หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1553 ชื่อข้า

บทที่ 1553 ชื่อข้า

ในสมรภูมิที่ทั้งสองฝ่ายเข้าห้ำหั่นกัน

ผืนดินวินาศสันตะโรผืนฟ้ามืดมิด มากจนแม้แต่มิติก็คงความเสถียรไว้ไม่ได้ บางครั้งเกิดรอยแตกกระจายออกมา…

ในช่วงครึ่งปีทั้งสองฝ่ายใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสนามรบและต่างสูญเสียเป็นอย่างมาก จนแม้แต่ผืนโลกยังถูกย้อมเป็นสีแดงฉานเพื่อแสดงถึงความโหดร้ายที่มี

เนื่องจากทวีปแห่งนี้ถูกใช้เป็นสนามรบสำคัญระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจจึงได้รับการตั้งชื่อว่าทวีปหลิงหมัว

หุบเหวไม่มีที่สิ้นสุดทอดยาวออกไปในทวีปซึ่งดูราวกับขากรรไกรปีศาจ ภายในเหวมีกระแสน้ำมหึมาพวยพุ่งขึ้นกระแทกโขดหินส่งเสียงเสียดแทงแก้วหูยิ่งนัก

ทวีปหลิงหมัวแห่งนี้มีปลายด้านหนึ่งเป็นดินแดนปีศาจ อีกด้านหนึ่งคือมหาพันภพ

ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาสงคราม ณ ดินแดนแห่งนี้ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่วันนี้กลับเงียบผิดปกติ ซึ่งหาได้ยากในทวีปซึ่งถูกย้อมด้วยเลือดแดงฉานแห่งนี้

อย่างไรก็ตามทุกคนรู้ดีว่านี่คือความเงียบสงบก่อนพายุทำลายล้างจะมา ซึ่งเป็นวันตัดสินชะตากรรมของมหาพันภพ…

หากพวกเขาผ่านพ้นภัยพิบัตินี้ไปได้มหาพันภพก็จะแต่มีสันติสุข มิฉะนั้นทุกสรรพชีวิตในระบบสุริยจักรวาลนี้จะถูกกดขี่และสังหาร ใช้ชีวิตอย่างโหดร้ายทารุณ

ดังนั้นในเวลานี้ทักษะลับนับไม่ถ้วนถูกงัดออกมา คลื่นหลิงก่อตัวเป็นกระจกฉายภาพสถานที่แห่งนี้ไปยังทุกมุมของมหาพันภพ

วันนี้ทุกคนในมหาพันภพเงยหน้าขึ้น กระจกมหึมาก่อตัวขึ้นเหนือทุกทวีปฉายภาพในทวีปหลิงหมัว

ทุกคนวางเรื่องในมือลงจ้องมองไปที่กระจกด้วยสายตาสั่นเทา เสียงสวดมนต์ดังสะท้อนออกมาอยู่ตลอดเวลา

พวกเขาภาวนาขอให้มหาพันภพประสบชัยชนะ

เมื่อทุกสายตาพุ่งผ่านกระจกก็สามารถมองเห็นทางทิศตะวันออกของทวีปหลิงหมัว อัดแน่นไปด้วยรัศมีหลิงเข้มข้น ผู้คนมากมายทอดตัวออกไปสุดสายตา มากขนาดนี้ก็ยังมีผู้คนเร่งรุดมาเพิ่มอีก

เห็นได้ชัดว่าเหล่าจอมยุทธ์ในมหาพันภพต่างมารวมตัวกันที่ทวีปหลิงหมัว

ตรงข้ามกับทิศตะวันตกถูกครอบงำด้วยรัศมีปีศาจ ซึ่งเมฆปีศาจขนาดใหญ่และหนาทึบทอดยาวยังไปฟ้าดิน สายตาดุร้ายสามารถมองเห็นได้ราวกับว่าพวกมันเป็นอสูรกายที่คืบคลานออกมาจากขุมนรก นำพาความพินาศมาสู่โลก

ทางทิศตะวันออกของทวีปหลิงหมัว

ณ จุดสูงสุดท่ามกลางความผันผวนของคลื่นหลิง เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยืนเอามือไพล่หลัง เมื่อทุกคนที่มองไปยังร่างทั้งสองก็เกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเทพจักรพรรดิทั้งสองหยุดยั้งไม่ให้จักรวรรดิปีศาจเข้ามารุกรานมหาพันภพได้ สำหรับสุริยจักรวาลแห่งนี้ทั้งสองคือผู้นำอย่างไม่ต้องสงสัย

เหล่านายหญิงทั้งสองแคว้นพร้อมกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา

แต่ละคนสวมสีหน้าเคร่งขรึมขณะสายตาวิตกกังวลมองไปที่เผ่าปีศาจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกหวาดกลัวและกระวนกระวายเกี่ยวกับเทพปีศาจจักรพรรดิ

ขณะทุกคนกระวนกระวายมาก หลินต้งและเซียวเหยียนก็ยังคงสงบนิ่ง ดวงตาลึกล้ำราวกับว่าสามารถทะลุผ่านห้วงมิติได้

“เวลาไม่รอท่าแท้จริง ถ้าเรามีเวลาอีกสักสามสิบปีก็คงสามารถเขียนชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพ ในเวลานั้นไม่ว่าเทพปีศาจจักรพรรดิจะมีวิธีการเช่นไร เราก็สามารถปราบปรามมันได้” หลินต้งถอนหายใจด้วยความเสียใจ

เซียวเหยียนพยักหน้าเห็นด้วยเนื่องจากมีความคิดคล้ายคลึงกัน เพียงอีกสามสิบปี พวกเขาก็สามารถเขียนชื่อเต็มบนทำเนียบเหนือภพได้แล้ว

ถึงเวลานั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องกลัวเทพปีศาจจักรพรรดิหน้าไหนอีก

ทว่าเทพปีศาจก็รู้สึกได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีทางให้โอกาสพวกเขาพลิกสถานการณ์ไปได้

พร้อมกับความคิดที่เกิดขึ้น หลินต้งและเซียวเหยียนก็ถอนหายใจยาว พวกเขาไม่ได้กลัว แต่เพียงรู้สึกเสียใจเพราะอยู่ห่างจากจุดสุดยอดอีกก้าวเดียวเท่านั้น

“หืม?”

ทันใดนั้นทั้งสองก็หดตาพลางเงยหน้าขึ้นมองไปที่รัศมีปีศาจที่ไร้ขอบเขตทางทิศตะวันตก

เวลานี้ฉิงเทียน ชิงซัน จักรพรรดิมังกรแท้จริงและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงแรงกดดันของปีศาจที่ทำให้หายใจไม่ออกบีบกดลงมาจากท้องฟ้าห่อหุ้มโลกทั้งใบเอาไว้

ภายใต้ความกดดันนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายอย่างพวกเขายังรู้สึกหวาดกลัว

กองทัพยิ่งใหญ่ของมหาพันภพตกอยู่ในความเงียบงันพร้อมกับความขนพองสยองเกล้าพล่านบนใบหน้า

“คารวะต่อท่านเทพปีศาจจักรพรรดิ!”

เผ่าปีศาจต่างๆ ส่งเสียงโห่ร้องขณะที่คุกเข่าลง

แม้แต่จอมปีศาจเซิ่งเทียนและคนอื่นๆ ก็คุกเข่าด้วยเช่นกัน สายตาโหดร้ายพุ่งตรงไปที่มหาพันภพ

พวกเขารู้ดีว่าการมาถึงของเทพปีศาจจักรพรรดิจะทำลายความสมดุลระหว่างทั้งสองฝ่าย

ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง เมฆปีศาจพลุ่งพล่านภาพเงาหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหน้ากองทัพจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

เขามีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา เปล่งประกายระยิบระยับด้วยรัศมีรอบตัว ไม่มีกลิ่นอายน่ากลัวใดๆ ที่เป็นของเผ่าปีศาจ ภายใต้รอยยิ้มช่างดูใจบุญสุนทานมากล้น

ทว่าดวงตาทั้งสามบนหน้าผากกลับแผดไอน่ากลัว เมื่อความสุดขั้วทั้งสองรวมเข้าด้วยกันก็ดูลึกลับยิ่งนัก

นี่ก็คือเทพปีศาจจักรพรรดิ

เทพปีศาจโบกมือ เสียงร้องร้อนแรงก็สงบลง เขามองไปที่หลินต้งเซียวและเหยียนพร้อมกับรอยยิ้ม “ห้าปีผันผ่าน ในที่สุดเราก็มาพบกันใหม่”

เสียงนี้ไม่ดังเลย แต่ทำให้ทวีปหลิงหมัวสั่นสะเทือนพร้อมกับคลื่นเสียงแผ่ออกไปข้ามขอบฟ้า ทำให้ท้องฟ้าพังทลายลง

สีหน้าของหลินต้งและเซียวเหยียนเย็นชาลงเช่นกันเมื่อหันไปมองเทพปีศาจด้วยดวงตาเฉียบคม

“เจ้าสองคนน่าทึ่งจริงๆ ถ้าข้าไม่มีรากฐานมาก่อนก็คงไม่สามารถจัดการกับพวกเจ้าได้ ดังนั้นหากเจ้าสองคนยอมรับตราประทับเทพปีศาจของข้าละก็ ข้าจะยอมปล่อยให้มหาพันภพดำรงอยู่ได้” เทพปีศาจมองไปที่หลินต้งและเซียวเหยียนขณะที่พูด

“เราไม่เคยเชื่อในความเมตตากรุณาของศัตรู” เซียวเหยียนยิ้ม

“นอกจากนี้ก็ยังไม่แน่ว่าใครจะชนะสงครามครั้งนี้”

เมื่อได้ยินคำพูดนี่ เทพปีศาจก็ยิ้มไม่แยแส “เจ้าสองคนพัฒนาขึ้นอย่างแข็งแกร่งภายในห้าปี แต่อย่างที่ข้าพูดไม่มีใครในมหาพันภพสามารถหยุดข้าได้ เมื่อข้าได้เก้าเนตรกลับคืนมา”

พูดจบเขาก็ก้าวออกไป แรงกดดันปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาพร้อมกับเสาปีศาจนับล้านจั้งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากลืนกินแสงสว่างทั้งหมด

ภายในความมืด แรงกดดันปีศาจที่น่ากลัวแผ่กระจายออกไป ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวไม่รู้จบ

ฝั่งกองทัพมหาพันภพ ทุกคนตกอยู่ในความมืดขณะที่อุทานขึ้นด้วยความกลัว ความมืดนี้ดูเหมือนจะสามารถกัดกร่อนจิตใจของผู้คนได้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังสั่นสะท้าน ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไปผู้คนต้องเป็นบ้าแน่

ฟู่ ฟู่!

ขณะที่มหาพันภพตกอยู่ในความโกลาหล เพลิงโชติช่วงขนาดใหญ่ก็ลุกโชนกลายเป็นดอกบัวหมุนรอบตัวช้าๆ เอิบอาบด้วยรัศมีขับไล่ความมืด

บนดอกบัวเรือนผมของเทพจักรพรรดิอัคคีพะเยิบพะยาบเบาๆ ขณะที่สาดสีหน้าเย็นชา

ตู้ม!

ในเวลาเดียวกันอักขระโบราณแปดตัวก็หมุนไปรอบ กลายเป็นวงแสงที่มีคลื่นขนาดใหญ่แผ่ออกมาเพื่อขับไล่ความมืด

เมื่อดอกบัวเพลิงและอักขระโบราณไหลเวียน ก็ยึดครองท้องฟ้าฝั่งหนึ่งและขับไล่ความมืดออกไป

อย่างไรก็ตามความมืดยังคงแผ่กระจายออกไปในท้องฟ้าส่วนใหญ่ กลืนกินแสงสว่างอย่างต่อเนื่อง พยายามที่จะห่อหุ้มมหาพันภพไว้ในความมืดอีกครั้ง

พลังงานทั้งสองฝ่ายเสียดสีกันอยู่ตลอดเวลา รัศมีวูบไหวระหว่างความสว่างและความมืด

ทุกคนในมหาพันภพมองไปที่ภาพนี้ด้วยอาการตัวสั่นเทา พวกเขาสวดอ้อนวอนไม่หยุด เนื่องจากรู้ว่าดอกบัวและอักขระพวกนี้คือความหวังสุดท้ายของพวกเขา

“อย่างที่ข้าบอกไปแล้ว เจ้าสองคนหยุดข้าไม่ได้” เทพปีศาจมองดูอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ความมืดไร้ขอบเขตแผ่ออกไปเรื่อยๆ

ความมืดค่อยๆ กลืนกินแสงจากดอกบัวและอักขระโบราณ

ทุกคนรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งหัวใจกับภาพเบื้องหน้าครรลองสายตา ‘เทพปีศาจจะชนะจริงหรือ?’

ทว่าตอนที่พวกเขากำลังเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เสียงผิดแผกก็ดังขึ้น เสียงหัวเราะสดใสดังก้องไปทั่วมหาพันภพ

“ในเมื่อสองคนไม่พอ ก็เพิ่มอีกคนแล้วกัน…”

ทันทีที่เสียงนั้นดังก้อง ทุกคนก็เหลียวมองไปที่ด้านหลัง จากนั้นตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากพบว่ามีคลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกัน พลังเอกภพลึกลับพลิ้วลงมาก่อตัวเป็นม่านแสง…

“ทำเนียบเหนือภพ!”

เมื่อฉิงเทียน ชิงเหยี่ยนจิ้งและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ก็อุทานด้วยความตื่นเต้น

“นั่นมู่เฉิน!”

“ในที่สุดเขาก็มาถึงที่นี่และเรียกทำเนียบเหนือภพแล้ว!”

“เขากำลังจะเขียนชื่อลงไปแล้ว!”

พวกเขามองไปที่กระดานด้วยความตื่นเต้น ขณะที่ร่างเงาหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับรูปลักษณ์ที่คุ้นเคย เขาก็คือมู่เฉิน

ยามนี้มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่กระดานด้วยสองมือประสานกันค่อยๆ วางลงไป

ขณะเดียวกันเสียงสะท้อนก็ดังก้องไปทั่วหล้า

“วันนี้ทำเนียบเหนือภพจะจารึกชื่อข้า”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท