หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1515 ดินแดนวั้นมู่

บทที่ 1515 ดินแดนวั้นมู่

เนินเขารกร้างทางเหนือตั้งอยู่ที่ใจกลางมหาพันภพ

ในสมัยโบราณที่นี่เป็นทวีปที่กว้างใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อทวีปเป่ยหวาง ทวีปนี้ไม่เหมือนกับชื่อที่รกร้างว่างเปล่า แต่กลับเป็นดินแดนเฟื่องฟูและทรงพลังจนถึงขีดสุด

แต่เมื่อจักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามา มิหนำซ้ำมหาพันภพก็พ่ายแพ้สงครามอย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดเทพจักรพรรดินิรันดร์ก็ยืนหยัดและสร้างสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพ ก่อตั้งวังมหาพันภพขึ้นเพื่อต่อสู้กับเผ่าปีศาจต่างๆ

ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างจักรวรรดิปีศาจและมหาพันภพ ศึกนี้ที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากการปะทะกันระหว่างเทพจักรพรรดินิรันดร์และเทพปีศาจจักรพรรดิได้เกิดขึ้นในทวีปเป่ยหวางนี้ การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้ทวีปแตกเป็นเสี่ยงๆ และดินแดนที่เหลือจึงถูกขนานนามว่าดินแดนวั้นมู่

ศึกครั้งนั้นจบลงพร้อมกับเทพปีศาจจักรพรรดิถูกปิดผนึก มิหนำซ้ำดินแดนวั้นมู่ก็ถูกปิดแน่นหนาไว้โดยผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของเทพจักรพรรดินิรันดร์—ผู้พิทักษ์หมื่นสุสาน แน่นอนว่าสถานที่อันตรายแห่งนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่กล้าย่ำเท้าเข้ามา ดังนั้นจึงไม่อยากมีใครอยากมาอยู่แล้ว

มีเพียงถึงเวลาของสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพในหนึ่งสหัสวรรษ วังสวรรค์บรรพกาลจะส่งเทียบเชิญยังจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนเพื่อมุ่งหน้าไปยังดินแดนวั้นมู่ ภายใต้ความร่วมมือร่วมใจ พวกเขาจะอัญเชิญผนึกที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้เพื่อลบพลังของเทพปีศาจจักรพรรดิ

แต่สนธิสัญญานี้เกณฑ์สูงสุดเอื้อม มีเพียงผู้ที่ทราบเรื่องราวภายในเท่านั้นที่เข้าใจว่าสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพมีความสำคัญเพียงใด

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสงบสุขของมหาพันภพและหากล้มเหลวก็จะไปสะกิดระเบิดทำลายล้าง

ที่สุดแล้วยังมีความกลัวฝังลึกอยู่ในใจทุกคนจากการกระทำของเทพปีศาจจักรพรรดิ ต่อให้แม้จะผ่านไปหลายหมื่นปี เหตุการณ์เหล่านั้นก็ยังถูกบันทึกไว้ในบันทึกโบราณที่สืบทอดต่อกันมา

ตอนนั้นเทพจักรพรรดินิรันดร์สละชีวิตเพื่อผนึกและหากเทพปีศาจคนนี้หนีไปได้ก็จะไม่มีใครหน้าไหนหยุดได้อีกแล้ว…

“นี่คือดินแดนวั้นมู่รึ?”

ริ้วแสงสามสายฉีกผ่านพื้นที่เชิงมิติและหมู่เมฆ ก่อนที่พวกเขาจะเห็นทวีปรุ่งโรจน์ในครรลองสายตา

ทวีปนี้ได้รับความเสียหายมากจนถูกย้อมเป็นสีแดง แม้จากระยะไกลก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายในบรรยากาศ

เมื่อรัศมีโดยรอบทั้งสามจางลง ภาพมู่เฉิน ชิงเหยี่ยนจิ้งและลั่วหลีก็ปรากฏขึ้น

ขณะนี้มู่เฉินกำลังมองไปที่ทวีปรกร้างด้วยความอยากรู้ เห็นได้ชัดว่าเขาสนใจสถานที่การสู้รบระหว่างเทพจักรพรรดินิรันดร์และเทพปีศาจจักรพรรดิยิ่งนัก

ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าเคร่งขรึม สายตามองไปที่เนินเขารกร้างทางเหนือด้วยความครั่นคราม เนื่องจากนางสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีน่าสะพรึงกลัวเบาบางจากทวีปแห่งนี้

แม้ในฐานะหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง รัศมีนี้ก็ทำให้นางรู้สึกกดดันและหวาดผวา

“ช่างเป็นสถานที่ที่น่ากลัวจริงๆ”

มู่เฉินถอนหายใจขณะจ้องมองไปที่ผืนดินสีแดงเข้ม ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่ไม่อาจบรรยายได้

ร่องรอยรัศมีเล็กน้อยก็ทำให้หนังหัวเขาชาวาบไปหมดแล้ว

“นี่คือสถานที่ที่ปิดผนึกเทพปีศาจจักรพรรดิและรัศมีก็มาจากสิ่งนี้ แต่โชคดีที่ถูกจำกัดไว้โดยเทพจักรพรรดินิรันดร์ มิฉะนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่กล้าก้าวเข้ามาที่นี่” ชิงเหยี่ยนจิ้งอธิบาย

มู่เฉินพยักหน้า ขณะกำลังจะพูด การแสดงออกก็ที่เปลี่ยนไป เขาสัมผัสได้ถึงพายุรุนแรงฉีกออกในพื้นที่ไกล ริ้วแสงหลายสายที่เอิบอาบด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังกระจายออกมา ทุกคนล้วนอยู่ในระดับเทียนจื้อจุน

เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ได้รับเทียบเชิญกำลังเร่งรุดเดินทางเมื่อเวลาใกล้เข้ามา

จอมยุทธ์เหล่านั้นก็รับรู้ได้ถึงทั้งสามคน พวกเขาเหลือบมองมาด้วยความเคารพฉายบนใบหน้า จากนั้นก็ประสานมือคารวะจากระยะไกล ก่อนที่จะมุ่งหน้าเดินทางไปยังดินแดนวั้นมู่

“ดูเหมือนตอนนี้ข้าก็โด่งดังในมหาพันภพเหมือนกันนะเนี่ย”

มู่เฉินมองไปที่คนเหล่านั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกริ่ม เขารับรู้ได้ถึงความเคารพโดยธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเดาตัวตนของกลุ่มเขาได้

“พวกเขาคำนับท่านน้าจิ้งต่างหาก ไปเกี่ยวอะไรกับเจ้า” เมื่อเห็นว่ามู่เฉินชักจะเริ่มหางชี้ ลั่วหลีก็อดไม่ได้ที่จะจือปากขึ้นเอ่ยหยอกล้อ

มู่เฉินชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะมองค้อนลั่วหลี แต่หญิงสาวกลับทำหน้าล้อเลียนแบบไม่กลัว เสียงหัวเราะพลิ้วหวานของนางกระตุ้นหัวใจของมู่เฉินนัก

ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มขณะเฝ้าดูคู่รักกระเซ้าเย้าแหย่กัน “แต่ตอนนี้เฉินเอ๋อมีชื่อเสียงมากจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเผ่าหมัวเฮอ ข้าคิดว่าไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนไหนไม่รู้จักเจ้าผู้สืบทอดร่างมหาเทพนิรันดร์และทำเอาหมัวเฮอเทียนทำอะไรไม่ได้”

มู่เฉินหัวเราะ ตัวเขาไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียงอะไรก็แค่อยากแกล้งลั่วหลีเท่านั้น

“ไปต่อกันเถอะ”

มู่เฉินโบกมือมุ่งหน้าไปยังดินแดนวั้นมู่ ขณะที่กำลังเดินทางต่อมู่เฉินก็หยุดชะงักลงชั่วครู่ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

เขาสามารถสัมผัสได้เบาบางถึงแรงกดดันน่ากลัวที่มาจากดินแดนวั้นมู่ ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับว่าตัวเขาจะถูกสังหารโดยพลังงานที่ไร้ขอบเขตทันทีหากมีความคิดชั่วร้าย

“ระวัง นี่คือผนึกที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้” เสียงเคร่งเครียดของชิงเหยี่ยนจิ้งดังขึ้น “ผนึกนี้ไม่เพียง แต่ผนึกเทพปีศาจจักรพรรดิเท่านั้น แต่ยังก่อเป็นปราการกั้นดินแดนวั้นมู่ไว้ด้วย ผนึกจะทำลายล้างสมาชิกของเผ่าปีศาจที่เข้ามาใกล้”

“เราแค่ต้องผ่อนคลายและใช้คลื่นหลิงห่อหุ้มร่างตัวเองไว้ก็พอ”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของมารดา ร่างกายของมู่เฉินก็พวยพุ่งด้วยคลื่นหลิงปกป้องร่างไว้ ชั่วครู่ต่อมาเขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่น่ากลัวในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“พลังน่ากลัวอะไรขนาดนี้…ด้วยการปกป้องเช่นนี้ ทำไมพวกปีศาจถึงยังกล้าบุกเข้ามา?” มู่เฉินถอนหายใจ

ชิงเหยี่ยนจิ้งส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “พวกปีศาจฉลาดแกมโกง ผนึกอาจทรงพลัง แต่พวกมันก็ไม่ใช่กลุ่มที่ดูถูกได้”

มู่เฉินพยักหน้า ตอนนี้พวกเขาเข้ามาในดินแดนวั้นมู่แล้ว เมื่อมองลงมาจากท้องฟ้า เขาก็อึ้งไป

ภูเขาถูกใช้เป็นสุสานทอดยาวไปจนสุดสายตา…

“พวกเขาล้วนเป็นเหล่าจอมยุทธ์ที่สละชีพในสงครามโบราณ” ชิงเหยี่ยนจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ท่าทางของมู่เฉินเคร่งขรึมลง เนื่องจากใครก็ตามที่ถูกฝังไว้ที่นี่จะต้องมีชื่อเสียงในสมัยโบราณ แต่ด้วยจำนวนมากมายเช่นนี้ เขาคาดเดาได้ว่าสงครามโหดร้ายเพียงใด

ทุกคนสละชีวิตเพื่อปกป้องบ้านและสมควรได้รับการเคารพจากคนรุ่นหลังอย่างเขา

ฟิ้ว

ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจ ร่างแสงสีเทาสองสายก็ทะยานเข้ามาปรากฏที่เบื้องหน้า พวกเขาเป็นชายวัยกลางคนสองคนในชุดคลุมสีเทา

ร่างทั้งสองคนผอมบางและไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า อย่างไรก็ตามความผันผวนของคลื่นหลิงที่เล็ดลอดออกมาบอกว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงแท้จริง

“คารวะผู้อาวุโสใหญ่ชิงเหยี่ยนจิ้ง ท่านประมุขตำหนักมู่มู่เฉินและธิดาเทพลั่วหลี” ชายสองคนประสานมือคารวะทั้งสามพลางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง

เมื่อมู่เฉินกวาดสายตามองก็มองเห็นภาพศูนย์รวมของภูเขาสุสานที่ดูรกร้างบนหน้าอก ในเวลาเดียวกันก็สามารถเดาตัวตนอีกฝ่ายได้ นี่คือผู้พิทักษ์หมื่นสุสานแห่งดินแดนวั้นมู่

เล่าขานกันว่าผู้พิทักษ์หมื่นสุสานเป็นสายเลือดของเทพจักรพรรดินิรันดร์ พวกเขาอาศัยอยู่ในดินแดนวั้นมู่หลังจากการตายของเทพจักรพรรดิเพื่อปกป้องผนึกนี้

ในแง่ของพลังแม้แต่เผ่าโบราณทั้งห้าก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้กับผู้พิทักษ์หมื่นสุสาน เพียงแต่ว่าพวกเขาทำตามกฎอย่างเคร่งครัด ไม่เคยก้าวออกจากสถานที่แห่งนี้ การอุทิศตนเช่นนี้ทำให้แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกเคารพจากใจ

ดังนั้นมู่เฉินจึงประสานมือตอบด้วยมารยาท

“ตามเรามา”

ผู้พิทักษ์ทั้งสองยังคงมีสีหน้าไม่แยแส แต่เมื่อสายตาพวกเขากวาดผ่านร่างมู่เฉินก็มีความผันผวนแปลกประหลาดในดวงตา

แต่พวกเขาไม่ได้ถามมากความ พวกเขาหันหลังและมุ่งหน้าไปยังส่วนลึก

พวกมู่เฉินตามไปพร้อมกับพวกเขาทันที

ภูเขาวาบผ่านไปที่ด้านล่างและใช้เวลาเหาะเหินประมาณสิบกว่านาทีก่อนที่ผู้พิทักษ์จะเริ่มชะลอตัวและพลิ้วลงมา

เมื่อมองลงไปมู่เฉินเห็นลานสีดำขนาดใหญ่บนพื้นพร้อมเสาสีดำขนาดมหึมา เมื่อเข้าใกล้มากขึ้น มู่เฉินก็ต้องหดดวงตาลง เนื่องจากเขาพบว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เสา แต่เป็นโลงศพขนาดใหญ่

โลงศพเหล่านี้เหมือนตะปูเมื่อตรึงลงไปบนลานก็ทำให้เกิดความผันผวนที่ผิดปกติ

ขณะที่สายตาของมู่เฉินกวาดไปทั่วโลงศพ ตำแหน่งต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นในความคิดและเชื่อมโยงกัน จากนั้นแผนภาพทรงพลังก็ปรากฏขึ้นในใจ

มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดก็เข้าใจว่าโลงศพเหล่านี้เป็นผนึกที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้ นั่นก็หมายความว่าเทพปีศาจจักรพรรดิถูกผนึกลึกลงไปใต้ลานสีดำมืดแห่งนี้…

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท