หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1477 แยกตัวฝึกฝน

บทที่ 1477 แยกตัวฝึกฝน

เมื่อศึกในเมืองเทียนหลัวสิ้นสุดลง

ทวีปเทียนหลัวทั้งทวีปก็สั่นสะเทือน ทุกขั้วอำนาจรู้ว่าหลังจากนี้เป็นต้นไปตำหนักมู่ก็คือเจ้าเหนือหัวหนึ่งเดียวของทวีปนี้ เมื่อมีจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างมู่เฉิน ตำหนักมู่ก็มีคุณสมบัติที่จะปกครองทวีปได้แล้ว

คราวนี้ไม่มีใครสามารถเขย่าบัลลังก์ตำหนักมู่ได้อีกแล้ว

ดังนั้นผู้คนที่อยู่ในทวีปเทียนหลัวจึงรีบไปที่ตำหนักมู่หลังจากการต่อสู้จบลง เพื่อแสดงความเต็มใจที่จะสวามิภักดิ์และแย่งชิงผลประโยชน์ใหญ่ที่สุด

ทว่าพื้นที่ของทวีปกว้างใหญ่เกินไป ดังนั้นจึงไม่สามารถควบคุมทุกคนได้ ในหลายๆ พื้นที่ยังต้องให้ขั้วอำนาจเดิมรักษาเสถียรภาพไว้

กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่ วังสวรรค์บรรพกาล

มู่เฉินนั่งอยู่บนยอดเขาพลางมองไปที่ภูเขาที่ห่างไกลซึ่งกำลังแผ่ซ่านความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง

ขณะนี้มั่นถัวหลัวปลีกตัวเข้าสมาธิบนภูเขาแห่งนั้น หลังจากได้รับซากดอกแมนดาลาโบราณเพื่อพยายามที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนให้จงได้

ฟิ้ว!

เสียงลมฉีกอากาศดังก้อง ร่างของจิ่วโยวก็ปรากฏขึ้นข้างๆ มู่เฉิน นางสวมเสื้อผ้าที่ราวกับเกล็ดงูสีดำซึ่งเผยส่วนโค้งที่น่าประทับใจ

“ที่สำนักเป็นยังไงบ้าง?” มู่เฉินหันมาและยิ้มให้จิ่วโยว

จิ่วโยวเหลือบสายตามองอย่างไม่พอใจ ช่วงนี้มั่นถัวหลัวเข้าสู่สมาธิ ส่วนมู่เฉินก็มาซ่อนตัวอยู่ในวังโบราณ ทิ้งทุกอย่างให้นางจัดการ

“ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในทวีปเทียนหลัวต่างมุ่งหน้ามาสวามิภักดิ์ เรื่องรายละเอียดในการจัดการ รอให้มั่นถัวหลัวออกมาก่อนค่อยตัดสินใจ” จิ่วโยวตอบ

มู่เฉินไม่คัดค้านเรื่องนี้เนื่องจากนี่เป็นเผือกร้อน หากเขาให้อิสระกับคนเหล่านี้มากเกินไป อาจทำให้ตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของตำหนักมู่อ่อนแอลง ดังนั้นเป็นการดีกว่าที่จะให้มั่นถัวหลัวเป็นคนจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้

“จำนวนจอมยุทธ์ที่ขอเข้าร่วมตำหนักมู่ก็เพิ่มขึ้นและคุณภาพก็ค่อนข้างดี แค่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็มีถึงหกคนที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ”

จอมยุทธ์ระดับนี้มักจะเป็นเสาหลักในขั้วอำนาจต่างๆ เนื่องจากพลังพวกเขาจะเกื้อหนุนสำนักหากพวกเขาบรรลุระดับเทียนยจื้อจุนได้

“ตรวจสอบภูมิหลังให้ดี” มู่เฉินบอก แม้ว่าพวกเขาต้องการผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็ยังต้องพิจารณาภูมิหลังอย่างละเอียดถี่ถ้วน เนื่องจากมักมีคนที่ใช้ทุกวิถีทางเพื่อทรัพยากรในการฝึกฝน

จิ่วโยวพยักหน้า

“ห้าเดือนต่อจากนี้ข้าจะเข้าสู่การฝึกฝน ดังนั้นต้องพึ่งพาเจ้าจัดการเรื่องต่างๆ ในตำหนักมู่” มู่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงลุแก่โทษ เขาพาตัวองค์หญิงมาจากเผ่าวิหคโลกันตร์ สุดท้ายนางก็กลายเป็นเบ๊ของเขา

จิ่วโยวบึนริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้ แต่นางรู้ดีว่านอกจากมู่เฉินแล้วตอนนี้ก็มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถควบคุมตำหนักมู่ได้ นอกจากนี้นางยังรู้ว่าเป้าหมายของมู่เฉินในการฝึกฝนครั้งนี้เพื่อเตรียมการสำหรับการไปงานชุมนุมนิรันดร์

นี่เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับมู่เฉิน เนื่องจากตัวเขาตั้งเป้าหมายไว้ที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ตั้งแต่ที่เขาเริ่มฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ ตอนนี้เขาได้พัฒนาร่างเทพสุริยะเข้าสู่ร่างเทพสุริยะนิรัดร์ เขาสามารถเติมเต็มความฝันได้ตราบใดที่คว้าขั้นตอนสุดท้ายได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์มา

ดังนั้นมู่เฉินต้องใช้เวลาทั้งหมดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากที่สุด เขารู้ดีว่าทุกคนที่สามารถฝึกฝนร่างเทหสุริยะนิรันดร์ต้องเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังในมหาพันภพทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ใช่งานง่ายที่เขาจะเอาชนะพวกเขาและได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์

“ไม่ต้องกังวล เจ้าเข้าสมาธิให้เต็มที่เลย ข้าจะจัดการเรื่องต่างๆ ในตำหนักมู่เอง” จิ่วโยวพยักหน้า มู่เฉินเป็นเสาหลักของตำหนักมู่และสำนักจะสามารถยืนหยัดมั่นคงในมหาพันภพได้หากเขาทรงพลังยิ่งๆ ขึ้นไป

มู่เฉินพยักหน้าส่งกำไลเฉียนคุนให้กับจิ่วโยววงหนึ่ง “ในนี้มีของเหลวจื้อจุนห้าพันล้านหยด น่าจะเพียงพอสำหรับการพัฒนาในช่วงนี้”

ของเหลวจื้อจุนห้าพันล้านหยดเป็นสิ่งที่เขาไถมาจากประมุขทั้งห้า ส่วนอีกหมื่นล้านหยดมู่เฉินคิดจะใช้สำหรับการเพาะบ่มครั้งนี้ เขาตั้งใจจะไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายภายในห้าเดือน ดังนั้นเขาจึงต้องการของเหลวนี้จำนวนมาก มิฉะนั้นจะเป็นไปไม่ได้ต่อให้เขามีพรสวรรค์ล้ำเลิศก็ตาม

จิ่วโยวรับมาไม่อิดออด เนื่องจากตำหนักมู่ที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วต้องการของเหลวจื้อจุนมากจริงๆ

หลังจากสนทนากันสั้นๆ จิ่วโยวก็ออกไป มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องมีคนดูแลในตอนนี้

จ้องมองแผ่นหลังของจิ่วโยวที่หายลับ สายตาของมู่เฉินก็เลื่อนไปทางทะเลสาบสวรรค์ ซึ่งมีภาพเงาอ่อนเยาว์จำนวนมากกำลังบ่มเพาะอยู่บนแท่นฝึกรอบๆ

ทันใดนั้นลำแสงก็พุ่งลงมาห่อหุ้มร่างเงาหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้คนโดยรอบอุทานออกมา ภายใต้สายตาอิจฉาของทุกคน ภาพเงาอ่อนเยาว์นั้นก็หายไป

ชัดว่าผู้ที่มีพรสวรรค์คนนี้ถูกหอคัมภีร์เทพซ่อนเลือกไป ซึ่งเป็นโอกาสที่หายากสำหรับสมาชิกทุกคนในตำหนักมู่

เมื่อมองไปที่ฉากนี้มู่เฉินก็ยิ้ม ตำหนักมู่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตหนุ่มสาวเหล่านี้จะเป็นเสาหลักต่อไป

เขาถอนหายใจตำหนักมู่มาไกลขนาดนี้โดยที่เขาไม่รู้…

เด็กหนุ่มที่ก้าวออกมาจากสำนักศึกษาเป่ยชางได้กลายเป็นเจ้าทวีปเทียนหลัวในตอนนี้แล้ว

มู่เฉินก้มศีรษะหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะสงบใจกลายร่างเป็นริ้วแสงร่อนลงบนภูเขาที่อยู่เบื้องล่าง มีถ้ำที่ขุดขึ้นเพื่อการฝึกฝน

มู่เฉินนั่งลงบนแท่นหินสีฟ้าอมเขียว ปลายนิ้วแตะไปที่กำไลเฉียนคุนสองวง กระแสน้ำของเหลวจื้อจุนไหลเวียนออกมาไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับมังกรมหึมาขดอยู่ในถ้ำ

นอกจากนี้ยังมีเส้นสายบนผนัง ซึ่งก่อเป็นค่ายกลคลุมเครือ

นี่คือค่ายกลบรรจบจิตที่มีวิธีในการบีบอัดคลื่นหลิง ดังนั้นเมื่อของเหลวจื้อจุนไหลผ่านก็ถูกกลั่นออกมาผ่านทางค่ายกลและควบแน่นมากขึ้น เหมือนจะเห็นผลึกอยู่ภายในด้วย…

ของเหลวจื้อจุนหมื่นล้านหยดเป็นจำนวนมหาศาล หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงธรรมดา พวกเขาจะต้องใช้เวลาหลายปีในการดูดซับ ดังนั้นมู่เฉินจึงเตรียมการเพื่อเร่งอัตราการดูดกลืนของเขา

ทว่าแค่นี้ยังไม่เพียงพอ…

มู่เฉินวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว แสงหลิงก็ลุกโชนขึ้นบนศีรษะเขา เจดีย์ผลึกแก้วใสปรากฏขึ้นลอยอยู่เหนือหัวของมู่เฉิน

เพื่อดูดซับของเหลวจื้อจุนหมื่นล้านหยดในห้าเดือน เจดีย์พุทธะของเขาจะมีบทบาทสำคัญเนื่องจากสามารถช่วยในกระบวนการชำระได้

หลังจากเตรียมการเรียบร้อย มู่เฉินก็ค่อยๆ หลับตาลงและแม้แต่ลมหายใจเข้าออกก็ช้าลงเงียบๆ เขาเหมือนกับไต้ซือเฒ่าทำสมาธิ

ฟู่ ฟู่

มวลลมกู่ร้องก้องถ้ำ ขณะที่ของเหลวจื้อจุนเทลงในเจดีย์พุทธะอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เจดีย์เปล่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์ราวกับเป็นหลุมไร้ก้นบึ้งที่กลืนกินไม่รู้จบ

ในเวลาเดียวกันรัศมีก็เปล่งประกายออกมาจากฐานเจดีย์ ขณะที่เกล็ดผลึกโปรยปรายใส่มู่เฉิน แม้ว่าเกล็ดผลึกเหล่านั้นจะมีขนาดเล็ก แต่ก็เป็นคลื่นหลิงที่ได้รับการกลั่นอย่างยอดเยี่ยม…

เมื่อเกล็ดผลึกปลิวลงมาก็ละลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสกับผิวหนังของมู่เฉิน

เลือดของมู่เฉินเดือดพล่านในกระบวนการนี้ ทั่วสรรพางค์กายกลืนกินเกล็ดผลึก…

พายุโหมกระหน่ำภายในถ้ำ เมื่อเกล็ดผลึกปลิวลงมามากขึ้นผิวของมู่เฉินก็เปล่งรัศมีออกมา ทำให้ดูราวกับอัญมณี

ในช่วงเวลาหลายเดือนต่อมา

มู่เฉินก็มุ่งเน้นไปที่การฝึกฝน ปิดกั้นข่าวสารภายนอกทั้งหมด

ทว่าขณะที่มู่เฉินเข้าสมาธิเงียบ มหาพันภพก็เริ่มร้อนระอุกับข่าวชุมนุมนิรันดร์ที่จะจัดขึ้นในไม่ช้า

นี่แตกต่างจากงานชุมนุมสายเลือดของเผ่าฝูถู ชุมนุมนิรันดร์เป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นตาในมหาพันภพเนื่องจากร่างมหาเทพนิรันดร์จะเลือกผู้ครอบครอง

ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นหนึ่งในห้าของร่างมหาเทพปฐมกาลซึ่งอยู่ในอันดับสี่ของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง แต่ทุกคนรู้ดีว่าร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งห้าไม่ได้แยกตามระดับ แต่มีความสามารถที่แตกต่างกัน ดังนั้นแท้จริงแล้วจึงควรจัดอันดับร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งห้าเป็นอันดับหนึ่งเหมือนกัน

อย่างไรก็ตามร่างมหาเทพนิรันดร์มีชื่อเสียงมากกว่า เนื่องจากได้สร้างจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสมัยโบราณ เทพจักรพรรดินิรันดร์ที่เป็นผู้ฝึกฝนสุดยอดร่างเทห์สวรรค์นี้

ดังนั้นจึงไม่มีข้อสงสัยกับพลังของร่างมหาเทพนิรันดร์

ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดา แม้แต่ขั้นเซิ่งก็น้ำลายไหลกับสุดยอดร่างเช่นนี้ ทว่าตามกฎของชุมนุมนิรันดร์ระบุไว้ว่ามีเพียงผู้ที่สร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติและสามารถเข้าร่วมได้ครั้งเดียวในชีวิต

แม้ว่าข้อกำหนดจะเข้มงวด แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางชุมนุมนิรันดร์เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ เนื่องจากทุกคนต้องการรู้ว่าร่างมหาเทพนิรันดร์จะตกเป็นของใคร…

ดังนั้นเมื่องานชุมนุมใกล้เข้ามา ความสนใจของจอมยุทธ์ทั่วมหาพันภพก็มุ่งเน้นไปที่เผ่าหมัวเฮอ

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป

พริบตาสี่เดือนก็ผ่านไปแล้ว การชุมนุมนิรันดร์จะเริ่มในอีกสิบวันข้างหน้า…

ทว่าเวลานี้เองกำไลเฉียนคุนทั้งสองในถ้ำก็ร่วงหล่นลงมาอย่างไร้พลัง ชัดว่าของเหลวจื้อจุนหมดลงอย่างสมบูรณ์แล้ว

เคร้ง

เมื่อได้ยินเสียงกำไลตกกระทบบนพื้นดังก้อง มู่เฉินที่สัมผัสได้ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท