หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1544 ทวีปเป่ยชางอันวุ่นวาย

บทที่ 1544 ทวีปเป่ยชางอันวุ่นวาย

ทวีปเป่ยชาง

บรรยากาศที่เฟื่องฟูไม่มีให้เห็นอีกแล้ว เหลือเพียงร่องรอยสงครามถูกทิ้งไว้บนพื้นดิน ทำให้ทั่วทั้งทวีปเต็มไปได้เหวกว้าง

ภัยพิบัติจากปีศาจบดขยี้ลงมาที่ทวีปเป่ยชางเช่นกัน

เผชิญกับภัยพิบัตินี้ กองทัพต่างๆ ของทวีปเป่ยชางก็พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ก่อตั้งพันธมิตรหลายแห่งเพื่อพุ่งเป้าไปในการต่อต้าน

ทว่าความหายนะในทวีปเป่ยชางรุนแรงมาก เนื่องจากเผ่าปีศาจทรงพลังมาก ดังนั้นกระทั่งขุมกำลังต่างๆ จะรวมตัวเข้าด้วยกัน แต่ก็ยังมองในแง่ดีไม่ได้

และสำนักศึกษาเป่ยชางก็เป็นหนึ่งในศูนย์รวมพันธมิตรเหล่านั้น

ภายในสำนักศึกษาเป่ยชาง

ค่ายกลขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นปกคลุมทั้งสำนักศึกษา ในปราการที่เอิบอาบด้วยแสงหลิงทรงพลังทำให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัย

ยามนี้เกิดความวุ่นวายภายในสำนักศึกษาเป่ยชาง ไม่เพียงแต่ขั้วอำนาจอื่นๆ ของทวีปที่สูญเสียดินแดนให้กับเผ่าปีศาจมารวมตัวกันที่นี่ แต่ยังรวมถึงสำนักศึกษายิ่งใหญ่อีกสี่แห่งที่มาด้วย…

นั่นเป็นเพราะภัยพิบัติได้กวาดล้างเขตแดนที่สำนักศึกษาใหญ่อีกสี่แห่งตั้งอยู่ และระหว่างสำนักศึกษาทั้งห้าได้เชื่อมโยงกันด้วยค่ายกลเคลื่อนย้าย พวกเขาทั้งหมดจึงมารวมตัวกันที่สำนักศึกษาเป่ยชาง

แต่ไม่คิดว่าไม่นานหลังจากที่พวกเขามา ทวีปเป่ยชางก็ถูกโจมตีเช่นกัน…

เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่นี่จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะแออัด แต่ ณ จุดนี้ไม่มีใครใส่ใจเรื่องเล็กจ้อยนี้…

ที่มุมหนึ่งของสำนักมีทะเลสาบใสราวกับกระจก รอบๆ มีแท่นฝึกจำนวนมากตั้งวางเรียงรายอยู่ ถัดออกไปอีกก็คือเรือนพักจำนวนมาก

“ทุกคนในฐานะชุมนุมเทพธิดาลั่ว เราจะใช้เรือนพักของชุมนุมเป็นที่พักให้กับสหายสำนักทั้งสี่แห่ง แม้ว่าปกติเราจะเป็นคู่แข่งกัน แต่ในเวลานี้เราก็ต้องแสดงมารยาทของเจ้าบ้านที่ดีด้วย”

ที่ริมทะเลสาบเหล่าสมาชิกชุมนุมรวมตัวกันรอบก้อนหินขนาดใหญ่ สายตามองไปที่หญิงสาวที่ยืนอยู่บนก้อนหิน นางมีลักษณะโดดเด่นพร้อมกับผมเกล้าเป็นหางม้าและน้ำเสียงดังก้องด้วยพลังล้นเปี่ยม

เมื่อมองไปที่ศิษย์น้องที่อยู่รอบๆ หญิงสาวก็เผยรอยยิ้ม “นอกจากนี้อย่าลืมว่าใครคือผู้ก่อตั้งชุมนุมเทพธิดาลั่ว แม้ว่าพี่ใหญ่มู่เฉินและพี่ใหญ่ลั่วหลีจะจบการศึกษาไปแล้ว เราก็จะทำให้ชุมนุมเทพธิดาลั่วที่พวกเขาสร้างไว้อับอายไม่ได้!”

“พี่ใหญ่สุนเอ๋อพูดถูก!”

“ไม่ต้องห่วง ชุมนุมเทพธิดาลั่วไม่ขี้เหนียวหรอก เราจะเตรียมการสำหรับสหายสำนักศึกษาอื่นๆ เอง”

“เราต้องรวมพลังกันเพื่อปกป้องสำนักศึกษาของเรา!”

เสียงของหญิงสาวดึงดูดใจสะท้อนในโสตประสาทของทุกคน ขณะที่ทุกคนยกกำปั้นขึ้นส่งเสียงโห่ร้อง

หญิงสาวที่ชื่อว่าสุนเอ๋อก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

ไม่ไกลนักมีร่างเงากลุ่มหนึ่งยืนมองมาพลางเผยรอยยิ้มขณะมองดูฉากนี้

“สุนเอ๋อเติบโตขึ้นมาก ถ้ามู่เฉินและลั่วหลีเห็นภาพนี้พวกเขาจะต้องตกใจแน่ๆ เด็กสาวตัวเล็กขี้อายที่เดินตามหลังตอนนั้นได้กลายเป็นผู้นำชุมนุมเทพธิดาลั่วแล้ว” ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะมองไปที่เยี่ยสุนเอ๋อที่ทุกคนกำลังห้อมล้อม

“ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้สุนเอ๋อก้าวขึ้นสู่การเป็นหลิงเจิ้นจงซือแล้ว มิหนำซ้ำท่านอาจารย์ใหญ่ยังก่อตั้งหอค่ายกลเพื่อให้นางถ่ายทอดความรู้กับศิษย์คนอื่นๆ เกี่ยวกับศาสตร์นี้ คลื่นลูกใหม่เปี่ยมด้วยความหวัง ความสำเร็จนี้แข็งแกร่งกว่าเรามากในอดีต” ชายอีกคนถอนหายใจด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าสองคนหยุดถอนหายใจเป็นตาแก่ได้แล้ว แต่ข้าก็ไม่คิดว่าพวกเจ้าสองคนจะกลับมาที่สำนักในเวลาวิกฤตเช่นนี้” หญิงสาวสะคราญโฉมยิ้มกว้าง

ไม่น่าแปลกใจที่นางจะตกใจเนื่องจากทั้งสองคนคือจอมยุทธ์สุดยอดในรุ่น—เสิ่นชังเสิงและหลี่เฉวียนทง

หลังจากจบการศึกษาทั้งสองก็ออกท่องยุทธภพ ตอนนี้พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มซึ่งห่างจากขุมพลังเทียนจื้อจุนเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ความสำเร็จดังกล่าวในวัยของพวกเขาถือว่าไม่ธรรมดา

“ในเมื่อเราเป็นศิษย์สำนักศึกษาเป่ยชาง ดังนั้นเราก็ต้องกลับมาช่วยตอนที่บ้านกำลังตกอยู่ในอันตรายสิ” เสิ่นชังเสิงยิ้ม

หลี่เฉวียนทงพยักหน้ามองไปที่หญิงสาวตรงหน้าก็ยิ้ม “ส่วนเจ้าตอนนี้ขึ้นเป็นรองอาจารย์ใหญ่ของสำนักไปแล้วนะเยี่ยชิงหลิง”

“ข้าไม่ได้อยากท่องยุทธภพเหมือนพวกเจ้าทั้งสองคน การอยู่ในสำนักก็ดีมากสำหรับข้า” เยี่ยชิงหลิงยิ้ม

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง เสิ่นชังเสิงและหลี่เฉวียนทงก็พยักหน้าพลางพูดขึ้นช้าๆ “การใช้ชีวิตในสำนักก็ดี อย่างน้อยสามารถรักษาจิตใจบริสุทธิ์ของตัวเองไว้”

พวกเขาสองคนพูดด้วยท่าทางซับซ้อน ชัดว่าต่างมีประสบการณ์มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

“โห้ อดีตสองจอมยุทธ์สุดยอดในรุ่นกำลังปลงกับประสบการณ์เหรอเนี่ย”

ทันใดนั้นเสียงเย้าแหย่ก็ดังขึ้น กลุ่มคนที่ยืนอยู่กวาดสายตามองไปก็เห็นร่างเงาสองร่างกำลังเดินเข้ามา

คนหนึ่งสวมเสื้อสีม่วงกับกางเกงขายาว นางมีรูปร่างที่เพรียวบางพร้อมกับรูปลักษณ์ที่โดดเด่น นางคลี่รอยยิ้มที่คุ้นเคยบนริมฝีปาก นางก็คือเวินชิงเฉวียน

ส่วนหญิงสาวที่อยู่ข้างก็งดงามไม่แพ้กัน นางก็คือรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวงถังเชี่ยนเอ๋อ

“เวินชิงเฉวียน…” หลี่เฉวียนทงอึ้งไปเมื่อมองรอยยิ้มคุ้นเคย “เวลาแบบนี้เจ้าไม่ประจำที่ตระกูลเวิน มาทำอะไรที่นี่?”

เวินชิงเฉวียนเผยรอยยิ้มตอบว่า “ตระกูลเวินมีผู้คนมากมาย ข้าอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไร”

ขณะที่พูดนางและถังเชี่ยนเอ๋อก็มองไปที่เยี่ยชิงหลิงด้วยรอยยิ้ม “ต้องขอขอบคุณชุมนุมเทพธิดาลั่วที่ช่วยจัดที่พักให้กับศิษย์สำนักศึกษาวั่นหวงด้วย”

เยี่ยชิงหลิงโบกมือตอบว่า “ภายใต้สถานการณ์นี้ พวกเราต้องรวมพลังกันถึงจะมีโอกาสรอดได้ การช่วยเหลือเจ้าก็เหมือนกับการช่วยสำนักศึกษาเป่ยชางด้วย”

เมื่อได้ยินคำพูดนี่ เวินชิงเฉวียนก็ถอนหายใจ “ยังไม่แน่หรอกว่าจะมีโอกาสรอดหรือไม่ ตอนนี้มีเพียงท่านเป่ยหมิงเท่านั้นที่ก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน มิหนำซ้ำพวกปีศาจยังแค่ล้อมเอาไว้ ไม่ได้เปิดการโจมตี ตราบใดที่พวกจอมปีศาจเคลื่อนไหว สถานการณ์ก็คงไม่ดีแน่”

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ พวกเขาทราบว่าสถานการณ์เลวร้ายเพียงใด

“สุนเอ๋อกับพรรคพวกกำลังสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างลับๆ ถ้าสถานการณ์เลวร้ายขึ้น เราก็ได้แต่พยายามส่งเหล่าศิษย์น้องออกไปให้ได้มากที่สุด” เยี่ยชิงหลิงกล่าวเสียงอ่อน

เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ พลังของสำนักศึกษาเป่ยชางอย่างเดียวก็ไร้ประโยชน์

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหลี่เฉวียนทงก็พูดขึ้นว่า “ถ้ามู่เฉินกับลั่วหลีอยู่ที่นี่อาจมีโอกาสบ้าง…”

เมื่อได้ยินชื่อของทั้งสองคนทุกคนก็เงียบลง ชัดว่าแต่ละคนมีความทรงจำกับสองคนนี้มาก

“มีข่าวเกี่ยวกับลั่วหลี แต่สำหรับมู่เฉิน…เกือบห้าปีแล้วที่ข่าวของเขาเงียบหาย” เวินชิงเฉวียนมุ่นคิ้ว

เสิ่นชังเสิงพยักหน้า “เจ้านั่นทำให้เกิดความปั่นป่วนเป็นครั้งคราวเมื่อห้าปีก่อน แต่เขาก็หายตัวไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”

“ตอนนี้ในมหาพันภพผู้คนคาดเดากันว่าเขากลัวเผ่าปีศาจเลยไปแอบซ่อนตัว”

“ไร้สาระ!” เวินชิงเฉวียนหัวร้อนขึ้น ตามนิสัยของมู่เฉินจะเป็นคนขี้ขลาดได้อย่างไร?

“มู่เฉินไม่ใช่คนขี้ขลาด ด้วยนิสัยของเขา ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูแบบใดก็ไม่มีทางกลัว ดังนั้นต้องมีเหตุผลที่เขาหายตัวไป” ถังเชี่ยนเอ๋อเอ่ยเสียงจริงจัง

หลี่เฉวียนทงถอนหายใจออกมา “ชื่อเสียงของมู่เฉินดังเป็นพลุแตกเมื่อไม่กี่ปีก่อน เขาตกเป็นเป้าของความอิจฉา ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนพยายามทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง”

ทุกคนทำได้เพียงแค่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ การหมิ่นประมาทเหล่านั้นกระตุ้นความโกรธเกรี้ยวของพวกเขาอย่างแท้จริง

“เขาจะต้องปรากฏตัวแน่นอน”

เยี่ยชิงหลิงกล่าวอย่างหนักแน่น เนื่องจากนางนึกถึงรอยยิ้มซึ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจของชายหนุ่ม

เขามีความเชื่อมั่นแน่วแน่ ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูแบบใด เขาก็จะไม่มีวันถอยหนี เป็นเพราะความเชื่อมั่นที่ติดแน่นเป็นปรสิตนี้ ทำให้ผู้คนมากมายมารวมตัวอยู่เคียงข้างเขาและเป็นสาเหตุที่ทำให้ชุมนุมเทพธิดาลั่วเฟื่องฟูไม่เสื่อมคลาย…

ดังนั้นนางเชื่อว่าเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะประสบกับอะไรก็ตาม

สหายคนนั้นจะปรากฏตัวขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อไรที่เผยตัวก็จะเป็นจุดสนใจของทั้งมหาพันภพ

เยี่ยชิงหลิงหันไปมองน้องสาวที่ยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่ เหมือนเห็นอดีตตอนที่ชายหนุ่มมุ่งมั่นยืนอยู่บนตำแหน่งนั้น

‘มู่เฉิน…’

‘ข้าหวังไม่ว่าเจ้าจะประสบกับอะไร เจ้าก็ยังคงเป็นเจ้าเช่นเดิม’

หวือ หวือ!

ขณะที่พวกเขาระลึกถึงความทรงจำ เสียงเตือนเสียดหูก็ดังขึ้น ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองออกไปไกล เห็นรัศมีปีศาจรุนแรงพล่านเข้ามาจากทิศทางนั้น

เผ่าปีศาจเริ่มโจมตีแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท