกมาด้วยท่าทางดุร้ายก็พลิ้วตัวลงมาจากหลังคา

“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ!”

ใบหน้าของราชันไป่หลิงเต็มไปด้วยความปีติยินดีขณะที่ตะโกน

ทว่าฉิงเป่ยเฉวียนไม่ได้ให้ความสนใจกับบุตรชาย เขาตรงมาที่กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงและประสานมือให้กับชิงเหยี่ยนจิ้งที่ยืนอยู่ข้างมู่เฟิง

“ไม่ทราบว่าใช่ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูหรือไม่?”

เสียงกังวลของฉิงเป่ยเฉวียนดังก้องภายในโถง ทำให้ความสุขบนใบหน้าราชันไป่หลิงแข็งค้าง ขณะมองไปที่ฉากนี้ด้วยความไม่เชื่อเหมือนกันผู้นำคนอื่นๆ

กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงที่ตอนแรกสนทนากับชิงเหยี่ยนจิ้งด้วยรอยยิ้มก็ต่างตกใจ พวกเขามองไปที่นางพลางกลืนน้ำลายลงคอ

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสี่ถึงเข้ามาคารวะชิงเหยี่ยนจิ้ง

เมื่อมองไปที่ท่าทางเต็มไปด้วยมารยาทของพวกเขา ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ประหลาดใจไปชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าคือชิงเหยี่ยนจิ้ง”

คำพูดของนางเหมือนถังน้ำเย็นที่ราดรดทำให้ฉิงเป่ยเฉวียนรู้สึกเย็นสะท้านจับจิต

พวกเขาตาบอดจริงๆ ที่ทำเป็นลิงหลอกเจ้าต่อหน้าหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง…

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท