องค์หญิงฉังผิงเข้าใจความหมายของเยี่ยนอ๋อง เพียงยิ้มเบาๆ พลางเอ่ย “เรื่องนี้เกรงว่าคงต้องหารือกับบิดามารดาของพวกเขาเพคะ พี่สาม พระองค์ย่อมรู้จักหม่อมฉันดี หม่อมฉันเองก็ตั้งชื่อไม่เก่งเหมือนกันเพคะ”
เยี่ยนอ๋องเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชื่อของเด็กทั้งสองเดี๋ยวข้า…”
“ไม่ต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ด้านนอก เว่ยจวินมั่วที่ยังคงอยู่ในอาภรณ์สีครามที่ใส่กลับมาเดินตรงเข้ามา เยี่ยนอ๋องเลิกคิ้ว “ไม่ต้องอันใดกัน”
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ชื่อของเด็กๆ กระหม่อมกับอู๋สยาได้ตั้งไปแล้ว”
เยี่ยนอ๋องย่นจมูก “พวกเจ้าทั้งสองไม่มีประสบการณ์ จะตั้งชื่อดีๆ ได้หรือ ข้าขอให้เจ้าอาวาสวัดหลิงเฉวียนช่วยดูฤกษ์ยามตั้งชื่อดีๆ ให้ได้”
เว่ยจวินมั่วมองเขาอย่างไม่ใส่ใจนัก ราวกับว่าพระองค์สามารถตั้งชื่อดีๆ ได้อย่างนั้นเล่า ตระกูลเซียวนั้นชื่อตรงกลางมีเพียงคำว่าเชียน อย่างมากเยี่ยนอ๋องก็ตั้งชื่อตัวสุดท้ายได้เท่านั้นเอง ยังมีตัวอักษรไฟ[1]อยู่ในชื่อด้วย เขาอดสงสัยไม่ได้ เยี่ยนอ๋องคงเลือกตัวอักษรสักตัวสองตัวออกมาจากคำที่มีคำว่าไฟอยู่ในนั้น
ได้รับสายตาเหยียดหยามจากหลานชาย เยี่ยนอ๋องกัดฟันเอ่ย “ได้สิ ได้ ข้าจะดูชื่อที่เจ้าตั้งบ้างเป็นไร”
คุณชายเว่ยเลิกคิ้ว เอ่ยตอบ “บุตรีชื่อจั๋วหวา ชื่อเล่นเยาเยา บุตรชายชื่อจิ่งเสา ชื่อเล่นอานอาน”
“บุตรีก็ช่างเถิด อานอานนั่นมันอันใดกัน” เด็กผู้ชายจะตั้งชื่อนี้ได้เยี่ยงไร ยังอาจถูกเรียกตั้งแต่เด็กไปจนโตอีก เหมาะสมจริงๆ หรือ
องค์ฉังผิงยิ้มเนือยๆ เอ่ย “หม่อมฉันกลับคิดว่าดีมากเลยนะเพคะ ผิงผิงอานอาน[2]ดีที่สุดแล้ว”
คนเป็นย่ายังไม่มีปัญหา คนเป็นพี่ชายของย่าแน่นอนยิ่งไม่อาจมีปัญหาได้ ดังนั้นชื่อของเด็กทั้งสองจึงถูกตั้งแบบ ‘สุกเอาเผากิน’ เช่นนั้น เหล่าผู้คนที่ลอบเตรียมชื่อมาก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจกลับคืนไป แอบก่นด่าเว่ยจวินมั่วชั่วร้ายอยู่ในใจ ลงมือฉับไวเพียงนี้
หนานกงชวี่ที่นั่งอยู่อีกฝั่งได้แต่ยิ้มขมขื่น เมื่อเทียบกับกลุ่มคนตรงหน้าเหล่านี้ เขาที่เป็นลุงแท้ๆ นั้นไม่มีอำนาจออกเสียงที่สุด
ไม่ง่ายเลยกว่าจะส่งคนกลุ่มนี้กลับไปได้ เว่ยจวินมั่วกลับเข้ามาในห้อง หนานกงมั่วกำลังนั่งกินโจ๊กอยู่ภายใต้การประคับประคองของหมิงฉินและจือซู มองเห็นเว่ยจวินมั่วเดินเข้ามาจากนั้นก็มองเลยไปด้านหลังที่ว่างเปล่าของเขา “เด็กๆ เล่า”
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “อยู่ที่ห้องข้างๆ เสด็จแม่อยู่ดูแลพวกเขา”
“ได้อย่างไร เสด็จแม่เหนื่อยจะทำเช่นไร” หนานกงมั่วย่นคิ้ว เว่ยจวินมั่วส่ายศีรษะ เอ่ย “มีแม่นมอยู่ด้วย ไม่เป็นไรหรอก เสด็จแม่มีความสุข” เพื่อเด็กๆ ทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นจวนเยี่ยนอ๋องหรือองค์หญิงฉังผิงต่างก็เตรียมตัวเป็นอย่างดี เพียงแม่นมก็มีถึงสี่คน มามาและสาวใช้คอยดูแลล้วนเป็นคนที่องค์หญิงฉังผิงและแม่นมหลานคัดเลือกมาเอง จะมีปัญหาได้อย่างไร
หนานกงมั่วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ยามนี้ฟ้ามืดแล้วเด็กทั้งสองเพิ่งคลอดออกมาคิดว่าคงไม่วุ่นวาย
ขยับชิดขอบเตียง มองเว่ยจวินมั่วล้างหน้าล้างตาด้วยตนเอง พลางเอ่ยถาม “ท่านกลับมายามนี้ กองทัพไม่เป็นไรหรือ”
เว่ยจวินมั่วส่ายศีรษะ หากจะเกิดเรื่องอันใดต่อให้เขาอยู่ในกองทัพมันก็ต้องเกิด มีลิ่นฉังเฟิงและเจี่ยนชิวหยางอยู่ก็ไม่มีอะไรแตกต่าง
หนานกงมั่วเอ่ย “ข้ารู้สึกว่า…วันเวลาที่สงบสุขคงอยู่ได้อีกไม่นาน โชคดีที่ลูกๆ คลอดออกมาแล้ว” ความจริงตลอดหลายวันมานี้นางก็กังวลอยู่ตลอด หากเด็กๆ ยังไม่คลอดออกมาทว่าเซียวเชียนเยี่ยชิงลงมือกับจวนเยี่ยนอ๋องก่อน แบบนั้นคงลำบากแล้ว
เว่ยจวินมั่วเดินมานั่งลงที่ขอบเตียง เอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องกังวล ต่อให้เกิดเรื่องใดเมืองโยวโจวก็จะไม่เป็นไร เสด็จแม่บอกว่าตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำคือตั้งใจอยู่เดือน[3]ดูแลร่างกาย”
หนานกงมั่วยักไหล่ “ก็ได้ ท่านเอ่ยถูกแล้ว อย่างไรตอนนี้ข้าก็ทำอันใดไม่ได้”
“มีข้าอยู่ เจ้าและลูกอีกทั้งเสด็จแม่จะไม่มีทางเป็นอันใดอย่างแน่นอน”
“อืม ข้าเชื่อท่าน” หนานกงมั่วโน้มตัวเข้าหาอ้อมแขนของเขา เอ่ยเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม
หลังจากคลอดลูกแล้ว สิ่งสำคัญที่จะต้องทำก็เตรียมคือพิธีสรงสาม [4]เพียงแต่เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องให้หนานกงมั่วต้องกังวลใจกระทั่งแม้แต่ออกหน้าก็ยังไม่ต้อง องค์หญิงฉังผิงได้จัดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่นางยังไม่ทันได้คลอดด้วยซ้ำ แม้ว่าเยี่ยนอ๋องต้องการให้พิธีสรงสามจัดขึ้นที่จวนเยี่ยนอ๋อง ทว่าถูกองค์หญิงฉังผิงและเว่ยจวินมั่วปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยไปแล้ว สุดท้ายจึงกำหนดเอาไว้ที่เรือนชิงมั่ว โชคดีที่เรือนชิงมั่วนั้นมีพื้นที่กว้างขวาง มีพื้นที่เหลือเฟือในการต้อนรับแขก องค์หญิงฉังผิงมีเรื่องน่ายินดีได้หลานฝาแฝดชายหญิง บรรดาสตรีในเมืองโยวโจวแน่นอนว่าต้องมาแสดงความยินดี เรือนชิงมั่วที่เงียบสงบครึกครื้นขึ้นมาทันใด
เรือนด้านหน้าจะเฮฮาครึกครื้นเพียงใดหนานกงมั่วไม่สนใจ ยามนี้นางสนใจเพียงกลุ่มคนที่นั่งหยอกล้อตุ๊กตาน้อยอยู่บนหัวเตียง ในเปลไม้หวงฮวาหลีที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตปูด้วยฟูกนอนนุ่มขนาดพอดี เด็กน้อยทั้งสองกำลังนอนหลับเคียงกันอยู่ในเปล บรรยากาศยามเดือนสี่ผู้ใหญ่ไม่รู้สึกหนาว ทว่ากับเด็กน้อยยังต้องกังวลว่าจะหนาวไข้ บนร่างจึงมีผ้าห่มปักลายงดงามผืนเล็กคลุมเอาไว้
หมอตำแยกล่าวเอาไว้ไม่ผิด ยังไม่เลยสามวันซาลาเปาน้อยตัวแดงทั้งสองก็ขาวเกลี้ยงเกลาขึ้นมาแล้ว ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือเด็กทารกทั้งสองนั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน หากไม่ดูลายผ้าอ้อมที่ห่อเอาไว้คงแยกไม่ออกว่าคนไหนเด็กชายคนไหนเด็กหญิง
ซุนเหยียนเอ๋อร์นั่งอยู่ขอบเตียง มองเด็กน้อยในเปลพลางถอนหายใจออกมา เอ่ยว่า “สวยจังเลย ชอบจัง อยากอุ้มจัง…” แต่นางไม่กล้า เพียงคิดว่าร่างอ่อนนุ่มนั้นถูกวางอยู่ในมือ นางก็รู้สึกว่าร่างกายแข็งค้างไม่กล้าขยับเขยื้อน เกรงว่าตนเองจะใช้แรงเยอะเกินไปจนทำร้ายทารกน้อยจะทำอย่างไร
เซวียเสียวเสี่ยวกลอกตาอยู่ด้านข้าง เอ่ย “ฮูหยินน้อยสาม ท่านเองก็จะคลอดปีนี้มิใช่หรือ ลูบท้องของท่านก็พอแล้ว เด็กน้อยทั้งสองนี้เก็บไว้ให้ข้าเถิด”
ฉินซีเอ๋อร์ลอบยิ้มอยู่ด้านข้าง แม้ว่านางจะมาถึงโยวโจวยังไม่นาน แต่ฉินซีเอ๋อร์นั้นเพียงมีร่างกายอ่อนแอทว่านิสัยไม่ได้อ่อนนุ่มเก็บตัว มีความสัมพันธ์กับซุนเหยียนเอ๋อร์และเซวียเสียวเสี่ยวไม่เลวเลย ฉินซีมองเซวียเสียวเสี่ยวยิ้ม เอ่ยขึ้นว่า “ได้ข่าวว่ามีฮูหยินหลายคนมาสู่ขอแม่นางเซวียถึงบ้านไม่น้อย ดังนั้นเด็กน้อยนี้เก็บไว้ให้ข้าเถิด”
เซวียเสียวเสี่ยวกลอกตา ส่งเสียงในลำคอ เอ่ย “ข้ามิได้สนใจ ยิ่งไปกว่านั้น…หากลูกไม่ได้สวยเหมือนคุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยจะทำเยี่ยงไร” เห็นท่าทีไตร่ตรองปัญหานี้อย่างจริงจังของนาง ทุกคนอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ทว่าซุนเหยียนเอ๋อร์ดูจะมีประสบการณ์มากกว่า ลูบท้องของตนเองเบาๆ “ข้าคิดว่า ขอเพียงเป็นลูกของข้า ไม่ว่าจะมีหน้าตาเช่นไรอย่างไรข้าก็ชอบเขาที่สุด”
หนานกงมั่วยิ้ม “เหยียนเอ๋อร์กล่าวถูกแล้ว เด็กเช่นเจ้าจะเข้าใจอันใดถึงได้มากลุ้มใจเรื่องพวกนี้”
เซวียเสียวเสี่ยวทำหน้าทะเล้น เกาะขอบเปลทำหน้าตาหยอกล้อกับทารกน้อย น่าเสียดายที่ทารกน้อยทั้งสองกำลังนอนหลับไม่ได้สนใจนาง
“คารวะจวิ้นจู่ ฮูหยินน้อยสาม” ด้านนอก ชวีเหลียนซิงเดินนำแม่นมทั้งสองเข้ามา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จวิ้นจู่ พิธีด้านนอกจะเริ่มแล้ว องค์หญิงให้มาอุ้มคุณชายน้อยและคุณหนูน้อยออกไปเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วมองลูกน้อย โบกมือ เอ่ย “กำลังหลับอยู่เลย พาไปเถิด”
แม่นมทั้งสองช้อนอุ้มขึ้นมาอย่างระมัดระวังเดินออกไปด้านนอก บรรดาซุนเหยียนเอ๋อร์เองก็ตามออกไป ในพิธีสรงสามนี้ พวกนางจะต้องเข้าร่วมการเถียนเผิน[5] เซวียเสียวเสี่ยวหันไปมองหนานกงมั่วที่นั่งอยู่บนเตียง ยิ้มพลางเอ่ย “น่าเสียดายจริงๆ จวิ้นจู่ท่านไม่เห็นลูกๆ สรงสาม”
[1] ไฟ ชื่อของเซียวเชียนเหว่ย เซียวเชียนชื่อ เซียวเชียนจย่ง ทั้งสามชื่อหากเขียนเป็นภาษาจีน แต่ละชื่อจะมีตัวอักษรที่มีความหมายว่า ไฟ เป็นส่วนประกอบของชื่อ
[2] ผิงอาน แปลว่า สงบสุข สันติสุข อานอานชื่อของลูกชายมาจากคำนี้
[3] อยู่เดือนคือ การดูแลแม่ลูกอ่อนตามขนบแบบจีนโบราณ มีข้อปฏิบัติและข้อห้ามหลายอย่างแตกต่างโดยรายละเอียดตามคติความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น
[4] พิธีสรงสาม เป็นพิธีกรรมเก่าแก่ โดยทั่วไปพิธีจะถูกจัดขึ้นหลังจากเด็กทารกคลอดออกมาได้สามวัน คนในครอบครัวทุกคนจะต้องอาบน้ำให้เด็ก และเชิญแขกมาร่วมพิธี จัดขึ้นเพื่อล้างสิ่งไม่ดีที่ติดตัวมาจากชาติก่อนและเพื่อความสิริมงคล
[5] เถียนเผิน หรือ เติมอ่าง เป็นหนึ่งในขั้นตอนของพิธีสรงสาม คนในบ้านจะนำข้าวของต่างๆ เช่น เงินทอง ผลไม้มงคลต่างๆ เติมลงไปในอ่างน้ำตามลำดับความอาวุโส ระหว่างนั้นแม่เฒ่าจี๋เสียงเหล่าเหลาจะกล่าวคำมงคลไปด้วย เพื่ออวยพรให้ชีวิตของเด็กสมบูรณ์พูนสุข
