หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1469 สถานการณ์ตำหนักมู่

บทที่ 1469 สถานการณ์ตำหนักมู่

ทวีปเทียนหลัว กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่ ภูมิภาคทางเหนือ

มู่เฉินนั่งกุมขมับกับรายงานที่วางบนโต๊ะ นี่เป็นรายละเอียดบรรณาการจากกองกำลังต่างๆ ที่มาอยู่ภายใต้อาณัติตำหนักมู่

“เฮ้อ”

หลังจากผ่านไปแค่ครึ่งวันมู่เฉินก็รู้สึกเหนื่อยล้ามาก เขาวางรายงานลงมองไปที่มั่นถัวหลัวที่กำลังยิ้มกริ่มด้วยความสะใจก็ยิ้มขมขื่น “พวกนี้ไม่จำเป็นให้ข้ามานั่งอ่านเองหรอกมั้ง?”

มั่นถัวหลัวเบ้ปากตอบ “เจ้าเป็นประมุขตำหนักมู่ ดังนั้นก็ต้องเข้าใจรายงานที่เกี่ยวกับตำหนักมู่สิ”

มู่เฉินถอนหายใจ เขากลับมาที่ตำหนักมู่เมื่อครึ่งเดือนก่อน ตอนแรกก็คิดจะได้พักผ่อนอย่างสงบสุข แต่ใครจะไปคิดว่ามั่นถัวหลัวจะไม่พอใจเขาที่ทิ้งงานมานานจนทุ่มงานทั้งหมดคืนมาที่เขา

ครึ่งเดือนนี้เขารู้สึกเหนื่อยกว่าสู้กับหวงเฉวียนจือเสียอีก…

“เอาล่ะ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าลำบาก” มู่เฉินยกสองมือยอมแพ้ เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวตั้งใจทำแบบนี้เพื่อสอนบทเรียนให้เขา เพราะเขาไม่เคยใส่ใจเรื่องงานในตำหนักมู่เลยนับตั้งแต่ก่อตั้งมา

เมื่อจิ่วโยวและเฉวียนเทียนเห็นภาพนี้ก็อดยิ้มไม่ได้ ไม่มีใครคาดคิดว่าดาวรุ่งแห่งมหาพันภพคนใหม่ จะยอมรับความพ่ายแพ้

ศึกระหว่างมู่เฉินและหวงเฉวียนจือลือไปทั่ว สิ่งนี้ทำให้ชื่อเสียงของมู่เฉินเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน เนื่องจากทุกคนทราบดีว่าหวงเฉวียนจือเคยสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางมาแล้ว…

พร้อมกับความพ่ายแพ้ของเผ่าหงส์ฟ้าที่ภาคภูมิ นั่นหมายความว่ามู่เฉินแข็งแกร่งกว่าหวงเฉวียนจือ

แต่ที่น่าตกใจกว่าก็คือมู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง ซึ่งอาจแปลว่าเขาจะอยู่ยงคงกระพันภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเมื่อไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน…

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินยอมแพ้ ท่าทางของมั่นถัวหลัวก็อ่อนลงก่อนที่นางจะแหววใส่เบาๆ แล้วเหยียดตัวเพื่อดึงรายงานสำคัญมา “ตำหนักมู่ได้รับของเหลวจื้อจุนรวมหนึ่งพันเก้าร้อยล้านหยดในปีที่ผ่านมา”

“ของเหลวจื้อจุนหนึ่งพันเก้าร้อยล้านหยด…” มู่เฉินแอบเดาะลิ้นเมื่อได้ยินจำนวน อดีตอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ได้กระทั่งของเหลวจื้อจุนถึงร้อยล้านหยดต่อปีด้วยซ้ำ

“เจ้าคิดว่ามากเรอะ?” เมื่อเห็นใบหน้าประหลาดใจของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็กลอกตา

มู่เฉินยิ้มเขินอาย “ไม่เยอะเหรอ?”

เขาไม่ชัดเจนเกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึกเท่าไร

“จากพันเก้าร้อยล้านหยด เจ้าได้รับเจ็ดร้อยล้านหยดสำหรับการฝึกฝน ผู้อาวุโสเฉวียนเทียนใช้สี่ร้อยล้านหยดต่อปี ตอนนี้จิ่วโยวบรรลุระดับเทียนจื้อจุนก็ต้องได้รับสี่ร้อยล้านหยดเช่นกัน ดังนั้นจึงมีเหลือเพียงสี่ร้อยล้านหยดสำหรับเรื่องอื่นๆ เจ้ารู้ไหมว่าตำหนักมู่มีกี่ปากกี่ท้อง?” มั่นถัวหลัวเค้นสียงเย็น

มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะรู้สึกผิดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเขาคนเดียวก็ใช้ไปหนึ่งส่วนสามแล้ว ยิ่งตอนนี้เขามาถึงระดับเทียนจื้อจุน ยิ่งต้องการทรัพยากรจำนวนมาก แต่ถ้าไม่มีทรัพยากร ประสิทธิภาพในการเพาะบ่มขุมพลังก็จะลดลงอย่างมาก

นี่เป็นสาเหตุที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายคนสร้างกองกำลังของตนเอง เนื่องจากพวกเขาต้องการพลังเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการฝึกฝน

“ข้าไม่ต้องการมากขนาดนั้น” จิ่วโยวไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะได้รับการจัดสรรจำนวนนี้เมื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุน

มั่นถัวหลัวส่ายหัวตอบ “นี่คือกฎ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนเป็นเสาหลักของขั้วอำนาจใหญ่และถ้าตำหนักมู่ไม่แม้แต่จะรักษาเช่นนั้นได้ จะมีคนต้องการเข้าร่วมกับเราในอนาคตได้อย่างไร”

มั่นถัวหลัวหันไปหามู่เฉินเอ่ยต่อ “แต่ตอนนี้ตำหนักมู่สามารถสนับสนุนพวกเจ้าได้เพียงสามคน หากมีคนอื่นเพิ่มเติม เราจะไม่สามารถสนับสนุนพวกเขาได้”

ท่าทางมู่เฉินเคร่งเครียดลงกับคำพูดเหล่านั้น สิ่งนี้ส่งผลต่อการเติบโตของตำหนกมู่อย่างชัดเจน เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเป็นรากฐานของขั้วอำนาจใดๆ และจำนวนก็แสดงถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา

“แล้วตอนนี้เราควรทำยังไง?” มู่เฉินถาม

“รักษาสถานะนี้ไว้และค่อยๆ กลืนกินดินแดนมากขึ้นเพื่อขยายอิทธิพลตำหนักมู่” มั่นถัวหลัวตอบ

“ตอนนี้ขั้วอำนาจมากมายในทวีปเทียนหลัวตั้งระวังตำหนักมู่ของเรา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถขยายตัวได้มากเกินไปในปีที่ผ่านมา กลัวว่าจะโดนตอบโต้”

หลังจากพิจารณาครู่หนึ่งมู่เฉินก็ถามว่า “หาข้อมูลขั้วอำนาจสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังสำนักเหล่านั้นในทวีปเทียนหลัวแล้วหรือยัง?”

มั่นถัวหลัวพยักหน้าพลางหยิบม้วนกระดาษส่งให้มู่เฉิน

เมื่อมู่เฉินเปิดออกชื่อห้าชื่อก็กระแทกเข้าตา ขั้วอำนาจทั้งห้านี้มีชื่อเสียงแม้กระทั่งในมหาพันภพ

ภูเขาตันหยาง—ผู้อาวุโสตันหยาง

เมืองเฉวียนยิง—เจ้าเมืองโยวเฉวียน

สำนักเซียนสายฟ้าม่วง—จอมยุทธ์จื่อเหลย

หุบเขาไป๋หู—ราชันไป๋หู

ประตูหลิงกุ่ย—ราชันกุ่ยตี้

ประมุขขั้วอำนาจสูงสุดสี่ชื่อแรก ล้วนอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น ส่วนกุ่ยตี้ก้าวเข้าสู่ขั้นเซียนระยะกลางแล้ว

“ทวีปเทียนหลัวสมกับเเป็นมหาทวีป มีความซับซ้อนอย่างแท้จริง ขั้วอำนาจสูงสุดในระดับนี้มีถึงห้าขั้วอำนาจ” มู่เฉินหดดวงตา

“เมื่อก่อนไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้ามาแทรกแซงเนื่องจากกฎไม่ได้บัญญัติของทวีป แต่พวกเขาสนับสนุนขุมกำลังเพื่อเป็นตัวแทน ใครจะคิดว่าตำหนักมู่จะมีสัตว์ประหลาดอย่างเจ้ามาอยู่ในเวลาเพียงไม่กี่ปีก็ทำลายสถานการณ์ในทวีปจนยับเยิน” มั่นถัวหลัวยิ้ม

“ช่วงแรกที่สำนักเรารวมจักรวรรดิเหนือ ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าก็ส่งคำเตือนเราว่าอย่าเข้าไปยุ่งในดินแดนอื่นๆ ของทวีปเทียนหลัว ขณะเดียวกันก็ขัดแข้งขัดขาการขยายตัวของเราด้วย”

“แต่หลังจากข่าวการต่อสู้ของเจ้าในเผ่าฝูถูมาถึง ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าก็หวาดผวาหยุดขัดขวางเรา”

มู่เฉินพยักหน้า เขารู้ว่าขั้วอำนาจทั้งห้ากลัวหลังจากที่รู้ว่ามารดาของเขาเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ นอกจากนี้นางยังเป็นผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถูอีกด้วย

ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นปัญหาแท้จริง แม้ว่าตำหนักมู่จะเต็มไปด้วยแรงผลักดัน แต่พวกเขาก็ถูกล้อมกรอบอยู่ในจักรวรรดิเหนือโดยขั้วอำนาจทั้งห้า หากพวกเขาฝ่าฝืนออกไปก็จะเป็นการบังคับให้ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าร่วมมือกันจัดการกับพวกเขา ซึ่งเป็นหายนะใหญ่ของตำหนักมู่แน่

เพราะสุดท้ายมู่เฉินก็คงไม่สามารถให้มารดาออกหน้ามาจัดการคนเหล่านั้นแทนได้… ตำหนักมู่เป็นขุมกำลังของเขา ดังนั้นเขาอยากพึ่งพาตัวเองในการพัฒนาให้แข็งแกร่ง

แต่ถ้าตำหนักมู่ต้องการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของมหาพันภพ พวกเขาจะต้องครอบครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมดเพื่อได้ใช้ทรัพยากรมากขึ้น

ไม่ใช่เพราะมู่เฉินมีความทะเยอทะยาน แต่เขารู้ดีว่าหากตำหนักมู่เติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป ต่อให้พวกเขาไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดก็ต้องต่อสู้กับขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าอย่างไม่ต้องสงสัย

ตามการคาดการณ์ของเขาหากไม่ใช่เพราะชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถู ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าคงเคลื่อนไหวต่อต้านตำหนักมู่ไปนานแล้ว

ในมุมมองของพวกเขาตำหนักมู่ที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เป็นภัยคุกคามนานแล้ว

“ไม่ต้องรีบร้อน”

มู่เฉินครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “ขอแค่คงสถานการณ์ปัจจุบันของตำหนักมู่ไว้อีกช่วงหนึ่ง แล้วข้าจะทำให้พวกเขาวิ่งหางจุกตูดออกจากทวีปเทียนหลัวด้วยความหวาดกลัวเอง”

แม้ว่าอีกฝ่ายจะได้เปรียบด้านจำนวน แต่ถ้ามีเวลาที่เพียงพอหรือ รอให้เขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนและขั้วอำนาจเหล่านั้นจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร

ในขณะนั้นมู่เฉินไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพเพื่อครองทวีปทั้งหมด

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็ถอนหายใจ “ข้าเกรงว่าพวกเขาไม่คิดจะให้เวลากับเจ้าน่ะสิ”

“เจ้าหมายถึงอะไร?” มู่เฉินหรี่ตา

ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเคร่งขรึมขณะอธิบายว่า “ข้าได้รับข่าวว่าไม่กี่วันก่อนขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าจับมือกันสร้างพันธมิตรเทียนหลัวแล้ว…”

“ข้ากังวลว่าเป้าหมายจะพุ่งมาที่เรา”

มู่เฉินขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าเหล่านั้นเด็ดเดี่ยวเพียงนี้ ถึงขนาดสร้างพันธมิตรเพื่อขัดขวางตำหนักมู่

ขณะที่มู่เฉินเงียบลงทั้งโถงก็เงียบสนิท

ทันใดนั้นแสงสายหนึ่งก็ทะยานเข้ามา มั่นถัวหลัวคว้าเอาไว้ กวาดสายตาชั่วครู่ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไป

“เกิดอะไรขึ้น?” มู่เฉินเลิกคิ้วขึ้น

เสียงของมั่นถัวหลัวเย็นเยือกลง “มีข่าวว่าในสามวันข้างหน้าประมุขทั้งห้าของพันธมิตรเทียนหลัวจะจัดงานเลี้ยงในเมืองเทียนหลัวและพวกเขาส่งเทียบมาเชิญเจ้า”

“งานเลี้ยงหงเหมินล่ะสิ” เฉวียนเทียนเอ่ยเสียงต่ำ

“ทำยังไงดี?” มั่นถัวหลัวกล่าวขณะมองไปที่มู่เฉิน

มือถูบนโต๊ะทำงาน ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แสงไฟคลี่ยิ้มไม่เชิงยิ้ม แสงเย็นเริ่มรวมตัวกันในม่านตาสีดำ

“พวกเขากล้าดี ตอนแรกข้าอยากจะรอสักหน่อยเพื่อที่พวกเขาจะได้ล่าถอยไปด้วยตัวเอง ไม่คิดว่าพวกเขาจะใจร้อนอยากจะต่อสู้กับข้าขนาดนี้…”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ช่วยทำให้ความปรารถนาของพวกเขาเป็นจริง”

เมื่อพูดจบรัศมีรุนแรงก็ระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน เสื้อผ้ากระพือจากการเคลื่อนไหวดังกล่าว ราวกับจักรพรรดิผู้เกรี้ยวกราด

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท